LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 (LA 201),(LW 204) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  สมัครเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับทางสาธารณะที่เป็นทางดินลูกรัง  แต่สมัครได้ทำถนนผ่านที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งทางราชการยังไม่เคยออกเอกสารสิทธิให้แก่ราษฎรผู้ใด  สมัครใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกที่ดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลากว่า  12  ปีแล้ว  เพราะเห็นว่าสะดวกกว่าการใช้ทางดินลูกรัง

ต่อมาทางราชการได้ล้อมรั้วเพื่อก่อสร้างสถานที่ราชการตรงที่ดินแปลงนั้น  ทำให้สมัครไม่สามารถใช้ถนนดังกล่าวได้  สมัครจึงยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้ทางราชการเปิดเส้นทางให้สมัครสามารถใช้ถนนผ่านเข้าออกได้เช่นเดิม  เพราะตกเป็นภาระจำยอมแล้ว  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างของสมัครรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1304  สาธารณะสมบัติของแผ่นดินนั้น  รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดิน  ซึ่งใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์  หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน  เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า  และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง  หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน

มาตรา  1306  ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น  กฎหมายห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินเพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้นตามมาตรา  1306

กรณีตามอุทาหรณ์  ถึงแม้สมัครจะทำถนนผ่านที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งทางราชการยังไม่เคยออกเอกสารสิทธิให้แก่ราษฎรผู้ใด  และใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกที่ดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลากว่า  12  ปีแล้วก็ตาม  สมัครก็ไม่ได้ภาระจำยอมซึ่งถือเป็นทรัพยสิทธิโดยอายุความปรปักษ์  เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา  1304(1)  ซึ่งห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดิน  ตามมาตรา  1306

ดังนั้น  เมื่อทางราชการได้ล้อมรั้วเพื่อก่อสร้างสถานที่ราชการตรงที่ดินแปลงนั้น  สมัครจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้ทางราชการเปิดเส้นทางให้สมัครสามารถใช้ถนนผ่านเข้าออกได้เช่นเดิมโดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวตกเป็นภาระจำยอมแล้วไม่ได้

สรุป  ข้ออ้างของสมัครรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  จิ๋วซื้อรถยนต์คันหนึ่งในราคา  250,000  บาท  จากเหวงซึ่งเป็นช่างซ่อมรถยนต์ของอู่ซ่อมรถยนต์แห่งหนึ่ง  โดยจิ๋วไม่รู้ว่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นของเบิ้มที่ถูกคนร้ายขโมยไปขายให้กับเหวงในราคา  150,000  บาท  และจิ๋วได้จ้างเหวงเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเครื่องยนต์เบนซินเป็นเครื่องยนต์ดีเซลอีกในราคา  30,000  บาท  หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายได้  และทราบว่ารถยนต์ของกลางอยู่ที่จิ๋ว เบิ้มจึงเรียกให้จิ๋วส่งมอบรถยนต์คืนให้ตน  แต่จิ๋วต่อสู้ว่าตนซื้อรถยนต์มาโดยสุจริต  ถ้าเบิ้มต้องการรถยนต์คืน  เบิ้มต้องจ่ายเงินให้จิ๋วตามราคาที่จิ๋วซื้อมาและค่าเปลี่ยนเครื่องรถยนต์เป็นเงิน  280,000  บาทก่อน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  จิ๋วจะต้องคืนรถยนต์ให้เบิ้มหรือไม่  และจิ๋วจะเรียกร้องอะไรจากเบิ้มได้บ้าง  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1316  ถ้าเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ไซร้  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน  แต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อื่น

ถ้าทรัพย์อันหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธานไซร้  ท่านว่าเจ้าของทรัพย์นั้นเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันแต่ผู้เดียว  แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่นๆ  ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้นๆ

มาตรา  1332  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

วินิจฉัย

โดยหลัก  การซื้อทรัพย์สินที่จะอยู่ภายใต้บังคับมาตรา  1332  อันจะทำให้บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินได้รับการคุ้มครองนั้น  ต้องเป็นการซื้อโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน  หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  จิ๋วซื้อรถยนต์คันหนึ่งจากเหวงซึ่งเป็นช่างซ่อมรถยนต์ของอู่ซ่อมรถยนต์แห่งหนึ่งในราคา  250,000  บาท  ซึ่งมิใช่เป็นการซื้อจากการขายทอดตลาดของเอกชน  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  จิ๋วผู้ซื้อจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  1332  แม้จิ๋วจะซื้อโดยสุจริตเพราะไม่รู้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของเบิ้มที่ถูกคนร้ายขโมยไปขายให้กับเหวงในราคา  150,000  บาทก็ตาม  ดังนั้นจิ๋วจะต้องคืนรถยนต์ให้แก่เบิ้มและไม่สามารถเรียกให้เบิ้มจ่ายเงิน  250,000  บาท  ตามราคาที่จิ๋วซื้อมาได้

ส่วนกรณีที่จิ๋วได้จ้างเหวงเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเครื่องยนต์เบนซินเป็นเครื่องยนต์ดีเซลในราคา  30,000  บาทนั้น  เป็นกรณีที่เอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบตามมาตรา  1316  วรรคแรก  โดยมีรถยนต์เป็นทรัพย์ประธานและเครื่องยนต์ดีเซลเป็นส่วนควบ  ดังนั้น  เบิ้มซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์จึงเป็นเจ้าของเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งเป็นส่วนควบนั้นด้วย  แต่เบิ้มจะต้องชดใช้เงินค่าเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน  30,000  บาท  ให้กับจิ๋วตามมาตรา  1316  วรรคสอง

สรุป  จิ๋วจะต้องคืนรถยนต์ให้กับเบิ้ม  และมีสิทธิเรียกให้เบิ้มชดใช้เงินได้แต่เฉพาะค่าเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน  30,000  บาทเท่านั้น

 

ข้อ  3  เมื่อวันที่  5  มกราคม  2540  คำปันได้นำพนักงานที่ดินรังวัดเพื่ออกโฉนดโดยผนวกที่ดิน  น.ส.3  ของคำม่วนซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของคำปัน  เพราะเห็นว่าคำม่วนไม่ได้ดูแลหรือทำประโยชน์ในที่ดินนั้นอย่างจริงจัง

โดยคำปันเริ่มเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของคำม่วนนับแต่วันที่นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัด  ทางราชการออกโฉนดให้คำปันวันที่  1  ตุลาคม  2540  ต่อมาวันที่  10  มกราคม  2541  คำม่วนได้ไปขอรังวัดเพื่อออกโฉนดบ้าง  คำม่วนจึงรู้ว่าคำปันออกโฉนดทับที่ดินของตน  คำม่วนจึงเจรจาขอที่ดินคืนจากคำปัน  แต่คำปันปฏิเสธไม่ยอมคืนโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนแล้ว  หลังจากนั้นวันที่  1 มิถุนายน  2542  คำม่วนจึงฟ้องศาลเพื่อเรียกคืนที่ดินพิพาทจากคำปัน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  คำม่วนจะฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1375  ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า  ซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น  ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง 

วินิจฉัย

โดยหลัก  ถ้าผู้ถูกครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  กฎหมายให้สิทธิผู้ครอบครองฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองได้ภายใน  1  ปี  นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง  โดยไม่คำนึงว่าผู้ครอบครองจะทราบว่าถูกแย่งการครอบครองหรือไม่  และไม่คำนึงว่าผู้ครอบครองได้โต้แย้งการครอบครองหรือไม่ตามมาตรา  1375

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่คำปันนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดโดยผนวกที่ดิน  น.ส.3  ของคำม่วนซึ่งมีเพียงสิทธิครอบครองไปด้วย  ซึ่งคำปันได้เริ่มเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของคำม่วน  นับแต่วันที่นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดคือวันที่  5  มกราคม  2540  นั้น  กรณีเช่นนี้ถือว่าคำปันได้เข้ายึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนแล้ว  คำปันจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดิน  น.ส.3  ของคำม่วนตามมาตรา  1367  และกรณีนี้ยังถือว่าคำปันได้แย่งการครอบครองที่ดิน  น.ส.3  ของคำม่วนด้วยตามมาตรา  1375  วรรคแรก  โดยทางราชการได้ออกโฉนดให้คำปันในวันที่  1  ตุลาคม  2540

ต่อมาวันที่  10  มกราคม  2541  คำม่วนได้ไปขอรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนด  จึงรู้ว่าคำปันแย่งสิทธิครอบครองที่ดินของตน  คำม่วนจึงเจรจาขอที่ดินคืนจากคำปัน  ซึ่งกรณีนี้เป็นเพียงการโต้แย้งผู้แย่งการครอบครองเท่านั้น  ดังนั้น  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  คำม่วนได้ฟ้องศาลเพื่อเรียกที่ดินพิพาทคืนจากคำปันในวันที่  1  มิถุนายน  2542  ซึ่งเกิน  1  ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครอง  คำม่วนจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทจากคำปันตามมาตรา  1375  วรรคสอง

สรุป  คำม่วนจะฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทจากคำปันไม่ได้

 

ข้อ  4  ป้อมตั้งแผงขายผลไม้อยู่ในที่ดินของแก่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแก่น  และต้องการเพียงใช้เป็นที่ขายผลไม้โดยไม่มีเจตนาจะยึดเป็นเจ้าของแต่อย่างใด  ป้อมใช้พื้นที่ดังกล่าวขายผลไม้ติดต่อกันได้  10  กว่าปีแล้ว  แก่นจึงแจ้งให้ป้อมย้ายออกไปจากที่ดินของตน  แต่ป้อมอ้างว่าตนใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นเวลากว่า  10  ปีแล้ว  จึงได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของแก่น  และเรียกให้แก่นไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้ป้อม  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างของป้อมที่ว่าได้ภาระจำยอมแล้วรับฟังได้หรือไม่  และป้อมจะเรียกให้แก่นจดทะเบียนภาระจำยอมให้กับตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

โดยหลัก  การได้ภาระจำยอมโดยอายุความ  เป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  ซึ่งตามมาตรา 1401  บัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิตามมาตรา  1382  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  กล่าวคือ  ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นโดยความสงบ  เปิดเผย  และเจตนาเป็นเจ้าของและครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี

แต่อย่างไรก็ตาม  ภาระจำยอมจะเกิดมีขึ้นได้ก็เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นซึ่งเรียกว่าสามยทรัพย์เท่านั้น  ตามมาตรา  1387  ดังนั้น  ถ้าเป็นการใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวแม้จะใช้ติดต่อกันนานเกินกว่า  10  ปี  ก็ไม่ทำให้เกิดภาระจำยอมโดยอายุความขึ้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ป้อมตั้งแผงขายผลไม้อยู่ในที่ดินของแก่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแก่นและต้องการเพียงใช้เป็นที่ขายผลไม้โดยไม่มีเจตนาจะยึดถือเป็นเจ้าของแต่อย่างใด  จึงไม่ใช่เป็นการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  เพราะป้อมไม่มีเจตนาเป็นเจ้าของ

และการที่ป้อมใช้ที่ดินของแก่นเพื่อตั้งแผงขายผลไม้ก็ไม่ใช่เป็นการใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น  แม้จะมีการใช้ที่ดินเพื่อขายผลไม้ติดต่อกันนานเกินกว่า  10  ปีแล้ว  ที่ดินของป้อมก็ไม่ได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของแก่นโดยอายุความปรปักษ์ตามมาตรา  1401 ประกอบมาตรา  1382  และมาตรา  1387

สรุป  ข้ออ้างของป้องที่ว่าได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของแก่นแล้วรับฟังไม่ได้  และป้อมจะเรียกให้แก่นจดทะเบียนภาระจำยอมให้กับตนไม่ได้เช่นกัน

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 (LA 201),(LW 204) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  ป่านทำสัญญาและจดทะเบียนยกบ้านและที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งให้ปอโดยเสน่หา  โดยปออนุญาตด้วยวาจาให้ป่านอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ตลอดไป ลังจากนั้น  3  ปี  ปอทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้แก้ว  หลังจากที่แก้วรับโอนที่ดินดังกล่าวแล้ว  แก้วแจ้งให้ป่านออกไปจากบ้านหลังนั้น

แต่ป่านไม่ยอมย้ายออกไปโดยอ้างว่าบ้านหลังดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ขอปอเพราะสัญญาซื้อขายที่ดินไม่ได้ระบุเรื่องบ้านไว้  ดังนั้น  ป่านจึงมีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ต่อไปตามที่ป่านได้รับอนุญาตจากปอ

ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  แก้วจะฟ้องขับไล่ป่านออกไปจากบ้านหลังนี้ได้หรือไม่  และข้ออ้างของป่านรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย 

มาตรา  144  ส่วนควบของทรัพย์  หมายความว่า  ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น  และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย  ทำให้บุบสลาย  หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น

มาตรา  1299 วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น  จะบริบูรณ์เป็นทรัพย์สิทธิได้  จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ  ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น  ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้  มาตรา  1299  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ป่านทำสัญญายกบ้านและที่ดินมีโฉนดให้ปอโดยเสน่หา  ปอจึงเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม เมื่อได้มีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  การได้มาดังกล่าวจึงมีผลบริบูรณ์เป็นทรัพย์สิทธิตามมาตรา  1299  วรรคแรก  และจากข้อเท็จจริงดังกล่าว  เมื่อปอได้อนุญาตให้ป่านอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ตลอดไป  ป่านจึงเป็นผู้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม  แต่เมื่อการได้มาซึ่งสิทธิอาศัยของป่านเป็นการอนุญาตด้วยวาจาไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  สิทธิอาศัยดังกล่าวจึงไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ  ทำให้ป่านไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้  แต่นิติกรรมนี้คงมีผลเป็นบุคคลสิทธิ  ซึ่งใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาคือปอเท่านั้นตามมาตรา  1299  วรรคแรก

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ต่อมาปอได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้แก้ว  แก้วจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินนั้นด้วย  ในฐานะที่บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน  เพราะบ้านถือว่าเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของที่ดินโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นและไม่อาจแยกออกจากกันได้นอกจากจะทำลาย  ทำให้บุบสลายหรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไปตามมาตรา  144

ดังนั้น  แก้วในฐานะที่เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่ให้ป่านออกไปจากบ้านหลังนี้ได้  และข้ออ้างของป่านที่ว่าบ้านหลังดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของปอ  เพราะสัญญาซื้อขายที่ดินไม่ได้ระบุเรื่องบ้านไว้และป่านยังมีสิทธิอาศัยในบ้านหลังนี้ต่อไปนั้นจึงรับฟังไม่ได้  เพราะเมื่อการได้สิทธิอาศัยในบ้านของปอไม่บริบูรณ์เป็นทรัพย์สิทธิ  ป่านจึงไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อแก้วซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้

สรุป  แก้วฟ้องขับไล่ให้ป่านออกไปจากบ้านดังกล่าวได้  และข้ออ้างของป่านรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  นาย  ก  เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง  ต่อมานาย  ก  ตายได้ทำพินัยกรรมยกมรดกที่ดินแปลงนี้ให้ทายาทคือ  นาย  ข  และนาย  ค  หลังจากที่นาย  ข  และนาย  ค  ไปทำการแบ่งแยกที่ดินแล้ว  ปรากฏว่าแปลงของนาย  ค  ถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ  โดยมีที่ดินของนาย  ข  นาย  ง  และนาย  จ  ปิดล้อมอยู่  นาย  ค  เห็นว่าถ้าตนนำรถผ่านบนที่ดินของนาย  ง  จะเป็นทางที่ใกล้ที่สุดในการออกสู่ถนนสาธารณะ  นาย  ค  จึงไปยื่นคำร้องต่อศาลขอนำรถผ่านที่ดินของนาย  ง  และเสนอค่าทดแทนในการทำทางผ่านไปด้วย  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นาย  ค  สามารถขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้า ออกบนที่ดินของนาย  ง  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย 

มาตรา  1350  ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยก  หรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน

วินิจฉัย

การขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินตามบทบัญญัติมาตรา  1350  นั้น  เป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่สาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ  เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน  แต่ทั้งนี้จะใช้สิทธิได้ก็แต่เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ข  และนาย  ค  ได้ทำการแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่กันแล้ว  เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงของนาย  ค  ถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ  (ที่ดินตาบอด)  นั้น  ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  1350  คือเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะ  แต่เมื่อแบ่งแยกแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ  ดังนั้นกรณีนี้นาย  ค  ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้  แต่นาย  ค  จะใช้สิทธิได้เฉพาะบนที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอน  คือที่ดินของนาย  ข  โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนเท่านั้น  จะไปใช้สิทธิบนที่ดินแปลงอื่นไม่ได้

ดังนั้น  ถึงแม้นาย  ค  จะเห็นว่าถ้าตนนำรถผ่านบนที่ดินของนาย  ง  จะเป็นทางที่ใกล้ที่สุดในการออกสู่ถนนสาธารณะ  นาย  ค  ก็ไม่สามารถไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอนำรถผ่านเข้าออกที่ดินนาย  ง  ได้  แม้จะเสนอค่าทดแทนให้ด้วยก็ตาม

สรุป  นาย  ค  จะขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินของนาย  ง  ไม่ได้

 

ข้อ  3  อ่างเข้าไปครอบครองที่ดิน  น.ส.3  ของโอ่งแปลงหนึ่ง  ครอบครองทำประโยชน์มาได้ห้าปี  เมื่อมีการเดินสำรวจเพื่ออกโฉนดที่ดิน โอ่งเพิ่งรู้ว่าอ่างเข้าไปทำประโยชน์ครอบครองที่ดินแปลงนั้นอยู่  โอ่งจึงได้มาแจ้งความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  และมาบอกอ่างให้อ่างออกไปจากที่ดินแปลงนั้น  อ่างจึงเลิกทำนาและรื้อบ้านของอ่างออกไปจากที่ดินแปลงนั้น  เมื่อผ่านไปได้สองปี

อ่างก็กลับเข้าไปปลูกบ้านทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้นใหม่  ปรากฏว่าที่ดินแปลงนั้นโอ่งได้เปลี่ยนจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาเป็นโฉนดที่ดินเรียบร้อยแล้ว  อ่างครอบครองต่อมาได้ห้าปี  โอ่งจึงฟ้องศาลขับไล่อ่างให้ออกไปจากที่ดินแปลงนั้น

ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างโอ่งและอ่างใครมีสิทธิในที่ดินแปลงนั้นดีกว่ากัน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย 

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1377  วรรคแรก  ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง  หรือไม่ยุดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้  การครอบครองย่อมสุดสิ้นลง

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

วินิจฉัย

โดยหลัก  การได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นด้วยความสงบ  เปิดเผย  และมีเจตนาเป็นเจ้าของ  โดยต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี  และในกรณีที่เป็นที่ดินนั้นจะต้องเป็นที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ด้วยจึงจะสามารถครอบครองปรปักษ์ได้

ตามอุทาหรณ์  การที่อ่างเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน  น.ส.3  ของโอ่งได้  5  ปีนั้น  ถือเป็นการเข้ายึดถือทรัพย์สินโดยเจตนายึดถือเพื่อตน  อ่างจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนั้นตามมาตรา  1367  โดยถือเป็นการแย่งสิทธิครอบครองในที่ดินของโอ่ง  แต่ไม่ใช่กรณีการครอบครองปรปักษ์  เพราะที่ดินดังกล่าวมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น  และเมื่อโอ่งได้มาบอกให้อ่างออกไปจากที่ดินแปลงนั้น อ่างก็ได้เลิกทำนาและรื้อบ้านของตนออกไปจากที่ดินแปลงนั้นแล้ว  จึงเป็นกรณีที่อ่างสละเจตนาครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวตามมาตรา  1377  วรรคแรก  การครอบครองจึงสิ้นสุดลง

เมื่อผ่านไป  2  ปี  อ่างก็กลับเข้าไปปลูกบ้านทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้นใหม่  เมื่ออ่างเจตนายึดถือเพื่อตนจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวอีกครั้งตามมาตรา  1367  แต่เมื่อที่ดินแปลงนั้นเปลี่ยนเป็นที่ดินที่มีโฉนด  คือ  มีกรรมสิทธิ์แล้ว  การที่อ่างจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ได้นั้นจะต้องครอบครองที่ดินของโอ่งด้วยความสงบ  เปิดเผย  และมีเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี  ตามมาตรา  1382

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  อ่างครอบครองที่ดินที่มีโฉนดของโอ่งในครั้งหลังนี้ได้เพียง  5  ปี  อ่างจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์  ดังนั้นโอ่งย่อมมีสิทธิในที่ดินแปลงนั้นดีกว่าอ่าง  และเมื่อโอ่งฟ้องศาลขับไล่อ่างให้ออกจากที่ดินแปลงนั้น  อ่างก็จะต้องออกจากที่ดินแปลงนั้น

สรุป  โอ่งมีสิทธิในที่ดินแปลงนั้นดีกว่าอ่าง

 

ข้อ  4  นายหนึ่ง  นายสอง  และนายสาม  มีที่ดินอยู่ข้างเคียงกัน  นายหนึ่งได้สูบน้ำผ่านลำรางที่อยู่ในที่ดินของนายดำเข้ามาใช้ทำนาในที่ดินของนายหนึ่ง  นายสอง  และนายสาม  ก็ยังได้อาศัยวิดน้ำจากลำรางที่นายหนึ่งสูบน้ำผ่านที่ดินของนายดำเข้ามาใช้ในที่ดินของนายหนึ่งไปใช้ทำนาในที่ดินของนายสองและนายสามด้วยเช่นเดียวกัน  โดยทั้งนายสองและนายสามไม่เคยขออนุญาตนายดำเลย  และนายดำก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่านายหนึ่งชักน้ำผ่านที่ดินของตน  และนายสองและนายสามยังวิดน้ำที่ผ่านจากที่ดินของนายดำไปยังที่ดินของนายหนึ่งเข้าไปใช้ในที่ดินของทั้งสองด้วย  โดยทั้งนายหนึ่งนายสอง  และนายสาม  ได้สูบน้ำวิดน้ำเข้าไปใช้ในที่ดินของแต่ละคนมาได้เกินสิบปีแล้ว  นายดำคิดว่าการที่นายสองและนายสามใช้น้ำที่ไหลผ่านลำรางบนที่ดินของตนด้วยนั้นเป็นการก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นกับที่ดินของตน นายดำจะห้ามไม่ให้นายสองและนายสามวิดน้ำจากลำรางที่ไหลผ่านที่ดินของนายดำเข้าไปในที่ดินของนายหนึ่งไปใช้ในที่ดินของทั้งนายสองและนายสามได้หรือไม่  และข้ออ้างของนายดำรับฟังได้เพียงใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย 

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1401  นั้น  บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา  1382  มาบังคับใช้โอยอนุโลม  กล่าวคือ  ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์  โดยความสงบ  เปิดเผย  และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์  โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี

ตามอุทาหรณ์  การที่นายหนึ่งได้สูบน้ำผ่านลำรางที่อยู่ในที่ดินของนายดำเข้ามาใช้ทำนาในที่ดินของตน  โดยนายสองและนายสามก็ยังได้อาศัยวิดน้ำจำลำรางที่นายหนึ่งสูบน้ำผ่านที่ดินของนายดำเข้ามาใช้ในที่ดินของนายหนึ่งไปใช้ทำนาในที่ดินของนายสองและนายสามด้วยนั้น  เมื่อการกระทำดังกล่าวของนายหนึ่ง  นายสองและนายสามนั้น  นายดำไม่เคยรู้มาก่อน  และทั้งสามคนก็ไม่เคยขออนุญาตนายดำ  อีกทั้งก็ไปปรากฏข้อเท็จจริงว่า  การกระทำของทั้งสามคนนั้นเป็นการกระทำโดยถือวิสาสะ  ดังนั้นกรณีดังกล่าวถือว่านายหนึ่ง  นายสอง  และนายสาม  ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์  คือที่ดินของนายดำ  โดยความสงบสุข  เปิดเผย  และเจตนาจะให้ได้มาซึ่งภาระจำยอมแล้ว

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทั้งสามคนได้สูบน้ำวิดน้ำเข้าไปใช้ในที่ดินของแต่ละคนมาได้เกินสิบปีแล้ว  ทั้งสามคนย่อมได้ภาระจำยอมในที่ดินของนายดำตามมาตรา  1401  ประกอบมาตรา  1382  กล่าวคือ  นายดำต้องยอมให้ทั้งสามคนได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของนายดำในการสูบน้ำวิดน้ำเข้าไปใช้ในที่ดินของแต่ละคนได้ต่อไป  นายดำจะอ้างว่าการกระทำของนายสองและนายสามเป็นการก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นกับที่ดินของตนไม่ได้  และจะห้ามไม่ให้นายสองและนายสามวิดน้ำจากลำรางที่ไหลผ่านที่ดินของนายดำ  เข้าไปในที่ดินของนายหนึ่งไปใช้ในที่ดินของทั้งนายสองและนายสามไม่ได้

สรุป  ที่ดินของนายดำอยู่ในภาระจำยอม  นายดำจะห้ามไม่ให้นายสองและนายสามวิดน้ำจากลำรางที่ผ่านที่ดินของนายดำดังกล่าวนั้นไม่ได้  และจะอ้างว่าเป็นการก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นกับที่ดินของตนก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 (LA 201),(LW 204) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายสอนกับนายอิ่มทำสัญญากันเอง  โดยนายสอนอนุญาตให้นายอิ่มทำถนนผ่านที่ดินมีโฉนดของตนเพื่อออกสู่ถนนพหลโยธิน  ทั้งที่ที่ดินของนายอิ่มมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว  หลังจากนายอิ่มทำถนนผ่านที่ดินของนายสอนได้  4  ปี  นายสอนถึงแก่ความตาย นายสินบุตรของนายสอนได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินดังกล่าว  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า

(ก)  นายสินจะล้อมรั้วไม่ยอมให้นายอิ่มใช้ถนนผ่านที่ดินของตนอีกต่อไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  ถ้าหลังจากนายสินจดทะเบียนรับมรดกได้  1  ปี  นายสินทำสัญญาและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนั้นให้นางฟ้าภริยานอกสมรสของตนโดยเสน่หา  นางฟ้าจะล้อมรั้วไม่ยอมให้นายอิ่มใช้ถนนผ่านที่ดินของตนอีกต่อไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1299 วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น  จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้  จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ  ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น  ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้  (มาตรา  1299  วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสอนทำสัญญาอนุญาตให้นายอิ่มทำถนนผ่านที่ดินของตน  ทั้งที่ที่ดินของนายอิ่มมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้วนั้น  ถือเป็นกรณีที่นายอิ่มได้ทางภาระจำยอมผ่านที่ดินของนายสอน  อันเป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นิติกรรมการได้ภาระจำยอมดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  นิติกรรมนั้นจึงไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้  แต่ยังคงมีผลบังคับระหว่างนายสอนกับนายอิ่มซึ่งเป็นคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิตามมาตรา  1299  วรรคแรก  ดังนั้น

(ก)  นายสินผู้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินภารยทรัพย์ดังกล่าวจากนายสอนบิดาของตนจะล้อมรั้วไม่ยอมให้นายอิ่มใช้ถนนผ่านที่ดินของตนอีกต่อไปไม่ได้  เพราะแม้การได้ภาระจำยอมดังกล่าวจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  แต่ภาระจำยอมนั้นยังคงมีผลผูกพันนายสอนในฐานะบุคคลสิทธิ  ดังนั้นเมื่อนายสอนตาย  นายสินผู้รับมรดกจึงต้องรัยไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของนายสอนเจ้ามรดกดังกล่าวด้วย

(ข)  การที่ต่อมานายสินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนั้นให้แก่นางฟ้าภริยานอกสมรสของตนโดยเสน่หา  นางฟ้าจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น  และถือเป็นบุคคลภายนอก  ดังนั้น  เมื่อภาระจำยอมดังกล่าวไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  จึงไม่สามารถบังคับใช้กับนางฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้  นางฟ้าในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงมีสิทธิล้อมรั้วไม่ให้นายอิ่มใช้ถนนผ่านที่ดินของตนอีกต่อไปได้สรุป 

(ก)  นายสินจะล้อมรั้วไม่ยอมให้นายอิ่มใช้ถนนผ่านที่ดินของตนอีกต่อไปไม่ได้

(ข)  นางฟ้าสามารถล้อมรั้วไม่ยอมให้นายอิ่มใช้ถนนผ่านที่ดินของตนอีกต่อไปได้

 

ข้อ  2  แมวเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งมีเนื้อที่  2  ไร่  ซึ่งอยู่ติดทางสาธารณะ  แมวได้แบ่งที่ดิน  200  ตารางวา  ขายให้หนู  แต่ที่ดินแปลงที่แบ่งขายนี้ไม่มีส่วนใดติดทางสาธารณะ  แมวจึงตกลงว่าจะเปิดทางกว้างสามเมตรในที่ดินของตนเพื่อให้หนูใช้เป็นทางผ่านเข้า ออกสู่ถนนภายนอก  หลังจากหนูเข้ามาอาศัยอยู่ในที่ดินที่ซื้อก็ไม่ได้เรียกร้องให้แมวเปิดทางออกให้  เพราะหนูใช้ทางออกผ่านที่ดินของมดซึ่งจะทำให้ออกสู่ทางสาธารณะได้เร็วกว่า

โดยไม่เคยขออนุญาตมด  ต่อมามดทำรั้วกั้นไม่ให้หนูใช้ทางผ่าน  หนูจึงมาขอให้แมวเปิดทางออกตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนซื้อที่ดิน  แมวปฏิเสธอ้างว่าข้อตกลงทำไว้นานแล้ว

หากตอนนี้ต้องการให้แมวเปิดทางผ่านให้  แมวต้องเปิดทางผ่านให้หนู  หนูจะต้องเสียค่าทดแทนหรือไม่  และการที่หนูจะขอให้แมวเปิดทางผ่านนั้น  จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในอายุความกี่ปี  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1350  ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยก  หรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  1350  นั้น  เป็นเรื่องการขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดิน  กล่าวคือ  ถ้าเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว  แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกัน  ทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ  เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์  ที่ดินที่หนูซื้อจากแมวเป็นที่ดินที่แบ่งแยกออกจากที่ดินของแมวแล้ว  ทำให้ที่ดินแปลงของหนูไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ  (ที่ดินตาบอด)  ดังนั้นตามหลักของมาตรา  1350  หนูจึงมีสิทธิขอทางออกบนที่ดินของแมวได้  แมวจึงต้องเปิดทางผ่านเข้า ออกเพื่อให้หนูออกสู่ทางสาธารณะ  แม้ว่าหนูจะไม่ได้ใช้สิทธิดังกล่าวตั้งแต่แรกก็ตาม  ส่วนค่าทดแทนนั้น  เมื่อเป็นกรณีการขอทางจำเป็นตามมาตรา  1350  ผู้มีสิทธิผ่านจึงไม่ต้องเสียค่าทดแทน  ดังนั้น  แมวจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าผ่านทางจากหนู

และการใช้สิทธิขอให้เปิดทางจำเป็นนั้นไม่มีอายุความ  เพราะเป็นสิทธิที่เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมจะขอเปิดทางจำเป็นเมื่อใดก็ได้  เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องทางออกของที่ดินของตนเอง

สรุป  หนูมีสิทธิเรียกให้แมวเปิดทางผ่านโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน  และสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่มีอายุความ

 

ข้อ  3  แพงมีกรรมสิทธิ์บนที่ดินแปลงหนึ่ง  แต่เนื่องจากแพงไปประกอบอาชีพอยู่ที่ต่างประเทศ  จึงให้พันดูแลที่ดินแปลงนั้นแทน  พุธได้เข้าไปครอบครองปรปักษ์ทำไร่บนที่ดินแปลงนั้นบางส่วน  พันซึ่งเป็นผู้ดูแลที่ดินแปลงนั้นก็ไม่ทราบ  จึงยังไม่ได้ขับไล่  ส่วนแพงซึ่งอยู่ต่างประเทศก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน  พุธครอบครองทำไร่บนที่ดินส่วนนั้นของแพงมาได้แปดปี  แพงกลับมาเมืองไทยกลับมาได้สามปี  แพงได้ไปรังวัดที่ดินจึงเพิ่งทราบว่าพุธทำการครอบครองทำไร่บุกรุกเข้ามาบนที่ดินของตน  แพงจึงฟ้องขับไล่พุธให้ออกจากที่ดินแปลงนั้นโดยแพงอ้างว่า  ตนเพิ่งทราบถึงการครอบครองของพุธเพียงสามปี  ตนจึงยังไม่เสียสิทธิในที่ดินแปลงนั้นไป  ถ้าท่านเป็นศาล  ท่านจะพิพากษาอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1386   บทบัญญัติว่าด้วยอายุความในประมวลกฎหมายนี้  ท่านให้ใช้บังคับในเรื่องอายุความได้สิทธิ  อันกล่าวไว้ในลักษณะนี้โดยอนุโลม

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้  คือ

1       เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์

2       ได้ครอบครองโดยความสงบ

3       ครอบครองโดยเปิดเผย

4       ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ

5       ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา  10  ปี

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่พุธได้เข้าไปครอบครองปรปักษ์ทำไร่บนที่ดินบางส่วน  ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของแพงนั้น  เมื่อพุธได้ครอบครองโดยความสงบ  เปิดเผย  และเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันถึง  11  ปี  ซึ่งเกิน  10  ปีแล้ว  พุธย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382

ดังนั้น  แพงจะฟ้องขับไล่พุธให้ออกจากที่ดินแปลงนั้น  โดยอ้างว่าตนเพิ่งทราบถึงการครอบครองของพุธเพียง  3  ปี  ตนจึงยังไม่เสียสิทธิในที่ดินแปลงนั้นไปไม่ได้  เพราะการครอบครองปรปักษ์เป็นการได้กรรมสิทธิ์โดยอายุความได้สิทธิตามมาตรา  1386  และเป็นอายุความโดยผลของกฎหมายซึ่งศาลสามารถยกขึ้นเองได้

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิพากษาให้พุธได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  4  ดวงเป็นเจ้าของกิจการร้านขายเครื่องมือทางการเกษตรทั้งขาย  ให้เช่า  และรับจ้างไถ  หว่าน  เกี่ยวข้าว  พืชไร่ ฯลฯ  ร้านของดวงตั้งอยู่ที่นอกเขตเทศบาล  ที่ดินที่ตั้งร้านของดวงมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว  แต่เมื่อมีเกษตรกรหรือมีใครเช่าเครื่องมือทางการเกษตร  ดวงจะใช้ที่ดินของเด่นเป็นทางลัดขนเครื่องมือต่างๆผ่านที่ดินของเด่นเข้า ออกสู่ถนนสาธารณะเสมอเป็นประจำ  โดยดวงไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนั้นใครเป็นเจ้าของ  จึงไม่ได้ขออนุญาตใช้ทาง  และบางครั้งลูกค้าของดวงยังใช้เส้นทางบนที่ดินของเด่นเข้ามาติดต่อซื้อขาย  เช่า  ว่าจ้างดวงด้วย  เมื่อดวงใช้ที่ดินของเด่นเป็นทางเข้า –  ออก  มาได้สิบห้าปี  เด่นทราบจึงมาตกลงกับดวงว่า  ถ้าดวงยังต้องการใช้ถนนบนที่ดินของตนต่อไป  ดวงต้องเช่าที่ดินแปลงนี้  มิฉะนั้นก็ต้องห้ามบุกรุกเข้ามาใช้ทางผ่านที่ดินแปลงนี้อีก  ดวงจึงตกลงขอเช่าโดยจ่ายค่าผ่านทางให้กับเด่นปีละห้าพันบาท  ในความเห็นของท่านให้ท่านอธิบายว่า  ดวงได้สิทธิอะไรก่อนที่จะตกลงเช่าที่ดินเด่น  และหลังจากตกลงเช่าที่ดินเด่นเพื่อผ่านทางบนที่ดินของเด่น  วิธีใดและส่งผลอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1377  วรรคแรก  ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง  หรือไม่ยุดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้  การครอบครองย่อมสุดสิ้นลง

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมตามมาตรา  1387  โดยอายุความครอบครองปรปักษ์นั้น  ถือเป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  ซึ่งตามมาตรา  1401  นั้น  บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา  1382  มาบังคับใช้โอยอนุโลม  กล่าวคือ  ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์  โดยความสงบ  เปิดเผย  และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์  โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ดวงเป็นเจ้าของกิจการร้านขายเครื่องมือทางการเกษตร  และรับจ้างไถ  หว่าน  เกี่ยวข้าว  พืชไร่ ฯลฯ   และเมื่อมีเกษตรกรหรือคนมาเช่าเครื่องมือทางการเกษตร  ดวงก็จะใช้ที่ดินของเด่นเป็นทางลัดขนเครื่องมือต่างๆผ่านที่ดินของเด่นเข้าออกสู่ถนนสาธารณะเสมอเป็นประจำนั้น  ถือเป็นกรณีที่ดวงเจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์  คือที่ดินของเด่น  โดยสงบ  เปิดเผย  และเจตนาจะได้มาซึ่งภาระจำยอมแล้ว  เมื่อดวงใช้ที่ดินของเด่นเป็นทางเข้าออกมาได้  15  ปี  ที่ตั้งร้านของดวงจึงได้ภาระจำยอมโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วตามมาตรา  1387  และมาตรา  1382  ประกอบมาตรา  1401

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่ดวงทำสัญญาเช่าที่ดินกับเด่นเพื่อใช้เป็นทางผ่านเข้าออกนั้น  ถือเป็นกรณีที่ดวงผู้ครอบครองได้สละเจตนาครอบครองในภารยทรัพย์ดังกล่าวแล้ว  กล่าวคือ  เป็นการที่ดวงยอมรับว่าดวงไม่ได้มีสิทธิในภาระจำยอมบนที่ดินของเด่นแต่อย่างใด  ดังนั้น ภาระจำยอมที่ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ดังกล่าวจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา  1377  วรรคแรก

สรุป  ดวงได้สิทธิ  คือภาระจำยอมในที่ดินของเด่นโดยการครอบครองปรปักษ์ก่อนที่จะตกลงเช่าที่ดินเด่น  และหลังจากดวงตกลงเช่าที่ดินเด่นแล้ว  ส่งผลให้ภาระจำยอมดังกล่าวสิ้นสุดลง

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายเสือครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของนายช้างเป็นเวลา  12  ปี  แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดเป็นชื่อของตน  ต่อมานายช้างได้นำที่ดินแปลงนี้ไปขายให้กับนายกวางโดยทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่และนายกวางก็ไม่รู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของนายเสือมาก่อน  หลังจากนั้น  1  ปี  นายกวางถึงแก่ความตาย  น.ส.หนูบุตรของนายกวางได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมรดกแปลงนี้ในฐานะทายาทโดยธรรม  และได้ฟ้องขับไล่นายเสือให้ออกจากที่ดินแปลงนั้น

นายเสือต่อสู้ว่าตนได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว  น.ส.หนูได้ที่ดินมาโดยไม่ได้เสียค่าตอบแทนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าตน  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายเสือรับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1299  วรรคสอง  ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์  หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  สิทธิของผู้ได้มานั้น  ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้  ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้  และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น  มิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเสือครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของนายช้างเป็นเวลา  12  ปี  ถือว่านายเสือได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายช้างโดยการครอบครองปรปักษ์  (ป.พ.พ.  มาตรา  1382)  อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา  1299  วรรคสอง  ดังนั้น  เมื่อนายเสือยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดเป็นชื่อของตน  และระหว่างนั้นนายช้างได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้กับนายกวาง  โดยทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  และนายกวางก็ไม่รู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของนายเสือมาก่อน  จึงทำให้สิทธิการได้มาของนายเสือไม่สามารถยกขึ้นต่อสู้นายกวางผู้เป็นบุคคลภายนอกซึ่งได้สิทธิในที่ดินนี้มาโดยสุจริต  (ไม่รู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของนายเสือ)  และโดยเสียค่าตอบแทน  (ซื้อ)  และจดทะเบียนสิทธิของตนโดยสุจริตแล้วได้

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  น.ส.หนูได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมรดกแปลงนี้มาในฐานะทายาทโดยธรรมของนายกวาง  จึงถือเป็นผู้สืบสิทธิของนายกวาง  ผู้ซึ่งมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่านายเสือมาตั้งแต่แรกแล้ว  น.ส.หนูจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่านายเสือด้วย  ดังนั้น  ข้อต่อสู้ของนายเสือที่ว่า  ตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว  น.ส.หนูได้ที่ดินมาโดยไม่ได้เสียค่าตอบแทนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าตนจึงรับฟังไม่ได้

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายเสือรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  เด็กชายเทียนอายุ  12  ปี  ได้ขายโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งให้แก่นายหนึ่งในราคา  3,000  บาท  โดยขณะขายบิดา มารดาไม่ได้ร่วมรู้เห็นด้วย  ต่อมานายหนึ่งได้นำโทรศัพท์เครื่องนี้ไปมอบให้นางสาวสองคนรักของนายหนึ่งด้วยความเสน่หา

โดยที่นางสาวสองไม่ทราบข้อเท็จจริงว่านายหนึ่งไปซื้อโทรศัพท์มาจากเด็กชายเทียน  ต่อมาอีกหนึ่งสัปดาห์  บิดา มารดาของเด็กชายเทียนได้บอกเลิกการซื้อขายโทรศัพท์ระหว่างเด็กชายเทียนกับนายหนึ่ง

และขอให้นางสาวสองคืนโทรศัพท์มือถือกลับคืนมาให้เด็กชายเทียน

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่านางสาวสองจะต้องคืนโทรศัพท์แก่เด็กชายเทียนหรือไม่  ระหว่างนางสาวสองกับเด็กชายเทียน  ผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในโทรศัพท์เครื่องนี้ดีกว่ากัน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1329  สิทธิของบุคคลผู้ได้มา  ซึ่งทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตนั้น  ท่านว่ามิเสียไปถึงแม้ว่าผู้โอนทรัพย์สินให้จะได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะ  และนิติกรรมนั้นได้ถูกบอกล้างภายหลัง

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  1329  เป็นเรื่องความคุ้มครองสิทธิของบุคคลผู้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน  (ผู้รับโอน)  ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์  ดังนี้คือ

1       ผู้โอนได้ทรัพย์สินมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะ

2       บุคคลผู้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน  (ผู้รับโอน)  ต้องรับโอนไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

3       นิติกรรมที่เป็นโมฆียะนั้นได้ถูกบอกล้างในภายหลัง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เด็กชายเทียนขายโทรศัพท์มือถือให้แก่นายหนึ่ง  โดยขณะขายบิดามารดาไม่ได้ร่วมรู้เห็นด้วยนั้น  นิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ  (ป.พ.พ. มาตรา  21)  และเมื่อปรากฏว่าอีกกนึ่งสัปดาห์ต่อมาบิดามารดาของเด็กชายเทียนได้บอกเลิกการซื้อขายโทรศัพท์ระหว่างเด็กชายเทียนกับนายหนึ่ง  จึงถือเป็นการบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะนั้นหลังจากที่นายหนึ่งได้โอนโทรศัพท์ไปให้นางสาวสองแล้ว

และตามข้อเท็จจริง  แม้ว่านางสาวสองจะรับโอนโทรศัพท์มือถือมาจากนายหนึ่งโดยสุจริตคือ  ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่านายหนึ่งไปซื้อโทรศัพท์มาจากเด็กชายเทียนก็ตาม  แต่เมื่อนางสาวสองรับโอนมาจากการให้โดยเสน่หา  ซึ่งถือเป็นการได้มาโดยไม่เสียค่าตอบแทน  ดังนั้น  สิทธิของนางสาวสองจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  1329  เด็กชายเทียนจึงมีสิทธิในโทรศัพท์เครื่องนี้ดีกว่านางสาวสอง  และนางสาวสองจะต้องคืนโทรศัพท์ให้แก่เด็กชายเทียน

สรุป  เด็กชายเทียนมีสิทธิในโทรศัพท์เครื่องนี้ดีกว่านางสาวสอง  และนางสาวสองจะต้องคืนโทรศัพท์ให้แก่เด็กชายเทียน

 

ข้อ  3  นายดำครอบครองปรปักษ์ทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายแดงมาได้  4  ปี  นายดำถึงแก่กรรมนายเขียวบุตรของนายดำปฏิเสธไม่สนใจที่จะครอบครองต่อจึงปล่อยที่ดินให้รกร้างอยู่  10  เดือน  ต่อมานายเขียวตกงานจึงเปลี่ยนใจเข้าไปทำนาบนที่ดินของนายแดงอีกได้นาน  6  ปี  นายแดงจึงฟ้องขับไล่นายเขียวออกจากที่ดินแปลงนั้น  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายเขียวจะได้สิทธิอย่างใดจากการที่ตนครอบครองที่ดินต่อจากนายดำบิดาของตนหรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1377  วรรคแรก  ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง  หรือไม่ยุดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้  การครอบครองย่อมสุดสิ้นลง

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1385  ถ้าโอนการครอบครองแก่กัน  ผู้รับโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้นรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้  ถ้าผู้รับโอนนับรวมเช่นนั้น  และถ้ามีข้อบกพร่องในระหว่างครอบครองของผู้โอนไซร้  ท่านว่าข้อบกพร่องนั้นอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้  คือ

1       เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์

2       ได้ครอบครองโดยความสงบ

3       ครอบครองโดยเปิดเผย

4       ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ

5       ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา  10  ปี

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเขียวบุตรของนายดำปฏิเสธไม่สนใจครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนายแดงต่อจากนายดำบิดาซึ่งถึงแก่กรรมนั้น  ย่อมถือว่านายเขียวสละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว  อายุความการครอบครองปรปักษ์จึงสิ้นสุดลงตามมาตรา  1377  วรรคแรก

ดังนั้น  แม้ต่อมาอีก  10  เดือน  หลังจากทิ้งร้างไป  นายเขียวจะเข้ามาครอบครองที่ดินของนายแดงอีก  6  ปีก็ตาม  นายเขียวก็ไม่สามารถนำเอาระยะเวลาการครอบครองของนายดำผู้เป็นบิดามานับรวมกับการครอบครองของตนเองตามมาตรา  1385  ได้  ดังนั้น  เมื่อนายเขียวครอบครองปรปักษ์ที่นาแปลงนี้ได้เพียง  6  ปี  ซึ่งยังไม่ถึง  10  ปี  จึงไม่ครบหลักเกณฑ์ตามมาตรา  1382  ที่จะทำให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นายเขียวจึงยังไม่ได้สิทธิใดๆบนที่ดินแปลงนี้

สรุป  นายเขียวไม่ได้สิทธิใดๆจากการที่ตนครอบครองที่ดินต่อจากนายดำผู้เป็นบิดา

 

ข้อ  4  อาทิตย์เป็นเจ้าของที่นาแปลงหนึ่ง  ทุกๆปีในฤดูทำนาอาทิตย์ต้องใช้ทางผ่านบนที่ดินของจันทร์เพื่อเข้าไปทำนาในที่นาของอาทิตย์  โดยจันทร์ไม่ทราบมาก่อนว่าอาทิตย์มาเดินผ่านที่ดินของตน  อาทิตย์ใช้ทางผ่านบนที่ดินของจันทร์มาได้กว่า  10  ปี  โดยมิได้ไปจดทะเบียน  ต่อมาจันทร์ทราบจึงทำรั้วกั้นที่ดินเพื่อไม่ให้อาทิตย์เดินผ่าน  ดังนี้  อาทิตย์จะมีสิทธิอ้างหลักกฎหมายเรื่องใดมาต่อสู้จันทร์เพื่อมิให้จันทร์ทำรั้วกั้นมิให้อาทิตย์เดินผ่านหรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1390  ท่านมิให้เจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใดๆ  อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไป  หรือเสื่อมความสะดวก

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1401  นั้น  บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา  1382  มาบังคับใช้โดยอนุโลม  กล่าวคือ  ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์  โดยความสงบ  เปิดเผย  และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์  โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่อาทิตย์ใช้ทางผ่านบนที่ดินของจันทร์เพื่อเข้าไปทำนาบนที่ดินของอาทิตย์เอง  โดยจันทร์ไม่ทราบมาก่อนนั้น  ถือเป็นกรณีที่อาทิตย์เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์โดยความสงบ  เปิดเผย  และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์แล้ว  เมื่ออาทิตย์ใช้ทางผ่านบนที่ดินของจันทร์มาได้กว่า  10  ปี  ย่อมทำให้อาทิตย์ได้ภาระจำยอมโดยอายุความปรปักษ์ตามมาตรา  1401  ประกอบมาตรา  1382

และเมื่ออาทิตย์ได้ภาระจำยอมบนที่ดินของจันทร์โดยอายุความปรปักษ์  ซึ่งถือเป็นการได้ทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา  1299 วรรคสองแล้ว  (แม้ยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิก็เป็นทรัพยสิทธิ)  การที่จันทร์ทำรั้วกั้นที่ดินเพื่อไม่ให้อาทิตย์เดินผ่าน  จึงเป็นการทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดลง  หรือเสื่อมความสะดวกตามมาตรา  1390  ดังนั้น  อาทิตย์จึงมีสิทธิอ้างหลักกฎหมายตามมาตรา  1390 ขึ้นต่อสู้กับจันทร์เพื่อมิให้จันทร์ทำรั้วกั้นระหว่างภารยทรัพย์กับสามยทรัพย์ได้

สรุป  อาทิตย์มีสิทธิอ้างหลักกฎหมายตามมาตรา  1390  ขึ้นต่อสู้กับจันทร์เพื่อมิให้จันทร์ทำรั้วกั้นมิให้อาทิตย์เดินผ่านได้

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 (LA 201),(LW 204) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  เข้มทำสัญญาอนุญาตให้ป้อมสร้างบ้านอยู่ในที่ดินมีโฉนดของตนเป็นเวลา  20  ปี  โดยสัญญามีข้อความระบุว่า  เมื่อครบกำหนด 20  ปีแล้วให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเข้มเจ้าของที่ดินทันที  แต่สัญญาดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  หลังจากป้อมสร้างบ้านอยู่ในที่ดินของเข้มครบกำหนด  20  ปีแล้ว  เข้มแจ้งให้ป้อมย้ายออกไปจากบ้านและที่ดินนั้น  เพราะต้องการจะขายบ้านและที่ดินนั้น

แต่ป้อมยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินต่อไป  หลังจากนั้นอีก  5  เดือนเข้มได้ทำสัญญาและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ขายบ้านพร้อมที่ดินนั้นให้แหม่ม  เมื่อป้อมรู้เรื่องดังกล่าว  ป้อมจึงทำสัญญาขายบ้านหลังนั้นให้แตน  โดยให้แตนรื้อถอนบ้านออกไป  ดังนี้

ให้วินิจฉัยว่า  แตนจะรื้อถอนบ้านออกไปได้หรือไม่  และระหว่างแตนกับแหม่มผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทดีกว่ากัน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  144  ส่วนควบของทรัพย์  หมายความว่า  ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น  และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย  ทำให้บุบสลาย  หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น

มาตรา  146  ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น  ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น  ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย

มาตรา  1299 วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น  จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ  ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น  ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้  (มาตรา  1299  วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เข้มทำสัญญาอนุญาตให้ป้อมสร้างบ้านในที่ดินมีโฉนดของตนเป็นเวลา  20  ปี  ป้อมจึงเป็นผู้มีสิทธิเหนือพื้นดินของเข้ม  อันเป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม  เมื่อปรากฏว่านิติกรรมดังกล่าวเพียงแต่ทำเป็นหนังสือไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  ย่อมมีผลทำให้นิติกรรมนั้นไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  แต่ยังคงมีผลบังคับระหว่างเข้มกับป้อมในฐานะบุคคลสิทธิตามมาตรา  1299  วรรคแรก  ดังนั้น  บ้านจึงยังไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน  เพราะป้อมเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นและได้ใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ตามมาตรา  146

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อครบกำหนด  20  ปี  สิทธิในที่ดินของเข้มที่ป้อมมีอยู่ย่อมสิ้นสุดลง  เนื่องจากข้อความในสัญญากำหนดให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเข้มทันทีเมื่อครบ  20  ปี  จึงเท่ากับป้อมได้แสดงเจตนาสละกรรมสิทธิ์ในบ้านไว้ล่วงหน้าแล้ว  ดังนั้น  บ้านจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเข้มในฐานะที่เป็นส่วนควบของที่ดินตามมาตรา  144  เข้มจึงมีสิทธิทำสัญญาและจดทะเบียนขายบ้านพร้อมที่ดินให้กับแหม่มได้  และแหม่มผู้รับโอนย่อมมีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินนั้นโดยสมบูรณ์

ส่วนกรณีของแตนนั้นเมื่อป้อมไม่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังดังกล่าวแล้ว  ป้อมจึงไม่สามารถนำบ้านไปทำสัญญาขายให้กับแตนได้  ดังนั้น แตนผู้รับโอนตามสัญญาซื้อขายจึงไม่มีสิทธิในบ้านดีไปกว่าป้อมผู้โอนและไม่สามารถรื้อถอนบ้านออกไปได้

สรุป  แหม่มเป็นผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทดีกว่าแตน  และแตนไม่สามารถรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินนั้นได้

 

ข้อ  2  นายแดงสร้างบ้านหลังหนึ่งลงบนที่ดินมีโฉนดของแดงเมื่อ  พ.ศ.2540  ต่อมาในปี  พ.ศ.2550  นายแดงได้ต่อเติมบ้านหลังนี้เมื่อเสร็จจึงพบว่าห้องน้ำชั้นล่างที่เพิ่งต่อเติมรุกล้ำไปในเขตที่ดินของนายดำแปลงข้างเคียง  20  เซนติเมตร  แม้ว่าก่อนต่อเติมนายแดงจะตรวจสอบแนวเขตที่ดินแล้วก็ตาม  ดังนี้  นายแดงจะยกความสุจริตในขณะปลูกสร้างขึ้นต่อสู้กับนายดำเพื่อที่ตนจะไม่ต้องรื้อถอนโรงเรือนที่รุกล้ำได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1312  บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น  แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้นและจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม  ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด  เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต  ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป  และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้

วินิจฉัย

การสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตที่จะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา  1312  นั้น  จะต้องเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนทั้งหลัง  แล้วส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น  มิใช่กรณีต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง  แล้วส่วนที่ต่อเติมนั้นรุกล้ำเข้าไป

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงได้ต่อเติมบ้าน  แล้วพบว่าห้องน้ำชั้นล่างที่เพิ่งต่อเติมรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของนายดำนั้น  ถึงแม้นายแดงจะทำการต่อเติมโดยสุจริต  กล่าวคือ  ก่อนต่อเติมนายแดงได้ตรวจสอบแนวเขตที่ดินแล้วก็ตาม  แต่เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของการต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง  มิใช่การปลูกสร้างโรงเรือนขึ้นทั้งหลัง  แล้วส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น  นายแดงจึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา  1312  ดังนั้น  นายแดงจึงไม่สามารถเอาความสุจริตในขณะปลูกสร้างขึ้นต่อสู้กับนายดำเพื่อที่ตนจะไม่ต้องรื้อถอนโรงเรือนที่รุกล้ำได้

สรุป  นายแดงจะยกเอาความสุจริตในขณะปลูกสร้างขึ้นต่อสู้กับนายดำเพื่อที่ตนจะไม่ต้องรื้อถอนโรงเรือนที่รุกล้ำไม่ได้

 

ข้อ  3  รุ่งมีบ้านอยู่ติดกับแรมซึ่งเป็นที่ดินที่แรมไม่ได้ใช้ประโยชน์ปล่อยรกร้าง  เมื่อน้ำท่วมน้ำได้ไหลเข้ามาท่วมที่ดินของรุ่ง  รุ่งจึงระบายน้ำเข้ามาในที่ดินของแรม  น้ำเข้าไปท่วมขังในที่ดินของแรม  เมื่อน้ำลดแล้วแต่รุ่งยังถือโอกาสใช้ที่ดินของแรมเป็นทางระบายน้ำตลอดมาได้ปีกว่า  แรมเพิ่งทราบ  แรมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรที่จะให้รุ่งเลิกระบายน้ำเข้ามาในที่ดินของตน  และแรมจะมีสิทธิอย่างใดบ้าง  ถ้าท่านเป็นทนายและแรมมาปรึกษาท่าน  ท่านจะให้คำปรึกษาแรมอย่างไร  จงอธิบายให้ครบถ้วน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/29  เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้  ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้

มาตรา  1374  ถ้าผู้ครอบครองถูกรบกวนในการครอบครองทรัพย์สิน  เพราะมีผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้  ถ้าเป็นที่น่าวิตกว่าจะยังมีการรบกวนอีก  ผู้ครอบครองจะขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้

การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนนั้น  ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกรบกวน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  1374  ถ้าผู้ครอบครองทรัพย์สินถูกบุคคลอื่นรบกวนการครอบครองทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  ย่อมสามารถใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้  หรือจะขอให้ศาลสั่งห้ามบุคคลนั้นเข้ามารบกวนการครอบครองอีกก็ได้  (มาตรา  1374  วรรคแรก)  แต่ต้องฟ้องร้องภายใน  1  ปี  นับแต่เวลาถูกรบกวน  (มาตรา  1374  วรรคสอง)  ซึ่งระยะเวลาฟ้องปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตามมาตรา  1374  นี้  เป็นระยะเวลาฟ้องร้องไม่ใช่อายุความสิทธิเรียกร้อง  ศาลสามารถยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องเองได้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่รุ่งระบายน้ำเข้ามาในที่ดินของแรม  และเมื่อน้ำลดแล้วรุ่งก็ยังถือโอกาสใช้ที่ดินของแรมเป็นทางระบายน้ำอีกนั้น  ถือเป็นกรณีที่แรมผู้ครอบครองที่ดินได้รับความเสียหายจากการที่ถูกรุ่งรบกวนการครอบครอง  (แม้แรมไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินปล่อยให้รกร้าง  แต่แรมยังไม่ได้สละการครอบครอง  จึงยังมีสิทธิครอบครองอยู่)  โดยหลักแรมสามารถฟ้องศาลให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง  เพื่อให้รุ่งเลิกระบายน้ำเข้ามาในที่ดินของตนได้ตามมาตรา  1374  วรรคแรก

แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  รุ่งได้ใช้ที่ดินของแรมเป็นทางระบายน้ำตลอดมาได้ปีกว่าแล้ว  แรมจึงหมดระยะเวลาฟ้องร้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตามมาตรา  1374  วรรคสอง  ซึ่งกรณีนี้แม้แรมจะฟ้องไป  ศาลก็สามารถยกเอาเหตุว่าเลยระยะเวลา  1  ปี  มาเป็นเหตุยกฟ้องแรมได้

อย่างไรก็ตาม  การกระทำของรุ่งดังกล่าวถือเป็นการละเมิดต่อแรมด้วย  แรมจึงมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากรุ่งในมูลละเมิดได้  ซึ่งในเรื่องมูลละเมิดนี้เป็นอายุความสิทธิเรียกร้อง  หากรุ่งไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้  ศาลจะยกขึ้นเองไม่ได้ตามมาตรา  193/29

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นทนายและแรมมาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่แรมดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  4  แสงดาวซื้อที่ดินแปลงหนึ่งมาจากสันทราย  โดยแสงดาวคิดว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินมือเปล่ายังไม่มีโฉนด  เมื่อสันทรายส่งมอบการครอบครองให้  แสงดาวจึงเข้าไปปลูกบ้านครอบครองทำไร่อ้อยอยู่บนที่ดินแปลงนั้น  ความจริงที่ดินแปลงนั้นเป็นที่ดินมีโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ของสุดสวย  สันทรายได้ครอบครองทำประโยชน์มาเป็นเวลากว่าห้าปี  ก่อนที่จะขายให้แสงดาว  แต่ในระหว่างห้าปีสุดสวยเจ้าของที่ดินได้มาล้อมรั้วลวดหนามเพื่อมิให้ใครเข้ามาบุกรุกที่ดินแปลงนั้น  ทำให้สันทรายเข้าไปทำไร่ไม่ได้อยู่เก้าเดือน  เมื่อรั้วพังลงสันทรายจึงเข้าไปทำไร่ต่อได้สามปี  หลังจากนั้นได้ขายที่ดินแปลงนั้นให้แสงดาว  แสงดาวปลูกบ้านทำไร่อ้อยมาได้ห้าปี  สุดสวยได้ให้แสงดาวออกไปจากที่ดินแปลงนั้น  แสงดาวไม่ยอมออกไปจากที่ดินแปลงนั้น  โดยอ้างว่าสุดสวยหมดระยะเวลาเรียกคืนการครอบครองที่ดินแปลงนั้นจากตนแล้ว  ข้ออ้างของแสงดาวรับฟังได้หรือไม่  ให้นักศึกษาอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1385  ถ้าโอนการครอบครองแก่กัน  ผู้รับโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้นรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้  ถ้าผู้รับโอนนับรวมเช่นนั้น  และถ้ามีข้อบกพร่องในระหว่างครอบครองของผู้โอนไซร้  ท่านว่าข้อบกพร่องนั้นอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้  คือ

1       เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์

2       ได้ครอบครองโดยความสงบ

3       ครอบครองโดยเปิดเผย

4       ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ

5       ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา  10  ปี

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สันทรายได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของสุดสวยมาเป็นเวลากว่าห้าปีก่อนที่จะขายให้แสงดาวนั้น  เมื่อปรากฏว่าในระหว่างห้าปีสุดสวยได้มาล้อมรั้วลวดหนามในที่ดินแปลงนั้น  ทำให้สันทรายเข้าไปทำไร่ไม่ได้อยู่เก้าเดือน  และเมื่อรั้วพังลงสันทรายจึงเข้าไปทำไร่ต่อได้สามปี  ดังนั้น  การครอบครองที่ดินช่วงแรกกับช่วงหลังของสันทรายจึงไม่ติดต่อกัน  แสงดาวจึงรับโอนเวลาการครอบครองที่ดินจากสันทรายได้เพียงสามปี  เพราะการครอบครองช่วงแรกของสันทรายมีข้อบกพร่องตามมาตรา  1385

เมื่อข้อเท็จจริงระบุว่า  หลังจากซื้อที่ดินมา  แสงดาวปลูกบ้านทำไร่อ้อยในที่ดินมาได้ห้าปี  ซึ่งเมื่อรวมกับการครอบครองของสันทรายแล้ว ย่อมถือว่าแสงดาวครอบครองที่ดินได้เพียงแปดปีตามมาตรา  1385  แสงดาวจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382

ดังนั้น  ข้ออ้างของแสงดาวที่ว่าสุดสวยหมดระยะเวลาการเรียกคืนการครอบครองที่ดินแปลงนั้นจากตนแล้ว  จึงรับฟังไม่ได้  เพราะที่ดินของสุดสวยเป็นที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ไม่ใช่ที่ดินมือเปล่า  สุดสวยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนที่ดินของตนจากผู้ไม่มีสิทธิได้ทุกเมื่อ

สรุป  ข้ออ้างของแสงดาวรับฟังไม่ได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 2/2554

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นกเข้าครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของไก่เกินกว่าสิบปีแล้ว  แต่นกไม่รู้ว่าจะต้องไปจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์  ต่อมาไก่ถึงแก่ความตายและหลังจากเป็ดบุตรของไก่จดทะเบียนรับมรดกที่ดินนั้นแล้ว

จึงรู้ว่านกครอบครองปรปักษ์ที่ดินดังกล่าว  เป็ดจึงบอกขายที่ดินนั้นให้แมว  ก่อนทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์  แมวไปดูที่ดินจึงรู้ว่านกครอบครองที่ดินนั้นอยู่  แต่เป็ดบอกกับแมวว่านกเป็นเพียงผู้เช่าที่ดิน  และจะดำเนินการให้นกออกไปจากที่ดินนั้นทันทีหลังจากจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แล้ว

โดยแมวไม่ได้สอบถามข้อเท็จจริงจากนก  ประกอบกับแมวเห็นว่าชื่อในโฉนดเป็นชื่อของเป็ด  จึงทำสัญญาและจดทะเบียนซื้อที่ดินแปลงนั้น  ดังนี้  นกจะขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ระหว่างเป็ดกับแมวได้หรือไม่  และผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 

มาตรา  1299  วรรคสอง  ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์  หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  สิทธิของผู้ได้มานั้น  ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้  ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้  และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น  มิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว

มาตรา  1300  ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์  หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์  เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้  แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน  ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้น  ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด  ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้ 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นกเข้าครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของไก่เกินกว่า  10  ปีแล้ว  จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  อันถือเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา  1299  วรรคสอง  เมื่อปรากฏว่านกไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว  นกจึงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน  และสิทธิอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น  นกมิสามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน  โดยสุจริต  และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้

ต่อมาเมื่อไก่ถึงแก่ความตาย  เป็ดบุตรของไก่ได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนั้น  ซึ่งถือเป็นการรับโอนที่ดินดังกล่าวในฐานะทายาทโดยธรรมของไก่  อันเป็นการรับทรัพย์มรดกตามกฎหมายว่าด้วยมรดก  โดยทายาทต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ต่างๆของเจ้ามรดก  เป็ดผู้สืบสิทธิของไก่จึงไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกที่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นโดยมีค่าตอบแทน  ดังนั้น  ระหว่างนกกับเป็ด  นกจึงยังเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวดีกว่าเป็ด

ส่วนการที่เป็ดขายที่ดินแปลงนั้นให้แมวในเวลาต่อมานั้น  เมื่อปรากฏว่าก่อนทำสัญญาและจดทะเบียนซื้อขายที่ดิน  แมวได้ไปดูที่ดินและรู้ว่านกครอบครองที่ดินแปลงนั้นอยู่  แต่ไม่สอบถามข้อเท็จจริงจากนก  ทั้งที่สามารถสอบถามได้  แมวจึงเป็นบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิในที่ดินนั้นมาโดยไม่สุจริต  ดังนั้น  นกจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่าแมว  และสามารถร้องขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างเป็ดกับแมวได้  เพราะการจดทะเบียนนั้นทำให้นกซึ่งเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนต้องเสียเปรียบ  ตามมาตรา  1300

สรุป  นกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่าแมว  และสามารถร้องขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างเป็ดกับแมวได้

 

ข้อ  2  เอกเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งจำนวน  20  ไร่  เอกได้แบ่งขายให้โท  5  ไร่  โดยการซื้อขายทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนถูกต้องตามหลักกฎหมาย  แต่ที่ดินที่แบ่งขายนี้เป็นที่ไม่มีทางออกสู่สาธารณะทางบกเพราะมีที่ดินของเอก  ตรี  และจัตวาล้อมรอบอยู่ อย่างไรก็ดีโทยังสามารถเข้าออกด้วยเรือได้เพราะด้านหนึ่งอยู่ติดคลองสาธารณะที่ใช้เรือข้ามฟากไปมา  ต่อมาโทต้องการใช้ทางเข้าออกเป็นถนนผ่านบนที่ดินของตรี  ดังนี้  โทมีสิทธิทำได้หรือไม่  โดยใช้หลักกฎหมายเรื่องทางจำเป็น  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1349  ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงสาธารณะได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้

ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้แต่เมื่อต้องข้ามสระ  บึง  หรือทะเล  หรือมีที่ชัน  อันมีระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากไซร้  ท่านว่าให้ใช้ความในวรรคต้นบังคับ

ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน  กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้  ถ้าจำเป็น  ผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้

ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น  ค่าทดแทนนั้น  นอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน  ท่านว่าจะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้

วินิจฉัย

ในเรื่องทางจำเป็นตามมาตรา  1349  กฎหมายได้กำหนดไว้ว่า  ที่ดินแปลงใดถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมอยู่จนไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้  ซึ่งทางสาธารณะดังกล่าวนอกจากจะหมายถึงทางสาธารณะทางบกแล้ว  ให้หมายความรวมถึงทางสาธารณะทางน้ำด้วย  เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิที่จะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะได้  ในกรณีที่ที่ดินแปลงใดไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะทางบก  แต่หากเจ้าของที่ดินยังสามารถใช้ทางน้ำสัญจรออกไปสู่ทางสาธารณะได้  เช่น  อยู่ติดกับแม่น้ำหรือติดกับคลองสาธารณะ  ดังนี้  เจ้าของที่ดินจะอ้างขอทางจำเป็นผ่านที่ดินของบุคคลอื่นไม่ได้  เพราะถือว่ามีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์  ที่ดินที่เอกแบ่งขายให้โทนั้น  แม้จะไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะทางบก  แต่โทก็ยังสามารถใช้ทางน้ำสัญจรไปมาได้  เพราะที่ดินด้านหนึ่งอยู่ติดกับคลองสาธารณะ  ดังนั้น  ที่ดินที่โทซื้อมาจึงไม่เข้าลักษณะที่ดินตาบอดจนไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ  โทจึงไม่มีสิทธิขอทางผ่านบนที่ดินของตรี  โดยใช้หลักกฎหมายเรื่องทางจำเป็น

สรุป  โทไม่มีสิทธิใช้ทางเข้าออกเป็นถนนผ่านบนที่ดินของตรี  โดยใช้หลักกฎหมายเรื่องทางจำเป็น

 

ข้อ  3  นายชุ่มได้เข้าไปทำประโยชน์และปลูกบ้านอาศัยบนที่ดินมือเปล่าของนายชั้นแปลงหนึ่ง  เมื่อเจ้าพนักงานรังวัดสำรวจเพื่อออกเอกสารสิทธิบนที่ดินแปลงนั้น  เจ้าพนักงานได้เดินพิสูจน์การครอบครอง

นายชุ่มได้แจ้งการครอบครองที่ดินแปลงนั้นต่อเจ้าพนักงาน  นายชั้นนำเอกสารการกู้ยืมเงินระหว่างนายชั้นกับนายชอบซึ่งเป็นลูกหนี้นายชั้น  และเอกสารเป็นหนังสือมีข้อความที่นายชอบตกลงนำที่ดินแปลงที่นายชุ่มทำประโยชน์

ตีใช้หนี้เงินกู้ที่นายชอบเป็นหนี้นายชั้น  ลงชื่อนายชั้นกับนายชอบ  นายชั้นจึงกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิบนที่ดินแปลงนั้นดีกว่านายชุ่ม  เจ้าพนักงานจึงแจ้งให้นายชั้นไปฟ้องร้องต่อศาล  และหลังจากที่นายชั้นได้คัดค้านได้ยังไม่ครบหนึ่งปี  นายชั้นสามารถฟ้องเอาคืนการครอบครองจากนายชุ่มได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ให้นักศึกษาอธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1375  ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า  ซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้ 

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น  ท่านว่าต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง 

วินิจฉัย 

โดยหลักแล้ว  ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  ผู้ครอบครองมีสิทธิฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองภายใน  1 ปี  นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง  เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้  ตามมาตรา  1375

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายชุ่มได้เข้าไปทำประโยชน์และปลูกบ้านอาศัยบนที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งนั้น  นายชุ่มย่อมมีและได้สิทธิครอบครองบนที่ดินแปลงดังกล่าวตามมาตรา  1367 

ตามข้อเท็จจริง  เมื่อเจ้าพนักงานได้รังวัดสำรวจเพื่อออกเอกสารสิทธิบนที่ดินแปลงนั้น  นายชุ่มได้แจ้งการครอบครองที่ดินแปลงนั้นต่อเจ้าพนักงาน  ปรากฏว่านายชั้นได้นำเอกสารการกู้ยืมเงินระหว่างนายชั้นกับนายชอบซึ่งเป็นลูกหนี้นายชั้นมาอ้างว่านายชอบตกลงนำที่ดินแปลงที่นายชุ่มทำประโยชน์ตีใช้หนี้เงินกู้ที่นายชอบเป็นหนี้นายชั้น  ตนจึงมีสิทธิบนที่ดินแปลงนั้นดีกว่านายชุ่ม  ดังนี้  นายชั้นจะกล่าวอ้างไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายชอบได้ครอบครองใช้ประโยชน์บนที่ดินแปลงนั้นอันจะทำให้นายชอบได้สิทธิครอบครองแต่อย่างใด  และเมื่อนายชอบไม่มีสิทธิใดๆบนที่ดินแปลงนั้น  ย่อมทำให้นายชั้นผู้กล่าวอ้างไม่มีสิทธิตามไปด้วย

เมื่อปรากฏว่านายชั้นไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว  ย่อมถือไม่ได้ว่านายชุ่มได้แย่งการครอบครองไปจากนายชั้น  ดังนั้น  นายชั้นจะฟ้องเอาคืนการครอบครองจากนายชุ่มตามมาตรา  1375  ไม่ได้ 

สรุป  นายชั้นจะฟ้องเอาคืนการครอบครองจากนายชุ่มไม่ได้

 

ข้อ  4  นายดำอาศัยบ้านและที่ดินของนายแดงอยู่  แต่ที่ดินของนายแดงแปลงนั้นไม่มีที่ออกสู่ทางสาธารณะ  นายดำจึงได้ใช้ทางผ่านที่ดินของนายขาวออกประจำ  โดยนายขาวไม่เคยทราบมาก่อน  นายดำอาศัยบ้านและที่ดินของนายแดงและใช้ทางผ่านที่ดินของนายขาวตลอดมาได้ห้าปี  นายดำตาย  นายฟ้าบุตรของนายดำจึงได้ขอนายแดงอาศัยที่ดินแปลงนั้นต่อ  นายแดงยินยอม  นายฟ้าจึงยังคงใช้ที่ดินของนายขาวแปลงนั้นเข้าออกเหมือนเมื่อสมัยบิดาอาศัยอยู่ต่อมาอีกหกปี  นายขาวจึงได้มาห้ามไม่ให้นายฟ้าใช้ทางผ่านที่ดินแปลงนั้นของนายขาวอีกต่อไป  ถ้าจะใช้ทางผ่านต้องจ่ายค่าใช้ทางเป็นรายปี  ปีละ  5,000  บาท  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายขาวจะห้ามไม่ให้นายฟ้าผ่านที่ดินของนายขาวต่อไปได้หรือไม่  และถ้านายฟ้าจะใช้ทางนั้นต่อไป  นายฟ้าจะต้องจ่ายค่าใช้ทางตามที่นายขาวต้องการหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา  1600  ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  กองมรดกของผู้ตายได้แก่  ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย  ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างๆ  เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว  เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมตามมาตรา  1387  โดยอายุความครอบครองปรปักษ์นั้น  ถือเป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  ซึ่งตามมาตรา  1401  นั้น  บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา  1382  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  กล่าวคือ  ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์  โดยความสงบ  เปิดเผย  และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์  โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี

ตามอุทาหรณ์  การที่นายดำอาศัยบ้านและที่ดินของนายแดงอยู่  และได้ใช้ทางผ่านที่ดินของนายขาวเข้าออกประจำ  โดยนายขาวไม่เคยทราบมาก่อนนั้น  ย่อมถือว่านายดำครอบครองปรปักษ์เพื่อให้ได้ภาระจำยอมแล้ว  โดยการใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์  คือที่ดินของนายขาวโดยความสงบ  เปิดเผย  และเจตนาจะได้มาซึ่งภาระจำยอมแล้ว  ทั้งนี้เพราะภาระจำยอมย่อมมีเพื่อประโยชน์ของสามานยทรัพย์  ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในสามานยทรัพย์ก็สามารถครอบครองปรปักษ์เพื่อให้ได้มาซึ่งภาระจำยอมได้

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายดำได้ใช้ทางผ่านที่ดินของนายขาวตลอดมาได้  5  ปี  นายดำก็ถึงแก่ความตาย  เช่นนี้  ย่อมทำให้นายฟ้าบุตรของนายดำรับโอนมาซึ่งสิทธิและความรับผิดต่างๆของนายดำ  ตามมาตรา  1600  ซึ่งรวมถึงสิทธิในภาระจำยอมดังกล่าวด้วย  ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านายฟ้าได้ขอนายแดงอาศัยที่ดินแปลงนั้นต่อและได้ใช้ที่ดินของนายขาวแปลงนั้นเข้าออกเสมือนสมัยบิดาอาศัยอยู่ต่อมาอีก  6  ปี  ซึ่งเมื่อรวมเวลาการใช้ทางผ่านที่ดินของนายขาวของทั้งนายฟ้าและนายดำบิดาของนายฟ้าแล้ว  จะได้  11  ปี  ซึ่งถือว่าเกิน  10  ปีแล้ว  ย่อมทำให้นายฟ้าได้ภาระจำยอมโดยอายุความปรปักษ์  ตามมาตรา  1382  มาตรา  1387  และมาตรา  1401  ดังนั้น  นายขาวจะห้ามไม่ให้นายฟ้าผ่านที่ดินของนายขาวต่อไปไม่ได้  และถ้านายฟ้าจะใช้ทางนั้นต่อไป  นายฟ้าก็ไม่ต้องจ่ายค่าใช้ทางตามที่นายขาวต้องการ

สรุป  นายขาวจะห้ามไม่ให้นายฟ้าผ่านที่ดินของนายขาวต่อไปไม่ได้  และถ้านายฟ้าจะใช้ทางนั้นต่อไป  นายฟ้าก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ต้องจ่ายค่าใช้ทางตามที่นายขาวต้องการได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  เบี้ยวทำสัญญาอนุญาตให้กลมทำทางภาระจำยอมเป็นถนนผ่านที่ดินของเบี้ยว  โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา  แต่สัญญาดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  หลังจากกลมใช้ทางภาระจำยอมได้  5  ปี  เบี้ยวก็ถึงแก่ความตาย  แบนบุตรของเบี้ยวได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนั้นในฐานะทายาทโดยธรรม  และแบนได้ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้กับสมปอง

หลังจากจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์แล้ว  สมปองจึงห้ามไม่ให้กลมใช้ทางภาระจำยอมอีกต่อไป  แต่กลมอ้างสัญญาที่ตนทำไว้กับเบี้ยวขึ้นต่อสู้ว่า  ตนยังสามารถใช้ทางภาระจำยอมได้ต่อไป  ดังนี้สมปองจะห้ามไม่ให้กลมใช้ทางภาระจำยอมต่อไปได้หรือไม่  และข้อต่อสู้ของกลมรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1299  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น  จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้  จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ  ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น  ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้  (มาตรา  1299  วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เบี้ยวทำสัญญาอนุญาตให้กลมทำทางภาระจำยอมเป็นถนนผ่านที่ดินของเบี้ยวโดยไม่มีกำหนดระยะเวลานั้น  กลมจึงเป็นผู้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม  แต่เมื่อปรากฏว่าสัญญาดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  นิติกรรมจึงไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกไม่ได้  แต่ยังคงมีผลบังคับระหว่างเบี้ยวกับกลมซึ่งเป็นคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิตามมาตรา  1299  วรรคแรก

ต่อมาเมื่อเบี้ยวถึงแก่ความตาย  แบนบุตรของเบี้ยวได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนั้นในฐานะทายาทโดยธรรม  อันเป็นการรับทรัพย์มรดกตามกฎหมายว่าด้วยมรดก  ดังนั้น  แบนผู้รับมรดกจึงต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของเบี้ยวเจ้ามรดกที่มีต่อกลมดังกล่าวด้วย

อย่างไรก็ตาม  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  แบนได้ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้กับสมปอง  และสมปองได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์แล้ว  สมปองย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น  และถือเป็นบุคคลภายนอก  ดังนั้น  เมื่อภาระจำยอมดังกล่าวไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  จึงไม่สามารถบังคับใช้กับสมปองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้  สมปองในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงมีสิทธิห้ามไม่ให้กลมใช้ทางภาระจำยอมต่อไปได้  และข้อต่อสู้ของกลมที่ว่าตนทำสัญญาไว้กับเบี้ยวจึงยังสามารถใช้ทางภาระจำยอมได้ต่อไปนั้นรับฟังไม่ได้  เพราะกลมไม่สามารถยกสัญญาที่ไม่บริบูรณ์นั้นขึ้นต่อสู้กับสมปองได้ตามเหตุผลที่กล่าวแล้วข้างต้น

สรุป  สมปองจะห้ามไม่ให้กลมใช้ทางภาระจำยอมต่อไปได้  และข้อต่อสู้ของกลมรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  มั่นได้ซื้อพระเครื่ององค์หนึ่งในราคา  5,000  บาท  จากร้านพุทธศิลป์ซึ่งเปิดร้านจำหน่ายพระเครื่องและวัตถุมงคลที่ข้างวัดมหาธาตุ  ท่าพระจันทร์  ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆ  โดยมั่นไม่รู้ว่าพระเครื่ององค์ดังกล่าวเป็นของเมฆที่ถูกคนร้ายขโมยไป

และนำไปขายที่ร้านพุทธศิลป์ในราคา  2,000  บาท  หลังจากซื้อพระเครื่องดังกล่าวแล้ว  มั่นได้นำไปใส่กรอบทองคำเป็นเงิน  20,000  บาท  ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้  และสืบทราบว่าพระของกลางอยู่ที่มั่น  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  เมฆจะเรียกให้มั่นคืนพระเครื่ององค์นั้นพร้อมกรอบทองให้กับตนได้หรือไม่  และระหว่างมั่นกับเมฆมีสิทธิเรียกร้องใดๆต่อกันได้บ้าง  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  144  ส่วนควบของทรัพย์  หมายความว่า  ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่แห่งทรัพย์นั้น  และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย  ทำให้บุบสลาย  หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น

มาตรา  1332  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  1332  คือ  แม้เจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงจะติดตามทวงคืน  ก็ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินให้แก่เจ้าของ เว้นแต่เจ้าของทรัพย์สินนั้นจะชดใช้ราคาที่ตนซื้อมา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่มั่นซื้อพระเครื่องดังกล่าวจากร้านพุทธศิลป์ซึ่งเปิดร้านจำหน่ายพระเครื่องและวัตถุมงคลที่ข้างวัดมหาธาตุ  ท่าพระจันทร์ ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆ  โดยมั่นไม่รู้ว่าพระเครื่ององค์นั้นเป็นของเมฆที่ถูกคนร้ายขโมยไปและนำไปขายที่ร้านพุทธศิลป์นั้น  มั่นย่อมเป็นบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากท้องตลาด  และจากพ่อค้าซึ่งขายสินค้าชนิดนั้น  ดังนั้นมั่นจึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  1332  คือ  มั่นไม่จำต้องคืนพระเครื่ององค์นั้นให้กับเมฆ  แม้เมฆจะเป็นเจ้าของที่แท้จริงก็ตาม  เว้นเสียแต่ว่าเมฆจะชดใช้ราคาพระเครื่องที่มั่นได้ซื้อมา  คือ  5,000  บาท  เมฆจึงจะสามารถเรียกให้มั่นคืนพระเครื่ององค์นั้นได้

ส่วนกรณีที่มั่นนำพระเครื่องไปใส่กรอบทองคำเป็นเงิน  20,000  บาทนั้น  เมื่อปรากฏว่ากรอบพระทองคำไม่ใช่สาระสำคัญในความเป็นอยู่ของพระเครื่อง  จึงไม่ถือเป็นส่วนควบของพระเครื่อง  ตามมาตรา  144  อันจะทำให้เมฆเจ้าของทรัพย์ได้กรรมสิทธิ์ในกรอบพระทองคำด้วยแต่อย่างใด  ดังนั้น  กรอบพระทองคำจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของมั่น  เมฆไม่มีสิทธิเรียกเอากรอบพระทองคำจากมั่น

สรุป  หากเมฆต้องการจะเรียกให้มั่นคืนพระเครื่อง  จะต้องชดใช้เงินให้แก่มั่น  5,000  บาท  ส่วนกรอบพระทองคำนั้น  เมฆไม่มีสิทธิเรียกเอากรอบพระทองคำจากมั่น

 

ข้อ  3  นายแมนเข้าไปทำนาในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนางมั่งมีมาได้  4  ปี  ต่อมานายแมนถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา  1  ปี  6 เดือน  เมื่อออกจากคุกแล้ว  นายแมนได้เข้าไปครอบครองทำนาในที่ดินของนางมั่งมีอีก  4  ปี  6  เดือน  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายแมนอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์บนที่ดินของนางมั่งมีได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1384  ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร  และได้คืนภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่วันขาดยึดถือ  หรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้  ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง

วินิจฉัย 

กรณีตามอุทาหรณ์  โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  จะประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1.  เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น  โดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา  10  ปี

สำหรับการครอบครองติดต่อกันนั้น  จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ครอบครองได้ครอบครองหรือยึดถือทรัพย์สินนั้นตลอดเรื่อยมาโดยไม่มีเจตนาสละการครอบครอง  หรือขาดการยึดถือโดยใจสมัครในบางช่วงบางตอน  และถ้าหากเป็นการขาดการยึดถือโดยไม่สมัครใจ  เพราะมีเหตุมาขัดขวาง  กฎหมายถือว่าการขาดการยึดถือนั้นไม่ทำให้อายุความการครอบครองสะดุดหยุดลง  หากได้ทรัพย์สินคืนภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่ขาดการยึดถือ  ทั้งนี้ตามมาตรา  1384

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายแมนจะอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์บนที่ดินของนางมั่งมีได้หรือไม่  เห็นว่า การที่นายแมนเข้าไปครอบครองปรปักษ์ทำนาในที่ดินมีโฉนดของนางมั่งมีมาได้  4  ปี  และต่อมาได้ถูกศาลพิพากษาจำคุกนั้น  ถือเป็นกรณีที่นายแมนขาดการยึดถือที่ดินโดยไม่สมัครใจ  เนื่องจากมีเหตุมาขัดขวางหรือไม่มีเจตนาสละการครอบครอง  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อปรากฏว่านายแมนไม่อาจกลับเข้าครอบครองที่ดินอีกได้ภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่ขาดการยึดถือ  เนื่องจากศาลพิพากษาจำคุกนายแมน  1  ปี  6  เดือน  จึงมีผลทำให้การครอบครองของนายแมนสิ้นสุดลง  ตามมาตรา  1384

ดังนั้น  แม้ต่อมานายแมนจะพ้นโทษจำคุก  และกลับเข้าครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนางมั่งมีอีก  นายแมนก็ไม่สามารถจะนำระยะเวลาการครอบครองเดิม  (4  ปี)  มานับรวมกับการครอบครองขณะตนถูกจำคุก  (1  ปี  6  เดือน)  และภายหลังออกจากคุก  (4  ปี  6  เดือน) ได้ หากนายแมนจะนับก็ต้องเริ่มนับตั้งแต่เมื่อออกจากคุกแล้วมาครอบครองใหม่  จึงเท่ากับนายแมนเพิ่งครอบครองปรปักษ์ได้เพียง  4  ปี  6  เดือน  ซึ่งยังไม่ครบ  10  ปี  นายแมนจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนางมั่งมีตามมาตรา  1382  ดังนั้น  นายแมนจะอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนางมั่งมีไม่ได้

สรุป  นายแมนอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์บนที่ดินของนางมั่งมีไม่ได้

 

ข้อ  4  จันทร์จดทะเบียนภาระจำยอมให้อังคารใช้น้ำในบ่อน้ำซึ่งอยู่ในที่ดินของจันทร์ได้  หลังจากที่อังคารใช้น้ำจากบ่อของจันทร์มาได้  5 ปี  อังคารก็ไม่เคยมาใช้น้ำจากบ่อน้ำนี้อีกถึง  5  ปี  ต่อมาอังคารขายที่ดินให้กับพุธ  เมื่อพุธซื้อที่ดินแล้วจึงมาใช้น้ำในที่ดินของจันทร์  ดังนี้ จันทร์จะไม่อนุญาตให้พุธนำน้ำจากบ่อน้ำของตนไปใช้ได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1399  ภาระจำยอมนั้น  ถ้ามิได้ใช้สิบปี  ท่านว่าย่อมสิ้นไป

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  ภาระจำยอมนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีขึ้นเพื่อประโยชน์กับอสังหาริมทรัพย์อื่น  (มาตรา  1387)  ดังนั้น  ภาระจำยอมจึงตกติดไปกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งภารทรัพย์และสามยทรัพย์เสมอ  ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสองนั้นจะโอนไปเป็นของบุคคลใด  เว้นแต่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น  และหากไม่ได้ใช้ภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี  ภาระจำยอมนั้นย่อมระงับสิ้นไปตามมาตรา  1399  ซึ่งถือเป็นอายุความเสียสิทธิ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จันทร์จดทะเบียนภาระจำยอมให้อังคารมีสิทธิใช้น้ำในบ่อน้ำ  ซึ่งอยู่ในที่ดินของจันทร์ได้นั้น  ภาระจำยอมดังกล่าวย่อมบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ  (มาตรา  1299  วรรคแรก)  และการที่อังคารได้ใช้น้ำจากบ่อน้ำในที่ดินของจันทร์เพียง  5  ปี  แล้วก็ไม่เคยมาใช้น้ำจากบ่อน้ำนี้อีกเลยเป็นเวลาถึง  5  ปีนั้น  เมื่อปรากฏว่าการที่ไม่ได้ใช้ภาระจำยอมนั้นยังไม่ถึง  10  ปี  จึงยังไม่มีผลทำให้ภาระจำยอมที่มีอยู่ระงับไปตามมาตรา  1399

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าต่อมาอังคารขายที่ดินให้กับพุธ  พุธผู้รับโอนที่ดินมาจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและมีสิทธิในภาระจำยอมดังกล่าว  คือ  มีสิทธิเข้าไปใช้น้ำจากบ่อน้ำในที่ดินของจันทร์ได้  (มาตรา  1387)  ดังนั้น  เมื่อภาระจำยอมดังกล่าวเป็นทรัพยสิทธิ  ผูกพันอยู่กับทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์  จันทร์จึงไม่มีสิทธิห้ามพุธไม่ให้มาใช้น้ำจากบ่อน้ำซึ่งอยู่ในที่ดินของตนได้ 

สรุป  จันทร์จะไม่อนุญาตให้พุธนำน้ำจากบ่อน้ำของตนไปใช้ไม่ได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 1/2555

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 


คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ
 

ข้อ  1  ชัยทำสัญญายกที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งตีใช้หนี้ให้เชิดเจ้าหนี้  แต่ทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  หลังจากชัยส่งมอบที่ดินให้เชิดครอบครองได้สามปี  เกียรติเจ้าหนี้ของชัยได้ฟ้องศาลให้ชัยชำระหนี้และศาลพิพากษาให้เกียรติชนะคดี  เกียรติจึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้ายึดที่ดินแปลงที่ชัยเคยทำสัญญาตีใช้หนี้ให้เชิดไปแล้ว  เพื่อออกขายทอดตลาดนำเงินมาใช้หนี้เกียรติ

เชิดรู้เรื่องจึงร้องขัดทรัพย์โดยอ้างว่าเชิดเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนั้น  เพราะชัยเอาที่ดินนั้นตีใช้หนี้ให้ตนแล้ว  เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีสิทธินำออกขายทอดตลาด  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  เชิดจะร้องขัดทรัพย์ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1299 วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น  จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้  จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ  ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น  ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้  (มาตรา  1299  วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ชัยทำสัญญายกที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งตีใช้หนี้ให้แก่เชิดนั้น  ถือว่าเชิดเป็นผู้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม  เมื่อปรากฏว่าสัญญาดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  นิติกรรมจึงไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  เชิดจะยกสัญญานี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกไม่ได้  แต่ยังคงมีผลบังคับระหว่างชัยกับเชิดในฐานะบุคคลสิทธิตามมาตรา  1299  วรรคแรก

ดังนั้น  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  เกียรติเจ้าหนี้ของชัยได้ฟ้องศาลให้ชัยชำระหนี้  และศาลได้พิพากษาให้เกียรติชนะคดี  เกียรติจึงสามารถนำเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้ายึดที่ดินแปลงที่ชัยเคยทำสัญญาตีใช้หนี้  ให้เชิดเพื่อออกขายทอดตลาดนำเงินมาใช้หนี้เกียรติได้  เชิดจะร้องขัดทรัพย์โดยอ้างว่าเชิดเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนั้น  เพราะชัยเอาที่ดินนั้นตีใช้หนี้ให้ตนแล้ว  เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีสิทธินำออกขายทอดตลาดไม่ได้  เพราะสัญญานำอสังหาริมทรัพย์คือที่ดินดังกล่าวตีใช้หนี้ไม่ได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  การโอนกรรมสิทธิ์จึงถือว่าไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  เชิดจึงเอาสัญญาดังกล่าวขึ้นต่อสู้เกียรติไม่ได้  ดังนั้นเกียรติซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา  และเป็นบุคคลภายนอกจึงมีสิทธิในที่ดินดีกว่าเชิด  และสามารถนำยึดที่ดินพิพาทได้

สรุป  เชิดจะร้องขัดทรัพย์ไม่ได้

 

ข้อ  2  นายดำซื้อแหวนวงหนึ่งราคา  2,000  บาท  จากร้านขายของหลุดจำนำของนายขาว  ซึ่งมีใบอนุญาตค้าของเก่า  และนายขาวทำการขายของเก่าทุกชนิดที่หลุดจำนำ  หลังจากซื้อได้ประมาณ  10  วันจึงทราบว่าแหวนวงนี้เป็นแหวนของนายเขียว  แต่ถูกนายแดงผู้เป็นลูกจ้างขโมยมาจำนำที่โรงรับจำนำแห่งหนึ่ง

และแดงไม่ได้ไปไถ่จึงหลุดจำนำ  ต่อมาร้ายขายของเก่าของนายขาวได้ไปประมูลสินค้าหลุดจำนำจากโรงรับจำนำและขายต่อ  นายเขียวเจ้าของแหวนจึงขอแหวนคืนจากนายดำ  ดังนี้  นายดำจะต่อสู้ว่าตนซื้อมาจากพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1332  ได้หรือไม่  และนายดำจะต้องคืนแหวนแก่นายเขียวหรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1332  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

วินิจฉัย

โดยหลัก  การซื้อขายทรัพย์สินที่จะอยู่ภายใต้บังคับมาตรา  1332  อันจะทำให้บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินได้รับการคุ้มครองนั้น  ต้องเป็นการซื้อโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายดำซื้อแหวนจากร้านขายของหลุดจำนำของนายขาว  ซึ่งมีใบอนุญาตค้าของเก่านั้น  มิได้เป็นกรณีที่นายดำซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเอกชน  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  นายดำผู้ซื้อจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  1332  แม้นายดำจะซื้อโดยสุจริตเพราะไม่รู้ว่าแหวนวงดังกล่าวเป็นของนายเขียว  ซึ่งถูกนายแดงขโมยมาจำนำที่โรงรับจำนำแห่งหนึ่งจนหลุดจำนำก็ตาม

ดังนั้น  เมื่อนายเขียวเจ้าของแหวนขอแหวนคืนจากนายดำ  นายดำจะต่อสู้ว่าตนซื้อมาจากพ่อค้าขายของชนิดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1332  ไม่ได้  และนายดำจะต้องคืนแหวนให้แก่นายเขียว  ตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

สรุป  นายดำจะต่อสู้ว่าตนซื้อแหวนมาจากพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1332  ไม่ได้  และนายดำจะต้องคืนแหวนให้แก่นายเขียว

 

ข้อ  3  พุธครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งร่วมกับนายศุกร์  เมื่อครอบครองไปได้หนึ่งปี  พุธกับศุกร์ทำสัญญาเป็นหนังสือตกลงขายส่วนของตนให้กับศุกร์  โดยพุธตกลงกับศุกร์ว่าตนยังไม่ต้องรื้อถอนบ้านออกไป  คงอยู่อาศัยในที่ดินนั้นต่อไปได้  พุธอยู่ต่อมาได้หนึ่งปี  พุธได้ขายที่ดินแปลงนั้นให้จันทร์  โดยจันทร์สุจริต  เพราะเห็นพุธอยู่ในที่ดินแปลงนั้นมานานแล้ว  และจันทร์เชื่อที่พุธบอกว่าศุกร์เช่าที่ดินแปลงนั้นจากพุธ  ต่อมาเมื่อศุกร์ไปยื่นขอออกโฉนดที่ดิน  จันทร์ได้มาคัดค้าน  ตามข้อเท็จจริงนี้  ถ้าท่านเป็นศาล  จะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1368  บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้

มาตรา  1377  วรรคหนึ่ง  ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง  หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้  การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง

มาตรา  1380  การโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมเป็นผลแม้ผู้โอนยังยึดถือทรัพย์สินอยู่  ถ้าผู้โอนแสดงเจตนาว่าต่อไปจะยึดถือทรัพย์สินนั้นแทนผู้รับโอน 

ถ้าทรัพย์สินนั้นผู้แทนของผู้โอนยึดถืออยู่  การโอนไปซึ่งการครอบครองจะทำโดยผู้โอนสั่งผู้แทนว่า  ต่อไปให้ยึดถือทรัพย์สินไว้แทนผู้รับโอนก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่พุธทำสัญญาเป็นหนังสือตกลงขายที่ดินมือเปล่าส่วนของตนให้กับศุกร์นั้น  ถือว่าพุธได้สละการครอบครองในที่ดินแล้ว  สิทธิการครอบครองที่ดินของพุธจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา  1377  วรรคแรก  และถึงแม้พุธจะยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าวต่อไป  การโอนที่ดินดังกล่าวก็เป็นผลแล้ว  เพราะเป็นการโอนตามมาตรา  1380  ซึ่งบัญญัติว่า  การโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมเป็นผลแม้ผู้โอนยังยึดถือทรัพย์สินอยู่  ถ้าผู้โอนแสดงเจตนาว่าต่อไปจะยึดถือทรัพย์สินนั้นแทนผู้รับโอน  และกรณีนี้ถือเป็นกรณีที่ศุกร์ได้สิทธิครอบครองที่ดินโดยมีผู้อื่นยึดถือไว้ให้ตามมาตรา  1368

ดังนั้น  แม้พุธจะยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงนั้นต่อไป  ก็ไม่ทำให้ได้สิทธิครอบครองตามมาตรา  1367  ศุกร์ย่อมมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงนั้นดีกว่าพุธ

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ต่อมาศุกร์ได้ไปยื่นขอออกโฉนดที่ดินแปลงนั้น  กรณีนี้ถึงแม้พุธจะขายที่ดินแปลงนั้นให้จันทร์แล้ว  โดยจันทร์สุจริต  เพราะเห็นพุธอยู่ในที่ดินแปลงนั้นมานานแล้ว  และเชื่อที่พุธบอกว่าศุกร์เช่าที่ดินแปลงนั้นจากพุธก็ตาม  แต่เมื่อที่ดินแปลงนั้นเป็นของศุกร์ซึ่งมีสิทธิยื่นขอออกโฉนดได้  จันทร์จึงไม่มีสิทธิคัดค้าน  เพราะถือว่าจันทร์รับโอนที่ดินแปลงนั้นมาจากผู้ที่ไม่มีสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  จะวินิจฉัยคดีนี้ว่าศุกร์มีสิทธิที่จะยื่นขอออกโฉนดที่ดินแปลงนี้ได้  เพราะที่ดินเป็นของศุกร์  จันทร์ไม่มีสิทธิคัดค้าน

 

ข้อ  4  แดงเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่ง  แดงให้ดำเช่าที่ดินปลูกบ้านอาศัยอยู่  เมื่อเข้าไปปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น  ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง  แดงได้บอกให้ดำวางเสา  สายไฟฟ้าผ่านที่ดินของขาวเข้าไปใช้ในที่ดินได้  โดยแดงบอกกับดำว่าตนได้ขออนุญาตขาวเจ้าของที่ดินแล้ว  แต่ความจริงไม่ใช่  แดงไม่เคยขอหรือบอกขาวเลย  ดำจึงได้วางเสาและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของขาว  นอกจากนั้นยังได้สร้างศาลาที่พักไว้หน้าที่ดินของขาว  ดำเช่าที่ดินปลูกบ้านและวางสายไฟฟ้ามาได้ห้าปี  เหลืองได้มาขอซื้อบ้านหลังนี้จากดำและเช่าที่ดินของแดงต่อ เหลืองซื้อบ้านและอยู่อาศัยในที่ดินแปลงนี้  ใช้เสาสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของขาว  และใช้ศาลาที่พักหน้าที่ดินของขาวเพื่อขึ้นรถยนต์โดยสารประจำมาได้เจ็ดปี  ขาวได้มาแจ้งให้เหลืองรื้อเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้า  และศาลาที่พักออกไปจากที่ดินของตน  และทำที่ดินให้เป็นดังเดิม  มิฉะนั้นจะฟ้องร้องต่อศาล  ให้ท่านให้คำแนะนำต่อเหลืองว่า  เหลืองจะต้องรื้อเสา  สายไฟฟ้า  และศาลาออกไปหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

โดยหลัก  การได้ภาระจำยอมโดยอายุความ  เป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  ซึ่งตามมาตรา 1401  บัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิตามมาตรา  1382  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  กล่าวคือ  ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นโดยความสงบ  เปิดเผย  และเจตนาเป็นเจ้าของและครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี

แต่อย่างไรก็ตาม  ภาระจำยอมจะเกิดมีขึ้นได้ก็เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นซึ่งเรียกว่าสามยทรัพย์เท่านั้น  ตามมาตรา  1387  ดังนั้น  ถ้าเป็นการใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวแม้จะใช้ติดต่อกันนานเกินกว่า  10  ปี  ก็ไม่ทำให้เกิดภาระจำยอมโดยอายุความขึ้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่แดงได้บอกให้ดำวางเสาและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของขาวเข้าไปใช้ในที่ดินได้  โดยแดงบอกกับดำว่าตนได้ขออนุญาตขาวเจ้าของที่ดินแล้ว  แต่ความจริงแดงไม่เคยขอหรือบอกขาวเลย  ดำจึงได้วางเสาและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของขาวนั้น  ถือเป็นกรณีที่ดำไม่ได้มีเจตนาจะยึดถือเป็นเจ้าของที่ดินของขาว  เพื่อให้ได้ภาระจำยอมแต่อย่างใด  เพราะการที่แดงบอกกับดำว่าตนได้ขออนุญาตขาวแล้วนั้น  แสดงว่าการวางเสาและสายไฟฟ้าของดำ  เป็นการแสดงเจตนาขออาศัยวางผ่านที่ดินของขาวเท่านั้น  จึงไม่ก่อให้เกิดเจตนาปรปักษ์  อันจะทำให้ได้ภาระจำยอมมาโดยอายุความตามมาตรา  1401  ประกอบมาตรา  1382

ส่วนกรณีศาลาที่พักนั้น  ถือเป็นการที่ดำสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนตัว  ไม่ใช่เป็นการใช้ที่ดินของขาวเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นแต่อย่างใด  จึงไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม  ดังนั้นแม้ว่าดำจะใช้ศาลาที่พักนั้นนานเท่าใด  ก็ไม่ทำให้ได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของขาวโดยอายุความปรปักษ์ตามมาตรา  1401  ประกอบมาตรา  1382  และมาตรา  1387

ดังนั้น  แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า  เหลืองได้มาขอซื้อบ้านต่อจากดำและเช่าที่ดินแดงต่อโดยยังคงใช้เสาและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของขาว  และใช้ศาลาที่พักหน้าที่ดินของขาวเพื่อขึ้นรถยนต์โดยสารประจำมาได้เจ็ดปีก็ตาม  เหลืองก็ไม่สามารถนับอายุความภาระจำยอมต่อจากดำได้  เพราะการใช้ที่ดินของขาววางเสาและสายไฟฟ้าดำไม่ได้มีเจตนาปรปักษ์  ส่วนการใช้ศาลาที่พักก็ไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม  ดังนั้นเมื่อขาวเจ้าของที่ดินได้มาแจ้งให้เหลืองรื้อเสาและสายไฟฟ้า  รวมทั้งศาลาที่พักออกไปจากที่ดินของตน  และทำที่ดินให้เป็นดังเดิม  เหลืองจะต้องรื้อเสาไฟ  สายไฟฟ้า  และศาลาที่พักออกไป

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำต่อเหลืองว่า  เหลืองจะต้องรื้อเสาไฟฟ้า  สายไฟฟ้า  และศาลาออกไปจากที่ดินของขาว

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 2/2555

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายแดงสร้างบ้านลงบนที่ดินของนายแดงเองโดยมิได้ทำการรังวัดสอบเขต  เมื่อสร้างเสร็จพบว่าระเบียงบ้านชั้นบนได้รุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของนายขาวแปลงติดกันประมาณ  1  เมตรตลอดแนวของระเบียง  ต่อมานายแดงขายบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายเหลือง  นายขาวจึงฟ้องให้นายเหลืองรื้อระเบียงบ้านส่วนที่รุกล้ำเสีย  ดังนี้  นายเหลืองจะต้องรื้อถอนระเบียงบ้านหรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1312  บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น  แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้นและจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม  ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด  เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต  ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป  และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  1312  การที่จะถือว่าสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตหรือไม่สุจริตนั้น  จะต้องดูจากขณะที่ก่อสร้างว่าผู้ก่อสร้างรู้หรือไม่ว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของคนอื่น  ถ้ารู้ก็ถือว่าก่อสร้างโดยไม่สุจริต  แต่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นของบุคคลอื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเองจึงสร้างโรงเรือนลงไป  ครั้นภายหลังจึงรู้ความจริง  ย่อมถือว่าเป็นการก่อสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยสุจริต  แต่อย่างไรก็ตาม  หากความไม่รู้ดังกล่าวเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ก่อสร้าง  กฎหมายให้ถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยไม่สุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงสร้างบ้านลงในที่ดินของนายแดงเองโดยไม่ได้รังวัดสอบเขตนั้น  ถือเป็นกรณีที่นายแดงประมาทเลินเล่อ  ไม่ตรวจสอบเขตที่ดินให้ดีเสียก่อนที่จะทำการปลูกสร้าง  ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าหลังจากสร้างเสร็จ  ระเบียงบ้านชั้นบนได้รุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของนายขาว  การกระทำของนายแดงจึงเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต  ตามมาตรา  1312  วรรคสอง  ดังนั้นนายแดงจึงต้องรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินของนายขาว

และเมื่อปรากฏว่า  ต่อมานายแดงได้ขายบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายเหลือง  นายเหลืองผู้รับโอนจึงต้องรับมาทั้งสิทธิ์และหน้าที่ของนายแดงด้วย  ดังนั้น  เมื่อนายขาวเจ้าของที่ดินที่ถูกรุกล้ำได้ฟ้องให้นายเหลืองรื้อระเบียงบ้านส่วนที่รุกล้ำเสีย  นายเหลืองจึงต้องรื้อถอนระเบียงบ้านส่วนที่รุกล้ำออกตามมาตรา  1312  วรรคสอง

สรุป  นายเหลืองจะต้องรื้อถอนระเบียงบ้านส่วนที่รุกล้ำนั้น

 

ข้อ  2  นายเมืองทำพินัยกรรมยกที่ดินพร้อมหอพักให้กับบุตรชายของตนสามคน  โดยยกให้นายกรุงมีกรรมสิทธิ์สองส่วน  นายเขตและนายแขวงคนละหนึ่งส่วน  หลังจากนายเมืองถึงแก่ความตาย  ทายาททั้งสามตกลงจะยังไม่แบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น  โดยจะดำเนินกิจการหอพักต่อไปสำหรับค่าเช่าที่เก็บได้ตกลงแบ่งคนละเท่าๆกัน  ต่อมาเกิดน้ำท่วมหอพักได้รับความเสียหาย

นายเขตได้จัดการซ่อมแซมหอพักเสียค่าใช้จ่ายไป  100,000  บาท  จึงเรียกให้นายกรุงช่วยออกเงินค่าซ่อมหอพัก  50,000  บาท  และนายแขวงออกเงิน  25,000  บาท  แต่นายกรุงไม่ยอม  โดยอ้างว่าค่าเช่าที่ได้รับก็เท่าๆกัน  ดังนั้นหนี้ค่าซ่อมแซมก็ควรจะรับผิดชอบเท่าๆกันด้วย  ส่วนนายแขวงก็ยังไม่ยอมชำระเช่นกัน  นายกรุง  นายเขต  และนายแขวงจึงตกลงที่จะขายที่ดินพร้อมหอพัก

แล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกันตามส่วนที่ตนเป็นเจ้าของ  ดังนี้  นายเขตจะเรียกให้เอาเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ค่าซ่อมหอพักที่นายเขตออกไปก่อนแล้วค่อยแบ่งเงินกันตามส่วนได้หรือไม่  และนายกรุงกับนายแขวงจะต้องร่วมรับผิดชอบค่าซ่อมแซมจำนวนคนละเท่าใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1360  วรรคสอง  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  มีสิทธิได้ดอกผลตามส่วนของตนที่มีในทรัพย์สินนั้น

มาตรา  1362  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  จำต้องช่วยเจ้าของรวมคนอื่นๆ  ตามส่วนของตนในการออกค่าจัดการ  ค่าภาษีอากร  และค่ารักษากับทั้งค่าใช้ทรัพย์สินรวมกันด้วย

มาตรา  1365  วรรคสอง  ถ้าเจ้าของรวมคนหนึ่งต้องรับผิดต่อเจ้าของรวมคนอื่นในหนี้ซึ่งเกิดจากการเป็นเจ้าของรวม  หรือในหนี้ซึ่งได้ก่อขึ้นใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมดังว่านั้นก็ดี  ในเวลาแบ่ง  เจ้าของรวมผู้เป็นเจ้าหนี้จะเรียกให้เอาส่วนซึ่งจะได้แก่ลูกหนี้ของตนในทรัพย์สินรวมนั้นชำระหนี้เสียก่อน  หรือให้เอาเป็นประกันก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเมืองทำพินัยกรรมยกที่ดินพร้อมหอพักให้กับบุตรชายของตนทั้งสามคน  คือ  นายกรุง  นายเขต  และนายแขวงนั้น  บุตรทั้งสามคนย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและหอพัก  โดยนายกรุงมีกรรมสิทธิ์สองส่วน  นายเขตและนายแขวงมีกรรมสิทธิ์คนละหนึ่งส่วน  สำหรับค่าเช่าหอพักซึ่งเป็นดอกผลนิตินัยนั้น  ป.พ.พ.  มาตรา  1360  วรรคสอง  เพียงให้ข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆมีสิทธิได้ดอกผลตามส่วนของตนที่มีในทรัพย์สิน  แต่เจ้าของรวมสามารถตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้  ดังนั้น  เมื่อนายกรุง  นายเขต  และนายแขวงตกลงให้แบ่งค่าเช่าหอพักคนละเท่าๆกัน  ก็ต้องเป็นไปตามข้อตกลงของผู้ทรงกรรมสิทธิ์รวมนั้น

และเมื่อปรากฏว่า  ต่อมาน้ำท่วมหอพักได้รับความเสียหาย  และนายเขตได้จัดการซ่อมแซมหอพักเสียค่าใช้จ่ายไป  100,000  บาท  ซึ่งตามมาตรา  1362  กำหนดไว้ว่า  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  จำต้องช่วยเจ้าของรวมคนอื่นๆตามส่วนของตนในการออกค่ารักษาทรัพย์สิน  ดังนั้น  เมื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมไม่ได้ตกลงเป็นอย่างอื่นจึงต้องเป็นไปตามกฎหมาย  กล่าวคือ  นายกรุง  นายเขต  และนายแขวงจะต้องออกค่ารักษาทรัพย์สินตามส่วนของตน  เมื่อนายกรุงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมสองส่วน  ก็ต้องออกเงินค่ารักษาทรัพย์สิน  50,000  บาท  ส่วนนายเขตและนายแขวงมีคนละหนึ่งส่วน  ต้องออกเงินคนละ  25,000  บาท

และการที่นายกรุง  นายเขต  และนายแขวง  ตกลงที่จะขายที่ดินพร้อมหอพัก  แล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกันตามส่วนที่ตนเป็นเจ้าของนั้น นายเขตย่อมสามารถเรียกร้องให้เอาเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ค่าซ่อมหอพักให้แก่ตนตามส่วนที่นายกรุงกับนายแขวงจะต้องรับผิดชอบ  แล้วจึงค่อยเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกันตามส่วนได้  เพราะเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  ต้องรับผิดชอบต่อเจ้าของรวมอื่นๆ  ในหนี้ซึ่งเกิดจากการเป็นเจ้าของรวม  ซึ่งในเวลาแบ่งเจ้าของรวมผู้เป็นเจ้าหนี้จะเรียกให้เอาส่วนซึ่งจะได้แก่ลูกหนี้ของตนในทรัพย์สินรวมนั้นชำระเสียก่อนได้  ตามมาตรา  1365  วรรคสอง  โดยกรณีนี้นายกรุงจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าซ่อมแซมหอพักให้แก่นายเขตจำนวน  50,000  บาท  และนายแขวงต้องชดใช้จำนวน  25,000  บาท

สรุป  นายเขตจะเรียกให้เอาเงินที่ขายได้มาชำระค่าซ่อมแซมหอพักที่นายเขตออกไปก่อน  แล้วค่อยแบ่งเงินกันตามส่วนได้  และนายกรุงกับนายแขวงจะต้องร่วมรับผิดชอบค่าซ่อมแซมหอพักให้แก่นายเขต  โดยนายกรุงจะต้องออกเงิน  50,000  บาท  ส่วนนายแขวงต้องออกเงิน  25,000  บาท

 

ข้อ  3  น้ำแบ่งขายที่ดินของน้ำให้ฟ้าโดยทั้งน้ำและฟ้าตกลงให้ที่ดินของฟ้ามีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินแปลงของน้ำในส่วนที่เหลือ  แต่ไม่ได้จดทะเบียนการได้มา  เมื่อฟ้าซื้อที่ดินจากน้ำมาแล้ว  ได้เข้ามาปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินแปลงนั้น  แทนที่จะเดินในทางที่ตกลงไว้กับน้ำ

ฟ้ากลับใช้ทางผ่านในส่วนอื่นของที่ดินของน้ำ  โดยไม่บอกน้ำและยังทำถนนคอนกรีตเพื่อให้รถยนต์เข้าออก  นอกจากนั้นฟ้ายังเข้ามาในที่ดินของน้ำโดยเข้ามาทิ้งขยะในที่ดินของน้ำทุกวันด้วย  ฟ้าได้ทำเช่นนี้ตลอดกว่าสิบปีโดยน้ำไม่ทราบ  เมื่อน้ำทราบจึงได้มาห้ามและบอกให้ฟ้าเลิกใช้ถนนที่ฟ้าสร้างให้มาใช้ถนนเส้นที่ตกลงเดิม  และเลิกเข้ามาทิ้งขยะในที่ดินของน้ำ  ฟ้าตกลงเลิกทิ้งขยะ  แต่ถนนฟ้าไม่ยอมเพราะถนนที่ตนสร้างสะดวกสบายกว่า  แต่พอผ่านมาได้สามเดือนฟ้าได้เข้าทิ้งขยะในที่ดินของน้ำอีก  คราวนี้น้ำทนไม่ไหว  หนึ่งเดือนหลังจากนั้น  น้ำจึงได้ฟ้องต่อศาลให้ฟ้าเลิกทิ้งขยะและรื้อถนนที่ฟ้าสร้างออกไป

ให้ท่านวินิจฉัยถึงสิทธิของฟ้าในถนนที่ฟ้าสร้าง  และการทิ้งขยะในที่ดินของน้ำ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1374  ถ้าผู้ครอบครองถูกรบกวนในการครอบครองทรัพย์สิน  เพราะมีผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้  ถ้าเป็นที่น่าวิตกว่าจะยังมีการรบกวนอีก  ผู้ครอบครองจะขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้

การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนนั้น  ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกรบกวน

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย  2  ประเด็น  คือ

ประเด็นที่  1  เกี่ยวกับสิทธิของฟ้าในถนนที่ฟ้าสร้าง

การที่น้ำแบ่งขายที่ดินของน้ำให้ฟ้า  และตกลงให้ฟ้ามีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินแปลงของน้ำในส่วนที่เหลือนั้น  ถือว่าฟ้าได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรม  และแม้ไม่ได้จดทะเบียนการได้มาก็สามารถใช้บังคับกันได้ในระหว่างคู่กรณี  แต่เมื่อฟ้าซื้อที่ดินจากน้ำมาแล้วและได้เข้ามาปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินแปลงนั้น  แทนที่จะเดินเข้าออกในทางที่ตกลงไว้กับน้ำ  กลับใช้ทางผ่านในส่วนอื่นของที่ดินของน้ำโดยไม่บอกน้ำ  และยังทำถนนคอนกรีตเพื่อให้รถยนต์เข้าออกจนครบกำหนด  10  ปี  โดยที่น้ำไม่ทราบ  กรณีนี้จึงถือได้ว่าฟ้าซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์  (ที่ดินของน้ำ)  โดยสงบและโดยเปิดเผย  และด้วยเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์นั้น  ดังนั้นฟ้าย่อมได้ภาระจำยอมในถนนที่ฟ้าสร้างโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  ประกอบมาตรา  1401  และน้ำซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์จะฟ้องให้ฟ้ารื้อถนนที่ฟ้าสร้างออกไปไม่ได้  ตามมาตรา  1387

ประเด็นที่  2  เกี่ยวกับการทิ้งขยะของฟ้าในที่ดินของน้ำ

การที่ฟ้าได้นำขยะมาทิ้งในที่ดินของน้ำทุกวันนั้น  ถือว่าน้ำผู้ครอบคอรงที่ดินถูกฟ้ารบกวนการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  น้ำจึงมีสิทธิบอกห้ามและให้ฟ้าเลิกเข้ามาทิ้งขยะในที่ดินของน้ำได้ตามมาตรา  1374  วรรคแรก  และเมื่อฟ้าตกลงเลิกทิ้งขยะแล้ว  การรบกวนการครอบครองย่อมระงับไป  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อปรากฏว่า  พอผ่านมาได้สามเดือนฟ้าได้เข้ามาทิ้งขยะในที่ดินของน้ำอีก  จึงถือว่าน้ำได้ถูกรบกวนการครอบครองอีก  ดังนั้นน้ำจึงมีสิทธิฟ้องเป็นคดีต่อศาล  เพื่อให้ศาลสั่งห้ามไม่ให้ฟ้านำขยะเข้ามาทิ้งในที่ดินของน้ำได้  แต่ต้องฟ้องภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่ถูกรบกวนตามมาตรา  1374  วรรคสอง  และตามข้อเท็จจริงน้ำได้ฟ้องคดีต่อศาลหลังจากถูกฟ้ากระทำการดังกล่าวได้หนึ่งเดือน  ดังนั้นน้ำจึงสามารถฟ้องศาลเพื่อสั่งให้ฟ้าเลิกทิ้งขยะในที่ดินของน้ำตามมาตรา  1374  ได้

สรุป  ฟ้าได้ภาระจำยอมในถนนที่ฟ้าสร้างโดยการครอบครองปรปักษ์  น้ำจะฟ้องศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ฟ้ารื้อถนนที่ฟ้าสร้างออกไปไม่ได้ แต่น้ำสามารถฟ้องศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ฟ้าเลิกทิ้งขยะในที่ดินของน้ำได้ 

 

ข้อ  4  แสงทำนาบนที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของโสม  โดยที่แสงเข้าในผิดคิดว่าเป็นที่ดินที่ซื้อมาจากสอง  และใช้ทางผ่านที่ดินสี่แปลงเพื่อเข้าไปทำนาบนที่ดินของโสมแปลงนั้น  ที่ดินแปลงแรกที่เดินผ่านเป็นของสี  แปลงที่สองเป็นของสวย  แปลงที่สามเป็นที่ดินซึ่งเตรียมไว้สร้างโรงพยาบาลของรัฐแต่ยังไม่ได้ก่อสร้าง  แปลงที่สี่เป็นที่ดินของสด  แสงใช้ทางผ่านที่ดินของสี  ของสวย  ที่ดินของโรงพยาบาล  และที่ดินของสดมาตลอดสิบกว่าปีแล้ว  ต่อมาจังหวัดได้เข้ามาก่อสร้างโรงพยาบาล  ตอนก่อสร้างอยู่หนึ่งปีกว่า  แสงต้องไปใช้ทางอื่นผ่านเข้าไปทำนาบนที่ดินแปลงที่แสงครอบครอง  เมื่อสร้างโรงพยาบาลเสร็จ  แสงกลับมาใช้ทางผ่านทางเดิมของสี  ของสวย  ผ่านที่ดินของโรงพยาบาล  และที่ดินของสดอีก  สดห้ามไม่ให้แสงใช้ทางผ่านที่ดินของตน  เพราะว่าภาระจำยอมในที่ดินมือเปล่าที่ผ่านที่ดินของสดได้สิ้นไปแล้ว  ให้ท่านอธิบายกับแสงถึงสิทธิที่จะใช้ทางผ่านที่ดินทั้งสี่แปลง ว่าแสงมีสิทธิหรือไม่มีสิทธิอย่างไรบ้าง  เพราะเหตุใด  และที่ดินของโสมที่แสงเข้าไปครอบครองทำนา  โสมฟ้องศาลเรียกคืนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1375  ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง  เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า  ซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น  ท่านว่าต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง 

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1399  ภาระจำยอมนั้น  ถ้ามิได้ใช้สิบปี  ท่านว่าย่อมสิ้นไป

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยคือ

แสงมีสิทธิหรือไม่มีสิทธิอย่างไรบ้างที่จะใช้ทางผ่านที่ดินทั้งสี่แปลง  เห็นว่า  การที่แสงทำนาบนที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของโสม  โดยที่แสงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นที่ดินของตนที่ซื้อมาจากสองนั้น  ถือเป็นกรณีที่แสงยึดถือที่ดินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ดังนั้นแสงจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินของโสมตามมาตรา  1367

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  แสงใช้ทางผ่านที่ดินสี่แปลงเพื่อเข้าไปทำนาบนที่ดินของโสม  โดยที่ดินแปลงแรกเป็นของสี  แปลงที่สองเป็นของสวย  แปลงที่สามเป็นที่ดินซึ่งเตรียมไว้สร้างโรงพยาบาลของรัฐ  แต่ยังไม่ได้ก่อสร้าง  แปลงที่สี่เป็นที่ดินของสด  ดังนี้  การที่แสงใช้ทางผ่านที่ดินแปลงแรก  แปลงที่สอง  และแปลงที่สี่นั้น  ย่อมถือว่าแสงผู้ครอบครองสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์โดยความสงบ  เปิดเผย  และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์แล้ว  เมื่อแสงเดินผ่านที่ดินทั้งสามแปลงมาตลอด  10  ปีกว่าแล้ว  ย่อมทำให้แสงได้ภาระจำยอมโดยการครอบครองปรปักษ์บนที่ดินของสี  ของสวย  และของสดตามมาตรา  1401  ประกอบมาตรา  1382  และ  1387  ส่วนที่ดินแปลงที่สาม  ซึ่งเตรียมสร้างโรงพยาบาลซึ่งเป็นของรัฐนั้นถือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  จึงครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ดังนั้นแม้แสงจะใช้เป็นทางเดินผ่านนานเท่าใดก็ย่อมไม่ได้ภาระจำยอมโดยการครอบครองปรปักษ์  และรัฐย่อมมีสิทธิฟ้องไม่ให้แสงใช้ทางผ่านที่ดินได้

และเมื่อปรากฏว่า  ต่อมาจังหวัดได้เข้ามาก่อสร้างโรงพยาบาล  โดยใช้เวลาก่อสร้างอยู่หนึ่งปีกว่า  และแสงต้องไปใช้ทางอื่นผ่านเข้าไปทำนาบนที่ดินแปลงที่แสงครอบครอง  ซึ่งเมื่อสร้างโรงพยาบาลเสร็จแสงก็กลับมาใช้ทางผ่านทางเดิมของสี  ของสวย  ผ่านที่ดินของโรงพยาบาล  และที่ดินของสดอีกนั้น  กรณีนี้ยังไม่ถือว่า  ภาระจำยอมบนที่ดินทั้งสามแปลงของสี  ของสวย  และของสดนั้น  สิ้นไปแต่อย่างใด  เพราะตามมาตรา  1399  นั้นได้กำหนดไว้ว่า  ภาระจำยอมจะสิ้นไปโดยระยะเวลา  ก็ต่อเมื่อมิได้มีการใช้ตั้งแต่สิบปีขึ้นไป  ดังนั้น  แสงจึงมีสิทธิที่จะใช้ทางผ่านที่ดินทั้งสามแปลง  สดจะห้ามไม่ไห้แสงใช้ทางผ่านที่ดินของตนไม่ได้

ประเด็นที่สอง  ที่ต้องวินิจฉัยคือ

ที่ดินของโสมที่แสงเข้าไปครอบครองทำนา  โสมฟ้องศาลเรียกคืนได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้ตามข้อเท็จจริงโสมจะถูกแสงแย่งการครอบครองที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  1375  วรรคแรก  อันทำให้โสมผู้ครอบครองที่ดินมีสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินจากแสงได้ก็ตาม  แต่การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึงการครอบครองนั้น  มาตรา  1375  วรรคสอง  กำหนดว่าจะต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง  ดังนั้น  เมื่อระยะเวลานับแต่วันที่แสงแย่งการครอบครองที่ดินมาจากโสมนั้น  ล่วงเวลามาเกินหนึ่งปีแล้ว  โสมจึงฟ้องเรียกคืนไม่ได้

สรุป  แสงมีสิทธิหรือไม่มีสิทธิอย่างไรบ้างที่จะใช้ทางผ่านที่ดินทั้งสี่แปลงเป็นไปตามที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น  และที่ดินของโสมที่แสงเข้าไปครอบครองทำนา  โสมจะฟ้องศาลเรียกคืนไม่ได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายแก้วกับนายขวดทำสัญญากันด้วยวาจาให้นายขวดมีสิทธิเก็บกินบนที่ดินของนายแก้วเป็นเวลา  5  ปี  เมื่อนายขวดเข้ามาใช้สิทธิเก็บกินได้  3  ปี  นายแก้วขายที่ดินให้นายถ้วย  นายถ้วยต้องการทำประโยชน์ในที่ดินด้วยตนเอง  จึงไม่ยอมให้นายขวดมาใช้สิทธิเก็บกินบนที่ดินอีก  ดังนี้  นายขวดจะอ้างสิทธิเก็บกินบนที่ดินแปลงนี้  อีก  2  ปี  ขึ้นต่อสู้ได้หรือไม่  นายถ้วยจะต้องยอมให้นายขวดใช้สิทธิเก็บกินจนครบ  5  ปี  หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1299 วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น  จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ  ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น  ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้  (มาตรา  1299  วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายแก้วกับนายขวดทำสัญญากันด้วยวาจา  ให้นายขวดมีสิทธิเก็บกินบนที่ดินของนายแก้วเป็นเวลา  5  ปีนั้น  ถือว่านายขวดเป็นผู้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์โดยนิติกรรม  เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  สิทธิการได้มาดังกล่าวจึงไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ  แต่มีผลผูกพันเป็นบุคคลสิทธิระหว่างนายแก้วกับนายขวดเท่านั้น  ดังนั้น  เมื่อต่อมานายแก้วขายที่ดินให้นายถ้วย  นายถ้วยจึงไม่ต้องผูกพันในข้อตกลงที่นายแก้วมีต่อนายขวด  และนายขวดไม่สามารถอ้างการได้สิทธิเก็บกินบนที่ดินขึ้นต่อสู้กับนายถ้วยได้  นายถ้วยจึงไม่ต้องให้นายขวดใช้เก็บกินบนที่ดินนั้นต่อไปแต่อย่างใด

สรุป  นายถ้วยไม่ต้องให้นายขวดใช้สิทธิเก็บกินจนครบ  5  ปี

 

ข้อ  2  นายดำปลูกบ้านหลังหนึ่งลงในที่ดินของตนเอง  โดยก่อนปลูกสร้างได้ขอรังวัดสอบเขตที่ดินแล้ว  แต่หลังจากปลูกเสร็จพบว่าระเบียงบ้านชั้นบนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายขาวที่อยู่ติดกันเป็นระยะ  50  เซนติเมตร  ตลอดแนวของระเบียงบ้าน  ดังนี้  การปลูกสร้างรุกล้ำของนายดำสุจริตหรือไม่  หากนายขาวจะให้นายดำรื้อถอนระเบียงบ้านส่วนที่รุกล้ำ  นายดำจะต้องปฏิบัติตามหรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1312  บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น  แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้นและจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม  ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด  เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายดำปลูกบ้านลงบนที่ดินของตนเอง  โดยก่อนปลูกสร้างได้ขอรังวัดสอบเขตแล้ว  แต่เมื่อปลูกสร้างเสร็จพบว่าระเบียงบ้านชั้นบนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายขาวที่อยู่ติดกันเป็นระยะ  50  เซนติเมตร  ถือว่าเป็นกรณีที่นายดำได้สร้างโรงเรือนรุกล้ำในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต  ตามมาตรา  1312  วรรคแรก  ดังนั้น  นายดำย่อมได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนที่ปลูกสร้างรวมถึงส่วนที่รุกล้ำด้วย  หากนายขาวจะให้นายดำรื้อถอนระเบียงบ้านที่รุกล้ำ  นายดำไม่ต้องปฏิบัติตามได้  แต่นายดำจะต้องจ่ายเงินให้แก่นายขาวเป็นค่าใช้ที่ดิน  และนายขาวต้องจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม  และหากต่อไปโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำสลายไปทั้งหมด  นายขาวสามารถขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมเสียก็ได้

สรุป  การปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำของนายดำเป็นการกระทำโดยสุจริต  หากนายขาวจะให้นายดำรื้อถอนระเบียงบ้านส่วนที่รุกล้ำ  นายดำไม่จำต้องปฏิบัติตามแต่นายดำจะต้องจ่ายเงินให้แก่นายขาวเป็นค่าใช้ที่ดิน

 

ข้อ  3  นายกล้าทำสัญญาขายที่ดิน  น.ส.3  ของตนให้กับนายเข้ม  โดยเป็นการทำสัญญาซื้อขายกันเองและมีการชำระราคาที่ดินให้นายกล้าครบถ้วน  และนายกล้าก็ส่งมอบที่ดินให้นายเข้มแล้ว  หลังจากนายเข้มสร้างบ้านอยู่ในที่ดินนั้นติดต่อกันได้ห้าปี  นายกล้าถึงแก่ความตาย  นายแก้วบุตรของนายกล้าได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนั้น  แล้วแจ้งให้นายเข้มย้ายออกไปจากที่ดินนั้น  แต่นายเข้มอ้างว่าที่ดินเป็นของตน  และไม่ยอมย้ายออกไป  ต่อจากนั้นอีก  4  เดือน  นายแก้วจึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากนายเข้ม  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  ระหว่างนายแก้วกับนายเข้ม  ผู้ใดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน  และนายเข้มต้องออกไปจากที่ดินนั้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1377  วรรคหนึ่ง  ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง  หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้  การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง

มาตรา  1378  การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้น  ย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายกล้าทำสัญญาขายที่ดิน  น.ส.3  ของตนให้กับนายเข้ม  โดยเป็นการทำสัญญาซื้อขายกันเองนั้น  สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายกล้ากับนายเข้มย่อมตกเป็นโมฆะเพราะไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  แต่อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดิน  น.ส.3  ซึ่งมีเพียงสิทธิครอบครองและการซื้อขายดังกล่าวได้มีการชำระราคาครบถ้วนและได้มีการส่งมอบที่ดินให้แก่นายเข้มผู้ซื้อแล้ว  การครอบครองที่ดินของนายกล้าผู้ขายจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา  1377  วรรคแรก  เพราะนายกล้าได้สละเจตนาครอบครองและไม่ได้ยึดถือที่ดินนั้นต่อไปแล้ว  ส่วนนายเข้มก็ได้ซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินนั้นแล้วโดยการส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองตามมาตรา  1378  และนายเข้มได้เข้ายึดถือที่ดินนั้นด้วยเจตนายึดถือเพื่อตนในฐานะเจ้าของตามมาตรา  1367

แต่ต่อมาอีก  5  ปี  เมื่อนายกล้าถึงแก่ความตาย  ดังนี้  แม้นายแก้วบุตรของนายกล้าจะได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินนั้นแล้วแจ้งให้นายเข้มย้ายออกไปจากที่ดินนั้น  นายเข้มก็ไม่ต้องย้ายออกไปจากที่ดินนั้นตามที่นายแก้วต้องการ  เพราะนายเข้มเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินนั้นดีกว่านายแก้ว  เนื่องจากนายแก้วผู้รับมรดกไม่มีสิทธิดีกว่านายกล้าเจ้ามรดกตามหลักที่ว่า  “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน”  นั่นเอง

สรุป  นายเข้มมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่านายแก้ว  และนายเข้มไม่ต้องย้ายออกไปจากที่ดินนั้น

 

ข้อ  4  นายแห้วเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ติดกับทางสาธารณะซึ่งเป็นทางดินลูกรังกว้างสองเมตรครึ่ง  นายแห้วจึงได้ใช้ทางผ่านที่ดินของนายมัน  โดยทำเป็นถนนลาดยางกว้างสามเมตรเพื่อใช้รถปิ๊กอัพผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของตนกับถนนพหลโยธินซึ่งสะดวกกว่า  หลังจากนายแห้วใช้ทางผ่านที่ดินของนายมันติดต่อกันเป็นเวลากว่าสิบปี  โดยนายมันไม่รู้เรื่องแต่อย่างใด  ต่อมานายแห้วได้สร้างโรงงานในที่ดินของตน  ทำให้ต้องใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อผ่านเข้าออกเพื่อขนส่งสินค้าวันละหลายเที่ยว  นายแห้วจึงเปลี่ยนจากถนนลาดยางเป็นถนนคอนกรีตกว้างหกเมตร  หลังจากนั้น  นายมันรู้เรื่องจึงมาปรึกษาท่าน  เพราะไม่ต้องการให้นายแห้วใช้ถนนนั้นผ่านที่ดินของตน  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างนายแห้วกับนายมันมีสิทธิและหน้าที่เหนือที่ดินแปลงดังกล่าวอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1388  เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์  หรือในสามยทรัพย์  ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายแห้วได้ใช้ทางผ่านที่ดินของนายมัน  โดยทำเป็นถนนลาดยางกว้าง  3  เมตร  ผ่านที่ดินของนายมันเพื่อใช้รถปิ๊กอัพผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของนายแห้วกับถนนพหลโยธิน  โดยนายมันไม่รู้เรื่องติดต่อกันเป็นเวลาเกิน  10  ปีแล้ว  ย่อมถือว่านายแห้วได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของนายมันโดยอายุความปรปักษ์  คือการได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยอายุความ  ตามมาตรา  1387, 1401 และมาตรา  1382

ต่อมาการที่นายแห้วได้สร้างโรงงานในที่ดินของตน  และต้องการใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อผ่านเข้าออกเพื่อขนส่งสินค้าวันละหลายเที่ยว นายแห้วจึงเปลี่ยนจากถนนลาดยางเป็นถนนคอนกรีตกว้าง  6  เมตรนั้น  การกระทำดังกล่าวของนายแห้วเป็นเรื่องที่เจ้าของสามยทรัพย์ทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์  ดังนั้น  นายแห้วจะกระทำไม่ได้ตามมาตรา  1388

สรุป  นายแห้วได้ภาระจำยอมเป็นถนนลาดยางกว้าง  3  เมตร  ผ่านที่ดินของนายมันแล้ว  และนายมันจะห้ามนายแห้วไม่ให้ใช้ทางภาระจำยอมนั้นไม่ได้  แต่นายแห้วจะเปลี่ยนถนนลาดยางซึ่งเดิมกว้าง  3  เมตรเป็นถนนคอนกรีตกว้าง  6  เมตรไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!