LAW3109 (LAW3009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายเอกมีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย 1 คน คือ นายโท นายเอกให้นายหนึ่งเช่าที่ดินแปลงหนึ่ง เพื่อปลูกอาคารพาณิชย์เป็นเวลา 15 ปี ซึ่งนายหนึ่งตกลงว่าหากครบกําหนดตามสัญญาเช่า จะยอมให้อาคารพาณิชย์หลังนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเอก นอกจากนี้นายเอกยังให้นายสอง ยืมรถยนต์ไปใช้เป็นเวลา 4 ปี หลังจากที่นายหนึ่งเช่าที่ดินและนายสองยืมรถยนต์แล้วเป็นเวลา 2 ปี นายหนึ่งและนายเอาเดินทางไปต่างประเทศด้วยกัน และเครื่องบินตกเสียชีวิตทั้งคู่

ดังนี้ นายโทจะเรียกที่ดินคืนจากทายาทของนายหนึ่ง และจะเรียกรถยนต์คืนจากนายสองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1600 “ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้”

วินิจฉัย

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600) ได้บัญญัติไว้ว่า มรดกซึ่งจะตกทอดแก่ผู้เป็นทายาทเมื่อเจ้ามรดกตายนั้น ได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ของผู้ตาย เว้นแต่สิทธิ หน้าที่และ ความรับผิดซึ่งตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ จะไม่ตกทอดไปยังทายาท

กรณีตามอุทาหรณ์ นายโทจะเรียกที่ดินคืนจากทายาทของนายหนึ่งและจะเรียกรถยนต์คืนจาก นายสองได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1. การที่นายเอกให้นายหนึ่งเช่าที่ดินเพื่อปลูกอาคารพาณิชย์เป็นเวลา 15 ปี การที่นายเอกให้นายหนึ่งเช่าที่ดินเพื่อปลูกอาคารพาณิชย์ดังกล่าวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายหนึ่งตกลงว่าจะยอมให้อาคารพาณิชย์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเอกเมื่อครบกําหนดตามสัญญาเช่า สัญญาเช่าดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเช่าที่มีข้อตกลงต่างตอบแทนกันเป็นพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ ตามสัญญาเช่าดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ เมื่อนายหนึ่งถึงแก่ความตาย สิทธิและ หน้าที่ตามสัญญาเช่าดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทของนายหนึ่ง ดังนั้น นายโทจะเรียกที่ดินคืนจากทายาทของนายหนึ่งไม่ได้

2. การที่นายเอกให้นายสองยืมรถยนต์ไปใช้เป็นเวลา 4 ปี
การที่นายเอกให้นายสองยืมรถยนต์ไปใช้เป็นเวลา 4 ปีนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูป ซึ่งตาม กฎหมายสัญญายืมใช้คงรูปย่อมระงับไปเมื่อผู้ยืมตาย (ป.พ.พ. มาตรา 648) แต่จะไม่ระงับไปในกรณีที่ผู้ให้ยืมตาย ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากทําสัญญากับนายสองแล้วเป็นเวลา 2 ปี นายเอกผู้ให้ยืมถึงแก่ความตาย

สิทธิและหน้าที่ตามสัญญายืมซึ่งตามกฎหมายไม่ถือว่าเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตาย (ผู้ให้ยืม) จึงไม่ระงับไปด้วย แต่จะเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท ดังนั้น นายโทจึงต้องให้นายสองใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมคือรถยนต์ต่อไปอีก 2 ปี จะเรียกรถยนต์คืนจากนายสองไม่ได้

สรุป นายโทจะเรียกที่ดินคืนจากทายาทของนายหนึ่งและจะเรียกรถยนต์คืนจากนายสองไม่ได้

 

ข้อ 2. นายกลมอยู่กินกับนางมณีมีบุตรคือนายดําซึ่งนายกลมได้แจ้งเกิดในสูติบัตรว่าเป็นบิดา ต่อมานางมณีป่วยตาย นายกลมจึงไปอยู่กินกับนางแก้วมีบุตรคือนายกระทิงซึ่งนายกลมให้นายกระทิง ใช้นามสกุล โดยนายกระทิงจดทะเบียนสมรสกับนางอรนุชมีบุตรคือนางฤดี ซึ่งต่อมานางฤดีได้อยู่กิน กับนายสมชัยซึ่งนายสมชัยมีบุตรติดจากการสมรสครั้งก่อนคือ ด.ช.ปรีชา นางฤดีและนายสมชัย มีบุตรด้วยกันคือ ด.ญ.มานี ซึ่งนายสมชัยได้ให้ ด.ญ.มานี้ใช้นามสกุล ต่อมานางฤดีได้จดทะเบียนรับ ด.ช.ปรีชามาเป็นบุตรบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมายของนางฤดี หลังจากนายกระทิงป่วยและ ถึงแก่ความตาย ต่อมานางฤดีประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นนายดําป่วยและตาย เช่นนี้ จงพิจารณาการตกทอดแห่งทรัพย์มรดกของนายดําซึ่งมีเงินสดอยู่ในธนาคาร 240,000 บาท

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวัน นับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 1604 วรรคหนึ่ง “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลหรือสามารถ มีสิทธิได้ตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”

มาตรา 1627 “บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน
เหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน”

มาตรา 1634 “ระหว่างผู้สืบสันดานที่รับมรดกแทนที่กันในส่วนแบ่งของสายหนึ่ง ๆ ตามบทบัญญัติ
ในลักษณะ 2 หมวด 4 นั้นให้ได้รับส่วนแบ่งมรดกดังนี้

(3) ถ้าในชั้นหนึ่งมีผู้สืบสันดานคนเดียว ผู้สืบสันดานคนนั้นมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งทั้งหมด”

มาตรา 1639 “ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่ ถ้าผู้สืบสันดาน คนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของผู้สืบสันดานนั้น รับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย”

มาตรา 1643 “สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั้นไม่”

มาตรา 1644 “ผู้สืบสันดานจะรับมรดกแทนที่ได้ต่อเมื่อมีสิทธิบริบูรณ์ในการรับมรดก”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายดําถึงแก่ความตาย มรดกของนายดําซึ่งเป็นเงินสดในธนาคารจํานวน 240,000 บาท จะตกได้แก่ใครนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

1. นายกลม ซึ่งเป็นบิดาของนายดํา แต่เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายดํา เพราะ ขณะที่นายดําเกิดนั้น นายกลมกับนางมณีเป็นสามีภริยากันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นายกลมจึงไม่มีสิทธิ รับมรดกของนายดํา เพราะตามมาตรา 1629 (2) ทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกนั้น จะต้องเป็นบิดาและมารดา โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น

2. นางมณี ซึ่งเป็นมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายดํา เพราะบุคคลที่เกิดจากหญิงที่มิได้ สมรสกับชาย กฎหมายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้นตามมาตรา 1546 นางมณีจึงมีฐานะเป็น ทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (2) แต่เมื่อในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายนั้น นางมณีไม่มีสภาพบุคคล อยู่ในเวลานั้น เพราะได้เสียชีวิตไปก่อนแล้ว ดังนั้น นางมณีจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายดําตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง

3. นายกระทิง เป็นบุตรที่เกิดจากนายกลมและนางแก้ว จึงเป็นพี่น้องร่วมแต่บิดาเดียวกันกับ นายดําและเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (4) ประกอบมาตรา 1627 แต่การที่นายกระทิงตายก่อนเจ้ามรดก นายกระทิงจึงไม่มีสภาพบุคคลอยู่ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น นายกระทิงจึงไม่มีสิทธิรับมรดก ของนายดําตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง จึงต้องพิจารณาการเข้ารับมรดกแทนที่นายกระทิงตามมาตรา 1639

การที่นายกระทิงได้จดทะเบียนสมรสกับนางอรนุชและมีบุตรคือนางฤดี นางฤดีจึงเป็นบุตร โดยชอบด้วย
กฎหมายและเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงของนายกระทิงตามมาตรา 1536 ประกอบมาตรา 1643 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางฤดีได้ถึงแก่ความตายก่อนนายดําด้วย ดังนั้น นางฤดีจึงไม่มีสิทธิบริบูรณ์ ในการรับมรดกแทนที่นายกระทิงตามมาตรา 1644 ประกอบมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง จึงต้องพิจารณาการเข้ารับ มรดกแทนที่นางฤดีต่อไปตามมาตรา 1639 และเมื่อปรากฏว่านางฤดีมีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายคือ ด.ญ.มานี และเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงของนางฤดีตามมาตรา 1536 ประกอบมาตรา 1643 ดังนั้น ด.ญ.มานี้จึงเข้ารับมรดก แทนที่นางฤดีในการรับมรดกของนายดําได้ ส่วน ด.ช.ปรีชาซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของนางฤดีนั้น จะเข้ารับมรดก แทนที่นางฤดีไม่ได้เพราะไม่ใช่ผู้สืบสันดานโดยตรงของนางฤดี จึงต้องห้ามมิให้รับมรดกแทนที่ตามมาตรา 1643

ดังนั้น ทรัพย์มรดกของนายดํา คือเงินฝากในธนาคารจํานวน 240,000 บาท จึงตกได้แก่ ด.ญ.มานี
แต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1634 (3)

สรุป มรดกของนายดําซึ่งเป็นเงินสดในธนาคารจํานวน 240,000 บาท ตกได้แก่ ด.ญ.มานี โดย การเข้ามารับมรดกแทนที่นางฤดีแต่เพียงผู้เดียว

 

ข้อ 3. นายดําอยู่กินกับนางแดง มีบุตรคือ นายเอ บี และซี ซึ่งนายดําได้อุปการะทั้งสามเป็นอย่างดี นายเอ จดทะเบียนสมรสกับนางเล็ก มีบุตรคือนายไก่ ส่วนนายปีจดทะเบียนรับนายดินมาเป็นบุตรบุญธรรม โดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนนายซีอยู่กินกับนางใหญ่โดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรคือนายอึ่ง ซึ่งนายซีได้ให้ใช้นามสกุล ต่อมานายดําทําพินัยกรรมตัดนายเอมิให้รับมรดกและทําพินัยกรรม ยกเงินสดให้นายปี 120,000 บาท ต่อมานางแดงได้ขอร้องให้นายดําถอนการตัดนายเอ นายดํา จึงทําหนังสือถอนการตัดนายเอต่อนายอําเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี หลังจากนั้น นายบีทําหนังสือ สละมรดกของนายดํามอบแก่นายอําเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ต่อมานายดําป่วยและถึงแก่ความตาย เช่นนี้จงแบ่งมรดกคือ เงินสดนอกพินัยกรรมอยู่ในธนาคาร 240,000 บาท

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1608 วรรคหนึ่ง “เจ้ามรดกจะตัดทายาทโดยธรรมของตนคนใดมิให้รับมรดกก็ได้ แต่ด้วย
แสดงเจตนาชัดแจ้ง

(1) โดยพินัยกรรม
(2) โดยทําเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่”

มาตรา 1609 “การแสดงเจตนาตัดมิให้รับมรดกนั้นจะถอนเสียก็ได้

ถ้าการตัดมิให้รับมรดกนั้นได้ทําโดยพินัยกรรม จะถอนเสียก็ได้ก็แต่โดยพินัยกรรมเท่านั้น…”

มาตรา 1612 “การสละมรดกนั้น ต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือทําเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ

มาตรา 1619 “ผู้ใดจะสละหรือจําหน่ายจ่ายโอนโดยประการใด ซึ่งสิทธิอันหากจะมีในภายหน้า ในการสืบมรดกผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นไม่ได้”

มาตรา 1627 “บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635”

มาตรา 1633 “ทายาทโดยธรรมในลําดับเดียวกันในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 นั้น ชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน ถ้าในลําดับหนึ่งมีทายาทโดยธรรมคนเดียว ทายาทโดยธรรมคนนั้นมีสิทธิได้รับ ส่วนแบ่งทั้งหมด”

มาตรา 1639 “ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่
ถ้าผู้สืบสันดานคนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของ ผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําอยู่กินกับนางแดงและมีบุตร 3 คน คือ นายเอ นายบี และนายซี โดยนายดําได้อุปการะทั้งสามเป็นอย่างดีนั้น เมื่อนายดําได้ถึงแก่ความตาย บุตรทั้งสามของนายดําย่อมถือว่าเป็น ทายาทโดยธรรมในฐานะผู้สืบสันดานของนายดําและมีสิทธิรับมรดกของนายดําตามมาตรา 1629 (1) ประกอบมาตรา 1627 ส่วนนางแดงเมื่อมิได้จดทะเบียนสมรสกับนายดําจึงมิใช่ทายาทโดยธรรมในฐานะคู่สมรสของนายดํา ตามมาตรา 1629 วรรคสอง จึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายดํา

และเมื่อนายดําถึงแก่ความตายนั้น นายดํามีมรดกคือเงินตามพินัยกรรมที่ระบุยกให้นายบีจํานวน 120,000 บาท และเงินนอกพินัยกรรมอยู่ในธนาคารอีกจํานวน 240,000 บาทนั้น บุตรทั้งสามคนของนายดํา จะเสียสิทธิหรือมีสิทธิรับมรดกดังกล่าวหรือไม่เพียงใด แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายเอ การที่นายดําเจ้ามรดกทําพินัยกรรมตัดนายเอมิให้รับมรดกโดยพินัยกรรมตาม มาตรา 1608 วรรคหนึ่ง (1) นั้น เป็นการตัดมิให้รับมรดกโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นถ้าจะมีการถอนก็จะต้อง แสดงเจตนาแต่โดยพินัยกรรมเท่านั้นตามมาตรา 1609 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายดําได้ทําหนังสือถอนการตัด นายเอมอบแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ การถอนจึงไม่ถูกต้องตามมาตรา 1609 ดังนั้นจึงถือว่านายเอยังคงเสียสิทธิ ในการรับมรดกของนายดํา

และเมื่อนายเอถูกตัดมิให้รับมรดก แม้นายเอจะมีผู้สืบสันดานโดยตรงคือนายไก่ นายไก่ก็ไม่มีสิทธิ ที่จะรับมรดกแทนที่นายเอได้ เพราะกรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1639 คือมิใช่เป็นกรณีที่นายเอได้ถึงแก่
ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตายแต่อย่างใด

กรณีของนายบี การที่นายปีได้ทําหนังสือสละมรดกของนายดํามอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ แม้ การสละมรดกของนายที่จะได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1612 ก็ตาม แต่การสละมรดกของนายบีถือเป็นการสละสิทธิ อันจะมีในภายหน้าในการสืบมรดกของนายดําที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานั้น เป็นการแสดงเจตนาที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา 1619 การสละมรดกของนายบีจึงไม่มีผลตามกฎหมาย ดังนั้น นายบีจึงยังคงมีสิทธิรับมรดกของนายดํา คือยังมีสิทธิรับมรดกในฐานะผู้รับพินัยกรรม 120,000 บาท และมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมในเงิน นอกพินัยกรรมอีกจํานวน 240,000 บาท

กรณีของนายซี จะมีสิทธิรับมรดกของนายดําเฉพาะในเงินนอกพินัยกรรมจํานวน 240,000 บาทเท่านั้น

ดังนั้น มรดกของนายดํา คือเงินตามพินัยกรรมจํานวน 120,000 บาท จะตกได้แก่นายบี ส่วนเงิน นอกพินัยกรรมจะตกได้แก่นายปีและนายซีในฐานะทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (1) ประกอบมาตรา 1627 โดยนายบีและนายซีจะได้รับส่วนแบ่งเท่า ๆ กันคือคนละ 120,000 บาท ตามมาตรา 1633

สรุป มรดกของนายดําคือเงินตามพินัยกรรมจํานวน 120,000 บาท ตกได้แก่นายปี ส่วนเงิน นอกพินัยกรรมจํานวน 240,000 บาท ตกได้แก่นายปีและนายซีคนละ 120,000 บาท

 

ข้อ 4. นายหนึ่งมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือ นายสอง นายสามและนายสี่ นายสามจุด ทะเบียนสมรสกับนางส้ม มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายเอกและนายโท นายสองและนายสาม ทะเลาะกันอย่างรุนแรง นายสองใช้ปืนยิงนายสามถึงแก่ความตาย นายสองต้องคําพิพากษาถึงที่สุด ว่าฆ่านายสามตายโดยเจตนา ต่อมานายสี่ได้ขอเงินนายหนึ่งไปเป็นทุนในการค้าขาย นายหนึ่ง มอบเงินจํานวนหนึ่งให้นายไปเป็นทุนโดยนายสี่ได้ทําหนังสือมอบไว้แก่นายหนึ่งว่าจะขอสละมรดก ของนายหนึ่งทั้งหมด หลังจากนั้น นายหนึ่งถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรม นายหนึ่งมีมรดก คือเงินสด 900,000 บาท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่ามรดกของนายหนึ่งจะตกได้แก่ใคร เท่าใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1606 “บุคคลดังต่อไปนี้ต้องถูกกําจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร คือ
(1) ผู้ที่ต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทํา หรือพยายามกระทําให้เจ้ามรดกหรือผู้มีสิทธิ ได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย”

มาตรา 1619 “ผู้ใดจะสละหรือจําหน่ายจ่ายโอนโดยประการใด ซึ่งสิทธิอันหากจะมีในภายหน้า ในการสืบมรดกผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นไม่ได้”

มาตรา 1620 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้ใดตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้หรือทําพินัยกรรมไว้แต่ไม่มีผล บังคับได้ ให้ปันทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตายนั้นตามกฎหมาย”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
(5) ปู่ ย่า ตา ยาย
(6) ลุง ป้า น้า อา

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635”

มาตรา 1633 “ทายาทโดยธรรมในลําดับเดียวกันในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 นั้น ชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน ถ้าในลําดับหนึ่งมีทายาทโดยธรรมคนเดียว ทายาทโดยธรรมคนนั้นมีสิทธิได้รับ ส่วนแบ่งทั้งหมด”

มาตรา 1639 “ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่
ถ้าผู้สืบสันดานคนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้
ผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่ไปจนหมดสาย”

มาตรา 1643 “สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั้นไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายหนึ่งถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้ มรดกของนายหนึ่ง คือเงินสด 900,000 บาท ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1620 วรรคหนึ่ง และทายาทโดยธรรม ซึ่งมีสิทธิรับมรดกของนายหนึ่ง ได้แก่ นายสอง นายสาม และนายสี่ ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันตาม มาตรา 1629 (3) โดยทั้งสามคนจะได้รับส่วนแบ่งเท่า ๆ กัน คือคนละ 300,000 บาท ตามมาตรา 1633

การที่นายสองใช้ปืนยิงนายสามถึงแก่ความตาย และต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่าฆ่านายสามตาย โดยเจตนานั้น นายสองก็ไม่ถูกกําจัดมิให้รับมรดกของนายหนึ่งฐานเป็นผู้ไม่สมควรตามมาตรา 1606 (1) แต่อย่างใด เพราะมิได้ฆ่าผู้มีสิทธิได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตาย เนื่องจากนายสองและนายสามเป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดก ของนายหนึ่งในฐานะทายาทโดยธรรมในลําดับเดียวกัน ดังนั้น นายสองจึงยังคงมีสิทธิรับมรดกของนายหนึ่ง

และเมื่อนายสามได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดกตาย นายสามมีผู้สืบสันดานโดยตรงคือนายเอกและนายโท ดังนั้น นายเอกและนายโทจึงเข้ารับมรดกของนายหนึ่งแทนที่นายสามได้ตามมาตรา 1639 และ มาตรา 1643 โดยนายเอกและนายโทจะได้รับส่วนแบ่งคนละ 150,000 บาท ตามมาตรา 1633

ส่วนนายสี่ซึ่งได้ทําหนังสือมอบไว้นายหนึ่งว่าจะขอสละมรดกของนายหนึ่งทั้งหมดนั้น ถือเป็นการสละสิทธิอันจะมีในภายหน้าในการสืบมรดกของนายหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานั้น เป็นการแสดงเจตนาที่ฝ่าฝืนต่อ บทบัญญัติมาตรา 1619 การสละมรดกของนายสี่จึงไม่มีผลตามกฎหมาย ดังนั้น นายสี่จึงยังคงมีสิทธิรับมรดก ของนายหนึ่งในจํานวน 300,000 บาท

สรุป มรดกของนายหนึ่งจํานวน 900,000 บาท ตกได้แก่นายสองและนายสี่คนละ 300,000 บาท และตกได้แก่นายเอกและนายโทซึ่งเข้ารับมรดกแทนที่นายสามคนละ 150,000 บาท

LAW3109 (LAW3009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3009 (LA 309) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายเมฆมีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย 2 คน คือ น.ส.ฟ้า และ น.ส.ฝน นายเมฆให้สิทธิเหนือพื้นดิน ในที่ดินโฉนดเลขที่ 123 แก่นายชายเป็นเวลา 10 ปี นอกจากนี้ นายเมฆให้สิทธิเก็บกินในที่ดิน โฉนดเลขที่ 456 แก่นางหญิงเป็นเวลา 10 ปี ต่อมานายเมฆทําพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ให้ น.ส.ฟ้า และยกที่ดินโฉนดเลขที่ 456 ให้ น.ส.ฝน หลังจากให้สิทธิแก่นายชายและนางหญิงแล้ว เป็นเวลา 4 ปี นายเมฆป่วยเป็นมะเร็งและถึงแก่ความตาย

ดังนี้ น.ส.ฟ้า และ น.ส.ฝน จะเรียกที่ดินคืนจากนายชายและนางหญิงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1600 “ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้”

วินิจฉัย

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 ได้บัญญัติไว้ว่า มรดกซึ่งจะตกทอดแก่ผู้เป็นทายาทเมื่อเจ้ามรดกตายนั้น ได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ของผู้ตาย เว้นแต่สิทธิ หน้าที่และ ความรับผิดซึ่งตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ จะไม่ตกทอดไปยังทายาท กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1. กรณีนายเมฆให้สิทธิเหนือพื้นดินแก่นายชายเป็นเวลา 10 ปี

สิทธิเหนือพื้นดินเป็นทรัพยสิทธิที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินให้สิทธิแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีสิทธิเป็น เจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้น โดยจะเสียค่าเช่าหรือไม่ก็ได้ ซึ่งสิทธิเหนือพื้นดินนั้นถ้าไม่ได้กําหนดไว้ เป็นอย่างอื่น ย่อมสามารถโอนกันได้และรับมรดกกันได้ ดังนั้น ไม่ว่าผู้ให้สิทธิหรือผู้รับสิทธิตาย สิทธิเหนือพื้นดินไม่ระงับและจะตกทอดแก่ทายาท

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆได้ให้สิทธิเหนือพื้นดินในที่ดินโฉนดเลขที่ 123 แก่นายชาย เป็นเวลา 10 ปีนั้น เมื่อสิทธิเหนือพื้นดินตามกฎหมายไม่ถือว่าเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ ดังนั้น เมื่อ นายเมฆผู้ให้สิทธิถึงแก่ความตาย หน้าที่ที่จะต้องให้ผู้ทรงสิทธิเหนือพื้นดินใช้ประโยชน์เหนือพื้นดินต่อไปนั้น ย่อมไม่ระงับแต่จะเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท น.ส.ฟ้าทายาทของนายเมฆจึงไม่สามารถเรียกที่ดินคืนจาก นายชายได้ จะต้องให้นายชายใช้ประโยชน์เหนือพื้นดินนั้นต่อไปจนครบ 10 ปี

2. กรณีนายเมฆให้สิทธิเก็บกินแก่นางหญิงเป็นเวลา 10
สิทธิเก็บกิน เป็นทรัพยสิทธิที่ผู้ทรงสิทธิมีสิทธิครอบครอง ใช้ และถือเอาประโยชน์ใน อสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่นโดยต้องเสียค่าเช่าหรือไม่ก็ได้ ซึ่งสิทธิเก็บกินนั้นเป็นการเฉพาะตัวของผู้รับสิทธิโดยแท้ ดังนั้น ถ้าผู้รับสิทธิถึงแก่ความตายสิทธิเก็บกินย่อมระงับไปไม่ตกทอดแก่ผู้เป็นทายาท แต่ถ้าผู้ให้สิทธิตาย สิทธิเก็บกินย่อมไม่ระงับ

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆได้ให้สิทธิเก็บกินในที่ดินโฉนดเลขที่ 456 แก่นางหญิงเป็นเวลา 10 ปีนั้น เมื่อกฎหมายถือว่าสิทธิเก็บกินเป็นการเฉพาะตัวของผู้รับสิทธิโดยแท้ แต่ไม่เป็นการเฉพาะตัวของผู้ให้สิทธิ ดังนั้น เมื่อนายเมฆผู้ให้สิทธิถึงแก่ความตาย หน้าที่ที่จะต้องให้ผู้รับสิทธิมีสิทธิเก็บกินในที่ดินแปลงดังกล่าวต่อไป จึงไม่ระงับแต่จะเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท น.ส.ฝนทายาทของนายเมฆจึงไม่สามารถเรียกที่ดินคืนจากนางหญิงได้ จะต้องให้นางหญิงมีสิทธิเก็บกินในที่ดินแปลงดังกล่าวต่อไปจนครบ 10 ปี

สรุป น.ส.ฟ้า และ น.ส.ฝน จะเรียกที่ดินคืนจากนายชายและนางหญิงไม่ได้

 

ข้อ 2. นายดําจดทะเบียนสมรสกับนางสมรซึ่งนางสมรมีบุตรติดจากการสมรสเดิมคือนายมืด นายดําและ นางสมรมีบุตรด้วยกันคือนางมณีซึ่งอยู่กินกับนายพจน์มีบุตรคือนายมุนินซึ่งนายพจน์แยกทางกับนางมณีก่อนนายมุนินจะเกิด ต่อมานายดําไปจดทะเบียนรับนายโรมมาเป็นบุตรบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมายโดยนายโรมอยู่กินกับนางยุพินมีบุตรคือนายทรัม ซึ่งนายโรมให้ใช้นามสกุล นายดํา มีป้าคือนางฤดีซึ่งทําพินัยกรรมยกที่ดินมีมูลค่า 1,200,000 บาทให้นายดํา ต่อมานางฤดีตาย นายดํา จึงบวชให้นางฤดีที่วัดไผ่โรงวัว หลังจากบวชพระดําได้ดําเนินการโอนที่ดินตามพินัยกรรมใส่ชื่อตน ต่อมานางมณีป่วยตาย หลังจากนั้นนายโรมประสบอุบัติเหตุตาย ต่อมาพระภิกษุดํามรณภาพ เช่นนี้ จงแบ่งมรดกของพระภิกษุดําที่มีเงินสดในธนาคารที่มีอยู่ก่อนบวชจํานวน 2,400,000 บาท

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 1604 วรรคหนึ่ง “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลหรือสามารถ มีสิทธิได้ตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”

มาตรา 1623 “ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้น ถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลําเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จําหน่ายไปใน
ระหว่างชีวิตหรือโดยพินัยกรรม”

มาตรา 1624 “ทรัพย์สินใดเป็นของบุคคลก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ทรัพย์สินนั้นหาตกเป็น สมบัติของวัดไม่ และให้เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของบุคคลนั้น หรือบุคคลนั้นจะจําหน่ายโดยประการใด ตามกฎหมายก็ได้”

มาตรา 1627 “บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน เหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635

มาตรา 1633 “ทายาทโดยธรรมในลําดับเดียวกันในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 นั้น ชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน ถ้าในลําดับหนึ่งมีทายาทโดยธรรมคนเดียว ทายาทโดยธรรมคนนั้นมีสิทธิได้รับ ส่วนแบ่งทั้งหมด”

มาตรา 1635 “ลําดับและส่วนแบ่งของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ในการรับมรดกของผู้ตายนั้น ให้เป็นไปดังต่อไปนี้

(1) ถ้ามีทายาทตามมาตรา 1629 (1) ซึ่งยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่แล้วแต่กรณี คู่สมรส ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตร”

มาตรา 1639 “ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับ ให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่ ถ้าผู้สืบสันดาน คนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของผู้สืบสันดานนั้น รับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย”

มาตรา 1643 “สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั้นไม่”

วินิจฉัย

เมื่อพระภิกษุดําถึงแก่มรณภาพ มรดกของพระภิกษุดําซึ่งจะตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของ
พระภิกษุดํานั้น ได้แก่

1. เงินสดในธนาคารที่มีอยู่ก่อนบวชจํานวน 2,400,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่นายดํามีอยู่ ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุตามมาตรา 1624

2. ที่ดินซึ่งมีมูลค่า 1,200,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่นายดําได้รับมาโดยพินัยกรรมของ นางฤดีซึ่งเป็นป้าของนายดํา และเป็นทรัพย์สินที่นายดําได้รับมาก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แม้ว่าพระดําจะได้ ดําเนินการโอนที่ดินตามพินัยกรรมมาใส่ชื่อตนเมื่อได้อุปสมบทแล้วก็ตาม ดังนั้นที่ดินแปลงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็น สมบัติของวัดไผ่โรงวัว แต่จะตกเป็นมรดกแก่ทายาทโดยธรรมของพระภิกษุดําตามมาตรา 1623 และ 1624

และบุคคลที่มีสิทธิได้รับมรดกของพระภิกษุดําในฐานะทายาทโดยธรรม ได้แก่

1. นางสมร ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายดํา (พระภิกษุดํา) และเป็นทายาท โดยธรรมในฐานะคู่สมรสตามมาตรา 1629 วรรคสอง โดยจะได้รับส่วนแบ่งเสมือนว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตรตามมาตรา 1635 (1)

2. นางมณี ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของพระภิกษุดํา และเป็นทายาทโดยธรรมตาม มาตรา 1629 (1) แต่เมื่อนางมณีได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก นางมณีจึงไม่อาจรับมรดกของพระภิกษุดําได้ เพราะไม่มีสภาพบุคคลในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม มือปรากฏว่านางมณีมีนายมุนิน ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา 1546 และเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงของนางมณี ดังนั้น นายมุนินจึงมีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่นางมณี ในการรับมรดกของพระภิกษุดําได้ตามมาตรา 1639 และ 1643

3. นายโรม ซึ่งเป็นไตรบุญธรรมของพระภิกษุดํา และมีสิทธิรับมรดกในฐานะผู้สืบสันดานตามมาตรา 1629 (1) ประกอบมาตรา 1627 แต่เมื่อนายโรมได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก นายโรมจึงไม่อาจรับมรดกของพระภิกษุดําได้ เพราะไม่มีสภาพบุคคลในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายโรมมีบุตรคือนายทรัม ซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายโรมได้รับรองแล้ว ตามมาตรา 1627 และเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงของนายโรม ดังนั้น นายทรัมจึงมีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่นายโรมได้
ตามมาตรา 1639 และ 1643

ส่วนนายมืดซึ่งเป็นบุตรติดจากการสมรสเดิมของนางสมร มิใช่ผู้สืบสันดานของพระภิกษุดําจึงไม่มีสิทธิ
รับมรดกของพระภิกษุดําในฐานะทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (1)

ดังนั้น มรดกทั้งหมดของพระภิกษุดําจํานวน 3,600,000 บาท (ที่ดินมูลค่า 1,200,000 บาท และ เงินสดในธนาคารจํานวน 2,400,000 บาท) จึงตกได้แก่ นางสมร นายมุนิน และนายทรัม โดยทั้งสามจะได้รับ ส่วนแบ่งเท่า ๆ กัน คือคนละ 1,200,000 บาท ตามมาตรา 1633

สรุป มรดกทั้งหมดของพระภิกษุดํา จะตกได้แก่ นางสมร นายมุนิน และนายทรัม คนละ 1,200,000 บาท

 

ข้อ 3. นายเพิ่มอยู่กินฉันสามีภริยากับนางพรมีบุตรด้วยกันชื่อ นายหนึ่งกับนายสอง นายเพิ่มให้บุตรทั้งสอง ใช้นามสกุลและให้การอุปการะเลี้ยงดูตลอดมา ต่อมานางพรเลิกรากับนายเพิ่มแล้วจดทะเบียนรับ นายเอกเป็นบุตรบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจากนั้น 3 ปี นางพรถึงแก่ความตาย นายหนึ่ง หมั้นกับนางสาวงาม กําหนดจัดงานสมรสในอีก 6 เดือน แต่ก่อนถึงวันงานนายหนึ่งถึงแก่ความตาย จากอุบัติเหตุรถคว่ํา โดยมีทรัพย์มรดกเป็นเงิน 2,000,000 บาท นายหนึ่งไม่ได้ทําพินัยกรรม ยกให้แก่ผู้ใด ภายหลังนายหนึ่งถึงแก่ความตาย นายสองทําหนังสือมอบแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ว่า มรดกของนายหนึ่งที่ตกได้แก่ตนนั้นขอรับไว้เพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งขอมอบให้นายเพิ่มผู้เป็นบิดา

ให้วินิจฉัยพร้อมให้เหตุผลว่า ทรัพย์มรดกของนายหนึ่งตกได้แก่ผู้ใด เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1612 “การสละมรดกนั้น ต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือทําเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ

มาตรา 1613 วรรคหนึ่ง “การสละมรดกนั้น จะทําแต่เพียงบางส่วน หรือทําโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้”

มาตรา 1620 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้ใดตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้หรือทําพินัยกรรมไว้แต่ไม่มีผล บังคับได้ ให้ปันทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตายนั้นตามกฎหมาย”

มาตรา 1627 “บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635”

มาตรา 1630 “ตราบใดที่ทายาทซึ่งยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสายแล้วแต่กรณี ในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1620 ทายาทผู้ที่อยู่ในลําดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายเลย

แต่ความในวรรคก่อนนี้มีให้ใช้บังคับในกรณีเฉพาะที่มีผู้สืบสันดานคนใดยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดก
แทนที่กันแล้วแต่กรณี และมีบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ ในกรณีเช่นนั้นให้บิดามารดาได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทขั้นบุตร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ในขณะที่นายหนึ่งเจ้ามรดกถึงแก่ความตายนั้น นายหนึ่งไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้ ดังนั้น ทรัพย์มรดกของนายหนึ่งคือเงิน 2,000,000 บาท จึงตกได้แก่ทายาทโดยธรรมของนายหนึ่งตามมาตรา 1620 วรรคหนึ่ง ซึ่งทายาทโดยธรรมของนายหนึ่งนั้น เมื่อนายหนึ่งไม่มีทายาทโดยธรรมในลําดับที่ 1 ตามมาตรา 1629 (1) คือผู้สืบสันดาน และไม่มีทายาทโดยธรรมในลําดับที่ 2 ตามมาตรา 1629 (2) คือบิดามารดา เพราะแม้นายหนึ่ง จะมีนายเพิ่มเป็นบิดาแต่ก็มิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้นายเพิ่มจะได้รับรองว่านายหนึ่งเป็นบุตรโดยให้นายหนึ่ง ใช้นามสกุลและให้การอุปการะเลี้ยงดูตามมาตรา 1627 ก็ไม่ทําให้นายเพิ่มเป็นทายาทโดยธรรมในฐานะบิดาของ นายหนึ่งตามนัยของมาตรา 1629 (2) แต่อย่างใด อีกทั้งนางพรซึ่งเป็นมารดาชอบด้วยกฎหมายของนายหนึ่ง ก็ถึงแก่ความตายก่อนนายหนึ่ง ดังนั้น ทรัพย์มรดกทั้งหมดของนายหนึ่งจํานวน 2,000,000 บาท จึงตกได้แก่นายสอง ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1629 (3) ประกอบมาตรา 1630

ส่วนนายเอกซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของนางพรนั้นมิใช่ทายาทโดยธรรมของนายหนึ่งเพราะมิใช่น้องร่วมบิดามารดาหรือน้องร่วมมารดาเดียวกันกับนายหนึ่ง และนางสาวงามก็เป็นเพียงคู่หมั้นของนายหนึ่งมิใช่คู่สมรสของนายหนึ่ง ดังนั้นทั้งนายเอกและนางสาวงามจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายหนึ่ง

สําหรับกรณีที่นายสองได้ทําหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ว่า มรดกของนายหนึ่งที่ตกได้แก่ คนนั้นขอรับไว้เพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งขอมอบให้นายเพิ่มผู้เป็นบิดานั้น ถือเป็นการสละมรดกตามมาตรา 1612 และเป็นการสละมรดกแต่เพียงบางส่วน ซึ่งจะกระทํามิได้ตามมาตรา 1613 วรรคหนึ่ง เมื่อนายสองได้สละมรดก ที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 16.3 วรรคหนึ่ง จึงถือว่านายสองมิได้สละมรดกแต่อย่างใด ดังนั้น นายสอง จึงยังคงมีสิทธิรับมรดกของนายหนึ่งทั้งหมดในฐานะทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (3)

สรุป มรดกทั้งหมดจํานวน 2,000,000 บาท ตกได้แก่นายสองแต่เพียงผู้เดียว

 

ข้อ 4. นางขาวมีบุตรชาย 1 คน ชื่อนายใหญ่ นายใหญ่มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย คือนางเล็ก ทั้งสอง มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือนายเอกและนายโท นายเอกจดทะเบียนสมรสกับนางอ้น มีบุตรชาย 1 คน คือ ด.ช.หนึ่ง นายเอกและนางอ้นอยากมีบุตรสาวจึงไปรับ ด.ญ.สองมาเป็นบุตรบุญธรรม โดยจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย นายโทขอเงินนายใหญ่เพื่อไปเป็นเงินทุนในการเปิดกิจการ ร้านอาหาร โดยบอกว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินใด ๆ ของนายใหญ่อีก นายโทได้ทําหนังสือ มอบไว้แก่นางเล็ก มีข้อความว่าถ้านายใหญ่ถึงแก่ความตาย นายโทจะขอสละมรดกทั้งหมดของ นายใหญ่ ต่อมานายเอกถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นนายใหญ่หัวใจวายตาย นายใหญ่ไม่ได้ทํา พินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้กับใคร นายใหญ่มีทรัพย์มรดกทั้งสิ้น 120,000 บาท ดังนี้ ให้ท่านแบ่งมรดกของนายใหญ่

ธงค่าตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1604 วรรคหนึ่ง “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลหรือสามารถ มีสิทธิได้ตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”

มาตรา 1612 “การสละมรดกนั้น ต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือทําเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ

มาตรา 1619 “ผู้ใดจะและหรือจําหน่ายจ่ายโอนโดยประการใด ซึ่งสิทธิอันหากจะมีในภายหน้า ในการสืบมรดกผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นไม่ได้”

มาตรา 1620 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้ใดตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้หรือทําพินัยกรรมไว้แต่ไม่มีผล บังคับได้ ให้ปันทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตายนั้นตามกฎหมาย”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
(5) ปู่ ย่า ตา ยาย
(6) ลุง ป้า น้า อา

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635”

มาตรา 1630 “ตราบใดที่ทายาทซึ่งยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสายแล้วแต่กรณี ในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1620) ทายาทผู้ที่อยู่ในลําดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายเลย

แต่ความในวรรคก่อนนี้มีให้ใช้บังคับในกรณีเฉพาะที่มีผู้สืบสันดานคนใดยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่กันแล้วแต่กรณี และมีบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ ในกรณีเช่นนั้นให้บิดามารดาได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็น ทายาทขั้นบุตร”

มาตรา 1635 “ลําดับและส่วนแบ่งของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ในการรับมรดกของผู้ตายนั้น ให้เป็นไปดังต่อไปนี้

(1) ถ้ามีทายาทตามมาตรา 1629 (1) ซึ่งยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่แล้วแต่กรณี คู่สมรส ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตร”

มาตรา 1639 “ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่ ถ้าผู้สืบสันดาน คนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของผู้สืบสันดานนั้น รับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย”

มาตรา 1643 “สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั้นไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายใหญ่ได้ถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้กับใคร มรดกของนายใหญ่จํานวน 120,000 บาท ย่อมตกได้แก่ทายาทโดยธรรมของนายใหญ่ตามมาตรา 1620 วรรคหนึ่ง ซึ่งทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของนายใหญ่ ได้แก่

1. นางขาว ซึ่งเป็นมารดาของนายใหญ่มีสิทธิรับมรดกและจะได้รับส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็น ทายาทชั้นบุตรตามมาตรา 1629 (2) ประกอบมาตรา 1630

2. นางเล็ก ซึ่งเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายในฐานะคู่สมรสมีสิทธิรับมรดกและจะได้รับส่วนแบ่ง เสมือนหนึ่งว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตรตามมาตรา 1629 วรรคสองประกอบมาตรา 1635 (1)

3. นายเอกและนายโท ซึ่งเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิรับมรดกของนายใหญ่ในฐานะ ผู้สืบสันดานตามมาตรา 1629 (1)

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเอกได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดกตาย นายเอกจึงไม่อาจรับมรดก ของนายใหญ่ได้ เพราะไม่มีสภาพบุคคลในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง แต่อย่างไร ก็ตาม เมื่อนายเอกมีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายคือ ด.ช.หนึ่ง และ ด.ช.หนึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงของนายเอก ดังนั้น ด.ช.หนึ่งจึงมีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่นายเอกได้ตามมาตรา 1639 และมาตรา 1643 ส่วน ด.ญ.สองเป็นเพียง บุตรบุญธรรมของนายเอกมิใช่ผู้สืบสันดานโดยตรงของนายเอก ด.ญ.สองจึงไม่มีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่นายเอก

ส่วนนายโทซึ่งได้ทําหนังสือมอบไว้แก่นางเล็กโดยมีข้อความว่าถ้านายใหญ่ถึงแก่ความตาย นายโท
จะขอสละมรดกทั้งหมดของนายใหญ่นั้น ถือเป็นการสละสิทธิอันจะมีในภายหน้าในการสืบมรดกของนายใหญ่ ที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานั้น เป็นการแสดงเจตนาที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1619 การสละมรดกของนายโทจึง ไม่มีผลตามกฎหมาย ดังนั้นนายโทจึงยังคง ดังนั้นนายโทจึงยังคงมีสิทธิรับมรดกของนายใหญ่

ดังนั้น ทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของนายใหญ่ ได้แก่ นางขาว นางเล็ก ด.ช.หนึ่ง และนายโท โดยทั้งสี่จะได้รับส่วนแบ่งเท่า ๆ กัน คือคนละ 30,000 บาท

สรุป ทรัพย์มรดกของนายใหญ่จํานวน 120,000 บาท จะตกได้แก่ นางขาว นางเล็ก ด.ช.หนึ่ง และนายโท คนละ 30,000 บาท

LAW3109 (LAW3009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายดิบอยู่กินกับนางดึกมีบุตรคือนายดําและนายแดง โดยนายดิบแจ้งเกิดในสูติบัตรทั้งสองว่าเป็น บิดา ต่อมานายดําอยู่กินกับนางฤดี นายดําได้ทําสัญญาเช่าที่ดินของนายเผือกเพื่อสร้างอาคารสองชั้น เพื่ออยู่อาศัยและมีข้อตกลงว่าเมื่อครบกําหนดการเช่า 30 ปีแล้วให้อาคารดังกล่าวตกเป็นสิทธิแก่ นายเผือก หลังจากการเช่าได้ 5 ปี นายดําประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย โดยหลังจากนายดํา ตายได้ 300 วัน นางฤดีกลับคลอดบุตรคือ ด.ญ.วันดี โดยนายดําไม่เคยทราบว่านางฤดีตั้งครรภ์ เช่นนี้จงแบ่งมรดกของนายดําที่ยังมีเงินสดในธนาคาร 1,200,000 บาท

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวัน นับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 1600 “ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้”

มาตรา 1604 “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลหรือสามารถมีสิทธิได้ตาม มาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ให้ถือว่าเด็กที่เกิดมารอดอยู่ภายในสามร้อยสิบวันนับแต่เวลาที่เจ้ามรดก
ถึงแก่ความตายนั้น เป็นทารกในครรภ์มารดาอยู่ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”

มาตรา 1620 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้ใดตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้หรือทําพินัยกรรมไว้แต่ไม่มีผล บังคับได้ ให้ปันทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตายนั้นตามกฎหมาย”

มาตรา 1627 “บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน
เหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ
(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635

มาตรา 1630 วรรคหนึ่ง “ตราบใดที่ทายาทซึ่งยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสาย แล้วแต่กรณีในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 ทายาทผู้ที่อยู่ในลําดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของ
ผู้ตายเลย”

มาตรา 1633 “ทายาทโดยธรรมในลําดับเดียวกันในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 นั้น ชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน ถ้าในลําดับหนึ่งมีทายาทโดยธรรมคนเดียว ทายาทโดยธรรมคนนั้นมีสิทธิได้รับ ส่วนแบ่งทั้งหมด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ มรดกของนายดําผู้ตายตามมาตรา 1600 ซึ่งจะตกทอดแก่ผู้เป็นทายาทนั้น ได้แก่

1. เงินสดในธนาคารจํานวน 1,200,000 บาท
2. สิทธิตามสัญญาเช่าที่ดิน ซึ่งเป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เนื่องจาก เป็นสัญญาเช่าที่ดินเพื่อสร้างอาคารสองชั้นเพื่ออยู่อาศัยและมีข้อตกลงว่าเมื่อครบกําหนดการเช่า 30 ปีแล้ว
ให้อาคารดังกล่าวตกเป็นสิทธิแก่นายเผือกผู้ให้เช่า ซึ่งสิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิที่เจ้ามรดกได้มาในระหว่างมีชีวิต และโดยสภาพหรือตามกฎหมายแล้วมิใช่สิทธิเฉพาะตัวของผู้ตาย

ส่วนบุคคลใดบ้างที่มีสิทธิและไม่มีสิทธิในการรับมรดกดังกล่าวของนายดํานั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

1. นายดิบ ซึ่งเป็นบิดาของนายดํานั้น เมื่อนายดิบมิได้จดทะเบียนสมรสกับนางดึก นายดิบ จึงเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายดํา และแม้ว่านายดิบจะได้รับรองโดยแจ้งเกิดในสูติบัตรว่าเป็นบิดาของ นายดําตามมาตรา 1627 ก็ตาม ก็ไม่ทําให้นายดิบเป็นทายาทโดยธรรมตามนัยของมาตรา 1629 (2) แต่อย่างใด ดังนั้น นายดิบจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายดํา

2. นางดึก ซึ่งเป็นมารดาของนายดํานั้น ถือเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (2) จึงมีสิทธิ รับมรดกของนายดํา ทั้งนี้เพราะนางดึกแม้จะมิได้จดทะเบียนสมรสกับนายดิบก็ตาม ก็ถือว่าเป็นมารดาโดยชอบ ด้วยกฎหมายของนายดําตามมาตรา 1546

3. นายแดง ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับเจ้ามรดกและเป็นทายาทโดยธรรม ตามมาตรา 1629 (3) นั้น เมื่อนายดํามีทายาทโดยธรรมในลําดับที่ 2 ตามมาตรา 1629 (2) คือนางดึก นายแดง ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมในลําดับถัดลงไปจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายดําตามมาตรา 1630 วรรคหนึ่ง

4. นางฤดี ซึ่งได้อยู่กินกับนายดําโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกับนายดํา ดังนั้น นางฤดีจึงไม่ใช่ คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายของนายดํา จึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายดําตามมาตรา 1629 วรรคสอง ประกอบ
มาตรา 1457

5. ด.ญ.วันดี ซึ่งเป็นบุตรที่นางฤดีคลอดภายหลังจากที่นายดําตายได้ 300 วันนั้น แม้จะเป็น บุตรนอกกฎหมายของนายดําและคลอดแล้วรอดอยู่ภายใน 310 วันนับแต่เวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายดําไม่เคยทราบว่านางฤดีตั้งครรภ์ ย่อมไม่อาจมีพฤติการณ์ที่นายดําได้รับรองว่า ด.ญ.วันดีเป็นทารกในครรภ์มารดาและเป็นบุตรของตนแต่อย่างใด อีกทั้งนางฤดีเป็นภริยานอกกฎหมายของ นายดําทําให้ ด.ญ.วันดีไม่ได้รับการสันนิษฐานความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1536 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ด.ญ.วันดีจึงไม่มีสิทธิในการเป็นทายาทโดยธรรมในฐานะผู้สืบสันดานตามมาตรา 1629 (1), 1627 ประกอบ มาตรา 1604 ด.ญ.วันดีจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายดํา

ดังนั้น เมื่อนายดําตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้ มรดกของนายดําทั้งหมดซึ่งได้แก่เงินสดในธนาคาร จํานวน 1,200,000 บาท และสิทธิตามสัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทนฯ จึงตกได้แก่นางดึก แต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1620 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1633

สรุป มรดกทั้งหมดของนายคือเงินสดในธนาคาร 1,200,000 บาท และสิทธิตามสัญญาเช่า
ที่ดินฯ ตกได้แก่นางดึกแต่เพียงผู้เดียว

 

ข้อ 2. นายเมฆอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับ น.ส.เดือน มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ น.ส.ฝน และนายหมอก ซึ่งนายเมฆให้คนทั้งสองใช้นามสกุล น.ส.ฝนอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับนายดิน แต่ไม่มีบุตร ด้วยกัน น.ส.ฝนจึงจดทะเบียนรับ น.ส.ฟ้ามาเป็นบุตรบุญธรรมโดยนายดินให้ความยินยอม น.ส.ฟ้ามี ด.ญ.ดาวเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนนายหมอกมี ด.ญ.น้ําเป็นบุตรนอกกฎหมาย ทนายหมอกให้การเลี้ยงดูอย่างดี ต่อมา น.ส.ฝน น.ส.ฟ้า และนายหมอกเดินทางไปต่างจังหวัด และประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต พอนายเมฆทราบข่าวก็หัวใจวายและถึงแก่ความตาย นายเมฆมี มรดกเป็นเงินสดจํานวน 2 ล้านบาท จงแบ่งมรดกของนายเมฆ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1604 วรรคหนึ่ง “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลหรือสามารถ มีสิทธิได้ตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”

มาตรา 1620 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้ใดตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้หรือทําพินัยกรรมไว้แต่ไม่มีผล บังคับได้ ให้ปันทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตายนั้นตามกฎหมาย”

มาตรา 1627 “บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน เหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635

มาตรา 1639 “ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่
ถ้าผู้สืบสันดานคนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของ ผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย”

มาตรา 1643 “สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั้นไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับ น.ส.เดือน มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ น.ส.ฝน และนายหมอก ต่อมานายเมฆได้ถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้นั้น มรดกของนายเมฆ คือเงินสดจํานวน 2 ล้านบาท ย่อมตกได้แก่ทายาทโดยธรรมของนายเมฆตามมาตรา 1620 วรรคหนึ่ง และทายาท โดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของนายเมฆ คือ น.ส.ฝน และนายหมอกตามมาตรา 1629 (1) ประกอบมาตรา 1627 เพราะแม้ว่า น.ส.ฝน และนายหมอกจะเป็นบุตรนอกกฎหมายของนายเมฆก็ตาม แต่การที่นายเมฆได้ให้บุตรทั้งสอง ใช้นามสกุล ย่อมถือว่านายเมฆได้ให้การรับรองบุตรโดยพฤติการณ์แล้ว จึงทําให้ น.ส.ฝน และนายหมอกมีสิทธิรับ มรดกของนายเมฆในฐานะผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วน น.ส.เดือนเมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรส กับนายเมฆ จึงไม่ใช่ทายาทโดยธรรมในฐานะคู่สมรสตามมาตรา 1629 วรรคท้าย จึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายเมฆ

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า น.ส.ฝน และนายหมอกซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตาม มาตรา 1629 (1) ได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดกจึงไม่อาจรับมรดกได้เพราะไม่มีสภาพบุคคลอยู่ในเวลาที่ เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องพิจารณาว่าทายาทโดยธรรมผู้นั้นมีผู้สืบสันดาน เพื่อเข้ารับมรดกแทนที่ตามมาตรา 1639 หรือไม่

กรณีของ น.ส.ฝนนั้น การที่ น.ส.ฝนได้จดทะเบียนรับ น.ส.ฟ้ามาเป็นบุตรบุญธรรมโดยได้รับ ความยินยอมจากนายดินก็ตาม ก็ไม่ถือว่า น.ส.ฟ้าเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงของ น.ส.ฝน ดังนั้น น.ส.ฟ้าจึงไม่มีสิทธิ เข้ารับมรดกแทนที่ น.ส.ฝน ในการรับมรดกของนายเมฆ และเมื่อ น.ส.ฟ้าไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่ น.ส.ฝนแล้ว แม้ น.ส.ฟ้าจะมีบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย คือ ด.ญ.ดาว ด.ญ.ดาวก็ไม่อาจเข้ารับมรดกแทนที่ น.ส.ฝนเช่นเดียวกันตามมาตรา 1639 ประกอบมาตรา 1643

ส่วนกรณีของนายหมอกนั้น เมื่อนายหมอกมีบุตรนอกกฎหมายคือ ด.ญ.น้ำ ซึ่งนายหมอกให้การ เลี้ยงดูเป็นอย่างดี ด.ญ.น้ำจึงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว ด.ญ.น้ําจึงเป็นผู้สืบสันดานของนายหมอก ตามมาตรา 1627 และเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงของนายหมอก ดังนั้น เมื่อนายหมอกซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตาม มาตรา 1629 (1) ได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก ด.ญ.น้ําจึงเข้ารับมรดกแทนที่นายหมอกได้ตามมาตรา 1639 ประกอบมาตรา 1643

ดังนั้น มรดกทั้งหมดของนายเมฆจํานวน 2 ล้านบาท จึงตกได้แก่ ด.ญ.น้ําเพียงคนเดียวโดยการ เข้ารับมรดกแทนที่นายหมอก

สรุป มรดกทั้งหมดของนายเมฆคือเงินสดจํานวน 2 ล้านบาทตกได้แก่ ด.ญ.น้ำเพียงคนเดียว

 

ข้อ 3. นายแดงจดทะเบียนสมรสกับนางเหลือง มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายส้มและนายแสด นายส้ม อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับ น.ส.ขาว มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ ด.ญ.ชมพู โดยนายส้มให้ ด.ญ.ชมพูใช้นามสกุล ส่วนนายแสดมี ด.ช.เขียว เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมานายส้มป่วย และถึงแก่ความตาย ส่วนนายแสดติดการพนันอย่างหนัก นายแดงจึงทําพินัยกรรมตัดนายแสด ไม่ให้รับมรดกของตน ต่อมานายแสดกลับตัวได้ นายแดงจึงทําหนังสือถอนการตัดมอบไว้แก่ นายอําเภอ หลังจากนั้น นายแดงก็ถึงแก่ความตาย นายแดงมีมรดกเป็นเงินสดจํานวน 3 ล้านบาท จงแบ่งมรดกของนายแดง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1604 วรรคหนึ่ง “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลหรือสามารถ มีสิทธิได้ตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”

มาตรา 1608 วรรคหนึ่ง “เจ้ามรดกจะตัดทายาทโดยธรรมของตนคนใดมิให้รับมรดกก็ได้ แต่ด้วย
แสดงเจตนาชัดแจ้ง
(1) โดยพินัยกรรม
(2) โดยทําเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่”

มาตรา 1609 “การแสดงเจตนาตัดมิให้รับมรดกนั้นจะถอนเสียก็ได้

ถ้าการตัดมิให้รับมรดกนั้นได้ทําโดยพินัยกรรม จะถอนเสียได้ก็แต่โดยพินัยกรรมเท่านั้น….”

มาตรา 1627 “บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน เหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน

คู่สมรสที่ยังมีชีวิต ชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635”

มาตรา 1633 “ทายาทโดยธรรมในลําดับเดียวกันในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 นั้น ชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน ถ้าในลําดับหนึ่งมีทายาทโดยธรรมคนเดียว ทายาทโดยธรรมคนนั้นมีสิทธิได้รับ ส่วนแบ่งทั้งหมด”

มาตรา 1635 “ลําดับและส่วนแบ่งของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ในการรับมรดกของผู้ตายนั้น ให้เป็นไปดังต่อไปนี้

(1) ถ้ามีทายาทตามมาตรา 1629 (1) ซึ่งยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่แล้วแต่กรณี คู่สมรส ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตร”

มาตรา 1639 “ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่
ถ้าผู้สืบสันดานคนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของ ผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้ ไปจนหมดสาย”

มาตรา 1643 “สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั่นไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายแดงถึงแก่ความตาย มรดกซึ่งเป็นเงินสดจํานวน 3 ล้านบาทของนายแดง ย่อมตกได้แก่ทายาทโดยธรรม และบุคคลที่มีสิทธิรับมรดกของนายแดงได้แก่บุคคลใดบ้างนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

1. นางเหลือง ซึ่งเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายแดง มีสิทธิรับมรดกของนายแดง
ในฐานะคู่สมรสตามมาตรา 1629 วรรคท้าย

2. นายส้ม ซึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายแดง โดยหลักแล้วย่อมมีสิทธิรับมรดกของ นายแดงในฐานะผู้สืบสันดานตามมาตรา 1629 (1) แต่เมื่อปรากฏว่า นายส้มได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก ดังนั้น นายส้มจึงไม่อาจรับมรดกของนายแดงได้ เพราะนายส้มไม่มีสถานภาพบุคคลในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายส้มมีบุตรคือ ด.ญ.ชมพู ซึ่งแม้ ด.ญ.ชมพูจะเป็น บุตรนอกกฎหมายของนายส้ม แต่เมื่อนายส้มได้รับรองว่า ด.ญ.ชมพูเป็นบุตรโดยการให้ ด.ญ.ชมพูใช้นามสกุล ตามมาตรา 1627 อีกทั้ง ด.ญ.ชมพูเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงของนายส้ม ดังนั้น ด.ญ.ชมพูจึงมีสิทธิรับมรดก แทนที่นายส้มในการรับมรดกของนายแดงได้ตามมาตรา 1639 และมาตรา 16413

3. นายแสด ซึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายแดงนั้น ไม่มีสิทธิรับมรดกของนายแดง ในฐานะผู้สืบสันดานตามมาตรา 1629 (1) ทั้งนี้เพราะนายแดงเจ้ามรดกได้ทําพินัยกรรมตัดมิให้นายแสดรับมรดก โดยถูกต้องตามมาตรา 1608 แล้ว และแม้ว่าภายหลังนายแดงจะได้ทําหนังสือถอนการตัดมิให้รับมรดกนั้น มอบไว้แก่นายอําเภอก็ตาม แต่การถอนดังกล่าวกระทําไม่ถูกต้องตามมาตรา 1609 คือไม่ได้ถอนโดยพินัยกรรม ดังนั้น จึงยังถือว่านายแสดถูกตัดมิให้รับมรดกเช่นเดิม และการที่นายแสดถูกตัดมิให้รับมรดกนั้น ทําให้ ด.ช.เขียว ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแสดจะเข้ารับมรดกแทนที่นายแสดไม่ได้ เพราะมิใช่เป็นกรณีที่นายเขียวตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตายตามมาตรา 1639 แต่อย่างใด

ส่วน น.ส.ขาว ไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของนายแดงจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายแดง

ดังนั้น มรดกของนายแดงซึ่งเป็นเงินสดจึงตกได้แก่ ด.ญ.ชมพูซึ่งเข้ารับมรดกแทนที่นายส้มและ นางเหลืองคู่สมรสของเจ้ามรดก โดยนางเหลืองจะได้รับส่วนแบ่งเสมือนว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตรตามมาตรา 1635 (1) ดังนั้น ด.ญ.ชมพูและนางเหลืองจึงได้รับส่วนแบ่งมรดกเท่า ๆ กันคือคนละ 1 ล้าน 5 แสนบาท ตามมาตรา 1633

สรุป มรดกของนายแดงตกได้แก่นางเหลืองและ ด.ญ.ชมพู คนละ 1 ล้าน 5 แสนบาท

 

ข้อ 4. นายใหญ่มีน้องชายร่วมบิดาเดียวกัน 2 คน คือ นายกลางและนายเล็ก นายใหญ่มีภริยาที่ชอบด้วย กฎหมายชื่อนางหญิง นายกลางได้จดทะเบียนสมรสกับนางก้อยมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนายก่อ ส่วนนายเล็กเป็นโสดแต่นายเล็กได้รับนายน้อยมาเป็นบุตรบุญธรรมโดยจดทะเบียนถูกต้องตาม กฎหมาย วันหนึ่งนายใหญ่ได้ด่าว่านายก่อที่ชอบทําตัวเป็นอันธพาล นายก่อโกรธนายใหญ่มาก นายก่อจึงนําปืนมายิงนายใหญ่ถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นนายก่อได้บอกนายกลางเรื่องที่ยิงนายใหญ่ตาย นายกลางแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจว่านายใหญ่ถูกฆ่าตายแต่ไม่บอกว่านายก่อ เป็นผู้ที่ฆ่าเพราะกลัวว่านายก่อต้องรับโทษ นายใหญ่มีทรัพย์มรดกทั้งสิ้น 300,000 บาท นายเล็ก ได้สละมรดกของนายใหญ่โดยทําเป็นหนังสือมอบไว้กับผู้อํานวยการเขตบางรัก ดังนี้ จงแบ่งมรดกของนายใหญ่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1606 “บุคคลดังต่อไปนี้ต้องถูกกําจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร คือ

(3) ผู้ที่รู้แล้วว่าเจ้ามรดกถูกฆ่าโดยเจตนาแต่มิได้นําข้อความนั้นขึ้นร้องเรียนเพื่อเป็นทางที่จะเอาตัวผู้กระทําผิดมาลงโทษ แต่ข้อนี้มิให้ใช้บังคับถ้าบุคคลนั้นมีอายุยังไม่ครบสิบหกปีบริบูรณ์ หรือเป็นคนวิกลจริต ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือถ้าผู้ที่ฆ่านั้นเป็นสามีภริยาหรือผู้บุพการีหรือผู้สืบสันดานของตนโดยตรง

มาตรา 1612 “การสละมรดกนั้น ต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือทําเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ”

มาตรา 1615 “การที่ทายาทสละมรดกนั้น มีผลย้อนหลังไปถึงเวลาที่เจ้ามรดกตาย

เมื่อทายาทโดยธรรมคนใดสละมรดก ผู้สืบสันดานของทายาทคนนั้นสืบมรดกได้ตามสิทธิของตน และชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากับส่วนแบ่งที่ผู้สละมรดกนั้นจะได้รับ แต่ผู้สืบสันดานนั้นต้องไม่ใช่ผู้ที่บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้อนุบาลแล้วแต่กรณี ได้บอกสละมรดกโดยสมบูรณ์ในนามของผู้สืบสันดานนั้น”

มาตรา 1620 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้ใดตายโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้หรือทําพินัยกรรมไว้แต่ไม่มีผล บังคับได้ ให้ปันทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตายนั้นตามกฎหมาย”

มาตรา 1627 “บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน
เหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน
(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635”

มาตรา 1633 “ทายาทโดยธรรมในลําดับเดียวกันในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 นั้น ชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน ถ้าในลําดับหนึ่งมีทายาทโดยธรรมคนเดียว ทายาทโดยธรรมคนนั้นมีสิทธิได้รับ ส่วนแบ่งทั้งหมด”

มาตรา 1635 “ลําดับและส่วนแบ่งของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ในการรับมรดกของผู้ตายนั้น ให้เป็นไปดังต่อไปนี้

(3) ถ้ามีทายาทตามมาตรา 1629 (4) หรือ (6) และทายาทนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดก แทนที่ หรือมีทายาทตามมาตรา 1629 (5) แล้วแต่กรณี คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ มีสิทธิได้มรดกสองส่วนในสาม”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายใหญ่ตายลงโดยไม่ได้ทําพินัยกรรมไว้ มรดกของนายใหญ่จํานวน 300,000 บาท ย่อมตกได้แก่ทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1620 วรรคหนึ่ง ซึ่งบุคคลที่มีสิทธิในการรับมรดกของ นายใหญ่ในฐานะทายาทโดยธรรม ได้แก่

1. นางหญิง ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายในฐานะคู่สมรสตามมาตรา 1629 วรรคท้าย

2. นายกลางและนายเล็ก ซึ่งเป็นน้องชายร่วมบิดาเดียวกันกับนายใหญ่ตามมาตรา 1629 (4)

ส่วนนางก้อยซึ่งเป็นภริยาของนายกลางนั้นไม่มีสิทธิรับมรดกของนายใหญ่เพราะมิใช่ทายาทโดยธรรม
ของนายใหญ่แต่อย่างใด

เมื่อบุคคลที่มีสิทธิรับมรดกของนายใหญ่มี 3 คน คือ นางหญิงซึ่งเป็นคู่สมรส และนายกลางกับ นายเล็กซึ่งเป็นน้องชายร่วมบิดาเดียวกันตามมาตรา 1629 (4) ดังนั้น มรดกของนายใหญ่จํานวน 300,000 บาท จึงตกได้แก่นางหญิง 2 ใน 3 ส่วน คือ 200,000 บาท และตกได้แก่นายกลางและนายเล็ก 1 ใน 3 ส่วน คือจํานวน 100,000 บาทตามมาตรา 1635 (3) นายกลางและนายเล็กจึงได้รับคนละ 50,000 บาทตามมาตรา 1633

ส่วนกรณีที่นายก่อซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกลางได้ใช้ปืนยิงนายใหญ่ถึงแก่ความตาย และได้บอกเรื่องดังกล่าวให้นายกลางรู้ แต่นายกลางได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจว่านายใหญ่ถูกฆ่าตายแต่ไม่บอกว่า นายก่อเป็นผู้ที่ฆ่าเพราะกลัวว่านายก่อต้องรับโทษนั้น นายกลางจะไม่ถูกกําจัดมิให้รับมรดกของนายใหญ่ตาม มาตรา 1606 (3) เนื่องจากนายก่อเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงของนายกลาง จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1606 (3) ดังนั้น นายกลางจึงยังคงมีสิทธิรับมรดกของนายใหญ่

และกรณีที่นายเล็กได้สละมรดกของนายใหญ่โดยทําเป็นหนังสือมอบไว้กับผู้อํานวยการเขตบางรักนั้น การสละมรดกของนายเล็กมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1612 และเมื่อนายเล็กมีบุตรบุญธรรมคือนายน้อย ซึ่งเป็น ผู้สืบสันดานตามมาตรา 1627 ประกอบมาตรา 1629 (1) ดังนั้น นายน้อยจึงเข้าสืบมรดกได้ตามสิทธิของตน และชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่าส่วนแบ่งที่นายเล็กผู้สละมรดกจะได้รับคือจํานวน 50,000 บาทตามมาตรา
1615 วรรคสอง

สรุป มรดกของนายใหญ่จํานวน 300,000 บาท จะตกได้แก่นางหญิงจํานวน 200,000 บาท และตกได้แก่นายกลางและนายน้อยคนละ 50,000 บาท

LAW2105 (LAW2005) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2105 (LAW2005) ป.พ.พ.ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
ข้อแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายเอกซื้อรถจักรยานยนต์ทะเบียน กข 99 จากนายโทในราคา 42,000 บาท โดยชําระราคาด้วยเช็ค ต่อมานายโททราบว่าเช็คที่นายเอกใช้สําหรับชําระราคารถจักรยานยนต์ให้ตนนั้นถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน อยากทราบว่าการซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายเอกและนายโทเป็นสัญญาซื้อขาย ประเภทใด และกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์โอนไปยังนายเอกเมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขาย ขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าต้นขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและ
สัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มี หลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา 458 “กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทําสัญญาซื้อขายกัน”

วินิจฉัย

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสําเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขาย ที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชําระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคํานึงว่าในขณะที่ ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชําระราคากันแล้วหรือไม่
“สัญญาจะซื้อจะขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณี ยังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอน กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทําตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไป ทําสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกซื้อรถจักรยานยนต์ทะเบียน กข 99 จากนายโทในราคา 42,000 บาท โดยชําระราคาด้วยเช็คนั้น ถือเป็นสัญญาซื้อขายทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไป มิใช่เป็นการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษแต่อย่างใด และเมื่อเป็นการตกลงซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง (ทรัพย์ที่ กําหนดไว้เป็นที่แน่นอนแล้ว) สัญญาซื้อขายรถจักรยายนต์ระหว่างนายเอกและนายโทจึงเป็นสัญญาซื้อขาย เสร็จเด็ดขาดและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไปนั้นจะไม่อยู่ภายใต้ บังคับของมาตรา 456 วรรคหนึ่ง คือ ไม่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

และเมื่อสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายเอกและนายโทมีผลสมบูรณ์ ดังนั้นกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกันคือรถจักรยานยนต์ย่อมโอนไปเป็นของนายเอกผู้ซื้อนับตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทําสัญญา
ซื้อขายกันตามมาตรา 458 แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าเช็คที่นายเอกใช้ชําระราคารถจักรยายนต์ให้ตนนั้นจะ ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก็ตาม

สรุป สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายเอกและนายโทเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
และกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์โอนไปยังนายเอกผู้ซื้อนับตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทําสัญญาซื้อขายกัน

 

ข้อ 2. นายนิดต้องการหาซื้อแจกันลายครามเพื่อเอาเข้าร่วมประกวดในงานของดีประเทศไทย จึงไปที่
ร้านขายแจกันโบราณของนายหน่อย นายหน่อยทราบว่านายนิดต้องการแจกันลายสวยงามเพื่อนําไปเข้าประกวด จึงแนะนําแจกันใบหนึ่งให้ แล้วบอกว่าแจกันใบที่ตนนํามาให้ดูนี้เคยผ่านการ ประกวดแล้วได้รับรางวัลเมื่อนานมาแล้ว นายนิดจึงตกลงซื้อ ปรากฏว่าเมื่อนําไปเข้าร่วมประกวด กรรมการพบว่าแจกันที่นายนิดนําเข้าประกวดนั้นเคยมีการแตกร้าวมาก่อน แต่มีการซ่อมแซม อย่างแนบเนียนจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แจกันใบดังกล่าวจึงตกรอบแรก นอกจากนี้ มีนายสิงมาอ้างกับนายนิดว่าแจกันใบนี้เป็นของตนที่ถูกขโมยมา พร้อมทั้งโชว์ภาพที่ตนถ่ายคู่กับ แจกันให้ดู ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายนิดจะเรียกให้นายหน่อยรับผิดเพื่อความชํารุดบกพร่องและเพื่อ การรอนสิทธิได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดีท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สิน โดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของ ผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

มาตรา 479 “ถ้าทรัพย์สินซึ่งซื้อขายกันหลุดไปจากผู้ซื้อทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเพราะเหตุ การรอนสิทธิก็ดี หรือว่าทรัพย์สินนั้นตก อยู่ในบังคับแห่งสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งเป็นเหตุให้เสื่อมราคา หรือเสื่อม ความเหมาะสมแก่การที่จะใช้ หรือเสื่อมความสะดวกในการใช้สอย หรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินนั้น และซึ่งผู้ซื้อหาได้รู้ในเวลาซื้อขายไม่ก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายนิดจะเรียกให้นายหน่อยรับผิดเพื่อความชํารุดบกพร่องและเพื่อการรอนสิทธิ
ได้หรือไม่ อย่างไร แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1. การที่นายนิดต้องการหาซื้อแจกันลายครามเพื่อเอาเข้าร่วมประกวดในงานของดีประเทศไทย จึงไปที่ร้านขายแจกันโบราณของนายหน่อย นายหน่อยทราบว่านายนิดต้องการแจกันลายสวยงามเพื่อนําไปเข้า ประกวด จึงแนะนําแจกันใบหนึ่งให้ แล้วบอกว่าแจกันใบที่ตนนํามาให้ดูนี้เคยผ่านการประกวดแล้วได้รับรางวัล เมื่อนานมาแล้ว นายนิดจึงตกลงซื้อ ปรากฏว่าเมื่อนําไปเข้าร่วมประกวด กรรมการพบว่าแจกันที่นายนิดนําเข้า ประกวดนั้นเคยมีการแตกร้าวมาก่อน แต่มีการซ่อมแซมอย่างแนบเนียนจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แจกันใบดังกล่าวจึงตกรอบแรกนั้น กรณีดังกล่าวถือว่าทรัพย์สินซึ่งตกลงซื้อขายกันคือแจกันนั้นมีความชํารุดบกพร่อง อย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ทรัพย์สินนั้นเสื่อมราคาและเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา นายหน่อยผู้ขายจึงต้องรับผิด ดังนั้น นายนิดจึงเรียกให้นายหน่อยรับผิดเพื่อความชํารุดบกพร่องได้ตามมาตรา 472

2. กรณีที่จะถือว่าผู้ซื้อถูกรอนสิทธิและผู้ขายจะต้องรับผิดนั้น จะต้องเป็นกรณีที่มีบุคคลอื่น ได้เข้ามาก่อการรบกวนสิทธิของผู้ซื้อในอันที่จะครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขาย และเป็นเหตุให้ทรัพย์สินนั้นหลุดไปจากผู้ซื้อทั้งหมดหรือแต่บางส่วน เพราะเหตุการรอนสิทธินั้นตามมาตรา 275 ประกอบมาตรา 479 แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้น นายสิงเพียงแต่ มาอ้างกับนายนิดว่าแจกันใบนี้เป็นของตนที่ถูกขโมยมาพร้อมทั้งโชว์ภาพที่ตนถ่ายคู่กับแจกันให้ดูเท่านั้น กรณี จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 475 ประกอบมาตรา 479 ในอันที่จะถือว่านายนิดถูกรอนสิทธิ ดังนั้น นายนิดจึงเรียกให้ นายหน่อยรับผิดเพื่อการรอนสิทธิไม่ได้

สรุป นายนิดสามารถเรียกให้นายหน่อยรับผิดเพื่อความชํารุดบกพร่องได้ แต่จะเรียกให้นายหน่อย รับผิดเพื่อการรอนสิทธิไม่ได้

 

ข้อ 3. นายหนึ่งทําสัญญาเป็นหนังสือกับนายสอง ขายฝากรถยนต์คันหนึ่งของนายหนึ่งไว้กับนายสอง ใน
ราคา 200,000 บาท เป็นจํานวนเท่ากับที่นายหนึ่งรับเงินจริงตามสัญญาขายฝาก แต่ในสัญญา ไม่ได้กําหนดค่าสินไถ่ ไม่ได้กําหนดเวลาไถ่คืน ขายฝากไปได้สามเดือน นายหนึ่งได้มาขอไถ่รถยนต์ คันนั้นคืนจากนายสอง นายสองตกลงให้นายหนึ่งนําเงินเข้าบัญชีธนาคารของนายสอง แต่เมื่อ นายหนึ่งนําเงิน 200,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารของนายสองเรียบร้อย นายสองกลับไม่ยอมส่งมอบ รถยนต์คันนั้นคืนโดยอ้างว่าเงินที่นายหนึ่งโอนมานั้นยังขาดดอกเบี้ยอีก 10,000 บาท และนายสอง ยังนํารถยนต์คันนั้นไปใช้จนเกิดอุบัติเหตุทําให้รถยนต์คันนั้นเสียหาย ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายหนึ่ง ได้ใช้สิทธิไถ่รถยนต์คันนั้นแล้วหรือยัง นายสองจะเรียกดอกเบี้ยอีก 10,000 บาท ได้หรือไม่ และ นายหนึ่งจะฟ้องร้องให้นายสองรับผิดในความเสียหายของรถยนต์คันนั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่ง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมี ข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 492 วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กําหนดไว้ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด หรือผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสํานักงานวางทรัพย์ภายในกําหนดเวลาไถ่ โดยสละสิทธิ์ถอนทรัพย์ที่ได้วางไว้ ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชําระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ แล้วแต่กรณี

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กําหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย
(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กําหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา 499 วรรคหนึ่ง “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก”

มาตรา 501 “ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่า ทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือทําให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1. การที่นายหนึ่งทําสัญญาเป็นหนังสือกับนายสองขายฝากรถยนต์คันหนึ่งไว้กับนายสอง ในราคา 200,000 บาท เป็นจํานวนเท่ากับที่นายหนึ่งรับเงินจริงตามสัญญาขายฝากนั้น สัญญาขายฝากรถยนต์ ระหว่างนายหนึ่งกับนายสองย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคหนึ่ง เนื่องจากเป็น การขายฝากสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไป จึงไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

2. เมื่อสัญญาขายฝากดังกล่าว ไม่ได้กําหนดค่าสินไถ่ และไม่ได้กําหนดเวลาไถ่คืนไว้ ดังนั้น นายหนึ่งจึงมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินคืนได้ภายในกําหนด 3 ปีนับตั้งแต่เวลาขายฝากตามมาตรา 494 (2) และสามารถ ไม่ได้โดยใช้สินไถ่ตามราคาที่ขายฝาก คือ 200,000 บาท ตามมาตรา 499 วรรคหนึ่ง

และเมื่อขายฝากไปได้ 3 เดือน นายหนึ่งได้มาขอไถ่รถยนต์คันนั้นคืนจากนายสอง และนายสอง ก็ตกลงให้นายหนึ่งนําเงินเข้าบัญชีธนาคารของนายสอง เมื่อนายหนึ่งนําเงิน 200,000 บาท เข้าบัญชีของนายสอง เรียบร้อยแล้ว ย่อมถือว่านายหนึ่งได้ใช้สิทธิไถ่รถยนต์คันนั้นแล้วตามมาตรา 494 (2) และมาตรา 499 วรรคหนึ่ง และเมื่อนายหนึ่งได้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินโดยชอบแล้ว กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวจึงโอนกลับมาเป็นของ นายหนึ่งแล้วตามมาตรา 492 วรรคหนึ่ง นายสองจึงต้องส่งมอบรถยนต์คันนั้นคืนให้แก่นายหนึ่งและจะเรียก ดอกเบี้ยอีก 10,000 บาทไม่ได้

3. การที่นายสองไม่ยอมส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายหนึ่ง และยังนํารถยนต์คันนั้นไปใช้จนเกิด อุบัติเหตุทําให้รถยนต์คันนั้นเสียหาย นายหนึ่งย่อมสามารถเรียกให้นายสองรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความ เสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันนั้นได้ เพราะถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะความผิดของนายสองตามมาตรา 501

สรุป กรณีดังกล่าวถือว่านายหนึ่งได้ใช้สิทธิไถ่รถยนต์คันนั้นแล้ว นายสองจะเรียกดอกเบี้ยอีก 10,000 บาทไม่ได้ และนายหนึ่งสามารถฟ้องร้องให้นายสองรับผิดในความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันนั้นได้

 

LAW2106 (LAW2006) กฎหมายอาญา1 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2106 (LAW 2006) กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายโก๋ออกไปล่าสัตว์ในป่ากับนายเก่า หลังจากแยกย้ายกันไปสักพักใหญ่ นายโก๋มานั่งพักอยู่ที่ จุดนัดพบคอยนายเก๋า ระหว่างนั้นนายโก๋ได้ยินเสียงพุ่มไม้ไหวก็เข้าใจไปว่าเป็นหมูป่าโดยไม่คิดว่า เป็นนายเก๋า ทั้งที่ปกตินายเก๋มักจะชอบล้อเล่นแบบนี้อยู่เสมอ ด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี นายโก๋ ใช้ปืนยิงไปหลังพุ่มไม้นั้น ปรากฏว่าโดนนายเก่าถึงแก่ความตาย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายโก๋

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้ กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่
หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือ ความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคหนึ่ง ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํา รับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโก๋ใช้ปืนยิงไปที่หลังพุ่มไม้นั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยรู้สํานึกแล้ว จึงถือว่านายโก๋มีการกระทําทางอาญา แต่การที่นายโก้ยิงไปที่หลังพุ่มไม้โดยเข้าใจว่าเป็นสัตว์ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์แต่เป็นนายเก่านั้น เป็นกรณีที่นายโก๋ได้กระทําไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ ของความผิด คือไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนยิงนั้นเป็นคน ดังนั้น จะถือว่านายโก๋ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการ กระทําคือการที่นายเก่าถึงแก่ความตายไม่ได้ กล่าวคือ จะถือว่านายโก๋ได้กระทําโดยเจตนาต่อนายเก๋าไม่ได้นั่นเอง (มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม)

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม ของนายโก๋ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นการกระทําของนายโก๋ เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และนายโก๋ อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ กล่าวคือ ถ้านายโก๋ใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้ดี

ไม่รีบร้อนก็จะรู้ว่าหลังพุ่มไม้นั้นเป็นนายเก๋าไม่ใช่สัตว์ เพราะนายเก๋ามักจะหยอกล้อเล่นแบบนี้เป็นประจํา ดังนั้น นายโก๋จึงต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 62 วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

สรุป นายโก๋ต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 62
วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

 

ข้อ 2. นายดําต้องการฆ่านายแดงจึงมอบปืนให้นายขาวโดยหลอกว่าเป็นปืนปลอมให้ไปยิงล้อเล่นให้
นายแดงตกใจ นายขาวหลงเชื่อว่าเป็นปืนปลอม จึงยิงปืนไปที่นายแดง กระสุนปืนไม่ถูกนายแดง และไม่มีบุคคลใดได้รับอันตรายแต่อย่างใด

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นายดําและนายขาวจะต้องรับผิดอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อ ได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทํา โดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําต้องการฆ่านายแดงจึงมอบปืนให้นายขาวโดยหลอกว่าเป็นปืนปลอม ให้ไปยิงล้อเล่นให้นายแดงตกใจ นายขาวหลงเชื่อว่าเป็นปืนปลอมจึงยิงปืนไปที่นายแดง กระสุนปืนไม่ถูกนายแดง และไม่มีบุคคลใดได้รับอันตรายแต่อย่างใดนั้น นายดําและนายขาวจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่นั้น
แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายขาว

การที่นายขาวใช้ปืนยิงไปที่นายแดงโดยนายขาวหลงเชื่อว่าปืนที่ใช้เป็นปืนปลอมนั้น แม้นายขาวจะได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําก็ตาม แต่เมื่อนายขาวมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด คือไม่รู้ว่าการกระทําของตนนั้นเป็นการ “ฆ่าผู้อื่น” กรณีนี้จะถือว่านายขาวได้กระทําโดยประสงค์ต่อผลหรือ ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้ กล่าวคือ จะถือว่านายขาวได้กระทําโดยมีเจตนาที่จะฆ่านายแดงมิได้ (ตามมาตรา 59 วรรคสาม ประกอบวรรคสอง) และเมื่อไม่ถือว่านายขาวได้กระทําโดยเจตนา นายขาวจึงไม่ต้อง รับผิดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

กรณีของนายดำ

การที่นายดํามอบปืนให้นายขาวโดยหลอกว่าเป็นปืนปลอมให้ไปยิงนายแดงนั้น ถือเป็นกรณีที่นายดํา ได้ใช้นายขาวซึ่งเป็นบุคคลที่มีการกระทํา แต่การกระทําของนายขาวนั้นไม่เป็นความผิด และเป็นเครื่องมือในการ
กระทําความผิด การที่นายขาวใช้ปืนยิงนายแดง จึงถือว่าเป็นการกระทําของนายดําเองซึ่งเป็นการกระทําโดยอ้อม

เมื่อการกระทํานั้นได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกนายแดงและ ไม่มีบุคคลใดได้รับอันตรายแต่อย่างใด นายดําจึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายแดงตามมาตรา 288 และมาตรา 80 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

สรุป นายดํามีความผิดฐานพยายามฆ่านายแดงตามมาตรา 288 และมาตรา 80 ประกอบ มาตรา 59 วรรคหนึ่ง ส่วนนายขาวไม่มีความผิดเพราะขาดเจตนาในการกระทําความผิด

 

ข้อ 3. เลอสรรค์เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้าน 3 ตัว เลอสรรค์ทํารั้วบ้านด้วยคอนกรีตสูงสองเมตรและมีลูกกรงเหล็ก ต่อขึ้นไปอีกหนึ่งเมตร เลอสรรค์เขียนข้อความติดไว้หน้าประตูรั้วว่า “ห้ามปีนรั้วหรือยื่นมือและเท้า เข้ามาในรั้วเพราะสุนัขดุ” วันรบกับพวกเตะฟุตบอลอยู่บนถนนหน้าบ้านเลอสรรค์ ลูกฟุตบอลได้ เข้าไปในบ้านเลอสรรค์ วันรบได้ปีนรั้วและใช้ไม้เขี่ยลูกฟุตบอลทั้งที่เห็นข้อความติดไว้หน้าประตูรั้ว สุนัขของเลอสรรค์กระโดดกัดข้อมือวันรบและกระชากจนวันรบจะหล่นจากรั้วเข้าไปข้างใน วันรบร้องให้พรรคพวกช่วย ทรงเดชเพื่อนของวันรบได้ใช้ไม้ตีและแทงไปที่หัวสุนัขจนตาสุนัขบอดและยอมปล่อยข้อมือวันรบ

ดังนี้ ทรงเดชต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์
ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ทรงเดชได้ใช้ไม้ตีและแทงไปที่หัวสุนัขจนตาสุนัขบอดนั้น ย่อมถือว่าทรงเดช ได้กระทําต่อทรัพย์ของเลอสรรค์โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ซึ่งโดยหลักแล้วทรงเดชจะต้องรับผิดทางอาญา ฐานทําให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ส่วนทรงเดชจะอ้างว่าการกระทําของตนนั้นเป็นการกระทําเพื่อ ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

การกระทําที่จะถือว่าเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 นั้น จะต้องเป็น การกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้น การที่สุนัขของเลอสรรค์กระโดดกัดข้อมือวันรบและกระชากจนวันรบจะหล่นจากรั้ว เข้าไปข้างในรั้วบ้านของเลอสรรค์นั้น ภยันตรายที่เกิดกับวันรบนั้นไม่ถือว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย คือ มิใช่ภยันตรายที่เกิดจากการกระทําโดยประมาทของเลอสรรค์แต่อย่างใด เนื่องจากเลอสรรค์ได้เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านและได้ทํารั้วบ้านด้วยคอนกรีตสูง 2 เมตร และมีซี่กรงเหล็กต่อขึ้นไปอีก 1 เมตร อีกทั้งยังได้เขียนข้อความติดไว้หน้าประตูรั้วว่า “ห้ามปีนรั้วหรือยื่นมือและเท้าเข้ามาในรั้วเพราะสุนัขดุ” ด้วย แต่ภยันตรายดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะความผิดของวันรบเองที่ได้ปีนรั้วและใช้ไม้เขี่ยลูกฟุตบอลทั้งที่เห็น ข้อความติดไว้หน้าประตูรั้ว จนทําให้สุนัขของเลอสรรค์กระโดดกัดมือวันรบและกระชากจนวันรบจะหล่นจากรั้ว เข้าไปข้างใน ดังนั้น การกระทําของทรงเดชที่ใช้ไม้ตีและแทงไปที่หัวสุนัขจนตาบอดและปล่อยข้อมือวันรบนั้น

ทรงเดชจะอ้างว่าเป็นการกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของวันรบให้พ้นภยันตรายเพื่อให้ตนเองพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 68 ไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของทรงเดชดังกล่าว ทรงเดชอาจอ้างได้ว่าเป็นการกระทําผิดด้วย
ความจําเป็น เพราะเพื่อให้ผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ และเป็นภยันตรายที่ตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตนตามมาตรา 67 (2) และเมื่อการกระทํานั้นไม่เกิน สมควรแก่เหตุ ทรงเดชไม่ต้องรับโทษสําหรับความผิดนั้น

สรุป ทรงเดชมีความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะเป็นการกระทําความผิด ด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (2)

 

ข้อ 4. เชย ชิด และฉ่ำไปเที่ยวงานกาชาดจังหวัด พบเอกกับเพื่อนยืนอยู่ เชยมีอาวุธปืนเดินเข้าไป ถามหาเรื่องจะทําร้ายเอก แล้วทั้งสามก็ไปเที่ยวต่อ หลังจากเที่ยวงานเสร็จระหว่างทางกลับบ้าน เชย ชิด และฉ่ำพบเอกกับพวกอีก ชิดได้ชักมีดออกมาแทงเอก เอกหลบและชักปืนออกมาจะยิ่งชิด ฉ่ำเข้าแย่งปืนกับเอก ร้องบอกเชยว่า “เชยยิง ๆ” เชยได้ใช้ปืนยิงเอก ขณะเดียวกัน ชิดเข้า ขัดขวางพรรคพวกของเอกไม่ให้ช่วยเอก เอกถูกยิงตาย

ดังนี้ เชย ชิด และฉ่ำ ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วม กระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด….”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เชย ชิด และฉ่ำ จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของเชย

การที่เชยใช้ปืนยิงเอกจนเอกถึงแก่ความตายนั้น ถือว่าเชยได้กระทําต่อเอกโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ดังนั้น เชยจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

กรณีของชิด

จากข้อเท็จจริง การที่เชย ชิด และไปเที่ยวงานกาชาดจังหวัด พบเอกกับเพื่อนยืนอยู่ เชยซึ่งมีอาวุธปืนได้เดินเข้าไปถามหาเรื่องจะทําร้ายเอก แล้วทั้งสามก็ไปเที่ยวต่อ หลังจากเที่ยวงานเสร็จระหว่างทางกลับบ้าน เชย ชิด และพบเอกกับพวกอีก ซิดได้ชักมีดออกมาแทงเอกนั้น ย่อมถือได้ว่าชิดและเชยมีเจตนาที่จะทําร้ายเอก ตั้งแต่แรกแล้ว และเมื่อเซยได้ใช้ปืนยิงเอก ชิดก็ได้เข้าขัดขวางพรรคพวกของเอกไม่ให้ช่วยเอก แสดงว่าชิดรู้เห็น และมีเจตนาร่วมกระทําผิดกับเชย ดังนั้น เมื่อเชยยิงเอกจนเอกถึงแก่ความตาย จึงถือว่าชิดได้ร่วมกันกระทํา ความผิดกับเชย ชิดจึงต้องรับผิดฐานเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตามมาตรา 83

กรณีของฉ่ำ

การที่ฉ่ำได้เข้าแย่งปืนกับเอก และฉ่ำร้องบอกเชยว่า “เชยยิง ๆ” และเชยได้ใช้ปืนยิงเอกจนเอกถึงแก่ความตายนั้น การที่ฉ่ำได้ร้องบอกดังกล่าว ย่อมถือว่าเป็นการที่ฉ่ำได้ร้องบอกให้เชยช่วยกันทําร้ายผู้ตาย และการที่เชยได้ใช้ปืนยิงเอกย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าเชยมีเจตนาร่วมกระทําผิดกับ ดังนั้น ทั้งเชยและฉ่ำ จึงต้องรับผิดฐานเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 83 (ฎีกาที่ 883/2509) และกรณีนี้ ไม่ถือว่าเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84

สรุป เชยต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ชิดและฉ่ำต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

LAW2109 (LAW2009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2109 (LAW2009) ป.พ.พ.ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายต้นไทรมีทรัพย์สินเก็บอยู่ในบ้านจํานวนมาก เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 จึงได้ขอยืมสุนัข พันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด ตัวใหญ่จากนายใบสักเอาไว้เฝ้าบ้านเพื่อกันขโมยเป็นเวลา 1 เดือน เพราะ ขณะนี้อยู่ระหว่างสั่งซื้อสุนัขของตนเองจากต่างประเทศ โดยมิได้ทําสัญญายืมต่อกันไว้ ปรากฏว่า ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ขณะนายต้นไทรกําลังจะถอยรถออกจากบ้าน นายต้นไทรไม่ได้นําสุนัข ตัวที่ยืมมาเข้ากรงทําให้สุนัขได้วิ่งออกนอกบ้านไป นายต้นไทรตามจับกลับมาไม่ทัน ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า

1.1 หากในวันที่ 5 ตุลาคม 2565 นายใบสักทราบว่าสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดของตนหายไป นายใบสักจะบอกเลิกสัญญา แล้วเรียกให้นายต้นไทรชดใช้ราคาสุนัขจํานวน 20,000 บาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

1.2 นายต้นไทรเมื่อรู้ว่าถูกนายใบสักเรียกร้องค่าเสียหาย นายต้นไทรจึงเรียกร้องให้นายใบสัก
จ่ายค่าอาหารสุนัขที่ตนต้องเสียไปเป็นจํานวนมากเนื่องจากสุนัขของนายใบสักตัวใหญ่ กินจุ เป็นจํานวนเงิน 5,000 บาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 644 “ผู้ยืมจําต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 647 “ค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบํารุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายต้นไทรได้ขอยืมสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดซึ่งตัวใหญ่จากนายใบสัก เอาไว้เฝ้าบ้านเพื่อกันขโมยเป็นเวลา 1 เดือนนั้น สัญญายืมระหว่างนายต้นไทรกับนายใบสักดังกล่าวเป็นสัญญา ยืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 และมีผลสมบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืมตามมาตรา 641 โดยไม่จําต้อง ทําสัญญาเป็นหนังสือ และเป็นสัญญายืมที่มีกําหนดระยะเวลา ดังนั้น นายต้นไทรมีสิทธิที่จะครอบครองและ ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมนั้น แต่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม รวมทั้งจะต้องไม่ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย

1.1 เมื่อปรากฏว่าในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ขณะที่นายต้นไทรกําลังจะถอยรถออกจากบ้าน นายต้นไทรไม่ได้นําสุนัขตัวที่ยืมมาเข้ากรงทําให้สุนัขได้วิ่งออกนอกบ้านไป โดยนายต้นไทรตามจับกลับมาไม่ทันนั้น หากนายใบสักทราบว่าสุนัขหายไปในวันที่ 5 ตุลาคม 2565 นายใบสักย่อมสามารถบอกเลิกสัญญายืมก่อนครบ กําหนดได้ตามมาตรา 645 เพราะการที่นายต้นไทรได้ถอยรถออกจากบ้านโดยไม่ใช้ความระมัดระวัง กล่าวคือ
ไม่มีการจับสุนัขเข้ากรงก่อนหรือไม่หาทางป้องกันไม่ให้สุนัขวิ่งออกจากบ้านนั้น ถือว่านายต้นไทรไม่สงวนรักษา ทรัพย์สินซึ่งยืมเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเองตามมาตรา 644 และนายต้นไทรจะต้อง ชดใช้ราคาสุนัขจํานวน 20,000 บาท ให้แก่นายใบสักด้วยจากการที่นายต้นไทรไม่ปฏิบัติตามมาตรา 644 ดังกล่าว

1.2 กรณีที่นายต้นไทรรู้ว่านายใบสักเรียกร้องค่าเสียหาย นายต้นไทรจึงเรียกร้องให้นายใบสัก จ่ายค่าอาหารสุนัขที่ตนต้องเสียไปจํานวนมาก เนื่องจากสุนัขของนายใบสักตัวใหญ่ กินจุ เป็นจํานวนเงิน 5,000 บาทนั้น นายต้นไทรไม่สามารถเรียกร้องได้ เพราะไม่ได้มีการทําสัญญาและตกลงกันไว้ และตามมาตรา 647 ก็ได้กําหนดไว้ว่า ค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบํารุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย ดังนั้น กรณีนี้นายต้นไทรจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าอาหารสุนัขที่ยืม ไม่ใช่ไปเรียกร้องเอาจากนายใบสัก

สรุป
1.1 นายใบสักสามารถบอกเลิกสัญญายืมก่อนครบกําหนดเวลายืมได้ และสามารถเรียกให้
นายต้นไทรชดใช้ราคาสุนัขเป็นจํานวน 20,000 บาทได้

1.2 นายต้นไทรจะเรียกร้องให้นายใบสักจ่ายค่าอาหารสุนัขที่ตนต้องเสียไปเป็นจํานวนเงิน 5,000 บาทไม่ได้

 

ข้อ 2. นางสวยเป็นเพื่อนสนิทกับนายรวย ได้ขอกู้เงินจากนายรวยจํานวน 500,000 บาท โดยนําทองคํา หนัก 10 บาท มาจํานําเป็นประกันการกู้ให้นายรวยไว้ในหนังสือสัญญากู้ยืมตกลงไม่คิดดอกเบี้ย และกําหนดการใช้เงินคืนภายใน 5 เดือนนับจากวันที่ระบุในหนังสือสัญญา เมื่อครบกําหนดชําระหนี้ นางสวยนําเงินสดจํานวน 500,000 บาท มาชําระให้นายรวย โดยมีนายเผือกอยู่ในเหตุการณ์ ขณะนั้นด้วย นายรวยจึงคืนทองคําหนัก 10 บาท ให้แก่นางสวย โดยไม่ได้คืนหนังสือสัญญากู้ยืม แต่ได้ขีดฆ่าและเขียนในหนังสือสัญญากู้ยืมว่าลูกหนี้ได้ชําระหนี้ทั้งหมดแล้ว แต่นายรวยลืมลง ลายมือชื่อรับรองการขีดฆ่าดังกล่าว ต่อมาภายหลังนายรวยทะเลาะกับนางสวยอย่างรุนแรง จึงได้ นําหนังสือสัญญากู้ยืมมาฟ้องบังคับนางสวยให้ชําระเงินกู้จํานวน 500,000 บาทอีกครั้ง นางสวย ให้การต่อสู้ว่าได้ชําระหนี้ทั้งหมดแล้ว โดยขอนําทองคําแท่งที่นายรวยคืนให้และหนังสือสัญญา กู้ยืมที่นายรวยได้ขีดฆ่าแล้ว ตลอดจนนายเผือกมานําสืบถึงการชําระหนี้ต่อศาล ดังนี้ นางสวยจะนําสืบถึงการชําระหนี้ดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไป สิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือ ได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบเงินที่ยืม ให้แก่ผู้ยืมแล้วตามมาตรา 650 ดังนั้น การที่นางสวยได้ขอกู้เงินจากนายรวยเป็นเงิน 500,000 บาท โดยมีหลักฐาน เป็นหนังสือตามกฎหมายนั้น การกู้ยืมเงินระหว่างนางสวยกับนายรวยย่อมมีผลสมบูรณ์ และสามารถฟ้องร้อง
บังคับคดีกันได้ตามมาตรา 650 และมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

เมื่อการกู้ยืมเงินระหว่างนางสวยและนายรวยมีหลักฐานเป็นหนังสือ การที่หนี้ถึงกําหนดชําระ นางสวยได้นําเงินสดจํานวน 500,000 บาท มาชําระให้นายรวย แต่ในภายหลังนายรวยได้นําสัญญากู้ยืมมาฟ้อง บังคับให้นางสวยชําระเงินกู้จํานวน 500,000 บาทอีก และนางสวยให้การต่อสู้ว่าได้ชําระหนี้ทั้งหมดแล้ว โดยขอนํา ทองคําแท่งที่นายรวยคืนให้ และหนังสือสัญญากู้ยืมที่นายรวยได้ขีดฆ่าแล้ว ตลอดจนนายเผือกมานําสืบถึงการชําระหนี้ ต่อศาลนั้น นางสวยจะสามารถนําสืบถึงการชําระหนี้ดังกล่าวได้หรือไม่ เห็นว่า นางสวยไม่สามารถนําสืบถึงการ ชําระหนี้ดังกล่าวได้ เนื่องจากกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 653 วรรคสอง ซึ่งกําหนดว่า การที่ลูกหนี้จะนําสืบ ถึงการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่

1. หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือ

2. เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือ

3. ได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

ดังนั้น การที่นางสวยจะนํานายเผือกพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร (ตาม 1.) นั้น ย่อมไม่อาจ ทําได้ ต้องห้ามตามกฎหมาย นอกจากนั้นการที่นายรวยคืนทองคําที่นางสวยนํามาวางเป็นหลักประกันการกู้ แต่ไม่ได้คืนหนังสือสัญญากู้ยืมก็ไม่ถือว่าเป็นการเวนคืนหลักฐานการกู้ยืม (ตาม 2.) อีกทั้งการที่นายรวยแทง เพิกถอนลงในสัญญากู้ยืมเงิน แต่ไม่ได้ลงลายมือชื่อรับรองการแทงเพิกถอน ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการแทงเพิกถอน หลักฐานการกู้ยืม (ตาม 3.) แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อนางสวยไม่มีพยานหลักฐานตามกฎหมายที่แสดงถึงการชําระหนี้ ตามมาตรา 653 วรรคสอง นางสวยจึงไม่อาจนําสืบถึงการชําระหนี้ดังกล่าวได้

สรุป นางสวยจะนําสืบถึงการชําระหนี้ดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 3. นายสุขเข้าพักที่โรงแรมนอนสงบโดยได้รับสิทธิพิเศษในการยกเว้นค่าบริการเป็นเวลา 2 คืน และ ได้นํารถยนต์ของตนจอดไว้ที่ลานจอดรถของโรงแรม แต่ในขณะลงทะเบียนเข้าพัก นายสุขไม่ได้ แจ้งในแบบคําขอเข้าพักของโรงแรมว่าตนได้นํารถยนต์เข้ามาจอดในโรงแรม ต่อมาพนักงานของ โรงแรมได้ส่งกุญแจห้องพักพร้อมระเบียบการเข้าพักของโรงแรม ซึ่งมีข้อความว่า “โรงแรมนอนสงบ จะไม่รับผิดชอบในความเสียหาย สูญหายต่อทรัพย์สินของผู้เข้าพักในทุกกรณี หากผู้เข้าพักไม่แจ้ง รายการทรัพย์สินของตนไว้ในแบบคําขอเข้าพักของโรงแรม” ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เวลา 05.00 น. มีคนร้ายมาลักเอารถยนต์ของนายสุขไป โดยนายสุขทราบว่ารถยนต์ของตนหายเวลา 07.00 น. และใช้เวลาในการค้นหาจนถึงเวลา 07.15 น. เมื่อแน่ใจว่ารถยนต์ของตนหายจึงแจ้งให้นายเย็น ผู้จัดการของโรงแรมทราบในทันที แต่ทางโรงแรมนอนสงบปฏิเสธความรับผิด โดยอ้างว่านายสุข ไม่ได้แจ้งต่อทางโรงแรมว่าได้นํารถยนต์เข้ามาจอด ซึ่งระเบียบการเข้าพักได้ระบุไว้ชัดเจนว่าจะไม่รับผิดในทุกกรณีต่อทรัพย์สินของผู้เข้าพักหากไม่แจ้งต่อทางโรงแรมประการหนึ่ง และนายสุข ไม่ได้แจ้งให้ทางโรงแรมทราบทันทีที่รถยนต์ของตนสูญหายอีกประการหนึ่ง

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า การปฏิเสธความรับผิดของโรงแรมนอนสงบทั้งสองประการฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อ ความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้
ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

มาตรา 677 “ถ้ามีคําแจ้งความปิดไว้ในโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านี้ เป็น ข้อความยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดของเจ้าสํานักไซร้ท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัย จะได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดดังว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือ บุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้นเป็นของมีค่า เช่น เงินตรา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไป
ฝากไว้แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุขเข้าพักที่โรงแรมนอนสงบเป็นเวลา 2 คืน แม้นายสุขจะได้รับ สิทธิพิเศษในการยกเว้นค่าบริการก็ตาม ก็ถือว่านายสุขเป็นแขกอาศัยของโรงแรมนอนสงบ โรงแรมจึงมีความรับผิด ต่อบรรดาทรัพย์สินของนายสุขในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายตามมาตรา 674 เมื่อปรากฏข้อเท็จจริง ว่านายสุขได้นํารถยนต์ของตนเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของโรงแรม แม้นายสุขจะไม่ได้แจ้งให้ทางโรงแรมทราบ ตามประกาศยกเว้นความรับผิดของทางโรงแรม หากรถยนต์ของนายสุขสูญหายก็ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของ ทางโรงแรมนอนสงบ ดังนั้น เมื่อมีคนร้ายมาลักเอารถยนต์ของนายสุขไปในเวลา 05.00 น. ทางโรงแรมจึงต้องรับผิด ต่อนายสุขในการชดใช้ราคารถยนต์ตามมาตรา 674

ส่วนข้อความที่ประกาศยกเว้นความรับผิดของทางโรงแรมที่ว่าโรงแรมจะไม่รับผิดชอบในความเสียหาย สูญหายต่อทรัพย์สินของผู้เข้าพักในทุกกรณี หากผู้เข้าพักไม่แจ้งรายการทรัพย์สินของตนไว้ในแบบคําขอ เข้าพักของโรงแรมนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่านายสุขได้ตกลงด้วยโดยชัดแจ้งจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 677 อีกทั้ง รถยนต์ก็ไม่ใช่ทรัพย์สินมีค่าที่จะต้องฝากและบอกราคาไว้แก่โรงแรมตามมาตรา 675 วรรคสองแต่อย่างใด

และการที่นายสุขได้ทราบว่ารถยนต์ของตนหายไปในเวลา 07.00 น. และใช้เวลาในการค้นหา
จนถึงเวลา 07.15 น. เมื่อแน่ใจว่ารถยนต์ของตนหายจึงได้แจ้งให้นายเย็นผู้จัดการของโรงแรมทราบในทันทีนั้น ย่อมถือว่าเป็นการแจ้งทันทีที่พบว่ารถยนต์ของตนสูญหายตามมาตรา 676 ดังนั้น การที่โรงแรมนอนสงบปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่านายสุขไม่ได้แจ้งต่อทางโรงแรมว่าได้นํารถยนต์เข้ามาจอดตามระเบียบของการเข้าพักฯและนายสุขก็ไม่ได้แจ้งให้ทางโรงแรมทราบทันทีที่รถยนต์ของตนสูญหายนั้น การปฏิเสธความรับผิดของทางโรงแรมนอนสงบทั้งสองประการจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป การปฏิเสธความรับผิดของทางโรงแรมทั้งสองประการฟังไม่ขึ้น

 

LAW2110 (LAW2010) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2110 (LAW2010) ป.พ.พ.ว่าด้วยค้ำประกัน จํานอง จํานํา
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายดวงดีกู้เงินนายโชคช่วย 500,000 บาท มีหลักฐานการกู้ถูกต้อง โดยนายดวงดีได้นํานาฬิกา ราคา 100,000 บาท มาส่งมอบให้นายโชคช่วยเป็นประกันการชําระหนี้ แต่นายโชคช่วยเห็นว่า หลักประกันมีราคาต่ําเกินไป จึงขอให้มีหลักประกันเพิ่มขึ้น นางสาวสร้อยฟ้าจึงได้ตกลงเข้าเป็น ผู้ค้ําประกันและทําหลักฐานเป็นหนังสือถูกต้องส่งมอบให้นายโชคช่วยไว้แล้วด้วย ต่อมาหนี้ ถึงกําหนดชําระ นางสาวสร้อยฟ้าได้นําเงินมาชําระหนี้ 400,000 บาท เพราะทราบว่านายโชคช่วย นํานาฬิกาของนายดวงดีไปใช้และทําหาย แต่นายโชคช่วยปฏิเสธที่จะรับเงินจํานวนนี้เพราะ เห็นว่านางสาวสร้อยฟ้าชําระหนี้ไม่ครบถ้วน และต่อมาได้ทําหนังสือบอกกล่าวให้นายดวงดีและ นางสาวสร้อยฟ้าชําระหนี้ 500,000 บาท ตามที่กฎหมายกําหนดแล้ว ดังนี้ ถ้าทั้งสองคนไม่ชําระหนี้ นายโชคช่วยจะเรียกให้นางสาวสร้อยฟ้ารับผิดในฐานะผู้ค้ําประกันได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 686 วรรคหนึ่ง “เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายใน หกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ก่อนที่ หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ำประกันมิได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ค้ำประกันที่จะชําระหนี้เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ

มาตรา 693 “ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชําระหนี้แล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ เพื่อต้นเงินกับ ดอกเบี้ย และเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใด ๆ เพราะการค้ำประกันนั้น อนึ่งผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ด้วย”

มาตรา 697 “ถ้าเพราะการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งของเจ้าหนี้เอง เป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกัน ไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดี จํานองก็ดี จํานําก็ดี และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้ แต่ก่อนหรือในขณะทําสัญญาค้ำประกันเพื่อชําระหนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ําประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียง
เท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการนั้น”

มาตรา 701 “ผู้ค้ำประกันจะขอชําระหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อถึงกําหนดชําระก็ได้ ถ้าเจ้าหนี้ไม่ยอมรับชําระหนี้ ผู้ค้ำประกันก็เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดวงดีกู้เงินนายโชคช่วย 500,000 บาท โดยมีหลักฐานการกู้ถูกต้อง และนายดวงดีได้นํานาฬิการาคา 100,000 บาท มาส่งมอบให้นายโชคช่วยเป็นประกันการชําระหนี้ และมี นางสาวสร้อยฟ้าได้ตกลงเข้าเป็นผู้ค้ำประกันโดยทําหลักฐานเป็นหนังสือถูกต้องส่งมอบให้นายโชคช่วยไว้แล้ว
ด้วยนั้น สัญญาค้ำประกันดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ และสามารถใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ตามมาตรา 680 และเมื่อถึงกําหนดชําระหนี้ ผู้ค้ําประกันย่อมมีสิทธิที่จะขอชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้ตามมาตรา 701 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 686 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางสาวสร้อยฟ้าผู้ค้ำประกันได้นําเงิน มาชําระหนี้ให้แก่นายโชคช่วยเพียง 400,000 บาท ซึ่งไม่ตรงกับจํานวนหนี้ที่ตนได้ค้ำประกันไว้ นายโชคช่วยย่อม มีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมรับเงินจํานวนดังกล่าวได้ และเมื่อเจ้าหนี้ไม่ยอมรับชําระหนี้ จึงไม่ทําให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้น จากความรับผิดตามมาตรา 701 วรรคสอง กล่าวคือ นางสาวสร้อยฟ้ายังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้นอยู่

ผู้ค้ำประกันนั้นเมื่อได้ชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แล้ว ย่อมมีสิทธิเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ได้ (มาตรา 693) และถ้าเจ้าหนี้ได้กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วง ได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิ จํานอง หรือจํานํา หรือบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้ก่อน หรือในขณะทํา สัญญาค้ำประกันเพื่อชําระหนี้นั้น ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการ กระทําของเจ้าหนี้นั้น (มาตรา 697)

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ถ้านางสาวสร้อยฟ้าได้ชําระหนี้ให้แก่นายโชคช่วยแล้ว นางสาวสร้อยฟ้า ย่อมสามารถเข้ารับช่วงสิทธิของนายโชคช่วยเจ้าหนี้ได้ในสิทธิจํานําที่นายดวงดีได้นํานาฬิการาคา 100,000 บาท มาส่งมอบให้นายโชคช่วยเป็นประกันการชําระหนี้ ดังนั้น การที่นายโชคช่วยได้นํานาฬิกาของนายดวงดีไปใช้และ ทําหาย ย่อมทําให้นางสาวสร้อยฟ้าเสียหายเป็นเงินจํานวน 100,000 บาท เพราะทําให้นางสาวสร้อยฟ้าไม่สามารถ เข้ารับช่วงสิทธิของนายโชคช่วยในสิทธิจํานําดังกล่าวได้ นางสาวสร้อยฟ้าผู้ค้ำประกันจึงยังคงต้องรับผิดชําระหนี้ แทนนายดวงดีลูกหนี้เป็นเงินจํานวน 400,000 บาท ตามมาตรา 693 ประกอบมาตรา 697

ดังนั้น ต่อมาเมื่อนายโชคช่วยได้ทําหนังสือบอกกล่าวให้นายดวงดีและนางสาวสร้อยฟ้าชําระหนี้ 500,000 บาท ตามที่กฎหมายกําหนดแล้ว ถ้าทั้งสองคนไม่ชําระหนี้ นายโชคช่วยสามารถเรียกให้นางสาวสร้อยฟ้า รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันได้ แต่สามารถเรียกให้นางสาวสร้อยฟ้ารับผิดได้เพียง 400,000 บาท ตามมาตรา 686 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 693 และมาตรา 697

สรุป นายโชคช่วยจะเรียกให้นางสาวสร้อยฟ้ารับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันได้ในจํานวนเงินเพียง 400,000 บาท

 

ข้อ 2. ในวันที่ 1 เมษายน 2560 นายสมหวังกู้ยืมเงินจากนายสมชายจํานวน 2 แสนบาท โดยตกลงกัน ด้วยวาจา ซึ่งมีนายสมใจนําโฉนดที่ดินของตนเองมาจดทะเบียนจํานองไว้ โดยในสัญญาจํานองนั้น นายสมใจระบุไว้ว่าเป็นการจํานองเฉพาะที่ดินไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง พอผ่านไป 3 เดือน นายสมใจ ได้สร้างโกดังเก็บสินค้าเพื่อให้คนอื่นเช่าและเก็บค่าเช่ามาโดยตลอด ครั้นเมื่อครบกําหนดชําระหนี้ นายสมหวังผิดนัด นายสมชายจึงฟ้องบังคับจํานองเอากับที่ดินของนายสมใจขายทอดตลาด เพื่อชําระหนี้ กรณีนี้ในขณะบังคับจํานอง นายสมชายสามารถบังคับเอาโกดังขายทอดตลาดรวมไปด้วยได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง

ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่”

มาตรา 709 “บุคคลคนหนึ่งจะจํานองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชําระก็ให้ทําได้”

มาตรา 714 “อันสัญญาจํานองนั้น ท่านว่าต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่”

มาตรา 718 “จํานองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจํานอง แต่ต้อง อยู่ภายในบังคับซึ่งท่านจํากัดไว้ในสามมาตราต่อไปนี้”

มาตรา 719 “จํานองที่ดินไม่ครอบไปถึงเรือนโรงอันผู้จํานองปลูกสร้างลงในที่ดินภายหลัง
วันจํานอง เว้นแต่จะมีข้อความกล่าวไว้โดยเฉพาะในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง

แต่กระนั้นก็ดี ผู้รับจํานองจะให้ขายเรือนโรงนั้นรวมไปกับที่ดินด้วยก็ได้ แต่ผู้รับจํานองอาจใช้ บุริมสิทธิของตนได้เพียงแก่ราคาที่ดินเท่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 718 ได้กําหนดไว้ว่าสิทธิของผู้รับจํานองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับ ทรัพย์สินซึ่งจํานอง แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับ มาตรา 719, 720 และ 721 และมาตรา 719 นั้น ได้กําหนดไว้ว่า สิทธิของผู้รับจํานองที่ดินไม่ครอบไปถึงเรือนโรงอันผู้จํานองปลูกสร้างลงในที่ดินภายหลังวันจํานอง เว้นแต่จะได้ ตกลงกันไว้ในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง และถ้าไม่มีข้อตกลงดังกล่าว ผู้รับจํานองก็ยังมีสิทธิที่จะให้ขายเรือนโรงนั้น รวมไปกับที่ดินด้วยก็ได้ แต่ผู้รับจํานองจะใช้บุริมสิทธิของตนได้เพียงแก่ราคาที่ดินเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมหวังกู้ยืมเงินจากนายสมชายจํานวน 2 แสนบาท โดยมีนายสมใจ นําโฉนดที่ดินของตนเองมาจดทะเบียนจํานองไว้นั้น แม้ที่ดินดังกล่าวจะมิใช่ที่ดินของนายสงหวังลูกหนี้ แต่เป็น ของนายสมใจก็ตาม นายสมใจก็สามารถนําที่ดินนั้นมาจํานองเพื่อประกันหนี้ที่บุคคลอื่นจะต้องชําระหนี้ได้ ดังนั้น สัญญาจํานองดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 702, 709 และมาตรา 714

และเมื่อปรากฏว่าหลังจากมีการจํานองได้ 3 เดือน นายสมใจผู้จํานองได้สร้างโกดังเก็บสินค้า เมื่อโกดังเก็บสินค้านั้นเป็นเรือนโรงที่ผู้จํานองได้ปลูกสร้างลงในที่ดินเพื่อให้คนอื่นเช่าและเก็บค่าเช่ามาตลอด
ภายหลังวันจํานอง ดังนั้น การจํานองจึงครอบไปถึงเฉพาะที่ดินแต่ไม่ครอบไปถึงโกดังเก็บสินค้า เนื่องจาก นายสมใจไม่ได้ตกลงไว้ในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง ตามมาตรา 718 และมาตรา 719 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกําหนดชําระหนี้นายสมหวังผิดนัด นายสมชายจึงฟ้องบังคับจํานองเอากับ ที่ดินนายสมใจขายทอดตลาดเพื่อชําระหนี้นั้น กรณีนี้ในขณะบังคับจํานอง นายสมชายย่อมสามารถบังคับเอา โกดังขายทอดตลาดรวมไปกับที่ดินด้วยได้ แต่นายสมชายจะใช้บุริมสิทธิของตนได้เพียงเฉพาะแก่ราคาที่ดินเท่านั้นตามมาตรา 719 วรรคสอง

สรุป นายสมชายสามารถบังคับเอาโกดังขายทอดตลาดรวมไปกับที่ดินด้วยได้ แต่นายสมชายจะใช้บุริมสิทธิของตนได้เพียงเฉพาะแก่ราคาที่ดินเท่านั้น

 

ข้อ 3. แดงเป็นหนี้ดํา 100,000 บาท แดงได้ส่งมอบแหวนของตนหนึ่งวงไว้กับดําเพื่อเป็นประกันการ ชําระหนี้ ต่อมาหนี้รายนี้ขาดอายุความและแดงได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ แต่คํายังคงต้องการบังคับ ชําระหนี้จากแหวนวงนี้ ในขณะนั้นแหวนวงนี้จะขายได้ 80,000 บาท

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า คําสามารถบังคับชําระหนี้จากแหวนวงนี้ได้หรือไม่ โดยวิธีใด และแดงต้อง รับผิดต่อดําหรือไม่หากมีหนี้ค้างชําระ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด สิทธิ เรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/27 “ผู้รับจํานอง ผู้รับจํานํา ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สิน ของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานอง จํานํา หรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิ เรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชําระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลัง
เกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้”

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ ชําระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้
แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย”

มาตรา 767 “เมื่อบังคับจํานําได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจํานําต้องจัดสรรชําระหนี้ และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานํา หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนค้างชําระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น”

มาตรา 769 “อันจํานําย่อมระงับสิ้นไป

(1) เมื่อหนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความ….”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1. การที่แดงเป็นหนี้ดํา 100,000 บาท และแดงได้ส่งมอบแหวนของตนหนึ่งวงไว้กับดํา เพื่อเป็นประกันชําระหนี้นั้น ถือเป็นสัญญาจํานําตามมาตรา 747 ต่อมาหนี้รายนี้ขาดอายุความ แดงย่อมมีสิทธิ์ยกอายุความขึ้นปฏิเสธการชําระหนี้ได้ตามมาตรา 193/9 ประกอบมาตรา 193/10

แต่อย่างไรก็ตาม แม้หนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นจะขาดอายุความแล้วก็ตาม ก็ไม่ทําให้การจํานํานั้นระงับสิ้นไปตามมาตรา 759 (1) ดังนั้น ดําผู้รับจํานําจึงยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สิน ที่จํานําคือแหวนที่แดงได้จํานําไว้ได้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม ตามมาตรา 193/27

2. เมื่อจะบังคับจํานํา ดําจะต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังแดงลูกหนี้ว่าให้ชําระหนี้และ ดอกเบี้ยภายในเวลาอันควรซึ่งดําได้กําหนดไว้ในคําบอกกล่าว ซึ่งถ้าหากแดงละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ดําผู้รับจํานํามี
สิทธินําแหวนของแดงออกขายทอดตลาดได้ตามมาตรา 764

3. เมื่อแหวนของแดงมีราคา 80,000 บาท ดําย่อมมีสิทธิได้รับชําระหนี้เพียง 80,000 บาท ส่วนในจํานวนที่ขาดอีก 20,000 บาทนั้น เมื่อแดงลูกหนี้ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว แดงจึงไม่ต้องรับผิดในส่วน ที่ขาดนั้นตามมาตรา 767 วรรคสอง ประกอบมาตรา 193/9 และ 193/10

สรุป ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากแหวนของแดงได้ โดยดําต้องปฏิบัติตามมาตรา 764 และแดงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่ค้างชําระอีก 20,000 บาท

LAW2111 (LAW2011) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2111 (LAW 2011) ป.พ.พ.ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายเทพได้รับมอบอํานาจจากนายรุ่งให้ดูแลกิจการร้านขายวัสดุก่อสร้างของตน ปรากฏว่านายเทพ ติดธุระเป็นเวลาหลายเดือนจึงไม่สามารถดูแลกิจการของนายรุ่งได้ นายเทพจึงมอบอํานาจต่อโดย ได้รับความยินยอมจากนายรุ่งให้นายชัยเข้ามาดูแลกิจการของนายรุ่งแทนตน ต่อมาไม่นานนายชัย ได้ทําาคําาสั่งซื้อไม้แปรรูปจํานวน 1,000 แผ่น ในนามของนายรุ่งจากโรงงานผลิตไม้แปรรูปของตน มาขายที่ร้านขายวัสดุก่อสร้างของนายรุ่ง ต่อมานายเทพได้ทําการตรวจสอบบัญชีซื้อขายสินค้าและพบว่านายชัยกําหนดราคาขายไม้แปรรูปในคําสั่งซื้อเกินกว่าราคาซื้อขายตามปกติ ทําให้นายรุ่ง ขาดทุนจากสัญญาซื้อขายไม้แปรรูปดังกล่าวเป็นเงิน 100,000 บาท นายเทพจึงรายงานบัญชี ซื้อขายสินค้าดังกล่าวไปยังนายรุ่ง เมื่อนายรุ่งทราบจึงเรียกให้นายเทพและนายชัยรับผิดแก่ตน ในความเสียหายดังกล่าว แต่นายเทพและนายชัยปฏิเสธความรับผิดต่อนายรุ่ง

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายรุ่งจะเรียกให้ใครรับผิดต่อตนได้บ้าง อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 805 “ตัวแทนนั้น เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ จะเข้าทํานิติกรรมอันใดในนาม ของตัวการทํากับตนเองในนามของตนเองหรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ เว้นแต่นิติกรรมนั้น
มีเฉพาะแต่การชําระหนี้”

มาตรา 808 “ตัวแทนต้องทําการด้วยตนเอง เว้นแต่จะมีอํานาจใช้ตัวแทนช่วงทําการได้”

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน
จะต้องรับผิด”

มาตรา 813 “ตัวแทนผู้ใดตั้งตัวแทนช่วงตามที่ตัวการระบุตัวให้ตั้ง ท่านว่าตัวแทนผู้นั้นจะต้อง รับผิดแต่เพียงในกรณีที่ตนได้รู้ว่าตัวแทนช่วงนั้นเป็นผู้ที่ไม่เหมาะแก่การหรือเป็นผู้ที่ไม่สมควรไว้วางใจแล้ว และ
มิได้แจ้งความนั้นให้ตัวการทราบหรือมิได้เลิกถอนตัวแทนช่วงนั้นเสียเอง”

มาตรา 814 “ตัวแทนช่วงย่อมรับผิดโดยตรงต่อตัวการฉันใด กลับกันก็ฉันนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเทพได้รับมอบอํานาจจากนายรุ่งให้ดูแลกิจการร้านขายวัสดุก่อสร้าง
ของตนนั้น ถือว่านายเทพเป็นตัวแทนซึ่งได้รับมอบอํานาจทั่วไปจากนายรุ่งตามมาตรา 797 ประกอบมาตรา 801 และการที่นายเทพได้มอบอํานาจต่อโดยได้รับความยินยอมจากนายรุ่ง ให้นายชัยเข้ามาดูแลกิจการของนายรุ่งแทนตนนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่นายเทพได้ตั้งให้นายชัยเป็นตัวแทนช่วงโดยมีอํานาจเนื่องจากนายรุ่งได้ยินยอม การตั้งตัวแทนช่วงของนายเทพจึงชอบด้วยมาตรา 808 และมีผลให้นายชัยตัวแทนช่วงต้องรับผิดโดยตรงต่อนายรุ่งตัวการตามมาตรา 814

การที่นายชัยได้ทําคําสั่งซื้อไม้แปรรูปจํานวน 1,000 แผ่น ในนามของนายรุ่งจากโรงงานผลิต ไม้แปรรูปของตนมาขายที่ร้านขายวัสดุก่อสร้างของนายรุ่ง โดยกําหนดราคาขายไม้แปรรูปในคําสั่งซื้อเกินกว่า ราคาซื้อขายตามปกติ ทําให้นายรุ่งขาดทุนจากสัญญาซื้อขายไม้แปรรูปดังกล่าวเป็นเงิน 100,000 บาทนั้น ถือว่า เป็นกรณีที่ตัวแทนเข้าทํานิติกรรมในนามของตัวการทํากับตนเองในนามของตนเองโดยไม่ได้รับความยินยอม
จากตัวการตามมาตรา 805 และถือว่าเป็นการกระทําโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจตามมาตรา 812 ดังนั้น นายชัยตัวแทนช่วงจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายรุ่งตัวการตามมาตรา 812 ประกอบ มาตรา 814 นายรุ่งจึงสามารถเรียกให้นายชัยรับผิดต่อตนในความเสียหายดังกล่าวได้

ส่วนนายเทพตัวแทนซึ่งได้ตั้งให้นายชัยเป็นตัวแทนช่วงนั้น เมื่อปรากฏว่านายเทพได้ทําการตรวจสอบ
บัญชีซื้อขายสินค้า และพบว่านายชัยกําหนดราคาขายไม้แปรรูปในคําสั่งซื้อเกินกว่าราคาซื้อขายตามปกติ ทําให้ นายรุ่งขาดทุนเป็นเงิน 100,000 บาท และนายเทพจึงรายงานบัญชีซื้อขายสินค้าไปให้นายรุ่งทราบนั้น ถือว่า เป็นกรณีที่ตัวแทนได้รู้ว่าตัวแทนช่วงเป็นผู้ที่ไม่สมควรไว้วางใจแล้ว และได้แจ้งความให้ตัวการทราบ ดังนั้น นายเทพตัวแทนจึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 813 นายรุ่งจึงเรียกให้นายเทพรับผิดในความเสียหายดังกล่าวไม่ได้

สรุป นายรุ่งสามารถเรียกให้นายชัยรับผิดในความเสียหายดังกล่าวได้ แต่จะเรียกให้นายเทพ
รับผิดไม่ได้

 

ข้อ 2. นายเก่งแต่งตั้งนายกาจซึ่งเปิดร้านขายเมล็ดกาแฟสด เพื่อขายเมล็ดกาแฟอาราบิก้าพันธุ์ดีของตน จํานวน 100 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 10,000 บาท โดยมีข้อตกลงว่านายกาจจะนําเงินค่าเมล็ดกาแฟ อาราบิก้าที่ขายได้ส่งให้นายเก่งเต็มจํานวนทุกอาทิตย์ และนายเก่งจะจ่ายค่าตอบแทนการขายให้ นายกาจกิโลกรัมละ 500 บาท นายกาจเห็นว่าราคาที่นายเก่งกําหนดต่ํากว่าราคาตลาด จึงขึ้นราคา และขายให้นายกล้า 50 กิโลกรัม ในราคากิโลกรัมละ 12,000 บาท ปรากฏว่านายกล้ารับมอบ เมล็ดกาแฟอาราบิก้าไปแต่ไม่ยอมชําระค่าเมล็ดกาแฟ ดังนี้ นายกาจต้องรับผิดต่อนายเก่งจาก การที่นายกล้าไม่ชําระราคาหรือไม่ หากต้องรับผิด นายกาจจะต้องชําระเงินค่าเมล็ดกาแฟให้นายเก่งเท่าใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายตัวแทนประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 838 “ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชําระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อ ตัวการเพื่อชําระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกําหนดในสัญญา หรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทน ประพฤติต่อกัน หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น

อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน ชอบที่จะได้รับบําเหน็จพิเศษ”

มาตรา 840 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อ ได้ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งแต่งตั้งนายกาจซึ่งเปิดร้านขายเมล็ดกาแฟสด เพื่อขายเมล็ดกาแฟ อาราบิก้าพันธุ์ดีของตนจํานวน 100 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 10,000 บาท โดยมีข้อตกลงว่านายกาจจะนําเงิน ค่าเมล็ดกาแฟอาราบิก้าที่ขายได้ส่งให้นายเก่งเต็มจํานวนทุกอาทิตย์ และนายเก่งจะจ่ายค่าตอบแทนการขายให้ นายกาจกิโลกรัมละ 500 บาทนั้น ย่อมถือว่านายกาจเป็นตัวแทนค้าต่างของนายเก่งตามมาตรา 833 และการที่ นายกาจได้ตกลงรับประกันว่านายเก่งจะได้รับชําระเงินจากการขายเมล็ดกาแฟนั้น ย่อมถือว่านายกาจเป็น ตัวแทนฐานประกัน ดังนั้น เมื่อนายกาจขายเมล็ดกาแฟให้นายกล้า ปรากฏว่าเมื่อนายกล้ารับมอบเมล็ดกาแฟ
ไปแล้วแต่ไม่ยอมชําระราคาค่าเมล็ดกาแฟ นายกาจจึงต้องรับผิดต่อนายเก่งตามมาตรา 838

การที่นายกาจเห็นว่าราคาที่นายเก่งกําหนดต่ํากว่าราคาตลาด จึงขึ้นราคาและขายให้นายกล้า 50 กิโลกรัม ในราคากิโลกรัมละ 12,000 บาทนั้น เป็นกรณีที่นายกาจซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายในราคา สูงกว่าที่ตัวการกําหนด ดังนั้น เงินจํานวน 100,000 บาท สําหรับเมล็ดกาแฟ 50 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 2,000 บาท นายกาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนไม่ได้ จะต้องส่งมอบให้แก่นายเก่งตามมาตรา 840 ดังนั้น กรณีดังกล่าว เมื่อนายกล้าไม่ชําระราคาค่าเมล็ดกาแฟ นายกาจจึงต้องรับผิดต่อนายเก่งและจะต้องชําระเงินค่าเมล็ดกาแฟให้ นายเก่งทั้งสิ้นเป็นเงิน 600,000 บาท

สรุป เมื่อนายกล้าไม่ยอมชําระราคาค่าเมล็ดกาแฟ นายกาจต้องรับผิดต่อนายเก่งโดยจะต้องชําระเงินค่าเมล็ดกาแฟให้นายเก่งเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 600,000 บาท

 

ข้อ 3. นายเอกต้องการขายที่ดินของตนเนื้อที่ 4 ไร่ ติดถนนใหญ่ในจังหวัดเชียงราย ในราคา 5 ล้านบาท นายเอกได้ลงประกาศโฆษณาขายทาง Facebook นายโทซึ่งมีภูมิลําเนาอยู่ในจังหวัดเชียงราย เช่นกัน ได้อ่านโฆษณาขายที่ดินดังกล่าวใน Facebook และเห็นว่าน่าสนใจ นายโทจึงไปพานายตรี ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ไปหานายเอก และช่วยในการประสานงานเป็นอย่างดี จนกระทั่ง นายตรีทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวกับนายเอก โดยนายตรีวางเงินมัดจํา 5 แสนบาท และ ส่วนที่เหลือจะชําระในวันโอนกรรมสิทธิ์ วันต่อมานายโทจึงไปเรียกบําเหน็จนายหน้า 3% จากนายเอก ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายโทมีสิทธิได้รับบําเหน็จ 3% จากนายเอกหรือไม่ เพราเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทํา สัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคหนึ่ง “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบําเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้ กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมาย แก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า ผู้นั้นย่อมทําให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จเท่านั้น ถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการ มอบหมายกิจการแก่กัน ก็ไม่จําต้องให้ค่าบําเหน็จนายหน้า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับบําเหน็จ หรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา 845 หรือมีสัญญาต่อกัน โดยปริยายตามมาตรา 846 ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว เรียกร้องเอาค่าบําเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้มี สัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้ว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่ ระหว่างนายเอกกับนายตรีจะได้เกิดขึ้น จากการชี้ช่องและจัดการของนายโทก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเอกไม่เคยตกลงให้นายโทเป็นนายหน้า ขายที่ดินของตนตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง อีกทั้งจะถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยายตามมาตรา 846 วรรคหนึ่ง ก็ไม่ได้ เพราะการตกลงตามมาตรานี้ หมายถึง กรณีที่มีการมอบหมายให้เป็นนายหน้ากันแล้ว แต่ไม่ได้ตกลงค่า บําเหน็จนายหน้าไว้ แต่กรณีนี้นายเอกยังไม่ได้มอบหมายให้นายโทเป็นนายหน้าแต่อย่างใด ดังนั้น นายโทจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า 3% จากนายเอก

สรุป นายโทไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จนายหน้า 3% จากนายเอก

LAW2113 (LAW2013) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2113 (LAW 2013) ป.พ.พ.ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. ฐิติออกเช็คสั่งธนาคารจ่ายเงิน 1 ล้านบาท ให้กิตติหรือตามคําสั่ง เพื่อชําระหนี้ค่าซื้อสินค้า หากแต่ฐิติเขียนเช็คเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งมอบเช็คให้กิตติ เพราะนัดส่งมอบเช็คหลังเวลาเลิกงาน จึงได้เก็บเช็คไว้ในกระเป๋า แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ศศิได้ขโมยเช็คในกระเป๋าของฐิติไว้เอง โดย ไม่ได้ส่งมอบเช็คให้กิตติ ให้นักศึกษาจงวินิจฉัยว่า

(ก) ใครคือผู้ทรงโดยชอบระหว่าง ศศิ กับ กิตติ
(ข) บุคคลใดที่สามารถใช้สิทธิเรียกคืนเช็คฉบับนี้

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน
หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียแล้วท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิ ของตนในตัวตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจําต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย”

วินิจฉัย

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 904 ประกอบมาตรา 905 จะเห็นได้ว่า การเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น บุคคลนั้นจะต้องมีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้สลักหลัง และต้องได้ตั๋วเงินไว้ในความ ครอบครองโดยสุจริตและโดยมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และในกรณีที่เป็นผู้รับสลักหลัง ก็จะต้องแสดง ให้ปรากฏสิทธิในการสลักหลังที่ไม่ขาดสายด้วย แม้การสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่ฐิติออกเช็คสั่งธนาคารจ่ายเงิน 1 ล้านบาท ให้กิตติหรือตามคําสั่ง เพื่อชําระหนี้ค่าซื้อ สินค้านั้น ถือว่าเช็คดังกล่าวเป็นเช็คชนิดระบุชื่อ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าฐิติยังไม่ได้ส่งมอบเช็คให้แก่กิตติ กิตติ จึงยังไม่มีตั๋วเงิน (เช็คฉบับดังกล่าว) ไว้ในความครอบครองในฐานะผู้รับเงิน ดังนั้น จึงยังไม่ถือว่ากิตติเป็นผู้ทรง
โดยชอบตามนัยของมาตรา 904 ประกอบมาตรา 905

ส่วนศศินั้น แม้จะมีเช็คฉบับดังกล่าวไว้ในครอบครอง แต่ศศิไม่อยู่ในฐานะผู้รับสลักหลัง เนื่องจากกิตติไม่ได้สลักหลังเช็คดังกล่าวให้แก่ศศิ อีกทั้งศศิก็ได้เช็คมาไว้ในความครอบครองโดยทุจริต เพราะ ได้เช็คนั้นมาโดยการขโมยมาจากกระเป๋าของฐิติ ดังนั้น ศศิจึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบเช่นเดียวกัน

(ข) ตามมาตรา 905 วรรคสอง ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า “ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงิน ไปจากครอบครอง…..” นั้น หมายถึง บุคคลที่เป็นเจ้าของตั๋วเงินที่แท้จริงนั่นเอง ดังนั้น เมื่อฐิติยังไม่ได้สั่งมอบเช็ค ฉบับดังกล่าวให้แก่กิตติ ย่อมถือว่าฐิติยังเป็นเจ้าของเช็คฉบับดังกล่าวอยู่ ฐิติจึงเป็นบุคคลที่ต้องปราศจากตั๋วเงิน ไปจากครอบครองตามนัยมาตรา 905 วรรคสอง ดังนั้น ฐิติจึงสามารถใช้สิทธิเรียกคืนเช็คฉบับดังกล่าวได้

สรุป
(ก) ทั้งสติและกิตติไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายในเช็คฉบับดังกล่าว
(ข) ฐิติเป็นบุคคลที่สามารถใช้สิทธิเรียกคืนเช็คฉบับดังกล่าว

ข้อ 2. นายแดงออกตั๋วแลกเงินสั่งให้นายหนึ่งจ่ายเงินให้นายเหลืองเป็นจํานวน 10,000 บาท โดยระบุชื่อ นายเหลืองเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือออก ขณะที่คั่วอยู่กับนายเหลือง มีนายเอลูกของ นายแดงต้องการที่จะมาค้ําประกันการจ่ายเงิน จึงเข้ามาเซ็นชื่อที่ด้านหน้าของตั๋วแลกเงิน ต่อมา นายเหลืองลงลายมือชื่อที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินฉบับนั้นแล้วส่งมอบตั๋วแลกเงินให้นายฟ้า และนายฟ้า ได้ส่งมอบตัวต่อไปให้กับนายดํา จากข้อเท็จจริงข้างต้น เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกําหนด นายดํานําตั๋ว ไปยื่นให้นายหนึ่งจ่ายเงิน แต่นายหนึ่งปฏิเสธ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายดําจะเรียกให้ใครรับผิดตาม ตั๋วแลกเงินฉบับนี้ได้บ้าง และให้รับผิดในฐานะอะไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 905 วรรคหนึ่ง ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียแล้วท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

มาตรา 914 “ บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นํายื่น โดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตัว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงิน ตามตัวนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่ง
ก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

มาตรา 919 “คําสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อ และต้องลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง

การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทํา อะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลัง
เช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใดก็ได้ คือ

(3) โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 938 “ตั๋วแลกเงินจะมีผู้ค้ําประกันรับประกันการใช้เงินทั้งจํานวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ ซึ่งท่านเรียกว่า “อาวัล”

อันอาวัลนั้นบุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่งจะเป็นผู้รับ หรือแม้คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้รับก็ได้”

มาตรา 939 “อันการรับอาวัลย่อมทําให้กันด้วยเขียนลงในตั๋วเงินนั้นเอง หรือที่ใบประจําต่อ ในการนี้จึงใช้ถ้อยคําสํานวนว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดทํานองเดียวกันนั้นและลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล

อนึ่ง เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคํารับอาวัลแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

ในคํารับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงออกตั๋วแลกเงินสั่งให้นายหนึ่งจ่ายเงินให้นายเหลืองเป็นจํานวน
10,000 บาท โดยระบุชื่อนายเหลืองเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือออกนั้น ตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวถือว่า เป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ ดังนั้น หากนายเหลืองจะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไป นายเหลืองจะต้องโอน โดยการสลักหลังและส่งมอบตามมาตรา 917 วรรคหนึ่ง และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเหลืองได้ลงลายมือชื่อ ที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวแล้วส่งมอบตั๋วแลกเงินให้แก่นายฟ้าไปนั้น การกระทําของนายเหลืองถือว่า เป็นการสลักหลังลอย ตามมาตรา 919 วรรคสอง ดังนั้น การโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ นายฟ้าจึง เป็นผู้ทรงในฐานะผู้รับสลักหลังจากการสลักหลังลอยของนายเหลือง นายฟ้าจึงสามารถโอนตั๋วแลกเงินฉบับ ดังกล่าวต่อไปได้โดยไม่ต้องสลักหลัง ตามมาตรา 920 วรรคสอง (3) และเมื่อนายฟ้าได้ส่งมอบตัวต่อไปให้แก่ นายดํา การโอนตั๋วระหว่างนายฟ้าและนายดําจึงมีผลสมบูรณ์ และมีผลทําให้นายดําเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 905 วรรคหนึ่ง

ส่วนกรณีที่นายเอลูกชายนายแดงต้องการที่จะมาค้ําประกันการจ่ายเงิน จึงเข้ามาเซ็นชื่อที่ด้านหน้า
ของตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวนั้น ย่อมถือว่านายเอได้เข้ามาอาวัล (รับประกัน) ตั๋วแลกเงินฉบับนั้นแล้ว ตาม มาตรา 938 ประกอบมาตรา 939 วรรคสาม และเมื่อไม่ได้ระบุว่ารับประกันผู้ใด ให้ถือว่าเป็นการรับประกัน นายแดงผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสี่)

เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกําหนด นายดําได้นําตัวไปยื่นให้นายหนึ่งจ่ายเงินแต่นายหนึ่งปฏิเสธ นายดํา ย่อมสามารถเรียกให้บุคคลดังต่อไปนี้รับผิดตามตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ คือ

1. นายแดง ซึ่งได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วเงินในฐานะผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง
ประกอบมาตรา 914
2. นายเหลือง ซึ่งได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วเงินในฐานะผู้สลักหลังตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง
ประกอบมาตรา 914
3. นายเอ ซึ่งได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วเงินในฐานะผู้รับอาวัลนายแดงผู้สั่งจ่าย ซึ่งต้องรับผิด เป็นอย่างเดียวกันกับนายแดง ตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 940 วรรคหนึ่ง

แต่นายดําจะเรียกให้นายหนึ่งและนายฟ้ารับผิดตามตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวไม่ได้ เพราะทั้งสองคน
ไม่ได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วเงินแต่อย่างใด

สรุป นายดําสามารถเรียกให้นายแดงผู้สั่งจ่าย นายเหลืองผู้สลักหลัง และนายเอผู้รับอาวัลนายแดง รับผิดตามตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ แต่จะเรียกให้นายหนึ่งและนายฟ้ารับผิดไม่ได้

ข้อ 3. (ก) การที่มีลายมือชื่อปลอมหรือลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจากอํานาจปรากฏอยู่ในตั๋วเงินนั้นจะมีผล
ทางกฎหมายเป็นอย่างไร
(ข) นายไก่สั่งจ่ายเช็คฉบับหนึ่งระบุชื่อนายนกเป็นผู้รับเงินตามเช็คและขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ ในเช็คออก และส่งมอบชําระหนี้ค่าสินค้าให้กับนายนก ต่อมานายนกทําเช็คดังกล่าวหล่นหาย นายแมวเก็บเช็คนั้นได้ แล้วทําการปลอมลายมือชื่อนายนกเพื่อทําการสลักหลังเช็คนั้น พร้อมระบุข้อความว่า “ให้แก่นายแมว” จากนั้นนายแมวจึงนําเช็คนั้นมาทําการลงลายมือชื่อของนายแมวเพื่อสลักหลังลอยเช็คนั้นและส่งมอบชําระหนี้ค่าเช่าอาคารให้กับนายหนู โดยที่ นายหนูก็รับเช็คนั้นไว้โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ดังนี้ หากเช็คฉบับดังกล่าวขาดความเชื่อถือ นายหนูจะสามารถเรียกให้นายไก่ นายนก และนายแมว รับผิดตามเช็คฉบับนี้กับตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1008 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงิน เป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่ง อย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตัวนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้น

คนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้น จะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

แต่ข้อความใด ๆ อันกล่าวมาในมาตรานี้ท่านมิให้กระทบกระทั่งถึงการให้สัตยาบันแก่ลายมือชื่อ
ซึ่งลงโดยปราศจากอํานาจแต่หากไม่ถึงแก่เป็นลายมือปลอม”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว กรณีที่มีลายมือชื่อปลอม หรือลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจากอํานาจ
ปรากฏอยู่ในตั๋วเงินนั้น จะมีผลทางกฎหมายดังนี้ คือ

1. ผลต่อเจ้าของลายมือชื่อ ลายมือชื่อปลอมหรือลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจากอํานาจนั้นย่อม ไม่มีผลผูกพันต่อเจ้าของลายมือชื่อ กล่าวคือ เจ้าของลายมือชื่อไม่ต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ทั้งนี้เพราะ เจ้าของลายมือชื่อที่ถูกปลอมมิได้เป็นผู้เขียนลายมือชื่อนั้นลงไว้ในตั๋วเงิน หรือมิได้มอบอํานาจให้บุคคลใดลงลายมือชื่อ ในตั๋วเงินในกรณีที่มีการลงลายมือชื่อโดยปราศจากอํานาจ เว้นแต่กรณีที่เป็นตั๋วเงินที่มีลายมือชื่อที่ลงไว้โดยปราศจากอํานาจนั้นอาจมีผลผูกพันเจ้าของลายมือชื่อได้ หากเจ้าของลายมือชื่อได้ให้สัตยาบันตามมาตรา 1008 วรรคท้าย

2. ผลต่อคู่สัญญาคนอื่น ๆ ในตั๋วเงิน ในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีลายมือชื่อปลอม ย่อมไม่มีผลกระทบ ถึงความรับผิดของคู่สัญญาคนอื่น ๆ ที่ลงไว้ในตั๋วเงินโดยถูกต้อง ทั้งนี้เป็นเพราะความรับผิดของลูกหนี้แต่ละคนที่ได้ ลงลายมือชื่อไว้ในตั๋วเงิน และต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินตามมาตรา 900 วรรคหนึ่งนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัว ของลูกหนี้แต่ละคนนั่นเอง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1006 ที่บัญญัติไว้ว่า

“การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอม ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์
แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตั๋วเงินนั้น”

3. ผลต่อผู้ที่ได้ตั๋วเงินไว้ในความครอบครองและบุคคลอื่น ๆ ในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีการลง ลายมือชื่อปลอม หรือมีการลงลายมือโดยปราศจากอํานาจจะมีผลตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง คือ ให้ถือว่าลายมือชื่อ ปลอมหรือลงโดยปราศจากอํานาจนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย และผู้ใดจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อ

(1) จะยึดหน่วงตั๋วเงินนั้นไว้มิได้ เว้นแต่ผู้ที่จะพึงถูกยึดหน่วง อยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบท มิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมหรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

(2) จะทําให้ตั๋วเงินนั้นหลุดพ้นจากความรับผิดด้วยการใช้เงินมิได้ เว้นแต่ ได้ใช้เงินไป
ในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีลายมือชื่อผู้สลักหลังเป็นลายมือชื่อปลอม (ตามมาตรา 1009)

(3) จะบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นคนใดคนหนึ่งมิได้ เว้นแต่คู่สัญญา ผู้ที่จะพึงถูกบังคับให้ใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบท มิให้ยกลายมือชื่อปลอมหรือข้อลงลายมือชื่อปราศจาก
อํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตัวเงินนั้น”
มาตรา 1006 “การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอม ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึง ความสมบูรณ์แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใด ลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้
มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัย

คนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้น จะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

แต่ข้อความใด ๆ อันกล่าวมาในมาตรานี้ท่านมิให้กระทบกระทั่งถึงการให้สัตยาบันแก่ลายมือชื่อ
ซึ่งลงโดยปราศจากอํานาจแต่หากไม่ถึงแก่เป็นลายมือปลอม”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว กรณีที่มีลายมือชื่อปลอม หรือลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจากอํานาจ
ปรากฏอยู่ในตั๋วเงินนั้น จะมีผลทางกฎหมายดังนี้ คือ

1. ผลต่อเจ้าของลายมือชื่อ ลายมือชื่อปลอมหรือลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจากอํานาจนั้นย่อม ไม่มีผลผูกพันต่อเจ้าของลายมือชื่อ กล่าวคือ เจ้าของลายมือชื่อไม่ต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ทั้งนี้เพราะ เจ้าของลายมือชื่อที่ถูกปลอมมิได้เป็นผู้เขียนลายมือชื่อนั้นลงไว้ในตั๋วเงิน หรือมิได้มอบอํานาจให้บุคคลใดลงลายมือชื่อ ในตั๋วเงินในกรณีที่มีการลงลายมือชื่อโดยปราศจากอํานาจ เว้นแต่กรณีที่เป็นตั๋วเงินที่มีลายมือชื่อที่ลงไว้โดยปราศจากอํานาจนั้นอาจมีผลผูกพันเจ้าของลายมือชื่อได้ หากเจ้าของลายมือชื่อได้ให้สัตยาบันตามมาตรา 1008 วรรคท้าย

2. ผลต่อคู่สัญญาคนอื่น ๆ ในตั๋วเงิน ในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีลายมือชื่อปลอม ย่อมไม่มีผลกระทบ ถึงความรับผิดของคู่สัญญาคนอื่น ๆ ที่ลงไว้ในตั๋วเงินโดยถูกต้อง ทั้งนี้เป็นเพราะความรับผิดของลูกหนี้แต่ละคนที่ได้ ลงลายมือชื่อไว้ในตั๋วเงิน และต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินตามมาตรา 900 วรรคหนึ่งนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัว ของลูกหนี้แต่ละคนนั่นเอง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1006 ที่บัญญัติไว้ว่า

“การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอม ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์
แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตั๋วเงินนั้น”

3. ผลต่อผู้ที่ได้ตั๋วเงินไว้ในความครอบครองและบุคคลอื่น ๆ ในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีการลง ลายมือชื่อปลอม หรือมีการลงลายมือโดยปราศจากอํานาจจะมีผลตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง คือ ให้ถือว่าลายมือชื่อ ปลอมหรือลงโดยปราศจากอํานาจนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย และผู้ใดจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อ

(1) จะยึดหน่วงตั๋วเงินนั้นไว้มิได้ เว้นแต่ผู้ที่จะพึงถูกยึดหน่วง อยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบท มิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมหรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

(2) จะทําให้ตั๋วเงินนั้นหลุดพ้นจากความรับผิดด้วยการใช้เงินมิได้ เว้นแต่ ได้ใช้เงินไป
ในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีลายมือชื่อผู้สลักหลังเป็นลายมือชื่อปลอม (ตามมาตรา 1009)

(3) จะบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นคนใดคนหนึ่งมิได้ เว้นแต่คู่สัญญา ผู้ที่จะพึงถูกบังคับให้ใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบท มิให้ยกลายมือชื่อปลอมหรือข้อลงลายมือชื่อปราศจาก
อํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตัวเงินนั้น”
มาตรา 1006 “การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอม ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึง ความสมบูรณ์แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใด ลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้
มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัย

แสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่ คู่สัญญาแห่งตัวนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วง หรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่สั่งจ่ายเช็คฉบับหนึ่งระบุชื่อนายนกเป็นผู้รับเงินตามเช็คและ ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออกและส่งมอบชําระหนี้ค่าสินค้าให้กับนายนก เมื่อนายนกทําเช็คดังกล่าวหล่นหาย และนายแมวเก็บได้ แล้วทําการปลอมลายมือชื่อนายนกและทําการสลักหลังเช็คนั้นพร้อมระบุข้อความว่า “ให้แก่นายแมว” จากนั้นนายแมวได้ลงลายมือชื่อนายแมวเพื่อสลักหลังลอยและส่งมอบเช็คให้แก่นายหนูเพื่อ ชําระหนี้ค่าเช่าอาคารนั้น ย่อมถือว่าเช็คฉบับดังกล่าวได้มีการการสลักหลังที่ขาดสาย และจะมีผลตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง คือให้ถือว่าลายมือชื่อของนายนกนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัยลายมือชื่อปลอม ของนายนกเพื่อไปบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตัวนั้นไม่ได้ และเมื่อเช็คฉบับดังกล่าวขาดความเชื่อถือ นายหนูจะสามารถเรียกให้นายไก่ นายนก และนายแมวรับผิดตามเช็คฉบับนี้กับตนได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้คือ

1. กรณีของนายไก่ผู้สั่งจ่าย แม้นายหนูจะได้รับเช็คนั้นไว้โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง แต่นายหนูจะเรียกให้นายไก่รับผิดตามเช็คไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นจะเป็นการอาศัยลายมือชื่อปลอม ของนายนกเพื่อไปบังคับเอากับนายไก่ ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง

2. กรณีของนายนก เมื่อนายนกไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ในเช็ค อีกทั้งลายมือชื่อของนายนกที่ นายแมวปลอมนั้นก็ใช้ไม่ได้ นายหนูจึงเรียกให้นายนกรับผิดตามเช็คไม่ได้

3. กรณีของนายแมว นายหนูสามารถเรียกให้นายแมวรับผิดตามเช็คได้ ตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง เพราะแม้ลายมือชื่อของนายนกจะเป็นลายมือปลอมก็ไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์ของลายมือชื่อ อื่น ๆ ที่ลงไว้ในตั๋วเงินนั้น (มาตรา 1006) อีกทั้งการที่นายหนูเรียกให้นายแมวรับผิดตามเช็ค ก็ไม่ได้เป็นการอาศัย ลายมือชื่อปลอมของนายนกเพื่อบังคับเอากับนายแมวแต่อย่างใด จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง สรุป นายหนูสามารถเรียกให้นายแมวรับผิดตามเช็คฉบับนี้ได้ แต่จะเรียกให้นายไก่และนายนกรับผิดไม่ได้

LAW2112 (LAW2012) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2112 (LAW2012) ป.พ.พ.ว่าด้วยประกันภัย
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายต่อทําประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะให้กับนางบุญภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ความคุ้มครองตามสัญญาแบบตลอดชีพ มี บมจ.ชํานาญประกันชีวิตเป็นผู้รับประกันชีวิต จํานวนเงินเอาประกันชีวิต 2 ล้านบาท มิได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์ ในขณะที่ทําสัญญาประกันชีวิต นางบุญ ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่มิได้แจ้งให้นายต่อทราบ ทั้งยังระบุในแบบคําขอเอาประกันชีวิตว่าตน สุขภาพแข็งแรงดี ต่อมานายต่อกับนางบุญหย่าขาดจากกัน และนางบุญทําหนังสือไปถึง บมจ. ชํานาญประกันชีวิต ขอให้ระบุนางสาวนวลบุตรของตนเป็นผู้รับประโยชน์และทําการเขียนข้อความในกรมธรรม์ประกันชีวิตฉบับดังกล่าวว่า ตนประสงค์จะให้ประโยชน์แห่งสัญญาตกแก่นางสาวนวลพร้อมส่งกรมธรรม์ประกันชีวิตให้นางสาวนวลเก็บรักษาเอาไว้ ปรากฏต่อมาว่านางบุญติดเชื้อ COVID-19 และถึงแก่ความตาย นางสาวนวลจึงแจ้งไปยัง บมจ.ชํานาญประกันชีวิต เพื่อขอรับเงิน ตามสัญญา แต่ถูก บมจ.ชํานาญประกันชีวิตปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า นางบุญไม่มีส่วน ได้เสียในสัญญาประกันชีวิตด้วยเหตุหย่ากับนายต่อประการหนึ่ง และสัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมมียะอีกประการหนึ่ง

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า การปฏิเสธของ บมจ.ชํานาญประกันชีวิตทั้งสองประการ ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ ใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้น ไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคล อันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่ง
อาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้าง
ได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้าปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 891 วรรคหนึ่ง “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัย
ให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะ ถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ในขณะทําสัญญาประกันภัยผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย
มิเช่นนั้นสัญญาประกันภัยจะไม่ผูกพันคู่สัญญาฝ่ายที่เป็นผู้รับประกันภัยให้ต้องรับผิดในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย (มาตรา 863) อีกทั้งผู้เอาประกันภัยยังมีหน้าที่จะต้องแถลงข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจ ผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทําสัญญา ถ้าในขณะทําสัญญาผู้เอาประกันปกปิด ข้อความจริงหรือแถลงข้อความอันเป็นเท็จ สัญญาประกันภัยย่อมตกเป็นโมฆียะ (มาตรา 865)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายต่อทําประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะให้กับนางบุญภริยาโดยชอบ ด้วยกฎหมาย ความคุ้มครองตามสัญญาแบบตลอดชีพ มี บมจ.ชํานาญประกันชีวิตเป็นผู้รับประกันชีวิต จํานวนเงิน เอาประกันชีวิต 2 ล้านบาทนั้น ถือเป็นการทําสัญญาประกันชีวิตโดยอาศัยความมรณะของบุคคลหนึ่งตามมาตรา 889 และเมื่อนายต่อผู้เอาประกันชีวิตเป็นสามีที่ชอบด้วยกฎหมายของนางบุญผู้ถูกเอาประกันชีวิต ย่อมถือว่านายต่อผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 และส่วนได้เสียนั้นผู้เอาประกันจะต้อง มีอยู่ในขณะทําสัญญาด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะทําสัญญานายต่อมีส่วนได้เสียในชีวิตของนางบุญ เนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา แม้ว่าต่อมาส่วนได้เสียจะหมดไปเพราะ หย่าขาดจากกัน ก็ไม่ทําให้สัญญาที่มีผลผูกพันกันตั้งแต่ต้นกลายเป็นสัญญาที่ไม่มีผลผูกพันกันในภายหลังแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ บมจ.ชํานาญประกันชีวิตจะปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่านางบุญไม่มีส่วนได้เสียในสัญญา ประกันชีวิตด้วยเหตุหย่ากับนายต่อ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

การที่นายต่อผู้เอาประกันชีวิตได้ทําประกันชีวิตบุคคลอื่น (นางบุญ) โดยมิได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์ไว้ ย่อมถือได้ว่าผู้เอาประกันชีวิตคือนายต่อเป็นผู้รับประโยชน์ (ฎีกาที่ 1822/2544) และการโอนประโยชน์แห่ง สัญญาประกันชีวิตให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งนั้น เป็นสิทธิของผู้เอาประกันภัยคือนายต่อ ส่วนนางบุญเป็นเพียง ผู้ถูกเอาประกันย่อมไม่มีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นได้ตามมาตรา 891 ดังนั้น เมื่อนายต่อกับนางบุญ หย่าขาดจากกัน การที่นางบุญได้ทําหนังสือไปถึง บมจ.ชํานาญประกันชีวิต ขอให้ระบุนางสาวนวลบุตรของตน เป็นผู้รับประโยชน์แห่งสัญญา และได้ทําการเขียนข้อความในกรมธรรม์ประกันชีวิตฉบับดังกล่าวว่าตนประสงค์ จะให้ประโยชน์แห่งสัญญาตกแก่นางสาวนวล พร้อมส่งกรมธรรม์ประกันชีวิตให้นางสาวนวลเก็บรักษาเอาไว้ย่อมไม่มีผลทําให้สิทธิในการเป็นผู้รับประโยชน์แห่งสัญญาประกันชีวิตของนายต่อเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด และเมื่อนางบุญถึงแก่ความตาย บมจ.ชํานาญประกันชีวิตก็จะต้องใช้เงินตามสัญญาให้แก่นายต่อตามมาตรา 889

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในขณะที่ทําสัญญาประกันชีวิตนั้น นางบุญป่วยเป็นมะเร็ง แต่มิได้แจ้งให้นายต่อทราบ ทั้งยังระบุในแบบคําขอเอาประกันชีวิตว่าตนมีสุขภาพแข็งแรงดี จึงถือว่าเป็นกรณีที่ ผู้เอาประกันภัยและผู้ถูกเอาประกันภัยรู้แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัย
ให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะตาม มาตรา 865 ดังนั้น การที่ บมจ.ชํานาญประกันชีวิตปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่าสัญญาประกันชีวิตตกเป็น โมฆียะนั้น จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การที่ บมจ.ชํานาญประกันชีวิตปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่านางบุญไม่มีส่วนได้เสีย ในสัญญาประกันชีวิตด้วยเหตุหย่าขาดกับนายต่อนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการให้เหตุผลว่าสัญญาประกันชีวิต
ตกเป็นโมฆียะนั้นชอบด้วยกฎหมาย

ข้อ 2. นายกับเจ้าของรถยนต์ ได้นํารถยนต์ไปทําสัญญาประกันวินาศภัยในความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้น กับรถยนต์นั้นกับบริษัท รวยดี ประกันวินาศภัย จํากัด จํานวนเงินเอาประกันภัย 5 แสนบาท และ นายกบได้ทําสัญญาประกันภัยในความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นกับบุคคลภายนอกไว้ด้วยจํานวนเงินเอาประกันภัย 3 แสนบาท โดยในกรมธรรม์ประกันวินาศภัยในความเสียหายกับรถยนต์นั้นมีเงื่อนไขกําหนดไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้เอาประกันภัยนํารถยนต์นั้นไปรับจ้างหรือให้เช่า ปรากฏว่านายกบได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปรับจ้างส่งของให้กับนายเขียด วันเกิดเหตุด้วยความประมาทเลินเล่อของนายกบได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวนั้น ช่วงเวลาที่ไปส่งของให้กับนายเขียดเฉี่ยวชนนายอ๊อดได้รับบาดเจ็บ มีค่ารักษาพยาบาลจํานวน 50,000 บาท นายอ๊อดจึงมาเรียกให้บริษัท รวยดีประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากนายกบได้ทําประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอกไว้ แต่ถูก บริษัท รวยดีประกันวินาศภัย จํากัด ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าไม่อยู่ในส่วนที่ผู้รับประกันภัย จะต้องรับผิดเนื่องจากนายกบผิดเงื่อนไขที่ตกลงไว้ในกรมธรรม์

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า ข้อปฏิเสธของ บริษัท รวยดีประกันวินาศภัย จํากัด ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 887 วรรคหนึ่ง “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่า จะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอา
ประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกบได้นํารถยนต์ไปทําประกันวินาศภัยไว้กับบริษัท รวยดีประกัน วินาศภัย จํากัด ในความเสียหายที่เกิดกับตัวรถยนต์ที่เอาประกันรวมทั้งประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นประกันภัยค้ําจุนด้วยนั้น บุคคลที่ถือว่าเป็นคู่สัญญาคือนายกบ (ผู้เอาประกันภัย) และบริษัท รวยดีประกัน วินาศภัย จํากัด (ผู้รับประกันภัย) ซึ่งตามมาตรา 887 วรรคหนึ่งนั้น สัญญาประกันภัยค้ําจุน เป็นสัญญาซึ่งผู้รับ ประกันภัยได้ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลหนึ่ง
และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ

จากข้อเท็จจริง การที่นายกบได้ทําประกันภัยค้ําจุนในความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก ไว้ด้วยนั้น โดยไม่ได้มีเงื่อนไขความรับผิดแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อนายกบได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปเฉี่ยวชนนายอ๊อด ได้รับบาดเจ็บมีค่ารักษาพยาบาลจํานวน 50,000 บาท นายอ๊อดจึงมีสิทธิเรียกให้บริษัทฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ เนื่องจากเงื่อนไขที่กําหนดห้ามไม่ให้ผู้เอาประกันภัยนํารถยนต์ไปรับจ้างหรือให้เช่านั้น เป็นเงื่อนไขในส่วนประกันความเสียหายอันเกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายอ๊อด จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าไม่อยู่ในส่วนที่ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดเนื่องจากนายกบผิดเงื่อนไขที่ตกลงไว้ในกรมธรรม์ไม่ได้

สรุป

ข้อปฏิเสธของบริษัท รวยดีประกันวินาศภัย จํากัด ฟังไม่ขึ้น

ข้อ 3. นายเสริมทําสัญญาประกันชีวิตกับ บมจ. ภักดีประกันชีวิต จํานวนเงินเอาประกัน 2 ล้านบาท ด้วยเหตุมรณะ ระยะเวลาการคุ้มครอง 5 ปี นายเสริมขับรถไปติดต่อธุรกิจที่จังหวัดสุรินทร์ ขณะ ขับรถถึงทางแยกไม่มีสัญญาณไฟจราจร นายเจ๋งขับรถยนต์โดยประมาท รถนายเจ๋งเสียหลักมาชน รถยนต์ของนายเสริมพลิกคว่ำเป็นเหตุให้นายเสริมเสียชีวิต บมจ. ภักดีประกันชีวิตจึงจ่ายเงิน ประกัน 2 ล้านบาท ให้นายศักดิ์ทายาทของนายเสริม แล้ว บมจ. ภักดีประกันชีวิตได้เข้าเรียกร้อง เงิน 2 ล้านบาท จากนายเจ๋ง นายศักดิ์จึงคัดค้านการเรียกร้องของ บมจ. ภักดีฯ เพราะนายศักดิ์ อยู่ระหว่างการเจรจาค่าเสียหายกับนายเจ๋งกรณีขับรถชนนายเสริมเสียชีวิต แต่ บมจ. ภักดีฯ อ้างว่า บริษัทฯ มีสิทธิเรียกร้องในการเข้ารับช่วงสิทธิในสัญญาประกันภัย ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า บมจ. ภักดีฯ สามารถเข้ารับช่วงสิทธิ์ในสัญญาประกันภัยนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง”
มาตรา 896 “ถ้ามรณภัยเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลภายนอก ผู้รับประกันภัยหาอาจจะเรียก เอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นได้ไม่ แต่สิทธิของฝ่ายทายาทแห่งผู้มรณะในอันจะได้ค่าสินไหมทดแทน จากบุคคลภายนอกนั้นหาสูญสิ้นไปด้วยไม่ แม้ทั้งจํานวนเงินอันจะพึงใช้ตามสัญญาประกันชีวิตนั้นจะหวนกลับมาได้แก่ตนด้วย”

วินิจฉัย

สัญญาประกันชีวิตเป็นสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายผู้รับประกันตกลงจะใช้เงินจํานวนหนึ่งให้แก่ผู้เอาประกันโดยอาศัยความทรงชีพหรือความมรณะของผู้เอาประกันเป็นเหตุในการใช้เงินตามมาตรา 889 และใน กรณีการประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะของผู้เอาประกันเป็นเหตุในการใช้เงินนั้น หากผู้เอาประกันไม่ได้ระบุตัว ผู้รับประโยชน์เอาไว้ เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นย่อมตกได้แก่ทายาทของผู้เอาประกัน และทายาทของผู้เอาประกัน ยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากบุคคลภายนอกที่ก่อให้เกิดความมรณะแก่ผู้เอาประกันได้อีกด้วยตามมาตรา 896 โดยผู้รับประกันแม้จะได้ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว ก็ไม่อาจรับช่วงสิทธิที่จะไป เรียกร้องหรือไล่เบี้ยเอากับผู้กระทําให้ผู้เอาประกันหรือผู้ถูกเอาประกันถึงแก่ความตาย เพราะการรับช่วงสิทธิ มิได้แต่เฉพาะกรณีประกันวินาศภัยตามมาตรา 880 เท่านั้น (ฎีกาที่ 3026/2540)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเสริมได้ทําสัญญาประกันชีวิตกับ บมจ. ภักดีประกันชีวิต จํานวนเงิน เอาประกัน 2 ล้านบาท ด้วยเหตุมรณะนั้น เมื่อนายเสริมขับรถไปติดต่อธุรกิจที่จังหวัดสุรินทร์และได้ถูกนายเจ๋ง
ขับรถยนต์โดยประมาทมาชนรถยนต์ของนายเสริมพลิกคว่ําเป็นเหตุให้นายเสริมเสียชีวิต
นายศักดิ์ทายาท ของนายเสริมจึงมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตจาก บมจ. ภักดีประกันชีวิต จํานวน 2 ล้านบาท และ นอกจากนั้นนายศักดิ์ยังสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายเจ๋งบุคคลภายนอกผู้กระทําให้นายเสริมผู้เอาประกัน ถึงแก่ความตายได้อีกตามมาตรา 896 ดังนั้น เมื่อ บมจ. ภักดีประกันชีวิต ได้จ่ายเงินประกัน 2 ล้านบาท ให้แก่ นายศักดิ์ทายาทของนายเสริม แล้ว บมจ. ภักดีประกันชีวิต จะเข้ารับช่วงสิทธิในสัญญาประกันชีวิตเพื่อเรียกร้อง เงิน 2 ล้านบาท จากนายเจ๋งไม่ได้ เพราะสิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายเจ๋งตามมาตรา 896 นั้น เป็น สิทธิของทายาทผู้มรณะเท่านั้น ผู้รับประกันภัยหาอาจจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นได้ไม่

สรุป บมจ. ภักดีประกันชีวิต ไม่สามารถเข้ารับช่วงสิทธิในสัญญาประกันภัยนี้ได้

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!