LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายฝนกู้เงินนายเมฆ 5 ล้านบาท มีหลักฐานการกู้เงินถูกต้องตามกฎหมาย นายเมฆขอให้นายฝน หาผู้มาค้ำประกัน นายฝนจึงขอให้นายฟ้าและนายดินช่วยเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งทั้งนายฟ้าและนายดิน ไต้ตกลงกับนายเมฆ

โดยนายฟ้าจะขอจำกัดจำนวนค้ำประกันเพียง 2 ล้านบาท ส่วนนายดินไม่จำกัด จำนวนการค้ำประกัน โดยทั้งคู่ได้มีการลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาค้ำประกันมอบให้นายเมฆ แต่นายฝนมิได้ลงลายมือชื่อ

เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ นายฝนชำระเงินไม่ได้ นายเมฆจึงเรียกให้นายฟ้าและนายดินชำระหนี้แทนตามสัญญา ปรากฏว่านายฟ้ายอมชำระเงิน 2 ล้านบาท ส่วนนายดินไม่ยอมชำระเนื่องจากอ้างว่า นายฝนมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน นายฝนได้อ้างว่าเมื่อมีผู้ค้ำประกันแล้วตนไม่ต้อง ชำระหนี้อีกต่อไป

อยากทราบว่า ข้ออ้างของนายฝนและนายดินรับฟ้งได้หรือไม และเงินส่วนที่เหลือนายเมฆจะเรียกจากใครได้บ้าง จงอธิบายพร้อมหลักกฎหมาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา 683 “อันค้ำประกันอย่างไม่มีจำกัดนั้น ย่อมคุ้มถึงดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ซึ่งลูกหนี้ค้างชำระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นด้วย

มาตรา 685 “ถ้าเมื่อบังคับตามสัญญาค้ำประกันนั้น ผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน และอุปกรณ์ด้วยไซร้ หนี้ยังเหลืออยู่เท่าใด ท่านว่าลูกหนี้ยังคงรับผิดต่อเจ้าหนี้ ในส่วนที่เหลือนั้น

มาตรา 686 “ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

วินิจฉัย

ในกรณีที่การกู้เงินและการค้ำประกันนั้นได้กระทำถูกต้องตามกฎหมาย และมีหลักฐานใน การฟ้องร้องบังคับคดี หากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหนี้ในการบังคับการชำระหนี้เอาจากลูกหนี้ และผู้ค้ำประกันได้ตามมาตรา 680 และมาตรา 686

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายฟ้าและนายดินได้ตกลงเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้ที่นายฝนกู้เงิน นายเมฆ โดยมีการทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายฟ้าและนายดินนั้น สัญญาค้ำประกันย่อมมีผลสมบูรณ์ ใช้บังคับคดีกันได้ตามมาตรา 680 วรรคสอง

เพราะสัญญาค้ำประกันนั้นเพียงแต่ลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเพียงฝ่ายเดียวก็สามารถใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องกันได้แล้ว ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านายฝนชำระหนี้ไม่ได้ นายเมฆเจ้าหนี้ ย่อมมีสิทธิเรียกให้นายฟ้าและนายดินผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ตามมาตรา 686 ข้ออ้างของนายดินที่อ้างว่านายฝน มิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันจึงรับฟ้งไม่ได้

และเมื่อปรากฏว่านายฟ้าได้จำกัดความรับผิดเพียง 2 ล้านบาท เมื่อนายฟ้ายอมชำระเงิน 2 ล้านบาท ให้นายเมฆแล้ว นายฟ้าจึงไม่ต้องรับผิดใด ๆ ในหนี้ส่วนที่เหลืออีก ส่วนนายดินนั้นเมื่อปรากฏว่านายดินไม่ได้จำกัดความรับผิด นายดินจึงต้องรับผิดในหนี้ส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันต่าง ๆ ด้วยตามมาตรา 683

ส่วนกรณีของนายฝนลูกหนี้ กฎหมายกำหนดไว้ว่าเมื่อผู้ค้ำประกันชำระหนี้ไม่ครบตามมูลหนี้ หนี้เงินยังคงเหลืออยู่เท่าใดลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดใช้ในส่วนที่ขาดตามมาตรา 685 ดังนั้น นายฝนจึงต้องรับผิดในหนี้เงินส่วนที่เหลือจำนวน 3 ล้านบาทให้แก่นายเมฆ

สรุป ข้ออ้างของนายฝนและนายดินรับฟ้งไม่ได้ และเงินส่วนที่เหลือนายเมฆจะเรียกร้องจากนายดินและนายฝนได้

 

ข้อ 2. นายเคียงขอยืมเงินนางเอียงจำนวน 100,000 บาท ในสัญญากำหนดว่าจะคืนหนี้ภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา ต่อมา 1 เดือน นายค้ำได้เข้ามาทำสัญญาเอาที่ดินสวนทุเรียนของตนมาจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้รายนี้

โดยไม่ได้ขออนุญาตนายเคียงลูกหนี้ก่อน หลังจากที่นายค้ำทำสัญญาจำนองกับนางเอียงได้ 5 เดือน ทุเรียนออกลูกมาได้ราคาดีมาก นางเอียงอยากได้ทุเรียนมาขาย

จึงได้ส่งคำบอกกล่าวให้นายค้ำว่าตนจะบังคับจำนอง ขอให้นายค้ำมอบทุเรียนให้ตน ดังนี้ นายค้ำต้องมอบ ทุเรียนในสวนของตนให้กับเจ้าหนี้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 702 “อันว่าจำนองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่ ’’

มาตรา 709 “บุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระก็ให้ทำได้

มาตรา 716 “จำนองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมดทุกสิ่ง แม้จะได้ชำระหนี้แล้วบางส่วน

มาตรา 721 “จำนองไม่ครอบไปถึงดอกผลแห่งทรัพย์สินซึ่งจำนอง เว้นแต่ในเมื่อผู้รับจำนอง ได้บอกกล่าวแก่ผู้จำนองหรือผู้รับโอนแล้วว่าตนจำนงจะบังคับจำนอง 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายค้ำได้เข้ามาทำสัญญาเอาที่ดินสวนทุเรียนของตนมาจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้ระหว่างนางเอียงและนายเคียงนั้น การจำนองดังกล่าว

ถึงแม้จะเป็นที่ดินของนายค้ำซึ่งเป็นบุคคลอื่นที่มิใช่ลูกหนี้ และนายค้ำได้เข้ามาจำนองที่ดินของตนโดยไม่ได้ขออนุญาตนายเคียงลูกหนี้ก่อนก็ตาม การจำนองก็ย่อมกระทำได้ตามมาตรา 702 ประกอบมาตรา 709 ข้อตกลงระหว่างเจ้าหนี้กับผู้จำนองจึงมีผล ผูกพันตามกฎหมาย

สำหรับที่ดินสวนทุเรียนที่นายค้ำนำมาจำนองนั้น การจำนองย่อมครอบไปหมดทุกส่วน รวมทั้งลูกทุเรียนซึ่งเป็นดอกผลของทรัพย์จำนองด้วยตามมาตรา 716 แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะถือว่าการจำนอง ครอบไปถึงลูกทุเรียนซึ่งเป็นดอกผลของทรัพย์จำนองด้วยนั้น

จะต้องมีการส่งคำบอกกล่าวให้กับนายค้ำเจ้าของ สวนทุเรียนทราบก่อนว่าเจ้าหนี้ประสงค์จะบังคับจำนองตามมาตรา 721

ตามข้อเท็จจริง เมื่อไม่ปรากฏว่านายเคียงลูกหนี้ได้ผิดนัดชำระหนี้แต่อย่างใด นางเอียง เจ้าหนี้จึงไม่สามารถจะบอกกล่าวบังคับจำนองเพื่อบังคับเอาทุเรียนมาชำระหนี้ได้ เพราะการจะบอกกล่าวบังคับจำนองได้นั้น

จะต้องมีการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้เสียก่อน ดังนั้น เมื่อนางเอียงเจ้าหนี้ไม่สามารถที่จะบังคับเอาทุเรียนมาชำระหนี้ได้แล้ว นายค้ำจึงไม่ต้องส่งมอบทุเรียนในสวนของตนให้กับเจ้าหนี้

สรุป นายค้ำไม่ต้องส่งมอบทุเรียนในสวนของตนให้กับเจ้าหนี้  

 

ข้อ 3. ก. ซื้อเชื่อเครื่องรับโทรทัศน์ 1 เครื่องไปจาก ข. แล้วนำไปจำนำ ค. ไว้ ทั้งนี้ ค. รับจำนำไว้โดยสุจริต ไม่ทราบว่า ก. ซื้อเชื่อมา ก. ผิดนัดชำระหนี้ราคาโทรทัศน์ ข. จึงฟ้อง ก. ให้ชำระหนี้

ศาลสั่งให้ ข. ชนะคดี ข. นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเครื่องรับโทรทัศน์เพื่อขายทอดตลาดเอาชำระหนี้ ค. ผู้รับจำนำ ยื่นคำร้องว่า ข. ไม่มีสิทธิยึดของที่ ค. ได้รับจำนำไว้ได้

เพราะตาม ป.พ.พ. มาตรา 758 ผู้รับจำนำ มิสิทธิที่จะยึดทรัพย์ที่จำนำไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ และ ค. ผู้รับจำนำยังไม่ได้รับชำระหนี้ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้ออ้างของ ค. ฟ้งได้หรือไม่ ข. มีอำนาจนำยึดทรัพย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจำนำนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จำนำ ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจำนำ เพื่อเป็นประกันการขำระหนี้”

มาตรา 758 “ผู้รับจำนำชอบที่จะยึดของจำนำไว้ได้ทั้งหมดจนกว่าจะได้รับชำระหนี้และค่าอุปกรณ์ครบถ้วน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ข้ออ้างของ ค. รับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า การที่ ก. ซื้อเชื่อเครื่องรับโทรทัศน์ไปนั้น กรรมสิทธิ์ย่อมตกเป็นของ ก. ผู้ซื้อแล้ว ก. จึงมีสิทธินำเครื่องรับโทรทัศน์ไปจำนำ กับ ค. ได้ตามมาตรา 747

และเมื่อปรากฏว่า ก. ผิดนัดชำระหนี้ราคาเครื่องรับโทรทัศน์ ข. เจ้าหนี้ซึ่งชนะคดีจะมายึดเครื่องรับโทรทัศน์ในขณะที่ ค. ผู้รับจำนำยังไม่ได้รับชำระหนี้นั้น ข้ออ้างของ ค. ที่อ้างว่า ข. ไม่มีสิทธิยึดของที่ ค. ได้รับจำนำไว้ เพราะตาม ป.พ.พ. มาตรา 758 ได้บัญญัติให้ผู้รับจำนำมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์ที่จำนำไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้นั้น ข้ออ้างของ ค. รับฟังได้

ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า ข. มีอำนาจยึดทรัพย์ได้หรือไม่ เห็นว่า ข. เป็นเจ้าของ เครื่องรับโทรทัศน์ที่ ก. ซื้อเชื่อไป จึงมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของ ก. และเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อ ข. นำคดีขึ้นสู่ศาลและศาลสั่งให้ ข. ชนะคดี ข. จึงมีสิทธิที่จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้ายึดทรัพย์ได้ (ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 778/2503)

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏว่า ค. ผู้รับจำนำมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์ที่จำนำอยู่ ข. จึงต้องเลียค่าไถ่ให้กับ ค. ผู้รับจำนำเพื่อมีผลเท่ากับว่าผู้รับจำนำได้รับชำระหนี้ครบแล้วจึงจะสามารถนำยึด ทรัพย์จำนำไปได้

สรุป ข้ออ้างของ ค. รับฟังได้ และ ข. มีอำนาจนำยึดทรัพย์ได้ แต่จะต้องเสียค่าไถ่ทรัพย์จำนำให้ ค. ผู้รับจำนำ

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2545

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  สัญญายืมใช้คงรูปกับสัญญาฝากทรัพย์โดยทั่วไปที่มิใช่สัญญาฝากเงิน  มีข้อเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  640  อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม  ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม  ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว

มาตรา  657  อันว่าฝากทรัพย์นั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้ฝาก  ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับฝาก และผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วจะคืนให้

ส่วนที่เหมือนกัน

1       มีคู่สัญญาสองฝ่าย  กล่าวคือ  สัญญายืมใช้คงรูป  มีผู้ยืมและผู้ให้ยืม  ส่วนสัญญาฝากทรัพย์มีผู้ฝากและผู้รับฝาก

2       เป็นสัญญาที่บริบูรณ์โดยการส่งมอบทรัพย์ที่ยืมหรือฝาก

3       วัตถุแห่งสัญญานั้นเป็นทรัพย์สิน

4       มีการคืนทรัพย์สินเมื่อผู้ยืมใช้สอยเสร็จแล้วให้กับผู้ให้ยืมเช่นเดียวกับผู้รับฝากที่ต้องส่งคืนทรัพย์สินให้กับผู้ฝาก

5       เป็นสัญญาที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน  ผู้ยืมใช้คงรูปหรือผู้รับฝากคงมีเพียงสิทธิครอบครองทรัพย์สินที่ยืมหรือรับฝากไว้เท่านั้น  (ยกตัวอย่างประกอบ)

ส่วนที่ต่างกัน

1       ค่าตอบแทน  สัญญายืมใช้คงรูปนั้น  ผู้ยืมใช้สอยได้เปล่า  หากมีค่าตอบแทนแล้วจะไม่ใช่สัญญายืมใช้คงรูป  อาจเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ได้  แต่สัญญาฝากทรัพย์จะมีค่าตอบแทน (บำเหน็จฝาก)  หรือไม่ก็ได้  (ยกตัวอย่างประกอบ)

2       วัตถุประสงค์ของสัญญา  สัญญายืมใช้คงรูปนั้นผู้ยืมมีสิทธิใช้สอยทรัพย์  แต่สัญญาฝากทรัพย์นั้นผู้รับฝากต้องเก็บทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาของตน  ไม่มีสิทธินำทรัพย์ที่รับฝากไว้ไปใช้สอย  (ยกตัวอย่างประกอบ)

 

ข้อ  2  นายจุ๊บกับนายจิ๊บเป็นฝาแฝดกัน  นายจุ๊บแฝดผู้พี่ขอยืมเงินนายจิ๊บแฝดผู้น้อง  เป็นจำนวนเงินสองพันบาท  เพื่อนำไปจ่ายค่าสุราที่ตนยังค้างชำระที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง  โดยการยืมเงินครั้งนี้ได้ทำเป็นหนังสือไว้โดยถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมานายจุ๊บได้นำข้าวสารให้นายจิ๊บแทนการชำระหนี้  ดังนี้  นายจุ๊บจะต้องทำหลักฐานอย่างอื่นเพื่อให้การชำระหนี้บริบูรณ์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่  จงอธิบายโดยละเอียด

ธงคำตอบ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อให้ผู้ยืมมาแสดง  หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

วินิจฉัย

การที่ฝาแฝดจุ๊บจีบกู้ยืมเงินกันไม่เกิน  2,000  บาท  โดยธรรมดาแล้วไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็สามารถฟ้องร้องคดีกันได้ตามมาตรา  653  วรรคแรก  และตามอุทาหรณ์การกู้ยืมเงินไปจ่ายค่าสุราไม่ถือเป็นการผิดกฎหมาย  การกู้ยืมจึงถือเป็นการผูกพันต่อคู่สัญญา  ในกรณีนี้การกู้ยืมเงินเป็นจำนวนเงิน  2,000  บาท  และได้ทำเป็นหนังสือด้วย  โดยทั่วไปจึงมีผลทำให้การคืนเงินจะต้องมีหลักฐานในการคืนเงินอย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง  หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนแล้ว  หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว  มิฉะนั้นจะต้องชำระหนี้ใหม่  แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ผู้กู้ได้คืนสิ่งของแทนการคืนเงินสด  ดังนั้น  การคืนจึงไม่ต้องมีหลักฐานการใช้เงินกู้ตามที่มาตรา  653  วรรคสอง  กำหนดไว้แต่อย่างใด  เพราะการใช้เงินตามนัยมาตรา  653 วรรคสองนั้น  หมายถึง  การนำเงินสดมาใช้ต้นเงินกู้เท่านั้นที่จะต้องมีหลักฐานการใช้เงินกู้ดังกล่าว  กรณีไม่รวมถึงการใช้ดอกเบี้ย  หรือนำสิ่งอื่นมาใช้ต้นเงินกู้ด้วย

สรุป  นายจุ๊บไม่ต้องทำหลักฐานการใช้สิ่งของแทนการคืนเงินสดเพื่อให้การชำระหนี้บริบูรณ์แต่อย่างใด

 

ข้อ  3  นายเอกเดินทางไปธุระที่จังหวัดภูเก็ต  ระหว่างทางได้พักแรมยังโรงแรมแห่งหนึ่งที่มีนายโทเป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงแรม  ก่อนเข้าพักแรมนายโทได้ให้นายเอกกรอกประวัติลงในใบลงทะเบียนผู้เข้าพักและในเอกสารดังกล่าวมีข้อความพิมพ์ไว้ในตอนล่างว่า  ทางโรงแรมจะไม่รับผิดชอบในความสูญหายหรือเสียหายใดๆที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้พักแรม นายเอกเมื่อกรอกประวัติแล้วได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้เข้าพักแรม  ต่อมาวันรุ่งขึ้น  นายเอกพบว่ารถยนต์ของตนถูกคนร้ายลักไป  จึงรีบแจ้งให้นายโทผู้จัดการโรงแรมทราบเพื่อให้รับผิดชอบต่อรถยนต์ที่สูญหาย  นายโทปฏิเสธไม่ยอมรับผิดใดๆทั้งสิ้น  โดยอ้างว่านายเอกได้ยอมตกลงกับตนในข้อความยกเว้นความรับผิดทั้งหลายแล้ว  โดยลงชื่อในใบลงทะเบียนพักแรม  นายเอกจึงมาปรึกษาทนายความเพื่อฟ้องเรียกให้นายโทผู้จัดการโรงแรมรับผิดชอบต่อตน ถ้าท่านเป็นทนายความท่านจะให้คำปรึกษาว่านายเอกจะฟ้องให้นายโทรับผิดต่อตนได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  674  เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล  หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น  จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ  อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย  หากได้พามา

มาตรา  675  วรรคแรก  เจ้าสำนักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ  แม้ถึงว่าความสูญหาย  หรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก  ณ  โรงแรม  โฮเต็ล  หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

มาตรา  676  ทรัพย์สินซึ่งมิได้นำฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น  เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้นคนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสำนักโรงแรม  โฮเต็ล  หรือสถานที่เช่นนั้นทันที  มิฉะนั้นท่านว่าเจ้าสำนักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา  674 และ  675

มาตรา  677  ถ้ามีคำแจ้งความปิดไว้ในโรงแรม  โฮเต็ล  หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านี้  เป็นข้อความยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของเจ้าสำนักไซร้ท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ  เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดดังว่านั้น

วินิจฉัย

ข้อความยกเว้นความรับผิดที่ปรากฏอยู่ในใบลงทะเบียนเข้าพักแรม  และนายเอกลงชื่อในใบเข้าพักแรมดังกล่าวไม่ได้หมายความว่านายเอกผูกพันในข้อยกเว้นความรับผิดด้วย  เพราะมาตรา  677  บัญญัติว่าข้อความยกเว้นความรับผิดจะผูกพันแขกพักแรมต่อเมื่อได้เข้าตกลงด้วยโดยชัดแจ้ง  ดังนั้น  โรงแรมจึงต้องรับผิดต่อทรัพย์สินทั้งหลายของนายเอก  จะอ้างว่านายเอกยอมตกลงในข้อยกเว้นความรับผิดหาได้ไม่

ความรับผิดของโรงแรมเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา  674  คือต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางที่เขานำติดตัวมาด้วย  และตามมาตรา  675  เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดแม้ความสูญหายจะเกิดเพราะผู้คนที่ไปมาเข้าออกยังโรงแรม  ดังนั้น  เมื่อรถยนต์ของนายเอกผู้เป็นแขกพักแรมถูกขโมยไป  นายโทเจ้าสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดชดใช้ราคารถยนต์นั้น  และนอกจากนั้น  นายเอกก็ได้แจ้งให้นายโททราบทันทีที่พบว่ารถยนต์หายตามมาตรา  676  นายโทจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อนายเอกได้

สรุป  นายเอกสามารถฟ้องให้นายโทรับผิดต่อตนได้

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นิกรยืมรถยนต์ของนิยมเพื่อนบ้านเพื่อใช้ขับไปทำงานในกรุงเทพฯ  แต่นิกรได้ใช้รถยนต์เพื่อขับไปทำงานเท่านั้น  ในวันหยุดสุดสัปดาห์นิกรได้พาสุดสวยแฟนสาวไปเที่ยวชายทะเลที่หัวหิน  ขณะที่นิกรขับรถยนต์ที่ยืมไปถึงชะอำ  จังหวัดเพชรบุรี  เกิดฟ้าคะนองพายุพัดอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน  ต้นไม้ข้างทางล้มถูกรถยนต์เสียหาย  ซึ่งถ้าจะซ่อมกลับคืนสภาพเดิมต้องใช้เงินสี่หมื่นบาท  ดังนี้นิกรผู้ยืมจะต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแก่รถยนต์นั้นอย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  640  อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม  ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม  ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว

มาตรา  643  ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น  ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น  หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี  เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี  เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี  ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

วินิจฉัย

สัญญายืมระหว่างนิกรกับนิยมจึงเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา  640  นิกรผู้ยืมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถยนต์ตามที่ตกลงกับนิยมไว้  กล่าวคือ  ใช้ขับไปทำงานในกรุงเทพฯ  เมื่อปรากฏว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์นิกรผู้ยืมได้ใช้รถยนต์เป็นพาหนะเพื่อพาสุดสวยแฟนสาวไปเที่ยวที่หัวหิน  ซึ่งมิได้มีการตกลงกับนิยมผู้ให้ยืมแต่อย่างใด  จึงเป็นการใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมนอกจากการอันปรากฏในสัญญาและเมื่อเกิดความเสียหายกับรถยนต์  เพราะต้นไม้ที่ถูกพายุพัดอย่างรุนแรงล้มทับ 

นิกรผู้ยืมจะอ้างเหตุสุดวิสัยเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดไม่ได้  เพราะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อนิกรทำผิดหน้าที่ของผู้ยืมเอาทรัพย์ที่ยืมไปใช้นอกจากการที่ปรากฏในสัญญาซึ่งผู้ยืมจะต้องรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนในเหตุทรัพย์สินที่ยืมนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใดแม้เพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม  เว้นแต่ผู้ยืมจะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินที่ยืมนั้นคงต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเองตามมาตรา  643

สรุป  นิกรจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กับนิยม

 

ข้อ  2  ดำมอบเงิน  5,000  บาทแก่ขาว  เพื่อให้ขาวนำไปฝากธนาคารแทนตน  แต่ขาวกลับนำเงินนั้นไปใช้ชำระค่าหอพักจนหมด  ต่อมาดำทราบความจริงจึงขอให้ขาวนำเงินมาคืน  และได้ให้ขาวเขียนหนังสือไว้  1  ฉบับมีใจความว่า  ข้าพเจ้านายขาวค้างชำระเงินนายดำจำนวน  5,000  บาท  ลงชื่อ  ขาว  ต่อมาขาวพยายามหลบหน้าไม่นำเงินมาคืนดำ  ดำจึงปรึกษาทนายความเพื่อขอให้ฟ้องขาวตามเอกสารที่ขาวทำไว้ให้ดำ  ถ้าท่านเป็นทนายความท่านจะให้คำปรึกษาดำอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

การที่ดำมอบให้ขาวนำเงินไปฝากธนาคารแทนตนนั้น  เป็นการที่ดำเป็นตัวการให้ขาวเป็นตัวแทนนำเงินไปฝาก

ธนาคาร  ความรับผิดระหว่างดำกับขาวจึงเป็นเรื่องตัวการตัวแทน  แต่ต่อมาทั้งคู่ได้เขียนเป็นหนังสือกู้ยืมเงินไว้แก่กัน  จึงถือว่าหนี้เดิมได้ถูกแปลงใหม่เป็นหนี้กู้ยืมแล้ว  จึงสามารถบังคับได้ในเรื่องกู้ยืม  เมื่อขาวเขียนสัญญากู้ในหนังสือมีข้อความว่า   ข้าพเจ้านายขาวค้างชำระเงินนายดำจำนวน  5,000  บาท  ลงชื่อ  ขาว”  ย่อมถือว่าหลักฐานเป็นหนังสือที่ขาวเขียนไว้ให้ดำ  มีข้อความแสดงหลักฐานแห่งสัญญากู้ยืมเงินครบถ้วนตามมาตรา  653  วรรคแรก  กล่าวคือ  มีการระบุจำนวนเงินและรับว่าจะใช้หนี้  และลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  ดังนั้นดำจึงฟ้องขาวได้โดยอาศัยเอกสารนี้

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาว่า  ให้นายดำฟ้องนายขาวโดยอาศัยเอกสารดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  เอกนำหนังสือที่ตนพิมพ์เพื่อจำหน่ายจำนวน  500  เล่มไปฝากขายที่ร้านหนังสือของโท  โดยแบ่งเงินที่ขายหนังสือได้ให้โทเล่มละ  20  บาท  และจะฝากขายไปจนกว่าหนังสือจำหน่ายหมด  โทนำหนังสือของเอกวางจำหน่ายเป็นเวลากว่าหกเดือนแล้วเพิ่งมียอดจำหน่ายเพียง  5  เล่ม  โทจึงแจ้งให้เอกมารับหนังสือกลับไปเพื่อวางจำหน่ายที่อื่น  เอกตกลงแต่ไม่ยอมรับหนังสือกลับจนเวลาล่วงไปอีกหกเดือน โทจึงตัดสินใจนำหนังสือของเอกไปเก็บไว้ในห้องเก็บของใต้ดินรวมกับหนังสืออื่นๆ  ของโท  ต่อมาเกิดน้ำท่วมบรรดาของที่เก็บไว้ในห้องเก็บของเสียหายหมด  รวมทั้งหนังสือของเอกด้วย  ดังนี้จงวินิจฉัยความรับผิดของโท 

ธงคำตอบ

มาตรา  657  อันว่าฝากทรัพย์นั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้ฝาก  ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับฝาก และผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วจะคืนให้

วินิจฉัย

การที่เอกนำหนังสือไปฝากโทขายมิใช่สัญญาฝากทรัพย์ตามมาตรา  657  เพราะการฝากทรัพย์ต้องเพื่อให้ผู้รับฝากเก็บรักษาที่ฝากไว้ในความดูแล  แล้วจะคืนให้ในภายหลัง  แต่กรณีนี้เป็นตัวแทนในการจำหน่ายความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างเอกกับโทจึงไม่ต้องพิจารณาตามสัญญาฝากทรัพย์  แต่ต้องพิจารณาตามสัญญาที่แท้จริงคือตัวการ  ตัวแทน

เมื่อตัวแทนมิได้กระทำการประมาทเลินเล่อในการเป็นตัวแทน  แม้หนังสือจะเสียหายก็มิต้องรับผิดแต่อย่างใด

สรุป  นายโทไม่ต้องรับผิดต่อนายเอก

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2546

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ดำตกลงให้แดงยืมรถยนต์ไปธุระเชียงใหม่เป็นเวลา  10  วัน  ครบกำหนด  10  วันแล้ว  แดงเกิดมีธุระที่จะต้องไปทำต่อที่เชียงรายอีก  7  วัน  หลังจากนั้นจึงขับรถยนต์กลับกรุงเทพฯ  ระหว่างทางเกิดมีพายุฝนตกน้ำป่าไหลหลากมาท่วมถนนอย่างรวดเร็ว  สุดวิสัยที่แดงจะขับรถหนีได้ทัน  รถยนต์ของดำต้องแช่น้ำอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง  ทำให้เครื่องยนต์เสียหายต้องซ่อมแซม  เป็นเงิน  50,000  บาท อยากทราบว่าค่าซ่อมแซมรถนี้ดำจะเรียกร้องจากแดงได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  643  ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น  ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น  หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี  เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี  เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี  ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

วินิจฉัย

การที่ดำตกลงให้แดงยืมรถไปใช้ธุระที่เชียงใหม่เป็นเวลา  10  วันนั้น  เข้าลักษณะยืมใช้คงรูป  การที่แดงเอารถยนต์ของดำไปทำธุระต่อที่เชียงราย  จึงเป็นการใช้ทรัพย์ที่ยืมนอกจากการอันปรากฏในสัญญา  สัญญายืมรถนี้มีกำหนด  10  วัน  การที่แดงเอารถยนต์ไปธุระต่ออีก  7  วัน  จึงเป็นการเอาทรัพย์ที่ยืมไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ด้วย  ฉะนั้นตามบทบัญญัติของกฎหมายในลักษณะยืมใช้คงรูปมาตรา  643  แดงผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์ที่ยืมนั้นบุบสลายเสียหายไป  

แม้ถึงว่าจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม  แดงจะยกเอาเหตุสุดวิสัยนั้นมาเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นจากความรับผิดไม่ได้  ตามความจริงถ้าหากแดงได้ใช้รถยนต์ที่ยืมมาตามการอันปรากฏในสัญญาและมิได้เอารถยนต์ที่ยืมมาไว้ใช้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้แล้ว  ความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์ที่ยืมอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัยนั้นย่อมจะตกอยู่แก่ดำซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์  แดงหาต้องรับผิดชอบด้วยไม่  กรณีตามปัญหานี้แดงประพฤติผิดหน้าที่ผู้ยืมซึ่งผลแห่งการปฏิบัติผิดหน้าที่ดังกล่าวแล้วนี้  กฎหมายบัญญัติให้ภาระความรับผิดชอบกลับมาตกอยู่แก่ผู้ยืมคือแดง

แต่มีข้อยกเว้นอยู่ว่า  ถ้าหากแดงพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินที่ยืมคือรถยนต์นั้น  ก็คงต้องบุบสลายเสียหายอยู่นั่นเอง  แดงก็พ้นจากความรับผิดไปได้  เช่น  ถ้าแดงสามารถพิสูจน์ได้ว่า  ความจริงถ้าหากแดงเอารถยนต์กลับมาคืนตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ตามสัญญาแล้ว  ในวันนั้นเองก็มีน้ำป่าไหลหลากมาท่วมพอดี  และแดงขับรถกลับไป  ซึ่งย่อมหมายความว่า  อย่างไรๆเสีย  รถยนต์ก็คงต้องถูกน้ำท่วมอยู่นั่นเอง  หรือมิฉะนั้นถ้าหากแดงสามารถพิสูจน์ได้ว่า  ถ้าได้เอารถยนต์ไปคืนให้ตามกำหนด  ในวันนั้นเองก็ได้เกิดไฟไหม้ที่บ้านดำ  รถยนต์คันอื่นๆ  ของดำที่เก็บไว้ในทำนองเดียวกันก็ถูกไฟไหม้หมด  รถยนต์คันที่แดงเอาส่งคืนย่อมจะต้องถูกไฟไหม้ไปด้วยเช่นกัน  เช่นนี้แล้ว แดงจะพ้นจากความรับผิดเหมือนกัน

สรุป  แดงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กับดำผู้ให้ยืม

 

ข้อ  2  นางสาวแตงกวาเป็นคนยากจนและชอบดื่มสุราเป็นประจำได้ไปกู้เงินกับนางแตงไท  ซึ่งเป็นนายทุนประจำหมู่บ้าน  เป็นจำนวนเงิน 50,000  บาท  โดยนางสาวแตงกวาบอกกับนางแตงไทว่าจะกู้เงินไปจ่ายค่าสุราซึ่งตนติดไว้กับร้น  RCA  ซึ่งนางแตงไททราบแล้ว  แต่ก็ยอมให้กู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าว  พร้อมคิดดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงิน  7,600  บาท  ดังนี้  นางแตงกวาจะต้องคืนเงินต้นและดอกเบี้ยหรือไม่ และหากคืนเป็นเช็คเงินสดต้องมีหลักฐานตามกฎหมายอย่างใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อให้ผู้ยืมมาแสดง  หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

มาตรา  654  ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี  ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น  ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

นางสาวแตงกวายืมเงินนางแตงไทต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยเป็นเงิน  7,600  บาท  จากเงินต้น  50,000  บาท  ซึ่งเป็นการขัดต่อมาตรา  654 ซึ่งมาตรานี้บัญญัติให้ดอกเบี้ยที่เกิน  15%  ให้ลดลงเหลือ  15%  แต่มาตรา  654  ใช้ไม่ได้ตามที่บทบัญญัติได้กล่าวไว้  สาเหตุเพราะมี  พ.ร.บ.  ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ  กำหนดว่า  การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถือเป็นการผิดกฎหมายโดยชัดแจ้ง  ส่วนของดอกเบี้ยที่เกิน  15%  จึงเป็นโมฆะทั้งหมดเหลือเพียงเงินต้นเท่านั้น

ดังนั้น  การคืนเงินตามกฎหมายครั้งนี้จึงคืนเฉพาะเงินต้นเท่านั้นดอกเบี้ยไม่ต้องคืน  บทบัญญัติมาตรา  653  วรรคสอง  จึงใช้ในกรณีที่เป็นการนำเงินสดมาคืนเงินต้นเท่านั้นที่จะต้องมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใด  คือ  1  ทำเป็นหนังสือ   2  เวนคืนเอกสาร   3  แทงเพิกถอน แต่ในกรณีนี้เป็นการคืนเงินด้วยเช็ค  ไม่ใช่การคืนเงินสด  จึงไม่ต้องมีหลักฐานการคืนเงินใดๆ

สรุป  ต้องคืนเงินต้นเท่านั้น  ส่วนดอกเบี้ยไม่ต้องคืน  และไม่ต้องมีหลักฐานคืนเงินด้วย

 

ข้อ  3  นายดำเปิดบัญชีเงินฝากจำนวนหนึ่งแสนบาทไว้กับธนาคารไทย  อยู่มาวันหนึ่งนายแดงได้ปลอมลายมือชื่อนายดำเซ็นลงในใบถอนเงินของธนาคารไทย  เพื่อขอถอนเงินจากบัญชีนายดำจำนวน  5  หมื่นบาท  ธนาคารไทยจ่ายเงินแก่นายแดงไปโดยมิได้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่เซ็นมาในใบถอนเงินว่าตรงกับลายมือชื่อของนายดำที่เซ็นไว้เป็นตัวอย่างหรือไม่  ทำให้ไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นลายมือชื่อปลอม ต่อมานายดำพบว่าเงินถูกถอนไปจากบัญชีโดยที่ตนไม่เคยมาขอถอน  จึงฟ้องให้ธนาคารไทยรับผิดชดใช้เงินที่หายไปในฐานะผู้รับฝากทรัพย์  ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาล  ท่านเห็นว่าธนาคารไทยจะต้องรับผิดต่อนายดำหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  659  ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีบำเหน็จไซร้  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง

ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น  ทั้งนี้ย่อมรวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย

ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้วิชาชีพเฉพาะกิจการค้าหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น

วินิจฉัย

นายดำเป็นลูกค้าเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารไทย  การที่ธนาคารยอมให้ผู้อื่นถอนเงินไปจากบัญชีเงินฝากของนายดำ  โดยในใบถอนเงินไม่ใช่ลายมือชื่อแท้จริงของนายดำ  และไม่ได้ความชัดว่าได้มีการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่เซ็นมาในใบถอนเงินเปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของนายดำหรือไม่  ถือได้ว่าธนาคารไทยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อโดยไม่ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการธนาคาร  อันเป็นอาชีวะของตน  ดังนี้  ธนาคารไทยจึงต้องรับผิดต่อนายดำตามมาตรา 659  วรรคท้าย

สรุป  ธนาคารไทยจะต้องรับผิดต่อนายดำ

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  เด่นขอยืมลูกหมูมาจากดวง  1  ตัว  เพื่อทำหมูหันในงานเลี้ยงที่บ้าน  ดวงตกลง  ระหว่างทางที่เด่นบรรทุกลูกหมูกลับบ้าน  ลูกหมูดิ้นหลุดวิ่งหนี  เด่นตามจับมาไม่ได้  เด่นจึงไปขอยืมลูกหมูอีกตัวหนึ่งจากดาวมาทำหมูหัน  หลังจากงานเลี้ยงผ่านไป  ดวงทวงถามลูกหมูคืนจากเด่น  แต่เด่นไม่ยอมคืน  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  สัญญายืมลูกหมูนี้เป็นสัญญายืมประเภทใด  และเด่นจะต้องรับผิดต่อดวงหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  640  อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม  ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม  ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว

มาตรา  650  อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น  คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น  เป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม  และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท  ชนิด  และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม

วินิจฉัย

ตามปัญหาข้อตกลงระหว่างเด่นกับดวงเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองตามมาตรา  650  ไม่ใช่สัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา  640  เพราะเจตนาของเด่นต้องการนำลูกหมูมาใช้ทำหมูหันเป็นการใช้ในลักษณะทำให้ลูกหมูแปรสภาพเป็นอาหาร  จึงเป็นการใช้ไปสิ้นไป  ลูกหมูจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเด่นตั้งแต่ดวงส่งมอบลูกหมูให้เด่นแล้ว  เมื่อลูกหมูสูญหายไปผู้รับบาปเคราะห์คือเด่นซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์  เมื่อถึงกำหนดส่งคืน  เด่นจึงต้องหาลูกหมูที่มีน้ำหนักเท่ากับตัวที่ยืมมาจำนวน  1  ตัว  ไปใช้คืนให้กับดวง  และดวงมีสิทธิฟ้องบังคับให้เด่นคืนได้ตามสัญญา

สรุป  สัญญายืมลูกหมูเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง  เด่นจึงต้องหาลูกหมูที่มีน้ำหนักเท่ากับตัวที่ยืมไปใช้คืนให้กับดวง

 

ข้อ  2  พลอยเขียนจดหมายถึงมณีฝากไปกับทับทิมมีข้อความว่า  พักนี้เงินของฉันในธนาคารถอนออกมาใช้หมดแล้ว  ไม่มีเงินซื้อของ  ฉันจะยืมมณีมาทำทุนสักห้าพันบาท  ถ้ามีก็มอบให้มากับผู้ถือจดหมายฉบับนี้  ลงชื่อ  พลอย  มณีได้มอบเงินให้ทับทิมมาห้าพันบาท  ต่อมามณีทวงให้พลอยชำระหนี้คืน  พลอยไม่ยอมชำระ  มณีจึงฟ้องศาลโดยมีจดหมายฉบับดังกล่าวเป็นหลักฐาน  พลอยต่อสู้ว่าไม่ได้กู้  ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลท่านจะตัดสินอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

จดหมายที่พลอยเขียนถึงมณียังไม่อาจถือว่าเป็นหลักฐานการกู้ยืมตามมาตรา  653  วรรคแรก  เพราะเป็นเพียงหลักฐานการขอยืมเงินซึ่งยังไม่บ่งให้ทราบว่าได้มีการให้ยืมแล้วหรือยัง  เป็นเพียงการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวของพลอย  กล่าวคือ  มีการระบุจำนวนเงิน  แต่ไม่ได้ระบุว่ารับจะใช้หนี้ให้  ดังนั้น  ข้อความในจดหมายฉบับนี้จึงไม่อาจถือว่าการที่พลอยขอยืมเงินมณีนั้นพลอยจะได้รับเงินที่ยืมแล้ว  และในเรื่องกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000  บาท  เมื่อมาตรา  653  วรรคแรก  กำหนดให้ต้องมีพยานหลักฐานเป็นหนังสือจึงต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลเข้ามาสืบหักล้างพยานเอกสาร

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะวินิจฉัยยกฟ้อง

 

ข้อ  3  แดงรับฝากรถยนต์ของดำไว้โดยตกลงจะให้ค่าฝากวันละ  10  บาท  เมื่อดำมารับรถยนต์ปรากฏว่าเบาะรถผุ  พรมในรถขึ้นรา  เพราะแดงปล่อยรถตากแดดตากฝน  ขอให้แดงใช้ค่าเสียหาย  แต่แดงต่อสู้ว่าแม้รถยนต์ของตนก็ปล่อยจอดตากแดดตากฝนเช่นนี้เหมือนกัน  ดังนี้  ข้อต่อสู้ของแดงฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  659  ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีบำเหน็จไซร้  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง

ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น  ทั้งนี้ย่อมรวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย

วินิจฉัย

เป็นเรื่องการฝากทรัพย์ที่มีบำเหน็จค่าฝากซึ่งมาตรา  659 วรรคสอง  กำหนดให้ผู้รับฝากมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังดูแลทรัพย์สินที่รับฝากไว้เหมือนเช่นวิญญูชนพึงประพฤติปฏิบัติแต่จากข้อเท็จจริงการที่นายแดงละเลยไม่ดูแลทรัพย์กลับปล่อยรถตากแดดตากฝนจนเบาะรถผุ  พรมในรถขึ้นรา  โดยอ้างการปฏิบัติที่เคยทำต่อรถของตนเองเป็นข้อต่อสู้  จึงผิดหน้าที่ของผู้รับฝากทรัพย์ที่มีบำเหน็จ  ข้อต่อสู้ของแดงจึงฟังไม่ขึ้น  เพราะเรื่องนี้มิใช่การฝากทรัพย์ที่ไม่มีบำเหน็จ  หากจะใช้เกณฑ์ของตนเองในการปฏิบัติต่อทรัพย์ที่รับฝากนั่นย่อมหมายถึงการฝากทรัพย์ที่ไม่มีบำเหน็จตามมาตรา  659  วรรคแรก

สรุป  ข้อต่อสู้ของแดงฟังไม่ขึ้น  แดงต้องรับผิดต่อดำ

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  สัญญายืมใช้คงรูปนั้น  ถ้าผู้ยืมไม่สงวนทรัพย์สินอย่างเช่นวิญญูชนและทรัพย์สินที่ยืมนั้นเกิดความเสียหาย  ผู้ยืมจะต้องรับผิดหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  644  ผู้ยืมจำต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง

วินิจฉัย

กรณีสัญญายืมใช้คงรูปที่ปรากฏว่าผู้ยืมไม่สงวนทรัพย์สินที่ยืมอย่างวิญญูชน  และทรัพย์สินที่ยืมนั้นเกิดความเสียหายนั้น  แม้ตามมาตรา 644  มิได้บัญญัติกำหนดลงชัดเจนเลยว่า  ให้ผู้ยืมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ตาม  แต่ถือว่าเป็นกรณีที่กฎหมายเอกเทศสัญญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเจาะจงก็ต้องนำหลักกฎหมายในบรรพ  2  หนี้  ลักษณะ  1  บทเบ็ดเสร็จทั่วไป  หมวด  2  ผลแห่งหนี้  ส่วนที่  1  การไม่ชำระหนี้มาตรา  213  มาใช้บังคับ  ซึ่งวางหลักไว้ว่า  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน  เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้…อนึ่งบทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้  หากกระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่  

ตัวอย่างเช่น  ผู้ยืมขอยืมรถยนต์เข้ามาเก็บไว้กลางแดด  ถือว่าเป็นกรณีที่ผิดวิสัยวิญญูชนจะพึงกระทำ  เพราะฉะนั้นถ้ารถยนต์เสียหายเช่นสีที่ทาลอกหลุดออกไป  เจ้าหนี้คือผู้ให้ยืมมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายได้  ตามนัยมาตรา  213  วรรคท้าย  ดังนี้เป็นต้น

ดังนั้น  ในกรณีดังกล่าวผู้ยืมยังคงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ให้ยืม

 

ข้อ  2  นางสาวจุ๊บแจงขอยืมเงินนางสาวน้อยพี่สาวแท้ๆ  ของตนไปเล่นหวยใต้ดินเป็นจำนวนเงิน  5,000  บาท  โดยทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของนางสาวจุ๊บแจงเป็นผู้กู้  แต่ในการกู้ยืมนี้มี  ด.ช.เอก  และ  ด.ญ.แจ๋ว  ลงชื่อเป็นพยาน  ทั้งคู่กำลังเรียนอยู่ชั้น  ม.2  อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ  นอกจากนั้นในสัญญากู้ยืมเงินยังระบุอีกว่า  ผู้กู้ยืมจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  3  บาทต่อเดือน  ดังนี้  นางสาวจุ๊บแจงจะต้องชำระเงินคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  150  การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  การนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อให้ผู้ยืมมาแสดง  หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

มาตรา  654  ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี  ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น  ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

การที่นางสาวจุ๊บแจงขอยืมเงินนาวสาวน้อยพี่สาวแท้ๆ  จำนวน  5,000  บาท  โดยทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือ  และลงลายมือช่อของนางสาวจุ๊บแจงเป็นผู้กู้  เช่นนี้ตามปกติแล้วก็ถือว่าสัญญากู้ยืมเงินสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา  653  แม้การกู้ยืมเงินครั้งนี้จะมี ด.ช.เอก  และ  ด.ญ.แจ๋ว  ลงชื่อเป็นพยาน  ซึ่งทั้งสองยังไม่บรรลุนิติภาวะ  ก็ไม่ทำให้สัญญากู้ยืมเงินเสียไป  เพราะสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวผู้ยืมได้ลงลายมือชื่อด้วยตนเอง  มิใช่กรณีการพิมพ์ลายนิ้วมือที่จะต้องมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือแต่อย่างใด  อีกทั้งตามมาตรา  653  ก็บัญญัติแต่เพียงว่า  ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  เท่านั้น  สัญญากู้ยืมเงินก็สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว 

อย่างไรก็ตาม  ข้อเท็จจริงปรากฏว่า  การกู้ยืมเงินครั้งนี้นางสาวจุ๊บแจงขอยืมไปเพื่อเล่นหวยใต้ดิน  ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของสัญญากู้ยืมเงินเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตามมาตรา  150  สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนางสาวจุ๊บแจงกับนางสาวน้อยจึงตกเป็นโมฆะ  เมื่อสัญญากู้ยืมเงินตกเป็นโมฆะ  จึงไม่จำต้องพิจารณาในส่วนของดอกเบี้ยแต่อย่างใด  แม้ดอกเบี้ยจะเรียกเกินอัตราของกฎหมายตามมาตรา  654  หรือตาม  พ.ร.บ.  ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา  เช่นนี้ทั้งสองจึงไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกัน  นางสาวจุ๊บแจงจึงไม่ต้องคืนเงินต้นและดอกเบี้ยแต่อย่างใด

สรุป  นางสาวจุ๊บแจงไม่ต้องคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย  เพราะสัญญาเป็นโมฆะ

 

ข้อ  3  นายอาทิตย์เอารถยนต์ไปฝากไว้กับนายจันทร์เป็นเวลา  3  เดือน  โดยไม่อนุญาตให้เอารถไปใช้งานและไม่ได้ตกลงว่าจะให้บำเหน็จค่าฝากกัน  เมื่อนายจันทร์รับฝากแล้วกลับนำออกใช้งานและดูแลรักษาอย่างดีเหมือนเป็นรถของตน  วันหนึ่งเมื่อขับรถไปซื้ออาหารที่ตลาดกลับมาพบว่ากระจกรถถูกทุบแตกและคนร้ายได้ขโมยของมีค่าที่วางไว้ในรถไป  ต่อมานายอาทิตย์มารับรถคืนจึงเรียกให้นายจันทร์จ่ายค่าเสียหายที่กระจกรถแตก  นายจันทร์ปฏิเสธ  อ้างว่าตนรับฝากทรัพย์ไว้โดยไม่มีบำเหน็จ  และขณะรับฝากได้ใช้ความระมัดระวังสงวนรักษาทรัพย์สิน  เหมือนเช่นดูแลรถยนต์ของตนเองแล้วจึงไม่ต้องรับผิด  ดังนี้  ข้อต่อสู้ของนายจันทร์ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  659  ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีบำเหน็จไซร้  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง

ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น  ทั้งนี้ย่อมรวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย

ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้วิชาชีพเฉพาะกิจการค้าหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น

มาตรา  660  ถ้าผู้ฝากมิได้อนุญาต  และผู้รับฝากเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นออกมาใช้สอยเองหรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไซร้  ท่านว่าผู้รับฝากจะต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นสูญหายหรือบุบสลายอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย  คือ  ข้อต่อสู้ของนายจันทร์ที่ว่า  ตนรับฝากรถโดยไม่มีบำเหน็จ  และได้ใช้ความระมัดระวังสงวนรักษาทรัพย์สินเหมือนเช่นเคยประพฤติปฏิบัติในกิจการของตนเองแล้ว  จึงไม่ต้องรับผิด  ฟังขึ้นหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายจันทร์รับฝากรถโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝากตามมาตรา  659  วรรคแรก  ได้กำหนดหน้าที่ให้ผู้รับฝากใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินที่ตนรับฝากไว้นั้นไม่มากหรือน้อยไปกว่าการสงวนรักษาทรัพย์สินของตน  กล่าวคือ  นอกจากผู้รับฝากจะไม่ได้ค่าตอบแทนในการรับฝากทรัพย์สินนั้นแล้ว  ผู้รับฝากยังต้องรับภาระหน้าที่ดูแลระมัดระวังทรัพย์สินที่รับฝากอีกด้วย  กฎหมายกำหนดหน้าที่เท่านั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว  ดังนั้นการที่นายจันทร์ขับรถยนต์ของนายอาทิตย์ไปซื้ออาหารที่ตลาดกลับมาพบว่ากระจกรถถูกทุบแตกและคนร้ายได้ขโมยของมีค่าในรถไป  เช่นนี้การกระทำดังกล่าวยังไม่ถือว่าเป็นการที่นายจันทร์ประพฤติผิดหน้าที่ตามมาตรา  659  แต่อย่างไรก็ตามแม้นายจันทร์จะไม่ได้ผิดหน้าที่สงวนทรัพย์สินแต่นายจันทร์ก็ผิดหน้าที่ตามมาตรา  660  โดยนำรถยนต์ที่ผู้รับฝากออกใช้สอยโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ฝากก่อน  เมื่อทรัพย์สินที่ฝากสูญหายโดยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหายอยู่นั่นเอง  นายจันทร์ก็ต้องรับผิด  จะเห็นได้ว่าความรับผิดชอบของผู้รับฝากตามมาตรา  660  แม้เป็นกรณีการรับฝากโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝาก  ผู้รับฝากก็คงต้องรับผิดจากผลที่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว  หากนายจันทร์ไม่นำรถยนต์ออกใช้สอยแล้ว  การที่รถยนต์จะถูกขโมยไปอาจจะไม่เกิดมีขึ้น  ดังนั้นแม้จะอ้างว่าได้สงวนทรัพย์สินเช่นที่ได้ปฏิบัติกับทรัพย์สินของตนก็คงไม่ได้  ข้อต่อสู้จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายจันทร์ฟังไม่ขึ้น

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม สอบซ่อม S/2547

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  หน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูปมีอะไรบ้าง  ให้อธิบายโดยอ้างอิงหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ได้กำหนดหน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูปไว้  5  ประการ  คือ

 1       หน้าที่เสียค่าธรรมเนียมในการทำสัญญา

มาตรา  642  ค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญาก็ดี  ค่าส่งมอบและค่าส่งคืนทรัพย์สินซึ่งยืมก็ดีย่อมตกแก่ผู้ยืมเป็นผู้เสีย

ตามมาตรา  642  ค่าใช้จ่ายต่างๆนี้ได้ถูกกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ยืมแต่ฝ่ายเดียว  ทั้งนี้เพราะสัญญายืมใช้คงรูป  ผู้ที่ได้รับประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวก็คือผู้ยืม  จึงสมเหตุสมผลดีแล้วที่ผู้ยืมจะต้องเป็นผู้เสียแต่คู่กรณีอาจตกลงเป็นอย่างอื่นได้  เช่น  ให้ผู้ให้ยืมเป็นผู้เสีย  เพราะมาตรา  642  มิใช่บทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด  ยกตัวอย่างประกอบ

2       หน้าที่เกี่ยวกับการใช้สอยทรัพย์สินที่ยืม

มาตรา  643  ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น  ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น  หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี  เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี  เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี  ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

ตามมาตราดังกล่าว  ได้กำหนดหน้าที่ของผู้ยืมในการใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมโดยชอบไว้  4  ประการ 

 1)    ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมตามสภาพแห่งทรัพย์  เช่น  ยืมใบมีดโกน  ก็ต้องเอาไปโกนหนวดโกนเครา  มิใช่เอาไปหั่นเนื้อหมู ฯลฯ

2)    ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมตามสัญญาที่ตกลงกัน  เช่น  ทำสัญญายืมรถยนต์ไปเพชรบุรี  ก็ต้องไปเพชรบุรีจะขับไปเชียงใหม่ไม่ได้ ฯลฯ

3)    ต้องไม่เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย

4)    เมื่อใช้สอยเสร็จแล้วต้องรีบคืนให้แก่ผู้ให้ยืมไม่ควรเก็บเอาไว้นาน

หากผู้ยืมไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ดังกล่าวแล้ว  เป็นเหตุให้ทรัพย์สินที่ยืมสูญหายหรือบุบสลาย  ผู้ยืมต้องรับผิดแม้เหตุนั้นจะเกิดเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม  (ยกตัวอย่างประกอบ)

3       หน้าที่เกี่ยวกับการสงวนทรัพย์สินที่ยืม

มาตรา  644  ผู้ยืมจำต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง

เนื่องจากผู้ยืมเป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญายืมแต่ฝ่ายเดียว  จึงต้องรับผิดชอบในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมเช่นวิญญูชนคือ  บุคคลธรรมดาทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถในระดับปานกลางในสังคม  หากผู้ยืมไม่ทำหน้าที่ดังกล่าว  ผู้ให้ยืมย่อมบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าสินไหมทดแทนได้  (ยกตัวอย่างประกอบ)

4       หน้าที่เกี่ยวกับการคืนทรัพย์สินที่ยืม

มาตรา  646  ถ้ามิได้กำหนดเวลากันไว้  ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว  ตามการอันปรากฏในสัญญา  แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้  เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว

ถ้าเวลาก็มิได้กำหนดกันไว้  ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้  ท่านว่าผู้ให้ยืมจะเรียกของคืนเมื่อไรก็ได้

เรื่องการคืนทรัพย์สินที่ยืมถือว่าเป็นสาระสำคัญอีกประการหนึ่งของสัญญายืมที่ทำให้มีความแตกต่างจากสัญญาให้  หรือสัญญาซื้อขาย  ดังนั้นผู้ยืมจึงต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อใช้สอยเสร็จแล้ว  (ยกตัวอย่างประกอบ)

5       หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืม

มาตรา  647  ค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น  ผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย

กล่าวคือ  พิจารณาว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามปกติหรือไม่  ถ้าเป็นผู้ยืมก็ต้องจ่าย  เช่น  ก  ยืมรถ  ข  มาใช้  ถ้ารถเกิดเสียหายเล็กน้อย  เช่น  ยางแตก  หรือเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง  ฯลฯ  ผู้ยืม  คือ  ก  ต้องจ่ายเอง  แต่ถ้าเป็นกรณีที่เกินกว่าปกติ  เช่น  รถที่  ก  ยืมมาเสื่อมโทรมตามสภาพจำเป็นต้องยกเครื่องใหม่  เพราะขณะที่ยืมก็อยู่ในสภาพไม่ดีอยู่แล้ว  เช่นนี้  ผู้ให้ยืมเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่าย

 

ข้อ  2  นายเอกกู้ยืมเงินนายโท  10,000  บาท  ทำสัญญากู้กันไว้  นายเอกลงลายพิมพ์นิ้วมือในฐานะผู้ยืม  นายตรีอายุ  17  ปีกับนายโทลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนายเอกไว้ในขณะนั้น  แต่นายโทมิได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ให้ยืม  ต่อมานายเอกไม่ชำระเงินนายโทตามสัญญากู้  นายโทจึงนำสัญญากู้ฉบับนี้มาฟ้องศาล  ขอให้บังคับให้นายเอกชดใช้เงินที่ยืมไป  ดังนี้  นายเอกต้องรับผิดตามสัญญากู้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  9  วรรคหนึ่ง  วรรคสอง  เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือ  บุคคลผู้จะต้องทำหนังสือไม่จำเป็นต้องเขียนเอง  แต่หนังสือนั้นต้องลงลายมือชื่อของบุคคลนั้น

ลายพิมพ์นิ้วมือ  แกงได  ตราประทับหรือเครื่องหมายอื่นทำนองเช่นว่านั้นที่ทำลงในเอกสารแทนการลงลายมือชื่อ  หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนแล้วให้ถือเสมอกับลงลายมือชื่อ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อให้ผู้ยืมมาแสดง  หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

วินิจฉัย

นายเอกกู้ยืมเงินนายโท  10,000  บาท  โดยนายเอกลงลายพิมพ์นิ้วมือในฐานะผู้ยืม  การกู้ยืมระหว่างนายเอกกับนายโทที่มีการลงลายพิมพ์นิ้วมือของผู้กู้จะต้องมีการรับรองจากบุคคล  2  คนเสมอถึงจะถูกต้องตามมาตรา  9  วรรคสอง  ส่วนนายตรี  อายุ  17  ปี  แม้เป็นผู้เยาว์ก็สามารถที่จะเป็นพยานลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนายเอกได้  เนื่องจากไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าผู้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือจะต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ  ส่วนนายโทซึ่งลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือร่วมกับนายตรี  แม้จะไม่ได้ลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ในสัญญาก็ฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย  เนื่องจากสัญญากู้ยืมทำเป็นหนังสือ  เพียงมีแต่ลายมือชื่อผู้กู้ฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว  หาจำต้องมีลายมือชื่อผู้ให้กู้ด้วยแต่อย่างไร  ดังนั้นลายมือชื่อของผู้ให้กู้จะมีหรือไม่มีก็ได้  อนึ่งกรณีที่นายโท  ซึ่งเป็นผู้ให้กู้ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือด้วยนั้น  ก็ไม่มีกฎหมายห้ามแต่อย่างใด  (ฎ. 595/2523)  เมื่อสัญญากู้ยืมเงินสมบูรณ์ตามกฎหมาย  เพราะฉะนั้นนายเอกต้องรับผิดตามสัญญากู้ตามมาตรา  653  วรรคแรก

สรุป  นายเอกต้องรับผิดตามสัญญากู้

 

ข้อ  3  ธนาคารเอเชียตะวันออก  เป็นธนาคารต่างประเทศที่จะมาขอเปิดดำเนินธุรกิจประเภทธนาคารในประเทศไทย  ในระหว่างดำเนินการขออนุญาตและก่อสร้างอาคารสำนักงานเพื่อเป็นที่ทำการ  ธนาคารได้จ้างสำนักงานกฎหมายเอกสมบัติเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย  ต่อมาธนาคารได้มีข้อหารือมาที่สำนักงานกฎหมายถึงหน้าที่ของธนาคารที่จะต้องปฏิบัติต่อทรัพย์สินเงินทองของลูกค้าที่นำมาฝากว่าตามหลักกฎหมายไทยธนาคารมีหน้าที่ต้องปฏิบัติหรือใช้ความระมักระวังอย่างไรบ้างในการสงวนทรัพย์สินที่ลูกค้านำมาฝาก  ถ้าท่านเป็นทนายความที่ปรึกษา  ขอให้ท่านให้คำแนะนำ  โดยอธิบายอย่างละเอียด  พร้อมยกตัวอย่างและหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  659  ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีบำเหน็จไซร้  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง

ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น  ทั้งนี้ย่อมรวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย

ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้วิชาชีพเฉพาะกิจการค้าหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น

วินิจฉัย

ธนาคารถือเป็นผู้รับฝากที่มีอาชีพในการรับฝากโดยเฉพาะตามนัยของมาตรา  659  วรรคสาม  ที่วางหลักเกณฑ์ให้บุคคลที่มีอาชีพรับฝากทรัพย์ต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น  หมายความว่า  ธนาคารจะต้องเก็บรักษาทรัพย์สินไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดตามวิถีทางแห่งกิจการค้าของตน  คือเก็บไว้ในตู้นิรภัยที่มั่นคงให้ปลอดภัยจากอัคคีภัยและโจรผู้ร้าย  เป็นต้น  (ยกตัวอย่างประกอบ)

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายใหญ่ให้นายเล็กยืมใช้รถยนต์มีกำหนด  1  ปี  เมื่อนายเล็กใช้รถไปได้หกเดือน  ปรากฏว่ารถชำรุดทรุดโทรมมาก  เพราะนายเล็กปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษารถยนต์เหมือนคนทั่วไป  นายใหญ่เห็นว่า  ถ้าขืนปล่อยให้นายเล็กใช้ต่อไปจนครบกำหนด  1  ปี  รถยนต์อาจจะเสียหายมาก  นายใหญ่จึงมาปรึกษาท่าน  ให้ท่านแนะนำนายใหญ่ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร  จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  644  ผู้ยืมจำต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง

มาตรา  645  ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา  643  นั้นก็ดี  หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อความในมาตรา  644  ก็ดี  ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

วินิจฉัย

นายใหญ่ให้นายเล็กยืมรถยนต์ใช้มีกำหนด  1  ปี  เมื่อนายเล็กใช้รถได้หกเดือน  ปรากฏว่ารถชำรุดทรุดโทรมมาก  เพราะนายเล็กปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษารถยนต์เหมือนคนทั่วไป  ดังนี้  นายเล็กทำผิดหน้าที่ผู้ยืมในการสงวนรักษาทรัพย์สิน  เนื่องจากปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษารถยนต์เหมือนวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง  ตามที่บัญญัติในมาตรา  644  ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะแนะนำนายใหญ่ให้เลือกวิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้

 1       บอกเลิกสัญญา  และเรียกเอาทรัพย์สินนั้นคืนมา  โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดเวลาในสัญญายืมตามมาตรา  645

 2       ให้นายเล็กทำการดูแลรักษารถยนต์ตามหน้าที่ที่บัญญัติในมาตรา  644  และหากการละเลยของนายเล็กก่อให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ที่ยืมมาก็ไม่ตัดสิทธินายใหญ่ที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  213  วรรคท้าย

 

ข้อ  2  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  653  วรรคสอง  บัญญัติว่า  ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง  คำว่า  การใช้เงิน  ในที่นี่หมายความว่าอย่างไร

นายเอกยืมเงินนายโทมา  10,000  บาท  ต่อมาโทฟ้องเอกขอเรียกเงินยืมคืน  ดังนี้  เอกจะต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงินไปแล้ว  โดยขอนำสืบพยานบุคคลคือนายตรี  ผู้อยู่ด้วยขณะที่นำรถจักรยานยนต์มามอบให้  จะได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

คำว่า  การใช้เงิน  ตามมาตรา  653  วรรคสอง  จะเกิดขึ้นต่อเมื่อการกู้ยืมเงินนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือตามบทบังคับของกฎหมายการใช้เงินจึงต้องมีหลักฐานการใช้เงิน  จึงจะนำสืบต่อศาลว่าได้มีการใช้เงินกันแล้ว

ฉะนั้น  การใช้เงินตามนัยมาตรา  653  วรรคสอง  หมายความถึง  การใช้เงินต้นเท่านั้นไม่รวมถึงดอกเบี้ย  กล่าวคือ  เป็นการนำเงินสดที่สามารถชำระหนี้ตามกฎหมายมาชำระหนี้เงินต้นเท่านั้น  หากเป็นการใช้เงินต้นด้วยวิธีอื่น  เช่น  ชำระหนี้ด้วยบัตรเครดิต  เช็ค  หรือชำระหนี้ด้วยสร้อยเพชร  ก็ไม่จำต้องมีหลักฐานการใช้เงิน  สามารถนำสืบพยานบุคคลว่าได้มีการใช้เงินต้นกันแล้วได้  เช่นเดียวกันหากการกู้ยืมเงินกันมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่การใช้เงินต้นคืนไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  ซึ่งผู้กู้ก็ได้ชำระคืนไปแล้ว  เช่นนี้  ผู้กู้จำต้องชำระเงินคืนให้ผู้ให้กู้ อีกครั้งหนึ่ง  จะนำพยานบุคคลมานำสืบการใช้เงินไม่ได้

อนึ่งการใช้ดอกเบี้ยคืน  ก็หามีบทบัญญัติให้ต้องมีหลักฐานการใช้คืนดอกเบี้ยแต่อย่างใด  สามารถนำพยานบุคคลมาสืบการใช้คืนดอกเบี้ยได้  (ฎ. 243/2503,  1051/2503)

วินิจฉัย

นายเอกยืมเงินนายโท  10,000  บาท  และถูกนายโทฟ้องเรียกเงินคืน  นายเอกต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงิน  โดยขอนำสืบพยานบุคคลผู้อยู่ด้วยขณะชำระหนี้คือนายตรี  กรณีนี้เอกสามารถขอนำสืบพยานบุคคลได้  เพราะเอกมิได้นำสืบการใช้เงินต้นจึงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงต่อศาลตามมาตรา  653  วรรคสอง  แต่อย่างใด

สรุป  นายเอกนำพยานบุคคลมานำสืบได้

 

ข้อ  3  นายแดงฝากเงินไว้กับนายดำ  จำนวน  1  แสนบาท  มีกำหนดเวลา  2  ปี  ต่อมา  3  เดือน  นายแดงตาย  ดังนี้  เขียวซึ่งเป็นทายาทของนายแดงจะขอเรียกเงินคืนจากดำทันทีไม่รอให้ครบ  2  ปี  ดังนี้  เขียวมีสิทธิทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  665  ผู้รับฝากจำต้องคืนทรัพย์สินซึ่งรับฝากไว้นั้นให้แก่ผู้ฝาก  หรือทรัพย์สินนั้นฝากในนามของผู้ใดคืนให้แก่ผู้นั้น  หรือผู้รับฝากได้รับคำสั่งโดยชอบให้คืนทรัพย์สินนั้นไปแก่ผู้ใดคืนให้แก่ผู้นั้น

แต่หากผู้ฝากทรัพย์ตาย  ท่านให้คืนทรัพย์สินนั้นให้แก่ทายาท

มาตรา  672  ถ้าฝากเงิน  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝาก  แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน

อนึ่ง  ผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้  แต่หากจำต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น  แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม  ผู้รับฝากก็จำต้องคืนเงินเป็นจำนวนดังว่านั้น

มาตรา  673  เมื่อใดควรรับฝากจำต้องคืนเงินแต่เพียงเท่าจำนวนที่ฝาก  ผู้ฝากจะเรียกถอนเงินคืนก่อนถึงเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ไม่ได้  หรือฝ่ายผู้รับฝากจะส่งคืนเงินก่อนถึงกำหนดเวลานั้นก็ไม่ได้ดุจกัน

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วผู้รับฝากจะต้องคืนทรัพย์สินที่รับฝากไว้ให้แก่ผู้รับฝาก  ผู้รับฝากจะไม่คืนให้แก่ผู้รับฝากโดยตรงก็มีอยู่เพียง  3  กรณีเท่านั้น  คือ

 1       คืนให้แก่บุคคลที่ผู้ฝากได้ฝากทรัพย์สินแทน  เช่น  นาย  ก  เป็นบิดาของนาย  ข  ซึ่งนาย  ก  เอาทรัพย์สินมีค่าของนาย  ข  ไปฝากไว้กับนาย  ค  โดยฝากในนามของนาย  ข  (ฝากแทนนาย  ข)  ดังนี้  นาย  ค  ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่รับฝากไว้คืนให้แก่นาย  ข

2       คืนให้แก่บุคคลที่มีคำสั่งโดยชอบระบุให้คืน  เช่น  ผู้ฝากอาจจะมีคำสั่งมายังผู้รับฝากให้คืนทรัพย์สินแก่บุคคลใด  ผู้รับฝากก็ต้องคืนให้บุคคลที่ระบุในคำสั่งนั้น

3       คืนให้กับทายาทของผู้ฝากในกรณีที่ผู้ฝากตาย

นายดำมีหน้าที่ต้องคืนเงินที่รับฝากแก่ทายาทของนายแดงทันที  โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดเวลา  ทั้งนี้ตามนัยมาตรา  665  วรรคท้ายกำหนดว่า  ในกรณีที่ผู้ฝากทรัพย์ตาย  ท่านให้คืนทรัพย์สินที่รับฝากนั้นแก่ทายาทของผู้ฝาก

แม้บทบัญญัติมาตรา  673  จะกำหนดว่า  เมื่อใดรับฝากจำต้องคืนเงินแต่เพียงเท่าจำนวนที่ฝาก  ผู้ฝากจะเรียกถอนเงินคืนก่อนถึงเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ไม่ได้  หรือฝ่ายผู้รับฝากจะส่งคืนเงินก่อนถึงเวลานั้นก็ไม่ได้ดุจกัน  แต่ก็ไม่สามารถอ้างบทบัญญัติดังกล่าวมายันทายาทของนายแดงได้  ต้องตีความตามมาตรา  665  วรรคท้าย  โดยเคร่งครัด  (ฎ. 80/2511)

อย่างไรก็ตาม  การคืนเงินที่รับฝาก  ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกับที่ฝากแต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน

สรุป  เขียวทายาทของแดง  มีสิทธิขอคืนเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดเวลา

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2548

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงลักษณะของสัญญายืมใช้คงรูปและสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง  อนึ่งสัญญาทั้งสองนี้มีลักษณะเหมือนกันและต่างกันอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

มาตรา  640  อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม  ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม  ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว

มาตรา  641  การให้ยืมใช้คงรูปนั้นท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม

มาตรา  650  อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น  คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น  เป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม  และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท  ชนิด  และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม

จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นว่า  สัญญายืมใช้คงรูปกับยืมใช้สิ้นเปลืองมีลักษณะที่เหมือนกันและต่างกันดังนี้

ลักษณะที่เหมือนกัน

 1       เป็นสัญญาซึ่งประกอบด้วยคู่กรณี  2  ฝ่าย  ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม  อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม  โดยแต่ละฝ่ายไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายละคนเสมอไป  อาจจะมากกว่าหนึ่งคนก็ได้  และจะเป็นบุคคลธรรมดา  หรือนิติบุคคลก็ได้  กฎหมายไม่ได้จำกัดไว้  เพียงแต่ต้องมีคู่กรณี  2  ฝ่ายจึงจะเกิดเป็นสัญญาได้

2       ผู้ให้ยืมจะต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ผู้ยืมได้ใช้สอย  จึงถือได้ว่า  การส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมเป็นแบบแห่งความสมบูรณ์ของสัญญายืม  หากไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม  สัญญายืมจึงไม่สมบูรณ์   ไม่มีผลทางกฎหมายแต่อย่างใด  เช่น  นาย  ก.  ยืมแจกันจาก  นาง  ข.  แต่นาง  ข.  ยังไม่ว่างจึงยังไม่หยิบให้  เช่นนี้ถือว่าสัญญายืมยังไม่สมบูรณ์  เพราะยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม

3       เมื่อผู้ยืมได้ใช้ทรัพย์สินที่ยืมเสร็จแล้ว  ผู้ยืมมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินให้กับผู้ให้ยืม  ซึ่งทำให้สัญญายืมมีลักษณะต่างจากสัญญาประเภทอื่น  เช่น  หากเป็นการให้เอาไปใช้สอยได้เปล่าโยไม่ต้องส่งคืนก็หาเป็นสัญญายืม  แต่อาจเป็นสัญญาให้  หรือหากเป็นการให้ใช้สอยทรัพย์สินโดยเสียค่าตอบแทนและไม่ต้องส่งคืนเช่นนี้  ก็อาจเป็นสัญญาซื้อขายได้

ลักษณะที่ต่างกัน

 1       สัญญายืมใช้คงรูปนั้น  เป็นสัญญาที่ผู้ยืมได้ประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว  กล่าวคือ  ได้ใช้ทรัพย์สินที่ยืมโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน  เมื่อใช้สอยเสร็จแล้วก็ต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้น  ดังนี้  กรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่ยืมจึงไม่โอนไปยังผู้ยืม  แต่สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่ยืมโอนไปยังผู้ยืม  ตัวอย่างเช่น  นาย  ก.  ยืมน้ำปลาของนาย  ข.  ไปให้ภรรยาดูราคาข้างขวด  เช่นนี้ถือว่าเป็นสัญญายืมใช้คงรูป  กรรมสิทธิ์ในน้ำปลายังไม่โอนไปยังนาย  ข.  ผู้ยืม  แต่หากนาย  ก.  ยืมน้ำปลา  1  ขวดเพื่อไปใช้ทำอาหาร  เช่นนี้ถือว่า  เป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง  กรรมสิทธิ์น้ำปลาขวดที่ยืมจึงโอนไปยังนาย  ข.  ผู้ยืม

2       สัญญายืมใช้คงรูป  ผู้ยืมใช้ทรัพย์สินที่ยืมได้เปล่า  ไม่เสียค่าตอบแทน  หากเสียค่าตอบแทนก็อาจเป็นสัญญาอื่น  เช่น  สัญญาเช่าทรัพย์ไป  แต่สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองผู้ยืมอาจได้ใช้ทรัพย์สินที่ยืมไปโดยเสียค่าตอบแทนด้วยหรือไม่ก็ได้  เช่น  สัญญากู้ยืมเงินโดยมีดอกเบี้ยและหรือค่าธรรมเนียม

3       สัญญายืมใช้คงรูป  ผู้ยืมต้องส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมมานั้น  จะส่งคืนทรัพย์สินเป็นประเภท  ชนิด  และปริมาณเช่นเดียวกับทรัพย์สินที่ยืมมานั้นไม่ได้  แต่สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง  ผู้ยืมไม่ต้องส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้น  แต่ต้องส่งคืนทรัพย์สินเป็นประเภท  ชนิด  และปริมาณเช่นเดียวกันกับทรัพย์สินที่ยืมมานั้น  เนื่องจากวัตถุแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง  เป็นทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปหรือหมดสภาพไปเพราะการใช้  จึงเป็นไปไม่ได้เองที่จะต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้นเหมือนกับสัญญายืมใช้คงรูป

 

ข้อ  2  นายอินมีอาชีพปล่อยเงินกู้  บวชเป็นพระได้  3  เดือน  พระภิกษุอินจึงได้ปล่อยเงินให้นางจักรายืมเงินเป็นจำนวน  100,000  บาท ในการนี้พระภิกษุอินได้ให้นางจักราทำหนังสือยืมเงิน  ความว่า  ข้าพเจ้าได้รับเงินจากพระภิกษุอิน  เป็นจำนวนเงิน  100,000  บาท  และข้าพเจ้าจะคืนเงินดังกล่าว  พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  16  ต่อปี  ในวันที่  15  ตุลาคม  2549  นางจักราได้ลงนามโดยใช้ชื่อเล่นของตนลงในหนังสือยืมเงินว่า  ทุซซี่  ส่วนพระภิกษุอินได้ลงแกงไดในส่วนผู้ให้ยืมเงิน  โดยไม่มีผู้ใดเป็นพยาน  ดังนี้  สัญญายืมเงินดังกล่าว  มีผลตามกฎหมายหรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

มาตรา  9  วรรคหนึ่ง  วรรคสอง  เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือ  บุคคลผู้จะต้องทำหนังสือไม่จำเป็นต้องเขียนเอง  แต่หนังสือนั้นต้องลงลายมือชื่อของบุคคลนั้น

ลายพิมพ์นิ้วมือ  แกงได  ตราประทับหรือเครื่องหมายอื่นทำนองเช่นว่านั้นที่ทำลงในเอกสารแทนการลงลายมือชื่อ  หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนแล้วให้ถือเสมอกับลงลายมือชื่อ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อให้ผู้ยืมมาแสดง  หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

มาตรา  654  ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี  ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น  ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

1       พระภิกษุอินสามารถปล่อยเงินให้ชาวบ้านกู้ยืมเงินได้โดยไม่ผิดกฎหมายใดๆ  เนื่องจากไม่มีกฎหมายห้ามพระภิกษุนำเงินส่วนตัวของตนออกให้บุคคลอื่นกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย  พระภิกษุก็เป็นบุคคลธรรมดาตามกฎหมาย  จึงมีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายเท่าเทียมกันกับบุคคลธรรมดาทั่วไป  (ฎ. 3773/2538)

2       การที่พระภิกษุอินให้นางจักราเขียนหนังสือรับว่าตนเป็นผู้กู้ยืมเงินนั้น  หนังสือดังกล่าวถือว่าใช้เป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงินได้ตามมาตรา  653  เพราะมีลายมือชื่อผู้รับผิดคือผู้กู้เอง  แม้จะลงลายมือชื่อเล่นก็ตาม  กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องลงชื่อจริงเท่านั้น  จะลงชื่อเล่นหรือลงชื่อเป็นภาษาต่างประเทศก็ได้

3       การที่พระภิกษุลงแกงไดมีผลเป็นโมฆะเฉพาะในส่วนที่ตนไม่มีพยานรับรองตามมาตรา  9  วรรคสอง  แต่ก็ไม่ทำให้หลักฐานการทำเป็นหนังสือกู้ยืมเสียไป  เพราะกฎหมายต้องการเพียงลายมือชื่อผู้ยืม (นางจักราหรือทุซซี่)  เท่านั้น

4       แต่ข้อความในหนังสือที่ให้ยืมพร้อมดอกเบี้ยนั้นทำให้ภิกษุอินฟ้องคืนดอกเบี้ยไม่ได้เลย  เนื่องจากเป็นการขัดต่อกฎหมายมาตรา  654  ที่กำหนดให้เรียกดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ  15  และยังขัดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา  จึงทำให้ดอกเบี้ยเป็นโมฆะทั้งหมด  ขอคืนได้เพียงเงินต้นเท่านั้น

สรุป  สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมีผลสมบูรณ์เฉพาะเงินต้น  ส่วนดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ

 

ข้อ  3  นายดำฝากเงินจำนวนหนึ่งแสนบาทไว้กับนายแดง  โดยทุกๆวันสิ้นเดือนจะขอรับคืนเดือนละสองหมื่นบาท  แต่จะให้นายเขียวลูกจ้างมาเป็นคนรับแทนทั้งสองปฏิบัติตามที่ตกลงกันมาได้สองเดือน  พอล่วงเข้าต้นเดือนที่สาม  นายแดงนำเงินของนายดำจำนวนห้าหมื่นบาทไปจ่ายค่าสินค้าที่ค้างชำระเงินของนายแดงที่เก็บอยู่จึงเหลืออีกหนึ่งหมื่นบาท  ปรากฏว่า  ตกกลางคืนมีพายุฝนตกหนักและน้ำป่าหลากมาท่วมบ้านเรือน  และพัดพาทรัพย์สินลอยน้ำไป  บ้านของนายแดงได้รับความเสียหายเมื่อน้ำลดมาตรวจดูพบว่าทรัพย์สินหลายอย่างรวมทั้งเงินของนายดำที่ฝากไว้ถูกพัดหายไป  ดังนี้  นายแดงจะต้องคืนเงินที่เหลือแก่นายดำหรือไม่  จำนวนเท่าใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  672  ถ้าฝากเงิน  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝาก  แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน

อนึ่ง  ผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้  แต่หากจำต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น  แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม  ผู้รับฝากก็จำต้องคืนเงินเป็นจำนวนดังว่านั้น

วินิจฉัย

นายดำฝากเงินจำนวนหนึ่งแสนบาทไว้กับนายแดงโดยทุกวันสิ้นเดือนจะขอรับเงินคืนเดือนละสองหมื่นบาท  ปรากฏว่านายดำรับเงินคืนไปเพียงสี่หมื่นบาท  นายแดงได้นำเงินของนายดำจำนวนห้าหมื่นบาทไปจ่ายสินค้าที่ตนค้างชำระ  เช่นนี้  ในเรื่องการฝากเงินมาตรา  672  ให้ผู้รับฝากเงินมีสิทธินำเงินที่ฝากออกใช้สอยได้  แต่ต้องคืนให้ครบจำนวน  นายแดงจึงมีสิทธินำเงินที่ฝากไปจ่ายค่าสินค้า  แต่ต้องรับผิดชอบคืนเงินนี้แก่นายดำผู้ฝาก

ส่วนเงินที่ยังเหลืออีกหนึ่งหมื่นบาทแม้ถูกน้ำท่วมพัดพาหายไป  แต่หลักกฎหมายมาตรา  672  บัญญัติให้ผู้รับฝากเงินต้องรับผิดแม้ความเสียหายจะเกิดจากเหตุสุดวิสัย  ดังนั้น  นายแดงจึงต้องรับผิดคืนเงินที่ถูกน้ำพัดพานี้ไปด้วย

สรุป  นายแดงต้องรับผิดคืนเงินจำนวนหกหมื่นบาทแก่นายดำ

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ภาคซ่อม S/2548

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  หน้าที่และความรับผิดของผู้ยืมในกรณีใช้สอยทรัพย์สินไม่ถูกต้อง  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  643  มีอย่างไรบ้าง  ให้อธิบายหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  643  ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น  ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น  หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี  เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี  เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี  ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย  หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย  หรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  คือ  ผู้ให้ยืม  ให้บุคคลอีกคนหนึ่งคือผู้ยืม  ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า  โยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ  และผู้ยืมก็ตกลงว่าเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว  ก็จะนำทรัพย์สินนั้นมาคืนให้  ดังนี้จะเห็นว่าผู้ยืมเป็นผู้ได้รับประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว  กล่าวคือ  ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ยืมและยังไม่ต้องเสียค่าตอบแทนอีกด้วย  แต่การใช้ทรัพย์สินที่ยืมผู้อื่นเขามามิได้หมายความว่า  จะใช้เอาประโยชน์ของตนตามอำเภอใจโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของผู้ให้ยืมนั้น

จากบทบัญญัติตามมาตรา  643  ดังกล่าวข้างต้นได้กำหนดหน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูปไว้  4  ประการ  คือ  ใช้ทรัพย์สินที่ยืมตามการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น  ไม่เอาไปใช้นอกจากการอันปรากฏในสัญญา  ไม่เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย  หรือไม่เอาไปไว้นายกว่าที่ควรจะเอาไว้  และยังกำหนดอีกว่า  ผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์สินที่ยืมเกิดความสูญหายหรือบุบสลาย  ถึงแม้จะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  ก็ต่อเมื่อปรากฏข้อเท็จว่าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมแล้ว  หากความเสียหายที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากการที่ผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม  ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิด

สำหรับกรณีที่จะถือว่าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม  ตามมาตรา  643  มีดังนี้คือ

 1       เอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้อย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์นั้น  เช่น  ขอยืมใบมีดโกนเขามาแทนที่จะโกนหนวดโกนเครา  กลับเอาไปเหลาดินสอหรือหั่นเนื้อหั่นหมู  หรือยืมม้าแทนที่จะเอาไปขี่กลับเอาไปลากรถ  ลากซุง  เป็นต้น

2       เอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้อย่างอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา  เช่น  ขอยืมรถไปทำงานในกรุงเทพฯ  แต่กลับขัยรถออกไปนอกเส้นทางไปเที่ยวชลบุรี  เป็นต้น

3       เอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยแล้วเกิดความเสียหาย  เช่น  ขอยืมวัวไปไถนา  2  เดือน  ผู้ยืมใช้สอยเสร็จแล้วภายใน  1  เดือน  แต่ไม่ส่งคืน  กลับเอาไปให้บุคคลใช้สอยจนเกิดความเสียหายขึ้น  เช่นนี้ถือว่าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมแล้ว

4       เอาทรัพย์สินที่ยืมไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้  กล่าวคือ  เป็นการที่ผู้ยืมส่งคืนทรัพย์ที่ยืมล่าช้า  เช่น  ขอยืมรถมาใช้  3  วัน  เมื่อครบกำหนดแล้วยังไม่เอามาคืน  หรือในกรณีที่สัญญามิได้กำหนดเวลาส่งคืน  แต่ไม่ปรากฏว่ายืมเพื่อการใด  หากผู้ยืมใช้สอยเสร็จแล้ว  หรือเวลาล่วงเลยไปพอแก่การใช้ทรัพย์สินนั้นแล้วก็ยังไม่ส่งคืน  เป็นต้น

ดังนั้น  เมื่อผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  ผู้ยืมก็ต้องรับความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ  แม้ความเสียหายนั้นจะเกิดเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม

อนึ่งคำว่า  เหตุสุดวิสัย  หมายความว่า  เหตุใดๆอันจะเกิดขึ้นก็ดี  จะให้ผลพิบัติก็ดี  เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้  แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น  จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควร  อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น  เช่น  ฟ้าผ่า  แผ่นดินไหว  น้ำท่วม  ฯลฯ

ตัวอย่างเช่น  นาย  ก.  ยืมรถยนต์นาย  ข.  ไปท่องเที่ยวพัทยา  แต่นาย  ก.  กลับขับรถไปนครสวรรค์เพื่อไปรับเพื่อนก่อน  ในระหว่างทางนั้นมีพายุฝนตกหนัก  ฟ้าผ่ารถคันที่นาย  ก.  ยืมไปเสียหาย  เช่นนี้  ถือว่านาย  ก.  ประพฤติผิดหน้าที่ผู้ยืม  โดยเอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้ในการอย่างอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญาแล้ว  เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแม้เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม  นาย  ก.  ก็ยังคงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่  นาย  ข.  ผู้ให้ยืมด้วย

สรุป  ผู้ยืมใช้คงรูปมีหน้าที่และความรับผิด  ในกรณีการใช้สอยทรัพย์สิน  ตามมาตรา  643  ดังกล่าวข้างต้น 

 

ข้อ  2  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  653  วรรคสอง  บัญญัติว่า  ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง  คำว่า  การใช้เงิน  ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร

นายเอกยืมเงินนายโทมา  10,000  บาท  ต่อมาโทฟ้องเอกขอเรียกเงินยืมคืน  ดังนี้  เอกจะต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงินไปแล้ว  โดยขอนำสืบพยานบุคคลคือนายตรี  ผู้อยู่ด้วยขณะที่นำรถจักรยานยนต์มามอบให้  จะได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

คำว่า  การใช้เงิน  ตามมาตรา  653 วรรคสอง  จะเกิดขึ้นต่อเมื่อการกู้ยืมเงินนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือตามบทบังคับของกฎหมายการใช้เงินจึงต้องมีหลักฐานการใช้เงิน  จึงจะนำสืบต่อศาลว่าได้มีการใช้เงินนั้นแล้ว

ฉะนั้น  การใช้เงินตามนัยมาตรา  653  วรรคสอง  หมายความถึง  การใช้เงินต้นเท่านั้นไม่รวมถึงดอกเบี้ย  กล่าวคือ  เป็นการนำเงินสดที่สามารถชำระหนี้ตามกฎหมายมาชำระหนี้เงินต้นเท่านั้น  หากเป็นการใช้เงินต้นด้วยวิธีอื่น  เช่น  ชำระหนี้ด้วยบัตรเครดิต  เช็ค  หรือชำระหนี้ด้วยสร้อยเพชร  ก็ไม่จำต้องมีหลักฐานการใช้เงิน  สามารถนำสืบพยานบุคคลว่าได้มีการใช้เงินต้นกันแล้วได้  เช่นเดียวกันหากการกู้ยืมเงินกันมีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่การใช้เงินต้นคืนไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  ซึ่งผู้กู้ก็ได้ชำระคืนไปแล้ว  เช่นนี้  ผู้กู้จำต้องชำระเงินคืนให้ผู้ให้กู้อีกครั้งหนึ่ง  จะนำพยานบุคคลมานำสืบการใช้เงินไม่ได้

อนึ่งการใช้ดอกเบี้ยคืน  ก็หามีบทบัญญัติให้ต้องมีหลักฐานการใช้คืนดอกเบี้ยแต่อย่างใด  สามารถนำพยานบุคคลมาสืบการใช้คืนดอกเบี้ยได้  (ฎ.  243/2503,  1051/2503)

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  นายเอกยืมเงินนายโท  10,000  บาท  และถูกนายโทฟ้องเรียกเงินคืนนายเอกต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงิน โดยขอนำสืบพยานบุคคลผู้อยู่ด้วยขณะชำระหนี้คือนายตรี  กรณีนี้สามารถขอนำสืบพยานบุคคลได้  เพราะเอกมิได้นำสืบการใช้เงินต้นจึงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงต่อศาลตามมาตรา  653  วรรคสอง  แต่อย่างใด

สรุป  นายเอกนำพยานบุคคลมานำสืบได้

 

ข้อ  3  นายรุ่งเรืองเอารถยนต์ไปฝากไว้กับนายเอกโดยไม่ได้อนุญาตให้นายเอกใช้รถ  และไม่ได้ตกลงเรื่องบำเหน็จกัน  เมื่อนายเอกรับฝากแล้วกลับนำรถไปใช้รับจ้างเป็นรถโดยสาร  วันหนึ่งผู้โดยสารรายหนึ่งจ้างนายเอกขับรถไปขึ้นศาลที่จังหวัดลพบุรี  และชวนนายเอกให้ไปนั่งในห้องพิจารณาคดีด้วย  นายเอกจึงจอดรถไว้ที่หน้าศาลจังหวัดลพบุรี  เมื่อลงมาพบว่ารถถูกขโมยไป  นายรุ่งเรืองรู้ว่ารถถูกขโมยจึงเรียกให้นายเอกชดใช้ค่าเสียหาย  นายเอกปฏิเสธว่าตนรับฝากรถโดยไม่มีบำเหน็จ  และได้ใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินเหมือนเช่นประพฤติปฏิบัติในกิจการของตนเองแล้วจึงไม่ต้องรับผิด  เช่นนี้  ข้อต่อสู้ของนายเอกฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  659  ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีบำเหน็จไซร้  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง

ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น  ทั้งนี้ย่อมรวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย

ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้วิชาชีพเฉพาะกิจการค้าหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น

มาตรา  660  ถ้าผู้ฝากมิได้อนุญาต  และผู้รับฝากเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นออกมาใช้สอยเองหรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไซร้  ท่านว่าผู้รับฝากจะต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นสูญหายหรือบุบสลายอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ  ข้อต่อสู้ของนายเอกที่ว่าตนรับฝากรถโยไม่มีบำเหน็จ  และได้ใช้ความระมัดระวังสงวนรักษาทรัพย์สินเหมือนเช่นเคยประพฤติปฏิบัติในกิจการของตนเองแล้ว  จึงไม่ต้องรับผิดฟังขึ้นหรือไม่    เห็นว่า  การที่นายเอกรับฝากรถโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝากตามมาตรา  659  วรรคแรก  ได้กำหนดหน้าที่ให้ผู้รับฝากใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินที่ตนรับฝากไว้นั้นไม่มากหรือน้อยไปกว่าการสงวนรักษาทรัพย์สินของตน  กล่าวคือ  นอกจากผู้รับฝากจะไม่ได้ค่าตอบแทนในการรับฝากทรัพย์สินนั้นแล้ว  ผู้รับฝากยังต้องรับภาระหน้าที่ดูแลระมัดระวังทรัพย์สินที่รับฝากอีกด้วย  กฎหมายกำหนดหน้าที่เท่านั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว  ดังนั้นการที่นายเอกไปนั่งในห้องพิจารณาคดี  โดยจอดรถไว้หน้าศาล  จึงไม่เป็นการประพฤติผิดหน้าที่ตามมาตรา  659  ดังกล่าว  แต่อย่างไรก็ตาม  แม้นายเอกจะไม่ได้ผิดหน้าที่สงวนทรัพย์สิน  แต่นายเอกก็ผิดหน้าที่ตามมาตรา  660  โดยนำรถยนต์ที่รับฝากออกใช้สอยโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ฝากก่อน  เมื่อทรัพย์สินที่ฝากสูญหายโดยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า  ถึงอย่างไรทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหายอยู่นั่นเอง  นายเอกก็ต้องรับผิด  จะเห็นได้ว่าความรับผิดชอบของผู้รับฝากตามมาตรา  660  แม้เป็นกรณีการรับฝากโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝาก  ผู้รับฝากก็คงต้องรับผิดจากผลที่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว  หากนายเอกไม่นำรถยนต์ออกมาใช้สอยก่อนแล้ว  การที่รถยนต์จะถูกขโมยไปอาจจะไม่เกิดมีขึ้น  ดังนั้นแม้จะอ้างว่าได้สงวนทรัพย์สินเช่นที่ได้ปฏิบัติกับทรัพย์สินของตนก็คงไม่ได้  ข้อต่อสู้จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายเอกฟังไม่ขึ้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!