LAW2006 กฎหมายอาญา 1 ภาคฤดูร้อน/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006  กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1 

ก.      เป็นเจ้าพนักงานไทยได้รับแต่งตั้งให้เดินทางไปซื้อเรือดำน้ำที่ประเทศเยอรมนี  เมื่อ  ก  เดินทางไปถึงประเทศเยอรมนี  ก  ได้ร่วมกันกับ  ข  นักธุรกิจไทยซึ่งเดินทางไปทำธุรกิจที่ประเทศเยอรมนี  โดยให้  ข  ไปเรียกเงินจากบริษัทขายเรือดำน้ำ  5  แสนมาร์ค  ถ้าได้จากบริษัทใดก็จะซื้อจากบริษัทนั้น  บริษัทหนึ่งได้ตกลงตามที่  ข  เรียกร้อง  ก  จึงซื้อเรือดำน้ำจากบริษัทนั้นและแบ่งเงินให้  ข  1  แสนมาร์ค  ดังนี้  ก  และ  ข  จะต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักรไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

 ธงคำตอบ

มาตรา  7  ผู้ใดกระทำความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้นอกราชอาณาจักรจะต้องรับโทษในราชอาณาจักร  คือ

(1) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  107  ถึงมาตรา  129

(1/1) ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  135/1  มาตรา  135/2  มาตรา  135/3  และมาตรา  135/4

(2) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  240  ถึงมาตรา  249  มาตรา  254  มาตรา  256  มาตรา  257  และมาตรา  266(3) และ (4)

(2 ทวิ)  ความผิดเกี่ยวกับเพศ  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  282  และมาตรา  283

(3) ความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  339  และความผิดฐานปล้นทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  340  ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง

มาตรา  8  ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และ

(ก)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น  หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ  หรือ

(ข)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว  และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหาย  และผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ

ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้  จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร  คือ 

(1) ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  217  มาตรา  218  มาตรา  221  ถึงมาตรา  223  ทั้งนี้  เว้นแต่กรณีเกี่ยวกับมาตรา  220  วรรคแรก  และมาตรา  224  มาตรา  226  มาตรา  228  ถึงมาตรา  232  มาตรา  237  และมาตรา  233  ถึงมาตรา  236  ทั้งนี้  เฉพาะเมื่อเป็นกรณีต้องระวางโทษตามมาตรา  238

(2) ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  264  มาตรา  265  มาตรา  266(1)  และ  (2)  มาตรา  268  ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีเกี่ยวกับมาตรา  267  และมาตรา  269

(2/1)  ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  269/1  ถึงมาตรา  269/7

(2/2)  ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  269/8  ถึงมาตรา  269/15

(3) ความผิดเกี่ยวกับเพศ  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  276  มาตรา  280  และมาตรา  285  ทั้งนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับมาตรา  276

(4) ความผิดต่อชีวิต  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  288  ถึงมาตรา  290

(5) ความผิดต่อร่างกาย  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  295  ถึงมาตรา  298

(6) ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก  คนป่วยเจ็บ  หรือคนชรา  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  306  ถึงมาตรา  308

(7) ความผิดต่อเสรีภาพ  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  309  มาตรา  310  มาตรา  312  ถึงมาตรา  315  และมาตรา  317  ถึงมาตรา  320

(8) ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  334  ถึงมาตรา  336

(9) ความผิดฐานกรรโชก  รีดเอาทรัพย์  ชิงทรัพย์  และปล้นทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  337  ถึงมาตรา  340

(10)                    ความผิดฐานฉ้อโกง  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  341  ถึงมาตรา  344  มาตรา  346  และมาตรา  347

(11)                    ความผิดฐานยักยอก  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  352  ถึงมาตรา  354

(12)                    ความผดฐานรับของโจร  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  357

(13)                    ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  358  ถึงมาตรา  360

มาตรา  9  เจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  147  ถึงมาตรา  166  และมาตรา  200  ถึงมาตรา  205 นอกราชอาณาจักร  จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร

วินิจฉัย

โดยหลักทั่วไป  กฎหมายของรัฐใดย่อมใช้บังคับแก่การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นภายในเขตของรัฐนั้น  แต่ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติยกเว้นหลักดังกล่าวไว้ว่า  ถึงแม้ผู้กระทำจะกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  แต่จะต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักรหากเป็นกรณีตามมาตรา  7  มาตรา  8  และมาตรา  9

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก เป็นเจ้าพนักงานไทยซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เดินทางไปซื้อเรือดำน้ำที่ประเทศเยอรมนีได้ร่วมกันกับ  ข  โดยให้  ข  ไปเรียกเงินจากบริษัทขายเรือดำน้ำ  ถ้าได้จากบริษัทใดก็จะซื้อจากบริษัทนั้น  และบริษัทหนึ่งได้ตกลงตามที่  ข  เรียกร้อง  และ  ก  จึงซื้อเรือดำน้ำจากบริษัทหนึ่ง  ดังนั้น  เมื่อ  ก  เป็นเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทย  ก  จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตาม  ป.อ.  มาตรา  149  และ  เมื่อเป็นกรณีที่  ก  ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยได้กระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ใน  ป.อ.  มาตรา  147  ถึงมาตรา  166  นอกราชอาณาจักร  ดังนั้น  ก  จึงต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักรตาม  ป.อ.  มาตรา  9

ส่วนกรณีของ  ข  นั้น  เมื่อ  ข  ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทย  จึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตาม  ป.อ. มาตรา  149  เพราะบุคคลธรรมดาไม่อาจจะมีความผิดตามมาตรานี้ได้  กรณีจึงไม่ต้องด้วย  ป.อ.  มาตรา  9  และการกระทำของ  ข  ดังกล่าว  ก็ไม่ต้องด้วยกรณีตาม  ป.อ.  มาตรา  7  และมาตรา  8  แต่อย่างใด  ดังนั้น  ข  จึงไม่ต้องรับผิดและไม่ต้องรับโทษในราชอาณาจักร

สรุป  ก  ต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักร  ส่วน  ข  ไม่ต้องรับผิดและไม่ต้องรับโทษในราชอาณาจักร

 

ข้อ  2 

ก  ใช้ปืนขู่บังคับ  ข  ให้ตีหัว  ค  หากไม่ตี  ก  จะยิง  ข  ให้ตาย  ข  กลัว  ก  ยิงตน  ข  จึงใช้ไม้ตีไปที่  ค  ค  เห็น  ข  เงื้อไม้ขึ้นตีตน  ค  จึงใช้ไม้ที่ถืออยู่ตีไปที่  ข  และไม้ได้หลุดจากมือ  ค  เลยไปถูก  ก  ด้วย  ดังนี้  ก  ข  และ  ค  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  89  ถ้ามีเหตุส่วนตัวอันควรยกเว้นโทษ  ลดโทษ  หรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดคนใด  จะนำเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทำความผิดคนอื่นในการกระทำความผิดนั้นด้วยไม่ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ก  ข  และ  ค  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของ  ก

การที่  ก  ใช้ปืนขู่บังคับ  ข  ให้ตีหัว  ค  นั้น  ถือเป็นการ  ก่อ  ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการบังคับขู่เข็ญแล้ว  ก  จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  วรรคแรก  และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทำลงคือ  ข  ได้ใช้ไม้ตีไปที่  ค  ก  ผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84  วรรคสอง  และกรณีนี้  ก  ไม่ได้รับการยกเว้นโทษตามมาตรา  89  เพราะถึงแม้การที่  ข  ใช้ไม้ตี  ค  จะกระทำด้วยความจำเป็นและได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา  67  ก็ตาม  แต่การได้รับยกเว้นโทษดังกล่าวถือเป็นเหตุส่วนตัวของ  ข  จะนำมาใช้กับ  ก  ด้วยไม่ได้

ความรับผิดของ  ข

การที่  ข  ใช้ไม้ตีไปที่  ค  ถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของ  ข  จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ข  จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่  ข  ใช้ไม้ตีไปที่  ค  นั้น  ข  ได้กระทำไปเพราะอยู่ภายใต้อำนาจบังคับของ ก  ซึ่ง  ข  ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้  เมื่อ  ข  ได้กระทำไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ  การกระทำของ  ข  จึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา  67(1)  ดังนั้น  ข  จึงมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของ  ค

การที่  ค  ใช้ไม้ตีไปที่  ข  ถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น การกระทำของ  ค  จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ค  จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่ ค  ได้ใช้ไม้ตีไปที่  ข  นั้น  ค  ได้กระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิของตน  ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของ  ข  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  เมื่อ  ค  ได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำของ  ค  จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ดังนั้น  ค  จึงไม่ต้องรับผิดต่อ  ข

และเมื่อการกระทำของ  ค  เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  แม้ว่าไม้ได้หลุดจากมือ  ค  เลยไปถูก  ก  ด้วย  ซึ่งถือเป็นกรณีที่  ค เจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปและกฎหมายให้ถือว่า  ค  เจตนากระทำต่อ  ก  โดยพลาดไปตามมาตรา  60  ก็ตาม  แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของ  ค  เป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปก็ถือเป็นผลที่เกิดจากการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ด้วย  ดังนั้น  ค  จึงไม่ต้องรับผิดต่อ  ก  เช่นเดียวกัน

สรุป

ก  ตองรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  และรับโทษเสมือนตัวการ

ข  ต้องรับผิดทางอาญา  แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  67  เพราะเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น

ค  ไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  68  เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  นายแดงกับนายดำเป็นเพื่อรักกัน  ทั้งสองคนเข้าป่าล่าสัตว์เป็นงานอดิเรกด้วยกันเป็นประจำ  วันหนึ่ง  ทั้งคู่ได้นัดกันไปล่าสัตว์ตามปกติ  โดยนัดเจอกันเวลาบ่ายโมงตรงใต้ต้นไม้ใหญ่  นายแดงล่าสัตว์ไม่ได้เลยจึงรู้สึกเบื่อหน่ายมานั่งรอนายดำก่อนเวลานัดเจอจนเผลอหลับไป

เมื่อใกล้เวลาบ่ายโมง  นายแดงได้ยินเสียงดังอยู่หลังพุ่มไม้ที่ตนนอนอยู่  ด้วยความรีบร้อนไม่ทันดูให้ดีเสียก่อน  จึงชักปืนจากเอวขึ้นยิงไปทันที  ปรากฏว่าเป็นนายดำที่จะเข้ามาหยอกล้อเล่นเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ  กระสุนถูกอวัยวะสำคัญทำให้นายดำถึงแก่ความตายทันที

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงใช้ปืนยิงไปที่หลังพุ่มไม้นั้น  ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกแล้ว  จึงถือว่านายแดงมีการกระทำทางอาญา  แต่การที่นายแดงยิงไปที่หลังพุ่มไม้โดยเข้าใจว่าเป็นสัตว์แต่ปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์แต่เป็นนายดำนั้น  เป็นกรณีที่นายแดงได้กระทำไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  คือไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนยิงนั้นเป็นคน  ดังนั้น  จะถือว่านายแดงได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำคือการที่นายดำถึงแก่ความตายไม่ได้  กล่าวคือ  จะถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาต่อนายดำไม่ได้นั่นเอง  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม

แต่อย่างไรก็ดี  เมื่อการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา  59  วรรคสามของนายแดงได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นการกระทำของนายแดงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นว่านั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และนายแดงอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่  กล่าวคือ  ถ้านายแดงใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้ดีไม่รีบร้อนก็จะรู้ว่าหลังพุ่มไม้นั้นเป็นนายดำไม่ใช่สัตว์  เพราะนายดำมักจะหยอกล้อเล่นแบบนี้เป็นประจำ  ดังนั้น  นายแดงจึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา  62  วรรคสองประกอบมาตรา  59  วรรคสี่

สรุป  นายแดงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทตามมาตรา  62  วรรคสองประกอบมาตรา  59  วรรคสี่

 

ข้อ  4  เรยาเกลียดณฤดีที่ได้รับความรักจากคุณใหญ่เพียงคนเดียว  เรยาจึงคิดฆ่าณฤดี  แต่กลับเห็นเด่นจันทร์เป็นณฤดี  เมื่อใช้ปืนยิงเด่นจันทร์ถึงแก่ความตายไปแล้ว  กระสุนที่ใช้ยิงเด่นจันทร์นั้น  ยังเลยไปถูกสินธรที่เดินอยู่ห่างออกไปได้รับบาดเจ็บสาหัส  นอกจากนี้กระสุนยังแฉลบไปถูกรถยนต์ของสินธรที่เด่นจันทร์ซื้อให้ราคา  20  ล้านบาท  ได้รับความเสียหายอีกด้วย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของเรยา  

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ความรับผิดทางอาญาของเรยา  แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของเรยาต่อเด่นจันทร์

การที่เรยาใช้ปืนยิงเด่นจันทร์โดยเข้าใจว่าเป็นณฤดีนั้น  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำ  คือ  ความตายของผู้ที่ตนยิง  ดังนั้น  การกระทำของเรยาจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และกรณีดังกล่าวนี้เรยาจะยกเอาความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้มีเจตนากระทำต่อเด่นจันทร์ไม่ได้ตามมาตรา  61  ดังนั้น  เรยาจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเด่นจันทร์ฐานกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของเรยาต่อสินธร

การที่เรยาใช้ปืนยิงเด่นจันทร์  และกระสุนยังได้เลยไปถูกสินธรบาดเจ็บด้วยนั้น  ถือเป็นกรณีที่เรยาเจตนาจะกระทำความผิดต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าเรยากระทำโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วย  ดังนั้น  เมื่อเรยามีเจตนาฆ่ามาตั้งแต่ต้น  เจตนาที่โอนมายังสินธรก็คือ  เจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน  เมื่อปรากฏว่าสินธรเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น  ไม่ถึงแก่ความตาย  เรยาจึงต้องรับผิดต่อสินธรฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา  60  ประกอบมาตรา  80

ส่วนกรณีที่กระสุนยังแฉลบไปถูกรถยนต์ของสินธรได้รับความเสียหายด้วยนั้น  ถือเป็นกรณีที่เรยากระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  แต่เนื่องจากการทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด  เรยาจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อรถยนต์องสินธร  ทั้งนี้ตามหลักในมาตรา  59  วรรคแรกที่ว่า  บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาเมื่อได้กระทำโดยประมาทก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท

สรุป  เรยาต้องรับผิดทางอาญาต่อเด่นจันทร์ฐานกระทำต่อเด่นจันทร์โดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรกประกอบมาตรา  61  และรับผิดทางอาญาต่อสินธรฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาดตามมาตรา  60  ระกอบมาตรา  80  แต่เรยาไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อรถยนต์ของสินธร    

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาเมื่อใด  มีหลักกฎหมายและข้อยกเว้นอย่างไรบ้าง  จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

อธิบาย

ตามบทบัญญัติดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำ  ซึ่งการกระทำ  หมายถึง  การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  กล่าวคือ  เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจนั่นเอง  และการกระทำยังให้หมายความรวมถึงการไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกด้วย  ดังจะเห็นได้จากมาตรา  59  วรรคห้า  ซึ่งบัญญัติว่า  การกระทำให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น  โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

และโดยหลักทั่วไป  การกระทำซึ่งจะทำให้บุคคลผู้กระทำต้องรับผิดในทางอาญานั้นจะต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา  คือ  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  ตามมาตรา  59  วรรคสอง

การกระทำโดยเจตนา  แบ่งออกเป็น  2  กรณี  คือ

1       การกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  ซึ่งจะประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการคือ

(1) เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  หมายถึง  การรู้ถึงการเคลื่อนไหวหรือการไม่เคลื่อนไหวของร่างกายนั่นเอง  และ

(2) ในขณะกระทำ  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  หมายถึง  ในขณะกระทำ  นอกจากจะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกแล้ว ผู้กระทำยังมีความประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นๆตามที่ผู้กระทำมุ่งหมายให้เกิดขึ้นด้วย

ตัวอย่าง  แดงต้องการฆ่าดำ  จึงใช้ปืนยิงไปที่ดำและถูกดำตาย  ดังนี้การที่แดงใช้ปืนยิงไปที่ดำถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  และความตายของดำถือว่าเป็นผลที่แดงประสงค์จะให้เกิดขึ้น

 2       การกระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล  ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการ  คือ

(1) เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และ

(2) ในขณะกระทำผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  หมายถึง  เป็นการกระทำที่ผู้กระทำมิได้ประสงค์ต่อผล  กล่าวคือ  มิได้มุ่งหมายให้เกิดผลขึ้น  แต่ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลว่าผลนั้นจะต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

ตัวอย่าง  แดงเชื่อว่าดำเป็นคนอยู่ยงคงกระพันยิงไม่เข้า  จึงทดลองใช้ปืนยิงไปที่ดำและถูกดำตาย  ดังนี้  การที่แดงใช้ปืนยิงดำ  แดงไม่มีความประสงค์จะให้ดำตายเป็นเพียงการทดลองความอยู่ยงคงกระพันเท่านั้น  แต่การกระทำของแดงย่อมเล็งเห็นได้ว่า  ถ้ากระสุนถูกดำย่อมทำให้ดำตายได้  จึงถือว่าแดงมีเจตนาฆ่าดำโดยย่อมเล็งเห็นผล

แต่อย่างไรก็ดี  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  มีข้อยกเว้นว่า  บุคคลอาจจะต้องรับผิดในทางอาญา  แม้จะมิได้กระทำโดยเจตนาก็ได้  ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังนี้คือ

(1) เป็นการกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยประมาท  เช่น  กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  เป็นต้น  หรือ

(2) เป็นการกระทำที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง  ให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่มีเจตนา  (ความผิดเด็ดขาด)  เช่น  การกระทำความผิดตามประมวลรัษฎากร  เป็นต้น  หรือ

(3) เป็นการกระทำความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายนี้  แม้กระทำโดยไม่มีเจตนา  ก็เป็นความผิด  เว้นแต่  ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น  (มาตรา  104)

 

ข้อ  2  อย่างไรเป็นพยายามกระทำความผิด  มีโทษอย่างไรบ้าง  (อธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

อธิบาย

ตามมาตรา  80  กรณีที่จะถือว่าเป็นพยายามกระทำความผิดจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  3  ประการ  คือ

(1) ผู้กระทำจะต้องมีเจตนากระทำความผิด

(2) ผู้กระทำจะต้องลงมือกระทำความผิดแล้ว  กล่าวคือ  ได้ผ่านขั้นตระเตรียมการไปแล้ว  จนถึงขั้นลงมือกระทำการเพื่อให้บรรลุผลตามเจตนา

(3) ผู้กระทำกระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำไม่บรรลุผล

ซึ่งหลักเกณฑ์ข้อ  (3)  นี้  จะเห็นได้ว่า  การพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  80  อาจแบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ

1       พยายามกระทำความผิดที่กระทำไปไม่ตลอด  ซึ่งมีองค์ประกอบ  ดังนี้

(1) ผู้กระทำจะต้องได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  หมายถึง  ได้กระทำที่พ้นจากขั้นตระเตรียมไปแล้วจนถึงขั้นลงมือกระทำ

(2) กระทำไปไม่ตลอด  หมายความว่า  เมื่อผู้กระทำได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  ได้มีเหตุมาขัดขวางเสียไม่ให้กระทำไปได้ตลอด

ตัวอย่าง  ก  ตั้งใจยิง  ข  จึงยกปืนขึ้นประทับบ่าและจ้องไปที่  ข  พร้อมกับขึ้นนกในขณะที่กำลังจะลั่นไก  ค  ได้มาจับมือ  ก  เสียก่อน  ทำให้  ก  กระทำไปไม่ตลอด  คือไม่สามารถยิง  ข  ได้

2       พยายามกระทำความผิดที่กระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ซึ่งมีองค์ประกอบ  ดังนี้

(1) ผู้กระทำได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว

(2) การกระทำนั้นได้กระทำไปโดยตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  เหตุที่ไม่บรรลุผลก็เพราะว่ามีเหตุมาขัดขวางไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลนั่นเอง

ตัวอย่าง  ก  เจตนาฆ่า  ข  และได้ยิงปืนไปที่  ข  แต่ลูกปืนไม่ถูก  ข  หรือถูก  ข  แต่  ข  ไม่ตาย  ดังนี้ถือว่า  ก  ได้ลงมือกระทำความผิด และได้กระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำไม่บรรลุผล  คือ  ข  ไม่ตายตามที่  ก  ประสงค์

โทษของการพยายามกระทำความผิด

โดยปกติ  การพยายามกระทำความผิดนั้น  ผู้กระทำจะต้องรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น  (มาตรา  80  วรรคสอง)  เว้นแต่  การพยายามกระทำความผิดบางกรณี  ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้น  ได้แก่

1       การพยายามกระทำความผิดที่ผู้กระทำต้องรับโทษเท่าความผิดสำเร็จ  เช่น  การพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  107  มาตรา  108  เป็นต้น

2       การพยายามกระทำความผิดที่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  เช่น  การพยายามกระทำความผิดที่ผู้กระทำยับยั้งเสียงเองไม่กระทำการให้ตลอดหรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลตามมาตรา  82  หรือ  การพยายามกระทำความผิดลหุโทษตามมาตรา 105  เป็นต้น

3       การพยายามกระทำความผิดที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา  81  ที่ผู้กระทำต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

 

ข้อ  3  อาคมคนไทยทำร้ายร่างกายหลี่หมิงคนสิงคโปร์ที่สิงคโปร์  แล้วอาคมได้หนีเข้ามาในประเทศไทย  หลี่หมิงได้โทรศัพท์ไปหาเจียงชาวจีนอยู่ที่ฮ่องกง  จ้างเจียงให้ฆ่าอาคมในประเทศไทย

เจียงเดินทางเข้ามาในประเทศไทยพบอาคมที่จังหวัดสระแก้ว  ขณะที่อาคมเตรียมตัวเข้าไปในประเทศกัมพูชา  เจียงเข้าไปตีสนิทกับอาคม  โดยอาคมไม่ทราบว่าเจียงจะมาฆ่าคน  เจียงซื้อเครื่องดื่มและใส่ยาพิษลงไปในเครื่องดื่มให้แก่อาคม  อาคมได้รับเครื่องดื่มจากเจียงแล้วได้นั่งรถยนต์ไปกับสมชาย  ขณะรถยนต์แล่นเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชา  สมชายกระหายน้ำ  อาคมได้ส่งเครื่องดื่มที่รับมาจากเจียงให้สมชายดื่ม  สมชายดื่มแล้วถึงแก่ความตาย

ดังนี้  อาคม  หลี่หมิง  และเจียงต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ 

มาตรา  4  วรรคแรก  ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร  ต้องรับโทษตามกฎหมาย

มาตรา  5  วรรคแรก  ความผิดใดที่การกระทำแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำในราชอาณาจักรก็ดี  ให้ถือว่าความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา  6  ความผิดใดที่ได้กระทำในราชอาณาจักร  หรือที่ประมวลกฎหมายนี้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร  แม้การกระทำของผู้เป็นตัวการด้วยกัน  ของผู้สนับสนุนหรือของผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้น  จะได้กระทำนอกราชอาณาจักร  ก็ให้ถือว่าตัวการ  ผู้สนับสนุน  หรือผู้ใช้ให้กระทำได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา  8  ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และ

(ก)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น  หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษหรือ

ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้  จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร  คือ

(5) ความผิดต่อร่างกาย  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  295  ถึงมาตรา  298

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น 

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้างวานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  อาคม  หลี่หมิง  และเจียง  จะต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของอาคม 

การที่อาคมเป็นคนไทยได้ทำร้ายร่างกายหลี่หมิงคนสิงคโปร์ที่ประเทศสิงคโปร์นั้น  แม้จะเป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  แต่อาคมจะต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักร  เพราะเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  8(ก)(5)  คือ  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และเป็นความผิดต่อร่างกาย

กรณีของหลี่หมิง

การที่หลี่หมิงได้จ้างเจียงให้ฆ่าอาคมในประเทศไทย  หลี่หมิงต้องรับผิดต่ออาคมฐานเป็นผู้ใช้  ตาม  ป.อาญา  มาตรา  84  และการกระทำของหลี่หมิงแม้จะได้กระทำนอกราชอาณาจักรแต่ตามมาตรา  6  ให้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร  ดังนั้น  หลี่หมิงจึงต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรด้วย

กรณีของเจียง

การที่เจียงได้ซื้อเครื่องดื่มและใส่ยาพิษลงไปในเครื่องดื่มให้แก่อาคมนั้น  ถือว่าเจียงได้ลงมือกระทำความผิดต่ออาคมแล้ว  และเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  เพียงแต่ได้กระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  จึงต้องรับผิดฐานพยายามตามมาตรา  80  และการกระทำความผิดของเจียงต่ออาคมนั้นเป็นความผิดที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรตามมาตรา  4  วรรคแรก  ดังนั้นเจียงจึงต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรด้วย

ส่วนการกระทำที่เจียงกระทำต่อสมชายนั้น  เมื่อเจียงมีเจตนากระทำต่ออาคม  แต่ผลของการกระทำไปเกิดขึ้นแก่สมชายตามมาตรา  60 ให้ถือว่าเจียงมีเจตนากระทำต่อสมชายด้วย  ซึ่งเป็นการกระทำโดยพลาด  และแม้ว่าสมชายจะดื่มเครื่องดื่มและถึงแก่ความตายนอกราชอาณาจักร  แต่เมื่อการกระทำความผิดของเจียงส่วนหนึ่งได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรตามมาตรา  5  วรรคแรก  ให้ถือว่าเจียงได้กระทำความผิดในราชอาณาจักร  ดังนั้นในกรณีนี้เจียงต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรด้วย

สรุป  อาคม  หลี่หมิง  และเจียง  ต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  4  ร.ต.ต.หาญ  กับ  จ.ส.ต.กล้า  ออกตรวจท้องที่บริเวณที่บ้านราษฎรถูกน้ำท่วมในเวลากลางคืน  พบจ้อยยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งมีท่าทางพิรุธ  ทั้งสองเดินไปหาจ้อย  จ้อยเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงร้องบอกเก่งและยอดพวกของตนที่เข้าไปลักทรัพย์ในบ้านหลังนั้น  เก่งและยอดได้ออกมาจากบ้านและมาหาจ้อยที่หน้าบ้าน  ร.ต.ต.หาญ  และ  จ.ส.ต.กล้าจึงแสดงตนและขอจับกุมทั้งสามคน  จ้อย  เก่ง  และยอดได้ใช้ไม้และมีดตีและแทงเจ้าหน้าที่ทั้งสองล้มลง  เก่งเงื้อมีดขึ้นแทงซ้ำ  ร.ต.ต.หาญชักปืนออกยิงเก่งหนึ่งนัดถูกเก่งล้มลง  จ้อยและยอดวิ่งหนี  จ.ส.ส.กล้าลุกขึ้นได้ใช้ปืนยิงไปที่จ้อยและยอดหนึ่งนัด  กรุสุนปืนถูกจ้อยได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  จ้อย  ร.ต.ต.หาญ และ  จ.ส.ต.กล้า ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และศาลจะพิพากษาริบอาวุธปืนของ  ร.ต.ต.หาญ  และ  จ.ส.ต.กล้า  ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  33  ในการริบทรัพย์สิน  นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว  ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย  คือ

(1) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้  หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  จ้อย  ร.ต.ต.หาญ  และจ.ส.ต.กล้า  จะต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของจ้อย

การที่เก่งและยอดพวกของจ้อยเข้าไปลักทรัพย์ในบ้าน  โดยมีจ้อยยืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้น  เพื่อรับหน้าที่คอยแจ้งสัญญาณให้พวกของตนทราบ  การกระทำของจ้อยนับว่าเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้การลักทรัพย์บรรลุผลสำเร็จ  จึงถือว่าจ้อยเป็นตัวการในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  83  และเมื่อจ้อย  เก่ง  และยอดได้ใช้ไม้และมีดตีและแทง  ร.ต.ตหาญ  และ  จ.ส.ต.กล้า  เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งสองแสดงตนและขอจับกุมจึงถือว่าจ้อยเป็นตัวการในการร่วมกันกระทำความผิดฐานต่อสู่ขัดขวางเจ้าพนักงานด้วยตามมาตรา  83

กรณีของ  ร.ต.ต.หาญ

หารที่  ร.ต.ต.หาญนั้น  ได้ชักปืนออกมายิงเก่งหนึ่งนัด  ถือว่า  ร.ต.ต.หาญได้กระทำต่อเก่งโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่เมื่อการกระทำของร.ต.ต.หาญนั้น เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  จึงถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ดังนั้น  ร.ต.ต.หาญจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญา

และเมื่อการกระทำของ  ร.ต.ต.หาญไม่มีความผิด  อาวุธปืนของ  ร.ต.ต.หาญที่ใช้ยิงนั้นจึงมิใช่เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด  ดังนั้นศาลจะพิพากษาให้ริบอาวุธปืนของ  ร.ต.ต.หาญตามมาตรา  33(1)  ไม่ได้

กรณีของ  จ.ส.ต.กล้า

การที่จ.ส.ต.กล้า  ได้ใช้ปืนยิงไปที่จ้อยและยอดหนึ่งนัด  ในขณะที่จ้อยและยอดได้วิ่งหนีไปแล้ว  ถือว่า  จ.ส.ต.กล้าได้กระทำต่อจ้อยและยอดยิ่งโดยเจตนาเพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59 วรรคสอง  จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก  และการกระทำของ  จ.ส.ต.กล้าจะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายไม่ได้  เพราะภยันตรายดังกล่าวนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม  การกระทำของ  จ.ส.ต.กล้าถือว่าเป็นการกระทำไปโดยบันดาลโทสะตามมาตรา  72  เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  และได้กระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ดังนั้น  ศาลจะลงโทษ  จ.ส.ต.กล้ากล้าน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้  ส่วนอาวุธปืนของ  จ.ส.ต.กล้านั้น  ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด  ศาลย่อมพิพากษาให้ริบปืนตามมาตรา  33(1) ได้

สรุป  จ้อยต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

ร.ต.ต.หาญไม่ต้องรับผิดทางอาญา  เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและศาลจะพิพากษาริบอาวุธปืนของ  ร.ต.ต.หาญไม่ได้

จ.ส.ต.กล้าต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทำโดยเจตนาแต่อ้างเหตุบันดาลโทสะได้  และศาลจะพิพากษาให้ริบอาวุธปืนของ  จ.ส.ต.กล้าได้

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 2/2554

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  โมหะกลับบ้านตอนดึก  ได้ทราบจากโมรีภริยาว่า  มอคค่าสุนัขที่เลี้ยงไว้กัด  ด.ญ.โมจิ  ลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา  โมหะโกรธมากจึงตั้งใจว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับมอคค่าอีกต่อไป  จึงยืนดักรอให้มอคค่ากลับบ้าน

หลังจากที่มอคค่าหนีออกจากบ้านไปหลังกัดโมจิ  สักครู่ใหญ่โมหะเห็นน้องหมาตัวหนึ่งวิ่งเข้าบ้านมาคุ้ยขยะหน้าบ้านกินด้วยความหิวโหย  โมหะเข้าใจว่าเป็นมอคค่า  จึงจะทุบให้ตาย  เมื่อน้องหมาก้มลงกินด้วยความอร่อย  โมหะใช้ไม้กอล์ฟทุบน้องหมาตายคากองอาหารด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ความจริงแล้วน้องหมาที่ตายนั้นคือ  ช็อกโกแลตลาวา  น้องหมาของโทโสเพื่อนบ้านที่มีรูปร่างคล้ายกัน  โมหะทุบน้องหมาตัวนั้นด้วยความรีบร้อน  ไม่ทันดูให้ดี  จึงทำให้ช็อกโกแลตลาวาตาย 

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายโมหะ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

การกระทำโดยเจตนา  ได้แก่การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้  คือจะถือว่าผู้กระทำได้กระทำโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่โมหะได้ใช้ไม้กอล์ฟทุบน้องหมา  คือ  ช็อกโกแลตลาวาตายนั้น  เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  จึงถือว่าเป็นการกระทำทางอาญาแล้ว  แต่การกระทำดังกล่าวของโมหะจะถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาหาได้ไม่  เพราะโมหะได้กระทำโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  ตามมาตรา  59  วรรคสาม  คือไม่รู้ว่าน้องหมาที่ตนใช้ไม้กอล์ฟทุบจนตายนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่นไม่ใช่มอคค่าสุนัขของตนเอง  ดังนั้นโมหะจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์  (องค์ประกอบของความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  ตาม  ป.อาญา  มาตรา  358  คือ  1  ทำให้เสียหาย  ทำลาย  ทำให้เสื่อมค่า  หรือทำให้ไร้ประโยชน์  2  ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  3  โดยเจตนา)

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของโมหะ  เนื่องจากโมหะได้ทุบช็อกโกแลตลาวาซึ่งเป็นสุนัขของโทโสตายนั้น  ได้กระทำด้วยความรีบร้อนไม่ทันดูให้ดีว่าไม่ใช่มอคค่าสุนัขของตน  แต่โมหะก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททำให้เสียทรัพย์  ทั้งนี้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทำโดยประมาททำให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใด  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  ประกอบกับมาตรา  62  วรรคสอง  ดังนั้นโมหะจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป  โมหะไม่มีความรับผิดทางอาญา

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  เมื่อนายแดงเห็นนายขาวเดินมา  คิดว่าเป็นนายดำ  นายแดงจึงใช้ปืนยิงนายขาว  นายขาวมองเห็นก่อนจึงหลบกระสุนได้ทัน  กระสุนจึงไม่ถูกที่สำคัญ  ทำให้นายขาวได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย  ในการนั้นนายเขียวที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไปได้รับกระสุนไปด้วย  แต่กระสุนถูกที่สำคัญทำให้นายเขียวถึงแก่ความตายในทันที

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดงต่อนายขาว  และต่อนายเขียว

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสาม  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายแดงต่อนายขาว

ตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงใช้ปืนยิงนายขาวนั้น  ถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาเพราะนายแดงได้กระทำโดยรู้สำนึก  และในขณะเดียวกันนายแดงได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  และนายแดงได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา  59  วรรคสาม

และแม้ว่าข้อเท็จจริงนายแดงมีเจตนาฆ่านายดำ  แต่ได้ลงมือกระทำต่อนายขาวเพราะเข้าใจผิดคิดว่านายขาวเป็นนายดำ  นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายขาวไม่ได้  ดังนั้นจึงต้องถือว่านายแดงมีเจตนาฆ่านายขาวด้วยตามมาตรา  61  และเมื่อนายขาวไม่ถึงแก่ความตายเพราะกระสุนไม่ถูกที่สำคัญ  จึงถือว่านายแดงได้ลงมือกระทำและกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำไม่บรรลุผล  นายแดงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดในตัวบุคคล  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  61  และมาตรา  80  วรรคแรก

ความรับผิดของนายแดงต่อนายเขียว

การที่นายแดงได้ใช้ปืนยิงนายขาว  แล้วกระสุนปืนได้เลยไปถูกนายเขียวที่ยืนอยู่ไกลออกไป  ทำให้นายเขียวถึงแก่ความตายนั้น  เป็นกรณีที่นายแดงได้กระทำโดยเจตนาต่อนายขาว  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่นายเขียวโดยพลาดไป  เช่นนี้ให้ถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาแก่นายเขียวบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำด้วย  ตามมาตรา  60  ดังนั้นเมื่อนายเขียวถึงแก่ความตาย  นายแดงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเขียวตายโดยเจตนาโดยพลาด  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  60

สรุป  นายแดงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดในตัวบุคคล  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  มาตรา  61  ประกอบมาตรา  80  และต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเขียวตายโดยเจตนาโดยพลาด  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  60

 

ข้อ  3  หนึ่งและสองเป็นบุตรของสาม  สามถูกฆ่าตาย  หนึ่งสืบทราบมาว่าสี่เป็นคนฆ่าสาม  หนึ่งและสองปรึกษาวางแผนฆ่าสี่เพื่อแก้แค้น  หนึ่งจึงไปขอยืมอาวุธปืนจากห้า  ห้าทราบดีว่าหนึ่งจะนำอาวุธปืนไปยิงสี่

ด้วยความเห็นใจหนึ่งที่ต้องสูญเสียบิดาจึงให้ยืม  หนึ่งได้อาวุธปืนจากห้า  แล้วได้กลับไปหาสอง  และทั้งสองได้เดินทางไปดักยิงสี่

เมื่อไปถึงจุดที่สี่ต้องผ่านมา  หนึ่งให้สองไปคอยดูต้นทางและให้สัญญาณ  พอสี่เดินมาสองได้ให้สัญญาณแก่หนึ่ง  หนึ่งยกปืนเล็งไปที่สี่  ก่อนหนึ่งลั่นไก  สองได้ร้องตะโกนบอกหนึ่งว่าอย่ายิง  และวิ่งมาปัดปืน  แต่หนึ่งยังยืนยันฆ่าสี่  และได้ลั่นไกปืน  กระสุนปืนถูกสี่ตาย

ดังนี้  สองและห้าต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของสอง

การที่หนึ่งและสองได้ร่วมกันปรึกษาวางแผนฆ่าสี่  และทั้งสองได้เดินทางไปดักยิงสี่  เมื่อไปถึงจุดที่สี่ต้องผ่านมา  หนึ่งให้สองไปคอยดูต้นทางและให้สัญญาณ  และเมื่อสี่เดินมาสองได้ให้สัญญาณแก่หนึ่ง  การกระทำของสองนับว่าเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้การฆ่าสี่บรรลุผลสำเร็จ  ดังนั้นเมื่อหนึ่งได้ใช้ปืนยิงสี่กระสุนปืนถูกสี่ตาย  จึงถือว่าสองร่วมกันกระทำความผิดกับหนึ่งฐานฆ่าสี่ตายโดยเจตนา  สองจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83 

ความรับผิดของห้า

การที่ห้าทราบดีว่าหนึ่งจะไปฆ่าสี่  จึงได้ให้หนึ่งยืมอาวุธปืนเพื่อไปฆ่าสี่  การกระทำของห้าถือเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด  เมื่อหนึ่งฆ่าสี่ตาย  ห้าจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป  สองต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

ห้าต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

 

ข้อ  4  หาญพบโหนคู่อริ  หาญชักมีดออกแทงโหนในระยะกระชั้นชิด  โหนเห็นจวนตัวไม่อาจหลีกหนี  จึงชักปืนออกยิงไปที่หาญ  กระสุนปืนถูกหาญบาดเจ็บแล้วเลยไปถูกห้อยตาย  แห้วบุตรของห้อยเห็นห้อยบิดาถูกยิงล้มลง  และโหนถือปืนวิ่งหนีไป  แห้ววิ่งไล่ตามพอทันแห้วใช้มีดแทงไปที่โหนได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  โหนและแห้วต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  62  วรรคแรก  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีของโหน

การที่โหนได้ชักปืนออกยิงไปที่หาญ  ถือว่าโหนได้กระทำต่อหาญโดยเจตนาเพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่เมื่อการกระทำของโหนนั้น  เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  จึงถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ดังนั้นโหนจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญาฐานพยายามฆ่าหาญ

และเมื่อการกระทำของโหน  เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  แม้กระสุนปืนจะเลยไปถูกห้อยตาย  ซึ่งถือเป็นกรณีที่โหนกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  และกฎหมายให้ถือว่าโหนเจตนากระทำต่อห้อยโดยพลาดไปตามมาตรา  60  ก็ตาม  แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของโหนเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผลที่เกิดโดยพลาดไปก็ถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  ด้วย  ดังนั้นโหนจึงไม่ต้องรับผิดต่อห้อย

กรณีของแห้ว

การที่แห้วใช้มีดแทงไปที่โหนจนโหนได้รับบาดเจ็บ  ถือว่าแห้วได้กระทำโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แห้วจะอ้างบันดาลโทสะเพื่อให้รับโทษน้อยลงตามมาตรา  72  ไม่ได้  เพราะการกระทำของโหนเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  จึงไม่ถือว่าโหนได้ข่มเหงแห้วด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  แห้วจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อโหนฐานพยายามฆ่าโหนตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  80

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่แห้วได้ใช้มีดแทงไปที่โหนนั้น  เป็นเพราะเข้าใจผิดว่าโหนมีเจตนาฆ่าบิดาของตน  แม้ตามข้อเท็จจริงจะไม่มีอยู่จริง  แต่แห้วสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ดังนี้แห้วย่อมสามารถอ้างความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  72  และมาตรา  62  วรรคแรก

สรุป  โหนไม่ต้องรับผิดทางอาญา

แห้วต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าโหน  แต่แห้วสามารถอ้างความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  แดนขับรถยนต์อยู่ช่องเดินรถทางซ้าย  ก้องขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของแดน  ก้องพยายามจะขึ้นแซงรถยนต์ของแดน  แต่แดนเบนรถยนต์มาทางขวา  ก้องแซงไม่ได้  พอได้จังหวะที่รถยนต์ของแดนอยู่ช่องเดินรถทางซ้าย

ก้องเร่งเครื่องยนต์แซงขวารถยนต์ของแดนแล้วแกล้งเบียดรถยนต์แดนจนรถยนต์ของแดนตกไหล่ทาง  ทำให้ชมพู่ที่นั่งมาในรถยนต์ของแดนได้รับบาดเจ็บ  และรถยนต์ของแดนเสียหลักไปชนรถจักรยานยนต์ที่ตุ้มขี่มาล้มลง  ตุ้มได้รับบาดเจ็บ

ดังนี้  ก้องต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ความรับผิดทางอาญาของก้อง  แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของก้องต่อชมพู่ 

การที่ก้องเร่งเครื่องยนต์แซงขวารถยนต์ของแดนแล้วแกล้งเบียดรถยนต์แดนจนรถยนต์ของแดนตกไหล่ทาง  ทำให้ชมพู่ที่นั่งมาในรถยนต์ของแดนได้รับบาดเจ็บนั้น  ถือว่า  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  กล่าวคือ  ก้องย่อมเล็งเห็นได้ว่าการที่ตนแกล้งเบียดรถยนต์แดนจนรถยนต์ของแดนตกไหล่ทางนั้น  ย่อมทำให้ผู้ที่นั่งมาในรถยนต์ของแดนได้รับบาดเจ็บ  ดังนั้น  การกระทำของก้องจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ก้องจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อชมพู่ ตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของก้องต่อตุ้ม 

การที่รถยนต์ของแดนเสียหลักไปชนรถจักรยานที่ตุ้มขี่มาล้มลง  จนทำให้ตุ้มได้รับบาดเจ็บอีกด้วยนั้น  ถือเป็นกรณีที่ก้องเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าก้องกระทำโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นด้วย  ดังนั้น  ก้องจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อตุ้ม  เพราะได้กระทำต่อตุ้มโดยเจตนาโดยพลาดไปตามมาตรา  60

สรุป  ก้องต้องรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อชมพู่โดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  และรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อตุ้มโดยเจตนาโดยพลาดไป  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  60

 

ข้อ  2  เสริมศักดิ์และสมศรีเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย  เสริมศักดิ์ไปที่บ้านของสดใสมารดาของสมศรี  เห็นสร้อยคอทองคำเส้นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง  เสริมศักดิ์ไม่พิจารณาให้ดีเข้าใจว่าเป็นสร้อยคอทองคำของสมศรีภริยาคงเอามาฝากมารดา  เสริมศักดิ์ต้องการลักทรัพย์ภริยาอยู่แล้ว  จึงเอาสร้อยคอทองคำเส้นนั้นไปขายเพื่อนำเงินมาเล่นการพนัน

ดังนี้  เสริมศักดิ์ต้องรับผิดและรับโทษทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  62  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริง  ตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า  การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

มาตรา  71  วรรคแรก  ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  334  ถึงมาตรา  336  วรรคแรก  และมาตรา  341  ถึงมาตรา  364  นั้น  ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยา  หรือภริยากระทำต่อสามี  ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เสริมศักดิ์ลักเอาสร้อยคอทองคำของสดใสไปขายนั้น  ถือเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นคือ  สร้อยคอทองคำที่ตนลักไป  ดังนั้นการกระทำของเสริมศักดิ์จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ซึ่งกรณีนี้เสริมศักดิ์จะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อสดใสไม่ได้  ตามมาตรา  61  เพราะสามีลักทรัพย์ของภริยาก็เป็นความผิดอยู่แล้ว  เพียงแต่ได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา  71  วรรคแรก  ดังนั้น  เสริมศักดิ์จึงต้องรับผิดทางอาญาต่อสดใสฐานกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่เสริมศักดิ์ลักเอาทรัพย์ของสดใสไปโดยเข้าใจว่าเป็นทรัพย์ของสมศรีภริยาของตนนั้น  ถือเป็นกรณีที่เสริมศักดิ์สำคัญผิดในข้อเท็จจริง  กล่าวคือ  สำคัญผิดว่าเป็นทรัพย์ของสมศรีซึ่งไม่มีอยู่จริง  แต่เสริมศักดิ์สำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ซึ่งหากข้อเท็จจริงดังกล่าวมีอยู่จริงแล้วจะทำให้เสริมศักดิ์ไม่ต้องรับโทษ  ตามมาตรา  71  วรรคแรก  ดังนั้น  เสริมศักดิ์จึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  62  วรรคแรก  แม้ความสำคัญผิดดังกล่าวจะเกิดขึ้นโดยความประมาทของเสริมศักดิ์  เพราะไม่พิจารณาดูให้ดีก็ตาม  เสริมศักดิ์ก็ไม่ต้องรับโทษเพราะความผิดฐานลักทรัพย์จะต้องกระทำโดยเจตนาเท่านั้น  ตามมาตรา  62  วรรคสอง

สรุป  เสริมศักดิ์ต้องรับผิดทางอาญาต่อสดใสฐานกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะเสริมศักดิ์สำคัญผิดในข้อเท็จจริงตามมาตรา  61  วรรคแรก

 

ข้อ  3  เอกและหนึ่งทะเลาะมีปากเสียงกัน  เอกกล่าวต่อหนึ่งว่า  เอกจะฆ่าหนึ่ง  วันหนึ่งเอกไปดักยิงหนึ่ง  และบริเวณนั้นก็มีเก่งมาดักยิงนกอยู่ด้วย  เอกเห็นหนึ่ง  เอกใช้ปืนยิงไปที่หนึ่ง  หนึ่งได้ยินเสียงปืนจึงล้มตัวลง  กระสุนปืนไม่ถูกหนึ่ง  พอหนึ่งลุกขึ้นได้เห็นเก่งกำลังยกปืนเล็งไปที่นก  หนึ่งเข้าใจว่าเป็นเอกจะยิงซ้ำมาที่ตนอีก  หนึ่งจึงชักปืนยิงไปที่เก่ง  กระสุนปืนถูกเก่งตาย  แล้วยังเลยไปถูกยอดที่นั่งอยู่หลังพุ่มไม้ตายด้วย

ดังนี้  เอกละหนึ่งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และจะอ้างเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  62  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  เอกและหนึ่งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และจะอ้างเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดได้บ้างนั้น  แยกพิจารณาได้ดังนี้  คือ

กรณีของเอก

การที่เอกใช้ปืนยิงไปที่หนึ่งนั้น  เอกได้กระทำไปโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และขณะเดียวกัน  ก็ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  คือความตายของหนึ่ง  การกระทำของเอกจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  เมื่อปรากฏว่าเอกได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะหนึ่งล้มตัวหลบได้ทันจึงไม่ถึงแก่ความตาย  เอกจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

กรณีของหนึ่ง

การที่หนึ่งชักปืนยิงไปที่เก่ง  ถือว่าหนึ่งได้กระทำต่อเก่งโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่การที่หนึ่งใช้ปืนยิงเก่งนั้น  เป็นเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเอกจะยิงซ้ำมาที่ตนอีก  ซึ่งหากข้อเท็จจริงมีอยู่จริงตามที่หนึ่งเข้าใจแล้ว  การกระทำของหนึ่งย่อมไม่เป็นความผิด  เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  กล่าวคือ  เป็นการที่หนึ่งกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  ดังนั้น  หนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง  ตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  62  วรรคแรก

และเมื่อการกระทำของหนึ่ง  เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว  แม้กระสุนปืนจะเลยไปถูกยอดตาย  ซึ่งถือเป็นกรณีที่หนึ่งเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  และกฎหมายให้ถือว่าหนึ่งเจตนากระทำต่อยอดโดยพลาดไปตามมาตรา  60  ก็ตาม  แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปย่อมถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  62  วรรคแรกด้วย  ดังนั้น  หนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อยอด

สรุป  เอกต้องรับผิดทางอาญาต่อหนึ่งฐานพยายามฆ่าหนึ่งตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

หนึ่งไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่งและยอด  เพราะหนึ่งกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  62 วรรคแรก

 

ข้อ  4  กันต้องการฆ่าโต  กันโทรศัพท์ไปหาใหญ่เพื่อขอยืมอาวุธปืน  ระหว่างทางที่กันไปรับอาวุธปืนจากใหญ่  กันได้พบกับสมพร  สมพรได้จ้างให้กันไปฆ่าโต  โดยไม่ทราบว่ากันเองต้องการฆ่าโตอยู่ก่อนแล้ว  กันตอบตกลงและสมพรได้จัดหาอาวุธปืนให้กันด้วย  กันได้อาวุธปืนจากสมพรแล้ว  เดินทางไปฆ่าโต  กันเห็นโตจึงเดินตามหลังไป  พอได้ระยะที่จะยิงได้  กันชักปืนออกจากเอวเพื่อจะยิงโต  โดยยังมิทันยกปืนจ้องยิงไปที่โต  มีคนวิ่งมาชนกันเสียก่อน  กันจึงไม่ได้ยิงโต  ดังนี้  กันและสมพรต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  กันและสมพรต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของกัน

ตามบทบัญญัติมาตรา  59  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่าโดยปกติบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำการซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด  ซึ่งคำว่าได้มีการกระทำนี้  จะต้องเลยขั้นตระเตรียมการมาจนถึงขั้นลงมือกระทำแล้วแต่กรณีตามข้อเท็จจริง  ขณะที่กันชักปืนออกจากเอวเพื่อจะยิงโต  มีคนวิ่งมาชนกันเสียก่อน  โดยที่กันยังมิทันยกปืนจ้องยิงไปที่โต  การกระทำของกันจึงอยู่เพียงขั้นตระเตรียมการเท่านั้น  ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำความผิด  เพราะยังไม่ถือว่าใกล้ชิดกับความผิดสำเร็จ  ดังนั้น  กันจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อโต ตามมาตรา  59  วรรคแรก

กรณีของสมพร

การที่สมพรได้จ้างให้กันไปฆ่าโตนั้น  ไม่ถือว่าเป็นการ  “ก่อ”  ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการจ้าง  เพราะกันต้องการฆ่าโตอยู่ก่อนแล้ว  ดังนั้น  สมพรจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84 

ส่วนกรณีที่สมพรได้จัดหาอาวุธปืนให้กันนั้น  ถึงแม้จะเป็นการกระทำอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นในการกระทำความผิด  แต่เมื่อปรากฏว่ากันยังไม่ได้ลงมือกระทำความผิด  สมพรจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป  กันไม่ต้องรับผิดทางอาญา  สมพรไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้และผู้สนับสนุน

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายชัยและนางสมศรีเป็นสามีภริยามีบุตรด้วยกัน  3  คน  นายชัยได้ไปราชการที่ชายแดน

เมื่อกลับบ้านนางสมศรีภริยาได้เล่าให้นายชัยฟังว่า  เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนายโก๋ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันได้บุกรุกขึ้นมาบนบ้านและข่มขืนกระทำชำเราตน  นายชัยได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก  จึงพกปืนออกจากบ้านเพื่อจะไปฆ่านายโก๋  เมื่อนายชัยพบนายโก๋จึงยกปืนขึ้นเล็งเพื่อจะยิงนายโก๋  แต่นายโก๋เหลือบเห็นเข้าพอดี  จึงชักปืนยิงถูกนายชัยได้รับบาดเจ็บ  และกระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสมศรีซึ่งตามนายชัยมาด้วยความเป็นห่วงถึงแก่ความตายอีกด้วย

ดังนี้  นายชัยและนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การกระทำของนายชัยและนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายชัย

การที่นายชัยได้ยกปืนขึ้นเล็งเพื่อจะยิงนายโก๋  ถือว่านายชัยได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  และการกระทำของนายชัยต่อนายโก๋  ถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่เมื่อการกระทำของนายชัยเป็นการลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  เนื่องจากนายชัยได้ถูกนายโก๋ยิงได้รับบาดเจ็บ  จึงเป็นการพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  80  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อนายชัยได้กระทำความผิดในขณะบันดาลโทสะ  เนื่องจากถูกนายโก๋ข่มขืนกระทำชำเรานางสมศรีซึ่งเป็นภริยาของนายชัย  ซึ่งถือว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  และได้กระทำความผิดต่อนายโก๋ผู้ข่มเหงในขณะนั้น  (ขณะที่ได้ทราบว่านายโก๋ข่มขืนกระทำชำเราภริยาของตน)  ดังนั้นนายชัยจะได้รับโทษน้อยลงตามมาตรา  72

กรณีของนายโก๋

การที่นายโก๋ยิงนายชัยได้รับบาดเจ็บ  ถือว่านายโก๋ได้กระทำความผิดต่อนายชัยโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่เมื่อการกระทำของนายโก๋ได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  นายโก๋จึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายชัย  ตามมาตรา  80  วรรคแรก  และการที่นายโก๋ยิงนายชัยและกระสุนปืนเลยไปถูกนางสมศรีถึงแก่ความตายนั้น  เป็นกรณีที่นายโก๋ได้กระทำโดยเจตนาต่อนายชัย  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่นางสมศรีโดยพลาดไป  ให้ถือว่านายโก๋ได้กระทำโดยเจตนาแก่นางสมศรีบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำด้วยตามมาตรา  60 ดังนั้นนายโก๋จึงต้องรับผิดฐานฆ่านางสมศรีตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  60  โดยนายโก๋จะอ้างว่าการกระทำของตนเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้  เพราะนายโก๋เป็นผู้ก่อภัยขึ้นเอง

สรุป  นายชัยต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายโก๋  แต่จะได้รับโทษน้อยลงตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80  และมาตรา  72

นายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายชัย  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80  และต้องรับผิดฐานฆ่านางสมศรีตายโดยเจตนาโดยพลาด  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  60

 

ข้อ  2  นายเอกใช้ปืนขู่ว่าจะยิงนางดวงดาวและ  ด.ญ.ตุ๊กตาให้ตาย  ถ้านายเชิดสามีของนางดวงดาวและบิดาของ  ด.ญ.ตุ๊กตาไม่ยิงนายศักดิ์ให้ตาย  นายเชิดไม่รู้จักนายศักดิ์เห็นนายสีเข้าใจว่าเป็นนายศักดิ์  จึงใช้ปืนยิงไปถูกนายสีถึงแก่ความตาย  ดังนี้  นายเอกและนายเชิดจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การกระทำของนายเอกและนายเชิดจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายเอก

การที่นายเอกใช้ปืนขู่ว่าจะยิงนางดวงดาวและ  ด.ญ.ตุ๊กตาให้ตาย  ถ้านายเชิดสามีของนางดวงดาวและบิดาของ  ด.ญ.ตุ๊กตา  ไม่ยิงนายศักดิ์ให้ตายนั้น  การกระทำของนายเอกถือว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการบังคับ  นายเอกจึงเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด  และเมื่อนายเชิดผู้ถูกใช้ได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  นายเอกผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา  84

กรณีของนายเชิด

การที่นายเชิดใช้ปืนยิงนายสีถึงแก่ความตาย  การกระทำของนายเชิดต่อนายสี  ถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  และการที่นายเชิดต้องการยิงนายศักดิ์  แต่เห็นนายสีเข้าใจว่าเป็นนายศักดิ์  จึงยิงนายสีถึงแก่ความตายนั้น  นายเชิดจะอ้างความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้มีเจตนากระทำต่อนายสีไม่ได้  ตามมาตรา  61

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่นายเชิดใช้ปืนยิงนายสีนั้น  เป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  เพราะเพื่อให้นางดวงดาวและ  ด.ญ.ตุ๊กตา พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้  และเป็นภยันตรายที่ตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้น  ดังนั้นนายเชิดจึงได้รับการยกเว้นโทษตามมาตรา  67(2)

สรุป  นายเอกต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดและต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84

นายเชิดต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  61  แต่นายเชิดไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  67(2)

 

ข้อ  3  นายหล่อใช้นางสุดสวยภริยาให้ไปหยิบอาวุธปืนซึ่งตนบรรจุลูกกระสุนปืนไว้แล้วมาให้ตน  เพื่อจะใช้ยิงนายดำคู่อริกันซึ่งเดินผ่านเข้ามาในซอยพอดี  นางสุดสวยสงสารนายดำ  แต่ก็ไม่กล้าขัดใจนายหล่อ  จึงไปหยิบปืนแต่แอบเอาลูกกระสุนปืนออกหมด  นายหล่อเมื่อได้ปืนจากนางสุดสวยแล้ว  ได้ใช้ปืนนั้นยิงนายดำ  นายดำไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

ดังนี้  นายหล่อและนางสุดสวยจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  81  วรรคแรก  ผู้ใดกระทำการโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด  แต่การกระทำนั้นไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้  เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำหรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ  ให้ถือว่าผู้นั้นพยายามกระทำความผิด  แต่ให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายหล่อและนางสุดสวยจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายหล่อ

การที่นายหล่อใช้ปืนยิงนายดำ  การกระทำของนายหล่อเป็นการกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  และเมื่อนายหล่อได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้  เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ  คือปืนที่ใช้ยิงนายดำนั้นไม่มีลูกกระสุน  ดังนั้นนายหล่อจึงต้องรับผิดฐานพยายามกระทำความผิดซึ่งไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้  โดยจะต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้  สำหรับความผิดนั้น  ตามมาตรา  81  วรรคแรก

กรณีของนางสุดสวย

การที่นางสุดสวยได้ไปหยิบปืนให้แก่นายหล่อ  แต่ได้แอบเอาลูกกระสุนปืนออกหมดนั้น  ถือได้ว่า  นางสุดสวยไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือให้นายหล่อกระทำความผิด  จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86  ดังนั้นนางสุดสวยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป  นายหล่อต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามกระทำความผิด  (พยายามฆ่า)  ซึ่งไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา  81  ส่วนนางสุดสวยไม่ต้องรับผิดทางอาญา

 

ข้อ  4  สุขโกรธแค้นกรด  สูขอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะฆ่ากรดหรือไม่  โจก็ต้องการฆ่ากรด  โจไม่ทราบว่าสุขโกรธแค้นกรดอยู่  โจได้ว่าจ้างให้สุขไปฆ่ากรด  สุขตกลงใจไปฆ่ากรดตามที่โจจ้าง  สุขไปหาจอนที่บ้าน  เพื่อขอยืมอาวุธปืนไปยิงกรด  สุขเห็นจอนกำลังทำความสะอาดอาวุธปืนอยู่พอดี  สุขได้บอกวัตถุประสงค์กับจอน  แต่จอนไม่ให้สุขยืมปืนและได้วางปืนไว้บนโต๊ะ  แล้วเดินเข้าไปข้างในบ้านเพื่อหยิบของ  สุขจึงหยิบเอาอาวุธปืนนั้นเพื่อไปยิงกรด  ระหว่างทางพบจุ๋ม  จุ๋มทราบว่าสุขจะไปยิงกรด  จึงพาสุขไปส่งที่บ้านกรด  และคอยสังเกตการณ์อยู่หน้าบ้านกรด  เมื่อสุขยิงกรดตายแล้วได้หลบหนีไปพร้อมกับจุ๋ม  ดังนี้  การกระทำของโจ  จอน  และจุ๋มได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของสุขในฐานะใด  และต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่สุขใช้ปืนยิงกรดตาย  ถือว่าสุขได้กระทำต่อกรดโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  สุขจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

สำหรับการกระทำของโจ  จอน  และจุ๋มได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของสุขในฐานะใด  และต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของโจ

การที่โจต้องการฆ่ากรด  แม้โจจะไม่ทราบว่าสุขโกรธแค้นกรดอยู่และอยู่ในระหว่างตัดสินใจว่าจะฆ่ากรดหรือไม่  เมื่อโจได้ว่าจ้างสุขให้ไปฆ่ากรด  และสุขตกลงใจไปฆ่ากรดตามที่โจจ้าง  ถือว่าโจได้ก่อให้สุขกระทำความผิดโดยการจ้าง  โจจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตามมาตรา  84  และเมื่อสุขได้กระทำความผิดแล้ว  โจจึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ

กรณีของจอน

การที่สุขได้ไปขอยืมอาวุธปืนของจอน  แต่จอนไม่ให้ยืมปืนและได้วางปืนไว้บนโต๊ะ  เมื่อจอนเดินเข้าไปในบ้านสุขได้เอาอาวุธปืนไปยิงกรด  ดังนี้ถือได้ว่าจอนไม่มีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่สุขก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  จอนจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

กรณีของจุ๋ม

การที่จุ๋มทราบว่าสุขจะไปยิงกรด  จึงได้พาสุขไปส่งที่บ้านกรด  และเมื่อสุขยิงกรดตายแล้วได้หลบหนีไปพร้อมกับจุ๋ม  การกระทำของจุ๋ม  ถือว่า  จุ๋มได้มีเจตนาที่จะยิงกรดร่วมกันกับสุข  ดังนั้นจุ๋มจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการ  ตามมาตรา  83

สรุป  โจต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดและต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา  84

จอนไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

จุ๋มต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการ  ตามมาตรา  83

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 2/2555

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006  กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายนัทกลับบ้านมากลางดึก  ได้ทราบข่าวจากนางจอยที่เป็นภริยาว่า  โดเรม่อนน้องหมาที่เลี้ยงไว้มากัด  ด.ญ.ส้มจี๊ดที่เป็นลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา  นายนัทโมโหมากตั้งใจว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับโดเรม่อนอีกต่อไป   จึงนั่งรอโดเรม่อนกลับเข้ามาในบ้าน  เพราะโดเรม่อนได้หนีออกจากบ้านไปหลังจากกัด  ด.ญ.ส้มจี๊ด

ผ่านไปครู่ใหญ่  มีน้องหมาตัวหนึ่งลอดประตูรั้วบ้านเข้ามาคุ้ยเขี่ยกองขยะในถังขยะหน้าบ้านกินด้วยความหิวโหย

ในเวลานั้นเอง  นายนัทเดินไปที่รถเพื่อหยิบไม้กอล์ฟจากรถออกมาตีที่หัวน้องหมาตัวนั้นจนน้องหมาตายคาที่  ปรากฏว่า  น้องหมาตัวนั้นไม่ใช่โดเรม่อนของนายนัท  แต่เป็นน้องหมาโนปิตะของนายบอลที่เป็นเพื่อนบ้าน  โนปิตะมีสีและรูปร่างใกล้เคียงกับโดเรม่อนมาก 

ให้นักศึกษาวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายนัท  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบการวินิจฉัย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

การกระทำโดยเจตนา  ได้แก่การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้  คือจะถือว่าผู้กระทำได้กระทำโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายนัทได้ใช้ไม้กอล์ฟตีน้องหมา  คือโนปิตะตายนั้นเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  จึงถือว่าเป็นการกระทำทางอาญาแล้ว  แต่การกระทำดังกล่าวของนายนัทจะถือว่า  เป็นการกระทำโดยเจตนาหาได้ไม่  เพราะนายนัทได้กระทำโดยมิรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา  59  วรรคสาม  คือไม่รู้ว่าน้องหมาที่ตนใช้ไม้กอล์ฟตีจนตายนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่น  ไม่ใช่โดเรม่อนสุนัขของตนเอง  ดังนั้นนายนัทจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์  

องค์ประกอบของความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  358  คือ

1       ทำให้เสียหาย  ทำลาย  ทำให้เสื่อมค่า  หรือทำให้ไร้ประโยชน์

2       ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของนายนัท  เนื่องจากนายนัทได้ตีโนปิตะซึ่งเป็นสุนัขของนายบอลตายนั้น  ได้กระทำโดยไม่ดูให้ดีว่าไม่ใช่โดเรม่อนสุนัขของตน  แต่นายนัทก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททำให้เสียทรัพย์  เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทำโดยประมาททำให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใด  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  ประกอบกับมาตรา  62  วรรคสอง  ดังนั้นนายนัทจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป  นายนัทไม่มีความรับผิดทางอาญา 

 

ข้อ  2  แจ็คต้องการฆ่าแคนดี้  เพราะแคนดี้เป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่สำคัญของแจ็ค  วันหนึ่งแจ็คเห็นน้ำตาลเดินมาเข้าใจว่าเป็นแคนดี้  จึงใช้ปืนขนาด  .38  มม.  ที่พกอยู่เป็นอาวุธเล็งปืนไปที่น้ำตาล  น้ำตาลตาไวเห็นทันพอดี  จึงตีลังกาหลบแจ็ค  ทำให้กระสุนไม่ถูกน้ำตาลเลย แต่กระสุนกลับเลยไปถูกขวัญได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย  ทำให้น้องหมาของแป๋มที่ขวัญอุ้มอยู่ตกลงไปในท่อจนตาย 

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของแจ็คต่อผู้เสียหายทุกราย  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่แจ็คต้องการฆ่าแคนดี้  เมื่อเห็นน้ำตาลเดินมาเข้าใจว่าเป็นแคนดี้  จึงใช้ปืนเล็งและยิงไปที่น้ำตาลโดยสำคัญผิดนั้น  การกระทำของแจ็คเป็นการกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  แต่เมื่อกระสุนปืนไม่ถูกน้ำตาล  จึงเป็นกรณีที่แจ็คได้ลงมือกระทำความผิดซึ่งได้กระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  คือน้ำตาลไม่ตายตามที่แจ็คต้องการ  แจ็งจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าน้ำตาล โดยสำคัญผิดในตัวบุคคล  ตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  มาตรา  61  และมาตรา  80  วรรคแรก  แจ็คจะอ้างว่าได้กระทำเพราะเหตุสำคัญผิดว่า  น้ำตาลเป็นแคนดี้  เป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

การที่กระสุนปืนไม่ถูกน้ำตาล  แต่เลยไปถูกขวัญได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยนั้น  เป็นกรณีที่แจ็คได้กระทำโดยเจตนาต่อน้ำตาล  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่ขวัญโดยพลาดไป  ให้ถือว่าแจ็คได้กระทำโดยเจตนาต่อขวัญ  บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำด้วย  ตามมาตรา  60  และเมื่อขวัญไม่ตายเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ  ดังนั้นแจ็คจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าขวัญโดยพลาดไป  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  60  และมาตรา  80  วรรคแรก

ส่วนการที่กระสุนปืนไปถูกขวัญทำให้น้องหมาของแป๋ม  ที่ขวัญอุ้มอยู่ตกลงไปในท่อจนตายนั้น  แจ็คไม่ต้องรับผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  เพราะมิใช่การกระทำโดยพลาดตามมาตรา  60  ทั้งนี้เพราะผลร้ายที่เกิดขึ้นโดยพลาดไม่ได้เป็นผลประเภทเดียวกับที่เจตนากระทำ  กล่าวคือเมื่อเป็นการกระทำโดยเจตนาต่อบุคคล  แต่ผลร้ายเกิดขึ้นกับทรัพย์  จึงไม่อยู่ในความหมายของคำว่าพลาด  แต่อย่างไรก็ดี  การกระทำของแจ็คเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่  จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  แต่แม้จะเป็นการกระทำโดยประมาท  แจ็คก็ไม่มีความผิด  เพราะการทำให้เสียทรัพย์โดยประมาทนั้น  ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดแต่อย่างใด

สรุป  แจ็คต้องรับผิดทางอาญา  ฐานพยายามฆ่าน้ำตาล

แจ็คต้องรับผิดทางอาญา  ฐานพยายามฆ่าขวัญ

แจ็คไม่ต้องรับผิดทางอาญา  ฐานทำให้เสียทรัพย์ของแป๋ม

 

ข้อ  3  นายอ่อนคนไทยทำงานอยู่ในเรือเดินทะเลของประเทศสิงคโปร์  ขณะเรือลำดังกล่าวแล่นอยู่ในเขตทะเลหลวง  นายอ่อนได้ใช้มีดแทงนายหม่องชาวพม่าตาย  เมื่อเรือลำดังกล่าวเข้าเทียบท่าที่ประเทศมาเลเซีย  นายอ่อนได้แอบหลบหนีเข้ามายังประเทศไทย  ดังนี้  จะดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศไทยได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  7  ผู้ใดกระทำความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้นอกราชอาณาจักรจะต้องรับโทษในราชอาณาจักร  คือ

(1) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  107  ถึงมาตรา  129

(1/1) ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  135/1  มาตรา  135/2  มาตรา  135/3  และมาตรา  135/4

(2) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  240  ถึงมาตรา  249  มาตรา  254  มาตรา  256  มาตรา  257  และมาตรา  266(3) และ (4)

(2 ทวิ)  ความผิดเกี่ยวกับเพศ  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  282  และมาตรา  283

(3) ความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  339  และความผิดฐานปล้นทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  340  ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง

มาตรา  8  ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และ

(ก)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น  หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษหรือ

(4)  ความผิดต่อชีวิต  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  288  ถึงมาตรา  290

วินิจฉัย

โดยหลัก  กฎหมายอาญาย่อมใช้บังคับแก่การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร  แต่ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  7  และมาตรา  8  ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า  แม้การกระทำความผิดนั้นจะได้กระทำนอกราชอาณาจักร  แต่ผู้กระทำความผิดอาจต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักร

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายอ่อนคนไทยได้ใช้มีดแทงนายหม่องชาวพม่าตายในเรือเดินทะเลของประเทศสิงคโปร์  ขณะแล่นอยู่ในเขตทะเลหลวงนั้น  เมื่อนายอ่อนแอบหลบหนีเข้ามายังประเทศไทยจะดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศไทยได้หรือไม่  กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า  การกระทำความผิดของนายอ่อน  เป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และเมื่อความผิดนั้นมิใช่ความผิดตามที่ระบุไว้ในมาตรา  7(1) (2)  และแม้จะเป็นการกระทำความผิดซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง  แต่ก็มิใช่ความผิดฐานชิงทรัพย์  หรือความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา  7(3)  ดังนั้นจึงดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศไทย  ตามมาตรา  7  ไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อความผิดที่นายอ่อนได้กระทำเป็นความผิดต่อชีวิต  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  288  และผู้กระทำความผิดเป็นคนไทย  ดังนั้นแม้จะได้กระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  ถ้าผู้เสียหาย  (ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  หรือภริยาของนายหม่อง)  ได้ร้องขอให้ลงโทษ  ก็สามารถที่จะดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศได้ตามมาตรา  8(ก) (4)

สรุป  สามารถดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศไทยได้  ถ้าผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษตามมาตรา  8(ก)  (4)

 

ข้อ  4  นายเอกต้องการฆ่านายหนึ่ง  นายเอกหลอกนายหาญว่านายหนึ่งจะมาฆ่านายหาญ  ซึ่งไม่เป็นความจริง  เพื่อให้นายหาญไปฆ่านายหนึ่ง  นายหาญหลงเชื่อนายเอกจึงตกลงใจว่าจะฆ่านายหนึ่งก่อน  นายหาญได้จ้างนายยอดไปฆ่านายหนึ่ง  นายยอดตามหาตัวนายหนึ่งอยู่  นายเก่งต้องการให้นายหนึ่งตายจึงจ้างนายจ้อยให้ไปบอกที่ซ่อนของนายหนึ่งให้นายยอดทราบ  เมื่อนายจ้อยบอกนายยอด  นายยอดตามหาตัวนายหนึ่งพบและใช้ปืนยิงนายหนึ่งตาย 

ดังนี้  นายยอด  นายเอก  นายหาญ  นายเก่ง  และนายจ้อย  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายยอด  นายเอก  นายหาญ  นายเก่ง  และนายจ้อย  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายยอด

การที่นายยอดใช้ปืนยิงนายหนึ่งตาย  ถือว่านายยอดได้กระทำต่อนายหนึ่งโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  ดังนั้นนายยอดจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

กรณีของนายหาญ

การที่นายหาญได้จ้างนายยอดให้ไปฆ่านายหนึ่ง  ถือว่าเป็นการ  “ก่อ”  ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการจ้างแล้ว  ดังนั้นนายหาญจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  วรรคแรก  และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทำลง  คือนายยอดได้ฆ่านายหนึ่งตาย  นายหาญผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84  วรรคสอง

กรณีของนายเอก

การที่นายเอกต้องการฆ่านายหนึ่ง  และได้หลอกนายหาญว่านายหนึ่งจะมาฆ่านายหาญ  ซึ่งไม่เป็นความจริง  เพื่อให้นายหาญไปฆ่านายหนึ่ง  ทำให้นายหาญหลงเชื่อจึงตกลงใจจะฆ่านายหนึ่งก่อน  โดยการจ้างให้นายยอดไปฆ่านายหนึ่งนั้น  การกระทำของนายเอกถือว่าเป็นการ  “ก่อ”  ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยวิธีอื่นใด  ตามนัยของมาตรา  84  วรรคแรกแล้ว  เพราะการใช้หรือการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดนั้น  อาจจะเป็นการใช้กันเป็นทอดๆก็ได้  ดังนั้นนายเอกจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  วรรคแรก  และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทำลง  คือนายยอดได้ฆ่านายหนึ่งตาย  นายเอกผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84  วรรคสอง

กรณีของนายจ้อย

การที่นายจ้อยได้บอกที่ซ่อนตัวของนายหนึ่งแก่นายยอด  ทำให้นายยอดหาตัวนายหนึ่งพบ  และใช้ปืนยิงนายหนึ่งตายนั้น  การกระทำของนายจ้อยถือว่า  เป็นการกระทำอันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนกระทำความผิดแล้ว  ดังนั้น  เมื่อนายยอดฆ่านายหนึ่งตาย  นายจ้อยจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

กรณีของนายเก่ง

การที่นายเก่งต้องการให้นายหนึ่งตาย  จึงจ้างนายจ้อยให้ไปบอกที่ซ่อนของนายหนึ่ง  ให้นายยอดทราบนั้น  การกระทำของนายเก่งเป็นการใช้ผู้สนับสนุนคือนายจ้อย  ซึ่งโดยนัยของมาตรา  86  ก็ต้องถือว่าการกระทำของนายเก่งเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่นายยอดได้กระทำความผิดเช่นเดียวกัน  ดังนั้นนายเก่งจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป

นายยอดต้องรับผิดทางอาญา  ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

นายเอกและนายหาญต้องรับผิดทางอาญา  ฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84

นายเก่งและนายจ้อยต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  หาญต้องการฆ่าพล  หาญเห็นพลนั่งอยู่  หาญชักปืนออกจากเอวยังไม่ทันยกปืนเล็งไปที่พล  นพเห็นเข้าจึงเข้าไปปัดปืนเพื่อช่วยพล  ปืนลั่นกระสุนไปถูกเก่งตาย  ดังนี้  หาญและนพต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  หาญและนพต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของหาญ 

การที่หาญต้องการฆ่าพล  และได้ชักปืนออกจากเอวแต่ยังไม่ได้ยกปืนเล็งไปที่พลนั้น  ถือว่าหาญยังไม่ได้ลงมือกระทำต่อพล  หาญจึงยังไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าพล  ดังนั้น  หาญจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อพล

แต่อย่างไรก็ตาม  ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงซึ่งหาญต้องใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ  การชักปืนออกมาของหาญเป็นการกระทำที่ปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาญก็มิได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ  เมื่อผลไปเกิดกับเก่ง  จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทของหาญ  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  และไม่ถือว่าผลที่เกิดขึ้นกับเก่งนั้น  เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป  ตามมาตรา  60  ทั้งนี้เพราะหาญมิได้กระทำโดยเจตนาต่อนพ  และผลไปเกิดขึ้นกับเก่งโดยพลาดไปแต่อย่างใด  ดังนั้น  หาญจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่งเพราะได้กระทำโดยประมาท

กรณีของนพ 

การที่นพปัดปืนที่หาญชักออกมาจากเอวเพื่อช่วยพล  และทำให้ปืนลั่น  กระสุนไปถูกเก่งตายนั้น  นพไม่ได้กระทำโดยประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำ  จึงไม่ถือว่านพมีเจตนากระทำต่อเก่ง  และการกระทำของนพถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว  จึงไม่ถือว่านพได้กระทำโดยประมาทต่อเก่ง  ดังนั้นนพจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง

สรุป  หาญต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง  ฐานกระทำโดยประมาท  ส่วนนพไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง  เพราะมิได้กระทำโดยเจตนาหรือโดยประมาท

 

ข้อ  2  แสนและสดใสเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย  วันหนึ่งแสนกลับเข้าบ้านเปิดประตูห้องนอน  เห็นกล้ากับสดใสกำลังร่วมประเวณีกันโดยสดใสยินยอม  แสนใช้อาวุธปืนยิงกล้าได้รับบาดเจ็บ  และกระสุนปืนยังทะลุฝาห้องไปถูกเฉิดโฉมที่นอนอยู่ห้องติดกันตาย  ดังนี้  แสนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และจะยกเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดหรือรับโทษได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การกระทำของแสนจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  วินิจฉัยได้ดังนี้

การที่แสนใช้อาวุธปืนยิงกล้าได้รับบาดเจ็บในขณะที่กล้ากับสดใส  ภริยาของแสนกำลังร่วมประเวณีกันอยู่นั้น  การกระทำของแสนเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของแสนจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ซึ่งโดยหลักแล้ว  แสนจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การกระทำของแสนถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย  อันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำของแสนจึงเป็นการกระทำที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนั้น  แสนจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อกล้า  ตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  80

และเมื่อการที่แสนใช้อาวุธปืนยิงกล้านั้น  กระสุนปืนยังได้ทะลุฝาห้องไปถูกเฉิดโฉมที่นอนอยู่ในห้องติดกันตาย  การกระทำของแสนต่อเฉิดโฉมนั้นถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาโดยพลาดไป  ตามมาตรา  60  แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของแสนนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนั้น  ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป  จึงเป็นผลที่เกิดจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย  ตามมาตรา  60  ประกอบมาตรา  68  ดังนั้นแสนจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเฉิดโฉม

สรุป  แสนไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อกล้าและเฉิดโฉม  เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  แม้นทำสวนทุเรียนมีช้างป่าเข้ามาทำลายต้นทุเรียนเพื่อกินผลทุเรียน  แม้นใช้ไม้ไล่ตีช้างป่า  ช้างป่าได้เข้ามาทำร้ายแม้น  แม้นวิ่งหนี  ช้างไล่ตาม  แม้นเห็นบ้านแจ้งซึ่งปิดประตูไว้  แม้นคิดว่าถ้าเข้าไปหลบซ่อนตัวในบ้านหลังนั้น  จะพ้นจากการถูกช้างทำร้าย  แม้นจึงพังประตูเพื่อเข้าไปในบ้าน  แจ้งกลับมาเห็นแม้นพังประตูบ้านของตน  เข้าใจว่าเป็นคนร้ายจะเข้าไปลักทรัพย์  จึงใช้ไม้ตีถูกแม้นได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  แม้นและแจ้งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และจะยกเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดหรือรับโทษอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  62  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  แม้นและแจ้งจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของแม้น

การที่แม้นพังประตูเพื่อเข้าไปในบ้านของแจ้ง  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของแม้นจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาต่อทรัพย์ของแจ้ง  ตามมาตรา  59  วรรคสอง และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่แม้นพังประตูเพื่อเข้าไปในบ้านของแจ้งก็เพื่อให้พ้นจากการถูกช้างทำร้าย  การกระทำของแม้นจึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  เพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง  และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้  ตามมาตรา  67(2)  ดังนั้น  แม้นจึงไม่ต้องรับโทษทางอาญา

กรณีของแจ้ง

การที่แจ้งใช้ไม้ตีถูกแม้นได้รับบาดเจ็บนั้น  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของแจ้งจึงเป็นการกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ซึ่งโดยหลักแล้วจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่แจ้งใช้ไม้ตีแม้นนั้นเป็นเพราะว่าแจ้งสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่า  แม้นเป็นคนร้ายจะเข้าไปลักทรัพย์จึงได้กระทำเพื่อป้องกันตนเอง  ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย  อันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  และแม้ว่าข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ดังนั้นแจ้งจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อแม้นตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  62  วรรคแรก

สรุป  แม้นต้องรับผิดทางอาญาต่อแจ้ง  ฐานกระทำต่อทรัพย์โดยเจตนา  แต่ได้กระทำความผิดด้วยความจำเป็น  จึงไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น

แจ้งไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อแม้น  เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองและเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  4  แดนต้องการฆ่ากร  แดนไปดักยิงกร  แดงเห็นกรเดินมา  แดนยกปืนเล็งไปที่กร  ก่อนลั่นไกปืน  แดนเห็นลูกของกรเดินตามหลังกร แดนเกิดความสงสารลูกของกรที่ต้องขาดพ่อ  จึงเก็บปืนไม่ยิง  ดังนี้  แดนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  82  ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  หากยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด  หรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดนั้น  แต่ถ้าการที่ได้กระทำไปแล้วต้องบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด  ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้นๆ

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่แดนต้องการฆ่ากรและได้ยกปืนเล็งไปที่กรนั้น  ถือว่าแดนได้ลงมือกระทำต่อกรแล้ว  และเป็นการกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  ดังนั้น  แดนจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อกร  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่เมื่อแดนได้เกิดความสงสารลูกของกรที่ต้องขาดพ่อ  จึงเก็บปืนไม่ยิงกร  การกระทำของแดนจึงเป็นการลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  แดนจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามกระทำความผิดต่อกร  ตามมาตรา  80

แต่อย่างไรก็ตาม  การลงมือกระทำความผิดของแดนที่ได้กระทำไปไม่ตลอดนั้น  เป็นเพราะแดนยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด  ดังนั้น  แดนจึงไม่ต้องรับโทษฐานพยายามกระทำความผิดนั้น  ตามมาตรา  82

สรุป  แดนต้องรับผิดทางอาญาต่อกรฐานพยายามกระทำความผิด  แต่แดนไม่ต้องรับโทษฐานพยายามกระทำความผิดนั้น  เพราะได้ยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ สอบซ่อมภาคฤดูร้อน/2548

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอนกกับนายโกสินทำสัญญาเป็นหนังสือมีข้อความว่า  นายเอนกขายที่ดินมีโฉนดของตนหนึ่งแปลงในราคา  5,000,000  บาท  พร้อมกับที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. 3 )  ของตน  อีกหนึ่งแปลงราคา  700,000  บาท  ให้นายโกสินทร์  นายโกสินตกลงซื้อ

นายเอนกส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงให้นายโกสินทร์แล้ว  และนายโกสินทร์ชำระราคาค่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน  5,700,000  บาท  ให้นายเอนกครบถ้วน  ลงชื่อนายเอนกผู้ขาย  นายโกสินทร์ผู้ซื้อ  ต่อมาอีก  3  ปี  นายเอนกอยากได้ที่ดินทั้งสองแปลงคืนจากนายโกสินทร์เพราะที่ดินทั้งสองแปลงมีราคาสูงขึ้นมาก

นายเอนกจึงมาเรียกที่ดินทั้งสองแปลงคืนจากนายโกสินทร์และขอให้นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดิน  นายโกสินทร์ไม่ยอมคืนอ้างว่าเป็นที่ดินของตน  ทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้  นายเอนกยื่นฟ้องต่อศาลขอให้บังคับขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลง

ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลพิจารณาแล้วได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น  ท่านจะมีคำพิพากษาให้ขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลงหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  456  วรรคแรก  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

วินิจฉัย

สัญญาระหว่างนายเอนกกับนายโกสินทร์เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  และที่ดินทั้งสองแปลงที่ซื้อขายเป็นอสังหาริมทรัพย์  คู่สัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา  456  วรรคแรก  แต่ทั้งคู่ทำกันเป็นเพียงหนังสือ  สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดย่อมตกเป็นโมฆะ  การที่นายเอนกส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงให้นายโกสินทร์ ย่อมถือว่านายเอนกสละสิทธิครอบครอง  และที่ดิน น.ส.3  มีเพียงสิทธิครอบครอง  นายโกสินทร์ย่อมได้สิทธิครอบครอง  ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ขับไล่นายโกสินทร์ออกจากที่ดิน น.ส.3  แปลงนี้ไม่ได้  ส่วนที่ดินมีโฉนดเป็นที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์  แม้นายโกสินทร์จะมีสิทธิครอบครอง  แต่กรรสิทธิ์ยังเป็นของนายเอนก  ดังนั้น  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  ข้าพเจ้าจะมีคำพิพากษาให้ขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินแปลงที่มีโฉนด

 

ข้อ  2  นายไก่นำนาฬิกาข้อมือมูลค่า  1  ล้านบาท  ไปขายฝากไว้กับนายไข่ในราคาเพียง  3  แสนบาท  มีกำหนดเวลาไถ่คืนภายใน  3  ปี และมีข้อตกลงกันว่าในระหว่างติดสัญญาขายฝากห้ามมิให้นายไข่นำนาฬิกาเรือนดังกล่าวไปจำหน่ายจ่ายโอน  และเวลาไถ่คืนให้ประโยชน์  15%  ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หลังจากรับซื้อฝากไว้แล้วนายไข่กลับนำนาฬิกาไปขายให้นายแดงในราคา  5  แสนบาท

หลังจากซื้อมาได้เพียง  1  เดือน  นายแดงจึงทราบว่านาฬิกาเรือนนี้เป็นนาฬิกาซึ่งนายไก่นำมาขายฝากนายไข่ไว้หลังจากนั้นนายไก่ก็มาขอไถ่นาฬิกาคืนจากนายแดง  นายแดงปฏิเสธไม่ให้ไถ่คืนถ้าอยากได้คืนก็ต้องไถ่คืนในราคา  6  แสนบาท

1)    นายไก่มีสิทธิไถ่นาฬิกาคืนจากนายแดงได้หรือไม่  และข้ออ้างของนายแดงรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

2)    นายไก่จะฟ้องร้องให้นายไข่รับผิดต่อตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  493  ในการขายฝาก  คู่สัญญาจะตกลงกันไม่ให้ผู้ซื้อจำหน่ายทรัพย์สินซึ่งขายฝากก็ได้  ถ้าและผู้ซื้อจำหน่ายทรัพย์สินนั้นฝ่าฝืนสัญญาไซร้  ก็ต้องรับผิดต่อผู้ขายในความเสียหายใดๆ  อันเกิดแต่การนั้น

มาตรา  498  สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้เฉพาะบุคคลเหล่านี้  คือ

(1) ผู้ซื้อเดิม  หรือทายาทของผู้ซื้อเดิม  หรือ

(2) ผู้รับโอนทรัพย์สิน  หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น  แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอน  ว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน

วินิจฉัย

1)    นายไก่มีสิทธิไถ่นาฬิกาคืนจากนายแดงได้ตามมาตรา  498  เพราะนายแดงเป็นผู้รับโอนมีหน้าที่ต้องรับไถ่  แต่นาฬิกาเป็นสังหาริมทรัพย์  นายไก่จะใช้สิทธิไถ่คืนจากนายแดงได้ต่อเมื่อในขณะหรือก่อนนายแดงซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าวมาจากนายไข่นั้น  นายแดงรู้ว่านาฬิกาเรือนดังกล่าวติดสัญญาขายฝาก  แต่ตามข้อเท็จจริงนายไข่ไม่ได้แจ้งให้นายแดงทราบและนายแดงมาทราบภายหลังจากซื้อมาแล้ว  นายแดงจึงมีสิทธิปฏิเสธไม่ให้นายไก่ไถ่คืนได้ตามมาตรา  498(2)  ข้ออ้างของนายแดงที่ว่าถ้าอยากได้คืนก็ต้องไถ่คืนในราคา  6  แสนบาทนั้น  รับฟังได้  เพราะเมื่อเขาเป็นเจ้าของนาฬิกาเขาจะขายคืนราคาเท่าใดก็ได้

2)    นายไก่สามารถฟ้องให้นายไข่ต้องรับผิดต่อตนได้ในความเสียหายใดๆอันเกิดจากการที่นายไข่นำนาฬิกาไปขายให้นายแดง เพราะนายไก่และนายไข่มีข้อตกลงกันไม่ให้นายไข่จำหน่ายนาฬิกาซึ่งรับซื้อฝากไว้จากนายไก่  และการกระทำของนายไข่ก็เป็นการฝ่าฝืนสัญญาซึ่งได้ตกลงกันไว้แล้วตามมาตรา  493 

สรุป 

(1) ข้ออ้างของนายแดงรับฟังได้

(2) นายไก่ฟ้องให้นายไข่รับผิดต่อตนได้

 

 

ข้อ  3  นายใจได้ซื้อเครื่องซักผ้าเครื่องหนึ่งจากห้างของนายแจ่ม  โดยเครื่องซักผ้าเครื่องนั้นเป็นเครื่องที่ห้างไว้สำหรับตั้งโชว์และทดลองให้ลูกค้าดู  เมื่อตกรุ่นห้างจึงนำมาลดราคาโดยถือเป็นของที่ใช้แล้วไว้กลางห้าง  จากเดิมของใหม่ราคา  ห้าพันบาท  เหลือเพียงสามพันบาท

เมื่อทดลองเครื่องที่ห้างก็พบว่าเครื่องทำงานได้เป็นปกติ  นายใจจึงตกลงซื้อแต่เมื่อพนักงานของห้างนำเครื่องมาส่งที่บ้านและทดลองดูกลับพบว่าบางระบบของเครื่องไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ  ปั่นแห้งไม่ได้  เดินเครื่องไประยะหนึ่งเครื่องจะหยุดทำงานไปเฉยๆ  นายใจจะเรียกร้องให้ห้างรับผิดในความชำรุดบกพร่องได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

วินิจฉัย

นายใจได้ซื้อเครื่องซักผ้าเครื่องหนึ่งจากห้างของนายแจ่ม  โดยเครื่องซักผ้าเครื่องนั้นเป็นเครื่องที่ห้างไว้สำหรับตั้งโชว์และทดลองให้ลูกค้าดู  เมื่อตกรุ่นห้างจึงนำมาลดราคาโดยถือเป็นของที่ใช้แล้วไว้กลางห้าง  จากเดิมของใหม่ราคา  ห้าพันบาท  เหลืองเพียงสามพันบาท เมื่อทดลองเครื่องที่ห้างก็พบว่าเครื่องทำงานได้เป็นปกติ  นายใจจึงตกลงซื้อแต่เมื่อพนักงานของห้างนำเครื่องมาส่งที่บ้านและทดลองดูกลับพบว่าบางระบบของเครื่องไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ  ปั่นแห้งไม่ได้  เดินเครื่องไประยะหนึ่งเครื่องจะหยุดทำงานไปเฉยๆ  ดังนั้นนายใจจะเรียกร้องให้ห้างรับผิดในความชำรุดบกพร่องได้เพราะเป็นการเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติตามมาตรา  472

สรุป  นายใจสามารถเรียกร้องให้ห้างรับผิดในความชำรุดบกพร่องได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ สอบซ่อมภาค 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายจันทร์ขายรถยนต์คันหนึ่งให้นายอังคารในราคา  300,000  บาท  แล้วคิดเสียดายที่ขายในราคาต่ำเกินไป  นายจันทร์ไปขอร้องให้นายอังคารขายคืนให้  นายอังคารบอกว่าถ้าจำเป็นต้องขายจะขายในราคา  350,000  บาท  นายจันทร์ให้นายอังคารจดข้อความดังกล่าวไว้และลงลายมือชื่อ

ส่วนนายจันทร์ก็จดข้อความว่าตกลงซื้อและลงลายมือชื่อนายจันทร์  แต่เมื่อนายจันทร์จะชำระราคา  นายอังคารกลับไม่ยอมขายให้  นายจันทร์ว่าจะไปดำเนินการฟ้องร้องนายอังคาร  นายอังคารกลับถึงบ้านกลัวว่านายจันทร์จะฟ้องตน  นายอังคารจึงมีจดหมายไปถึงนายจันทร์ตอบตกลงขายให้ในราคา  350,000  บาท  นายจันทร์เขียนจดหมายตอบตกลงซื้อพร้อมกับแนบเช็คจำนวน  350,000  บาท  ส่งไปให้นายอังคาร

ก่อนที่จดหมายมาถึงนายอังคาร  คืนนั้นเกิดเพลิงไหม้บ้านข้างเคียงแล้วลุกลามมาไหม้บ้านนายอังคาร  เป็นเหตุให้รถยนต์คันนี้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งคัน  ต่อมาจดหมายพร้อมกับเช็คมาถึงนายอังคาร  นายอังคารนำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารได้เงินมา  350,000  บาท

นายจันทร์ทราบข่าวก็มาขอเงินคืน  นายอังคารไม่ยอมคืนให้อ้างว่าเมื่อทำสัญญาแล้วรถยนต์คันนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายจันทร์  และภัยพิบัติอันเกิดกับรถยนต์ก็โทษนายอังคารไม่ได้  บาปเคราะห์ย่อมตกเป็นพับแก่นายจันทร์  ตนจึงหมดหน้าที่ส่งมอบ  แต่นายจันทร์ยังต้องชำระราคา  ทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้

ดังนี้  นายจันทร์กับนายอังคารมาขอให้นักศึกษาเป็นผู้ชี้ขาดตัดสินพิพาทนี้  นักศึกษาจะตัดสินให้นายอังคารคืนเงิน  350,000  บาท  ให้แก่นายจันทร์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  150  การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  การนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  453  อันว่าซื้อขายนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ขาย  โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

วินิจฉัย

ตามมาตรา  453  ซื้อขายคือสัญญาที่คำเสนอคำสนองจะต้องมีข้อความชัดเจนแน่นอนว่าจะซื้อขายกันจริง  แต่การแสดงเจตนาของนายอังคารที่บอกว่าถ้าจำเป็นต้องขายจะขายในราคา  350,000  บาทนั้น  ยังไม่มีข้อความชัดเจนว่าจะขายจริง  จึงยังไม่เป็นคำเสนอ  แม้นายจันทร์ตกลงจะซื้อจริงก็ไม่ใช่เป็นคำสนองแต่เป็นคำเสนอขึ้นใหม่  เมื่อนายอังคารบอกปัดไม่ยอมขาย  คำเสนอซื้อรถยนต์ของนายจันทร์ย่อมสิ้นความผูกพัน  ต่อมานายอังคารมีจดหมายไปถึงนายจันทร์อีกครั้งตกลงขายรถยนต์ให้ในราคา  350,000  บาท  จึงเป็นคำเสนอขึ้นใหม่  นายจันทร์ตอบตกลงซื้อพร้อมแนบเช็คจำนวน  350,000  บาท  แต่ก่อนที่จดหมายไปถึงนายอังคาร  รถยนต์ถูกไฟไหม้เสียหายก่อนจดหมายมาถึง  เมื่อจดหมายมาถึงแม้จะเกิดสัญญาแต่รถยนต์ที่ตกลงซื้อขายไม่มีอยู่  เมื่อรถยนต์ที่ตกลงซื้อขายไม่อยู่  วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายจึงเป็นพ้นวิสัยตกเป็นโมฆะตามมาตรา  150  คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม  นายอังคารต้องคืนเงิน  350,000  บาท  ที่รับไว้ให้นายจันทร์ฐานลาภมิควรได้

สรุป  นายอังคารต้องคืนเงิน  350,000  บาท  แก่นายจันทร์ตามหลักกฎหมายและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น

 

 

ข้อ  2  นายสำลีกำลังจะย้ายบ้าน  จึงได้นำสิ่งของบางอย่างในบ้านออกขายเลหลังที่สนามหน้าบ้าน  มีทั้งที่เป็นเฟอร์นิเจอร์  ทีวี คอมพิวเตอร์  มือถือ ฯลฯ  นาสีได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งจากการขายครั้งนั้นของนายสำลี  ในราคา  3,000  บาท  ทั้งนายสาลีและนายสีไม่ทราบว่ามือถือเครื่องนั้นเป็นของนายเสาร์ที่ถูกขโมยมา  

นายสีได้นำมาให้ร้านซ่อมมือถือเช็คเครื่องดูพบว่าเครื่องใช้ได้แต่มีรอยตำหนิอยู่ที่กระจกหน้าตัวเครื่อง  ใช้น้ำยาทำความสะอาดแล้วก็ยังไม่ออก  นายสีเสียค่าเปลี่ยนกระจกหน้าจอมือถือและค่าแรงไป  800  บาท  แต่ร้านซ่อมจำได้ว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นเป็นของที่ร้านขายให้นายเสาร์

และนายเสาร์ทำหาย  จึงแจ้งให้นายเสาร์ทราบ นายเสาร์ได้พาเจ้าพนักงานตำรวจมาเรียกคืนจากนายสี  นายสีจึงคืนให้นายเสาร์ไป

เมื่อคืนโทรศัพท์มือถือให้นายเสาร์ไปได้  4  เดือน  ถ้านายสีจะมาฟ้องร้องให้นายสาลีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นและค่าซ่อมเปลี่ยนจอมือถือ  800  บาท  จากนายสาลี  นายสาลีจะต้องรับผิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา  475  หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข  เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี  เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี  ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 

มาตรา  481  ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม  หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก  หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้  ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันคำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด  หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ  หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประเด็นที่หนึ่ง

นายสาลีจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรอนสิทธิหรือไม่  ตามปัญหา  นายสีได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งจากการขายเลหลังของนายสาลีในราคา  3,000  บาท  ทั้งนายสาลีและนายสีไม่ทราบว่ามือถือเครื่องนั้นเป็นของนายเสาร์ที่ถูกขโมยมา  นายสาลีได้นำมาให้ร้านซ่อมมือถือเช็คเครื่องดู

แต่ร้านซ่อมจำได้ว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นเป็นของที่ร้านขายให้นายเสาร์  และนายเสาร์ทำหาย  จึงแจ้งให้นายเสาร์ทราบ  นายเสาร์ได้พาเจ้าพนักงานตำรวจมาเรียกคืนจากนายสี  นายสีจึงคืนให้นายเสาร์ไป  จึงเป็นกรณีที่ผู้ซื้อ (นายสี)  ถูกรบกวนขัดสิทธิโดยบุคคลภายนอก  (นายเสาร์)  ไม่ให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองทรัพย์สิน  (โทรศัพท์มือถือ)  โดยปกติสุข เพราะบุคคลนั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายโดยชอบด้วยกฎหมาย  ซึ่งตามหลักทั่วไปแล้วผู้ขาย (นายสาลี)  ต้องรับผิดแม้จะไม่ทราบถึงเหตุแห่งการรอนสิทธิก็ตาม  ตามมาตรา 475  แต่การที่นายสีได้คืนโทรศัพท์มือถือให้นายเสาร์ไปได้  4  เดือน  แล้วจึงจะมาฟ้องร้องให้นายสาลีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการรอนสิทธินั้น  เป็นกรณีที่นายสีผู้ซื้อยอมตามที่บุคคลภายนอก  (นายเสาร์)  เรียกร้อง  ซึ่งกฎหมายห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือน  นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้อง  ตามมาตรา  481  ดังนั้น  นายสาลีจึงมีสิทธิอ้างอายุความดังกล่าวยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดได้

ประเด็นที่สอง

นายสาลีจะต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องหรือไม่  ตามปัญหา  เมื่อนายสีซื้อโทรศัพท์มือถือจากการขายเลหลังของนายสาลีแล้วได้นำมาให้ร้านซ่อมมือถือเช็คเครื่องดูพบว่า  เครื่องใช้ได้แต่มีรอยตำหนิอยู่ที่กระจกหน้าตัวเครื่อง  ใช้น้ำยาทำความสะอาดแล้วก็ยังไม่ออก  นายสีเสียค่าเปลี่ยนกระจกหน้าจอมือถือและค่าแรงไป  800  บาท  ดังนี้  นายสาลีไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา  472  เพราะนายสีซื้อโทรศัพท์มือถือที่เป็นของเก่าจึงไม่เสื่อมราคา  และไม่เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ  ประโยชน์มุ่งหมายโดยสัญญา  เพราะโทรศัพท์มือถือที่นายสีซื้อจากนายสาลีนั้นยังสามารถใช้ได้  เพียงแต่มีตำหนิที่กระจกหน้าตัวเครื่องเท่านั้น  ไม่ทำให้โทรศัพท์ชำรุดบกพร่อง

สรุป  นายสาลีไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้น  และค่าซ่อมเปลี่ยนจอมือถือ  800  บาท

 

 

ข้อ  3  นายไก่นำบ้านและที่ดินไปขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  10  ปี  ในราคา  2,150,000  บาทถ้วน  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  หลังจากทำสัญญาได้ครบ  1  ปี  นายไก่ได้ไปขอใช้สิทธิในการไถ่  พร้อมนำเงิน  1,150,000  บาท  แต่นายไข่ปฏิเสธว่ายังไม่ครบกำหนด  10  ปี  และสินไถ่ไม่ครบ

1)    นายไก่จะใช้สิทธิไถ่เมื่อเวลาผ่านไปเพียง  1  ปี  ได้หรือไม่

2)    ข้ออ้างของนายไข่ที่จะปฏิเสธไม่รับไถ่รับฟังได้หรือไม่ว่า  สินไถ่ไม่ครบ  และยังไม่ถึงกำหนดเวลาไถ่

ธงคำตอบ

มาตรา  491  อันว่าขายฝากนั้น  คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ  โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์  กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา  499  วรรคสอง  ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

1)    นายไก่ขายฝากบ้านและที่ดินแก่นายไข่ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  10  ปี  ในราคา  2,150,000  บาท  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามกำหมาย  เมื่อเวลา  ผ่านไป  1  ปี  นายไก่ได้ใช้สิทธิไถ่บ้านและที่ดินดังกล่าว  นายไข่จะปฏิเสธว่ายังไม่ครบกำหนด  10  ปี  จึงไม่ให้ไถ่ย่อมทำไม่ได้  เพราะนายไก่จะใช้สิทธิไถ่เมื่อไรก็ได้นับแต่ทำสัญญาขายฝาก  หากกำหนดระยะเวลาในการขายฝากยังไม่สิ้นสุด  (บ้านและที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์  จึงมีกำหนดเวลาไถ่คืน  10  ปีนับแต่เวลาซื้อขาย)  และสินไถ่พร้อมตามมาตรา  491  และมาตรา  194(1)

2)    ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้ในกรณีสินไถ่ไม่ครบ  เพราะตามสัญญาได้กำหนดไถ่คืน  10  ปี  กฎหมายกำหนดไว้ว่า  ถ้าหากราคาขายฝากและสินไถ่แตกต่างกันก็ให้ผู้รับซื้อฝากคิดประโยชน์ได้ไม่เกิน  15%  ตามมาตรา  499  วรรคสอง  ในกรณีตามโจทย์คู่สัญญากำหนดสินไถ่โดยถูกต้องตามกฎหมาย  ซึ่งได้ให้สิทธิไว้คือประโยชน์  15%  ภายใน  10  ปีก็เป็นเงิน  1,150,000  บาท  ซึ่งรวมราคาขายสินไถ่ที่ถูกต้องจะต้องเป็น  2,150,000  บาท  แต่จะอ้างว่าการไถ่ต้องครบกำหนดเวลา  10  ปี  รับฟังไม่ได้  เพราะนายไก่จะขอใช้สิทธิไถ่เมื่อใดก็ได้

สรุป

1)    นายไก่ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินคืนได้แม้เวลาผ่านไปเพียง  1  ปี

2)    ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้ในกรณีสินไถ่ไม่ครบ  ส่วนข้ออ้างที่ว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาไถ่ฟังไม่ขึ้น 

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านพร้อมที่ดินให้โจทก์  ฐานผิดสัญญาจะซื้อจะขาย  จำเลยได้รับสำเนาฟ้องแล้ว  จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า  จำเลยกับโจทก์ทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จเด็ดขาด  หาใช่สัญญาจะซื้อจะขายไม่  และสัญญาก็ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินย่อมตกเป็นโมฆะ  ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์

ต่อมาศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วได้ข้อเท็จจริงว่า  จำเลยได้ขายบ้านพร้อมที่ดินให้โจทก์ในราคา  5  ล้านบาท  โดยจำเลยยอมเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอน  ทั้งจำเลยได้รับเงินราคาค่าบ้านพร้อมที่ดินจากโจทก์ไว้ก่อน  500,000  บาท  หลังจากนั้น  จำเลยนำเงิน  500,000  บาทมาขอคืนให้โจทก์  และไม่ขายบ้านพร้อมที่ดินให้โจทก์ 

แต่โจทก์ไม่ยอมรับและขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์อ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะ  ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี  ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านพร้อมที่ดินที่พิพาทให้โจทก์ฐานผิดสัญญาจะซื้อจะขาย  หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา  ให้โจทก์ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

ดังนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายซื้อขายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  453  อันว่าซื้อขายนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่ง  เรียกว่าผู้ขาย  โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

วินิจฉัย

สัญญาซื้อขายตามมาตรา  453  เป็นสัญญาที่ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่ขายให้กับผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะชำระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน  แม้ตามข้อเท็จจริงสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจะเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  แต่ก็สามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีได้  เพราะได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว  เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้บังคับตามสัญญาจะซื้อจะขาย  ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน ศาลก็ต้องมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระราคาค่าบ้านพร้อมที่ดินที่ยังขาดอยู่ให้แก่จำเลยด้วย  แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแต่เพียงให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านพร้อมที่ดินที่พิพาทให้โจทก์  หาได้มีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระราคาค่าบ้านพร้อมที่ดินให้จำเลยด้วย  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายซื้อขายซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน

 

ข้อ  2  นายไก่ตกลงขายรถยนต์ซึ่งตนซื้อมาจากการขายทอดตลาดให้แก่นายไข่ในราคา  3  แสนบาท  ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวนายไก่ทราบดีว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟมาโดยตลอด  แต่ไม่ได้แจ้งให้นายไข่ทราบ  ในการตกลงซื้อขายกันครั้งนี้นายไก่ผู้ขายได้ระบุไว้ในสัญญาว่าถ้าเกิดความชำรุดบกพร่องอย่างใดๆขึ้น  ผู้ขายไม่ต้องรับผิดชอบอย่างใดๆทั้งสิ้น  เมื่อส่งมอบรถยนต์แล้วนายไข่เพิ่งจะทราบว่ารถยนต์มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟจึงมาเรียกร้องให้นายไก่ผู้ขายรับผิดชอบแต่นายไก่ปฏิเสธอ้างว่าเป็นรถยนต์ที่ได้มาจากการขายทอดตลาดของศาลตนไม่ต้องรับผิดชอบ

คำปฏิเสธของนายไก่รับฟังได้หรือไม่  และนายไข่จะฟ้องนายไก่ให้รับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา  483  คู่สัญญาซื้อขายตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

มาตรา  485  ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น  ไม่อาจคุ้มครองรับผิดผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง  หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

นายไก่ขายรถยนต์ที่ตนซื้อมาจากการขายทอดตลาดแก่นายไข่ในราคา  3   แสนบาท  เมื่อส่งมอบรถยนต์แล้ว  นายไข่จึงทราบว่ารถยนต์มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟ  และได้เรียกร้องให้นายไก่รับผิดชอบ  แต่นายไก่อ้างว่าเป็นรถยนต์ที่ซื้อมาจากการขายทอดตลาด  ตนจึงไม่ต้องรับผิด  เช่นนี้คำปฏิเสธของนายไก่รับฟังไม่ได้  เพราะถึงแม้ว่านายไก่ จะซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาด  แต่การซื้อรถยนต์ระหว่างนายไก่และนายไข่นั้นไม่ใช่การขายทอดตลาด  นายไข่จึงฟ้องนายไก่ให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้  ตามมาตรา  472  แม้จะมีการตกลงยกเว้นไว้ในสัญญาว่าถ้าเกิดความชำรุดบกพร่องอย่างใดๆ ขึ้น  ผู้ขายไม่ต้องรับผิดก็ตาม  เพราะข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้นไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง  หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วปกปิดเสีย  ดังนั้น  เมื่อนายไก่ไม่สุจริตทราบถึงเหตุความชำรุดบกพร่องอยู่แล้วไม่แจ้งให้ผู้ซื้อทราบ  แต่ยังมายกเว้นความรับผิดชอบของตนอีก  จึงไม่พ้นความรับผิด  ยังต้องรับผิดต่อผู้ซื้อตามมาตรา  483, 485

สรุป  คำปฏิเสธของนายไก่รับฟังไม่ได้  และนายไข่ฟ้องนายไก่ให้รับผิดชอบในความชำรุดปกพร่องในทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันได้

 

ข้อ  3  นายพานได้จำนองที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง  200  ตารางวาไว้กับนายพัดในราคาสี่แสนบาท  ที่ดินแปลงนั้นราคาตารางวาละ  10,000  บาท  และนายพานยังได้ให้ทำเอกสารเป็นหนังสือยกที่ดินแปลงนั้นให้นายพุธ  โดยให้นายพุธไปไถ่จำนองจากนายพัดเอง

แต่ที่ดินแปลงนั้นมีนายผันครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์อยู่ห้าสิบตารางวา  และกำลังยื่นฟ้องต่อศาลขอจดทะเบียนกรรมสิทธิ์  แต่นายพุธไม่ทราบ  นายพุธมาทราบภายหลังจากไถ่จำนองและจดทะเบียนรับโอนที่ดินแปลงนี้มาเรียบร้อยแล้ว  และถูกนายผันขับไล่ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวที่ดินในส่วนที่นายผันครอบครองปรปักษ์

นายพุธจึงต้องการให้นายพานชดใช้เงินที่ตนไปไถ่จำนองที่ดินแปลงนั้น  แต่นายพานไม่ยอม  ถ้านายพุธมาปรึกษาท่าน  ท่านจะให้คำแนะนำกับนายพุธอย่างไร  นายพุธจะเรียกร้องให้นายพานรับผิดได้หรือไม่ในกรณีใด

ธงคำตอบ

มาตรา  530  ถ้าการให้นั้นมีค่าภาระติดพัน  ท่านว่าผู้ให้ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิเช่นเดียวกันกับผู้ขาย  แต่ท่านจำกัดไว้ว่าไม่เกินจำนวนค่าภาระติดพัน

วินิจฉัย

นายพานได้จำนองที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง  200  ตารางวา  ไว้กับนายพัดในราคาสี่แสนบาท  ที่ดินแปลงนั้นราคาตารางวาละ  10,000  บาท  และนายพานยังได้ให้ทำเอกสารเป็นหนังสือยกที่ดินแปลงนั้นให้นายพุธโดยให้นายพุธไปไถ่จำนองจากนายพัดเอง  เอกสารเป็นหนังสือนี้เป็นสัญญาให้ที่มีค่าภาระติดพันในทรัพย์สินที่ให้  แต่ที่ดินแปลงนั้นมีนายผันครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์อยู่ห้าสิบตารางวา และกำลังยื่นฟ้องต่อศาลขอจดทะเบียนกรรมสิทธิ์  แต่นายพุธไม่ทราบ  นายพุธมาทราบภายหลังจากไถ่จำนองและจดทะเบียนรับโอนที่ดินแปลงนี้มาเรียบร้อยแล้ว  จึงเป็นกรณีที่นายพุธถูกรบกวนขัดสิทธิโดยบุคคลภายนอก  (นายผัน)  ไม่ให้เข้าครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลนั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย  และเป็นการรอนสิทธิที่เกิดก่อนสัญญาให้  นายพุธจึงสามารถเรียกร้องให้นายพานชดใช้เงินจำนวนสี่แสนบาทค่าไถ่ถอนจำนองได้  เพราะในสัญญาให้ที่มีค่าภาระติดพันผู้ให้ต้องรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเช่นเดียวกับผู้ขายแต่จำกัดไว้ว่าไม่เกินจำนวนค่าภาระติดพันตามมาตรา  530

สรุป  ถ้านายพุธมาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำกับนายพุธโดยบอกให้นายพุธฟ้องร้องให้นายพานรับผิด  ในกรณีที่มีการรอนสิทธิในทรัพย์สินที่ให้และมีค่าภาระติดพัน  (ที่ดินแปลงดังกล่าว)  ดังนั้นนายพุธเรียกให้นายพานรับผิดชดใช้เงินจำนวนสี่แสนบาทได้  แต่ไม่เกินจำนวนค่าภาระติดพัน

WordPress Ads
error: Content is protected !!