LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

1 นายเนื่องเป็นลูกจ้างขับรถบรรทุกน้ำมันที่เป็นของนายเจริญผู้เป็นนายจ้าง นายเจริญยื่นคําขอเอาประกันภัยอุบัติเหตุไว้กับบริษัทสยามรุ่งเรือง แอสชัวรันซ์ จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจรับประกันอุบัติเหตุ โดยนายเจริญเป็นทั้งผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้รับประโยชน์ด้วย จํานวนเงินเอาประกันภัย 3 แสนบาท นายเจริญเป็นผู้ชําระเบี้ยประกันภัยเอง กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า “นายเนื่องถึงแก่ความตาย ในระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม 2550 ถึง 7 สิงหาคม 2551 บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ตกลงจ่ายเงินจํานวน ดังกล่าวให้แก่นายเจริญ”

ครั้นวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 นายเนื่องขับรถบรรทุกน้ำมันกลับจาก ต่างจังหวัดได้เกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำลงไปข้างถนน นายเนื่องถึงแก่ความตายจากการถูกรถทับศีรษะ นายเจริญจึงยื่นขอรับเงินประกันภัย 3 แสนบาท แต่บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ปฏิเสธการจ่าย อ้างว่านายเจริญไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหาย เพราะผู้ได้รับความเสียหายที่แท้จริงคือทายาทของนายเนื่อง นายเจริญจึงมีเจตนาไม่สุจริตเพราะรู้ดีว่าตนไม่มีส่วนได้เสียที่จะนําชีวิตของนายเนื่องมา ประกันภัยไว้ แสดงให้เห็นว่าก่อนทําสัญญา นายเจริญมีเจตนาพนันกับบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ โดย ใช้ชีวิตของนายเนื่องเป็นเครื่องเดิมพัน สัญญาประกันภัยจึงเป็นโมฆะเพราะวัตถุประสงค์ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน อยากทราบว่า ข้ออ้างของบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ต้องจ่ายเงิน 3 แสนบาทให้แก่นายเจริญหรือไม่เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเนื่องลูกจ้างขับรถบรรทุกน้ำมันที่เป็นของนายเจริญผู้เป็นนายจ้าง และนายเจริญได้ยื่นคําขอเอาประกันอุบัติเหตุไว้กับบริษัทสยามรุ่งเรือง แอสชัวรันซ์ จํากัด โดยนายเจริญเป็นทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์ และในกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า “ถ้านายเนื่องถึงแก่ความตาย บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ตกลงจ่ายเงินให้แก่นายเจริญ” นั้น ถือได้ว่านายเจริญผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุ ที่ประกันภัยไว้นั้น เพราะการที่นายเจริญจะมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจาก ความสัมพันธ์ระหว่างนายเจริญผู้เอาประกันภัยกับผู้ถูกเอาประกันภัยคือนายเนื่อง ซึ่งเมื่อปรากฏว่าบุคคลทั้งสอง มีความสัมพันธ์ที่มีกฎหมายจ้างแรงงานรับรองไว้ทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบที่นายเจริญในฐานะที่ เป็นนายจ้างมีต่อนายเนื่องในฐานะลูกจ้าง จึงต้องถือว่านายเจริญมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้น ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ที่ว่านายเจริญไม่มีส่วนได้เสียจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

การที่บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ อ้างว่า นายเจริญมีเจตนาพนันกับบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ โดยใช้ชีวิต ของนายเนื่องเป็นเครื่องเดิมพันก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะสัญญาประกันภัยมิใช่การพนันขันต่อ เนื่องจาก สัญญาการพนันขันต่อนั้นผู้เข้าพนั้นไม่ต้องมีส่วนได้เสีย ซึ่งแตกต่างกับสัญญาประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยต้องมี ส่วนได้เสีย เมื่อนายเจริญมีส่วนได้เสียจึงมิใช่การเดิมพันชีวิตของนายเนื่องแต่อย่างใด

และข้ออ้างของบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ที่ว่าสัญญาประกันภัยเป็นโมฆะเพราะมีวัตถุประสงค์ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น ข้ออ้างดังกล่าวก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเมื่อนายเจริญผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ ย่อมทําให้สัญญาประกันภัยมีผลผูกพันคู่สัญญา ตามมาตรา 863 ไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ จึงต้องจ่ายเงินประกันภัยจํานวน 3 แสนบาท ให้แก่นายเจริญ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 64/2516)

สรุป

ข้ออ้างของบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ต้องจ่ายเงิน 3 แสนบาท ให้แก่นายเจริญผู้เอาประกันภัย

 

ข้อ 2 นายวีรภาพทําสัญญาเอาประกันวินาศภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยประกันภัยประเภทที่ 1 คือคุ้มครองทุกอย่าง รวมทั้งความเสียหายที่เกิดกับตัวรถที่เอาประกันด้วย วงเงินเอาประกัน 5 แสนบาท ในระหว่างอายุสัญญา นายเอกภาพขับรถโดยประมาทชนท้ายรถ ของนายวีรภาพเสียหาย บริษัทประกันภัยจึงนํารถยนต์ของนายวีรภาพไปให้นายโชคดีซ่อม คิดเป็น เงิน 5 หมื่นบาท แต่บริษัทประกันภัยยังมิได้จ่ายค่าซ่อมรถให้แก่นายโชคดีเจ้าของอู่เมือซ่อมรถ ของนายวีรภาพเสร็จ นายวีรภาพได้รับมอบรถไปแล้ว บริษัทประกันภัยเรียกร้องให้นายเอกภาพ จ่ายค่าซ่อมรถ แต่นายเอกภาพปฏิเสธ ดังนี้ บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าซ่อมรถ 5 หมื่นบาทจากนายเอกภาพได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 438 วรรคสอง “อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่ การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหาย ต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึ่งบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย”

มาตรา 880 วรรคแรก “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอา ประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก ถ้าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอก เมื่อผู้รับ ประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว กฎหมายได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย ไปเรียกร้องเอาจากบุคคลภายนอกนั้นได้ตามมาตรา 880 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ นายวีรภาพทําสัญญาเอาประกันวินาศภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัย และในระหว่างอายุสัญญานายเอกภาพได้ขับรถโดยประมาทชนท้ายรถของนายวีรภาพเสียหาย กรณีนี้ถือว่า ความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของนายเอกภาพซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว และการที่บริษัทประกันภัย ได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปให้นายโชคดีซ่อมจนใช้การได้ และส่งมอบรถยนต์ให้นายวีรภาพแล้วนั้น ถือว่าเป็นการ คืนทรัพย์ตามมาตรา 438 วรรคสอง ซึ่งถือได้ว่าผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยแล้ว (เทียบฎีกาที่ 1006/2503)

ดังนั้น บริษัทประกันภัยจึงสามารถเข้ารับช่วงสิทธิของนายวีรภาพผู้เอาประกันภัย เรียกค่าซ่อมรถยนต์ 5 หมื่นบาทจากนายเอกภาพได้ตามมาตรา 880 วรรคแรก

ส่วนการที่บริษัทประกันภัยติดค้างค่าซ่อมรถ ซึ่งยังมิได้ชําระให้แก่นายโชคดีเจ้าของอู่นั้น เป็นหนี้ตามสัญญาจ้างทําของระหว่างบริษัทประกันภัยกับนายโชคดีซึ่งเป็นหนี้ต่างหากจากกัน ไม่เกี่ยวกับการที่ บริษัทประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายวีรภาพ

สรุป

บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน 5 หมื่นบาท จากนายเอกภาพได้เพราะเป็นกรณีที่บริษัทประกันภัยเข้ารับช่วงสิทธิตามมาตรา 880

 

ข้อ 3 ประพันธ์ทําสัญญาประกันชีวิตเพื่อความมรณะกับบริษัท B&B จํากัด ระยะเวลาเอาประกัน 10 ปี จํานวนเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท กําหนดให้สมรคู่สมรสเป็นผู้รับประโยชน์ สมรทําหนังสือถึง บริษัทผู้รับประกันภัยว่าตนประสงค์จะถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต ทําประกันชีวิตได้ 3 ปี ประพันธ์ทําหนังสือแจ้งบริษัทฯ ว่าขอโอนประโยชน์ตามสัญญาประกันให้ดวงใจคนรักใหม่ บริษัทฯ รับทราบการเปลี่ยนแปลงแล้ว ต่อมาประพันธ์ทะเลาะกับสมรอย่างรุนแรงเนื่องจากสมร ไม่ยอมหย่าตามความต้องการของประพันธ์ ประพันธ์จึงนําปืนมาขู่จะฆ่าตัวตายหากสมรไม่ยอมหย่าให้ ดวงใจเข้าไปแย่งปืนเพื่อไม่ให้ประพันธ์ฆ่าตัวตาย ขณะยื้อแย่งปืนกันอยู่ปืนเกิดลั่นถูกประพันธ์ทําให้ประพันธ์เสียชีวิต

ดังนี้ สมรและดวงใจจะมีสิทธิตามสัญญาประกันชีวิตหรือไม่ อย่างไร ให้อธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึ่งได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับ จํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 891 “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัยย่อม มีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้รับ ประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่ประพันธ์ทําสัญญาประกันชีวิตเพื่อความมรณะกับบริษัท B&B จํากัด ระยะเวลาเอาประกัน 10 ปี จํานวนเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท กําหนดให้สมรคู่สมรสเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ถือว่า ประพันธ์เป็นผู้เอาประกันภัย ส่วนสมรเป็นผู้รับประโยชน์ตามมาตรา 862

ตามข้อเท็จจริง แม้สมรจะได้ทําหนังสือถึงบริษัทผู้รับประกันภัยว่าตนประสงค์จะถือประโยชน์ ตามสัญญาประกันชีวิตแล้วก็ตาม แต่เมื่อประพันธ์ยังไม่ได้ส่งมอบกรมธรรม์ให้แก่สมร ประพันธ์ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ตามมาตรา 891 ดังนั้น เมื่อทําสัญญา ประกันชีวิตได้ 3 ปี ประพันธ์ได้ทําหนังสือแจ้งบริษัทฯ ว่าขอโอนประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยนั้นให้ดวงใจคนรักใหม่ และบริษัทฯ รับทราบการเปลี่ยนแปลงแล้ว ย่อมถือว่าประพันธ์ได้โอนสิทธิตามสัญญาประกันให้กับดวงใจแล้ว และถือว่าดวงใจเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยรายนี้แล้ว

เมื่อต่อมา ประพันธ์ทะเลาะกับสมรอย่างรุนแรง เนื่องจากสมรไม่ยอมหย่าตามความต้องการ ของประพันธ์ ประพันธ์จึงนําปืนมาขู่ว่าจะฆ่าตัวตายหากสมรไม่ยอมหย่า และดวงใจได้เข้าไปแย่งปืนเพื่อไม่ให้ ประพันธ์ฆ่าตัวตายทําให้ปืนเกิดลั่นถูกประพันธ์ทําให้ประพันธ์เสียชีวิตนั้น การเสียชีวิตของประพันธ์ไม่ถือว่าเป็น การกระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทําสัญญา หรือถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา ตามมาตรา 895 แต่อย่างใด ดังนั้นบริษัทผู้รับประกันภัยจึงต้องใช้เงินให้แก่ดวงใจซึ่งเป็นผู้มีสิทธิรับประโยชน์ ตามสัญญาประกันชีวิต

สรุป

ดวงใจจะมีสิทธิตามสัญญาประกันภัยชีวิต เพราะดวงใจเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยรายนี้

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายอังคารจดทะเบียนสมรสกับนางศุกร์ นางศุกร์เอาประกันชีวิตนายอังคารไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งแบบอาศัยความมรณะ จํานวนเงินเอาประกัน 1 แสนบาท มีกําหนดระยะเวลา 30 ปี อีก 10 ปีต่อมา นายอังคารจดทะเบียนหย่าขาดจากนางศุกร์ หลังจากนั้นอีก 1 เดือน นายอังคารถึงแก่ ความตาย เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ นางศุกร์ยื่นขอรับเงินประกัน 1 แสนบาท แต่บริษัทประกัน ปฏิเสธการจ่ายอ้างว่า ก. สัญญาไม่ผูกพัน เพราะส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นหมดสิ้นไป โดยเหตุที่นางศุกร์และนายอังคารไม่ได้เป็นคู่สมรสกันแล้วเนื่องจากหย่าขาดจากกัน ข. การที่นางศุกร์ได้หย่าขาดจากนายอังคารแล้ว นางศุกร์จึงเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้ เพราะนางศุกร์ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายอังคารอีกต่อไป

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยทั้งสองประการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้นถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

วินิจฉัย

ก. สัญญาประกันภัยมีผลผูกพันคู่สัญญาหรือไม่ ต้องใช้มาตรา 863 พิวารณาในเรื่องส่วนได้เสีย ของผู้เอาประกันภัย กรณีตามอุทาหรณ์เป็นการประกันชีวิตผู้อื่น เมื่อพิจารณาตัวผู้เอาประกันภัย คือ นางศุกร์ จะเห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์ในฐานะคู่สมรส ทั้งนี้เพราะนางศุกร์มีสิทธิและหน้าที่ความรับผิด ต่อชีวิตของนายอังคาร สามีที่ได้มาเอาประกันไว้กับบริษัทผู้รับประกัน และประการสําคัญส่วนได้เสียนั้น ผู้เอาประกันต้องมีในขณะทํา สัญญาด้วย เมื่อขณะทําสัญญา นางศุกร์มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายอังคาร เนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้หย่าสัญญา จึงมีผลผูกพัน แม้ต่อมาส่วนได้เสียจะหมดสิ้นไปเพราะหย่าขาดจากกัน ก็ไม่ทําให้สัญญาที่มีผลผูกพันตั้งแต่ต้น กลายเป็นสัญญาที่ไม่ผูกพันในภายหลัง ดังนั้นข้ออ้างของบริษัทประกันที่ว่าสัญญาไม่ผูกพันจึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย

ข. ประเด็นข้อกฎหมายคือ นางศุกร์เป็นผู้รับประโยชน์ได้หรือไม่ตามมาตรา 863 จะเห็น ได้ว่า ผู้ซึ่งต้องมีส่วนได้เสียก็แต่เฉพาะผู้เอาประกันภัยเท่านั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าผู้รับประโยชน์ ต้องมีส่วนได้เสีย แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นผู้รับประโยชน์จะเป็นใครก็ได้ถึงแม้ไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาประกันภัยก็เป็นผู้รับประโยชน์ได้ ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าการที่นางศุกร์ได้หย่าขาดจากนายอังคารแล้ว นางศุกร์จึงเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้ เพราะนางศุกร์ ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายอังคารอีกต่อไป จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยทั้งสองประการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2 นายแดงได้ทําสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันภัยจํานวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท สัญญากําหนด 1 ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย นางส้มจีนมารดาของนายแดงซึ่งป่วยเป็นโรคข้ออักเสบได้มาพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย เนื่องจากที่บ้านยุงชุมมาก นางส้มจีนจึงได้จุดยากันยุงไล่และจุดทิ้งไว้ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงทําให้ไฟไหม้บ้านหมดทั้งหลัง จงวินิจฉัยว่า บริษัทผู้รับประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านให้กับนายแดงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) เพื่อจํานวนวินาศภัยอันแท้จริง วรรคท้าย ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้”

มาตรา 879 วรรคแรก “ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย หรือเหตุอื่น ซึ่ง ได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายแดงเอาประกันอัคคีภัยบ้านของตนถือว่าเป็นผู้มีเหตุแห่งส่วนได้เสีย ตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพัน และเมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา (อัคคีภัย) บริษัทผู้รับประกันภัย ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาให้กับนายแดงตามมาตรา 877 (1) และวรรคท้าย ในฐานะที่เป็นทั้งผู้เอา ประกันภัยและเป็นผู้รับประโยชน์ เพราะวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากการกระทําโดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรงของนายแดง จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันภัยไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 879 วรรคแรก

สรุป

ผู้รับประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายแดง

 

ข้อ 3 นายทรพาเอาประกันชีวิต 1 ล้านบาทในเหตุมรณะกับบริษัทประกันภัยในวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 สัญญามีกําหนด 10 ปี โดยระบุให้นายทรพีบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์ วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 นายทรพีอยากได้เงินประกันชีวิต จึงวางแผนทําร้ายร่างกายนายทรพาโดยใช้ปืนยิงนายทรพาที่ขา ได้รับอันตรายสาหัส นายทรพาน้อยใจที่นายทรพีบุตรชายทําร้ายตน จึงกินยาพิษจนถึงแก่ความตาย นายทรพีมาขอรับเงินประกันชีวิต 1 ล้านบาท ดังนี้ บริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินประกันชีวิตให้แก่นายทรพีหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายทรพีผู้รับประโยชน์วางแผนทําร้ายนายทรพาโดยใช้ปืนยิงถูกนายทรพา ที่ขาได้รับอันตรายสาหัส ถือว่าผู้รับประโยชน์มีเจตนาทําร้ายร่างกายผู้เอาประกันให้ได้รับอันตรายสาหัส แต่มิได้มีเจตนาฆ่า จึงไม่ใช่เป็นกรณีถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895 (2) และเมื่อนายทรพาน้อยใจจึง กินยาพิษจนถึงแก่ความตาย เป็นการฆ่าตัวตายด้วยใจสมัคร แต่เลยเวลา 1 ปีนับแต่วันทําสัญญาประกันชีวิตแล้ว จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่บริษัทประกันภัยจะไม่ต้องรับผิดชอบตามมาตรา 895 (1) ดังนั้น บริษัทประกันภัยจึงต้อง จ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิต 1 ล้านบาท ให้แก่นายทรพีผู้รับประโยชน์

สรุป

บริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิต 1 ล้านบาท ให้แก่นายทรพีผู้รับ ประโยชน์

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายกรุงทําสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับ บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด เป็นเงิน 1 ล้านบาท กําหนดสัญญา 10 ปี โดยทําสัญญาเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2544 นายกรุงได้ปกปิดเรื่องที่ตนเองเป็นวัณโรคอยู่ บริษัทไม่ทราบความจริงในเรื่องนี้ จึงตกลงรับประกัน ภายในอายุสัญญานายกรุงไปเที่ยวแล้ว รับประทานอาหารร้านริมถนนจนเกิดท้องร่วงถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 เมื่อ นายกรุงตายแล้วบริษัทจึงทราบว่านายกรุงเป็นวัณโรคมาก่อนทําสัญญาประกันชีวิต บริษัทประกันชีวิต จึงบอกล้างสัญญาประกันชีวิต เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2549 ดังนี้ บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรมในสัญญาประกันชีวิตรายนี้กับผู้รับประโยชน์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้าง ได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้าปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกรุงได้ทําสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด โดยนายกรุงได้ปกปิดเรื่องที่ตนเองเป็นวัณโรคอยู่นั้น ข้อที่นายกรุงได้ปกปิดนี้เห็นได้แน่ชัดว่าเป็นข้อสําคัญ ซึ่งถ้านายกรุงไม่ปกปิดและแถลงความจริงให้บริษัทผู้รับประกันทราบแล้ว บริษัทผู้รับประกันจะต้องบอกปัดไม่ยอม ทําสัญญาประกันชีวิตอย่างแน่นอน เพราะโรคดังกล่าวเป็นโรคร้ายแรงอันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้น สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆยะ ตั้งแต่ขณะทําสัญญาตามมาตรา 865 วรรคแรก แม้จะปรากฏภายหลัง ว่านายกรุงจะได้ถึงแก่ความตายเพราะเกิดท้องร่วงก็ตาม ก็ไม่ทําให้สัญญาที่ตกเป็นโมฆียะตั้งแต่แรกนั้นเปลี่ยนแปลง มาสมบูรณ์แต่อย่างใดบริษัทผู้รับประกัน จึงมีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้ได้

อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติมาตรา 865 วรรคสอง ได้กําหนดว่า ผู้รับประกันชีวิตจะต้องบอกล้าง สัญญาประกันชีวิตที่เป็นโมฆียะนั้นภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ หรือภายใน กําหนด 5 ปีนับแต่วันทําสัญญา มิฉะนั้นสิทธิบอกล้างย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป กรณีนี้แม้บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด จะได้บอกล้างสัญญาที่เป็นโมฆียกรรมนี้ภายในกําหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้ แต่ก็เป็นเวลา เกินกว่า 5 ปีนับแต่วันทําสัญญาแล้ว ดังนั้น บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด จึงไม่มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรมสัญญา ประกันชีวิตฉบับนี้

สรุป

บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด ไม่มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรมสัญญาประกันชีวิตฉบับนี้

 

ข้อ 2 นายก้านเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ทําสัญญาประกันภัยโดยคุ้มครองรถถูกลักขโมยด้วยกับบริษัท มั่นคงประกันวินาศภัยไว้ 1 ปี จํานวนเงินเอาประกันภัย 5 แสนบาท หลังจากทําสัญญา 7 เดือน นายก้าน ขายรถคันดังกล่าวโดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายเข้ม ต่อมาอีก 1 เดือน ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย รถของนายเข้มที่ซื้อจากนายก้านถูกโจรกรรมไป นายเข้มจึงแจ้งบริษัท มั่นคงฯ โดยไม่ชักช้าเพื่อเรียก ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ บริษัท มั่นคงฯ มีหน้าที่จ่ายค่าสินไหมทดแทนจํานวน 5 แสนบาทให้แก่นายเข้มหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้นถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 875 “ถ้าวัตถุอันได้เอาประกันภัยไว้นั้น เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมก็ดี หรือโดยบทบัญญัติกฎหมายก็ดี ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ยอมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและ บอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอนเช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายก้านซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ทําสัญญาประกันภัยโดยคุ้มครองรถถูกลักขโมย ด้วยกับบริษัท มั่นคงประกันวินาศภัย นั้น ถือได้ว่านายก้านผู้เอาประกันมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันไว้นั้นตามมาตรา 863 ใน ปานกลาง และตามข้อเท็จจริง การที่นายก้านได้ขายรถยนต์ที่ทําประกันภัยไปให้นายเข้ม ซึ่งถือว่าเป็น การโอนวัตถุที่เอาประกันภัยโดยทางนิติกรรมสัญญาตามมาตรา 875 วรรคสอง

ดังนั้นสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้น จะโอนไปด้วยก็ต่อเมื่อได้มีการบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยด้วย เมื่อการโอนวัตถุที่เอาประกันภัยดังกล่าว ไม่ปรากฏว่ามีการบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัย สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยจึงไม่โอนไปยังนายเข้ม ดังนั้นเมื่อรถยนต์ของนายเข้มที่ซื้อจากนายก้านถูกโจรกรรมไป บริษัท มั่นคงประกันวินาศภัย จึงไม่มีหน้าที่ที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนจํานวน 5 แสนบาทให้แก่นายเข้ม

สรุป

บริษัทมั่นคงประกันวินาศภัยไม่มีหน้าที่จ่ายค่าสินไหมทดแทนจํานวน 5 แสนบาทให้แก่นายเข้ม

 

ข้อ 3 นายหารเอาประกันชีวิตตนเองอาศัยเหตุแห่งความมรณะ สัญญามีกําหนด 10 ปี จํานวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท โดยระบุให้นางสาวมีนาเป็นผู้รับประโยชน์ และได้มอบกรมธรรม์ประกันภัย ให้นางสาวมีนาเก็บไว้ ต่อมานายหารโกรธนางสาวมีนาที่ไม่ทํางานเอาแต่เที่ยวเตร่ จึงมีจดหมายแจ้ง บริษัทประกันภัยว่าขอเปลี่ยนให้นายเมษาบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์แทนนางสาวมีนา หลังจาก ทําประกันชีวิตได้ 4 ปี นายหารขาดส่งเบี้ยประกันภัย และหลังจากนั้นอีก 3 ปี นายหารถึงแก่ความตาย นายเมษาจึงไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตจากบริษัท แต่นางสาวมีนาคัดค้านโดยอ้างว่าตน เป็นผู้รับประโยชน์โดยชอบแต่ผู้เดียว และบริษัทก็ปฏิเสธการใช้เงินใด ๆ ทั้งสิ้น โดยอ้างว่านายหาร ผู้ตายขาดส่งเบี้ยประกันภัย 3 ปี มีผลเป็นการเลิกสัญญาประกันภัยแล้ว

อยากทราบว่า ข้ออ้าง ของบริษัทประกันภัยและข้ออ้างของนางสาวมีนาฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 891 วรรคแรก “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

มาตรา 894 “ผู้เอาประกันภัยขอบที่จะบอกเลิกสัญญาประกันภัยเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ด้วย การงดไม่ส่งเบี้ยประกันภัยต่อไป ถ้าและได้ส่งเบี้ยประกันภัยมาแล้วอย่างน้อยสามปีไซร้ ท่านว่าผู้เอาประกันภัย ชอบที่จะได้รับเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัย หรือรับกรมธรรม์ใช้เงินสําเร็จจากผู้รับประกันภัย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 891 วรรคแรกนั้น แม้ผู้เอาประกันชีวิตจะได้กําหนดตัวผู้รับประโยชน์ ตามสัญญาประกันชีวิตไว้แล้ว ผู้เอาประกันชีวิตก็ยังมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์ตามสัญญานั้นให้บุคคลอื่นได้ (โอนสิทธิ เรียกร้องตามสัญญาประกันชีวิตในการที่จะได้รับชดใช้เงินที่เอาประกันภัย) เว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ประการต่อไปนี้ ผู้เอาประกันชีวิตไม่มีสิทธิโอนประโยชน์ให้แก่ผู้ใดอีก คือ

1 ได้ส่งมอบกรมธรรม์นั้นให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และ

2 ผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์

แม้นายหารจะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้กับนางสาวมีนาผู้รับประโยชน์ แล้วก็ตาม แต่เมื่อนางสาวมีนาผู้รับประโยชน์ยังมิได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังบริษัทผู้รับประกันภัยว่าตนจะถือเอา ประโยชน์ตามสัญญานั้น สิทธิของนางสาวมีนาจึงยังไม่สมบูรณ์ นายหารผู้เอาประกันภัยจึงสามารถโอนประโยชน์แห่ง สัญญาให้กับนายเมษาได้ ดังนั้น การที่นางสาวมีนาอ้างว่าตนเป็นผู้รับประโยชน์โดยชอบแต่ผู้เดียวนั้น ข้ออ้างของ นางสาวมีนาจึงฟังไม่ขึ้น

และการที่นายหารผู้เอาประกันภัยขาดส่งเบี้ยประกันภัยนั้น ถือได้ว่ามีเจตนาบอกเลิกสัญญา ประกันภัยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่านายหารได้ส่งเบี้ยประกันภัยมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี บริษัทผู้รับ ประกันภัยต้องคืนค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัย หรือมอบกรมธรรม์ใช้เงินสําเร็จให้แก่ผู้เอาประกันภัย แต่เนื่องจาก นายหารผู้เอาประกันภัยถึงแก่ความตายไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้รับเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัย

ดังนั้น บริษัท จึงต้องจ่ายเงินตามกรมธรรม์ใช้เงินสําเร็จรูปให้กับนายเมษาผู้รับประโยชน์

สรุป

ข้ออ้างของบริษัทฟังไม่ขึ้น บริษัทต้องจ่ายเงินตามกรมธรรม์ใช้เงินสําเร็จให้กับนายเมษา ผู้รับประโยชน์ และข้ออ้างของนางสาวมีนาก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกันตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายบุญมีเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก ปรากฏว่านายบุญมากได้มาเช่ารถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวเพื่อใช้ในกิจการ โดยทําสัญญาเช่ากันปีต่อปี หลังจากนั้นนายบุญมีได้นํารถยนต์บรรทุกดังกล่าวไป ทําประกันวินาศภัยกับบริษัทผู้รับประกันภัย แต่ไม่ได้บอกกับบริษัทผู้รับประกันภัยทราบว่ารถคัน ดังกล่าวนายบุญมากได้เช่าอยู่ในระหว่างการเช่าและภายในอายุสัญญาประกันภัย นายบุญมีได้ ผิดสัญญากับนายบุญมาก ขายรถยนต์บรรทุกตามสัญญาเช่านั้นให้กับนายบุญหลาย พร้อมกับโอน ทะเบียนรถยนต์ หลังจากนั้นนายบุญมีกับนายบุญหลายได้ร่วมกันแจ้งการโอนขายรถยนต์บรรทุกให้ บริษัทผู้รับประกันภัยทราบ ต่อมานายบุญมากได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวแล้วไปประสบอุบัติเหตุ รถยนต์บรรทุกได้รับความเสียหาย

จงวินิจฉัยว่า นายบุญมีหรือนายบุญหลาย จะมีสิทธิเรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 865 วรรคแรก “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกัน ชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 865 วรรคแรก ได้กําหนดไว้ว่า ในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัย มีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงที่มีลักษณะสําคัญซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรืออาจบอกปัดไม่ยอมทําสัญญาให้ผู้รับประกันภัยทราบ มิฉะนั้นแล้วสัญญานั้นจะตกเป็นโมฆียะ

กรณีตามอุทาหรณ์ นายบุญมีหรือนายบุญหลาย จะมีสิทธิเรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้ ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่นั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ สัญญาประกันภัยรายนี้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือตกเป็นโมฆียะ เพราะถ้าสัญญาประกันภัยรายนี้ตกเป็นโมฆียะแล้ว นายบุญมีหรือนายบุญหลายย่อมไม่มีสิทธิ เรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

จากข้อเท็จจริง การที่นายบุญมีซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกได้นํารถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว ไปทําสัญญาประกันวินาศภัย โดยไม่ได้บอกกับบริษัทผู้รับประกันภัยว่ารถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวนั้นนายบุญมากเช่าอยู่ กรณีนี้จึงถือว่าในเวลาทําสัญญาประกันภัย นายบุญมีไม่ได้เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะจูงใจผู้รับ ประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา ดังนั้นสัญญาประกันภัยรายนี้จึง ตกเป็นโมฆียะเมื่อนายบุญมากได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวแล้วไปประสบอุบัติเหตุ ทําให้รถยนต์บรรทุก ได้รับความเสียหาย นายบุญมีหรือนายบุญหลายจึงไม่มีสิทธิเรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

สรุป

นายบุญมีหรือนายบุญหลายไม่มีสิทธิเรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ เพราะสัญญาประกันภัยรายนี้ตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 865 วรรคแรก

 

ข้อ 2 นายคงซื้อรถเบนซ์ด้วยเงินสดราคา 3 ล้านบาท นายคงทําสัญญาประกันภัยรถคันดังกล่าวไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง เป็นการประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองทุกอย่างรวมถึงตัวรถ ของผู้เอาประกันภัยด้วย จํานวนเงินเอาประกันภัย 2 ล้าน 2 แสนบาท ในระหว่างที่สัญญามีผลบังคับ นายมึนเป็นผู้ทําให้เกิดอุบัติเหตุโดยขับรถกระบะด้วยความประมาท แซงรถบรรทุกคันหน้าเข้าไปใน ช่องเดินรถที่นายคงแล่นสวนทางมาในระยะกระชั้นชิด โดยนายมึนไม่รอให้รถเบนซ์ของนายคงขับแล่นผ่านไปก่อน เป็นเหตุให้นายคงจําต้องขับรถเบนซ์หลบไปด้านซ้ายของถนนเพื่อไม่ให้ถูกรถของ นายมึนชนประสานงากัน จึงทําให้รถเบนซ์ของนายคงพลิกคว่ำเสียหาย นายคงจึงแจ้งผู้รับประกันภัย บริษัทประกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายคงตามทุนประกันคือ 2 ล้าน 2 แสนบาท แต่ปรากฏว่า นายคงนํารถนั้นเข้าอู่ซ่อม และจ่ายค่าซ่อมให้แก่นายเนียนเจ้าของอู่ไป 1 ล้าน 2 แสนบาท อยากทราบว่า บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจํานวน 2 ล้าน 2 แสนบาท จากนายมึนได้หรือไม่เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 880 วรรคแรก “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย และของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 880 วรรคแรก ได้กําหนดไว้ว่า ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการ กระทําของบุคคลภายนอก และผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิ เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น แต่ผู้รับประกันภัย สามารถเข้ารับช่วงสิทธิไปเรียกเอาแก่บุคคลภายนอกเพียงเท่าที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ได้รับ ความเสียหายจริงเท่านั้น จะเรียกเอาจากบุคคลภายนอกเกินความเสียหายจริงที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ได้รับไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่รถของนายคงผู้เอาประกันภัยได้รับความเสียหายโดยการพลิกคว่ำนั้น เป็นผลโดยตรงมาจากความประมาทของนายมึนซึ่งขับรถแซงเข้ามาในช่องเดินรถสวน จึงต้องถือว่าวินาศภัย ดังกล่าวได้เกิดขึ้นจากการกระทําของบุคคลภายนอก และการที่บริษัทประกันวินาศภัยได้ชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่นายคง 2 ล้าน 2 แสนบาท ถือว่าผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว บริษัทประกันภัยจึงสามารถเข้ารับช่วงสิทธิของนายคงที่มีต่อนายมึนบุคคลภายนอกได้ตามมาตรา 880 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การรับช่วงสิทธิของบริษัทประกันในการเรียกร้องเอาจากนายมึนนั้น จะต้องไม่เกินความเสียหายจริงที่นายคงได้รับจากการกระทําของนายมึน ดังนั้นเมื่อความเสียหายจริงที่นายคงได้รับจาก การกระทําของนายมึนคือ 1 ล้าน 2 แสนบาท บริษัทจึงสามารถเข้ารับช่วงสิทธิของนายคงในการเรียกร้องเอาแก่ นายมึนได้เพียง 1 ล้าน 2 แสนบาทเท่านั้น ส่วนที่เกินความเสียหายจริงอีก 1 ล้านบาท นายมึนไม่ต้องรับผิดต่อบริษัท ประกันภัยแต่อย่างใด

สรุป

บริษัทประกันภัยมีสิทธิเข้ารับช่วงสิทธิของนายคง เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายมึน ได้เพียง 1 ล้าน 2 แสนบาทเท่านั้น

 

ข้อ 3 นายเอกชัยสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวาสนา ทําสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัท แสนดีประกันชีวิต จํานวนเงินที่เอาประกันภัย 2,000,000 บาท โดยระบุให้นางวาสนาเป็น ผู้รับประโยชน์ นางวาสนาทะเลาะกับนายเอกชัยอย่างรุนแรงเนื่องจากว่านายเอกชัยระแวงว่านางวาสนา จะกลับไปอยู่กับสามีเก่าและคิดจะฆ่าตนเองเพื่อเอาเงินประกันภัย นางวาสนาน้อยใจนายเอกชัยจึงหนี ไปอยู่กับน้องสาว ต่อมาบริษัทประกันภัยส่งกรมธรรม์มาให้นายเอกชัยจึงทําหนังสือแจ้งไปที่บริษัท ประกันภัยว่าตนเองต้องการเปลี่ยนผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกราชลูกชายซึ่งเป็นลูกกับภริยาคนก่อน หลังจากนั้นอีก 2 ปี นายเอกชัยเดินทางไปดูงานที่ต่างจังหวัดได้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต นางวาสนาได้ทราบ ข่าวทางหนังสือพิมพ์ จึงได้ไปเรียกร้องขอเงินประกันชีวิต แต่บริษัทประกันภัยแจ้งว่าได้จ่ายเงินให้แก่นายเอกราชไปแล้ว ดังนี้ บริษัท แสนดีประกันภัยจ่ายเงินให้นายเอกราชนั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 891 วรรคแรก “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 891 วรรคแรกนั้น แม้ผู้เอาประกันชีวิตจะได้กําหนดตัวผู้รับประโยชน์ ตามสัญญาประกันชีวิตไว้แล้ว ผู้เอาประกันชีวิตก็ยังมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์ตามสัญญานั้นให้บุคคลอื่นได้ (โอนสิทธิ เรียกร้องตามสัญญาประกันชีวิตในการที่จะได้รับชดใช้เงินที่เอาประกันภัย) เว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ประการต่อไปนี้ ผู้เอาประกันชีวิตไม่มีสิทธิโอนประโยชน์ให้แก่ผู้ใดอีก คือ

1 ได้ส่งมอบกรมธรรม์นั้นให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และ

2 ผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกชัยทําหนังสือแจ้งไปที่บริษัทประกันภัยว่าต้องการเปลี่ยนตัว ผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกราชลูกชายนั้น ถือเป็นการโอนประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง คือจากนางวาสนาเป็นนายเอกราช เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางวาสนาผู้รับประโยชน์ยังไม่ได้รับมอบกรมธรรม์ ประกันภัย เนื่องจากหนีไปอยู่กับน้องสาว และไม่ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังบริษัทประกันภัยว่าตนเองประสงค์ จะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยนั้น ดังนั้น การโอนประโยชน์ในสัญญาประกันภัยที่นายเอกชัยได้กระทํานั้น จึงมีผลสมบูรณ์ นายเอกราชจึงเป็นผู้รับโอนประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยตามมาตรา 891 วรรคแรก

ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านายเอกชัยประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย การที่บริษัท แสนดีประกันภัยจ่ายเงินประกันภัยตามที่ได้ กําหนดไว้ในสัญญาให้นายเอกราชนั้นจึงถูกต้องแล้ว

สรุป

บริษัท แสนดีประกันภัยจ่ายเงินให้นายเอกราชนั้นถูกต้องแล้ว

POL3300 การบริหารการคลัง 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3300 การบริหารการคลัง

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 ข้อใดไม่จัดเป็นรายรับของรัฐบาลไทย

(1) ภาษีเงินได้

(2) ค่าสัมปทาน

(3) ค่าบริการ

(4) การขายหุ้น

(5) ดอกเบี้ยเงินกู้

ตอบ 5 หน้า 15 – 20, (คําบรรยาย) แหล่งรายรับของรัฐบาลไทย มาจาก 2 ส่วน คือ

1 รายรับที่เป็นรายได้ ได้แก่ ภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ (เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสัมปทาน ค่าบริการ) รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าแสตมป์ฤชากร ค่าปรับ เป็นต้น

2 รายรับที่ไม่เป็นรายได้ ได้แก่ การกู้เงิน การใช้เงินคงคลัง และอื่น ๆ เช่น การขายหุ้น เป็นต้น

 

2 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของภาษีอากร

(1) จัดเก็บเป็นการทั่วไป

(2) เกิดผลประโยชน์โดยตรงแก่ผู้จ่าย

(3) ใช้วิธีการบังคับจัดเก็บ

(4) ประชาชนเป็นผู้จ่าย

(5) เป็นการเคลื่อนย้ายทรัพยากรจากเอกชนไปสู่ภาครัฐ

ตอบ 2 หน้า 4, 22 ภาษีอากร มีลักษณะดังนี้

1 เป็นสิ่งที่รัฐบาลบังคับจัดเก็บจากประชาชนเป็นการทั่วไปและนํามาใช้เพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม โดยมิได้มีสิ่งตอบแทนหรือเกิดผลประโยชน์โดยตรงแก่ผู้เสียภาษีอากร

2 เป็นการเคลื่อนย้ายทรัพยากรจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐบาล

 

3 ภาษีในข้อใดไม่ได้จัดเก็บโดยใช้ฐานความมั่งคั่ง

(1) ภาษีศุลกากร

(2) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

(3) ภาษีรถยนต์

(4) ภาษีมรดก

(5) ภาษีสรรพสามิต

ตอบ 1. 5 หน้า 5 – 6, 23 ฐานความมั่งคั่ง (Wealth Base) เป็นฐานภาษีที่พิจารณาจากรายได้หรือประโยชน์ที่เกิดจากทรัพย์สินที่บุคคลได้ครอบครองอยู่ ตัวอย่างภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานความมั่งคั่ง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีโรงงาน ภาษีรถยนต์ ภาษีมรดก ภาษีดอกเบี้ย เป็นต้น (ส่วนภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิตจัดเก็บโดยใช้ฐานการบริโภค)

4 ภาษีที่ใช้ฐานรายได้ (Income Base) พิจารณาจากสิ่งใดเป็นมูลเหตุสําคัญให้บุคคลต้องเสียภาษีอากร

(1) ผลประโยชน์ที่เกิดจากทรัพย์สินที่บุคคลครอบครอง

(2) การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า

(3) เงินได้ของบุคคลหรือหน่วยภาษีใดๆ

(4) การผ่านแดนของสินค้า

(5) การบริโภคจับจ่ายใช้สอย

ตอบ 3 หน้า 5, 22 ฐานรายได้ (Income Base) เป็นฐานภาษีที่วัดจากความสามารถในการเสียภาษี(Ability to Pay) ของประชาชนแต่ละคน โดยพิจารณาจากเงินได้ของบุคคลหรือหน่วยภาษีต่าง ๆภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานรายได้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล

5 นายนักรบชําระค่าภาษีรถยนต์ในระบบเลื่อนล้อต่อภาษีในบริเวณพื้นที่ของกรมการขนส่งทางบกการเสียภาษีของนายนักรบเป็นการเสียภาษีภายใต้ฐานภาษีแบบใด

(1) ฐานรายได้

(2) ฐานการบริโภค

(3) ฐานความมั่นคง

(4) ฐานความมั่งคั่ง

(5) ฐานความยั่งยืน

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 3 ประกอบ

6 ภาษีโรงงานเป็นภาษีที่เสียในฐานภาษีประเภทเดียวกันกับภาษีชนิดใด

(1) ภาษีมรดก

(2) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(3) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(4) ภาษีซื้อ

(5) ภาษีขาย

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 3 ประกอบ

7 ภาษีเป็นกลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะสําหรับใช้จัดบริการหรือผลิตสินค้าประเภทใด

(1) สินค้าสโมสร

(2) สินค้าผสม

(3) สินค้าถึงสาธารณะ

(4) สินค้าสาธารณะขั้นพื้นฐาน

(5) สินค้าเอกชน

ตอบ 4 หน้า 21 ภาษีเป็นกลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะสําหรับใช้จัดบริการหรือผลิตสินค้าสาธารณะขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่มีความจําเป็นต่อประชาชนทุกคนภายในประเทศ เช่น การรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในสังคม การศึกษาขั้นพื้นฐาน การควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

8 ข้อใดไม่ใช่เกณฑ์การแบ่งประเภทของสินค้าของพอล แอนโทนี แซมมวลสัน

(1) ใช้ลักษณะของสินค้าเป็นเกณฑ์

(2) ใช้เกณฑ์ทางกายภาพ

(3) พิจารณาการเป็นปรปักษ์ในการบริโภค

(4) พิจารณาจากการแยกการบริโภคออกจากกัน

(5) พิจารณาว่าสินค้าเมื่อถูกใช้โดยคนหนึ่งแล้ว คนอื่นไม่สามารถใช้ได้หรือไม่

ตอบ 2 หน้า 11 – 12 พอล แอนโทนี แซมมวลสัน (Paul A. Samuelson) ได้แบ่งประเภทของสินค้าโดยใช้ลักษณะของสินค้าเป็นเกณฑ์ ซึ่งเป็นการพิจารณาจากคุณสมบัติพื้นฐาน 2 ประการ คือ

1 พิจารณาการเป็นปรปักษ์ในการบริโภค เป็นการพิจารณาว่าสินค้าเมื่อถูกใช้โดยคนหนึ่งแล้วจะทําให้คนอื่นไม่สามารถใช้สินค้านั้นได้หรือไม่

2 พิจารณาการแบ่งแยกการบริโภคออกจากกัน เป็นการพิจารณาว่าสินค้านั้นสามารถใช้กลไกราคาหรือมาตรการบางอย่างเป็นเครื่องมือเพื่อกีดกันไม่ให้คนอื่นใช้สินค้านั้นได้หรือไม่

9 ไฟฟ้าบนถนนสาธารณะจัดเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับสินค้าชนิดใด

(1) การไฟฟ้านครหลวง

(2) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

(3) การประปานครหลวง

(4) ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี

(5) ทางพิเศษศรีรัช

ตอบ 4 หน้า 11 – 12, 14, (คําบรรยาย) สินค้าสาธารณะ (Public Goods) หรือเรียกว่าสินค้าสาธารณะแท้หรือสินค้าสาธารณะที่สมบูรณ์ (Pure Public Goods) มีคุณสมบัติดังนี้

1 ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค

2 ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้ หรือไม่สามารถ กีดกันผู้อื่นไม่ให้ใช้สินค้านั้นได้

3 ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า ตัวอย่างเช่น ไฟฟ้าบนถนนสาธารณะ ลำน้ำสาธารณะ การดําเนินนโยบายต่างประเทศ การป้องกันประเทศ การรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในสังคม การทําความสะอาดถนนสาธารณะการควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เป็นต้น

10 สินค้าที่ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค และแยกการบริโภคออกจากกันได้ จัดเป็นสินค้าประเภทใด

(1) สินค้าสาธารณะ

(2) สินค้าอุปโภคบริโภค

(3) สินค้าเอกชน

(4) สินค้าสโมสร

(5) สินค้าอุตสาหกรรม

ตอบ 4

11 “รัฐบาลได้จัดงานวันเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 10 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง” ท้องสนามหลวง

ณ วันงานดังกล่าว จัดเป็นสินค้าประเภทใด

(1) Congestible Public Goods

(2) Pure Public Goods (3) Club Goods

(4) Price-Excludable Public Goods

(5) Common Goods

ตอบ 5 หน้า 13 สินค้าทั่วไป (Common Goods) เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคแต่แบ่งแยกการบริโภคออกจากกันไม่ได้ หรือการเข้ามาของผู้บริโภครายใหม่อาจทําให้ความพึงพอใจของ ผู้บริโภครายเดิมลดน้อยลง แต่ไม่สามารถกันให้บุคคลอื่นไม่สามารถเข้ามาเป็นผู้บริโภคได้ เช่น การใช้ท้องสนามหลวงในวันที่มีงานพิธี การใช้ถนนสาธารณะ การใช้ห้องสมุดสาธารณะ เป็นต้น

12 กิจการในข้อใดไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

(1) บริษัทที่มีข้อผูกพันตามสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

(2) กิจการร่วมค้าระหว่างบริษัทกับบริษัท

(3) กิจการทางการค้าของรัฐบาลต่างประเทศ

(4) ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน

(5) บริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ

ตอบ 1 หน้า 36 กิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่

1 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ตามสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือทางเทคนิคระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ

2 บริษัทจํากัดที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน

3 บริษัทจํากัดและนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

4 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย

13 เหตุใดรัฐบาลจึงต้องกําหนดฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคลแตกต่างกันออกไปตามลักษณะรายได้

(1) เพื่อความเป็นธรรมแก่นิติบุคคล

(2) เพื่ออุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษี

(3) เพื่อเพิ่มรายได้จากการจัดเก็บภาษี

(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก

(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก

ตอบ 4 หน้า 34 โดยทั่วไปฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ กําไรสุทธิ แต่เพื่อความเป็นธรรมแก่นิติบุคคล และอุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษี จึงได้มีการบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของรายได้ เช่น จากกําไรสุทธิ จากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย จากเงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย จากการจําหน่ายเงินกําไรออกไปจากประเทศไทย เป็นต้น

14 นักศึกษาทํางานเป็นพนักงานประจําที่ 7-11 มีเงินเดือน 12,000 บาท นักศึกษาต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่

(1) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 20%

(2) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 15%

(3) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 10%

(4) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 5%

(5) ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษี

ตอบ 5 หน้า 33 – 34 กรณีของนักศึกษานั้นถือเป็นผู้มีเงินได้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร แต่ในระหว่างปีภาษีมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จึงได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560 กําหนดให้ผู้มีเงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษี)

15 นายซิลซิลเป็นทายาทของนายซิมซิม ผู้เป็นเจ้าของบริษัทช็อปช็อป จํากัด นายซิลซิลไม่ประกอบอาชีพใด ๆแต่มีรายได้จากเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทช็อปช็อปของผู้เป็นบิดา นายซิลซิลต้องเสียภาษีหรือไม่

(1) ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากไม่ได้ประกอบอาชีพ

(2) ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากเงินปันผลไม่ได้เกิดจากการจ้างแรงงาน

(3) ไม่ต้องเสียภาษีเพราะแหล่งที่มาของรายได้เป็นของบิดา ไม่ใช่ของนายซิลซิล

(4) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเนื่องจากเงินปันผลจัดเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร

(5) เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเนื่องจากเป็นรายได้จากบริษัท ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล

ตอบ 4 หน้า 32 กรณีของนายซิลซิลนั้นแม้จะไม่ได้ประกอบอาชีพใด ๆ เลยก็ตาม แต่ก็มีรายได้จากเงินปันผลของบริษัท ซึ่งเงินปันผลจัดเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 4 ตามประมวลรัษฎากร ดังนั้นนายซิลซิลต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

16 บุคคลในข้อใดมีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2 ตามประมวลรัษฎากร

(1) นายหมีเป็นสถาปนิกออกแบบบ้านให้โครงการบ้านจัดสรรรายใหญ่

(2) นางหมูเป็นนายหน้าขายประกันชีวิตของบริษัท BIB

(3) นายหมึกเป็นศัลยแพทย์ประจําโรงพยาบาลจังหวัดกระบี่

(4) นางสาวแมวเป็นเจ้าของสวนส้มวิฬาร์มีรายได้จากการขายส้มออร์แกนิค

(5) นายเม่นเป็นทนายความชื่อดังรับว่าความทั่วราชอาณาจักร

ตอบ 2 หน้า 32 เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2 ตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตําแหน่งงานที่ทํา หรือจากการรับทํางานให้ ดังนี้

1 ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด

2 เงินอุดหนุนในงานที่ทํา เบี้ยประชุม บําเหน็จ โบนัส

3 เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับเนื่องจากหน้าที่หรือตําแหน่งงานที่ทํา หรือจากการรับทํางานให้ ฯลฯ

17 “ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย” เป็นฐานภาษีของภาษีชนิดใด

(1) ภาษีสรรพสามิต

(2) ภาษีศุลกากร

(3) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(4) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(5) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 13 ประกอบ

18 โครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทย มีลักษณะอย่างไร

(1) โครงสร้างแบบพื้นฐาน

(2) โครงสร้างแบบถดถอย

(3) โครงสร้างแบบก้าวหน้า

(4) โครงสร้างแบบสัดส่วน

(5) โครงสร้างแบบเร่งรัด

ตอบ 3 หน้า 23, (คําบรรยาย) โครงสร้างอัตราภาษีแบบก้าวหน้า หมายถึง อัตราภาษีส่วนเพิ่มมีค่าสูงกว่าอัตราภาษีโดยเฉลี่ย เช่น โครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทย เป็นต้น

19 การจัดบริการของรัฐที่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ควรมีแนวทางในการกําหนดอัตราค่าบริการอย่างไร

(1) กําหนดอัตราค่าบริการตามกลไกตลาด

(2) กําหนดอัตราค่าบริการตามสภาวะเศรษฐกิจ

(3) กําหนดอัตราค่าบริการในระดับเดียวกันกับต้นทุนทางบัญชี

(4) กําหนดอัตราค่าบริการสูงกว่าต้นทุนทางบัญชี

(5) กําหนดอัตราค่าบริการต่ำกว่าต้นทุนทางบัญชี

ตอบ 5 หน้า 42, (คําบรรยาย) กรณีการจัดบริการของรัฐก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม รัฐควรกําหนดอัตราค่าบริการต่ํากว่าต้นทุนทางบัญชีและจัดสรรเงินอุดหนุนชดเชยส่วนที่ขาดทุน แต่ถ้า การจัดบริการของรัฐก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อสังคม รัฐควรกําหนดอัตราค่าบริการสูงกว่าต้นทุนทางบัญชีและนําเงินส่วนที่ต่างไปอุดหนุนชดเชยผู้ที่ได้รับความเสียหาย

20 เงินได้พึงประเมิน หมายถึงเงินได้ของบุคคลที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใด

(1) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม

(2) ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 มีนาคม

(3) ระหว่างวันที่ 14 เมษายน – 31 ธันวาคม

(4) ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 31 พฤษภาคม

(5) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 30 กันยายน

ตอบ 1 หน้า 31 เงินได้พึงประเมิน หมายถึง เงินได้ของบุคคลใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคมของปีใด ๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี

21 ข้อใดไม่ใช่เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามประมวลรัษฎากร

(1) เงินเดือน

(2) เงินบํานาญ

(3) เงินค่าจ้าง

(4) เบี้ยประชุม

(5) เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง

ตอบ 4 หน้า 31 เงินได้ประเภทที่ 1 ตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานดังนี้

1 เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ

2 เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง

3 เงินที่คํานวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้าน

ซึ่งนายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า ฯลฯ (ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ)

22 กรมสรรพากรไม่ได้จัดเก็บภาษีชนิดใด

(1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(2) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(3) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(4) ภาษีนําเข้า-ส่งออก

(5) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

ตอบ 4 หน้า 30, (คําบรรยาย) กรมสรรพากร ทําหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรดังนี้

1 ภาษีเงินได้ (ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล)

2 ภาษีการค้าภายในหรือภาษีการขายทั่วไป

3 อากรมหรสพ

4 อากรแสตมป์

5 อากรรังนกอีแอ่น

6 ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

7 ภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยทางเครื่องบิน

8 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ส่วนภาษีนําเข้า-ส่งออกจัดเก็บโดยกรมศุลกากร)

 

23 ภาษีสรรพสามิตเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการที่มีลักษณะอย่างไร

(1) ขัดต่อศีลธรรมอันดี

(2) มีความฟุ่มเฟือย

(3) เกิดผลเสียต่อสุขภาพ

(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 38 ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผลสมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ขัดต่อศีลธรรมอันดีงามมีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากกิจการของรัฐ

24 ข้อใดจัดเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย

(1) Tax Compliance

(2) Tax Avoidance

(3) Tax Evasion

(4) Tax Audit

(5) Tax Refund

ตอบ 3 หน้า 28 พฤติกรรมการหนีภาษี (Tax Evasion) คือ การไม่ยินยอมเสียภาษีให้กับรัฐเป็นการกระทําที่มีเจตนาจงใจละเมิดหรือฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียภาษีให้น้อยลงโดยวิธีการต่าง ๆ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย

25 พฤติกรรมในข้อใดเป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย

(1) การเสียภาษีโดยภาระจํายอม

(2) การเสียภาษีโดยสมัครใจ

(3) การเลี่ยงภาษี

(4) การหนีภาษี

(5) การต่อต้านภาษี

ตอบ 3 หน้า 27 พฤติกรรมการเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance) คือ การที่พลเมืองผู้มีหน้าที่เสียภาษีใช้วิธีการใด ๆ ตามกฎหมายที่มุ่งสร้างให้เกิดผลต่อภาระภาษีของผู้เสียภาษี เพื่อที่จะได้มี ภาระภาษีที่จะต้องเสียต่ำกว่าเดิม หรือเป็นการหาช่องว่างทางกฎหมายโดย “การบิดเบือน (Manipulation)” ซึ่งการเลี่ยงภาษีนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และส่งผลโดยตรงให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

26 สินค้าหรือบริการสาธารณะในข้อใดไม่ควรใช้วิธีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ

(1) Price-Excludable

(2) Non-Zero-Marginal Cost

(3) Zero-Marginal Cost

(4) Rival-Consumption

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 40 สินค้าและบริการสาธารณะที่รัฐควรจัดเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการควรมีลักษณะดังนี้

1 Price-Excludable คือ เลือกซื้อได้ตามความต้องการของแต่ละคน

2 Rival-Consumption คือ ประโยชน์จากการบริโภคเกิดขึ้นเฉพาะตัวและการบริโภคส่งผลให้ประโยชน์ของสินค้าลดลง

3 Non-Zero-Marginal Cost คือ ต้นทุนการจัดบริการเพิ่มขึ้นเมื่อมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น

27 คํากล่าว “Taxes are the price of democracy” สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งใด

(1) การใช้จ่ายในระบอบประชาธิปไตย

(2) การใช้จ่ายกับภาระภาษี

(3) ภาษีกับกลไกราคา

(4) ภาษีกับการใช้จ่าย

(5) ภาษีกับประชาธิปไตย

ตอบ 5 หน้า 24 คํากล่าว “Taxes are the price of democracy” สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างภาษีกับประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี คํากล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนมีหน้าที่จ่ายภาษี ให้กับรัฐเพื่อแลกเปลี่ยนกับการมีรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยซึ่งทําหน้าที่จัดบริการ สาธารณะให้กับประชาชน

28 หลักการที่ว่า “ผู้ที่มีความสามารถในการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ควรเสียภาษีแตกต่างกัน”เป็นหลักความเสมอภาคในรูปแบบใด

(1) ความเสมอภาคในแนวระนาบ

(2) ความเสมอภาคในแนวนอน

(3) ความเสมอภาคในแนวตั้ง

(4) ความเสมอภาคในเชิงเปรียบเทียบ

(5) ความเสมอภาคระหว่างบุคคล

ตอบ 3 หน้า 26 หลักความเสมอภาคในแนวตั้งหรือแนวดิ่ง (Vertical Equity) มีสาระสําคัญว่าผู้มีความสามารถในการเสียภาษีหรืออยู่ในสภาวการณ์ในการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ควรจะ เสียภาษีในลักษณะที่เตกต่างกัน ในลักษณะที่ว่า “Unequal Should Be Treated Unequally”

29 ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทําให้เกิดภาพลวงตาทางการคลัง (Fiscal Illusion)

(1) รัฐบาลจัดเก็บภาษีหลากหลายประเภท

(2) มีโครงสร้างภาษีทางอ้อมในสัดส่วนที่สูง

(3) มีการจัดเก็บภาษีในฐานร่วม (Shared Taxes)

(4) การมีข้อลดหย่อนยกเว้นที่ซับซ้อน

(5) มีอัตราการจัดเก็บภาษีรูปแบบเดียวกันอัตราเดียว

ตอบ 5 หน้า 26 Buchanan ได้ระบุไว้ว่า การจัดเก็บภาษีที่มีความซับซ้อนนั้น อาจทําให้เกิดปรากฏการณ์ภาพลวงตาทางการคลัง (Fiscal Illusion) ขึ้นได้ ซึ่งความซับซ้อนของ ระบบภาษีและการหารายได้ของรัฐอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

1 รัฐบาลจัดเก็บภาษีหลายประเภท หลายอัตรา

2 การมีข้อลดหย่อนยกเว้นที่ซับซ้อน

3 มีโครงสร้างภาษีทางอ้อมในสัดส่วนที่สูง

4 มีการจัดเก็บภาษีในฐานร่วม (Shared Taxes)

30 ข้อใดเป็นลักษณะของภาษีที่ดีตามหลักสวัสดิการสังคม

(1) ประชาชนแบกรับภาระภาษีอย่างเท่าเทียม

(2) จัดเก็บภาษีน้อยที่สุดเพื่อนําไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

(3) ภาษีได้รับการยอมรับหรือเห็นชอบจากประชาชน

(4) ไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีบ่อยครั้ง

(5) จัดเก็บตามความสามารถในการเสียสละ/จ่าย (Ability to Pay)

ตอบ 2 หน้า 26 – 27 ภาษีที่ดีตามหลักสวัสดิการสังคม คือ ภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บจากประชาชนน้อยที่สุด เพื่อนําไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยรัฐบาลต้องเปรียบเทียบกัน ระหว่างภาระภาษีกับผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับคืนมาจากการเสียภาษี ลดความสูญเสีย จากการจัดเก็บภาษี (Deadweight Loss) หรือลดภาระภาษีส่วนเกินให้เหลือน้อยที่สุดหรือไม่มีภาษีที่ไม่มีภาระส่วนเกิน (Excess Burden)

31 คุณสมบัติของสินค้าสาธารณะแท้ คือข้อใด

(1) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค

(2) ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้

(3) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า

(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก

(5) ข้อ 1, 2 และ 3 ถูก

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

32 รัฐบาลเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากบุคคลในข้อใด

(1) บุคคลธรรมดาผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 150,000 บาทต่อเดือน

(2) นิติบุคคลผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 100,000 บาทต่อเดือน

(3) บุคคลธรรมดาให้บริการเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 80,000 บาทต่อเดือน

(4) นิติบุคคลผู้ให้บริการเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 100,000 บาทต่อเดือน

(5) บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ขายสินค้าเป็นอาชีพ แต่มีรายได้ค่านายหน้าจากการขายสินค้าเกินกว่า 150,000 บาทต่อเดือน

ตอบ 1 หน้า 36 ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ที่ขายสินค้าหรือบริการเป็นอาชีพไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล ซึ่งมีรายได้หรือยอดขายเกินกว่า 150,000 บาทต่อเดือน (1.8 ล้านบาทต่อปี) โดยต้องยื่นคําขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และคํานวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อและต้องชําระภาษีเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

33 จํานวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องเสียคํานวณได้จากสิ่งใด

(1) ภาษีขาเข้าหักด้วยภาษีขาออก

(2) ภาษีเงินได้นิติบุคคลหักด้วยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(3) ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ

(4) ภาษีเงินเดือนหักด้วยภาษีค่านายหน้า

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32 ประกอบ

34 สินค้าในข้อใดต่อไปนี้ควรจัดเก็บค่าบริการตามกลไกตลาด

(1) รถโดยสารประจําทาง

(2) บริการไปรษณีย์

(3) บริการไฟฟ้า

(4) โรงพยาบาล

(5) ถนนทางหลวงแผ่นดิน

ตอบ 1 หน้า 40 – 41 สินค้าหรือบริการที่รัฐควรจัดเก็บค่าบริการตามกลไกตลาด เป็นสินค้าที่รัฐผลิตหรือให้บริการแข่งขันกับภาคเอกชนตามหลักการแข่งขันเสรี เช่น กิจการโทรคมนาคม กิจการขนส่ง (เช่น รถโดยสารประจําทาง) กิจการธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น โดยสินค้าหรือ บริการเหล่านี้มักเป็นสินค้าเอกชน หรืออาจจะเป็นสินค้าถึงสาธารณะประเภทต่าง ๆซึ่งไม่มีสภาวะ Externality ชัดเจน

35 หากนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และมีสิ่งของใดที่นําเข้ามาด้วยซึ่งต้องสําแดงแก่ศุลกากร นักศึกษาต้องเลือกเดินเข้าประเทศผ่านช่องทางใด

(1) Red Line

(2) Blue Line

(3) Pink Line

(4) Green Line

(5) Black Line

ตอบ 1 (คําบรรยาย) หากนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และมีสิ่งของที่นําเข้ามาด้วยต้องสําแดงแก่ศุลกากรต้องเลือกเดินเข้าประเทศผ่านช่อง Red Line

36 ส่วนขาดดุลทางการคลังเกิดจากข้อใด

(1) รัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้

(2) รัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่าย

(3) รัฐบาลมีรายจ่ายเท่ากับรายได้

(4) รายจ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 45 ส่วนขาดดุลทางการคลัง (Fiscal Deficit) เกิดจากรัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ซึ่งรัฐบาลสามารถชดเชยการขาดดุลได้โดยใช้วิธีการก่อหนี้สาธารณะ

37 ปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930 เรียกว่าอะไร

(1) Crisis

(2) The Great Depression

(3) The Great Storm

(4) Hamburger Crisis

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 46 – 47, (คําบรรยาย) ในช่วงทศวรรษ 1930 เกิดปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกหรือที่เรียกว่า The Great Depression ซึ่งทฤษฎีของเคนส์ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหานี้ โดยการเสนอให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ คือการให้รัฐบาลใช้จ่ายเกินกว่ารายได้ที่มีอยู่เพื่อเป็นการยกระดับอุปสงค์มวลรวม (Aggregate Demand)

38 นักเศรษฐศาสตร์สํานักใดไม่ยอมรับการก่อหนี้สาธารณะ

(1) เคนส์เซียน

(2) นีโอลิเบอรัล

(3) พาณิชย์นิยม

(4) เสรีนิยม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 46 นักเศรษฐศาสตร์สํานักคลาสสิก (Classical Economist) หรือสํานักเสรีนิยม(Liberalist) มองว่า บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด (Minimalist State) คือ รัฐบาลควรใช้จ่ายงบประมาณอย่างจํากัด ดังนั้นการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลซึ่งนําไปสู่การก่อหนี้สาธารณะจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์สํานักนี้

39 ในทฤษฎีของเคนส์การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลเป็นการทํางานของกลไกในข้อใด

(1) การบริโภค

(2) การออม

(3) การลงทุน

(4) อุปสงค์มวลรวม

(5) การจับจ่ายใช้สอย

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 37 ประกอบ

40 กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่าอะไร

(1) วินัยทางการคลัง

(2) กฎเหล็กทางการคลัง

(3) ความยั่งยืนทางการคลัง

(4) กฎกระทรวงการคลัง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่า วินัยทางการคลัง

41 บทบัญญัติของกฎหมายมาตราใดในพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ที่กําหนดขีดจํากัดของ การก่อหนี้สาธารณะสําหรับประเทศไทย

(1) มาตรา 8

(2) มาตรา 8 ทวิ

(3) มาตรา 9

(4) มาตรา 9 ทวิ

(5) มาตรา 9 ตรี

ตอบ 4 หน้า 48 บทบัญญัติในมาตรา 9 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ได้กําหนดขีดจํากัดของการก่อหนี้สาธารณะสําหรับประเทศไทยไว้ว่า การกู้เงินในปีงบประมาณ จะต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของจํานวนเงินงบประมาณรายจ่ายและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือของจํานวนเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้วกับอีกร้อยละ 80 ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สําหรับชําระคืนต้นเงินกู้

42 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะอยู่ภายใต้สังกัดของหน่วยงานใด

(1) สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง

(2) กรมบัญชีกลาง

(3) สํานักงบประมาณ

(4) กรมธนารักษ์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 48 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2542 อยู่ภายใต้สังกัดของสํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดําเนินการเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การผูกพันหนี้ การบริหารหนี้ และการชําระหนี้ ในประเทศและต่างประเทศของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งที่ค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน

43 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะก่อตั้งขึ้นในปีใด

(1) ปี พ.ศ. 2540

(2) ปี พ.ศ. 2541

(3) ปี พ.ศ. 2542

(4) ปี พ.ศ. 2543

(5) ปี พ.ศ. 2544

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 42 ประกอบ

44 ข้อใดไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ

(1) หนี้ของรัฐบาล

(2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน

(3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน

(4) หนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 45, 50, (คําบรรยาย) หนี้สาธารณะ ได้แก่

1 หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงทั้งหนี้ในประเทศและต่างประเทศ

2 หนี้ของรัฐวิสาหกิจ (ไม่เป็นสถาบันการเงิน) ที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน

3 หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน

4 หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

5 หนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐ

45 บทบาทของรัฐบาลในลักษณะที่เป็น Minimalist State ตรงกับข้อใด

(1) รัฐบาลไม่มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ

(2) บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด

(3) รัฐบาลไม่ควรมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ

(4) บาทบาทของรัฐบาลเป็นไปตามนโยบายของพรรคการเมือง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 38 ประกอบ

46 ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทย อยู่ที่ประมาณร้อยละเท่าไร

(1) 10

(2) 15

(3) 20

(4) 40

(5) 60

ตอบ 4 หน้า 51 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 มีจํานวน 6,267,920.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.64 ของ GDP

47 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละเท่าไร

(1) 7.12

(2) 15.26

(3) 15.28

(4) 18.25

(5) 25.74

ตอบ 1 หน้า 52 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.12

48 ข้อใดคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ

(1) วงเงิน

(2) ระยะเวลาชําระคืน

(3) อัตราดอกเบี้ย

(4) ผู้ที่รับภาระหนี้

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) การก่อหนี้สาธารณะต้องคํานึงถึงผู้ที่รับภาระหนี้ วงเงิน ระยะเวลาชําระคืน และอัตราดอกเบี้ย โดยที่อัตราดอกเบี้ยคือ ความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะ จากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับต่างประเทศ เนื่องจากต้องใช้คืนทั้งต้นเงินกู้และอัตราดอกเบี้ย ที่ผันผวนตามค่าเงิน

49 กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะ คือข้อใด

(1) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2545

(2) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2546

(3) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2547

(4) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548

(5) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2550

ตอบ 4 (คําบรรยาย) กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะ คือ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งประกาศบังคับใช้ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

50 ข้อใดไม่ใช่ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ

(1) ตัวเงินคลัง

(2) ตั๋วสัญญาใช้เงิน

(3) พันธบัตร

(4) บัตรเงินฝาก

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ คือ

1 ตั๋วเงินคลัง 2 ตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 พันธบัตร

51 ข้อใดเป็นคํานิยามของพันธบัตรที่ถูกต้อง

(1) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินหกเดือน

(2) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน

(3) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป

(4) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบแปดเดือนขึ้นไป

(5) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่ยี่สิบสี่เดือนขึ้นไป

ตอบ 3 (คําบรรยาย) พันธบัตร คือ เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป

52 ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังไม่อาจกู้เงินเพื่อการใด

(1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ

(2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

(3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ

(4) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ

(5) พัฒนาตลาดทุนในประเทศ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้

1 ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ หรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้

2 พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

3 ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ

4 ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ

5 พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ

53 บุคคลใดเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ

(1) นายกรัฐมนตรี

(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

(3) ปลัดกระทรวงการคลัง

(4) ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ

(5) ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ

ตอบ 2 หน้า 50, (คําบรรยาย) คณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ ประกอบด้วย

1 ประธานกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

2 รองประธานกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

3 กรรมการ ได้แก่ ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน

4 กรรมการและเลขานุการ ได้แก่ ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ

54 ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ

(1) การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

(2) การเป็นเครื่องชี้วัดสถานภาพทางสังคม

(3) การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง

(4) การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 54 บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ คือ

1 การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

2 การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง

3 การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า

55 ข้อใดไม่นับว่าเป็นเงิน

(1) เหรียญกษาปณ์

(2) เช็ค

(3) ตั๋วแลกเงิน

(4) บัตรเครดิต

(5) ศิลปวัตถุ

ตอบ 5 หน้า 54 เงิน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ เช็ค ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต เป็นต้น

56 คําในข้อใดหมายถึงนโยบายการเงิน

(1) Fiscal Policy

(2) Monetary Policy

(3) Financial Policy

(4) Public Policy

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 8, 54, (คําบรรยาย) นโยบายการเงิน (Monetary Policy) หมายถึง นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เช่น การกําหนดอัตราดอกเบี้ย การควบคุมการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน การควบคุมการให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน การออกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ทางการเงิน เป็นต้น

57 การดําเนินนโยบายการเงินไม่มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเรื่องใด

(1) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

(2) การจ้างงาน

(3) ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

(4) เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 54 – 55, (คําบรรยาย) การดําเนินนโยบายการเงินมีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการจ้างงาน แต่จะไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

58 ECB เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด

(1) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ

(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์

(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป

(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา

(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย

ตอบ 3 หน้า 55 ในปัจจุบันธนาคารกลางที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ได้แก่ ธนาคารกลางแห่งยุโรป (European Central Bank : ECB) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve Bank : FED) เป็นต้น

59 ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงิน

(1) การควบคุมปริมาณเงิน

(2) การกําหนดอัตราดอกเบี้ย

(3) การควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

(4) การเก็บภาษีศุลกากร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 55 – 56 เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ประกอบด้วย 3 เครื่องมือ คือ การควบคุมปริมาณเงิน การกําหนดอัตราดอกเบี้ย และการควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

60 หน่วยงานใดเป็นผู้กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย

(1) กระทรวงพาณิชย์

(2) กระทรวงการคลัง

(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(4) ธนาคารกรุงไทย

(5) คณะกรรมการนโยบายการเงิน

ตอบ 3 หน้า 57 – 58 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้

1 ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร

2 กําหนดและดําเนินนโยบายการเงิน เช่น กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย

3 บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย

4 เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน

5 กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

6 บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ในทุนสํารองเงินตรา ฯลฯ

61 ข้อใดคือลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน

(1) มุ่งหากําไรสูงสุด

(2) หลีกเลี่ยงการแทรกแซงตลาดการเงิน

(3) มีอิสระจากฝ่ายการเมือง

(4) มีอํานาจเด็ดขาด

(5) รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสีย

ตอบ 3 หน้า 55 ลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน คือ มีอิสระจากฝ่ายการเมือง เนื่องจากการดําเนินนโยบายทางการเงินนั้นมีเป้าหมายที่จะรักษาเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจเป็นสําคัญ ดังนั้นการดําเนินนโยบายโดยหน่วยงานที่มีอิสระจากฝ่ายการเมือง ย่อมจะเป็นผลดีต่อการบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินมากกว่าการกําหนดนโยบายโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

62 ในปัจจุบันบุคคลใดดํารงตําแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

(1) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล

(2) นายประทิน สันติประภพ

(3) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

(4) นายวิรไท สันติประภพ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน คือ นายวิรไท สันติประภพซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

63 ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้นในปีใด

(1) ปี พ.ศ. 2480

(2) ปี พ.ศ. 2485

(3) ปี พ.ศ. 2490

(4) ปี พ.ศ. 2495

(5) ปี พ.ศ. 2500

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 60 ประกอบ

64 ข้อใดไม่ใช่บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย

(1) ออกธนบัตร

(2) บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย

(3) ผลิตเหรียญกษาปณ์

(4) กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 60 ประกอบ

65 ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับเท่าไร

(1) ร้อยละ 1.0 ต่อปี

(2) ร้อยละ 1.5 ต่อปี

(3) ร้อยละ 2.0 ต่อปี

(4) ร้อยละ 2.5 ต่อปี

(5) ร้อยละ 3.0 ต่อปี

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.5 ต่อปี ซึ่งยังคงเดิมไว้ตลอดทั้งปี 2561

66 ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

(1) เสถียรภาพและความมั่นคง

(2) การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล

(3) การบริหารความเสี่ยงที่ดี

(4) ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 60 เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ได้แก่

1 ระบบการเงินมีเสถียรภาพและความมั่นคง

2 การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล

3 การบริหารความเสี่ยงที่ดี

4 ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน

5 การเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

67 ความต้องการถือเงินของภาคครัวเรือน เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากข้อใด

(1) ความต้องการจับจ่ายใช้สอย

(2) การสร้างความมั่นคง

(3) การสร้างหลักประกันในการดําเนินชีวิต

(4) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 54 เงินเป็นสิ่งสําคัญและมีบทบาทอย่างสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากลักษณะของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนของเงินนั่นเอง ซึ่งทําให้ภาคครัวเรือนเกิดความต้องการถือเงินเมื่อมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย

68 FED เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด

(1) ธนาคารกลางแห่งฝรั่งเศส

(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์

(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป

(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา

(5) ธนาคารกลางแห่งแอฟริกา

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 58 ประกอบ

69 ตัวอย่างของงบประมาณที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายสาธารณะกับการวางแผนวางโครงการ ของหน่วยงาน

(1) Program Budget

(2) Performance Budget

(3) Zero-Base Budget

(4) Line-Item Budget

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 93 – 94, 97, 101 – 102, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS) เป็นระบบงบประมาณที่ ในด้านการวางแผนวางโครงการโดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ระยะยาว ระบบงบประมาณแบบนี้ จะมีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายและตั้งวงเงินงบประมาณตามแต่ละแผนงาน มีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจผสมกับหลักเหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning) มีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงสร้างแผนงาน หรือโครงการ (Program Structure) มีการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในการวิเคราะห์โครงการเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างแผนงานหรือโครงการที่จัดทําว่ามีความสัมพันธ์กับ โครงการใด ๆ บ้าง มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายสาธารณะ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการวางแผนวางโครงการของหน่วยงาน มีการกําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ของแผนงานหรือโครงการเพื่อการติดตามประเมินผล และที่สําคัญระบบนี้จะต้องมีการจัดทําแผนงานและแผนทางการเงินระยะยาว (อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี) เพื่อประกอบการจัดทําโครงการด้วย

70 ระบบงบประมาณแบบใดให้ความสําคัญอย่างมากที่ “การจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย”

(1) Program Budget

(2) Performance Budget

(3) Zero-Base Budget

(4) Line-Item Budget

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 87 – 88, 90 – 92, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line- Item Budget) หรืองบประมาณแบบเก่า (Conventional Budget) หรืองบประมาณแบบประเพณี (Traditional Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการควบคุมเพื่อมุ่งตรวจสอบความถูกต้องและ ความซื่อสัตย์สุจริตของการใช้จ่ายเงินของรัฐ หรือให้ความสําคัญกับความถูกต้องของ “ปัจจัย นําเข้า” (Inputs) หรือการจัดสรร “ทรัพยากร” ของงานหรือโครงการ โดยเน้นกฎ ระเบียบ และการควบคุมให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบนั้น หรือให้ความสําคัญกับมาตรฐานของทรัพยากร ที่หน่วยราชการได้ใช้ไป ดังนั้นงบประมาณจึงถูกแบ่งออกตามหน่วยราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ (Agencies Classification หรือ Organizations Classification) โดยเฉพาะในระดับกรม และมีการแบ่งตามประเภทและชนิดของการใช้จ่าย (Objects of Expenditure Classification) โดยพิจารณาจากคู่มือการจําแนกประเภทซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนี้ในการจัดเตรียมงบประมาณก็จะต้องมี การกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจ (Mudding Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism) เป็นเกณฑ์ด้วย

71 ระบบงบประมาณแบบใดให้ความสําคัญที่ “การจําแนกเงินออกตามหน่วยงาน”

(1) Line-Item Budget

(2) PPBS

(3) Performance Budget

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 70 ประกอบ

72 ระบบงบประมาณแบบใดที่ให้ความสําคัญที่การจัดทํา Program Structure และการวางแผนระยะยาว

(1) Program Budget

(2) Performance Budget

(3) Zero-Base Budget

(4) Line-Item Budget

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 69 ประกอบ

73 การแบ่งรายจ่ายออกเป็นหมวด เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์………………….เป็นการจําแนกงบประมาณที่เรียกว่า

(1) Agencies Classification

(2) Objective Classification

(3) Functional Classification

(4) Objects of Expenditure Classification

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 70 ประกอบ

74 งบประมาณแบบใดที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการวัดผลสัมฤทธิ์ของงานหรือโครงการ

(1) Line-Item Budget

(2) Performance Budget

(3) Program Budget

(4) PPBS

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 69 ประกอบ

75 เทคนิคที่สําคัญของการจัดเตรียมงบประมาณแบบ Line-Item Budget ได้แก่

(1) Incrementalism

(2) Zero-Base Budget

(3) Program Analysis

(4) System Analysis

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 70 ประกอบ

76 การจัดเตรียมงบประมาณที่ใช้แนวทางของ Zero-Base Budget จะทําให้เกิดการตัดสินใจในลักษณะใด

(1) Incrementalism

(2) Limited Rationality

(3) Pure Rationality

(4) Muddling Through

(5) ทั้งข้อ 1 และ 4

ตอบ 3 หน้า 96, 99 – 100, (คําบรรยาย) งบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Base Budget : ZBB) เป็นระบบงบประมาณที่อาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) ในการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งกําหนดให้ โครงการหรืองานที่เสนอของบประมาณในทุก ๆ ปีงบประมาณจะต้องได้รับการตรวจสอบวิเคราะห์ ทั้งระบบ ทั้งงานหรือโครงการเดิมที่เคยทํามาแล้ว และงานหรือโครงการใหม่ ๆ ที่กําลังจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อต้องการให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีเหตุผล แต่วิธีการนี้มักจะก่อให้เกิด ความล่าช้าหรืออาจทําไม่ได้ในทางปฏิบัติ

77 เทคนิคที่สําคัญของการกําหนด “ยอดวงเงิน” ของงบประมาณแบบแสดงรายการ ได้แก่

(1) Incrementalism

(2) Zero-Base Budget

(3) Program Analysis

(4) System Analysis

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 70 ประกอบ

78 ใน “วงจรงบประมาณ” ข้อใดต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังข้ออื่น ๆ

(1) วงเงินงบประมาณ

(2) การแถลงนโยบายต่อสภา

(3) เงินประจํางวด

(4) การเทียบราคากลาง

(5) การพิจารณาวาระที่ 1

ตอบ 3 หน้า 84 จากโจทย์นั้น เงินประจํางวดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังข้ออื่น ๆ โดยเงินประจํางวด (Apportionment) หมายถึง เงินที่จะจัดสรรให้กับส่วนราชการหนึ่ง ๆ ภายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง ๆ ถือเป็นเครื่องมือในการควบคุมให้ส่วนราชการต่าง ๆ ปฏิบัติงานตามแผนที่กําหนด และสามารถนําเงินไปใช้จ่ายได้ทันปีงบประมาณ ซึ่งอํานาจในการกําหนดระยะเวลาของเงินประจํางวดเป็นของสํานักงบประมาณ

79 ข้อใดที่จัดเป็นลักษณะของ Traditional Budget

(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Pure Rationality

(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ

(3) มีคู่มือจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย

(4) ทั้งข้อ 2 และ 3

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 70 ประกอบ

80 ตามแนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรแบบเสรีนิยม “กิจกรรมที่เอกชนจัดทําแล้วประชาชนอาจ เสียประโยชน์” ได้แก่

(1) บริการด้านสาธารณสุข

(2) บริการการป้องกันประเทศ

(3) การช่วยเหลือคนว่างงาน

(4) กิจการไฟฟ้า

(5) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ตอบ 1 หน้า 71 – 72 ตามแนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรแบบเสรีนิยมนั้น กิจกรรมที่เอกชนจัดทําแล้วประชาชนอาจเสียประโยชน์ ได้แก่ บริการด้านการศึกษา (การจัดการศึกษาภาคบังคับ) บริการ ด้านสาธารณสุข (การป้องกันโรคติดต่อ การให้ความรู้เกี่ยวกับสาธารณสุขขั้นมูลฐาน) เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมประเภทนี้รัฐจะต้องเข้าไปควบคุมมาตรฐานเพื่อความถูกต้องเหมาะสม

81 ปัจจัยสําคัญที่จะสนับสนุนการหดตัวของระบบเศรษฐกิจ ได้แก่

(1) ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง

(2) การลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ

(3) การเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมัน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ปัจจัยสําคัญที่จะสนับสนุนหรือมีผลต่อการหดตัวของระบบเศรษฐกิจ ได้แก่

1 ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

2 การลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ

3 การเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมัน

4 การเพิ่มอัตราภาษีอากร ฯลฯ

82 การเพิ่มอัตราภาษีในสินค้าจําเป็น จะเกิดผลต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างไร

(1) เศรษฐกิจขยายตัว

(2) เศรษฐกิจคงตัว

(3) เศรษฐกิจหดตัว

(4) เกิดภาวะเงินเฟ้อ

(5) ทํานายไม่ได้

ตอบ 4 หน้า 76 – 77, (คําบรรยาย) ผลกระทบที่เกิดจากวิธีการหารายได้และการใช้จ่ายของรัฐ มีดังนี้

1 การเก็บภาษีทรัพย์สินเป็นการเก็บภาษีซ้ำกับภาษีเงินได้

2 การเก็บภาษีในอัตราคงที่จะทําให้คนส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อยต้องรับภาระมากกว่าคนกลุ่มน้อยที่มีรายได้มาก ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

3 การเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าจะช่วยสร้างความเสมอภาคต่อคนในสังคม ถ้าจัดเก็บในอัตราสูงจะทําให้เศรษฐกิจหดตัว แต่ถ้าจัดเก็บในอัตราต่ําจะทําให้เศรษฐกิจขยายตัว

4 การเพิ่มอัตราภาษีในสินค้าจําเป็นจะทําให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ เพราะทําให้สินค้ามีราคาสูงแต่ความต้องการที่จะบริโภคสินค้านั้นไม่ได้ลดลง

5 ถ้ารายจ่ายของรัฐให้ประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อยจะทําให้เศรษฐกิจขยายตัว แต่ถ้ารายจ่ายของรัฐให้ประโยชน์เพียงคนกลุ่มน้อยที่มีรายได้มากจะทําให้เศรษฐกิจคงตัว ฯลฯ

83 ถ้ารายจ่ายของรัฐให้ประโยชน์เพียงคนกลุ่มน้อยที่มีรายได้มาก จะเกิดผลต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างไร

(1) เศรษฐกิจขยายตัว

(2) เศรษฐกิจคงตัว

(3) เศรษฐกิจหดตัว

(4) เกิดภาวะเงินเฟ้อ

(5) ทํานายไม่ได้

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82 ประกอบ

84 เครื่องมือในการควบคุมให้ส่วนราชการต่าง ๆ ปฏิบัติงานตามแผนที่กําหนด ทําให้ใช้จ่ายได้ทันปีงบประมาณ

(1) ยอดวงเงิน

(2) เงินประจํางวด

(3) เงินจัดสรร

(4) คู่มือจําแนกประเภทและชนิดการใช้จ่าย

(5) การตรวจการจ้าง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 78 ประกอบ

85 วิธีการงบประมาณแบบใดที่ให้ความสําคัญกับ “Inputs” ของหน่วยงาน )

(1) แบบแผนงาน

(2) แบบแสดงรายการ

(3) แบบโครงการ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 70 ประกอบ

86 “ปีคลัง” เริ่มต้นเมื่อใด

(1) 1 มกราคม

(2) 1 เมษายน

(3) 1 มิถุนายน

(4) 1 ตุลาคม

(5) ตามประกาศกระทรวงการคลัง

ตอบ 4 หน้า 68, (คําบรรยาย) รอบของการบริหารหรือการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณแผ่นดินหรือระยะเวลาของการใช้จายเงินตาม พ.ร.บ. งบประมาณ เรียกว่า “ปีงบประมาณ” หรือ “ปีคลัง” (Fiscal Year) ซึ่งปกติแล้วจะต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน โดยอาจเป็น 6 เดือน 1 ปี (12 เดือน) หรือ 2 ปี (24 เดือน) ก็ได้ แต่จะต้องเป็นเช่นนั้นทุก ๆ ปี และจะเริ่มต้นในเดือนใดก็ได้ เช่น ปีงบประมาณของไทยมีระยะเวลา 12 เดือน เริ่มต้นจากวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี และไปสิ้นสุด ในวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป โดยใช้ชื่อปีถัดไปเป็นชื่อปีงบประมาณ (เช่น ปีงบประมาณ 2562 จะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2561 และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562)

87 ข้อแตกต่างระหว่างงบประมาณเอกชนกับงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่

(1) เป็นแผนทางการเงิน

(2) เป็นกฎหมาย

(3) วิธีการจัดหารายได้

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 63 – 66, (คําบรรยาย) คุณสมบัติหรือลักษณะสําคัญของงบประมาณแผ่นดินซึ่งแตกต่างจากงบประมาณเอกชน มีดังนี้

1 เป็นกฎหมายทางการเงิน กล่าวคือ มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งกําหนดว่าให้ใช้จ่ายเงินได้ไม่เกินจํานวนที่กําหนด แต่ในทางปฏิบัติรายจ่ายจริงอาจมีน้อยกว่า รายจ่ายที่ประมาณการเอาไว้ก็ได้

2 เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ

3 วิธีการจัดหารายได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดเก็บภาษีอากรและการก่อหนี้สาธารณะ

4 คํานึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทํางบประมาณ

5 การกําหนดรายรับ มีรายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ

6 มีกระบวนการจัดทํางบประมาณ ที่มีลักษณะกระจายอํานาจ

7 ลักษณะการเป็นเจ้าของ โดยมีประชาชนเป็นเจ้าของกิจการ ที่แท้จริง

8 มีการอนุมัติงบประมาณโดยรัฐสภา

9 การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณจะถูกควบคุมร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

88 ทุกข้อจัดเป็น “เงินนอกงบประมาณแผ่นดิน” ยกเว้น

(1) เงินรายได้ของกองทุนหมุนเวียน

(2) งบรายได้ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

(3) งบประมาณของเทศบาล

(4) งบประมาณของกรมทางหลวง

(5) เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ

ตอบ 4 หน้า 7, 67 – 68, (คําบรรยาย) เงินนอกงบประมาณ หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าซึ่งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหามาได้เองด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มาจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เป็นเงินที่แยกออกจากความเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน ซึ่งได้แก่ เงินทุนหมุนเวียน งบประมาณของรัฐวิสาหกิจ (เช่น งบประมาณของ ขสมก.) เงินช่วยเหลือ จากต่างประเทศ เงินกู้ยืมทั้งในและต่างประเทศ งบประมาณของราชการบริหารส่วนท้องถิ่น (ได้แก่ งบประมาณของ อบต. อบจ. เทศบาล กทม. และเมืองพัทยา) งบรายได้ (เงินรายได้) ของสถาบันการศึกษา และงบรายได้ (เงินรายได้) ของสถาบันสาธารณสุข

89 ระยะเวลาของการ “ใช้จ่ายเงินตามที่กําหนดไว้ในปีงบประมาณ” เรียกว่า

(1) การควบคุม

(2) การบริหารงบประมาณ

(3) การอนุมัติงบประมาณ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 83, (คําบรรยาย) การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณ คือ ระยะเวลาของการใช้จ่ายเงินตามที่กําหนดไว้ในปีงบประมาณ ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะต้องหาหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อควบคุมให้การใช้จ่ายเงินของโครงการต่าง ๆ เป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี

90 ลักษณะที่เรียกว่า “เป็นศูนย์รวมเงิน” ได้แก่

(1) ดําเนินการภายใต้กฎข้อบังคับเดียวกัน

(2) ดําเนินการภายใต้การดูแลของสถาบันต่าง ๆ เดียวกัน

(3) อนุมัติเพียงครั้งเดียวในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 67, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน หมายความว่าในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ จะต้องมีการบูรณาการแผนทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็น แผนเดียวกัน มีการอนุมัติงบประมาณเพียงครั้งเดียว และไม่มีการจัดทํางบประมาณรายจ่าย เพิ่มเติม โดยกระบวนการงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องดําเนินไปภายใต้กฏข้อบังคับ เดียวกัน ใช้บทบัญญัติเดียวกัน และมีสถาบันหรือหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบในขั้นตอนต่าง ๆของการบริหารงบประมาณเดียวกัน

91 “การจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม” ควรทําเมื่อใด

(1) วางแผนการใช้จ่ายผิดพลาด และเกิดความเสียหาย

(2) เกิดภัยสงคราม

(3) ต้องการปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้เมื่อหาเสียงเลือกตั้ง

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 132, (คําบรรยาย) การจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ควรทําเมื่อ

1 เกิดวิกฤติต่าง ๆ เช่น เกิดสงครามระหว่างประเทศ เกิดปัญหาอย่างรุนแรงทางเศรษฐกิจ

2 งบประมาณรายจ่ายประจําปีที่ได้รับอนุมัติแล้วยังไม่เพียงพอเนื่องจากวางแผนการใช้จ่ายผิดพลาด และถ้าไม่ได้รับงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ

3 ไม่สามารถโอนงบประมาณจากส่วนราชการอื่น หรืองานอื่นมาใช้ในส่วนราชการที่จําเป็นจะต้องของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมได้

4 รัฐบาลมีรายได้จากภาษีอากร หรือรายได้อื่นใดสูงกว่าที่ได้ประมาณการไว้ตอนต้นปี

92 ที่ว่า “งบประมาณแผ่นดินเป็นเงื่อนไขของการเป็นรัฐบาล” หมายความว่าอย่างไร

(1) รัฐบาลต้องเป็นผู้พิจารณาอนุมัติวงเงินงบประมาณ

(2) ผู้จัดเตรียมงบประมาณต้องเป็นผู้ใช้เงินงบประมาณ

(3) ถ้างบประมาณแผ่นดินไม่ผ่านสภารัฐบาลจะบริหารประเทศต่อไปไม่ได้

(4) งบประมาณแผ่นดินเป็นกฎหมายอย่างหนึ่ง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 64, 82 งบประมาณแผ่นดินเป็นเงินของประชาชนที่มอบให้กับรัฐบาลในรูปของภาษีอากรและการกู้ยืมเพื่อนําไปใช้ในการบริหารประเทศ ดังนั้นการใช้จ่ายเงินงบประมาณ จึงต้องได้รับการอนุมัติหรือยินยอมจากประชาชนเสียก่อน แต่เนื่องจากการบริหารราชการใน ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประชาชนได้มอบอํานาจการตัดสินใจให้กับสภาผู้แทนราษฎร ไปแล้ว งบประมาณแผ่นดินซึ่งการจัดทําเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะจึงจําเป็นต้อง ได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาโดยต้องทําเป็นกฎหมายก่อนที่จะนําไปใช้ ซึ่งถ้างบประมาณ ไม่ได้รับการรับรองจากสภา รัฐบาลก็จะบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่างบประมาณเป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือการจัดตั้งรัฐบาลนั้นเอง

93 ตัวอย่างของระบบงบประมาณที่เน้นที่มาตรฐานของทรัพยากรที่หน่วยราชการได้ใช้ไป

(1) Program Budget

(2) Zero-Base Budget

(3) Performance Budget

(4) Line-Item Budget

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 70 ประกอบ

94 สภาวะ “สินค้าล้นตลาด ประชาชนว่างงาน” เป็นสิ่งที่บอกเหตุของภาวะใด

(1) เงินเฟ้อ

(2) เงินฝืด

(3) เศรษฐกิจขยายตัว

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ภาวะเงินฝืด หมายถึง ภาวะที่อุปสงค์ด้านสินค้าและบริการน้อยกว่าอุปทานด้านสินค้าและบริการ หรือเป็นภาวะที่มีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยเกินไป ทําให้เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด และประชาชนว่างงาน ดังนั้นรัฐบาลควรจะแก้ปัญหา ด้วยการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยการนํานโยบายการคลัง แบบขาดดุล (แบบขยายตัว) และการลดอัตราภาษีอากรมาใช้ควบคู่กับนโยบายการเงิน ดังต่อไปนี้

1 ซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากประชาชน

2 ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก – และเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์

3 ลดอัตราเงินสดสํารองของธนาคารพาณิชย์

4 ลดอัตราส่วนลดเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้มากขึ้น ฯลฯ

95 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2562 มียอดวงเงินจํานวนเท่าไร

(1) 1.2 ล้านล้านบาท

(2) 2.6 ล้านล้านบาท

(3) 3.0 ล้านล้านบาท

(4) 3.4 ล้านล้านบาท

(5) 3.9 ล้านล้านบาท

ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) ปีงบประมาณ 2562 รัฐบาลได้ดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1 กําหนดยอดวงเงินงบประมาณรายจ่ายจํานวน 3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

2 มีวงเงินขาดดุลจํานวน 450,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.6 ของผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศ

3 มีรายจ่ายประจําจํานวน 2.26 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 75.4 ของวงเงินงบประมาณ

4 มีรายจ่ายลงทุนจํานวน 660,305.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22 ของวงเงินงบประมาณ

5 มีรายจ่ายชําระคืนต้นเงินกู้จํานวน 78,205.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.6 ของวงเงินงบประมาณ

96 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2562 มีจํานวนเป็นร้อยละเท่าไรของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (ประมาณ)

(1) 12

(2) 15

(3) 17

(4) 20

(5) 25

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 95 ประกอบ

97 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2562 มีวงเงินขาดดุลจํานวนเท่าไร

(1) 390,000 ล้านบาท

(2) 450,000 ล้านบาท

(3) 760,000 ล้านบาท

(4) ศูนย์บาท (เป็นงบประมาณสมดุล)

(5) เกินดุล 36,000 ล้านบาท

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 95 ประกอบ

98 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2562 มีรายจ่ายลงทุนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละเท่าไรของวงเงินงบประมาณ (1) 22.0

(2) 20.0

(3) 18.2

(4) 16.4

(5) 12.5

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 95. ประกอบ

99 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2562 มีรายจ่ายประจําคิดเป็นสัดส่วนร้อยละเท่าไร ของวงเงินงบประมาณ (1) 75.4

(2) 77.9

(3) 79.3

(4) 82.4

(5) 84.6

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 95 ประกอบ

100 “กรมบัญชีกลาง” เป็นหน่วยงานในสังกัดใด

(1) สํานักนายกรัฐมนตรี

(2) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(3) กระทรวงการคลัง

(4) เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ

(5) ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) กรมบัญชีกลาง เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ดําเนินเกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ด้านการเงินการคลังและการบัญชี รวมทั้งระบบการตรวจสอบภายในของส่วนราชการเพื่อให้ส่วนราชการถือปฏิบัติ เป็นต้น

 

POL3300 การบริหารการคลัง S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3300 การบริหารการคลัง

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 หนี้สาธารณะในข้อใดที่เกิดการผลักภาระให้แก่อนุชน

(1) หนี้ที่กู้จากแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ

(2) หนี้ที่ก่อขึ้นเพื่อจัดซื้อยุทโธปกรณ์

(3) หนี้ที่ก่อขึ้นเพื่อโครงการลงทุน

(4) หนี้ที่เกิดจากการค้ําประกันรัฐวิสาหกิจ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-3309 หน้า 47) หนี้สาธารณะที่เกิดการผลักภาระให้แก่อนุชน มีดังนี้

1 หนี้ที่กู้จากแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ 2 หนี้ที่ก่อขึ้นเพื่อจัดซื้อยุทโธปกรณ์

3 หนี้ที่ก่อขึ้นเพื่อโครงการลงทุน 4 หนี้ที่เกิดจากการค้ำประกันรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ

 

2 การใช้จ่ายของรัฐบาลมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกในข้อใด

(1) ดุลการค้า

(2) ดุลการชําระเงิน

(3) อุปสงค์มวลรวม

(4) เงินคงคลัง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 46 – 47) ปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930 เรียกว่า The Great Depression ซึ่งทฤษฎีของเคนส์ได้เข้ามาช่วยในการ แก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำนี้โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดําเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลโดยรัฐบาล ซึ่งเป็นการทํางานของกลไกอุปสงค์มวลรวม

3 เพื่อไม่ให้การก่อหนี้สาธารณะเป็นข้อจํากัดของการพัฒนาประเทศ รัฐบาลควรคํานึงถึงหลักการใด

(1) ความสมดุลทางการคลัง

(2) ความเท่าเทียมทางการคลัง

(3) ความยั่งยืนทางการคลัง

(4) การกระจาย

(5) ความพอเพียง

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 43) เพื่อไม่ให้การก่อหนี้สาธารณะเป็นข้อจํากัดของการพัฒนาประเทศ รัฐบาลควรคํานึงถึงความยั่งยืนทางการคลัง (Fiscal Sustainability) ซึ่งมี เครื่องชี้วัดที่สําคัญ เช่น ภาระหนี้ต่างประเทศภาครัฐต่อรายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการ (Debt Service Ratio) เป็นต้น

4 ภาระหนี้ต่างประเทศภาครัฐต่อรายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการ เรียกว่าอะไร

(1) Burden

(2) Deficit

(3) Debt Service Ratio

(4) Debt to GDP

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 3 ประกอบ

5 ข้อใดไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ

(1) การท่าเรือแห่งประเทศไทย

(2) บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)

(3) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

(4) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด

(5) วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย

ตอบ 5 (คําบรรยาย) หน่วยงานที่เป็นรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน เช่น การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย  ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น

 

6 บุคคลใดดํารงตําแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ

(1) นายกรัฐมนตรี

(2) รองนายกรัฐมนตรี

(3) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

(4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

(5) ปลัดกระทรวงการคลัง

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 50) คณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ ประกอบด้วย

1 ประธานกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

2 รองประธานกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

3 กรรมการ ได้แก่ ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน

4 กรรมการและเลขานุการ ได้แก่ ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ

7 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ มีวาระการดํารงตำแหน่งเท่าใด

(1) 2 ปี

(2) 3 ปี

(3) 4 ปี

(4) 5 ปี

(5) 6 ปี

ตอบ 2 (คําบรรยาย) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ มีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 3 ปี ซึ่งมีอํานาจหน้าที่ต้องรายงานสถานะของหนี้สาธารณะต่อคณะรัฐมนตรี

8 คณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะต้องรายงานสถานะของหนี้สาธารณะต่อผู้ใด

(1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

(2) นายกรัฐมนตรี

(3) คณะรัฐมนตรี

(4) ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

(5) อธิบดีกรมบัญชีกลาง

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7 ประกอบ

9 ข้อใดไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ

(1) หนี้ของรัฐบาล

(2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน

(3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน

(4) หนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 8, 45) หนี้สาธารณะ มีลักษณะดังนี้

1 หนี้ที่รัฐบาลกู้ตรงทั้งหนี้ในประเทศและต่างประเทศ

2 หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลค้ําประกันและไม่ค้ําประกัน แต่ไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐไม่ได้ค้ำประกัน

3 หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

10 การกู้เงินรายใหม่เพื่อชําระหนี้เดิม การแปลงหนี้ หรือการชําระหนี้ก่อนถึงกําหนดชําระ เรียกว่าอะไร

(1) การต่อสัญญาหนี้สาธารณะ

(2) การขยายอายุหนี้สาธารณะ

(3) การปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ

(4) การผ่อนผันหนี้สาธารณะ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) วัตถุประสงค์ของการก่อหนี้สาธารณะ มีดังนี้

1 เพื่อการพัฒนาประเทศ หรือเรียกว่า “หนี้ที่ก่อให้เกิดมูลค่าตอบแทน” (Reproductive Debt) เป็นการกู้เงินมาลงทุนในโครงการสาธารณะเพื่อพัฒนาประเทศให้เกิดความก้าวหน้า เช่น ร่าง พ.ร.บ. กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบการคมนาคมของรัฐบาล

2 เพื่อการสงคราม หรือเรียกว่า “หนี้ที่ไม่สร้างสรรค์” (Dead Weigh Debt) เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตอะไร

3 เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คือ การกู้เงินเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อและเงินฝืด

4 เพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล คือ การกู้เงินมาเพื่อตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจําปี

5 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการชําระหนี้ คือ การกู้หนี้ใหม่มาชําระหนี้เก่า (Refinance) เช่น การกู้เงินที่ดอกเบี้ยถูกมาชําระหนี้เงินกู้ที่ดอกเบี้ยแพง ฯลฯ

11 กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะ คือข้อใด

(1) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2545

(2) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2546

(3) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2547

(4) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548

(5) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2550

ตอบ 4 (คําบรรยาย) กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะ คือ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประกาศบังคับใช้ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

12 ข้อใดไม่ใช่ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ

(1) ตั๋วเงินคลัง

(2) ตั๋วสัญญาใช้เงิน

(3) พันธบัตร

(4) บัตรเงินฝาก

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ คือ

1 ตั๋วเงินคลัง 2 ตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 พันธบัตร

13 ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทย อยู่ที่ประมาณร้อยละเท่าไร

(1) 10

(2) 15

(3) 20

(4) 40

(5) 60

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 มีจํานวน 6,267,920.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.64 ของ GDP

14 ข้อใดเป็นคํานิยามของพันธบัตรที่ถูกต้อง

(1) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินหกเดือน

(2) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน

(3) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป

(4) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบแปดเดือนขึ้นไป

(5) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่ยี่สิบสี่เดือนขึ้นไป

ตอบ 3 (คําบรรยาย) พันธบัตร คือ เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป

15 ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังไม่อาจกู้เงินเพื่อการใด

(1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ

(2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

(3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ

(4) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ

(5) พัฒนาตลาดทุนในประเทศ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้

1 ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ หรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้

2 พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

3 ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ

4 ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ

5 พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ

16 นักเศรษฐศาสตร์คนใดเสนอว่าภาระของหนี้สาธารณะเกิดขึ้นข้ามช่วงอายุของคน

(1) Tobin

(2) Ricardo

(3) Buchanan

(4) Stieglitz

(5) Schumpeter

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 47) James Buchanan เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เสนอว่าภาระของหนี้สาธารณะเกิดขึ้นข้ามช่วงอายุของคน

17 พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะประกาศบังคับใช้ในรัฐบาลใด

(1) ชวน หลีกภัย

(2) ชวลิต ยงใจยุทธ

(3) ทักษิณ ชินวัตร

(4) อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ

18 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นในปีใด

(1) ปี พ.ศ. 2542

(2) ปี พ.ศ. 2543

(3) ปี พ.ศ. 2544

(4) ปี พ.ศ. 2545

(5) ปี พ.ศ. 2546

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 48) สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2542 เป็นหน่วยงานภายใต้สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง

19 ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ

(1) การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

(2) การเป็นเครื่องชี้วัดสถานภาพทางสังคม

(3) การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง

(4) การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 54) บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ คือ

1 การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน 2 การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง

3 การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า

20 ข้อใดไม่นับว่าเป็นเงิน

(1) เหรียญกษาปณ์

(2) เช็ค

(3) ตั๋วแลกเงิน

(4) บัตรเครดิต

(5) ศิลปวัตถุ

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 54) เงิน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ เช็ค ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต เป็นต้น

21 คําในข้อใดหมายถึงนโยบายการเงิน

(1) Fiscal Policy

(2) Monetary Policy

(3) Financial Policy

(4) Public Policy

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 8, 54), (คําบรรยาย) นโยบายการเงิน (Monetary Policy)หมายถึง นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้อง กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เช่น การกําหนดอัตราดอกเบี้ย การควบคุมการปล่อยสินเชื่อของ สถาบันการเงิน การควบคุมการให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน การออกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆทางการเงิน เป็นต้น

22 การดําเนินนโยบายการเงินไม่มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเรื่องใด

(1) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

(2) เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ

(3) ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

(4) การจ้างงาน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 54 – 55) การดําเนินนโยบายการเงินใด ๆ ก็ตามต่างก็มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และ การจ้างงาน

23 ECB เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด

(1) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ

(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์

(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป

(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา

(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 55) ในปัจจุบันธนาคารกลางที่มีชื่อเสียงในระดับโลกได้แก่ ธนาคารกลางแห่งยุโรป (European Central Bank : ECB) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve Bank : FED) เป็นต้น

24 ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงิน

(1) การควบคุมปริมาณเงิน

(2) การกําหนดอัตราดอกเบี้ย

(3) การควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

(4) การเก็บภาษีศุลกากร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 55 – 56) เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ประกอบด้วย 3 เครื่องมือ คือ การควบคุมปริมาณเงิน การกําหนดอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

25 หน่วยงานใดเป็นผู้กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย

(1) กระทรวงพาณิชย์

(2) กระทรวงการคลัง

(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(4) ธนาคารกรุงไทย

(5) คณะกรรมการนโยบายการเงิน

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 57 – 58) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้

1 ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร

2 กําหนดและดําเนินนโยบายการเงิน เช่น กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย

3 บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย

4 เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน

5 กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

6 บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ในทุนสํารองเงินตรา ฯลฯ

26 ข้อใดคือลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน

(1) มุ่งหากําไรสูงสุด

(2) หลีกเลี่ยงการแทรกแซงตลาดการเงิน

(3) มีอิสระจากฝ่ายการเมือง

(4) มีอํานาจเด็ดขาด

(5) รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสีย

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 55) หน่วยงานที่ทําหน้าที่ดูแลนโยบายการเงิน ก็คือ การ ธนาคารกลาง ซึ่งมีลักษณะที่สําคัญที่สุดในการดําเนินนโยบายทางการเงิน คือ มีอิสระจากฝ่ายการเมืองนั้นเอง

27 ในปัจจุบันบุคคลใดดํารงตําแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

(1) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล

(2) นายประทิน สันติประภพ

(3) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

(4) นายวิรไท สันติประภพ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน คือ นายวิรไท สันติประภพซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

28 ธนาคารแห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปีใด

(1) ปี พ.ศ. 2480

(2) ปี พ.ศ. 2485

(3) ปี พ.ศ. 2490

(4) ปี พ.ศ. 2495

(5) ปี พ.ศ. 2500

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

29 ข้อใดไม่ใช่บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย

(1) ออกธนบัตร

(2) บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย

(3) ผลิตเหรียญกษาปณ์

(4) กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 25 ประกอบ

30 ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับเท่าไร

(1) ร้อยละ 1.0 ต่อปี

(2) ร้อยละ 1.5 ต่อปี

(3) ร้อยละ 2.0 ต่อปี

(4) ร้อยละ 2.5 ต่อปี

(5) ร้อยละ 3.0 ต่อปี

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.5 ต่อปี ซึ่งยังคงเดิมไว้ตลอดทั้งปี 2561

31 ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

(1) เสถียรภาพและความมั่นคง

(2) การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล

(3) การบริหารความเสี่ยงที่ดี

(4) ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 60) เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงินคือ

1 เสถียรภาพและความมั่นคง 2 การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล

3 การบริหารความเสี่ยงที่ดี 4 ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน

32 ความต้องการถือเงินของภาคครัวเรือน เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากข้อใด

(1) ความต้องการจับจ่ายใช้สอย

(2) การสร้างความมั่นคง

(3) การสร้างหลักประกันในการดําเนินชีวิต

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 54) เงินเป็นสิ่งสําคัญและมีบทบาทอย่างสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากลักษณะของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนของเงินนั่นเอง ซึ่งทําให้ภาคครัวเรือนเกิดความต้องการถือเงินเมื่อมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย

33 FED เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด

(1) ธนาคารกลางแห่งฝรั่งเศส

(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์

(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป

(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา

(5) ธนาคารกลางแห่งแอฟริกา

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 23 ประกอบ

34 ตามแนวคิดแบบสังคมนิยมเบ็ดเสร็จ กลไกในการจัดสรรทรัพยากร ได้แก่

(1) กลไกราคา

(2) การวางแผนจากส่วนกลาง

(3) ระบบสัมปทาน

(4) การวิเคราะห์ต้นทุนและประโยชน์

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 1) แนวคิดแบบสังคมนิยมเบ็ดเสร็จ รัฐเท่านั้นที่มีหน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากรของสังคม รัฐใช้การวางแผนจากส่วนกลาง ประชาชนที่อยู่ในวัยทํางานล้วนเป็นลูกจ้างรัฐ ทํางานให้กับรัฐบาล

35 ข้อใดเป็น “นโยบายการเงิน”

(1) การกําหนดอัตราดอกเบี้ย

(2) การควบคุมสินเชื่อ

(3) การกําหนดอัตราลดหย่อนภาษี

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ

36 แนวคิดในการศึกษาการคลังสาธารณะที่ศึกษาเพื่อค้นหา “ระบบที่ควรจะเป็น” เรียกว่า

(1) Optimal Theory

(2) Normative Approach

(3) Positive Economic

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 1) แนวคิดในการศึกษาการคลังสาธารณะแบบ Normative Approach/Optimal Theory มีดังนี้

1 ศึกษากฎเกณฑ์ที่ทําให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อค้นหา “ระบบที่ควรจะเป็น”

2 ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ควรปรับระบบภาษีอากรเป็นเช่นใด ฯลฯ

37 ข้อใดเป็นสินค้าเอกชน

(1) ข้าว

(2) ถนน

(3) การอํานวยความยุติธรรม

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 2, 11 – 13) สินค้าเอกชน (Private Goods) เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค และแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ เป็นสินค้าและบริการที่ ประชาชนทุกคนสามารถซื้อมาใช้เป็นการส่วนตัวได้ โดยจะมีมูลค่าที่สามารถวัดได้ด้วยกลไก ราคา (Price Mechanism) คือ วัดด้วยปริมาณสินค้าและความต้องการบริโภคของคนทั่วไปเช่น ข้าว เป็นต้น

38 ความสามารถในการเสียภาษีของประชาชน พิจารณาได้จาก

(1) ความร่วมมือของประชาชน

(2) อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

(3) ความเป็นธรรมของระบบภาษี

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 3) ความสามารถในการเสียภาษีของประชาชน พิจารณาได้จากรายได้ประชาชาติ (National Income) อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และระดับการค้าขายระหว่างประเทศ

39 “เงินกองทุนน้ำมัน” เป็นภาษีลักษณะใด

(1) General Tax

(2) Earmarked Tax

(3) Corporate Income Tax

(4) Value-Added Tax

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 3 – 4) การจําแนกประเภทภาษีอากรตามลักษณะการใช้เงินภาษี แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1 ภาษีเพื่อการใช้จ่ายทั่วไป (General Tax) เป็นภาษีอากรส่วนใหญ่ที่รัฐบาลจัดเก็บจากประชาชนเพื่อนําเข้าเป็นงบประมาณรายได้ แล้วตั้งจ่ายไปตามงบประมาณรายจ่ายประจําปี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้า ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร เป็นต้น

2 ภาษีเพื่อการใช้จ่ายเฉพาะอย่าง (Earmarked Tax) เป็นภาษีอากรที่รัฐบาลจัดเก็บเป็นรายได้สําหรับใช้จ่ายในกิจการหรือเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นการเฉพาะ มิได้นําเข้าเป็นงบประมาณรายได้สําหรับใช้จ่ายเป็นการทั่วไป เช่น เงินกองทุนน้ำมัน ภาษีประกันสังคม เป็นต้น

40 ภาษีประเภทใดที่มีลักษณะเป็นการจัดเก็บภาษีซ้ำ

(1) ภาษีทรัพย์สิน

(2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(3) ภาษีสินค้าขาเข้า

(4) ภาษีเงินได้

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 6, 23) ฐานภาษีที่เกี่ยวกับความมั่งคั่ง พิจารณาจากรายได้หรือประโยชน์ที่เกิดจากทรัพย์สินที่บุคคลได้ครอบครองอยู่ มักเรียกว่า ภาษีทรัพย์สิน ซึ่งมี ลักษณะเป็นการจัดเก็บภาษีซ้ํา (Double Taxation)

41 ตัวอย่างของงบประมาณที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายสาธารณะกับการวางแผนวางโครงการของ หน่วยงาน

(1) Program Budget

(2) Zero-Base Budget

(3) Performance Budget

(4) Line-Item Budget

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 93 – 94, 97, 101 – 102), (คําบรรยาย)งบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการวางแผนวางโครงการโดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ระยะยาว ระบบงบประมาณแบบนี้จะมีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายและตั้งวงเงินงบประมาณ ตามแต่ละแผนงาน มีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจผสมกับ หลักเหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning) มีการแบ่งเงินงบประมาณออกตาม โครงสร้างแผนงานหรือโครงการ (Program Structure) มีการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในการวิเคราะห์โครงการเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างแผนงานหรือโครงการที่ จัดทําว่ามีความสัมพันธ์กับโครงการใด ๆ บ้าง มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายสาธารณะ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการ วางแผนวางโครงการของหน่วยงาน มีการกําหนดตัวบ่งชี้หรือวัดความสําเร็จตามเป้าหมาย ของแผนงานหรือโครงการเพื่อการติดตามประเมินผล และที่สําคัญระบบนี้จะต้องมีการ จัดทําแผนงานและแผนทางการเงินระยะยาว (อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี) เพื่อประกอบการจัดทําโครงการด้วย

42 ระบบงบประมาณแบบใดให้ความสําคัญอย่างมากที่ “การจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย”

(1) Program Budget

(2) Zero-Base Budget

(3) Performance Budget

(4) Line-Item Budget

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 87 – 88, 90 – 92), (คําบรรยาย) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line-Item Budget) หรืองบประมาณแบบเก่า (Conventional Budget) หรืองบประมาณแบบประเพณี (Traditional Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้าน การควบคุมเพื่อมุ่งตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริตของการใช้จ่ายเงินของรัฐ หรือให้ความสําคัญกับความถูกต้องของ “ปัจจัยนําเข้า” (Inputs) หรือการจัดสรร “ทรัพยากร” ของงานหรือโครงการ โดยเน้นกฎ ระเบียบ และการควบคุมให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบนั้น ดังนั้นงบประมาณจึงถูกแบ่งออกตามหน่วยราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ (Agencies Classification หรือ Organizations Classification) โดยเฉพาะในระดับกรม และมีการ พิจารณาตามคู่มือการจําแนกประเภทหรือแบ่งแยกตามประเภทและชนิดของการใช้จ่าย (Objects of Expenditure Classification) เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนี้ในการจัดเตรียมงบประมาณก็จะต้องมีการกําหนดยอด วงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจ (Mudding Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism) เป็นเกณฑ์ด้วย

43 ระบบงบประมาณแบบใดให้ความสําคัญที่ “การจําแนกเงินออกตามหน่วยงาน”

(1) Program Budget

(2) PPBS

(3) Performance Budget

(4) Line-Item Budget

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

44 ระบบงบประมาณแบบใดที่ให้ความสําคัญที่การจัดทํา Program Structure และการวางแผนระยะยาว

(1) Program Budget

(2) PPBS

(3) Performance Budget

(4) Line-Item Budget

(5) Zero-Base Budget

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 41 ประกอบ

45 การแบ่งรายจ่ายออกเป็นหมวด เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์……………….. เป็นการจําแนกงบประมาณที่เรียกว่า

(1) Agencies Classification

(2) Objective Classification

(3) Functional Classification

(4) Objects of Expenditure Classification

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 42 ประกอบ

46 เทคนิคที่สําคัญของการจัดเตรียมงบประมาณแบบ PPBS ได้แก่

(1) Incrementalism

(2) Zero-Base Budget

(3) Program Analysis

(4) System Analysis

(5) ทั้งข้อ 3 และ 4

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 41 ประกอบ

47 เทคนิคที่สําคัญของการกําหนดยอดวงเงินของงบประมาณแบบแสดงรายการ ได้แก่

(1) Incrementalism

(2) Zero-Base Budget

(3) Program Analysis

(4) System Analysis

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 42 ประกอบ

48 ใน “วงจรงบประมาณ” ข้อใดต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังสุด

(1) วงเงินงบประมาณ

(2) เงินจัดสรร

(3) เงินประจํางวด

(4) การเทียบราคากลาง

(5) การพิจารณาวาระที่ 1

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 7, 78 – 79, 83 – 85) เงินจัดสรร (Budget Allotment) หมายถึง เงินประจํางวดที่ได้รับอนุมัติแล้วยกมาตั้งจ่ายที่คลังจังหวัด คลังอําเภอ หรือที่ กรมบัญชีกลาง โดยจะเป็นเครื่องมือของกรมบัญชีกลางในการควบคุมการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งจะให้มี การเบิกจ่ายเฉพาะเมื่อถึงเวลาจะต้องจ่ายจริง และผู้บริหารหน่วยงานทําฎีกาอนุมัติเบิกจ่ายมาเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังสุดในวงจรงบประมาณ

49 ข้อใดที่จัดเป็นลักษณะของ Traditional Budget

(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Incrementalism

(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ

(3) มีคู่มือจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย

(4) ทั้งข้อ 2 และ 3

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 42 ประกอบ

50 ตามแนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรแบบเสรีนิยม “กิจกรรมที่เอกชนจัดทําแล้วประชาชนอาจเสียประโยชน์” ได้แก่

(1) บริการด้านสาธารณสุข

(2) บริการการป้องกันประเทศ

(3) การช่วยเหลือคนว่างงาน

(4) กิจการไฟฟ้า

(5) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 72) กิจกรรมบางอย่างรัฐจะต้องเข้าไปควบคุมมาตรฐานเพื่อความถูกต้องเหมาะสม เพราะถ้าปล่อยให้เอกชนจัดทําโดยเสรีแล้วอาจทําให้ประชาชน เสียประโยชน์ได้ เช่น บริการด้านการศึกษา (การจัดการศึกษาภาคบังคับ) บริการด้านสาธารณสุข (การป้องกันโรคติดต่อ การให้ความรู้เกี่ยวกับสาธารณสุขขั้นมูลฐาน) เป็นต้น

51 ปัจจัยสําคัญที่จะสนับสนุนการหดตัวของระบบเศรษฐกิจ ได้แก่

(1) ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

(2) การลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ

(3) การเพิ่มราคาขายปลีกน้ํามัน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ปัจจัยสําคัญที่จะสนับสนุนหรือมีผลต่อการหดตัวของระบบเศรษฐกิจ ได้แก่

1 ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

2 การลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ

3 การเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมัน

4 การเพิ่มอัตราภาษีอากร ฯลฯ

52 เครื่องมือในการควบคุมให้ส่วนราชการต่าง ๆ ใช้จ่ายงบประมาณของตนได้ทันปีงบประมาณ

(1) ยอดวงเงิน

(2) เงินประจํางวด

(3) เงินจัดสรร

(4) คู่มือจําแนกประเภทและชนิดการใช้จ่าย

(5) การตรวจการจ้าง

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 84 – 85) เงินประจํางวด (Apportionment) หมายถึงเงินที่จะจัดสรรให้กับส่วนราชการหนึ่ง ๆ ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งในกรณีของประเทศไทย การกําหนดระยะเวลาของเงินประจํางวดนั้นจะเป็นอํานาจของสํานักงบประมาณ โดยจะมีการ ใช้เงินประจํางวดเป็นเครื่องมือในการบริหารงบประมาณเพื่อควบคุมส่วนราชการต่าง ๆ ให้ปฏิบัติงานตามแผนที่กําหนด และสามารถนําเงินไปใช้ตามแผนงานได้ตลอดปีงบประมาณ

53 วิธีการงบประมาณแบบใดที่ให้ความสําคัญกับ “Inputs” ของหน่วยงาน

(1) แบบแผนงาน

(2) แบบมุ่งผลสัมฤทธิ์

(3) แบบโครงการ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 42 ประกอบ

54 ข้อใดเป็นคุณสมบัติของ “งบประมาณแผ่นดิน”

(1) เป็นกฎหมาย

(2) เป็นเงื่อนไขการเป็นรัฐบาล

(3) เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากร

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 63 – 66), (คําบรรยาย) คุณสมบัติหรือลักษณะสําคัญของงบประมาณแผ่นดินซึ่งแตกต่างจากงบประมาณเอกชน มีดังนี้

1 เป็นกฎหมายทางการเงิน กล่าวคือ มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งกําหนดว่าให้ใช้จ่ายเงินได้ไม่เกินจํานวนที่กําหนด แต่ในทางปฏิบัติรายจ่ายจริงอาจมีน้อยกว่ารายจ่ายที่ประมาณการ เอาไว้ก็ได้

2 เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ

3 เป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สําคัญของงบประมาณแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

4 คํานึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทํางบประมาณ

5 การกําหนดรายรับ มีรายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ

6 มีกระบวนการจัดทํางบประมาณที่มีลักษณะกระจายอํานาจ

7 ลักษณะการเป็นเจ้าของ โดยมีประชาชนเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง

8 มีการอนุมัติงบประมาณโดยรัฐสภา

9 การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณจะถูกควบคุมร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

55 ข้อแตกต่างระหว่างงบประมาณเอกชนกับงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่

(1) เป็นแผนทางการเงิน

(2) เป็นกฎหมาย

(3) วิธีการจัดหารายได้

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 54 ประกอบ

56 ระยะเวลาของการ “ใช้จ่ายเงินตามที่กําหนดไว้ในปีงบประมาณ” เรียกว่า

(1) การควบคุม

(2) การบริหารงบประมาณ

(3) การอนุมัติงบประมาณ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 83), (คําบรรยาย) การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณคือ ระยะเวลาของการใช้จ่ายเงินตามที่กําหนดไว้ในปีงบประมาณ ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ที่จะต้องหาหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อควบคุมให้การใช้จ่ายเงินของโครงการต่าง ๆ เป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี

57 ทุกข้อจัดเป็น “เงินนอกงบประมาณแผ่นดิน” ยกเว้น

(1) เงินรายได้ของกองทุนหมุนเวียน

(2) งบรายได้ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

(3) งบประมาณของเทศบาล

(4) งบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น

(5) เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 7) เงินนอกงบประมาณ หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าซึ่งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหามาได้เองด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มาจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เป็นเงินที่แยกออกจากความเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน ซึ่งได้แก่ เงินทุนหมุนเวียน งบประมาณของรัฐวิสาหกิจ (เช่น งบประมาณของ ขสมก.) เงินช่วยเหลือ จากต่างประเทศ เงินกู้ยืมทั้งในและต่างประเทศ งบประมาณของราชการบริหารส่วนท้องถิ่น (ได้แก่ งบประมาณของ อบต. อบจ. เทศบาล กทม. และเมืองพัทยา) งบรายได้ (เงินรายได้)ของสถาบันการศึกษา และงบรายได้ (เงินรายได้) ของสถาบันสาธารณสุข

58 ลักษณะที่เรียกว่าเป็น “ศูนย์รวมเงิน” ได้แก่

(1) ดําเนินการภายใต้กฏข้อบังคับเดียวกัน

(2) การจัดเตรียมถูกรวบรวมโดยสํานักงบประมาณ

(3) อนุมัติเพียงครั้งเดียวในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 67), (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะเป็น“ศูนย์รวมเงิน” ของเผ่นดิน หมายความว่า ในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ จะต้องมีการบูรณาการ แผนทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็นแผนเดียวกัน มีการอนุมัติงบประมาณเพียง ครั้งเดียว และไม่มีการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม โดยกระบวนการงบประมาณของ ส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องดําเนินไปภายใต้กฎข้อบังคับเดียวกัน ใช้บทบัญญัติเดียวกัน และมีสถาบันหรือหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบในขั้นตอนต่าง ๆ ของการบริหารงบประมาณเดียวกัน

59 ตามรัฐธรรมนูญรอบของการ “อนุมัติ” งบประมาณแผ่นดินของไทย มีระยะเวลาประมาณกี่เดือน

(1) 2 เดือน

(2) 4 เดือน

(3) 6 เดือน

(4) 8 เดือน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 78 79) ระยะเวลาของการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆเกี่ยวกับงบประมาณเผ่นดิน เรียกว่า วงจรงบประมาณ (Budget Cycle) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลา ที่ยาวนานที่สุด โดยวงจรงบประมาณของประเทศไทยนั้นจะใช้เวลาประมาณ 22 เดือน ประกอบด้วยกิจกรรมหรือการกระทํา 3 ขั้นตอน คือ การจัดเตรียมประมาณ 6 – 7 เดือน การอนุมัติประมาณ 3 – 4 เดือน และการควบคุมหรือการบริหารเป็นเวลา 12 เดือน

60 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 มีวงเงินประมาณเท่าไร

(1) 1.8 ล้านล้านบาท

(2) 2.7 ล้านล้านบาท

(3) 2.9 ล้านล้านบาท

(4) 12.7 ล้านล้านบาท

(5) 22.3 ล้านล้านบาท

ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) ปีงบประมาณ 2561 รัฐบาลได้ดําเนินนโยบายการจัดทํางบประมาณแบบขาดดุลโดยได้กําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายจํานวน 2.9 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยที่มีรายการในส่วนของรายจ่ายประจําและรายจ่ายลงทุนมีจํานวนลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน และมีวงเงินขาดดุลเป็นจํานวน 450,000 ล้านบาท

61 “กรมบัญชีกลาง” เป็นหน่วยงานในสังกัดใด

(1) สํานักนายกรัฐมนตรี

(2) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(3) กระทรวงการคลัง

(4) เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ

(5) ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) กรมบัญชีกลาง เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ดําเนินเกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ด้านการเงินการคลังและการบัญชีรวมทั้งระบบการตรวจสอบภายในของส่วนราชการเพื่อให้ส่วนราชการถือปฏิบัติ เป็นต้น

62 ที่เรียกว่า “Cost-push Inflation” เกิดจาก

(1) ความต้องการบริโภคมีมาก

(2) น้ำมันขึ้นราคา

(3) มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) การที่ปริมาณเงินในมือของประชาชนน้อย แต่ราคาสินค้าแพงขึ้นนั้น มีสาเหตุมาจากปัญหาเงินเฟ้อด้านอุปทาน คือ เกิดจากต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการสูงขึ้น (Cost-push Inflation) เช่น น้ํามันขึ้นราคา มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ เพราะวัตถุดิบและอุปกรณ์ ที่ใช้ในการผลิตมีราคาแพง จึงทําให้ผู้ผลิตจําเป็นจะต้องเพิ่มราคาสินค้าและบริการขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นควรใช้มาตรการเพื่อแก้ปัญหา ดังนี้ 1 ลดอัตราภาษีสําหรับวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต เช่น การลดราคาน้ำมัน

2 ลดอัตราภาษีสินค้าสําเร็จรูป

3 จัดหาแหล่งเงินกู้ให้เอกชนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ฯลฯ

63 สถาบันที่ทําหน้าที่ “กําหนดระยะเวลาของเงินประจํางวด”

(1) กรมบัญชีกลาง

(2) สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน

(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(4) สํานักนายกรัฐมนตรี

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52 ประกอบ

64 หลักที่ว่างบประมาณแผ่นดินต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน หมายความว่าอย่างไร

(1) งบประมาณอาจกําหนดให้ 1 ปีงบประมาณมีระยะเวลา 24 เดือนก็ได้

(2) ปีงบประมาณอาจเริ่มต้นในเดือนใดของปีปฏิทินก็ได้ แต่ต้องมีระยะเวลาแน่นอน

(3) ปีงบประมาณต้องเท่ากันกับบปฏิทินเสมอ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 68), (คําบรรยาย) หลักที่ว่า “งบประมาณแผ่นดินต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน” หมายความว่า งบประมาณอาจกําหนดให้ 1 ปีงบประมาณมีระยะเวลา 6 เดือน 1 ปี (12 เดือน) หรือ 2 ปี (24 เดือน) ก็ได้ แต่จะต้องเป็นเช่นนั้นทุก ๆ ปี และอาจจะ เริ่มต้นในเดือนใดของปีปฏิทินก็ได้

65 ลักษณะในการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินโดยหลักการแล้ว

(1) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขายสินค้าและบริการ

(2) รายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย

(3) สามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ

(4) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดเก็บภาษีอากร

(5) ทั้งข้อ 2 และ 4

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 65) ลักษณะการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินนั้น โดยหลักการแล้วสามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับได้ เนื่องจากรัฐบาล มีแหล่งของรายรับที่กว้างขวาง และมีอํานาจในการออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีอากรจาก ประชาชนและก่อหนี้สาธารณะ ในขณะที่เอกชนจะมีรายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย เพราะ เอกชนมีแหล่งรายรับที่จํากัด และขึ้นอยู่กับความสามารถในการหารายได้จากการขายสินค้าและบริการของตนเป็นสําคัญ

66 ข้อใดไม่ใช่แหล่งรายรับของรัฐบาล

(1) ภาษีอากร

(2) เงินคงคลัง

(3) เงินกู้ของรัฐบาลจากต่างประเทศ

(4) ดอกเบี้ย

(5) การขายหุ้นของรัฐบาล

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-5300 หน้า 17) แหล่งรายรับของรัฐบาล ได้แก่ ภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ รัฐพาณิชย์ การกู้เงิน การใช้เงินคงคลัง และอื่น ๆ เช่น การขายหุ้น เป็นต้น

67 ภาษีในข้อใดไม่จัดเป็นภาษีทางตรง

(1) ภาษีมรดก

(2) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

(3) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(4) ภาษีน้ำมัน

(5) ภาษีทรัพย์สิน

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 19) การจําแนกประเภทภาษีอากรตามหลักการผลักภาระภาษี แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1 ภาษีทางตรง เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้หรือผลักภาระได้ยาก เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก เป็นต้น

2 ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีน้ำมัน ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการ ภาษีการขายทั่วไป ภาษีการใช้จ่ายอากรมหรสพ ค่าใบอนุญาต เป็นต้น

68 ภาษีศุลกากรจัดเป็นภาษีประเภทใด

(1) ภาษีทางอ้อม

(2) ภาษีทางตรง

(3) ภาษีบาป

(4) ภาษีมูลฐาน

(5) ภาษีต้องห้าม

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 67 ประกอบ

69 ค่าของกลางที่ยึดมาจากคดีจัดเป็นรายได้ประเภทใดของรัฐ

(1) รายได้จากภาษีอากร

(2) รายได้จากการขายสิ่งของและบริการ

(3) รายได้จากรัฐพาณิชย์

(4) รายได้จากเงินคงคลัง

(5) รายได้จากรัฐวิสาหกิจ

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 20) รายได้จากการขายสิ่งของและบริการ เป็นรายได้ที่เกิดจากการบริหารงานของรัฐบาล เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าบริการ ค่าเช่าทรัพย์สินของรัฐ ค่าของกลางที่ยึดมาจากคดีต่าง ๆ เป็นต้น

70 ข้อใดเป็นลักษณะของภาษีทางอ้อม

(1) ผู้เสียภาษีเป็นผู้รับภาระภาษี

(2) มีผลต่อผู้ชําระภาษีโดยตรง

(3) จัดเก็บจากฐานรายได้

(4) ผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้

(5) ไม่เพิ่มต้นทุนสินค้า

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 67 ประกอบ

71 ผลกําไรจากการค้าขาย เป็นฐานภาษีของภาษีชนิดใด

(1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(2) ภาษีศุลกากร

(3) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(4) ภาษีการขาย

(5) ภาษีสรรพสามิต

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 4 – 6) การจําแนกประเภทภาษีอากรตามลักษณะของฐานภาษี แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 ภาษีที่เก็บจากเงินได้ (รายได้) เป็นการนําเอารายได้มาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภาษีบุคคลธรรมดา) มี “เงินได้หรือรายได้สุทธิ” เป็นฐานภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภาษีนิติบุคคล) มี “กําไรสุทธิ” เป็นฐานภาษีภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สินมี “มูลค่าเพิ่ม” เป็นฐานภาษี เป็นต้น

2 ภาษีที่เก็บจากทรัพย์สิน เป็นการนําเอาทรัพย์สินมาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น ภาษีมรดก ภาษีบํารุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน เป็นต้น

3 ภาษีที่เก็บจากโภคภัณฑ์ เป็นการนําเอาค่าใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าและบริการมาใช้เป็นฐาน ในการประเมินภาษี เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร (มี “มูลค่าการนําเข้า” เป็นฐานภาษี) ภาษีการค้า ภาษีการขาย ภาษีการใช้จ่าย เป็นต้น

72 โครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทย มีลักษณะอย่างไร

(1) โครงสร้างแบบถดถอย

(2) โครงสร้างแบบสัดส่วน

(3) โครงสร้างแบบพื้นฐาน

(4) โครงสร้างแบบเร่งรัด

(5) โครงสร้างแบบก้าวหน้า

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 23) โครงสร้างอัตราภาษีแบบก้าวหน้า หมายถึง อัตราภาษีส่วนเพิ่มมีค่าสูงกว่าอัตราภาษีโดยเฉลี่ย เช่น โครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทย เป็นต้น

73 สินค้าในข้อใดไม่ใช่สินค้าสาธารณะที่สมบูรณ์

(1) ห้องสมุดสาธารณะ

(2) การดําเนินนโยบายต่างประเทศ

(3) การป้องกันประเทศ

(4) การทําความสะอาดถนนสาธารณะ

(5) การควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อม

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 2, 11 – 13) สินค้าสาธารณะ (Collective Goods หรือ Public Goods) หรือสินค้าที่ไม่อาจแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ คือ สินค้าและบริการ ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปการสาธารณูปโภคที่มีประโยชน์ต่อคนส่วนรวม ไม่เป็นปรปักษ์ในการ บริโภค ซึ่งรัฐเป็นผู้ดําเนินการโดยอาศัยกฎหมายและรายได้จากภาษีอากรของประชาชน เป็นสินค้าและบริการที่มุ่งอรรถประโยชน์สูงสุดของระบบเศรษฐกิจ และไม่อาจใช้กลไกราคา เป็นเครื่องวัดมูลค่าได้ เช่น บริการป้องกันประเทศ บริการรักษาความสงบภายใน การสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การอํานวยความยุติธรรม การควบคุมน้ําท่วม การจัดแสงสว่าง ในทางเดินสาธารณะ การดําเนินนโยบายต่างประเทศ การทําความสะอาดถนนสาธารณะการควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

74 ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของสินค้าสาธารณะ

(1) ไม่สามารถกีดกันผู้อื่นไม่ให้ใช้สินค้านั้นได้

(2) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค

(3) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า

(4) ใช้กลไกราคากีดกันผู้อื่นในการใช้สินค้านั้นได้

(5) ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

75 รายได้จากภาษีสามารถคิดได้จากสิ่งใด

(1) จํานวนภาษีคูณด้วยฐานภาษี

(2) จํานวนผู้เสียภาษีคูณด้วยอัตราภาษี

(3) อัตราภาษีคูณด้วยโครงสร้างภาษี

(4) ฐานภาษีคูณด้วยอัตราภาษี

(5) โครงสร้างภาษีคูณด้วยฐานภาษี

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 23) อัตราภาษี หมายถึง อัตราที่กฎหมายภาษีอากรฉบับนั้นกําหนดให้เสียค่าภาษีอากรตามที่ระบุไว้ในกฎหมายภาษีอากร ในการกําหนดว่ารายได้ภาษีจากภาษีจะมีมูลค่าเท่าใด สามารถคํานวณได้จากฐานภาษีคูณด้วยอัตราภาษี

76 Free-Rider Problem คือปัญหาในลักษณะใด

(1) การมีผู้บริโภคแย่งกันบริโภคสินค้าสาธารณะจํานวนมาก

(2) การได้รับประโยชน์จากการที่บางคนยอมจ่ายเงินเพื่อให้มีสินค้าโดยที่ตนเองไม่ยอมจ่าย

(3) การรอรับประโยชน์และความช่วยเหลือจากภาครัฐโดยไม่ยินยอมจ่ายเงินใด ๆ

(4) การแก่งแย่งกันในการเข้าใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการสาธารณะ

(5) การเข้าใช้สินค้าสาธารณะจนทําให้บุคคลอื่นที่เข้าใช้ไม่ทันไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณะได้

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 12) ปัญหาการบริโภคโดยไม่จ่าย (Free-Rider Problem) คือ ปัญหาในลักษณะการได้รับประโยชน์จากการที่บางคนยอมจ่ายเงินเพื่อให้มีสินค้าและบริการโดยที่ตนเองไม่ยอมจ่าย

77 กลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะสมกับการนํามาจัดบริการสาธารณะแบบแท้ คือกลไกในข้อใด

(1) ใช้การจัดเก็บค่าธรรมเนียมมาสนับสนุนการจัดบริการ

(2) ใช้การจัดเก็บค่าใช้บริการมาสนับสนุนการจัดบริการ

(3) ใช้ภาษีมาสนับสนุนการจัดบริการ

(4) ใช้เงินกู้มาสนับสนุนการจัดบริการ

(5) ใช้เงินคงคลังมาสนับสนุนการจัดบริการ

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 21) กลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะสมกับการนํามาจัดบริการสาธารณะแบบแท้ คือใช้ภาษีมาสนับสนุนการจัดบริการ ซึ่งภาษีเป็นเครื่องมือหลักในการ แลกเปลี่ยนระหว่างรัฐและเอกชน มีลักษณะดังนี้

1 ประชาชนแสดงความต้องการผ่านเวทีสาธารณะ ประชาชนเลือกตั้งรัฐบาลเข้ามาเป็นตัวแทนในการจัดบริการสาธารณะที่ต้องการ

2 รัฐนําเงินภาษีมาจัดบริการสาธารณะให้กับประชาชนทุกคนโดยไม่เก็บค่าบริการ

3 รัฐเก็บภาษีจากประชาชนทุกคนเป็นการทั่วไปตามความสามารถในการเสียภาษี

78 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของตลาดภาครัฐที่ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐและเอกชน

(1) ประชาชนเลือกตั้งรัฐบาลเข้ามาเป็นตัวแทนในการจัดบริการสาธารณะที่ต้องการ

(2) ประชาชนแสดงความต้องการผ่านเวทีสาธารณะ

(3) รัฐนําเงินภาษีมาจัดบริการสาธารณะให้กับประชาชนทุกคนโดยไม่เก็บค่าบริการ

(4) รัฐจํากัดการให้บริการสาธารณะโดยใช้กลไกราคามาเป็นเครื่องมือ

(5) รัฐจัดเก็บภาษีจากประชาชนทุกคนเป็นการทั่วไปตามความสามารถในการเสียภาษี

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ

79 ฐานภาษีที่เกี่ยวกับความมั่งคั่งพิจารณาจากสิ่งใด

(1) รายได้ของบุคคล

(2) ผลกําไรของบริษัท

(3) รายได้จากทรัพย์สินที่ครอบครองอยู่

(4) การบริโภค

(5) การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 40 ประกอบ

80 ภาษีมรดกมีวิธีการประเมินภาษีอย่างไร

(1) ประเมินตามจํานวน

(2) ประเมินตามการใช้จ่าย

(3) ประเมินตามผลกําไร

(4) ประเมินตามปริมาณ

(5) ประเมินตามมูลค่า

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 71 ประกอบ

81 คํากล่าว “Taxes are the price of Democracy” สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งใด

(1) ภาษีกับกลไกราคา

(2) ภาษีกับประชาธิปไตย

(3) ภาษีกับการใช้จ่าย

(4) การใช้จ่ายในระบอบประชาธิปไตย

(5) การใช้จ่ายกับภาระภาษี

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 24) หลักการจัดเก็บภาษีในระบอบประชาธิปไตยประชาชนต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐเพื่อนําไปใช้จัดบริการสาธารณะต่าง ๆ ให้กับตน ดังคํากล่าว “Taxes are the price of Democracy” สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างภาษีกับประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี

82 ภาษีที่ทํารายได้ให้กับภาครัฐมีลักษณะอย่างไร

(1) ฐานภาษีแคบ ทํารายได้ได้มาก

(2) ฐานภาษีแคบ ขยายตัวได้เร็ว

(3) ฐานภาษีเหมาะสม ขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

(4) ฐานภาษีกว้าง ขยายตัวได้เร็ว

(5) ฐานภาษีกว้าง ขยายตัวได้ช้า

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 24) ภาษีที่ดีควรเป็นภาษีที่สามารถทํารายได้ให้กับรัฐได้ เช่น เป็นภาษีที่มีฐานภาษีกว้าง รวมถึงการขยายตัวได้รวดเร็วตามความเจริญเติบโตของ เศรษฐกิจประเทศ ซึ่งจะทําให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีอากรโดยไม่ต้องเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีจากประชาชน

83 ภาษีที่จัดเก็บจากประชาชนต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนใหญ่ เป็นหลักการพื้นฐานในการ จัดเก็บภาษีเรื่องใด

(1) การทํารายได้ที่พอเพียง

(2) หลักความยินยอมของประชาชน

(3) หลักความแน่นอน คงเส้นคงวา

(4) หลักความเสมอภาค

(5) หลักความไม่ซับซ้อน

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 25) หลักความยินยอมของประชาชน ภาษีทุกชนิดที่จัดเก็บจากประชาชนต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนใหญ่ จึงจะทําให้การบริหารการจัดเก็บภาษีทําได้ง่ายขึ้น

84 การเปลี่ยนแปลงภาษีบ่อย ๆ ไม่มีความแน่นอน คงเส้นคงวา อาจส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ในข้อใด

(1) การยินยอมเสียภาษีโดยสมัครใจ

(2) การยินยอมเสียภาษีในสภาวะจํายอม

(3) การยินยอมเสียภาษีด้วยความเกรงกลัว

(4) การต่อต้านภาษี

(5) การทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการ

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 26) การเปลี่ยนแปลงภาษีบ่อย ๆ ไม่มีความแน่นอนคงเส้นคงวา อาจส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์การต่อต้านภาษี (Tax Revolt) ขึ้นได้

85 หลักการที่ว่า “ผู้ที่มีรายได้เท่ากันต้องเสียภาษีเท่ากัน” เป็นหลักความเสมอภาคในรูปแบบใด

(1) หลักความเสมอภาคตามแนวนอน

(2) หลักความเสมอภาคในแนวตั้ง

(3) หลักความเสมอภาคในแนวดิ่ง

(4) หลักความเสมอภาคภายใน

(5) หลักความเสมอภาคเชิงเปรียบเทียบ

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 26) หลักความเสมอภาคตามแนวนอน (Horizontal Equity) มีสาระสําคัญว่า ผู้ที่มีรายได้เท่ากันต้องเสียภาษีเท่ากัน

86 สาเหตุในข้อใดทําให้เกิดความซับซ้อนในระบบภาษี

(1) การจัดเก็บภาษีโดยหน่วยงานเดียว

(2) การมีโครงสร้างภาษีทางตรงในสัดส่วนที่สูง

(3) การจัดเก็บภาษีอัตราเดียวกันทั่วประเทศ

(4) การมีข้อลดหย่อนทางภาษีไม่มาก

(5) การจัดเก็บภาษีร่วมกัน

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 26) ความซับซ้อนของระบบภาษีและการหารายได้ของรัฐอาจจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น รัฐบาลจัดเก็บภาษีหลายประเภท หลายอัตรา มีข้อลดหย่อนที่ซับซ้อน หรือมีโครงสร้างภาษีทางอ้อมในสัดส่วนที่สูง และมีการจัดเก็บภาษีร่วมกัน

87 ภาษีที่เป็นกลาง (Neutral) มีลักษณะอย่างไร

(1) ไม่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจทางการเมืองของบุคคล

(2) ไม่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจทางสังคมของบุคคล

(3) ไม่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของบุคคล

(4) ไม่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของบุคคล

(5) ไม่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตและทรัพย์สินของบุคคล

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ภาษีที่เป็นกลาง (Neutral) คือ การไม่มีอิทธิพลของภาษีต่อพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ หรือการไม่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของบุคคล

88 พฤติกรรมในข้อใดเป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย

(1) การเสียภาษีโดยภาระจํายอม

(2) การเสียภาษีโดยสมัครใจ

(3) การเลี่ยงภาษี

(4) การหนีภาษี

(5) การต่อต้านภาษี

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 27) พฤติกรรมการเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance)เป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และส่งผลโดยตรงให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

89 กรมสรรพากรไม่ได้จัดเก็บภาษีชนิดใด

(1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(3) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(4) ภาษีนําเข้า-ส่งออก

(5) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 30) กรมสรรพากร ทําหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรดังนี้

1 ภาษีเงินได้ (ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล)

2 ภาษีการค้าภายในหรือภาษีการขายทั่วไป

3 อากรมหรสพ

4 อากรแสตมป์

5 อากรรังนกอีแอ่น

6 ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

7 ภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยทางเครื่องบิน

8 ภาษีมูลค่าเพิ่ม

90 บุคคลใดไม่มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต

(1) ผู้ประกอบอุตสาหกรรม

(2) ผู้ประกอบกิจการให้คําปรึกษา

(3) ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ

(4) ผู้นําเข้ารถยนต์

(5) เจ้าของคลังสินค้าทัณฑ์บน

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 38) บุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต มีดังนี้

1 ผู้ประกอบอุตสาหกรรม

2 ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ

3 ผู้นําเข้าซึ่งสินค้า เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

4 เจ้าของคลังสินค้าทัณฑ์บน

5 ผู้ดัดแปลงรถยนต์ ฯลฯ

91 เอกสารที่ใช้เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้า/บริการ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อ คือเอกสารชนิดใด

(1) บิลเงินสด

(2) ใบสําคัญรับเงิน

(3) ใบกํากับภาษี

(4) ใบเสร็จรับเงิน

(5) ใบส่งของ

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 36) ใบกํากับภาษี คือ เอกสารที่ใช้เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้า/บริการ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อ

92 นางสาวมีนาเป็นเจ้าของบริษัท มีนาสไตล์ จํากัด ประกอบธุรกิจจําหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่น ส่งจําหน่ายภายในประเทศ นอกจากนี้นางสาวมีนายังมีรายได้จากการให้เช่าคอนโดมิเนียมชื่อดังใจกลางกรุงเทพมหานครอีก หนึ่งทาง นางสาวมีนาต้องเสียภาษีชนิดใด

(1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีศุลกากร

(2) ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีศุลกากร

(3) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีสรรพสามิต

(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพียงอย่างเดียว

(5) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 30, 33 – 35) ภาษีเงินได้ (Income Tax)แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีเงินได้ที่เก็บจากบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ผู้ถึงความตายระหว่างปีภาษี และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีเงินได้ที่เก็บจากบริษัทจํากัด ห้างหุ้นส่วนจํากัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล บริษัทมหาชนจํากัด มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ และกิจการอื่น ๆ ที่กําหนดตามประมวลรัษฎากร

93 เงินได้พึงประเมิน หมายถึง เงินได้ของบุคคลที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใด

(1) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 30 กันยายน

(2) ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 มีนาคม

(3) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม

(4) ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 31 พฤษภาคม

(5) ระหว่างวันที่ 14 เมษายน – 31 ธันวาคม

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 31) เงินได้พึงประเมิน หมายถึง เงินได้ของบุคคลใด ๆที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม ของปีใด ๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี

94 ข้อใดไม่ใช่เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

(1) เงินเดือน

(2) เงินบํานาญ

(3) เงินค่าจ้าง

(4) เบี้ยประชุม

(5) เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 31) เงินได้ประเภทที่ 1 ได้แก่ เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ไม่ว่าจะเป็น

1 เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ

2 เงินที่คํานวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้าน ซึ่งนายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า

3 เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง ฯลฯ

95 นายมหาเศรษฐีไม่ประกอบอาชีพใด ๆ แต่มีรายได้จากเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทอภิมหึมามหาทรัพย์นายมหาเศรษฐีต้องเสียภาษีใดหรือไม่

(1) ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากไม่ได้ประกอบอาชีพ

(2) ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากเงินปันผลไม่ได้เกิดจากการจ้างแรงงาน

(3) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเนื่องจากเงินปันผลจัดเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร

(4) เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเนื่องจากเป็นรายได้จากบริษัท ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล

(5) เสียทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 32) เงินได้ประเภทที่ 4 ได้แก่ ดอกเบี้ย เงินปันผลเงินส่วนแบ่งกําไร เงินสดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนหุ้น ไม่ว่าจะเป็น 1 เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกําไร หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กองทุนรวม 2 เงินโบนัสที่จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น หรือผู้เป็นหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ดูคําอธิบายข้อ 92. และ 93. ประกอบ)

96 บุคคลในข้อใดมีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2 ตามประมวลรัษฎากร

(1) นายอนาวิลเป็นผู้รับเหมาสร้างโครงการบ้านจัดสรรรายใหญ่

(2) นางสาวอนีญาเป็นศัลยแพทย์ประจําโรงพยาบาลจังหวัดภูเก็ต

(3) นายอัจฉริยะเป็นทนายความชื่อดังรับว่าความทั่วราชอาณาจักร

(4) นางอัจฉราเป็นนายหน้าขายประกันวินาศภัย

(5) นายอนาทรเป็นสถาปนิกชื่อดังแห่งบริษัทอินดีไซน์

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 32) เงินได้ประเภทที่ 2 ได้แก่ เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตําแหน่งงานที่ทํา หรือจากการรับทํางานให้ ไม่ว่าจะเป็น 1 ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด

2 เงินอุดหนุนในงานที่ทํา เบี้ยประชุม บําเหน็จ โบนัส ฯลฯ

97 นายอันดาเป็นนักแต่งเพลงอิสระ รายได้หลักมาจากการขายลิขสิทธิ์เพลง นายอันดาต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เนื่องจากมีเงินได้พึงประเมินประเภทใดตามประมวลรัษฎากร

(1) เงินได้ประเภทที่ 1

(2) เงินได้ประเภทที่ 2

(3) เงินได้ประเภทที่ 3

(4) เงินได้ประเภทที่ 4

(5) เงินได้ประเภทที่ 5

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 32) เงินได้ประเภทที่ 3 ได้แก่ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้ที่มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรมนิติกรรมอย่างอื่น หรือคําพิพากษาของศาล

98 สินค้าที่บริโภคแล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ต้องเสียภาษีชนิดใด

(1) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(2) ภาษีศุลกากร

(3) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(4) ภาษีสรรพสามิต

(5) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 38) ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผลสมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วก่อให้เกิดผลเสีย ต่อสุขภาพ และศีลธรรมอันดีงาม มีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับ ผลประโยชน์เป็นพิเศษจากกิจการของรัฐ

99 สินค้าและบริการที่รัฐควรจัดเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ ควรมีลักษณะอย่างไร

(1) Price-Excludable

(2) Non-Rival Consumption

(3) Zero Marginal Cost

(4) Common Consumption

(5) Non-Excludable

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 40) สินค้าและบริการสาธารณะที่รัฐควรจัดเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ ควรมีลักษณะดังนี้

1 Price-Excludable คือ เลือกซื้อได้ตามความต้องการของแต่ละคน

2 Rival – Consumption คือ ประโยชน์จากการบริโภคเกิดขึ้นเฉพาะตัวและการบริโภคส่งผลให้ประโยชน์ของสินค้าลดลง

3 Non-Zero Marginal Cost คือ ต้นทุนการจัดบริการเพิ่มขึ้นเมื่อมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น

 

100 การจัดบริการของรัฐที่ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อสังคม ควรมีแนวทางในการกําหนดอัตราค่าบริการอย่างไร

(1) กําหนดอัตราค่าบริการตามกลไกตลาด

(2) กําหนดอัตราค่าบริการตามสภาวะเศรษฐกิจ

(3) กําหนดอัตราค่าบริการในระดับเดียวกันกับต้นทุนทางบัญชี

(4) กําหนดอัตราค่าบริการสูงกว่าต้นทุนทางบัญชี

(5) กําหนดอัตราค่าบริการตํากว่าต้นทุนทางบัญชี

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-3300 หน้า 42), (คําบรรยาย) กรณีการจัดบริการของรัฐก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม รัฐควรกําหนดอัตราค่าบริการต่ํากว่าต้นทุนทางบัญชีและจัดสรร เงินอุดหนุนชดเชยส่วนที่ขาดทุน แต่ถ้าการจัดบริการของรัฐก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อสังคม รัฐควรกําหนดอัตราค่าบริการสูงกว่าต้นทุนทางบัญชีและนําเงินส่วนที่ต่างไปอุดหนุนชดเชย ผู้ที่ได้รับความเสียหาย

POL3300 การบริหารการคลัง 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3300 การบริหารการคลัง

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 กฎหมายกําหนดให้ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยกเว้นข้อใด

(1) บุคคลธรรมดา

(2) นิติบุคคล

(3) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

(4) ผู้ที่ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี

(5) กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 24 – 25) ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1 บุคคลธรรมดา 2 ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล 3 ผู้ที่ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี 4 กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

2 กฎหมายกําหนดให้ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีนิติบุคคล ยกเว้นข้อใด

(1) ห้างหุ้นส่วนจํากัด

(2) ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล

(3) บริษัทมหาชนจํากัด

(4) บริษัทจํากัด

(5) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้

ตอบ ไม่มีข้อใดถูก (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 24 – 25) ผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ 1 บริษัทจํากัด 2 บริษัทมหาชนจํากัด 3 ห้างหุ้นส่วนจํากัด 4 ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน (ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล) 5มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ เป็นต้น

3 ผู้ที่มีอํานาจในการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการส่งออก คือ

(1) อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก

(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

(3) อธิบดีกรมสรรพากร

(4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

(5) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 8) ผู้ที่มีอํานาจในการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการส่งออก คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี

4 “Ownership” หมายถึง

(1) กระบวนการตรวจสอบภาษีของกรมสรรพากร

(2) คณะบุคคลที่เป็นนิติบุคคล

(3) กําหนดการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี

(4) การเก็บภาษีล่วงหน้า

(5) การกํากับดูแลผู้เสียภาษีตามกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 27 – 28) กรมสรรพากรได้กําหนดกลยุทธ์การพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีอากรโดยใช้นโยบายการกํากับดูแลผู้เสียภาษีอากรอย่างใกล้ชิดเป็นราย ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นแนวทางการจัดเก็บภาษีโดยให้มีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในลักษณะเป็น Ownership คือ การกํากับดูแลผู้เสียภาษีอากรตามกลุ่มของการประกอบธุรกิจ (กลุ่ม ผู้ประกอบการธุรกิจ) ตั้งแต่การให้คําแนะนําอย่างใกล้ชิด การติดตามดูแลผู้เสียภาษีอากร โดยไม่เน้นการตรวจสอบย้อนหลัง แต่ให้มีการกํากับดูแลทันทีที่ถึงกําหนดการยื่นแบบแสดง รายการเสียภาษี

5 หลักการจัดเก็บภาษีอากรในประเทศไทย

(1) หลักสัญชาติ

(2) หลักถิ่นที่อยู่

(3) หลักแหล่งเงินได้

(4) หลักถิ่นที่อยู่และหลักแหล่งเงินได้

(5) หลักสัญชาติและหลักแหล่งเงินได้

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 27), (เอกสารหมายเลข 1-3300-3 หน้า 16)หลักการจัดเก็บภาษีอากรที่ใช้กันในปัจจุบันมี 3 หลักการ ดังนี้ 1 หลักถิ่นที่อยู่ คือ บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศใดต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศนั้น ซึ่งในกรณีของประเทศไทยบุคคลใดอยู่ในประเทศไทยครบ 180 วัน ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย 2 หลักแหล่งเงินได้ คือ ผู้มีเงินได้จากแหล่งประเทศใด ก็ต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศนั้น 3 หลักสัญชาติ คือ บุคคลที่ถือสัญชาติใดก็ให้เสียภาษีแก่ประเทศนั้น อนึ่งสําหรับประเทศไทยจะใช้หลักถิ่นที่อยู่เละหลักแหล่งเงินได้เท่านั้น

6 การกําหนดมาตรการลงโทษ คือลักษณะพิเศษของกฎหมายภาษีอากรข้อใด

(1) หลักความเสมอภาค

(2) หลักความเป็นกลาง

(3) หลักการบังคับใช้ทั่วไป

(4) หลักสะดวก

(5) หลักความชอบด้วยกฎหมาย

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 15 – 16) หลักการบังคับใช้เป็นการทั่วไป เป็นการบังคับใช้กฎหมายภาษีอากรภายใต้เขตแดนภาษี หรือเรียกว่า หลักการใช้อํานาจตามส่วนและต้องอยู่ภายใต้กรอบแห่งระยะเวลา ไม่มีผลย้อนหลัง

7 อัตราภาษีตามสภาพและอัตราภาษีตามราคา คืออัตราภาษีข้อใด

(1) อัตราภาษีแบบสัดส่วน

(2) อัตราภาษีแบบก้าวหน้า

(3) อัตราภาษีแบบถดถอย

(4) อัตราภาษีแบบคงที่

(5) อัตราภาษีแบบถอยหลัง

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 1-3300-3 หน้า 12 – 13) อัตราภาษีคงที่ แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

1 อัตราตามสภาพ เป็นกรณีที่ฐานภาษีแสดงไว้เป็นปริมาณหรือขนาด เช่น การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสุราเป็นลิตร เป็นต้น 2. อัตราตามราคา เป็นกรณีที่ฐานภาษีแสดงไว้เป็นราคาหรืออัตราภาษีที่กําหนดไว้เป็นร้อยละของราคาสินค้า เช่น การจัดเก็บภาษีศุลกากรจากรถยนต์นําเข้าในอัตราร้อยละ 80 ของราคารถยนต์ เป็นต้น

8 ภาษีที่เก็บจากสุรา คือข้อใด

(1) ภาษีศุลกากร

(2) ภาษีการใช้จ่าย

(3) ภาษีการขาย

(4) ภาษีที่ดิน

(5) ภาษีสรรพสามิต

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 10 – 11, 29) กรมสรรพสามิต มีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งเก็บจากสินค้าหรือโภคภัณฑ์บางประเภทที่ผลิตภายในประเทศ เช่น สุรา เครื่องดื่ม ยาสูบ (บุหรี) ไพ่ น้ำมันและผลิตภัณฑ์นำมัน น้ำหอม รถยนต์ ซีเมนต์ ยานัตถุ ฯลฯ

9 ภาษีทางอ้อม คือข้อใด

(1) ภาษีการใช้จ่าย

(2) ภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สิน

(3) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(5) ภาษีมรดก

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 29), (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 11), (คําบรรยาย)การจําแนกประเภทภาษีอากรตามหลักการผลักภาระภาษี แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1 ภาษีทางตรง เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้หรือผลักภาระได้ยาก เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการประกันสังคม ภาษีมรดก ภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สิน เป็นต้น

2 ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการ ภาษีการขายทั่วไป ภาษีการใช้จ่าย อากรมหรสพ ค่าใบอนุญาต เป็นต้น

10 ข้อใดคือภาษีเพื่อการใช้จ่ายเฉพาะอย่าง (Earmarked Tax)

(1) ภาษีสรรพสามิต

(2) ภาษีนิติบุคคล

(3) ภาษีการค้า

(4) ภาษีเงินเดือน

(5) ภาษีศุลกากร

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 1-3300-3 หน้า 10 – 11) การจําแนกประเภทภาษีอากรตามลักษณะการใช้เงินภาษีแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ภาษีเพื่อการใช้จ่ายทั่วไป เป็นภาษีอากรส่วนใหญ่ที่รัฐบาลจัดเก็บจากประชาชนเพื่อนําเข้า เป็นงบประมาณรายได้ แล้วตั้งจ่ายไปตามงบประมาณรายจ่ายประจําปี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร เป็นต้น

2 ภาษีเพื่อการใช้จ่ายเฉพาะอย่าง เป็นภาษีอากรที่รัฐบาลจัดเก็บเป็นรายได้สําหรับใช้จ่ายในกิจการหรือเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นการเฉพาะ มิได้นําเข้าเป็นงบประมาณรายได้สําหรับใช้จ่าย เป็นการทั่วไป เช่น การจัดเก็บภาษีเงินเดือนเพื่อนํามาตั้งเป็นกองทุนให้บริการด้านการประกันสังคม เป็นต้น

11 ภาษีประเภทใดนับเป็นแหล่งรายได้ที่สําคัญของกลุ่มประเทศกําลังพัฒนา

(1) ภาษีการขาย

(2) ภาษีสรรพสามิต

(3) ภาษีศุลกากร

(4) ภาษีการค้า

(5) ภาษีทรัพย์สิน

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 12, 14), (คําบรรยาย) ภาษีการค้า ถือเป็นแหล่งรายได้ที่สําคัญที่สุดของประเทศที่กําลังพัฒนา ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วแหล่งรายได้สําคัญจะมาจากภาษีรายได้และภาษีทรัพย์สิน

12 ประเภทของภาษีอากรที่มีอยู่ตามประมวลรัษฎากรในปัจจุบัน ยกเว้น

(1) ภาษีทรัพย์สิน

(2) ภาษีธุรกิจเฉพาะ

(3) อากรแสตมป์

(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(5) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 17) ภาษีอากรที่มีอยู่ตามประมวลรัษฎากรในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1 ภาษีเงินได้ ประกอบด้วย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล 2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3 ภาษีธุรกิจเฉพาะ 4 อากรแสตมป์

13 ภาษีทางตรงเป็นการจําแนกภาษีประเภทใด

(1) การจําแนกตามระดับของผู้จัดเก็บ

(2) การจําแนกตามลักษณะของการใช้เงินภาษี

(3) การจําแนกตามหลักการผลักภาระภาษี

(4) การจําแนกตามลักษณะของฐานภาษี

(5) การจําแนกตามวิธีการประเมิน

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 9 ประกอบ

14 ภาษีมรดกและการให้เป็นภาษีที่จัดเก็บอย่างไร

(1) ภาษีทางตรง

(2) ภาษีที่เก็บจากทรัพย์สิน

(3) ภาษีทางอ้อม

(4) ภาษีที่เก็บจากโภคภัณฑ์

(5) ภาษีที่เก็บจากการประเมิน

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 12), (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทภาษีอากรตามลักษณะของฐานภาษี แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 ภาษีที่เก็บจากเงินได้ (รายได้) เป็นการนําเอารายได้มาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภาษีบุคคลธรรมดา) มี “เงินได้หรือรายได้สุทธิ” เป็นฐานภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภาษีนิติบุคคล) มี “กําไรสุทธิ” เป็นฐานภาษี, ภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สิน มี “มูลค่าเพิ่ม” เป็นฐานภาษี เป็นต้น

2 ภาษีที่เก็บจากทรัพย์สิน เป็นการนําเอาทรัพย์สินมาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น ภาษีมรดก, ภาษีบํารุงท้องที่, ภาษีโรงเรือนและที่ดิน เป็นต้น

3 ภาษีที่เก็บจากการบริโภคหรือโภคภัณฑ์ เป็นการนําเอาค่าใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าและบริการมาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น ภาษีสรรพสามิต, ภาษีศุลกากร มี “มูลค่าการนําเข้า” เป็นฐานภาษี, ภาษีการค้า มี “รายรับหรือยอดขาย” เป็นฐานภาษี ภาษีการขาย, ภาษีการใช้จ่าย เป็นต้น

15 การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินจากที่ดินเรียกว่าอะไร

(1) ภาษีทรัพย์สิน

(2) ภาษีบํารุงท้องที่

(3) ภาษีโรงเรือนและที่ดิน

(4) ภาษีที่ดิน

(5) ภาษีที่บุคคลถือครอง

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 12) ภาษีทรัพย์สิน เป็นภาษีที่เก็บจากทรัพย์สินที่บุคคลถือครองอยู่ทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ โดยภาษีที่มีทรัพย์สินเป็นฐานนี้ มีชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินจากที่ดินเรียกว่า “ภาษีบํารุงท้องที่”การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินจากโรงเรือนที่ให้เช่าเรียกว่า “ภาษีโรงเรือนและที่ดิน” เป็นต้น

16 “เงินได้สุทธิ” เป็นฐานภาษี (Tax Base) ของภาษีประเภทใด

(1) ภาษีทางตรง

(2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(3) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(5) ภาษีเงินได้จากการขาย

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 14. ประกอบ

17 ความหมายของคําว่า “การหลบหลีกภาษี” คือข้อใด

(1) ผู้มีอิทธิพลร่วมกับเจ้าหน้าที่มักจะหาช่องทางไม่เสียภาษี

(2) ประชาชนไม่สนใจกฎหมายภาษีอากร

(3) ปัญหาจากกลไกการจัดเก็บภาษีบกพร่อง

(4) การหาวิธีไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีให้น้อยลงโดยวิธีการที่ถูกกฎหมาย

(5) การหาวิธีไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีให้น้อยลงโดยวิธีการที่ผิดกฎหมาย

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 20), (คําบรรยาย) การหลบหลีกภาษี (Tax Evasion) หมายถึง การหาวิธีการไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีให้น้อยลงโดยวิธีการที่ผิดกฎหมาย ได้แก่

1 ประชาชนไม่ให้ความสนใจกฎหมายภาษีอากร จึงทําให้ไม่ทราบว่ากิจการของตนเป็นกิจการที่ต้องเสียภาษี

2 กลุ่มผู้มีอิทธิพลมักพยายามหาช่องทางไม่เสียภาษีอากรร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีจึงทําให้ผู้มีอิทธิพลน้อยหรือไม่มีอิทธิพลปฏิบัติตาม

3 กลไกการจัดเก็บภาษีอากรยังมีความบกพร่อง จึงทําให้การหลบหลีกภาษีเป็นเรื่องง่าย

18 ภาษีที่ท้องถิ่นไม่ได้จัดเก็บ คือข้อใด

(1) ภาษีบํารุงท้องที่

(2) ภาษีบํารุงท้องถิ่น

(3) ภาษีโรงเรือนและที่ดิน

(4) ภาษีป้าย

(5) อากรฆ่าสัตว์

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 30, 47 – 48) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตําบล เทศบาล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา มีอํานาจหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอากร ดังนี้

1 ภาษีโรงเรือนและที่ดิน

2 ภาษีบํารุงท้องที่

3 ภาษีป้าย

4 อากรฆ่าสัตว์

19 ภาษีอากรที่ท้องถิ่นไม่ได้เก็บร่วมกับรัฐบาลกลาง คือข้อใด

(1) ภาษีการขาย

(2) ภาษีการค้า

(3) ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน

(4) ภาษีเครื่องดื่ม

(5) อากรมหรสพ

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 48) ภาษีอากรที่ท้องถิ่นจัดเก็บร่วมกับรัฐบาลกลางหรือภาษีเสริม (Surcharge Tax) เป็นภาษีที่รัฐบาลช่วยจัดเก็บ ได้แก่ ภาษีการค้า ภาษีเครื่องดื่ม อากรมหรสพ และภาษีน้ํามันกับผลิตภัณฑ์น้ํามัน

20 ข้อใดไม่ใช่ภาษีร่วม (Revenue-Sharing Tax)

(1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(2) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(3) ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน

(4) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(5) ภาษีการค้า

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 54) ระบบภาษีร่วม (Revenue-Sharing Tax) เป็นระบบภาษีที่มีฐานรายได้ร่วมกันระหว่างรัฐบาลระดับต่าง ๆ ซึ่งภาษีที่นิยมใช้ระบบ ดังกล่าว ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้า ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต เป็นต้น

 

ตั้งแต่ข้อ 21. – 25. เป็นนโยบายภาษีในข้อใดต่อไปนี้ (อาจเลือกคําตอบได้มากกว่าหนึ่งครั้ง)

(1) ส่งเสริมการลงทุน

(2) ส่งเสริมการกระจายความมั่งคั่ง

(3) สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ

(4) สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ

(5) เพื่อหารายได้ของรัฐ

 

21 ลดการนําเข้าสินค้าและส่งเสริมการลงทุนเพื่อทดแทนการนําเข้า

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 18), (คําบรรยาย) นโยบายภาษีอากรที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้

1 เพื่อหารายได้ของรัฐ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) สนับสนุนนโยบายการขึ้นภาษียาสูบของรัฐบาล

2 สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เช่น การออกกฎหมายเพื่อผลักดันหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายภาษีสิ่งแวดล้อม (PPP) การพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ในส่วนของเชื้อเพลิงที่ ไม่ได้มาตรฐาน นโยบายภาษีที่ลดการนําเข้าสินค้าและส่งเสริมการลงทุนเพื่อทดแทนการนําเข้า

3 สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ เช่น การใช้ภาษีเงินได้แบบติดลบในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำ ยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีรายได้ไม่เกิน 80,000 บาท ผู้มีเงินได้สุทธิ ไม่เกิน 100,000 บาท ให้จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 5 การขยายเวลาการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% การปรับลดภาษีน้ำมัน

4 ส่งเสริมการกระจายความมั่งคั่ง ซึ่งอาจกระทําได้โดยการเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยในราคาแพงการเก็บภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน หรือภาษีบุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า

5 ส่งเสริมการลงทุน คือ การกําหนดอัตราภาษีหรือยกเว้นภาษีบางประเภท หรือกําหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การลงทุนของรัฐบาลกับเอกชนมีความสอดคล้องกันหรือช่วยส่งเสริมการลงทุน ของภาคเอกชน เช่น การกําหนดอัตราภาษีศุลกากรในอัตราที่ต่ํา การออกมาตรการภาษีและ ค่าธรรมเนียมเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาตลาดทุนไทย ซึ่งได้แก่ การยกเว้นภาษี Capital Gains กรณีบุคคลธรรมดา การหักภาษี ณ ที่จ่ายอัตรา 10% สําหรับเงินปันผลที่ได้รับ ฯลฯ

 

22 เพิ่มอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ

23 การเก็บภาษีบุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ

24 การร่วมลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนมีความสอดคล้องกัน

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ

25 ผู้มีเงินได้สุทธิไม่เกิน 100,000 บาท ให้จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 5

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ

26 เงินได้พึงประเมินข้อใดที่ไม่ต้องนํามาคํานวณในการเสียภาษี

(1) ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงินที่ได้รับจริง

(2) การขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก

(3) ประโยชน์ที่อาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน

(4) เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกําหนด

(5) เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เงินได้พึงประเมินที่ต้องนํามาคํานวณในการเสียภาษี ได้แก่

1 ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงินที่ได้รับจริง

2 การขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก

3 ประโยชน์ที่อาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน

4 เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกําหนด ฯลฯ

27 ภาษีประเภทใดเป็นดัชนีชี้วัดการพัฒนาประเทศ

(1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(2) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(3) ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน

(4) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(5) ภาษีการค้า

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 0-2300-3 หน้า 23) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถือเป็นดัชนีชี้วัดการพัฒนาประเทศ และเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่จะสะท้อนระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ ซึ่ง ประเทศใดก็ตามที่ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้มากพอที่จะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็แสดงว่าประเทศนั้นมีระดับการพัฒนาสูง และประชาชนมีความกินดีอยู่ดี

28 ขีดจํากัดของระบบภาษีในการเก็บภาษีสูงขึ้น ข้อใดถูกต้องที่สุด

(1) อํานาจของรัฐบาลสูงขึ้น เสรีภาพของเอกชนลดลง

(2) การออมทรัพย์ของเอกชนเพิ่มขึ้น

(3) การลงทุนของเอกชนเพิ่มขึ้น

(4) การลงทุนของเอกชนลดลง

(5) อํานาจของรัฐบาลลดลง เสรีภาพของเอกชนเพิ่มขึ้น

ตอบ 1, 4 (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 17 – 18) ขีดจํากัดของระบบภาษีในการเก็บภาษีสูงขึ้น คือ

1 อํานาจของรัฐบาลสูงขึ้น เสรีภาพของเอกชนจะลดลง

2 การออมทรัพย์ของเอกชนจะลดลง

3 การลงทุนของเอกชนจะลดลง

4 การหลบเลี่ยงภาษีอาจมีมากขึ้น

29 ข้อใดเป็นลักษณะการเก็บภาษีเพื่อลดปัญหาเงินเฟ้อ

(1) การยกเว้นภาษีบางประเภท

(2) การเก็บภาษีให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ

(3) การเก็บภาษีทุกประเภทให้น้อยลง

(4) การเก็บภาษีบุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า

(5) การเก็บภาษีให้มากขึ้น

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 18 – 19) ภาวะเงินเฟ้อทําให้มีการขยายตัวในการนําสินค้าเข้า ซึ่งทําให้การแบ่งสรรรายได้เป็นไปอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้นภาษีอากรที่สามารถลด การบริโภคของประชาชน หรือการเก็บภาษีมาใช้ในการพัฒนาประเทศให้มากขึ้นจะสามารถ ช่วยลดปัญหาความรุนแรงของภาวะเงินเฟ้อได้

30 ค่าใช้จ่ายในการบริหารภาษีอากรควรจะอยู่ในอัตราที่ต่ำ คือลักษณะระบบภาษีอากรข้อใด

(1) หลักยุติธรรม

(2) หลักสะดวก

(3) หลักทํารายได้ดี

(4) หลักประหยัด

(5) หลักแน่นอน

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 15), (คําบรรยาย) หลักประหยัด หมายถึง การบริหารงานจัดเก็บภาษีควรจะให้เสียค่าใช้จ่ายทั้งผู้จัดเก็บและผู้เสียภาษีน้อยที่สุด แต่ให้ได้ประโยชน์มาก ที่สุด นั่นคือ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดเก็บควรจะต่ำ และการจัดเก็บควรมีผลกระทบต่อเอกชนน้อยที่สุด เช่น การนําเครื่องมือการจัดการมาใช้แทนคนในการจัดเก็บภาษีอากร เป็นต้น

31 อัตราภาษีที่จัดเก็บจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าฐานภาษีที่เพิ่มขึ้น คือโครงสร้างอัตราภาษีข้อใด

(1) อัตราภาษีแบบสัดส่วน

(2) อัตราภาษีแบบก้าวหน้า

(3) อัตราภาษีแบบถดถอย

(4) อัตราภาษีแบบคงที่

(5) อัตราภาษีแบบถอยหลัง

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 12 – 13), (คําบรรยาย) อัตราภาษีที่ใช้ในการคํานวณภาษีอากร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 อัตราภาษีคงที่ (Flat Tax Rate) หรืออัตราภาษีตามสัดส่วน (Proportional Tax Rate) คือ อัตราภาษีที่จัดเก็บจะคงที่เมื่อฐานภาษีเปลี่ยนไป หรืออัตราภาษีที่เรียกเก็บเท่ากันหมด ไม่ว่าฐานภาษีจะต่างกันหรือไม่

2 อัตราภาษีแบบถดถอย (Regressive Tax Rate) คือ อัตราภาษีที่จัดเก็บจะลดลงเมื่อฐานภาษีเพิ่มขึ้นหรือมากขึ้น

3 อัตราภาษีแบบก้าวหน้า (Progressive Tax Rate) คือ อัตราภาษีที่จัดเก็บจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าฐานภาษีที่เพิ่มขึ้น หรืออัตราภาษีที่เรียกเก็บมากขึ้นเมื่อฐานภาษีมากขึ้น

32 ลักษณะพิเศษของกฎหมายภาษีอากร ยกเว้น

(1) หลักสะดวก

(2) หลักความชอบด้วยกฎหมาย

(3) หลักการบังคับใช้ทั่วไป

(4) หลักความเป็นกลาง

(5) หลักความเสมอภาคทางภาษีอากร

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 1-3300-3 หน้า 15 – 16) ลักษณะพิเศษของกฎหมายภาษีอากรมี 4 ประการ คือ

1 หลักความชอบด้วยกฎหมายภาษี

2 หลักความเสมอภาคทางภาษี

3 หลักการบังคับใช้เป็นการทั่วไป

4 หลักความเป็นกลางและการแทรกแซงภาษี

33 ข้อต่อไปนี้คือหลักการจัดเก็บภาษีจากผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ยกเว้น

(1) ผู้ผลิต

(2) ผู้ให้บริการ

(3) ผู้ขายส่งและผู้ขายปลีก

(4) ผู้นําเข้าและผู้ส่งออก

(5) องค์การของรัฐบาลบางแห่ง

ตอบ 5 (GM 306 เลขพิมพ์ 51163 หน้า 156 – 159) ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เก็บจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและการจําหน่ายสินค้าหรือ บริการต่าง ๆ โดยผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่

1 ผู้ผลิต 2 ผู้ให้บริการ

3 ผู้ขายส่งและผู้ขายปลีก 4 ผู้นําเข้าและผู้ส่งออก

34 “หลักการใช้อํานาจตามส่วน” และต้องอยู่ภายใต้กรอบแห่งเวลา “ไม่มีผลย้อนหลัง” คือลักษณะพิเศษ ของกฎหมายภาษีอากรข้อใด

(1) หลักความชอบด้วยกฎหมายภาษี

(2) หลักความเสมอภาคทางภาษีอากร

(3) หลักการบังคับใช้เป็นการทั่วไป

(4) หลักความเป็นกลาง

(5) หลักการแทรกแซงภาษี

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

35 อธิบดีกรมสรรพากร คือ

(1) นายประสงค์ พูนธเนศ

(2) นายสมชัย สัจจพงษ์

(3) นายวินัย วิทวัสการเวช

(4) นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล

(5) นางอัจนา ไวความดี

ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) อธิบดีกรมสรรพากรคนปัจจุบัน คือ นายประสงค์ พูนธเนศ เข้าดํารงตําแหน่งตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2557

36 ส่วนขาดดุลทางการคลังเกิดจากข้อใด

(1) รัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้

(2) รัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่าย

(3) รัฐบาลมีรายจ่ายเท่ากับรายได้

(4) รายจ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 21), (คําบรรยาย)นโยบายการคลัง แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 นโยบายการคลังแบบสมดุล คือ นโยบายที่กําหนดให้รายรับของรัฐเท่ากับรายจ่ายของรัฐ

2 นโยบายการคลังแบบเกินดุล คือ นโยบายที่กําหนดให้รายรับของรัฐมากกว่ารายจ่ายของรัฐ

3 นโยบายการคลังแบบขาดดุล คือ นโยบายที่กําหนดให้รายรับของรัฐน้อยกว่ารายจ่ายของรัฐ

37 ปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930 เรียกว่าอะไร

(1) Crisis

(2) The Great Storm

(3) The Great Depression

(4) Hamburger Crisis

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930 เรียกว่า The Great Depression ซึ่งทฤษฎีของเคนส์ได้เข้ามาช่วยในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ํานี้ โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดําเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลโดยรัฐบาล ซึ่งเป็นการทํางานของกลไกอุปสงค์มวลรวม

38 นักเศรษฐศาสตร์สํานักใดไม่ยอมรับการก่อหนี้สาธารณะ

(1) เคนส์เซียน

(2) นีโอลิเบอรัล

(3) พาณิชย์นิยม

(4) เสรีนิยม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) นักเศรษฐศาสตร์สํานักคลาสสิก (Classical Economist) หรือสํานักเสรีนิยม(Liberalist) มองว่า บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด (Minimalist State) คือ รัฐบาลควรใช้จ่ายงบประมาณอย่างจํากัด ดังนั้นการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลซึ่งนําไปสู่การก่อหนี้สาธารณะจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์สํานักนี้

39 ในทฤษฎีของเคนส์การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลเป็นการทํางานของกลไกในข้อใด

(1) การบริโภค

(2) การออม

(3) การลงทุน

(4) อุปสงค์มวลรวม

(5) การจับจ่ายใช้สอย

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 37 ประกอบ

40 กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่าอะไร

(1) วินัยทางการคลัง

(2) กฎเหล็กทางการคลัง

(3) ความยั่งยืนทางการคลัง

(4) กฎกระทรวงการคลัง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่า วินัยทางการคลัง

41 บทบัญญัติของกฎหมายมาตราใดในพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ที่กําหนดขีดจํากัดของ การก่อหนี้สาธารณะสําหรับประเทศไทย

(1) มาตรา 8

(2) มาตรา 8 ทวิ

(3) มาตรา 9

(4) มาตรา 9 ทวิ

(5) มาตรา 9 ตรี

ตอบ 4 (คําบรรยาย) พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ที่กําหนดขีดจํากัดของการก่อหนี้สาธารณะคือ มาตรา 9 ทวิ ซึ่งกําหนดให้กู้ได้ร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปีที่ใช้บังคับอยู่ ในขณะนั้น และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกับอีกร้อยละ 80 ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สําหรับชําระคืนต้นเงินกู้

42 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะอยู่ภายใต้สังกัดของหน่วยงานใด

(1) สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง

(2) กรมบัญชีกลาง

(3) สํานักงบประมาณ

(4) กรมธนารักษ์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2542 เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้สังกัดของสํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง

43 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นในปีใด

(1) ปี พ.ศ. 2540

(2) ปี พ.ศ. 2541

(3) ปี พ.ศ. 2542

(4) ปี พ.ศ. 2543

(5) ปี พ.ศ. 2544

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 42 ประกอบ

44 ข้อใดไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ

(1) หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน

(2) หนี้ของรัฐบาล

(3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน

(4) หนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 39 – 40, เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 36 – 42)หนี้สาธารณะ มีลักษณะดังนี้

1 หนี้ที่รัฐบาลกู้ตรงทั้งหนี้ในประเทศและต่างประเทศ

2 หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลค้ําประกันและไม่ค้ําประกัน แต่ไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐไม่ได้ค้ำประกัน

3 หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

45 บทบาทของรัฐบาลในลักษณะที่เป็น Minimalist State ตรงกับข้อใด

(1) รัฐบาลไม่มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ

(2) รัฐบาลไม่ควรมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ

(3) บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด

(4) บาทบาทของรัฐบาลเป็นไปตามนโยบายของพรรคการเมือง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 38 ประกอบ

46 ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทย อยู่ที่ประมาณร้อยละเท่าไร

(1) 10

(2) 15

(3) 20

(4) 40

(5) 60

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 มีจํานวน 6,267,920.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.64 ของ GDP

47 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละเท่าไร

(1) 7.12

(2) 15.26

(3) 15.28

(4) 18.25

(5) 25.74

ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.1 และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ภาระหนี้ต่องบประมาณอยู่ที่ร้อยละ 8.9

48 ข้อใดคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ

(1) วงเงิน

(2) ระยะเวลาชําระคืน

(3) อัตราดอกเบี้ย

(4) ผู้ที่รับภาระหนี้

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) การก่อหนี้สาธารณะต้องคํานึงถึงผู้ที่รับภาระหนี้ วงเงิน ระยะเวลาชําระคืนและอัตราดอกเบี้ย โดยที่อัตราดอกเบี้ยคือ ความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้ สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับต่างประเทศ เนื่องจากต้องใช้คืนทั้งต้นเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวนตามค่าเงิน

49 กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะ คือข้อใด

(1) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2545

(2) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2546

(3) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2547

(4) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548

(5) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2550

ตอบ 4 (คําบรรยาย) กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะ คือ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548

50 ข้อใดไม่ใช่ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ

(1) ตั๋วสัญญาใช้เงิน

(2) พันธบัตร

(3) ตั๋วเงินคลัง

(4) บัตรเงินฝาก

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 39 – 40) ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ คือ

1 ตัวเงินคลัง 2 ตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 พันธบัตร

51 ข้อใดเป็นคํานิยามของพันธบัตรที่ถูกต้อง

(1) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินหกเดือน

(2) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน

(3) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป

(4) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบแปดเดือนขึ้นไป

(5) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่ยี่สิบสี่เดือนขึ้นไป

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 39), (คําบรรยาย) พันธบัตร คือ เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับเต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป

52 ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังไม่อาจกู้เงินเพื่อการใด

(1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ

(2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

(3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ

(4) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ

(5) พัฒนาตลาดทุนในประเทศ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้

1 ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ หรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้

2 พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

3 ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ

4 ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ

5 พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ

53 บุคคลใดเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ

(1) นายกรัฐมนตรี

(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

(3) ปลัดกระทรวงการคลัง

(4) ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ

(5) ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 42)คณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ ประกอบด้วย

1 ประธานกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

2 รองประธานกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

3 กรรมการ ได้แก่ ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลังผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน

4 กรรมการและเลขานุการ ได้แก่ ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ การ

54 ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ

(1) การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

(2) การเป็นเครื่องชี้วัดสถานภาพทางสังคม

(3) การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง

(4) การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ คือ

1 การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

2 การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง

3 การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า

55 ข้อใดไม่นับว่าเป็นเงิน

(1) เหรียญกษาปณ์

(2) เช็ค

(3) ตั๋วแลกเงิน

(4) บัตรเครดิต

(5) ศิลปวัตถุ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เงิน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ธนบัตรเหรียญกษาปณ์ เช็ค ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต เป็นต้น

56 คําในข้อใดหมายถึงนโยบายการเงิน

(1) Fiscal Policy

(2) Monetary Policy

(3) Financial Policy

(4) Public Policy

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 20 – 22), (คําบรรยาย) นโยบายการเงิน (Monetary Policy) หมายถึง นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เช่น การกําหนดอัตราดอกเบี้ย การควบคุมการปล่อย สินเชื่อของสถาบันการเงิน การควบคุมการให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน การออกระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ทางการเงิน เป็นต้น

57 การดําเนินนโยบายการเงินไม่มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเรื่องใด

(1) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

(2) การจ้างงาน

(3) ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

(4) เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) การดําเนินนโยบายการเงินใด ๆ ก็ตามต่างก็มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการจ้างงาน

58 ECB เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด

(1) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ

(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์

(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป

(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา

(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ในปัจจุบันธนาคารกลางที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ได้แก่ ธนาคารกลางแห่งยุโรป(European Central Bank : ECB) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve Bank : FED) เป็นต้น

59 ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงิน

(1) การควบคุมปริมาณเงิน

(2) การกําหนดอัตราดอกเบี้ย

(3) การควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

(4) การเก็บภาษีศุลกากร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ประกอบด้วย 3 เครื่องมือ คือ การควบคุมปริมาณเงิน การกําหนดอัตราดอกเบี้ย และการควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

60 หน่วยงานใดเป็นผู้กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย

(1) กระทรวงพาณิชย์

(2) กระทรวงการคลัง

(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(4) ธนาคารกรุงไทย

(5) คณะกรรมการนโยบายการเงิน

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้ 1 ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร

2 กําหนดและดําเนินนโยบายการเงิน เช่น กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย

3 บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย

4 เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน

5 กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

6 บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ในทุนสํารองเงินตรา ฯลฯ

61 ข้อใดคือลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน

(1) มุ่งหากําไรสูงสุด

(2) หลีกเลี่ยงการแทรกแซงตลาดการเงิน

(3) มีอิสระจากฝ่ายการเมือง

(4) มีอํานาจเด็ดขาด

(5) รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสีย

ตอบ 3 (คําบรรยาย) หน่วยงานที่ทําหน้าที่ดูแลนโยบายการเงิน ก็คือ ธนาคารกลาง ซึ่งมีลักษณะที่สําคัญที่สุดในการดําเนินนโยบายทางการเงิน คือ มีอิสระจากฝ่ายการเมืองนั่นเอง

62 ในปัจจุบันบุคคลใดดํารงตําแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

(1) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล

(2) นายประทิน สันติประภพ

(3) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

(4) นายวิรไท สันติประภพ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน คือ นายวิรไท สันติประภพซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

63 ธนาคารแห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปีใด

(1) ปี พ.ศ. 2480

(2) ปี พ.ศ. 2485

(3) ปี พ.ศ. 2490

(4) ปี พ.ศ. 2495

(5) ปี พ.ศ. 2500

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ

64 ข้อใดไม่ใช่บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย

(1) ออกธนบัตร

(2) บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย

(3) ผลิตเหรียญกษาปณ์

(4) กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 60 ประกอบ

65 ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับเท่าไร

(1) ร้อยละ 1.0 ต่อปี

(2) ร้อยละ 1.5 ต่อปี

(3) ร้อยละ 2.0 ต่อปี

(4) ร้อยละ 2.5 ต่อปี

(5) ร้อยละ 3.0 ต่อปี

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.5 ต่อปี ซึ่งยังคงเดิมไว้ตลอดทั้งปี 2560

66 ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

(1) เสถียรภาพและความมั่นคง

(2) การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล

(3) การบริหารความเสี่ยงที่ดี

(4) ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน คือ

1 เสถียรภาพและความมั่นคง 2 การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล

3 การบริหารความเสี่ยงที่ดี 4 ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน

67 ความต้องการถือเงินของภาคครัวเรือน เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากข้อใด

(1) ความต้องการจับจ่ายใช้สอย

(2) การสร้างความมั่นคง

(3) การสร้างหลักประกันในการดําเนินชีวิต

(4) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3 (5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) เงินเป็นสิ่งสําคัญและมีบทบาทอย่างสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากลักษณะของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนของเงินนั่นเอง ซึ่งทําให้ ภาคครัวเรือนเกิดความต้องการถือเงินเมื่อมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย

68 FED เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด

(1) ธนาคารกลางแห่งฝรั่งเศส

(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์

(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป

(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา

(5) ธนาคารกลางแห่งแอฟริกา

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 58 ประกอบ

69 ตัวชี้วัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้แก่

(1) อัตราเงินเฟ้อ

(2) อัตราการว่างงาน

(3) ค่าจ้างขั้นต่ำ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-2300-2 หน้า 10 – 11), (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินจะต้องเป็นไปเพื่อ

1 สร้างความเจริญเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจหรือความมั่งคั่งของชาติ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตมวลรวม

2 สร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการว่างงานอัตราเงินฝืด และอัตราเงินเฟ้อ

3 สร้างประสิทธิภาพในการทํางาน ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูผลผลิตต่อหน่วย

4 สร้างความเสมอภาคหรือการกระจายทางเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมให้กับสังคม ซึ่งสามารถวัดได้โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างของรายได้ อัตราการใช้จ่ายและทรัพย์สินที่มี

70 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ พิจารณาได้จาก

(1) อัตราเงินเฟ้อ

(2) อัตราการว่างงาน

(3) ค่าจ้างขั้นต่ำ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 69 ประกอบ

71 หน่วยงานใดที่ทําหน้าที่ “จัดให้ใช้และจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุ”

(1) กรมบัญชีกลาง

(2) กรมสรรพากร

(3) กรมธนารักษ์

(4) สํานักงานปลัด กระทรวงการคลัง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 10) กรมธนารักษ์ (Treasury Department) มีหน้าที่ในการผลิตเหรียญกษาปณ์ จัดทําเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บรักษาทรัพย์สินของรัฐ จัดให้ใช้ และจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุให้เป็นไปอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด และโอนบัญชีตรวจสอบยอดการรับจ่ายบัญชีคงคลังให้ตรงกับของธนาคารแห่งประเทศไทยและกรมบัญชีกลาง

72 สินค้าต่อไปนี้ ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ยกเว้น

(1) เสื้อผ้า

(2) น้ำหอม

(3) รถยนต์

(4) เครื่องดื่ม

(5) น้ำมัน

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

73 ภาวะเงินฝืด แก้ไขได้โดย

(1) ปรับงบประมาณให้เป็นแบบเกินดุล

(2) ลดอัตราภาษีอากร

(3) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 1-3300-1 หน้า 23), (คําบรรยาย) ภาวะเงินฝืด หมายถึง ภาวะที่อุปสงค์ด้านสินค้าและบริการน้อยกว่าอุปทานด้านสินค้าและบริการ หรือเป็นภาวะที่มีปริมาณเงิน หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยเกินไป ทําให้เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด และประชาชนว่างงาน ดังนั้นรัฐบาลควรจะแก้ไขปัญหาด้วยการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ให้มากขึ้น โดยการนํานโยบายการคลังแบบขาดดุล (แบบขยายตัว) และการลดอัตราภาษีอากร มาใช้ควบคู่กับนโยบายการเงินดังต่อไปนี้

1 ซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากประชาชน

2 ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์

3 ลดอัตราเงินสดสํารองของธนาคารพาณิชย์

4 ลดอัตราส่วนลดเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้มากขึ้น ฯลฯ

74 ในระดับการกําหนดยอดวงเงินของงบประมาณแบบแสดงรายการ การตัดสินใจจะใช้วิธีการใด

(1) Pure Rationality

(2) Political Bargaining

(3) Economic Analysis

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 24, 27 – 28) การกําหนดยอดวงเงินของงบประมาณแบบแสดงรายการ จะใช้การตัดสินใจโดยอาศัยหลักความพึงพอใจ (Muddling Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม(Incrementalism) ซึ่งเป็นการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณ โดยอาศัยการต่อรองระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ (Political Bargaining) และสิ่งที่จะนํามาพิจารณา ตัดสินใจกันก็จํากัดอยู่แต่เฉพาะโครงการใหม่ งานใหม่ หรือพิจารณาแต่ส่วนที่เพิ่มขึ้นของ วงเงินงบประมาณจากปีที่ผ่านมา โดยดูว่าส่วนเพิ่มนั้นเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่อย่างไรและจะจัดสรรอย่างไรสังคมจึงจะยอมรับร่วมกัน

75 “ความพยายามที่จะเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนในการดําเนินงานและผลงานที่ได้รับ” เป็นวิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์งบประมาณแบบใด

(1) แสดงรายการ

(2) แสดงผลงาน

(3) แผนงาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 26, 28 – 29) การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Analysis) เป็นการวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐกิจที่พยายามเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุน ในการดําเนินงานกับผลงานที่ได้รับ ซึ่งเทคนิคนี้เป็นวิธีการที่ใช้ในการจัดทํางบประมาณแบบโครงการ (Program Budget) หรืองบประมาณแบบแสดงผลงาน (Performance Budget)

76 ระยะเวลาในการ “ควบคุม” งบประมาณในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ ของไทยมีระยะเวลาประมาณกี่เดือน

(1) 4 เดือน

(2) 9 เดือน

(3) 12 เดือน

(4) 18 เดือน

(5) ไม่แน่นอนกําหนดตายตัวไม่ได้

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 15 – 16) ระยะเวลาของการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆเกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน เรียกว่า วงจรงบประมาณ (Budget Cycle) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลา ที่ยาวนานที่สุด โดยวงจรงบประมาณของประเทศไทยนั้นจะใช้เวลาประมาณ 22 เดือน ประกอบด้วยกิจกรรมหรือการกระทํา 3 ขั้นตอน คือ การจัดเตรียมประมาณ 6 – 7 เดือนการอนุมัติประมาณ 3 – 4 เดือน และการควบคุมหรือการบริหารเป็นเวลา 12 เดือน

77 วิธีการใดที่จัดเป็นส่วนสําคัญที่สุดของ “งบประมาณแบบแสดงรายการ”

(1) การจัดทําโครงสร้างแผนงาน

(2) การจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย

(3) การวิเคราะห์โครงการ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 24 – 25, 27 – 28), (คําบรรยาย) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line-Item Budget) หรืองบประมาณแบบเก่า (Conventional Budget)หรืองบประมาณแบบประเพณี (Traditional Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการ ควบคุมเพื่อมุ่งตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริตของการใช้จ่ายเงินของรัฐ หรือให้ ความสําคัญกับความถูกต้องของ “ปัจจัยนําเข้า” (Inputs) หรือการจัดสรร “ทรัพยากร” ของ งานหรือโครงการ โดยเน้นกฎ ระเบียบ และการควบคุมให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบนั้น ดังนั้น งบประมาณจึงถูกแบ่งออกตามหน่วยราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ (Agencies Classification หรือ Organizations Classification) โดยเฉพาะในระดับกรม และมีการแบ่งแยกตามประเภท และชนิดของการใช้จ่าย (Objects of Expenditure Classification) เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนี้ในการจัดเตรียมงบประมาณก็จะต้อง มีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจ (Mudding Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism) เป็นเกณฑ์ด้วย

78 วิธีการงบประมาณแบบใดที่ให้ความสําคัญกับ “ปัจจัยนําเข้า” ของงานหรือโครงการ

(1) แสดงรายการ

(2) แสดงผลงาน

(3) แผนงาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ

79 ที่เรียกว่า “Cost-push Inflation” เกิดจาก

(1) ความต้องการบริโภคมีมาก

(2) น้ำมันขึ้นราคา

(3) มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 23 – 24), (คําบรรยาย) การที่ปริมาณเงินในมือของประชาชนน้อย แต่ราคาสินค้าแพงขึ้นนั้น มีสาเหตุมาจากปัญหาเงินเฟ้อด้านอุปทาน คือ เกิด จากต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการสูงขึ้น (Cost-push Inflation) เช่น น้ํามันขึ้นราคา มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ํา เพราะวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตมีราคาแพง จึงทําให้ผู้ผลิต จําเป็นจะต้องเพิ่มราคาสินค้าและบริการขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นควรใช้มาตรการเพื่อแก้ปัญหา ดังนี้

1 ลดอัตราภาษีสําหรับวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต เช่น การลดราคาน้ำมัน

2 ลดอัตราภาษีสินค้าสําเร็จรูป

3 จัดหาแหล่งเงินกู้ให้เอกชนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ฯลฯ

80 ทุกข้อเป็น “มาตรการการลดการขาดดุลการค้า” ยกเว้น

(1) การเพิ่มอัตราภาษีสินค้านําเข้า

(2) ส่งเสริมการใช้สินค้าไทย

(3) ลดต้นทุนสินค้าออก

(4) การเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ

(5) ส่งเสริมการลงทุนจากบรรษัทระหว่างประเทศ

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 24 – 25), (คําบรรยาย) การขาดดุลการค้าหมายถึง ภาวะที่มีมูลค่าสินค้านําเข้ามากกว่ามูลค่าสินค้าส่งออก ซึ่งมาตรการในการ แก้ปัญหาการขาดดุลการค้า มีดังนี้

1 ลดปริมาณสินค้านําเข้าให้น้อยลง โดยการใช้นโยบายต่าง ๆ เช่น นโยบายการคลังแบบเกินดุลและเพิ่มอัตราภาษีอากร นโยบายการเงินโดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ เพิ่มอัตราเงินสดสํารอง ขายพันธบัตรรัฐบาล นโยบายอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศโดยการลดค่าเงินบาท ส่งเสริมการใช้สินค้าไทย เป็นต้น

2 เพิ่มปริมาณสินค้าส่งออก โดยใช้นโยบายการคลัง เช่น การคืนอากรวัตถุดิบ ลดหรือยกเว้นภาษีอากรขาออกเพื่อให้ต้นทุนสินค้าส่งออกตําลง เป็นต้น

81 ข้อแตกต่างระหว่างงบประมาณเอกชนกับงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่

(1) เป็นแผนทางการเงิน

(2) เป็นกฎหมาย

(3) ลักษณะการเป็นเจ้าของ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 1 – 4, 58), (คําบรรยาย) คุณสมบัติหรือลักษณะสําคัญของงบประมาณแผ่นดินซึ่งแตกต่างจากงบประมาณเอกชน มีดังนี้

1เป็นกฎหมายทางการเงิน กล่าวคือ มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งกําหนดว่าให้ใช้จ่ายเงินได้ไม่เกินจํานวนที่กําหนด แต่ในทางปฏิบัติรายจ่ายจริงอาจมีน้อยกว่ารายจ่ายที่ประมาณการเอาไว้ก็ได้

2 เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ

3 เป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สําคัญของงบประมาณแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

4 คํานึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทํางบประมาณ

5 การกําหนดรายรับ มีรายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ

6 มีกระบวนการจัดทํางบประมาณที่มีลักษณะกระจายอํานาจ

7 ลักษณะการเป็นเจ้าของ โดยมีประชาชนเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง

8 มีการอนุมัติงบประมาณโดยรัฐสภา

9 การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณจะถูกควบคุมร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

82 ทุกข้อจัดเป็น “เงินนอกงบประมาณแผ่นดิน” ยกเว้น

(1) เงินรายได้ของสถาบันการศึกษา

(2) งบประมาณของสํานักงบประมาณ

(3) งบประมาณของเทศบาล

(4) งบประมาณของ ขสมก.

(5) เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-2300-1 หน้า 41), (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 4 – 5), (คําบรรยาย)เงินนอกงบประมาณ หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าซึ่งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหามาได้เองด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มาจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นเงินที่แยกออกจากความเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน ซึ่งได้แก่ เงินทุนหมุนเวียน งบประมาณของรัฐวิสาหกิจ (เช่น งบประมาณของ ขสมก.) เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ เงินกู้ยืมทั้งในและต่างประเทศ งบประมาณของราชการบริหารส่วนท้องถิ่น (ได้แก่ งบประมาณของ อบต. อบจ. เทศบาล กทม. และเมืองพัทยา) งบรายได้ (เงินรายได้) ของสถาบันการศึกษา และงบรายได้ (เงินรายได้) ของสถาบันสาธารณสุข

83 ระยะเวลาของการบริหารงบประมาณ เรียกว่า

(1) ปีงบประมาณ

(2) วงจรงบประมาณ

(3) เงินประจํางวด

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 5 – 6), (คําบรรยาย) รอบของการบริหารหรือการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณแผ่นดินหรือระยะเวลาของการใช้จ่ายเงินตาม พ.ร.บ.งบประมาณ เรียกว่า “ปีงบประมาณ” หรือ “ปีคลัง” (Fiscal Year) ซึ่งปกติแล้วจะต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน โดยอาจเป็น 6 เดือน 1 ปี (12 เดือน) หรือ 2 ปี (24 เดือน) ก็ได้ แต่จะต้องเป็นเช่นนั้นทุก ๆ ปี และจะเริ่มต้นในเดือนใดก็ได้ เช่น ปีงบประมาณของไทยมีระยะเวลา 12 เดือน เริ่มต้นจาก วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี และไปสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป โดยใช้ชื่อปีถัดไป เป็นชื่อปีงบประมาณ (เช่น ปีงบประมาณ 2561 จะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2560 และสิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2561)

84 กิจกรรมใดมีลักษณะผูกขาดได้โดยง่าย

(1) การศึกษาภาคบังคับ

(2) การป้องกันโรคติดต่อ

(3) การบริการน้ำประปา

(4) การป้องกันประเทศ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 9) กิจกรรมที่มีลักษณะผูกขาดได้โดยง่ายนั้นมักเป็นกิจกรรมที่ยิ่งมีผู้ใช้สินค้าและบริการมาก ต้นทุนต่อหน่วยก็จะลดลง เช่น กิจการไปรษณีย์ ไฟฟ้า โทรศัพท์ ประปา ขนส่งมวลชน เป็นต้น

85 ระบบงบประมาณที่ในด้านการควบคุมมีลักษณะที่สําคัญคือ

(1) แบ่งเงินงบประมาณออกตามวัตถุประสงค์ในการจัดสรรทรัพยากร

(2) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน

(3) มีการกําหนดตัวชี้วัดผลผลิต

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ

86 ลักษณะสําคัญที่สุดของระบบงบประมาณที่ในด้านการวางแผนวางโครงการ

(1) แบ่งเงินงบประมาณออกตามประเภทและชนิดของการใช้จ่าย

(2) เน้นที่การแบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ

(3) มีการจัดทําแผนงานระยะยาวและตัวชี้วัดความสําเร็จ

(4) แบ่งเงินงบประมาณออกตามวัตถุประสงค์ในการจัดสรรทรัพยากร

(5) มีการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข 0-3300-2 หน้า 1 – 2, 29 – 30, 33, 36 – 37), (คําบรรยาย)งบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการวางแผนวางโครงการโดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ระยะยาว ระบบงบประมาณแบบนี้จะมีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายและตั้งวงเงินงบประมาณ ตามแต่ละแผนงาน มีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจผสมกับหลัก เหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning) มีการแบ่งเงินงบประมาณออกตาม โครงสร้างแผนงานหรือโครงการ (Program Structure) มีการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในการวิเคราะห์โครงการเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างแผนงานหรือโครงการที่ จัดทําว่ามีความสัมพันธ์กับโครงการใด ๆ บ้าง มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายสาธารณะ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการ วางแผนวางโครงการของหน่วยงาน มีการกําหนดตัวบ่งชี้หรือวัดความสําเร็จตามเป้าหมายของ แผนงานหรือโครงการเพื่อการติดตามประเมินผล และที่สําคัญระบบนี้จะต้องมีการจัดทําแผนงาน และแผนทางการเงินระยะยาว (อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี) เพื่อประกอบการจัดทําโครงการด้วย

87 ลักษณะของระบบ Program Budget

(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ

(2) มีการกําหนดผลลัพธ์ของโครงการ

(3) ให้ความสําคัญกับการแบ่งแยกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 0-3300-2 หน้า 28 – 29), (คําบรรยาย) งบประมาณแบบโครงการ(Program Budget) หรืองบประมาณแบบแสดงผลงาน (Performance Budget) เป็นระบบ งบประมาณที่ในหลักประสิทธิภาพ กล่าวคือ เป็นระบบงบประมาณที่เน้นการควบคุม ประสิทธิภาพของการใช้จ่าย หรือให้ความสําคัญกับประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร ทั้งนี้ ก็เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์อย่างประหยัด นอกจากนี้ยังให้ความสําคัญกับผลผลิต (Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ของงานหรือโครงการในแต่ละปี โดยจะมีการแบ่งเงินงบประมาณ ออกตามโครงการหรือตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล (Objectives Classification) หรือตามหน้าที่ ของรัฐ (Functional Classification) มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) หรือ วิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการหรือประสิทธิภาพของการใช้เงิน และมีการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณโดยอาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) เป็นสําคัญ

88 สถาบันที่ทําหน้าที่ “กําหนดระยะเวลาของเงินประจํางวด”

(1) กรมบัญชีกลาง

(2) สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน

(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(4) สํานักงบประมาณ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 21) เงินประจํางวด (Apportionment) หมายถึง เงินที่จะจัดสรรให้กับส่วนราชการหนึ่ง ๆ ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งในกรณีของประเทศไทยการกําหนดระยะเวลาของเงินประจํางวดนั้นจะเป็นอํานาจของสํานักงบประมาณ

89 “เงินประจํางวด” หมายถึงอะไร

(1) แผนการใช้จ่ายเงิน

(2) เงินในหมวดรายจ่ายประจํา

(3) รายงานทางการเงิน

(4) เงินของราชการส่วนภูมิภาค

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 88 ประกอบ

90 ลักษณะสําคัญของงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่

(1) รายจ่ายจริงอาจมีมากกว่ารายจ่ายที่ประมาณการเอาไว้ก็ได้

(2) รัฐบาลมีรายได้เป็นตัวกําหนดรายจ่าย

(3) มีลักษณะของการจัดทําที่กระจายอํานาจ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81 ประกอบ

91 ตัวอย่างของสินค้าสาธารณะ (Public Goods) ได้แก่

(1) การจัดแสงสว่างในทางเดินสาธารณะ

(2) บริการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

(3) น้ำประปา

(4) ถูกข้อ 1 และ 2

(5) ถูกข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 0-3300-2 หน้า 3, 8 – 9) สินค้าสาธารณะ (Collective Goods หรือ Public Goods) หรือสินค้าที่ไม่อาจแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ คือ สินค้าและบริการที่ เกี่ยวข้องกับสาธารณูปการสาธารณูปโภคที่มีประโยชน์ต่อคนส่วนรวม ซึ่งรัฐเป็นผู้ดําเนินการโดย อาศัยกฎหมายและรายได้จากภาษีอากรของประชาชน เป็นสินค้าและบริการที่มุ่งอรรถประโยชน์ สูงสุดของระบบเศรษฐกิจ และไม่อาจใช้กลไกราคาเป็นเครื่องวัดมูลค่าได้ เช่น บริการป้องกัน ประเทศ บริการรักษาความสงบภายใน การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การอํานวย ความยุติธรรม การควบคุมน้ําท่วม การจัดแสงสว่างในทางเดินสาธารณะ เป็นต้น

92 ที่ว่า “ งบประมาณแผ่นดินเป็นเงื่อนไขของการเป็นรัฐบาล” หมายความว่าอย่างไร

(1) งบประมาณแผ่นดินเป็นกฎหมายอย่างหนึ่ง

(2) ผู้จัดเตรียมงบประมาณต้องเป็นผู้ใช้เงินงบประมาณ

(3) ถ้างบประมาณแผ่นดินไม่ได้รับการรับรองจากสภารัฐบาลจะบริหารประเทศต่อไปไม่ได้

(4) รัฐบาลต้องเป็นผู้พิจารณาอนุมัติงบประมาณ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข 0-3300-2 หน้า 2,19) งบประมาณแผ่นดิน เป็นเงินของประชาชนที่มอบให้กับรัฐบาลในรูปของภาษีอากรและการกู้ยืมเพื่อนําไปใช้ในการบริหารประเทศ ดังนั้นการใช้จ่าย เงินงบประมาณจึงต้องได้รับการอนุมัติหรือยินยอมจากประชาชนเสียก่อน แต่เนื่องจากการบริหาร ราชการในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประชาชนได้มอบอํานาจการตัดสินใจให้กับ สภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว งบประมาณแผ่นดินซึ่งการจัดทําเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะ จึงจําเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาโดยต้องทําเป็นกฎหมายก่อนที่จะนําไปใช้ ซึ่งถ้า งบประมาณไม่ได้รับการรับรองจากสภา รัฐบาลก็จะบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่างบประมาณเป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือการจัดตั้งรัฐบาลนั่นเอง

93 การแบ่งรายจ่ายออกเป็นหมวด เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ เป็นการจําแนกงบประมาณที่เรียกว่า

(1) Objects of Expenditure Classification

(2) Objective Classification

(3) Functional Classification

(4) Agencies Classification

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ

94 ลักษณะที่เรียกว่าเป็น “ศูนย์รวมเงิน” ได้แก่

(1) ดําเนินการภายใต้การดูแลของสถาบันต่าง ๆ เดียวกัน

(2) ดําเนินการภายใต้กฎข้อบังคับเดียวกัน

(3) อนุมัติเพียงครั้งเดียวในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 4), (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะเป็น“ศูนย์รวมเงิน” ของแผ่นดิน หมายความว่า ในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ จะต้องมีการบูรณาการ แผนทางการเงินของสวนราชการต่าง ๆ ให้เป็นแผนเดียวกัน มีการอนุมัติงบประมาณเพียง ครั้งเดียว และไม่มีการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม โดยกระบวนการงบประมาณของ ส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องดําเนินไปภายใต้กฎข้อบังคับเดียวกัน ใช้บทบัญญัติเดียวกัน และมีสถาบันหรือหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบในขั้นตอนต่าง ๆ ของการบริหารงบประมาณเดียวกัน

95 การ “อนุมัติงบประมาณ” มีรายละเอียดที่ถูกกําหนดโดย

(1) กฎหมายรัฐธรรมนูญ

(2) พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ 2502

(3) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534

(4) ข้อบังคับกระทรวงการคลัง

(5) พระราชกฤษฎีกา

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 15) พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ถือเป็นกฎหมายแม่บทในกระบวนการจัดทํางบประมาณแผ่นดินของไทย ซึ่งจะกําหนดหลักเกณฑ์ กว้าง ๆ ในการจัดเตรียมและควบคุมหรือการบริหารงบประมาณ ส่วนการอนุมัติงบประมาณ จะเป็นไปภายใต้ข้อบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะกําหนดวิธีการกว้าง ๆ ในการพิจารณา อนุมัติของรัฐสภา

96 หลักที่ว่างบประมาณแผ่นดินต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน หมายความว่าอย่างไร

(1) งบประมาณอาจกําหนดให้ 1 ปีงบประมาณมีระยะเวลา 24 เดือนก็ได้

(2) ปีงบประมาณอาจเริ่มต้นในเดือนใดของปีปฏิทินก็ได้ แต่ต้องมีระยะเวลาแน่นอน

(3) ปีงบประมาณต้องเท่ากันกับปีปฏิทินเสมอ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

97 ลักษณะในการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินโดยหลักการแล้ว

(1) รายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย

(2) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดเก็บภาษีอากร

(3) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขายสินค้าและบริการ

(4) สามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข ท-3300-2 หน้า 3) ลักษณะการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินนั้น โดยหลักการแล้วสามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับได้ เนื่องจากรัฐบาล มีแหล่งของรายรับที่กว้างขวาง และมีอํานาจในการออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีอากรจาก ประชาชนและก่อหนี้สาธารณะ ในขณะที่เอกชนจะมีรายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย เพราะ เอกชนมีแหล่งรายรับที่จํากัด และขึ้นอยู่กับความสามารถในการหารายได้จากการขายสินค้าและบริการของตนเป็นสําคัญ

98 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 มีวงเงินประมาณเท่าไร

(1) 1.8 ล้านล้านบาท

(2) 2.7 ล้านล้านบาท

(3) 2.9 ล้านล้านบาท

(4) 12.7 ล้านล้านบาท

(5) 22.3 ล้านล้านบาท

ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) ปีงบประมาณ 2561 รัฐบาลได้ดําเนินนโยบายการจัดทํางบประมาณแบบขาดดุลโดยได้กําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายจํานวน 2.9 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยที่มีรายการในส่วนของรายจ่ายประจําและรายจ่ายลงทุนมีจํานวนลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน และมีวงเงินขาดดุลเป็นจํานวน 450,000 ล้านบาท

99 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 มีวงเงินคิดเป็นร้อยละเท่าไรของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

(1) 12

(2) 15

(4) 26

(5) 30

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 98 ประกอบ

100 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 มีวงเงินขาดดุลจํานวนเท่าไร

(1) 390,000 ล้านบาท

(2) 450,000 ล้านบาท

(3) 760,000 ล้านบาท

(4) เกินดุล 36,000 ล้านบาท

(5) ศูนย์บาท (เป็นงบประมาณสมดุล)

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 98 ประกอบ

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายจรัลต้องการซื้อที่ดินที่เกาะช้าง 1 แปลง ราคา 1 ล้านบาท จึงโทรศัพท์ไปหาเพื่อนของตนคือนายปรีดาให้ช่วยจัดหาที่ดินให้โดยบอกว่า “ถ้ามีใครสนใจอยากขายที่ดิน ให้นายปรีดาติดต่อขอซื้อ ไปได้เลยโดยไม่ต้องบอกผู้ขายว่านายปรีดามาซื้อที่ดินแทนใคร” นายปรีดาตอบตกลง นายจรัล จึงโอนเงินให้นายปรีดา 1 ล้านบาทเพื่อทําการซื้อที่ดิน ต่อมาอีก 2 เดือน นางสมใจประกาศ ขายที่ดิน 1 แปลงราคา 1 ล้านบาท นายปรีดาจึงทําการซื้อที่ดินดังกล่าวไว้ในนามของตนเอง ต่อมานายจรัลทราบว่านายปรีดาซื้อที่ดินได้สําเร็จตามที่ตกลงกันจึงแจ้งไปยังนายปรีดาให้มา ทําการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ตน แต่นายปรีดาปฏิเสธโดยอ้างว่าการตั้งตัวแทนให้ทําการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์นั้นจะต้องทําเป็นหนังสือ นายจรัลตั้งนายปรีดาเป็นตัวแทนด้วยวาจาผ่านทาง โทรศัพท์เท่านั้น การตั้งตัวแทนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายปรีดาไม่จําต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน คืนแก่นายจรัล ข้ออ้างของนายปรีดาฟังขึ้นหรือไม่ จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้อง มีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 806 “ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทําไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทําการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทําให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อน ที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่”

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจรัลได้ตั้งให้นายปรีดาเป็นตัวแทนเพื่อทําการซื้อขายที่ดิน 1 แปลง ที่เกาะช้างผ่านทางโทรศัพท์ โดยกําหนดเงื่อนไขให้นายปรีดาติดต่อขอซื้อที่ดินไปได้เลยโดยไม่ต้องบอกผู้ขายว่า นายปรีดามาซื้อที่ดินแทนใครนั้น ถือว่านายจรัลเป็นตัวการซึ่งไม่ได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 ดังนั้น นายปรีดาตัวแทนจะต้องเข้าผูกพันรับผิดแก่บุคคลภายนอกโดยลําพังตนเองเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นตัวการเสียเอง และถึงแม้ว่ากิจการที่นายปรีดาตัวแทนไปกระทําคือการไปซื้อที่ดินนั้น ตามกฎหมายบังคับว่าต้องทําเป็นหนังสือ ซึ่งการตั้งตัวแทนเพื่อกิจการดังกล่าวก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วยก็ตาม แต่ในเรื่องของตัวการซึ่งไม่ได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 นั้น ถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798 ดังนั้น การที่นายจรัลตั้งให้นายปรีดาเป็นตัวแทนไปซื้อ ที่ดินดังกล่าวแม้จะทําด้วยวาจาผ่านทางโทรศัพท์ การตั้งตัวแทนก็มีผลสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย

และเมื่อนายปรีดาได้ทําการซื้อที่ดินดังกล่าวไว้ในนามของตนเองตามความประสงค์ของนายจรัล ตัวการแล้ว นายปรีดาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องส่งมอบที่ดินดังกล่าวให้แก่นายจรัลอันเป็นหน้าที่ของตัวแทนตามมาตรา 810 ดังนั้น เมื่อนายจรัลแจ้งไปยังนายปรีดาให้มาทําการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ตน แต่นายปรีดาปฏิเสธโดย อ้างว่าการตั้งตัวแทนให้ทําการซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และนายปรีดาไม่จําต้องโอนกรรมสิทธิ์ เที่ดินคืนให้แก่นายจรัลนั้น ข้ออ้างของนายปรีดาจึงฟังไม่ขึ้น นายปรีดาจะต้องทําการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แปลงดังกล่าวคืนให้แก่นายจรัล

สรุป ข้ออ้างของนายปรีดาฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. นายอาทิตย์เปิดร้านขายรถจักรยานยนต์มือสองอยู่ที่ถนนลาดพร้าว มีทั้งขายเงินสด ขายเงินผ่อนและขายเชื่อ นายจันทร์ได้นํารถจักรยานยนต์ใช้แล้วของตนหนึ่งคันไปฝากนายอาทิตย์ขาย ในราคา 3 หมื่นบาทโดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้บําเหน็จแก่นายอาทิตย์จํานวน 2 พันบาท และในขณะเดียวกันก็ให้นายอาทิตย์ซื้อจักรยานยนต์ใช้แล้วไม่เกิน 3 ปีให้ตนใหม่หนึ่งคันราคา ไม่เกิน 4 หมื่นบาท โดยตกลงจะให้บําเหน็จแก่นายอาทิตย์จํานวน 2 พันบาทเช่นกัน นายอาทิตย์ ได้นํารถจักรยานยนต์ของนายจันทร์ไปขายเพื่อให้แก่นายพุธ เมื่อหนี้ถึงกําหนด นายพุธไม่นําเงิน มาชําระ กรณีนี้นายอาทิตย์หรือนายจันทร์จะเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกค่ารถจักรยานยนต์จากนายพุธ และถ้าฟ้องแล้วนายพุธไม่มีเงินมาชําระ นายอาทิตย์จะต้องรับผิดต่อนายจันทร์หรือไม่ เพราะเหตุใด อีกกรณีหนึ่ง นายอาทิตย์ได้ไปซื้อเชื่อรถจักรยานยนต์คันใหม่จากนายศุกร์โดยอ้างว่าตนซื้อไปให้ นายจันทร์ ต่อมาเมื่อหนี้ถึงกําหนด นายอาทิตย์ไม่นําเงินไปชําระให้แก่นายศุกร์ ดังนี้ นายศุกร์ จะฟ้องนายอาทิตย์หรือนายจันทร์ให้ชําระหนี้แก่ตน เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 837 “ในการที่ตัวแทนค้าต่างทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่น ร่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคูสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทนค้า ต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย”

มาตรา 838 “ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชําระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อ ถ้วการเพื่อชําระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกําหนดในสัญญา หรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทน ประพฤติต่อกัน หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น

อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อน นั้นไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน ชอบที่จะได้รับบําเหน็จพิเศษ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 837 ได้บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างต่อบุคคล ภายนอกไว้ว่า เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการอย่างใดแทนตัวการแล้ว ตัวแทนค้าต่างย่อม ต้องผูกพันเป็นคู่สัญญากับบุคคลภายนอกโดยตรง ถ้าบุคคลภายนอกผิดสัญญา ตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิฟ้องร้อง ตามสัญญานั้นในนามของตนเองได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกตามสัญญานั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์เปิดร้านขายรถจักรยานยนต์มือสองอยู่ที่ถนนลาดพร้าว และนายจันทร์ได้นํารถจักรยานยนต์ใช้แล้วของตนหนึ่งคันไปฝากนายอาทิตย์ขาย และในขณะเดียวกันก็ให้นายอาทิตย์ ซื้อจักรยานยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่หนึ่งคันโดยตกลงจะให้บําเหน็จแก่นายอาทิตย์นั้น ย่อมถือว่านายอาทิตย์เป็น ตัวแทนค้าต่างของนายจันทร์ตามมาตรา 833

การที่นายอาทิตย์ได้นํารถจักรยานยนต์ของนายจันทร์ไปขายเพื่อให้แก่นายพุธ และเมื่อหนี้ ถึงกําหนดนายพุธไม่นําเงินมาชําระนั้น นายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาย่อมเป็นผู้ที่มีสิทธิ ฟ้องเรียกค่ารถจักรยานยนต์จากนายพุธ เพราะนายอาทิตย์ได้ทําสัญญาขายเชื่อรถจักรยานยนต์ให้แก่นายพุธ ในนามของตนเอง จึงมีสิทธิต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการขายรถจักรยานยนต์นั้นตามมาตรา 837 และถ้าฟ้องแล้ว นายพุธไม่มีเงินมาชําระ นายอาทิตย์ซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างไม่ต้องรับผิดต่อนายจันทร์ตามมาตรา 838 วรรคหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง การที่นายอาทิตย์ได้ไปซื้อเชื่อรถจักรยานยนต์คันใหม่จากนายศุกร์โดยอ้างว่าตน ซื้อไปให้นายจันทร์นั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนดนายอาทิตย์ไม่นําเงินไปชําระให้แก่นายศุกร์ ดังนี้นายศุกร์ย่อมมีสิทธิ ฟ้องนายอาทิตย์ให้ชําระหนี้ให้แก่ตนได้ เพราะนายอาทิตย์เป็นตัวแทนค้าต่างทําการซื้อรถจักรยานยนต์กับนายศุกร์ ในนามของตนเอง แม้จะอ้างว่าตนซื้อไปให้นายจันทร์ก็ตาม แต่นายอาทิตย์ตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อ นายศุกร์คู่สัญญาด้วยตามมาตรา 837

สรุป ถ้านายพุธไม่นําเงินมาชําระ นายอาทิตย์เป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกค่ารถจักรยานยนต์จาก นายพุธ และถ้าฟ้องแล้วนายพุธไม่มีเงินมาชําระ นายอาทิตย์ไม่ต้องรับผิดต่อนายจันทร์

อีกกรณีหนึ่ง ถ้านายอาทิตย์ไม่นําเงินไปชําระแก่นายศุกร์ นายศุกร์มีสิทธิฟ้องให้นายอาทิตย์ ชําระหนี้ให้แก่ตนได้

 

ข้อ 3. นายมงคลตกลงให้นายจุ๊บเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายมงคล โดยนายมงคลจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 5 ของราคาที่ขายได้ นายมงคลได้มอบนามบัตรของนายมงคลซึ่งมีที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ ที่บ้านของนายมงคลกับได้มอบแผนที่หลังโฉนดที่ดินที่นายมงคลต้องการขายให้แก่นายจุ๊บไว้ด้วย ต่อมานายต้นและนายบุญมาถามซื้อที่ดินบริเวณนั้น นายจุ๊บจึงพาคนทั้งสองไปดูที่ดินของนายมงคล หลังจากนั้นนายต้นและนายบุญได้ไปพานายพลและนายยลมาดูที่ดินของนายมงคลด้วย โดยนายพล ตกลงจะซื้อที่ดินนั้น นายต้นและนายบุญจึงขอนามบัตรของนายมงคลและแผนที่หลังโฉนดมาจาก นายจุ๊บแล้วมอบให้นายพลไปติดต่อกับนายมงคลเอง ในที่สุดนายพลได้เข้าทําสัญญาซื้อที่ดิน แปลงดังกล่าวกับนายมงคลในราคา 5,000,000 บาท เมื่อนายจุ๊บได้ทราบเรื่องการทําสัญญาซื้อขาย ระหว่างนายมงคลและนายพลแล้ว จึงติดต่อนายมงคลเพื่อขอบําเหน็จนายหน้าร้อยละ 5 ตามที่ นายมงคลเคยตกลงกับนายจุ๊บไว้ในการเป็นนายหน้าให้นายมงคลในการขายที่ดินแปลงดังกล่าว เช่นนี้ นายมงคลจะต้องจ่ายบําเหน็จนายหน้าให้แก่นายจุบหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมงคลตกลงให้นายจุ๊บเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายมงคล โดย นายมงคลจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 5 ของราคาที่ขายได้ ต่อมานายต้นและนายบุญมาถามซื้อที่ดินบริเวณนั้น นายจุ๊บจึงพาคนทั้งสองไปดูที่ดินของนายมงคล หลังจากนั้นนายต้นและนายบุญได้ไปพานายพลและนายยลมาดู ที่ดินของนายมงคลด้วย โดยนายพลตกลงจะซื้อที่ดินนั้น นายต้นและนายบุญจึงขอนามบัตรของนายมงคลและ แผนที่หลังโฉนดมาจากนายจุ๊บแล้วมอบให้นายพลไปติดต่อกับนายมงคลเอง และในที่สุดนายพลได้เข้าทําสัญญา ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวกับนายมงคลนั้น ย่อมถือว่าการที่นายพลและนายมงคลได้เข้าทําสัญญาซื้อขายที่ดินของ นายมงคลเป็นผลสําเร็จนั้น เป็นผลมาจากการชี้ช่องของนายจุ๊บแล้วตามมาตรา 845 เพราะการที่นายพลได้ ทราบถึงการขายที่ดินของนายมงคลนั้น แม้จะเป็นการที่นายต้นและนายบุญได้มอบนามบัตรและแผนที่หลังโฉนด ห้แก่นายพลไปติดต่อเองก็ตาม แต่เพราะเหตุที่นายต้นและนายบุญทราบได้นั้นก็เพราะนายจุ๊บได้ชี้ช่องไว้นั่นเอง ดังนั้น นายมงคลจึงต้องจ่ายบําเหน็จนายหน้าให้แก่นายจุ๊บร้อยละ 5 ตามที่ได้สัญญาไว้

สรุป นายมงคลต้องจ่ายบําเหน็จให้นายจุ๊บ

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1.นายไข่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตกล้วยตากที่จังหวัดเพชรบุรี กล้วยตากที่ผลิตได้บรรจุในถุงสุญญากาศ ทําให้สามารถเก็บไว้ได้นานไม่เน่าเสียง่าย นายไข่ต้องการขายกล้วยตากจํานวน 100 ถุง ในราคา ถุงละ 100 บาท จึงตั้งนายขวดเป็นตัวแทนไปจัดหาผู้ซื้อและทําการขายสินค้า นายขวดจึงติดต่อกับ นางชื่นแม่ค้าขายผลไม้แห้งที่ตลาดบางกะปิ โดยนางชื่นตกลงซื้อกล้วยตากทั้งหมด 100 ถุง แต่พอถึง วันนัดส่งสินค้า นางชื่นกลับนําเงินมาเพียง 5,000 บาท ทําให้ซื้อกล้วยตากได้เพียง 50 ถุงเท่านั้น ส่วนกล้วยตากที่เหลืออีก 50 ถุง นายขวดนําไปขายที่ร้านค้าของตนเองในราคาถุงละ 80 บาท (ซึ่งเป็นราคาที่ต่ํากว่าที่นายไข่กําหนด 20 บาท) โดยไม่ได้แจ้งให้นายไข่ทราบแต่อย่างใด และ ได้ทําการขายจนหมด ต่อมานายไข่ทราบจึงเรียกให้นายขวดชําระค่ากล้วยตากที่ขายได้ทั้งหมด โดยแบ่งเป็นเงิน 5,000 บาทที่ขายให้แก่นางชื่น เงิน 4,000 บาทที่นายขวดนํากล้วยตากไปขายที่ ร้านของตนเอง และเงิน 1,000 บาทที่ได้จากการที่นายขวดขายกล้วยตากต่ํากว่าราคาที่กําหนด นายขวดยินยอมใช้เงินที่ขายกล้วยตากได้ทั้งหมด ยกเว้นเงิน 1,000 บาทที่ขายกล้วยตากต่ํากว่า ราคาที่นายไข่กําหนด โดยอ้างถึงเหตุจําเป็นที่จะต้องรีบขายมิเช่นนั้นจะทําให้กล้วยตากเน่าเสียได้

ข้ออ้างในการปฏิเสธของนายขวดฟังขึ้นหรือไม่ และนายขวดจะต้องใช้เงินแก่นายไขในกรณีใดบ้าง จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 802 “ในเหตุฉุกเฉิน เพื่อจะป้องกันมิให้ตัวการต้องเสียหาย ท่านให้สันนิษฐาน ไว้ก่อนว่าตัวแทนจะทําการใด ๆ เช่นอย่างวิญญชนจะพึงกระทํา ก็ย่อมมีอํานาจจะทําได้ทั้งสิ้น”

มาตรา 805 “ตัวแทนนั้น เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ จะเข้าทํานิติกรรมอันใด ในนามของตัวการทํากับตนเองในนามของตนเองหรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ เว้นแต่ นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชําระหนี้”

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทน ตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน จะต้องรับผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขวดได้ตกลงเป็นตัวแทนของนายไข่นั้น นายขวดจะต้องกระทําการ แทนนายไข่ตามที่ตนได้รับมอบอํานาจจากนายไข่ โดยการนํากล้วยตาก 100 ถุงไปขายในราคาถุงละ 100 บาท ให้แก่นางชื่นแม่ค้าที่นายขวดได้ติดต่อไว้ และแม้ว่าเมื่อถึงวันนัดส่งกล้วยตาก นางชื่นจะนําเงินมาเพียง 5,000 บาท ทําให้ซื้อกล้วยตากได้เพียง 50 ถุงเท่านั้น กล้วยตากที่เหลืออีก 50 ถุง นายขวดก็ต้องนําส่งคืนให้แก่นายไข่ตาม มาตรา 810 พร้อมกับเงินที่ได้จากการขายกล้วยตากให้แก่นางขึ้นจํานวน 5,000 บาท

การที่นายขวดได้นํากล้วยตากที่เหลือ 50 ถุงไปขายที่ร้านของตนเองนั้นย่อมเป็นการต้องห้าม ตามมาตรา 805 ที่ห้ามตัวแทนทํานิติกรรมกับตนเองในขณะที่กระทําการเป็นตัวแทนของตัวการอยู่ และการที่ นายขวดได้อ้างเหตุจําเป็นเนื่องจากเกรงว่ากล้วยตากจะเน่าเสียตามมาตรา 802 นั้นก็ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากตาม ข้อเท็จจริงนั้นกล้วยตากของนายไข่ได้บรรจุในถุงสุญญากาศทําให้สามารถเก็บไว้ได้นานไม่เน่าเสียหาย อีกทั้งนายขวด ก็มิได้แจ้งให้นายไข่ตัวการทราบถึงเหตุจําเป็นนี้ด้วย การกระทําของนายขวดในการนํากล้วยตากที่เหลือ 50 ถุง ไปขายที่ร้านของตนเองจึงเป็นการกระทําโดยปราศจากอํานาจหรือเกินขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทนตามมาตรา 812 ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านายขวดขายกล้วยตากในราคา 80 บาท ต่ำกว่าที่นายไข่ตัวการกําหนด 20 บาท นายขวด จึงต้องรับผิดต่อนายไขในจํานวนเงิน 1,000 บาทที่ขายกล้วยตากต่ํากว่าราคาที่นายไข่ตัวการกําหนด

สรุป นายขวดจะต้องใช้เงินจํานวน 5,000 บาทที่ขายกล้วยตากให้แก่นางชื่น เงินจํานวน 4,000 บาทที่นํากล้วยตากไปขายที่ร้านของตนเอง และเงินอีกจํานวน 1,000 บาทจากการขายกล้วยตากต่ํากว่า ราคาที่นายไข่กําหนดรวมเป็นเงิน 10,000 บาทให้แก่นายไข่

 

ข้อ 2. ร้านหนังสือของนายดินตกลงรับหนังสือมาจากหลายสํานักพิมพ์โดยตกลงว่าในการขายหนังสือให้แต่ละสํานักพิมพ์นั้น ร้านของนายดินจะได้ค่าตอบแทนเล่มละ 50 บาท ต่อมานายจ้อยมาซื้อ หนังสือนวนิยายเรื่องคนละชาติภพของสํานักพิมพ์การะเกดจํานวน 20 เล่มจากร้านของนายดิน แต่ปรากฏว่า ในนวนิยายเล่มที่ซื้อไปนั้นมี 10 เล่มที่หน้าขาดไปหลายสิบหน้า นายจ้อยจึงมาขอให้ นายดินเปลี่ยนเล่มให้หาไม่ได้ก็ขอให้คืนเงิน แต่นายดินกลับไม่ยอมรับผิดชอบใด ๆ อ้างว่าตน เป็นตัวแทนขายหนังสือนวนิยายให้สํานักพิมพ์การะเกดเท่านั้น ขอให้นายจ้อยไปเรียกร้องเอากับ สํานักพิมพ์การะเกดเอาเอง เช่นนี้ ร้านนายดินจะปฏิเสธความรับผิดชอบใด ๆ ต่อนายจ้อยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือ ขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 837 “ในการที่ตัวแทนค้าต่างทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่น ต่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทนค้าต่าง ย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 837 ได้บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างต่อ บุคคลภายนอกไว้ว่า เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการอย่างใดแทนตัวการแล้ว ตัวแทนค้าต่าง ย่อมต้องผูกพันเป็นคู่สัญญากับบุคคลภายนอกโดยตรง ถ้าบุคคลภายนอกผิดสัญญา ตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิ ที่จะฟ้องร้องตามสัญญานั้นในนามของตนเองได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกตาม สัญญานั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ร้านหนังสือของนายดินตกลงรับหนังสือมาจากหลายสํานักพิมพ์ ซึ่งรวมทั้งของสํานักพิมพ์การะเกดมาขาย โดยตกลงว่าในการขายหนังสือให้แต่ละสํานักพิมพ์นั้น ร้านของนายดิน จะได้รับค่าตอบแทนเล่มละ 50 บาทนั้น ย่อมถือว่าร้านของนายดินเป็นตัวแทนค้าต่างของสํานักพิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้ง สํานักพิมพ์การะเกดตามมาตรา 833

และจากข้อเท็จจริง การที่นายจ้อยได้มาซื้อหนังสือนวนิยายเรื่องคนละชาติภพของสํานักพิมพ์ การะเกดจํานวน 20 เล่มจากร้านของนายดิน แต่ปรากฏว่าในจํานวนที่ซื้อไปนั้นมีอยู่ 10 เล่มที่หน้าขาดไปหลายสิบหน้า นายจ้อยจึงขอให้นายดินรับผิดชอบโดยเปลี่ยนเล่มใหม่ให้หรือหากไม่ได้ก็ขอให้คืนเงินนั้น นายดินจะปฏิเสธ ความรับผิดชอบใด ๆ ต่อนายจ้อยไม่ได้ เพราะเมื่อนายดินซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก คือนายจ้อยโดยตรงแล้ว ตัวแทนค้าต่างย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามสัญญานั้นด้วยตามมาตรา 837

สรุป

ร้านของนายดินจะปฏิเสธความรับผิดชอบใด ๆ ต่อนายจ้อยไม่ได้

 

ข้อ 3. นายเข็มได้ตกลงให้นายธงเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายเข็มจํานวน 80 ไร่ มีบําเหน็จ 500,000 บาท และตกลงว่าจะจ่ายค่าใช้จ่ายอย่างใดที่อาจเกิดจากการเป็นนายหน้าด้วย ต่อมานายธงได้แนะนํา นายขวัญให้เข้ามาซื้อที่ดินของนายเข็มโดยตกลงทําสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ก่อนและตกลงว่า จะทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในอีก 15 วัน โดยนายขวัญได้วางมัดจํา ไว้ 2,000,000 บาท หลังจากนั้นเมื่อถึงวันที่กําหนดให้มาทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ นายขวัญกลับไม่มาและแจ้งขอเลิกสัญญาในวันรุ่งขึ้น เช่นนี้นายธงจะเรียก บําเหน็จค่านายหน้าได้หรือไม่ เพราะเหตุใด อีกทั้งนายธงได้มีค่าใช้จ่ายในการดําเนินการนี้จํานวน 20,000 บาท นายธงจะเรียกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว

นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น ความข้อนี้ ท่านให้ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิได้ทํากันสําเร็จ”

มาตรา 846 “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า

ค่าบําเหน็จนั้นถ้ามิได้กําหนดจํานวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจํานวนตามธรรมเนียม”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และ นายหน้ารับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อม จะได้รับค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายเข็มได้ตกลงให้นายธงเป็นนายหน้าขายที่ดินจํานวน 80 ไร่ และตกลงให้บําเหน็จ 500,000 บาท รวมทั้งตกลงจะจ่ายค่าใช้จ่ายในการเป็นนายหน้าด้วยนั้น เมื่อนายธงได้ชี้ช่อง ให้นายขวัญบุคคลภายนอกเข้าทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของนายเข็มแล้ว จึงถือได้ว่าผลสําเร็จแห่งสัญญาจะซื้อ จะขายระหว่างนายเข็มและนายขวัญนั้นเกิดจากการชี้ช่องของนายธงนายหน้า แม้ต่อมานายขวัญจะไม่ปฏิบัติ ตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้นก็ตาม นายธงย่อมมีสิทธิได้รับบําเหน็จนายหน้าตามที่ตกลงตามมาตรา 845 ประกอบ มาตรา 846

และในส่วนค่าใช้จ่ายที่นายธงได้ใช้จ่ายไปในการดําเนินการนี้จํานวน 20,000 บาทนั้น เมื่อนายเข็มได้ตกลงว่าจะจ่ายให้แก่นายธง นายธงย่อมมีสิทธิที่จะเรียกจากนายเข็มได้ตามมาตรา 845 วรรคสอง

สรุป

นายธงสามารถเรียกค่านายหน้าจํานวน 500,000 บาท รวมทั้งค่าใช้จ่าย 20,000 บาท จากนายเข็มได้

 

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางสาวแสงดาวทําหลักฐานเป็นหนังสือมอบหมายให้นายแสงตะวัน อายุ 15 ปี ไปลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้าแทนตน นายแสงตะวันไปทําสัญญาตามคําสั่งและ รับรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้ามาหนึ่งคัน เมื่อนางสายหยุดมารดาของนายแสงตะวันทราบ จึงบอกล้างนิติกรรมการเป็นตัวแทน ดังนี้ นางสาวแสงดาวต้องชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ ให้นายสายฟ้าหรือไม่ จงอธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้อง มีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 799 “ตัวการคนใดใช้บุคคลผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทน ท่านว่าตัวการคนนั้นย่อม ต้องผูกพันในกิจการที่ตัวแทนกระทํา”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวแสงดาวทําหลักฐานเป็นหนังสือมอบหมายให้นายแสงตะวัน อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์และเป็นบุคคลไร้ความสามารถเป็นตัวแทนไปลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์ จากนายสายฟ้าแทนตนนั้น เป็นการมอบอํานาจที่ถูกต้องตามมาตรา 798 วรรคสอง และมาตรา 799 ดังนั้น นายแสงตะวันจึงมีอํานาจทําสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้าแทนนางสาวแสงดาวได้

เมื่อนายแสงตะวันได้ทําสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์ตามคําสั่งและรับรถจักรยานยนต์จาก นายสายฟ้ามาหนึ่งคัน จึงถือเป็นกิจการที่นายแสงตะวันตัวแทนได้ทําไปภายในขอบอํานาจของการเป็นตัวแทน ย่อมมีผลทําให้นางสาวแสงดาวต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกคือต้องชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ให้แก่นายสายฟ้า ตามมาตรา 820 แม้ว่านางสายหยุดมารดาของนายแสงตะวันทราบและได้บอกล้างนิติกรรมการเป็นตัวแทน แองนายแสงตะวันแล้วก็ตาม นางสาวแสงดาวก็ยังคงต้องรับผิดชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ให้แก่นายสายฟ้า เนื่องจากการที่ตนได้ใช้บุคคลผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทนตามมาตรา 799

สรุป

นางสาวแสงดาวต้องชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ให้นายสายฟ้า

 

ข้อ 2. นายอาทิตย์เป็นตัวแทนค้าต่างขายรถยนต์มือสองทุกยี่ห้อ นายจันทร์ได้นํารถยนต์ของตนหนึ่งคันมาฝากนายอาทิตย์ขายในราคา 300,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายรถยนต์คันดังกล่าวได้จะให้ ค่าบําเหน็จแก่นายอาทิตย์เป็นเงินจํานวน 20,000 บาท ปรากฏว่านายอาทิตย์ได้นํารถยนต์คันนั้น ไปขายให้แก่นายอังคารในราคา 340,000 บาท และนอกจากนี้เงินที่ขายรถยนต์ได้ยังไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่นายจันทร์โดยนําไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินที่ขายรถยนต์ ได้สูงกว่าที่นายจันทร์กําหนดไว้ นายอาทิตย์จะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนได้หรือไม่ และ เงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบให้แก่นายจันทร์ นายอาทิตย์จะต้องรับผิดต่อนายจันทร์หรือไม่ อย่างไรจงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือ ขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 840 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อได้ ราคาต่ํากว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์ได้นํารถยนต์ของตนหนึ่งคันไปฝากนายอาทิตย์ซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขายในราคา 300,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายรถยนต์คันดังกล่าวได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่ นายอาทิตย์จํานวน 20,000 บาท แต่นายอาทิตย์ได้ขายให้แก่นายอังคารในราคา 340,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขายที่สูงกว่าที่นายจันทร์กําหนดไว้ 40,000 บาทนั้น เงินส่วนที่เกินนี้นายอาทิตย์ตัวแทนค้าต่างจะถือเอาเป็นประโยชน์ ของตนไม่ได้ ต้องคิดให้แก่ตัวการตามมาตรา 840 คือต้องส่งมอบเงินส่วนที่เกินนั้นให้แก่นายจันทร์ตัวการ

ส่วนเงินจํานวน 340,000 บาท ที่ขายรถยนต์ได้ นายอาทิตย์ตัวแทนค้าต่างต้องส่งมอบให้แก่ นายจันทร์ตัวการจงสิ้นตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 810 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายอาทิตย์ไม่ยอมส่งมอบ ห้แก่นายจันทร์แต่ได้นําเงินจํานวนดังกล่าวไปใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน จึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้ตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 811

สรุป

นายอาทิตย์จะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนไม่ได้ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่จันทร์ นายอาทิตย์จะต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้

 

ข้อ 3. นายเชิดต้องการขายที่ดินติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา 1 แปลง กําหนดราคา 10 ล้านบาท จึงได้ตั้งนายชูและนายชอบเป็นนายหน้าขายที่ดินดังกล่าวโดยตกลงจะให้บําเหน็จ 2% จากราคาขาย นายชูและ นายชอบได้ประกาศขายที่ดินดังกล่าวไว้ที่ website ประกาศขายที่ดินแห่งหนึ่ง นายรวยมาเจอเข้า จึงได้ติดต่อมาที่นายชูและนายชอบ นายชูและนายชอบจึงนัดให้นายรวยและนายเชิดได้มาเจอกัน แต่ปรากฏว่าพอถึงวันนัด นายเชิด กลับเสนอขายราคาที่ดินเป็น 11 ล้านบาท นายรวยจึงไม่ยอมตกลงทําสัญญาซื้อขายด้วย อีกสามวัน ถัดมานายเชิดได้ให้ตัวแทนของตนไปติดต่อกับนายรวยอีกครั้ง ในการติดต่อครั้งนี้นายรวยตกลง จะซื้อที่ดินของนายเชิดในราคา 11 ล้านบาท และได้เข้าทําสัญญาจะซื้อจะขายกับนายเชิด ในเวลาต่อมาเมื่อนายชูและนายชอบทราบจึงมาขอรับบําเหน็จจากนายเชิด นายเชิดปฏิเสธโดย อ้างว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการชี้ช่องของนายชูและนายชอบแต่เกิดจาก การที่ตัวแทนของตนไปติดต่อในภายหลัง ดังนี้ ข้ออ้างของนายเชิดฟังขึ้นหรือไม่ จงอธิบายพร้อม ยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้ เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้น ได้ทํากันสําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็น เงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และ นายหน้ารับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้า ย่อมจะได้รับค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเชิดต้องการขายที่ดินจึงได้ตั้งนายชูและนายชอบเป็นนายหน้า ขายที่ดินดังกล่าวโดยตกลงจะให้คําบําเหน็จ 2% จากราคาขาย และนายชูและนายชอบได้ประกาศขายที่ดิน ดังกล่าวไว้ที่ website ประกาศขายที่ดินแห่งหนึ่งนั้น เมื่อนายชูและนายชอบได้ตกลงรับเป็นนายหน้าให้แก่ นายเชิดแล้ว สัญญานายหน้าจึงเกิดขึ้น การกระทําการชี้ช่องหรือจัดให้บุคคลผู้ตกลงให้นายหน้าชี้ช่องกับ บุคคลภายนอกได้เข้าทําสัญญากันจึงเป็นหน้าที่ของนายหน้าอันพึงกระทําลงเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้ตกลง ให้นายหน้าซ่อง และเมื่อนายหน้าได้จัดให้บุคคลทั้งสองฝ่ายได้เข้าทําสัญญากันแล้ว การกระทําของนายหน้า ย่อมบริบูรณ์และสมประโยชน์ของบุคคลผู้ตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องแล้ว เมื่อบุคคลผู้ตกลงให้นายหน้าเป็น ผู้ชี้ช่องได้ถือเอาประโยชน์จากการชี้ช่องของนายหน้า สิทธิของนายหน้าในการได้รับบําเหน็จย่อมเกิดขึ้นโดยไม่ต้อง คํานึงว่าการทําสัญญาระหว่างบุคคลผู้ตกลงให้นายหน้าชี้ช่องกับบุคคลภายนอกนั้นจะได้เกิดขึ้นในคราวเดียว หรือในคราวต่อ ๆ ไปก็ตาม

ดังนั้น ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ แม้ว่าในคราวแรกนายเชิดจะยังไม่ได้ตกลงทําสัญญา จะซื้อจะขายกับนายรวย แต่ได้ตั้งตัวแทนไปทําสัญญาจนสําเร็จในคราวหลัง ย่อมถือได้ว่านายเชิดได้ถือเอา ประโยชน์จากการที่นายชูและนายชอบได้ชี้ช่องในคราวแรกแล้ว นายชูและนายชอบจึงได้ทําหน้าที่ของการ เป็นนายหน้าโดยสมบูรณ์แล้วย่อมมีสิทธิได้รับบําเหน็จนายหน้าจากนายเชิดได้ การที่นายเชิดปฏิเสธโดยอ้างว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการชี้ช่องของนายชูและนายชอบแต่เกิดจากการที่ตัวแทนของตน ไปติดต่อในภายหลังนั้น ข้ออ้างของนายเชิดจึงฟังไม่ขึ้น (เปรียบเทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 1515/2512)

สรุป

ข้ออ้างของนายเชิดฟังไม่ขึ้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!