LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายมาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

ช่องว่างของกฎหมาย  เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั่นเอง

ในกรณีที่มีช่องว่างของกฎหมายเกิดขึ้น  โดยหลักทั่วไปศาลจะปฏิเสธไม่พิจารณาพิพากษาคดีโดยอ้างว่าไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีนั้นไม่ได้   

กล่าวคือ  ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดคดีนั้นเสมอโดยศาลจะต้องใช้กฎหมายโดวิธีอุดช่องว่างของกฎหมายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายได้กำหนดไว้  ซึ่งจะเห็นได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ซึ่งได้บัญญัติถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่า

เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

อนึ่ง  สำหรับกฎหมายอาญานั้น  แม้ว่าจะเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความผิดและโทษ  ศาลก็ย่อมที่จะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายได้  แต่จะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นการลงโทษบุคคล  หรือจะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไปในทางที่จะลงโทษบุคลให้หนักขึ้นไม่ได้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.      เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.      เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.      เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.      เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป

5.      เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม

2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1        พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2        พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3        พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4        กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ

3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

 

ข้อ  2

1)    ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดาและกรณีพิเศษ  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง  จงอธิบาย

2)    นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ในวันที่  1  มกราคม  2550  นายไก่เดินทางไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน  ในวันที่  10  สิงหาคม  2550  เกิดพายุหยกทำให้บ้านเรือนเสียหายมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก  11  สิงหาคม  2550  นายไก่โทรศัพท์มาหานางไข่  เล่าให้นางไข่ฟังว่าตนรอดพ้นภัยพิบัติอย่างหวุดหวิด  หลังจากนั้นนางไข่ก็ไม่ได้ข่าวและไม่มีใครพบเห็นตัวนายไก่อีกเลย

1       นางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่

2       เป็นการสาบสูญกรณีใด  วันครบกำหนดเมื่อใด  และนางไข่เริ่มจะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคำตอบ

(1) หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตร  61  ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

อธิบาย

ในการที่ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

(1) บุคคลใดบุคคลหนึ่งไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และ

(2) ไม่ได้รับข่าวคราวหรือไม่มีใครพบเห็นตัว  หรือไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

(3) ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี

(4) ผู้มีส่วนได้เสีย  เช่น  สามี  ภริยา  บิดามารดา  ผู้สืบสันดาน  ฯลฯ  หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล

(5) ศาลอาจจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  (ตามมาตรา  61  วรรคแรก)

ส่วนกรณีพิเศษนั้น  กำหนดระยะเวลาลดเหลือ 2 ปี นับแต่

(1) วันมีการรบ  หรือสงครามสิ้นสุดลง  หรือ

(2) วันที่ยานพาหนะซึ่งบุคคลนั้นโดยสารไปเกิดอุบัติเหตุ  อับปาง ฯลฯ

(3) หรือเหตุอื่นๆนอกจากกรณี  1) หรือ 2)  และมีการตายเกิดขึ้นเพราะบุคคลดังกล่าวอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ เมื่อเหตุการณ์ได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่พบตัว หรือได้รับข่าวคราว

2)    หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตร  61  ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

(1) นางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เห็นว่า  ผู้มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบุคคลใดเป็นคนสาบสูญได้นั้น  จะต้องเป็น

1       ผู้มีส่วนได้เสีย  คือ  ผู้มีสิทธิหรือได้รับสิทธิต่างๆ  เนื่องจากการที่ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญ  เช่น  คู่สมรส  บิดามารดาหรือญาติพี่น้อง  รวมทั้งหุ้นส่วนด้วย  เป็นต้น  หรือ

2       พนักงานอัยการ

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อนายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะคู่สมรส  นางไข่  จึงมีสิทธิร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้

(2) ตามอุทาหรณ์  ภายหลังจากวันที่พายุหยก  ในวันที่  11  สิงหาคม  2550  นางขายังสามารถติดต่อกับนายไก่ได้  แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้รับข่าวคราวนายไก่อีกเลย  ดังนี้  จึงไม่ถือว่านายไก่อยู่ในเหตุอันตรายแก่ชีวิต  แต่เป็นเหตุที่นายไก่หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครทราบแน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  เป็นกรณีสาบสูญธรรมดาตามมาตรา  61  วรรคแรก  มิใช่การสาบสูญกรณีพิเศษ

สำหรับวันครบกำหนดนั้น  นายไก่หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยติดต่อกับนางไข่ภริยาครั้งล่าสุดในวันที่  11  สิงหาคม  2550  และไม่มีใครรู้แน่ว่านายไก่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  กรณีเป็นการสาบสูญธรรมดาระยะเวลาต้องติดต่อกัน  5  ปี  นับตั้งแต่วันที่  11  สิงหาคม  2550  ตามมาตรา  61  วรรคแรก  ดังนั้นจึงครบกำหนดในวันที่  11  สิงหาคม  2555

และนางไข่จะเริ่มมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่  12  สิงหาคม  2555  เป็นต้นไป

สรุป

(1) นางไข่ไปร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้  เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย

(2) เป็นการสาบสูญกรณีธรรมดา  ครบกำหนดวันที่  11  สิงหาคม  2555  และนางไข่เริ่มจะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่  12  สิงหาคม  2555  เป็นต้นไป

 

ข้อ  3  บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมต่างๆ  จะมีผลอย่างไร

1)    นายใสอายุ  18  ปีบริบูรณ์ทำสัญญาซื้อรถยนต์โดยลำพังจากนายดำ  สัญญาซื้อขายรถยนต์มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

2)    นายสุกคนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากนางสุขผู้อนุบาลให้ไปซื้อโทรทัศน์จากร้านนายแดง  สัญญาซื้อขายโทรทัศน์ระหว่างนายสุกและนายแดงมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

3)    นายแสงคนวิกลจริตไปซื้อโทรศัพท์มือถือมูลค่า  2  หมื่นบาทจากร้านนางสีในขณะกำลังวิกลจริต  และนางสีก็ทราบดีว่านายแสงวิกลจริต  สัญญาซื้อขายโทรศัพท์มือถือระหว่างนายแสงและนางสีมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ  เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา  30  การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต

วินิจฉัย

1)    สัญญาซื้อขายรถยนต์เป็นโมฆียะ  เพราะผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ  ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  หากฝ่าฝืน  ผลทางกฎหมาย  คือ  เป็นโมฆียะตามมาตรา  21  ทั้งกรณีนี้ก็มิใช่นิติกรรมที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์ทำได้เองโดยลำพัง  คือมิใช่นิติกรรมที่เป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิหรือหลุดพ้นจากหน้าที่  หรือที่ต้องทำเองเฉพาะตัว  หรือที่เป็นการสมแก่ฐานานุรูปหรือจำเป็นในการดำรงชีวิตแต่อย่างใด

2)    โดยหลักแล้ว  คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  ย่อมตกเป็นโมฆียะทั้งสิ้น  ตามมาตรา  29  แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลก็ตาม  เว้นแต่การทำพินัยกรรม  ซึ่งจะมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา  1704  วรรคแรก  ดังนั้น  การที่นายสุกคนไร้ความสามารถไปซื้อโทรทัศน์จากร้านนายแดง  ย่อมตกเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  29  ทั้งนี้  แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลก็ตาม

3)    ตามมาตรา  30  การทำนิติกรรมของคนวิกลจริตจะมีผลเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อ 

1       ได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นมีอาการจริตวิกล

2       คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริตซึ่งการที่นิติกรรมนี้จะมีผลเป็นโมฆียะจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขหรือองค์ประกอบทั้ง  2  ข้อดังกล่าว  จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้  เมื่อข้อเท็จจริงในกรณีนี้ปรากฏว่า  ในขณะที่นายแสงคนวิกลจริตทำนิติกรรมซื้อโทรศัพท์มือถือก็เป็นขณะที่กำลังวิกลจริตอยู่  ทั้งนางสีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งก็ทราบดีว่านายแสงวิกลจริต  ดังนั้น  เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง  2  ข้อ  สัญญาซ้อขายโทรศัพท์ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  30

สรุป

1)    ผลของสัญญาเป็นโมฆะ  เพราะขาดความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม

2)    ผลของสัญญาเป็นโมฆะ  เพราะคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆไม่ได้เลย  ฝ่าฝืนเป็นโมฆียะ  ผู้อนุบาลต้องทำแทน

3)    ผลของสัญญาเป็นโมฆะ  เพราะทำนิติกรรมขณะกำลังวิกลจริต  และคู่สัญญาก็ทราบดีว่าวิกลจริต

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002  หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายหลักในการใช้และตีความกฎหมายแพ่ง  หรือกฎหมายเอกชน  มาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 4  วรรคแรก กฎหมายนั้น  ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร  หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ 

อธิบาย

กฎหมายแพ่งหรือกฎหมายเอกชน  เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน  ดังนั้น  หลักในการใช้และการตีความกฎหมายแพ่งจึงต้องใช้หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคแรก  ที่บัญญัติว่า  กฎหมายนั้น  ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร  หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ

ดังนั้น  การตีความกฎหมายแพ่งจึงใช้ทั้งตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายพร้อมๆกัน  ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทั้งสองฝ่าย

ตัวอย่างเช่น  กฎหมายลักษณะมรดก  มาตรา  1627  บัญญัติว่า  บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น  ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งคำว่า  บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว  เป็นถ้อยคำของกฎหมายที่มีความหมายกำกวมไม่ชัดเจน  กล่าวคือ  ไม่แน่ชัดว่าจะใช้ความหมายอย่างแคบ  ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยนิตินัย  เช่น  การจดทะเบียนรับรองบุตร  หรือจะใช้ความหมายอย่างกว้าง  

ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยพฤตินัย  เช่น  การที่บิดาให้ใช้นามสกุล  อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาและเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าเด็กเป็นบุตรของตน  และเมื่อมีการตีความตามตัวอักษรประกอบกับความมุ่งหมาย  หรือ เจตนารมณ์ของกฎหมายลักษณะมรดกแล้ว  จะเห็นได้ว่ากฎหมายมรดกมีความประสงค์ที่จะให้บุตรที่จะเป็นผู้สืบสันดานและมีสิทธิรับมรดกนั้น  หมายถึง  บุตรตามความเป็นจริง  กล่าวคือ  แม้จะเป็นบุตรนอกกฎหมายแต่ถ้าหากบิดาได้รับรองโดยพฤตินัยแล้วก็มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้เช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

 ข้อ  2  นายจอก  นางจิก  เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายและมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือ  นายเจี๊ยบ  ในวันที่  1  มกราคม  2550  นายจอกและนายเจี๊ยบไปเที่ยวทะเลที่จังหวัดตรัง  ในวันนั้นเอง  เรือที่พ่อลูกโดยสารไปเจอพายุ  เรือล่ม  มีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก  วันที่  5  มกราคม  2550  พบศพนายเจี๊ยบ  แต่ไม่มีใครพบเห็นตัว  หรือได้รับข่าวจากนายจอกเลย

1)    นางจิก  จะร้องขอให้นายจอกและนายเจี๊ยบ  เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่
2)    เป็นคนสาบสูญกรณีใด  และครบกำหนดเมื่อใด  วันเริ่มมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเป็นวันใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  15  วรรคแรก  สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย

มาตรา  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

(1)  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

(3)  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

การที่ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญ  ตามมาตรา  61  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์  ดังนี้คือ

1        ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

2        ติดต่อกันเป็นเวลา  5  ปี  สำหรับกรณีสาบสูญธรรมดา นับจากวันที่บุคคลนั้นไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  หรือกรณีพิเศษ  ติดต่อกันเป็นเวลา  2  ปีนับแต่(1)  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

(3)  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

3        ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล

4        ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญกรณีตามอุทาหรณ์

1)    นางจิกจะร้องขอให้นายจอกและนายเจี๊ยบเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เห็นว่าตามกฎหมายบุคคลที่จะร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ  บุคคลนั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นพนักงานอัยการ

กรณีนายจอก  เมื่อนางจิกและนายจอกเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  นางจิกจึงมีฐานะเป็นคู่สมรสอันถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียจึงมีสิทธิร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายจอกสามีเป็นคนสาบสูญได้

กรณีนายเจี๊ยบ  เมื่อได้ความว่า  ภายหลังจากที่เจอพายุ  เรือล่ม  ได้พบศพนายเจี๊ยบแล้ว  กรณีจึงถือว่านายเจี๊ยบได้สิ้นสุดสภาพบุคคล  คือ  ตายแล้วตามมาตรา  15  นางจิกจึงร้องขอให้นายเจี๊ยบเป็นคนสาบสูญไม่ได้

2)    เมื่อได้ความว่า  ในวันที่  1  มกราคม  2550  นายจอกได้ไปเที่ยวทะเลที่จังหวัดตรัง  ระหว่างเดินทางเรือที่นายจอกโดยสารเจอพายุเรือล่ม  มีคนบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก  แต่ไม่มีใครพบเห็นตัวหรือได้รับข่าวหรือได้รับการติดต่อจากนายจอกอีกเลย  กรณีจึงถือว่านายจอกได้หายไปจากถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  นับแต่วันที่เรือซึ่งเป็นยานพาหนะที่นายจอกนั้นเดินทางอับปาง  อันเป็นเรื่องของการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษตามมาตรา  61  วรรคสอง  (2)

สำหรับวันครบกำหนด  เมื่อเป็นการสาบสูญกรณีพิเศษ  มีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ  2  ปี  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางอับปาง  เมื่อปรากฏว่าเรือเจอพายุอับปางในวันที่  1  มกราคม  2550  วันที่ครบกำหนด  2  ปี  คือวันที่  1  มกราคม  2552  และเริ่มมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่  2  มกราคม  2552  เป็นต้นไป

สรุป

1)    นางจิกร้องขอให้นายเจี๊ยบเป็นคนสาบสูญไม่ได้  แต่ร้องขอให้นายจอกเป็นคนสาบสูญได้

2)    เป็นการสาบสูญกรณีพิเศษ  วันครบกำหนด คือ  วันที่  1  มกราคม  2552  และเริ่มมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่  2  มกราคม  2552  เป็นต้นไป

 

ข้อ  3  บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

1)    ไก่อายุ  18  ปีบริบูรณ์  ถอนเงินส่วนตัว  6  แสนบาทเพื่อไปซื้อรถยนต์  1  คัน  มีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้นิติกรรมที่ทำขึ้นสมบูรณ์

2)    ไข่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมแหวนไปใช้ในงานแต่งงานโดยลำพัง  การให้ยืมแหวนเพชร  มีผลอย่างไร

3)    ขวดคนไร้ความสามารถ  ได้รับอนุญาตจากนางขิมผู้อนุบาลให้ไปซื้อโทรทัศน์จากร้านนายดำ  มูลค่า  4  หมื่นบาท

4)    นางขิงคนวิกลจริตไปซื้อตู้เย็นจากนายข่าในขณะกำลังวิกลจริต  แต่นายข่าไม่ทราบว่านางขิงวิกลจริต

ธงคำตอบ

หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ  เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา  30  การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต

มาตรา 34  คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น  ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3)   กู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงิน  ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่าวินิจฉัย

1)    ตามมาตรา  21  นั้น  กฎหมายได้วางหลักไว้ว่าผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ  จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ได้ทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะ  เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังตนเอง  และมีผลสมบูรณ์โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม

ตามปัญหา  การที่ไก่ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ถอนเงินส่วนตัว  6  แสนบาท  เพื่อไปซื้อรถยนต์นั้น  เมื่อนิติกรรมซื้อขายรถยนต์  ไม่ใช่นิติกรรมที่เข้าข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังตนเอง  เพราะไม่ใช่นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์  หรือนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว  ดังนั้นถ้าจะให้นิติกรรมดังกล่าวมีผลสมบูรณ์  ไก่จะต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน  จึงจะทำนิติกรรมนั้นได้

2)    โดยทั่วไป  คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  ได้โดยลำพังตนเอง  และมีผลสมบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา  34  ที่คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา  การที่ไข่คนเสมือนไร้ความสามารถได้ให้เพื่อนยืมแหวนเพชรโดยลำพังคือ  โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์นั้น  เมื่อการให้ยืมแหวนเพชรเป็นนิติกรรมที่ไม่เข้าข้อยกเว้นของมาตรา  34(3)  เพราะไม่ใช่การให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอน  ต้องมีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่)  ดังนั้น  ไข่คนเสมือนไร้ความสามารถจึงสามารถทำได้โดยลำพังตนเองและมีผลสมบูรณ์  ไม่ตกเป็นโมฆียะ

3)    ตามมาตรา  29  กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆทั้งสิ้น  ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม  ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม  นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา  การที่ขวดคนไร้ความสามารถไปทำนิติกรรมโดยการไปซื้อโทรทัศน์จากร้านของนายดำ  ดังนี้แม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของขวดคนไร้ความสามารถจะได้รับอนุญาต  คือได้รับความยินยอมจากนางขิมผู้อนุบาลก็ตาม  นิติกรรมนั้นก็จะตกเป็นโมฆียะ

4)    โดยหลักของมาตรา  30  คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์  เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา  การที่นางขิงคนวิกลจริตได้ไปซื้อตู้เย็นจากนายข่าในขณะกำลังวิกลจริต  แต่เมื่อนายข่าไม่ทราบว่านางขิงเป็นคนวิกลจริต  ดังนั้นนิติกรรมการซื้อขายตู้เย็นระหว่างนางขิงและนายข่าจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

สรุป

1)    ไก่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  นิติกรรมการซื้อขายรถยนต์ที่ทำขึ้นจึงจะมีผลสมบูรณ์

2)    นิติกรรมการให้ยืมแหวนเพชรมีผลสมบูรณ์

3)    นิติกรรมการซื้อขายโทรทัศน์ระหว่างขวดกับนายดำมีผลเป็นโมฆียะ

4)    นิติกรรมการซื้อขายตู้เย็นระหว่างนางขิงกับนายข่ามีผลสมบูรณ์

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ช่องว่างแห่งกฎหมายคืออะไร  เกิดขึ้นได้อย่างไร  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้ว่าอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย  หมายถึง  กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้  กล่าวคือ  ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อมาใช้ปรับแก่กรณีไม่พบ

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมาย  อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากในขณะที่ร่างกฎหมายนั้น  ผู้ร่างกฎหมายไม่คาดคิดว่าจะมีกรณีนั้นๆเกิดขึ้นมา  จึงไม่ได้บัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์  หรือกรณีนั้นๆเอาไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกมีวิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ  ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนความเปลี่ยนแปลง ทางเศรษฐกิจและสังคมอาจมีผลทำให้กฎหมายลายลักษณ์อักษรก้าวไม่ทันความเจริญ ก้าวหน้าในด้านต่างๆ  จึงเกิดเป็นช่องว่างแห่งกฎหมายขึ้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่า

เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าว  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.      เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.      เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.      เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.      เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป

5.      เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม

2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1        พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2        พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3        พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4        กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ

3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

 

ข้อ  2  นิติกรรมของผู้เยาว์ในกรณีดังต่อไปนี้มีผลอย่างไร  (ให้ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบทุกข้อ)

(1) นายโชคอายุ  18  ปี  สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้  บิดาของนายโชคมอบเงินรางวัลให้นายโชค  20,000  บาท  พร้อมกับสั่งให้นายโชคไปซื้อคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว  (laptop)  เพื่อมาใช้เป็นอุปกรณ์ในการศึกษา  แทนที่นายโชคจะนำเงินรางวัลไปซื้อคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วตามที่บิดาสั่ง  นายโชคกลับนำเงิน  20,000  บาท  ไปซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดในราคา  20,000  บาท  จากร้านของนายทองดี  อยากทราบว่า  นิติกรรมที่นายโชคทำไปมีผลอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ  เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  26  ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ผู้เยาว์จำหน่ายทรัพย์เพื่อการอันใดอันหนึ่งอันได้ระบุไว้  ผู้เยาว์จะจำหน่ายทรัพย์สินนั้นเป็นประการใดภายในขอบของการที่ระบุไว้นั้นก็ทำได้ตามใจสมัคร  อนึ่ง  ถ้าได้รับอนุญาตให้จำหน่ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใด  ผู้เยาว์ก็จำหน่ายได้ตามใจสมัคร

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  นายโชคอายุ  18  ปี  ซึ่งเป็นผู้เยาว์  ได้รับรางวัลเป็นเงิน  20,000 บาท  จากบิดา  เพื่อให้ไปซื้อคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว  เป็นอุปกรณ์การศึกษา  ซึ่งถ้าหากนายโชคนำเงินไปซื้อคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว  นิติกรรมการซื้อคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วย่อมสมบูรณ์  ตามมาตรา  26

แต่ตามข้อเท็จจริง  ปรากฏว่านายโชคกลับนำเงินทั้ง  20,000  บาท  ไปซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด  จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของบิดานายโชค  ซึ่งเท่ากับเป็นการทำนิติกรรมโดยไม่ได้รับความยินยอมของบิดานายโชค  ซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม  ดังนั้น  นิติกรรมการซื้อโทรศัพท์มือถือของนายโชคซึ่งเป็นผู้เยาว์ย่อมเป็นโมฆียะตามมาตรา  21

สรุป  นิติกรรมการซื้อโทรศัพท์มือถือของนายโชคมีผลเป็นโมฆียะ 

(2) เด็กชายสุรินทร์  อายุ  14  ปี  ได้รับทรัพย์มรดกเป็นจำนวนมากจากมารดาของตนเอง  แต่เด็กชายสุรินทร์ป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย  เด็กชายสุรินทร์จึงปรึกษากับนายบุรีรัมย์บิดาว่าจะทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้นายอุดรพี่ชายของตนเอง  ซึ่งนายบุรีรัมย์ก็เห็นชอบด้วย  เด็กชายสุรินทร์จึงได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้นายอุดร  อยากทราบว่าพินัยกรรมของเด็กชายสุรินทร์มีผลเป็นอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้น  เป็นโมฆะ

วินิจฉัย

โดยหลัก  ผู้เยาว์จะทำพินัยกรรมได้ต้องมีอายุครบ  15  ปีบริบูรณ์ตามมาตรา  25  ซึ่งถ้าผู้เยาว์ทำพินัยกรรมในขณะที่อายุยังไม่ครบ  15  ปีบริบูรณ์  พินัยกรรมที่ทำขึ้นนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา  1703

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อเด็กชายสุรินทร์อายุ  14  ปี  ซึ่งตามกฎหมายแล้วไม่สามารถทำพินัยกรรมได้  เมื่อเด็กชายสุรินทร์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้นายอุดรพี่ชายของตนเอง  แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ตาม  พินัยกรรมที่เด็กชายสุรินทร์ทำขึ้นมานั้นจึงเป็นโมฆะตามมาตรา  1703

สรุป  พินัยกรรมของเด็กชายสุรินทร์มีผลเป็นโมฆะ 

 

ข้อ  3  นายผดุงเดินทางไปเที่ยวเกาะสมุย  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  ขณะโดยสารเรือข้ามไปเกาะสมุย  บังเอิญเกิดพายุโซนร้อนอย่างร้ายแรง  เป็นเหตุให้เรือที่นายผดุงโดยสารไปนั้นอับปางลง  นายผดุงได้หายไปพร้อมกับผู้โดยสารอื่น  เมื่อวันที่  1  มกราคม  2550  จนถึงปัจจุบัน  (26  พฤษภาคม  2553)  ยังไม่ทราบข่าวคราวว่านายผดุงเป็นตายร้ายดีอย่างไร  อยากทราบว่า

(1) ใครเป็นผู้สามารถร้องขอต่อศาลให้นายผดุงเป็นคนสาบสูญได้บ้าง

(2) การสาบสูญของนายผดุงเป็นกรณีปกติหรือกรณีพิเศษ

(3) จะมีการร้องขอให้ศาลสั่งให้นายผดุงเป็นคนสาบสูญได้เมื่อใด  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

(1)  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

(3)  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

(1) ผู้ที่สามารถร้องขอต่อศาลให้นายผดุงเป็นคนสาบสูญ  ได้แก่

1.ผู้มีส่วนได้เสียซึ่งหมายถึง  ผู้ที่มีสิทธิ  หรือได้รับสิทธิต่างๆขึ้น  เนื่องจากศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญ  เช่น  ทายาท  คู่สมรส

2. พนักงายอัยการ

(2) การสาบสูญของนายผดุงเป็นกรณีพิเศษ  เนื่องจากนายผดุงได้สูญหายไปเพราะยานพาหนะที่ใช้เดินทาง  คือ  เรือนั้นได้อับปางลงตามมาตรา  61  วรรคสอง(2)

(3) เมื่อการสาบสูญของนายผดุงเป็นกรณีพิเศษตามมาตรา  61  วรรคสอง (2)  ดังนั้นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการอาจร้องขอให้ศาลสั่งให้นายผดุงเป็นคนสาบสูญได้เมื่อครบ  2  ปี  นับแต่วันที่เรือซึ่งนายผดุงโดยสารไปนั้นได้อับปางลง  คือ  สามารถร้องขอได้ในวันที่  2  มกราคม  2552

สรุป

(1) ผู้ที่สามารถร้องขอต่อศาลให้นายผดุงเป็นคนสาบสูญ  ได้แก่  ผู้มีส่วนได้เสียและพนักงานอัยการ

(2) การสาบสูญของนายผดุงเป็นกรณีพิเศษ

(3) ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการอาจร้องขอให้ศาลสั่งให้นายผดุงเป็นคนสาบสูญได้  ในวันที่  2  มกราคม  2552 

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  กฎหมายคืออะไร  และต้องมีลักษณะเช่นใด  อธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมาย  คือ  ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีต่อกันภายในองค์กรทางสังคมที่มนุษย์เป็นสมาชิกสังกัดอยู่  นอกจากนี้กฎหมายยังหมายรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับองค์กรทางสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่และในหมู่ประเทศที่มีอารยะด้วย  ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านั้น  สำหรับกฎหมายในส่วนนี้ได้แก่  กฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง

สำหรับสิ่งที่เป็นกฎหมายต้องมีลักษณะ  ดังนี้

1       กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์  คือ  มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐหรือของประเทศในการตรากฎหมาย

2       กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป  คือ  กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้ว  ย่อมมีผลใช้บังคับกับบุคคลทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้นๆ  อย่างเสมอภาค  ไม่จำกัดเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางกรณี  เช่น  ในกรณีของทูต  หรือกงสุลที่เข้ามาในประเทศไทย  เป็นต้น 

3       กฎหมายต้องใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก  คือ  เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว  ตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิก  กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับอยู่เสมอ  ซึ่งการยกเลิกกฎหมายอาจเป็นการยกเลิกโดยบทบัญญัติของกฎหมายนั้นเอง  หรือมีกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า  หรือมีการยกเลิกโดยปริยาย  เมื่อกฎหมายเก่าขัดกับกฎหมายใหม่

4       กฎหมายนั้นประชาชนจำต้องปฏิบัติตาม  ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องให้กระทำการหรือเป็นเรื่องละเว้นกระทำการก็ได้  ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษ

5       กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ  ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมีได้ทั้งในอาญาและในทางแพ่ง

 –  สภาพบังคับในทางอาญา  คือ  โทษ  นั่นเอง  ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้มี  5  ชนิด  โดยเรียงจากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด  ได้แก่  1  ประหารชีวิต  2  จำคุก  3  กักขัง  4  ปรับ  5  ริบทรัพย์สิน

–   สภาพบังคับในทางแพ่ง  หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น  คือ  การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กัน  ได้แก่  การคืนทรัพย์  การชดใช้ราคาแทนทรัพย์  และรวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย 

 

 ข้อ  2  นายสุจริตและนางซื่อสัตย์  เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย  ได้ออกเดินทางจาก กทม.  เพื่อไปเที่ยวกับเพื่อนๆสมัยเรียนมหาวิทยาลัยในวันที่  28  ก.ค.  2553  ต่อมาในตอนบ่ายของวันที่  31  ก.ค.  2553  ขณะที่นายสุจริตและนางซื่อสัตย์ไปเที่ยวที่น้ำตกวังตะไคร้กับเพื่อนๆอย่างสนุกสนานอยู่นั้น  เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดพาคนทั้งสองและเพื่อนๆไปกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากทั้งหมด  และในวันที่  31  ก.ค.  2553  ตอนเย็นได้มีผู้พบศพนางซื่อสัตย์  แต่ไม่มีใครพบเห็นหรือได้ข่าวของนายสุจริตอีกเลย

อยากทราบว่า  นายคนดีบุตรชายนายสุจริตและนางซื่อสัตย์  จะไปร้องขอให้บุคคลทั้งสองเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และเมื่อใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

(1)  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

(3)  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสุจริตได้สูญหายไปเนื่องจากน้ำป่าไหลหลากซึ่งเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น  ถือเป็นการสูญหายไปในกรณีพิเศษตามมาตรา  61  วรรคสอง(3)  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายคนดีเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสุจริตและนางซื่อสัตย์  จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิขอให้ศาลสั่งให้นายสุจริตเป็นคนสาบสูญได้

และเมื่อเป็นการสูญหายไปในกรณีพิเศษ  จึงมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ  2  ปี  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและนายสุจริตได้สูญหายไปในวันที่  31  กรกฎาคม  2553  จึงครบกำหนด  2  ปี  ในวันที่  31  กรกฎาคม  2555  ดังนั้นนายคนดีจะเริ่มไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในวันที่  1  สิงหาคม  2555  ตามมาตรา  61  วรรคสอง (3)

ส่วนกรณีของนางซื่อสัตย์นั้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ในวันที่  31  กรกฎาคม  2553  ได้มีผู้พบศพแล้ว  จึงเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดา  นายคนดีจึงไม่สามารถจะไปร้องขอให้ศาลสั่งให้นางซื่อสัตย์เป็นคนสาบสูญได้

สรุป  นายคนดีร้องขอให้ศาลสั่งให้นายสุจริตเป็นคนสาบสูญได้  โดยร้องขอได้ในวันที่  1  สิงหาคม  2555  เป็นต้นไป  แต่จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นางซื่อสัตย์เป็นคนสาบสูญไม่ได้

 

ข้อ  3  นายไก่ลูกมหาเศรษฐีแห่งประเทศไทย  นำเงินส่วนตัวไปซื้อรถยนต์มา  1  คัน  มูลค่า  5  ล้านบาท  ในขณะนั้นอายุ  18  ปีบริบูรณ์  ต่อมามารดาร้องขอต่อศาลให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  เพราะจิตฟั่นเฟือน  ศาลตั้งมารดาเป็นผู้พิทักษ์  นายไก่ให้เพื่อนยืมลูกช้างไปแสดงโชว์ฝรั่ง  4  เชือกโดยลำพัง  ต่อมานายไก่ป่วยหนักขึ้นถึงขั้นวิกลจริต  ไปซื้อที่ดินจากนายขวดขณะกำลังวิกลจริต  แต่นายขวดไม่ทราบว่าวิกลจริต  ต่อมาศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถและตั้งมารดาเป็นผู้อนุบาล  ผู้อนุบาลอนุญาตให้นายไก่ไปซื้อลูกสุนัขพันธุ์ดีมูลค่า  5  แสนบาท  1  ตัว  จากนายเขียวมาเลี้ยง

สัญญาซื้อขายรถยนต์  ให้เพื่อนยืมลูกช้าง  4  เชือก  สัญญาซื้อขายที่ดิน  และสัญญาซื้อลูกสุนัข  ซึ่งนายไก่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร  จงอธิบาย 

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ  เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา  30  การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต

มาตรา 34  คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น  ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงิน  ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

1       สัญญาซื้อขายรถยนต์

โดยหลัก  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ  จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  21  เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ผู้เยาว์สามารถทำเองได้โดยลำพังและมีผลสมบูรณ์ 

ตามข้อเท็จจริง  การที่นายไก่นำเงินส่วนตัวไปซื้อรถยนต์นั้น  ไม่ถือเป็นนิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์  หรือนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว  หรือนิติกรรมที่ผู้เยาว์จะได้ไปซึ่งสิทธิหรือเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง  ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังแต่อย่างใด  ดังนั้นเมื่อนายไก่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม  สัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา  21

2       สัญญาให้เพื่อนยืมลูกช้าง  4  เชือก

โดยหลัก  คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  ได้โดยลำพังตนเอง  และมีผลสมบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างตามมาตรา  34  ซึ่งคนเสมือนไร้ความสามารถจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามข้อเท็จจริง  การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกช้างนั้นเป็นเพียงการให้ยืมสังหาริมทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น  ไม่ใช่กรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอนจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่)  ซึ่งเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา  34(3)  ดังนั้นถึงแม้นายไก่จะให้เพื่อนยืมลูกช้างโดยลำพัง  กล่าวคือ  ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์  สัญญาให้เพื่อนยืมลูกช้าง  4  เชือกดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์  ไม่ตกเป็นโมฆียะ

3       สัญญาซื้อขายที่ดิน

โดยหลัก  นิติกรรมใดๆที่คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ทำขึ้นนั้นมีผลสมบูรณ์  เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะที่จริตวิกล  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต  ตามมาตรา  30

ตามข้อเท็จจริง  แม้ว่านายไก่คนวิกลจริตได้ไปซื้อที่ดินจากนายขวดในขณะกำลังวิกลจริต  แต่เมื่อนายขวดคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่ทราบว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต  ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินจึงมีผลสมบูรณ์  ไม่ตกเป็นโมฆียะ

4       สัญญาซื้อลูกสุนัข

โดยหลัก  คนไร้ความสามารถไม่อาจทำนิติกรรมใดๆได้  ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน  ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม  ถึงแม้จะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาล  นิติกรรมนั้นก็ตกเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  29

ตามข้อเท็จจริง  การที่นายไก่คนไร้ความสามารถไปซื้อลูกสุนัขพันธุ์ดีจากนายเขียว  แม้ว่าจะได้รับความยินยอมจากมารดาซึ่งเป็นผู้อนุบาล  สัญญาซื้อลูกสุนัขดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ

สรุป

1)    สัญญาซื้อขายรถยนต์มีผลเป็นโมฆียะ

2)    สัญญาให้เพื่อนยืมลูกช้าง  4  เชือกมีผลสมบูรณ์

3)    สัญญาซื้อขายที่ดินมีผลสมบูรณ์

4)    สัญญาซื้อลูกสุนัขมีผลเป็นโมฆียะ

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายหลักกฎหมายในการอุดช่องว่างกฎหมายแพ่งมาโดยละเอียด  พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย  หมายถึง  กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้  กล่าวคือ  ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อมาใช้ปรับแก่กรณีไม่พบ

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมาย  อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากในขณะที่ร่างกฎหมายนั้น  ผู้ร่างกฎหมายไม่คาดคิดว่าจะมีกรณีนั้นๆเกิดขึ้นมา  จึงไม่ได้บัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์  หรือกรณีนั้นๆเอาไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกมีวิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ  ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนความเปลี่ยนแปลง ทางเศรษฐกิจและสังคมอาจมีผลทำให้กฎหมายลายลักษณ์อักษรก้าวไม่ทันความเจริญ ก้าวหน้าในด้านต่างๆ  จึงเกิดเป็นช่องว่างแห่งกฎหมายขึ้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่า

เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าว  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.      เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.      เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.      เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.      เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป

5.      เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม

ตัวอย่างเช่น  จารีตประเพณีของธนาคารพาณิชย์  จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง  เป็นต้น

2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1        พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2        พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3        พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4        กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ตัวอย่างเช่น  การขุดหลุมรับน้ำโสโครก  หลุมรับปุ๋ย  หรือหลุมรับขยะมูลฝอย  มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้  (มาตรา  1342)  แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี  มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน  เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  จึงนำเอามาตรา  1342  มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้  เป็นต้น

3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

เช่น  สัญญาต้องเป็นสัญญา  ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  เป็นต้น

 

ข้อ  2  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สภาพบุคคลย่อมสิ้นสุดลงในกรณีใดบ้าง  ให้อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายด้วย

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  15  วรรคแรก  บัญญัติว่า  สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก  และสิ้นสุดลงเมื่อตาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าว  จะเห็นได้ว่าสภาพบุคคลของบุคคลธรรมดานั้น  ย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตาย  ซึ่งการตายนั้นมีได้  2  กรณี  คือการตายตามธรรมดา  และการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญซึ่งถือว่าเป็นการตายโดยผลแห่งกฎหมาย

1       การตายตามธรรมดา  หมายถึง  การที่บุคคลหมดลมหายใจ  และหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง  ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุใดๆก็ตาม  เช่น  การที่บุคคลเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย  หรือประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  เป็นต้น  เพียงแต่ในปัจจุบันในทางการแพทย์นั้น  ถือว่าเมื่อแกนสมองตาย  ก็ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตายและทำให้สภาพบุคคลสิ้นสุดลงแล้ว

2       การตายโดยการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ  ตามมาตรา  61  ซึ่งแยกออกเป็น  2  กรณี  คือ

1)    การเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  ตามมาตรา  61  วรรคแรก  ซึ่งจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์  ดังนี้คือ

 1.1            บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เป็นเวลา  5  ปี  โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็นหรือนับตั้งแต่วันที่บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาไป  หรือนับแต่วันที่ได้รับข่าวคราวของบุคคลนั้นในครั้งหลังสุดเป็นต้นไป

1.2            ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  ผู้มีส่วนได้เสีย  หมายถึง  บุคคลซึ่งจะมีหรือเกิดสิทธิขึ้น  เนื่องจากคำสั่งศาล  เช่น  สามีภริยา  บิดามารดา  ลูก  หลาน  เหลน  ลื่น  ฯลฯ  ของผู้ที่ไปจากภูมิลำเนานั่นเอง

1.3            ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  และเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ  ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย  และทำให้สภาพบุคคลของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง

ตัวอย่าง  นาย  ก  ได้เดินทางไปเที่ยวในต่างจังหวัด  และหลังจากนั้นไม่มีบุคคลใดพบเห็นหรือทราบข่าวคราวของนาย  ก  อีกเลย  ดังนี้ถ้าครบกำหนด  5  ปี  นับตั้งแต่วันที่นาย  ก  ได้หายไป  นาง  ข  ซึ่งเป็นภริยาได้ร้องขอต่อศาล  และศาลได้มีคำสั่งให้นาย  ก  เป็นคนสาบสูญแล้ว  ย่อมถือว่านาย  ก  ได้ถึงแก่ความตายโดยผลแห่งกฎหมาย  และมีผลทำให้สภาพบุคคลของนาย  ก  สิ้นสุดลง

2)    การเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ  ซึ่งหลักเกณฑ์การเป็นคนสาบสูญในกรณีพิเศษนั้น  ก็ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  3  ประการ  เช่นเดียวกับการเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  เพียงแต่ตามมาตรา  61  วรรคสอง  ให้นับระยะเวลาลดลงมาเหลือเพียง  2  ปีเท่านั้น  โดยให้นับตั้งแต่

วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง  ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบ  หรือสงครามดังกล่าว

วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางไป  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในข้อ  (1)  และข้อ  (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

ตัวอย่าง  นาย  ก  ได้เดินทางไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน  ระหว่างการเดินทางเรือได้เจอพายุอับปางลง  ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย  และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก  ซึ่งรวมทั้งนาย  ก  ด้วยที่ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นตัวนาย  ก  เลย  ดังนี้  ถ้านาง  ข  ภริยาของนาย  ก  จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย  ก  เป็นคนสาบสูญ  นาง  ข  สามารถร้องขอได้เมื่อครบกำหนด  2  ปีนับแต่วันที่เรืออับปางลง  โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด  5  ปี  แต่อย่างใด

 

ข้อ  3  นายไก่ อายุย่าง  15  ปี  ทำพินัยกรรมขึ้น  1  ฉบับ  ยกเงินสดให้มูลนิธิสุนัขจรจัด  1  ล้านบาท  พออายุ  20  ปีบริบูรณ์  จิตฟั่นเฟือน  มารดาร้องขอต่อศาล  ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  และตั้งนางไข่มารดาเป็นผู้พิทักษ์  หลังจากนั้นนายไก่ให้เพื่อนยืมช้างไป  2  เชือก  เพื่อไปใช้ลากซุงโดยลำพัง  ผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย  ต่อมาอาการทางจิตของนายไก่หนักขึ้นถึงขั้นวิกลจริต  นางไข่ร้องขอต่อศาล  และศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถ  และตั้งนางไข่เป็นผู้อนุบาล  ผู้อนุบาลอนุญาตให้นายไก่ซื้อรถยนต์  1  คัน  มูลค่า  1  ล้านบาท

การทำพินัยกรรม  ให้เพื่อนยืมช้าง  ซื้อรถยนต์  ซึ่งนายไก่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา 34  คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น  ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3)   กู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงิน  ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่ามาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

1)    ตามมาตรา  25  นั้น  กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ  15  ปีบริบูรณ์  หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว  พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ  เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา  1703ตามปัญหา  การที่นายไก่ซึ่งมีอายุย่าง  15  ปี  ยังไม่ครบ  15  ปีบริบูรณ์  ได้ทำพินัยกรรมยกเงิน  1  ล้านบาท  ให้มูลนิธิสุนัขจรจัดนั้น  ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  25  ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา  1703

2)    โดยทั่วไป  คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆได้โดยลำพังตนเอง  และมีผลสมบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา  34  เช่น  การยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะตามปัญหา  การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมช้างอันเป็นสัตว์พาหนะซึ่งถือเป็นสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  โดยมิได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์นั้น  การให้ยืมดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา  34(3)  ประกอบวรรคท้าย

3)    ตามมาตรา  29  กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆทั้งสิ้น  ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม  ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม  นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะตามปัญหา  การที่นายไก่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อรถยนต์นั้น  ถึงแม้การนำนิติกรรมดังกล่าวของนายไก่จะได้รับอนุญาต  คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม  นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  29

สรุป

1)    การทำพินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ

2)    การให้เพื่อนยืมช้างมีผลเป็นโมฆียะ

3)    การซื้อรถยนต์มีผลเป็นโมฆียะ

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน  


คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  การที่รัฐสภาตรากฎหมายขึ้นมาย่อมมีผลใช้บังคับในราชอาณาจักรไทย  ให้นักศึกษาอธิบายคำว่า  ราชอาณาจักรไทย  ว่ามีความหมายเพียงใด  มาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

หลักทั่วไปมีว่า  กฎหมายของประเทศใด  ย่อมมีผลใช้บังคับในเขตแดนที่ตนเองมีอำนาจอธิปไตยเหนือเขตแดนนั้น  ดังนั้น  การที่รัฐสภาตรากฎหมายขึ้นมาย่อมมีผลใช้บังคับในราชอาณาจักรไทย  ซึ่งคำว่า  ราชอาณาจักรไทย  หมายถึง

1       พื้นแผ่นดินในประเทศไทยซึ่งรวมถึง  แม่น้ำ  ลำคลอง  ส่วนการจะกำหนดว่าบริเวณใดเป็นอาณาเขตประเทศไทยในกรณีที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศข้างเคียง  ก็ต้องมีการทำข้อตกลงในเรื่องการปักปันเขตแดนร่วมกัน

2       ทะเลอันเป็นอ่าวไทย  ตามพระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน  พ.ศ.2502  พื้นที่บริเวณอ่าวไทยมีบางส่วนที่ห่างจากทะเลอาณาเขต  ซึ่งควรจะเป็นทะเลหลวง  แต่ประเทศไทยถือว่าพื้นน้ำทะเลดังกล่าวเป็นอ่าวประวัติศาสตร์  จึงได้มีการประกาศให้เป็นเขตแดนของประเทศไทย  โดยประกาศดังกล่าวแล้ว 
3       ทะเลอันห่างจากชายฝั่งที่เป็นดินแดนของประเทศไทย  ไม่เกิน  12  ไมล์ทะเล  หรือเรียกกันว่าทะเลอาณาเขตของประเทศไทย 4       พื้นที่อากาศเหนือข้อ  1. 2 . และ 3.

หมายเหตุ
เรือไทยในทะเลหลวงไม่ใช่ดินแดนไทย  ในทำนองเดียวกันอากาศยานไทยที่จอดอยู่ที่สนามบินต่างชาติก็ไม่ใช่ดินแดนไทย  เพียงแต่ถ้ามีการกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย  ไม่ว่าจะอยู่  ณ  ที่ใด  ให้ถือว่ากระทำในราชอาณาจักรไทย  เพื่อให้ศาลมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยเท่านั้น

สถานทูตของต่างประเทศที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย  เป็นการตั้งอยู่ในราชอาณาจักรไทย  เพียงแต่สถานทูตของต่างประเทศเหล่านั้นได้รับเอกสิทธิ์และการคุ้มกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปในสถานทูต  ขณะเดียวกันสถานทูตไทยที่ตั้งอยู่ต่างประเทศก็ไม่ถือว่าตั้งอยู่ในราชอาณาจักรไทย
 
ข้อ  2  นายแสนกับนายสมเป็นเพื่อนรักกัน  ได้ชวนกันไปเที่ยวน้ำตกที่จังหวัดตรัง  เมื่อวันที่  30  พฤษภาคม  2550  ขณะที่กำลังเล่นน้ำกันอยู่นั้น  เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดพานายแสนหายไปกับสายน้ำ  และมีผู้พบศพนายสมในวันรุ่งขึ้น  นางสมใจภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแสน  และนางสมจิตภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสม  จะมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และหากได้จะไปเริ่มใช้สิทธิทางศาลได้เมื่อใด  และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  15  วรรคแรก  สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย

มาตรา  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

(1)  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

(3)  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

ตามมาตรา  61  กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น  ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  และได้หายไปจนครบกำหนด  5  ปีหรือ  2  ปี  แล้วแต่กรณี  และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายแสนได้สูญหายไปเนื่องจากน้ำป่าไหลหลาก  ซึ่งเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น  ถือเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา  61  วรรคสอง  (3)  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านางสมใจเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแสน  จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย  และมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้

และเมื่อเป็นการสูญหายไปในกรณีพิเศษ  จึงมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ  2  ปี  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและนายแสนได้สูญหายไปในวันที่  30  พฤษภาคม  2550  จึงครบกำหนด  2  ปี  ในวันที่  30  พฤษภาคม  2552  ดังนั้น  นางสมใจจะเริ่มไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในวันที่  31  พฤษภาคม  2552  ตามมาตรา  61  วรรคสอง  (3)

ส่วนกรณีของนางสมจิตภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมนั้น  ไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้  เพราะเมื่อมีการพบศพนายสมย่อมถือว่านายสมได้เสียชีวิตแล้ว  ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดา  ตามมาตรา  15  วรรคแรก 

สรุป  นางสมใจมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้  โดยจะเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ในวันที่  31  พฤษภาคม  2552  ส่วนนางสมจิตไม่มีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญ

 

 ข้อ  3  จงอธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบายมาโดยชัดเจนว่า  บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมได้หรือไม่  และมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

1)    ไก่อายุ  18  ปีบริบูรณ์  ซื้อรถยนต์ด้วยเงินของตนเอง  ซึ่งมีมูลค่า  5  ล้านบาทจากนายดำคนสะสมรถหรูใช้แล้ว

2)    ไข่คนไร้ความสามารถ  ได้รับอนุญาตจากนางแดงผู้อนุบาล  ให้ไปซื้อรถจักรยานยนต์จากร้านนายขวดในราคา  7  หมื่นบาท  และอนุญาตให้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวปลา  ซึ่งมีอายุ  20  ปีบริบูรณ์เท่ากัน

3)    เป็ดคนวิกลจริตไปซื้อโทรทัศน์จากร้านนายห่าน  ในราคา  5  หมื่นบาท  ในขณะกำลังวิกลจริต  แต่นายห่านไม่ทราบว่านายเป็ดเป็นคนวิกลจริต

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ  เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา  30  การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต

มาตรา  1449  การสมรสจะกระทำมิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริต  หรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืน  มาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

1)    โดยหลัก  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ  จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  21  เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ผู้เยาว์สามารถทำเองได้โดยลำพังตนเองและมีผลสมบูรณ์  เช่น  นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว  นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์  หรือนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง  เป็นต้น ตามปัญหา  การที่นายไก่อายุ  18  ปีบริบูรณ์  ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์  นำเงินส่วนตัวไปซื้อรถยนต์นั้น  ไม่ถือเป็นนิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์  หรือนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว  หรือนิติกรรมที่ผู้เยาว์จะได้ไปซึ่งสิทธิหรือเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง  ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพังแต่อย่างใด  ดังนั้นเมื่อปรากฏว่านายไก่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม  สัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  21

 2)    ตามมาตรา  29  กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  ทั้งสิ้น  ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม  ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม  นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา  การที่นายไข่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อรถจักรยานยนต์จากร้านของนายขวดนั้น  ถึงแม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนายไข่จะได้รับอนุญาต  คือได้รับความยินยอมจากนางแดงผู้อนุบาลก็ตาม 

นิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  29

ส่วนการสมรสของนายไข่นั้นเป็นโมฆะ  เพราะบุคคลวิกลจริตหรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น  กฎหมายห้ามมิให้ทำการสมรส  (มาตรา  1449)  เมื่อมีการฝ่าฝืนจึงตกเป็นโมฆะ  (มาตรา  1495)

 3)    โดยหลักของมาตรา  30  คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์  เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา  การที่นายเป็ดคนวิกลจริตไปซื้อโทรทัศน์จากร้านของนายห่านในขณะกำลังวิกลจริต  แต่เมื่อนายห่านไม่ทราบว่านายเป็ดเป็นคนวิกลจริต  ดังนั้นนิติกรรมการซื้อขายโทรทัศน์ระหว่างนายเป็ดกับนายห่านจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

สรุป

1)    สัญญาซื้อขายรถยนต์มีผลเป็นโมฆียะ

2)    สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์มีผลเป็นโมฆียะ  ส่วนการสมรสมีผลเป็นโมฆะ

3)    สัญญาซื้อขายโทรทัศน์มีผลสมบูรณ์

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  การตีความกฎหมายคืออะไร  และจงอธิบายหลักในการตีความกฎหมายแพ่งมาโดยถูกต้อง  พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย

ธงคำตอบ

การตีความกฎหมาย” คือ การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนหรือกำกวมหรือมีความหมายได้หลายอย่าง เพื่อจะได้ทราบว่าถ้อยคำของกฎหมายนั้นมีความหมายว่าอย่างไร เมื่อตีความกฎหมายได้แล้วก็จะได้นำเอากฎหมายนั้นไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่ต้องการวินิจฉัยได้ต่อไป

หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง” มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น โดยแยกได้ดังนี้ คือ

1. การตีความตามอักษร  ซึ่งจะต้องตีความทั้งศัพท์ธรรมดาที่มีความหมายเป็นธรรมดาทั่วไป เช่น คำว่า บุตร บิดา ฯลฯ และศัพท์เฉพาะที่มีความหมายทางเทคนิคหรือทางวิชาการ เช่น คำที่อยู่ในตำรากฎหมายหรือบทความทางกฎหมาย ฯลฯ เพื่อจะได้รับทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน และ

2. การตีความตามเจตนารมณ์  เพื่อค้นหาความหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ทางกฎหมาย จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้น ๆ หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้น ๆ ด้วย

ตัวอย่างเช่น กฎหมายลักษณะมรดก มาตรา 1627 บัญญัติว่า บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย” ซึ่งคำว่า บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว” เป็นถ้อยคำของกฎหมายที่มีความหมายกำกวมไม่ชัดเจน กล่าวคือ ไม่แน่ชัดว่าจะใช้ความหมายอย่างแคบ ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยนิตินัย เช่น การจดทะเบียนการรับรองบุตร หรือจะใช้ความหมายอย่างกว้าง ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยพฤตินัย เช่น การที่บิดาให้ใช้นามสกุล อุปการะ

เลี้ยงดูให้การ ศึกษาและเปิดเผยต่อบุคคลทั่วไปว่าเด็กเป็นบุตรของตน และเมื่อมีการตีความตามตัวอักษรประกอบกับความมุ่งหมายหรือเจตนารมณ์ของ กฎหมายลักษณะมรดกแล้ว จะเห็นได้ว่า กฎหมายมรดกมีความประสงค์ที่จะให้บุตรที่จะเป็นผู้สืบสันดานและมีสิทธิรับ มรดกนั้น หมายถึง บุตรตามความเป็นจริง กล่าวคือ แม้จะเป็นบุตรนอกกฎหมายแต่ถ้าหากบิดาได้รับรองโดยพฤตินัยแล้วก็มีสิทธิรับ มรดกของบิดาได้เช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  เมื่อวันที่  12  กันยายน  2552  นายไสวนอนหลับอยู่ในบ้าน  ปรากฏว่ามีน้ำป่าไหลหลากลงมาจากภูเขาพัดเอาบ้านพร้อมกับนายไสวหายไปกับสายน้ำและไม่มีใครทราบว่านายไสวเป็นตายร้ายดีอย่างไร  ทั้งนี้  นายไสวมีภริยาแล้วชื่อนางสว่าง  อยากทราบว่า

1       นางสว่างจะร้องขอต่อศาลให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่

2       นางสว่างจะร้องขอต่อศาลให้นายไสวเป็นคนสาบสูญ  กรณีปกติ  หรือกรณีพิเศษ

3       นางสว่างจะร้องขอให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้ตั้งแต่เมื่อใด  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)  นับแต่วันที่พาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสาบสูญหายไป

(3)  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1) หรือ  (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

1. นาง สว่างจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญหรือไม่ เห็นว่า ตามกฎหมายบุคคลที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญจะต้องเป็น ผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นพนักงานอัยการเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายไสวกับ นางสว่างเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย นางสว่างจึงมีฐานะเป็นคู่สมรสอันเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอต่อ ศาลสั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้

2.  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีน้ำป่าไหลหลากลงมาจากภูเขาพัดพาเอาบ้านพร้อมกับนายไสวหายตัวไปกับสายน้ำ ซึ่งถือเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต และนายไสวได้ตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น จึงเป็นการสูญหายไป ในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง(3) นางสว่างจึงต้องร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญในกรณีพิเศษ

3. นางสว่างจะร้องขอให้ศาลสั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้ตั้งแต่เมื่อใดนั้น เห็นว่าเมื่อเป็นการสาบสูญหายไปในกรณีพิเศษ จึงมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ 2 ปีนับแต่วันที่เหตุอันตรายได้ผ่านพ้นไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและนายไสวสาบสูญหายไปในวันที่ 12 กันยายน 2552 จึงครบกำหนด 2 ปี ในวันที่ 12 กันยายน 2554 ดังนั้น นางสว่างจะเริ่มไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่ วันที่ 13 กันยายน 2554 เป็นต้นไปตามมาตรา 61 วรรคสอง (3)

สรุป

1 . นางสว่างสามารถร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้

2 . นางสว่างต้องร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ

3 . นางสว่างสามารถร้องขอให้ศาลสั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2554

 

ข้อ  3  บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมได้หรือไม่  และจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

1       นายไก่อายุครบ  18  ปีบริบูรณ์  รับเงินจากปู่  1  ล้านบาท  โดยมีเงื่อนไขว่านายไก่  จะต้องไปสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง

2       นางไข่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกม้า  4  ตัว  เพื่อนำไปให้เด็กพิการทางสายตาขี่  เพื่อการเยียวยาทางจิตใจ  โดยนายดำผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย

3       นายเป็ดคนวิกลจริตซื้อจักรยานยนต์จากนายห่านในขณะกำลังวิกลจริต  และนายห่านก็รู้ว่านายเป็ดเป็นคนวิกลจริต

4       นางนกคนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากนายหนูผู้อนุบาลให้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือมูลค่า  8,000  บาท  จากร้านนายแดง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนคนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ บุคคลดังกล่าวทำนิติกรรมได้หรือไม่ และจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

1. โดยหลัก ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์กระทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ผู้เยาว์สามารถทำเองได้โดยลำพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว  นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่งโดยปราศจากเงื่อนไข เป็นต้น

ตามปัญหา การที่นายไก่ซึ่งเป็นผู้เยาว์รับเงินจากปู่ 1 ล้านบาทนั้น ไม่ถือเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว หรือนิติกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่งโดยปราศจากเงื่อนไข ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพังแต่อย่างใด เพราะการรับเงินดังกล่าวแม้จะทำให้นายไก่ได้สิทธิอันใดอันหนึ่ง แต่ก็มีเงื่อนไขด้วยว่านายไก่จะต้องไปสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ดังนั้น เมื่อนายไก่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมการรับเงินดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 21

2. โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมสำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  คนเสมือนไร้ความสามารถจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา  การที่นางไข่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกม้านั้น  เป็นเพียงการให้ยืมสังหาริมทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น  ไม่ใช่กรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอนจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่)  ซึ่งเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา  34(3)  ดังนั้น  ถึงแม้นางไข่จะให้เพื่อนยืมลูกม้าโดยลำพัง  กล่าวคือ  ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์  สัญญาให้เพื่อนยืมลูกม้า  4  ตัวดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์  ไม่ตกเป็นโมฆียะ

3. โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อทำนิติกรรมนั้นในขณะที่จริตวิกลและคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายเป็ดคนวิกลจริตไปซื้อรถจักรยานยนต์จากนายห่านในขณะที่กำลังวิกลจริตและนายห่านก็รู้อยู่แล้วว่านายเป็ดเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายจักรยานยนต์ระหว่างนายเป็ดกับนายห่านจึงตกเป็นโมฆียะ

4.  ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นางนกคนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อโทรศัพท์มือถือจากร้านนายแดงนั้น ถึงแม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนางนกจะได้รับอนุญาต คือ ได้รับความยินยอมจากนายหนูผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

1. นิติกรรมการรับเงินมีผลเป็นโมฆะ

2 . สัญญาให้เพื่อนยืมลูกม้ามีผลสมบูรณ์

3 . สัญญาซื้อขายจักรยานยนต์มีผลเป็นโมฆียะ

4 . สัญญาซื้อขายโทรศัพท์มีผลเป็นโมฆียะ

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 (LA 101),(LW 101) หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1 กฎหมายมหาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การบริการสาธารณะและศาลปกครอง มีความสัมพันธ์กันอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่บัญญัติ ให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในทางปกครองและการบริการสาธารณะ ซึ่งการปกครองและการบริการสาธารณะไม่อาจทาให้ประสบผลสำเร็จได้หากปราศจากกฎหมายมหาชนเจ้าหน้าที่ของรัฐ หมายถึง บุคคลซึ่งใช้อำนาจ หรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐ ในการดำเนินการหรือย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมายมหาชนการบริการสาธารณะ หมายถึง กิจการที่อยู่ในความอำนวยการ หรือในความควบคุมของฝ่ายปกครอง ที่จัดทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนเช่น หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

การใช้อำนาจตามกฎหมายมหาชนของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะนั้น อาจทำให้เกิดความเสียหายหรือรบกวนสิทธิเสรีภาพเเละผลประโยชน์ของประชาชนได้ เมื่อเกิดกรณีพิพาทดังกล่าวจึงเรียกว่า กรณีพิพาททางปกครอง ก็ต้องใช้ศาลปกครองในการพิจารณาคดี

ศาลปกครอง หมายถึง ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทีเป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือให้กำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่หน่ายราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ดังนั้น กฎหมายมหาชนมีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การบริการสาธารณะและศาลปกครองดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. กฎหมายมหาชนนั้น ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวกำหนดถึงกฎเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับสถานะและอำนาจของรัฐและผู้ปกครองรวมทั้งเป็นกฎเกณฑ์ทาง กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองผู้อยู่ใต้การ ปกครอง

ในฐานะที่รัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองตามกฎหมายมหาชนดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ ในลักษณะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมืองซึ่งอยู่ในฐานะ เป็นเอกชน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองตามกฎหมายมหาชนดังกล่าวเป็น ความสัมพันธ์ในลักษณะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมือง

ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นจะตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของคู่กรณี และตั้งอยู่
บนหลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งเจตนาและเสรีภาพในการ ทำ สัญญา

จงอธิบาย ข้อแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน มาโดย ละเอียด

ธงคำตอบ

ความแตกต่างของกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน มีดังต่อไปนี้

1. ความแตกต่างขององค์กรหรือตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ ในกฎหมายมหาชนองค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ รัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่ง กับเอกชนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่กรณีของกฎหมายเอกชนตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ เอกชน กับเอกชน2. ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย กฎหมายมหาชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสาธารณประโยชน์
และการให้บริการสาธารณะ โดยมิได้มุ่งหวังในเรื่องกำไร ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละคนหรือเฉพาะบุคคล แต่มีบางกรณีที่เอกชนอาจทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็ได้ เช่น การตั้งมูลนิธิหรือสมาคมเพื่อการกุศลและสาธารณะประโยชน์

3. ความแตกต่างทางด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ กฎหมายมหาชนมีลักษณะเป็นการบังคับและหลีกเลี่ยงไม่
ได้ ซึ่งจะออกมาในรูปของคำสั่งหรือข้อห้าม ที่เรียกว่า การกระทำฝ่ายเดียว กล่าวคือ เป็นการกระทำชึ่งฝ่ายหนึ่ง (รัฐ)สามารถ ที่จะกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง (เอกชนได้) โดยที่ฝ่ายหลังไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย เช่น การออกกฎหมายต่าง ๆ ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการแสดงเจตนาความ เสมอภาคและเสรีภาพในการทำสัญญาคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับอีกฝ่ายหนึ่งให้ เข้าร่วมทำสัญญาโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหรือไม่สมัครไม่ได้

4. ความแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาล ปัญหาทางกฎหมายมหาชนจะขึ้นสู่ศาลพิเศษได้แก่ ศาลปกครอง
ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนปัญหาทางกฎหมายเอกชน นั้นจะขึ้นสู่ศาลยุติธรรม ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลอาญา

5. ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี แนวความคิดวิเคราะห์ในทางกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชนจะแตก
ต่างกัน กล่าวคือ นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนจะไม่นำหลักกฎหมายเอกชนมาใช้กับปัญหาที่เกิดขึ้นตาม กฎหมายมหาชน แต่จะสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้เอง ส่วนนิติวิธีทางกฎหมายเอกจนนั้นจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและ มุ่งรักษาประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

6. ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญา นิติปรัชญากฎหมายมหาชนมุ่งประสานประโยชน์สาธารณะกับ
ประโยชน์ของเอกชนและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่นิติปรัชญากฎหมายเอกชนเน้นความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันและตั้งอยู่บนหลัก เสรีภาพแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

 

ข้อ 3. จงอธิบายถึงการควบคุมฝ่ายปกครองโดยทางศาลมาโดยสังเขป

ธงคำตอบ

 การควบคุมฝ่ายปกครองโดยทางศาล หมายถึง การควบคุมโดยองค์กรที่มีอิสระจากอำนาจการเมืองและจากฝ่ายปกครอง มีกระบวนพิจารณาที่แน่นอนและมีอำนาจที่จะตัดสินข้อขัดแย้งอย่างเด็ดขาด โดยหลักศาลจะไม่ล่วงล้ำเข้าไปควบคุมความเหมาะสมในการใช้ดุลพินิจของฝ่าย ปกครองหน้าที่หลักของการควบคุมทางศาล เพื่อประกันการคุ้มครองประชาชนจากฝ่ายปกครอง ดังนั้น การพัฒนาการควบคุมทางศาลจึงมีการพัฒนาโดยผูกพันอยู่กับความก้าวหน้าของลัทธิ เสรีภาพนิยมด้วย เพราะจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับหลักนิติรัฐ ว่าอำนาจการเมืองและฝ่ายปกครองที่ขึ้นต่อหลักกฎธรรมชาติหรือหลักกฎหมายทั่ว ไปแล้ว ความยุติธรรมในทางปกครองจึงจะเกิดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากในประเทศเสรีนิยม ศาลสามารถที่จะนำหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้ควบคุมฝ่ายปกครองได้ เช่น หลักความยุติธรรมตามธรรมชาติของอังกฤษ หลักกฎหมายทั่วไปของฝรั่งเศส และหลัก

Dueprocess of Law ในสหรัฐอเมริกา

การควบคุมฝ่ายปกครองโดยทางศาลมีระบบการควบคุมที่สำคัญ 2 ระบบ คือ

1. ระบบศาลเดี่ยว ศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยคดีทุกประเภท รวมทั้งคดีปกครองด้วย
2. ระบบศาลคู่ ศาลปกครองเป็นผู้พิจารณาและพิพากษาคดีปกครองโดยทั่วไปมีคดีปกครองบางส่วนอันถือ
เป็นข้อยกเว้นเท่านั้น ที่กำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยได้ ศาลปกครองนั้นจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะแยกออกมาต่างหากจากศาลยุติธรรมมีการแบ่งแยกอำนาจศาลและวางระเบียบวิธีพิจารณาที่แตกต่างกันออกไปจาก ศาลยุติธรรม

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 (LA 101),(LW 101) หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1 การบริหารราชการแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2545 มีความสัมพันธ์อย่างไรกับ
กฎหมายมหาชน
และศาลปกครอง
ธงคำตอบกฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐแก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในทางปกครองและการบริการสาธารณะซึ่งการดำเนินการปกครองและการบริการสาธารณะสุขไม่อาจทำให้ประสบผลสำเร็จได้ หากปราศจากกฎหมายมหาชน ทั้งนี้ เพราะการดำเนินการปกครองหรือการบริการสาธารณะ จะต้องใช้อำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจในทางปกครองหรือให้อำนาจในการบริการสาธารณะไว้ รัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
จะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ เช่น การออกบัตรประจำตัวประชาชน ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจหน่วยงานใด หรือเจ้าหน้าที่ผู้ใดไว้ก็จะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะผู้ทำหน้าที่ออกบัตรประจำตัวประชาชนจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ รวมทั้งการอนุมัติ อนุญาตในเรื่องต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้อนุมัติ อนุญาตในเรื่องต่าง ๆ นั้นจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ด้วย

กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง และพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครอง เช่น พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนตำบล พ.ร.บ.เทศบาล เป็นต้น

พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 เป็นกฎหมายมหาชน เพราะเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้
อำนาจและหน้าที่แก่หน่วยงานของรัฐ ได้แก่กระทรวง ทบวง กรม ฯลฯ และให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาจนถึงลูกจ้างคนสุดท้ายของทางราชการทุกคนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องมีกฏหมายให้อำนาจและหน้าที่ไว้จึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้ บทบัญญัติของ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 เป็นการให้อำนาจหน้าที่ทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นหลักสำคัญของกฎหมายมหาชน

การใช้อำนาจตามกฎหมายมหาชนในทางปกครองของรัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจจะใช้
อำนาจตามกฎหมายนั้นหรืองดเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ทำให้เกิดความเสียหายหรือรบกวนสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชนได้ เมื่อเกิดกรณีพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน ซึ่งเรียกกรณีพิพาทนั้นว่า กรณีพิพาททางปกครอง ก็ต้องนำกรณีพิพาทนั้นขึ้นสู่ศาลปกครองในการพิจารณาคดี

ศาลปกครอง เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อความพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงาน
ของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
 
พ.รบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 จึงเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐ หรือแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเมื่อเกิดกรณีพิพาทตามกฎหมายมหาชนแล้วจะต้องขึ้นศาลปกครอง

ข้อ 2 กฎหมายมหาชนได้แก่ กฎหมายที่กล่าวกำหนดถึงกฎเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับสถานะและอำนาจ ของรัฐและผู้ปกครอง รวมทั้งเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองผู้อยู่ใต้ปกครอง ในฐานะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมืองซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเอกชน  ส่วนกฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันและในฐานะที่เท่าเทียมกัน

กฏหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนจึงแตกต่างกันในข้อสำคัญคือกฎหมายมหาชนนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ
ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ปกครองกับพลเมือง ส่วนกฎหมายเอกชนนั้น จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันและบนพื้นฐานของ หลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งเจตนา หรืออยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระของการแสดงเจตนาจงอธิบาย ความแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชนมา โดย ละเอียด
ธงคำตอบ
1 ความแตกต่างขององค์กรหรือตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ ในกฎหมายมหาชนองค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ รัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่ง กับเอกชนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่กรณีของกฎหมายเอกชนตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ เอกชน กับเอกชน
2 ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย กฎหมายมหาชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสาธารณะประโยชน์
และการให้บริการสาธารณะ โดยมิได้มุ่งหวังในเรื่องกำไร ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละคนหรือเฉพาะบุคคล แต่มีบางกรณีที่เอกชนอาจทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็ได้ เช่น การตั้งมูลนิธิหรือสมาคมเพื่อการกุศลและสาธารณะประโยชน์
3 ความแตกต่างทางด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ กฎหมายมหาชนมีลักษณะเป็นการบังคับและหลีกเลี่ยงไม่
ได้ ซึ่งจะออกมาในรูปของคำสั่งหรือข้อห้าม ที่เรียกว่า การกระทำฝ่ายเดียว กล่าวคือ เป็นการกระทำซึ่งฝ่ายหนึ่ง รัฐ สามารถที่จะกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง เอกชนได้ โดยที่ฝ่ายหลังไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย เช่น การออกกฎหมายต่าง ๆ ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการแสดงเจตนาความ เสมอภาคและเสรีภาพในการทำสัญญาคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับอีกฝ่ายหนึ่งให้ เข้าร่วมทำสัญญาโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหรือไม่สมัครใจไม่ได้
4 ความแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาล ปัญหาทางกฎหมายมหาชนจะขึ้นสู่ศาลพิเศษได้แก่ ศาลปกครองศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนปัญหาทางกฎหมายเอกชน นั้นจะขึ้นสู่ศาลยุติธรรม ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลอาญา
 

5 ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี แนวความคิดวิเคราะห์ในทางกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชนจะแตกต่างกัน กล่าวคือ นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนจะไม่นำหลักกฎหมายเอกชนมาใช้กับปัญหาที่เกิดขึ้นตาม กฎหมายมหาชน แต่จะสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้เอง ส่วนนิติวิธีทางกฎหมายเอกชนนั้นจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและ มุ่งรักษาประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

6 ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญา นิติปรัชญากฎหมายมหาชนมุ่งประสานประโยชน์สาธารณะกับ
ประโยชน์ของเอกชนและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่นิติปรัชญากฎหมายเอกชนเน้นความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันและตั้งอยู่บนหลัก เสรีภาพแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

 

ข้อ 3 จงอธิบายการควบคุมแบบป้องกัน

ธงคำตอบ

การควบคุมแบบป้องกัน หมายถึง ก่อนที่ฝ่ายบริหารจะได้วินิจฉัยสั่งการหรือก่อนจะมีการกระทำในทางปกครอง ที่จะไปกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะมีระบบป้องกันเสียก่อนกล่าวคือ มีกฎหมายกำหนดกระบวนการหรือขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนที่จะมีคำสั่งออกไปกระบวนการควบคุมดังกล่าวในกฎหมายของต่างประเทศมีตัวอย่างเช่น

การโต้แย้งคัดค้าน คือ ผู้ที่อาจเสียหายจากการกระทำของฝ่ายปกครองจะต้องสามารถแสดงข้อโต้แย้งของตนได้ก่อนมีการกระทำนั้น เพื่อหลีกเลี่ยง การปกครองที่ดื้อดึง

การปรึกษาหารือ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
การให้เหตุผล เพื่อเป็นหลักประกันในการควบคุมการใช้ดุลยพินิจของฝ่ายปกครอง
หลังการไม่มีส่วนได้เสีย กล่าวคือ ผู้มีอำนาจสั่งการทางปกครองต้องไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่สั่งการนั้น
การไต่สวนทั่วไปเป็นวิธีการที่กำหนดให้ฝ่ายปกครองต้องสอบสวนข้อเท็จจริง โดยทำการรวบรวมความคิด
เห็นของบุคคลที่มีส่วนได้เสีย แล้วทำเป็นรายงานก่อนที่ฝ่ายปกครองจะตัดสินใจกระทำการที่จะมีผลกระทบผู้มีส่วนได้เสีย
การควบคุมแบบป้องกัน จึงเป็นวิธีการที่ช่วยเสริมการควบคุมโดยทางศาลเพราะฝ่ายปกครองจะต้องระมัดระวังในขั้นตอนการพิจารณาออกคำสั่ง ทำให้การกระทำของฝ่ายปกครองมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดคดีที่จะมีไปสู่ศาลอีกทางหนึ่งด้วย

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 (LA 101),(LW 101) หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1 การบริการสาธารณะหมายความว่าอย่างไร มีลักษณะเป็นอย่างไร และมีความเกี่ยวข้องกับศาลปกครองหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบการบริการสาธารณะ หมายถึง กิจการที่อยู่ในความอำนวยการหรือในความควบคุมของฝ่ายปกครองที่จัดทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน และกิจการเหล่านี้โดยสภาพแล้ว ไม่อาจทำให้บรรลุผลสำเร็จได้หากปราศจากกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้

การบริการสาธารณะมีลักษณะดังนี้ต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้
ต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอ
ต้องกระทำอย่างเสมอภาค
สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เสมอโดยกฎหมาย

การบริการสาธารณะมีความเกี่ยวข้องกับศาลปกครอง คือ การดำเนินกิจการบริการสาธารณะต้องมีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้และการใช้อำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายมหาชนแล้วเกิดกรณีพิพาทขึ้นเรียกว่ากรณีพิพาททางปกครอง และเมื่อเกิดกรณีพิพาททางปกครองขึ้นแล้ว หากจะต้องนำกรณีพิพาทนั้นไปขึ้นศาลจะต้องนำไปขึ้นศาลปกครอง
เพราะศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่พิจารณาคดีปกครอง คือ คดีเป็นข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาล ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำ หรือละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น การบริการสาธารณะจึงมีความสัมพันธ์กับศาลปกครองดังกล่าว



ข้อ
2

(ก) กฎหมายมหาชนมีวิวัฒนาการอย่างไร

(ข) จงอธิบาย ความหมายของกฎหมายมหาชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างกฎหมายมหาชนมาอย่างน้อย  10 ฉบับ
ธงคำตอบ

 (ก) วิวัฒนาการของกฎหมายมหาชน ก่อนที่จะมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเช่นในปัจจุบัน ประเทศต่าง ๆ ในโลกส่วนใหญ่แล้วปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองสูงสุด ประชาชนเป็นเพียงผู้ถูกปกครองที่ต้องปฏิบัติตามและไม่สามารถจะควบคุมการใช้อำนาจของผู้ปกครองได้ หลังจากปี ค.ศ.1788 แนวความคิดและวิธีการปกครองประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการประกาศอิสรภาพของอเมริกาจากอังกฤษ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นแนวทางในการปกครองประเทศ โดยยึดหลักที่ว่า

1. ทุกคนมีความเท่าเทียมกันและมีความเสมอภาคกัน
2. ผู้ที่จะมาใช้อำนาจปกครองประเทศ ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่ และมีกฎหมายได้ให้
อำนาจหน้าที่ไว้
3. การใช้อำนาจของผู้ปกครองประเทศ จะต้องใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และผลประโยชน์ของประชาชน.
4. การใช้อำนาจนั้นจะต้องสามารถตรวจสอบ เเละมีระบบการควบคุมการใช้อำนาจให้อยู่ในความเหมาะสมได้

หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยดังกล่าว คือหลักการปกครองโดยกฎหมายที่เรียกว่า หลักนิติรัฐ

หลักนิติรัฐ หมายความว่าประชาชนจะไม่ถูกละเมิดจากการใช้อำนาจของรัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยขาดความยุติธรรมเพราะรัฐและเจ้า หน้าที่ของรัฐมีอำนาจปกครองตามกฎหมาย แต่จะใช้อำนาจเกินเลยจากที่กฎหมายให้อำนาจไว้ไม่ได้ประชาชนมีสิทธิที่จะ เรียกร้องและขอความเป็นธรรมได้

หน้าที่หลักของรัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในระบอบประชาธิปไตย ก็คือ การบริการสาธารณะ
การบริการสาธารณะ คือ การบริหารงานปกครองที่จัดทำเพื่อสนองความต้องการของประชาชนโดยส่วนรวม และการบริการสาธารณะโดยสภาพแล้วไม่อาจทำให้บรรลุผลสำเร็จได้ หากปราศจากการใช้อำนาจของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าแทรกแซง ซึ่งกฎหมายที่ให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการบริหารการปกครองและการบริการสาธารณะนั้น เรียกว่า กฎหมายมหาชน

กฎหมายมหาชนจึงเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ในการบริหารการปกครองและการบริการสาธารณะและการใช้อำนาจตามหน้าที่ดังกล่าวต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบได้

ข. กฎหมายมหาชน หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน หรือระหว่างเจ้าหน้าที่
หรือผู้ใช้อำนาจของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างองค์กรของรัฐกับเอกชนในฐานะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายปกครองมีอำนาจ ปกครองตามกฎหมาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้อยู่ใต้อำนาจปกครอง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือระหว่างเจ้า หน้าที่ของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง และเมื่อเกิดกรณีพิพาททางกฎหมายมหาชนต้องสามารถตรวจสอบและควบคุมการใช้อำนาจ ปกครองได้ตามนิติวิธีทางกฎหมายมหาชน

กฎหมายมหาชน เช่น
1. กฏหมายรัฐธรรมนูญ
2. พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พศ.2534
3. พ.ร.บ. องค์การบริหารส่วนจังหวัด
4. พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล
5. พ.ร.บ. เทศบาล
6.พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร
7. พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา
8. พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยต่าง ๆ
9. พ.ร.บ. รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ
10.พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯลฯ

 

ข้อ 3 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ได้บัญญัติการแบ่งส่วนการบริหารราชการแผ่นดินของไทยไว้อย่างไร และส่วนราชการดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชนอย่างไร

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติระเบียบราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ซึ่งเป็นกฎหมายมหาชนได้จัดระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดินเป็น 3 ส่วน คือ

1. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรีกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมีฐานะเป็น
นิติบุคคลตามกฎหมาย
2. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดและอำเภอโดยกฎหมายบัญญัติให้จังหวัดเท่านั้น
ที่เป็นนิติบุคคล ส่วนอำเภอไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
3. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่
องค์การบริการส่วนจังหวัด (อบจ.)
เทศบาล
องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
เมืองพัทยา
กรุงเทพมหานคร

การแบ่งส่วนราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ.2534 เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ตามหลักกฎหมายมหาชน ดังนี้
นิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายให้เป็นนิติบุคคล ได้แก่ หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ วัดในพระพุทธศาสนา และองค์การมหาชน

บุคคลธรรมดาตามกฎหมายมหาชน ได้แก่ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หมายถึงบุคคลหรือคณะบุคคลสำคัญในการบัญญัติจัดตั้งและให้อำนาจหน้าที่แก่องค์กรปกครองส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน ตลอดจนให้อำนาจหน้าที่แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่สังกัดองค์กรดังกล่าว เพื่อดำเนินการในทางปกครองและการบริการสาธารณะ ซึ่งหากปราศจาก พ.ร.บ.ดังกล่าว ก็จะไม่เกิดองค์กรเหล่านี้ขึ้น เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่สามารถใช้อำนาจทางปกครองได้ ทั้งนี้ เพราะการใช้อำนาจของนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชนและบุคคลธรรมดาตามกฎหมายมหาชนจะ กระทำได้ก็แต่โดยที่กฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!