LAW4007 นิติปรัชญา S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายธรรมชาติ (Natural Law) คืออะไร มีพัฒนาการ 5 ยุคอย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมายธรรมชาติสามารถอธิบายความหมายได้ใน 2 ลักษณะ คือ

1 ความหมายทั่ว ๆ ไป กฎหมายธรรมชาติหมายถึง กฎหมายซึ่งบุคคลบางกลุ่มอ้างว่ามีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีโครงสร้างขึ้นเป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ และใช้ได้โดยทั่วไปอย่างไม่จํากัดกาลเทศะ

กฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ และกฎเกณฑ์ทางกฎหมายต่าง ๆ ในอุดมคติซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้น

ซึ่งอาจค้นพบได้โดยเหตุผล กฏเกณฑ์อุดมคติที่มีขึ้นเพื่อจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างปัจเจกชนกับกลุ่มส่วนรวม หรือจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความเสมอภาคของทุกคน (เมื่อพิจารณาความหมายในแง่มุมทางอุดมการณ์)

2 ความหมายในทางทฤษฎี แบ่งเป็น 2 ทฤษฎี คือ

1) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคกรีกโบราณและโรมันถึงยุคกลาง (ราวศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16) ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อุดมคติที่มีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ จะไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายเลย

2) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบันถือว่า หลักกฎหมายธรรมชาติเป็นเพียง อุดมคติของกฎหมายที่รัฐจะบัญญัติขึ้นเท่านั้น กล่าวคือ รัฐควรจะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการ ของกฎหมายธรรมชาติ แต่ถ้าตราขึ้นโดยขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด เพียงแต่จะเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมายโดยสมบูรณ์เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นลักษณะที่ผ่อนปรน ประนีประนอม มากขึ้นกว่าในยุคโบราณและยุคกลาง

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 5 ยุค ดังนี้

1 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณและโรมัน มีสาระสําคัญดังนี้

1) จุดก่อตัวและช่วงเวลา ยุคกรีกโบราณและโรมันอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อน คริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 โดยประมาณ ซึ่งว่ากันว่ากฎหมายธรรมชาตินี้พบเป็นเรื่องเป็นราวจากเฮราคลิส นักปรัชญาชาวกรีกที่มีอายุในช่วง 540 – 180 ปีก่อนคริสตกาล โดยเขาไปค้นหาสัจจะเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยเฉพาะ ความจริงเกี่ยวกับแก่นสารของชีวิตและสิ่งที่เขาค้นพบและสรุปออกมาคือ ธรรมชาติคือความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง แก่นสารของชีวิตคือธรรมชาติและแก่นสารของชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยจุดหมายปลายทาง ระเบียบและเหตุผลอันแน่นอนซึ่งไม่อาจผันแปรได้

2) การเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติ แยกอธิบายได้ดังนี้

เพลโต (427 – 347 ปีก่อนคริสตกาล) อธิบายว่า เข้าถึงได้โดยการใช้ญาณปัญญา อันบริสุทธิ์ แต่ก็มีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่เพลโตเห็นว่าจะเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้

อริสโตเติล (384 – 322 ปีก่อนคริสตกาล) ศิษย์ของเพลโตเห็นว่า กฎหมาย ธรรมชาตินั้นมนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยการใช้ “เหตุผลอันบริสุทธิ์” เนื่องจากอริสโตเติลพบว่าเหตุผลของมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

สํานักสโตอิค (ก่อตั้งขึ้นศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลโดยเซโน) ยืนยันตามแนวคิด ของอริสโตเติลว่า “มนุษย์เข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้โดยการใช้เหตุผล” เหตุผลที่ว่านี้ก็อยู่ในฐานะเป็นพลังทางจักรวาล ซึ่งเข้าครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งเป็นพื้นฐานของกฎหมายและความยุติธรรมด้วย

3) บทบาทความสําคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ แยกอธิบายได้ดังนี้

เพลโต ให้ความสําคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่าเป็นแบบหรือความคิดอันไม่มีวัน เปลี่ยนแปลง ที่ให้เป็นบรรทัดฐานต่อกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายใด ๆ ที่รัฐตราขึ้นต้องสอดคล้องกับแบบหรือ กฎหมายธรรมชาตินี้ มิเช่นนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นกฎหมายได้

อริสโตเติล ให้ความสําคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่า เป็นกฎหมายที่เหมาะสม ในการปกครองสังคม แต่เขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกฎหมายที่รัฐตราขึ้นขัดกับกฎหมายธรรมชาติผลจะเป็นอย่างไร

โสฟิสต์บางกลุ่ม อ้างกฎหมายธรรมชาติขึ้นมาต่อต้านการปกครองที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งอ้างเพื่อผลักดันให้ยกเลิกระบบอภิสิทธิ์และระบบทาส (โสฟิสต์เป็นกลุ่มนักคิด ชอบใช้วาทะในการโต้เถียง มีในสมัยศตวรรษที่ 4 – 5 ก่อนคริสตกาล)

ในชั้นของอาณาจักรโรมัน ประมวลกฎหมายของจักรพรรดิ์จัสติเนียนก็ถือว่า กฎหมายธรรมชาติมีส่วนในการพัฒนาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคคล ทรัพย์ หนี้ มรดกหรือลาภมิควรได้

2 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคมืดและยุคกลาง มีสาระสําคัญดังนี้

1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคมืดอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 – 12 โดยประมาณ ส่วนยุคกลางอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 – 16 โดยประมาณ ในยุคนี้กฎหมายธรรมชาติถูกปรับเปลี่ยนให้เป็น แบบคริสเตียน (คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติก็เปลี่ยนไปอิงอยู่กับคําสอนทางศาสนา หรือบัญชาของพระเจ้า เนื่องจากเป็นยุคที่ฝ่ายศาสนจักรขึ้นมามีอํานาจเหนือฝ่ายอาณาจักร โดยยืนยันได้จาก ความคิดของเซนต์ ออกัสติน ที่ว่า “กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามกฎศาสนาเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับไม่ได้”

2) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ เนื่องจากกฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้ เป็นแบบคริสเตียน จึงปรากฏงานนิพนธ์ของ เซนต์ โทมัส อไควนัส (ค.ศ. 1226 – 1274) เรื่อง “Summa Theologica” สรุปว่า “หลักธรรมหรือโองการหรือเจตจํานงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” เป็นการหักมุมแนวคิด ของอริสโตเติลที่ว่า “มนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัยเหตุผลในตัวมนุษย์เอง” กล่าวคือ อไควนัส เห็นว่าเครื่องมือในการค้นหากฎหมายธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ใน “เหตุผลของพระเจ้า” ไม่ใช่เหตุผลของมนุษย์

3) คุณค่าความสําคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรากฏในงานเขียนของอไควนัส ซึ่งเขาได้แบ่งกฎหมายออกเป็น 4 ประเภท กฎหมายธรรมชาติก็เป็นหนึ่งในนั้น อไควนัสบอกว่า กฎหมายธรรมชาติ มนุษย์สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยเหตุผลเหมือนกับอริสโตเติล แต่อไควนัสนั้นบอกว่า เหตุผลของมนุษย์เป็น คุณสมบัติธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้อีกที่หนึ่ง ไม่ใช่มีอยู่และในธรรมชาติเหมือนอริสโตเติลนําเสนอไว้

อไควนัส ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นเสมือนภาพสะท้อนอันไม่สมบูรณ์ซึ่งเหตุผล อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า แต่กฎหมายธรรมชาตินี้ก็มีความสําคัญในฐานะเป็นหลักชี้นําการกระทําต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยมีหลักธรรมพื้นฐานคือ การทําดีและละเว้นความชั่ว ซึ่งกฎหมายธรรมชาตินี้ อไควนัสถือว่ามีค่าบังคับสูงกว่า กฎหมายที่มนุษย์หรือรัฐบัญญัติขึ้น กล่าวคือ ถ้าขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติก็จะไม่ถือว่ากฎหมายนั้น เป็นกฎหมาย แต่เป็นความวิปริตของกฎหมายไป

3 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นฟูและยุคปฏิรูป มีสาระสําคัญดังนี้

1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคฟื้นฟูอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 16 โดยประมาณ ส่วนยุคปฏิรูปอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยประมาณ ยุคนี้สถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนไป ฝ่ายอาณาจักร ขึ้นมามีอํานาจและสลัดตัวออกจากศาสนจักรได้สําเร็จ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเองก็สามารถสลัดตัวออกจาก คริสต์ศาสนาเช่นกัน รูปแบบความคิดก็กลับไปเป็นแบบเหตุผลนิยม คล้าย ๆ กับที่อริสโตเติลหรือสํานักสโตอิค แห่งกรีกโบราณนําเสนอไว้

2) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ ว่าจะตราหรือบัญญัติกฎหมายอย่างไรขึ้นใช้ในสังคม ถูกนําเสนอโดยฮูโก โกรเซียส ชาวเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 1583 – 1645) มีแนวคิดว่า “เหตุผลและสติปัญญาของ มนุษย์คือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” โดยถือว่าเหตุผลและสติปัญญานี้ปรากฏอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์เอง สิ่งที่โกรเซียสยืนยันก็คือ “ธรรมชาติของมนุษย์คือมารดาของกฎหมายธรรมชาติ และซึ่งจะคงปรากฏอยู่มาตร (แม้) ว่าจะไม่มีพระเจ้าแล้วก็ตาม”

3) ลักษณะและความสําคัญในเชิงบทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ถือว่ามีบทบาทที่สําคัญยิ่ง เริ่มที่โกรเซียสได้นําเอาหลักกฎหมายธรรมชาติ บางเรื่องไปเป็นรากฐานในการสร้างกฎหมายระหว่างประเทศ ควบคุมกิจการหรือกติกาในการทําสงครามระหว่างรัฐ จนได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาของกฎหมายระหว่างประเทศเลยทีเดียว

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคนี้มีการพัฒนาเรื่องสิทธิธรรมชาติของมนุษย์โดยการเพิ่ม บทบาทความคิดแบบปัจเจกชนนิยมมากขึ้นในตัว โดยผ่านนักคิดหลาย ๆ คนในยุคนี้ เช่น พูเฟนดอร์ฟ, โทมัส ฮอบส์, สปินโนซ่า, จอห์น ลอค, มองเตสกิเออ, รสโซ, วูล์ฟ เป็นต้น ซึ่งผลโดยรวมที่ได้ก็คืออิทธิพลโดยผ่านนักคิดเหล่านี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้นําไปสู่การเน้นเนื้อหากฎหมายที่เป็นธรรม, นําไปสู่ข้อยืนยันว่ากําลังหรืออํานาจไม่ใช่ ที่มาของกฎหมายหรือความถูกต้อง นับเป็นการเข้าไปต่อต้านเผด็จการหรือการกดขี่, สนับสนุนเรื่องความเสมอภาค ของบุคคลต่อหน้ากฎหมาย มีส่วนแก้ไขให้บทลงโทษทางอาญามีมนุษยธรรมมากขึ้น และที่สําคัญคือเป็นที่มา หรือรากฐานหรือหลักทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ยุคนี้ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นยุคแห่งเหตุผล” เนื่องจาก อิทธิพลความคิดแบบเหตุผลนิยมได้ครอบงําไปทั่วยุโรป

4 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคชาติรัฐนิยม (ความเสื่อมและการฟื้นตัวของกฎหมาย ธรรมชาติ) มีสาระสําคัญดังนี้

1) ภาพโดยรวมของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ยุคนี้เป็นเหตุการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษ ที่ 18 กฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้เสื่อมความนิยมลงในช่วงหนึ่งแล้วกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในตอนท้าย

2) เหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเสื่อมความนิยมลง มีสาเหตุหลัก 2 เรื่องคือ

– กระแสสูงของลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามและเข้ามาบดบังลัทธิ ปัจเจกชนนิยมที่เป็นแกนกลางสําคัญในปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

– ความเจริญก้าวหน้าอย่างมากทางวิทยาศาสตร์และวิธีคิดเชิงประจักษ์วาท แบบวิทยาศาสตร์ เป็นพื้นฐานทําให้เกิดลัทธิอรรถประโยชน์และทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ซึ่งมีแนวคิดตรงข้ามกับ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้ถูกผลักไสให้เป็นเรื่องของ ศาสนาหรือศีลธรรมมากกว่าจะเป็นกฎหมายอันแท้จริงของรัฐ

3) เหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้รับการเชื่อถืออีกครั้ง สาเหตุที่ทําให้ กฎหมายธรรมชาติได้รับการนิยมขึ้นมาอีก เพราะวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้ ปฏิฐานนิยม ทางกฎหมายก็ถูกนําไปใช้สนับสนุนเรื่องอํานาจนิยม การใช้อํานาจโดยมิชอบ ที่สําคัญก็คือสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ก็มีที่มาจากการเอาแนวคิดปฏิฐานนิยมไปใช้อย่างผิด ๆ ดังนั้นกระแสความคิดแบบเหตุผลนิยมของกฎหมายธรรมชาติ หรือระบบคิดแบบอุดมคตินิยมจึงปรากฏความสําคัญขึ้นอีกครั้ง

4) บทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติภายหลังที่ฟื้นตัวแล้ว พออธิบายได้ดังนี้

– สแตมม์เลอร์ ชาวเยอรมันประกาศความคิดเรื่อง “กฎหมายธรรมชาติซึ่งมี เนื้อหาอันเปลี่ยนแปลงได้ในฐานะเป็นหลักความยุติธรรม” ซึ่งสะท้อนความต้องการอันไม่แน่นอนของชนชาติหนึ่ง ในยุคสมัยหนึ่ง ๆ ขณะที่มาตรฐานแห่งความยุติธรรมเป็นการเน้นความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ระหว่างปัจเจกชน กับสังคม

– ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ได้ถูกนําไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในระดับ ข้อเท็จจริงและวิกฤติการณ์ทางคุณค่าด้วย โดยเฉพาะในเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กฎหมายธรรมชาติได้ เข้าไปมีบทบาทในการตัดสินคดีเพื่อลงโทษทหารนาซีเยอรมัน โดยถือว่ากฎหมายที่ขัดกับมนุษยธรรมที่นาซีบัญญัติขึ้น ไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย นอกจากนั้นการปรากฏตัวขึ้นของปฏิญญาสากลว่าด้วยมนุษยชน ค.ศ. 1948 ก็เขียนขึ้นภายใต้ อิทธิพลของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

5 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคปัจจุบัน (ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย) ในยุคปัจจุบัน ปรัชญากฎหมายธรรมชาติมีบทบาทอยู่ใน 2 ลักษณะ คือ

1) ในแง่ที่เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม คือ เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นเรื่องความยุติธรรมในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของกฎหมาย หรือยืนยันในความเชื่อมั่น ในเรื่องความสัมพันธ์ที่จําต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมหรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่าง ๆ

2) ในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเน้นไปที่สิทธิทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การพัฒนา สันติภาพ เป็นต้น ซึ่งหลายประเทศเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ

ที่สําคัญคือ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยนี้จะมีลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอม มากขึ้น กล่าวคือ ไม่ยืนยันว่ากฎหมายที่ขัดกับหลักอุดมคติหรือหลักความยุติธรรมต้องตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ ตามความคิดแบบเก่า ซึ่งตรงนี้ก็ปรากฎจากความคิดของจอห์น ฟินนีส นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยที่ บอกว่า “กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมมิได้ตกเป็นโมฆะ ในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งซึ่งบุคคลไม่ต้องปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิง กฎหมายที่ ไม่ยุติธรรมเพียงแต่ขาดสิ่งซึ่งเป็นอํานาจผูกมัดทางมโนธรรม” ซึ่งกฎหมายทั่วไปมีอยู่ตามปกติ หน้าที่ทางศีลธรรม ที่ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงอาจจําต้องมีอยู่หากว่าการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จะนํามาซึ่ง ความอ่อนแอ ไร้เสถียรภาพในระบบกฎหมายซึ่งมีความเป็นธรรมเสียส่วนมาก

 

ข้อ 2 ความยุติธรรม (Justice) คืออะไร มีความสัมพันธ์กับกฎหมายหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

“ความยุติธรรม” เป็นคําหนึ่งที่ค้นหาความหมายที่เป็นรูปธรรมได้ยากพอสมควร แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็ได้ให้ความหมายไว้เป็นแนวทางว่า ความยุติธรรม หมายถึง

1 ความเที่ยงธรรม หมายถึง การไม่เอนเอียง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

2 ความชอบธรรม หมายถึง ชอบด้วยนิตินัย หรือชอบด้วยธรรมะ

3 ความชอบด้วยเหตุผล ซึ่งแล้วแต่มุมมองของใคร สังคมใดจะเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีนักคิดทั้งหลายได้พยายามนําเสนอความหมายไว้ที่สําคัญ ๆ ได้แก่

เพลโต (Plato) ได้ให้คํานิยามของความยุติธรรมว่าหมายถึง “การทํากรรมดีหรือการทําสิ่งที่ถูกต้อง” โดยเขามองความยุติธรรมเป็นเสมือนองค์รวมของคุณธรรม ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสําคัญที่สุดยิ่งกว่าคุณธรรม อื่นใด และโดยทั่วไปแล้วความยุติธรรมเป็นคุณธรรมหรือสัจธรรมที่บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นจะค้นพบได้

อริสโตเติล (Aristote) มองความยุติธรรมว่าเป็นคุณธรรมเฉพาะเรื่อง หรือคุณธรรมทางสังคม ประการหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และคุณธรรมนี้จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมนุษย์ ได้ปลดปล่อยตัวเขาเองจากแรงผลักดันของความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง โดยอริสโตเติลได้แบ่งความยุติธรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ หมายถึง ความยุติธรรมที่มีลักษณะเป็นสากล ใช้ได้ต่อมนุษย์ ทุกคนไม่มีขอบเขตจํากัด และอาจค้นพบได้โดย “เหตุผลบริสุทธิ์” ของมนุษย์

2 ความยุติธรรมตามแบบแผน หมายถึง ความยุติธรรมซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ของบ้านเมือง ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและความเหมาะสม เป็นต้น

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความยุติธรรมกับกฎหมายนั้น มีปรากฏรูปความสัมพันธ์ใน 2 แบบ ตามแนวคิดทางทฤษฎี คือ

1 ทฤษฎีที่ถือว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันกับกฎหมาย ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายและ ความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน เนื่องจากล้วนมีกําเนิดมาจากพระเจ้า จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยหลัง ๆ จนถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้ โดยมากจะแสดงออกผ่านการตีความเรื่องความยุติธรรมจากนักคิดคนสําคัญของสํานักปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ที่มุ่งยืนยันความเด็ดขาดว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย รวมทั้งนักกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลของสํานักนี้ด้วย อาทิเช่น

ฮันส์ เคลเซ่น (Hans Kelsen) กล่าวว่า “ความยุติธรรมคือการรักษาไว้ซึ่งคําสั่งที่เป็น กฎหมาย โดยการปรับใช้คําสั่งนั้นอย่างมโนธรรม”

อัลฟ รอสส์ (Alf Ross) กล่าวว่า “ความยุติธรรมคือการปรับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง อันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการกระทําสิ่งใดตามอําเภอใจ”

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ตรัสว่า “ในเมืองไทย คําพิพากษาเก่า ๆ และคําพิพากษา เดี๋ยวนี้ด้วย อ้างความยุติธรรมขึ้นตั้งเสมอ ๆ แต่คําที่เรียกว่ายุติธรรมเป็นคําไม่ดี เพราะเป็นการที่ทุกคนเห็นต่างกัน ตามนิสัย ซึ่งไม่เป็นกริยาของกฎหมาย กฎหมายต้องเป็นยุติ จะเถียงแปลกออกไปไม่ได้ แต่เราเถียงได้ว่าอย่างไร เป็นยุติธรรมไม่ยุติธรรมทุกเมื่อ ทุกเรื่อง…”

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 21/2473 “กฎหมายต้องแปลให้เคร่งครัดตามกฎหมายที่มีอยู่ จะแปลให้คล้อยตามความยุติธรรมไม่ได้”

2 ทฤษฎีที่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นอุดมคติในกฎหมาย เป็นแนวคิดที่ความยุติธรรม ได้รับการเชิดชูไว้สูงกว่ากฎหมาย ในแง่นี้ความยุติธรรมถูกพิจารณาว่าเป็นแก่นสารอุดมคติในกฎหมาย หรือเป็น ความคิดอุดมคติซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายสูงส่งของกฎหมาย กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินตามหลังความยุติธรรม ซึ่งเป็นการมองความยุติธรรมในภาพเชิงอุดมคติ อันเป็นวิธีคิดในทํานองเดียวกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ อีกทั้งเป็นวิธีคิดอุดมคตินิยมซึ่งเคยมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเช่นกัน หรือในชื่อที่เรียกกันว่า “ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ” ที่ยืนยันว่ากฎหมายมิใช่กฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่ถูกต้องหรือยุติธรรมโดยตัวของมันเอง ยังมีแก่นสาร ของความยุติธรรมที่อยู่เหนือและคอยกํากับเนื้อหาของกฎหมายในแบบกฎหมายเบื้องหลังกฎหมาย

แนวความคิดที่ว่าความยุติธรรมเป็นจุดมุ่งหมายของกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยเองก็มี มาช้านานแล้ว ดังเช่น

คดีอําแดงป้อม ในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่อําแดงป้อมมีชู้แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีผู้เป็นสามี ตุลาการก็ให้หย่า เพราะกฎหมายในขณะนั้นบัญญัติว่า “หญิงหย่าชาย หย่าได้” ผลของคําพิพากษานี้ รวมทั้ง กฎหมายที่สนับสนุนอยู่ เหนือหัวรัชกาลที่ 1 เห็นว่าไม่ยุติธรรม เป็นเหตุให้ต้องมีการชําระสะสางกฎหมายใหม่ จนกลายเป็นกฎหมายตราสามดวงในเวลาต่อมา

ในยุคปัจจุบัน แนวคิดในเรื่องความยุติธรรมเป็นหลักอุดมคติเหนือกฎหมายนี้ก็ยังปรากฏจาก บุคคลสําคัญของไทย เช่น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีแนวพระราชดําริต่อความยุติธรรมว่ามีสถานภาพ สูงกว่าหรือเป็นสิ่งที่เหนือกฎหมาย ใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า “โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความ “ยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสําคัญยิ่งกว่ายุติธรรม หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใด ๆ โดยคํานึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้นดูจะ ไม่เป็นการเพียงพอ จําต้องคํานึงถึงความยุติธรรมเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมาย และได้ผลที่ควรจะได้”

ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ ปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายแนะนําไว้ในหนังสือหลักวิชาชีพกฎหมายของท่าน ไว้ว่า “การที่มีคําใช้อยู่ 2 คํา คือ “กฎหมาย” คําหนึ่ง “ความยุติธรรม” คําหนึ่ง ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าหาใช่สิ่ง เดียวกันเสมอไปไม่ การที่นักกฎหมายจะยึดถือแต่กฎหมาย ไม่คํานึงถึงความยุติธรรมตามความหมายทั่วไปนั้น เป็นความเห็นความเข้าใจแคบกว่าที่ควรจะเป็น”

 

ข้อ 3. จงอธิบายหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย

ธงคําตอบ

หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยนี้เป็นหลักบรรทัดฐานทางกฎหมายของพระธรรมศาสตร์ ที่สรุปอนุมานขึ้นมาจากเนื้อหาสาระสําคัญของพระธรรมศาสตร์ โดยอาจเรียกเป็นหลักบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย 4 ประการในพระธรรมศาสตร์ หรือหลักกฎหมายทั่วไป 4 ประการในพระธรรมศาสตร์ หรือหลักกฎหมายธรรมชาติ 4 ประการในพระธรรมศาสตร์ก็ได้สุดแท้แต่จะเรียก ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1 กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคําสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอําเภอใจ

2 กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม

3 จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร

4 การใช้อํานาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ (หรือผู้ปกครอง) ต้องกระทําบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม

หลักทศพิธราชธรรม คือ หลักธรรมอันสําคัญยิ่งสําหรับกษัตริย์หรือผู้ปกครอง 10 ประการ ดังนี้

1 ทาน คือ การสละวัสดุสิ่งของและให้วิชาความรู้เพื่อเกื้อกูลผู้อื่นและให้ประการอื่น ๆเช่น กําลังกาย กําลังความคิด ตลอดจนคําแนะนําที่รวมแล้วเรียกว่า ธรรมทาน

2 ศีล คือ การควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจ ให้เป็นปกติเรียบร้อย

3 ปริจจาคะ คือ การเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม

4 อาชชวะ คือ ความซื่อตรง

5 มัททวะ คือ ความสุภาพอ่อนโยน

6 ตบะ คือ ความเพียรพยายามในหน้าที่การงานจนกว่าจะสําเร็จโดยไม่ลดละ

7 อักโกธะ คือ ความไม่แสดงความเกรี้ยวกราดโกรธแค้นต่อใคร

8 อวิหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้ได้ทุกข์เดือดร้อน

9 ขันติ คือ ความอดทนต่อความยากลําบาก ทั้งที่เนื่องจากวัตถุธรรมและนามธรรม

10 อวิโรธนะ คือ ความไม่ประพฤติปฏิบัติผิดไปจากทํานองคลองธรรม

หลักธรรมทั้ง 10 ประการนี้ อาจกล่าวว่าเป็นหลักธรรมทางกฎหมายในแง่พื้นฐานของการใช้ อํานาจทางกฎหมาย ถึงแม้โดยเนื้อหา ทศพิธราชธรรมจะมีลักษณะเป็นจริยธรรมส่วนตัวของผู้ปกครองก็ตาม เพราะหากเมื่อจริยธรรมนี้เป็นสิ่งที่ถือว่าควรอยู่เบื้องหลังกํากับการใช้อํานาจรัฐ โดยบทบาทหน้าที่ของธรรมะแล้ว บทบาทดังกล่าวย่อมอยู่เบื้องหลังการใช้อํานาจทางกฎหมาย ไม่ว่าจะในรูปของการนิติบัญญัติหรือการบังคับใช้ กฎหมายด้วยเช่นกัน มองที่จุดนี้ ทศพิธราชธรรมย่อมดํารงอยู่ในฐานะหลักธรรมสําคัญในปรัชญากฎหมายของไทยอีกฐานะหนึ่งด้วย

เกี่ยวกับหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยนี้ ก็คงจัดได้ว่าเป็นหัวใจสําคัญของปรัชญา กฎหมายในพระธรรมศาสตร์ อันเทียบได้กับกฎหมายธรรมชาติของตะวันตกและสามารถเรียกได้ว่าเป็นประหนึ่ง หลักนิติธรรม ในอุดมการณ์ทางกฎหมายของสังคมไทยโบราณภายใต้ปรัชญาแบบพุทธธรรมนิยม หลัก 4 ประการนี้ ย่อมจัดเป็นรูปธรรมอันเด่นชัดที่สะท้อนความคิด รากเหง้าแห่งปรัชญากฎหมายไทย

หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย เป็นปรัชญากฎหมายที่มีอิทธิพลความสําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เป็นเพียงปรัชญากฎหมายที่จํากัดอิทธิพลหรือจํากัดวงแห่งการรับรู้ เฉพาะกลุ่มนักคิด หรือสํานักคิดทางปรัชญากฎหมายหนึ่งเท่านั้น แม้การยึดถือหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญา กฎหมายไทยจะปรากฎมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเรื่อยมาก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ การยึดถือดังกล่าวจะเป็นไปอย่าง จริงจังเพียงใดก็คงเป็นอีกเรื่องเช่นกัน เพราะแม้ในทางทฤษฎีหรือปรัชญากฎหมายไทยจะกําหนดให้พระมหากษัตริย์ ต้อง “คํานึงตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์” ทุกคราวที่ตรากฎหมายก็ตาม แต่หากในทางปฏิบัติเกิดมีพระมหากษัตริย์ ที่ไม่ทรงสนพระทัยต่อคัมภีร์ดังกล่าว หรือกระทั่งตรากฎหมายโดยขัดแย้งกับคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ผลลัพธ์จะ ถือเป็นอย่างไร จะถือเป็นโมฆะหรือไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งจะถือว่ากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมไม่ถือเป็นกฎหมาย หรือไม่ เพราะในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงตรากฎหมายหรือราชศาสตร์โดยไม่คํานึงถึงพระธรรมศาสตร์หรือ กระทั่งขัดแย้งกับ “หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย” ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่ในทางปฏิบัติจะมีการดึงดัน ให้กฎหมายนั้นยังคงมีสภาพเป็นกฎหมายอยู่ แต่ก็ย่อมมีผู้ถือว่ากฎหมายนี้ไม่เป็นธรรมหรือเป็นกฎหมายที่เลวอยู่ บ้างอย่างเงียบ ๆ และคาดเดาไปว่าจะเป็นกฎหมายที่อยู่ไม่ได้นาน ทั้งไม่สมควรเป็นเรื่องที่ควรเคารพเชื่อฟัง หากแต่ในทางปฏิบัติคงหาคนที่จะกล้าออกมาคัดค้านกฎหมายหรือดื้อแพ่งกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมนี้แบบเผชิญหน้า โดยตรงไม่ได้ เพราะพระราชอํานาจของกษัตริย์ที่เป็นเทวราชาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครออกมาท้าทายอาจถูก ประหารชีวิตได้ง่าย ๆ

สรุป

การยึดมั่นในหลักจตุรธรรมทางปรัชญากฎหมายของพระมหากษัตริย์ จึงดูเป็นเรื่อง ศีลธรรมหรือคุณธรรมส่วนตัวของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์มากกว่าสิ่งอื่น โดยมีปัจจัยด้านความมั่นคงใน การใช้อํานาจของพระองค์เป็นตัวกําหนดภายนอก ทํานองเดียวกับที่ ร.แลงกาต์ เคยสรุปไว้ว่า ถ้าราชวงศ์ใดมั่นคง แข็งแกร่ง การพิสูจน์พระบรมราชโองการว่าสอดคล้องกับบทบัญญัติในพระธรรมศาสตร์หรือไม่ก็จะทําพอเป็นพิธี เท่านั้น ในทางปฏิบัติ เจตจํานงหรือความประสงค์ขององค์พระมหากษัตริย์ที่มีต่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินดูจะเป็นกฎหมาย หรือแหล่งที่มาอันสําคัญของกฎหมายเหนือสิ่งอื่นใด กฎหมายตามสภาพที่เป็นจริงจึงกลายเป็นภาพสะท้อนแห่ง เจตจํานงขององค์รัฐาธิปัตย์หรือพระมหากษัตริย์ที่มีต่อผู้อยู่ใต้อํานาจปกครอง แน่นอนว่าสิ่งที่พบก็คือช่องว่าง ระหว่างอุดมคติทางกฎหมายกับความเป็นจริง

LAW4007 นิติปรัชญา 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ (Natural Law) ในอดีตมีแนวคิดอันเป็นมูลฐานต่อการเกิดและพัฒนาการของแนวคิดทางกฎหมายอย่างไรบ้าง และให้นักศึกษาพิจารณาว่าแนวคิดปรัชญากฎหมาย ธรรมชาติร่วมสมัยมีสวนสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอุดมคติทางกฎหมายในอดีตหรือไม่ เพราะเหตุใด ให้อธิบาย

ธงคําตอบ

– ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ปรากฏตัวขึ้นในลักษณะที่เป็นการแสดงออกซึ่งความบันดาลใจ ของมนุษย์ ที่มุ่งมั่นจะค้นหาหลักการอันสูงส่งซึ่งเป็นกฎหมายอุดมคติที่จะคอยกํากับกฎหมายลายลักษณ์อักษร ของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นอภิปรัชญา หรือที่เรียกว่า กฎหมายธรรมชาติ นั่นเอง

ซึ่งแนวคิดตามหลักกฎหมายธรรมชาตินั้น เชื่อว่า มีกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ที่แน่นอนอยู่ อันเป็นกฎเกณฑ์ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ หรือเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาซึ่งจะมุ่งเน้นในเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม และความยุติธรรมภายในกฎหมาย ดังนั้น รัฐจึงควรที่จะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการ ของกฎหมายธรรมชาติ

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติตามความหมายในทางทฤษฎีจะแบ่งออกเป็น 2 นัย ได้แก่

ทฤษฎีแรก เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคโบราณจนถึงยุคกลาง ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมายอุดมคติที่มีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเอง ดังนั้น กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นแล้วขัดหรือแย้งต่อกฎหมายธรรมชาติย่อมไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมาย

ทฤษฎีที่สอง เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบัน ถือว่าหลักกฎหมายธรรมชาติเป็น เพียงอุดมคติของกฎหมายที่จะบัญญัติขึ้น ดังนั้นการบัญญัติหรือตรากฎหมายจึงควรให้สอดคล้องกับหลัก กฎหมายธรรมชาติ กฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับหลักกฎหมายธรรมชาติอาจถือว่าเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมาย โดยสมบูรณ์ แต่ไม่ถึงกับเป็นโมฆะหรือไม่มีค่าบังคับทางกฎหมายเสียเลย ผลงใจ พัฒนาการของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 5 ยุค ได้แก่

1 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณและโรมัน

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณและโรมันอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อน คริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 โดยประมาณ ซึ่งว่ากันว่ากฎหมายธรรมชาตินี้พบเป็นเรื่องเป็นราวจากเฮราคลิส นักปรัชญาชาวกรีกที่มีอายุในช่วง 540 – 480 ปีก่อนคริสตกาล โดยเขาไปค้นหาสัจจะเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยเฉพาะ ความจริงเกี่ยวกับแก่นสารของชีวิตและสิ่งที่เขาค้นพบและสรุปออกมาคือ ธรรมชาติคือความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง แก่นสารของชีวิตคือธรรมชาติและแก่นสารของชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยจุดหมายปลายทาง ระเบียบและเหตุผลอันแน่นอนซึ่งไม่อาจผันแปรได้

2 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคมืดและยุคกลาง

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคมืดอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 – 12 โดยประมาณ ส่วนยุคกลางอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 – 16 โดยประมาณ ในยุคนี้กฎหมายธรรมชาติถูกปรับเปลี่ยนให้เป็น แบบคริสเตียน (คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติก็เปลี่ยนไปอิงอยู่กับคําสอนทางศาสนา หรือบัญชาของพระเจ้า เนื่องจากเป็นยุคที่ฝ่ายศาสนจักรขึ้นมามีอํานาจเหนือฝ่ายอาณาจักร โดยยืนยันได้จาก ความคิดของเซนต์ ออกัสติน ที่ว่า “กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามกฎศาสนาเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับไม่ได้”

3 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นฟูและยุคปฏิรูป

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นฟูอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 16 โดยประมาณ ส่วนยุคปฏิรูปอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยประมาณ ยุคนี้สถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนไป ฝ่ายอาณาจักรขึ้นมา มีอํานาจและสลัดตัวออกจากศาสนจักรได้สําเร็จ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเองก็สามารถสลัดตัวออกจากคริสต์ ศาสนาเช่นกัน รูปแบบความคิดก็กลับไปเป็นแบบเหตุผลนิยม คล้าย ๆ กับปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณ

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคนี้มีการพัฒนาเรื่องสิทธิธรรมชาติของมนุษย์โดยการเพิ่ม บทบาทความคิดแบบปัจเจกชนนิยมมากขึ้นในตัว โดยผ่านนักคิดหลาย ๆ คนในยุคนี้ เช่น พูเฟนดอร์ฟ, โทมัส ฮอบส์, สปินโนซ่า, จอห์น ลอค, มองเตสกิเออ, รุสโซ, วูล์ฟ เป็นต้น ซึ่งผลโดยรวมที่ได้ก็คืออิทธิพลโดยผ่านนักคิดเหล่านี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้นําไปสู่การเน้นเนื้อหากฎหมายที่เป็นธรรม, นําไปสู่ข้อยืนยันว่ากําลังหรืออํานาจไม่ใช่ ที่มาของกฎหมายหรือความถูกต้อง นับเป็นการเข้าไปต่อต้านเผด็จการหรือการกดขี่, สนับสนุนเรื่องความเสมอภาค ของบุคคลต่อหน้ากฎหมาย มีส่วนแก้ไขให้บทลงโทษทางอาญามีมนุษยธรรมมากขึ้น และที่สําคัญคือเป็นที่มาหรือรากฐานหรือหลักทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ยุคนี้ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นยุคแห่งเหตุผล” เนื่องจาก อิทธิพลความคิดแบบเหตุผลนิยมได้ครอบงําไปทั่วยุโรป

4 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคชาติรัฐนิยม

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้เป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่ง กฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ได้เสื่อมความนิยมลงในช่วงหนึ่งแล้วกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในตอนท้าย

เหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเสื่อมความนิยมนั้นเป็นเพราะว่า เกิดกระแสสูง ของลัทธิชาตินิยมเข้ามาบดบังลัทธิปัจเจกนิยมที่เป็นแกนกลางสําคัญของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ และเพราะความเจริญก้าวหน้าอย่างมากทางวิทยาศาสตร์และวิธีคิดเชิงประจักษ์วาทแบบวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานทําให้เกิด ลัทธิอรรถประโยชน์และทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ซึ่งมีแนวคิดตรงข้ามกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ซึ่งได้รับ ความนิยมอย่างมากจนปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้ถูกผลักไสให้เป็นเรื่องของศาสนาหรือศีลธรรมมากกว่าจะเป็น กฎหมายอันแท้จริงของรัฐ

ส่วนสาเหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้รับความนิยมและได้รับความเชื่อถือขึ้นมา อีกครั้งในตอนท้ายนั้นเป็นเพราะว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้ ปฏิฐานนิยม ทางกฎหมายก็ถูกนําไปใช้สนับสนุนเรื่องอํานาจนิยม การใช้อํานาจโดยมิชอบ ที่สําคัญก็คือสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ก็มีที่มาจากการเอาแนวคิดปฏิฐานนิยมไปใช้อย่างผิด ๆ ดังนั้นกระแสความคิดแบบเหตุผลนิยมของกฎหมายธรรมชาติ หรือระบบคิดแบบอุดมคตินิยมจึงปรากฏความสําคัญขึ้นอีกครั้ง

5 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคปัจจุบัน (ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย) ในยุคปัจจุบันปรัชญากฎหมายธรรมชาติจะมีบทบาทอยู่ใน 2 ลักษณะ คือ

1) ในแง่ที่เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม คือ เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นเรื่องความยุติธรรมในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของกฎหมาย หรือยืนยันในความเชื่อมั่น ในเรื่องความสัมพันธ์ที่จําต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมหรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่าง ๆ

2) ในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเน้นไปที่สิทธิทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การพัฒนา สันติภาพ เป็นต้น ซึ่งหลายประเทศเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ

– ที่สําคัญคือ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยนี้จะมีลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอม มากขึ้น กล่าวคือ ไม่ยืนยันว่ากฎหมายที่ขัดกับหลักอุดมคติหรือหลักความยุติธรรมต้องตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ ตามความคิดแบบเก่า ซึ่งตรงนี้ก็ปรากฏจากความคิดของจอห์น ฟินนีส นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยที่ บอกว่า “กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมมิได้ตกเป็นโมฆะ ในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งซึ่งบุคคลไม่ต้องปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิง กฎหมายที่ ไม่ยุติธรรมเพียงแต่ขาดสิ่งซึ่งเป็นอํานาจผูกมัดทางมโนธรรม” ซึ่งกฎหมายทั่วไปมีอยู่ตามปกติ หน้าที่ทางศีลธรรม ที่ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงอาจจําต้องมีอยู่หากว่าการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จะนํามาซึ่ง ความอ่อนแอ ไร้เสถียรภาพในระบบกฎหมายซึ่งมีความเป็นธรรมเสียส่วนมาก

เมื่อพิจารณาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของปรัชญากฎหมายธรรมชาติทั้ง 5 ยุค จะเห็นได้ว่ายุคโบราณนักปราชญ์พยายามค้นหาแก่นแท้ของกฎหมาย ซึ่งพอสรุปได้ว่า กฎหมายเป็นเหตุผลตาม ธรรมชาติ จนกระทั่งยุคต่อมาที่ศาสนาคริสต์รุ่งเรือง หลักคิดของกฎหมายจึงอยู่ที่ความเป็นเอกภาพของโลกและ จักรวาลกับหลักกฎหมายเป็นสิ่งสูงสุด ซึ่งถือว่ากฎหมายเป็นเสมือนโองการของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งภายหลังก่อให้เกิด ข้อกังขาถึงการพิสูจน์ความเป็นกฎหมายที่แท้จริง ทําให้ปรัชญากฎหมายอื่นขึ้นมามีบทบาทสําคัญแทนที่ปรัชญา กฎหมายธรรมชาติ จนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่เป็นแนวคิดปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยที่มีแนวคิดในการให้ ความสําคัญกับวัตถุประสงค์ของกฎหมายและพฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ให้ความสําคัญกับศีลธรรม และสิทธิมนุษยชน

จากการที่ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในอดีตมีส่วนที่ทําให้เห็นถึงการมองกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในฐานะ ที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคม ที่มีการปกครองโดยผู้ปกครองอาศัยอํานาจภายใต้การปกครองของตน สิ่งที่ประชาชน แสวงหาคือความเป็นธรรมและความยุติธรรม กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กําหนดขึ้นในสังคมควรกําหนดโดยมีพื้นฐานจาก อํานาจหรือเหตุผลของมนุษย์ที่ถือเป็นธรรมชาติที่มนุษย์มีอยู่และสามารถเข้าใจได้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติจึงเป็น อุดมคติในทางกฎหมายที่เป็นมูลฐานสําคัญจากแนวคิดนักกฎหมายในยุคกรีกเป็นต้นมาจนมีพัฒนาการถึง 5 ยุค ในแต่ละยุคก็มีลักษณะที่ทําให้เห็นถึงแนวคิดทางกฎหมายที่นําไปกําหนดสร้างกฎหมายในการปกครองบ้านเมือง ในยุคสมัยนั้น ๆ และจากพัฒนาการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดแนวคิดทางกฎหมายที่สําคัญและมีบทบาทต่อการกําหนด สร้างกฎหมายในบ้านเมืองต่าง ๆ ต่อมา

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยเป็นแนวคิดกฎหมายธรรมชาติที่มีการพัฒนาแนวคิดทาง กฎหมายที่มีลักษณะบางประการที่แตกต่างจากปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกและโรมัน คือมีเนื้อหาและ หลักการที่มีความเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกับวิธีคิดร่วมสมัยมากขึ้น โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการเข้าสู่แนวคิดแบบชุมชนนิยมที่มีลักษณะก้าวหน้า แต่ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย ยังคงลักษณะที่เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรมและทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันในระดับหนึ่ง โดยแนวคิดปรัชญากฎหมายธรรมชาติให้ความสําคัญกับ สิทธิมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะสิทธิมนุษยชนในปัจจุบันที่หลายประเทศให้ความสําคัญ และกําหนด อยู่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในด้านอุดมคติเชิงจริยธรรม แสดงออกที่ความคิดและความเชื่อถือเรื่องอุดมคติที่อยู่เหนือ กฎหมายของรัฐ หรือกฎหมายของรัฐควรบัญญัติให้สอดคล้องทั้งในด้านคุณธรรมและความยุติธรรมในฐานะที่เป็น จุดหมายปลายทางแห่งกฎหมาย ความสัมพันธ์กับกฎหมายและความยุติธรรม ความเป็นอุดมคติที่มีความแน่นอนเป็น สากล ใช้ได้ทุกสถานที่ ซึ่งสอดคล้องกับวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ เป็นกฎหมายธรรมชาติในเชิงปฏิบัติ และมีลักษณะของ ความผ่อนปรน ประนีประนอมมากขึ้นกว่ากฎหมายธรรมชาติอันมีลักษณะอุดมคติแบบเก่าในอดีต

 

ข้อ 2. ทฤษฎีทางกฎหมายของสํานักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (Sociological School of Law) มีที่มาอย่างไร

และให้นักศึกษาอธิบายว่าที่มาดังกล่าวมีส่วนสําคัญต่อการกําหนดกฎหมายของสํานักคิดนี้อย่างไร และให้นักศึกษาเปรียบเทียบเชิงวิเคราะห์ระหว่างทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (Sociological School of Law) กับแนวคิดสัจนิยมทางกฎหมาย (Legal Realism) ในส่วนของความแตกต่างกันเชิงแนวคิดทางกฎหมาย

ธงคําตอบ

ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (Sociological Jurisprudence) หมายถึง การนําเอาสังคมวิทยา ไปใช้ในทางนิติศาสตร์ (นิติปรัชญา) เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้ก็จะนําไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่นเอง เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของตะวันตก มีที่มาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในยุโรป ซึ่งความก้าวหน้าของสังคมและเศรษฐกิจในช่วงนั้นได้ก่อให้เกิดปัญหาสังคมโดยเฉพาะจากกลุ่มนายทุนและ ผู้ใช้แรงงาน มีการเอารัดเอาเปรียบ การกดขี่ข่มเหง จึงทําให้เกิดแนวคิดนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาขึ้น โดยมีหลักการ คือ การนํากฎหมายมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม โดยเฉพาะการสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของ สังคมส่วนรวมหรืออรรถประโยชน์ของสังคม และเป็นเครื่องมือสําหรับคานผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคมให้เกิด ความสมดุล

จากที่มาดังกล่าวมีส่วนสําคัญต่อการกําหนดกฎหมาย โดยมีบุคคลสําคัญที่มีอิทธิพลต่อแนวคิด นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาคือ รูดอล์ฟ ฟอน เยียริ่ง และรอสโค พาวด์ โดยเยียริ่งเน้นความสําคัญของวัตถุประสงค์ โดยถือว่าวัตถุประสงค์เป็นผู้สร้างกฎหมายทั้งหมด ไม่มีกฎเกณฑ์ทางกฎหมายใด ๆ ที่ไม่มีวัตถุประสงค์ กฎหมาย เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการกระทําของมนุษย์ ต้นเหตุสําคัญของกฎหมายอยู่ที่การเป็นเครื่องมือเพื่อตอบสนอง ความต้องการของสังคม วัตถุประสงค์ของกฎหมายอยู่ที่การปกป้องหรือขยายการปกป้องผลประโยชน์ของสังคม เยียริ่งแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น 3 ประเภทคือ

– ผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคล

– ผลประโยชน์ของรัฐ

– ผลประโยชน์ของสังคม

บทบาทของกฎหมายในแนวของเยียริง จึงเป็นเรื่องของบทบาททางสังคมของกฎหมายใน การสร้างความสมดุลหรือการจัดลําดับขั้นของความสําคัญระหว่างผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลกับผลประโยชน์ ของสังคม

ในส่วนของรอสโค พาวด์ แนวความคิดทางกฎหมายเกิดขึ้นในช่วงของสังคมอเมริกันที่มี ความเปลี่ยนแปลงจึงตระหนักต่อปัญหาบทบาทของกฎหมายในสังคม และรับอิทธิพลทางความคิดของเยียริ่งที่ เน้นบทบาทหน้าที่ของกฎหมาย และเห็นว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือสําหรับคานผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อให้เกิดความสมดุล เขาอธิบายถึงวิธีการคานผลประโยชน์ด้วยการสร้างกลไกต่าง ๆ ซึ่งการคานผลประโยชน์ ในสังคมให้เกิดความสมดุลเหมือนการก่อสร้างหรือวิศวกรรมสังคม ซึ่งต่อมาเรียกว่า ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม พาวด์ แบ่งผลประโยชน์ออกเป็น 3 ประเภท คล้ายกับเยียริ่ง ได้แก่

– ผลประโยชน์ของปัจเจกชน

– ผลประโยชน์ของมหาชน

– ผลประโยชน์ของสังคม

วิธีการของการนํากฎหมายมาใช้ พาวด์มอบให้เป็นหน้าที่ของนักกฎหมายที่เกิดจากทฤษฎี วิศวกรรมทางสังคมของพาวด์ โดยเน้นภารกิจของนักกฎหมายในการจัดระบบผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้สมดุลโดย กลไกทางกฎหมายคล้ายกับการเป็นนักวิศวกรรมสังคมที่มุ่งสร้างโครงสร้างสังคมใหม่อันมีประสิทธิภาพในการ ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างสูงสุดโดยให้เกิดการร้าวฉานหรือสูญเสียน้อยที่สุด

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยากับแนวคิดสัจนิยม ทางกฎหมายในส่วนของแนวคิดสัจนิยมทางกฎหมาย โดยเฉพาะแนวคิดสัจนิยมอเมริกัน มีแนวคิดในการ พิจารณากฎหมายในมุมมองของความเป็นจริงของกฎหมาย โดยเฉพาะลักษณะของกฎหมายที่ไม่ตายตัว ไม่อาจ คาดคะเนได้ รวมถึงความบกพร่องในตรรกวิธี ความกํากวมในภาษาของกฎหมาย การใช้วิธีวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และปัญหาต่อกฎหมายและการใช้ดุลพินิจของศาล

ในภาพรวมของแนวคิดสัจนิยมจึงให้ความสําคัญต่อคําพิพากษาของศาล จากจุดยืนของนัก กฎหมายในแนวสัจนิยมอเมริกัน จึงมองว่ากฎหมายคือ สิ่งที่เป็นรูปธรรมจากการใช้ การตีความให้เกิดขึ้นตาม ความเป็นจริงโดยผู้พิพากษา

หากเปรียบเทียบแนวความคิดของสองสํานักคิดนี้มีความแตกต่างกัน โดยแนวคิดนิติศาสตร์ เชิงสังคมวิทยามองปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมและใช้วิธีการทางสังคมวิทยาเพื่อสร้างและกําหนดกฎหมายที่ เหมาะสมเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาโดยมีวัตถุประสงค์เป็นที่มาของกฎหมาย แต่แนวคิดสัจนิยมทางกฎหมายมี ปัญหาต่อกฎหมายและแสวงหากฎหมายในความเป็นจริง ซึ่งสัจนิยมมองว่าตัวบทกฎหมายยังไม่ใช่กฎหมายที่ แท้จริง กฎหมายที่แท้จริงต้องผ่านกระบวนการในการใช้ การตีความ หรือถูกนําไปใช้ในทางปฏิบัติผ่านศาลหรือ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายตามมุมมองของนักสัจนิยมแต่ละคน

 

ข้อ 3. ปรัชญากฎหมายไทยในอดีตนั้นมีความสัมพันธ์กับหลักความเชื่อทางศาสนาหรือไม่ อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบมาให้เข้าใจ

ธงคําตอบ

ปรัชญากฎหมายไทยในอดีตจะมีความสัมพันธ์กับหลักความเชื่อทางศาสนาเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะลักษณะที่สําคัญของปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมนั้นจะตั้งอยู่บนกระแสความคิดพื้นฐานในลักษณะธรรมนิยม หลักการคือกฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม ซึ่งตั้งอยู่บนหลักพุทธธรรม พระธรรมศาสตร์ ทศพิธราชธรรม รวมทั้งหลักจตุรธรรมแห่งกฎหมายไทย อันเป็นธรรมนิยมแบบพุทธ ขณะเดียวกันก็ถูกทับซ้อนด้วย ความคิดอํานาจนิยมที่ผูกติดกับอิทธิพลความคิดฝ่ายพราหมณ์หรือฮินดู หลักเทวราช และความเป็นจริยธรรม การเมืองแทนสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผสมผสานหรือคู่ขนานกลมกลืนกันไป ธรรมนิยมแบบพุทธจะเป็นกระแสหลัก ในสมัยสุโขทัย เห็นได้จากมีการแปลความธรรมะออกมาเป็นกฎหมายหรือคําสั่งของพ่อขุนรามคําแหง ส่วนธรรมนิยม แบบพราหมณ์หรือแบบฮินดูก็มีอิทธิพลอย่างมากในสมัยอยุธยา

และเมื่อมีการปฏิรูปสังคมไทยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 – 4) ปรัชญา กฎหมายไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดที่สําคัญ กล่าวคือ กฎหมายยังถือว่ายึดถือแนวคิดแบบธรรมนิยม แต่จะ เน้นการอธิบายหลักธรรมหรือพฤติกรรมในแง่ของความมีเหตุผล หรือการหาคําตอบจากความคิดดั้งเดิม ไม่ยึดถือ เพียงแนวคิดในเชิงไสยศาสตร์งมงายที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าปรัชญากฎหมายไทยในอดีตนั้นมีความสัมพันธ์กับหลักความเชื่อทาง ศาสนา คือการที่ปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมนั้นจะตั้งอยู่บนแนวคิดแบบธรรมนิยม ซึ่งมีปรากฏอยู่ในหลักจตุรธรรม แห่งปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม ซึ่งมีสาระสําคัญ 4 ประการ คือ

1 กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคําสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอําเภอใจ

2 กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม

3 จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร

4 การใช้อํานาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ต้องกระทําบนพื้นฐานของหลัก ทศพิธราชธรรม

เหตุที่ทําให้มีการสรุปยืนยันว่าปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมยึดถือเอาธรรมเป็นใหญ่ในการ ปกครองบ้านเมือง และสนับสนุนให้มีการยับยั้งหรือทัดทานการใช้พระราชอํานาจที่ไม่เป็นธรรมของพระมหากษัตริย์ ก็เพราะว่านอกจากกฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรมแล้ว พระมหากษัตริย์ยังต้องตั้งอยู่ใน ทศพิธราชธรรมอันมีค่าเป็นธรรมะ 10 ประการ ที่ทําหน้าที่ควบคุมการใช้พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ด้วย

LAW4007 นิติปรัชญา 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคโบราณและยุคปัจจุบันมีจุดร่วม และ/หรือจุดแตกต่างกันอย่างไร และในทัศนะของนักศึกษา สังคมไทยปัจจุบันควรยึดถือหลักคุณค่าแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 3 ระดับ ในปรัชญากฎหมายธรรมชาติสมัยใหม่หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

– ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ปรากฏตัวขึ้นในลักษณะที่เป็นการแสดงออกซึ่งความบันดาลใจ ของมนุษย์ ที่มุ่งมั่นจะค้นหาหลักการอันสูงส่งซึ่งเป็นกฎหมายอุดมคติที่จะคอยกํากับกฎหมายลายลักษณ์อักษร ของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นอภิปรัชญา หรือที่เรียกว่า กฎหมายธรรมชาติ นั่นเอง

ซึ่งแนวคิดตามหลักกฎหมายธรรมชาตินั้น เชื่อว่า มีกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ที่แน่นอนอยู่ อันเป็นกฎเกณฑ์ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ หรือเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาซึ่งจะมุ่งเน้นในเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม และความยุติธรรมภายในกฎหมาย ดังนั้น รัฐจึงควรที่จะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการ ของกฎหมายธรรมชาติ

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติตามความหมายในทางทฤษฎีจะแบ่งออกเป็น 2 นัย ได้แก่

ทฤษฎีแรก เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคโบราณจนถึงยุคกลาง ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมายอุดมคติที่มีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเอง ดังนั้น กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นแล้วขัดหรือแย้งต่อกฎหมายธรรมชาติย่อมไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมาย

ทฤษฎีที่สอง เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบัน ถือว่าหลักกฎหมายธรรมชาติเป็น เพียงอุดมคติของกฎหมายที่จะบัญญัติขึ้น ดังนั้นการบัญญัติหรือตรากฎหมายจึงควรให้สอดคล้องกับหลัก กฎหมายธรรมชาติ กฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับหลักกฎหมายธรรมชาติอาจถือว่าเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทาง กฎหมายโดยสมบูรณ์ แต่ไม่ถึงกับเป็นโมฆะหรือไม่มีค่าบังคับทางกฎหมายเสียเลย

จากความหมายของปรัชญากฎหมายธรรมชาติทั้ง 2 ทฤษฎีดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคโบราณและยุคปัจจุบันต่างก็ยึดมั่นในแนวคิดทางกฎหมายแบบศีลธรรมนิยม เพียงแต่ปรัชญากฎหมายยุคโบราณจะมีลักษณะอภิปรัชญาสูงและเคร่งครัดในหลักกฎหมายธรรมชาติที่กฎหมาย ของมนุษย์ไม่อาจขัดแย้งได้ ซึ่งต่างจากปรัชญากฎหมายยุคปัจจุบันที่มีลักษณะผ่อนปรนประนีประนอมมากขึ้น มี ความหลากหลายในคําอธิบายมากขึ้น ตลอดจนมีจุดเด่นในการเน้นศีลธรรมทางกฎหมายในลักษณะการเคารพ ต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชน

สําหรับหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 3 ระดับในปรัชญากฎหมายธรรมชาติสมัยใหม่ที่ประกอบด้วย ศักดิ์ศรีในระดับเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทั้งหมด ระดับกลุ่มบุคคล และในระดับปัจเจกบุคคลนั้น สังคมไทยปัจจุบันควร ยึดถือหลักคุณค่าแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้ง 3 ระดับ มิใช่ยึดถือหรือเลือกปฏิบัติต่อระดับใดระดับหนึ่งเป็นการเฉพาะ เช่น การนําหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในระดับเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทั้งหมดมาใช้เป็นฐานของกฎหมายใน การบัญญัติกฎหมาย การออกกฎหมายเพื่อยืนยันต่อสิทธิที่จะได้รับการเคารพต่อการดํารงอยู่หรือวิถีชีวิตของมนุษย์ ระดับที่ 2 เช่น การออกกฎหมายต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ เป็นต้น และการออกกฎหมาย ที่กําหนดให้ชดเชยความเสียหายแก่บุคคล หรือการกําหนดสิทธิของบุคคลต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการเคารพต่อศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ของปัจเจกบุคคล

ซึ่งในสังคมไทยปัจจุบันนั้น ในการจัดทํารัฐธรรมนูญนั้น ก็มักจะมีบทบัญญัติที่เป็นหลักการ พื้นฐานในการยึดถือและคุ้มครองหลักคุณค่าแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้ง 3 ระดับ เช่น บัญญัติว่า “ศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ สิทธิ์ และเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับการคุ้มครอง” “การใช้อํานาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคํานึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” เป็นต้น

 

ข้อ 2. แนวความคิดสําคัญทางนิติปรัชญาของสัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน (American Legal Realism) มีคุณูปการต่อการพัฒนาหรือตรวจสอบการใช้อํานาจตุลาการในสังคมไทยหรือไม่ อย่างไร และท่ามกลางกระแสเร่งเร้าให้ใช้การลงโทษประหารชีวิตต่อความผิดร้ายแรงอย่างจริงจัง อาทิ การทุจริต คอร์รัปชัน หรือการข่มขืนกระทําชําเรา นักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใดต่อหลักการ/เหตุผล เบื้องหลังการคัดค้านเรื่องการลงโทษประหารชีวิตของนักสัจนิยมทางกฎหมายบางท่าน (J. Frank)

ธงคําตอบ

– แนวความคิดสําคัญทางนิติปรัชญาของสัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน (American Legal Realism) นั้น มีที่มาจากงานความคิดของ โอลิเวอร์ เวนเดลล์ โฮล์มส์ (Oliver Vendel Holmes) ผู้ดํารงตําแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดนับแต่ปี ค.ศ. 1902

โฮล์มส์ ไม่เชื่อว่าผู้พิพากษาจะสามารถตัดสินคดีตามใจชอบ โดยมองจากประสบการณ์ การทํางานของตน ซึ่งไม่อาจปรุงแต่งกฎหมายให้เป็นอย่างไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ เป้าหมายสําคัญที่โฮล์มส์ วิพากษ์วิจารณ์คือ ความคิดที่เชื่อว่าบทบัญญัติทั้งหมดในกฎหมายล้วนมีเหตุผลอันชอบธรรม

โฮล์มส์ เชื่อว่า กฎหมายจํานวนมากถูกเขียนขึ้นบนบริบททางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งถูก เปลี่ยนแปลงไปแล้วในภายหลัง ดังนี้แล้วจึงสมควรให้มีการตรวจสอบทบทวนอย่างสม่ำเสมอต่อวัตถุประสงค์ของ กฎหมายว่ายังมีความเหมาะสมดีอยู่หรือไม่ภายใต้เงื่อนไขของสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะนี้จึงไม่มีกรณีใด ๆ ซึ่งสมควรกล่าวอ้าง (ตามกระบวนการอนุมานความคิด) กฎหมายว่าเป็นเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะแน่นอน หากว่าในทางปฏิบัติ ศาลแสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่แท้จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และจากความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมาย กับความเป็นจริงของสังคมดังนี้เองที่ทําให้เห็นว่ามีเพียงผู้พิพากษา (หรือทนายความ) ซึ่งเข้าใจดีถึงบริบททาง ประวัติศาสตร์, สังคม และเศรษฐกิจเท่านั้นจึงจะทําหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมต่อ บทบาทของตน

นอกเหนือจากโฮล์มส์ ก็ยังมี จอห์น ชิปแมน เกรย์ ที่ยืนยันว่ากฎหมายประกอบด้วยกฎเกณฑ์ ต่าง ๆ ซึ่งศาลยุติธรรมได้กําหนดไว้ บรรดาพระราชบัญญัติเป็นเพียงที่มาของกฎหมายดังกล่าวนี้เท่านั้น

คาร์ล ลูเวลลิน (Karl Llewellyn) ในฐานะสมาชิกคนสําคัญอีกท่านหนึ่ง กล่าวในทํานองเดียวกัน ไม่ให้ไว้วางใจนักต่อ “กฎเกณฑ์ในกระดาษ” ควรเอาใจใส่ต่อพฤติกรรมหรือแบบแผนการวินิจฉัยตีความกฎหมายของ ศาลซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันตามแต่กาละและสถานที่ ตลอดจนสนใจต่อข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับคําตัดสินที่ปรากฏจริง ๆ

เยโรม แฟรงค์ (Jerome Frank) ผู้พิพากษาที่ถือว่าเขาเป็น “ผู้ที่ไม่เชื่อใจต่อข้อเท็จจริง” หมายความว่า แม้ในกรณีที่กฎเกณฑ์มีความชัดเจนง่ายดายต่อการตีความแล้วก็ตาม กฎเกณฑ์ดังกล่าวก็อาจส่งผล สะเทือนน้อยเต็มที่ในคําตัดสินของศาลระดับล่าง เฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ระบบลูกขุน เนื่องจากบุคคลดังกลาวสามารถ ยกข้อเท็จจริงใด ๆ ที่ตนพึงพอใจมาปรับเข้ากับกฎเกณฑ์ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ตามที่ตนต้องการในที่สุดได้ นอกจากนี้ เหตุปัจจัยเรื่องความสมบูรณ์หรือบกพรองของพยานหลักฐาน ความสามารถของทนายความหรือผู้พิพากษา ก็เป็นตัวกําหนดอันสําคัญต่อผลของคําพิพากษา ความลื่นไหลหรือไม่แน่นอนของข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมนับเป็น อุปสรรคในการคาดทํานายการตัดสินใจของศาล

นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1957 แฟรงค์ยังได้ร่วมเขียนงานชิ้นหนึ่งเรื่อง “ไร้ความผิด” (Not guilty) ซึ่งเป็นเรื่องการตรวจสอบความถูกต้องคดีความผิดจํานวนหนึ่ง ซึ่งบรรดาจําเลยต่างถูกตัดสินพิพากษาว่าประกอบ อาชญากรรม แต่ได้รับการตัดสินใหม่ว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ในศาลชั้นหลัง การค้นพบประจักษ์หลักฐานในความไม่แน่นอน แห่งกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของศาลและความผิดพลาดต่าง ๆ อันเกิดขึ้นได้ เหล่านี้นับเป็นเหตุผลที่ทําให้ เขาคัดค้านเรื่องการลงโทษประหารชีวิต อีกทั้งยังทําให้เขายืนยันความสําคัญของความเป็นธรรมในการพิจารณา พิพากษาคดี ซึ่งไม่อาจนําไปแลกกับประสิทธิภาพ (ความรวดเร็ว) ในทางตุลาการ

ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นจะเห็นได้ว่า สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน มีแนวความคิดสําคัญ ที่เน้นความเป็นกฎหมายในทางปฏิบัติ วิจารณ์ความไม่แน่นอนของกฎหมาย ช่องว่างของกฎหมายในตัวบทและ ความเป็นจริงในแง่การบังคับใช้ รวมทั้งวิจารณ์เบื้องหลังการใช้อํานาจของผู้พิพากษาเพื่อให้เกิดความยุติธรรมว่า เบื้องหลังคําพิพากษาไม่ใช่ตัวบทกฎหมาย หากส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้พิพากษาที่เกี่ยวโยงกับ การเมือง กฎหมายไม่อาจจะแยกออกจากการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมได้

แต่อย่างไรก็ตาม แม้แนวความคิดดังกล่าวอาจถูกวิพากษ์ในแง่ความเกินเลยในบางความคิด แต่ในระดับหนึ่งย่อมมีคุณูปการในการเป็นฐานคิดเชิงทฤษฎีรองรับการตรวจสอบและพัฒนาการใช้อํานาจตุลาการใน สังคมไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระยะหลัง ๆ จะปรากฏข้อวิจารณ์ความบกพร่องในการใช้อํานาจตุลาการมากขึ้นเรื่อย ๆ

สําหรับกระแสเร่งเร้าให้ใช้การลงโทษประหารชีวิตต่อความผิดร้ายแรงอย่างจริงจังนั้น ข้าพเจ้า ไม่เห็นด้วย ทั้งนี้เพราะแม้จะมีการลงโทษประหารชีวิตผู้กระทําความผิดร้ายแรงก็ตาม ก็มิได้หมายความว่า การกระทําความผิดร้ายแรงนั้นจะลดน้อยลง หรือจะไม่เกิดขึ้นอีก และที่สําคัญคือ ในการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามกระบวนการนั้น จะมีหลักประกันอะไรมายืนยันได้ว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ถ้าหากจําเลยคนใดได้ถูกศาล พิพากษาประหารชีวิตไปแล้ว แต่ในภายหลังได้มีการพบพยานหลักฐานใหม่ว่าจําเลยคนนั้นมิใช่ผู้กระทําความผิดแล้ว จะมีการเยียวยาอย่างไร และที่สําคัญคือจะให้ชีวิตใหม่แก่จําเลยได้หรือไม่ในเมื่อเขาถูกประหารชีวิตไปแล้ว ซึ่งลักษณะ ดังกล่าวนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในสังคมไทย อันเกิดมาจากความบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ของศาล

หมายเหตุ นักศึกษาอาจแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่ต้องแสดงความคิดเห็น โดยอาศัยความไม่แน่นอนของกฎหมาย ความบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของศาล ตาม แนวความคิดของนักสัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน

 

ข้อ 3. ปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมเชิงธรรมนิยม-อํานาจนิยม มีอิทธิพลสําคัญต่อการก่อตัวหรือพัฒนาการของวัฒนธรรมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ/ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเท่าเทียมกันในสังคมไทยสมัยใหม่ หรือไม่ เพราะเหตุใด และเหตุใดในยุคแรกเริ่มปฏิรูปสังคมไทยให้เป็นสังคมสมัยใหม่ (Modernization) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ (ร.4) จึงเกิดการปรับเปลี่ยนปรัชญากฎหมายไทยให้มีลักษณะ ธรรมนิยมบริสุทธิ์หรือธรรมนิยมเชิงมนุษยนิยม (Humanism) อันทําให้เกิดการยอมรับทางกฎหมาย ต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพิ่มมากขึ้น

ธงคําตอบ

– ปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมเชิงธรรมนิยมหรืออํานาจนิยมนั้น มิได้มีอิทธิพลสําคัญต่อการก่อตัว หรือพัฒนาการของวัฒนธรรมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเท่าเทียมกันในสังคมไทย สมัยใหม่แต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะลักษณะที่สําคัญของปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม คือ ตั้งอยู่บนกระแสความคิดพื้นฐานในลักษณะ ธรรมนิยม หลักการคือกฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม ซึ่งตั้งอยู่บนหลักพุทธธรรม พระธรรมศาสตร์ ทศพิธราชธรรม รวมทั้งหลักจตุรธรรมแห่งกฎหมายไทย อันเป็นธรรมนิยมแบบพุทธ ขณะเดียวกัน ก็ถูกทับซ้อนด้วยความคิดอํานาจนิยมที่ผูกติดกับอิทธิพลความคิดฝ่ายพราหมณ์หรือฮินดู ลัทธิเทวราช และความเป็น จริยธรรมการเมืองแทนสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผสมผสานหรือคู่ขนานกลมกลืนกันไป ธรรมนิยมแบบพุทธจะเป็น กระแสหลักในสมัยสุโขทัย เห็นได้จากมีการแปลความธรรมะออกมาเป็นกฎหมายหรือคําสั่งของพ่อขุนรามคําแหง ส่วนธรรมนิยมแบบพราหมณ์หรือแบบฮินดูก็มีอิทธิพลอย่างมากในสมัยอยุธยา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับแนวคิดแบบธรรมนิยม มีปรากฏในหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญา กฎหมายไทยดั้งเดิม ซึ่งมีสาระสําคัญ 4 ประการ คือ

1 กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคําสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอําเภอใจ

2 กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม

3 จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร

4 การใช้อํานาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ต้องกระทําบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม

เมื่อความคิดเชิงธรรมนิยมหรืออํานาจนิยมในปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม มุ่งเน้นศีลธรรม แบบดั้งเดิม และอนุรักษนิยมภายใต้โครงสร้างสังคมแบบศักดินา ซึ่งไม่มีการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์อันเท่าเทียมกัน ดังนั้น การก่อตัวหรือพัฒนาวัฒนธรรมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์อันเท่าเทียมกันในสังคมไทยสมัยใหม่ จึงไม่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม ดังกล่าวนั้นแต่อย่างใด แต่จะได้รับอิทธิพลทางความคิดจากการปฏิรูปบ้านเมืองให้เป็นสมัยใหม่แบบตะวันตก ตามแนวคิดเสรีนิยมตะวันตก โดยเริ่มมีการปฏิรูปตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ) ซึ่ง เกี่ยวพันกับเหตุปัจจัยอันซับซ้อนทั้งกระแสปฏิรูปความคิดทางพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยมและธรรมยุติกนิกาย อิทธิพลของวิทยาการตะวันตก การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนับจากการทําสัญญาเบาริงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ได้รับ พลังกดดันจากมหาอํานาจตะวันตก ตลอดจนเหตุปัจจัยทางการเมืองภายในอันเกี่ยวกับอํานาจเสนาบดีตระกูลบุนนาค

ซึ่งการก่อตัวหรือพัฒนาวัฒนธรรมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ดังกล่าว ทําให้เกิดแผนการปฏิรูปสังคมไทยให้เข้าสู่แบบวิถีสังคมสมัยใหม่แบบตะวันตก และแผนปฏิรูปสังคมนับว่าเป็น เหตุที่มาของการปฏิรูปสถาบัน และองค์กรต่าง ๆ ตามมา รวมทั้งการปฏิรูประบบราชการ การคลัง และโดยเฉพาะ การปฏิรูปกฎหมาย ทําให้ปรัชญากฎหมายไทยแบบเดิมที่อิงอยู่กับพระธรรมศาสตร์ได้เสื่อมลงอย่างมาก พร้อมกันนั้น ปรัชญากฎหมายตะวันตกก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น

 

LAW4007 นิติปรัชญา S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายธรรมชาติคืออะไร มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ 5 ยุค อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมายธรรมชาติสามารถอธิบายความหมายได้ใน 2 ลักษณะ คือ

1 ความหมายทั่ว ๆ ไป กฎหมายธรรมชาติหมายถึง กฎหมายซึ่งบุคคลบางกลุ่มอ้างว่ามีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีโครงสร้างขึ้นเป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ และใช้ได้โดยทั่วไปอย่างไม่จํากัดกาลเทศะ กฎเกณฑ์ทางกฎหมายต่าง ๆ ในอุดมคติซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้น

ซึ่งอาจค้นพบได้โดยเหตุผล กฎเกณฑ์อุดมคติที่มีขึ้นเพื่อจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างปัจเจกชนกับกลุ่ม ส่วนรวม หรือจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความเสมอภาคของทุกคน (เมื่อพิจารณาความหมายในแง่มุมทางอุดมการณ์)

2 ความหมายในทางทฤษฎี แบ่งเป็น 2 ทฤษฎี คือ

1) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคกรีกโบราณและโรมันถึงยุคกลาง (ราวศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16) ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อุดมคติที่มีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ จะไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายเลย

2) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบัน ถือว่า หลักกฎหมายธรรมชาติ เป็นเพียงอุดมคติของกฎหมายที่รัฐจะบัญญัติขึ้นเท่านั้น กล่าวคือ รัฐควรจะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับ หลักการของกฎหมายธรรมชาติ แต่ถ้าตราขึ้นโดยขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะ แต่อย่างใด เพียงแต่จะเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมายโดยสมบูรณ์เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นลักษณะที่ผ่อนปรน ประนีประนอมมากขึ้นกว่าในยุคโบราณและยุคกลาง

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 5 ยุค ดังนี้ 1 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณและโรมัน มีสาระสําคัญดังนี้

1) จุดก่อตัวและช่วงเวลา ยุคกรีกโบราณและโรมันอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อน คริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 โดยประมาณ ซึ่งว่ากันว่ากฎหมายธรรมชาตินี้พบเป็นเรื่องเป็นราวจากเฮราคลิส นักปรัชญาชาวกรีกที่มีอายุในช่วง 540 – 480 ปีก่อนคริสตกาล โดยเขาไปค้นหาสัจจะเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยเฉพาะ ความจริงเกี่ยวกับแก่นสารของชีวิตและสิ่งที่เขาค้นพบและสรุปออกมาคือ ธรรมชาติคือความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง แก่นสารของชีวิตคือธรรมชาติและแก่นสารของชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยจุดหมายปลายทาง ระเบียบและเหตุผลอันแน่นอนซึ่งไม่อาจผันแปรได้

2) การเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติ แยกอธิบายได้ดังนี้

เพลโต (427 – 347 ปีก่อนคริสตกาล) อธิบายว่า เข้าถึงได้โดยการใช้ญาณปัญญา อันบริสุทธิ์ แต่ก็มีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่เพลโตเห็นว่าจะเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้

อริสโตเติล (384 – 322 ปีก่อนคริสตกาล) ศิษย์ของเพลโตเห็นว่า กฎหมายธรรมชาตินั้นมนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยการใช้ “เหตุผลอันบริสุทธิ์” เนื่องจากอริสโตเติลพบว่าเหตุผลของมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

สํานักสโตอิค (ก่อตั้งขึ้นศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลโดยเซโน) ยืนยันตามแนวคิด ของอริสโตเติลว่า “มนุษย์เข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้โดยการใช้เหตุผล” เหตุผลที่ว่านี้ก็อยู่ในฐานะเป็นพลังทางจักรวาล ซึ่งเข้าครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งเป็นพื้นฐานของกฎหมายและความยุติธรรมด้วย

3) บทบาทความสําคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ แยกอธิบายได้ดังนี้

เพลโต ให้ความสําคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่าเป็นแบบหรือความคิดอันไม่มีวัน เปลี่ยนแปลง ที่ให้เป็นบรรทัดฐานต่อกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายใด ๆ ที่รัฐตราขึ้นต้องสอดคล้องกับแบบหรือ กฎหมายธรรมชาตินี้ มิเช่นนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นกฎหมายได้

อริสโตเติล ให้ความสําคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่า เป็นกฎหมายที่เหมาะสม ในการปกครองสังคม แต่เขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกฎหมายที่รัฐตราขึ้นขัดกับกฎหมายธรรมชาติผลจะเป็นอย่างไร

2 โสฟิสต์บางกลุ่ม อ้างกฎหมายธรรมชาติขึ้นมาต่อต้านการปกครองที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งอ้างเพื่อผลักดันให้ยกเลิกระบบอภิสิทธิ์และระบบทาส (โสฟิสต์เป็นกลุ่มนักคิด ชอบใช้วาทะในการโต้เถียง มีในสมัยศตวรรษที่ 4 – 5 ก่อนคริสตกาล)

ในชั้นของอาณาจักรโรมัน ประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนก็ถือว่า กฎหมายธรรมชาติมีส่วนในการพัฒนาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคคล ทรัพย์ หนี้ มรดกหรือลาภมิควรได้

2 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคมืดและยุคกลาง มีสาระสําคัญดังนี้

1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคมืดอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 – 12 โดยประมาณ ส่วนยุคกลางอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 – 16 โดยประมาณ ในยุคนี้กฎหมายธรรมชาติถูกปรับเปลี่ยนให้เป็น แบบคริสเตียน (คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติก็เปลี่ยนไปอิงอยู่กับคําสอนทางศาสนา หรือบัญชาของพระเจ้า เนื่องจากเป็นยุคที่ฝ่ายศาสนจักรขึ้นมามีอํานาจเหนือฝ่ายอาณาจักร โดยยืนยันได้จาก ความคิดของเซนต์ ออกัสติน ที่ว่า “กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามกฎศาสนาเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับไม่ได้”

2) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ เนื่องจากกฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้ เป็นแบบคริสเตียน จึงปรากฏงานนิพนธ์ของ เซนต์ โทมัส อไควนัส (ค.ศ. 1226 – 1274) เรื่อง “Summa Theologica” สรุปว่า “หลักธรรมหรือโองการหรือเจตจํานงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” เป็นการหักมุมแนวคิด ของอริสโตเติลที่ว่า “มนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัยเหตุผลในตัวมนุษย์เอง” กล่าวคือ อไควนัส เห็นว่าเครื่องมือในการค้นหากฎหมายธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ใน “เหตุผลของพระเจ้า” ไม่ใช่เหตุผลของมนุษย์

3) คุณค่าความสําคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรากฏในงานเขียนของอไควนัส ซึ่งเขาได้แบ่งกฎหมายออกเป็น 4 ประเภท กฎหมายธรรมชาติก็เป็นหนึ่งในนั้น อไควนัสบอกว่า กฎหมายธรรมชาติ มนุษย์สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยเหตุผลเหมือนกับอริสโตเติล แต่อไควนัสนั้นบอกว่า เหตุผลของมนุษย์เป็น คุณสมบัติธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้อีกทีหนึ่ง ไม่ใช่มีอยู่และในธรรมชาติเหมือนอริสโตเติลนําเสนอไว้

อไควนัส ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นเสมือนภาพสะท้อนอันไม่สมบูรณ์ซึ่งเหตุผล อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า แต่กฎหมายธรรมชาตินี้ก็มีความสําคัญในฐานะเป็นหลักชี้นําการกระทําต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยมีหลักธรรมพื้นฐานคือ การทําดีและละเว้นความชั่ว ซึ่งกฎหมายธรรมชาตินี้ อไควนัสถือว่ามีค่าบังคับสูงกว่า กฎหมายที่มนุษย์หรือรัฐบัญญัติขึ้น กล่าวคือ ถ้าขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติก็จะไม่ถือว่ากฎหมายนั้น เป็นกฎหมาย แต่เป็นความวิปริตของกฎหมายไป

3 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นฟูและยุคปฏิรูป มีสาระสําคัญดังนี้

1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคฟื้นฟูอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 16 โดยประมาณ ส่วนยุคปฏิรูปอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยประมาณ ยุคนี้สถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนไป ฝ่ายอาณาจักร ขึ้นมามีอํานาจและสลัดตัวออกจากศาสนจักรได้สําเร็จ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเองก็สามารถสลัดตัวออกจาก คริสต์ศาสนาเช่นกัน รูปแบบความคิดก็กลับไปเป็นแบบเหตุผลนิยม คล้าย ๆ กับที่อริสโตเติลหรือสํานักสโตอิค แห่งกรีกโบราณนําเสนอไว้

2) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ ว่าจะตราหรือบัญญัติกฎหมายอย่างไรขึ้นใช้ในสังคม ถูกนําเสนอโดยฮูโก โกรเซียส ชาวเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 1583 – 1645) มีแนวคิดว่า “เหตุผลและสติปัญญาของ มนุษย์คือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” โดยถือว่าเหตุผลและสติปัญญานี้ปรากฏอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์เอง สิ่งที่โกรเซียสยืนยันก็คือ “ธรรมชาติของมนุษย์คือมารดาของกฎหมายธรรมชาติ และซึ่งจะคงปรากฏอยู่มาตร (แม้) ว่าจะไม่มีพระเจ้าแล้วก็ตาม”

(3) ลักษณะและความสําคัญในเชิงบทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ถือว่ามีบทบาทที่สําคัญยิ่ง เริ่มที่โกรเซียสได้นําเอาหลักกฎหมายธรรมชาติ บางเรื่องไปเป็นรากฐานในการสร้างกฎหมายระหว่างประเทศ ควบคุมกิจการหรือกติกาในการทําสงครามระหว่างรัฐ จนได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาของกฎหมายระหว่างประเทศเลยทีเดียว

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคนี้มีการพัฒนาเรื่องสิทธิธรรมชาติของมนุษย์โดยการเพิ่ม บทบาทความคิดแบบปัจเจกชนนิยมมากขึ้นในตัว โดยผ่านนักคิดหลาย ๆ คนในยุคนี้ เช่น พูเฟนดอร์ฟ, โทมัส ฮอบส์, สปินโนซ่า, จอห์น ลอค, มองเตสกิเออ, รุสโซ, วูล์ฟ เป็นต้น ซึ่งผลโดยรวมที่ได้ก็คืออิทธิพลโดยผ่านนักคิดเหล่านี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้นําไปสู่การเน้นเนื้อหากฎหมายที่เป็นธรรม, นําไปสู่ข้อยืนยันว่ากําลังหรืออํานาจไม่ใช่ ที่มาของกฎหมายหรือความถูกต้อง นับเป็นการเข้าไปต่อต้านเผด็จการหรือการกดขี่, สนับสนุนเรื่องความเสมอภาค ของบุคคลต่อหน้ากฎหมาย มีส่วนแก้ไขให้บทลงโทษทางอาญามีมนุษยธรรมมากขึ้น และที่สําคัญคือเป็นที่มา หรือรากฐานหรือหลักทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ยุคนี้ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นยุคแห่งเหตุผล” เนื่องจาก อิทธิพลความคิดแบบเหตุผลนิยมได้ครอบงําไปทั่วยุโรป

4 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคชาติรัฐนิยม (ความเสื่อมและการฟื้นตัวของกฎหมายธรรมชาติ) มีสาระสําคัญดังนี้

1) ภาพโดยรวมของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ยุคนี้เป็นเหตุการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษ ที่ 18 กฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้เสื่อมความนิยมลงในช่วงหนึ่งแล้วกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในตอนท้าย

2) เหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเสื่อมความนิยมลง มีสาเหตุหลัก 2 เรื่องคือ

กระแสสูงของลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามและเข้ามาบดบังลัทธิ ปัจเจกชนนิยมที่เป็นแกนกลางสําคัญในปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

ความเจริญก้าวหน้าอย่างมากทางวิทยาศาสตร์และวิธีคิดเชิงประจักษ์วาท แบบวิทยาศาสตร์ เป็นพื้นฐานทําให้เกิดลัทธิอรรถประโยชน์และทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ซึ่งมีแนวคิดตรงข้ามกับ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้ถูกผลักไสให้เป็นเรื่องของ ศาสนาหรือศีลธรรมมากกว่าจะเป็นกฎหมายอันแท้จริงของรัฐ

3) เหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้รับการเชื่อถืออีกครั้ง สาเหตุที่ทําให้ กฎหมายธรรมชาติได้รับการนิยมขึ้นมาอีก เพราะวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้ ปฏิฐานนิยม ทางกฎหมายก็ถูกนําไปใช้สนับสนุนเรื่องอํานาจนิยม การใช้อํานาจโดยมิชอบ ที่สําคัญก็คือสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ก็มีที่มาจากการเอาแนวคิดปฏิฐานนิยมไปใช้อย่างผิด ๆ ดังนั้นกระแสความคิดแบบเหตุผลนิยมของกฎหมายธรรมชาติ หรือระบบคิดแบบอุดมคตินิยมจึงปรากฏความสําคัญขึ้นอีกครั้ง

4) บทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติภายหลังที่ฟื้นตัวแล้ว พออธิบายได้ดังนี้

สแตมม์เลอร์ ชาวเยอรมันประกาศความคิดเรื่อง “กฎหมายธรรมชาติซึ่งมี เนื้อหาอันเปลี่ยนแปลงได้ในฐานะเป็นหลักความยุติธรรม” ซึ่งสะท้อนความต้องการอันไม่แน่นอนของชนชาติหนึ่ง ในยุคสมัยหนึ่ง ๆ ขณะที่มาตรฐานแห่งความยุติธรรมเป็นการเน้นความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ระหว่างปัจเจกชน กับสังคม

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ได้ถูกนําไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในระดับ ข้อเท็จจริงและวิกฤติการณ์ทางคุณค่าด้วย โดยเฉพาะในเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กฎหมายธรรมชาติได้ เข้าไปมีบทบาทในการตัดสินคดีเพื่อลงโทษทหารนาซีเยอรมัน โดยถือว่ากฎหมายที่ขัดกับมนุษยธรรมที่นาซีบัญญัติขึ้น ไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย นอกจากนั้นการปรากฏตัวขึ้นของปฏิญญาสากลว่าด้วยมนุษยชน ค.ศ. 1948 ก็เขียนขึ้นภายใต้ อิทธิพลของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

5 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคปัจจุบัน (ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย) ในยุคปัจจุบัน ปรัชญากฎหมายธรรมชาติมีบทบาทอยู่ใน 2 ลักษณะ คือ

1) ในแง่ที่เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม คือ เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นเรื่องความยุติธรรมในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของกฎหมาย หรือยืนยันในความเชื่อมั่น ในเรื่องความสัมพันธ์ที่จําต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมหรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่าง ๆ

2) ในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเน้นไปที่สิทธิทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การพัฒนา สันติภาพ เป็นต้น ซึ่งหลายประเทศเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ

ที่สําคัญคือ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยนี้จะมีลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอม มากขึ้น กล่าวคือ ไม่ยืนยันว่ากฎหมายที่ขัดกับหลักอุดมคติหรือหลักความยุติธรรมต้องตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ ตามความคิดแบบเก่า ซึ่งตรงนี้ก็ปรากฏจากความคิดของจอห์น ฟินนีส นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยที่ บอกว่า “กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมมิได้ตกเป็นโมฆะ ในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งซึ่งบุคคลไม่ต้องปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิง กฎหมายที่ ไม่ยุติธรรมเพียงแต่ขาดสิ่งซึ่งเป็นอํานาจผูกมัดทางมโนธรรม” ซึ่งกฎหมายทั่วไปมีอยู่ตามปกติ หน้าที่ทางศีลธรรม เที่ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงอาจจําต้องมีอยู่หากว่าการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จะนํามาซึ่ง ความอ่อนแอ ไร้เสถียรภาพในระบบกฎหมายซึ่งมีความเป็นธรรมเสียส่วนมาก

 

ข้อ 2. ความยุติธรรมคืออะไร มีความสัมพันธ์กับกฎหมาย หรือไม่อย่างไร จงอธิบาย ธงคําตอบ

“ความยุติธรรม” เป็นคําหนึ่งที่ค้นหาความหมายที่เป็นรูปธรรมได้ยากพอสมควร แต่ถึงอย่างไร ราชบัณฑิตยสถาน ก็ได้ให้ความหมายไว้เป็น

1 ความเที่ยงธรรม หมายถึง การไม่เอนเอียง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

2 ความชอบธรรม หมายถึง ชอบด้วยนิตินัย หรือชอบด้วยธรรมะ

3 ความชอบด้วยเหตุผล ซึ่งแล้วแต่มุมมองของใคร สังคมใดจะเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีนักคิดทั้งหลายได้พยายามนําเสนอความหมายไว้ที่สําคัญ ๆ ได้แก่

เพลโต (Plato) ได้ให้คํานิยามของความยุติธรรมว่าหมายถึง “การทํากรรมดีหรือการทําสิ่งที่ ถูกต้อง” โดยเขามองความยุติธรรมเป็นเสมือนองค์รวมของคุณธรรม ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสําคัญที่สุดยิ่งกว่าคุณธรรม อื่นใด และโดยทั่วไปแล้วความยุติธรรมเป็นคุณธรรมหรือสัจธรรมที่บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นจะค้นพบได้

อริสโตเติล (Aristotle) มองความยุติธรรมว่าเป็นคุณธรรมเฉพาะเรื่อง หรือคุณธรรมทางสังคม ประการหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และคุณธรรมนี้จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมนุษย์ ได้ปลดปล่อยตัวเขาเองจากแรงผลักดันของความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง โดยอริสโตเติลได้แบ่งความยุติธรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ หมายถึง ความยุติธรรมที่มีลักษณะเป็นสากล ใช้ได้ต่อมนุษย์ ทุกคนไม่มีขอบเขตจํากัด และอาจค้นพบได้โดย “เหตุผลบริสุทธิ์” ของมนุษย์

2 ความยุติธรรมตามแบบแผน หมายถึง ความยุติธรรมซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ของบ้านเมือง ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและความเหมาะสม เป็นต้น

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความยุติธรรมกับกฎหมายนั้น มีปรากฏรูปความสัมพันธ์ใน 2 แบบ ตามแนวคิดทางทฤษฎี คือ

1 ทฤษฎีที่ถือว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันกับกฎหมาย ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายและ ความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน เนื่องจากล้วนมีกําเนิดมาจากพระเจ้า จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยหลัง ๆ จนถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้ โดยมากจะแสดงออกผ่านการตีความเรื่องความยุติธรรมจากนักคิดคนสําคัญของสํานักปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ที่มุ่งยืนยันความเด็ดขาดว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย รวมทั้งนักกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลของสํานักนี้ด้วย อาทิเช่น

ฮันส์ เคลเซ่น (Hans Kelsen) กล่าวว่า “ความยุติธรรมคือการรักษาไว้ซึ่งคําสั่งที่เป็น กฎหมาย โดยการปรับใช้คําสั่งนั้นอย่างมีมโนธรรม”

เรอัลฟ รอสส์ (Alf Ross) กล่าวว่า “ความยุติธรรมคือการปรับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง อันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการกระทําสิ่งใดตามอําเภอใจ”

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ตรัสว่า “ในเมืองไทย คําพิพากษาเก่า ๆ และคําพิพากษา เดี๋ยวนี้ด้วย อ้างความยุติธรรมขึ้นตั้งเสมอ ๆ แต่คําที่เรียกว่ายุติธรรมเป็นคําไม่ดี เพราะเป็นการที่ทุกคนเห็นต่างกัน ตามนิสัย ซึ่งไม่เป็นกิริยาของกฎหมาย กฎหมายต้องเป็นยุติ จะเถียงแปลกออกไปไม่ได้ แต่เราเถียงได้ว่าอย่างไร เป็นยุติธรรมไม่ยุติธรรมทุกเมื่อ ทุกเรื่อง…”

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2473 “กฎหมายต้องแปลให้เคร่งครัดตามกฎหมายที่มีอยู่ จะแปลให้คล้อยตามความยุติธรรมไม่ได้”

2 ทฤษฎีที่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นอุดมคติในกฎหมาย เป็นแนวคิดที่ความยุติธรรม ได้รับการเชิดชูไว้สูงกว่ากฎหมาย ในแง่นี้ความยุติธรรมถูกพิจารณาว่าเป็นแก่นสารอุดมคติในกฎหมาย หรือเป็น ความคิดอุดมคติซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายสูงส่งของกฎหมาย กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินตามหลังความยุติธรรม ซึ่งเป็นการมองความยุติธรรมในภาพเชิงอุดมคติ อันเป็นวิธีคิดในทํานองเดียวกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ อีกทั้ง เป็นวิธีคิดอุดมคตินิยมซึ่งเคยมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเช่นกัน หรือในชื่อที่เรียกกันว่า “ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ” ที่ยืนยันว่ากฎหมายมิใช่กฏเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่ถูกต้องหรือยุติธรรมโดยตัวของมันเอง ยังมีแก่นสาร ของความยุติธรรมที่อยู่เหนือและคอยกํากับเนื้อหาของกฎหมายในแบบกฎหมายเบื้องหลังกฎหมาย

แนวความคิดที่ว่าความยุติธรรมเป็นจุดมุ่งหมายของกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยเองก็มี มาช้านานแล้ว ดังเช่น

คดีอําแดงป้อม ในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่อําแดงป้อมมีชู้แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีผู้เป็นสามี ตุลาการก็ให้หย่า เพราะกฎหมายในขณะนั้นบัญญัติว่า “หญิงหย่าชาย หย่าได้” ผลของคําพิพากษานี้ รวมทั้ง กฎหมายที่สนับสนุนอยู่ เหนือหัวรัชกาลที่ 1 เห็นว่าไม่ยุติธรรม เป็นเหตุให้ต้องมีการชําระสะสางกฎหมายใหม่ จนกลายเป็นกฎหมายตราสามดวงในเวลาต่อมา

ในยุคปัจจุบัน แนวคิดในเรื่องความยุติธรรมเป็นหลักอุดมคติเหนือกฎหมายนี้ก็ยังปรากฏจาก บุคคลสําคัญของไทย เช่น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีแนวพระราชดําริต่อความยุติธรรมว่ามีสถานภาพ สูงกว่าหรือเป็นสิ่งที่เหนือกฎหมาย ใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า “โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความ ยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสําคัญยิ่งกว่ายุติธรรม หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใด ๆ โดยคํานึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้นดูจะ ไม่เป็นการเพียงพอ จําต้องคํานึงถึงความยุติธรรมเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมาย และได้ผลที่ควรจะได้”

ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ ปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายแนะนําไว้ในหนังสือหลักวิชาชีพกฎหมายของท่าน ไว้ว่า “การที่มีคําใช้อยู่ 2 คํา คือ “กฎหมาย” คําหนึ่ง “ความยุติธรรม” คําหนึ่ง ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าหาใช่สิ่ง เดียวกันเสมอไปไม่ การที่นักกฎหมายจะยึดถือแต่กฎหมาย ไม่คํานึงถึงความยุติธรรมตามความหมายทั่วไปนั้น เป็นความเห็นความเข้าใจแคบกว่าที่ควรจะเป็น”

 

ข้อ 3. จงอธิบายแนวพระราชดําริทางปรัชญากฎหมายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์พระมหากษัตริย์ปัจจุบัน

ธงคําตอบ

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนั้น สืบแต่พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของชาติที่ทรงใส่พระทัยอย่างสูงต่อเรื่องกฎหมายและความยุติธรรม พระบรม ราโชวาทและพระราชดํารัสของพระองค์ที่ทรงมีต่อนักกฎหมายหรือคณะบุคคลต่าง ๆ ในหลายวโรกาสได้สําแดงออก ซึ่งความคิดเชิงปรัชญากฎหมายอย่างลึกซึ้ง จนมีผู้เรียกขานว่าเป็น ปรัชญากฎหมายข้างฝ่ายไทย

แนวพระราชดําริทางปรัชญากฎหมายของพระองค์ประกอบด้วยประเด็นทางความคิดหลายเรื่อง เช่น เรื่องความยุติธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมและเสรีภาพ, กฎหมายกับความเป็นจริง ในประชาสังคม, ความสําคัญของการปกครองโดยกฎหมาย, ปัญหาเรื่องความไม่รู้กฎหมายของประชาชนและ การปรับใช้กฎหมาย ตลอดจนเรื่องบทบาทของกฎหมายและนักกฎหมายในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม หัวใจแห่ง พระราชดําริคงอยู่ที่เรื่อง “กฎหมายกับความยุติธรรม” ซึ่งเชื่อมโยงโดยใกล้ชิดกับเรื่องกฎหมายกับความเป็นจริง ของชีวิตประชาชนในสังคม

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดถือธรรมหรือ ความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย อันเป็นความคิดคนละขั้วกับปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่เน้นย้ํา แต่เรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายหรือถือเอากฎหมายเป็นตัวความยุติธรรมในพระราชดําริของพระองค์ กฎหมายมิใช่ ตัวความยุติธรรมโดยตรงและผู้ใช้กฎหมายซึ่งคํานึงถึงความยุติธรรมเป็นใหญ่ ก็ต้องไม่ติดอยู่กับตัวอักษรกฎหมาย อย่างเดียว ในการอํานวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริง ๆ ความเช่นนี้อาจพิจารณาได้จากพระบรมราโชวาทในหลาย ๆ พระวโรกาส เช่น

1 พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่นักศึกษาผู้สําเร็จการศึกษาเป็น เนติบัณฑิต ณ เนติบัณฑิตยสภา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2515 ความว่า “โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษา ความยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสําคัญไปยิ่งกว่ายุติธรรม หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อน กฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใด ๆ โดยคํานึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้น ดูจะไม่เป็นการเพียงพอ จําต้องคํานึงถึงความยุติธรรมซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและผลที่ควรจะได้”

2 พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิต ณ อาคารใหม่สวนอัมพร วันที่ 29 ตุลาคม 2522 ความว่า “ผู้ที่ได้ผ่านสํานักอบรมศึกษากฎหมายทุกคน ควรจะได้รับ การชี้แจงเน้นหนักให้ทราบชัดว่า กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม หากเป็นแต่เพียงบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้ เพื่อรักษาความยุติธรรม จึงไม่สมควรจะถือว่าการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินมีวงกว้างอยู่เพียงแค่ขอบเขต ของกฎหมาย จําเป็นต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย”

ความที่พระองค์ทรงถือเอาความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมายโดยนัยหนึ่งย่อมหมายถึง พระราชประสงค์ที่จะให้กฎหมายกําเนิดขึ้นหรือเป็นไปเพื่อความถูกต้องดีงาม หาใช่การปล่อยให้กฎหมายและการใช้ กฎหมายเป็นไปในลักษณะที่สวนทางกับความยุติธรรมหรือศีลธรรมจรรยา หรือหาใช่ปล่อยให้กฎหมายเป็นกลไก แห่งการกดขี่ของผู้ปกครองไป หลักคุณค่าเรื่องความสงบสุขของบ้านเมืองหรือเสรีภาพ นับเป็นวัตถุประสงค์แห่งกฎหมายตามพระราชดําริของพระองค์ที่ว่า “เราจะต้องพิจารณาในหลักว่ากฎหมายมีไว้สําหรับให้มีความสงบสุข ในบ้านเมือง มิใช่ว่ากฎหมายมีไว้สําหรับบังคับประชาชน ถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการ กลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับบุคคลหมู่มาก ในทางตรงข้าม กฎหมายมีไว้สําหรับให้บุคคลส่วนมาก มีเสรีภาพและอยู่ได้ด้วยความสงบ” พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวันระพี คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2516

อนึ่ง ที่ละเว้นไปเสียมิได้เลยก็คือในพระบรมราโชวาทซึ่งทรงพระราชทานในหลายวโรกาส พระองค์ได้ตรัสพาดพิงไปถึงเรื่องการบุกรุกป่าสงวนของราษฎร ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับราษฎร เป็นประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งของกฎหมายกับความเป็นจริงของประชาสังคม ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งในปัจจุบัน โดยรวมความตามแนวพระบรมราโชวาทแล้วก็มีสาระสําคัญว่า “กฎหมายกับความเป็นอยู่จริงอาจขัดกันได้ กฎหมายมีช่องโหว่มาก เพราะไปปรับปรุงกฎหมายและการปกครองโดยลอกแบบต่างชาติมาโดยไม่ดูว่าเหมาะสม กับความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่ บางทีการปกครองก็ไปไม่ถึงชุมชนห่างไกล กฎหมายที่รัฐตราขึ้นเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้ ทําให้เขาตั้งกฎหมายใช้กันเอง ซึ่งบางจุดก็ขัดกับกฎหมายของรัฐ การตราพระราชบัญญัติป่าสงวนที่ผ่านมา ปัญหามันเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐนั่งเก้าอี้ขีดบนแผนที่ว่าตรงไหนเป็นป่าสงวน โดยไม่ลงพื้นที่ดูว่าเป็นอย่างไร ความจริงก็คือมีราษฎรเขาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้นมาหลายชั่วอายุคนแล้ว อยู่ ๆ ก็ไปตราเป็นกฎหมาย ไปชี้ว่าเป็น ป่าสงวนกลายเป็น ว่าราษฎรบุกรุกป่าสงวน แน่นอนว่าถ้าดูตามกฎหมายราษฎรก็ผิดเพราะว่าตรามาเป็น กฎหมายโดยชอบธรรม แต่ว่าถ้าตามธรรมชาติแล้ว คนที่ทําผิดกฎหมายคือเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปขีดเส้นว่าป่าที่ ราษฎรอยู่เป็นป่าสงวน เพราะว่าราษฎรเขาอยู่มาก่อน เขามีสิทธิในทางเป็นมนุษย์ ความหมายก็คือ ทางราชการ นั้นแหละไปรุกรานบุกรุกราษฎรไม่ใช่ราษฎรบุกรุกกฎหมายบ้านเมือง” สาระสําคัญโดยรวมคือ เป็นแนวพระราชดําริ ที่ทรงเตือนสติให้คํานึงถึงเรื่องกฎหมายและความสอดคล้องกับความเป็นจริงของประชาสังคม ซึ่งโดยนัยแล้วก็ ไม่แตกต่างกับที่ทรงย้ำว่ากฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรมหรืออย่ายึดติดอยู่กับถ้อยคําในกฎหมายเพียงอย่างเดียว ต้องเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมคือจุดหมายปลายทางแห่งการใช้อํานาจรัฐทางด้านกฎหมายและความยุติธรรมต้อง ผูกติดอยู่กับธรรมะ ความถูกต้อง และความเป็นจริง

LAW4007 นิติปรัชญา 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. ให้อธิบายแนวคิดเชิงอุดมคติทางกฎหมายของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ และให้เปรียบเทียบการยอมรับสิทธิพื้นฐานตามธรรมชาติกับศีลธรรมภายในกฎหมายภายใต้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติกับปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย

ธงคําตอบ

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ปรากฏตัวขึ้นในลักษณะที่เป็นการแสดงออกซึ่งความบันดาลใจ ของมนุษย์ ที่มุ่งมั่นจะค้นหาหลักการอันสูงส่งซึ่งเป็นกฎหมายอุดมคติที่จะคอยกํากับกฎหมายลายลักษณ์อักษร ของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นอภิปรัชญา หรือที่เรียกว่า กฎหมายธรรมชาติ นั่นเอง

ซึ่งแนวคิดตามหลักกฎหมายธรรมชาตินั้น เชื่อว่า มีกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ที่แน่นอนอยู่ อันเป็นกฎเกณฑ์ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ หรือเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาซึ่งจะมุ่งเน้นในเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม และความยุติธรรมภายในกฎหมาย ดังนั้น รัฐจึงควรที่จะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับ หลักการของกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นมาแล้วขัดหรือแย้งต่อหลักกฎหมายธรรมชาติ อาจถือว่าเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมายโดยสมบูรณ์ ดังจะเห็นได้จากกรณีที่กฎหมายที่ออกโดยคณะปฏิวัตินั้น ตามหลักทฤษฎีของปรัชญากฎหมายธรรมชาติจะมีแนวคิดว่าเป็นกฎหมายที่ไม่สมบูรณ์และไม่มีความชอบธรรม เพราะเมื่อพิจารณาในเชิงจริยธรรมและทางศีลธรรมแล้ว ไม่มีความยุติธรรม ไม่เคารพต่อสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์

สําหรับปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย มีแนวคิดที่มีหลักสวนกลับหรือโต้ตอบกลับ หลักกฎหมายธรรมชาติ โดยมองว่ากฎหมายเป็นผลผลิตหรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยอํานาจปกครองในสังคม กล่าวคือ กฎหมาย คือ คําสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ที่มีสภาพบังคับ ซึ่งกําหนดมาตรฐานความประพฤติให้กับผู้อยู่ใต้อํานาจ ปกครองของตน ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามแล้วจะต้องได้รับโทษ โดยกฎหมายที่ว่านี้ไม่ต้องอาศัยที่มาจากจารีตประเพณี ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนชาติ หรือหลักกฎหมายธรรมชาติมาเป็นที่มาของกฎหมายแต่อย่างใด และ กฎหมายย่อมแยกออกจากกันโดยเด็ดขาดกับจริยธรรมหรือศีลธรรมต่าง ๆ

ดังนั้นตามทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย จึงถือว่า คําสั่งหรือกฎหมายที่ออกโดยคณะปฏิวัติ เป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์ โดยถือว่าเมื่อคณะปฏิวัติก่อการสําเร็จก็ย่อมถือได้ว่าเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งมีอํานาจ ในการออกกฎหมายโดยชอบธรรม

 

ข้อ 2. ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยามีแนวคิดที่สําคัญในการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา โดยมีวัตถุประสงค์เป็นเป้าหมายในการกําหนดกฎหมายขึ้น ให้นักศึกษาอธิบายที่มาของแนวคิด ดังกล่าว ตลอดจนเนื้อหาสาระของแนวคิดนี้โดยสังเขป และให้อธิบายทฤษฎีวิศวกรรมทางสังคมของ รอสโค พาวด์ ในส่วนของบทบาทนักกฎหมายและภารกิจของนักกฎหมาย พร้อมแสดงความคิดเห็นประกอบว่านักศึกษาเห็นด้วยกับหลักคิดของพาวด์ในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (Sociological Jurisprudence) หมายถึง การนําเอาสังคมวิทยา ไปใช้ในทางนิติศาสตร์ (นิติปรัชญา) เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้ก็จะนําไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่นเอง เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของตะวันตก มีที่มาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในยุโรป ซึ่งความก้าวหน้าของสังคมและเศรษฐกิจในช่วงนั้นได้ก่อให้เกิดปัญหาสังคมโดยเฉพาะจากกลุ่มนายทุนและ ผู้ใช้แรงงาน มีการเอารัดเอาเปรียบ การกดขี่ข่มเหง จึงทําให้เกิดแนวคิดนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาขึ้น โดยมีหลักการ คือ การนํากฎหมายมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม โดยเฉพาะการสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของ สังคมส่วนรวมหรืออรรถประโยชน์ของสังคม และเป็นเครื่องมือสําหรับคานผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคมให้เกิด ความสมดุล

บุคคลสําคัญที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาคือ รูดอล์ฟ ฟอน เยียริ่ง และ รอสโค พาวด์ โดยเยียริ่งเน้นความสําคัญของวัตถุประสงค์ โดยถือว่าวัตถุประสงค์เป็นผู้สร้างกฎหมายทั้งหมด ไม่มี กฎเกณฑ์ทางกฎหมายใด ๆ ที่ไม่มีวัตถุประสงค์ กฎหมายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการกระทําของมนุษย์ ต้นเหตุสําคัญ ของกฎหมายอยู่ที่การเป็นเครื่องมือเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม วัตถุประสงค์ของกฎหมายอยู่ที่การปกป้องหรือขยายการปกป้องผลประโยชน์ของสังคม เยียริ่งแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น 3 ประเภทคือ

– ผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคล

– ผลประโยชน์ของรัฐ

– ผลประโยชน์ของสังคม

บทบาทของกฎหมายในแนวของเยียริ่ง จึงเป็นเรื่องของบทบาททางสังคมของกฎหมายในการสร้างความสมดุลหรือการจัดลําดับขั้นของความสําคัญระหว่างผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลกับผลประโยชน์ของสังคม

ในส่วนของรอสโค พาวด์ แนวความคิดทางกฎหมายเกิดขึ้นในช่วงของสังคมอเมริกันที่มี ความเปลี่ยนแปลงจึงตระหนักต่อปัญหาบทบาทของกฎหมายในสังคม และรับอิทธิพลทางความคิดของเยียริงที่ เน้นบทบาทหน้าที่ของกฎหมาย และเห็นว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือสําหรับคานผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อให้เกิดความสมดุล เขาอธิบายถึงวิธีการคานผลประโยชน์ด้วยการสร้างกลไกต่าง ๆ ซึ่งการคานผลประโยชน์ ในสังคมให้เกิดความสมดุลเหมือนการก่อสร้างหรือวิศวกรรมสังคม ซึ่งต่อมาเรียกว่า ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม พาวด์ แบ่งผลประโยชน์ออกเป็น 3 ประเภท คล้ายกับเยียริ่ง ได้แก่

– ผลประโยชน์ของปัจเจกชน

– ผลประโยชน์ของมหาชน

– ผลประโยชน์ของสังคม

วิธีการของการนํากฎหมายมาใช้ พาวด์มอบให้เป็นหน้าที่ของนักกฎหมายที่เกิดจากทฤษฎี วิศวกรรมทางสังคมของพาวด์ โดยเน้นภารกิจของนักกฎหมายในการจัดระบบผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้สมดุลโดย กลไกทางกฎหมายคล้ายกับการเป็นนักวิศวกรรมสังคมที่มุ่งสร้างโครงสร้างสังคมใหม่อันมีประสิทธิภาพในการ ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างสูงสุดโดยให้เกิดการร้าวฉานหรือสูญเสียน้อยที่สุด ซึ่งนักนิติศาสตร์มี ภารกิจที่สําคัญ 6 ประการคือ

1 ศึกษาถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของสถาบันทางกฎหมายและทฤษฎีกฎหมาย

2 ศึกษาเชิงสังคมวิทยาในเรื่องการตระเตรียมการนิติบัญญัติ โดยเฉพาะในเรื่องผลของการนิติบัญญัติเชิงเปรียบเทียบ

3 ศึกษาถึงเครื่องมือหรือกลไกที่จะทําให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีประสิทธิภาพ

4 ศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายในเชิงสังคมวิทยา ด้วยการตรวจพิสูจน์ดูว่า ทฤษฎีกฎหมายต่าง ได้ส่งผลลัพธ์ประการใดบ้างในอดีต

5 สนับสนุนให้มีการตัดสินคดีบุคคลอย่างมีเหตุผลและยุติธรรม และ

6 พยายามทําให้เกิดการบรรลุจุดมุ่งหมายของกฎหมายมีผลมากขึ้น

และจากประเด็นหลักการนําเสนอทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาของเยียริ่ง และรอสโค พาวด์ นั้น จะเห็นได้ว่านักกฎหมายทั้งสองท่าน มีจุดประสงค์ต้องการให้กฎหมายมีความสําคัญในการถูกนําไปใช้เพื่อแก้ไข ปัญหาของสังคมนั่นเอง

และจากทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาตามแนวความคิดของรอสโค พาวด์ ที่ว่ากฎหมาย เป็นเครื่องมือสําหรับคานผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคมเพื่อให้เกิดความสมดุล และวิธีการคานผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม ทําได้โดยการสร้างกลไกต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งการสร้างกลไกต่าง ๆ ขึ้นมานั้น ย่อมหมายความรวมถึงการสร้าง ระบบกฎหมายและการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้วย โดยเน้นการส่งเสริมให้กฎหมายมีบทบาทในการควบคุมระเบียบ ของสังคมเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนใหญ่ ดังนั้นจากทฤษฎีดังกล่าวของรอสโค พาวด์ ข้าพเจ้าจึงเห็นด้วยเพราะ สามารถนํามาใช้ในการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายไทยในปัจจุบัน (รวมทั้งให้มีการผลักดันให้มีการตรากฎหมาย ใหม่ ๆ) ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ก็เพื่อให้กฎหมายไทยนั้นเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ มีความยุติธรรม มุ่งคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ (มิใช่กฎหมายที่สร้างขึ้นมาเพื่อนําไปใช้เป็นเครื่องมือ หรือเพื่อ ประโยชน์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะทําให้กฎหมายขาดความยุติธรรม ขาดความศักดิ์สิทธิ์ ขาดความเคารพเชื่อมั่นต่อกฎหมายนั้น)

และเมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายโดยใช้หลักทฤษฎีของรอสโค พาวด์ ดังกล่าว เช่น การปรับปรุงแก้ไขให้มีเครื่องมือหรือกลไกที่จะทําให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้มีการ ตัดสินคดีบุคคลอย่างมีเหตุผลและมีความยุติธรรม รวมทั้งการสร้างระบบกฎหมายที่มุ่งถึงการควบคุมระเบียบของ สังคมและเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนส่วนใหญ่แล้ว กฎหมายไทยก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการเคารพเชื่อมั่น และยอมรับจากประชาชน

หมายเหตุ นักศึกษาสามารถแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างอื่นได้ แต่ต้องแสดงความคิดเห็น โดยใช้หลักทฤษฎีทางกฎหมายของรอสโค พาวด์ ประกอบการอธิบายด้วย

 

ข้อ 3. หากมีผู้กล่าวว่า “ปรัชญากฎหมายไทย นับแต่อดีตมานั้นมีลักษณะเป็นแบบธรรมนิยม” ท่านเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายมาให้เข้าใจ

ธงคําตอบ

ในกรณีที่มีผู้กล่าวว่า “ปรัชญากฎหมายไทย นับแต่อดีตมานั้นมีลักษณะเป็นแบบธรรมนิยม” นั้น ข้าพเจ้าเห็นด้วย

ทั้งนี้เพราะตามปรัชญากฎหมายไทยโบราณ ที่มีลักษณะเป็นปรัชญากฎหมายแบบ (พุทธ) ธรรมนิยม มีหลักสําคัญคือ ปรัชญากฎหมายไทยโบราณมิได้มาจากความคิดของนักปราชญ์ที่เป็นสามัญชน แต่ผูกพันอยู่กับ ศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธอย่างแน่นแฟ้น และมีความผูกพันกับรัฐอย่างแยกไม่ออก คือมีความผูกพันกับรัฐ โดยผ่านการเชื่อมโยงทางศาสนา จึงทําให้ปรัชญากฎหมายไทยโบราณจะผูกติดอยู่กับตัวบุคคลซึ่งเป็นผู้ปกครองที่ เป็นผู้นําสูงสุดของรัฐ คือ พระมหากษัตริย์ และผูกติดอยู่กับตัวระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยนัยนี้ความจํากัด แห่งตัวบุคคล (พระมหากษัตริย์) หรือตัวระบบสังคมการเมืองย่อมส่งผลถึงการใช้การตีความปรัชญากฎหมาย ดังกล่าวอย่างยิ่งโดยเฉพาะระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เป็นระบบปิดในทางการเมือง (ไม่เป็นประชาธิปไตย) มีแนวโน้มจะเปิดช่องให้ผู้ปกครองอ้างธรรมะ ความสอดคล้องในธรรมะกับกฎหมายได้ง่าย โดยไม่มีระบบตรวจสอบ หรือโต้แย้งที่เปิดเผยแท้จริง เว้นแต่การตรวจสอบโดยธรรมชาติจากกลุ่มอํานาจขุนนางที่แวดล้อมพระมหากษัตริย์ ธรรมะที่ว่านี้ก็เช่น หลักทศพิธราชธรรม หลักจตุรธรรม เป็นต้น

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับแนวคิดแบบธรรมนิยม มีปรากฏในหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญา กฎหมายไทยดั้งเดิม ซึ่งมีสาระสําคัญ 4 ประการ คือ

1 กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคําสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอําเภอใจ

2 กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม

3 จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร 4 การใช้อํานาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ต้องกระทําบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม

LAW4007 นิติปรัชญา 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. แนวคิดกฎหมายธรรมชาติสมัยใหม่/ร่วมสมัยมีความแตกต่างโดยฐานคิด-สาระหรือไม่ อย่างไร

จากแนวคิดของสํานักกฎหมายประวัติศาสตร์ และนักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด ต่อข้อเสนอให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบไทย ๆ บนพื้นฐานความคิดของสํานักกฎหมาย ประวัติศาสตร์

ธงคำตอบ

แนวคิดของกฎหมายธรรมชาติสมัยใหม่ (ร่วมสมัย) จะมีความแตกต่างจากแนวคิดของสํานัก กฎหมายประวัติศาสตร์ ดังนี้คือ

แนวคิดของกฎหมายธรรมชาติสมัยใหม่ มีจุดเด่นในฐานความคิดแบบเหตุผลนิยม (มีเหตุผล) สากลนิยม (หลักสากลหรือประเทศต่าง ๆ ยอมรับ) มีการเคารพต่อสิทธิมนุษยชน มีศีลธรรมเชิงกระบวนการ (การมีศีลธรรมภายในกฎหมายหรือเป็นกฎหมายธรรมชาติในเชิงกระบวนการ) ซึ่งนักคิดที่มีแนวความคิดดังกล่าว ที่สําคัญ คือ สอน ฟุลเลอร์ (Lon Fuller)

ลอน ฟุลเลอร์ (Lon Fuller) นักคิดคนสําคัญของปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย มีผลงาน เรื่อง “ศีลธรรมภายในกฎหมาย” กล่าวว่าสาระสําคัญที่ขาดไม่ได้ของกฎหมายจนกลายเป็น “วัตถุประสงค์”

กํากับอยู่ก็คือความจําเป็นที่ต้องมีศีลธรรมดํารงอยู่ในกฎหมาย ดังเงื่อนไขสําคัญ 8 ประการที่ฟุลเลอร์ถือเสมือนว่า เป็นการมีศีลธรรมภายในกฎหมายหรือเป็น “กฎหมายธรรมชาติในเชิงกระบวนการ” ได้แก่

1 จะต้องมีลักษณะทั่วไป

2 จะต้องถูกตีพิมพ์เผยแพร่ให้ปรากฏแก่สาธารณะ

3 จะต้องไม่มีผลย้อนหลัง

4 จะต้องมีความชัดแจ้งและสามารถเข้าใจได้

5 จะต้องไม่เป็นการกําหนดบังคับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

6 จะต้องไม่มีความขัดแย้งกัน

7 จะต้องมีความมั่นคง แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป

8 จะต้องมีความกลมกลืนกันระหว่างกฎเกณฑ์ที่ถูกประกาศใช้กับการบังคับใช้กฎเกณฑ์ สนาต่าง ๆ อันเป็นเรื่องของความสอดคล้องระหว่างการกระทําของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และตัวบทกฎหมายที่ประกาศใช้

ส่วนสํานักกฎหมายประวัติศาสตร์ (Historical School of Law) มีแนวคิดว่า กฎหมาย ไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีอํานาจจะกระทําตามอําเภอใจโดยพลการ แต่กฎหมายเป็นผลผลิตของสังคมที่มีรากเหง้าหยั่งลึก ลงไปในประวัติศาสตร์ของประชาชาติ กําเนิดและเติบโตจากประสบการณ์และหลักประพฤติทั่วไปของประชาชน ซึ่งปรากฏในรูปจารีตประเพณีหรือจิตวิญญาณร่วมของประชาชน กล่าวคือ สํานักคิดนี้อธิบายว่า กฎหมายคือ จิตวิญญาณร่วมกันของชนในชาติ และที่มาของกฎหมายคือ จารีตประเพณี นั่นเอง

 

เหตุผลที่แนวคิดของสํานักกฎหมายประวัติศาสตร์อธิบายเช่นนั้น เพราะพื้นฐานที่มาของเยอรมัน ในขณะนั้นได้รับอิสรภาพจากการปกครองของฝรั่งเศส ทําให้เกิดการปลุกกระแสความรักชาติด้วยอารมณ์ หัวใจ และจิตวิญญาณความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ และความพยายามสร้างกฎหมายที่กําเนิดและเกิดขึ้นมา จากประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาติที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของคนเยอรมัน โดยมีพื้นฐานที่เกิดขึ้นมา พร้อม ๆ กับจารีตประเพณีที่คนในชาติปฏิบัติกันมาตั้งแต่ต้น กําเนิดและเติบโตหยั่งลึกลงไปในจิตวิญญาณของ ชนในชาติที่พร้อมจะยึดถือและปฏิบัติร่วมกัน กฎหมายของสํานักคิดนี้จึงถือเป็นจิตวิญญาณร่วมกันของคน ในชาตินั้น และมีที่มาจากจารีตประเพณีที่มีความแตกต่างกับชาติอื่น ๆ และถือว่ากฎหมายของชาติหนึ่งจะนํา กฎหมายของอีกชาติหนึ่งมาใช้ไม่ได้

มองโดยภาพรวมแล้วแนวความคิดของสํานักกฎหมายประวัติศาสตร์ เน้นไปที่เรื่องราวของอดีต เกือบทั้งหมด แม้นกระทั่งสิ่งที่เรียกว่า “จิตสํานึกร่วมของประชาชน” (Common Consciousness of the People) การที่จะรู้ถึงจิตสํานึกร่วมของประชาชนได้ก็โดยการศึกษาถึงภูมิประวัติศาสตร์ของชนชาตินั้น ๆ เป็นสํานักที่ยกย่อง เชิดชูประวัติศาสตร์ รากฐานของสังคมในอดีต หรือการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในลักษณะอารมณ์แบบโรแมนติก (Romantic) ให้ความสําคัญกับอดีตมากเกินไปจนละเลยต่อการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม รวมถึงการละเลยถึงภูมิปัญญาของปัจเจกชน

สําหรับข้อเสนอให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบไทย ๆ บนพื้นฐานความคิดของสํานัก กฎหมายประวัติศาสตร์นั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย เพราะถ้ามีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยให้อยู่บนพื้นฐาน ความคิดของสํานักกฎหมายประวัติศาสตร์แล้ว บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนั้นจะไม่เป็นไปตามหลักสากลที่นานาประเทศ ยอมรับ เช่น ตามที่มีข่าวว่าตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น นายกรัฐมนตรีไม่ต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือ ไม่จําเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นไม่ต้องมีจํานวนมากอาจจะ ให้มีจํานวนเพียงจังหวัดละ 1 คน โดยส่วนใหญ่จะให้มาจากการแต่งตั้งนั้น ถ้าเป็นดังนี้ย่อมถือว่าเป็นการย้อนยุค กลับสู่อดีตและเป็นแนวคิดคับแคบแบบอนุรักษนิยม และที่สําคัญเมื่อนายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากประชาชน รวมทั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากประชาชนย่อมทําให้การบริหารบ้านเมืองหรือการออกกฎหมาย ต่าง ๆ ทําไปเพื่อเป็นการรับใช้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น มิได้ทําไปเพื่อคนส่วนใหญ่ในสังคม ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ สามารถพิสูจน์ได้จากอดีตที่ผ่านมา และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบุคคลเหล่านั้นไม่ได้ยึดติดหรือเชื่อมโยงกับ ประชาชนส่วนใหญ่นั้นเอง

หมายเหตุ อาจมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่นได้ โดยให้เหตุผลที่เหมาะสม

 

ข้อ 2. จงสรุปเปรียบเทียบเนื้อหาความคิดของเรื่องความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) แบบอนุรักษนิยม และความยุติธรรมทางสังคมแบบก้าวหน้า และในทัศนะของนักศึกษา ทฤษฎีความยุติธรรม ของ John Rawls จัดเป็นทฤษฎีความยุติธรรมทางสังคมแบบก้าวหน้าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

ความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) หรือ “ความยุติธรรมในการแบ่งสันปันส่วน หรือ “ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ” เป็นเรื่องเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิถีทางจําแนกหรือแบ่งปันสิ่งซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์ หรือสิ่งอันมีคุณค่าในสังคม (เช่น ทรัพย์สิน, รายได้, ความสุข, การได้รับความพึงพอใจ, การได้รับการศึกษา) ให้แก่สมาชิกของสังคมอย่างถูกต้องเหมาะสม หรืออย่างเป็นธรรม ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายสําคัญที่สุดในการ สร้างสรรค์ และคงไว้ซึ่งความสมานฉันท์/กลมกลืนของสังคมโดยรวม

ความยุติธรรมทางสังคมแบบอนุรักษนิยม เป็นความยุติธรรมที่เน้นความสําคัญของระเบียบ แบบแผนสังคม กฎหมาย สิทธิส่วนบุคคลในแง่ของอิสรภาพ-ทรัพย์สิน ความเหมาะสมในแง่ผลงาน ความสามารถหรือคุณธรรมบุคคลที่แตกต่างกัน โดยเน้นว่า บุคคลที่มีความสามารถมาก มีความขยันขันแข็งมาก มีผลงานมาก ย่อมมีรายได้ทรัพย์สินมากกว่าบุคคลอื่น รัฐบาลไม่ควรไปเอาทรัพย์สินของบุคคลเหล่านั้นเพื่อมา แบ่งสันปันส่วนให้แก่คนจน ซึ่งตัวอย่างนักคิดที่ส่งเสริมแนวคิดแบบอนุรักษนิยมนี้ ได้แก่ โรเบิร์ต นอเซค (Nozick) โดยนอเซคชี้ให้เห็นว่า มนุษย์จะมีความแตกต่างกัน ความเป็นเอกเทศของคนจะแตกต่างกัน ซึ่งความ แตกต่างกันของคน ย่อมทําให้คนมีที่มามีรายได้ที่แตกต่างกัน

ความยุติธรรมทางสังคมแบบก้าวหน้า เป็นแนวความคิดที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม โดยมองว่าสังคมที่เป็นอยู่ไม่มีความยุติธรรมในเรื่องของรายได้ความมั่งคั่งต่าง ๆ ดังนั้นความยุติธรรมทางสังคม แบบก้าวหน้าจึงเน้นเรื่องความเสมอภาคหรือความต้องการอันจําเป็นที่เสมอเหมือนกันของมนุษย์ ดังนั้นรัฐหรือรัฐบาล ควรจะสนองตอบต่อความจําเป็นของมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน โดยไม่ต้องไปมองที่ความสามารถ ผลงาน หรือรายได้ ของบุคคล ซึ่งนักคิดที่ส่งเสริมแนวคิดแบบก้าวหน้านี้ได้แก่ จอห์น รอลส์ (John Rawls) โดยจอห์น รอลส์ มีความเห็นว่า ความยุติธรรมทางสังคมแบบอนุรักษนิยมที่มีลักษณะแบบตัวใครตัวมัน ใครดีใครได้ จะเป็นอันตราย ต่อสังคม และเขาก็ได้สรุปว่า หลักความยุติธรรมที่มนุษย์ควรได้รับจะต้องประกอบด้วยหลักการสําคัญ 2 ข้อ คือ

1 หลักอิสระเสรีภาพอันเท่าเทียม กล่าวคือ มนุษย์แต่ละคนจําต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน ในเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างมากที่สุด ซึ่งเทียบเคียงได้กับเสรีภาพอันคล้ายคลึงกันในบุคคลอื่น ๆ

2 หลักความเสมอภาคโอกาสอันเท่าเทียม กล่าวคือ ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ และสังคมต้องได้รับการจัดระเบียบให้เป็นธรรม

ดังนั้นจากความเห็นของจอห์น รอลส์ ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ทฤษฎีความยุติธรรมของจอห์น รอลส์ นั้น ย่อมจัดเป็นทฤษฎีความยุติธรรมทางสังคมแบบก้าวหน้า

หมายเหตุ การประเมินสถานะของทฤษฎีความยุติธรรมของ John Rawls เป็นอิสระของผู้เรียน นักศึกษาอาจมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่นได้ โดยให้เหตุผลที่เหมาะสม

 

ข้อ 3. ปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมยอมรับให้มีการปฏิเสธหรือทัดทานการใช้พระราชอํานาจที่ไม่เป็นธรรมของพระมหากษัตริย์หรือไม่ เพราะเหตุใด และการก่อตัวหรือพัฒนาวัฒนธรรมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ/ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเท่าเทียมกันในสังคมไทยสมัยใหม่ ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก ปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

ปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมยอมรับให้มีการปฏิเสธยับยั้งหรือทัดทานการใช้พระราชอํานาจที่ ไม่เป็นธรรมของพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้เพราะลักษณะที่สําคัญของปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม คือ ตั้งอยู่บนกระแสความคิดพื้นฐานในลักษณะ ธรรมนิยม หลักการคือกฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม ซึ่งตั้งอยู่บนหลักพุทธธรรม พระธรรมศาสตร์ ทศพิธราชธรรม รวมทั้งหลักจตุรธรรมแห่งกฎหมายไทย อันเป็นธรรมนิยมแบบพุทธ ขณะเดียวกัน ก็ถูกทับซ้อนด้วยความคิดอํานาจนิยมที่ผูกติดกับอิทธิพลความคิดฝ่ายพราหมณ์หรือฮินดู ลัทธิเทวราช และความเป็น จริยธรรมการเมืองแทนสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผสมผสานหรือคู่ขนานกลมกลืนกันไป ธรรมนิยมแบบพุทธจะเป็น กระแสหลักในสมัยสุโขทัย เห็นได้จากมีการแปลความธรรมะออกมาเป็นกฎหมายหรือคําสั่งของพ่อขุนรามคําแหง ส่วนธรรมนิยมแบบพราหมณ์หรือแบบฮินดูก็มีอิทธิพลอย่างมากในสมัยอยุธยา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับแนวคิดแบบธรรมนิยม มีปรากฏในหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญา กฎหมายไทยดั้งเดิม ซึ่งมีสาระสําคัญ 4 ประการ คือ

1 กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคําสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอําเภอใจ

2 กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม

3 จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร 4 การใช้อํานาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ต้องกระทําบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม

เหตุที่ทําให้มีการสรุปยืนยันว่าปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมยึดถือเอาธรรมเป็นใหญ่ในการปกครอง บ้านเมือง และสนับสนุนให้มีการยับยั้งหรือทัดทานการใช้ พระราชอํานาจที่ไม่เป็นธรรมของพระมหากษัตริย์ก็เพราะว่า นอกจากกฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรมแล้ว พระมหากษัตริย์ยังต้องตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม อันมีค่าเป็นธรรมะ 10 ประการ ที่ทําหน้าที่ควบคุมการใช้พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ด้วย (อาจเรียกว่า เป็นราชธรรม 10 ประการก็ได้) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1 ทาน คือ การสละวัสดุสิ่งของและวิชาความรู้เพื่อเกื้อกูลแก่ผู้อื่น

2 ศีล คือ การควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจ ให้เป็นปกติเรียบร้อย

3 ปริจจาคะ คือ การเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม

4 อาชชวะ คือ ความซื่อตรง

5 มัททวะ คือ ความสุภาพอ่อนโยน

6 ตบะ คือ ความเพียรพยายามในหน้าที่การงานจนกว่าจะสําเร็จโดยไม่ลดละ

7 อักโกธะ คือ ความไม่แสดงความเกรี้ยวกราดโกรธแค้นต่อใคร ๆ

8 อวิหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้ได้ทุกข์เดือดร้อน

9 ขันติ คือ ความอดทนต่อความยากลําบาก ทั้งนี้เนื่องจากวัตถุธรรมและนามธรรม 10 อวิโรธนะ คือ ความไม่ประพฤติปฏิบัติผิดไปจากทํานองคลองธรรม

ด้วยเหตุผลที่พระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณล้วนนับถือศาสนาพุทธ ทศพิธราชธรรมนี้ ก็มีรากฐานที่มาจากคัมภีร์ชาดกในพุทธศาสนานั่นเอง จึงทําให้พระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณที่เลื่อมใสใน พระพุทธศาสนาต้องตั้งพระองค์อยู่ในทศพิธราชธรรมข้างต้นนี้ และรูปธรรมชัดเจนของข้อสรุปดังกล่าวก็คือหลักการ ในทศพิธราชธรรมก็ได้ถูกนําไปตราเป็นกฎมณเฑียรบาลบทที่ 106 และ 113 ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ดังนี้

กฎมณเฑียรบาลบทที่ 106 ความว่า “อนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวดํารัสตรัสด้วยกิจราชการคดีถ้อยความ ประการใด ๆ ต้องกฎหมายประเวนีเป็นยุติธรรมแล้วให้กระทําตาม ถ้าหมีชอบจงอาจพิดทูลทัดทาน 1, 2, 3 ครั้ง ถ้าหมีฟังให้งดไว้อย่าเพ่อสั่งไปให้ทูลในที่ระโหถาน ถ้าหมีฟังจึงให้กระทําตาม ถ้าผู้ใดมิได้กระทําตามพระอายการ ดังนี้ ท่านว่าผู้นั้นละมิดพระราชอาชญา”

กฎมณเฑียรบาลบทที่ 106 นี้ก็เป็นการยืนยันหลักการทางทฤษฎีที่ถือเอาธรรมะหรือกฎหมาย เป็นใหญ่ในการปกครองบ้านเมืองอันเป็นการสอดรับหลักทศพิธราชธรรมข้อที่ 10 อวิโรธนะ อันหมายถึง การไม่ประพฤติผิดไปจากทํานองคลองธรรม

ส่วนกฎมณเฑียรบาลบทที่ 113 ก็มีความว่า “อนึ่ง ธรงพระโกรธแก่ผู้ใด แลตรัสเรียกพระแสง อย่าให้เจ้าพนักงานยื่น ถ้ายื่นให้โทษถึงตาย” อันนี้ก็สอดรับกับหลักทศพิธราชธรรมข้อที่ 10 อวิโรธนะ ดังที่กล่าวแล้ว กับข้อที่ 7 คือ อักโกธะ อันหมายถึงการไม่แสดงความเกรี้ยวกราดโกรธแค้นต่อผู้ใด

สําหรับการก่อตัวหรือพัฒนาวัฒนธรรมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อัน เท่าเทียมกันในสังคมไทยสมัยใหม่ มิได้รับอิทธิพลทางความคิดจากปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมดังกล่าวนั้นแต่ อย่างใด แต่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากการปฏิรูปบ้านเมืองให้เป็นสมัยใหม่แบบตะวันตกตามแนวคิดเสรีนิยม ตะวันตก ความคิดพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยม สมัย ร.4 รวมทั้งบริบทการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนับจาก การทําสัญญาเบาริงในสมัย ร.5 ที่ได้รับพลังกดดันจากอํานาจทุนภายนอก คือ มหาอํานาจตะวันตก

ซึ่งการก่อตัวหรือพัฒนาวัฒนธรรมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ดังกล่าว ทําให้เกิดแผนการปฏิรูปสังคมไทยให้เข้าสู่แบบวิถีสังคมสมัยใหม่แบบตะวันตก และแผนปฏิรูปสังคมนับว่าเป็น เหตุที่มาของการปฏิรูปสถาบัน และองค์กรต่าง ๆ ตามมา รวมทั้งการปฏิรูประบบราชการ การคลัง และโดยเฉพาะ การปฏิรูปกฎหมาย ทําให้ปรัชญากฎหมายไทยแบบเดิมที่อิงอยู่กับพระธรรมศาสตร์ได้เสื่อมลงอย่างมาก พร้อมกันนั้น ปรัชญากฎหมายตะวันตกก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น

LAW4007 นิติปรัชญา S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายธรรมชาติคืออะไร มีพัฒนาการ 5 ยุค อย่างไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมายธรรมชาติสามารถอธิบายความหมายได้ใน 2 ลักษณะ คือ

1 ความหมายทั่ว ๆ ไป กฎหมายธรรมชาติหมายถึง

– กฎหมายซึ่งบุคคลบางกลุ่มอ้างว่ามีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีโครงสร้างขึ้นเป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ และใช้ได้โดยทั่วไปอย่างไม่จํากัดกาลเทศะ

– กฎเกณฑ์ทางกฎหมายต่าง ๆ ในอุดมคติซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้นซึ่งอาจค้นพบได้โดยเหตุผล

– กฏเกณฑ์อุดมคติที่มีขึ้นเพื่อจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างปัจเจกชนกับกลุ่มส่วนรวม หรือจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความเสมอภาคของทุกคน (เมื่อพิจารณาความหมายในแง่มุมทางอุดมการณ์)

2 ความหมายในทางทฤษฎี แบ่งเป็น 2 ทฤษฎี คือ

1) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคกรีกโบราณและโรมันถึงยุคกลาง (ราวศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16) ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อุดมคติที่มีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ จะไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายเลย และ

2) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบัน ถือว่า หลักกฎหมายธรรมชาติ เป็นเพียงอุดมคติของกฎหมายที่รัฐจะบัญญัติขึ้นเท่านั้น กล่าวคือ รัฐควรจะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับ หลักการของกฎหมายธรรมชาติ แต่ถ้าตราขึ้นโดยขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะ แต่อย่างใด เพียงแต่จะเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมายโดยสมบูรณ์เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นลักษณะที่ผ่อนปรน ประนีประนอมมากขึ้นกว่าในยุคโบราณและยุคกลาง การพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 5 ยุค ดังนี้

1 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณและโรมัน มีสาระสําคัญดังนี้

1) จุดก่อตัวและช่วงเวลา ยุคกรีกโบราณและโรมันอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อน คริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 โดยประมาณ ซึ่งว่ากันว่ากฎหมายธรรมชาตินี้พบเป็นเรื่องเป็นราวจากเฮราคลิตส นักปรัชญาชาวกรีกที่มีอายุในช่วง 540 – 480 ปีก่อนคริสตกาล โดยเขาไปค้นหาสัจจะเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยเฉพาะ ความจริงเกี่ยวกับแก่นสารของชีวิตและสิ่งที่เขาค้นพบและสรุปออกมาคือ ธรรมชาติคือความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง แก่นสารของชีวิตคือธรรมชาติและแก่นสารของชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยจุดหมายปลายทาง ระเบียบและเหตุผลอันแน่นอนซึ่งไม่อาจผันแปรได้

2) การเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติ แยกอธิบายได้ดังนี้ เพราะ

เพลโต (427 – 347 ปีก่อนคริสตกาล) อธิบายว่า เข้าถึงได้โดยการใช้ญาณปัญญา อันบริสุทธิ์ แต่ก็มีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่เพลโตเห็นว่าจะเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้

อริสโตเติล (384 – 322 ปีก่อนคริสตกาล) ศิษย์ของเพลโตเห็นว่า กฎหมาย ธรรมชาตินั้นมนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยการใช้ “เหตุผลอันบริสุทธิ์” เนื่องจากอริสโตเติลพบว่าเหตุผลของมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

สํานักสโตอิค (ก่อตั้งขึ้นศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลโดยเซโน) ยืนยันตามแนวคิด ของอริสโตเติลว่า “มนุษย์เข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้โดยการใช้เหตุผล” เหตุผลที่ว่านี้ก็อยู่ในฐานะเป็นพลังทางจักรวาล ซึ่งเข้าครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งเป็นพื้นฐานของกฎหมายและความยุติธรรมด้วย

3) บทบาทความสําคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ แยกอธิบายได้ดังนี้

เพลโต ให้ความสําคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่าเป็นแบบหรือความคิดอันไม่มีวัน เปลี่ยนแปลง ที่ให้เป็นบรรทัดฐานต่อกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายใด ๆ ที่รัฐตราขึ้นต้องสอดคล้องกับแบบหรือ กฎหมายธรรมชาตินี้ มิเช่นนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นกฎหมายได้

– อริสโตเติล ให้ความสําคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่า เป็นกฎหมายที่เหมาะสม ในการปกครองสังคม แต่เขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกฎหมายที่รัฐตราขึ้นขัดกับกฎหมายธรรมชาติผลจะเป็นอย่างไร

โสฟิสต์บางกลุ่ม อ้างกฎหมายธรรมชาติขึ้นมาต่อต้านการปกครองที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งอ้างเพื่อผลักดันให้ยกเลิกระบบอภิสิทธิ์และระบบทาส (โสฟิสต์เป็นกลุ่มนักคิด ชอบใช้วาทะในการโต้เถียง มีในสมัยศตวรรษที่ 4 – 5 ก่อนคริสตกาล)

ประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนก็ถือว่า กฎหมายธรรมชาติมีส่วนในการพัฒนาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคคล ทรัพย์ หนี้ มรดกหรือลาภมิควรได้

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคมืดและยุคกลาง มีสาระสําคัญดังนี้

1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคมืดอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 – 12 โดยประมาณ ส่วนยุคกลางอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 – 16 โดยประมาณ ในยุคนี้กฎหมายธรรมชาติถูกปรับเปลี่ยนให้เป็น แบบคริสเตียน (คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติก็เปลี่ยนไปอิงอยู่กับคําสอนทางศาสนา หรือบัญชาของพระเจ้า เนื่องจากเป็นยุคที่ฝ่ายศาสนจักรขึ้นมามีอํานาจเหนือฝ่ายอาณาจักร โดยยืนยันได้จาก ความคิดของเซนต์ ออกัสติน ที่ว่า “กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามกฎศาสนาเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับไม่ได้”

2) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ เนื่องจากกฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้ เป็นแบบคริสเตียน จึงปรากฏงานนิพนธ์ของ เซนต์ โทมัส อไควนัส (ค.ศ. 1226 – 1274) เรื่อง “Summa Theologica” สรุปว่า “หลักธรรมหรือโองการหรือเจตจํานงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” เป็นการหักมุมแนวคิด ของอริสโตเติลที่ว่า “มนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัยเหตุผลในตัวมนุษย์เอง” กล่าวคือ อไควนส เห็นว่าเครื่องมือในการค้นหากฎหมายธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ใน “เหตุผลของพระเจ้า” ไม่ใช่เหตุผลของมนุษย์

3) คุณค่าความสําคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรากฏในงานเขียนของอไควนัส ซึ่งเขาได้เบ่งกฎหมายออกเป็น 4 ประเภท กฎหมายธรรมชาติก็เป็นหนึ่งในนั้น อไควนัสบอกว่า กฎหมายธรรมชาติ มนุษย์สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยเหตุผลเหมือนกับอริสโตเติล แต่อไควนัสนั้นบอกว่า เหตุผลของมนุษย์เป็น คุณสมบัติธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้อีกที่หนึ่ง ไม่ใช่มีอยู่และในธรรมชาติเหมือนอริสโตเติลนําเสนอไว้

อไควนัส ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นเสมือนภาพสะท้อนอันไม่สมบูรณ์ซึ่งเหตุผล อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า แต่กฎหมายธรรมชาตินี้ก็มีความสําคัญในฐานะเป็นหลักชี้นําการกระทําต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยมีหลักธรรมพื้นฐานคือ การทําดีและละเว้นความชั่ว ซึ่งกฎหมายธรรมชาตินี้ อไควนัสถือว่ามีค่าบังคับสูงกว่า กฎหมายที่มนุษย์หรือรัฐบัญญัติขึ้น กล่าวคือ ถ้าขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติก็จะไม่ถือว่ากฎหมายนั้น เป็นกฎหมาย แต่เป็นความวิปริตของกฎหมายไป

3 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นฟูและยุคปฏิรูป มีสาระสําคัญดังนี้

1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคฟื้นฟูอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 16 โดยประมาณ ส่วนยุคปฏิรูปอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยประมาณ ยุคนี้สถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนไป ฝ่ายอาณาจักร ขึ้นมามีอํานาจและสลัดตัวออกจากศาสนจักรได้สําเร็จ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเองก็สามารถสลัดตัวออกจาก คริสต์ศาสนาเช่นกัน รูปแบบความคิดก็กลับไปเป็นแบบเหตุผลนิยม คล้าย ๆ กับที่อริสโตเติลหรือสํานักสโตอิค แห่งกรีกโบราณนําเสนอไว้

2) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ ว่าจะตราหรือบัญญัติกฎหมายอย่างไรขึ้นใช้ในสังคม ถูกนําเสนอโดยฮูโก โกรเซียส ชาวเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 1583 – 1645) มีแนวคิดว่า “เหตุผลและสติปัญญาของ มนุษย์คือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” โดยถือว่าเหตุผลและสติปัญญานี้ปรากฏอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์เอง สิ่งที่โกรเซียสยืนยันก็คือ “ธรรมชาติของมนุษย์คือมารดาของกฎหมายธรรมชาติ และซึ่งจะคงปรากฏอยู่มาตร (แม้) ว่าจะไม่มีพระเจ้าแล้วก็ตาม”

3) ลักษณะและความสําคัญในเชิงบทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ถือว่ามีบทบาทที่สําคัญยิ่ง เริ่มที่โกรเซียสได้นําเอาหลักกฎหมายธรรมชาติ บางเรื่องไปเป็นรากฐานในการสร้างกฎหมายระหว่างประเทศ ควบคุมกิจการหรือกติกาในการทําสงครามระหว่างรัฐ จนได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาของกฎหมายระหว่างประเทศเลยทีเดียว

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคนี้มีการพัฒนาเรื่องสิทธิธรรมชาติของมนุษย์โดยการเพิ่ม บทบาทความคิดแบบปัจเจกชนนิยมมากขึ้นในตัว โดยผ่านนักคิดหลาย ๆ คนในยุคนี้ เช่น พูเฟนดอร์ฟ, โทมัส ฮอบส์, สปินโนซ่า, จอห์น ลอค, มองเตสกิเออ, รุสโซ, วูล์ฟ เป็นต้น ซึ่งผลโดยรวมที่ได้ก็คืออิทธิพลโดยผ่านนักคิดเหล่านี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้นําไปสู่การเน้นเนื้อหากฎหมายที่เป็นธรรม, นําไปสู่ข้อยืนยันว่ากําลังหรืออํานาจไม่ใช่ ที่มาของกฎหมายหรือความถูกต้อง นับเป็นการเข้าไปต่อต้านเผด็จการหรือการกดขี่, สนับสนุนเรื่องความเสมอภาค ของบุคคลต่อหน้ากฎหมาย มีส่วนแก้ไขให้บทลงโทษทางอาญามีมนุษยธรรมมากขึ้น และที่สําคัญคือเป็นที่มา หรือรากฐานหรือหลักทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ยุคนี้ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นยุคแห่งเหตุผล” เนื่องจาก อิทธิพลความคิดแบบเหตุผลนิยมได้ครอบงําไปทั่วยุโรป

4 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคชาติรัฐนิยม (ความเสื่อมและการฟื้นตัวของกฎหมาย ธรรมชาติ) มีสาระสําคัญดังนี้

1) ภาพโดยรวมของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ยุคนี้เป็นเหตุการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษ ที่ 18 กฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้เสื่อมความนิยมลงในช่วงหนึ่งแล้วกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในตอนท้าย

2) เหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเสื่อมความนิยมลง มีสาเหตุหลัก 2 เรื่องคือ

– กระแสสูงของลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามและเข้ามาบดบังลัทธิ ปัจเจกชนนิยมที่เป็นแกนกลางสําคัญในปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

ความเจริญก้าวหน้าอย่างมากทางวิทยาศาสตร์และวิธีคิดเชิงประจักษ์วาท แบบวิทยาศาสตร์ เป็นพื้นฐานทําให้เกิดลัทธิอรรถประโยชน์และทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ซึ่งมีแนวคิดตรงข้ามกับ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้ถูกผลักไสให้เป็นเรื่องของ ศาสนาหรือศีลธรรมมากกว่าจะเป็นกฎหมายอันแท้จริงของรัฐ

3) เหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้รับการเชื่อถืออีกครั้ง สาเหตุที่ทําให้ กฎหมายธรรมชาติได้รับการนิยมขึ้นมาอีก เพราะวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้ ปฏิฐานนิยม ทางกฎหมายก็ถูกนําไปใช้สนับสนุนเรื่องอํานาจนิยม การใช้อํานาจโดยมิชอบ ที่สําคัญก็คือสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ก็มีที่มาจากการเอาแนวคิดปฏิฐานนิยมไปใช้อย่างผิด ๆ ดังนั้นกระแสความคิดแบบเหตุผลนิยมของกฎหมายธรรมชาติ หรือระบบคิดแบบอุดมคตินิยมจึงปรากฏความสําคัญขึ้นอีกครั้ง

4) บทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติภายหลังที่ฟื้นตัวแล้ว พออธิบายได้ดังนี้

– สแตมม์เลอร์ ชาวเยอรมันประกาศความคิดเรื่อง “กฎหมายธรรมชาติซึ่งมี เนื้อหาอันเปลี่ยนแปลงได้ในฐานะเป็นหลักความยุติธรรม” ซึ่งสะท้อนความต้องการอันไม่แน่นอนของชนชาติหนึ่ง ในยุคสมัยหนึ่ง ๆ ขณะที่มาตรฐานแห่งความยุติธรรมเป็นการเน้นความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ระหว่างปัจเจกชน กับสังคม

– ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ได้ถูกนําไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในระดับ ข้อเท็จจริงและวิกฤติการณ์ทางคุณค่าด้วย โดยเฉพาะในเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กฎหมายธรรมชาติได้ เข้าไปมีบทบาทในการตัดสินคดีเพื่อลงโทษทหารนาซีเยอรมัน โดยถือว่ากฎหมายที่ขัดกับมนุษยธรรมที่นาซีบัญญัติขึ้น ไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย นอกจากนั้นการปรากฏตัวขึ้นของปฏิญญาสากลว่าด้วยมนุษยชน ค.ศ. 1948 ก็เขียนขึ้นภายใต้ อิทธิพลของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

5 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคปัจจุบัน (ปรัชญากฏาหมายธรรมชาติร่วมสมัย) ในยุคปัจจุบัน ปรัชญากฎหมายธรรมชาติมีบทบาทอยู่ใน 2 ลักษณะ คือ

1) ในแง่ที่เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม คือ เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นเรื่องความยุติธรรมในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของกฎหมาย หรือยืนยันในความเชื่อมั่น ในเรื่องความสัมพันธ์ที่จําต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมหรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่าง ๆ

2) ในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเน้นไปที่สิทธิทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การพัฒนา สันติภาพ เป็นต้น ซึ่งหลายประเทศเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ

ที่สําคัญคือ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยนี้จะมีลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอม มากขึ้น กล่าวคือ ไม่ยืนยันว่ากฎหมายที่ขัดกับหลักอุดมคติหรือหลักความยุติธรรมต้องตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ ตามความคิดแบบเก่า ซึ่งตรงนี้ก็ปรากฏจากความคิดของจอห์น ฟินนีส นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยที่ บอกว่า “กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมมิได้ตกเป็นโมฆะ ในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งซึ่งบุคคลไม่ต้องปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิง กฎหมายที่ ไม่ยุติธรรมเพียงแต่ขาดสิ่งซึ่งเป็นอํานาจผูกมัดทางมโนธรรม” ซึ่งกฎหมายทั่วไปมีอยู่ตามปกติ หน้าที่ทางศีลธรรม ที่ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงอาจจําต้องมีอยู่หากว่าการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จะนํามาซึ่ง ความอ่อนแอ ไร้เสถียรภาพในระบบกฎหมายซึ่งมีความเป็นธรรมเสียส่วนมาก

 

ข้อ 2. ความยุติธรรมคืออะไร มีความสัมพันธ์กับกฎหมายหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

“ความยุติธรรม” เป็นคําหนึ่งที่ค้นหาความหมายที่เป็นรูปธรรมได้ยากพอสมควร แต่ถึงอย่างไร ก็ตาม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็ได้ให้ความหมายไว้เป็นแนวทางว่า ความยุติธรรม หมายถึง

1 ความเที่ยงธรรม หมายถึง การไม่เอนเอียง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

2 ความชอบธรรม หมายถึง ชอบด้วยนิตินัย หรือชอบด้วยธรรมะ

3 ความชอบด้วยเหตุผล ซึ่งแล้วแต่มุมมองของใคร สังคมใดจะเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีนักคิดทั้งหลายได้พยายามนําเสนอความหมายไว้ที่สําคัญ ๆ ได้แก่

เพลโต (Plato) ได้ให้คํานิยามของความยุติธรรมว่าหมายถึง “การทํากรรมดีหรือการทําสิ่งที่ ถูกต้อง” โดยเขามองความยุติธรรมเป็นเสมือนองค์รวมของคุณธรรม ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสําคัญที่สุดยิ่งกว่าคุณธรรม อื่นใด และโดยทั่วไปแล้วความยุติธรรมเป็นคุณธรรมหรือสัจธรรมที่บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นจะค้นพบได้

อริสโตเติล (Aristotle) มองความยุติธรรมว่าเป็นคุณธรรมเฉพาะเรื่อง หรือคุณธรรมทางสังคม ประการหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และคุณธรรมนี้จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมนุษย์ ได้ปลดปล่อยตัวเขาเองจากแรงผลักดันของความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง โดยอริสโตเติลได้แบ่งความยุติธรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ หมายถึง ความยุติธรรมที่มีลักษณะเป็นสากล ใช้ได้ต่อมนุษย์ ทุกคนไม่มีขอบเขตจํากัด และอาจค้นพบได้โดย “เหตุผลบริสุทธิ์” ของมนุษย์

2 ความยุติธรรมตามแบบแผน หมายถึง ความยุติธรรมซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ของบ้านเมือง ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและความเหมาะสม เป็นต้น

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความยุติธรรมกับกฎหมายนั้น มีปรากฏรูปความสัมพันธ์ใน 2 แบบ ตามแนวคิดทางทฤษฎี คือ

1 ทฤษฎีที่ถือว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันกับกฎหมาย ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายและ ความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน เนื่องจากล้วนมีกําเนิดมาจากพระเจ้า จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยหลัง ๆ จนถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้ โดยมากจะแสดงออกผ่านการตีความเรื่องความยุติธรรมจากนักคิดคนสําคัญของสํานักปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ที่มุ่งยืนยันความเด็ดขาดว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย รวมทั้งนักกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลของสํานักนี้ด้วย อาทิเช่น

ฮันส์ เคลเซ่น (Hans Kelsen) กล่าวว่า “ความยุติธรรมคือการรักษาไว้ซึ่งคําสั่งที่เป็น กฎหมาย โดยการปรับใช้คําสั่งนั้นอย่างมีมโนธรรม”

อัลฟ รอสส์ (Alf Ross) กล่าวว่า “ความยุติธรรมคือการปรับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง อันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการกระทําสิ่งใดตามอําเภอใจ”

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ตรัสว่า “ในเมืองไทย คําพิพากษาเก่า ๆ และคําพิพากษา เดี๋ยวนี้ด้วย อ้างความยุติธรรมขึ้นตั้งเสมอ ๆ แต่คําที่เรียกว่ายุติธรรมเป็นคําไม่ดี เพราะเป็นการที่ทุกคนเห็นต่างกัน ตามนิสัย ซึ่งไม่เป็นกิริยาของกฎหมาย กฎหมายต้องเป็นยุติ จะเถียงแปลกออกไปไม่ได้ แต่เราเถียงได้ว่าอย่างไร เป็นยุติธรรมไม่ยุติธรรมทุกเมื่อ ทุกเรื่อง…”

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2473 “กฎหมายต้องแปลให้เคร่งครัดตามกฎหมายที่มีอยู่ จะแปลให้คล้อยตามความยุติธรรมไม่ได้”

2 ทฤษฎีที่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นอุดมคติในกฎหมาย เป็นแนวคิดที่ความยุติธรรม ได้รับการเชิดชูไว้สูงกว่ากฎหมาย ในแง่นี้ความยุติธรรมถูกพิจารณาว่าเป็นแก่นสารอุดมคติในกฎหมาย หรือเป็น ความคิดอุดมคติซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายสูงส่งของกฎหมาย กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินตามหลังความยุติธรรม ซึ่งเป็นการมองความยุติธรรมในภาพเชิงอุดมคติ อันเป็นวิธีคิดในทํานองเดียวกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ อีกทั้ง เป็นวิธีคิดอุดมคตินิยมซึ่งเคยมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเช่นกัน หรือในชื่อที่เรียกกันว่า “ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ ที่ยืนยันว่ากฎหมายมิใช่กฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่ถูกต้องหรือยุติธรรมโดยตัวของมันเอง ยังมีแก่นสาร ของความยุติธรรมที่อยู่เหนือและคอยกํากับเนื้อหาของกฎหมายในแบบกฎหมายเบื้องหลังกฎหมาย

แนวความคิดที่ว่าความยุติธรรมเป็นจุดมุ่งหมายของกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยเองก็มี มาช้านานแล้ว ดังเช่น

คดีอําแดงป้อม ในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่อําแดงป้อมมีชู้แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีผู้เป็นสามี ตุลาการก็ให้หย่า เพราะกฎหมายในขณะนั้นบัญญัติว่า “หญิงหย่าชาย หย่าได้” ผลของคําพิพากษานี้ รวมทั้ง กฎหมายที่สนับสนุนอยู่ เหนือหัวรัชกาลที่ 1 เห็นว่าไม่ยุติธรรม เป็นเหตุให้ต้องมีการชําระสะสางกฎหมายใหม่ จนกลายเป็นกฎหมายตราสามดวงในเวลาต่อมา

ในยุคปัจจุบัน แนวคิดในเรื่องความยุติธรรมเป็นหลักอุดมคติเหนือกฎหมายนี้ก็ยังปรากฏจาก บุคคลสําคัญของไทย เช่น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีแนวพระราชดําริต่อความยุติธรรมว่ามีสถานภาพ สูงกว่าหรือเป็นสิ่งที่เหนือกฎหมาย ใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า “โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความ ยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสําคัญยิ่งกว่ายุติธรรม หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใด ๆ โดยคํานึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้นดูวะ ไม่เป็นการเพียงพอ จําต้องคํานึงถึงความยุติธรรมเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมาย และได้ผลที่ควรจะได้”

ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ ปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายแนะนําไว้ในหนังสือหลักวิชาชีพกฎหมายของท่าน ไว้ว่า “การที่มีคําใช้อยู่ 2 คํา คือ “กฎหมาย” คําหนึ่ง “ความยุติธรรม” คําหนึ่ง ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าหาใช่สิ่ง เดียวกันเสมอไปไม่ การที่นักกฎหมายจะยึดถือแต่กฎหมาย ไม่คํานึงถึงความยุติธรรมตามความหมายทั่วไปนั้น เป็นความเห็นความเข้าใจแคบกว่าที่ควรจะเป็น”

 

ข้อ 3. จงอธิบายแนวพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันตาม “ปรัชญากฎหมายไทย”

ธงคําตอบ

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนั้น สืบแต่พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของชาติที่ทรงใส่พระทัยอย่างสูงต่อเรื่องกฎหมายและความยุติธรรม พระบรม ราโชวาทและพระราชดํารัสของพระองค์ที่ทรงมีต่อนักกฎหมายหรือคณะบุคคลต่าง ๆ ในหลายวโรกาสได้สําแดงออก ซึ่งความคิดเชิงปรัชญากฎหมายอย่างลึกซึ้ง จนมีผู้เรียกขานว่าเป็น ปรัชญากฎหมายข้างฝ่ายไทย

แนวพระราชดําริทางปรัชญากฎหมายของพระองค์ประกอบด้วยประเด็นทางความคิดหลายเรื่อง เช่น เรื่องความยุติธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมและเสรีภาพ, กฎหมายกับความเป็นจริง ในประชาสังคม, ความสําคัญของการปกครองโดยกฎหมาย, ปัญหาเรื่องความไม่รู้กฎหมายของประชาชนและ การปรับใช้กฎหมาย ตลอดจนเรื่องบทบาทของกฎหมายและนักกฎหมายในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม หัวใจแห่ง พระราชดําริคงอยู่ที่เรื่อง “กฎหมายกับความยุติธรรม” ซึ่งเชื่อมโยงโดยใกล้ชิดกับเรื่องกฎหมายกับความเป็นจริง ของชีวิตประชาชนในสังคม

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดถือธรรมหรือ ความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย อันเป็นความคิดคนละขั้วกับปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่เน้น แต่เรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายหรือถือเอากฎหมายเป็นตัวความยุติธรรม ในพระราชดําริของพระองค์ กฎหมายมิใช่ ตัวความยุติธรรมโดยตรงและผู้ใช้กฎหมายซึ่งคํานึงถึงความยุติธรรมเป็นใหญ่ ก็ต้องไม่ติดอยู่กับตัวอักษรกฎหมาย อย่างเดียว ในการอํานวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริง ๆ ความเช่นนี้อาจพิจารณาได้จากพระบรมราโชวาทในหลาย ๆ พระวโรกาส เช่น

1 พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่นักศึกษาผู้สําเร็จการศึกษาเป็น เนติบัณฑิต ณ เนติบัณฑิตยสภา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2515 ความว่า “โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษา ความยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสําคัญไปยิ่งกว่ายุติธรรม หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อน กฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใด ๆ โดยคํานึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้น ดูจะไม่เป็นการเพียงพอ จําต้องคํานึงถึงความยุติธรรมซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและผลที่ควรจะได้”

2 พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิต ณ อาคารใหม่สวนอัมพร วันที่ 29 ตุลาคม 2522 ความว่า “ผู้ที่ได้ผ่านสํานักอบรมศึกษากฎหมายทุกคน ควรจะได้รับ การชี้แจงเน้นหนักให้ทราบชัดว่า กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม หากเป็นแต่เพียงบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้ เพื่อรักษาความยุติธรรม จึงไม่สมควรจะถือว่าการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินมีวงกว้างอยู่เพียงแค่ขอบเขตของ กฎหมาย จําเป็นต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย”

ความที่พระองค์ทรงถือเอาความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมายโดยนัยหนึ่งย่อมหมายถึง พระราชประสงค์ที่จะให้กฎหมายกําเนิดขึ้นหรือเป็นไปเพื่อความถูกต้องดีงาม หาใช่การปล่อยให้กฎหมายและการใช้ กฎหมายเป็นไปในลักษณะที่สวนทางกับความยุติธรรมหรือศีลธรรมจรรยา หรือหาใช่ปล่อยให้กฎหมายเป็นกลไก แห่งการกดขี่ของผู้ปกครองไป หลักคุณค่าเรื่องความสงบสุขของบ้านเมืองหรือเสรีภาพ นับเป็นวัตถุประสงค์แห่ง กฎหมายตามพระราชดําริของพระองค์ที่ว่า “เราจะต้องพิจารณาในหลักว่ากฎหมายมีไว้สําหรับให้มีความสงบสุข ในบ้านเมือง มิใช่ว่ากฎหมายมีไว้สําหรับบังคับประชาชน ถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการ กลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับบุคคลหมู่มาก ในทางตรงข้าม กฎหมายมีไว้สําหรับให้บุคคลส่วนมาก

มีเสรีภาพและอยู่ได้ด้วยความสงบ” พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวันระพี คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2515

อนึ่ง ที่ละเว้นไปเสียมิได้เลยก็คือในพระบรมราโชวาทซึ่งทรงพระราชทานในหลายวโรกาส พระองค์ได้ตรัสพาดพิงไปถึงเรื่องการบุกรุกป่าสงวนของราษฎร ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับราษฎร เป็นประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งของกฎหมายกับความเป็นจริงของประชาสังคม ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งในปัจจุบัน โดยรวมความตามแนวพระบรมราโชวาทแล้วก็มีสาระสําคัญว่า “กฎหมายกับความเป็นอยู่จริงอาจขัดกันได้ กฎหมายมีช่องโหว่มาก เพราะไปปรับปรุงกฎหมายและการปกครองโดยลอกแบบต่างชาติมาโดยไม่ดูว่าเหมาะสม กับความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่ บางทีการปกครองก็ไปไม่ถึงชุมชนห่างไกล กฎหมายที่รัฐตราขึ้นเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ทําให้เขาตั้งกฎหมายใช้กันเอง ซึ่งบางจุดก็ขัดกับกฎหมายของรัฐ การตราพระราชบัญญัติป่าสงวนที่ผ่านมา ปัญหา มันเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐนั่งเก้าอี้ขีดบนแผนที่ว่าตรงไหนเป็นป่าสงวน โดยไม่ลงพื้นที่ดูว่าเป็นอย่างไร ความจริงก็คือ มีราษฎรเขาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้นมาหลายชั่วอายุคนแล้ว อยู่ ๆ ก็ไปตราเป็นกฎหมาย ไปชี้ว่าเป็นป่าสงวนกลายเป็น ว่าราษฎรบุกรุกป่าสงวน แน่นอนว่าถ้าดูตามกฎหมายราษฎรก็ผิดเพราะว่าตรามาเป็นกฎหมายโดยชอบธรรม แต่ว่า ถ้าตามธรรมชาติแล้ว คนที่ทําผิดกฎหมายคือเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปขีดเส้นว่าป่าที่ราษฎรอยู่เป็นป่าสงวน เพราะว่า ราษฎรเขาอยู่มาก่อน เขามีสิทธิในทางเป็นมนุษย์ ความหมายก็คือ ทางราชการนั้นแหละไปรุกรานบุกรุกราษฎร ไม่ใช่ราษฎรบุกรุกกฎหมายบ้านเมือง” สาระสําคัญโดยรวมคือ เป็นแนวพระราชดําริที่ทรงเตือนสติให้จํานึงถึงเรื่อง กฎหมายและความสอดคล้องกับความเป็นจริงของประชาสังคม ซึ่งโดยนัยแล้วก็ไม่แตกต่างกับที่ทรงย้ําว่ากฎหมาย ไม่ใช่ตัวความยุติธรรมหรืออย่ายึดติดอยู่กับถ้อยคําในกฎหมายเพียงอย่างเดียว ต้องเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมคือ จุดหมายปลายทางแห่งการใช้อํานาจรัฐทางด้านกฎหมายและความยุติธรรมต้องผูกติดอยู่กับธรรมะ ความถูกต้อง และความเป็นจริง

LAW4007 นิติปรัชญา 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. ให้นักศึกษาอธิบายแนวความคิดของลีออง ดิว (Leon Duguit) ในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (Sociological Jurisprudence) และให้วิจารณ์ว่าแนวคิดของดิวก็มีความแตกต่างกับทฤษฎีวิศวกรรม ทางสังคม (Social Engineering Theory) และทฤษฎีผลประโยชน์ (The Theory of Interest) ของรอสโค พาวด์ (RosCoe Pound) อย่างไร และให้แสดงความคิดเห็นว่าแนวคิดของลีออง ดิว สามารถนํามาปรับใช้เพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (Sociological Jurisprudence) หมายถึง การนําเอาสังคมวิทยา ไปใช้ในทางนิติศาสตร์ (นิติปรัชญา) เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้ก็จะนําไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่นเอง เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของตะวันตก มีที่มาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในยุโรป ซึ่งความก้าวหน้าของสังคมและเศรษฐกิจในช่วงนั้นได้ก่อให้เกิดปัญหาสังคมโดยเฉพาะจากกลุ่มนายทุนและ ผู้ใช้แรงงาน มีการเอารัดเอาเปรียบ การกดขี่ข่มเหง จึงทําให้เกิดแนวคิดนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาขึ้น โดยมีหลักการ คือ การนํากฎหมายมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม โดยเฉพาะการสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของ สังคมส่วนรวมหรืออรรถประโยชน์ของสังคม และเป็นเครื่องมือสําหรับคานผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคมให้เกิด ความสมดุล

นักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาคนสําคัญหลายท่านได้แสดงแนวความคิดต่อทฤษฎีนี้อย่าง กว้างขวาง ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

– แนวความคิดของลีออง ดิวกี้ (leon [Duguit)

ดิว (Duguit) เป็นศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งมหาวิทยาลัยบอร์โดซ์ ในประเทศฝรั่งเศส เขาได้เสนอ “ทฤษฎีว่าด้วยความสมานฉันท์ของสังคม” โดยได้รับอิทธิพลความคิดของเยียริ่ง เกี่ยวกับทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา อธิบายบทบาทของกฎหมายทั้งหมดในแง่ของการปกป้องผลประโยชน์ ของสังคม การปฏิเสธแนวคิดดั้งเดิมเรื่องธรรมชาติของรัฐ อํานาจอธิปไตย และสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล

ทฤษฎีว่าด้วยความสมานฉันท์ของสังคมของดิวกี้มีจุดเริ่มจากเรื่องความสมานฉันท์ของสังคม โดยผ่านรูปการแบ่งแยกแรงงาน และอิงอยู่กับวิธีคิดแบบปรัชญาปฏิฐานนิยมที่มุ่งการเข้าสู่ปัญหาสังคมจากความ เปลี่ยนแปลงรูปแบบเดิมที่มีลักษณะเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ บนพื้นฐานของความต้องการและการทํางานใช้ชีวิตที่ สอดคล้องกลมกลืนกัน เฉกเช่นวิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรมได้นํามาสู่ลักษณะความสมานฉันท์ อันมีรูปแบบใหม่ มีลักษณะคล้ายเป็นการรวมตัวขององคาพยพต่าง ๆ ดังนั้นในแง่ของกฎหมายหลักนี้จึงกลายเป็นเครื่องมือชั้นหนึ่ง ในสังคมที่คอยรักษาและควบคุมการทํางานของระบบการแบ่งงานในสังคมที่ซับซ้อน ซึ่งหากมีการเชื่อมโยงกันอย่าง ใกล้ชิดได้ก็สามารถดําเนินวิถีชีวิตในสังคมภายใต้กฎหมายอันนี้ได้อย่างราบรื่น

การจัดองค์กรหรือระเบียบทั้งหมดในสังคมจึงควรต้องมุ่งสู่การร่วมมือกันอย่างเต็มพร้อมและ ราบรื่นมากขึ้นระหว่างประชาชน และเรียกว่า “หลักความสมานฉันท์ของสังคม” ซึ่งอาจจัดเป็นเสมือนหลักนิติธรรม ที่สมบูรณ์สูงสุดและไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านต่อความเป็นภววิสัย

ดิวกี้เน้นเรื่องการกระจายอํานาจของรัฐ โดยเน้นหลักเกี่ยวกับความรับผิดชอบของรัฐ ปฏิเสธ เรื่องกลไกของรัฐที่มีลักษณะรวมศูนย์อํานาจให้ความสําคัญต่อการตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อการใช้อํานาจรัฐ ที่มิชอบ และถือว่ารัฐไม่ใช่เป็นสิ่งจําเป็นที่ขาดไม่ได้ ดิวก็ปฏิเสธการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างกฎหมาย เอกชนและกฎหมายมหาชน โดยเห็นว่ากฎหมายมหาชนเท่านั้นที่ควรจะใช้ในการบริหาร

นอกจากนั้นดิวกี้ก็ยังปฏิเสธการดํารงอยู่เรื่อง สิทธิ (Rights) ส่วนตัว นับว่าเป็นการเน้นเรื่อง ประโยชน์ของสังคมอย่างเดียว ปฏิเสธความแตกต่างของกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน ยังผลให้การใช้ สิทธิเสรีภาพทางแพ่งหรือทางทรัพย์สินก็ต้องอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของการปกป้องผลประโยชน์ของสังคมด้วย

แนวความคิดของรอสโค พาวด์ (Roscoe Pound)

รอสโค พาวด์ (Roscoe Pound) เป็นผู้ที่พัฒนาทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาให้มีรายละเอียด เพิ่มขึ้นในเชิงปฏิบัติ โดยพาวด์ได้สร้างทฤษฎีผลประโยชน์ (The Theory of Interest) ที่รู้จักกันในนามทฤษฎี วิศวกรรมทางสังคม (Social Engineering Theory) ขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสําหรับคานผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม ให้เกิดความสมดุล

– เขาให้ความหมายของผลประโยชน์ว่าคือ “ข้อเรียกร้อง, ความต้องการ หรือความปรารถนา ที่มนุษย์ต่างยืนยันเพื่อให้ได้มาอย่างแท้จริง และเป็นภารกิจที่กฎหมายต้องกระทําการอันใดอันหนึ่ง เพื่อสิ่งเหล่านี้ หากต้องการธํารงไว้ซึ่งสังคมอันเป็นระเบียบเรียบร้อย”

พาวด์ แบ่งประเภทของผลประโยชน์ตามแนวคิดของเขาออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1 ผลประโยชน์ของปัจเจกชน คือ ข้อเรียกร้องความต้องการ ความปรารถนา และความคาดหมายในการดํารงชีวิตของปัจเจกชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ด้านบุคลิกภาพส่วนตัว ครอบครัวและทรัพย์สิน ฯลฯ

2 ผลประโยชน์ของมหาชน คือ ขอเรียกร้องความต้องการ หรือความปรารถนาที่ปัจเจกชนยึดมั่นอันเกี่ยวพันหรือเกิดจากจุดยืนในการดํารงชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

3 ผลประโยชน์ของสังคม คือ ข้อเรียกร้อง ความต้องการหรือความปรารถนาที่พิจารณา จากแง่ความคาดหมายในการดํารงชีวิตทางสังคม อันรวมถึงผลประโยชน์ในแง่ความปลอดภัย ศีลธรรม ความก้าวหน้าทั่วไป ฯลฯ

ทฤษฎีของพาวด์ให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาสังคมโดยมองปัญหาสังคมจากโครงสร้าง และฐานรากเดิมที่มีอยู่ โดยมุ่งปรับสังคมใหม่โดยการถ่วงดุลกันของผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายให้เกิดความสมดุล ดังนั้นพาวด์จึงสร้างทฤษฎีวิศวกรรมทางสังคมและทฤษฎีผลประโยชน์ โดยมอบหน้าที่ของนักกฎหมายให้ เปรียบเสมือนวิศวกรสังคมที่มีภารกิจในการที่จะต้องลงไปศึกษาเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยมองที่โครงสร้าง ของสังคมปัจจุบัน และออกแบบโครงสร้างของสังคมใหม่ที่มีปัญหาน้อยที่สุด การศึกษาดังกล่าวต้องประกอบด้วย การศึกษาทฤษฎีผลประโยชน์ ได้แก่ ผลประโยชน์ของปัจเจกชน ผลประโยชน์ของมหาชน และผลประโยชน์ของสังคม ซึ่งเมื่อศึกษาและได้ทราบถึงผลประโยชน์ คือ ข้อเรียกร้อง ความต้องการ ความคาดหมาย ของแต่ละฝ่ายแล้ว ต้องนํามาชั่งน้ำหนักเพื่อถ่วงดุลผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย โดยจะต้องให้เกิดการสูญเสียผลประโยชน์ของฝ่ายหนึ่ง น้อยที่สุด และเติมเต็มผลประโยชน์ของอีกฝ่ายหนึ่งให้ลงตัว

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแนวความคิดของดิวก็ในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาจะแตกต่างกับ ทฤษฎีวิศวกรรมทางสังคม และทฤษฎีผลประโยชน์ของรอสโค พาวด์ ตรงที่ว่า แนวความคิดของดิวก็ค่อนข้างโอนเอียง ไปกับความคิดสังคมนิยม เป็นแนวความคิดของการปกป้องผลประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก โดยเน้นเรื่องความ สมานฉันท์ของสังคมโดยผ่านรูปการแบ่งแยกแรงงาน บนพื้นฐานของความต้องการและการทํางานใช้ชีวิตที่สอดคล้อง กลมกลืนกัน เฉกเช่นวิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรม ปฏิเสธแนวความคิดดั้งเดิมเรื่องธรรมชาติของรัฐ อํานาจอธิปไตย และสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล แต่แนวความคิดของรอสโค พาวด์ นั้น ไม่ได้เน้นที่การปกป้องผลประโยชน์ของ สังคมเท่านั้น แต่เป็นแนวความคิดที่ให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาสังคมโดยมุ่งปรับสังคมใหม่โดยการถ่วงดุลกัน ของผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายให้เกิดความสมดุล ซึ่งได้แก่ ผลประโยชน์ของปัจเจกชน ผลประโยชน์ของมหาชน และผลประโยชน์ของสังคม โดยพิจารณาถึงข้อเรียกร้องความต้องการ ความคาดหมายของแต่ละฝ่าย และจะต้อง ให้เกิดการสูญเสียผลประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งน้อยที่สุด และเติมเต็มผลประโยชน์ของอีกฝ่ายหนึ่งให้ลงตัว

เนื่องจากสังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมที่มีความแตกต่างทางความคิด และมีความพยายาม นําหลักการสมานฉันท์มาใช้ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงแนวความคิดของดิวกี้แล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นแนวความคิดที่เน้นถึง ความสมานฉันท์ของสังคม โดยการเสนอความหมายของความสมานฉันท์ว่า เป็นการทําให้ความต้องการของมนุษย์ที่ แตกต่างกันปรับตัวเข้าหากันได้ และหากมีการเชื่อมโยงความสลับซับซ้อนของสังคมให้สัมพันธ์กันได้ก็จะสามารถ ดําเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น สงบสุข ดังนั้นแนวคิดของลีออง ดิวกี้ จึงสามารถนํามาปรับใช้เพื่อสร้างความสมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ เพียงแต่การนําแนวทางของความสมานฉันท์มาปรับใช้นั้นต้องสอดคล้องกับแนวคิดของ ลีออง ดิวกี้ ด้วย กล่าวคือ จะนําเหตุผลมาใช้ไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลที่แตกต่างกันจากสภาพโครงสร้างของ สังคมที่ซับซ้อน การแก้จึงต้องเริ่มที่ใจ ทั้งการจัดองค์กรหรือระเบียบทั้งหมดในสังคมต้องมุ่งสู่การร่วมมือกันอย่าง เต็มพร้อม และประชาชนทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะผู้นําประเทศ เช่น นายกรัฐมนตรี จะต้องมีบทบาทในการสร้างความสมานฉันท์

 

ข้อ 2. การดื้อแพ่งกฎหมายของประชาชน (Civil Disobedience) หมายถึงอะไร มีเงื่อนไขแห่งความชอบธรรมได้แก่อะไรบ้าง และจากการศึกษาทาที่ของสัจนิยมอเมริกัน (American Legal Realism) ในการพิจารณาความเป็นจริงของกฎหมาย นักศึกษาคิดว่าหลักการดื้อแพ่งกฎหมายของประชาชนตอบสนองต่อมุมมองปัญหาทางกฎหมายของสัจนิยมทางกฎหมาย (Realism) หรือไม่

ธงคําตอบ

การดื้อแพ่งกฎหมายของประชาชน (Civil Disobedience) หมายถึง การกระทําที่เป็นการ ฝ่าฝืนกฎหมายโดยสันติวิธี เป็นการกระทําเชิงศีลธรรม ในลักษณะของการประท้วงคัดค้านต่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม หรือต่อการกระทําของรัฐบาลที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง

จอห์น รอลส์ (John Rawls) ให้นิยามการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชนว่า คือการฝ่าฝืน กฎหมายด้วยมโนธรรมสํานึก ซึ่งกระทําโดยเปิดเผยในที่สาธารณะ โดยไม่ใช้ความรุนแรง และเป็นการกระทํา ในเชิงการเมืองที่ปกติมุ่งหมายจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล

รอลส์ให้ความเห็นชอบในการซื้อแพ่งกฎหมายของประชาชน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่ง ความชอบธรรมตามที่กําหนดต่อไปนี้

1 ต้องเป็นการกระทําที่มีจุดประสงค์ของการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นแก่สังคม อันเป็นการกระทําในเชิงการเมือง แต่ต้องมิใช่เป็นการมุ่งทําลายระบบกฎหมายทั้งหมดหรือ รัฐธรรมนูญ (Constitution Theory of Civil Disobedience)

2 ต้องเป็นกฎหมายที่ขาดความชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง อันฝ่าฝืนหลักธรรมขั้นพื้นฐานหรืออิสรภาพขั้นมูลฐาน เช่น เรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม (Equal Liberty)

3 ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติการซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย

4 การต่อต้านกฎหมายต้องกระทําโดยสันติวิธีโดยเปิดเผย (Public Act)

จากการศึกษาสัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน (American Legal Realism) ในการพิจารณา ความเป็นจริงของกฎหมาย จะเห็นได้ว่าหลักการดื้อแพ่งกฎหมายของประชาชนย่อมมีผลตอบสนองต่อมุมมอง ทางกฎหมายของสัจนิยมทางกฎหมาย ดังนี้

สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน (American Legal Realism) มีที่มาจากงานความคิดของ โอลิเวอร์ เวนเดลล์ โฮล์มส์ (Oliver Wendel Holmes) ผู้ดํารงตําแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดนับแต่ปี ค.ศ. 1902

โฮล์มส์ ไม่เชื่อว่าผู้พิพากษาจะสามารถตัดสินคดีตามใจชอบ โดยมองจากประสบการณ์ การทํางานของตน ซึ่งไม่อาจปรุงแต่งกฎหมายให้เป็นอย่างไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ เป้าหมายสําคัญที่โฮล์มส์ วิพากษ์วิจารณ์คือ ความคิดที่เชื่อว่าบทบัญญัติทั้งหมดในกฎหมายล้วนมีเหตุผลอันชอบธรรม

โฮล์มส์ เชื่อว่า กฎหมายจํานวนมากถูกเขียนขึ้นบนบริบททางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งถูก เปลี่ยนแปลงไปแล้วในภายหลัง ดังนี้แล้วจึงสมควรให้มีการตรวจสอบทบทวนอย่างสม่ำเสมอต่อวัตถุประสงค์ของ กฎหมายว่ายังมีความเหมาะสมดีอยู่หรือไม่ภายใต้เงื่อนไขของสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะนี้จึงไม่มีกรณีใด ๆ ซึ่งสมควรกล่าวอ้าง (ตามกระบวนการอนุมานความคิด) กฎหมายว่าเป็นเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะแน่นอน หากว่าในทางปฏิบัติ ศาลแสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่แท้จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และจากความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมาย กับความเป็นจริงของสังคมดังนี้เองที่ทําให้เห็นว่ามีเพียงผู้พิพากษา (หรือทนายความ) ซึ่งเข้าใจดีถึงบริบททาง ประวัติศาสตร์, สังคม และเศรษฐกิจเท่านั้นจึงจะทําหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมต่อบทบาทของตน

นอกเหนือจากโฮล์มส์ ก็ยังมี จอห์น ชิบแมน เกรย์ ที่ยืนยันว่ากฎหมายประกอบด้วยกฎเกณฑ์ ต่าง ๆ ซึ่งศาลยุติธรรมได้กําหนดไว้ บรรดาพระราชบัญญัติเป็นเพียงที่มาของกฎหมายดังกล่าวนี้เท่านั้น

คาร์ล ลูเวลลิน (Karl Llewellyn) ในฐานะสมาชิกคนสําคัญอีกท่านหนึ่ง กล่าวในทํานองเดียวกัน ไม่ให้ไว้วางใจนักต่อ “กฏเกณฑ์ในกระดาษ” ควรเอาใจใส่ต่อพฤติกรรมหรือแบบแผนการวินิจฉัยตีความกฎหมาย ของศาลซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันตามแต่กาละและสถานที่ ตลอดจนสนใจต่อข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับคําตัดสินที่ ปรากฎจริง ๆ

เยโรม แฟรงค์ (Jerome Frank) ผู้พิพากษาที่ถือว่าเขาเป็น “ผู้ที่ไม่เชื่อใจต่อข้อเท็จจริง” หมายความว่า แม้ในกรณีที่กฏเกณฑ์มีความชัดเจนง่ายดายต่อการตีความแล้วก็ตาม กฎเกณฑ์ดังกล่าวก็อาจส่งผล สะเทือนน้อยเต็มที่ในคําตัดสินของศาลระดับล่าง เฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ระบบลูกขุน เนื่องจากบุคคลดังกล่าวสามารถ ยกข้อเท็จจริงใด ๆ ที่ตนพึงพอใจมาปรับเข้ากับกฎเกณฑ์ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ตามที่ตนต้องการในที่สุดได้ นอกจากนี้ เหตุปัจจัยเรื่องความสมบูรณ์หรือบกพร่องของพยานหลักฐาน ความสามารถของทนายความหรือผู้พิพากษา ก็เป็นตัวกําหนดอันสําคัญต่อผลของคําพิพากษา ความลื่นไหลหรือไม่แน่นอนของข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมนับเป็น อุปสรรคในการคาดทํานายการตัดสินใจของศาล

นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1957 แฟรงค์ยังได้ร่วมเขียนงานชิ้นหนึ่งเรื่อง “ไร้ความผิด” (Not guilty) ซึ่งเป็นเรื่องการตรวจสอบความถูกต้องคดีความผิดจํานวนหนึ่ง ซึ่งบรรดาจําเลยต่างถูกตัดสินพิพากษาว่าประกอบ อาชญากรรม แต่ได้รับการตัดสินใหม่ว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ในศาลชั้นหลัง การค้นพบประจักษ์หลักฐานในความไม่แน่นอน แห่งกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของศาลและความผิดพลาดต่าง ๆ อันเกิดขึ้นได้ เหล่านี้นับเป็นเหตุผลที่ทําให้ เขาคัดค้านเรื่องการลงโทษประหารชีวิต อีกทั้งยังทําให้เขายืนยันความสําคัญของความเป็นธรรมในการพิจารณา พิพากษาคดี ซึ่งไม่อาจนําไปแลกกับประสิทธิภาพ (ความรวดเร็ว) ในทางตุลาการ

ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นจะเห็นได้ว่า สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน มีแนวความสําคัญ ที่เน้นความเป็นกฎหมายในทางปฏิบัติวิจารณ์ความไม่แน่นอนของกฎหมาย ช่องว่างของกฎหมายในตัวบทและ ความเป็นจริงในแง่การบังคับใช้ รวมทั้งวิจารณ์เบื้องหลังการใช้อํานาจของผู้พิพากษาเพื่อให้เกิดความยุติธรรมว่า เบื้องหลังคําพิพากษาไม่ใช่ตัวบทกฎหมายหากส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้พิพากษาที่เกี่ยวโยงกับ การเมือง กฎหมายไม่อาจจะแยกออกจากการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมได้

ดังนั้นถ้าการพิจารณาตัดสินคดีของศาลไม่เป็นไปตามตัวบทกฎหมายหรืออาศัยช่องว่างของ กฎหมายก่อให้เกิดความรู้สึกของคนในสังคมว่าไม่ยุติธรรมหรือไม่เป็นธรรมแล้ว ย่อมจะก่อให้เกิดอคติหรือความ ไม่พอใจต่อคําตัดสินนั้นและจะก่อให้เกิดการคัดค้าน การต่อต้านของคนในสังคมและจะมีผลไปถึงการคัดค้าน หรือการดื้อแพ่งกฎหมายโดยอ้างว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ไม่มีความเป็นธรรมก็ได้ และโดยเฉพาะในบางสังคมที่ถือว่า คําตัดสินของศาลเป็นที่มาของกฎหมายด้วยแล้ว เมื่อคําตัดสินของศาลไม่มีความยุติธรรม กฎหมายที่เกิดขึ้นก็ย่อม ไม่มีความชอบธรรมไปด้วย ดังนั้นถ้าสังคมใดไม่ต้องการให้เกิดการดื้อแพ่งกฎหมาย ศาลก็จะต้องตัดสินไปให้ถูกต้อง ตามตัวบทของกฎหมายหรือถ้าเห็นว่ากฎหมายใดมีบทบัญญัติที่ไม่เป็นธรรม ไม่เหมาะสม หรือมีข้อบกพร่อง ก็จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้กฎหมายนั้นมีความเป็นธรรมและเหมาะสมที่จะใช้บังคับกับคนในสังคมนั้น ๆ

หมายเหตุ นักศึกษาอาจแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่ต้องแสดงความคิดเห็นโดย อาศัยหลักการดื้อแพ่งกฎหมายประกอบกับแนวคิดสัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน

 

ข้อ 3. ให้นักศึกษาอธิบาย “ หลักจตุรธรรม” แห่งปรัชญากฎหมายไทย ตามที่ศึกษามาให้เข้าใจ และหากเปรียบเทียบกันระหว่าง “หลักจตุรธรรม” กับ ปรัชญากฎหมายของตะวันตกที่มีหลักการที่สําคัญ ประการหนึ่งคือ “Lex iniusta non est lex” (กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมไม่ถือเป็นกฎหมาย) นักศึกษามีความเห็นว่าคล้ายคลึงหรือแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

“หลักจตุรธรรม” นั้นถือเป็นหลักบรรทัดฐานทางกฎหมายของพระธรรมศาสตร์ ที่สรุปอนุมาน ขึ้นมาจากเนื้อหาสาระสําคัญของพระธรรมศาสตร์ โดยอาจเรียกเป็นหลักบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย 4 ประการ ในพระธรรมศาสตร์ หรือหลักกฎหมายทั่วไป 4 ประการในพระธรรมศาสตร์ หรือหลักกฎหมายธรรมชาติ 4 ประการ ในพระธรรมศาสตร์ก็ได้สุดแท้แต่จะเรียก และหลัก 4 ประการนั้น ได้แก่

1 กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคําสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอําเภอใจ

2 กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม

3 จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร 4 การใช้อํานาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ (หรือผู้ปกครอง) ต้องกระทําบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม

ซึ่งหลักการทั้ง 4 ประการนี้ ถือเป็นหัวใจสําคัญของปรัชญาาฎหมายในพระธรรมศาสตร์ ซึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายธรรมชาติของฝ่ายตะวันตกแล้ว เปรียบเสมือนหลักนิติธรรม (The Rule of Law) ในอุดมการณ์ทางกฎหมายของสังคมไทยสมัยโบราณ ภายใต้ปรัชญากฎหมายแบบพุทธธรรมนิยม โดยเรียกว่า “หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย” ซึ่งมีอิทธิพลความสําคัญต่อสังคมไทยสมัยโบราณเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุผลที่พระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณล้วนนับถือศาสนาพุทธ และ หลักทศพิธราชธรรมซึ่งเป็นหลักการข้อ 4 ของหลักจตุรธรรมก็มีรากฐานที่มาจากคัมภีร์ชาดกในพุทธศาสนา จึงทําให้ พระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณที่เลื่อมใสพุทธศาสนาต้องตั้งพระองค์อยู่ในทศพิธราชธรรมซึ่งทําให้ผู้คนในบ้านเมือง สมัยนั้นอยู่กันอย่างสงบสุขร่มเย็น

และเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่าง “หลักจตุรธรรม” กับปรัชญากฎหมายของตะวันตก หรือ กฎหมายธรรมชาติที่มีหลักการที่สําคัญ คือ “Lex iniusta non est lex” หรือ “กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมไม่ถือเป็นกฎหมาย” แล้ว จะเห็นได้ว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกันตรงที่ว่า ตามหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย จะกําหนดให้ พระมหากษัตริย์จะต้องคํานึงตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ทุกคราวที่ตรากฎหมาย กล่าวคือ การตรากฎหมายจะต้อง ไม่ขัดแย้งกับคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ เช่น กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตาม ก็อาจมีความแตกต่างกันได้ กล่าวคือ ถ้าในกรณีเกิดมีพระมหากษัตริย์ที่ ไม่ทรงสนพระทัยต่อคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ตรากฎหมายโดยขัดแย้งกับคัมภีร์พระธรรมศาสตร์หรือขัดกับหลัก จตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย เช่น ขัดกับธรรมะหรือศีลธรรม ทําให้กฎหมายไม่เป็นธรรม ดังนี้ ในทางปฏิบัติ เป็นไปได้สูงที่จะมีการดึงดันให้กฎหมายนั้นยังคงมีสภาพเป็นกฎหมายอยู่ แต่ย่อมมีผู้ถือว่ากฎหมายนั้นไม่เป็นธรรม

หรือเป็นกฎหมายที่เลวอยู่บ้างอย่างเงียบ ๆ และคาดเดากันว่าจะเป็นกฎหมายที่อยู่ได้ไม่นานทั้งเป็นกฎหมายที่ไม่ควร เคารพเชื่อฟัง

LAW4007 นิติปรัชญา 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. เพราะเหตุใดจึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (Sociological Jurisprudence) กําเนิดขึ้นในลักษณะตอบโต้การรุกของทฤษฎีกฎหมายของฝ่ายสังคมนิยม และนักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่อย่างไรต่อข้อวิจารณ์ความบกพร่องบางประการในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา

ธงคําตอบ

ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (Sociological Jurisprudence) หมายถึง การนําเอาสังคมวิทยา ไปใช้ในทางนิติศาสตร์ (นิติปรัชญา) เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้ก็จะนําไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่นเอง เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของตะวันตก มีที่มาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในยุโรป ซึ่งความก้าวหน้าของสังคมและเศรษฐกิจในช่วงนั้นได้ก่อให้เกิดปัญหาสังคมโดยเฉพาะจากกลุ่มนายทุนและ ผู้ใช้แรงงาน มีการเอารัดเอาเปรียบ การกดขี่ข่มเหง จึงทําให้เกิดแนวคิดนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาขึ้น โดยมีหลักการ คือ การนํากฎหมายมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม โดยเฉพาะการสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของ สังคมส่วนรวมหรืออรรถประโยชน์ของสังคม และเป็นเครื่องมือสําหรับคานผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคมให้เกิด ความสมดุล

ส่วนทฤษฎีกฎหมายของฝ่ายสังคมนิยมจะเสนอบทวิพากษ์และคาดทํานายความเป็นจริง ของกฎหมายจากแง่มุมเศรษฐศาสตร์การเมืองและวัตถุนิยม มองกฎหมายเป็นเพียงกลไกเพื่อรับใช้ประโยชน์ของ คนบางชนชั้นที่มีอํานาจในสังคม มิใช่เป็นกลไกที่มีความเป็นอิสระในการใช้ประนีประนอมผลประโยชน์ขัดแย้งทั้งหลาย โดยสรุปบทบาทของกฎหมายเป็น 3 ประการ คือ

1 กฎหมายเป็นผลผลิตหรือผลสะท้อนของโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือเงื่อนไขทางเศรษฐกิจโดยที่รูปแบบและเนื้อหาของกฎหมายจะแปรเปลี่ยนไปตามความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในสังคมนั้น ๆ

2 กฎหมายเป็นเสมือนเครื่องมือหรืออาวุธที่ชนชั้นปกครองสร้างขึ้นเพื่อปกป้องอํานาจของตน

3 ในสังคมคอมมิวนิสต์ที่สมบูรณ์ กฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือของการควบคุมสังคมจะเหือดหายและสูญสิ้นไปในที่สุด

ดังนั้น จะเห็นว่าทฤษฎีกฎหมายของฝ่ายสังคมนิยมจะมีจุดยืนที่มองกฎหมายในแง่ลบ ทําให้เกิดกระแสโต้แย้งกลับจากหลายฝ่าย รวมทั้งนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาที่เชื่อมั่นศรัทธาในกฎหมายและมองกฎหมาย ในแง่บวก ในฐานะเป็นเครื่องมือถ่วงดุลและคานผลประโยชน์ในสังคมให้เกิดความเป็นธรรม

สําหรับข้อวิจารณ์ความบกพร่องบางประการในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง นิยามผลประโยชน์, ความไม่แน่ชัดของบรรทัดฐานชี้ขาดความสมดุลผลประโยชน์, ความไร้ประสิทธิภาพของกฎหมาย เพื่อสังคม เป็นประเด็นที่นักศึกษาจึงหยิบยกขึ้นพิจารณาและวิจารณ์อย่างอิสระ

 

ข้อ 2 หลักนิติธรรม (The Rule of Law) ของฟุลเลอร์ (Lon Futler) แตกต่างจากหลักนิติธรรมตามแนวคิดของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists : ICI) อย่างไร และใน ทัศนะของนักศึกษา การยึดมั่นปฏิบัติตามหลักนิติธรรมของฟลเลอร์จะนําไปสู่การบัญญัติกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเชิงเนื้อหาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักนิติธรรมของฟุลเลอร์ (Lon Futler) นั้น ปรากฏอยู่ในหลักกฎหมายธรรมชาติ ซึ่งมีแนวคิด ว่า สาระสําคัญที่ขาดไม่ได้ของกฎหมายจนกลายเป็นวัตถุประสงค์กํากับอยู่ก็คือ ความจําเป็นที่ต้องมีศีลธรรม ดํารงอยู่ในกฎหมายดังเงื่อนไขสําคัญ 8 ประการที่ฟูลเลอร์ถือเสมือนว่าเป็นการมีศีลธรรมภายในกฎหมาย หรือเป็น กฎหมายธรรมชาติในเชิงกระบวนการ ได้แก่

1 จะต้องมีลักษณะทั่วไป

2 จะต้องถูกตีพิมพ์เผยแพร่ให้ปรากฏแก่สาธารณะ

3 จะต้องไม่มีผลย้อนหลัง

4 จะต้องมีความชัดแจ้งและสามารถเข้าใจได้

5 จะต้องไม่เป็นการกําหนดบังคับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

6 จะต้องไม่มีความขัดแย้งกัน

7 จะต้องมีความมั่นคง แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป

8 จะต้องมีความกลมกลืนกันระหว่างกฎเกณฑ์ที่ถูกประกาศใช้กับการบังคับใช้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ อันเป็นเรื่องของความสอดคล้องระหว่างการกระทําของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและตัวบทกฎหมายที่ประกาศใช้

ส่วนคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists : IJ) มีแนวคิดเกี่ยวกับหลักนิติธรรมว่า หมายถึง หลักการ สถาบัน และกระบวนการที่ไม่จําต้องเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ คล้ายคลึงกันโดยทั่วไป ซึ่งจากประสบการณ์และประเพณีของนักกฎหมายในประเทศต่าง ๆ ในโลกซึ่งมีโครงสร้าง การเมืองและพื้นฐานทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า หลักการ สถาบัน และกระบวนการนี้เป็น สิ่งสําคัญต่อการปกครองปัจเจกบุคคลจากรัฐบาลที่ใช้อํานาจตามอําเภอใจ และทําให้เขาสามารถชื่นชมในศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ได้ โดยถือว่าเป็นหน้าที่ของการนิติบัญญัติในสังคมแห่งเสรีภาพภายใต้หลักนิติธรรมที่จะต้อง สร้างสรรค์และคงไว้ซึ่งเงื่อนไขที่จะส่งเสริมศักดิ์ศรีของมนุษย์ในฐานะปัจเจกบุคคล ศักดิ์ศรีดังกล่าวมีเพียง เรียกร้องให้มีการยอมรับในสิทธิทางแพ่งและทางการเมืองเท่านั้น แต่หากหมายรวมถึงการสถาปนาเงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการพัฒนาบุคลิกภาพในตัวมนุษย์อย่างเต็มที่

ดังนั้น จะเห็นว่า หลักนิติธรรมของฟุลเลอร์นั้น จะเน้นรูปแบบที่เป็นทางการและกระบวนการ นิติบัญญัติที่ชอบธรรม ขณะที่หลักนิติธรรมของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล จะให้ความสําคัญต่อหลักการ สถาบัน และกระบวนการที่ชอบธรรมทางกฎหมาย ผนวกแนวคิดเรืองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพ โดยเน้นย้ำเรื่องความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมในตัวกฎหมาย อันเป็นสาระที่ไม่ปรากฏในหลักนิติธรรม ของฟุลเลอร์ และทําให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า การยึดมั่นในหลักนิติธรรมของฟุลเลอร์อาจนําไปสู่การบัญญัติกฎหมาย ที่ไม่เป็นธรรมเชิงเนื้อหาได้

 

ข้อ 3. วิเคราะห์-วิจารณ์บทสรุปเรื่องการมีมาตรฐานสองชั้น/สองมาตรฐาน (Double Standard) ทางกฎหมาย/อํานาจในปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม และการปฏิรูปบ้านเมือง ศาสนา-กฎหมายในยุคสมัย ร.4 – ร.5 ส่งผลกระทบสําคัญต่อปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

ลักษณะที่สําคัญของปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม คือ ตั้งอยู่บนกระแสความคิดพื้นฐานในลักษณะ ธรรมนิยม หลักการคือกฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมะหรือศีลธรรม ซึ่งตั้งอยู่บนหลักพุทธธรรม พระธรรมศาสตร์ ทศพิธราชธรรม รวมทั้งหลักจตุรธรรมแห่งกฎหมายไทย อันเป็นธรรมนิยมแบบพุทธ ขณะเดียวกัน ก็ถูกทับซ้อนด้วยความคิดอํานาจนิยมที่ผูกติดกับอิทธิพลความคิดฝ่ายพราหมณ์หรือฮินดู หลักเทวราช และความเป็น จริยธรรมการเมืองแทนสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผสมผสานหรือคู่ขนานกลมกลืนกันไป ธรรมนิยมแบบพุทธจะเป็น กระแสหลักในสมัยสุโขทัย เห็นได้จากมีการแปลความธรรมะออกมาเป็นกฎหมายหรือคําสั่งของพ่อขุนรามคําแหง ส่วนธรรมนิยมแบบพราหมณ์หรือแบบฮินดูก็มีอิทธิพลอย่างมากในสมัยอยุธยา

และเมื่อพิจารณาจากภาพรวมทางความคิดแล้ว ข้าพเจ้าเห็นด้วยตอบทสรุปเรื่องการมีมาตรฐาน สองชั้นหรือสองมาตรฐาน (Double Standard) ทางอํานาจหรือกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม ทั้งนี้เพราะ ถึงแม้ตามหลักปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมนั้น จะตั้งอยู่บนกระแสความคิดพื้นฐานในลักษณะธรรมนิยม แต่ในขณะ เดียวกันก็ถูกทับซ้อนด้วยความคิดอํานาจนิยมที่ผูกติดกับอิทธิพลความคิดฝ่ายพราหมณ์หรือฮินดู ลัทธิเทวราช รวมทั้งแนวความคิดระบบศักดินา ซึ่งมีอิทธิพลเป็นอย่างมากในสมัยอยุธยา จนทําให้การใช้พระราชอํานาจของ พระมหากษัตริย์หรือกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมมีลักษณะเป็นมาตรฐานสองชั้นที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น ในสมัยอยุธยานั้น พระราชโองการของพระมหากษัตริย์จะไม่ใช่คําสั่งของมนุษย์ผู้มีอํานาจสูงสุดในแผ่นดินอีกต่อไป แต่กลายเป็นเทวโองการที่มนุษย์ธรรมดาไม่อยู่ในฐานะที่จะขัดแย้งหรือวิจารณ์หรือแม้แต่จะแสดงความคิดเห็น ในทางใดทั้งสิ้น เป็นต้น (นักศึกษาสามารถวิเคราะห์-วิจารณ์ได้อย่างอิสระ โดยให้เหตุผลที่เหมาะสม)

– ส่วนการปฏิรูปบ้านเมือง-ศาสนา-กฎหมายในยุคสมัย ร.4 ร.5 นั้น ส่งผลกระทบให้เกิดการ ตีความธรรมะในกฎหมายที่มีลักษณะบริสุทธิ์และมนุษยนิยมมากขึ้น รวมทั้งคลายตัวจากแนวคิดอํานาจนิยมและ เทวราชาแบบเก่าซึ่งปรากฏอยู่ในปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม และยังต่อเนื่องมาจนถึงสมัย ร.4 อีกทั้งการปฏิรูป ดังกล่าวยังทําให้เกิดการขยายตัวของกฎหมายที่ยอมรับสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้น ขณะที่การปฏิรูปกฎหมาย ในสมัย ร.5 นั้น นําไปสู่การตกเสื่อมของปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม และการปรากฏตัวของปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย กล่าวคือ ปรากฏแนวคิดที่ว่ากฎหมายเป็นผลผลิตหรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยอํานาจปกครองในสังคมนั่นเอง

LAW4007 นิติปรัชญา S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4007 นิติปรัชญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายธรรมชาติคืออะไร มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ 5 ยุคอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมายธรรมชาติสามารถอธิบายความหมายได้ใน 2 ลักษณะ คือ

1 ความหมายทั่ว ๆ ไป กฎหมายธรรมชาติหมายถึง

– กฎหมายซึ่งบุคคลบางกลุ่มอ้างว่ามีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีโครงสร้างขึ้นเป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ และใช้ได้โดยทั่วไปอย่างไม่จํากัดกาลเทศะ กฎเกณฑ์ทางกฎหมายต่าง ๆ ในอุดมคติซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้นซึ่งอาจค้นพบได้โดยเหตุผล

– กฏเกณฑ์อุดมคติที่มีขึ้นเพื่อจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างปัจเจกชนกับกลุ่ม ส่วนรวม หรือจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความเสมอภาคของทุกคน (เมื่อพิจารณาความหมายในแง่มุมทางอุดมการณ์)

2 ความหมายในทางทฤษฎี แบ่งเป็น 2 ทฤษฎี คือ

1) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคกรีกโบราณและโรมันถึงยุคกลาง (ราวศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16) ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อุดมคติที่มีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ จะไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายเลย

2) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบัน ถือว่า หลักกฎหมายธรรมชาติ เป็นเพียงอุดมคติของกฎหมายที่รัฐจะบัญญัติขึ้นเท่านั้น กล่าวคือ รัฐควรจะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายธรรมชาติ แต่ถ้าตราขึ้นโดยขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะ แต่อย่างใด เพียงแต่จะเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมายโดยสมบูรณ์เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นลักษณะที่ผ่อนปรน ประนีประนอมมากขึ้นกว่าในยุคโบราณและยุคกลาง ในการพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 5 ยุค ดังนี้

1 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณและโรมัน มีสาระสําคัญดังนี้

1) จุดก่อตัวและช่วงเวลา ยุคกรีกโบราณและโรมันอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อน คริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 โดยประมาณ ซึ่งว่ากันว่ากฎหมายธรรมชาตินี้พบเป็นเรื่องเป็นราวจากเฮราคลิส นักปรัชญาชาวกรีกที่มีอายุในช่วง 540 – 480 ปีก่อนคริสตกาล โดยเขาไปค้นหาสัจจะเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยเฉพาะ ความจริงเกี่ยวกับแก่นสารของชีวิตและสิ่งที่เขาค้นพบและสรุปออกมาคือ ธรรมชาติคือความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง แก่นสารของชีวิตคือธรรมชาติและแก่นสารของชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยจุดหมายปลายทาง ระเบียบและเหตุผลอันแน่นอนซึ่งไม่อาจผันแปรได้

2) การเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติ แยกอธิบายได้ดังนี้

เพลโต (427 – 347 ปีก่อนคริสตกาล) อธิบายว่า เข้าถึงได้โดยการใช้ญาณปัญญา อันบริสุทธิ์ แต่ก็มีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่เพลโตเห็นว่าจะเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้

อริสโตเติล (384 – 322 ปีก่อนคริสตกาล) ศิษย์ของเพลโตเห็นว่า กฎหมาย ธรรมชาตินั้นมนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยการใช้ “เหตุผลอันบริสุทธิ์” เนื่องจากอริสโตเติลพบว่าเหตุผลของมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

สํานักสโตอิค (ก่อตั้งขึ้นศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลโดยเซโน) ยืนยันตามแนวคิด ของอริสโตเติลว่า “มนุษย์เข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้โดยการใช้เหตุผล” เหตุผลที่ว่านี้ก็อยู่ในฐานะเป็นพลังทางจักรวาล ซึ่งเข้าครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งเป็นพื้นฐานของกฎหมายและความยุติธรรมด้วย

3) บทบาทความสําคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ แยกอธิบายได้ดังนี้

เพลโต ให้ความสําคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่าเป็นแบบหรือความคิดอันไม่มีวัน เปลี่ยนแปลง ที่ให้เป็นบรรทัดฐานต่อกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายใด ๆ ที่รัฐตราขึ้นต้องสอดคล้องกับแบบหรือ กฎหมายธรรมชาตินี้ มิเช่นนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นกฎหมายได้ เพราะอริสโตเติล ให้ความสําคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่า เป็นกฎหมายที่เหมาะสม ในการปกครองสังคม แต่เขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกฎหมายที่รัฐตราขึ้นขัดกับกฎหมายธรรมชาติผลจะเป็นอย่างไร

โสฟิสต์บางกลุ่ม อ้างกฎหมายธรรมชาติขึ้นมาต่อต้านการปกครองที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งอ้างเพื่อผลักดันให้ยกเลิกระบบอภิสิทธิ์และระบบทาส (โสฟิสต์เป็นกลุ่มนักคิด ชอบใช้วาทะในการโต้เถียง มีในสมัยศตวรรษที่ 4 – 5 ก่อนคริสตกาล)

ในชั้นของอาณาจักรโรมัน ประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนก็ถือว่า กฎหมายธรรมชาติมีส่วนในการพัฒนาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคคล ทรัพย์ หนี้ มรดกหรือลาภมิควรได้

2 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคมืดและยุคกลาง มีสาระสําคัญดังนี้

1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคมืดอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 – 12 โดยประมาณ ส่วนยุคกลางอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 – 16 โดยประมาณ ในยุคนี้กฎหมายธรรมชาติถูกปรับเปลี่ยนให้เป็น แบบคริสเตียน (คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติก็เปลี่ยนไปอิงอยู่กับคําสอนทางศาสนา หรือบัญชาของพระเจ้า เนื่องจากเป็นยุคที่ฝ่ายศาสนจักรขึ้นมามีอํานาจเหนือฝ่ายอาณาจักร โดยยืนยันได้จาก ความคิดของเซนต์ ออกัสติน ที่ว่า “กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามกฎศาสนาเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับไม่ได้”

2) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ เนื่องจากกฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้ เป็นแบบคริสเตียน จึงปรากฏงานนิพนธ์ของ เซนต์ โทมัส อไควนัส (ค.ศ. 1226 – 1274) เรื่อง “Summa Theologica” สรุปว่า “หลักธรรมหรือโองการหรือเจตจํานงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” เป็นการหักมุมแนวคิด ของอริสโตเติลที่ว่า “มนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัยเหตุผลในตัวมนุษย์เอง” กล่าวคือ อไควนัส เห็นว่าเครื่องมือในการค้นหากฎหมายธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ใน “เหตุผลของพระเจ้า” ไม่ใช่เหตุผลของมนุษย์

3) คุณค่าความสําคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรากฏในงานเขียนของอาไควนัส ซึ่งเขาได้แบ่งกฎหมายออกเป็น 4 ประเภท กฎหมายธรรมชาติก็เป็นหนึ่งในนั้น อไควนัสบอกว่า กฎหมายธรรมชาติ มนุษย์สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยเหตุผลเหมือนกับอริสโตเติล แต่อไควนัสนั้นบอกว่า เหตุผลของมนุษย์เป็น คุณสมบัติธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้อีกที่หนึ่ง ไม่ใช่มีอยู่และในธรรมชาติเหมือนอริสโตเติลนําเสนอไว้

อไควนัส ถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นเสมือนภาพสะท้อนอันไม่สมบูรณ์ซึ่งเหตุผล อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า แต่กฎหมายธรรมชาตินี้ก็มีความสําคัญในฐานะเป็นหลักชื้นําการกระทําต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยมีหลักธรรมพื้นฐานคือ การทําดีและละเว้นความชั่ว ซึ่งกฎหมายธรรมชาตินี้ อไควนัสถือว่ามีค่าบังคับสูงกว่า กฎหมายที่มนุษย์หรือรัฐบัญญัติขึ้น กล่าวคือ ถ้าขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติก็จะไม่ถือว่ากฎหมายนั้น เป็นกฎหมาย แต่เป็นความวิปริตของกฎหมายไป

3 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นฟูและยุคปฏิรูป มีสาระสําคัญดังนี้

1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคฟื้นฟูอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 16 โดยประมาณ ส่วนยุคปฏิรูปอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยประมาณ ยุคนี้สถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนไป ฝ่ายอาณาจักร ขึ้นมามีอํานาจและสลัดตัวออกจากศาสนจักรได้สําเร็จ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเองก็สามารถสลัดตัวออกจาก คริสต์ศาสนาเช่นกัน รูปแบบความคิดก็กลับไปเป็นแบบเหตุผลนิยม คล้าย ๆ กับที่อริสโตเติลหรือสํานักสโตอิค แห่งกรีกโบราณนําเสนอไว้

2) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ ว่าจะตราหรือบัญญัติกฎหมายอย่างไรขึ้นใช้ในสังคม ถูกนําเสนอโดยฮูโก โกรเซียส ชาวเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 1583 – 1645) มีแนวคิดว่า “เหตุผลและสติปัญญาของ มนุษย์คือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” โดยถือว่าเหตุผลและสติปัญญานี้ปรากฏอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์เอง สิ่งที่โกรเซียสยืนยันก็คือ “ธรรมชาติของมนุษย์คือมารดาของกฎหมายธรรมชาติ และซึ่งจะคงปรากฏอยู่มาตร (แม้) ว่าจะไม่มีพระเจ้าแล้วก็ตาม”

3) ลักษณะและความสําคัญในเชิงบทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ถือว่ามีบทบาทที่สําคัญยิ่ง เริ่มที่โกรเซียสได้นําเอาหลักกฎหมายธรรมชาติ บางเรื่องไปเป็นรากฐานในการสร้างกฎหมายระหว่างประเทศ ควบคุมกิจการหรือกติกาในการทําสงครามระหว่างรัฐ จนได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาของกฎหมายระหว่างประเทศเลยทีเดียว

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคนี้มีการพัฒนาเรื่องสิทธิธรรมชาติของมนุษย์โดยการเพิ่ม บทบาทความคิดแบบปัจเจกชนนิยมมากขึ้นในตัว โดยผ่านนักคิดหลาย ๆ คนในยุคนี้ เช่น พูเฟนดอร์ฟ, โทมัส ฮอบส์, สปินโนซ่า, จอห์น ลอค, มองเตสกิเออ, รุสโซ, วูล์ฟ เป็นต้น ซึ่งผลโดยรวมที่ได้ก็คืออิทธิพลโดยผ่านนักคิดเหล่านี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้นําไปสู่การเน้นเนื้อหากฎหมายที่เป็นธรรม, นําไปสู่ข้อยืนยันว่ากําลังหรืออํานาจไม่ใช่ ที่มาของกฎหมายหรือความถูกต้อง นับเป็นการเข้าไปต่อต้านเผด็จการหรือการกดขี่, สนับสนุนเรื่องความเสมอภาค ของบุคคลต่อหน้ากฎหมาย มีส่วนแก้ไขให้บทลงโทษทางอาญามีมนุษยธรรมมากขึ้น และที่สําคัญคือเป็นที่มา หรือรากฐานหรือหลักทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ยุคนี้ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นยุคแห่งเหตุผล” เนื่องจาก อิทธิพลความคิดแบบเหตุผลนิยมได้ครอบงําไปทั่วยุโรป

  1. ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคชาติรัฐนิยม (ความเสื่อมและการฟื้นตัวของกฎหมายธรรมชาติ) มีสาระสําคัญดังนี้

1) ภาพโดยรวมของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ยุคนี้เป็นเหตุการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษ ที่ 13 กฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้เสื่อมความนิยมลงในช่วงหนึ่งแล้วกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในตอนท้าย

2) เหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเสื่อมความนิยมลง มีสาเหตุหลัก 2 เรื่องคือ

– กระแสสูงของลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามและเข้ามาบดบังลัทธิ ปัจเจกชนนิยมที่เป็นแกนกลางสําคัญในปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

ความเจริญก้าวหน้าอย่างมากทางวิทยาศาสตร์และวิธีคิดเชิงประจักษ์วาท แบบวิทยาศาสตร์ เป็นพื้นฐานทําให้เกิดลัทธีอรรถประโยชน์และทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ซึ่งมีแนวคิดตรงข้ามกับ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้ถูกผลักไสให้เป็นเรื่องของ ศาสนาหรือศีลธรรมมากกว่าจะเป็นกฎหมายอันแท้จริงของรัฐ

3) เหตุที่ทําให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้รับการเชื่อถืออีกครั้ง สาเหตุที่ทําให้ กฎหมายธรรมชาติได้รับการนิยมขึ้นมาอีก เพราะวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้ ปฏิฐานนิยม ทางกฎหมายก็ถูกนําไปใช้สนับสนุนเรื่องอํานาจนิยม การใช้อํานาจโดยมิชอบ ที่สําคัญก็คือสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ก็มีที่มาจากการเอาแนวคิดปฏิฐานนิยมไปใช้อย่างผิด ๆ ดังนั้นกระแสความคิดแบบเหตุผลนิยมของกฎหมายธรรมชาติ หรือระบบคิดแบบอุดมคตินิยมจึงปรากฎความสําคัญขึ้นอีกครั้ง

4) บทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติภายหลังที่ฟื้นตัวแล้ว พออธิบายได้ดังนี้

– สแตมม์เลอร์ ชาวเยอรมันประกาศความคิดเรื่อง “กฎหมายธรรมชาติซึ่งมี เนื้อหาอันเปลี่ยนแปลงได้ในฐานะเป็นหลักความยุติธรรม” ซึ่งสะท้อนความต้องการอันไม่แน่นอนของชนชาติหนึ่ง ในยุคสมัยหนึ่ง ๆ ขณะที่มาตรฐานแห่งความยุติธรรมเป็นการเน้นความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ระหว่างปัจเจกชน กับสังคม

– ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ได้ถูกนําไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในระดับ ข้อเท็จจริงและวิกฤติการณ์ทางคุณค่าด้วย โดยเฉพาะในเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กฎหมายธรรมชาติได้ เข้าไปมีบทบาทในการตัดสินคดีเพื่อลงโทษทหารนาซีเยอรมัน โดยถือว่ากฎหมายที่ขัดกับมนุษยธรรมที่นาซี บัญญัติขึ้นไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย นอกจากนั้นการปรากฏตัวขึ้นของปฏิญญาสากลว่าด้วยมนุษยชน ค.ศ. 1948 ก็เขียนขึ้นภายใต้อิทธิพลของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

5 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคปัจจุบัน (ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย) ในยุคปัจจุบัน ปรัชญากฎหมายธรรมชาติมีบทบาทอยู่ใน 2 ลักษณะ คือ ใน

1) ในแง่ที่เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม คือ เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นเรื่องความยุติธรรมในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของกฎหมาย หรือยืนยันในความเชื่อมั่น ในเรื่องความสัมพันธ์ที่จําต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมหรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่าง ๆ

2) ในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเน้นไปที่สิทธิทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การพัฒนา สันติภาพ เป็นต้น ซึ่งหลายประเทศเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ

ที่สําคัญคือ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยนี้จะมีลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอม มากขึ้น กล่าวคือ ไม่ยืนยันว่ากฎหมายที่ขัดกับหลักอุดมคติหรือหลักความยุติธรรมต้องตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ ตามความคิดแบบเก่า ซึ่งตรงนี้ก็ปรากฏจากความคิดของจอห์น ฟินนีส นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยที่ บอกว่า “กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมมิได้ตกเป็นโมฆะ ในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งซึ่งบุคคลไม่ต้องปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิง กฎหมายที่ ไม่ยุติธรรมเพียงแต่ขาดสิ่งซึ่งเป็นอํานาจผูกมัดทางมโนธรรม” ซึ่งกฎหมายทั่วไปมีอยู่ตามปกติ หน้าที่ทางศีลธรรม ที่ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงอาจจําต้องมีอยู่หากว่าการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จะนํามาซึ่ง ความอ่อนแอ ไร้เสถียรภาพในระบบกฎหมายซึ่งมีความเป็นธรรมเสียส่วนมาก

 

ข้อ 2 ความยุติธรรมคืออะไร มีความสัมพันธ์กับกฎหมายหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

“ความยุติธรรม” เป็นคําหนึ่งที่ค้นหาความหมายที่เป็นรูปธรรมได้ยากพอสมควร แต่ถึงอย่างไร ก็ตาม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็ได้ให้ความหมายไว้เป็นแนวทางว่า ความยุติธรรม หมายถึง

1 ความเที่ยงธรรม หมายถึง การไม่เอนเอียง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

2 ความชอบธรรม หมายถึง ชอบด้วยนิตินัย หรือชอบด้วยธรรมะ

3 ความชอบด้วยเหตุผล ซึ่งแล้วแต่มุมมองของใคร สังคมใดจะเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีนักคิดทั้งหลายได้พยายามนําเสนอความหมายไว้ที่สําคัญ ๆ ได้แก่

เพลโต (Plato) ได้ให้คํานิยามของความยุติธรรมว่าหมายถึง “การทํากรรมดีหรือการทําสิ่งที่ ถูกต้อง” โดยเขามองความยุติธรรมเป็นเสมือนองค์รวมของคุณธรรม ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสําคัญที่สุดยิ่งกว่า คุณธรรมอื่นใด และโดยทั่วไปแล้วความยุติธรรมเป็นคุณธรรมหรือสัจธรรมที่บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นจะค้นพบได้

อริสโตเติล (Aristotle) มองความยุติธรรมว่าเป็นคุณธรรมเฉพาะเรื่อง หรือคุณธรรมทางสังคม ประการหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และคุณธรรมนี้จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมนุษย์ ได้ปลดปล่อยตัวเขาเองจากแรงผลักดันของความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง โดยอริสโตเติลได้แบ่งความยุติธรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ หมายถึง ความยุติธรรมที่มีลักษณะเป็นสากล ใช้ได้ต่อ มนุษย์ทุกคนไม่มีขอบเขตจํากัด และอาจค้นพบได้โดย “เหตุผลบริสุทธิ์” ของมนุษย์

2 ความยุติธรรมตามแบบแผน หมายถึง ความยุติธรรมซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ของบ้านเมือง ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและความเหมาะสม เป็นต้น

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความยุติธรรมกับกฎหมายนั้น มีปรากฏรูปความสัมพันธ์ใน 2 แบบ ตามแนวคิดทางทฤษฎี คือ

1 ทฤษฎีที่ถือว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันกับกฎหมาย ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายและ ความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน เนื่องจากล้วนมีกําเนิดมาจากพระเจ้า จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยหลัง ๆ จนถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้ โดยมากจะแสดงออกผ่านการตีความเรื่องความยุติธรรมจากนักคิดคนสําคัญของสํานักปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ที่มุ่งยืนยันความเด็ดขาดว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย รวมทั้งนักกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลของสํานักนี้ด้วย อาทิเช่น

ฮันส์ เคลเซ่น (Hans Kelsen) กล่าวว่า “ความยุติธรรมคือการรักษาไว้ซึ่งคําสั่งที่เป็น กฎหมาย โดยการปรับใช้คําสั่งนั้นอย่างมีมโนธรรม”

อัลฟ รอสส์ (AIf Ross) กล่าวว่า “ความยุติธรรมคือการปรับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง อันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการกระทําสิ่งใดตามอําเภอใจ”

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ตรัสว่า “ในเมืองไทย คําพิพากษาเก่า ๆ และคําพิพากษา เดี๋ยวนี้ด้วย อ้างความยุติธรรมขึ้นตั้งเสมอ ๆ แต่คําที่เรียกว่ายุติธรรมเป็นคําไม่ดี เพราะเป็นการที่ทุกคนเห็นต่างกัน ตามนิสัย ซึ่งไม่เป็นกิริยาของกฎหมาย กฎหมายต้องเป็นยุติ จะเถียงแปลกออกไปไม่ได้ แต่เราเถียงได้ว่าอย่างไร เป็นยุติธรรมไม่ยุติธรรมทุกเมื่อ ทุกเรื่อง ”

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2473 “กฎหมายต้องแปลให้เคร่งครัดตามกฎหมายที่มีอยู่ จะแปลให้คล้อยตามความยุติธรรมไม่ได้”

2 ทฤษฎีที่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นอุดมคติในกฎหมาย เป็นแนวคิดที่ความยุติธรรม ได้รับการเชิดชูไว้สูงกว่ากฎหมาย ในแง่นี้ความยุติธรรมถูกพิจารณาว่าเป็นแก่นสารอุดมคติในกฎหมาย หรือเป็น ความคิดอุดมคติซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายสูงส่งของกฎหมาย กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินตามหลังความยุติธรรม ซึ่งเป็นการมองความยุติธรรมในภาพเชิงอุดมคติ อันเป็นวิธีคิดในทํานองเดียวกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ อีกทั้ง เป็นวิธีคิดอุดมคตินิยมซึ่งเคยมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเช่นกัน หรือในชื่อที่เรียกกันว่า “ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ” ที่ยืนยันว่ากฎหมายมิใช่กฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่ถูกต้องหรือยุติธรรมโดยตัวของมันเอง ยังมีแก่นสาร ของความยุติธรรมที่อยู่เหนือและคอยกํากับเนื้อหาของกฎหมายในแบบกฎหมายเบื้องหลังกฎหมาย

แนวความคิดที่ว่าความยุติธรรมเป็นจุดมุ่งหมายของกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยเองก็มี มาช้านานแล้ว ดังเช่น

คดีอําแดงป้อม ในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่อําแดงป้อมมีชู้แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีผู้เป็นสามี ตุลาการก็ให้หย่า เพราะกฎหมายในขณะนั้นบัญญัติว่า “หญิงหย่าชาย หย่าได้” ผลของคําพิพากษานี้ รวมทั้ง กฎหมายที่สนับสนุนอยู่ เหนือหัวรัชกาลที่ 1 เห็นว่าไม่ยุติธรรม เป็นเหตุให้ต้องมีการชําระสะสางกฎหมายใหม่ จนกลายเป็นกฎหมายตราสามดวงในเวลาต่อมา

ในยุคปัจจุบัน แนวคิดในเรื่องความยุติธรรมเป็นหลักอุดมคติเหนือกฎหมายนี้ก็ยังปรากฏจาก บุคคลสําคัญของไทย เช่น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีแนวพระราชดําริต่อความยุติธรรมว่ามีสถานภาพ สูงกว่าหรือเป็นสิ่งที่เหนือกฎหมาย ใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า “โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความ ยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสําคัญยิ่งกว่ายุติธรรม หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใด ๆ โดยคํานึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้นดูจะ ไม่เป็นการเพียงพอ จําต้องคํานึงถึงความยุติธรรมเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมาย และได้ผลที่ควรจะได้”

สาระสังเขป ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ ปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายแนะนําไว้ในหนังสือหลักวิชาชีพกฎหมาย ของท่านไว้ว่า “การที่มีคําใช้อยู่ 2 คํา คือ “กฎหมาย” คําหนึ่ง “ความยุติธรรม” คําหนึ่ง ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่า หาใช่สิ่งเดียวกันเสมอไปไม่ การที่นักกฎหมายจะยึดถือแต่กฎหมาย ไม่คํานึงถึงความยุติธรรมตามความหมาย ทั่วไปนั้นเป็นความเห็นความเข้าใจแคบกว่าที่ควรจะเป็น

 

ข้อ 3 จงอธิบายแนวพระราชดําริทางปรัชญากฎหมายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน

ธงคําตอบ

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนั้น สืบแต่พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของชาติที่ทรงใส่พระทัยอย่างสูงต่อเรื่องกฎหมายและความยุติธรรม พระบรม ราโชวาทและพระราชดํารัสของพระองค์ที่ทรงมีต่อนักกฎหมายหรือคณะบุคคลต่าง ๆ ในหลายวโรกาสได้สําแดงออก ซึ่งความคิดเชิงปรัชญากฎหมายอย่างลึกซึ้ง จนมีผู้เรียกขานว่าเป็น ปรัชญากฎหมายข้างฝ่ายไทย

แนวพระราชดําริทางปรัชญากฎหมายของพระองค์ประกอบด้วยประเด็นทางความคิดหลายเรื่อง เช่น เรื่องความยุติธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมและเสรีภาพ, กฎหมายกับความเป็นจริง ในประชาสังคม, ความสําคัญของการปกครองโดยกฎหมาย, ปัญหาเรื่องความไม่รู้กฎหมายของประชาชนและ การปรับใช้กฎหมาย ตลอดจนเรื่องบทบาทของกฎหมายและนักกฎหมายในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม หัวใจแห่ง พระราชดําริคงอยู่ที่เรื่อง “กฎหมายกับความยุติธรรม” ซึ่งเชื่อมโยงโดยใกล้ชิดกับเรื่องกฎหมายกับความเป็นจริง ของชีวิตประชาชนในสังคม

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดถือธรรม หรือความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย อันเป็นความคิดคนละขั้วกับปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่ เน้นย้ำแต่เรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายหรือถือเอากฎหมายเป็นตัวความยุติธรรม ในพระราชดําริของพระองค์ กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรมโดยตรงและผู้ใช้กฎหมายซึ่งคํานึงถึงความยุติธรรมเป็นใหญ่ ก็ต้องไม่ติดอยู่กับตัวอักษร กฎหมายอย่างเดียว ในการอํานวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริง ๆ ความเช่นนี้อาจพิจารณาได้จากพระบรมราโชวาท ในหลาย ๆ พระวโรกาส เช่น

1 พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่นักศึกษาผู้สําเร็จการศึกษาเป็น เนติบัณฑิต ณ เนติบัณฑิตยสภา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2515 ความว่า “โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษา ความยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสําคัญไปยิ่งกว่ายุติธรรม หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อน กฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใด ๆ โดยคํานึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้น ดูจะไม่เป็นการเพียงพอ จําต้องคํานึงถึงความยุติธรรมซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและผลที่ควรจะได้”

2 พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิต ณ อาคารใหม่สวนอัมพร วันที่ 29 ตุลาคม 2522 ความว่า “ผู้ที่ได้ผ่านสํานักอบรมศึกษากฎหมายทุกคน ควรจะได้รับ การชี้แจงเน้นหนักให้ทราบชัดว่า กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม หากเป็นแต่เพียงบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้ เพื่อรักษาความยุติธรรม จึงไม่สมควรจะถือว่าการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินมีวงกว้างอยู่เพียงแค่ขอบเขต ของกฎหมาย จําเป็นต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย”

ความที่พระองค์ทรงถือเอาความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมายโดยนัยหนึ่งย่อมหมายถึง พระราชประสงค์ที่จะให้กฎหมายกําเนิดขึ้นหรือเป็นไปเพื่อความถูกต้องดีงาม หาใช่การปล่อยให้กฎหมายและการ ใช้กฎหมายเป็นไปในลักษณะที่สวนทางกับความยุติธรรมหรือศีลธรรมจรรยา หรือหาใช่ปล่อยให้กฎหมายเป็นกลไก แห่งการกดขี่ของผู้ปกครองไป หลักคุณค่าเรื่องความสงบสุขของบ้านเมืองหรือเสรีภาพ นับเป็นวัตถุประสงค์แห่ง กฎหมายตามพระราชดําริของพระองค์ที่ว่า “เราจะต้องพิจารณาในหลักว่ากฎหมายมีไว้สําหรับให้มีความสงบสุข ในบ้านเมือง มิใช่ว่ากฎหมายมีไว้สําหรับบังคับประชาชน ถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการ กลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับบุคคลหมู่มาก ในทางตรงข้าม กฎหมายมีไว้สําหรับให้บุคคลส่วนมาก มีเสรีภาพและอยู่ได้ด้วยความสงบ” พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวันระพี คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2516

อนึ่ง ที่ละเว้นไปเสียมิได้เลยก็คือในพระบรมราโชวาทซึ่งทรงพระราชทานในหลายวโรกาส พระองค์ได้ตรัสพาดพิงไปถึงเรื่องการบุกรุกป่าสงวนของราษฎร ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับราษฎร เป็นประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งของกฎหมายกับความเป็นจริงของประชาสังคม ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งในปัจจุบัน โดยรวมความตามแนวพระบรมราโชวาทแล้วก็มีสาระสําคัญว่า “กฎหมายกับความเป็นอยู่จริงอาจขัดกันได้ กฎหมายมีช่องโหว่มาก เพราะไปปรับปรุงกฎหมายและการปกครองโดยลอกแบบต่างชาติมาโดยไม่ดูว่า เหมาะสมกับความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่ บางทีการปกครองก็ไปไม่ถึงชุมชนห่างไกล กฎหมายที่ รัฐตราขึ้นเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ทําให้เขาตั้งกฎหมายใช้กันเอง ซึ่งบางจุดก็ขัดกับกฎหมายของรัฐ การตรา พระราชบัญญัติป่าสงวนที่ผ่านมา ปัญหามันเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐนั่งเก้าอี้ขีดบนแผนที่ว่าตรงไหนเป็นป่าสงวน โดยไม่ลงพื้นที่ดูว่าเป็นอย่างไร ความจริงก็คือมีราษฎรเขาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้นมาหลายชั่วอายุคนแล้ว อยู่ ๆ ก็ไปตราเป็นกฎหมาย ไปชี้ว่าเป็นป่าสงวน กลายเป็นว่าราษฎรบุกรุกป่าสงวน แน่นอนว่าถ้าดูตามกฎหมาย ราษฎรก็ผิดเพราะว่าตรามาเป็นกฎหมายโดยชอบธรรม แต่ว่าถ้าตามธรรมชาติแล้ว คนที่ทําผิดกฎหมาย คือเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปขีดเส้นว่าป่าที่ราษฎรอยู่เป็นป่าสงวน เพราะว่าราษฎรเขาอยู่มาก่อน เขามีสิทธิในทาง เป็นมนุษย์ ความหมายก็คือ ทางราชการนั้นแหละไปรุกรานบุกรุกราษฎรไม่ใช่ราษฎรบุกรุกกฎหมายบ้านเมือง” สาระสําคัญโดยรวมคือ เป็นแนวพระราชดําริที่ทรงเตือนสติให้คํานึงถึงเรื่องกฎหมายและความสอดคล้องกับ ความเป็นจริงของประชาสังคม ซึ่งโดยนัยแล้วก็ไม่แตกต่างกับที่ทรงย้ำว่ากฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรมหรือ อย่ายึดติดอยู่กับถ้อยคําในกฎหมายเพียงอย่างเดียว ต้องเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมคือจุดหมายปลายทางแห่งการ ใช้อํานาจรัฐทางด้านกฎหมายและความยุติธรรมต้องผูกติดอยู่กับธรรมะ ความถูกต้อง และความเป็นจริง

WordPress Ads
error: Content is protected !!