LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  

ข้อ  1  นายแก้วได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองในเหตุมรณะเป็นเงิน  1  ล้านบาท  ไว้กับบริษัทประกันชีวิต  โดยระบุให้เพื่อนชื่อนายขวดเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต  ต่อมานายแก้วตายในระหว่างอายุสัญญา  บริษัทประกันชีวิตไม่ยอมจ่ายเงินจำนวน  1  ล้านบาทให้แก่นายขวด  โดยอ้างว่านายขวดเป็นบุคคลภายนอกเป็นเพียงเพื่อนของนายแก้ว  นายขวดมิได้มีส่วนได้เสีย  จึงไม่มีสิทธิได้รับเงิน  1 ล้านบาทตามสัญญาประกันชีวิตดังกล่าว  ดังนี้  ข้ออ้างของบริษัทประกันชีวิตรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

วินิจฉัย

สัญญาประกันชีวิตนั้น  ถือว่าเป็นสัญญาประกันภัยประเภทหนึ่ง  จึงต้องนำเอาบทบัญญัติในหมวด  1  บทเบ็ดเสร็จทั่วไป  มาใช้บังคับด้วย  กล่าวคือ  ผู้เอาประกันชีวิตจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย  หรือมีส่วนได้เสียในชีวิตของผู้เอาประกันภัยด้วย  ซึ่งอาจจะเป็นชีวิตของตนเองหรือชีวิตของผู้อื่นก็ได้  สัญญาประกันชีวิตจึงจะมีผลผูกพันคู่สัญญา (มาตรา  863)

ตามอุทาหรณ์  การที่สัญญาประกันชีวิตระบุให้นายขวดซึ่งเป็นเพื่อนของนายแก้วเป็นผู้รับประโยชน์นั้นตามมาตรา  863  มิได้บังคับให้ผู้รับประโยชน์จะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยด้วยแต่อย่างใด  ซึ่งผู้รับประโยชน์จะเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือจะเป็นบุคคลภายนอกก็ได้ ดังนั้นเมื่อนายแก้วได้ตายลงในระหว่างอายุสัญญา  นายขวดจึงมีสิทธิที่จะได้รับเงิน  1  ล้านบาทในฐานะผู้รับประโ ยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต  ข้ออ้างของบริษัทประกันชีวิตที่ปฏิเสธไม่ยอมชำระเงินให้นายขวดดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทประกันชีวิตรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  นายสนิทเอาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  วงเงิน  3  ล้านบาท  ในระหว่างอายุสัญญานายสนิททะเลาะกับนางสวยภริยาอย่างรุนแรง  เป็นเหตุให้นายสนิทโกรธแค้นมาก  จึงจุดไฟเผาบ้านหลังดังกล่าว  ทำให้ไหม้หมดทั้งหลัง  นายสนิทเรียกให้บริษัทประกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายอ้างว่านายสนิททุจริต  นายสนิทต่อสู้ว่าการเผาบ้านมิได้เป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  เนื่องจากกระทำไปด้วยความโกรธแค้น  มิได้เกิดจากมูลเหตุชักจูงใจเพื่อเอาเงินประกันภัย  จึงมิได้กระทำโดยทุจริต  จงวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายสนิทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด  ให้ยกหลักกฎหมายประกอบการอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  879  วรรคแรก  ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย  หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

วินิจฉัย

โดยหลัก  เมื่อเกิดวินาศภัยหรือเหตุอื่นที่ตกลงรับประกันภัยขึ้น  ผู้รับประกันภัยก็ต้องรับผิดแต่ถ้าเหตุดังว่านี้ได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์  ผู้รับประกันภัยก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้  (มาตรา 879  วรรคแรก)

ซึ่งคำว่า  “ทุจริต” นั้น  ตามกฎหมายนี้ไม่ได้อธิบายความหมายไว้  จึงมิได้หมายความแต่เพียงการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น  แต่หมายความรวมถึงการกระทำโดยเจตนาหรือจงใจให้เกิดวินาศภัยขึ้นด้วย  โดยไม่จำต้องคำนึงว่ามีเจตนาให้ได้ประโยชน์จากสัญญาประกันภัยนั้นด้วยหรือไม่

ตามอุทาหรณ์  การที่นายสนิททะเลาะกับภริยาจนเกิดโทสะแล้วจุดไฟเผาบ้านของตนนั้น  แม้เป็นการเผาเพราะความโกรธมิได้มีเจตนาเผาเพราะอยากได้เงินประกันภัย  แต่ก็เป็นการกระทำโดยเจตนาหรือจงใจให้เกิดวินาศภัยขึ้น  ซึ่งถือว่าทุจริตแล้ว  บริษัทประกันวินาศภัยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสนิทตามมาตรา  879  วรรคแรก  ดังนั้น  ข้อต่อสู้ของนายสนิทดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายสนิทไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  นางแดงได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  โดยอาศัยเหตุแห่งความทรงชีพไว้กับบริษัทประกันชีวิตจำกัด  โดยระบุให้นายดำสามีที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้รับประโยชน์  จำนวนเงินที่เอาประกัน  1  ล้านบาท  สัญญามีกำหนด  10  ปี  หลังจากทำสัญญาได้เพียง  1  ปี  นายดำเห็นนางแดงยืนคุยอยู่กับนายเหลืองชายหนุ่มข้างบ้าน  ก็เกิดความหึงหวงขึ้นมา  เขาจึงใช้ปืนยิงไปถูกนางแดงเสียชีวิตทันที  ส่วนนายเหลืองบาดเจ็บสาหัส  หลังจากนั้นนายดำจึงไปขอรับเงินจากบริษัทในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต  จงวินิจฉัยว่า บริษัทจะใช้เงินให้แก่นายดำตามสัญญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  นางแดงได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  โดยอาศัยเหตุแห่งความทรงชีพไว้กับบริษัทประกันชีวิต  จำกัด  ย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยตามมาตรา  863  สัญญาประกันชีวิตจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

แต่อย่างไรก็ตาม  การทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  โดยอาศัยเหตุแห่งความทรงชีพนั้น  ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประกันชีวิต  (มาตรา  889)  ผู้รับประกันภัยจึงจะใช้เงินให้ตามสัญญา (มาตรา  890)

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นางแดงถูกนายดำฆ่าตายก่อนครบ  10  ปี  ตามกำหนดอายุสัญญาประกันชีวิต  จึงเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้มีอายุอยู่จนครบตามกำหนดอายุสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา  889  นายดำผู้รับประโยชน์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาดังกล่าวตามมาตรา  890  และกรณีนี้ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  895(2)  เพราะจะเข้าข้อยกเว้นดังกล่าวได้จะต้องเป็นการประกันชีวิตโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะเท่านั้น  ดังนั้นบริษัทประกันชีวิตจึงไม่ต้องใช้เงินให้กับนายดำตามสัญญา

สรุป  บริษัทประกันชีวิตไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้กับนายดำ

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  นายบวรติดต่อทำสัญญาประกันชีวิตของนางจันทร์ภริยากับบริษัท  มั่นใจประกันชีวิต  จำกัด  ในการแถลงถึงสุขภาพ  นายบวรแถลงว่าภริยามีสุขภาพดี  ซึ่งความเป็นจริงนางจันทร์เป็นมะเร็งที่เต้านม  แต่นางจันทร์นิ่งเฉยเสีย  บริษัทตกลงรับทำประกันภัยให้  เวลาผ่านไปหกเดือนหลังจากทำสัญญา  นางจันทร์ได้เสียชีวิตลงเพราะถูกไฟฟ้าดูด  นายบวรจึงติดต่อขอรับเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท  แต่บริษัทปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่านางจันทร์ปกปิดข้อความจริง  นายบวรโต้แย้งว่านายบวรเป็นผู้เอาประกันไม่เกี่ยวกับการปกปิดของนางจันทร์  และการที่นางจันทร์เสียชีวิตมาจากสาเหตุไฟฟ้าดูด  ซึ่งไม่เกี่ยวกับโรค  ดังนี้  ข้อโต้แย้งของนายบวรฟังขึ้นหรือไม่  อย่างไร  ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา  หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายบวรและนางจันทร์เป็นสามีภริยากัน  จึงถือว่านายบวรมีส่วนได้เสียในเหตุที่

เอาประกัน  สัญญาประกันชีวิตจึงมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา  863ตามข้อเท็จจริง  การที่นายบวรติดต่อทำสัญญาประกันชีวิตของนางจันทร์กับบริษัท  มั่นใจประกันชีวิตจำกัด โดยที่นางจันทร์ผู้ถูกเอาประกันนิ่งเฉยเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงว่าตนเป็นมะเร็งที่เต้านม  ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญ  โดยหากบริษัทฯได้ทราบความจริงก็จะเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น  หรือมิฉะนั้นก็บอกปัดไม่ทำสัญญาด้วยนั้น  ย่อมส่งผลทำให้สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  865

และเมื่อนางจันทร์เสียชีวิตและบริษัทฯปฏิเสธการจ่ายเงิน  การที่นายบวรได้โต้แย้งว่าตนเป็นผู้เอาประกันไม่เกี่ยวกับการปกปิดของนางจันทร์นั้น  ฟังไม่ขึ้น  เพราะหน้าที่เปิดเผยข้อความจริงตามมาตรา  865  ย่อมเป็นของทั้งผู้เอาประกันและผู้ถูกเอาประกัน

ส่วนการโต้แย้งที่ว่านางจันทร์เสียชีวิตจากการถูกไฟฟ้าดูดไม่เกี่ยวกับโรคนั้น  ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน  เพราะสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวตกเป็นโมฆียะแล้วตั้งแต่ต้น  แม้เสียชีวิตด้วยสาเหตุใด  บริษัทก็มีสิทธิบอกล้างและปฏิเสธการจ่ายเงินได้ทั้งสิ้น  หากเป็นการใช้สิทธิบอกล้างภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดสรุป  ข้อโต้แย้งของนายบวรฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี

 

ข้อ  2  นายมีเจ้าของตึกแถวทำสัญญาเอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  โดยระบุให้นายมากเจ้าหนี้เป็นผู้รับประโยชน์  กำหนดเวลาคุ้มครอง  1  ปี  หนึ่งอาทิตย์ต่อมานายมากแจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบว่าเมื่อเกิดเพลิงไหม้บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน  สองเดือนต่อมานายมีขายตึกแถวนี้ให้นายแมน  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน  หลังจากนั้น  7  วันต่อมานายมีบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังบริษัทประกันวินาศภัย  ต่อมาอีก  1  เดือน  ในระหว่างที่สัญญามีผลบังคับเกิดอัคคีภัยขึ้นทำให้ตึกแถวของนายมีเสียหายทั้งหมด  ดังนี้อยากทราบว่า  นายมี  นายมาก  นายแมน  ใครเป็นผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  374  วรรคสอง  ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น  สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น

มาตรา  875  ถ้าวัตถุอันได้เอาประกันภัยไว้นั้น  เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมก็ดี  หรือโดยบัญญัติกฎหมายก็ดี  ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ย่อมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันไซร้  ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย  อนึ่งถ้าในการโอนเช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้  ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  โดยปกติสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่เกิดวินาศภัยขึ้นนั้นย่อมเป็นของคู่สัญญา  คือ  นายมีผู้เอาประกันภัย แต่เมื่อนายมีระบุให้นายมากเป็นผู้รับประโยชน์  และนายมากได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น  คือ  ได้ปฏิบัติตามมาตรา  374  วรรคสองแล้ว  สิทธินี้จึงตกไปเป็นของนายมาก

ตามข้อเท็จจริง  แม้ต่อมานายมีจะได้โอนวัตถุที่เอาประกันภัยคือตึกแถวให้นายแมน  และได้บอกกล่าวการโอนไปยังบริษัทประกันภัย  ซึ่งโดยหลักจะมีผลทำให้สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยโอนตามไปด้วย  ตามมาตรา  875  วรรคสองก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏว่านายมีไม่มีสิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทน  ผู้ที่มีสิทธิคือนายมาก  ดังนั้น  สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจึงไม่โอนไปยังนายแมน  เพราะสิทธิดังกล่าวจะโอนไปได้ก็ต่อเมื่อนายมีผู้เอาประกันเป็นผู้มีสิทธิเท่านั้น ดังนั้น  เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้นทำให้ตึกแถวของนายมีเสียหาย  และในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  นายมากผู้รับประโยชน์จึงเป็นผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย

สรุป  การโอนวัตถุที่เอาประกันภัยรายนี้  ไม่ทำให้สิทธิตามสัญญาประกันภัยโอนไปยังผู้รับโอน  คือนายแมน  ผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนคือนายมาก

 

ข้อ  3   นายดำได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะไว้กับบริษัท  ประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  5 แสนบาท  สัญญากำหนด  10  ปี  ระบุให้นางเหลืองภริยาเป็นผู้รับประโยชน์  ในขณะทำสัญญานายดำได้แถลงอายุของตนกับบริษัทว่ามีอายุ  58  ปี  ทั้งที่อายุจริงของนายดำคือ  63  ปี  ทั้งนี้เพื่อให้อายุอยู่ในเกณฑ์ตามข้อกำหนดของบริษัท  ซึ่งบริษัทได้กำหนดว่าผู้ที่จะเอาประกันชีวิตได้นั้นต้องมีอายุขั้นสูงไม่เกิน  60  ปี  ในระหว่างอายุสัญญานายดำประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต  นางเหลืองจึงไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะผู้รับประโยชน์  แต่บริษัทปฏิเสธการจ่าย  โดยอ้างว่านายดำปกปิดเรื่องอายุ  โดยแถลงไว้คลาดเคลื่อน  สัญญาจึงเป็นโมฆียะ  และได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้ภายในกำหนดระยะเวลาบอกล้าง  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทมีสิทธิที่จะบอกล้างได้หรือไม่ เพราะเหตุใด  จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบการวินิจฉัยด้วย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  893  วรรคสอง  แต่ถ้าผู้รับประกันภัยพิสูจน์ได้ว่าในขณะที่ทำสัญญานั้น  อายุที่ถูกต้องแท้จริงอยู่นอกจำกัดอัตราตามทางการค้าปกติของเขาแล้ว  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายดำได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะ  จึงถือว่านายดำเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกัน  สัญญาจึงมีผลผูกพันตามมาตรา  863  ประกอบมาตรา  889

ตามข้อเท็จจริง  ในขณะทำสัญญา  ดำได้แถลงอายุของตนคลาดเคลื่อน  เพื่อให้อายุอยู่ในเกณฑ์ตามข้อกำหนดของบริษัท  ซึ่งแท้จริงแล้ว  อายุของดำอยู่นอกจำกัดอัตราตามทางการค้าปกติของบริษัท  จึงทำให้สัญญาประกันชีวิตของดำตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  893 วรรคสอง

เมื่อสัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ  บริษัทจึงมีสิทธิที่จะบอกล้างได้ภายในกำหนดระยะเวลาการบอกล้าง  ข้ออ้างของบริษัทจึงฟังขึ้น  ดังนั้น  นางเหลืองผู้รับประโยชน์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตของดำ

สรุป  สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ  บริษัทมีสิทธิบอกล้างได้

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายชายอยู่กินกับนางสมฉันสามีภริยา  โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  นายชายขวนขวายจัดให้นางสมเอาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งเป็นเงิน  1  ล้านบาท  โดยนายชายเป็นผู้ให้ข้อความในแบบพิมพ์คำขอประกันชีวิต  และนายชายเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันแทนนางสม  ในกรมธรรม์ประกันภัยมีชื่อผู้เอาประกันคือนางสม  แต่ระบุให้นายชายเป็นผู้รับประโยชน์

ต่อมาในระหว่างที่สัญญามีผลบังคับ  นางสมถึงแก่ความตาย  นายชายจึงยื่นขอรับประโยชน์  ปรากฏว่าบริษัทประกันชีวิตปฏิเสธการจ่ายเงิน  อ้างว่านางสมไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัยเอง  แต่นายชายเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกัน  นายชายจึงเป็นผู้เอาประกันไม่ใช่นางสม  สัญญาประกันชีวิตรายนี้จึงเป็นการที่นายชายประกันชีวิตผู้อื่นคือนางสม  ไม่ใช่เป็นการที่นางสมประกันชีวิตตนเอง  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า

(ก)   สัญญานี้ใครเป็นผู้เอาประกันชีวิต

(ข)  เป็นการประกันชีวิตตนเองหรือผู้อื่น

(ค)  สัญญาผูกพันหรือไม่

(ง)   บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงิน  1  ล้านบาท  ให้นายชายหรือไม่  เพราะเหตุใด
 ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  862  ตามข้อความในลักษณะนี้

คำว่า  ผู้เอาประกันภัย”  ท่านหมายความว่า  คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  867  วรรคสาม  กรมธรรม์ประกันภัย  ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัย  และมีรายการดังต่อไปนี้

(8)  ชื่อหรือยี่ห้อของผู้เอาประกันภัย

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

วินิจฉัย

 กรณีตามอุทาหรณ์  พิจารณาได้ดังนี้

(ก)   จากข้อเท็จจริง  การที่นายชายเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันภัยนั้น  ไม่ได้หมายความว่านายชายจะต้องเป็นผู้เอาประกันภัยเสมอไป  เพราะเบี้ยประกันภัยเป็นหนี้ตามสัญญาซึ่งผู้เอาประกันภัยตกลงจะส่งให้ผู้รับประกันภัย  (มาตรา  862)  ซึ่งในทางปฏิบัติผู้เอาประกันภัยอาจไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัยด้วยตนเอง  คนอื่นซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอาจเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยแทนผู้เอาประกันภัยก็ได้ส่วนใครเป็นผู้เอาประกันภัยรายนี้นั้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายชายได้ขวนขวายจัดให้นางสมเอาประกันชีวิต  และในกรมธรรม์ประกันภัยมีชื่อผู้เอาประกันภัยคือ  นางสม  ดังนั้นตามมาตรา  867  วรรคสาม(8)  สัญญานี้ผู้เอาประกันชีวิตก็คือนางสมนั่นเอง  ทั้งนี้เพราะนางสมเป็นผู้เอาประกันโดยแท้จริง  และมิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงในเรื่องส่วนได้เสียแต่อย่างใด (ฎ. 1769/2521)

 (ข)   จากข้อเท็จจริง  เมื่อนางสมเป็นผู้เอาประกันชีวิต  และชีวิตที่เอาประกันแบบอาศัยความมรณะ  ก็คือชีวิตของนางสมเอง  จึงเป็นการประกันชีวิตตนเอง

 (ค)   จากข้อเท็จจริง  เมื่อเป็นการเอาประกันชีวิตของนางสม  โดยนางสมเป็นผู้เอาประกันซึ่งเป็นการประกันชีวิตตนเอง  ดังนั้น   จึงถือว่านางสมผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้น  เพราะในเรื่องสัญญาประกันชีวิตมีหลักอยู่ว่า  ทุกคนล้วนแล้วแต่มีส่วนได้เสียในชีวิตของตนเองทั้งสิ้น  ดังนั้น  สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา  863

 (ง)   จากข้อเท็จจริง  เมื่อสัญญาประกันชีวิตมีผลผูกพันคู่สัญญา  และนางสมผู้เอาประกันชีวิตถึงแก่ความตายนั้น  ดังนั้น  บริษัทประกันชีวิตจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินประกันจำนวน  1  ล้านบาท  ให้แก่นายชายผู้รับประโยชน์ (มาตรา 889) 

สรุป

(ก)    สัญญานี้นางสมเป็นผู้เอาประกันชีวิต

(ข)   เป็นการประกันชีวิตตนเอง

(ค)   สัญญามีผลผูกพัน

(ง)    บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงิน  1  ล้านบาทให้แก่นายชาย

 

ข้อ  2  นายสมหวังนำตึกหลังหนึ่งไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทดำในวงเงิน  200,000  บาท  และต่อมานำไปประกันไว้กับบริษัทแดงในวงเงิน  400,000  บาท  เกิดอัคคีภัยเสียหาย  250,000  บาท  อยากทราบว่า  บริษัทดำและบริษัทแดงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายสมหวังหรือไม่  ถ้าต้องรับผิดจะรับผิดมากน้อยเพียงใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  870  ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นพร้อมกันเพื่อความวินาศภัยอันเดียวกัน  และจำนวนเงินซึ่งเอาประกันรวมกันทั้งหมดนั้นท่วมจำนวนที่วินาศจริงไซร้  ท่านว่าผู้รับประโยชน์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงเสมอจำนวนวินาศจริงเท่านั้น  ผู้รับประกันภัยแต่ละคนต้องใช้เงินจำนวนวินาศจริงแบ่งตามส่วนมากน้อยที่ตนได้รับประกันภัยไว้

อันสัญญาประกันภัยทั้งหลาย  ถ้าลงวันเดียวกัน  ท่านให้ถือว่าได้ทำพร้อมกัน

ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน  ท่านว่าผู้รับประกันภัยรายแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน  ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัยไซร้  ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆกันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสมหวังนำตึกหลังหนึ่งไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทดำและต่อมานำไปประกันไว้กับบริษัทแดงอีกนั้น  ถือเป็นเรื่องการประกันวินาศภัยหลายรายในวัตถุเดียวกันและเป็นสัญญาสืบต่อเนื่องกัน  ซึ่งตามหลักในเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีเกิดวินาศภัยนั้น  ผู้รับประโยชน์จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเท่าที่เสียหายจริง  และตามมาตรา  870  วรรคสามได้กำหนดไว้ว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน  ผู้รับประกันภัยคนแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน  ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนเงินวินาศภัย  ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆกันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ได้เกิดวินาศภัยคืออัคคีภัยขึ้นเสียหายเป็นจำนวนเงิน 250,000  บาท  ดังนั้น  บริษัทดำและบริษัทแดงจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายสมหวังตามลำดับดังนี้คือ  บริษัทดำผู้รับประกันภัยรายแรกจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก่อน  เป็นจำนวนเงิน  200,000  บาท  เท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับประกันไว้  เมื่อปรากฏว่ายังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัย  บริษัทแดงผู้รับประกันภัยรายต่อมาจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่ยังไม่คุ้มเป็นจำนวนเงิน  50,000 บาท  (ตามมาตรา  870  วรรคสาม)

สรุป  บริษัทดำและบริษัทแดงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายสมหวัง  โดยบริษัทดำต้องรับผิดเป็นจำนวน  200,000  บาท  ส่วนบริษัทแดงรับผิดเป็นจำนวน  50,000  บาท

 

ข้อ  3  นายเอกชัยสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวาสนา  ทำสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัท  แสนดีประกันชีวิต  จำนวนเงินที่เอาประกันภัย  2,000,000  บาท  โดยระบุให้นางวาสนาเป็นผู้รับประโยชน์  นางวาสนาทะเลาะกับนายเอกชัยอย่างรุนแรงเนื่องจากว่านายเอกชัยระแวงว่านางวาสนาจะกลับไปอยู่กับสามีเก่าและคิดจะฆ่าตนเองเพื่อเอาเงินประกันภัย  นางวาสนาน้อยใจนายเอกชัยจึงหนีไปอยู่กับน้องสาว  ต่อมาบริษัทประกันภัยส่งกรมธรรม์มาให้  นายเอกชัยจึงทำหนังสือแจ้งไปที่บริษัทประกันภัยว่าตนเองต้องการเปลี่ยนผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกราชลูกชาย  ซึ่งเป็นลูกกับภริยาคนก่อน  หลังจากนั้นอีก  2  ปี  นายเอกชัยเดินทางไปดูงานที่ต่างจังหวัดได้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต  นางวาสนาได้ทราบข่าวทางหนังสือพิมพ์  จึงได้ไปเรียกร้องขอเงินประกันชีวิต  แต่บริษัทประกันภัยแจ้งว่าได้จ่ายเงินให้แก่นายเอกราชไปแล้ว  ดังนี้  บริษัทฯ  แสนดีประกันภัยจ่ายเงินให้นายเอกราชนั้นถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  891  วรรคแรก  แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี  ผู้เอาประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้  เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว  และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  891  วรรคแรกนั้น  แม้ผู้เอาประกันชีวิตจะได้กำหนดตัวผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตไว้แล้ว  ผู้เอาประกันชีวิตก็ยังมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์ตามสัญญานั้นให้บุคคลอื่นได้  (โอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันชีวิตในการที่จะได้รับชดใช้เงินที่เอาประกันภัย)  เว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขทั้ง  2  ประการต่อไปนี้  ผู้เอาประกันชีวิตไม่มีสิทธิโอนประโยชน์ให้แก่ผู้ใดอีก  คือ

1       ได้ส่งมอบกรมธรรม์นั้นให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และ

2       ผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเอกชัยทำหนังสือแจ้งไปที่บริษัทประกันภัยว่าต้องการเปลี่ยนตัวผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกราชลูกชายนั้น  ถือเป็นการโอนประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งคือจากนางวาสนาเป็นนายเอกราช  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นางวาสนาผู้รับประโยชน์ยังไม่ได้รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย  เนื่องจากหนีไปอยู่กับน้องสาว  และไม่ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังบริษัทประกันภัยว่าตนเองประสงค์จะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยนั้น  ดังนั้น  การโอนประโยชน์ในสัญญาประกันภัยที่นายเอกชัยได้กระทำนั้นจึงมีผลสมบูรณ์  นายเอกราชจึงเป็นผู้รับโอนประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยตามมาตรา  891  วรรคแรก  ดังนั้น  เมื่อปรากฏว่านายเอกชัยประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  การที่บริษัท  แสนดีประกันภัยจ่ายเงินประกันภัยตามที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาให้นายเอกราชนั้นจึงถูกต้องแล้ว

สรุป  บริษัท  แสนดีประกันภัยจ่ายเงินให้นายเอกราชนั้นถูกต้องแล้ว

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  นายเก่งทำสัญญาเป็นหนังสือเช่าโรงสีซึ่งนายรวยเป็นเจ้าของ  กำหนดเวลา  3  ปี  หลังจากทำสัญญาเช่าไปได้  1  เดือน  นายรวยเอาประกันอัคคีภัย

โรงสีนี้ไว้กับบริษัท  สยามประกันอัคคีภัย  จำกัด  โดยระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์  แต่นายรวยไม่ได้แถลงไว้ในคำขอเอาประกันภัย  ให้ผู้รับประกันทราบในเรื่องการเช่าดังกล่าว  ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย  โรงสีที่เอาประกันภัยถูกไฟไหม้หมด  อยากทราบว่า สัญญาประกันภัยนี้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบการอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  865 วรรคแรก  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา  หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  สัญญาประกันภัยรายนี้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  ตามกฎหมายในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงที่มีลักษณะสำคัญซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาให้ผู้รับประกันภัยทราบ  มิฉะนั้นแล้วสัญญานั้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  865  วรรคแรก

ตามข้อเท็จจริง  การที่นายรวยให้นายเก่งเช่าโรงสีถือเป็นข้อความจริงที่นายรวยผู้เอาประกันภัยต้องเปิดเผยให้บริษัท  สยามประกันอัคคีภัยฯทราบ  เพราะเป็นข้อความจริงที่มีความสำคัญถึงขนาดเป็นเหตุจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นอีกหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาก็ได้  เนื่องจากการที่มีผู้เช่าโรงสี  ผู้เช่านั้นย่อมมีความระมัดระวังในความปลอดภัยของโรงสีน้อยกว่านายรวยผู้เป็นเจ้าของ  ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดไฟไหม้โรงสีย่อมมีมากขึ้นนั่นเอง

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ในเวลาทำสัญญาประกันภัย  นายรวยไม่ได้แถลงไว้ในคำขอเอาประกันภัยให้ผู้รับประกันภัยทราบในเรื่องการเช่าดังกล่าว  สัญญาประกันภัยระหว่างนายรวยและบริษัท  สยามประกันอัคคีภัยฯจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  865  วรรคแรก

สรุป  สัญญาประกันภัยระหว่างนายรวยและบริษัท  สยามประกันอัคคีภัยฯ  มีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ  2  นางละอองฟ้าเจ้าของโรงงานมูลค่า  50  ล้านบาท  ได้เอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเอ  จำนวนเงินเอาประกัน  20  ล้านบาท  กรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือ  1  มกราคม  2551  เวลา  10.00 น.  และนางละอองฟ้าได้เอาประกันอัคคีภัยโรงงานนี้ไว้กับบริษัทบี  จำนวนเงินเอาประกัน  30  ล้านบาท  กรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือ  1  มกราคม  2551  เวลา  15.00 น  และนางละอองฟ้าได้เอาประกันอัคคีภัยโรงงานดังกล่าวไว้กับบริษัทซี  จำนวนเงินเอาประกัน  50  ล้านบาท  กรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือ  1  มกราคม  2550  เวลา  16.00 น. ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาของทั้งสามบริษัท 

ปรากฏว่าเกิดเพลิงไหม้โรงงานใกล้เคียงแล้วลุกลามมาไหม้โรงงานของนางละอองฟ้าเสียหายทั้งหมด  อยากทราบว่า  นางละอองฟ้าผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทใดบ้าง  และเป็นจำนวนเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  870  ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นพร้อมกันเพื่อความวินาศภัยอันเดียวกัน  และจำนวนเงินซึ่งเอาประกันรวมกันทั้งหมดนั้นท่วมจำนวนที่วินาศจริงไซร้  ท่านว่าผู้รับประโยชน์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงเสมอจำนวนวินาศจริงเท่านั้น  ผู้รับประกันภัยแต่ละคนต้องใช้เงินจำนวนวินาศจริงแบ่งตามส่วนมากน้อยที่ตนได้รับประกันภัยไว้

อันสัญญาประกันภัยทั้งหลาย  ถ้าลงวันเดียวกัน  ท่านให้ถือว่าได้ทำพร้อมกัน

ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน  ท่านว่าผู้รับประกันภัยรายแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัยไซร้  ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆกันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางละอองฟ้านำโรงงานมูลค่า  50  ล้านบาท  ไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเอ  และนำไปประกันไว้กับบริษัทบีอีก  โดยกรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือวันที่  1  มกราคม  2551  เหมือนกันทั้งสองบริษัทนั้น  ถือว่านางละอองฟ้าได้ทำสัญญาประกันภัยไว้กับบริษัทเอและบริษัทบีพร้อมกัน  แม้จะทำต่างเวลากันก็ตาม  ตามมาตรา  870 วรรคสอง  และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่นางละอองฟ้าจะนำโรงงานไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยกับบริษัทเอและบริษัทบี  นางละอองฟ้าได้นำโรงงานนั้นไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยกับบริษัทซีไว้ก่อนแล้ว  โดยกรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือวันที่  1  มกราคม  2550  ดังนั้น  จึงเป็นเรื่องการประกันวินาศภัยหลายรายในวัตถุเดียวกันและเป็นวัตถุสืบเนื่องเป็นลำดับกันจึงต้องนำหลักเกณฑ์ตามมาตรา  870  วรรคสามมาใช้ก่อน  กล่าวคือ  ต้องจัดให้ผู้รับประกันภัยลำดับแรกใช้ค่าสินไหมทดแทนก่อน  เหลือเท่าใดจึงคิดคำนวณในเรื่องการประกันพร้อมกันตามมาตรา  870  วรรคแรกอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ได้เกิดวินาศภัยคืออัคคีภัยขึ้นทำให้โรงงานของนางละอองฟ้าเสียหายทั้งหมด  ดังนั้น  บริษัทซีซึ่งเป็นผู้รับประกันลำดับแรกจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนก่อน  เมื่อค่าเสียหายที่แท้จริงเป็นเงิน  50  ล้านบาท  และบริษัทซีรับประกันไว้  50  ล้านบาท ไม่เกินความเสียหาย  จึงต้องรับผิดเต็มจำนวนที่รับประกันไว้คือ  50  ล้านบาท  ตามมาตรา  870  วรรคสาม

สรุป  นางละอองฟ้าผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทซีได้จำนวน  50  ล้านบาท  ส่วนบริษัทเอและบริษัทบี  เมื่อบริษัทซีใช้ค่าสินไหมทดแทนคุ้มจำนวนวินาศภัยแล้ว  จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน 

 

ข้อ  3  สัมฤทธิ์ทำประกันชีวิตกับบริษัท  สมัครใจประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินเอาประกัน  1,000,000  บาท  ชำระเบี้ยประกันชีวิตปีละ  12,000  บาท  สัญญาประกันชีวิตเริ่มตั้งแต่วันที่  16  กรกฎาคม  2553  ต่อมาสัมฤทธิ์มีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจที่ทำอยู่  กิจการขาดทุนและกำลังถูกเจ้าหนี้ฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย  วันที่  6  กรกฎาคม  2554  สัมฤทธิ์จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึกลงมาจากชั้น  3 ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ได้นำสัมฤทธิ์ส่งโรงพยาบาล  สมฤทธิ์ยังไม่ตายแต่อาการสาหัส  สมองกระทบกระเทือนจากแรงกระแทกอย่างแรง  และได้รับการรักษาตัวอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู.  ของโรงพยาบาลจนกระทั่งวันที่  2  สิงหาคม  2554  สัมฤทธิ์สิ้นใจอย่างสงบ  ประพลเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต  จึงเรียกร้องไปยังบริษัท  สมัครใจประกันชีวิต  จำกัด  เพื่อขอรับเงิน  1,000,000  บาทตามทุนประกัน บริษัทฯปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าสัมฤทธิ์ฆ่าตัวตายภายใน  1  ปีนับแต่วันทำสัญญา  ประพลต่อสู้ว่าสัมฤทธิ์ไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิตและสัมฤทธิ์ตายภายหลัง  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญา  บริษัทฯจึงต้องจ่ายเงินตามทุนประกันให้แก่ผู้รับประโยชน์  ดังนี้ ข้อต่อสู้ของประพลฟังขึ้นหรือไม่  บริษัทต้องจ่ายเงินหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  เมื่อผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย  บริษัทผู้รับประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ  เว้นแต่บุคคลนั้นจะฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน  1  ปีนับแต่วันทำสัญญาไม่ว่าจะถึงแก่ความตายในทันทีหรือไม่ก็ตามหรือเป็นกรณีที่บุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา  (มาตรา  895)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สัมฤทธิ์ฆ่าตัวตาย  แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิต แต่การที่สัมฤทธิ์สมัครใจฆ่าตัวตายภายใน  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญาคือภายในวันที่  16  กรกฎาคม  2554  นั้น  ถือเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน  1  ปี นับแต่วันทำสัญญา  แม้จะถึงแก่ความตายภายหลัง  1  ปีแล้วก็ตาม  ดังนั้นข้อต่อสู้ของประพลที่ว่าสัมฤทธิ์ไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิต  และสัมฤทธิ์ตายภายหลัง  1  ปีนับแต่วันทำสัญญานั้นจึงฟังไม่ขึ้น  บริษัทสมัครใจประกันชีวิตฯ  จึงไม่ต้องจ่ายเงินตามทุนประกันให้แก่ประพลผู้รับประโยชน์ตามมาตรา  895(1)

สรุป  ข้อต่อสู้ของประพลฟังไม่ขึ้น  และบริษัทสมัครใจประกันชีวิตฯ  ไม่ต้องจ่ายเงินตามทุนประกัน

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายกรุงไทย นำรถยนต์ที่เช่าซื้อกับบริษัท กรุงเก่า ไปทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด โดยนายกรุงไทยเป็นผู้เอาประกันภัย และระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์

หลังจากทำสัญญาประกันภัยได้สามเดือน นายกรุงไทยได้ค้างชำระค่าเช่าซื้อกับบริษัทกรุงเก่า ทำให้บริษัทกรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชำระค่าเช่าชื้อที่ค้างชำระ นายกรุงไทยจึงเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด

โดยระบุให้นายกรุงไทยเป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากนั้นรถยนต์คันดังกล่าวได้สูญหายไป นายกรุงไทยจึงเรียกให้บริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่บริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด ปฏิเสธใช้ค่าสินไหมทดแทน

โดยอ้างว่า นายกรุงไทยยังค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ฟังขึ้นหรือไม และนายกรุงไทยจะฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่า บุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น

มาดรา 375 “เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแหงมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลง หรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่

มาตรา 376 “ข้อต่อสู้อันเกิดแต่มูลสัญญาดังกล่าวมาในมาตรา 374 นั้น ลูกหนี้อาจจะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้จะได้รับประโยชน์จากสัญญานั้นได้

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คำว่า ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คำว่า ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คำว่า ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจำนวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่ายอมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไบ่นี้ คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกรุงไทยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด โดยระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมถือว่านายกรุง ไทยเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในเหตุที่จะเอาประกันภัยตามมาตรา 863 สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

อย่างไรก็ตาม การที่นายกรุงไทยระบุในสัญญาให้บริษัท กรุงเก่า ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อเป็น ผู้รับประโยชน์จึงเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยระบุให้บุคคลอื่นซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ ดังนัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก

จึงต้องปรับเข้ากับมาตรา 374375 และ 376 นั่นคือ ผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้นจะต้องแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยเสียก่อน สิทธิของผู้รับประโยชน์จึงจะเกิดขึ้น และเมื่อสิทธิของผู้รับประโยชน์เกิดขึ้นแล้ว ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย จะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของผู้รับประโยชน์ในภายหลังไม่ได้

กรณีตามข้อเท็จจริง การที่บริษัท กรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระนั้น ย่อมแสดงว่า บริษัท กรุงเก่า ได้สละเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยแล้ว นายกรุงไทยผู้เอาประกันภัย จึงมีสิทธิเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาเข้าเป็นผู้รับประโยชน์เองได้ (มาตรา 862) นายกรุงไทยผู้เอาประกันภัย และบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด จึงเป็นคู่สัญญาที่มีสิทธิได้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยซึ่งกันและกัน ตามหลักทั่วไป

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ที่นายกรุงไทยได้เอาประกันภัยไว้สูญหายไป บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยจึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับนายกรุงไทยตามมาตรา 877 ถึงแม้ว่า นายกรุงไทยจะค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ก็ตาม (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1950/2543) ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ที่ว่านายกรุงไทยยังค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ ไมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจึงฟังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

สรุป ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด พังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้ บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

 

ข้อ 2. นายเอกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในโรงงานมูลค่า 3,000 ล้านบาท ได้เอาประกันอัคคีภัยโรงงานและเครื่องจักร ไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่งจำนวนเงินเอาประกันภัย 2,000 ล้านบาท โดยจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มเติมภัยจากน้ำท่วมด้วย

ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาฝนตกหนักเนื่องจากพายุทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว นายเอกคาดว่าถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ โรงงานของตนต้องถูกน้ำท่วมอย่างแน่นอน และฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก นายเอกผู้เอาประกันภัยจึงชื้อถุงทรายจากร้านค้าวัสดุก่อสร้างมาวางกั้นเพื่อไม่ให้น้ำเข้าโรงงาน

แต่เมื่อนาล้นตลิ่ง จนระดับน้ำภายนอกแนวกั้นกระสอบทรายได้สูงขึ้นและได้มีน้ำซึมผ่านกระสอบทราย นายเอกจึงจ้างนายโทซึ่งมีร้านให้เช่าเครื่องสูบน้ำทำการสูบน้ำออก โรงงานของนายเอกจึงรอดพ้นจากการถูกน้ำท่วม แต่โรงงานอื่นที่ ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกันไม่ได้มีการป้องกันเหมือนเช่นนายเอก น้ำจึงเข้าท่วมสูงทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก

ครั้นนายเอกเรียกค่าสินไหมทดแทนคือค่ากระสอบทรายและค่าจ้างสูบน้ำรวมเป็นเงิน 2 แสนบาท แต่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายอ้างว่าบริษัทประกันมีหน้าที่จ่ายเมื่อเกิดวินาศภัย เมื่อน้ำไมท่วมจึงไม่ต้องจ่าย อยากทราบว่าข้ออ้างของบริษัทประกันภัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกหลักกฎหมายประกอบการอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1)           เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

(2)           เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควร เพื่อป้องปัดความวินาศภัย

(3)           เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

อันจำนวนวินาศจริงนั้น ท่านให้ตีราคา ณ สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น อนึ่ง จำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

วินิจฉัย

ในเรื่องการประกันวินาศภัยนั้น นอกจากผู้รับประกันภัยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดวินาศภัยขึ้นแล้ว กฎหมายยังกำหนดให้ผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งผู้เอาประกันภัยได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศด้วย (มาตรา 877(3))

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกผู้เอาประกันภัยซื้อกระสอบทรายมากั้นเพื่อไมให้น้ำเข้าโรงงาน และเมื่อมีน้ำซึมผ่านกระสอบทราย นายเอกก็ได้จ้างนายโทซึ่งมีร้านให้เช่าเครื่องสูบน้ำทำการสูบน้ำออกนั้น ค่าใช้จ่ายของนายเอกดังกล่าวจึงถือเป็นค่าใช้จ่ายอันสมควรเพื่อป้องกันโรงงานของนายเอกที่เอาประกันภัยไว้มิให้วินาศ

เพราะถ้านายเอกไมทำเช่นนี้น้ำย่อมท่วมโรงงานของนายเอกอย่างแน่นอน เห็นได้จากโรงงานบริเวณใกล้เคียงที่ ถูกน้ำท่วมเสียหาย

ดังนั้นเมื่อนายเอกได้เรียกค่าสินไหมทดแทน คือ ค่ากระสอบทรายและค่าจ้างสูบน้ำ รวมเป็นเงิน 2 แสนบาท จากบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แกนายเอกตามมาตรา 877(3) เพราะค่าใช้จ่ายที่นายเอกเสียไปดังกล่าวถือเป็นค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งผู้เอาประกันภัยได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

ดังนั้น การที่บริษัทประกันภัยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดย อ้างว่าบริษัทประกันภัยมีหน้าที่จ่ายเมื่อเกิดวินาศภัย เมื่อน้ำไม่ท่วมจึงไม่ต้องจ่าย จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นางสวยเอาประกันชีวิตนายสนิทสามีซึ่งจดทะเบียนสมรส วงเงิน 200,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี กรมธรรม์ฯ ระบุให้นางสวยกับนายเสนาะบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์คนละครึ่ง อีก 2 ปี

ต่อมา นางสวยหย่าขาดจากนายสนิท หลังจากนั้นอีก 1 ปี นายเสนาะทำปืนลั่นถูกนายสนิทตาย ศาลพิพากษาจำคุกนายเสนาะ 2 ปี ฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาท

ต่อมานางสวยกับนายเสนาะ ได้ยื่นขอรับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต แต่บริษัทผู้รับประกันภัยปฏิเสธการจ่าย อ้างว่านางสวย หย่าขาดจากนายสนิทไปแล้ว ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายสนิท จึงไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญา

ส่วนนายเสนาะก็ไม่มีสิทธิรับเงินเพราะเป็นผู้ทำให้นายสนิทตาย ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าข้ออ้าง ของบริษัทผู้รับประกันภัยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำต

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อได้ความว่าในขณะที่นางสวยได้เอาประกันชีวิตนายสนิทผู้เป็นสามี โดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นนางสวยและนายสนิทยังมิได้หย่าขาดจากกัน และมีความสัมพันธ์ในฐานะคู่สมรส

ดังนี้ เมื่อนางสวยผู้เอาประกันชีวิตมีส่วนได้เสียกับนายสนิทผู้ถูกเอาประกันชีวิต ในขณะทำสัญญา สัญญาจึงมีผลผูกพันสมบูรณ์ตามมาตรา 863 ทั้งนี้ แม้จะฟังได้ความว่าภายหลังทำสัญญาแล้ว นางสวยและนายสนิทจะจดทะเบียนหย่ากันก็ตาม ก็หาท่าให้สิทธิของคู่สัญญาเปลี่ยนแปลงไปไม่

และเมื่อนางสวยมีส่วนได้เสียและกำหนดให้ตนเป็นผู้รับประโยชน์ บริษัทประกันภัยจึงมีหน้าที่ ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้นางสวยตามสัญญา ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยที่ว่า นางสวยได้หย่าขาดจากนายสนิทไปแล้ว จึงไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายสนิท และไมมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญา จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนกรณีของนายเสนาะนั้น ข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันชีวิตไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประการหนึ่ง ตามมาตรา 895(2) คือ ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา ซึ่งหมายความว่า จะต้องเป็นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลเท่านั้น หากมีเพียงเจตนาทำร้าย หรือเป็นเพราะประมาทเลินเล่อ ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาไม่เข้าข้อยกเว้นดังกล่าว

เมื่อข้อเท็จจริงรับพังได้ว่า การที่นายเสนาะทำปืนลั่นถูกนายสนิทถึงแกความตายนั้น ศาลได้ พิพากษาจำคุกนายเสนาะฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาท จะเห็นได้ว่าจากคำพิพากษานายเสนาะผู้รับประโยชน์ หาได้มีเจตนาฆ่านายสนิทผู้ถูกเอาประกันแต่อย่างใด

กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 895(2) ดังนั้น เมื่อไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่บริษัทประกันภัยจะอ้างได้ บริษัทประกันภัยดังกล่าวจึงต้องจ่ายตามสัญญาประกันชีวิตให้นายเสนาะ เช่นกัน ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยที่ว่า นายเสนาะไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญาเพราะทำให้นายสนิทถึงแกความตาย จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน

สรุป ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยไมถูกต้องตามกฎหมาย 

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายสมพงษ์ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทผู้รับประกันภัยแห่งหนึ่ง เป็นการทำประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองทุกอย่างรวมทั้งอุบัติเหตุด้วย วงเงินเอาประกัน 500,000 บาท เบี้ยประกัน 3,000 บาท กรมธรรม์ฯ ลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2538 สิ้นสุดวันที่ 5 พฤษภาคม 2539

ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน 2539 เกิดอุบัติเหตุกับรถคันดังกล่าวเสียหายเป็นเงิน 60,000 บาท นายสมพงษ์จึงบอกกล่าวให้บริษัทประกันฯทราบ แต่บริษัทประกันฯ แจ้งว่าการคุ้มครองตามสัญญาสิ้นสุดแล้ว หากนายสมพงษ์ต้องการให้บริษัทใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องทำสัญญากันใหม่

และ นายสมพงษ์ต้องเสียเบี้ยประก้นให้บริษัทประกันฯด้วย นายสมพงษ์ต้องการได้ค่าสินไหมทดแทนแทนจึงยอมเสียเบี้ยประกันเป็นเงิน 3,000 บาท ให้บริษัทประกันฯ ซึ่งบริษัทประกันฯ ได้ออกกรมธรรม์ใหม่ ให้มีผลย้อนหลังว่า สัญญาเริ่มต้นให้ความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2539 เป็นเวลา 1 ปี

เมื่อนายสมพงษ์ได้รับกรมธรรม์แล้ว ได้เรียกร้องให้บริษัทประกันฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวน 60,000 บาท จากการที่รถยนต์ของตนได้เกิดอุบัติเหตุในวันที่ 13 มิถุนายน 2539 ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า บริษัทประกันฯ มีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสมพงษ์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 861 “อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคต ดังได้ระบุไว้ในสัญญา และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า เบี้ยประกันภัย 

วินิจฉัย

สัญญาประกันภัยนั้น เป็นสัญญาที่ผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้เมื่อเกิดวินาศภัยหรือเหตุอย่างอื่นขึ้นในอนาคต หมายความว่า ขณะทำสัญญาประกับภัยนั้นวินาศภัย หรือเหตุอย่างอื่นยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้น หากเป็นกรณีที่ภัยได้เกิดขึ้นก่อนที่จะได้ทำสัญญา ย่อมมิใช่ภัยที่อาจมีขึ้น ในอนาคตและมิใช่ภัยที่จะรับประกันได้ สัญญาดังกล่าวย่อมไม่ใช่สัญญาประกันภัย (มาตรา 861)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่รถยนต์ของนายสมพงษ์ที่เอาประกันภัยไว้ได้เกิดอุบัติเหตุในวันที่ 13 มิถุนายน 2539 ซึ่งเป็นวันที่กรมธรรม์สิ้นอายุแล้วนั้น การคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยย่อมสิ้นสุดลงแล้ว แม้ต่อมาบริษัทประกันฯ จะได้ออกกรมธรรมให้นายสมพงษ์ใหม่ และให้สัญญาเริ่มต้นให้ความคุ้มครองย้อนหลังไป ก่อนวันเกิดวินาศภัย 2 วัน คือวันที่ 11 มิถุนายน 2539 ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าการออกกรมธรรมครั้งหลังนี้

เป็นการออกกรมธรรม์ให้ภายหลังที่วินาศภัยได้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นสัญญาประกันภัยขึ้นใหม่ อันจะมีผลผูกพันบริษัทประกันฯ แต่อย่างใด ดังนั้นบริษัทประกันฯ จึงไม่มีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสมพงษ์ ตามมาตรา 861 (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2513/2518)

สรุป บริษัทประกับภัยไม่มีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสมพงษ์

 

ข้อ 2. เอกได้นำบ้านของตนไปประกับอัคคีภัยไว้กับบริษัท ประกันภัย จำกัด จำนวนเงินที่เอาประกัน 2 ล้านบาท สัญญากำหนด 1 ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์

หลังจากทำสัญญาได้ 3 เดือน เอกทำธุรกิจขาดทุน เขากลุ้มใจแทบจะฆ่าตัวตาย และไม่พูดจากับใคร

โทซึ่งเป็นภริยาของเอก สงสารเขามากและได้ทราบว่าเอกได้ทำประกันอัคคีภัยบ้านไว้ โทจึงวางเพลิงเผาบ้านเพื่อหวังเงินจากบริษัทประกันภัยเพื่อมากู้ฐานะทางการเงินให้สามี โดยเอกไม่ทราบเรื่องนี้เลย ไฟได้เผาผลาญ บ้านหลังที่เอาประกันไว้เสียหายทั้งหลัง 

จงวินิจฉัยว่าบริษัทจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญา ให้กับเอกผู้เอาประกันภัยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำคอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863            อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที

ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไมผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วรรคท้าย ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา 879 วรรคแรก ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย หรือเหตุอื่น ซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกได้นำบ้านของตนไปทำประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันภัย โดยระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์นั้น เอกย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยตามมาตรา 863 สัญญาประกันวินาศภัยจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า เมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา (อัคคีภัย) บริษัทผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันวินาศภัยให้กับเอกหรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 879 วรรคแรกนั้น เป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย

จึงต้องตีความโดยเคร่งครัดว่าผู้รับประกันภัย มีสิทธิปฏิเสธไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ได้ จะต้องปรากฏว่าวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการกระทำโดยทุจริตหรือเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์เท่านั้น

ถ้าเป็นความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลอื่นๆ แม้จะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์สักเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่ทำให้ผู้รับประกันภัยพ้นความรับผิดไปไต้

ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โทได้วางเพลิงเผาบ้านของเอก และไฟได้ไหม้บ้านของเอกที่เอาประกันภัยไว้เสียหายทั้งหลัง ซึ่งกรณีนี้แม้ว่าโทจะกระทำโดยทุจริต คือ วางเพลิงเผาบ้านเพื่อหวังเงินจากบริษัทประกันภัยก็ตาม

แต่เมื่อโทเป็นเพียงภริยาของเอกมิใช่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ กรณีจึงไม่เข้า ข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันภัยจะปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 879 วรรคแรก ดังนั้น เมื่อมีภัย (อัคคีภัย) เกิดขึ้น และภัยที่เกิดตรงกับที่ได้ระบุไว้ในสัญญา บริษัทจึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวน 2 ล้านบาท ให้กับเอกตามมาตรา 877(1) ประกอบวรรคท้าย 

สรุป บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาให้กับเอกผู้เอาประกันภัย 

 

ข้อ 3. นายยอดทำสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2553 วงเงิน 1 แสนบาท ระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี แบบอาศัยความมรณะ

ในปีต่อมาธุรกิจการค้าของนายยอดขาดทุนอย่างหนัก นายยอดกลุ้มใจมากจึงไช้ปืนยิงตัวเอง เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2554 แต่กระสุนไม่ถูกที่สำคัญจึงไม่เสียชีวิตทันทีเพียงแต่บาดเจ็บสาหัส

ครั้นวันที่ 1 กันยายน 2554 นายยอดได้เสียชีวิตด้วยบาดแผลดังกล่าวขณะที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล ดังนี้ บริษัทประกันชีวิต ต้องจ่ายเงิน 1 แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1)           บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใบปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ

(2)           บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรมให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เมื่อผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกับชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ เว้นแต่บุคคลนั้นจะฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาไม่ว่าจะถึงแก่ความตายในทันทีหรือไม่ก็ตาม หรือเป็นกรณีที่บุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตาย โดยเจตนา (มาตรา 895)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายยอดฆ่าตัวตายโดยการใช้ปืนยิงตัวเอง แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิต แต่การที่นายยอดสมัครใจฆ่าตัวตายภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญา คือภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2553 นั้น ถือเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญา แม้จะถึงแก่ความตายภายหลัง 1 ปี แล้วก็ตาม ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงได้รับยกเว้นความรับผิด ไม่ต้องจ่ายเงินประกัน 1 แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา 895(1)

สรุป บริษัทประกับชีวิตไม่มีหน้าที่จ่ายเงิน 1 แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555
 
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
 
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. นายเด่นเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า นายเด่นได้ยื่นคำขอเอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาคภัยแห่งหนึ่ง กรมธรรม์มีกำหนดระยะเวลาคุ้มครอง 2 ปี จำนวนเงินเอาประกันภัยคือ 100 ล้านบาท แต่เนื่องจากโรงงานของนายเด่นอยู่ติดกับสถานีบริการน้ำมันและแก๊สจึงทำให้ต้องชำระเบี้ยประกันภัย 100,000 บาท แต่ถ้าเป็นโรงงานที่ไม่ติดกับสถานีบริการแก๊สและน้ำมัน บริษัทประกันเรียกเก็บเบี้ยประกันปีละ 40,000 บาท โดยนายเด่นผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันให้บริษัทประกันฯ เรียบร้อยแล้ว ต่อมาในระหว่างปีแรกของสัญญาประกันภัยสถานีบริการน้ำมันฯ ที่อยู่ติดกับโรงงานของนายเด่นถูกรื้อถอนปิดกิจการลง อยากทราบว่า นายเด่นมีสิทธิอย่างไร เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย
ธงคำตอบ
 
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 864 “เมื่อคู่สัญญาประกันภัยยกเอาภัยใดโดยเฉพาะขึ้นเป็นข้อพิจารณาในการวาง กำหนดจำนวนเบี้ยประกันภัย และภัยเช่นนั้นสิ้นไปหามีไม่แล้ว ท่านว่าภายหน้าแต่นั้นไปผู้เอาประกันภัยชอบที่จะได้ลดเบี้ยประกันภัยลงตามส่วน”
 
วินิจฉัย
 
กรณีตามอุทาหรณ์การที่นายเด่นซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า ได้ทำสัญญาประกันอัคคีภัย ไว้กับบริษัทประกับวินาศภัยโดยมีกรมธรรม์กำหนดระยะเวลาคุ้มครอง 2 ปี และบายเด่นผู้เอาประกับภัยได้ชำระเบี้ยประกันให้บริษัทประกันภัยเรียบร้อยแล้วเป็นจำนวน 100,000 บาท ตามที่บริษัทประกับภัยได้เรียกเก็บ ซึ่งจำนวน เบี้ยประกับภัยดังกล่าวนั้นนายเด่นและบริษัทประกันภัยได้พิจารณาจากภัยที่จะเกิดจากสถานีน้ำมันและแก๊ส โดยเฉพาะเป็นข้อกำหนดในการเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยซึ่งสูงขึ้นกว่าปกติจาก 40,000 บาท เป็น 100,000 บาท
และจากข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าสถานีบริการน้ำมันและแก๊สที่อยู่ติดกันโรงงานของนายเด่น ได้ถูกรื้อถอนปิดกิจการลง ย่อมถือว่าภัยโดยเฉพาะที่คู่สัญญาได้กำหนดไว้หมดสิ้นไป กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 864 ที่เมื่อขึ้นปีที่ 2 นายเด่นชอบที่จะได้ลดเบี้ยประกับภัยลงได้ โดยการชำระเบี้ยประกันภัยให้บริษัทประกันภัยเพียง 40,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราเบี้ยประกันภัยในกรณีการเสี่ยงภัยตามปกติ แต่จะขอลดเบี้ยประกันภัยในปีที่ 1 ไม่ได้
สรุป นายเด่นมีสิทธิขอลดเบี้ยประกันภัยลงได้ในปีที่ 2 ให้เหลือเพียง 40,000 บาท แต่จะลดเบี้ยประกันภัยในปีที่ 1 ไม่ได้ 

 

ข้อ 2. นายสมบูรณ์ทำสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทแดงในวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 จำนวนเงินเอาประกัน 100,000 บาท ในวับที่ 14พฤษภาคม 2552 ได้ทำประกันอัคคีภัยบ้านหลังนี้อีก กับบริษัทดำ จำนวนเงินเอาประกัน 200,000 บาท ต่อมาภายในอายุสัญญาประกัน บ้านที่ทำประกัน ถูกไฟไหม้เสียหายไป 100,000 บาท ดังนี้ นายสมบูรณ์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท ประกันภัยทั้งสองบริษัทอย่างไรบ้าง เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 870 “ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นพร้อมกันเพื่อความวินาศภัยอันเดียวกัน และจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยรวมกันทั้งหมดนั้นท่วมจำนวนที่วินาศจริงไซร้ ท่านว่าผู้รับประโยชน์ ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงเสมอจำนวนวินาศจริงเท่านั้น ผู้รับประกันภัยแต่ละคนต้องใช้เงินจำนวน วินาศจริงแบ่งตามส่วนมากน้อยที่ตนได้รับประกันภัยไว้

อันสัญญาประกันภัยทั้งหลาย ถ้าลงวันเดียวกัน ท่านให้ถือว่าได้ทำพร้อมกัน

ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน ท่านว่าผู้รับประกันภัย คนแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวน วินาศภัยไซร้ ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆ กันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมบูรณ์นำบ้านชองตนไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทแดง ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 และต่อมาในวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 ได้นำไปประกันไว้กับบริษัทดำอีกนั้น ถือเป็นเรื่องการประกันวินาศภัยหลายรายในวัตถุเดียวกันและเป็นสัญญาสืบต่อเนื่องกัน ซึ่งตามหลักในเรื่องการชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนกรณีเกิดวินาศภัยนั้น ผู้รับประโยชน์จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเท่าที่เสียหายจริง และตาม มาตรา 870 วรรคสามได้กำหนดไว้ว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน ผู้รับประกันภัยคนแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัย คนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัย ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อ ๆ กันไป จนกว่าจะคุ้มวินาศภัย

เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่า บ้านที่เอาประกันถูกไฟไหม้เสียหายเพียง 100,000 บาท ซึ่งบริษัทแดงที่ได้รับประกันไว้ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 ในวงเงิน 100,000 บาท จึงต้องรับผิดเพื่อความวินาศก่อน ดังนั้นนายสมบูรณ์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทแดงผู้รับประกันภัยรายแรกได้เต็มจำนวนเงินประกัน คือ 100,000 บาท และเมื่อได้รับเงินจากบริษัทแดง 100,000 บาทแล้ว ย่อมถือว่าคุ้มจำนวนวินาศภัยแล้ว จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทดำอีก

สรุป นายสมบูรณ์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทแดงได้เต็มจำนวนเงินประกัน คือ 100,000 บาท แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทดำไม่ได้ เพราะจำนวนเงินที่บริษัทแดงได้ใช้ให้นั้นคุ้มจำนวน วินาศภัยแล้ว

 

ข้อ 3. ดำเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของขาวและเหลือง ดำได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตของบิดามารดา โดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะไว้กับบริษัท ประกันชีวิต จำกัด เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2555 โดยแยกเป็นสองกรมธรรม์ ๆ ละ 1 ล้านบาท สัญญากำหนด 5 ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ขาวกับเหลืองได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรงเนื่องจากขาวได้ไปติดพันหญิงอื่นทำให้ เหลืองไม่พอใจ ขาวบันดาลโทสะจึงใช้ปืนยิงเหลืองตาย และฆ่าตัวตายตามไปด้วย จงวินิจฉัยว่า บริษัทประกับชีวิตจะต้องจ่ายเงินตามสัญญาๆ ให้แก่ดำผู้รับประโยชน์อย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1)           บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ

(2)           บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

โดยหลัก เมื่อผู้เอาประกันชีวิต หรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับประกัน จะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้น เว้นแต่บุคคลนั้นจะได้กระทำอัตวินิบาตหรือฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา หรือบุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดำซึ่งเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของขาวและเหลืองได้ไปทำสัญญา ประกันชีวิตของบิดามารดาของตนโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะไว้กับบริษัท ประกันชีวิต จำกัด และระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมสามารถทำได้เพราะถือว่าดำผู้เอาประกันมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

เมื่อปรากฏว่าหลังจากทำสัญญาได้ 1 ปี 2 วัน ขาวได้ฆ่าตัวตาย และได้ฆ่าเหลืองตายด้วย ดังนี้ เมื่อมีมรณภัยเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ถูกเอาประกัน บริษัทประกันชีวิตจึงต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ดำผู้รับประโยชน์ ทั้ง 2 กรมธรรม ทั้งนี้เพราะกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 895 (1) หรือ (2) กล่าวคือ แม้ขาวจะฆ่าตัวตาย ด้วยใจสมัครแต่ก็เกินเวลา 1 ปีแล้ว และเหตุมรณะของเหลืองก็ไม่ได้เกิดจากดำซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงอ้างข้อยกเว้นไม่ได้ทั้ง 2 กรณี และจะต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ ในสัญญา

สรุป บริษัทประกันชีวิตจะต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ดำผู้รับประโยชน์ทั้ง 2 กรมธรรม์

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายกรุงไทย นำรถยนต์ที่เช่าซื้อกับบริษัทกรุงเก่า ไปทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัยจำกัด โดยนายกรุงไทยเป็นผู้เอาประกันภัย และระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากทำสัญญาประกันภัยได้สามเดือน นายกรุงไทยได้ค้างชำระค่าเช่าซื้อกับบริษัทกรุงเก่า ทำให้บริษัทกรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ นายกรุงไทยจึงเปลี่ยนแปลงข้อตกลง ในสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกับภัย จำกัด โดยระบุให้นายกรุงไทยเป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากนั้นรถยนต์คันดังกล่าวได้สูญหายไป นายกรุงไทยจึงเรียกให้บริษัทมั่นคงประกับภัย จำกัดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่บริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด ปฏิเสธใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยอ้างว่า นายกรุงไทยยังค้างชำระค่าเช่าฃื้ออยู่ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน

ดังนี้ ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ฟังขึ้นหรือไม่ และนายกรุงไทยจะฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่า บุคคลภายบอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น

มาตรา 375 “เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลง หรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่

มาตรา 376 “ข้อต่อสู้อันเกิดแต่มูลสัญญาดังกล่าวมาในมาตรา 374 นั้น ลูกหนี้อาจจะ ยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้จะได้รับประโยชน์จากสัญญานั้นได้

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คำว่า ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้

คำว่า ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คำว่า ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับคาสินไหมทดแทนหรือรับจำนวนเงินไช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกับภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด 

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง” 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกรุงไทยนำรถยนต์ที่เช่าชื้อไปทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด โดยระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมถือว่านายกรุงไทยเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในเหตุที่จะเอาประกันภัยตามมาตรา 863 สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

อย่างไรก็ตาม การที่นายกรุงไทยระบุในสัญญาให้บริษัท กรุงเก่า ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าชื้อเป็นผู้รับประโยชน์จึงเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยระบุให้บุคคลอื่นซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก จึงต้องปรับเข้ากับมาตรา 374375 และ 376 นั่นคือ ผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้นจะต้องแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยเสียก่อน สิทธิของผู้รับประโยชน์จึงจะเกิดขึ้น และเมื่อสิทธิของผู้รับประโยชน์เกิดขึ้นแล้ว ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย จะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของผู้รับประโยชน์ในภายหลังไม่ได้

กรณีตามข้อเท็จจริง การที่บริษัท กรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชำระค่าเช่าชื้อที่ ค้างชำระนั้น ย่อมแสดงว่า บริษัท กรุงเก่า ได้สละเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยแล้ว

นายกรุงไทยผู้เอาประกันภัยจึงมีสิทธิเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาเข้าเป็บผู้รับประโยชน์เองได้ (มาตรา 862) นายกรุงไทยผู้เอาประกันภัยและบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด จึงเป็นคู่สัญญาที่มีสิทธิได้รับประโยชน์จาก สัญญาประกันภัยซึ่งกันและกันตามหลักทั่วไป

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ที่นายกรุงไทยได้เอาประกันภัยไว้สูญหายไป บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยจึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับนายกรุงไทยตามมาตรา 877

ถึงแม้ว่านายกรุงไทยจะค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ก็ตาม (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1950/2543) ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ที่ว่านายกรุงไทยยังค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจึงฟังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

สรุป ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ฟังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้ บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

 

ข้อ 2. นายเอเจ้าของบ้านราคา 3 ล้านบาททำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กันบริษัท สยามประกันวินาศภัยฯ โดยกรมธรรม์ระบุผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์คือนายเอ ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี วงเงิน เอาประกันภัย 2 ล้านบาท หลังจากทำสัญญาไปได้ 5 เดือน นายเอขายบ้านนี้ให้แก่นายบีราคา 5 ล้านบาท โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนฯ อีก 2 เดือนต่อมาไฟไหม้ข้างบ้าน แล้วลุกลาม มาไหม้บ้านหลังดังกล่าวหมด นายเอเรียกให้บริษัท สยามฯ จ่ายค่าสินไหมทดแทนอ้างว่าตนเอง เป็นผู้เอาประกันจึงมีสิทธิและเป็นทั้งผู้รับประโยชน์ด้วย ส่วนนายบีก็เรียกค่าสินไหมทดแทนจาก บริษัท สยามฯ อ้างว่าตนรับโอนวัตถุที่เอาประกันภัยมาจึงทำให้รับเอาสิทธิตามสัญญาประกันภัยจาก นายเอมาด้วย

อยากทราบว่าข้ออ้างของบายเอและนายบีถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 875 “ถ้าวัตถุอันได้เอาประกับภัยไว้นั้น เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรม ก็ดี หรือโดยบทบัญญัติกฎหมายก็ดี ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ย่อมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัย และบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอนเช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ (1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอซึ่งเป็นเจ้าของบ้านได้ทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัท สยามประกันวินาศภัยฯโดยกรมธรรม์ระบุผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์คือนายเอนั้น ในขณะที่นายเอได้เอาบ้าน ไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้นั้น นายเอเป็นเจ้าของบ้านและมีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้นโดยที่นายเอยังไม่ได้ขายบ้าน ให้แก่นายบี จึงถือว่านายเอผู้เอาประกันมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นตามมาตรา 863

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อนายเอผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ได้ขายบ้านหลังดังกล่าวให้แก่นายบี ซึ่งเป็นการโอนวัตถุที่เอาประกันไปแล้ว ส่วนได้เสียในบ้านที่ทำสัญญาประกันภัยไว้จึงหมดไป ทำให้นายเอ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน อีกทั้งนายเอได้เงินจากการขายบ้านมา 5 ล้านบาท นายเอจึงไม่เสียหายแล้ว แต่คนที่เสียหายคือนายบี และหากบริษัท สยามๆ จ่ายเงิน 2 ล้านบาทให้นายเอ ย่อมมีผลทำให้นายเอได้กำไร จากสัญญาประกันภัย ซึ่งขัดต่อหลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 877(1) ที่กำหนดให้ผู้รับประกันภัย จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริงซึ่งต้องไม่ได้กำไรนั่นเอง

และตามข้อเท็จจริง การที่นายเอได้ขายบ้านให้แก่นายบี ซึ่งถือว่าเป็นการโอนวัตถุที่เอาประกันภัย โดยทางนิติกรรมสัญญาตามมาตรา 875 วรรคสอง มิใช่เป็นกรณีที่วัตถุที่เอาประกันภัยไว้นั้นเปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรม หรือโดยบทบัญญัติกฎหมายตามมาตรา 875 วรรคแรก ดังนั้นสิทธิอันมีอยู่ ในสัญญาประกันภัยนั้นจะโอนไปด้วยก็ต่อเมื่อได้มีการบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยด้วย แต่เมื่อการโอนวัตถุที่เอาประกันภัยดังกล่าว มิได้มีการบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัย สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัย จึงไม่โอนไปยังนายบี ดังนั้นเมื่อบ้านที่ได้ทำสัญญาประกันภัยไว้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด นายบีจึงไม่มีสิทธิเรียก ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท สยามฯ เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 875 วรรคสอง

สรุป ข้ออ้างของนายเอและนายบีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายสมคิดได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกับชีวิตแห่งหนึ่ง จำนวนเงินที่เอาประกัน 3 ล้านบาท มีกำหนดระยะเวลา 15 ปี โดยระบุให้นางสมศรีภริยา เป็นผู้รับประโยชน์ นายสมคิดได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับนางสมศรี และนางสมศรีได้เดินทางไปแจ้งให้บริษัทประกันชีวิตทราบด้วยตนเอง ณ สำนักงานของบริษัทฯ ว่าตนไม่ขัดข้อง ในการเป็นผู้รับประโยชน์ ปรากฏว่าหลังจากนั้นอีก 3 ปี นายสมคิดกับนางสมศรีได้หย่าขาดจากกัน และนางสมศรีได้ไปแต่งงานใหม่กับนายพรชัยซึ่งนายพรชัยได้สืบทราบว่าถ้านายสมคิดถึงแก่ความตายแล้ว นางสมศรีจะไต้รับเงินเอาประกันจำนวน 3 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้ นายพรชัยจึงได้ไป ลักลอบฆ่านายสมคิดถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต

ดังนี้ บริษัทผู้รับประกันชีวิตของนายสมคิด ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับนางสมศรีซึ่งเป็น ผู้รับประโยชน์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา 890 “จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว หรือเป็นเงินรายปีก็ได้ สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1)           บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ

(2)           บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

โดยหลัก เมื่อผู้เอาประกันชีวิต หรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับ ประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ เว้นแต่ บุคคลนั้นจะฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา หรือบุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมคิดได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุมรณะ และระบุให้นางสมศรีเป็นผู้รับประโยชน์นั้น แม้ต่อมานายสมคิดและนางสมศรีจะได้หย่าขาดจากกันก็ตาม สัญญาประกันชีวิตนั้นก็ยังคงสมบูรณ์ ไม่ทำให้สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด กล่าวคือ เมื่อนายสมคิดผู้เอาประกันภัยถึงแก่ความตาย บริษัทประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้แก่นางสมศรี ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาตามมาตรา 889 และมาตรา 890

และข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายสมคิดได้ถึงแก่ความตายนั้น ก็ไม่ได้เกิดจาก การกระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญา หรือได้ถูกผู้รับประโยชน์คือนางสมศรีฆ่าตาย โดยเจตนาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะถูกนายพรชัยสามีใหม่ของนางสมศรีฆ่าตายโดยเจตนา จึงไม่เข้าข้อยกเว้น ที่ผู้รับประกันชีวิตจะไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา 895 ดังนั้น บริษัทผู้รับประกันชีวิตของ นายสมคิดจึงต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับนางสมศรีซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์

สรุป บริษัทผู้รับประกันชีวิตของนายสมคิดต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับนางสมศรี ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ1 นายเก่งเป็นเจ้าของบ้านราคา 3 ล้านบาท ได้ยื่นเอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันอัคคีภัยแห่งหนึ่ง วงเงินเอาประกัน 2 ล้านบาท มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี หลังจากทำสัญญาประกันภัยไป 3 เดือ นายเก่งขายบ้านที่เอาประกันให้นายขวดราคา 5 ล้านบาท โดยทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ อีก 1 เดือนต่อมาไฟไหม้บ้านที่เอาประกับภัยหมดทั้งหลัง อยากทราบว่าสัญญาประกันภัยยังคงผูกพันหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 869 “อันคำว่า วินาศภัย” ในหมวดนี้ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดาซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้

วินิฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งซึ่งเป็นเจ้าของบ้านได้ยื่นเอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกับภัยแห่งหนึ่งนั้น จะเห็นได้ว่าในขณะที่นายเก่งได้เอาบ้านไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้นั้น นายเก่งเป็นเจ้าของและมีกรรมสิทธ์ในบ้านหลังนั้น

จึงถือว่านายเก่งมีความสัมพันธ์คือมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันกันไว้ ซึง ส่วนได้เสียนั้นจะต้องพิจารณาขณะทำสัญญาประกันภัยด้วย เมื่อปรากฏว่าขณะทำสัญญาประกันภัยนายเก่งยัง ไม่ได้ขายบ้าน จึงถือว่านายเก่งผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันไว้แล้วตามมาตรา 863

และเมื่อการทำสัญญาประกันภัยรายนี้เป็นสัญญาประกันวินาศภัย ซึ่งเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นนายเก่งสามารถตีราคาความเสียหายออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้ตามมาตรา 869 คือ 3 ล้านบาทตามราคาบ้าน ดังนั้นสัญญาประกันภัยระหว่างนายเก่งกับบริษัทประกันภัยจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

สรุป สัญญาประกันภัยยังคงผูกพันคู่สัญญา

 

ข้อ 2. นายวีรภาพทำสัญญาเอาประกันวินาศภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองทุกอย่าง รวมทั้งความเสียหายที่เกิดกับตัวรถที่เอาประกันด้วย วงเงินเอาประกัน 5 แลนบาท

ในระหว่างอายุสัญญานายเอกภาพขับรถโดยประมาทชนท้ายรถของนายวีรภาพเสียหาย บริษัทประกันภัยจึงนำรถยนต์ของบายวีรภาพไปให้นายโชคดีซ่อม คิดเป็นเงิน 5 หมื่นบาท แต่บริษัทประกันยังมิได้จ่ายค่าซ่อมรถให้แก่นายโชคดีเจ้าของอู่

เมื่อซ่อมรถของนายวีรภาพเสร็จ นายวีรภาพได้รับมอบรถไปแล้ว บริษัทประกันภัยเรียกร้องให้นายเอกภาพ จ่ายค่าซ่อมรถ แต่นายเอกภาพปฏิเสธ ดังนี้ บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าซ่อมรถ 5 หมื่นบาทจาก นายเอกภาพได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 438 วรรคสอง อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่ การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย

มาตรา 880 วรรคแรก ‘‘ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภาบนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิชองผู้เอาประกันภัย และของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น

วินิจฉัย

โดยหลัก ถ้าความวินศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอก เมื่อผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว กฎหมายได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยไปเรียกร้องเอาจากบุคคลภายนอกนั้นได้ตามมาตรา 880 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ นายวีรภาพทำสัญญาเอาประกับวินาศภัยรถยนต์ชองตนไว้กับบริษัทประกันภัย และในระหว่างอายุสัญญานายเอกภาพได้ขับรถโดยประมาทชนท้ายรถของนายวีรภาพเสียหาย กรณีนี้ ถือว่าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของนายเอกภาพซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว และการที่บริษัทประกันภัย ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปให้นายโชคดีซ่อมจนใช้การได้

และส่งมอบรถยนต์ให้นายวีรภาพแล้วนั้น ถือว่าเป็นการคืนทรัพย์ตามมาตรา 438 วรรคลอง ซึ่งถือได้ว่าผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยแล้ว (เทียบฎีกาที่ 1006/2503) ดังนั้น บริษัทประกันภัยจึงสามารถเข้ารับช่วงสิทธิชองนายวีรภาพผู้เอาประกันภัย เรียกค่าซ่อมรถยนต์ 5 หมื่นบาทจากนายเอกภาพได้ตามมาตรา 880 วรรคแรก

ส่วนการที่บริษัทประกันภัยติดค้างค่าซ่อมรถ ซึงยังมิได้ชำระให้แก่นายโชคดีเจ้าองอู่นั้น เป็นหนี้ตามสัญญาจ้างทำของระหว่างบริษัทประกันภัยกับนายโชคดีซึ่งเป็นหนี้ต่างหากจากกัน ไม่เกี่ยวกับการที่บริษัทประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายวีรภาพ

สรุป บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน 5 หมื่นบาท จากนายเอกภาพได้ เพราะเป็นกรณีที่บริษัทประกันภัยเข้ารับช่วงสิทธิตามมาตรา 880

 

ข้อ 3. หนึ่งกับสองเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรชายคนหนึ่งคือสาม สามได้ไปทำสัญญา ประกันชีวิตของสองมารดาของตนไว้กับบริษัทประกันชีวิต จำกัด เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554 จำนวนเงินที่เอาประกัน 2 ล้านบาท สัญญากำหนด 5 ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์

ต่อมา วันที่ 1 มีนาคม 2554 สามก็ได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตของหนึ่งบิดาอีกกรมธรรม์หนึ่งไว้กับบริษัทเดียวกันนั้น จำนวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท สัญญากำหนด 5 ปี โดยระบุให้สามเป็นผู้รับประโยชน์อีกเช่นกัน

ต่อมาวันที 1 กุมภาพันธ์ 2555 หนึ่งกับสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง เนื่องจก หนึ่งไปติดพันสีซึ่งเป็นสาวสวยข้างบ้านจึงทำให้สองเกิดการหึงหวง หนึ่งบันดาลโทสะจึงใช้ปืนยิงสองถึงแก่ความตายและด้วยความเสียใจในเหตุที่เกิดขึ้นเขาจึงได้ยิงตัวตายตามสองไป สามจึงไปขอรับเงิน จากบริษัทประกันชีวิตตามสัญญาทั้ง 2 กรณีดังกล่าว

จงวินิจฉัยว่าบริษัทจะต้องชดใช้เงินหรือปฏิเสธ ไม่ใช้เงินแก่สาม เนื่องจากเหตุการตายของหนึ่งและสองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อับสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1)           บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ

(2)           บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สามซึ่งเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของหนึ่งและสอง ได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตของสองมารดาของตน และได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตของหนึ่งบิดาอีกกรมธรรมหนึ่งไว้กับบริษัท ประกันชีวิต จำกัด โดยระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมสามารถทำได้เพราะถือว่าสามผู้เอาประกัน มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

แต่อย่างไรก็ตาม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 895 ผู้รับประกันภัยสามารถปฏิเสธการใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตได้ ในกรณีที่

1.             บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิตกระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา

2.             บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์บริษัทจะต้องชดใช้เงินหรือปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สาม เนื่อจากเหตุ การตายของหนึ่งและสองได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีที่หนึ่งใช้ปืนยิงตัวตาย ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ถูกเอาประกับชีวิตกระทำอัดวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญา ดังนั้นบริษัทจึงปฏิเสธการใช้เงินให้แก่สามตามสัญญาประกันชีวิตได้ตาม มาตรา 895(1)

ส่วนกรณีที่หนึ่งใช้ปืนยิงสองตายแม้เป็นการฆ่าสองตายโดยเจตนา แต่หนึ่งมิใช่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกับชีวิต จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา ตามมาตรา 895(2) ดังนั้นบริษัทจึงปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สามตามสัญญาประกันชีวิตไม่ได้ บริษัทจะต้องชดใช้เงินให้แก่สาม

สรุป บริษัทสามารถปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สามเนื่องจากการตายของหนึ่งได้ แต่จะต้องชดใช้เงินไปให้แก่สาม เนื่องจากการตายของสองจะปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สามไม่ได้

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 2/2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายดำมอบให้นายแดงเอารถยนต์ไปขาย  ในขณะที่นายแดงนำรถยนต์ออกตระเวนขายไปตามปกติ  ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้เกิดไฟไหม้เสียหายทั้งคันโดยไม่ทราบสาเหตุ  หากนายแดงได้เสียค่าใช้จ่ายในการนี้ไปก่อนแล้ว  อาทิเช่น  ค่าน้ำมันรถ  ค่าเติมน้ำมันเครื่อง  ค่าเปลี่ยนยางรถยนต์  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายแดงจะมีสิทธิในการเรียกร้องเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ  ที่ว่านี้จากนายดำหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  797  อันว่าสัญญาตัวแทนนั้น  คือสัญญาซึ่งให้บุคคลคนหนึ่งเรียกว่าตัวแทน  มีอำนาจทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าตัวการและตกลงจะทำการดังนั้น

อันความเป็นตัวแทนนั้นจะเป็นโดยตั้งแต่แสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็ย่อมได้

มาตรา  816  ถ้าในการจัดทำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น  ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป  ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นได้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้

มาตรา  820  ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทน

วินิจฉัย

นายดำมอบให้นายแดงเอารถยนต์ของตนออกขายแสดงว่ามอบให้ไปติดต่อผูกพันกับบุคคลภายนอก  หรือบุคคลที่สาม  ข้อตกลงระหว่างนายดำกับนายแดงจึงเป็นสัญญาตัวแทนตามมาตา  797  ประกอบมาตรา  820  เมื่อเกิดสัญญาแล้ว  คู่สัญญาย่อมมีสิทธิหน้าที่ซึ่งกันและกันตามที่ได้ตกลงกันไว้  แม้ตามอุทาหรณ์นายแดงตัวแทนจะยังไม่ทันได้เข้าผูกพันกับบุคลภายนอกคือผู้ซื้อรถยนต์เลยก็ตาม  แต่ก็เป็นสัญญาตัวแทนที่สมบูรณ์อยู่  ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลภายนอกหรือบุคคลที่สามเป็นเพียงวัตถุประสงค์ของสัญญาเท่านั้น  ไม่ใช่ความสมบูรณ์ของสัญญาตัวแทนแต่อย่างใด  และแม้วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจะกลายเป็นพ้นวิสัย  ตัวการคือนายดำก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายต่างๆ  ที่นายแดงได้จ่ายไปก่อนแล้ว  รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกค่าใช้จ่ายต่างๆ  ดังกล่าวนี้ด้วย  เพราะถือว่าเป็นเหตุที่ควรนับว่าเป็นการจำเป็นในการที่ได้จ่ายไปเช่นนั้นในการจัดทำกิจการอันตัวการมอบหมายให้แก่ตน  ตามมาตรา  816

สรุป  นายแดงมีสิทธิเรียกร้องเงินค่าใช้จ่ายต่างๆนั้นจากนายดำ

 

ข้อ  2  นายเอกเปิดร้านขายคอมพิวเตอร์อยู่ที่ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า  นายโทมีคอมพิวเตอร์ใช้แล้วหนึ่งเครื่องต้องการขายเพื่อซื้อเครื่องใหม่  จึงได้นำคอมพิวเตอร์ของตนไปฝากนายเอกขายในราคา  20,000  บาท  โดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้ค่าตอบแทนจำนวน  2,000  บาท  ปรากฏว่านายเอกได้ขายคอมพิวเตอร์ให้นายตรีในราคา  19,000  บาท  ดังนี้อยากทราบว่า

(ก)  ถ้านายเอกจ่ายค่าคอมพิวเตอร์ให้นายโทจำนวน  19,000  บาท  นายโทจะปฏิเสธไม่ยอมรับเงินจำนวนดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และถ้านายเอกรับใช้เศษเงินที่ขาดไปจำนวน  1,000  บาท  นายโทจะปฏิเสธไม่รับการขายดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  ถ้านายเอกขายคอมพิวเตอร์ได้ราคา  21,000  บาท  นายเอกจะกันเงินจำนวน  1,000  บาทไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  812  ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใดๆเพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี  เพราะไม่ทำการเป็นตัวแทนก็ดี  หรือเพราะทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจก็ดี  ท่านว่าตัวแทนจะต้องรับผิด

มาตรา  839  ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายเป็นราคาต่ำไปกว่าที่ตัวการกำหนด  หากว่าตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดนั้นแล้ว  ท่านว่าการขาย อันนั้นตัวการก็ต้องรับขาย

มาตรา  840  ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด  ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่  ต้องคิดให้แก่ตัวการ

วินิจฉัย

(ก)  ถ้านายเอกจ่ายค่าคอมพิวเตอร์ให้นายโทจำนวน  19,000  บาท  นายโทมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมรับเงินจำนวนดังกล่าวได้  เพราะนายโทได้ตกลงให้นายเอกขายในราคา  20,000  บาท  แต่นายเอกขายไปในราคา  19,000  บาท  เป็นการขายต่ำกว่าราคาที่กำหนด  ถือว่าเป็นการขายโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจซึ่งทำให้นายโทได้รับความเสียหาย  นายเอกจึงต้องรับผิดต่อนายโทตามมาตรา  812  และถ้านายเอกรับใช้เศษเงินที่ขาดไปจำนวน  1,000  บาท  นายโทจะปฏิเสธไม่รับการขายดังกล่าวไม่ได้  นายโทตัวการจะต้องยอมรับการขายนั้นตามมาตรา  839  เพราะนายโทได้รับเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ครบแล้ว  ถือว่าการขายมีผลสมบูรณ์และถือเสมือนว่านายโทตัวการได้ให้สัตยาบันแก่การขายนั้นแล้ว

(ข)  ถ้านายเอกขายคอมพิวเตอร์ได้ราคา  21,000  บาท  นายเอกจะกันเงินจำนวน  1,000  บาท  ไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวไม่ได้  เพราะตัวแทนค้าต่างจะแสวงหาประโยชน์จากการเป็นตัวแทนนอกเหนือจากค่าบำเหน็จที่ตกลงกันไว้ไม่ได้  เพราะผลกำไรจากกิจการนั้นมีจำนวนเท่าใดก็ต้องตกเป็นของตัวการ  ตัวแทนค้าต่างจะเก็บไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวไม่ได้ตามมาตรา  840

 

ข้อ  3  นายเอกต้องการจะขายรถยนต์คันหนึ่ง  จึงได้ขอให้เด็กชายโทอายุ  13  ปี  ช่วยติดต่อหาคนซื้อโดยตกลงจะให้ค่านายหน้าไว้  เด็กชายโทสืบทราบว่านายตรีต้องการจะซื้อรถยนต์  จึงพานายตรีไปพบนายเอกจนได้มีการวางมัดจำและตกลงจะชำระเงินที่เหลือในวันที่ไปจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก  แต่ต่อมาไม่มีการจดทะเบียนกัน  ดังนี้  นายเอกจะปฏิเสธความรับผิดค่าบำเหน็จนายหน้าโดยอ้างว่าเด็กชายโทเป็นผู้เยาว์  และไม่มีการซื้อขายรถยนต์กัน  เช่นนี้จะได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

ผู้เยาว์เป็นนายหน้าได้หรือไม่  เห็นว่า  ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามเลยว่าผู้ไร้ความสามารถเป็นนายหน้าไม่ได้  ประกอบกับเมื่อพิจารณาหน้าที่ของนายหน้าตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  845  แล้วเห็นว่า  นายหน้านั้นมีหน้าที่ชี้ช่องจัดการให้เขาได้ทำสัญญากันเท่านั้น  นายหน้าไม่ได้เข้าทำสัญญาเองเลย  และก็ไม่ได้ทำแทนใครด้วย  บุคคลผู้ไร้ความสามารถเช่นผู้เยาว์หรือเด็กชายโทตามอุทาหรณ์นี้จึงอาจเป็นนายหน้าได้

เด็กชายโทมีสิทธิได้รับบำเหน็จนายหน้าหรือไม่  เห็นว่าการที่เด็กชายโทพานายตรีไปซื้อรถยนต์จากนายเอก  โดยมีการวางมัดจำและตกลงจะไปชำระเงินส่วนที่เหลือในวันที่จดทะเบียน  ถือว่าเด็กชายโทได้ทำหน้าที่ชี้ช่องหรือจัดการให้เขาเข้าทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กันเสร็จแล้ว  นายเอกจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายบำเหน็จนายหน้าให้แก่เด็กชายโท  ตามมาตรา  845  แม้ว่าภายหลังจะไม่ได้มีการชำระหนี้ส่วนที่เหลือและไปจดทะเบียนก็ตาม  ดังนั้น  เด็กชายโทจึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จ

สรุป  เด็กชายโทมีสิทธิเป็นนายหน้าได้  และมีสิทธิได้รับบำเหน็จนายหน้า

WordPress Ads
error: Content is protected !!