ART1003 ศิลปะวิจักษณ์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา ART 1003 ศิลปะวิจักษณ์

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ

1.         วัฒนธรรมของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์แสดงออกมาในรูปใด

(1)       ภาษา   

(2) อักษร         

(3) ศิลปกรรม  

(4) เพลงร้อง

ตอบ 3 หน้า 47 วัฒนธรรมของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มักแสดงออกมาในรูปของศิลปกรรม นับตั้งแต่เครื่องใช้ไม้สอย เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องประดับต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ ถึงความเจริญรุ่งเรืองของสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ และเทคโนโลยีในสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยังไม่มีตัวอักษรสำหรับการจดบันทึก

2.         ความรู้ที่เรียกว่า แม่แห่งศิลปะ” คือสิ่งใด

(1)       ความจริงในประวัติศาสตร์     

(2) การเขียนสีนํ้า

(3) สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเรา   

(4) ภาพปูนปั้นของสมัยคลาสสิก

ตอบ 3 หน้า 9-10 บ่อเกิดหรือแม่แห่งศิลปะมิได้มาจากธรรมชาติเท่านั้น เพราะสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเรายอมมีผลเป็นอย่างมากต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ ดังนั้นปัจจัยที่ทำให้เกิดงานศิลปะ จึงประกอบไปด้วยธรรมชาติ ศาสนา ความเชื่อถือ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ระบบการปกครอง สังคม และวัสดุที่นำมาใช้

3.         คุณค่าทางสุนทรียภาพทางศิลปะ คือ

(1) เป็นการแสดงออกถึงภาพที่ให้ความรู้สึกสะเทือนใจมากที่สุด

(2)       เป็นภาพที่มีการจัดวางเส้น รูปร่าง มวล พื้นผิว และช่องว่างได้อย่างเหมาะสม

(3)       เป็นการแสดงออกถึงลีลา ฝีแปรงที่แข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว

(4)       เป็นการแสดงออกถึงสิ่งแปลกใหม่ในงานศิลปะ

ตอบ 2 หน้า 32030 คุณค่าทางสุนทรียภาพของศิลปะหรือคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) คือ การจัดวางโครงสร้างของศิลปะให้มีองค์ประกอบของเส้น คุณค่า รูปร่าง มวล พื้นผิว และ ช่องว่างให้มีความสมดุล มีสัดส่วน มีช่วงจังหวะ มีความกลมกลืน มีความขัดแย้ง และมีจุดเด่น ในงานศิลปะได้อย่างเหมาะสม

4.         การศึกษาศิลปะอาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า

(1)       คือการศึกษาชีวประวัติและผลงานของศิลปิน (2) คือการศึกษาโครงสร้างของงานศิลปะ

(3) คือการกำหนดรูปแบบของภาพเขียนจากผลงาน  (4) คือการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์

ตอบ4 หน้า 4 ศิลปกรรมย่อมคู่กับวัฒนธรรมเสมอ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและแสดงออกถึง ความเจริญของสังคม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และความคิดอ่านของศิลปิน จึงได้ถ่ายทอดออกมา เป็นงานศิลปะ ดังนั้นการศึกษาศิลปะจึงอาจกล่าวได้ว่า คือการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์” นั่นเอง

5.         การถ่ายทอดงานศิลปะขึ้นอยู่กับ

(1) ความชำนาญในการเลือกเนื้อหา   (2) ทักษะและประสาท

(3) รูปแบบที่กำหนดไว้แล้ว     (4) ส่วนประกอบและเครื่องมือเกี่ยวกับงานศิลปะ

ตอบ 2 หน้า 11 ความรู้สึกในการถ่ายทอดงานศิลปะจะขึ้นอยู่กับทักษะและประสาทสัมผัสของศิลปิน ซึ่งการถ่ายทอดและตัดทอนอาจจะทำได้ 3 ประการ คือ          1. การถ่ายทอดตามความเป็นจริง2. การถ่ายทอดโดยการตัดทอน     3. การถ่ายทอดตามความรู้สึก

6.         จุดมุ่งหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการเรียนวิชาศิลปะวิจักษณ์ คือ

(1)       เป็นผู้เชี่ยวชาญในการอนุรักษ์ศิลปกรรมของชาติ

(2)       เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งสวยงามเพื่อนำใช้ในชีวิตประจำวัน

(3)       เข้าใจความเป็นมาของศิลปกรรมชิ้นสำคัญของประเทศจนสามารถอธิบายได้

(4)       มีความชำนาญในการจัดรูปแบบทางด้านศิลปะ

ตอบ 2 หน้า 3 จุดมุ่งหมายในการเรียนวิชาศิลปะวิจักษณ์ คือ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจและ พิจารณางานศิลปะอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเข้าใจประวัติความเป็นมาจนสามารถวิเคราะห์ และสังเคราะห์งานศิลปะได้ กล่าวคือ เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งสวยงามเพื่อนำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน เกิดทัศนคติที่ดี รู้จักคุณค่าของศิลปกรรม และยังเป็นการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจอย่างมีหลักการ จนสามารถรู้วิธีการเบื้องต้นในการอนุรักษ์ศิลปกรรมของชาติได้

7.         ภูเขา ต้นไม้ ใบไม้ จัดเป็นรูปลักษณะทางศิลปะแบบใด

(1) เรขาคณิต  (2) ธรรมชาติ   (3) อิสระ          (4) ที่กำหนดแล้ว

ตอบ 2 หน้า 11 รูปลักษณะของงานศิลปะ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 1. แบบธรรมชาติเป็นรูปลักษณะที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ภูเขา ต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ มนุษย์ สัตว์ ฯลฯ

2.         แบบเรขาคณิต เป็นรูปลักษณะที่ได้แบบอย่างจากธรรมชาติมาบ้าง เช่น เส้นตรง เส้นโค้ง ฯลฯ

3.         แบบอิสระ เป็นรูปลักษณะที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมหรือ ความเห็นชอบของผู้ประดษฐ์

8.         มนุษย์ สัตว์ จัดเป็นรูปลักษณะของศิลปะแบบใด

(1) ที่กำหนดแล้ว         (2) เรขาคณิต  (3) ธรรมชาติ   (4) อิสระ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

9.         สุนทรียรสในวิชาศิลปะวิจักษณ์ ให้ความรู้สึกซาบซึ้งในเรื่องใด

(1) ความรัก     (2) ความงาม   (3) ความสวย  (4) ความบันเทิง

ตอบ 2 หน้า 3 (S)12 – 13 (S) สุนทรียรสหรือรสของศิลปะจะก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง ในสุนทรียภาพหรือความงามของศิลปะ ซึ่งนับเป็นความเข้าใจที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ต่อ สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยมีสิ่งสำคัญ 2 ประการ คือ 1. ความซาบซึ้งทางอารมณ์ 2. ความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญา

10.       สุนทรียะในวิสัยของธรรมชาติเกี่ยวข้องกับ

(1) ความงาม ความมีระเบียบทางธรรมชาติ    (2) ความกลมกลืนของรูปลักษณะของธรรมชาติ

(3) ความลงตัว ความเหมาะสมของธรรมชาติ (4) ความสวยงามทางสีสันของธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 12 สุนทรียะในวิสัยของธรรมชาติ หมายถึง สุนทรียะแห่งความมีระเบียบและความงาม โดยธรรมชาติจะมีกฎแห่งสุนทรียะซึ่งก่อให้เกิดความมีระเบียบ ความเหมาะสมกลมกลืน และ ความงามอยู่ทั้งสิ้น ดังนั้นในธรรมชาติจึงมีความงาม ความสะเทือนใจ และให้ความนึกคิด แกผู้พบเห็นเสมอ

11.       ศิลปกรรมที่สูงสุดของมนุษย์

(1)       จำลองแวดล้อมไว้        

(2) สร้างศาสนสถานเพื่อการบูชา

(3) รูปปั้นเทพเจ้าหรือเทพธิดา 

(4) สร้างที่อยู่อาศัย

ตอบ 2 หน้า 2004 (S). 12 (S) ศาสนศิลปะ (Religious Art) หรืองานศิลปกรรมในลัทธิความเชื่อถือ และศาสนา ถือเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สูงสุดและเหนือกว่างานสร้างสรรค์ด้านอื่น ๆ เพราะว่า เป็นงานศิลปะที่เกิดจากความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญาที่มีคุณค่าเหนือกว่าศิลปะทั้งหลายที่มนุษย์ ได้สร้างขึ้น เช่น ประติมากรรมพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย ภาพเขียนพุทธประวัติ โบสถ์ วิหาร หรือศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อการบูชาต่าง ๆ เป็นต้น

12.       ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์แตกต่างจากสมัยประวัติศาสตร์ เพราะยุคก่อนประวัติศาสตร์

(1) ไม่มีตัวอักษร          

(2) ไม่มีเครื่องปั้นดินเผา

(3) ไม่มีกระดาษ          

(4) ไม่มีเครื่องดนตรี

ตอบ 1 หน้า 47114 (S) การแบ่งยุคสมัยของมนุษย์จะใช้ตัวอักษรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง กล่าวคือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นจะยังไม่มีตัวอักษรสำหรับการจดบันทึก การศึกษาศิลปะจึงศึกษาจาก ศิลปะวัตถุและซากโครงกระดูกต่าง ๆ ส่วนยุคประวัติศาสตร์จะมีการใช้ตัวอักษรเพื่อสื่อความหมาย และทำความเข้าใจระหว่างกัน การศึกษาศิลปะจึงศึกษาจากลายลักษณ์อักษรที่ได้จดบันทึกขึ้น

13.       พื้นผิวของไม้มะเกลือให้ความรู้สึก

(1) บางเบา      

(2) ลื่นมัน        

(3) อ่อนหวาน  

(4) เย็นสบายตา

ตอบ 4 หน้า 64 – 65 (S) พื้นผิวของดิน เปลือกไม้ อิฐ พืช เปลือกไข่ ขนสัตว์ ใยไหม ปีกของแมลง หรือไม้มะเกลือขัดมัน ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะโดยธรรมชาติเป็นวัสดุที่แข็งและสะท้อนแสงได้อย่างดี จะให้ความรู้สึกเย็น แต่ถ้ามีลายไม้มากหรือมีสีนํ้าตาลเข้มจนเกือบดำจะให้ความรู้สึกอบอุ่นแทน

14.       สีที่มีความอ่อนหวาน คือสีใด

(1)       สีแดง   (2) สีชมพู        (3) สีเหลือง     (4) สีเขียว

ตอบ 2 หน้า 71 (S) ในเรื่องจิตวิทยาของสีนั้นถือว่า สีมีอิทธิพลเหนือจิตใจของมนุษย์โดยทั่วไป ดังนั้นสีจึงสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึกได้เป็นอย่างดี เช่น สีเหลือง หมายถึง ความไพบูลย์สีแดง หมายถึง ความตื่นเต้นเร้าใจสีชมพูหรือสีดอกกุหลาบ หมายถึง ความอ่อนหวานนุ่มนวลสีเขียวและสีนํ้าเงิน หมายถึง ความสงบเงียบ ฯลฯ

15.       สีกลาง คือสีใด

(1) ขาว            (2) น้ำเงิน        (3) นํ้าตาล       (4) เทา

ตอบ 4 หน้า 3467 (S) สีทั้งหลายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเกิดจากการผสมกันของแม่สีที่เรียกว่า แม่สีวัตถุธาตุ ได้แก่            1. สีนํ้าเงิน (Prussian Blue) 2. สีแดง (Crimson) 3. สีเหลือง(Gamboge Tint) ซึ่งสีทั้งสามนี้เมื่อนำมาผสมกันในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กันก็จะได้สีกลาง (Neutral Tint) คือ สีเทา แต่ถ้าผสมเข้มจัดจะได้สีดำ

16.       สีตรงกันข้าม คือข้อใด

(1) เทาเข้ม ฟ้าใส         (2) แดง ชมพูอ่อน        (3) เหลือง นํ้าตาล       (4) ส้ม น้ำเงิน

ตอบ 4 หน้า 3669 (S) สีตรงกันข้ามหรือสีคูจะเป็นสีที่ตัดกันอย่างแท้จริง ซึ่งสีบางสีจะเอามาผสมกัน ไมได้เพราะสีจะเน่าและไม่สวย โดยสีชนิดนี้มีมากคู่ด้วยกัน เช่น สีเชียวกับสีแดงเลือดนก,สีเหลืองกับสีม่วงสีนั้าเงินกับสีส้มสีแดงกับสีเขียวนํ้าเงิน ฯลฯ

17.       ศิลปะบริสุทธิ์

(1) ให้ความพอใจ

(2)       ให้ความเพลิดเพลิน    (3) ให้อารมณ์สะเทือนใจ         (4) เป็นศิลปะชั้นสูง

ตอบ 3 หน้า 4 (S)87 (S) ศิลปะบริสุทธิ์หรือประณีตศิลป์ (Fine Art) เป็นงานศิลปะที่คำนึงถึงประโยชน์ทางจิตใจ คือ ช่วยให้มีความสุขสบายใจ ทำห้เกิดความประทับใจที่ดื่มดํ่า มีความศักดิ์สิทธิ์ ในทางจิต เกิดอารมณ์สะเทือนใจไมเสื่อมคลายและไมสูญหยไปจากความทรงจำ ดังนั้นจึง จัดเป็นงานศิลปะอมตะหรือเรียกว่า วิจิตรศิลป์” ซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูง ได้แก่ งานจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์

18.       ข้อใดหมายถึงงานนิเทศศิลป์

(1) ภาพเหมือนคุณมาลินี พีระศรี        (2) ภาพหญิงสาวของตูลูส โลเทรค

(3)       ภาพประกอบในนิตยสาร       (4) ภาพพิมพ์ของฮิโรชิเอะ

ตอบ 3 หน้า 102 – 103 (S) งานนิเทศศิลป์ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการธุรกิจและการโฆษณา เช่น การออกแบบเครื่องหมายสัญลักษณ์ การออกแบบลายผ้า ลายกระเบื้องเคลือบ การออกแบบ หนังสือ ภาพประกอบในนิตยสาร ตลอดจนการออกแบบผลิตภัณฑ์จำพวกเครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ

19.       ภาพหุ่นนิ่งรูปดอกไม้เกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) สีน้ำมัน      (2) ลายเส้น     (3) จิตรกรรม   (4) ประติมากรรม

ตอบ 2 หน้า 36 (S) ภาพเหมือนจริงหรือหุ่นนิ่ง (Still Life) เป็นการแสดงออกตามความเป็นจริง ซึ่งถอดแบบมาจากธรรมชาติอย่างชัดเจน โดยศิลปินจะแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ตามที่เข้าใจ และต้องการแสดงออก ได้แก่ การแสดงออกถึงเรื่องราวชีวิตจริง การทำงาน ความยากจน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ภาพหุ่นนิ่งของนักดนตรี ภาพลายเส้นรูปเหมือน ของดอกไม้ต่าง ๆ เป็นต้น

20.       ศิลปกรรมนานาชาติแสดงออกถึงความงามในรูปแบบใด

(1) ความเหมือนกัน     (2) ต่างกันในเรื่องนํ้าหนัก

(3) มีรสนิยมต่างกัน     (4) ต่างกันในเรื่องของสี

ตอบ 3 หน้า 5 (S) รสนิยมที่ดีในงานศิลปะ หมายถึง การรู้จักความสัมพันธ์ของโครงสร้างและส่วนประกอบขั้นมูลฐานที่สำคัญของงานศิลปะ โดยต้องพิจารณาถึงรูปลักษณะที่สวยงามและ ประโยชน์ใช้สอยควบคูกันไปด้วย ซึ่งรสนิยมที่มีขึ้นของแต่ละชาติจะแตกต่างกัน อันมีผลมาจาก ความแตกต่างของขนบธรรมเนียม เชื้อชาติ วัฒนธรรม และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล

21.       สิ่งบันดาลใจให้ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะ

(1) ความสันโดษ          

(2) ความเชื่อเรื่องวิญญาณ

(3) ความสะเทือนอารมณ์        

(4) ความกตัญญูต่อธรรมชาติ

ตอบ3 หน้า 10 ถึงแม้ว่าธรรมชาติจะเป็นแรงบันดาลใจอันเร้นลับที่ผลักดันให้มนุษย์สร้างงานศิลปะ ออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง สุดแล้วแต่ประสบการณ์และอารมณ์สะเทือนใจของศิลปินผู้นั้น แต่หากปราศจากอำนาจแห่งความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ อันก่อให้เกิดมโนภาพหรือจินตนาการขึ้นในจิตใจด้วยแล้ว งานศิลปะก็มิอาจสร้างสรรค์ขึ้นมาได้

22.       ประติมากรรมนูนต่ำคือข้อใด

(1) ภาพปูนปั้นที่เจดีย์จุลประโทน       

(2) ลายจำหลักบนใบเสมา

(3) เหรียญห้าบาทไทย            

(4) พระพุทธรูปบนฐานเตี้ย

บ 3 หน้า 41 – 42 ประติมากรรม คือ ศิลปกรรมซึ่งเป็นรูปทรงสามมิติ มีการกินที่ในอากาศ แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1.         ประติมากรรมนูนตํ่า คือ รูปที่ปั้นหรือแกะสลักให้ยื่นออกมาจากแผ่นหลัง โดยมี พื้นแบนราบเสมอกันทั่วทั้งองค์ประกอบ เช่น เหรียญเงินตราต่าง ๆ ฯลฯ

2.         ประติมากรรมนูนสูง คือ รูปปั้นหรือแกะสลักที่นูนออกมาจนเกือบหลุดออกจากแผ่นหลัง

3.         ประติมากรรมลอยตัว คือ รูปปั้นที่ไม่มีแผ่นหลัง สามารถดูได้รอบด้านและทุกระดับแนวดู

23.       ศิลปะสมัยใหม่

(1) มักเป็นศิลปะนามธรรม      

(2) มักประดิษฐ์จากวัสดุแปลกใหม่

(3) มักไมให้ประโยชน์ต่อสิ่งใดเลย      

(4) มักให้ประโยชน์ต่อการขัดเกลาจิตใจ

ตอบ 4 หน้า 42 ศิลปะสมัยใหม่ มักจะถูกสร้างขึ้นมาโดยไมมีจุดมุ่งหมายในประโยชน์ใช้สอยแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นมาลอย ๆ ตามความนึกคิดและความพอใจอันเนื่องมาจากความงามหรือ สิ่งประทับใจอื่น ๆ ของศิลปิน ดังนั้นจึงมีจุดมุ่งหมายที่จะขัดเกลาจิตใจของเราให้ผ่องใส หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็นประโยชน์ทางใจนั่นเอง

24.       ภาพสามมิติ หมายถึง

(1) ภาพเขียนที่มีความลึก       (2) สถาปัตยกรรม (3) ประติมากรรม  (4) ภาพเขียนสีนํ้ามัน

ตอบ 1 หน้า 41221 – 222 ภาพสามมิติได้แบบอย่างการเขียนมาจากศิลปะตะวันตก ดังนั้นจึงมีลักษณะเป็นภาพเขียนที่มีความลึก อันประกอบไปด้วยสี เส้น แสง และเงา ผิดกับภาพเขียนของ ศิลปะตะวันออกที่มักจะประกอบไปด้วยสีและเส้นเท่านั้น ทำให้ภาพเขียนมีลักษณะเป็นรูปแบน ๆ หรือเป็นภาพสองมิติที่ไม่มีความลึก ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของภาพจิตรกรรมฝผนังไทย

25.       ศิลปะกินระวางเนื้อที่ หมายถึง

(1) ศิลปะบริสุทธิ์         (2) ศิลปะประยุกต์      (3) ทัศนศิลป์   (4) ภาพเขียน

ตอบ 3 หน้า 84087 (S) ศิลปะกินระวางเนื้อที่ (Space Art) บางครั้งก็เรียกว่า ทัศนศิลป์(Visual Art or Plastic Art) หมายถึง ศิลปะที่จำกัดระวางเนื้อที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในอากาศ ด้วยปริมาตรของศิลปะเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น

26.       ศิลปะยุคทองของศิลปะในแต่ละประเทศ

(1) นิยมความสวยงามแบบเดียวกัน   (2) แสดงออกถึงความอ่อนหวาน

(3) เปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมของยุคสมัย           (4) ไมเป็นที่นิยมของยุคต่อมา

ตอบ 3 หน้า 39 – 40 ศิลปะยุคทอง เป็นศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชาติที่มีความเจริญคลี่คลายถึง จุดสูงสุด มีลักษณะเป็นอุดมคติของตนเอง และมีความสวยงามจนไม่มีศิลปะสมัยใดเทียบได้ แต่ความนิยมในเรื่องความงามอันถือว่าเป็นยุคทองของศิลปกรรมนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตาม คตินิยม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีของกลุ่มศิลปินในแต่ละยุคแต่ละสมัย

ข้อ 27. – 31. ให้ระบายหมายเลข 1 เมื่อเห็นว่าถูก และระบายหมายเลข 2 เมื่อเห็นว่าผิด

27.       สภาพแวดล้อมและประเพณีในสังคมที่แตกต่างกันย่อมทำให้ศิลปกรรมมีรูปแบบที่ต่างกัน

ตอบ 1 หน้า 16. 19 สภาพแวดล้อม (ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ฯลฯ) วัสดุที่นำมาใช้ สภาพลังคมประเพณี และระบบการปกครองที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลทำให้แบบอย่างและลักษณะของงาน ศิลปะแตกต่างกันไปด้วย เช่น ในประเทศที่ฝนตกชุกก็นิยมทำหลังคายื่นยาวออกมาเพื่อกันแดด และคุ้มฝน ส่วนประเทศที่แห้งแล้งก็มักทำหลังคางอนโค้งเพี่อรองรับนํ้าฝน เป็นต้น

28.       ความเข้าใจในศิลปะย่อมสามารถพัฒนารสนิยมของคนให้ดีขึ้น

ตอบ 1 หน้า 4 นักปราชญ์และศิลปินทั้งหลายให้ความเห็นว่า ความรู้สึกซาบซึ้งและเข้าใจในศิลปะ หรือการประจักษ์ในด้านความงาม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยพัฒนารสนิยมของคนให้ดีขึ้น ซึ่งถ้าคนเรารู้จักศึกษาและหาประสบการณ์ใหม่ ๆ พร้อมทั้งเอาใจใส่ที่จะเปลี่ยนแปลงและ ปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ รสนิยมในขั้นพื้นฐานที่มีอยู่ก็จะเกิดมีวิวัฒนาการใหม่และดีขึ้น

29.       วัฒนธรรมย่อมคู่กับศิลปกรรมเสมอ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

30.       ศิลปกรรมย่อมบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของคนในยุคนั้น ๆ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

31. ศิลปินในยุคปัจจุบันมีความเห็นว่าศิลปะย่อมมีพื้นฐานมาจากความงามและความดี

ตอบ 2 หน้า 5-6 นักปรัชญาสมัยเก่ามักจะกล่าวถึงศิลปะว่ามีพื้นฐานมาจากความงามและความดี ในขณะที่นักปรัชญาในยุคปัจจุบันกลับมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะแตกต่างไปจาก นักปรัชญาสมัยเก่า โดยกล่าวว่า ศิลปะคือการสะท้อนความจริงของชีวิตตามที่เป็นอยู่จริง และความแท้จริงนั้นก็คือความงาม ซึ่งความงามของศิลปะอาจจะหมายถึงการพรรณนาเรื่องราว ในชีวิตทั้งในแงดีและไม่ดีก็ได้

ข้อ 32. – 36. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) เพลโต        (2) ศิลป์ พีระศรี           (3) ลียอป ตอลสตอย

(4)       แรงบันดาลใจ  (5) นักโบราณคดี

32.       ศิลปกรรม

ตอบ 4 หน้า 7 ศิลปกรรมเป็นงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์อันมีธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งสวยงามหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีส่วนช่วยเสริมสร้างจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น และศิลปะนั้นอาจแสดงออกมาในรูปที่เป็นศีลธรรมหรือไม่ก็ได้

33.       ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 6 เพลโต (Plato) มีความเห็นเกี่ยวกับศิลปะว่า ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ผู้ที่จะเข้าใจและนิยมความงามในศิลปะได้มีเพียงนักปรัชญาเท่านั้น

34.       ศิลปะเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร้

ตอบ 5 หน้า 7 นักโบราณคดี เห็นว่า ศิลปกรรมย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งบอกถึงความเจริญในอดีต และศิลปะย่อมเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้ดีที่สุด

35.       ศิลปะเป็นสะพานที่เชื่อมคติความเชื่อทางวัตถุและจิตใจ

ตอบ 2 หน้า 6 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ให้ความหมายของศิลปะว่า ศิลปะเป็นสะพานที่เชื่อม คติความเชื่อทางวัตถุกับทางจิตใจ เมื่อผู้ใดเข้าใจและรู้คุณค่าของศิลปะแล้วผู้นั้นก็อาจจะถึง ซึ่งความสุขที่แท้จริง

36.       ความประณีตไม่ใช่งานศิลปะ

ตอบ 3 หน้า 5-6 ลียอป ตอลสตอย (Lyof Talstoy) กล่าวถึงความหมายของศิลปะว่า ศิลปะที่มี ความประณีต ความงาม และความบันเทิงเริงใจนั้นหาใช่เป็นศิลปะไม่ แต่เป็นเพียงงานฝีมือ เพราะเป็นงานที่ขาดเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งของศิลปะ

ข้อ 37. – 41. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) ศิลปะประยุกต์      (2) การแสดงออก        (3) มัณฑนศิลป์

(4) ธรรมชาติ   (5) วิจิตรศิลป์

37.       จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ และดุริยางคศิลป์ หมายถึง       

ตอบ 5 หน้า 822122 (S) วิจิตรศิลป์ (Fine Art) หมายถึง จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และภาพพิมพ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของธรรมชาติจนส่งเสริม ให้ศิลปินเกิดความคิดสร้างสรรค์นงานศิลปะ หรือเป็นศิลปกรรมที่ทำขึ้นจากความสัมพันธ์กัน อย่างประณีตของเส้นและมวลสิ่งหรือสีที่มีความผสมกลมกลืนกันอย่างงดงาม

38.       ต่างหูและกำไลแขนจัดว่าเป็น            

ตอบ1  หน้า 8 – 93 – 4 (S)127 (S) ศิลปะประยุกต์ (Applied Art) คือ ศิลปะที่ตั้งใจสร้างหรือประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ใช้สอย หรือเพื่อประโยชน์แกชีวิตประจำวันอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เครืองประดับ (ต่างหู กำไลแขน) เครื่องจักร ผ้า เครื่องหนัง เครื่องเคลือบ รวมทั้งสะพานส่งนํ้า หรือเขื่อนกั้นนํ้าของศิลปะโรมัน ฯลฯ ซึ่งอาจจะแบ่งย่อยออกไปเรียกว่า พาณิชย์ศิลป์หรือ อุตสาหกรรมศิลป์” แต่ถ้าหากประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประดับตกแต่งในอาคารสถานที่ก็จะเรียกว่า มัณฑนศิลป์” เช่น การออกแบบเครื่องเรือน โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ

39.       ศิลปะสำหรับประดับตกแต่งอาคารสถานที่เรียกว่า 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

40.       สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของงานศิลปะ คือ 

ตอบ 2 หน้า 10 การแสดงออก (Expression) ถือเป็นกระบวนการขั้นสุดท้ายที่มีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะอย่างยิ่ง กล่าวคือ ถ้าเกิดอารมณ์สะเทือนใจจนก่อให้เกิดมโนภาพขึ้น ในจิตใจแต่มิได้แสดงออก งานศิลปะก็ไมอาจสร้างสรรค์ขึ้นได้

41.       ทรัพยากรทางความคิดของศิลปิน คือ 

ตอบ.4 หน้า 10 – 11 ในการสร้างสรรค์งานศิลปะนั้น ธรรมชาติ ศิลปิน และการแสดงออกย่อมมี ความสัมพันธ์และส่งผลต่อกันจนไม่สามารถจะแยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกได้ ทั้งนี้เพราะธรรมชาติ เปรียบเสมือนเป็นทรัพยากรทางความคิดให้ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะ โดยดัดแปลงคิดค้น หารูปลักษณะแบนใหม่ ๆ เพื่อรับใช้สังคมอย่างไมรู้จักจบสิ้นนั่นเอง

42.       พระพุทธรูปคันธารราฐมีการครองจีวรแบบใด

(1) ห่มคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง จีวรเป็นริ้ว    

(2) ห่มเปิดพระอังสาขวา

(3) ห่มเปิดพระอังสาซ้าย         

(4) ห่มคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง จีวรเรียบ

ตอบ 1 หน้า 93 – 94 พระพุทธรูปสมัยคันธารราฐของอินเดียจะมีความสวยงามตามแบบศิลปะกรีก อย่างชัดเจน ซึ่งจะเห็นได้จากพระพักตร์ พระเกศา และการครองจีวรที่แทบจะไม่มีลักษณะ ของอินเดียเหลืออยู่เลย คือ มีการครองจีวรห่มคลุมพระอังสา (บ่าหรือไหล่) ทั้ง 2 ข้าง โดยมีจีวรแนบกันมากับพระองค์ และมีริ้วนูนหนาเป็นวงโค้งซ้อนกันทางด้านหน้า

43.       หัวเสาแบบโครินเธียน เป็นอิทธิพลของศิลปะใด

(1) กรีก            

(2) อียิปต์        

(3) เปอร์เซีย    

(4) เมโสโปเตเมีย

ตอบ 1 หน้า 94 – 95121 – 122 (S) สถาปัตยกรรมในศิลปะคันธารราฐของอินเดียจะได้รับอิทธิพล จากศิลปะกรีก เช่น การนิยมทำหัวเสาแบบโครินเธียน (Corinthian) ซึ่งมักจะประดับลวดลาย ด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ บนหัวเสา เช่น ลายใบอาคันธัส ลายใบปาล์ม ลายพวงองุ่น และ ลายกามเทพแบกพวงมาลัย ฯลฯ

44.       ยกชายจีวรขึ้นระหว่างพระโสณี

(1) พระพุทธรูปคันธารราฐ       (2) พระพุทธรูปมถุรา

(3) พระพุทธรูปอมราวดี           (4) พระพุทธรูปคุปตะ

ตอบ 2 หน้า 95, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 55) การครองจีวรของพระพุทธรูปมถุราจะเป็นแบบใหม่ คือ ครองเฉพาะจีวรและสบงโดยไม่ปรากฏว่ามีสังฆาฏิ และมักห่มเฉียง เปิดพระอังสาซ้าย พระหัตถ์ซ้ายมักยกชายจีวรขึ้นระหว่างพระโสณี (ตะโพก)

45.       สถาปัตยกรรมที่สำคัญของศิลปะสมัยอมราวดี คือ

(1) ศาสนสถานที่สลักลึกเข้าไปในภูเขา          (2) สถูปสำหรับบรรจุพระบรมอัฐิของพระพุทธเจ้า

(3) ศาสนสถานที่สร้างขึ้นกลางแจ้ง    (4) พระเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมอัฐิของพระพุทธเจ้า

ตอบ 2 หน้า 97 – 98 ศิลปะอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) เจริญขึ้นทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย แถบลุ่มแม่น้ำกฤษณาโดยเฉพาะที่เมืองอมราวดี นาคารชุนิโกณฑะ ชัคคัยยะเปฎะ และโคลิ ภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงศ์สัตตวาหนะ เมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 6 โดยมีสถาปัตยกรรม ที่สำคัญที่สุด คือ สถูปสำหรับบรรจุพระบรมอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า

46.       ศิลปะอินเดียที่เจริญขึ้นแถบแม่นํ้ากฤษณา คือ

(1) ศิลปะคันธารราฐ   (2) ศิลปะมถุรา            (3) ศิลปะอมราวดี       (4) ศิลปะคุปตะ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 45. ประกอบ

47.       พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียอย่างแท้จริงในสมัยใด

(1) สมัยคันธารราฐ      (2) สมัยมถุรา  (3)       สมัยคุปตะ       (4) สมัยอมราวดี

ตอบ     2 หน้า 959799 พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียในสมัยมถุรา(พุทธศตวรรษที่ 7-8) แต่ความเป็นอินเดียอย่างแท้จริงและลักษณะของมหาบุรุษปรากฏขึ้น อย่างครบครันในพระพุทธรูปสมัยอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) ซึ่งถือได้ว่ามีความงาม ตามแบบอินเดียโดยแท้ เพราะไม่เห็นลักษณะของอิทธิพลต่างชาติเลย

48.       มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดียเป็นมหาวิทยาลัยแห่งอะไร

(1) พุทธศาสนา           (2) ศาสนาพราหมณ์    (3)       ศาสนาอิสลาม (4) ศาสนาเชน

ตอบ1 หน้า 213152 (S) มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย เป็นงานสถาปัตยกรรมในสมัยศิลปะปาละ-เสนะ ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งพุทธศาสนา โดยเป็นศูนย์กลางใหญ่ ของพุทธศาสนาลัทธิตันตระ อยูในแคว้นเบงกอล

49. ยุคทองของศิลปะอินเดียเจริญขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่เท่าใด

(1) ที่ 3 – 5       (2) ที่ 5 – 7       (3)       ที่ 7 – 9 (4) ที่ 9 – 11

ตอบ4 หน้า 100109 ยุคทองของศิลปะอินเดียซึ่งเป็นศิลปะที่มีความงามสูงสุด คือ ศิลปะสมัยคุปตะ ที่เจริญขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 9-11 ภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงศ์คุปตะ และในยุคนี้ ยังเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางด้านปรัชญาการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องในศาสนาอีกด้วย

50.       พระพุทธรูปยุคทองของอินเดียเริ่มเสื่อมลงหลังพุทธศตวรรษที่เท่าใด

(1) ที่ 12          (2) ที่ 13          (3) ที่ 14          (4) ที่ 15

ตอบ 1 หน้า 101 – 103พระพุทธรูปสมัยคุปตะ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยุคทองของอินเดียเริ่มเสื่อมลงเมื่อหมดสมัยของพระเจ้ากุมารคุปต์ในพุทธศตวรรษที่ 12 และหลังจากนี้เป็นต้นไปประติมากรรม ต่าง ๆ จะมีร่างกายหนักทึบและเพิ่มลวดลายมากขึ้น ส่วนภาพเขียนที่เป็นภาพบุคคลนั้นก็จะเพิ่ม รายละเอียดและเครื่องประดับ ทำให้ภาพบุคคลเดี่ยว ๆ ดูแข็งกระด้างไม่มีชีวิตจิตใจอีกต่อไป

51.       พระพุทธรูปทวารวดียุคแรกได้รับอิทธิพลของศิลปะใด

(1) ศิลปะอมราวดี คุปตะ หลังคุปตะ  

(2) ศิลปะขอมแบบปาปวน

(3) ศิลปะพื้นเมือง       

(4) ศิลปะอิสลาม

ตอบ 1 หน้า 123 – 124 พระพุทธรูปทวารวดีแบ่งเป็น 3 รุ่นดังนี้ 1. รุ่นที่ 1 หรือพระพุทธรูปยุคแรก ได้รับอิทธิพลของศิลปะอมราวดี คุปตะและหลังคุปตะ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12

2.         รุ่นที่ 2 ได้รับอิทธิพลของศิลปะพื้นเมืองมากยิ่งขึ้น มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-15

3.         รุ่นที่ 3 ได้รับอิทธิพลของศิลปะขอมแบบปาปวนหรือศิลปะลพบุรีตอนต้น มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 15 ลงมา

52.       ศาสนสถานในศิลปะคุปตะ

(1) ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์            

(2) นิยมทำหลังคาเป็นชั้น ๆ

(3) นิยมสลักลึกเข้าไปในภูเขา            

(4) นิยมสร้างสถูปเป็นพื้น

ตอบ 1 หน้า 102 สถาปัตยกรรมในสมัยคุปตะจะนิยมสร้างไว้กลางแจ้ง โดยในสมัยพระเจ้าจันทรคุปต์ ที่ 2 พุทธศาสนสถานที่สร้างขึ้น เช่น โบสถ์ วิหาร สถูป ฯลฯ มักจะเลียนแบบจากเทวาลัยของ ศาสนาพราหมณ์ ซึ่งลักษณะทางสถาปัตยกรรมเช่นนี้ได้ให้อิทธิพลต่อการสร้างเจดีย์ของพม่า (Pagoda) และบุโรพุทโธของอินโดนีเซียด้วย

53.       เมื่อประติมากรรมและภาพเขียนในศิลปะคุปตะเสื่อมลงแล้ว

(1) นิยมเพิ่มรายละเอียดและเครื่องประดับมากขึ้น 

(2) นิยมเพิ่มตัวบุคคลในภาพมากขึ้น

(3) นิยมใช้สีสันสดและหลายสีมากยิ่งขึ้น       

(4) นิยมทำภาพเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 50. ประกอบ

54.       พระพุทธรูปสมัยคุปตะของอินเดีย

(1)       มีความงามอย่างเรียบง่าย แต่รูปประติมากรรมหนักทึบ

(2)       มักนิยมห่มคลุมพระอังสาสองข้าง จีวรเป็นริ้ว เป็นพระพุทธรูปกรีก

(3)       ขมวดพระเกศาวนขวา นิยมห่มเฉียงเปิดพระอังสาซ้าย จีวรเป็นริ้ว

(4)       นิยมแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และเทวดา

ตอบ4 หน้า 101 พระพุทธรูปสมัยคุปตะของอินเดียจะไม่นิยมแสดงให้เห็นว่าพระพุทธรูปเป็นมนุษย์ อย่างแท้จริง แต่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์และเทวดา หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา ก็ได้ ดังเช่นที่ช่างคุปตะไม่ได้แสดงให้เห็นมุกขลึงค์อันเป็นลักษณะที่แสดงให้รู้ถึงเพศเลย

55.       ภาพเขียนในสมัยคุปตะ

(1)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำภาพที่อยู่ใกล้ใหญ่และอยู่ไกลเล็กลง

(2)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำเป็นภาพซ้อน ๆ กันขึ้นไป

(3)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำภาพที่ต้องการเน้นให้ใหญ่เป็นพิเศษ

(4)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมแบ่งภาพออกเป็นช่วง ๆ

ตอบ 2 หน้า 103 ภาพเขียนในสมัยคุปตะจะนิยมเขียนแบ่งเป็นช่วง ๆ และมีลาดลายประดับตกแต่ง ส่วนการทำภาพให้เป็นสามมิตินั้น ช่างคุปตะนิยมทำเป็นภาพซ้อน ๆ กันขึ้นไป โดยภาพบุคคล ที่อยู่ไกลจะเขียนให้รูปเล็กลง จึงทำให้เกิดเป็นภาพสามมิติขึ้นมาได้

56.       ลักษณะพิเศษของศิลปะปาละ-เสนะ คือประติมากรรม

(1) หนักทึบ ไม่มีความงามแต่อย่างใด (2) มักมีแผ่นหลังประกอบ

(3) ตั้งอยู่บนฐานที่สูงขึ้น         (4) มีรูปอวบอ้วน ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี

ตอบ 2 หน้า 105 ลักษณะพิเศษของศิลปะปาละและเสนะ คือ มักมีแผ่นหลังประกอบ ซึ่งมีลวดลาย ประดับอยู่มากมายติดอยู่กับพระพุทธรูป โดยพระพุทธรูปส่วนใหญ่ในสมัยนี้มักเป็นพระพุทธรูป ทรงเครื่องที่หล่อด้วยสำริดและสร้างด้วยศิลา แต่ไม่มีความสวยงามเลย

57.       สมัยหินกลาง หมายถึง

(1) ยุคสมัยหนึ่งของสมัยก่อนประวัติศาสตร์   (2) สมัยกลางของสมัยก่อนประวัติศาสตร์

(3) สมัยที่คนสมัยหินรู้จักใช้หินเป็นอาวุธ        (4) สมัยที่คนสมัยหินรู้จักใช้เหล็กเป็นอาวุธ

ตอบ1 หน้า 49 – 5663 – 68. 75 ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั้งของยุโรปและของไทยแบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ 1. ยุคสมัยหินเก่า 2. ยุคสมัยหินกลาง 3. ยุคสมัยหินใหม่

4.         ยุคสมัยโลหะ

58.       จิตรกรรมในสมัยโบราณมักพบ

(1) ตามถ้ำ       (2) ตามแผ่นจารึก        (3) ตามฐานพระพุทธรูป          (4) ตามแผ่นหิน

ตอบ 1 หน้า 49 – 51 จิตรกรรมในสมัยโบราณก่อนประวัติศาสตร์มักพบตามถํ้า เช่น ตามผนังถํ้า และเพดานถ้ำที่อยู่ลึกจากปากถ้ำเข้าไป บางครั้งจึงเรียกว่า ศิลปะถํ้า” โดยถํ้าแรกสุดที่พบ จิตรกรรมภาพเขียนของคนก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าที่สุด คือ ถํ้า. Altamira ที่อยู่ทางตอนเหนือ ของสเปน โดยพบภาพเขียนเป็นภาพกวางตัวเมีย ส่วนที่ถํ้า Laussel ในฝรั่งเศส ได้พบภาพเขียน เป็นภาพสัตว์ เช่น รูปม้า วัวไบซัน และกวาง

59.       Dolmens คือสิ่งใด

(1) หินตั้ง         (2) โต๊ะหิน       (3) หินตั้งเป็นวงกลม   (4) หินตั้งเป็นแถวขนาน

ตอบ 2 หน้า 72, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 37 – 38) วัฒนธรรมหินใหญ่ เป็นวัฒนธรรมของ คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่รู้จักนำเอาก้อนหินมาก่อสร้างอย่างง่าย ๆ ให้เป็นรูปต่าง ๆ ดังนี้

1.         โต๊ะหิน (Dolmens) 2. หินตั้ง (Standing Stone) หรือแท่งหินที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว (Menhirs) 3. หินตั้งเป็นวงกลม (Stone Circles or Comlechs) 4. หินตั้งเป็นแถวขนาน (Alignments)

60.       ประติมากรรมของคนสมัยหินนั้นมักแสดงออกถึงสิ่งใด

(1) ความต้องการให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล      (2) ความมีบุตรหลานมากมาย

(3) ความมั่งมีศรีสุข     (4) ความอุดมสมบูรณ์

ตอบ 4 หน้า 51 ประติมากรรมที่ทำขึ้นครั้งแรกของคนสมัยหินหรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์

จะนิยมทำเป็นรูปผู้หญิงไม่มีหน้าตา แต่มีรูปร่างอ้วน แสดงว่าประติมากรรมที่ทำขึ้นมานี้ มีความเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และแสดงออกถึงการนับถือเพศแม่อย่างชัดเจน เช่น พบประติมากรรมลอยตัวที่ประเทศเยอรมนี ลือ วีนัส วีเลนดอร์ฟ (Venus of Willendorf)ซึ่งเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์

61.       หุบเขานามาดาของอินเดียมีความสำคัญ คือ

(1) เป็นแหล่งที่พบภาพเขียนที่ถํ้ามากที่สุด     

(2) เป็นแหล่งที่มีทิวทัศน์สวยงามมากที่สุด

(3) เป็นแหล่งที่พบขวานหินมากที่สุด  

(4) เป็นแหล่งที่พบภาชนะที่ทำด้วยโลหะมากที่สุด

ตอบ 1 หน้า 216, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 38) ถํ้าในหุบเขานามาดา (Namada) ของประเทศอินเดีย เป็นแหล่งที่พบจิตรกรรมภาพเขียนฝาผนังสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มากที่สุด โดยรูปภาพและเทคนิคการเขียนจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพเขียนในถํ้าที่พบ ในประเทศสเปนและฝรั่งเศส

62.       ศาสนาพุทธเจริญขึ้นในแคว้นใดของอินเดีย

(1) แคว้นปัญจาบ        

(2) แคว้นอัสสัม           

(3) แคว้นมคธ  

(4) แคว้นสินธุ

ตอบ 3 หน้า 90 พระพุทธศาสนาเจริญขึ้นในแคว้นมคธหรือมคธราฐในสมัยพระเจ้าพิมพิสาร และ เจริญขึ้นถึงขีดสุดในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชราวพุทธศตวรรษที่ 3 ดังนั้นในยุคแรกเริ่ม ของการทำศิลปกรรมอินเดียนี้ พุทธศาสนาจึงมีบทบาทเป็นอย่างมาก

63.       สถาปัตยกรรมในยุคแรกเริ่มของอินเดีย

(1) มีความเรียบง่ายมากที่สุด  

(2) มักเจาะลึกเข้าไปในภูเขา

(3) มักสร้างด้วยดินเหนียวและไม้       

(4) มักพบตามถํ้า

ตอบ 3 หน้า 90 นักโบราณคดีให้ความเห็นว่า สถาปัตยกรรมในยุคแรกเริ่มของอินเดียนั้นคงจะ

สร้างด้วยดินเหนียวและไม้ซึ่งแตกสลายได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่เหลือร่องรอยให้คนรุ่นหลังได้เห็น ทำให้สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่เหลืออยู่ไมเก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ 3 แม้ว่าพุทธศาสนา จะเจริญขึ้นในอินเดียตั้งแต่พุทธกาลมาแล้วก็ตาม

64.       สถาปัตยกรรมเก่าสุดที่พบในอินเดียไม่เก่าไปกว่า

(1) พุทธศตวรรษที่ 1    (2) พุทธศตวรรษที่ 2    (3) พุทธศตวรรษที่ 3    (4) พุทธศตวรรษที่ 4

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

65.       พุทธศิลปะในยุคแรกเริ่มของอินเดีย

(1) มักเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพุทธประวัติ  (2) มักเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งสมาธิ

(3) มักเป็นพระพุทธเจดีย์        (4) มักเป็นศาสนสถาน

ตอบ 4 หน้า 91 พุทธศิลปะในยุคแรกเริ่มของอินเดียที่เหลือร่องรอยไว้ให้ชนรุ่นหลังได้เห็นเก่าสุด คือ ศิลปกรรมในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พุทธศตวรรษที่ 3 ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะกรีก และอิหร่าน (เปอร์เซีย) เช่น มักสร้างเป็นศาสนสถานที่เจาะลึกเข้าไปในภูเขา โดยมีลักษณะเป็นถํ้า ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ เป็นถํ้าวิหาร และถํ้าเจดีย์สถาน

66.       พระพุทธรูปคันธารราฐเกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) มีความสวยงามตามธรรมชาติ       (2) มีความสวยงามตามแบบศิลปะกริก

(3) มีความสวยงามตามแบบศิลปะอินเดีย      (4) มีความสวยงามที่เรียบง่ายมาก

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 42. ประกอบ

67.       จิตรกรรมตามผนังถํ้าของอินเดียเก่าสุดอยู่ในสมัยใด

(1) สมัยหินเก่า            (2) สมัยหินกลาง         (3) สมัยหินใหม่           (4) สมัยโลหะ

ตอบ 2 หน้า 5875 จิตรกรรมตามผนังถํ้าของอินเดียที่เก่าที่สุดอยู่ในสมัยหินกลาง โดยมีการพบ หลักฐานที่ถํ้า The Great Billa Surgam Cave ใน Kurnool ซึ่งลักษณะของการเขียนภาพ ที่ปรากฏในถํ้าไม่ว่าจะเป็นรูปคน สัตว์ อาวุธ และเครื่องใช้ จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพเขียน ในถํ้าของประเทศฝรั่งเศสตามแบบของพวกแมกดาเลเนียน

68.       จิตรกรรมตามผนังถํ้าของไทยเก่าสุดอยู่ในสมัยใด

(1) สมัยหินเก่า            (2)สมัยหินกลาง          (3)สมัยหินใหม่            (4)สมัยโลหะ

ตอบ 1 หน้า 71108 (S), (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 39) จิตรกรรมตามผนังถํ้าของไทยที่เก่าที่สุดอยู่ในสมัยหินเก่า ซึ่งมีการพบหลักฐานทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลางเช่น มีการพบการสลักเพิงผาที่เก่าที่สุดที่ถํ้ามิ้ม จ.อุดรธานี หรือมีการพบรูปมือคนที่ถาฝ่ามือ จ.ขอนแก่น เป็นต้น

69.       จิตรกรรมในถํ้าที่หุบเขานามาดาเหมือนภาพเขียนที่ใด

(1) เยอรมนี      (2)       ฝรั่งเศส            (3)       อังกฤษ            (4)       อิตาลี

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

70.       ถํ้าฝ่ามืออยู่ในจังหวัดใด

(1) ขอนแก่น    (2)       เชียงราย          (3)       กาญจนบุรี       (4)       อุดรธานี

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ

71.       โมเหนโจดาโรและฮารัปปา อยู่ในประเทศใด

(1) สเปน         

(2)       อิตาลี   

(3)       อินเดีย 

(4)       อินโดนีเซีย

ตอบ 3 หน้า 59 อารยธรรมโมเหนโจดาโรและฮารัปปา เจริญขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ของอินเดีย ทั้งนี้เพราะพบหลักฐานทาง โบราณคดีทั้งสองสมัย โดยหลักฐานที่เป็นโบราณวัตถุก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ ตราประทับที่ทำด้วยหินสบู่ในรูปต่าง ๆ ซึ่งพบทั้งในแคว้นปัญจาบและสินธุ

72.       โบราณวัตถุที่สำคัญที่โมเหนโจดาโร

(1) เครื่องมือหิน           

(2) หม้อดินเผา

(3) ตราประทับทำจากหินสบู่   

(4) ซากพระราชวังโบราณ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ

73.       ข้อความใดเกี่ยวข้องกับคัมภีร์พระเวท

(1) อารยัน       

(2) ศาสนาพุทธ           

(3) ดราวิเดียน 

(4) ศาสนาเชน

ตอบ 1 หน้า 90 เมื่อชาวอารยันได้เข้ามายึดครองดินแดนแถบลุ่มแม่นํ้าสินธุและคงคา ก็ได้นำเอา คัมภีร์พระเวทเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียด้วย ซึ่งคัมภีร์พระเวทนี้มีอิทธิพลต่อคติความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ตำนานเก่าแก และนิยายพื้นเมืองของชาวอารยันมาก

74.       ภาพเขียนของจีนเจริญสูงสุดในสมัยใด

(1) สมัยราชวงศ์ฮั่น      (2) สมัยราชวงศ์ถัง      (3) สมัยราชวงศ์ซ่ง      (4) สมัยราชวงศ์หมิง

ตอบ.2 หน้า 39220 ภาพเขียนของจีนเจริญสูงสุดในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งถือเป็นยุคทองของศิลปะจีน ส่วนภาพเขียนในสมัยราชวงศ์ซ่งหรือซ้องนั้น ศิลปินจีนนิยมเขียนภาพภูมิประเทศ หรือภาพทิวทัศน์อันสวยงาม เช่น ภาพภูเขา ต้นไม้ ฯลฯ ผลุบโผล่อยู่ในสายหมอก

75.       ข้อใดคือภาพหุ่นนิ่ง

(1) ฉากลับแล (2) ตู้ลายรดน้ำ     (3) เส้นรูปเหมือน    (4) รูปลายเรขาคณิต

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ

76.       ศิลปะจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งนิยมเขียนภาพประเภทใด

(1) ภาพสงคราม          (2) ภาพเหมือน            (3) ภาพนก ดอกไม้      (4) ภาพทิวทัศน์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

77.       ลักษณะของศิลปกรรมคิวบิสม์

(1) บริสุทธิ์ไร้เดียงสา   (2) นิยมสลักจากก้อนหิน

(3) รูปทรงบิดเบี้ยว      (4) เหมือนธรรมชาติ

ตอบ 3 หน้า 22138 – 39 (S)57 (S) ศิลปะนามธรรมหรือมโนศิลป์ (Abstract) คือ การถ่ายทอด ตามความรู้สึกด้วยใจ โดยการนำเอารูปทรงต่าง ๆ ที่พบเห็นในธรรมชาติมาจัดเสียใหม่ หรือปรุงแต่งดัดแปลงใหม่ ดังนั้นจึงอาจจะมีลักษณะกึ่งธรรมชาติ กึ่งนามธรรม และผิดเพี้ยน ไปจากธรรมชาติอยู่บ้าง เช่น ศิลปะแบบคิวบิสม์ จัดเป็นศิลปะแบบกึ่งจินตนาการที่มีลักษณะ เป็นเหลี่ยม เป็นมุม และรูปทรงบิดเบี้ยว แตก็ยังพอพิจารณาดูรูปลักษณะได้ว่าเป็นรูปอะไร

78.       ศิลปะเพื่อประโยชน์ใช้สอยเรียกอีกอย่างว่า

(1) ศิลปะประทับใจ    (2) ศิลปะบริสุทธิ์         (3) ศิลปะโรแมนติก     (4) ศิลปะประยุกต์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

79.       ผลงานสูงสุดของมนุษย์คือข้อใด

(1) ศิลปะถํ้า    (2) ศิลปะเพื่อชีวิต       (3) ศาสนศิลปะ           (4) ศิลปะบริสุทธิ์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

80.       ข้อใดเป็นวิจิตรศิลป์

(1) แจกันรูปแบบแปลกใหม่

(2) ตึกสูงห้าสิบชั้น

(3) ภาพพิมพ์รูปวัด

(4) ภาพเหมือนรูปดอกไม้

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 17. และ 37. ประกอบ

81.       ช่างโบราณไม่กล้าแสดงรูปพระพุทธรูปเพราะอะไร

(1) ยึดมั่นในศาสนามาก          

(2) ช่างไม่มีความชำนาญ

(3) เกรงกลัวต่อบาป    

(4) ปฏิบัติตามบรรพบุรุษ

ตอบ 1. หน้า 83 – 8443 (S) ศิลปะอินเดียสร้างขึ้นมาเนื่องจากศาสนา แต่เมื่อช่างโบราณยึดมั่น ในศาสนาและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากเกินไป ย่อมจะทำให้ไมสามารถสร้างสรรค์ภาพพจน์ของ พระพุทธรูปได้อย่างอิสระ เช่น ในยุคที่เริ่มสร้างรูปเพื่อรำลึกถึงพุทธธรรม ช่างจะไม่นิยมปั้น พระพุทธรูป แต่จะเว้นเหลือไว้แต่พระแท่นว่าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองศ์นั้นหมดแล้ว ซึ่งความเห็นแกตัว ไม่ได้ยึดในตนอีกต่อไปหรือคล้ายกับปราศจากตัวตน

82.       ความสมดุลคือข้อใด

(1) ต่างหูข้างหนึ่งเป็นรูปดาวและอีกข้างหนึ่งเป็นรูปเดือน      

(2) ที่คาดผมมีโบทางซ้าย

(3) กระถางดอกโป๊ยเซียนแตกกิ่งก้านสาขามากมาย 

(4) ดอกไม้ปักแจกันเป็นรูปดาว

ตอบ 1 หน้า 30 – 3176 (S) ความสมดุล หมายถึง ความเท่ากันหรือการถ่วงเพื่อให้เกิดการเท่ากัน แบ่งเป็น 2 บระเภท ได้แก่

1.         ความสมดุลที่เท่ากัน คือ ความเท่ากันทั้งซ้ายและขวา เช่น ร่างกายของคน สัตว์ ลฯ

2.         ความสมดุลไมเท่ากัน คือ ความสมดุลที่มิได้เท่ากันโดยแท้จริง แต่มีการจัดขนาด รูปร่าง สี รูปทรง ฯลฯ ให้แตกต่างกันทั้ง 2 ข้าง หรือมีลักษณะสมดุลด้วยตาโดยประมาณ เช่น ต่างหูข้างหนึ่งเป็นรูปดาวและอีกข้างหนึ่งเป็นรูปเดือน ฯลฯ

83.       ต้นไม้ที่อยูใกล้ตัวเรามากที่สุด ด้านที่โดนแดดเต็มที่จะเป็นสีใด

(1) เหลือง        

(2) ขาว            

(3) เทา 

(4) ดำ

ตอบ 2 หน้า 55 – 56 (S) การเขียนรูปที่มีแสงส่องด้านข้างนั้น ด้านที่โดนแดดเต็มที่จะสว่างจนเกิด เป็นน้ำหนักขาว ส่วนที่พอจะได้แสงนิดหน่อยจะกลายเป็นสีเทา และส่วนที่ตรงกันข้ามกับแสง หรือเงาจะเป็นน้ำหนักดำ

84.       ศิลปกรรมเพื่อประโยชน์ใช้สอยคือ

(1) ภาพเขียนสีดอกทานตะวัน            (2) ภาพพิมพ์ลายไทย

(3) สะพานส่งนํ้าศิลปะโรมัน   (4) รูปสลักหินอ่อนศิลปะกรีก

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

85.       ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับรูปทรงเรขาคณิต

(1) ลายจำหลักหินรูปทรงกลม            (2) ตะกร้าย่านลิเภาลายสามเหลี่ยม

(3) ผ้าไหมลายน้ำไหลจากน่าน            (4) จิตรกรรมฝาผนังลายเทพชุมนุม

ตอบ 4 หน้า 60 (S) รูปทรง (Form) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1.         อินทรียรูป คือ รูปทรงที่มีชีวิต มีกฎเกณฑ์แน่นอน และมีโครงสร้าง

2.         รูปทรงเรขาคณิต คือ รูปทรงที่เกิดจากการสร้างของมนุษย์ให้เกิดเป็นเส้นตรงเป็นรูปมีเหลี่ยมมุม รูปวงกลม รวมถึงการตกแต่งด้วยแบบลายเส้นในการจักสาน เช่น ตะกร้า ชะลอม กระบุง ลายในการถักทอ ฯลฯ

3.         รูปทรงอิสระ คือ รูปทรงที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และไม่มีโครงสร้าง

86.       ค่าของความแตกต่างที่เกิดจากแสงและเงา คือ

(1) รูปทรง        (2) ความเข้ม   (3) จุด  (4) ทิศทาง

ตอบ 2 หน้า 56 (S) ความเข้ม (Value) หมายถึง ค่าของความแตกต่างที่เกิดจากแสงและเงาซึ่งคุณค่าของแสงและเงาจะช่วยให้งานศิลปะมีลักษณะเป็นแท่งหรือเป็นกลุ่มก้อน จนทำให้ เกิดเป็นภาพสามมิติขึ้น และก่อให้เกิดความงามในทางศิลปะ

87.       เส้นที่ให้ความรู้สึกไม่หยุดนึ่ง คือ

(1) เส้นโค้ง      (2) เส้นแย้ง     (3) เส้นตรง      (4) เส้นซิกแซ็ก

ตอบ 4 หน้า 2651 – 53 (S) การที่จะเข้าใจศิลปกรรมได้ดีจำเป็นต้องเรียนรู้ในเรื่องของเส้นและ ความหมายของเส้น เช่น เส้นตั้ง จะให้ความรู้สึกมั่นคง จริงจังเส้นซิกแซ็ก จะให้ความรู้สึก ไมหยุดนิ่ง ตื่นเต้น. เส้นเฉียง จะให้ความรู้สึกรวดเร็วเส้นนอน จะให้ความรู้สึกสงบ นึ่งเฉย ผ่อนคลายเส้นโค้งลงสู่พื้น จะให้ความรู้สึกเศร้า เหนื่อยหนาย อ่อนไหวเส้นที่กระจายออกเป็นรัศมี จะให้ความรู้สึกกระจายออก การระเบิด ความมีกำลังเพิ่มขึ้น ฯลฯ

88.       ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะจาก

(1) ธรรมชาติ   (2) คิดขึ้นเอง   (3) เลียนแบบจากงานอื่น        (4) เสียงเพลง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ

89.       งานศิลปกรรมใดให้ความรู้สึกลึกซึ้ง

(1) กำไลแขนลายมังกร           (2) พานขันหมากสำรับใหญ่

(3) ต่างหูทองคำลายดาว         (4) พระพุทธรูปศิลาทราย

ตอบ 4 หน้า 23 – 30 (S), (ดูคำอธิบายข้อ 11 ประกอบ) คุณสมบัติที่แท้จริงของผลงานศิลปะ ที่มองเห็นมีอยู่ 5 ประการ คือ     1. คุณสมบัติที่เด่นชัดในตัวของมันเอง

2. คุณสมบัติในการดำรงอยู่    3. คุณสมบัติที่ให้ความรู้สึกเพิ่มขึ้น ยิ่งดูยิ่งลึกซึ้ง

เช่น พระพุทธรูปสุโขทัย เป็นต้น           4. คุณสมบัติที่ส่งเสริมให้คิดถึงสิ่งอื่น

5.         คุณสมบัติที่พร้อมทุกด้าน มีความสมบูรณ์ในตัวเอง

90.       รูปทรงสี่เหลี่ยมให้ความรู้สึกอย่างไร

(1) หนักแน่น    (2)       อ่อนไหว           (3)       ไม่หยุดนิ่ง        (4)       แข็งกระด้าง

ตอบ 1 หน้า 62 – 63 (S) รูปทรง สามารถสื่อความหมายและความรู้สึกได้เช่นเดียวกับวิธีการของเส้น เช่น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส จะให้ความรู้สึกหนักแน่น เข้มแข็ง มั่นคงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จะให้ ความรู้สึกตรงไปตรงมา เป็นกลาง เคร่งขรึม เอาจริงเอาจังรูปสี่เหลี่ยมคางหมู จะให้ความรู้สึก แปลกใหม่ สนุกสนานรูปวงกลม จะให้ความรู้สึกปลอดภัย มีพลังสูง ฯลฯ

91.       ลักษณะพิเศษของภาพจิตรกรรมไทย คือ

(1) สองมิติ       

(2)       สามมิติ            

(3)       ลายเส้น           

(4)       สีนํ้า

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 24. ประกอบ

92.       เด็กที่อยู่ท่ามกลางศิลปกรรมที่งดงามจะมีบุคลิกอย่างไร

(1) อ่อนไหว     

(2)       อดทน  

(3)       สุขุม     

(4)       ขาดความมั่นใจ

ตอบ 3 หน้า 21 (S) ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ให้ข้อคิดว่า เด็กที่คุ้นเคยกับงานศิลปะหรือ ได้พบเห็นสิ่งประณีตสวยงามนั้น ต่อไปในอนาคตก็จะกลายเป็นของจำเป็นต่อชีวิตของเด็ก เพราะจะช่วยให้มีความคิดอ่านประณีตสุขุม นอกจากนี้ศิลปะก็ยังช่วยให้เยาวชนของชาติ กลายเป็นคนดีขึ้น และประพฤติปฏิบัติไปตามกฎแห่งศีลธรรม

93.       ข้อใดเกี่ยวข้องกับวิจิตรศิลป์

(1) ชุดโต๊ะเก้าอี้ฝังมุก 

(2) เข็มกลัดเพชร          

(3) รูปหญิงสาวส่องกระจก 

(4) ผ้าไหมแพรวา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

94.       ลักษณะพิเศษของศิลปะนามธรรม

(1) ทำเป็นรูปที่ผู้อื่นไม่เข้าใจ    (2) สร้างความคิดขึ้นมาใหม่

(3) ปรุงแต่งดัดแปลงใหม่        (4) เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยเห็น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

95.       เส้นโค้ง หมายถึง

(1) ความไมแน่นอน     (2) ความอ่อนไหว        (3) ความแน่วแน่          (4) ความไมหยุดนิ่ง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

96.       เส้นนอนมีความหมาย

(1) สงบ           (2) รวดเร็ว       (3) ต้นพลัง      (4) เหนื่อยหน่าย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

97.       เส้นที่กระจายออกเป็นรัศมี หมายถึง

(1) ความหวัง   (2) ความทะเยอทะยาน           (3) ความมีกำลังเพิ่มขึ้น           (4) ความมีสง่า

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

98.       ข้อใดคือศิลปะประยุกต์

(1) ต่างหูรูปดาวและเดือน       (2) ภาพพิมพ์ลายพฤกษา

(3) พระพิมพ์สมัยลพบุรี          (4) ลายปูนปั้นสมัยอยุธยา

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

99.       เส้นที่มีลักษณะต่างกันและมีทิศทางต่างกัน

(1) ย่อมมีความกลมกลืนกัน    (2) เกิดความไม่กลมกลืนกัน

(3) ไร้ชีวิตจิตใจ            (4) มีความรู้สึกขัดแย้ง

ตอบ 2 หน้า 53 (S) หลักสำคัญในการออกแบบเส้นเพื่อให้รู้สึกว่ามีความกลมกลืนหรือตัดกัน มีดังนี้ 1. เส้นที่มีลักษณะคล้ายกันและมีทิศทางใกล้กัน ย่อมกลมกลืนกัน 2. เส้นที่มีลักษณะต่างกันและมีทิศทางต่างกัน ย่อมไม่กลมกลืนกัน

100.    ศิลปกรรมเพื่อประโยชน์ใช้สอยเกี่ยวข้องกับ

(1) ความดีงาม            (2) ความรื่นรมย์ทางใจ

(3) ความเชื่อถือศรัทธา            (4) ประโยชน์แกชีวิตประจำวัน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

ART1003 ศิลปะวิจักษณ์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา ART 1003 ศิลปะวิจักษณ์

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         สุนทรียะในวิสัยของธรรมชาติเกี่ยวข้องกับ

(1)       ความงาม ความมีระเบียบทางธรรมชาติ         

(2) ความกลมกลืนของรูปลักษณะของธรรมชาติ

(3) ความลงตัว ความเหมาะสมของธรรมชาติ 

(4) ความสวยงามทางสีสันของธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 12 สุนทรียะในวิสัยของธรรมชาติ หมายถึง สุนทรียะแห่งความมีระเบียบและความงาม โดยธรรมชาติมักจะมีกฎแห่งสุนทรียะซึ่งก่อให้เกิดความมีระเบียบ ความเหมาะสมกลมกลืน และความงามอยู่ทั้งสิ้น ดังนั้นในธรรมชาติจึงมีความงาม ความสะเทือนใจ และให้ความนึกคิด แก่ผู้พบเห็นเสมอ

2.         มนุษย์ สัตว์ จัดเป็นรูปลักษณะของคิลปะแบบใด

(1)       อิสระ   

(2) ที่กำหนดแล้ว         

(3) เรขาคณิต  

(4) ธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 11 รูปลักษณะของงานศิลปะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1.         แบบธรรมชาติ เป็นรูปลักษณะที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ภูเขา ต้นไม้ ใบไม้ดอกไม้ มนุษย์ สัตว์ ฯลฯ

2.         แบบเรขาคณิต เป็นรูปลักษณะที่ได้แบบอย่างจากธรรมชาติมาบ้าง เช่น เส้นตรง เส้นโค้ง ฯลฯ

3.         แบบอิสระ เป็นรูปลักษณะที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมหรือ ความเห็นชอบของผู้ประดิษฐ์

3.         ศิลปะในข้อใดเป็นผลงานสูงสุดของมนุษย์

(1)       ศาสนศิลปะ     

(2) ศิลปะพื้นบ้าน        

(3) ศิลปะถํ้า    

(4) ศิลปะบนหน้าผา

ตอบ 1 หน้า 2004 (S)12 (S) ศาสนศิลปะ (Religious Art) หรืองานศิลปกรรมในลัทธิความเชื่อถือ และศาสนา ถือเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สูงสุดและเหนือกว่างานสร้างสรรค์ด้านอื่น ๆ เพราะเป็น งานศิลปะที่เกิดจากความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญาที่มีคุณค่าเหนือกว่าศิลปะทั้งหลายที่มนุษย์ ได้สร้างขึ้น เช่น ประติมากรรมพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย ภาพเขียนพุทธประวัติ โบสถ์ วิหาร หรือศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อการบูชาต่าง ๆ เป็นต้น

4.         ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์แตกต่างจากสมัยประวัติศาสตร์ เพราะ

(1)       ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีตัวอักษร ยุคประวัติศาสตร์มีตัวอักษร

(2)       ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีเครื่องปั้นดินเผา ยุคประวัติศาสตร์มีเครื่องปั้นดินเผา

(3)       ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีกระดาษ ยุคประวัติศาสตร์มีกระดาษ

(4)       ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีเครื่องดนตรี ยุคปรวัติศาสตร์มีเครื่องดนตรี

ตอบ 1 หน้า47114(S) การแบ่งยุคสมัยของมนุษย์จะใช้ตัวอักษรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง กล่าวคือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นยังไม่มีตัวอักษรสำหรับการจดบันทึก การศึกษาศิลปะจะศึกษาจาก ศิลปวัตถุและซากโครงกระดูกต่าง ๆ ส่วนยุคประวัติศาสตร์จะมีการใช้ตัวอักษรเพื่อสื่อความหมาย และทำความเข้าใจระหว่างกัน การศึกษาศิลปะจะศึกษาจากลายลักษณ์อักษรที่ได้จดบันทึกขึ้น

5.         สุนทรียรสในวิชาศิลปะวิจักษณ์ ให้ความรู้สึกซาบซึ้งในเรื่องใด

(1) ความรัก     (2) ความงาม   (3) ความสวย  (4) ความบันเทิง

ตอบ 2 หน้า 3 (S)12 – 13 (S) สุนทรียรสหรือรสของศิลปะจะก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในสุนทรียภาพ หรือความงามของศิลปะ ซึ่งนับเป็นความเข้าใจที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยมีสิ่งสำคัญ 2 ประการ คือ 1. ความซาบซึ้งทางอารมณ์ 2. ความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญา

6.         คุณค่าทางสุนทรียภาพทางศิลปะ คือ

(1)       เป็นการแสดงออกถึงภาพที่ให้ความรู้สึกสะเทือนใจมากที่สุด

(2)       เป็นภาพที่มีการจัดวางเส้น รูปร่าง มวล พื้นผิว และช่องว่างได้อย่างเหมาะสม

(3)       เป็นการแสดงออกถึงลีลา ฝีแปรงที่แข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว

(4)       เป็นการแสดงออกถึงสิ่งแปลกใหม่ในงานศิลปะ

ตอบ 2 หน้า 32030 คุณค่าทางสุนทรียภาพของศิลปะหรือคุณค่าทางสุนทรียศาสตรี (Aesthetics) คือ การจัดวางโครงสร้างของศิลปะให้มีองค์ประกอบของเส้น คุณค่า รูปร่าง มวล พื้นผิว และช่องว่างให้มีความสมดุล มีสัดส่วน มีช่วงจังหวะ มีความกลมกลืน มีความขัดแย้ง และมีจุดเด่น ในงานศิลปะได้อย่างเหมาะสม

7.         การศึกษาศิลปะอาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า

(1) คือการศึกษาชีวประวัติและผลงานของศิลปิน       (2) คือการศึกษาโครงสร้างของงานศิลปะ

(3) คือการกำหนดรูปแบบของภาพเขียนจากผลงาน  (4) คือการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์

ตอบ 4 หน้า 4 ศิลปกรรมย่อมคู่กับวัฒนธรรมเสมอ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและแสดงออกถึง ความเจริญของสังคม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และความคิดอ่านของศิลปิน จึงได้ถ่ายทอดออกมา เป็นงานศิลปะ ดังนั้นการศึกษาศิลปะจึงอาจกล่าวได้ว่า คือการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์

8.         ศิลปะบริสุทธิ

(1) ให้ความพอใจ        (2) ให้ความเพลิดเพลิน           (3)ให้อารมณ์สะเทือนใจ          (4) เป็นศิลปะชั้นสูง

ตอบ 3 หน้า 4 (S)87 (S) ศิลปะบริสุทธิ์หรือประณีตศิลป์ (Fine Art) เป็นงานศิลปะที่คำนึงถึงประโยชน์ ทางจิตใจ คือ ช่วยให้มีความสุขสบายใจ ทำให้เกิดความประทับใจที่ดื่มด่ำ มีความศักดิ์สิทธิ์ในทางจิต เกิดอารมณ์สะเทือนใจไม่เสื่อมคลายและไม่สูญหายไปจากความทรงจำ ดังนั้นจึง จัดเป็นงานศิลปะอมตะหรือเรียกว่า วิจิตรศิลป์” ซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูง ได้แก่ งานจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์

9.         การถ่ายทอดงานศิลปะขึ้นอยู่กับ

(1) ความชำนาญในการเลือกเนื้อหา   (2) ทักษะและประสาท

(3) รูปแบบที่กำหนดไว้แล้ว     (4) ส่วนประกอบและเครื่องมือเกี่ยวกันงานศิลปะ

ตอบ 2 หน้า 11 ความรู้สึกในการถ่ายทอดงานศิลปะจะขึ้นอยู่กับทักษะและประสาทสัมผัสของศิลปิน ซึ่งการถ่ายทอดและตัดทอนอาจจะทำได้ 3 ประการ คือ          1. การถ่ายทอดตามความเป็นจริง2. การถ่ายทอดโดยการตัดทอน 3. การถ่ายทอดตามความรู้สึก

10.       ความรู้ที่เรียกว่า แม่แห่งศิลปะ” คือสิ่งใด

(1) ความจริงในประวัติศาสตร์ (2) การเขียนสีน้ำ

(3) สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา    (4) ภาพปูนปั้นของสมัยคลาสสิก

ตอบ 3 หน้า 9-10 บ่อเกิดหรือแม่แห่งศิลปะมิได้มาจากธรรมชาติเท่านั้น เพราะสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราย่อมมีผลเป็นอย่างมากต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ ดังนั้นปัจจัยที่ทำให้เกิดงานศิลปะ จึงประกอบไปด้วยธรรมชาติ ศาสนา ความเชื่อถือ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ระบบการปกครอง สังคม และวัสดุที่นำมาใช้

11.       ภูเขา ต้นไม้ ใบไม้ จัดเป็นรูปลักษณะทางศิลปะแบบใด

(1) เรขาคณิต  

(2) ธรรมชาติ   

(3) อิสระ          

(4) ที่กำหนดแล้ว

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

12.       ศิลปะกินระวางเนื้อที่ หมายถึง

(1) ศิลปะบริสุทธิ์         

(2) ศิลปะประยุกต์      

(3) ทัศนศิลป์   

(4) ภาพเขียน

ตอบ 3 หน้า 840 ศิลปะกินระวางเนื้อที่ (Space Art) บางครั้งก็เรียกว่า ทัศนศิลป์” (Visual Art or Plastic Art) หมายถึง ศิลปะที่จำกัดระวางเนื้อที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในอากาศด้วยปริมาตร ของศิลปะเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น

13.       ข้อใดคิอศิลปะประยุกต์

(1) ต่างหูรูปดาวและเดือน       

(2) ภาพพิมพ์ลายพฤกษา

(3) พระพิมพ์สมัยลพบุรี          

(4) ลายปูนปั้นสมัยอยุธยา

ตอบ 1 หน้า 8 – 93 – 4 (S)127 (S) ศิลปะประยุกต์ (Applied Art) คือ ศิลปะที่ตั้งใจสร้างหรือ ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ใช้สอย หรือเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เครื่องประดับ (ต่างหู กำไลแขน เข็มกลัด) เครื่องจักร ผ้า เครื่องหนัง เครื่องเคลือบ รวมทั้งสะพานส่งนํ้า หรือเขื่อนกั้นน้ำของศิลปะโรมัน ฯลฯ ซึ่งอาจจะแบ่งย่อยออกไปเรียกว่า พาณิชย์ศิลปะหรืออุตสาหกรรมศิลป์” แต่ถ้าหากประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประดับตกแต่งในอาคาร สถานที่ก็จะเรียกว่า มัณฑนศิลป” เช่น การออกแบบเครื่องเรือน โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ

14.       ศิลปะสมัยใหม่

(1) มักเป็นศิลปะนามธรรม      (2) มักประดิษฐ์จากวัสดุแปลกใหม่

(3) มักไม่ให้ประโยชน์ต่อสิ่งใดเลย      (4) มักให้ประโยชน์ต่อการขัดเกลาจิตใจ

ตอบ 4 หน้า 42 ศิลปะสมัยใหม่ มักจะถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีจุดมุ่งหมายในประโยชน์ใช้สอยแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นมาลอย ๆ ตามความนึกคิดและความพอใจอันเนื่องมาจากความงามหรือ สิ่งประทับใจอื่น ๆ ของศิลปิน ดังนั้นจึงมีจุดมุ่งหมายที่จะขัดเกลาจิตใจของเราให้ผ่องใส หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็นประโยชน์ทางใจนั่นเอง

15.       ลักษณะพิเศษของศิลปะนามธรรม

(1) ทำเป็นรูปที่ผู้อื่นไม่เข้าใจ    (2) สร้างความคิดขึ้นมาใหม่

(3) ปรุงแต่งดัดแปลงใหม่        (4) เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยเห็น

ตอบ 3 หน้า 22138 – 39 (S)57 (S) ศิลปะนามธรรมหรือมโนศิลป์ (Abstract) คือ การถ่ายทอด ตามความรู้สึกด้วยใจ โดยการนำเอารูปทรงต่าง ๆ ที่พบเห็นในธรรมชาติมาจัดเสียใหม่ หรือปรุงแต่งดัดแปลงใหม่ ดังนั้นจึงอาจจะมีลักษณะกึ่งธรรมชาติ กึ่งนามธรรม และผิดเพี้ยน ไปจากธรรมชาติอยู่บ้าง เช่น ศิลปะแบบคิวบิสม์ จัดเป็นศิลปะแบบกึ่งจินตนาการที่มีลักษณะ เป็นเหลี่ยม เป็นมุม และรูปทรงบิดเบี้ยว แต่ก็ยังพอพิจารณาดูรูปลักษณะได้ว่าเป็นรูปอะไร

16.       เด็กที่อยู่ท่ามกลางศิลปกรรมที่งดงามจะมีบุคลิกอย่างไร

(1) อ่อนไหว     (2) อดทน         (3) สุขุม           (4) ขาดความมั่นใจ

ตอบ 3 หน้า 21 (S) ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ให้ข้อคิดว่า เด็กที่คุ้นเคยกับงานศิลปะหรือ ได้พบเห็นสิ่งประณีตสวยงามนั้น ต่อไปในอนาคตก็จะกลายเป็นของจำเป็นต่อชีวิตของเด็ก เพราะจะช่วยให้มีความคิดอ่านประณีตสุขุม นอกจากนี้ศิลปะก็ยังช่วยให้เยาวชนของชาติ กลายเป็นคนดีขึ้น และประพฤติปฏิบัติไปตามกฎแห่งศีลธรรม

17.       ข้อใดไม่ใช่วิจิตรศิลป์

(1) จิตรกรรม   (2) ประติมากรรม        (3) ภาพถ่าย    (4) สถาปัตยกรรม

ตอบ 3 หน้า 822122 (S) วิจิตรศิลป์ (Fine Art) หมายถึง จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และภาพพิมพ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของธรรมชาติจนส่งเสริม ให้ศิลปินเกิดความคิดสร้างสรรค์ในงานศิลปะ หรือเป็นศิลปกรรมที่ทำขึ้นจากความสัมพันธ์กัน อย่างประณีตของเส้นและมวลสิ่งหรือสีที่มีความผสมกลมกลืนกันอย่างงดงาม

18.       ข้อใดเกี่ยวข้องกับวิจิตรศิลป์

(1) ชุดโต๊ะเก้าอี้ฝังมุก  (2) เข็มกลัดเพชร

(3) รูปหญิงสาวส่องกระจก     (4) ผ้าไหมแพรวา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 813. และ 17. ประกอบ

19.       งานศิลปกรรมใดให้ความรู้สึกลึกซึ้ง

(1) กำไลแขนลายมังกร           (2) พานขันหมากสำรับใหญ่

(3) ต่างหูทองคำลายดาว         (4) พระพุทธรูปศิลาทราย

ตอบ 4 หน้า 23 – 30 (S), (ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ) คุณสมบัติที่แท้จริงของผลงานศิลปะ ที่มองเห็นมีอยู่ 5 ประการ คือ       1. คุณสมบัติที่เด่นชัดในตัวของมันเอง

2. คุณสมบัติในการดำรงอยู่    3. คุณสมบัติที่ให้ความรู้สึกเพิ่มขึ้น ยิ่งดูยิ่งลึกซึ้ง

เช่น พระพุทธรูปสุโขทัย เป็นต้น           4. คุณสมบัติที่ส่งเสริมให้คิดถึงสิ่งอื่น

5. คุณสมบัติที่พร้อมทุกด้าน มีความสมบูรณ์ในตัวเอง

20.       ศิลปกรรมนานาชาติแสดงออกถึงความงามในรูปแบบใด

(1) ความเหมือนกัน    

(2) ต่างกันในเรื่องน้ำหนัก

(3) มีรสนิยมต่างกัน    

(4) ต่างกันในเรื่องของสี

ตอบ 3 หน้า 5 (S) รสนิยมที่ดีในงานศิลปะ หมายถึง การรู้จักความสัมพันธ์ของโครงสร้างและส่วนประกอบขั้นมูลฐานที่สำคัญของงานศิลปะ โดยต้องพิจารณาถึงรูปลักษณะที่สวยงามและ ประโยชน์ใช้สอยควบคู่กันไปด้วย ซึ่งรสนิยมที่มีขึ้นของแต่ละชาติจะแตกต่างกัน อันมีผลมาจาก ความแตกต่างของขนบธรรมเนียม เชื้อชาติ วัฒนธรรม และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล

21.       จุดมุ่งหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการเรียนวิชาศิลปะวิจักษณ์ คือ

(1)       เป็นผู้เชี่ยวชาญในการอนุรักษ์ศิลปกรรมของชาติ

(2)       เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งสวยงามเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

(3)       เข้าใจความเป็นมาของศิลปกรรมชิ้นสำคัญของประเทศจนสามารถอธิบายได้

(4)       มีความชำนาญในการจัดรูปแบบทางด้านศิลปะ

ตอบ 2 หน้า 3 จุดมุ่งหมายในการเรียนวิชาศิลปะวิจักษณ์ คือ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจและ พิจารณางานศิลปะอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเข้าใจประวัติความเป็นมาจนสามารถวิเคราะห์ และสังเคราะห์งานศิลปะได้ กล่าวคือ เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งสวยงามเพื่อนำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน เกิดทัศนคติที่ดี รู้จักคุณค่าของศิลปกรรม และยังเป็นการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจอย่างมีหลักการ จนสามารถรู้วิธีการเบื้องต้นในการอนุรักษ์ศิลปกรรมของชาติได้

22.       ข้อใดหมายถึงงานนิเทศศิลป์

(1) ภาพเหมือนคุณมาลินี พีระศรี        

(2) ภาพหญิงสาวของตูลูส โลเทรค

(3) ภาพประกอบในนิตยสาร   

(4) ภาพพิมพ์ของฮิโรชิเอะ

ตอบ 3 หน้า 102 – 103 (S) งานนิเทศศิลป์ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการธุรกิจและการโฆษณา เช่น การออกแบบเครื่องหมายสัญลักษณ์ การออกแบบลายผ้า ลายกระเบื้องเคลือบ การออกแบบ หนังสือ ภาพประกอบในนิตยสาร ตลอดจนการออกแบบผลิตภัณฑ์จำพวกเครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ

23.       ประติมากรรมนูนต่ำคือข้อใด

(1) ภาพปูนปั้นที่เจดีย์จุลประโทน       

(2) ลายจำหลักบนใบเสมา

(3) เหรียญห้าบาทไทย            

(4) พระพุทธรูปบนฐานเตี้ย

ตอบ 3 หน้า 41 – 42 ประติมากรรม คือ ศิลปะกรรมซึ่งเป็นรูปทรงสามมิติ มีการกินที่ในอากาศแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. ประติมากรรมนูนตํ่า คือ รูปที่ปั้นหรือแกะสลักให้ยื่นออกมา จากแผ่นหลัง โดยมีพื้นแบนราบเสมอกันทั่วทั้งองค์ประกอบ เช่น เหรียญเงินตราต่าง ๆ ฯลฯ

2.         ประติมากรรมนูนสูง คือ รูปปั้นหรือแกะสลักที่นูนออกมาจนเกือบหลุดออกจากแผ่นหลัง

3.         ประติมากรรมลอยตัว คือ รูปปั้นที่ไม่มีแผ่นหลัง สามารถดูได้รอบด้านและทุกระดับแนวดู

24.       ศิลปกรรมเพื่อประโยชน์ใช้สอยคือ

(1) ภาพเขียนสีดอกทานตะวัน            (2) ภาพพิมพ์ลายไทย

(3) สะพานส่งนํ้าศิลปะโรมัน   (4) รูปสลักหินอ่อนศิลปะกรีก

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

25.       ภาพสามมิติ หมายถึง

(1) ภาพเขียนที่มีความลึก       (2) สถาปัตยกรรม (3) ประติมากรรม  (4) ภาพเขียนสีน้ำมัน

ตอบ 1 หน้า 41221 – 222 ภาพสามมิติได้แบบอย่างการเขียนมาจากศิลปะตะวันตก ดังนั้นจึงมี ลักษณะเป็นภาพเขียนที่มีความลึก อันประกอบไปด้วยสี เส้น แสง และเงา ผิดกับภาพเขียนของ ศิลปะตะวันออกที่มักจะประกอบไปด้วยสีและเส้นเท่านั้น ทำให้ภาพเขียนมีลักษณะเป็นรูปแบน ๆ หรือเป็นภาพสองมิติที่ไม่มีความลึก ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของภาพจิตรกรรม (ฝาผนัง) ของไทย

26.       ภาพหุ่นนิ่งรูปดอกไม้เกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) สีน้ำมัน      (2) ลายเส้น     (3) จิตรกรรม   (4) ประติมากรรม

ตอบ 2 หน้า 36 (S) ภาพเหมือนจริงหรือหุ่นนิ่ง (Still Life) เป็นการแสดงออกตามความเป็นจริง ซึ่งถอดแบบมาจากธรรมชาติอย่างชัดเจน โดยศิลปินจะแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ตามที่เข้าใจ และต้องการแสดงออก ได้แก่ การแสดงออกถึงเรื่องราวชีวิตจริง การทำงาน ความยากจน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ภาพหุ่นนิ่งของนักดนตรี ภาพลายเส้นรูปเหมือน ของดอกไม้ต่างๆ เป็นต้น

27.       สิ่งบันดาลใจให้ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะ

(1) ความสันโดษ          (2) ความเชื่อในเรื่องวิญญาณ

(3) ความสะเทือนอารมณ์        (4) ความกตัญญูต่อธรรมาติ

ตอบ 3 หน้า 10 ถึงแม้ว่าธรรมชาติจะเป็นแรงบันดาลใจอันเร้นลับที่ผลักดันให้มนุษย์สร้างสรรค์งานศิลปะ ออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง สุดแล้วแต่ประสบการณ์และอารมณ์สะเทือนใจของศิลปินผู้นั้น แต่หากปราศจากอำนาจแห่งความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ อันก่อให้เกิดมโนภาพหรือจินตนาการ ขึ้นในจิตใจด้วยแล้ว งานศิลปะก็มิอาจสร้างสรรค์ขึ้นมาได้

28.       ความสมดุลคือข้อใด

(1) ต่างหูข้างหนึ่งเป็นรูปดาวและอีกข้างหนึ่งเป็นรูปเดือน      (2) ที่คาดผมมีโบทางซ้าย

(3) กระถางดอกโป๊ยเซียนแตกกิ่งก้านสาขามากมาย (4) ดอกไม้ปักแจกันเป็นรูปดาว

ตอบ 1 หน้า 30 – 3176 (S) ความสมดุล หมายถึง ความเท่ากันหรือการถ่วงเพื่อให้เกิดการเท่ากัน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. ความสมดุลที่เท่ากัน คือ ความเท่ากันทั้งซ้ายและขวา เช่น ร่างกายของคน สัตว์ ฯลฯ           2. ความสมดุลไม่เท่ากัน คือ ความสมดุลที่มิได้เท่ากันโดยแท้จริงแต่มีการจัดขนาด รูปร่าง สี รูปทรง ฯลฯ ให้แตกต่างกันทั้ง 2 ข้าง หรือมีลักษณะสมดุลด้วยตา โดยประมาณ เช่น ต่างหูข้างหนึ่งเป็นรูปดาวและอีกข้างหนึ่งเป็นรูปเดือน ฯลฯ

29.       พื้นผิวของไม้มะเกลือให้ความรู้สึก

(1) บางเบา      (2) ลื่นมัน        (3) อ่อนหวาน  (4) เย็นสบายตา

ตอบ 4 หน้า 64 – 65 (S) พื้นผิวของดิน เปลือกไม้ อิฐ พืช เปลือกไข่ ขนสัตว์ ใยไหม ปีกของแมลง หรือไม้มะเกลือขัดมัน ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะโดยธรรมชาติเป็นวัสดุที่แข็งและสะท้อนแสงได้อย่างดี จะให้ความรู้สึกเย็น แต่ถ้ามีลายไม้มากหรือมีสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำจะให้ความรู้สึกอบอุ่นแทน

30.       สีที่มีความอ่อนหวาน คือสีใด

(1) สีแดง         (2) สีชมพู        (3) สีเหลือง     (4) สีเขียว

ตอบ 2 หน้า 71 (S) ในเรื่องจิตวิทยาของสีนั้นถือว่า สีมีอิทธิพลเหนือจิตใจของมนุษย์โดยทั่วไป ดังนั้นสีจึงสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึกได้เป็นอย่างดี เช่น สีเหลือง หมายถึง ความไพบูลย์สีแดง หมายถึง ความตื่นเต้นเร้าใจสีชมพูหรือสีดอกกุหลาบ หมายถึง ความอ่อนหวานนุ่มนวลสีเขียวและสีนํ้าเงิน หมายถึง ความสงบเงียบ ฯลฯ

31.       สีกลาง คือสีใด

(1) ขาว            

(2) นํ้าเงิน        

(3) นํ้าตาล       

(4) เทา

ตอบ 4 หน้า 3467 (S) สีทั้งหลายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเกิดจากการผสมกันของแม่สีที่เรียกว่า แม่สีวัตถุธาตุ ได้แก่ 1. สีน้ำเงิน (Prussian Blue) 2. สีแดง (Crimson)3. สีเหลือง (Gamboge Tint) ซึ่งสีทั้งสามนี้เมื่อนำมาผสมกันในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน ก็จะได้สีกลาง (Neutral Tint) คือ สีเทา แต่ถ้าผสมเข้มจัดจะได้สีดำ

32.       สีตรงกันข้าม คือข้อใด

(1) เทาเข้ม ฟ้าใส         

(2) แดง ชมพูอ่อน        

(3) เหลือง นํ้าตาล       

(4) ส้ม นํ้าเงิน

ตอบ 4 หน้า 3669 (S) สีตรงกันข้ามหรือสีคู่จะเป็นสีที่ตัดกันอย่างแท้จริง ซึ่งสีบางสีจะเอามาผสมกัน ไม่ได้เพราะสีจะเน่าและไม่สวย โดยสีชนิดนี้มีมากคู่ด้วยกัน เช่น สีเขียวกับสีแดงเลือดนก,สีเหลืองกับสีม่วงสีนํ้าเงินกับสีส้มสีแดงกับสีเขียวนํ้าเงิน ฯลฯ

33.       ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ด้านที่โดนแดดเต็มที่จะเป็นสีใด

(1) เหลือง        

(2) ขาว            

(3) เทา 

(4) ดำ

ตอบ 2 หน้า 55 – 56 (S) การเขียนรูปที่มีแสงส่องด้านข้างนั้น ด้านที่โดนแดดเต็มที่จะสว่างจนเกิด เป็นน้ำหนักขาว ส่วนที่พอจะได้แสงนิดหน่อยจะกลายเป็นสีเทา และส่วนที่ตรงกันข้ามกับแสง หรือเงาจะเป็นน้ำหนักดำ

34.       ค่าของความแตกต่างที่เกิดจากแสงและเงา คือ

(1)รูปทรง         (2)ความเข้ม    (3)จุด   (4)ทิศทาง

ตอบ 2 หน้า 56 (S) ความเข้ม (Value) หมายถึง ค่าของความแตกต่างที่เกิดจากแสงและเงาซึ่งคุณค่าของแสงและเงาจะช่วยให้งานศิลปะมีลักษณะเป็นแท่งหรือเป็นกลุ่มก้อน จนทำให้ เกิดเป็นภาพสามมิติขึ้น และก่อให้เกิดความงามในทางศิลปะ

35.       เส้นที่ให้ความรู้สึกไม่หยุดนิ่ง คือ

(1) เส้นโค้ง      (2) เส้นแย้ง     (3) เส้นตรง      (4) เส้นซิกแซ็ก

ตอบ 4 หน้า 2651 – 53 (S) การที่จะเข้าใจศิลปกรรมได้ดีจำเป็นต้องเรียนรู้ในเรื่องของเส้นและ ความหมายของเส้น เช่น เส้นตั้งจะให้ความรู้สึกมั่นคง จริงจังเส้นซิกแซ็กจะให้ความรู้สึก ไม่หยุดนิ่ง ตื่นเต้นเส้นเฉียงจะให้ความรู้สึกรวดเร็วเส้นนอนจะให้ความรู้สึกสงบ นิ่งเฉย ผ่อนคลายเส้นโค้งลงสู่พื้นจะให้ความรู้สึกเศร้า เหนื่อยหน่าย อ่อนไหวเส้นที่กระจายออก เป็นรัศมีจะให้ความรู้สึกกระจายออก การระเบิด ความมีกำลังเพิ่มขึ้น ฯลฯ

36.       ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับรูปทรงเรขาคณิต

(1) ลายจำหลักหินรูปทรงกลม            (2) ตะกร้าย่านลิเภาลายสามเหลี่ยม

(3) ผ้าไหมลายนํ้าใหลจากน่าน           (4) จิตรกรรมฝาผนังลายเทพชุมนุม

ตอบ 4 หน้า 22360 (S) รูปทรง (Form) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 1. อินทรียรูป คือ รูปทรง ที่มีชีวิต มีกฎเกณฑ์และมีโครงสร้างที่แน่นอน        2. รูปทรงเรขาคณิต คือ รูปทรงที่เกิดจากการสร้างของมนุษย์ให้เกิดเป็นเส้นตรง เป็นรูปมีเหลี่ยมมุม รูปวงกลม รวมถึงการตกแต่ง ด้วยแบบลายเส้นในการจักสาน เช่น ตะกร้า ชะลอม กระบุง ลายในการถักทอ ฯลฯ 3. รูปทรงอิสระ คือ รูปทรงที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และไม่มีโครงสร้าง

37.       ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะจาก

(1) ธรรมชาติ   (2) คิดขึ้นเอง   (3) เลียนแบบจากงานอื่น        (4) เสียงเพลง

ตอบ 1 หน้า 10-11 ในการสร้างสรรค์งานศิลปะนั้น ธรรมชาติ ศิลปิน และการแสดงออกย่อมมี ความสัมพันธ์และส่งผลต่อกันจนไม่สามารถจะแยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกได้ ทั้งนี้เพราะธรรมชาติ เปรียบเสมือนเป็นทรัพยากรทางความคิดให้ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะ โดยดัดแปลงคิดค้น หารูปลักษณะ (Form) แบบใหม่ ๆ เพื่อรับใช้สังคมอย่างไม่รู้จักจบสิ้นนั่นเอง

38.       รูปทรงสี่เหลี่ยมให้ความรู้สึกอย่างไร

(1)หนักแน่น     (2)อ่อนไหว      (3)ไม่หยุดนิ่ง   (4)แข็งกระด้าง

ตอบ 1 หน้า 62 – 63 (S) รูปทรง สามารถสื่อความหมายและความรู้สึกได้เช่นเดียวกับวิธีการของเส้น เช่น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะให้ความรู้สึกหนักแน่น เข้มแข็ง มั่นคงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าจะให้ ความรู้สึกตรงไปตรงมา เป็นกลาง เคร่งขรึม เอาจริงเอาจังรูปสี่เหลี่ยมคางหมูจะให้ความรู้สึก แปลกใหม่ สนุกสนานรูปวงกลมจะให้ความรู้สึกปลอดภัย มีพลังสูง ฯลฯ

39.       ลักษณะพิเศษของภาพจิตรกรรมไทย คือ

(1)       สองมิติ            (2) สามมิติ      (3)       ลายเส้น           (4) สีนํ้า

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

40.       เส้นโค้ง หมายถึง

(1) ความไม่แน่นอน     (2) ความอ่อนไหว        (3)       ความแน่วแน่    (4) ความไม่หยุดนิ่ง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

41.       เส้นนอนมีความหมาย

(1) สงบ           

(2) รวดเร็ว       

(3)       ต้นพลัง            

(4) เหนื่อยหน่าย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

42.       เส้นที่กระจายออกเป็นรัศมี หมายถึง

(1) ความหวัง   

(2) ความทะเยอทะยาน           

(3) ความมีกำลังเพิ่มขึ้น           

(4) ความมีสง่า

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

43.       เส้นที่มีลักษณะต่างกันและมีทิศทางต่างกัน

(1) ย่อมมีความกลมกลืนกัน    

(2) เกิดความไม่กลมกลืนกัน

(3) ไร้ชีวิตจิตใจ            

(4) มีความรู้สึกขัดแย้ง

ตอบ 2 หน้า 53 (S) หลักสำคัญในการออกแบบเส้นเพื่อให้รู้สึกว่ามีความกลมกลืนหรือตัดกันมีดังนี้

1.         เส้นที่มีลักษณะคล้ายกันและมีทิศทางใกล้กัน ย่อมกลมกลืนกัน

2.         เส้นที่มีลักษณะต่างกันและมีทิศทางต่างกัน ย่อมไม่กลมกลืนกัน

44.       ศิลปกรรมเพื่อประโยชน์ใช้สอยเกี่ยวข้องกับ

(1) ความดีงาม            (2) ความรื่นรมย์ทางใจ

(3) ความเชื่อถือศรัทธา            (4) ประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

ข้อ 45. – 49. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) เพลโต        (2) ศิลป์ พีระศรี (3) ลียอป ตอลสตอย            (4) แรงบันดาลใจ        (5) นักโบราณคดี

45.       ศิลปกรรม

ตอบ 4 หน้า 7 ศิลปกรรมเป็นงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์อันมีธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งสวยงามหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีส่วนช่วยเสริมสร้างจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น และศิลปะนั้นอาจแสดงออกมาในรูปที่เป็นศีลธรรมหรือไม่ก็ได้

46.       ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 6 เพลโต (Plato) มีความเห็นเกี่ยวกับศิลปะว่า ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ผู้ที่จะเข้าใจและนิยมความงามในศิลปะได้มีเพียงนักปรัชญาเท่านั้น

47.       ศิลปะเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์

ตอบ 5 หน้า 7 นักโบราณคดี เห็นว่า ศิลปกรรมย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งบอกถึงความเจริญในอดีต และศิลปะย่อมเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้ดีที่สุด

48.       ศิลปะเป็นสะพานที่เชื่อมคติความเชื่อทางวัตถุและจิตใจ

ตอบ 2 หน้า 6 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ให้ความหมายของศิลปะว่า ศิลปะเป็นสะพานที่เชื่อม คติความเชื่อทางวัตถุกับทางจิตใจ เมื่อผู้ใดเข้าใจและรู้คุณค่าของศิลปะแล้วผู้นั้นก็อาจจะถึง ซึ่งความสุขที่แท้จริง

49.       ความประณีตไม่ใช่งานศิลปะ

ตอบ 3 หน้า 5-6 ลียอป ตอลสตอย (Lyof Talstoy) กล่าวถึงความหมายของศิลปะว่า ศิลปะที่มี ความประณีต ความงาม และความบันเทิงเริงใจนั้นหาใช่เป็นศิลปะไม่ แต่เป็นเพียงงานฝีมือ เพราะเป็นงานที่ขาดเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งของศิลปะ

ข้อ 50. – 54จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1)       ศิลปะประยุกต์

(2) การแสดงออก

(3) มัณฑนศิลป์

(4) ธรรมชาติ

(5) วิจิตรศิลป์

50.       จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ และดุริยางคศิลป์ หมายถึง       

ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

51.       ต่างหูและกำไลแขนจัดว่าเป็น

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

52.       ศิลปะสำหรับประดับตกแต่งอาคารสถานที่ เรียกว่า  

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

53.       สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของงานศิลปะ คือ           

ตอบ 2 หน้า 10 การแสดงออก (Expression) ถือเป็นกระบวนการขั้นสุดท้ายที่มีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะอย่างยิ่ง กล่าวคือ ถ้าเกิดอารมณ์สะเทือนใจจนก่อให้เกิดมโนภาพขึ้น ในจิตใจแต่มิได้แสดงออก งานศิลปะก็ไม่อาจสร้างสรรค์ขึ้นได้

54.       ทรัพยากรทางความคิดของศิลปิน คือ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

55.       ภาพเขียนของจีนเจริญสูงสุดในสมัยใด

(1) สมัยราชวงค์ฮั่น      

(2)       สมัยราชวงศ์ถัง            

(3) สมัยราขวงค์ซ่ง      

(4) สมัยราชวงศ์หมิง

ตอบ 2 หน้า 39220 ภาพเขียนของจีนเจริญสูงสุดในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งถือเป็นยุคทองของศิลปะจีน ส่วนภาพเขียนในสมัยราชวงศ์ซ่งหรึอซ้องนั้น ศิลปินจีนนิยมเขียนภาพภูมิประเทศหรือภาพทิวทัศน์ อันสวยงาม เช่น ภาพภูเขา ต้นไม้ ฯลฯ ผลุบโผล่อยู่ในสายหมอก

56.       ข้อใดคือภาพหุ่นนิ่ง

(1)ฉากลับแล  (2)ตู้ลายรดน้ำ (3)เส้นรูปเหมือน          (4)รูปลายเรขาคณิต

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 26. ประกอบ

57.       ศิลปะจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งนิยมเขียนภาพประเภทใด

(1)ภาพสงคราม           (2)ภาพเหมือน (3)ภาพนกดอกไม้        (4)ภาพทิวทัศน์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

58.       ลักษณะของศิลปกรรมคิวบิสม์

(1) บริสุทธิ์ไร้เดียงสา   (2) นิยมสลักจากก้อนหิน

(3) รูปทรงบิดเบี้ยว      (4) เหมือนธรรมชาติ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

59.       ศิลปะเพื่อประโยชน์ใช้สอยเรียกอีกอย่างว่า

(1) ศิลปะประทับใจ    (2) ศิลปะบริสุทธิ์         (3) ศิลปะโรแมนติก     (4) ศิลปะประยุกต์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

60.       ผลงานสูงสุดของมนุษย์คือข้อใด

(1) ศิลปะถํ้า

(2) ศิลปะเพื่อชีวิต

(3) ศาสนศิลปะ

(4) ศิลปะบริสุทธิ์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

61.       ช่างโบราณไม่กล้าแสดงรูปพระพุทธรูปเพราะ

(1) ยึดมั่นในพระศาสนามากเกินไป    

(2) ช่างไม่มีความชำนาญ

(3) เกรงกลัวต่อบาป    

(4) ปฏิบัติตามบรรพบุรุษ

ตอบ 1 หน้า 83 – 8443 (S) ศิลปะอินเดียสร้างขึ้นมาเนื่องจากศาสนา และเมื่อช่างโบราณยึดมั่น ในพระศาสนาและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากเกินไป ย่อมจะทำให้ไม่สามารถสร้างสรรค์ภาพพจน์ ของพระพุทธรูปได้อย่างอิสระ เช่น ในยุคที่เริ่มสร้างรูปเพื่อรำลึกถึงพุทธธรรม ช่างจะไม่นิยม ปั้นพระพุทธรูป แต่จะเว้นเหลือไว้แต่พระแท่นว่าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์นั้นหมดแล้วซึ่งความเห็นแก่ตัว ไม่ได้ยึดในตนอีกต่อไปหรือคล้ายกับปราศจากตัวตน

62.       ข้อใดเป็นวิจิตรศิลป์

(1) แจกันรูปแบบแปลกใหม่    

(2) ตึกสูงห้าสิบชั้น

(3) ภาพพิมพ์รูปวัด      

(4) ภาพเหมือนรูปดอกไม้

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 8. และ 17. ประกอบ

63.       โบราณวัตถุที่สำคัญที่โมเหนโจดาโร

(1) เครื่องมือหิน           

(2) หม้อดินเผา

(3) ตราประทับทำจากหินสบู่   

(4) ซากพระราชวังโบราณ

ตอบ 3 หน้า 59 อารยธรรมโมเหนโจดาโรและฮารัปปา เจริญขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ของอินเดีย ทั้งนี้เพราะพบหลักฐานทางโบราณคดี ทั้งสองสมัย โดยหลักฐานที่เป็นโบราณวัตถุก่อนประวัติคาสตร์ที่สำคัญ คือ ตราประทับที่ทำด้วยหินสบู่ในรูปต่าง ๆ ซึ่งพบทั้งในแคว้นปัญจาบและสินธุ

64.       ข้อความใดเกี่ยวข้องกับคัมภีร์พระเวท

(1) อารยัน       (2) ศาสนาพุทธ           (3) ดราวิเดียน (4) ศาสนาเชน

ตอบ 1 หน้า 90 เมื่อชาวอารยันได้เข้ามายึดครองดิบแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคา ก็ได้นำเอา คัมภีร์พระเวทเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียด้วย ซึ่งคัมภีร์พระเวทนี้มีอิทธิพลต่อคติความเชื่อ นบธรรมเนียมประเพณี ตำนานเก่าแก่ และนิยายพื้นเมืองของชาวอารยันมาก

65.       หัวเสาแบบโครินเธียน เป็นอิทธิพลของศิลปะใด

(1) กริก            (2) อียิปต์        (3) เปอร์เซีย    (4) เมโสโปเตเมีย

ตอบ 1 หน้า 94 – 95121 – 122 (S) สถาปัตยกรรมในศิลปะคันธารราฐของอินเดียจะได้รับอิทธิพล จากศิลปะกรีก เช่น การนิยมทำหัวเสาแบบโครินเธียน (Corinthian) ซึ่งมักจะประดับลวดลาย ด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ บนหัวเสา เช่น ลายใบอาคันธัส ลายใบปาล์ม ลายพวงองุ่น และลายกามเทพแบกพวงมาลัย ฯลฯ

66.       พระพุทธรูปคันธารราฐมีการครองจีวรแบบใด

(1) ห่มคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง จีวรเป็นริ้ว    (2) ห่มเปิดพระอังสาขวา

(3) ห่มเปิดพระอังสาซ้าย         (4) ห่มคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง จีวรเรียบ

ตอบ 1 หน้า 93 – 94 พระพุทธรูปสมัยคันธารราฐของอินเดียจะมีความสวยงามตามแบบศิลปะกรีก อย่างชัดเจน ซึ่งจะเห็นได้จากพระพักตร์ พระเกศา และการครองจีวรที่แทบจะไม่มีลักษณะ ของอินเดียเหลืออยู่เลย คือ มีการครองจีวรห่มคลุมพระอังสา (บ่าหรือไหล่) ทั้ง 2 ข้าง โดยมี จีวรแนบกันมากับพระองค์ และมีริ้วนูนหนาเป็นวงโค้งซ้อนกันทางด้านหน้า

67.       พระพุทธรูปยกชายจีวรขึ้นระหว่างพระโสณี

(1) พระพุทธรูปคันธารราฐ       (2) พระพุทธรูปมถุรา

(3) พระพุทธรูปอมราวดี           (4) พระพุทธรูปคุปตะ

ตอบ 2 หน้า 95, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 55) การครองจีวรของพระพุทธรูปมถุราจะเป็นแบบใหม่ คือ ครองเฉพาะจีวรและสบงโดยไม่ปรากฏว่ามีสังฆาฏิ และมักห่มเฉียง เปิดพระอังสาซ้าย พระหัตถ์ซ้ายมักยกชายจีวรขึ้นระหว่างพระโสณี (ตะโพก)

68.       ศิลปะอินเดียที่เจริญขึ้นแถบแม่นํ้ากฤษณา คือ

(1) ศิลปะคันธารราฐ   (2) ศิลปะมถุรา            (3) ศิลปะอมราวดี       (4) ศิลปะคุปตะ

ตอบ 3 หน้า 97 – 98 ศิลปะอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) เจริญขึ้นทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย แถบลุ่มแม่นํ้ากฤษณาโดยเฉพาะที่เมืองอมราวดี นาคารชุนิโกณฑะ ชัคคัยยะเปฎะ และโคลิ ภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงศ์สัตตวาหนะ เมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 6 โดยมีสถาปัตยกรรม ที่สำคัญที่สุด คือ สถูปสำหรับบรรจุพระบรมอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า

69.       สถาปัตยกรรมที่สำคัญของศิลปะสมัยอมราวดี คือ

(1) ศาสนสถานที่สลักลึกเข้าไปในภูเขา          (2) สถูปสำหรับบรรจุพระบรมอิฐิของพระพุทธเจ้า

(3) ศสนสถานที่สร้างขึ้นกลางแจ้ง    (4) พระเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมอิฐิของพระพุทธเจ้า

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ

70.       พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียอย่างแท้จริงในสมัยใด

(1) สมัยคันธารราฐ      (2) สมัยมถุรา  (3) สมัยคุปตะ (4) สมัยอมราวดี

ตอบ 2 หน้า 959799 พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียในสมัยมถุรา(พุทธศตวรรษที่ 7-8) แต่ความเป็นอินเดียอย่างแท้จริงและลักษณะของมหาบุรุษปรากฏขึ้น อย่างครบครันในพระพุทธรูปสมัยอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) ซึ่งถือได้ว่ามีความงาม ตามแบบอินเดียโดยแท้ เพราะไม่เห็นลักษณะของอิทธิพลต่างชาติเลย

71.       ศาสนสถานในศิลปะคุปตะ

(1) ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์            

(2) นิยมทำหลังคาเป็นชั้น ๆ

(3) นิยมสลักลึกเข้าไปในภูเขา            

(4) นิยมสร้างสถูปเป็นพื้น

ตอบ 1 หน้า 102 สถาปัตยกรรมในสมัยคุปตะจะนิยมสร้างไว้กลางแจ้ง โดยในสมัยพระเจ้าจันทรคุปต์ ที่ 2 พุทธศาสนสถานที่สร้างขึ้น เช่น โบสถ์ วิหาร สถูป ฯลฯ มักจะเลียนแบบจากเทวาลัยของ ศาสนาพราหมณ์ ซึ่งลักษณะทางสถาปัตยกรรมเช่นนี้ได้ให้อิทธิพลต่อการสร้างเจดีย์ของพม่า (Pagoda) และบุโรพุทโธของอินโดนีเซียด้วย

72.       มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดียเป็นมหาวิทยาลัยแห่ง

(1)พุทธศาสนา            

(2)ศาสนาพราหมณ์     

(3)ศาสนาอิสลาม        

(4)ศาสนาเชน

ตอบ 1 หน้า 213152 (S) มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย เป็นงานสถาปัตยกรรมในสมัยศิลปะปาละ -เสนะ ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งพุทธศาสนา โดยเป็นศูนย์กลางใหญ่ ของพุทธศาสนาลัทธิตันตระ อยู่ใบแคว้นเบงกอล

73.       พระพุทธรูปยุคทองของอินเดียเริ่มเสื่อมลงหลังพุทธศตวรรษ

(1)ที่ 12           

(2)ที่13                       

(3)ที่ 14            

(4)ที่ 15

ตอบ 1 หน้า 101 – 103 พระพุทธรูปสมัยคุปตะ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยุคทองของอินเดียเริ่มเสื่อมลง เมื่อหมดสมัยของพระเจ้ากุมารคุปต์ในพุทธศตวรรษที่ 12 และหลังจากนี้เป็นต้นไป ประติมากรรมต่าง ๆ จะมีร่างกายหนักทึบและเพิ่มลวดลายมากขึ้น ส่วนภาพเขียนที่เป็น ภาพบุคคลนั้นก็จะเพิ่มรายละเอียดและเครื่องประดับ ทำให้ภาพบุคคลเดียว ๆ ดูแข็งกระด้าง ไม่มีชีวิตจิตใจอีกต่อไป

74.       พระพุทธรูปสมัยคุปตะของอินเดีย

(1)       มีความงามอย่างเรียบง่าย แต่รูปประติมากรรมหนักทึบ

(2)       มักนิยมห่มคลุมพระอังสาสองข้าง จีวรเป็นริ้ว เป็นพระพุทธรูปกรีก

(3)       ขมวดพระเกศาวนขวา นิยมห่มเฉียงเปีดพระอังสาซ้าย จีวรเป็นริ้ว

(4)       นิยมแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และเทวดา

ตอบ 4 หน้า 101 พระพุทธรูปสมัยคุปตะของอินเดียจะไม่นิยมแสดงให้เห็นว่าพระพุทธรูปเป็นมนุษย์ อย่างแท้จริง แต่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์และเทวดา หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา ก็ได้ ดังเช่นที่ช่างคุปตะไม่ได้แสดงให้เห็นมุกขลึงค์อันเป็นลักษณะที่แสดงให้รู้ถึงเพศเลย

75.       พระพุทธรูปทวารวดียุคแรกได้รับอิทธิพลของศิลปะใด

(1) ศิลปะอมราวดี คุปตะ หลังคุปตะ  (2) ศิลปะขอมแบบปาปวน

(3) ศิลปะพื้นเมือง       (4) ศิลปะอิสลาม

ตอบ 1 หน้า 123 – 124 พระพุทธรูปทวารวดีแบ่งเป็น 3 รุ่นดังนี้

1.         รุ่นที่ 1 แสดงอิทธิพลของศิลปะอมราวดี คุปตะและหลังคุปตะ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12

2.         รุ่นที่ 2 แสดงอิทธิพลของศิลปะพื้นเมืองมากยิ่งขึ้น มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 – 15

3.         รุ่นที่ 3 แสดงอิทธิพลของศิลปะขอมแบบปาปวนหรือศิลปะลพบุรีตอนต้น มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 15 ลงมา

76.       ศิลปะยุคทองของศิลปะในแต่ละประเทศ

(1) นิยมความสวยงามแบบเดียวกัน   (2) แสดงออกถึงความอ่อนหวาน

(3) เปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมของยุคสมัย           (4) ไม่เป็นที่นิยมของยุคต่อมา

ตอบ 3 หน้า 39 – 40 ศิลปะยุคทอง เป็นศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชาติที่มีความเจริญคลี่คลายถึง จุดสูงสุด มีลักษณะเป็นอุดมคติของตนเอง และมีความสวยงามจนไม่มีศิลปะสมัยใดเทียบได้ แต่ความนิยมในเรื่องความงามอันถือว่าเป็นยุคทองของศิลปกรรมนี้ยอมเปลี่ยนแปลงไปตาม คตินิยม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีของกลุ่มศิลปินในแต่ละยุคแต่ละสมัย

77.       ยุคทองของศิลปะอินเดียเจริญขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่เท่าใด

(1)ที่3-5           (2)ที่5-7           (3)ที่7-9           (4)ที่9-11

ตอบ 4 หน้า 100109 ยุคทองของศิลปะอินเดียซึ่งเป็นศิลปะที่มีความงามสูงสุด คือ ศิลปะสมัยคุปตะ ที่เจริญขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 9-11 ภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงศ์คุปตะ และในยุคนี้ ยังเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางด้านปรัชญาการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องในศาสนาอีกด้วย

78.       วัฒนธรรมของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์แสดงออกมาในรูปใด

(1) ภาษา         (2) อักษร         (3) ศิลปกรรม  (4) เพลงร้อง

ตอบ 3 หน้า 47 วัฒนธรรมของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มักแสดงออกมาในรูปของศิลปกรรม นับตั้งแต่เครื่องใช้ไม้สอย เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องประดับต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ ถึงความเจริญรุ่งเรืองของสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ และเทคโนโลยีในสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยังไม่มีตัวอักษรสำหรับการจดบันทึก

79.       เมื่อประติมากรรมและภาพเขียนในศิลปะคุปตะเสื่อมลงแล้ว

(1) นิยมเพิ่มรายละเอียดและเครื่องประดับมากขึ้น    (2) นิยมเพิ่มตัวบุคคลในภาพมากขึ้น

(3) นิยมใช้สีสันสดและหลายสีมากยิ่งขึ้น       (4) นิยมทำภาพเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ

80.       ภาพเขียนในสมัยคุปตะ

(1)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำภาพที่อยู่ใกล้ใหญ่และอยู่ไกลเล็กลง

(2)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำเป็นภาพซ้อน ๆ กันขึ้นไป

(3)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำภาพที่ต้องการเน้นให้ใหญ่เป็นพิเศษ

(4)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมแบ่งภาพออกเป็นช่วง ๆ

ตอบ 2 หน้า 103 ภาพเขียนในสมัยคุปตะจะนิยมเขียนแบ่งเป็นช่วง ๆ และมีลวดลายประดับตกแต่ง ส่วนการทำภาพให้เป็นสามมิตินั้น ช่างคุปตะนิยมทำเป็นภาพซ้อน ๆ กันขึ้นไป โดยภาพบุคคล ที่อยู่ไกลจะเขียนให้รูปเล็กลง จึงทำให้เกิดเป็นภาพสามมิติขึ้นมาได้

81.       ลักษณะพิเศษของศิลปะปาละ-เสนะ คือประติมากรรม

(1) หนักทึบ ไม่มีความงามแต่อย่างใด 

(2) มักมีแผ่นหลังประกอบ

(3) ตั้งอยู่บนฐานที่สูงขึ้น         

(4) มีรูปอวบอ้วน ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี

ตอบ 2 หน้า 105 ลักษณะพิเศษของศิลปะปาละและเสนะ คือ ประติมากรรมมักมีแผ่นหลังประกอบ ซึ่งมีลวดลายประดับอยู่มากมายติดอยู่กับพระพุทธรูป โดยพระพุทธรูปส่วนใหญ่ในสมัยนี้ มักเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องที่หล่อด้วยสำริดและสร้างด้วยศิลา แต่ไม่มีความสวยงามเลย

82.       จิตรกรรมในสมัยโบราณมักพบ

(1)ตามถํ้า        

(2)ตามแผ่นจารึก         

(3)ตามฐานพระพุทธรูป           

(4)ตามแผ่นหิน

ตอบ 1 หน้า 49 – 51 จิตรกรรมในสมัยโบราณก่อนประวัติศาสตร์มักพบตามถํ้า เช่น ตามผนังถํ้า และเพดานถํ้าที่อยู่ลึกจากปากถํ้าเข้าไป บางครั้งจึงเรียกว่า ศิลปะถ้ำ” โดยถํ้าแรกสุดที่พบ จิตรกรรมภาพเขียนของคนก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าที่สุด คือ ถํ้า Altamira ที่อยู่ทางตอนเหนือ ของสเปน โดยพบภาพเขียนเป็นภาพกวางตัวเมีย ส่วนที่ถํ้า Laussel ในฝรั่งเศส ได้พบภาพเขียน เป็นภาพสัตว์ เช้น รูปม้า วัวไบซัน และกวาง

83.       สมัยหินกลาง หมายถึง

(1) ยุคสมัยหนึ่งของสมัยก่อนประวัติคาสตร์   

(2) สมัยกลางของสมัยก่อนประวัติศาสตร์

(3) สมัยที่คนสมัยหินรู้จักใช้หินเป็นอาวุธ        

(4) สมัยที่คนสมัยหินรู้จักใช้เหล็กเป็นอาวุธ

ตอบ 1 หน้า 49 – 5663 – 6875 ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั้งของยุโรปและของไทย แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ 1. ยุคสมัยหินเก่า 2. ยุคสมัยหินกลาง 3. ยุคสมัยหินใหม่ 4. ยุคสมัยโลหะ

84.       ประติมากรรมของคนสมัยหินนั้นมักแสดงออกถึงสิ่งใด

(1) ความต้องการให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล      (2) ความมีบุตรหลานมากมาย

(3) ความมั่งมีศรีสุข     (4) ความอุดมสมบูรณ์

ตอบ 4 หน้า 51 ประติมากรรมที่ทำขึ้นครั้งแรกของคนสมัยหินหรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์จะนิยมทำเป็นรูปผู้หญิงไม่มีหน้าตา แต่มีรูปร่างอ้วน แสดงว่าประติมากรรมที่ทำขึ้นมานี้ มีความเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และแสดงออกถึงการนับถือเพศแม่อย่างชัดเจน เช่น พบประติมากรรมลอยตัวที่ประเทศเยอรมนี คือ วีนัส วีเลนดอร์ฟ (Venus of Willendorf) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์

85.       หุบเขานามาดาของอินเดียมีความสำคัญ คือ

(1) เป็นแหล่งที่พบภาพเขียนที่ถํ้ามากที่สุด     (2) เป็นแหล่งที่มีทิวทัศน์สวยงามมากที่สุด

(3) เป็นแหล่งที่พบขวานหินมากที่สุด  (4) เป็นแหล่งที่พบภาชนะที่ทำด้วยโลหะมากที่สุด

ตอบ 1 หน้า 216, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 38) ถํ้าในหุบเขานามาดา (Namada) ของประเทศ อินเดีย เป็นแหล่งที่พบจิตรกรรมภาพเขียนฝาผนังสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากที่สุด โดยรูปภาพ และเทคนิคการเขียนจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพเขียนในถํ้าที่พบในประเทศสเปนและฝรั่งเศส

86.       สถาปัตยกรรมในยุคแรกเริ่มของอินเดีย

(1) มีความเรียบง่ายมากที่สุด  (2) มักเจาะลึกเข้าไปในภูเขา

(3) มักสร้างด้วยดินเหนียวและไม้       (4) มักพบตามถํ้า

ตอบ 3 หน้า 90 นักโบราณคดีให้ความเห็นว่า สถาปัตยกรรมในยุคแรกเริ่มของอินเดียนั้นคงจะสร้างด้วยดินเหนียวและไม้ซึ่งแตกสลายได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่เหลือร่องรอยให้คนรุ่นหลังได้เห็น ทำให้สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมเก่าสุดที่เหลืออยู่ไม่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ 3 แม้ว่า พุทธศาสนาจะเจริญขึ้นในอินเดียตั้งแต่พุทธกาลมาแล้วก็ตาม

87.       ศาสนาพุทธเจริญขึ้นในแคว้นใดของอินเดีย

(1) แคว้นปัญจาบ        (2) แคว้นอัสสัม           (3) แคว้นมคธ  (4) แคว้นสินธุ

ตอบ 3 หน้า 90 พระพุทธศาสนาเจริญขึ้นในอินเดียที่แคว้นมคธหรือมคธราฐในสมัยพระเจ้าพิมพิสาร และเจริญขึ้นถึงขีดสุดในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชราวพุทธศตวรรษที่ 3 ดังนั้นในยุคแรกเริ่ม ของการทำศิลปกรรมอินเดียนี้ พุทธศาสนาจึงมีบทบาทเป็นอย่างมาก

88.       พุทธศิลปะในยุคแรกเริ่มของอินเดีย

(1) มักเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพุทธประวัติ  (2) มักเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งสมาธิ

(3) มักเป็นพระพุทธเจดีย์        (4) มักเป็นศาสนสถาน

ตอบ 4 หน้า 91 พุทธศิลปะในยุคแรกเริ่มของอินเดียที่เหลือร่องรอยไว้ให้ชนรุ่นหลังได้เห็นเก่าสุด คือ ศิลปกรรมในสมัยพระเจ้าอโคกมหาราช พุทธศตวรรษที่ 3 ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะกรีกและ อิหร่าน (เปอร์เซีย) เช่น มักสร้างเป็นศาสนสถานที่เจาะลึกเข้าไปในภูเขา โดยมีลักษณะเป็นถํ้า ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ เป็นถํ้าวิหาร และถํ้าเจดีย์สถาน

89.       พระพุทธรูปคันธารราฐเกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) มีความสวยงามตามธรรมชาติ       (2) มีความสวยงามตามแบบศิลปะกรีก

(3) มีความสวยงามตามแบบศิลปะอินเดีย      (4) มีความสวยงามที่เรียบง่ายมาก

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ

90.       สถาปัตยกรรมเก่าสุดที่พบในอินเดียไม่เก่าไปกว่า

(1) พุทธศตวรรษที่ 1

(2) พุทธศตวรรษที่ 2

(3) พุทธศตวรรษที่ 3

(4) พุทธศตวรรษที่ 4

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

91.       จิตรกรรมตามผนังถํ้าของอินเดียเก่าสุดอยู่ในสมัยใด

(1) สมัยหินเก่า            

(2) สมัยหินกลาง         

(3) สมัยหินใหม่           

(4) สมัยโลหะ

ตอบ 2 หน้า 5875 จิตรกรรมตามผนังถํ้าของอินเดียที่เก่าที่สุดอยู่ในสมัยหินกลาง โดยมีการพบหลักฐาน ที่ถํ้า The Great Billa Surgam Cave ใน Kurnool ซึ่งลักษณะของการเขียนภาพที่ปรากฏ ในถํ้าไม่ว่าจะเป็นรูปคน สัตว์ อาวุธ และเครื่องใช้ จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพเขียนในถํ้า ของประเทศฝรั่งเศสตามแบบของพวกแมกดาเลเนียน

92.       จิตรกรรมตามผนังถํ้าฃองไทยเก่าสุดอยู่ในสมัยใด

(1) สมัยหินเก่า            

(2)       สมัยหินกลาง   

(3)       สมัยหินใหม่     

(4)       สมัยโลหะ

ตอบ 1 หน้า 71108 (S), (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 39) จิตรกรรมตามผนังถํ้าของไทยที่เก่าที่สุดอยู่ในสมัยหินเก่า ซึ่งมีการพบหลักฐานทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนีอ ภาคใต้ และภาคกลาง เช่น มีการพบการสลักเพิงผาที่เก่าที่สุดที่ถํ้ามิ้ม จ.อุดรธานี หรือมีการพบรูปมือคนที่ถํ้าฝ่ามือ จ.ขอนแก่น เป็นต้น

93.       ถํ้าฝ่ามืออยู่ในจังหวัดใด

(1) ขอนแก่น    

(2)       เชียงราย          

(3)       กาญจนบุรี       

(4)       อุดรธานี

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94.       จิตรกรรมในถํ้าที่หุบเขานามาดาเหมือนภาพเขียนที่ใด

(1) เยอรมนี      (2)       ฝรั่งเศส            (3)       อังกฤษ            (4)       อิตาลี

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 85. ประกอบ

95.       โมเหนโจดาโรและฮารัปปา อยู่ในประเทศใด

(1) สเปน         (2)       อิตาลี   (3)       อินเดีย (4)       อินโดนีเซีย

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

ข้อ 96. – 100. ให้ระบายตัวเลือก 1 เมื่อเห็นว่าถูก ให้ระบายตัวเลือก 2 เมื่อเห็นว่าผิด

96.       สภาพแวดล้อมและประเพณีในสังคมที่แตกต่างกันย่อมทำให้ศิลปกรรมมีรูปแบบที่ต่างกัน

ตอบ 1 หน้า 1619 สภาพแวดล้อม (ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ฯลฯ) วัสดุที่นำมาใช้ สภาพสังคม ประเพณี และระบบการปกครองที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลทำให้แบบอย่างและลักษณะของ งานศิลปะแตกต่างกันไปด้วย เช่น ในประเทศที่ฝนตกชุกก็นิยมทำหลังคายื่นยาวออกมาเพื่อกันแดดและคุ้มฝน ส่วนประเทศที่แห้งแล้งก็มักทำหลังคางอนโค้งเพื่อรองรับนํ้าฝน เป็นต้น

97.       ความเข้าใจในศิลปะย่อมสามารถพัฒนารสนิยมของคนให้ดีขึ้น

ตอบ 1 หน้า 4 นักปราชญ์และศิลปินทั้งหลายให้ความเห็นว่า ความรู้สึกซาบซึ้งและเข้าใจในศิลปะ หรือการประจักษ์ในด้านความงาม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยพัฒนารสนิยมของคนให้ดีขึ้น ซึ่งถ้าคนเรารู้จักศึกษาและหาประสบการณ์ใหม่ ๆ พร้อมทั้งเอาใจใส่ที่จะเปลี่ยนแปลงและ ปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ รสนิยมในขั้นพื้นฐานที่มีอยู่ก็จะเกิดมีวิวัฒนาการใหม่และดีขึ้น

98.       วัฒนธรรมย่อมคู่กับศิลปกรรมเสมอ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

99.       ศิลปกรรมย่อมบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของคนในยุคนั้น ๆ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

100.    ศิลปินในยุคปัจจุบันมีความเห็นว่าศิลปะย่อมมีพื้นฐานมาจากความงามและความดี

ตอบ 2 หน้า 5-6 นักปรัชญาสมัยเก่ามักจะกล่าวถึงศิลปะว่ามีพื้นฐานมาจากความงามและความดี ในขณะที่นักปรัชญาในยุคปัจจุบันกลับมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะแตกต่างไปจาก นักปรัชญาสมัยเก่า โดยกล่าวว่า ศิลปะคือการสะท้อนความจริงของชีวิตตามที่เป็นอยู่จริง และความแท้จริงนั้นก็คือความงาม ซึ่งความงามของศิลปะอาจจะหมายถึงการพรรณนาเรื่องราว ในชีวิตทั้งในแง่ดีและไม่ดีก็ได้

ART1003 ศิลปะวิจักษณ์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา ART 1003 ศิลปะวิจักษณ์

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         จิตรกรรมตามผนังถํ้าของอินเดียเก่าสุดอยู่ในสมัยใด

(1)       สมัยหินเก่า      

(2) สมัยหินกลาง         

(3) สมัยหินใหม่           

(4) สมัยโลหะ

ตอบ 2 หน้า 5875 จิตรกรรมตามผนังถํ้าของอินเดียที่เก่าที่สุดอยู่ในสมัยหินกลางโดยมีการพบหลักฐาน ที่ถํ้า The Great Billa Surgam Cave ใน Kurnool ซึ่งลักษณะของการเขียนภาพที่ปรากฏ ในถํ้าไม่ว่าจะเป็นรูปคน สัตว์ อาวุธ และเครื่องใช้ จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพเขียนในถ้ำของประเทศฝรั่งเศสตามแบบของพวกแมกดาเลเนียน

2.         จิตรกรรมในถํ้าที่หุบเขานามาดาเหมือนภาพเขียนที่ใด

(1)       เยอรมนี           

(2) ฝรั่งเศส      

(3) อังกฤษ      

(4) อิตาลี

ตอบ 2 หน้า 216, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 38) หุบเขานามาดา (Namada) ของประเทศอินเดีย เป็นแหล่งที่พบจิตรกรรมภาพเขียนฝาผนังในถํ้าสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากที่สุด โดยรูปภาพ และเทคนิคการเขียนจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพเขียนในถํ้าที่พบในประเทศสเปนและฝรั่งเศส

3.         สถาบัตยกรรมที่สำคัญของศิลปะสมัยอมราวดี คือ

(1)       ศาสนสถานที่สลักลึกเข้าไปในภูเขา    

(2) สถูปสำหรับบรรจุพระบรมอิฐิของพระพุทธเจ้า

(3) ศาสนสถานที่สร้างขึ้นกลางแจ้ง    

(4) พระเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมอัฐของพระพุทธเจ้า

ตอบ 2 หน้า 97 – 98 ศิลปะอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7 – 9) เจริญขึ้นทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย แถบลุ่มแม่นํ้ากฤษณาโดยเฉพาะที่เมืองอมราวดี นาคารชุนิโกณฑะ ชัคคัยยะเปฎะ และโคลิ ภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงศ์สัตตวาหนะ เมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 6 โดยมีสถาปัตยกรรม ที่สำคัญที่สุด คือ สถูปสำหรับบรรจุพระบรมอิฐิธาตุของพระพุทธเจ้า

4.         ภาพเขียนในสมัยคุปตะ

(1)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำภาพที่อยู่ใกล้ใหญ่และอยู่ไกลเล็กลง

(2)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำเป็นภาพซ้อน ๆ กันขึ้นไป

(3)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมทำภาพที่ต้องการเน้นให้ใหญ่เป็นพิเศษ

(4)       เมื่อทำภาพสามมิติ ช่างนิยมแบ่งภาพออกเป็นช่วง ๆ

ตอบ 2 หน้า 103 ภาพเขียนในสมัยคุปตะจะนิยมเขียนแบ่งเป็นช่วง ๆ และมีลวดลายประดับตกแต่ง ส่วนการทำภาพให้เป็นสามมิตินั้น ช่างคุปตะนิยมทำเป็นภาพซ้อน ๆ กันขึ้นไป โดยภาพบุคคลที่อยู่ไกลจะเขียนให้รูปเล็กลง จึงทำให้เกิดเป็นภาพสามมิติขึ้นมาได้

5.         ทิวเขาหิมาลัยอยู่ทางทิศใดของประเทศอินเดีย

(1)       ทิศตะวันออก   (2) ทิศตะวันตก           (3) ทิศเหนือ     (4) ทิศใต้

ตอบ 3 หน้า 81 ประเทศอินเดียมีพื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยม ทางทิศเหนือมีทิวเขาหิมาลัยเหยียดยาว จากตะวันออกไปยังตะวันตก ซึ่งเป็นบ่อเกิดของแม่นํ้าสินธุและแม่น้ำคงคา

6.         ศิลปะอินเดียที่เจริญขึ้นแถบแม่น้ำกฤษณา คือ

(1) ศิลปะคันธารราฐ   (2) ศิลปะมถุรา            (3) ศิลปะอมราวดี       (4) ศิลปะคุปตะ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

7.         หุบเขานามาดาของอินเดียมีความสำคัญ คือ

(1) เป็นแหล่งที่พบภาพเขียนที่ถํ้ามากที่สุด     (2) เป็นแหล่งที่มีทิวทัศน์สวยงามมากที่สุด

(3) เป็นแหล่งที่พบขวานหินมากที่สุด  (4) เป็นแหล่งที่พบภาชนะที่ทำด้วยโลหะมากที่สุด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

8.         สถาปัตยกรรมเก่าสุดที่พบในอินเดียไม่เก่าไปกว่า

(1) พุทธศตวรรษที่ 1    (2) พุทธศตวรรษที่ 2    (3) พุทธศตวรรษที่ 3    (4) พุทธศตวรรษที่ 4

ตอบ 3 หน้า 90 นักโบราณคดีให้ความเห็นว่า สถาปัตยกรรมในยุคแรกเริ่มของอินเดียนั้นคงจะ สร้างด้วยดินเหนียวและไม้ซึ่งแตกสลายได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่เหลือร่องรอยให้คนรุ่นหลังได้เห็น ทำให้สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมเก่าสุดที่เหลืออยู่ไม่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ 3 แม้ว่า พุทธศาสนาจะเจริญขึ้นในอินเดียตั้งแต่พุทธกาลมาแล้วก็ตาม

9.         ยุคทองของศิลปะอินเดียเจริญขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่เท่าใด

(1) ที่ 3 – 5       (2) ที่ 5 – 7       (3) ที่ 7 – 9       (4) ที่ 9 – 11

ตอบ 4 หน้า 100109 ยุคทองของศิลปะอินเดียซึ่งเป็นศิลปะที่มีความงามสูงสุด คือ ศิลปะสมัยคุปตะ ที่เจริญขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 9-11 ภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงศ์คุปตะ และในยุคนี้ ยังเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางด้านปรัชญาการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องในศาสนาอีกด้วย

10.       จากแบบอย่างศิลปะต่างชาติ ได้กลายเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียอย่างแท้จริงเพราะ

(1)       ทิวเขาหิมาลัยขวางกั้นความเจริญจากภายนอก

(2)       ภูมิประเทศมีทิวเขามากมายขวางกั้นความเจริญจากภายนอก

(3)       ช่างอินเดียมีความสามารถพิเศษในการดัดแปลง      

(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 82109 ศิลปกรรมรุ่นแรกของอินเดียจะปรากฏอิทธิพลของศิลปะเมโสโปเตเมียศิลปะอิหร่าน และศิลปะกรีกอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยอิทธิพลของลักษณะภูมิประเทศที่มีทิวเขา มากมายขวางกั้นความเจริญจากโลกภายนอก และความชำนาญของช่างพื้นเมืองที่มีความสามารถ พิเศษในการดัดแปลง จึงทำให้ศิลปะอินเดียได้กลายจากอิทธิพลของศิลปะต่างชาติมาเป็นแบบอย่าง ของศิลปะอินเดียที่มีความงดงามตามแบบอุดมคติของศิลปะทางตะวันออกอย่างแท้จริง

11.       ศิลปกรรมรุ่นแรกของอินเดียปรากฏมิอิทธิพลของ

(1) ศิลปะอียิปต์          

(2) ศิลปะเมโสโปเตเมีย          

(3) ศิลปะเขมร 

(4) ศิลปะจีน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

12.       วัฒนธรรมโมเหนโจดาโรและฮารัปปาเจริญขึ้นแถบลุ่มแม่นํ้า

(1) คงคา         

(2) ยมนา         

(3) สินธุ           

(4) กฤษณา

ตอบ 3 หน้า 5985 วัฒนธรรมโมเหนโจดาโรและฮารัปปาเจริญขึ้นแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็น วัฒนธรรมที่เจริญขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ ของอินเดีย เพราะพบหลักฐานทางโบราณคดีทั้งสองสมัย โดยโบราณวัตถุสำคัญในสมัย ก่อนประวัติศาสตร์ที่พบ คือ ตราประทับที่ทำจากหินสบู่ในแคว้นปัญจาบและสินธุ

13.       โบราณวัตถุที่สำคัญที่โมเหนโจดาโร

(1)       เครื่องมือหิน     

(2) หม้อดินเผา

(3) ตราประทับทำจากหินสบู่   

(4) ซากพระราวังโบราณ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

14.       ข้อใดที่เกี่ยวกับอารยธรรมฮินดูยุคกลาง

(1) ลุ่มแม่น้ำสินธุ         (2) พวกอารยัน            (3) นิยมบูชาวีรบุรุษ     (4) มุสลิม

ตอบ 3 (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 44) อารยธรรมฮินดูยุคกลาง ถือเป็นยุคที่ชนชั้นนักรบ มีอำนาจมาก นิยมบูชาวีรบุรุษ และเป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์ได้เปลี่ยนมาเป็นศาสนาฮินดู ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นหลายลัทธิ คือ ลัทธิไศวนิกาย นับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นใหญ่,ลัทธิวิษณุนิกาย นับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นใหญ่ และลัทธิศักติ นับถือพระมเหสี ของเทพต่าง ๆ เช่น พระศรีมหาอุมาเทวีหรือนางทุรคา (ผู้เข้าถึงได้โดยยาก) ฯลฯ

15.       ศิลปกรรมของอินเดียเกี่ยวข้องกับสิ่งใด

(1) ชีวิตความเป็นอยู่   (2) ศาสนา       (3) วัฒนธรรม  (4) ประเพณี

ตอบ 2 หน้า 83 – 84 ศาสนาเป็นแรงบันดาลใจอย่างมากต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะของอินเดีย เพราะปรากฏว่าศิลปกรรมของอินเดียทำขึ้นเพื่อรับใช้ศาสนาทั้งสิ้น เช่น ศิลปกรรมทางศาสนา ในพุทธศตวรรษที่ 4-14 นิยมแสดงออกมาเป็นภาพสลักนูนสูงและนูนตํ่าขนาดยาว หรือ เขียนภาพเล่าเรื่องบนผนังขนาดใหญ่

16.       ศิลปะใดที่เข้ามามีอิทธิพลต่อศิลปะอินเดียถึง 2 ครั้ง

(1) ศิลปะเมโสโปเตเมีย          (2) ศิลปะอิหร่าน         (3) ศิลปะกรีก  (4) ศิลปะโรมัน

ตอบ 2 (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 46) ศิลปะอิหร่านได้เข้ามามีอิทธิพลต่อศิลปะอินเดียถึง 2 ครั้ง คือ เมื่อได้เข้ามาครอบครองดินแดนแถบลุ่มแม่นํ้าสินธุตั้งแต่ประมาณพุทธกาลถึง พ.ศ. 250 และต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 17 อิหร่านก็มีอำนาจเหนืออินเดียอีกครั้ง จึงทำให้อิทธิพลของ ศิลปะอิหร่านปรากฏในศิลปะอินเดียเป็นอย่างมาก

17.       ศิลปะอินเดียเสื่อมลงเพราะเหตุใด

(1) ภูมิประเทศมีทิวเขามากเกินไป      (2) สังคมอินเดียมีกฎเกณฑ์และข้อบังคับมากเกินไป

(3) อิทธิพลของศิลปะต่างชาติมากเกินไป       (4) ชาวอินเดียไม่เชี่ยวชาญงานศิลปะ

ตอบ 2 หน้า 83 – 84109 การที่สังคมอินเดียมีกฎเกณฑ์และข้อบังคับมากเกินไป ทำให้ช่างอินเดีย ไม่สามารถใช้ความคิดของตนเองในการสร้างสรรค์งานศิลปะได้อีก เพราะช่างต้องการเพียงงานศิลปะที่ตรงตามกฎเกณฑ์และข้อบังคับอันเกิดจากความเชื่อเท่านั้น จึงเป็นผลให้ศิลปะ อินเดียเสื่อมลงในที่สุด เช่น การเสื่อมลงของศิลปะคุปตะ ซึ่งเป็นศิลปะยุคทองของอินเดีย

18.       ศาสนสถานในศิลปะคุปตะ

(1) ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์            (2) นิยมทำหลังคาเป็นชั้น ๆ

(3) นิยมสลักลึกเข้าไปในภูเขา            (4) นิยมสร้างสถูปเป็นพื้น

ตอบ 1 หน้า 102 สถาปัตยกรรมในสมัยคุปตะจะนิยมสร้างไว้กลางแจ้ง โดยในสมัยพระเจ้าจันทรคุปต์ ที่ 2พุทธศาสนสถานในศิลปะคุปตะที่สร้างขึ้น เช่น โบสถ์วิหาร สถูป ฯลฯ มักจะเลียนแบบ และได้รับอิทธิพลจากเทวาลัยของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งลักษณะทางสถาปัตยกรรมเช่นนี้ได้ให้ อิทธิพลต่อการสร้างเจดีย์ของพม่า (Pagoda) และบุโรพุทโธของอินโดนีเซียด้วย

19.       ลักษณะพิเศษของศิลปะปาละ-เสนะ คือประติมากรรม

(1) หนักทึบ ไม่มีความงามแต่อย่างใด (2) มักมีแผ่นหลังประกอบ

(3) ตั้งอยู่บนฐานที่สูงขึ้น         (4) มีรูปอวบอ้วน

ตอบ 2 หน้า 105 ลักษณะพิเศษของศิลปะปาละ-เสนะ คือ ประติมากรรมมักมีแผ่นหลังประกอบ ซึ่งมีลวดลายประดับอยู่มากมายติดอยู่กับพระพุทธรูป โดยพระพุทธรูปส่วนใหญ่ในสมัยนี้ มักเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องที่หล่อด้วยสำริดและสร้างด้วยศิลา แต่ไม่มีความสวยงามเลย

20.       สถาปัตยกรรมในยุคแรกเริ่มของอินเดีย

(1) มีความเรียบง่ายมากที่สุด

(2) มักเจาะลึกเข้าไปในภูเขา

(3) มักสร้างด้วยดินเหนียวและไม้

(4) มักพบตามถํ้า

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

21.       เมื่อประติมากรรมและภาพเขียนในศิลปะคุปตะเสื่อมลงแล้ว

(1) นิยมเพิ่มรายละเอียดและเครื่องประดับมากขึ้น    

(2) นิยมใช้สีสันสดและหลายสีมากยิ่งขึ้น

(3) นิยมทำภาพเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น  

(4) นิยมเพิ่มตัวบุคคลในภาพมากขึ้น

ตอบ 1 หน้า 101 – 103 พระพุทธรูปสมัยคุปตะ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยุคทองของอินเดียเริ่มเสื่อมลง เมื่อหมดสมัยของพระเจ้ากุมารคุปต์ในพุทธศตวรรษที่ 12 และหลังจากนี้เป็นต้นไปประติมากรรม ต่าง ๆ จะมีร่างกายหนักทึบและเพิ่มลวดลายมากขึ้น ส่วนภาพเขียนที่เป็นภาพบุคคลนั้นก็จะเพิ่มรายละเอียดและเครื่องประดับ ทำให้ภาพบุคคลเดี่ยวๆ ดูแข็งกระด้างไม่มีชีวิตจิตใจอีกต่อไป

22.       มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย เป็นมหาวิทยาลัยแห่ง

(1) พุทธศาสนา           

(2) ศาสนาพราหมณ์    

(3) ศาสนาอิสลาม       

(4) ศาสนาเชน

ตอ     1 หน้า 213152 (S) มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย เป็นงานสถาปัตยกรรมในสมัยศิลปะปาละ-เสนะ ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งพุทธศาสนา โดยเป็นศูนย์กลางใหญ่ ของพุทธศาสนาลัทธิตันตระ อยู่ในแคว้นเบงกอล

23.       ศาสนาพุทธเจริญขึ้นในแคว้นใดของอินเดีย

(1) แคว้นปัญจาบ        

(2) แคว้นอัสสัม           

(3) แคว้นมคธ  

(4) แคว้นสินธุ

ตอบ 3 หน้า 90 พระพุทธศาสนาเจริญขึ้นในอินเดียที่แคว้นมคธหรือมคธราฐในสมัยพระเจ้าพิมพิสาร และเจริญขึ้นถึงขีดสุดในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชราวพุทธศตวรรษที่ 3 ดังนั้นในยุคแรกเริ่ม ของการทำศิลปกรรมอินเดียนี้ พุทธศาสนาจึงมีบทบาทเป็นอย่างมาก

24.       พุทธศิลปะในยุคแรกเริ่มของอินเดีย

(1) มักเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพุทธประวัติ  (2) มักเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งสมาธิ

(3) มักเป็นพระพุทธเจดีย์        (4) มักเป็นศาสนสถาน

ตอบ 4 หน้า 91 พุทธศิลปะในยุคแรกเริ่มของอินเดียที่เหลือร่องรอยไว้ให้ชนรุ่นหลังได้เห็นเก่าสุด คือ ศิลปกรรมในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พุทธศตวรรษที่ 3 ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะกรีกและ อิหร่าน (เปอร์เซีย) เช่น มักสร้างเป็นศาสนสถานที่เจาะลึกเข้าไปในภูเขา โดยมีลักษณะเป็นถํ้า ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ เป็นถํ้าวิหาร และถํ้าเจดีย์สถาน

25.       พระพุทธรูปคันธารราฐเกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) มีความสวยงามตามธรรมชาติ       (2) มีความสวยงามตามแบบศิลปะกรีก

(3) มีความสวยงามตามแบบศิลปะอินเดีย      (4) มีความสวยงามที่เรียบง่ายมาก

ตอบ 2 หน้า 93 – 94 พระพุทธรูปสมัยคันธารราฐของอินเดียจะมีความสวยงามตามแบบศิลปะกรีก อย่างชัดเจน ซึ่งจะเห็นได้จากพระพักตร์ พระเกศา และการครองจีวรที่แทบจะไม่มีลักษณะ ของอินเดียเหลืออยู่เลย คือ มีการครองจีวรห่มคลุมพระอังสา (บ่าหรือไหล่) ทั้ง 2 ข้าง โดยมี จีวรแนบกันมากับพระองคั และมีริ้วนูนหนาเป็นวงโค้งซ้อนกันทางด้านหน้า

26.       ช่างโบราณไม่กล้าแสดงรูปพระพุทธรูปเพราะ

(1) ยึดมั่นในพระศาสนามากเกินไป    (2) ช่างไม่มีความชำนาญ

(3) เกรงกลัวต่อบาป    (4) ปฏิบัติตามบรรพบุรุษ

ตอบ 1 หน้า 83 – 849243 (S) ในยุคที่เริ่มสร้างรูปเพื่อรำลึกถึงพุทธธรรม ช่างอินเดียโบราณที่ ยึดมั่นในพระศาสนามากเกินไปจะไม่กล้าแสดงรูปพระพุทธรูปแต่จะเว้นเหลือไว้แต่พระแท่นว่าง นอกจากนี้ในการสลักภาพนูนสูงก็จะทำเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้าเท่านั้น เพื่อแสดง ให้เห็นว่าพระพุทธองค์นั้นหมดแล้วซึ่งความเห็นแก่ตัว ไม่ได้ยึดในตนอีกต่อไปหรือคล้ายกับ ปราศจากตัวตน

27.       พระพุทธรูปคันธารราฐมีการครองจีวรแบบใด

(1) ห่มคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง จีวรเป็นริ้ว    (2) ห่มเปิดพระอังสาขวา

(3) ห่มคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง จีวรเรียบ      (4) ห่มเปิดพระอังสาซ้าย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

28.       พระพุทธรูปยกชายจีวรขึ้นระหว่างพระโสณี

(1) พระพุทธรูปคันธารราฐ       (2) พระพุทธรูปมถุรา

(3) พระพุทธรูปอมราวดี           (4) พระพุทธรูปคุปตะ

ตอบ 2 หน้า 95, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 55) การครองจีวรของพระพุทธรูปมถุรา จะเป็นแบบใหม่ คือ ครองเฉพาะจีวรและสบงโดยไม่ปรากฎว่ามีสังฆาฏิ และมักห่มเฉียง เปิดพระอังสาซ้าย พระหัตถ์ซ้ายมักยกชายจีวรขึ้นระหว่างพระโสณี (ตะโพก)

29.       พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียอย่างแท้จริงในสมัยใด

(1) สมัยคันธารราฐ      (2) สมัยมถุรา  (3) สมัยคุปตะ (4) สมัยอมราวดี

ตอบ 2 หน้า 959799 พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียอย่างแท้จริง ในสมัยมถุรา (พุทธศตวรรษที่ 7-8) แต่ความเป็นอินเดียอย่างแท้จริงและลักษณะของ มหาบุรุษปรากฏขึ้นอย่างครบครันในพระพุทธรูปสมัยอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9)ซึ่งถือได้ว่ามีความงามตามแบบอินเดียโดยแท้ เพราะไม่เห็นลักษณะของอิทธิพลต่างชาติเลย

30.       พระพุทธรูปสมัยคุปตะของอินเดีย

(1)       มีความงามอย่างเรียบง่าย แต่รูปประติมากรรมหนักทึบ

(2)       มักนิยมห่มคลุมพระอังสาสองข้าง จีวรเป็นริ้ว เป็นพระพุทธรูปกรีก

(3)       ขมวดพระเกศาวนขวา นิยมห่มเฉียงเปิดพระอังสาซ้าย จีวรเป็นริ้ว

(4)       นิยมแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และเทวดา

ตอบ 4 หน้า 101 พระพุทธรูปสมัยคุปตะของอินเดียจะไม่นิยมแสดงให้เห็นว่าพระพุทธรูปเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง แต่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์และเทวดา หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดาก็ได้ ดังเช่นที่ช่างคุปตะไม่ได้แสดงให้เห็นมุกขลึงค์อันเป็นลักษณะที่แสดงให้รู้ถึงเพศเลย

31.       พระพุทธรูปยุคทองของอินเดียเริ่มเสื่อมลง

(1) หลังพุทธศตวรรษที่ 12       

(2) หลังพุทธศตวรรษที่ 13

(3) หลังพุทธศตวรรษที่ 14       

(4) หลังพุทธศตวรรษที่ 15

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

32.       พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียอย่างแท้จริงในสมัยใด

(1) สมัยคันธารราฐ      

(2) สมัยมถุรา  

(3) สมัยคุปตะ 

(4) สมัยอมราวดี

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

33.       ยุคทองของพระพุทธรูปไทยคือสมัยใด

(1) สมัยทวารวดี          

(2) สมัยศรีวิชัย            

(3) สมัยลพบุรี 

(4) สมัยสุโขทัย

ตอบ 4 หน้า 143 – 144 ศิลปะสมัยสุโขทัย ถือเป็นศิลปะยุคทองของศิลปกรรมไทย โดยเฉพาะ ประติมากรรมพระพุทธรูปไทยในสมัยนี้มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบบ มีความสวยงามสง่า ที่สุด และมีความเรียบง่ายตามอุดมคติผิดไปจากศิลปกรรมสมัยอื่น ๆ

34.       เพราะเหตุใดงานศิลปกรรมพุทธศาสนาในสมัยโบราณ ช่างฝีมือจึงเว้นที่ว่างไว้ไม่วาดหรือปั้น

(1) ไม่กล้าแสดงออกด้วยรูปทรง         (2) ขาดประสบการณ์

(3) ไม่ได้ยึดในตนอีกต่อไป      (4) เกรงกลัวบาป

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 26. ประกอบ

35.       พระพุทธรูปนาคปรก เริ่มทำในสมัยใด

(1) สมัยมถุรา  (2) สมัยอมราวดี          (3) สมัยคุปตะ (4) สมัยปาละ-เสนะ

ตอบ 2 หน้า 121 พระพุทธรูปนาคปรกในอินเดียมีกำเนิดครั้งแรกในศิลปะอมราวดี และทำแต่เฉพาะ ในศิลปะอมราวดีเท่านั้น หลังจากนั้นจึงได้ส่งผลต่อไปยังศิลปะลังกาแบบอนุราชปุระ นอกจากนี้ ยังให้อิทธิพลต่อศิลปะคุปตะและหลังคุปตะของอินเดียอีกด้วย

36.       พระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร คือ

(1)       พระพุทธรูปที่นั่งในท่าขัดสมาธิ เห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง

(2)       พระพุทธรูปที่นั่งในท่าขัดสมาธิ เห็นฝ่าพระบาทข้างเดียว

(3)       พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท   (4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 หน้า 139 – 140 พระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร คือ พระพุทธรูปประทับนั่งในท่าขัดสมาธิ แลเห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง ส่วนพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ คือ พระพุทธรูปประทับนั่งในท่าขัดสมาธิ แลเห็นฝ่าพระบาทเพียงข้างเดียว พระหัตถ์ประสานกันบนพระเพลา

37.       พระพุทธรูปที่ปรากฏครั้งแรกของไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาใด

(1) ศาสนาพราหมณ์    (2) ศาสนาพุทธหินยาน (3) ศาสนาพุทธมหายาน (4) ศาสนาฮินดู

ตอบ 2 หน้า 122 พระพุทธรูปที่ปรากฏครั้งแรกของประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธหินยาน อย่างเถรวาท และอิทธิพลของศิลปะอมราวดี โดยพุทธศาสนาเถรวาทที่อยูในความนับถือของ คนสมัยนั้นคงเป็นนิกายมูลสรรวาสติวาท ซึ่งใช้ภาษาสันสกฤตเป็นหลัก

38.       พระพุทธรูปทวารวดียุคแรกได้รับอิทธิพลของศิลปะใด

(1) ศิลปะอมราวดี คุปตะ หลังคุปตะ  (2) ศิลปะขอมแบบปาปวน

(3) ศิลปะพื้นเมือง       (4) ศิลปะอิสลาม

ตอบ 1 หน้า 123 – 124 พระพุทธรูปทวารวดีแบ่งเป็น 3 รุ่นดังนี้

1.         รุ่นที่ 1 หรือยุคแรก แสดงอิทธิพลของศิลปะอมราวดี คุปตะและหลังคุปตะ มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 12

2.         รุ่นที่ 2 แสดงอิทธิพลของศิลปะพื้นเมืองมากยิ่งขึ้น มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 – 15

3.         รุ่นที่ 3 แสดงอิทธิพลของศิลปะขอมแบบปาปวนหรือศิลปะลพบุรีตอนต้น มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 15 ลงมา

39.       จิตรกรรมตามผนังถํ้าของไทยเก่าสุดอยู่ในสมัยใด

(1) สมัยหินเก่า            (2) สมัยหินกลาง         (3) สมัยหินใหม่           (4) สมัยโลหะ

ตอบ 1 หน้า 71108 (S), (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 39) จิตรกรรมตามผนังถํ้าของไทย ที่เก่าที่สุดอยู่ในสมัยหินเก่า ซึ่งมีการพบหลักฐานทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และ ภาคกลาง เช่น มีการพบการสลักเพิงผาที่เก่าที่สุดที่ถํ้ามิ้ม จ.อุดรธานี หรือมีการพบรูปมือคน ที่ถํ้าฝ่ามือ จ.ขอนแก่น เป็นต้น

40.       ถํ้าฝ่ามืออยู่ในจังหวัดใด

(1) ขอนแก่น

(2) เชียงราย

(3) กาญจนบุรี

(4) อุดรธานี

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41.       บ้านเชียงเป็นสถานที่รู้จักกันทั่วไปเพราะ      

(1) เป็นแหล่งมีความเจริญ มีทิวทัศน์สวยงามที่สุด

(2)       เป็นแหล่งที่มีโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากที่สุด

(3)       เป็นแหล่งที่มีผู้ก่อการร้ายมากที่สุด   

(4) เป็นแหล่งที่พบเครื่องมือหินมากที่สุด

ตอบ 2 หน้า 112 (S) ศิลปะบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ถือเป็นศูนย์กลางของแหล่งกำเนิดอารยธรรมของมนุษย์ที่มีโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากที่สุด โดยจากหลักฐานทางโบราณวัตถุที่ค้นพบมีอายุถึง 6,000 – 5,000 ปี ดังนั้นจึงนับได้ว่า บ้านเชียงเคยเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง

42.       วัฒนธรรมของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์แสดงออกมาในรูปใด

(1) ภาษา         

(2) อักษร         

(3) ศิลปกรรม  

(4) เพลงร้อง

ตอบ 3 หน้า 47 วัฒนธรรมของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มักแสดงออกมาในรูปของศิลปกรรม นับตั้งแต่เครื่องใช้ไม้สอย เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องประดับต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ ถึงความเจริญรุ่งเรืองของสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ และเทคโนโลยีในสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยังไม่มีตัวอักษรสำหรับการจดบันทึก

43.       หัวเสาแบบโครินเธียน เป็นอิทธิพลของศิลปะใด

(1) กรีก            

(2) อียิปต์        

(3) เปอร์เซีย    

(4) เมโสโปเตเมีย

ตอบ 1 หน้า 94 – 95121 – 122 (S) สถาปัตยกรรมในศิลปะคันธารราฐของอินเดียจะได้รับอิทธิพล จากศิลปะกรีก เช่น การนิยมทำหัวเสาแบบโครินเธียน (Corinthian) ซึ่งมักจะประดับลวดลาย ด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ บนหัวเสา เช่น ลายใบอาคันธัส ลายใบปาล์ม ลายพวงองุ่น และ ลายกามเทพแบกพวงมาลัย ฯลฯ

44.       สมัยหินลาง หมายถึง

(1) ยุคสมัยหนึ่งของสมัยก่อนประวัติศาสตร์   (2) สมัยกลางของสมัยก่อนประวัติศาสตร์

(3) สมัยที่คนสมัยหินรู้จักใช้หินเป็นอาวุธ        (4) สมัยที่คนสมัยหินรู้จักใช้เหล็กเป็นอาวุธ

ตอบ 1 หน้า 49 – 5663 – 6875 ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั้งของยุโรปและของไทย แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ 1. ยุคสมัยหินเก่า 2. ยุคสมัยหินกลาง 3. ยุคสมัยหินใหม่ 4. ยุคสมัยโลหะ

45.       ประติมากรรมของคนสมัยหินนั้นมักแสดงออกถึงสิ่งใด

(1) ความต้องการให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล      (2) ความมีบุตรหลานมากมาย

(3) ความมั่งมีศรีสุข     (4) ความอุดมสมบูรณ์

ตอบ 4 หน้า 51 ประติมากรรมที่ทำขึ้นครั้งแรกของคนสมัยหินหรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์จะนิยมทำเป็นรูปผู้หญิงไม่มีหน้าตา แต่มีรูปร่างอ้วน แสดงว่าประติมากรรมที่ทำขึ้นมานี้ มีความเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และแสดงออกถึงการนับถือเพศแม่อย่างชัดเจน เช่น พบประติมากรรมลอยตัวที่ประเทศเยอรมนี คือ วีนัส วีเลนดอร์ฟ (Venus of Willendorf)

ซึ่งเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์

46.       ภาพเขียนที่ผนังถํ้า เขียนขึ้นเพื่อสิ่งใด

(1) เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจที่ตนเคยพบเห็นมาก่อน           (2) เพื่อใช้สอนชนรุ่นหลัง

(3) เพื่อแสดงออกถึงแรงบันดาลใจจากความงามนั้น ๆ (4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

ตอบ 4 (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 39) ภาพเขียนที่ผนังถํ้าหรือศิลปกรรมในถํ้าส่วนใหญ่ได้รับ แรงบันดาลใจจากสัตว์ชนิดต่าง ๆ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งนอกจากจะเขียนขึ้นเพื่อเป็น สิ่งเตือนใจตนแล้ว ก็ยังเขียนขึ้นเพื่อสั่งสอนชนรุ่นหลังให้รู้จักวิธีล่าสัตว์ที่ถูกต้องอีกด้วย

47.       ศิลปกรรมรุ่นแรกสุดของคนก่อนประวัติศาสตร์

(1) รูปคน         (2) รูปสัตว์       (3) รูปฝ่ามือ     (4) รูปป่าเขา

ตอบ 3 (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 39 – 40) รูปฝ่ามือหรือภาพมือคน เป็นศิลปกรรมรุ่นแรกสุด ของคนก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งพบในผนังถํ้าทั้งในยุโรปและเอเชีย โดยมีเทคนิคในการทำ คือ การใช้สีทาบนฝ่ามือแล้วทาบฝ่ามือลงไปบนผนังถํ้า หรือการใช้ฝ่ามือทาบลงบนผนังถํ้าแล้ว ใช้สีพ่นรอบ ๆ ฝ่ามือ เป็นต้น

48.       ลักษณะพิเศษของภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์

(1) มักนิยมเน้นสิ่งที่มีความหมายต่อพวกเขา  (2) มักนิยมเขียนด้วยสีดำ

(3) มักนิยมเขียนตัดเส้นด้วยสีดำ        (4) มักนิยมเขียนด้วยสีหลาย ๆ สี

ตอบ 1 หน้า 73 ลักษณะพิเศษของภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ คือ ศิลปินมักนิยมเน้นในสิ่งที่ มีความหมายและมีความสำคัญต่อพวกเขา โดยการเขียนรูปนั้น ๆ ให้มีขนาดใหญ่กว่าปกติ เช่น รูปสัตว์ขนาดใหญ่หรือรูปคนขนาดใหญ่ท่ามกลางรูปคนและสัตว์ที่มีขนาดเล็ก เป็นต้น

49.       แบบอย่างของศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์เป็นไปตามแบบอย่างประเทศใด

(1) เขมร           (2) อินเดีย       (3) จีน  (4) มาเลเซีย

ตอบ 2 หน้า 81 ศิลปะอินเดีย ถือเป็นแม่บทและเป็นผู้วงรากฐานทางวัฒนธรรมให้แก่ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชียอาคเนย์ เพราะไม่ว่าจะเป็นคติทางศาสนา การแสดงออกทางขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบทางศิลปะ และการจัดการปกครองในยุคแรกเริ่ม ก็เป็นไปตามแบบอย่างอินเดียทั้งสิ้น

50.       มวลชนได้สัมผัสสุนทรียภาพในศิลปะเป็นครั้งแรกเมื่อ

(1) มนุษย์ได้กำเนิดขึ้น

(2) สมัยก่อนประวัติศาสตร์

(3) สมัยอาณาจักรโรมัน

(4) สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป

ตอบ 1 หน้า 1 (S) สุนทรียภาพในศิลปะ หรือความรู้สึกทางด้านความงาม นับเป็นธรรมชาติที่เกิดมา กับมนุษย์ทุกรูปทุกนาม ซึ่งจะมีระดับความแตกต่างกันในด้านการแสดงออกเท่านั้น จึงเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าจุดเริ่มต้นของศิลปะได้กำเนิดขึ้นมาพร้อมกับการกำเนิดขึ้นของมนุษย์

51.       สุนทรียรสในวิชาศิลปะวิจักษณ์ ให้ความรู้สึกซาบซึ้งในเรื่องใด

(1) ความรัก     

(2) ความงาม   

(3) ความสวย  

(4) ความบันเทิง

ตอบ 2 หน้า 3 (S)12 – 13 (S) สุนทรียรสหรือรสของศิลปะจะก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในสุนทรียภาพ หรือความงามของศิลปะ ซึ่งนับเป็นความเข้าใจที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยมีสิ่งสำคัญ 2 ประการ คือ 1. ความซาบซึ้งทางอารมณ์ 2. ความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญา

52.       ลักษณะพิเศษของศิลปะบริสุทธิ์

(1) ให้ความชื่นชมยินดีทางด้านจิตใจ  

(2) ให้ความเพลิดเพลินสนุกสนาน

(3) ให้ความรู้สึกเหมือนจริงทุกประการ           

(4) ให้ความรู้สึกไม่เหมือนจริง

ตอบ 1 หน้า 87 (S) ศิลปะบริสุทธิ์ (Fine Art or Pure Art) เป็นงานศิลปะที่คำนึงถึงประโยชน์ ทางจิตใจ คือ ช่วยให้มีความสุขสบายใจ ทำให้เกิดความประทับใจที่ดื่มด่ำ มีความศักดิ์สิทธิ์ ในทางจิต เกิดอารมณ์สะเทือนใจไม่เสื่อมคลายและไม่สูญหายไปจากความทรงจำ ดังนั้นจึงจัดเป็นงานศิลปะอมตะหรือเรียกว่า วิจิตรศิลป” ซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูง ได้แก่ งานจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์

53.       สิ่งบันดาลใจให้ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะ

(1) ความสันโดษ          

(2) ความเชื่อในเรื่องวิญญาณ

(3) ความสะเทือนอารมณ์        

(4) ความกตัญณูต่อธรรมาติ

ตอบ 3 หน้า 10 ถึงแม้ว่าธรรมชาติจะเป็นแรงบันดาลใจอันเร้นลับที่ผลักดันให้ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะ ออกมาใบรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง สุดแล้วแต่ประสบการณ์และอารมณ์สะเทือนใจของศิลปินผู้นั้น แต่หากปราศจากอำนาจแห่งความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ อันก่อให้เกิดมโนภาพหรือจินตนาการ ขึ้นในจิตใจด้วยแล้ว งานศิลปะก็มิอาจสร้างสรรค์ขึ้นมาได้

54.       ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะจาก

(1) ธรรมชาติ   (2) คิดขึ้นเอง   (3) เลียนแบบจากงานอื่น        (4) เสียงเพลง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 53. ประกอบ

55.       มนุษย์ สัตว์ จัดเป็นรูปลักษณะของศิลปะแบบใด

(1) อิสระ          (2) ที่กำหนดแล้ว         (3) เรขาคณิต  (4) ธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 11 รูปลักษณะของงานศิลปะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ           1. แบบธรรมชาติเป็นรูปลักษณะที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ภูเขา ต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้มนุษย์ สัตว์ ฯลฯ

2.         แบบเรขาคณิต เป็นรูปลักษณะที่ได้แบบอย่างจากธรรมชาติมาบ้าง เช่น เส้นตรง เส้นโค้ง ฯลฯ

3.         แบบอิสระ เป็นรูปลักษณะที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมหรือ ความเห็นชอบของผู้ประดิษฐ์

56.       ศิลปะในข้อใดเป็นผลงานสูงสุดของมนุษย์

(1) ศาสนศิลปะ           (2) ศิลปะพื้นบ้าน        (3) ศิลปะถํ้า    (4) ศิลปะบนหน้าผา

ตอบ 1 หน้า 2004 (S)12 (S) ศาสนศิลปะ (Religious Art) หรืองานศิลปกรรมในลัทธิความเชื่อถือ และศาสนา ถือเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สูงสุดและเหนือกว่างานสร้างสรรค์ด้านอื่น ๆ เพราะเป็น งานศิลปะที่เกิดจากความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญาที่มีคุณค่าเหนือกว่าศิลปะทั้งหลายที่มนุษย์ ได้สร้างขึ้น เช่น ประติมากรรมพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย ภาพเขียนพุทธประวัติ โบสถ์ วิหาร หรือศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อการบูชาต่าง ๆ เป็นต้น

57.       ศิลปะของไทยยุคแรกเริ่ม คือศิลปะสมัยใด

(1) ศิลปะสมัยทวารวดี            (2) ศิลปะสมัยศรีวิชัย

(3) ศิลปะสมัยลพบุรี   (4) ศิลปะสมัยเชียงแสน

ตอบ 1 หน้า 116 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงแบ่งยุคสมัยของศิลปะในประเทศไทยไว้ รวม 7 สมัย ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มไปจนถึงยุคสุดท้ายไว้ดังนี้ 1. สมัยทวารวดี 2. สมัยศรีวิชัย 3. สมัยลพบุรี 4. สมัยเชียงแสน 5. สมัยสุโขทัย 6. สมัยอยุธยา 7. สมัยรัตนโกสินทร์

58.       ศิลปะยุคสุดท้ายของไทย คือศิลปะสมัยใด

(1) ศิลปะสมัยทวารวดี            (2) ศิลปะสมัยสุโขทัย

(3) ศิลปะสมัยอยุธยา (4) ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

59.       ภาพเขียนของจีนเจริญสูงสุดในสมัยใด

(1) สมัยราชวงศ์ฮั่น      (2) สมัยราชวงศ์ถัง      (3) สมัยราชวงศ์ซ่ง      (4) สมัยราชวงศ์หมิง

ตอบ 2 หน้า 39220 ภาพเขียนของจีนเจริญสูงสุดในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งถือเป็นยุคทองของศิลปะจีน ส่วนภาพเขียนในสมัยราชวงศ์ซ่งหรือซ้องนั้น ศิลปินจีนนิยมเขียนภาพภูมิประเทศหรือภาพทิวทัศน์ อันสวยงาม เช่น ภาพภูเขา ต้นไม้ ฯลฯ ผลุบโผล่อยู่ในสายหมอก

60.       ศิลปะจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งนิยมเขียนภาพประเภทใด

(1) ภาพสงคราม

(2) ภาพเหมือน

(3) ภาพนก ดอกไม้

(4) ภาพทิวทัศน์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

61.       ศิลปะของอินเดียสมัยใดที่ไม่นิยมทำรูปเคารพ

(1) ศิลปะสมัยคุปตะ   

(2) ศิลปะสมัยหลังคุปตะ

(3) ศิลปะสมัยปาละ-เสนะ      

(4) ศิลปะสมัยอิสลาม

ตอบ4 หน้า 106 – 107 ศิลปะอิสลาม (พุทธศตวรรษที่ 18 – 23) จะไม่นิยมทำรูปเคารพแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่ปรากฏว่ามีรูปเคารพที่เป็นประติมากรรมเลย แต่สิ่งที่เหลือให้ชื่นชมและมีความงามที่แปลกใหม่ คือ จิตรกรรมและสถาปัตยกรรม

62.       คุณค่าทางสุนทรียภาพทางศิลปะ คือ

(1)       เป็นการแสดงออกถึงภาพที่ให้ความรู้สึกสะเทือนใจมากที่สุด

(2)       เป็นภาพที่มีการจัดวางเส้น รูปร่าง มวล พื้นผิว และช่องว่างได้อย่างเหมาะสม

(3)       เป็นการแสดงออกถึงลีลา ฝีเแปรงที่แข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว

(4)       เป็นการแสดงออกถึงสิ่งแปลกใหม่ในงานศิลปะ

ตอบ 2 หน้า 32030 คุณค่าทางสุนทรียภาพของศิลปะหรือคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) คือ การจัดวางโครงสร้างของศิลปะให้มีองค์ประกอบของเส้น คุณค่า รูปร่าง มวล พื้นผิว และ ช่องว่างให้มีความสมดุล มีสัดส่วน มีช่วงจังหวะ มีความกลมกลืน มีความขัดแย้ง และมีจุดเด่น ในงานศิลปะได้อย่างเหมาะสม

63.       ลักษณะพิเศษของภาพจิตรกรรมไทย คือ

(1) สองมิติ       

(2) สามมิติ      

(3) ลายเส้น     

(4) สีน้ำ

ตอบ 1 หน้า 41221 – 222 ลักษณะพิเศษของภาพจิตรกรรมไทย คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทย ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสีและเส้นเท่านั้น ทำให้มีลักษณะเป็นรูปแบนเรียบ หรือเป็นภาพสองมิติ ที่ไม่มีความลึก ผิดกับภาพเขียนของศิลปะตะวันตก ซึ่งเป็นภาพสามมิติที่มีความลึก เพราะ ประกอบไปด้วยสี เส้น แสง และเงา

64.       ลักษณะของศิลปกรรมคิวบิสม์

(1) บริสุทธิ์ไร้เดียงสา   (2) นิยมสลักจากก้อนหิน

(3) รูปทรงบิดเบี้ยว      (4) เหมือนธรรมชาติ

ตอบ 3 หน้า 22138 – 39 (S)57 (S) ศิลปะนามธรรมหรือมโนศิลป์ (Abstract) คือ การถ่ายทอด ตามความรู้สึกด้วยใจ โดยการนำเอารูปทรงต่าง ๆ ที่พบเห็นในธรรมชาติมาจัดเสียใหม่ หรือ ปรุงแต่งดัดแปลงใหม่ ดังนั้นจึงอาจจะมีลักษณะกึ่งธรรมชาติ กึ่งนามธรรม และผิดเพี้ยนไปจาก ธรรมชาติอยู่บ้าง เช่น ศิลปะแบบคิวบิสม์ จัดเป็นศิลปะแบบกึ่งจินตนาการที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยม เป็นมุม และรูปทรงบิดเบี้ยว แด่ก็ยังพอพิจารณาดูรูปลักษณะได้ว่าเป็นรูปอะไร

65.       ศิลปะเพื่อประโยชน์ใช้สอย เรียกอีกอย่างว่า

(1) ศิลปะประทับใจ    (2) ศิลปะบริสุทธิ์         (3) ศิลปะโรแมนดิก     (4) ศิลปะประยุกต์

ตอบ 4 หน้า 8 – 93 – 4 (s)127 (S) ศิลปะประยุกต์ (Applied Art) คือ ศิลปะที่ตั้งใจสร้างหรือ ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ใช้สอย หรือเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันอย่างใดอย่างหนี่ง เช่น เครื่องประดับ (ต่างหู กำไลแขน เข็มกลัด) เครื่องจักร ผ้า เครื่องหนัง เครื่องเคลือบ รวมทั้งสะพานส่งนํ้า หรือเขื่อนกั้นนํ้าของศิลปะโรมัน ฯลฯ ซึ่งอาจจะแบ่งย่อยออกไปเรียกว่า พาณิชย์ศิลป์หรืออุตสาหกรรมศิลป์” แต่ถ้าหากประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประดับตกแต่งในอาคาร สถานที่ก็จะเรียกว่า มัณฑนศิลป์” เช่น การออกแบบเครื่องเรือน โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ

66.       ผลงานสูงสุดของมนุษย์คือข้อใด

(1) ศิลปะถํ้า    (2)       ศิลปะเพื่อชีวิต (3)       ศาสนศิลปะ     (4) ศิลปะบริสุทธิ์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 56. ประกอบ

67.       ศิลปะอิสลามเจริญขึ้นในอินเดียระหว่างพุทธศตวรรษที่เท่าใด

(1) พุทธศตวรรษที่ 7-9            (2) พุทธศตวรรษที่ 9-11

(3) พุทธศตวรรษที่ 11-14        (4) พุทธศตวรรษที่ 18 – 23

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

68.       การสร้างสรรค์ความงามของศิลปกรรมนานาชาติ มีลักษณะการแสดงออกด้วยสิ่งใด

(1) นํ้าหนัก      (2)       สีหลายสี          (3)       ความเหมือนกัน           (4) รสนิยมที่ต่างกัน

ตอบ 4 หน้า 5 (S) รสนิยมที่ดีในงานศิลปะ หมายถึง การรู้จักความสัมพันธ์ของโครงสร้างและ ส่วนประกอบขั้นมูลฐานที่สำคัญของงานศิลปะ โดยต้องพิจารณาถึงรูปลักษณะที่สวยงาม และประโยชน์ใช้สอยควบคู่กันไปด้วย ซึ่งรสนิยมในการสร้างสรรค์ศิลปกรรมของแต่ละชาติ จะแตกต่างกัน อันมีผลมาจากความแตกต่างของขนบธรรมเนียม เชื้อชาติ วัฒนธรรม และ ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล

69.       ศิลปะกินระวางเนื้อที่ หมายถึงข้อใด

(1) จิตรกรรม ประติมากรรม    (2) ภาพพิมพ์ วาดเส้น

(3) สถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์           (4) ต่างหูลายดอกกุหลาบ

ตอบ 1 หน้า 840 ศิลปะกินระวางเนื้อที่ (Space Art) บางครั้งก็เรียกว่า ทัศนศิลป์” (Visual Art or Plastic Art) หมายถึง ศิลปะที่จำกัดระวางเนื้อที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในอากาศด้วยปริมาตร ของศิลปะเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น

70.       ศิลปกรรมที่ให้คุณค่าทางสุนทรียสัมผัสในความงาม

(1) ผ้าฝ้ายทอมือ จากบ้านไร่ไผ่งาม

(2) กำไลเงินลายเรขาคณิต จากชาวม้ง

(3) ภาพเหมือนชาวไทยภูเขา

(4) งานเครื่องเขิน จากเชียงใหม่

ตอบ 3 หน้า 4 (S)184 (S) ศิลปกรรมที่ให้คุณค่าทางสุนทรียสัมผัสในความงาม เป็นงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความพอใจและรื่นรมย์ทางใจของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า ประณิตศิลป์” (Fine Art) เช่น จิตรกรรมภาพวาดต่าง ๆ การจำหลักไม้ การเขียนลายรดนํ้า และการประดับมุก เป็นต้น

71.       ลักษณะพิเศษของศิลปะนามธรรม

(1) ทำเป็นรูปที่ผู้อื่นไม่เข้าใจ    

(2) สร้างความคิดขึ้นมาใหม่

(3) ปรุงแต่งดัดแปลงใหม่        

(4) เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยเห็น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

72.       ศิลปะนามธรรม

(1) ไม่มีเนื้อหา 

(2) มีแต่ความว่างเปล่า

(3) รูปร่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม      

(4) มีรูปร่างบิดเบี้ยว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

73.       ข้อใดเป็นวิจิตรศิลป์

(1) แจกันรูปแบบแปลกใหม่    

(2) ตึกสูงห้าสิบชั้น

(3) ภาพพิมพ์รูปวัด      

(4) ภาพเหมือนรูปดอกไม้

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ

74.       งานหัตถศิลป์คือข้อใด

(1) จี้เพชรแซมด้วยมรกต         (2) ตะกร้าหวายลายดอกพิกุล

(3) ต่างหูรูปพัด            (4) หินสลักเป็นรูปเจดีย์

ตอบ 2 (คำบรรยาย) หัตถศิลป์ (Craft Art) หมายถึง งานศิลปะที่นำไปใช้ในงานหัตถกรรม โดยใช้มือทำเป็นส่วนใหญ่ เช่น เครื่องปั้นดินเผา งานแกะสลักไม้ งานถักทอ งานหวาย รวมถึงงานช่างสิบหมู่ของไทยด้วย

75.       งานทัศนศิลป์เกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) พานพระขันหมาก  (2) ภาพพิมพ์บนผ้าไหม (3) หน้าบันวิหารไม้วัดพันเตา            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 86 (S), (ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ) ทัศนศิลป์ (Visual Art) หมายถึง งานศิลปะที่สัมผัสได้ด้วยการมองเห็น ซึ่งเป็นศิลปะที่มีรูปทรง มีโครงสร้าง และมีผลงานที่สามารถมองเห็น ความงามได้ เช่น งานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์ ฯลฯ

76.       ประติมากรรมนูนต่ำคือข้อใด

(1) ภาพปูนปั้นที่เจดีย์จุลประโทน       (2) ลายจำหลักบนใบเสมา

(3) เหรียญห้าบาทไทย            (4) พระพุทธรูปบนฐานเตี้ย

ตอบ 3 หน้า 41 – 42 ประติมากรรม คือ ศิลปกรรมซึ่งเป็นรูปทรงสามมิติ มีการกินที่ในอากาศ แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ประติมากรรมนูนตํ่า คือ รูปที่ปั้นหรือแกะสลักให้ยื่นออกมา จากแผนหลัง โดยมีพื้นแบนราบเสมอกันทั่วทั้งองค์ประกอบ เช่น เหรียญเงินตราต่าง ๆ ฯลฯ

2.         ประติมากรรมนูนสูง คือ รูปปั้นหรือแกะสลักที่นูนออกมาจนเกือบหลุดออกจากแผ่นหลัง

3.         ประติมากรรมลอยตัว คือ รูปปั้นที่ไม่มีแผ่นหลัง สามารถดูได้รอบด้านและทุกระดับแนวดู

77.       ภาพหุ่นนิ่งมีลักษณะเกี่ยวข้องกับ

(1) ฉากลับแลเรื่องอิเหนา        (2) ตู้ลายรดนํ้าสมัยอยุธยา

(3) ลายเส้นรูปเหมือนดอกเบญจมาศ (4) รูปเรขาคณิตในศิลปะถํ้า

ตอบ 3 หน้า 36 (S) ภาพเหมือนจริงหรือหุ่นนิ่ง (Still Life) เป็นการแสดงออกตามความเป็นจริง ซึ่งถอดแบบมาจากธรรมชาติอย่งชัดเจน โดยศิลปินจะแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ตามที่เข้าใจ และต้องการแสดงออก ได้แก่ การแสดงออกถึงเรื่องราวชีวิตจริง การทำงาน ความยากจน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ภาพหุ่นนิ่งของนักดนตรี ภาพลายเส้นรูปเหมือน ของดอกไม้ต่าง ๆ เป็นต้น

78.       ภาพหุ่นนิ่งรูปดอกไม้เกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) สีน้ำมัน      (2) ลายเส้น     (3) จิตรกรรม   (4) ประติมากรรม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

79.       เก้าอี้ฝังมุกของจักรพรรดิจีน

(1) จิตรกรรมที่สดใส    (2) ประติมากรรมอันลํ้าค่า

(3) ความคิดจากจินตนาการ    (4) ความสวยงามของประณีตศิลป์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

80.       พื้นผิวขัดมันของเก้าอี้ไม้มะเกลือให้ความรู้สึกทางสุนทรียภาพที่

(1) ลื่น มัน       (2) น่าเกรงขาม            (3) บางเบา      (4) เย็น

ตอบ 4 หน้า 64 – 65 (S) พื้นผิวของดิน เปลือกไม้ อิฐ พืช เปลือกไข่ ขนสัตว์ ใยไหม ปีกของแมลง หรือไม้มะเกลือขัดมัน ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะโดยธรรมชาติเป็นวัสดุที่แข็งและสะท้อนแสงได้อย่างดี จะให้ความรู้สึกที่เย็น แต่ถ้ามีลายไม้มากหรือมีสีนํ้าตาลเข้มจนเกือบดำจะให้ความรู้สึกที่อบอุ่นแทน

81.       งานจิตรกรรม

(1) ความคิดสร้างสรรค์จากไม้ 

(2) ภาพดวงอาทิตย์บนผืนผ้าใบ

(3) บ้านสามชั้นทรงสเปน        

(4) ปูนปั้นสีสันสวยงาม

ตอบ 2 หน้า 4195 (S) งานจิตรกรรม (Painting) คือ ภาพเขียนและการเขียนภาพ โดยเป็นกรรมวิธี ของการนำสีชนิดต่าง ๆมาระบายหรือเขียนลงบนแผ่นราบ เช่นผืนผ้าไม้ โลหะ กระดาษ ผนังปูน ฯลฯ เพื่อให้เกิดเป็นภาพที่มีความหมายและมีความงามตามต้องการ

82.       จิตรกรรมฝาผนังของไทย

(1) ให้ความรู้สึกอ่อนหวานเสมอ          

(2) มักเป็นภาพสามมิติ

(3) มีความแบนเรียบ ไม่มีความลึก      

(4) มักเป็นเรื่องในวรรณคดี

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

83.       รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้ความรู้สึกที่

(1) หนักแน่น เข้มแข็ง  

(2) สดชื่น ร่าเริง           

(3) เก๋ สนุกสนาน         

(4) ไม่ค่อยเป็นทางการ

ตอบ 1 หน้า 62 – 63 (S) รูปทรง สามารถสื่อความหมายและความรู้สึกได้เช่นเดียวกับวิธีการของเส้น เช่น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะให้ความรู้สึกหนักแน่น เข้มแข็ง มั่นคงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าจะให้ความรู้สึก ตรงไปตรงมา เป็นกลาง เคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง รูปสี่เหลี่ยมคางหมูจะให้ความรู้สึกแปลกใหม่ เก๋ สนุกสนาน ไม่ค่อยเป็นทางการมากนักรูปร่างอิสระจะให้ความรู้สึกสดชื่น ร่าเริง เป็นต้น

84.       ความสมดุลคือข้อใด

(1) ต่างหูข้างหนึ่งเป็นรูปดาวและอีกข้างหนึ่งเป็นรูปเดือน      (2) ที่คาดผมมีโบทางซ้าย

(3) กระถางดอกโป๊ยเซียนแตกกิ่งก้านสาขามากมาย (4) ดอกไม้ปักแจกันเป็นรูปดาว

ตอบ 1 หน้า 30 – 3176 (S) ความสมดุล หมายถึง ความเท่ากันหรือการถ่วงเพื่อให้เกิดการเท่ากัน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. ความสมดุลที่เท่ากัน คือ ความเท่ากันทั้งซ้ายและขวา เช่น ร่างกายของคน สัตว์ ฯลฯ 2. ความสมดุลไม่เท่ากัน คือ ความสมดุลที่มิได้เท่ากันโดยแท้จริง แต่มีการจัดขนาด รูปร่าง สี รูปทรง ฯลฯ ให้แตกต่างกันทั้ง 2 ข้าง หรือมีลักษณะสมดุลด้วยตา โดยประมาณ เช่น ต่างหูข้างหนึ่งเป็นรูปดาวและอีกข้างหนึ่งเป็นรูปเดือน ฯลฯ

85.       ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับรูปทรงเรขาคณิต

(1) ลายจำหลักหินรูปทรงกลม            (2) ตะกร้าย่านลิเภาลายสามเหลี่ยม

(3) ผ้าไหมลายนํ้าไหลจากน่าน            (4) จิตรกรรมฝาผนังลายเทพชุมนุม

ตอบ 4 หน้า 22360 (S) รูปทรง (Form) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

1.         อินทรียรูป คือ รูปทรงที่มีชีวิต มีกฎเกณฑ์และมีโครงสร้างที่แน่นอน

2.         รูปทรงเรขาคณิต คือ รูปทรงที่เกิดจากการสร้างของมนุษย์ให้เกิดเป็นเส้นตรง เป็นรูป มีเหลี่ยมมุม รูปวงกลม รวมถึงการตกแต่งด้วยแบบลายเส้นในการจักสาน เช่น ตะกร้า ชะลอม กระบุง ลายในการถักทอ ฯลฯ

3.         รูปทรงอิสระ คือ รูปทรงที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และไม่มีโครงสร้าง

86.       สีที่มีความอ่อนหวานคือสีใด

(1) สีแดง         (2) สีชมพู        (3) สีเหลือง     (4) สีเขียว

ตอบ 2 หน้า 71 (S) ในเรื่องจิตวิทยาของสีนั้นถือว่า สีมิอิทธิพลเหนือจิตใจของมนุษย์โดยทั่วไป ดังนั้นสีจึงสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึกได้เป็นอย่างดี เช่น สีเหลือง หมายถึง ความไพบูลย์สีแดง หมายถึง ความตื่นเต้นเร้าใจสีชมพูหรือสีดอกกุหลาบ หมายถึง ความอ่อนหวานนุ่มนวลสีเขียวและสีนํ้าเงิน หมายถึง ความสงบเงียบ ฯลฯ

87.       สีกลางคือสีใด

(1) ขาว            (2) น้ำเงิน        (3) นํ้าตาล       (4) เทา

ตอบ 4 หน้า 3467 (S) สีทั้งหลายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเกิดจากการผสมกันของแม่สีที่เรียกว่า แม่สีวัตถุธาตุ ได้แก่            1. สีนํ้าเงิน (Prussian Blue)     2. สีแดง (Crimson)3. สีเหลือง (Gamboge Tint) ซึ่งสีทั้งสามนี้เมื่อนำมาผสมกันในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน ก็จะได้สีกลาง (Neutral Tint) คือ สีเทา แต่ถ้าผสมเข้มจัดจะได้สีดำ

88.       สีตรงกันข้ามคือข้อใด

(1) เทาเข้ม       ฟ้าใส   (2) แดง ชมพูอ่อน        (3)       เหลือง  นํ้าตาล (4)       ส้ม นํ้าเงิน

ตอบ 4 หน้า 3669 (S) สีตรงกันข้ามหรือสีคู่จะเป็นสีที่ตัดกันอย่างแท้จริง ซึ่งสีบางสีจะเอามาผสมกัน ไม่ได้เพราะสีจะเน่าและไม่สวย โดยสีชนิดนี้มีมากคู่ด้วยกัน เช่น สีเขียวกับสีแดงเลือดนก,สีเหลืองกับสีม่วงสีน้ำเงินกับสีส้มสีแดงกับสีเขียวนํ้าเงิน ฯลฯ

89.       ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ด้านที่โดนแดดเต็มที่จะเป็นสีใด

(1) เหลือง        (2) ขาว            (3)       เทา      (4)       ดำ

ตอบ 2 หน้า 55 – 56 (S) การเขียนรูปที่มีแสงส่องด้านข้างนั้น ด้านที่โดนแดดเต็มที่จะสว่างจนเกิด เป็นน้ำหนักขาว ส่วนที่พอจะได้แสงนิดหน่อยจะกลายเป็นสีเทา และส่วนที่ตรงกันข้ามกับแสง หรือเงาจะเป็นนํ้าหนักดำ

90.       ค่าของความแตกต่างที่เกิดจากแสงและเงาคือ

(1) รูปทรง        (2) ความเข้ม   (3)       จุด       (4)       ทิศทาง

ตอบ 2 หน้า 56 (S) ความเข้ม (Value) หมายถึง ค่าของความแตกต่างที่เกิดจากแสงและเงา ซึ่งคุณค่าของแสงและเงาจะช่วยให้งานศิลปะมีลักษณะเป็นแท่งหรือเป็นกลุ่มก้อน จนทำให้ เกิดเป็นภาพสามมิติขึ้น และก่อให้เกิดความงามในทางศิลปะ

91.       การใช้สีของศิลปะป๊อบ

(1) ชมพู แดงส้ม          

(2) นํ้าเงิน ฟ้าหม่น 

(3) แดง น้ำเงิน      

(4) เหลือง ครีม

ตอบ 3 หน้า 61 (S) ศิลปะป๊อบ มีลักษณะเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มีการล้อเลียน เยาะเย้ย หรือคัดค้านในเรื่องของสุนทรียภาพอยู่บ้าง มีการใช้สีสดใสระบายด้วยเทคนิคของ เส้นรอบนอกและขอบคม นิยมใช้สีตัดกัน เช่น นํ้าเงินกับแดง แดงกับเหลือง เป็นต้น

92.       เส้นที่กระจายออกเป็นรัศมี หมายถึง

(1) ความหวัง   

(2) ความทะเยอทะยาน

(3) ความมีกำลังเพิ่มขึ้น           

(4) ความมีสง่า

ตอบ 3 หน้า 264423051 – 53 (S) ความหมายของเส้น มีดังนี้

1. เส้นตรง ให้ความรู้สึกแข็งแรง มั่นคง           2. เส้นโค้ง ให้ความรู้สึกอ่อนโยน อ่อนหวาน อ่อนไหว

3. เส้นตั้ง ให้ความรู้สึกมั่นคง จริงจัง   4. เส้นซิกแซ็ก ให้ความรู้สึกไม่หยุดนิ่ง ต่อเนื่อง

ไม่สิ้นสุด ตื่นเต้น          5. เส้นนอน ให้ความรู้สึกสงบ นิ่งเฉย ผ่อนคลาย

6.         เส้นที่กระจายออกเป็นรัศมี ให้ความรู้สึกกระจายออก ระเบิด ความมีกำลังเพิ่มขึ้น

7.         เส้นโค้งลงสู่พื้น ให้ความรู้สึกเศร้า เหนื่อยหน่าย ฯลฯ

93.       เส้นที่มีลักษณะต่างกันและมีทิศทางต่างกัน

(1) ย้อมมีความกลมกลืนกัน    

(2) เกิดความไม่กลมกลืนกัน

(3) ไร้ชีวิตจิตใจ            

(4) มีความรู้สึกขัดแย้ง

ตอบ 2 หน้า 53 (S) หลักสำคัญในการออกแบบเส้นเพื่อให้รู้สึกว่ามีความกลมกลืนหรือตัดกัน มีดังนี้

1.         เส้นที่มีลักษณะคล้ายกันและมีทิศทางใกล้กัน ย่อมกลมกลืนกัน

2.         เส้นที่มีลักษณะต่างกันและมีทิศทางต่างกัน ย่อมไม่กลมกลืนกัน

94.       เส้นที่มีลักษณะต่างกัน

(1) ย่อมมีทิศทางต่างกัน          (2) ขาดชีวิตจิตใจ

(3) แสดงถึงความขัดแย้งกัน   (4) ไม่มีความกลมกลืนกัน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

95.       เส้นซิกแซ็ก หมายถึง

(1) ความมีพลัง            (2) ความต่อเนื่องไม่สิ้นสุด

(3) ความยุ่งเหยิง         (4) ความไม่สมดุล

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

96.       เส้นนอนมีความหมาย

(1) สงบ           (2) รวดเร็ว       (3) ต้นพลัง      (4) เหนื่อยหน่าย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

97.       ความมั่นคง แสดงด้วยเส้นใด

(1) เส้นโค้ง      (2)       เส้นตรง            (3)       เส้นเฉียง          (4)       เส้นผ่าน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

98.       เส้นที่ให้ความรู้สึกไม่หยุดนิ่ง คือ

(1) เส้นโค้ง      (2)       เส้นแย้ง           (3)       เส้นตรง            (4)       เส้นซิกแซ็ก

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

99.       เส้นโค้ง หมายถึง

(1) ความไม่แน่นอน     (2)ความอ่อนไหว         (3)ความแน่วแน่           (4)ความไม่หยุดนิ่ง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

100.    เส้นโค้งให้ความรู้สึกอย่างไร

(1) อ่อนหวาน

(2)หดหู่

(3)       สงบ

(4)       เหนื่อยหน่าย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

ART1003 ศิลปะวิจักษณ์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา ART 1003 ศิลปะวิจักษณ์

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         จิตรกรรมตามผนังถ้ำของไทยเก่าสุดอยู่ในสมัยใด

(1)       สมัยหินเก่า      

(2) สมัยหินกลาง         

(3) สมัยหินใหม่           

(4) สมัยโลหะ

ตอบ 1 หน้า 71108 (S), (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 39) จิตรกรรมตามผนังถํ้าของไทย ที่เก่าที่สุดอยู่ในสมัยหินเก่า ซึ่งมีการพบหลักฐานทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และ ภาคกลาง เช่น มีการพบการสลักเพิงผาที่เก่าที่สุดที่ถํ้ามิ้ม จ.อุดรธานี หรือมีการพบรูปมือคน ที่ถํ้าฝ่ามือ จ.ขอนแก่น เป็นต้น

2.         พระบรมธาตุไชยาเป็นสถาปัตยกรรมในศิลปะ

(1)       ทวารวดี           

(2)       ศรีวิชัย 

(3)       ลพบุรี  

(4)       สุโขทัย

ตอบ 2 หน้า 129 พระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นสถาปัตยกรรมในศิลปะศรีวิชัยที่แม้จะได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาบ้าง แต่ก็ยังคงเห็นลักษณะเดิมของสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัยอยู่ ในขณะที่สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ที่พบใน อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีนั้น ได้รับการซ่อมแซม จนเกือบจะไม่เห็นสถาปัตยกรรมรูปเดิม

3.         ศิลปะของไทยสมัยใดที่มีความคล้ายคลึงกับศิลปะเขมร

(1)       ศิลปะศรีวิชัย   

(2)       ศิลปะลพบุรี    

(3)       ศิลปะสุโขทัย   

(4)       ศิลปะอยุธยา

ตอบ 2 หน้า 132 ศิลปะลพบุรี เจริญขึ้นทางภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยโดยลักษณะทางศิลปกรรมจะคล้ายคลึงกับศิลปกรรมในเขมร ทั้งนี้เพราะดินแดนส่วนใหญ่ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเมืองลพบุรีของไทยเคยอยู่ในครอบครองของเขมรมาก่อน

4.         พระพุทธรูปทวารวดีรุ่นที่ 2 เป็นอิทธิพลของศิลปะ

(1)       อินเดีย (2)       พื้นเมือง           (3)       เขมร    (4)       สุโขทัย

ตอบ 2 หน้า 123 – 124 พระพุทธรูปทวารวดีแบ่งเป็น 3 รุ่นดังนี้

1.         รุ่นที่ 1 แสดงอิทธิพลของศิลปะอมราวดี คุปตะและหลังคุปตะ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12

2.         รุ่นที่ 2 แสดงอิทธิพลของศิลปะพื้นเมืองมากยิ่งขึ้น มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 – 15

3.         รุ่นที่ 3 แสดงอิทธิพลของศิลปะขอมแบบปาปวนหรือศิลปะลพบุรีตอนต้น มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 15 ลงมา

5.         ศิลปะทวารวดี

(1)       ทำขึ้นจากคติทางศาสนาพุทธหินยานนิกายหนึ่ง         (2) เป็นศิลปะสมัยแรกสุดของไทย

(3) เป็นศิลปะที่เจริญขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือของไทย     (4) ถูกข้อ 1 และ 2

ตอบ 2 หน้า 119 – 120214 ศิลปะทวารวดี เป็นศิลปะสมัยแรกสุดของไทยที่เจริญขึ้นทางภาคกลาง และทำขึ้นจากคติทางพุทธศาสนาหินยานอย่างเถรวาทที่ใช้ทั้งภาษาบาลีและสันสกฤต พุทธศาสนา มหายาน และศาสนาฮินดู ดังนั้นจึงปรากฏมีอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบอมราวดีซึ่งเป็นศิลปกรรมที่ทำขึ้นจากคติทางพุทธหินยาน รวมทั้งศิลปะคุปตะ หลังคุปตะ และศิลปะปาละ- เสนะที่ทำขึ้นจากคติทางพุทธศาสนามหายาน

6.         พระพิมพ์ในศิลปะทวารวดีต่างจากพระพิมฟในสมัยศรีวิชัยคือ

(1)       ทำขึ้นเพื่อสืบศาสนาพุทธ        (2) เป็นพระพิมพ์ดินดิบ

(3) นิยมทำพระกำแพงร้อย      (4) เป็นพระพิมพ์สำริด

ตอบ 1 หน้า 124129 พระพิมพ์ของศิลปะทวารวดีมักสร้างด้วยดินเผาเพื่อไว้สืบพระบวรพุทธศาสนา โดยมักมีพระธรรมหรือคาถาเย ธมมาฯ อันเป็นหัวใจของศาสนาปรากฏอยู่ ส่วนพระพิมพ์ ของศิลปะศรีวิชัยนั้นทำขึ้นจากคติทางมหายาน โดยนิยมทำพระพิมพ์ดินดิบเพราะไม่ได้ถือ การสืบพระพุทธศาสนาเป็นที่ตั้ง แต่ถือปรมัตประโยชน์ของผู้มรณภพไปแล้ว

7.         ศิลปะของไทยสมัยใดที่นิยมสร้างสถาปัตยกรรมด้วยศิลาแลง

(1)       ศิลปะลพบุรี    (2) ศิลปะสุโขทัย         (3) ศิลปะอยุธยา         (4) ถูกข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 136148 สถาปัตยกรรมลพบุรีมักจะก่อด้วยศิลาแลงและสร้างเป็นเทวาลัยบนเชิงเขาสูง ส่วนสถาปัตยกรรมสุโขทัยที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะลพบุรีก็มักจะก่อด้วยศิลาแลงเช่นกัน เช่น พระปรางค์วัดพระพายหลวง หรือศาลตาผาแดง จ.สุโขทัย

8.         เราทราบคำว่า ทวารวดี” จาก

(1)       บันทึกจากจดหมายเหตุจีนในสมัยราชวงค์ฮั่น (2) จารึกบนหลักศิลาจารึกสมัยสุโขทัย

(3) บันทึกจากจดหมายเหตุรายวันของนักพรตจีน       (4) จารึกบนแผ่นทองที่พบที่นครปฐมและอู่ทอง

ตอบ 3 หน้า 119 เราทราบคำว่า ทวารวดี” จากการพบเหรียญเงิน 3 เหรียญที่มีจารึกว่าศรีทวาราวดีศวรปุณย” พร้อมทั้งจดหมายเหตุจีนจากการบันทึกของหลวงจีนเหี้ยนจัง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในสมัยราชวงศ์ถัง โดยเขาได้กล่าวถึงอาณาจักรโถโลโปตี้ (ทวารวดี) ว่า อยู่ระหว่างอาณาจักรศรีเกษตร (พม่า) และอาณาจักรอิสานปุระ (เขมร)

9.         เจดีย์วัดกู่กุดอยู่ที่จังหวัด

(1)       เชียงราย          (2) เชียงใหม่    (3) ลำพูน         (4) ราชบุรี

ตอบ 3 หน้า 124 – 125162 (S) สถาปัตยกรรมในสมัยทวารวดีจะเห็นได้จากรูปเจดีย์เท่านั้นเพราะไม่ปรากฏว่ามีโบสถ์วิหารหลงเหลืออยู่แตอย่างใด เช่น พระเจดีย์จุลประโทนและเจดีย์ วัดพระเมรุ จ.นครปฐม ซึ่งเป็นซากอาคารใหญ่ก่อด้วยอิฐ บางครั้งย่อมุมและมีบันไดลงไป ข้างล่างเจดีย์วัดกู่กุด จ.ลำพูน ซึ่งจัดเป็นสถาปัตยกรรมทวารวดีตอนปลาย ฯลฯ

10.       ศิลปะอินเดียที่ให้กับศิลปะทวารวดี

(1)       ศิลปะอินเดียสมัยโบราณและศิลปะคันธารราฐ

(2) ศิลปะมถุราและศิลปะอมราวดี

(3) ศิลปะคันธารราฐและศิลปะมถุรา

(4) ศิลปะอมราวดีและศิลปะคุปตะ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

11.       ศิลปะที่มีความคล้ายคลึงกับศิลปะอินโดนีเซีย

(1)       ศิลปะทวารวดี 

(2) ศิลปะศรีวิชัย         

(3) ศิลปะลพบุรี           

(4) ศิลปะเชียงแสน

ตอบ 2 หน้า 126 – 127 ศิลปะศรีวิชัย มีอำนาจขึ้นที่เกาะสุมาตราและขยายอำนาจเข้าครอบครอง ดินแดนทางตอนใต้ของไทย โดยศิลปะในสมัยนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับศิลปะอินโดนีเซีย คือ เป็นศิลปกรรมที่ทำขึ้นจากพุทธศาสนามหายานทั้งสิ้น โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบ คุปตะและปาละ-เสนะจากอินเดีย

12.       ศิลปะของไทยยุคใดที่ทำประติมากรรมได้สวยที่สุด

(1) ศิลปะเชียงแสน     

(2) ศิลปะสุโขทัย         

(3) ศิลปะอยุธยา         

(4) ศิลปะรัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 143 – 144 ศิลปะสุโขทัย ถือเป็นศิลปะยุคทองของศิลปกรรมไทย ทั้งนี้เพราะ ประติมากรรมในสมัยนี้มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบบ มีความสวยงามสง่าที่สุด และมีความเรียบง่ายตามอุดมคติผิดไปจากศิลปกรรมสมัยอื่น ๆ

13.       งานจิตรกรรมฝาผนังไทยมีลักษณะตามข้อใด

(1)       ภาพสามมิติ    

(2) มีระยะใกล้และไกล 

(3) ภาพสองมิติ         

(4) ภาพแบนเรียบ

ตอบ 3 หน้า 41221 – 222 ลักษณะพิเศษของภาพจิตรกรรมไทย คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทยส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสีและเส้นเท่านั้น ทำให้มีลักษณะเป็นรูปแบบเรียบ หรือเป็นภาพสองมิติ ที่ไม่มีความลึก ผิดกับภาพเขียนของศิลปะตะวันตก ซึ่งเป็นภาพสามมิติที่มีความลึก เพราะ ประกอบไปด้วยสี เส้น แสง และเงา

14.       ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกตามความเป็นจริง          

(1) ภาพหุ่นนิ่งของดอกชบา

(2)       ภาพเหมือนของหนูแหวน         (3) ภาพชีวิตชุมชนแออัด         (4)       ต้นนารีผล

ตอบ 4 หน้า11,36(S) การแสดงออกตามความเป็นจริง (Realism) เป็นการเปิดเผยสภาพความจริง จากธรรมชาติและสังคม โดยศิลปินจะแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ตามความเข้าใจและความต้องการ เช่น ภาพวาดด้านประวัติศาสตร์ ภาพเหมือนจริงหรือหุ่นนิ่งที่ถอดแบบมาจากธรรมชาติ อย่างชัดเจน ซึ่งอาจเป็นเรื่องราวชีวิตจริงของคน ชีวิตชุมชนแออัด ความยากจน ฯลฯ

15.       ภาพสามมิติมีลักษณะอย่างไร          

(1) แบนราบ

(2)       มีความลึกในภาพ        (3) เส้นคมกริบดังคมมีด          (4)       รูปทรงเป็นสี่เหลียมคางหมู

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

16.       ความเศร้าแทนด้วยเส้นใด     

(1) เส้นตั้งตัดกัน

(2)       เส้นโค้งเป็นครึ่งวงกลม            (3) เส้นเฉียงเป็นรูปกรวย        (4)       เส้นโค้งลงสู่พื้น

ตอบ 4 หน้า 264423051 – 53 (S) ความหมายของเส้น มีดังนี้

1.         เส้นตรง ให้ความรู้สึกแข็งแรง มั่นคง    2. เส้นโค้ง ให้ความรู้สึกอ่อนโยน อ่อนหวาน อ่อนไหว

3. เส้นตั้ง ให้ความรู้สึกมั่นคง จริงจัง   4. เส้นนอน ให้ความรู้สึกสงบ นิ่งเฉย ผ่อนคลาย

5.         เส้นซิกแซ็ก ให้ความรู้สึกไม่หยุดนิง ต่อเนื่อง ไม่สิ้นสุด ตื่นเต้น

6.         เส้นที่กระจายออกเป็นรัศมี ให้ความรู้สึกกระจายออก ระเบิด ความมีกำลังเพิ่มขึ้น

7.         เส้นโค้งลงสู่พื้น ให้ความรู้สึกเศร้า เหนื่อยหน่าย ฯลฯ

17.       ศิลปินได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งใดในการสร้างศาสนสถาน

(1)       ศาสนา            (2) ความเชื่อในเทพเจ้า           (3) ธรรมชาติ   (4) สงคราม

ตอบ 1. หน้า 15, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 28) ศาสนาเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ เพราะเมื่อเกิดศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ศิลปกรรมทุกแขนง ต่างก็สร้างขึ้นเพื่อรับใช้ศาสนาเป็นสวนใหญ่ ดังจะเห็นได้ว่ามีการสร้างศาสนสถาน ศาสนวัตถุ และจิตรกรรมอันเนื่องมาจากศาสนาอยู่มากมาย

18.       ข้อใดไม่ใช่หลักสำคัญของสุนทรียภาพ         

(1) ความมีระเบียบ

(2)       ความประสานกลมกลืน         (3) ความงาม   (4) ความเป็นธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 88 – 89 (ร) หลักสำคัญของสุนทรียภาพ หรือการรู้คุณค่าในความงามมีอยู่ 3 ประการ คือ

1.         ความมีระเบียบ (Order) 2. ความประสานกลมกลืน (Harmony) 3. ความงาม (Beauty)

19.       ศิลปะภาพพิมพ์มีลักษณะตามข้อใด  

(1) เขียนเป็นลายเส้น

(2)       ระบายด้วยสีลงบนผ้า (3) กดหรือประทับจากแม่พิมพ์           (4) มักเป็นสีเอกรงค์

ตอบ 3 หน้า 97 (S) ศิลปะภาพพิมพ์ (Graphic Arts) มาจากภาษาลาตินว่า “Premere”ซึ่งแปลว่า การกดให้ติด” หมายถึง การสร้างรูปหรือเครื่องหมายลงบนวัสดุผิวราบใด ๆ ด้วยวิธีการกดหรือประทับจากแม่พิมพ์ ซึ่งเป็นงานศิลปะที่มีผิวพื้นแบนราบ มีลักษณะ 2 มิติ มีความกว้างและความยาว โดยปราศจากความหนาหรือความลึก

20.       ข้อใดคืองานประติมากรรม

(1)       ผ้าลายนํ้าไหลจากเมืองน่าน

(2) วีนัส วีเลนดอร์ฟ

(3)       ภาพหญิงสาวส่องกระจกของปิกาลโซ

(4) พีระมิด

ตอบ 2 หน้า 51 ประติมากรรมยุคโบราณที่ทำขึ้นครั้งแรกของคนสมัยหินหรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มักจะนิยมทำเป็นรูปผู้หญิง ไม่มีหน้าตา แต่มีรูปร่างอ้วน แสดงว่าประติมากรรมที่ทำขึ้นมานี้ มีความเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และแสดงออกถึงการนับถือผู้หญิงเป็นใหญ่หรือนับถือ เพศแม่อย่างชัดเจน เช่น พบประติมากรรมลอยตัวที่ประเทศเยอรมนี คือ วีนัส วีเลนดอร์ฟ (Venus of Willendorf) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์

21.       ข้อใดคืองานนิเทศศิลป์

(1)       การออกแบบลายผ้า 

(2) ตุ๊กตาดินเผา 

(3) เครื่องไม้ลายไทย   

(4) กำไลแผ่นทองลายไทย

ตอบ 1 หน้า 102 – 103 (S) งานนิเทศศิลป์ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการธุรกิจและการโฆษณา เช่น การออกแบบหนังสือเด็ก ภาพประกอบในนิตยสาร การออกแบบเครื่องหมายสัญลักษณ์ การออกแบบลายผ้า ลายกระเบื้องเคลือบ ตลอดจนการออกแบบผลิตภัณฑ์จำพวก เครื่องปันดินเผา ฯลฯ

22.       งานจิตรกรรมฝาผนังข้อใดคือสัญลักษณ์ของความดีงามที่ศิลปินไทยโบราณได้ปรุงแต่งขึ้น

(1)       ครุฑ     

(2) เทพยดา     

(3) อสูร            

(4) คชสีห์

ตอบ 2 หน้า 44 (S) งานจิตรกรรมฝาผนังของศิลปินไทยในสมัยโบราณ มักจะสร้างสิ่งสมมุติเพื่อเป็นสัญลักษณ์ เช่น การเขียนภาพพระพุทธเจ้าขึ้นใหม่เพื่อแทนความหมายของนิพพาน. การเขียนรูปยักษ์มาร อสูรหรือปีศาจ แทนความหมายของอวิชชาหรือสิ่งชั่วร้าย,การเขียนรูปเทพยดา เทวดา นางฟ้า แทนความหมายของความดีงาม ฯลฯ

23.       จุดมุ่งหมายของการสร้างงานสถาปัตยกรรมอียิปต์เพื่อสิ่งใด 

(1) พระผู้เป็นเจ้า

(2)       วีรบุรุษ 

(3) คนที่ตายไปแล้ว     

(4) ตอบแทนบุญคุณธรรมชาติ

ตอบ 3 หน้า 116(S) สถาปัตยกรรมของอาณาจักรอียิปต์มีจุดมุ่งหมายในการสร้างขึ้นเพื่อคนที่ตาย ไปแล้ว โดยผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมนั้นได้ เช่น การสร้าง มัสตาบา และพีระมิด ซึ่งแบ่งเป็นห้องต่าง ๆ ตามความต้องการของฟาโรห์

24.       ประติมากรรมศิลปะอียิปต์มีลักษณะอย่างไร 

(1) ชอบสลักรูปหิน

(2)       ชอบแกะหินอ่อนสีชมพูเข้ม      (3) เป็นแท่งหินสี่เหลี่ยม ทึบตัน           (4) เป็นโลหะสีเขียว

ตอบ 3 หน้า 115-116 (S) ประติมากรรมของศิลปะอียิปต์จะเป็นแท่งหินสี่เหลี่ยม ซึ่งมีทั้งแบบ นูนเต็มตัวและแบบนูนต่ำ โดยรูปคนจะคล้ายกับหุ่น เน้นความงามด้านหน้า หรือมีลักษณะ มองตรงไปข้างหน้า แนวคางจะขนานกับเส้นพื้น ไม่ก้มไม่เงยหน้า ให้ความรู้สึกมั่นคงทึบตัน ไม่นิยมเน้นกล้ามเนื้อ และชอบตกแต่งด้วยแก้วหินสี

25.       งานจิตรกรรมศิลปะอียิปต์แสดงออกซึ่งความงดงามอย่างไร

(1) รูปคนมักสลับด้านกัน        (2) ไม่ได้คำนึงถึงลักษณะธรรมชาติ

(3)       แสดงภาพใกล้ไกลด้วยวิธซ้อนทับกัน  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 118(S) งานจิตรกรรมรูปคนของศิลปะอียิปต์มักจะสลับด้านกันโดยไม่ได้คำนึงถึง ลักษณะตามธรรมชาติ เช่น เขียนส่วนหัวและท่อนขาจนถึงเท้าเป็นรูปด้านข้าง เขียนตาและ ทรวงอกเป็นรูปด้านหน้า ฯลฯ นอกจากนี้ยังนิยมแสดงภาพใกล้ไกลด้วยวิธีซ้อนทับกัน เช่น จิตรกรรมฝาผนังกลุ่มนางร้องไห้ในสุสานของราโมเซส เป็นต้น

26.       ชนชาติใดได้แสดงออกทางศิลปกรรมอย่างมีเหตุผลและมีหลักเกณฑ์

(1) อียิปต์        (2) ซิมิติกส์      (3) กรีก            (4) เปอร์เซียน

ตอบ 3 หน้า 120 (S) ศิลปะกรีกเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของอารยธรรมตะวันตกที่แสดงออกทาง ศิลปกรรมอย่างมีเหตุผล ไม่ได้มุ่งสนองความเชื่อในอำนาจวิญญาณใด ๆ เชื่อในการค้นคว้า หาความจริงอย่างมีหลักเกณฑ์ อีกทั้งยังเคารพในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่มีความงาม เพื่อช่วยกล่อมเกลาพัฒนารสนิยมของมวลมนุษย์

27.       วัสดุประเภทใดได้ปรากฏอยู่ในโครงสร้างของงานประติมากรรมศิลปะกรีก

(1) อิฐ  (2)       ปูนปั้น  (3)       หินอ่อน            (4)       ศิลาแลง

ตอบ 3 หน้า 121 (S)124 (S) งานประติมากรรมของศิลปะกรีกนอกจากจะมีความสามารถสูงใน การแกะสลักวัสดุจำพวกหินต่าง ๆ และไม้แล้ว ยังนิยมใช้โลหะหล่อเป็นประติมากรรมอีกด้วย เช่น ประติมากรรมบนเงินเหรียญ นอกจากนี้ในงานสถาปัตยกรรมก็นิยมใช้หินอ่อนเนื้อละเอียด เป็นวัสดุในการก่อสร้างวิหารด้วยเช่นกัน

28.       ความเข้มเกิดจากความแตกต่างของสิ่งใด

(1) รูปทรง        (2)       สี          (3)       แสงและเงา     (4)       จุด

ตอบ 3 หน้า 56 (S) ความเข้ม (Value) หมายถึง ค่าของความแตกต่างที่เกิดจากแสงและเงาซึ่งคุณค่าของแสงและเงาจะช่วยให้งานศิลปะมีลักษณะเป็นแท่งหรือเป็นกลุ่มก้อน จนทำให้ เกิดเป็นภาพสามมิติขึ้น และก่อให้เกิดความงามในทางศิลปะ

29.       ชะลอมไม้ไผ่มีรูปทรงอย่างไร

(1) ลายเรขาคณิต       (2)       ลายเส้นตรง     (3)       ลายเส้นแย้ง    (4)       ลายจักสาน

ตอบ 1 หน้า 22360 (S) รูปทรง (Form) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

1.         อินทรียรูป คือ รูปทรงที่มีชีวิต มีกฎเกณฑ์และมีโครงสร้างที่แน่นอน

2.         รูปทรงเรขาคณิต คือ รูปทรงที่เกิดจากการสร้างของมนุษย์ให้เกิดเป็นเส้นตรงเป็นรูปมีเหลี่ยมมุม รูปวงกลม รวมถึงการตกแต่งด้วยแบบลายเส้นในการจักสาน ได้แก่ ตะกร้า ชะลอม กระบุง และลายในการลักทอ (เช่น ผ้าไหมลายน้ำไหลจากน่าน ฯลฯ)

3.         รูปทรงอิสระ คือ รูปทรงที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และไม่มีโครงสร้าง

30. อินทรียรูป คือรูปทรงอย่างไร

(1)       มีโครงสร้างแน่นอน

(2) มีโครงสร้างอิสระ

(3)       มีโครงสร้างเป็นทรงเรขาคณิต

(4) มีโครงสร้างที่เกิดจากความเข้ม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

31.       ความรู้สึกเรื่องความมั่นคงของตัวอาคารเกิดขึ้นจากข้อใด

(1) การใช้ฐานอาคารเป็นเส้นตรง        

(2) หลังคาพื้นเรียบเป็นเส้นตรง

(3)       ตัวอาคารสีอ่อน            

(4) ตัวอาคารเป็นทรงสี่เหลี่ยม

ตอบ 1 หน้า 25 – 26 เส้น (Line) จะก่อให้เกิดทิศทาง ขนาด รูปร่าง และรูปลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนั้นศิลปินจึงต้องรู้จักนำเส้นเหล่านี้มาใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะและหน้าที่ เช่น เส้นฐานของอาคารจะใช้เส้นตรงตามแนวนอนเพอให้ความรู้สึกเป็นเส้นฐานที่มั่นคง แต่ถ้าใช้เส้น ผิดลักษณะหน้าที่ เช่น ใช้เส้นโค้งเป็นเส้นฐานของอาคารจะทำให้ดูเหมือนว่าอาคารนั้น กำลังจะทรุดลง เป็นต้น

32.       สีวรรณะเย็นให้ความรู้สึกแก่ผู้พบเห็นอย่างไร

(1) ตื่นเต้นเร้าใจ          

(2) มีพลังสูง    

(3) ผ่อนคลายอารมณ์ 

(4) สนุกสนาน

ตอบ 3 หน้า 3568 (S) สี (Colour) แบ่งออกเป็น 2 วรรณะ คือ

1.         สีวรรณะร้อน จะให้ความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ รุนแรง ขัดแย้ง และสนุกสนานร่าเริง เช่น สีเหลือง ส้ม แสด แดง ม่วงแดง แดงชาด เทาอมแดง ฯลฯ

2.         สีวรรณะเย็น จะให้ความรู้สึกสงบ ผ่อนคลายอารมณ์ และเรียบง่าย เช่น สีเขียว เขียวอ่อน เขียวแก่ ม่วงนํ้าเงิน คราม นํ้าเงิน ม่วง ฯลฯ

33.       วรรณะสีร้อนคือข้อใด

(1)       ม่วงน้ำเงิน      

(2) คราม          

(3) เขียวมะกอก          

(4) เทาอมแดง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34.       ความขัดแย้งในงานศิลปะไม่เกี่ยวข้องกับข้อใด        

(1) ดูไม่ซํ้าซาก

(2)       ให้ความรู้สึกลงตัวพอดี           (3) รู้สึกเกิดความแตกต่างขึ้น  (4) รู้สึกเกิดพลัง

ตอบ 4 หน้า 79 (S) การรู้จักใช้ความขัดแย้งที่ไม่ขัดกันในการประกอบงานศิลปะจะทำให้งานมีเสน่ห์ ไม่ขาดรสหรือจืดชืด เพราะการตัดกันจะช่วยให้ดูไม่ซํ้าซาก และรู้สึกเกิดความแตกต่างขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องเข้าใจนำความกลมกลืนกับความขัดแย้งมาประกอบกันให้ลงตัว จึงจะเกิด ผลงานที่มีความงามอย่างพอเหมาะพอดี

35.       บ้านเรือนควรใช้สีใด  

(1) ชมพู ม่วง แดง

(2)       ขาว ครีม สีกระสอบ     (3) เขียวหยก คราม นํ้าเงิน      (4) เหลืองมะนาว แดง ทอง

ตอบ 2 หน้า 70-71 (S) งานสถาปัตยกรรมภายในบ้านเรือนส่วนใหญ่ มักจะนิยมใช้สีเรียบง่าย และไม่สะดุดตาจนเกินไป เพราะจะทำให้ไม่รู้สึกเบื่อง่าย เช่น สีขาว สีครีม สีเนื้อ สีกระสอบ และสีอ่อนๆ ของวรรณะเย็น ส่วนการใช้สีสดๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจให้สะดุดสายตา มักนิยมใช้ตามอาคารทางธุรกิจ บาร์ ไนต์คลับ ฯลฯ

36.       ข้อใดคือสีตรงกันข้าม

(1) แดงส้ม ชมพูหม่น   (2) นํ้าตาลทอง ครีม (3) แดงเข้ม นํ้าเงิน (4) ขาว เทา

ตอบ3 หน้า 36,69(S) สีตรงกันข้ามหรือสีคู่จะเป็นสี่ที่ตัดกันอย่างแท้จริงซึ่งสีบางสีจะเอามาผสมกัน ไม่ได้เพราะสีจะเน่าและไม่สวย โดยสีชนิดนี้มีมากคู่ด้วยกัน เช่น สีเขียวกับสีแดงเลือดนก,สีเหลืองกับสีม่วงสีน้ำเงินกับสีส้มสีแดงกับสีเขียวนํ้าเงิน ฯล

37.       ความสมดุลที่ไม่เท่ากันมีผลให้งานศิลปะมีลักษณะอย่างไร

(1) มั่นคง น่าศรัทธา    (2) อ่อนหวาน เบาลอย (3) ก้าวร้าว รุนแรง (4) มีเสน่ห์ สนุกขึ้น

ตอบ4 หน้า 3076 (S) ความสมดุลที่ไม่เท่ากัน เป็นความสมดุลที่มิได้เท่ากันโดยแท้จริงเพราะมี การจัด,ขนาด รุปร่าง สี รูปทรง ฯล ให้มีความแตกต่างกันทั้งสองข้าง แต่ให้มีลักษณะสมดุล ด้วยตาโดยประมาณ ซึ่งจะส่งผลให้งานศิลปะมีความแปลก มีชีวิตชีวา น่าสนใจ มีเสน่ห์และ สนุกขึ้น จึงทำให้ไม่น่าเบื่อหรือไม่จืดชืดตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้

38.       ภาพชนิดใดที่ถ่ายทอดตามความรู้สึก

(1) นามธรรม   (2) เหมือนจริง (3)       ตัดทอน            (4)       หุ่นนิ่ง

ตอบ1 หน้า 1122138 – 39 (S)57 (S) การถ่ายทอดตามความรู้สึกด้วยใจ (Abstraction)หรือการแสดงออกในศิลปะนามธรรมหรือมโนศิลป์ (Abstract) คือ การนำเอารูปทรงต่าง ๆ ที่พบเห็นในธรรมชาติมาจัดเสียใหม่ หรือปรุงแต่งดัดแปลงใหม่ ดังนั้นจึงอาจจะมีลักษณะ กึ่งธรรมาติ กึ่งนามธรรม และผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติอยู่บ้าง เช่น ศิลปะแบบคิวบิสม์จัดเป็นศิลปะแบบกึ่งจินตนาการที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยม เน้นมุม และรูปทรงบิดเบี้ยว แต่ก็ยังพอพิจารณาดูรูปลักษณะได้ว่าเป็นรูปอะไร

39.       ข้อใดมิได้เกี่ยวกับจินตนาการของช่างเขียนไทยในสมัยโบราณ

(1) คชสีห์         (2) กินรี            (3)       ม้ามังกร           (4)       กิเลน

ตอบ 4 หน้า 19 (S)31 (S) จินตนาการก้าวไกลหรือความคิดเพ้อฝัน เป็นจินตนาการเหนือความจริง ที่มนุษย์ทำให้แตกต่างไปจากที่ตนเคยเห็น โดยบางทีก็ทำให้ดูลํ้าลึกน่าติดตาม หรือทำให้ชวน สงสัยว่ามีจริงหรือไม่ เป็นไปได้หรืออย่างไร เช่น การที่ช่างเขียนไทยในสมัยโบราณเขียนภาพ ลายกนก กินรี คชสีห์ นางยักษ์ ม้ามังกร หรือสัตว์ในนิยายโบราณต่าง ๆ (ส่วนกิเลนเป็นสัตว์ ในวรรณคดีจีน)

40.       การแสดงออกด้วยการตัดทอนคืออะไร

(1) ภาพเหมือนจริง      (2) ไม่ลอกเลียนธรรมชาติทั้งหมด

(3)       ภาพในชีวิตประจำวัน  (4) ตัดทอนภาพจากธรรมชาติตามความพอใจ

ตอบ 2 หน้า 1137 (S) การแสดงออกด้วยการตัดทอน (Distortion) เป็นการแสดงออกที่ศิลปิน จะไม่ลอกเลียนธรรมชาติทั้งหมด แต่จะเน้นเฉพาะส่วนสำคัญหรือจุดเด่นที่ก่อให้เกิดอารมณ์ สะเทือนใจ ส่วนที่รองลงมาหรือไม่น่าสนใจก็จะตัดทิ้งออกไป ไม่ถ่ายทอดออกมาให้เห็น

41.       ข้อใดให้ความรู้สึกมั่นคง จริงจัง

(1) เส้นตั้ง        

(2) เส้นซิกแซ็ก            

(3) เส้นเฉียง    

(4) เส้นนอน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

42.       ช่องไฟดี” ในงานศิลปะ หมายถึง

(1) มีแสงและเงาดี      

(2) จัดวางเส้น รูปร่าง รูปลักษณะดี

(3)       ไม่ปล่อยที่ว่างมากหรือน้อยเกินไป      

(4) จัดภาพแบ่งเป็นช่วง ๆ

ตอบ 3 หน้า 28 ช่องไฟ (Space) หมายถึง การจัดวางเส้น รูปร่าง รูปลักษณะ แสงและเงาให้มีความพอดี โดยไม่ปล่อยให้มีส่วนที่ว่างเปล่ามากหรือน้อยจนเกินไป หรืออาจกล่าวได้ว่า ความงามของศิลปกรรมจะดีขึ้นได้ก็เพราะมวลสิ่งถูกจัดขึ้นอย่างสมสัดส่วน (Proportion)ตามความคิดเห็นของศิลปิน

43.       การเรียนศิลปะวิจักษณ์ เพื่อให้ผู้เรียน

(1) สามารถวาดรูปได้ถูกต้องตามทฤษฎี         

(2) รู้จักการใช้สีในวงจรสีได้อย่างเหมาะสม

(3)       ตัดตอนความงามจากธรรมชาติแล้วนำมาเขียนเป็นรูป 

(4) ซาบซึ้งในความงามของศิลปกรรม

ตอบ 4 หน้า 3-4 จุดมุ่งหมายในการเรียนศิลปะวิจักษณ์มีดังนี้ 1. เพื่อให้เข้าใจความสัมพันธ์ของ โครงสร้างของศิลปะ 2. เพื่อให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในความงามของศิลปกรรม  3.เพื่อพัฒนารสนิยม 4. เพื่อศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ให้เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ สภาพสังคม ประเพณี และวัฒนธรรมของคนในอดีต

44.       สุนทรียะของธรรมชาติ หมายถึง

(1) ความงามที่เห็นได้ทั่วไป     (2) ความงามอย่างมีระเบียบ

(3)       ความสวยของสี           (4) ความหลากหลายในรูปทรง

ตอบ 2 หน้า 12 สุนทรียะในวิสัยของธรรมชาติ หมายถึง สุนทรียะแห่งความมีระเบียบและความงาม โดยธรรมชาติมักจะมีกฎแห่งสุนทรียะ ซึ่งก่อให้เกิดความมีระเบียบ ความเหมาะสมกลมกลืน และความงามอยู่ทั้งสิ้น ดังนั้นในธรรมชาติจึงมีความงาม ความสะเทือนใจ และให้ความนึกคิด แก่ผู้พบเห็นอยู่เสมอ

45.       ศาสนศิลปะ เกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) ศิลปะอันเกิดจากความงาม           (2) ศิลปะอันเกิดจากพุทธิปัญญา

(3)       ศิลปะอันสลับซับซ้อนของธรรมชาติ    (4) ศิลปะที่เป็นแท่งรูปเหลี่ยม

ตอบ 2 หน้า 2004 (S)12 (S) ศาสนศิลปะ (Religious Art) หรืองานศิลปกรรมในลัทธิความเชื่อถือ และศาสนา ถือเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สูงสุดและเหนือกว่างานสร้างสรรค์ด้านอื่น ๆ เพราะเป็น งานศิลปะที่เกิดจากความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญาที่มีคุณค่าเหนือกว่าศิลปะทั้งหลายที่มนุษย์ ได้สร้างขึ้น เช่น ประติมากรรมพระพุทธรูในศิลปะสุโขทัย ภาพเขียนพุทธประวัติ โบสถ์ วิหาร หรือศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อการบูชาต่าง ๆ เป็นต้น

46.       ศิลปะประยุกต์ หมายถึงข้อใด

(1) โต๊ะ เก้าอี้   (2) ภาพวาด    (3) รูปปั้น         (4) พิมพ์ลาย

ตอบ 1 หน้า 8 – 93 – 4 (S)127 (S) ศิลปะประยุกต์ (Applied Art) คือ ศิลปะที่ตั้งใจสร้างหรือ ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประโยชนใช้สอย หรือเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เครื่องประดับ (ต่างหู กำไลแขน เข็มกลัด) เครื่องจักร ผ้า เครืองหนัง เครื่องเคลือบ รวมทั้งสะพานส่งนํ้า หรือเขื่อนกั้นนํ้าของศิลปะโรมัน ฯลฯ ซึ่งอาจจะแบ่งย่อยออกไปเรียกว่า พาณิชย์ศิลป์หรืออุตสาหกรรมศิลป์” แต่ถ้าหากประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อประดับตกแต่งในอาคาร สถานที่ก็จะเรียกว่า มัณฑนศิลป์” เช่น การออกแบบเครื่องเรือน โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ

47.       เมื่อคุ้นเคยกับงานศิลปะมาก ๆ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเราอย่างไม่รู้ตัว

(1) ความซาบขึ้ง          (2) ความคิดอย่างสุขุม (3) ความสับสน          (4) ความอ่อนน้อม

ตอบ2 หน้า 21 (S) ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ให้ข้อคิดว่า เด็กที่คุ้นเคยกับงานศิลปะมาก ๆหรือได้พบเห็นสิ่งประณีตสวยงามนั้น ต่อไปในอนาคตก็จะกลายเป็นของจำเป็นต่อชีวิตของเด็ก เพราะจะช่วยให้มีความคิดอ่านประณีตสุขุม นอกจากนี้ศิลปะก็ยังช่วยให้เยาวชนของชาติ กลายเป็นคนดีขึ้น และประพฤติปฏิบัติไปตามกฎแห่งศีลธรรม

48.       ข้อใดคือหลักฐานชั้น 1 ในการวิจัย    

(1) ประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย

(2)       พงศาวดารโยนก         (3) โบราณวัตถุ โบราณสถาน (4) ภาพวาดทั้งสีนํ้าและสีนํ้ามัน

ตอบ 3 หน้า 7, (คำบรรยาย) นักโบราณคดีมีความเห็นว่า ศิลปกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่จะบ่งบอกถึงความเจริญในอดีต ดังนั้นศิลปกรรม อันได้แก่ ศิลาจารึก โบราณวัตถุ และโบราณสถานต่าง ๆ ย่อมเป็นหลักฐานชั้นที่ 1 ในการวิจัยหรือการอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้ดีที่สุด

49.       ข้อใดไม่ใช่วิจิตรศิลป์

(1) จิตรกรรม   (2) ประติมากรรม        (3) สถาปัตยกรรม       (4) ภาพถ่าย

ตอบ 4 หน้า 822122 (S) วิจิตรศิลป์ (Fine Art) หมายถึง จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และภาพพิมพ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของธรรมชาติจนส่งเสริม ให้ศิลปินเกิดความคิดสร้างสรรค์ในงานศิลปะ หรือเป็นศิลปกรรมที่ทำขึ้นจากความสัมพันธ์กัน อย่างประณีตของเส้นและมวลสิ่งหรือสีที่มีความผสมกลมกลืนกันอย่างงดงาม

50.       ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1) ศิลปะช่วยอบรมจิตใจของเราได้    (2) งานศิลปะมาจากสิ่งอกุศลหรือทุศีลก็ได้

(3)       ศิลปะเป็นสมบัติส่วนบุคคล   (4) เข้าใจศิลปะต้องเข้าใจธรรมขาติ

ตอบ 3 หน้า 6 (S)21 (S)85 (S) ความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะมีดังนี้

1. การเข้าใจศิลปะจะต้องเข้าใจ ธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวก่อนเป็นลำดับแรก

2. ศิลปะช่วยอบรมชักจูงจิตใจ มนุษย์ให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในสุนทรียภาพ อันเป็นบ่อเกิดของความมีพุทธิปัญญา

3.         ศิลปะมีความเป็นกลางหรือเป็นสากล ซึ่งเป็นสมบัติอันน่าภาคภูมิใจของมวลชนทั่วโลก

4.         งานศิลปะอาจแสดงออกมาจากสิ่งที่เป็นกุศลหรืออกุศล (ทุศีล) ก็ได้ ฯลฯ

51.       เสาแบบไอโอนิกของกรีก มีความงามในรูปทรงอย่างไร

(1) ป้อม มีร่องคม        

(2) บาง แต่งหัวเสารูปกามเทพแบกพวงมาลัย

(3) สูงชะลูด หัวเสาเป็นรูปก้นหอย      

(4) ใหญ่โต หัวเสาเป็นดอกปาปิรัส

ตอบ 3 หน้า 121 – 122 (S) วิหารกรีกจะมีการออกแบบตกแต่งรูปทรงของเสาเป็น 3 ลักษณะ คือ

1.         แบบดอริก จะมีลักษณะใหญ่ รูปทรงป้อม มีร่องขนานกัน

2.         แบบไอโอนิก จะมีรูปทรงสูงชะลูด หัวเสาตกแต่งเป็นรูปวงก้นหอย มีร่องเสามากกว่าแบบดอริก

3.         แบบโครินเธียน จะมีรูปทรงบางกว่าแบบไอโอนิก ตกแต่งหัวเสาด้วยใบพืชคล้ายกับผักกาด

52.       เทือกเขาวินธัยแบ่งอินเดีย

(1) ให้เป็นอินเดียเหนืออินเดียใต้         

(2) ให้ออกจากประเทศต่าง ๆ ทางตอนเหนือ

(3) ให้เป็นอินเดียตะวันออกและตะวันตก       

(4) ให้เป็นอินเดียและศรีลังกา

ตอบ 1 หน้า 81 ประเทศอินเดียมีพื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยตอนกลางของประเทศจะมีเทือกเขาวินธัย แบ่งอินเดียออกเป็นภาคเหนือและภาคใต้ ซึ่งแต่กอนนี้ภาคเหนือจะเรียกว่า แคว้นฮินดูสถาน” ส่วนดินแดนทางภาคใต้จะเรียกว่า แหลมเดคข่านหรือทักษิณบถ

53.       อิทธิพลของศิลปะอิหร่านเข้าสู่อินเดีย

(1)       2 ครั้ง   

(2) 3 ครั้ง         

(3) 4 ครั้ง         

(4) 5 ครั้ง

ตอบ 1 (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 46) ศิลปะอิหร่านได้เข้ามามีอิทธิพลต่อศิลปะอินเดียถึง 2 ครั้ง คือ เมื่อได้เข้ามาครอบครองดินแดนแถบลุ่มแม่นํ้าสินธุตั้งแต่ประมาณพุทธกาลถึง พ.ศ. 250 และต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 17 อิหร่านก็มีอำนาจเหนืออินเดียอีกครั้ง จึงทำให้อิทธิพลของ ศิลปะอิหร่านปรากฏในศิลปะอินเดียเป็นอย่างมาก

54.       อารยธรรมอินเดียสมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่อินเดีย 

(1) ได้รับอิทธิพลของอารยัน

(2)       ได้รับอิทธิพลของอิสลาม        (3) ได้เข้าสู่ฮินดูยุคกลาง         (4) ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแล้ว

ตอบ 4 (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 44) อารยธรรมอินเดียแบ่งได้ดังนี้

1. อารยธรรมแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ (ประมาณ 1,500 ปีก่อนฅริลตกาล) ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมโมเหนโจดาโรและฮารัปปา 2. อารยธรรมอารยัน (ประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล)

3.         อารยธรรมฮินดูยุคกลาง (ประมาณ พ.ศ. 1313 – 1743)

4.         อารยธรรมอิสลาม (ประมาณ พ.ศ. 1743 – 2346)

5.         อารยธรรมอินเดียสมัยใหม่ (เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2346 ซึ่งเป็นปีที่ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ จนถึงปีปัจจุบัน)

55.       ศิลปะอินเดียเป็นศิลปะ

(1)       นามธรรม         (2) รูปธรรม      (3) แบบอุดมคติ          (4) ที่สร้างขึ้นจากธรรมชาติ

ตอบ 3 หน้า 84 ศิลปะอินเดียเป็นศิลปะแบบอุดมคติ (Idealistic Art) คือ การอาศัยรูปร่างจากธรรมชาติเป็นเกณฑ์ในการสร้างจินตนาการของศิลปิน และการแสดงออกของศิลปินก็มิได้ แสลงออกให้ตรงตามธรรมชาติ แต่เป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับของสังคมมากกว่า

56.       อารยธรรมยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของอินเดีย         

(1) อารยธรรมโมเหนใจดาโรและฮารัปปา

(2)       อารยธรรมอารยัน       (3) อารยธรรมฮินดู      (4) อารยธรรมอิสลาม

ตอบ 1 หน้า 5985 อารยธรรมแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ ได้แก่ วัฒนธรรมโมเหนโจดาโรและฮารัปปา ซึ่งเจริญขึ้นแถบลุ่มแม่นํ้าสินธุ และเป็นวัฒนธรรมที่เจริญขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่าง สมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ของอินเดีย เพราะพบหลักฐานทางโบราณคดี ทั้งสองสมัย โดยโบราณวัตถุสำคัญในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบ คือ ตราประทับที่ทำจาก หินสบู่ในแคว้นปัญจาบและสินธุ

57.       ศาสนาพุทธเจริญขึ้นในแคว้นใดของอินเดีย

(1)       แคว้นปัญจาบ            (2) แคว้นอัสสัม           (3) แคว้นมคธ  (4) แคว้นสินธุ

ตอบ 3 หน้า 90 พระพุทธศาสนาเจริญขึ้นในอินเดียที่แคว้นมคธหรือมคธราฐในสมัยพระเจ้าพิมพิสาร และเจริญขึ้นถึงขีดสุดในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชราวพุทธศตวรรษที่ 3 ดังนั้นในยุคแรกเริ่ม ของการทำศิลปกรรมอินเดียนี้ พุทธศาสนาจึงมีบทบาทเป็นอย่างมาก

58.       ชาวอินเดียมีความเชื่อเรื่องเทวโลก    

(1) ผิดแปลกไปจากโลกมนุษย์

(2)       บนสวรรค์มีเพียงพระราชวังพระมหากษัตริย์เหมือนโลกมนุษย์

(3)       เหมือนกับโลกมนุษย์ทุกประการ        (4) มีเพียงภูเขาและมหาสมุทรที่เหมือนโลกมนุษย์

ตอบ 3 หน้า 83, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 45) าวอินเดียมีความเชื่อทีเกี่ยวข้องกับโลกสัณฐาน หรือเทวโลกว่า มนุษย์โลกและเทวโลกมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ เช่น มีพระมหากษัตริย์ ซึ่งก็คือรูปเทวดา มีพระราชวังอันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ ซึ่งก็คือเทวาลัยที่สร้างจำลอง จากเขาพระสุเมรุ นอกจากนี้ยังมีมหาสมุทร ภูเขา แม่น้ำ และประชาชน

59.       ศิลปะคันธารราฐเจริญขึ้นที่ภาคใดของอินเดีย          

(1) ตะวันตกของอินเดีย

(2)       ตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย (3) ตะวันออกของอินเดีย       (4) ตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย

ตอบ 2 หน้า 93, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 53) ศิลปะคันธารราฐ (พุทธศตวรรษที่ 6-7) เจริญขึ้นทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะกรีกและ ศิลปะอิหร่าน ทำให้มีการสร้างพระพุทธรูปในศิลปะอินเดียขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยนี้ และเชื่อกันว่าพระพุทธรูปในยุคแรกเริ่มคงทำขึ้นโดยช่างกรีก

60.       พระพุทธศาสนาในอินเดียเจริญถึงขีดสุดในสมัย

(1) พระเจ้าพิมพ์สาร

(2) พระเจ้าอโศก

(3) พระเจ้าโมริยะ

(4) พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

61.       สถาปัตยกรรมรุ่นแรกของอินเดียสร้างด้วย

(1)       ไม้และดินเหนียว        

(2) อิฐปูนสอ    

(3) ไม้  

(4) ดินเหนียว

ตอบ 1 หน้า 90 นักโบราณคดีให้ความเห็นว่า สถาปัตยกรรมในยุคแรกเริ่มของอินเดียนั้นคงจะสร้างด้วยดินเหนียวและไม้ซึ่งแตกสลายได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่เหลือร่องรอยให้คนรุ่นหลังได้เห็น ทำให้สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมเก่าสุดที่เหลืออยู่ไม่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ 3 แม้ว่า พุทธศาสนาจะเจริญขึ้นในอินเดียตั้งแต่พุทธกาลมาแล้วก็ตาม

62.       ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช นิยมทำพระพุทธรูป     

(1) เป็นรูปสัญลักษณ์

(2)       ลอยตัว           

(3) เหมือนภาพสลักนูนสูง       

(4) เป็นภาพสลักนูนตํ่า

ตอบ 1 หน้า 92 ศิลปะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น แม้ว่าช่างอินเดียจะทำศิลปกรรมไว้มากมายแต่ในการสลักภาพนูนสูงแล้ว ช่างยังไม่กล้าแสดงรูปพระพุทธเจ้าเป็นภาพบุคคล แต่จะทำเป็น รูปสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้าในภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติหรือชาดกเท่านั้น

63.       ศาสนสถานที่เจาะลึกเข้าไปในภูเขาเป็นผังสี่เหลี่ยมเรียกว่า

(1) ถํ้าวิหาร      

(2) ถํ้าเจติยสถาน        

(3) ถํ้าอชันตา  

(4) ถํ้าอโลร่า

ตอบ 1 หน้า 91 ศาสนสถานที่เจาะลึกเข้าไปในภูเขามีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1. ถํ้าวิหาร เป็นศาสนสถาน แบบเก่าที่สุด มักมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในทำเป็นห้องเล็ก ๆ เพื่อเป็นที่พักอาศัย ของพระภิกษุ   2. ถํ้าเจดีย์สถาน มักมีแผนผังเป็นรูปไข่ ใช้เป็นที่ชุมนุมของศาสนิกชนเพื่อเคารพบูชาพระพุทธเจ้าเท่านั้น

64.       พระพุทธรูปในศิลปะอินเดียที่เจริญขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6-10 ที่มีแบบอย่างเป็นอินเดียอย่างแท้จริงคือศิลปะ

(1) อินเดียสมัยโบราณ            (2) คันธารราฐ (3) มธุรา          (4) อมราวดี

ตอบ 4 หน้า 959799 พระพุทธรูปอินเดียเริ่มเป็นแบบอย่างของศิลปะอินเดียอย่างแท้จริงในสมัยมธุรา (พุทธศตวรรษที่ 7-8) แต่ความเป็นอินเดียอย่างแท้จริงและลักษณะของมหาบุรุษปรากฎขึ้น อย่างครบครันในพระพุทธรูปสมัยอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) ซึ่งถือได้ว่ามีความงาม ตามแบบอินเดียโดยแท้ เพราะไม่เห็นลักษณะของอิทธิพลต่างชาติเลย

65.       สถูปที่เมืองสาญจีและภารทุต เป็นสถูปที่     

(1) เลียบแบบจากเนินดิน

(2) เก่าสุดของอินเดีย  (3) มีส่วนฐานสูงมาก   (4) ถูกข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 91-92 สถูปที่เมืองสาญจีและภารหุตของอินเดีย เป็นสถูปที่สร้างขึ้นตั้งแต่ราวพ.ศ. 400 – 550 โดยการเลียบแบบจากเนินดิน องค์สถูปเป็นรูปโอคว่ำ สร้างด้วยอิฐหรือหิน ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสค่อนข้างเตี้ย ดังนั้นจึงถือเป็นสถูปที่เก่าที่สุดของอินเดียและ ได้เป็นแบบอย่างแก่สถูปในสมัยหลังต่อมาทั้งในอินเดียและเอเชียอาคเนย์

66.       พระพุทธรูปในศิลปะอินเดียทำขึ้นครั้งแรกในศิลปะ

(1)       อินเดียสมัยโบราณ     (2) คันธารราฐ (3) มถุรา          (4) อมราวดี

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

67.       พระพุทธรูปอินเดียสมัยใดที่ได้รับอิทธิพลของกรีกและอิหร่าน          

(1) ศิลปะอินเดียสมัยโบราณ

(2)       ศิลปะคันธารราฐ        (3) ศิลปะมถุรา            (4) ศิลปะอมราวดี

ตอบ 3 หน้า 95 พระพุทธรูปอินเดียในสมัยศิลปะมถุรา นอกจากจะปรากฏมีอิทธิพลของศิลปะกรีก ที่ผ่านมาทางด้านคันธาระแล้ว ก็ยังปรากฏอิทธิพลของศิลปะอิหร่านที่ผ่านเข้ามาจากการ ขยายอำนาจของพระมหากษัตริย์แห่งอิหร่านในราชวงศ์สัสสาเนียนด้วย แต่อิทธิพลของ ศิลปะกริกและอิหร่านที่ปรากฏออกมาในศิลปะมถุราก็ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะช่างอินเดีย ได้พยายามดัดแปลงให้เป็นแบบอย่างของอินเดียโดยแท้

68.       ศิลปะอมราวดีเจริญขึ้นแถบลุ่มแม่นํ้าใด

(1) ลุ่มแม่น้ำสินธุ         (2) ลุ่มแม่นํ้าคงคา       (3) ลุ่มแม่น้ำยมุนา       (4) ลุ่มแม่นํ้ากฤษณา

ตอบ 4 หน้า 97 – 98 ศิลปะอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) เจริญขึ้นทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย แถบลุ่มแม่นํ้ากฤษณาโดยเฉพาะที่เมืองอมราวดี นาคารชุนิโกณฑะ ชัคคัยยะเปฎะ และโคลิภายใต้ การอุปถัมภ์ของราชวงศ์สัตตวาหนะ เมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 6 โดยมีสถาปัตยกรรม ที่สำคัญที่สุด คือ สถูปสำหรับบรรจุพระบรมอํฐิธาตุของพระพุทธเจ้า

69.       การครองจีวรของพระพุทธรูปมถุรา

(1) ห่มคลุม จีวรเป็นริ้ว (2) ห่มเฉียง เปิดพระอังสาซ้าย ไม่มีสังฆาฏิ

(3)       ห่มเฉียง เป็ดพระอังสาขวา     (4) ห่มคลุม จีวรเรียบติดกับพระวรกาย

ตอบ 2 หน้า 95 – 96, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 55) การครองจีวรของพระพุทธรูปมถุรา จะเป็นแบบใหม่ คือ ครองเฉพาะจีวรและสบงโดยไม่ปรากฏวามีสังฆาฏิ และมักห่มเฉียง เปิดพระอังสาซ้าย พระหัตถ์ซ้ายมักยกชายจีวรขึ้นระหว่างพระโสณี (ตะโพก) ส่วนอิทธิพล ของศิลปะอิหร่านจะปรากฏชัดในเครื่องแต่งกายของเทวรูปบางองศ์ เช่น รูปพระอาทิตย์ แต่งกายตามแบบนักรบอิหร่าน ฯลฯ

70.       การยืนเอียงตะโพกของพระพุทธรูปอินเดีย เราเห็นครั้งแรกในศิลปะใด

(1) ศิลปะคันธารราฐ   (2) ศิลปะมถุรา            (3) ศิลปะอมราวดี       (4) ศิลปะคุปตะ

ตอบ 4 หน้า 101,103 พระพุทธรูปคุปตะมีความงามตามแบบอุดมคติที่ช่างอินเดียยึดตามกฎของลักษณะ มหาบุรุษ แล้วนำมาประยุกต์เข้ากับความนึกคิดของช่างเอง ดังนั้นพระพุทธรูปจึงมีลักษณะไม่มีเพศ เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา มักจะแสดงเป็นภาพเต็มตัวหันด้านหน้า มีทั้งที่ยืนตรง และยืนตริภังค์ (ยืนเอียงตะโพก) เป็นครั้งแรก ซึ่งทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ประติมากรรมดูมีความสง่างาม

71.       พระพุทธรูปนาคปรกเริ่มทำครั้งแรกในศิลปะอินเดีย

(1) ศิลปะคันธารราฐ   

(2) ศิลปะมถุรา            

(3) ศิลปะอมราวดี       

(4) ศิลปะคุปตะ

ตอบ 3 หน้า 121 พระพุทธรูปนาคปรกในอินเดียมีกำเนิดครั้งแรกในศิลปะอมราวดี และทำแต่เฉพาะ ในศิลปะอมราวดีเท่านั้น หลังจากนั้นจึงได้ส่งผลต่อไปยังศิลปะลังกาแบบอนุราชปุระ นอกจากนี้ยังให้อิทธิพลต่อศิลปะคุปตะและหลังคุปตะของอินเดียอีกด้วย

72.       ศิลปะอินเดียเริ่มเสื่อมลงในสมัยใด

(1) สมัยอมราวดี          

(2) สมัยคุปตะ 

(3) สมัยหลังคุปตะ      

(4) สมัยปาละ-เสนะ

ตอบ 3 หน้า 100 – 101109 ศิลปะอินเดียที่มีความงามสูงสุดในสมัยคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 9-11) ยังคงทำต่อมาอีกจนหมดสมัยของพระเจ้ากุมารคุปต์ในพุทธศตวรรษที่ 12 หลังจากนั้น เมื่อเริ่มเข้าสู่สมัยหลังคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 12 – 14) ศิลปกรรมก็เริ่มเสื่อมลง เพราะถึงแม้ ประติมากรรมที่ทำขึ้นจะยังคงยึดมั่นในลักษณะของมหาบุรุษ แต่ก็ไม่มีชีวิตจิตใจอีกต่อไป

73.       ศิลปะอิหร่านที่ปรากฏในศิลปะมถุรา เราเห็นได้จาก

(1)       พระพักตร์ของพระพุทธรูป      

(2) เครื่องแต่งกายของเทวรูปบางองค์

(3)       ริ้วผ้าของพระพุทธรูป   

(4) ขมวดพระเกศาของพระพุทธรูป

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

74.       สถาปัตยกรรมในศิลปะคุปตะนิยมสร้าง       

(1) เลียนแบบจากเครื่องไม้

(2)       เลียนแบบเทวาลัยของศาสนาพราหมณ์         (3) ไว้กลางแจ้ง           (4) ถูกข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 102 สถาปัตยกรรมในศิลปะคุปตะจะนิยมสร้างไว้กลางแจ้ง โดยในสมัยพระเจ้าจับทรคุปต์ที่ 2 พุทธศาสนสถานในศิลปะคุปตะที่สร้างขึ้น เช่น โบสถ์ วิหาร สถูป ฯลา มักจะเลียนแบบ และได้รับอิทธิพลจากเทวาลัยของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งลักษณะทางสถาปัตยกรรมเช่นนี้ได้ให้ อิทธิพลต่อการสร้างเจดีย์ของพม่า (Pagoda) และบุโรพุทโธของอินโดนีเซียด้วย

75.       ศิลปะอินเดียเสื่อมลงเพราะ

(1) ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์มากจนเกินไป           (2) ยึดถือธรรมชาติมากเกินไป

(3)       เน้นอุดมคติมากจนเกินไป      (4) เสื่อมลงไปเองตามธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 83 – 84109 การที่สังคมอินเดียมีกฎเกณฑ์และข้อบังคับมากเกินไป ทำให้ช่างอินเดีย ไม่สามารถใช้ความคิดของตนเองในการสร้างสรรค์งานศิลปะได้อีก เพราะช่างต้องการเพียง งานศิลปะที่ตรงตามกฎเกณฑ์และข้อบังคับอันเกิดจากความเชื่อเท่านั้น จึงเป็นผลให้ศิลปะ อินเดียเสื่อมลงในที่สุด เช่น การเสื่อมลงของศิลปะคุปตะ ซึ่งเป็นศิลปะยุคทองของอินเดีย

76.       สถูปของศิลปะอินเดียสมัยใดให้อิทธิพลต่อบุโรพุทโธของอินโดนีเซีย

(1)       สมัยคันธารราฐ           (2) สมัยมถุรา  (3) สมัยอมราวดี          (4) สมัยคุปตะ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

77.       ศิลปะปาละ-เสนะ     

(1) นิยมหล่อรูปเคารพด้วยสำริด

(2)       นิยมสลักรูปเคารพด้วยศิลาทราย (3) นิยมทำรูปเคารพด้วยปูนปั้น (4) นิยมทำรูปเคารพด้วยดินเผา

ตอบ 1 หน้า 105 ลักษณะพิเศษของศิลปะปาละ-เสนะ คือ ประติมากรรมมักมีแผ่นหลังประกอบซึ่งมีลวดลายประดับอยู่มากมายติดอยู่กับพระพุทธรูป โดยพระพุทธรูปส่วนใหญ่ในสมัยนี้ มักเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องที่หล่อด้วยสำริดและสร้างด้วยศิลา แต่ไม่มีความสวยงามเลย

78.       ศิลปะปาละต่างจากศิลปะเสนะ

(1) ศิลปะปาละสร้างขึ้นจากคติศาสนาพุทธมหายาน (2) ศิลปะปาละนิยมทำรูปเคารพที่มีแผ่นหลังติดอยู่

(3)       ศิลปะปาละนิยมทำรูปเคารพประทับนั่งบนอาสน์ (4) ศิลปะปาละนิยมทำมุทราต่างไปจากศิลปะเสนะ

ตอป 1 หน้า 105 ศิลปะปาละ (พุทธศตวรรษที่ 14 – 16) สร้างขึ้นเนื่องจากคติศาสนาพุทธมหายาน ที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู คือ ลัทธิตันตระหรือวัชรยาน ดังนั้นจึงปรากฏมีรูปพระโพธิสัตว์ รูปเทพ และรูปศักติ (พระมเหสีของเทพ) แต่ต่อมาในสมัยศิลปะเสนะ (พุทธศตวรรษที่ 16 – 18) ได้กลับไปนับถือศาสนาฮินดู จึงทำให้ศิลปกรรมในสมัยนี้เต็มไปด้วยเทพทางศาสนาฮินดู

79.       ลัทธิศักติหมายถึงลัทธิหนึ่งที่บูชา

(1)       พระศิวะ          (2) พระนารายณ์         (3) พระมเหสีของเทพ (4) พระอุมา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80.       ศิลปะอินเดียสมัยใดที่ไม่นิยมรูปเคารพ         

(1) ศิลปะอินเดียสมัยโบราณ

(2)       ศิลปะอมราวดี            (3) ศิลปะปาละ-เสนะ (4) ศิลปะอิสลาม

ตอบ 4 หน้า 106 – 107 ศิลปะอิสลาม (พุทธศตวรรษที่ 18 – 23) จะไม่นิยมทำรูปเคารพแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่ปรากฏว่ามีรูปเคารพที่เป็นประติมากรรมเลย แต่สิ่งที่เหลือให้ชื่นชมและมีความงาม ที่แปลกใหม่ คือ จิตรกรรมและสถาปัตยกรรม

ข้อ 81. – 100. ถ้าเห็นว่าถูกต้องให้ระบายตัวเลือก 2 ถ้าเห็นว่าผิดให้ระบายตัวเลือก 4

81.       เราเรียนรู้เรื่องของสีจากธรรมชาติได้

ตอบ 2 หน้า 3366 (S) มนุษย์สามารถพบสีต่าง ๆ ปรากฏอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ดังนั้นศิลปินในสมัยโบราณจึงสามารถเรียนรู้เรื่องของสีได้จากการนำวัสดุในธรรมชาติมาใช้เป็นสีสำหรับขีดเขียน เช่น สีขาวก็ใช้ดินขาวหรือปูนขาวสีเหลืองและสีแดงก็เอามาจากดินเหลืองหรือดินแดง,สีดำก็เอามาจากเขม่าไฟหรือหมึก ฯลฯ

82.       นักปรัชญาในยุคปัจจุบันมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะเหมือนนักปรัชญาในยุคโบราณ

ตอบ 4 หน้า 5-6 นักปรัชญาสมัยเก่ามักจะกล่าวถึงศิลปะว่ามีพื้นฐานมาจากความงามและความดี ในขณะที่นักปรัชญาในยุคปัจจุบันกลับมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะแตกต่างไปจาก นักปรัชญาสมัยเก่า โดยกล่าวว่า ศิลปะคือการสะท้อนความจริงของชีวิตตามที่เป็นอยู่จริง และความแท้จริงนั้นก็คือความงาม ซึ่งความงามของศิลปะอาจจะหมายถึงการพรรณนา เรื่องราวในชีวิตทั้งในแง่ดีและไม่ดีก็ได้

83.       คนเราจะพัฒนารสนิยมได้ต้องรู้จักเอาใจใส่ในสิ่งรอบ ๆ ตัว และปรับปรุงตัวเสมอ

ตอบ 2 หน้า 4 รสนิยมของคนเราทุกคนจะพัฒนาไปตามวัย และย่อมมีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น ถ้าเรารู้จักศึกษาและหาประสบการณ์ใหม่ ๆ พร้อมทั้งรู้จักเอาใจใส่ในสิ่งรอบ ๆ ตัว และ เปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวอยู่เสมอ โดยนักปราชญ์และศิลปินทั้งหลายให้ความเห็นว่า ความรู้สึก ซาบซึ้งและเข้าใจในศิลปะหรือการประจักษในด้านความงาม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยพัฒนา รสนิยมของคนให้ดีขึ้นได้

84.       ความหมายของศิลปะ คือ ความดีและความงาม

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ

85.       การแสดงออกเป็นกระบวนการสำคัญของงานศิลปะ

ตอบ 2 หน้า 10 การแสดงออก (Expression) ถือเป็นกระบวนการขั้นสุดท้ายที่มีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะอย่างยิ่ง กล่าวคือ ถ้าเกิดอารมณ์สะเทือนใจจนก่อให้เกิดมโนภาพขึ้นในจิตใจแต่มิได้แสดงออก งานศิลปะก็ไม่อาจสร้างสรรค์ขึ้นได้

86.       ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ มีส่วนทำให้รูปแบบของศิลปะแตกต่างกันไป

ตอบ 2 หน้า 1619 สภาพแวดล้อม (ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ฯลฯ) วัสดุที่นำมาใช้ สภาพสังคม ประเพณี และระบบการปกครองที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลทำให้แบบอย่างและรูปแบบของ งานศิลปะแตกต่างกันไปด้วย เช่น ในประเทศทีฝนตกชุกก็นิยมทำหลังคายื่นยาวออกมาเพื่อกันแดดและคุ้มฝน ส่วนประเทศที่แห้งแล้งก็มักทำหลังคางอนโค้งเพื่อรองรับนํ้าฝน เป็นต้น

87.       อุตสาหกรรมศิลป์ ได้แก่ เครื่องหนัง เครื่องเคลือบ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ

88.       จิตรกรรมจัดเป็นศิลปะกินระวางเนื้อที่

ตอบ 2 หน้า 840 ศิลปะกินระวางเนื้อที่ (Space Art) บางครั้งกิเรียกว่า ทัศนศิลป์” (Visual Art or Plastic Art) หมายถืง ศิลปะที่จำกัดระวางเนื้อที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในอากาศด้วยปริมาตรของศิลปะเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น

89.       จุดมุ่งหมายหนึ่งในการเรียนศิลปะ คือ เรียนเพื่อให้เข้าใจเรื่องราวของมนุษย์นั่นเอง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

90.       ศิลปะเป็นงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่มีธรรมชาติและสิ่งอื่น ๆ เป็นแรงบันดาลใจ

ตอบ 2 หน้า 91941 (S) แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะไม่ใช่มาจากธรรมชาติแต่เพียง อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับปีจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ศาสนาและความเชื่อถือ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ วัสดุที่นำมาใช้ ตลอดจนสังคมและระบบการปกครอง

91.       วีนัส เดอ ไมโล เป็นผลงานประติมากรรมชั้นเยี่ยมของศิลปะโรมัน

ตอบ 4 หน้า 123 – 124 (S) ศิลปกรรมกรีกในสมัยหลังจะนิยมสร้างประติมากรรมตามเทพนิยาย และชีวิตจริง โดยแสดงกายวิภาคของมนุษย์และสัตว์อย่างชัดเจน เปิดเผยรูปทรงอย่างบริสุทธิ์ โดยปราศจากเครื่องนุ่งห่ม เน้นในเรื่องความงามของรูปทรง และแสดงความอ่อนหวานมีชีวิตจิตใจ มากกว่ารูปประติมากรรมในระยะแรก เช่น รูปปั้นวินัส เดอ ไมโล (Venus De Milo) ซึ่งถือเป็น ผลงานชั้นเยี่ยมของศิลปะกรีกที่มีความงามเป็นเลิศ

92.       ความงามของศิลปกรรมกรีก คือ ดวงตาใหญ่ มองตรงไปข้างหน้า

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 24. และ 91. ประกอบ

93.       สถาปัตยกรรมโรมันมักประกอบไปด้วยลวดลายตกแต่งมากมาย

ตอบ 4 หน้า 126 – 127 (S) สถาปัตยกรรมโรมันจะมีลักษณะทึบตัน ใหญ่โต มั่นคง แข็งแรง มีการ จัดวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบสวยงาม และมีโครงสร้างแบบเรียบง่ายโดยไม่ประดับตกแต่ง มากนัก ซึ่งถือเป็นการแสดงออกในลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง

94.       จิตรกรรมในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เรามักพบในถํ้า

ตอบ 2 หน้า 49-51 จิตรกรรมในสมัยโบราณก่อนประวัติศาสตร์มักพบตามถํ้า เช่น ตามผนังถํ้า และเพดานถํ้าที่อยู่ลึกจากปากถํ้าเข้าไป บางครั้งจึงเรียกว่า ศิลปะถ้ำ” โดยถํ้าแรกสุดที่พบ จิตรกรรมภาพเขียนของคนก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าที่สุด คือ ถํ้า Altamira ที่อยู่ทางตอนเหนือของสเปน โดยพบภาพเขียนเป็นภาพกวางตัวเมีย ส่วนที่ถํ้า Laussel ในฝรั่งเศส ได้พบภาพเขียน เป็นภาพสัตว์ เช่น รูปม้า วัวไบซัน และกวาง

95.       ภาพเขียนกวางตัวเมียอยู่ในถํ้าทางตอนเหนือของสเปน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

96.       ประติมากรรมยุคโบราณนิยมทำเป็นรูปผู้หญิง เพราะนับถือผู้หญิงเป็นใหญ่

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

97.       พวกอารยันย่อมมีความเกี่ยวพันกับพระเวทมาก

ตอบ 2 หน้า 90 เมื่อชาวอารยันได้เข้ามายึดครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคา ก็ได้นำ คัมภีร์พระเวทเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียด้วย ซึ่งคัมภีร์พระเวทนี้มีอิทธิพลต่อคติความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ตำนานเก่าแก่ และนิยายพื้นเมืองของชาวอารยันมาก

98.       แหล่งก่อนประวัติศาสตร์สำคัญที่สุดของไทย คือ เชียงราย

ตอบ 4 หน้า 112 (S), (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 40) แหล่งศิลปะกรรมก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกแห่งหนึ่งของไทย คือ ศิลปะบ้านเชียง ซึ่งเป็นศิลปกรรม ในสมัยหินใหม่ตอนปลายที่พบมากที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี

99.       สมัยก่อนประวัติศาสตร์ของอินเดียรู้จักโลหะเพราะพวกโรมันนำเข้ามา

ตอบ 4 (AR 103เลขพิมพ์ 30175 หน้า38) หลักฐานในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของอินเดียเก่าสุด มีเพียงแค่สมัยหินกลาง แต่วัฒนธรรมของคนก่อนประวัติศาสตร์ก็ได้เจริญสืบเนื่องต่อกันมา จนถึงยุคโลหะ โดยชาวอินเดียได้เรียนรู้การใช้โลหะเหล็กจากชาวเมโสโปเตเมีย จึงปรากฏว่า มีอาวุธแบบแปลกใหม่ที่ทำจากเหล็กและสำริดอีกมาก เช่น การทำหัวลูกศร มีด ดาบ และ ภาชนะเครื่องสำริด

100.    ก่อนประวัติศาสตร์ของอินเดียเก่าสุดเพียงสมัยหินกลางเท่านั้น

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 99. ประกอบ

ART1003 ศิลปะวิจักษณ์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา ART 1003 ศิลปะวิจักษณ์

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         สถาปัตยกรรมในสมัยทวารวดีมีลักษณะอย่างไร      

(1) มีศาสนสถาน

(2)       มีเทวาลัย         

(3) มีเจดีย์เท่านั้น         

(4) มีกำแพงแก้วล้อมรอบ

ตอบ 3 หน้า 124 – 125162 (S) สถาปตยกรรมในสมัยทวารวดีจะเห็นได้จากรูปเจดีย์เท่านั้นเพราะไม่ปรากฏว่ามีโบสถ์วิหารหลงเหลืออยู่แต่อย่างใด เช่น พระเจดีย์จุลประโทนและเจดีย์ วัดพระเมรุ จ.นครปฐม ซึ่งเป็นซากอาคารใหญ่ก่อด้วยอิฐ บางครั้งย่อมุมและมีบันไดลงไปข้างล่างเจดีย์วัดกู่กุด จ.ลำพูน ซึ่งจัดเป็นสถาปัตยกรรมทวารวดีตอนปลาย ฯลฯ

2.         เจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม เป็นศิลปะสมัยใด

(1)       ทวารวดี           

(2) ศรีวิชัย       

(3) สุโขทัย       

(4) อยุธยา

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.         ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์เริ่มต้นในข้อใด

(1)       พระเจ้าตากสินตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี

(2)       พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกตั้งกรุงเทพฯ เป็นราชธานี

(3)       พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์

(4)       พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์

ตอบ 2 หน้า 156 ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์เจริญขึ้นทางภาคกลางของไทย โดยเริ่มตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นราชธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2325 จนถึงปัจจุบัน

4.         พระพุทธรูปขัดสมาธิราบ คือข้อใด

(1)       ประทับขัดสมาธิ เห็นฝ่าพระบาทสองข้าง พระหัตถ์ประสานกันบนพระเพลา

(2)       ประทับขัดสมาธิ เห็นฝ่าพระบาทข้างเดียว พระหัตถ์ประสานกันบนพระเพลา

(3)       ประทับขัดสมาธิ เห็นฝ่าพระบาทสองข้าง พระหัตถ์ทำท่าประคองพระธรรมจักร

(4)       ประทับนั่งสมาธิ เห็นฝ่าพระบาทข้างเดียว พระหัตถ์ทำท่าประคองพระธรรมจักร

ตอบ 2 หน้า 139 – 140 พระพุทธรูปขัดสมาธิราบ คือ พระพุทธรูปในท่าประทับนั่งขัดสมาธิ เห็นฝ่าพระบาทเพียงข้างเดียว พระหัตถ์ประสานกันบนพระเพลา บางครั้งมีฐานเรียบ ไม่มีลวดลายประกอบ ส่วนพระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร คือ พระพุทธรูปในท่าประทับนั่งขัดสมาธิ เห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง มีฐานเป็นบัวควํ่าบัวหงายและมีเกสรบัวประดับ

5.         พระพุทธรูปสุโขทัยที่งามที่สุด คือปางใด

(1)       ปางสมาธิ        (2) ปางมารวิชัย           (3) ปางอภัยทาน         (4) ปางลีลา

ตอบ 4 หน้า 144 ศิลปะสมัยสุโขทัยจัดเป็นศิลปะยุคทองของพระพุทธรูปไทย เนื่องจากประติมากรรม พระพุทธรูปสมัยนี้จะมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบบ คือ มีความสวยงามสง่า และมีความ เรียบง่ายตามอุดมคติผิดไปจากศิลปกรรมในสมัยอื่น ๆ โดยพระพุทธรูปสุโขทัยที่มีความงามที่สุด ได้แก่ พระพุทธรูปปางลีลาสำริด ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ระเบียงวัดเบญจมบพิตร

6.         พระพุทธรูปองค์ใดไม่มีพระเกตุมาลา 

(1) พระพุทธสัมพรรณี

(2)       พระนิรันตราย (3) พระพุทธรูปทรงเครื่อง        (4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 157190(S) ในสมัยรัชกาลที่4ทรงคิดแบบอย่างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ และโปรดฯให้ หล่อพระพุทธรูปที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์มากยิ่งขึ้น คือ ไม่มีพระเกตุมาลา และให้จีวรเป็นริ้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมกับมากนัก เช่น พระพุทธสัมพรรณี และพระนิรันตราย

7.         ข้อใดไม่ใช่ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์

(1)       จิตรกรรมในวัดคงคาราม จ.ราชบุรี      (2) จิตรกรรมที่วัดวัง จ.พัทลุง

(3)       จิตรกรรมในวัดอินทาราม จ.ชลบุรี      (4) จิตรกรรมในวัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบุรี ตอบ 4 หน้า 154 – 155160 จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสินทร์ที่เก่าสุด คือ จิตรกรรมฝาผนังที่พระที่นังพุทไธสวรรย์ ในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นอกจากนี้ยังได้พบจิตรกรรมที่มี ความสวยงามอีกมากมาย เช่น จิตรกรรมในพระอุโบสถวัดดุสิตารามจิตรกรรมในวิหารหลวงที่วัดสุทัศน์เทพวนาราม กรุงเทพฯจิตรกรรมในวัดคงคาราม จ.ราชบุรีจิตรกรรมที่วัดวัง จ.พัทลุงจิตรกรรมที่พระอุโบสถวัดอินทาราม จ.ชลบุรี เป็นต้น (ส่วนจิตรกรรมในวัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบุรี เป็นศิลปะสมัยอยุธยา)

8.         พระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร คือ

(1)       พระพุทธรูปที่นั่งในท่าขัดสมาธิ เห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง

(2)       พระพุทธรูปที่นั่งในท่าขัดสมาธิ เห็นฝ่าพระบาทข้างเดียว

(3)       พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท   (4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

9.         ศิลปะของไทยสมัยใดที่นิยมสร้างสถาปัตยกรรมด้วยศิลาแลง

(1) ศิลปะลพบุรี           (2) ศิลปะสุโขทัย         (3) ศิลปะอยุธยา         (4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 136148 สถาปัตยกรรมลพบุรีมักจะก่อด้วยศิลาแลงและสร้างเป็นเทวาลัยบนเชิงเขาสูง ส่วนสถาปัตยกรรมสุโขทัยที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะลพบุรีก็มักจะก่อด้วยศิลาแลงเช่นกัน เช่น พระปรางค์วัดพระพายหลวง หรือศาลตาผาแดง จ.สุโขทัย

10.       ประติมากรรมนูนต่ำ คือข้อใด

(1) ภาพปูนปั้นที่เจดีย์จุลประโทน       (2) ลายจำหลักบนใบเสมา

(3)       เหรียญห้าบาทไทย      (4) พระพุทธรูปบนฐานเตี้ย

ตอบ 3 หน้า 41 – 42 ประติมากรรม คือ ศิลปะกรรมซึ่งเป็นรูปทรงสามมิติ มีการกินที่ในอากาศแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. ประติมากรรมนูนต่ำ คือ รูปที่ปั้นหรือแกะสลักให้ยื่นออกมา จากแผ่นหลัง โดยมีพื้นแบนราบเสมอกันทั่วทั้งองค์ประกอบ เช่น เหรียญเงินตราต่าง ๆ ฯลฯ

2.         ประติมากรรมนูนสูง คือ รูปปั้นหรือแกะสลักที่นูนออกมาจนเกือบหลุดออกจากแผ่นหลัง

3.         ประติมากรรมลอยตัว คือ รูปปั้นที่ไม่มีแผ่นหลัง สามารถดูได้รอบด้านและทุกระดับแนวดู

11.       พระพุทธรูปนิรันตราย ทำขึ้นในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 1  

(2) รัชกาลที่ 2  

(3) รัชกาลที่ 3  

(4) รัชกาลที่ 4

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

ข้อ 12. – 16. ข้อใดตรงกับคำตอบที่กำหนดให้ข้างล่างนี้

(1)       เพลโต  (2) ลียอป ตอลสตอย  (3) ศิลป์ พีระศรี

(4)       โสเครตีส          (5) ศิลปะสมัยโบราณ

12.       ศิลปะเป็นความงามที่ได้จากธรรมชาติและต้องมีผลในการเสริมสร้างด้านจิตใจด้วย

ตอบ 4 หน้า 5 โสเครติส (Socrates) ได้ให้ความหมายของศิลปะว่า ศิลปะเป็นความงามที่ได้จาก ธรรมชาติและต้องมีผลในการเสริมสร้างทางด้านจิตใจด้วย

13.       ศิลปะที่มีแต่ความประณีต ความงาม ความบันเทิงใจ ไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นเพียงงานฝีมือ

ตอบ 2 หน้า 5-6 ลียอป ตอลสตอย (Lyof Talstoy) กล่าวถึงความหมายของศิลปะว่า ศิลปะที่มี แต่ความประณีต ความงาม และความบันเทิงเริงใจนั้นหาใช่เป็นศิลปะไม่ แต่เป็นเพียงงานฝีมือ เพราะเป็นงานที่ขาดเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งของศิลปะ

14.       ผู้ใดเข้าใจและรู้คุณค่าของศิลปะ ผู้นั้นก็อาจจะถึงซึ่งความสุขที่แท้จริง

ตอบ 3 หน้า 6 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระครี ได้ให้ความหมายของศิลปะว่า ศิลปะเป็นสะพานที่เชื่อม คติความเชื่อทางวัตถุกับทางจิตใจ เมื่อผู้ใดเข้าใจและรู้คุณค่าของศิลปะแล้ว ผู้นั้นก็อาจจะถึง ซึ่งความสุขที่แท้จริง

15.       ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 6 เพลโต (Plato) มีความเห็นเกี่ยวกับศิลปะว่า ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ผู้ที่จะเข้าใจและนิยมความงามในศิลปะได้มีเพียงนักปรัชญาเท่านั้น

16.       ศิลปะมิได้สร้างขึ้นเพื่อความสวยงามหรืออวดสติปัญญา

ตอบ 5 หน้า 14 การสร้างงานศิลปะในสมัยโบราณนั้นมิได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสวยงาม หรือเพื่ออวดสติปัญญาแต่อย่างใด หากแต่สร้างขึ้นมาเพื่อความสบายใจหรือเพื่อแสดงถึง ความกตัญญูที่มีต่อธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการดำรงชีพ เช่น ให้ผลผลิต ให้นํ้า ให้แสงแดด ฯลฯ

17.       จังหวัดในข้อใดไม่ปรากฏศิลปะทวารวดี

(1)       นครปฐม ราชบุรี          (2) ลำพูน กาฬสินธุ์

(3) สุพรรณบุรี ลพบุรี   (4) สุราษฎร์ธานี สงขลา

ตอบ 4 หน้า 119 – 120 ศิลปะทวารวดีปรากฏทั่วไปในประเทศไทยทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี ลำพูน นครศรีธรรมราข กาฬสินธุ์ ฯลฯ ซึ่งจะมีลักษณะของศิลปกรรมที่แตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละท้องถิ่น

18.       คาถา เย ธมฺมาฯ ปรากฏในศิลปะแบบใด

(1)       ศิลปะทวารวดี (2) ศิลปะศรีวิชัย

(3) ศิลปะลพบุรี           (4) ศิลปะสมัยสุโขทัย

ตอบ 1 หน้า 124129 พระพิมพ์ของศิลปะทวารวดีมักสร้างด้วยดินเผาเพื่อไว้สืบพระบวรพุทธศาสนา โดยมักมีพระธรรมหรือคาถา เย ธมฺมาฯ อันเป็นหัวใจของศาสนาปรากฏอยู่ ซึ่งจะแตกต่างจาก พระพิมพ์ของศิลปะศรีวิชัยที่มักทำขึ้นจากคติทางมหายาน โดยนิยมทำเป็นพระพิมพ์ดินดิบ เพราะไม่ได้ถือการสืบพระพุทธศาสนาเป็นที่ตั้ง แต่ถือปรมัตถประโยชน์ของผู้มรณภาพไปแล้ว

19.       ข้อใดไม่ใช่สถาปัตยกรรมสมัยทวารวดี

(1)       เจดีย์จุลประโทน          (2) เจดีย์วัดพระเมรุ     (3) เจดีย์วัดกู่กุด          (4) เจดีย์วัดเจ็ดแถว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

20.       พระปรางค์วัดสองพี่น้อง อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดจัยนาท เป็นศิลปกรรมสมัยใด

(1)       ศิลปะสมัยทวารวดี      (2) ศิลปะสมัยศรีวิชัย  (3) ศิลปะสมัยลพบุรี   (4) ศิลปะสมัยเชียงแสน

ตอบ 1 หน้า 129 – 130 ศิลปะสมัยทวารวดีที่ไดัรับอิทธิพลจากศิลปกรรมสมัยศรีวิชัยจะเห็นได้จาก สถาปัตยกรรมทางตอนเหนือหลายแห่ง เช่น พระปรางค์วัดสองพี่น้อง อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท และเจดีย์วัดป่าสัก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยลวดลายปูนปั้นที่ประดับองค์ปรางค์ก็น่าจะได้รับ อิทธิพลจากศิลปะศรีวิชัยเช่นกัน

21.       พระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นแรกได้รับอิทธิพลจากศิลปะใด

(1)       ศิลปะคุปตะ    

(2) ศิลปะปาละ           

(3) ศิลปะลังกา           

(4) ศิลปะอู่ทอง

ตอบ 2 หน้า 139 พระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นแรก (สมัยเชียงแสนหรือสมัยล้านนา) จะได้รับอิทธิพล จากศิลปะปาละอย่างชัดเจน คือ รัศมีเป็นรูปดอกบัวตูม ขมวดพระเกศาใหญ่ พระพักตร์กลม อมยิ้ม พระหนุเป็นปม พระองค์อวบอ้วน พระอุระนูน ชายจีวรสั้นเหนือพระถันที่ปลายเป็นลายเขี้ยวตะขาบ และมักนิยมหล่อเป็นสำริดในท่าประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย

22.       พระพุทธรูปนาคปรกสำริดปางมารวิชัย ที่วัดเวียง อำเภอไชยา ได้รับอิทธิพลศิลปะประเภทใด

(1)       ศิลปะทวารวดี 

(2) ศิลปะลพบุรี           

(3) ศิลปะสุโขทัย         

(4) ศิลปะอยุธยา

ตอบ 2 หน้า 129 ประติมากรรมพระพุทธรูปนาคปรกในศิลปะศรีวิชัย จะได้รับอิทธิพลจากศิลปะลพบุรี เช่น พระพุทธรูปนาคปรกสำริดปางมารวิชัย พบที่วัดเวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และที่ อ.สทิงพระ จ.สงขลา ก็ได้พบรูปเคารพอีกมากมาย เช่น รูปท้าวกุเวร รูปพระอิศวร เป็นต้น

23.       พระพิมพ์ดินดิบ นิยมทำตามศิลปะสมัยใด

(1)       ศิลปะทวารวดี 

(2) ศิลปะศรีวิชัย         

(3) ศิลปะอยุธยา         

(4) ศิลปะรัตนโกสินทร์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

24.       ภาพสลักลายเส้นบนแผนหินที่วัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย ได้รับอิทธิพลจากศาสนาใด

(1)       ศาสนาพราหมณ์         (2) ศาสนาฮินดู

(3) ศาสนาพุทธนิกายลังกาวงศ์          (4) ศาสนาพุทธนิกายมหายาน

ตอบ 3 หน้า 130 ภาพสลักลายเส้นบนแผ่นหินที่วัดศรีชุม จ.สุโขทัย เป็นฝีมือของศิลปินในช่วง กลางพุทธศตวรรษที่ 19 ซึ่งเชื่อกันว่าภาพนี้คงได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธนิกายลังกาวงศ์ และยังคงความเป็นอินเดียอย่างเห็นได้ชัดโดยอาจจะเป็นต้นเค้าของจิตรกรรมฝาผนังของไทยก็ได้

25.       พระพักตร์สี่เหลี่ยม คิ้วเกือบเป็นเส้นตรง มีไรพระศก พระเกตุมาลามักเป็นกลีบบัวซ้อนกันเป็นลักษณะของพระพุทธรูปศิลปะสมัยใด

(1)       ศิลปะสุโขทัย   (2) ศิลปะอยุธยา         (3) ศิลปะลพบุรี           (4) ศิลปะเชียงแสน

ตอบ 3 หน้า 135 ลักษณะเฉพาะของศิลปะลพบุรี คือ พระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์มีพระพักตร์สี่เหลี่ยม คิ้วเกือบเป็นเส้นตรง ซึ่งถ้ามีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 ลงมามักมีไรพระศก (เส้นนูนเหนือ หน้าผาก) พระเกตุมาลาเป็นกลีบบัวซ้อนกันขึ้นเป็นชั้น ๆ และมีพระรัศมีเป็นดอกบัวตูมอยู่ข้างบน

26.       ข้อใดไม่ใช่พระปรางค์แบบขอมในสมัยอยุธยา

(1) พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก         (2) พระปรางค์วัดพุทไธสวรรย์

(3) พระปรางค์วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ จังหวัดอยุธยา         (4) พระปรางค์วัดพระศรีสรรเพชญ์

ตอบ 4 หน้า 153 ศิลปกรรมสมัยอยุธยายุคที่ 1 เริ่มตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอู่ทองขึ้นครองราชย์สมบัติ ในปี พ.ศ. 1893 จนถึงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในปี พ.ศ. 2031 โดยศิลปกรรมในยุคนี้ จะสร้างตามแบบอย่างศิลปะลพบุรี และนิยมสร้างพระปรางค์แบบขอม เช่น พระปรางค์วัด พระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลกพระปรางค์วัดพุทไธสวรรย์พระปรางค์วัดราชบูรณะ และ พระปรางค์วัดมหาธาตุ จ.อยุธยา เป็นต้น

27.       พระพุทธรูปทรงเครื่อง เป็นสัญลักษณ์ของผู้ใด         

(1) พระสมณโคดมพุทธเจ้า

(2)       พระทีปังกรพุทธเจ้า    (3) พระศรีศากยทศพลญาณ  (4) พระศรีอาริยเมตไตรย

ตอบ 4 หน้า 153 – 154 ศิลปะอยุธยานิยมทำพระพุทธรูปทรงเครื่องกันมาก ทั้งนี้โดยหมายเอาว่าเป็นสัญลักษณ์ของพระศรีอารียเมตไตรยที่จะทรงตรัสรู้ในภพหน้า จึงมักทำพระพุทธรูปอย่าง พระพุทธเจ้าทรงจำแลงองค์เป็นพระจักรพรรดิเพื่อปราบท้าวพระยามหาชมพู แต่อาจจะมี ลักษณะผิดแปลกไปจากพระพุทธรูปทรงเครื่องของศิลปะลพบุรี คือ พระพุทธรูปทรงเครื่อง ของศิลปะอยุธยาจะมีทั้งทรงเครื่องใหญ่และทรงเครื่องน้อย

28.       สถาปัตยกรรมแบบลพบุรีที่สมบูรณ์ที่สุดในอิทธิพลของศิลปะเขมร คือที่ใด

(1) วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี        (2) ปราสาทภูมิโพน จังหวัดสุรินทร์

(3)       ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี (4) ทับหลังวัดทองทั่ว จังหวัดจันทบุรี

ตอบ 2 หน้า 137 สถาปัตยกรรมแบบลพบุรีที่สมบูรณ์ที่สุดในอิทธิพลของศิลปะเขมร คือ ปราสาทภูมิโพน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ซึ่งจัดเป็นปราสาทไพรกเมง และปรางค์กู่วัดพระโกณาที่สร้างขึ้นจากคติใน ศาสนาพราหมณ์ โดยลวดลายที่ทับหลังและลักษณะของปรางค์เป็นศิลปะลพบุรีที่ได้รับอิทธิพล จากศิลปะปาปวนของเขมร ซึ่งมีอายุอยู่ราว พ.ศ. 1550 – 1650 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ของเขมร

29.       ข้อใดไม่ใช่วัสดุที่นิยมนำมาทำพระพิมพ์ของศิลปะเชียงแสน

(1) ดีบุก           (2)       ทองแดง           (3)       ศิลา     (4)       ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 3 หน้า 141 พระพิมพ์ของศิลปะเชียงแสนไม่สลักด้วยศิลา แต่มักนิยมหล่อด้วยโลหะ ซึ่งมักเป็น ดีบุกและทองแดงที่ได้จากแถบยูนนานและทางภาคเหนือของไทย แต่จะไม่มีคาถา เย ธมมา สลักไว้ด้านหลังเหมือนพระพิมพ์สมัยทวารวดี จึงแสดงให้เห็นว่าคงไมมีวัตถุประสงค์ที่จะทำขึ้น เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา

30.       รัศมีเป็นรูปดอกบัวตูม ขมวดพระเกศาใหญ่ พระพักตร์กลมอมยิ้ม พระหนุเป็นปม พระองค์อวบอ้วน พระอุระนน” เป็นลักษณะของพระพุทธรูปสมัยใด

(1) ทวารวดี      (2)       ศรีวิชัย (3)       ลพบุรี  (4)       เชียงแสน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 21.       ประกอบ

31.       ก่อด้วยศิลาแลง สร้างเทวาลัยบนเชิงเขาสูง” เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใด

(1) ทวารวดี      

(2)       ศรีวิชัย 

(3)       ลพบุรี  

(4)       เชียงแสน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

32.       พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่สวยงามที่สุดพบที่ใด

(1)       อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี         

(2) อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม

(3) อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา       

(4) อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท

ตอบ 1 หน้า 128 พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่สวยงามที่สุดพบที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี โดยลักษณะ ขององค์และพระพักตร์จะแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะคุปตะอย่างชัดเจน และพระโพธิสัตว์ ในศิลปะศรีวิชัยนี้มักจะทรงเครื่องกษัตริย์อย่างครบครัน ซึ่งการทรงเครื่องประดับอย่างมากมายนั้น เป็นอิทธิพลของศิลปะปาละ

33.       จิตรกรรมฝาผนังไทยที่เก่าที่สุด คือที่ใด

(1)       วัดเจดีย์เจ็ดแถว อำเภอศรีสัชนาลัย    

(2) วัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย

(3) เมืองโบราณที่สระโกสินารายณ์ จังหวัดราชบุรี 

(4) วัดกำแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี

ตอบ 1 หน้า 130 จิตรกรรมฝาผนังไทยที่เก่าที่สุด คือ จิตรกรรมที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย และจิตรกรรมในถํ้าศิลปะ จ.ยะลา ซึ่งมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที 18 หรือ กลางพุทธศตวรรษที่ 19 โดยจิตรกรรมที่พบนี้ยังคงรักษาแบบอย่างของศิลปะสมัยศรีวิชัย ไว้ได้มาก แต่คงจะวาดขึ้นใหม่เพื่อการฟื้นฟูศาสนาพุทธ

34.       พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยนิยมหล่อด้วยวัสดุใด

(1)       ศิลา     (2) ทองแดง     (3) ดินเผา        (4) สำริด

ตอบ 4 หน้า 146 พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยนิยมหล่อด้วยสำริดหรือปูนปั้น มีทั้งปางลีลา ปางประทับนั่ง หรือทำเป็นพระพุทธรูปสี่อิริยาบถ คือ นั่ง นอน ยืน และเดิน ส่วนที่สลักด้วยศิลาก็มีบ้างแต่น้อย นอกจากจะทำเป็นพระพุทธรูปเดี่ยวๆ และทำเป็นลายปูนปั้นหรือพระพุทธรูปประดับตัวอาคาร เพื่อให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น

35.       ศิลปะสมัยทวารวดีเป็นศิลปะเกิดขึ้นจากอิทธิพลของศาสนาใดมากที่สุด

(1) ศาสนาพราหมณ์    (2) ศาสนาฮินดู

(3) ศาสนาพุทธนิกายหินยาน  (4) ศาสนาพุทธนิกายมหายาน

ตอบ 3 หน้า 119 – 123214 – 215 ศิลปะทวารวดี เป็นศิลปะสมัยแรกสุดของไทยที่เจริญขึ้นทางภาคกลาง ส่วนใหญ่จะทำขึ้นจากคติทางพุทธศาสนาหินยานอย่างเถรวาทที่ใช้ทั้งภาษาบาลี และสันสกฤตมากที่สุด รองลงมาคือพุทธศาสนามหายาน และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ดังนั้นจึง ปรากฏมีอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบอมราวดีซึ่งเป็นศิลปกรรมที่ทำขึ้นจากคติทางพุทธหินยาน รวมทั้งศิลปะคุปตะ หลังคุปตะ และศิลปะปาละ-เสนะที่ทำขึ้นจากคติทางพุทธศาสนามหายาน

36.       ท่าประทับนั่งมักขัดสมาธิราบ พระขนงต่อเป็นเส้นเดียวกัน พระเกตุมาลาสั้น” เป็นลักษณะเด่นของ พระพุทธรูปศิลปะสมัยใด

(1) ศิลปะทวารวดี        (2) ศิลปะศรีวิชัย         (3) ศิลปะสุโขทัย         (4) ศิลปะอยุธยา

ตอบ 1 หน้า 121 – 122 ลักษณะของพระพุทธรูปในศิลปะทวารวดีที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดีย แบบอมราวดี คือ ท่าประทับนั่งมักขัดสมาธิราบแบบหลวม ๆ ซึ่งจะขัดไว้แค่เห็นพระบาทเท่านั้น พระขนงต่อเป็นเส้นเดียวกัน พระเกตุมาลาสั้นหรือเกือบไม่มีเลย พระหัตถ์มักทำปางวิตรรกะ คือ พระหัตถ์ยื่นออกมาในระดับพระอุระ และจีบนิ้วพระหัตถ์หัวแม่มือและนิ้วชี้เป็นวงกลม

37.       ศิลปะหมวดวัดตระกวน จัดเป็นศิลปะสมัยใด

(1) สุโขทัย       (2) อู่ทอง         (3) อยุธยา       (4) รัตนโกสินทร์

ตอบ 1 หน้า 145 – 146 ลักษณะของพระพุทธรูปในศิลปะสมัยสุโขทัยแบ่งออกเป็น 4 หมวด ได้แก่

1.         หมวดใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยที่งามที่สุด

2.         หมวดกำแพงเพชร 3. หมวดพระพุทธชินราช 4. หมวดเบ็ดเตล็ด หรือหมวดวัดตระกวน

38.       สถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัยที่มีความสวยงามและสมบูรณ์มากที่สุด คือข้อใด

(1) วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ            (2) สถูปวัดช้างล้อม ศรีสัชนาลัย

(3) วัดตระพังหลวง สุโขทัย     (4) พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ กรุงเทพฯ

ตรบ 2 หน้า 145147 สถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัยที่มีความสวยงามและสมบูรณ์มากที่สุด คือ

สถูปที่วัดช้างล้อม อ.ศรีลัชนาลัย จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นสถูปเจดีย์ทรงระฆังโอคว่ำ หรือทรงลังกา ที่ได้รับอิทธิพลจากลังกา สำหรับลวดลายใต้องค์ระฆังที่ทำเป็นรูปกลีบบัวประกอบนั้น สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากพม่า

39.       เมืองศรีวิชัยวัชรบุรี ปัจจุบันน่าจะหมายถึงเมืองใด

(1) ราชบุรี        (2) เพชรบุรี      (3) สิงห์บุรี       (4) ลพบุรี

ตอบ 2 หน้า 133 – 134 ในจารึกปราสาทพระขรรค์ได้กล่าวถึงชื่อเมืองในภาคกลางของไทย รวม 6 เมือง ได้แก่         1. เมืองลไวทยปุระ หรือเมืองลพบุรี 2. เมืองสุวรรณปุระ หรือเมืองสุพรรณบุรี     3. เมืองชัยราชบุรี หรือเมืองราชบุรี

4.         เมืองศัมพูกปัฏฎนะ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองโบราณที่สระโกสินารายณ์ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี

5.         เมืองศรีวิชัยวัชรบุรี หรือเมืองเพชรบุรี  6. เมืองศรีชัยสิงหบุรี สันนิษฐานว่าน่าจะเป็น เมืองสิงห์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรี แต่บางท่านว่าน่าจะเป็นเมืองสิงห์บุรี

40.       สถาปัตยกรรมที่สร้างปราสาทโดด ๆ ตั้งอยู่บนฐานเตี้ย มีกำแพงแก้วล้อมรอบ เป็นศิลปะสมัยใด

(1) สุโขทัย       (2) อยุธยา       (3) ลพบุรี         (4) รัตนโกสินทร์

ตอบ 3 หน้า 137 สถาปัตยกรรมในศิลปะสมัยลพบุรีจะเริ่มจากการสร้างปราสาทโดด ๆ ตั้งอยู่บนฐานเตี้ยสร้างด้วยอิฐ และมีแผนผังเป็นรูปจัตุรัสยังไม่มีการย่อมุม ยอดปราสาทลดชั้นถอยเข้า หาแกนกลางเรื่อย ๆ จนถึงยอด ต่อมากลุ่มอาคารจะมีความสำคัญมากขึ้น โดยมีกำแพงแก้ว ล้อมรอบ และสิ่งต่าง ๆ จะยิ่งเพิ่มความซับซ้อน ทำให้เกิดความงามอย่างแปลกประหลาด จนกลายเป็นเอกลักษณ์และแบบเฉพาะของศิลปะเขมร

41.       ภาพจิตรกรรมสมัยใดนิยมพื้นเข้ม ตัวบุคคลสีอ่อน เครื่องประดับสีทอง

(1) สุโขทัย       

(2) อู่ทอง         

(3) ลพบุรี         

(4) อยุธยา

ตอบ 4 หน้า 154 จิตรกรรมสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยโดยภาพจิตรกรรมมักนิยมพื้นเข้ม ตัวบุคคลเป็นสีอ่อน เครื่องประดับเป็นสีทอง ส่วนสีที่ใช้เป็นสีดำ ขาว เหลือง และแดง ซึ่งจัดเป็น สีเอกรงค์ (Monochrome) แต่พอมาถึงปลายสมัยอยุธยาก็นิยมใช้สีพหุรงค์ (Polychrome)

42.       มีกำแพงเมืองเป็นรูปสี่เหลียมผืนผ้า มีกำแพงดิน 3 ชั้น มีประตูเมือง 4 ประตู มีสระน้ำใหญ่ 4 สระ นี่คือลักษณะของเมืองใด

(1) สุโขทัย       

(2) อู่ทอง         

(3) ลพบุรี         

(4) อยุธยา

ตอบ 1 หน้า 143 – 144 จากหลักฐานทางโบราณคดีทำให้ทราบว่า สุโขทัยมีกำแพงเมืองเป็นรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำเป็นกำแพงดินรวม 3 ชั้น มีประตูเมือง 4 ประตู และมีสระนํ้าใหญ่ 4 สระ คือ ตระพังเงิน ตระพังทอง ตระพังสอง และตระพังตระกวน

43.       ข้อใดเป็นจิตรกรรมสมัยธนบุรี

(1)       จิตรกรรมฝาผนังที่วัดช่องนนทรี          

(2) จิตรกรรมฝาผนังที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

(3) จิตรกรรมฝาผนังที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์    

(4) จิตรกรรมฝาผนังที่พระอุโบสถวัดดุสิตาราม

ตอบ 1 หน้า 157 – 158 จิตรกรรมสมัยธนบุรีที่พบมีอยู่น้อยแห่ง เช่น จิตรกรรมฝาผนังที่วัดช่องนนทรี อ.ยานนาวา กรุงเทพฯ และสมุดภาพไตรภูมิฉบับช่างหลวง ซึ่งเขียนขึ้นตามพระบรมราชโองการ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในปี พ.ศ. 2319 โดยปัจจุบันมีอยู่ 2 ฉบับ คือ อยู่ที่ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ และที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี

44.       เจดีย์ที่เป็นแบบอย่างของศิลปะสมัยสุโขทัยแท้ เรียกว่าอะไร

(1) เจดีย์ทรงลังกา

(2)       เจดีย์ทรงระฆังโอควํ่า (3) เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์       (4) เจดีย์ทรงย่อมุมไม้สิบสอง

ตอบ 3 หน้า 147 เจดีย์ที่เป็นแบบอย่างของศิลปะสมัยสุโขทัยอย่างแท้จริง คือ เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เช่น พระเจดีย์ที่วัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัยเก่า และเจดีย์องค์กลางที่วัดเจดีย์ 7 แถว มักนิยมทำเป็นฐานสี่เหลี่ยม 3 ชั้นซ้อนกัน องค์เจดีย์ย่อมุม ยอดเป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือรูปดอกบัวตูม ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากศิลปะจีนด้วย

45.       มุทราของพระพุทธรูปทางมหายาน มุทรา” หมายถึงอะไร  

(1) พระเกตุมาลา

(2)       ไรพระศก         (3) การแสดงอิริยาบถ (4) การแสดงท่าด้วยพระหัตถ์

ตอบ 4 หน้า 83128135, (คำบรรยาย) คำว่า มุทรา” (Mudra) เป็นคำภาษาสันสกฤต หมายถึง การแสดงท่าทางด้วยพระหัตถ์ หรือปางต่าง ๆ ของประติมากรรมที่แสดงด้วยมือ เช่น ปางประทานพร (วรมุทรา) เป็นตน สำหรับมุทราของพระพุทธรูปทางมหายานจะทำเช่นเดียวกับพระพุทธรูปทางหินยาน แต่จะผิดกันตรงที่เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง (มหายาน) หรือ พระพุทธรูปไม่ทรงเครื่อง (หินยาน) เท่านั้น

46.       พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยมีพระพักตร์แบบใด

(1) วงกลม       (2) สี่เหลี่ยม     (3) รูปไข่          (4) สามเหลี่ยม

ตอบ 3 หน้า 144151 พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยมีความสวยงามอย่างประหลาด ดังคัมภีร์มหากาพย์ ในภาษาสันสกฤตกล่าวว่า พระชงค์เหมือนขากวาง ขาอ่อนเหมือนต้นกล้วย พระกรกลมและเกลี้ยงเกลาเหมือนงาช้าง พระหัตถ์เหมือนดอกบัวที่เริ่มบาน นิ้วพระหัตถ์เหมือนกลีบดอกไม้ พระพักตร์มีลักษณะเป็นรูปไข่ แก้มนูนเป็นวงรี พระนาสิกเหมือนปากนกแก้ว และพระเกศา ขมวดเหมือนก้นหอย

47.       พระแผงหรือพระกำแพงร้อย เริ่มทำในสมัยใด

(1) ทวารวดี      (2) ศรีวิชัย      (3) อยุธยา      (4) รัตนโกสินทร์

ตอบ 3 หน้า 154 พระพิมพ์ในสมัยอยุธยามักทำเป็นรูปเล็ก ๆ หลายองค์บนแผ่นเดียวกัน เรียกว่าพระแผงหรือพระกำแพงร้อย” ซึ่งเริ่มทำกันมาตั้งแต่อยุธยายุคที่ 2 แต่ในสมัยอยุธยาตอบปลาย มักนิยมทำพระพิมพ์เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับอยู่ภายใต้ซุ้มเรือนแก้ว

48.       ในสมัยรัตนโกสินทร์มีศิลปกรรมรูปแบบใหม่คือ พระพุทธรูปปางใด

(1) ปางประสูติ            (2) ปางตัดพระเมาลี    (3) ปางชนะมาร          (4) ปางขอฝน

ตอบ 4 หน้า 157163190 (S) ในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นิยมสร้างพระพุทธรูป ให้เหมือนมนุษย์มากยิ่งขึ้น คือ พยายามเลียนแบบพระพุทธรูปคันธารราฐของอินเดีย โดยการ ทำปางของพระพุทธรูปเพิ่มจากสมัยก่อน ๆ ซึ่งถือเป็นศิลปกรรมรูปแบบใหม่ ได้แก่ พระพุทธรูปปางขอฝนที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5

49.       พระธาตุหริภุญชัยที่ลำพูน เป็นเจดีย์สมัยใด

(1)       สุโขทัย            (2) อู่ทอง         (3) เชียงแสน   (4) อยุธยา

ตอบ 3 หน้า 141,170-171(S) เจดีย์สมัยเชียงแสนที่ได้รับเอาแบบอย่างจากเจดีย์ทรงกลมของสุโขทัย แต่มาดัดแปลงให้มีฐานสูงขึ้น เช่น พระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปางพระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน เป็นต้น

50.       ข้อใดไม่ใช่วิจิตรศิลป์ 

(1) ภาพวาดชาวเขา

(2)       รูปปั้นสมเด็จพระสังฆราช      (3) วัดทุ่งนครที่สร้างเกือบเสร็จแล้ว     (4) ตุ้มหูเพชรของคุณแม่

ตอบ 4 หน้า 81422122 (S) วิจิตรศิลป์ (Fine Art) หมายถึง จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ (ดนตรีและการละคร) และภาพพิมพ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจ ของธรรมชาติจนส่งเสริมให้ศิลปินเกิดความคิดสร้างสรรค์ในงานศิลปะ หรือเป็นศิลปกรรม ที่ทำขึ้นจากความสัมพันธ์กันอย่างประณีตของเส้นและมวลสิ่งหรือสีที่มีความผสมกลมกลืนกัน อย่างงดงาม (ส่วนตุ้มหูเพชรของคุณแม่ เป็นศิลปะประยุกต์ที่สร้างหรือประดิษฐ์ขึ้นมา เพื่อประโยชน์ใช้สอย)

51.       ศิลปะกินระวางเนื้อที่ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า   

(1) ทัศนศิลป์

(2)       วิจิตรศิลป์        

(3) คีตศิลป์และดุริยางคศิลป์  

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 840 ศิลปะกินระวางเนื้อที่ (Space Art) บางครั้งก็เรียกว่า ทัศนศิลป์” (Visual Art or Plastic Art) หมายถึง ศิลปะที่จำกัดระวางเนื้อที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในอากาศด้วยปริมาตร ของศิลปะเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น

52.       เพลงสวดบูชาเทพเจ้า จัดว่าเป็น …

(1)       วิจิตรศิลป์       

(2) ทัศนศิลป์   

(3) วาทศิลป์

(4) ศิลปะประยุกต์

ตอบ 1 หน้า 14, (ดูคำอธิบายข้อ 50. ประกอบ) วิจิตรศิลป์ได้ให้อิทธิพลต่อศิลปะยุคหลัง ๆ อีกมากมาย เช่น โรงพิธีสำหรับบูชาก็กลายเป็นโบสถวิหารที่สวยงาม เพลงสวดบูชาเทพเจ้าที่เคยร้องทำนอง ง่าย ๆ แบบคนป่าก็กลายมาเป็นเพลงที่มีเสียงประสานกันอย่างไพเราะ และการเขียนสีลงบน ใบหน้าก็วิวัฒนาการมาเป็นจิตรกรรมฝาผนังถํ้า เป็นต้น

53.       ข้อใดไมใช่บ่อเกิดของศิลปะ  

(1) ธรรมชาติ

(2)       ความเชื่อและศาสนา  

(3) ภูมิอากาศและภูมิประเทศ 

(4) ทัศนคติเชิงบวกของจิตรกร

ตอบ 4 หน้า 9-17 บ่อเกิดหรือแม่แห่งศิลปะมิได้มาจากธรรมชาติเท่านั้น เพราะสิ่งแวดล้อมรอบ ๆตัวเราย่อมมีผลเป็นอย่างมากต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ ดังนั้นปัจจัยที่เป็นบ่อเกิดของงานศิลปะ จึงประกอบไปด้วย  1. ธรรมชาติ 2. ความเชื่อถือและศาสนา 3. ภูมิอากาศ ภูมิประเทศและวัสดุที่นำมาใช้ 4. สังคมและระบอบการปกครอง

54.       ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบขั้นมูลฐานของศิลปะ

(1) Line, Value  (2) Shape, Form (3) Space, Texture (4) Colour, Rhythm

ตอบ 4 หน้า 25 – 28 ส่วนประกอบขั้นมูลฐานของศิลปะ (The Elements of Art) ได้แก่

1.         เส้น (Line)   2. คุณค่า (Value)  3. รูปร่าง (Shape)  4. รูปลักษณะ (Form)

5. ช่องไฟ (Space) 6. พื้นผิว (Texture) 7. สี (Colour)

55.       ข้อใดไม่ใช่ความหมายของคำว่า “Asymmetrical Balance”

(1) ความสมดุลกันทั้งซ้ายและขวา      (2) ความสมดุลด้วยตา

(3)       ความสมดุลโดยประมาณ        (4) ความสมดุลที่มิได้เท่ากันอย่างแท้จริง

ตอบ 1 หน้า 30 – 3176 (S) ความสมดุล (Balance) หมายถึง ความเท่ากันหรือการถ่วงเพื่อให้เกิด การเท่ากัน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.         ความสมดุลที่เท่ากัน (Symmetrical Balance or Formal Balance) คือ ความเท่ากัน หรือสมดุลกันทั้งซ้ายและขวา เช่น ร่างกายของคน สัตว์ ฯลฯ

2.         ความสมดุลไม่เท่ากัน (Asymmetrical Balance or Informal Balance) คือ ความสมดุล ที่มิได้เท่ากันโดยแท้จริง แต่มีการจัดขนาด รูปร่าง สี รูปทรง ฯลฯ ให้แตกต่างกันทั้ง 2 ข้าง หรือมีลักษณะสมดุลด้วยตาโดยประมาณ เช่น ต่างหูข้างหนึ่งเป็นรูปดาวและอีกข้างหนึ่ง เป็นรูปเดือน ฯลฯ

56.       ช่วงจังหวะที่เคลื่อนไหวซํ้ากันมากๆ จะก่อให้เกิดความเบื่อหน่ายแก่ผู้พบเห็น ข้อใดคือวิธีการแก้ไข

(1)       วางวัตถุใด ๆ ก็ได้ให้อยู่ตรงระหว่างกลาง

(2)       ลดขนาดของรูปที่ซํ้ากันหรือใช้แบบอย่างที่แตกต่าง

(3)       เพิ่มแสงและเงาลงไปเพื่อให้ภาพมองดูเลือนลาง

(4)       เปลื่ยนพื้นผิวของรูปภาพ

ตอบ 2 หน้า 31 ในบางครั้งช่วงจังหวะ (Rhythm) ที่เคลื่อนไหวซํ้ากันมาก ๆ จะก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย แก่ผู้พบเห็น ดังนั้นศิลปินก็อาจจะแก้ปัญหาโดยการลดขนาดของรูปที่ซํ้ากันหรือใช้แบบอย่างที่แตกต่างกันไปบ้าง เช่น การซํ้ากันของขนาดที่ต่างกัน หรือการซํ้ากันของลวดลายที่แตกต่างกัน ก็จะทำให้เกิดเป็นรูปร่างใหม่ขึ้น มีท่วงทีและลีลาที่ช่วยให้เกิดความตื่นเต้นแก่ผู้พบเห็นได้

57.       สำริดเกิดจากแร่ธาตุใดผสมกัน

(1) ทองแดง + ดีบุก (2) ทองแดง + ตะกั่ว (3) ดีบุก + ตะกัว  (4) ตะกั่ว + เหล็ก

ตอบ 1 หน้า 68 – 69, (คำบรรยาย) ยุคสำริด (Bronze Age) มีระยะเวลาประมาณ 4,000 – 2,500 B.C. เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มเรียนรู้การใช้ทองบรอนซ์หรือที่เรียกว่า สำริด” คือ โลหะผสมระหว่าง ทองแดงกับดีบุก เพื่อใช้ผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องประดับต่าง ๆ เช่น ขวานสำริด กำไลแขนสำริด แหวนสำริด ฯลฯ แต่เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ก็คือ การเริ่มใช้โลหะผสม ทำเงินตราแลกเปลี่ยนระหว่างกัน

58.       ข้อใดคือเหตุการณ์สำคัญของยุคสำริด

(1) การสูญพันธุ์          (2) มีการใช้เงินตราแลกเปลี่ยน

(3)       มีการยึดอำนาจ           (4) มีสงคราม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

59.       ข้อใดไม่ใช่เหตุผลที่มนุษย์เลือกตั้งถิ่นฐานตามลุ่มแม่นํ้า

(1) เป็นแหล่งทำเลเพาะปลูกที่ดี         (2) การคมนาคมสะดวก

(3)       มีอาหารและเสบียงครบ          (4) เป็นศูนย์รวมของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

ตอบ 4 (คำบรรยาย) สาเหตุที่มนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เลือกตั้งถิ่นฐานตามลุ่มแม่นํ้า มีดังนี้

1.         เป็นแหล่งทำเลที่สามารถเพาะปลูกได้ดี

2.         การคมนาคมทางนํ้า ทำให้มนุษย์ไปมาหาสู่กันได้สะดวก

3.         เป็นแหล่งที่มีอาหารและเสบียงครบถ้วนสมบูรณ์

60.       การเรียงลำดับการพบเครื่องมือในยุคหินข้อใดถูกต้องที่สุด

(1)       หินหยาบ หินขัด หินกะเทาะ   (2) หินขัด หินหยาบ หินกะเทาะ

(3)       หินหยาบ หินกะเทาะ หินขัด    (4) หินขัด หินกะเทาะ หินหยาบ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ลักษณะเด่นของยุคหิน (Stone Age) หรือเรียกว่ายุคก่อนรู้หนังสือ หรือ ยุคก่อนการประดิษฐ์ตัวอักษร คือ มนุษย์รู้จักใช้เครื่องมือที่ทำจากหิน โดยพัฒนาการของ เครื่องมือในยุคหินจะเริ่มจากเครื่องมือหินหยาบ เครื่องมือหินกะเทาะ และเครื่องมือหินขัด

61.       เครื่องมือสมัยยุคหินเก่าตอนต้นคือ   

(1) ฉมวก

(2)       หัวลูกศร         

(3) ขวานกะเทาะแบบกำปั้น   

(4) เคียวหินเหล็กไฟด้ามไม้

ตอบ 3 หน้า 49 – 53, (คำบรรยาย) ยุคหินเก่า (Paleolithic Period) หรือยุคล่าสัตว์ เป็นยุคที่มนุษย์มีพัฒนาการที่สำคัญ คือ การใช้สติปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับล่าสัตว์ แบ่งออกเป็น

1.         ยุคหินเก่าตอนต้น ได้แก่ เครื่องมือหินกะเทาะ หรือขวานกะเทาะแบบกำปั้น

2.         ยุคหินเก่าตอนกลาง ได้แก่ การใช้เครื่องมือที่มีด้ามยาว

3.         ยุคหินเก่าตอนปลาย ได้แก่ เครื่องดีดแหลนโดยใช้หลักคานงัด ทำให้พุ่งแหลนไปได้ไกล 1 เท่าตัว และการทำธนูหน้าไม้

62.       Menhir or Standing Stone เป็นอนุสาวรีย์หินแบบใด  

(1) หินตั้งเดียว

(2)       หินตั้งเป็นวงกลม        

(3) โต๊ะหิน       

(4) หินตั้งเป็นแกนยาว

ตอบ 1 หน้า 72, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 37 – 38) วัฒนธรรมหินใหญ่ เป็นวัฒนธรรมของ คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่รู้จักนำเอาก้อนหินมาก่อสร้างอย่างง่าย ๆ โดยตั้งไว้เป็นรูปต่าง ๆ ดังนี้ 1. โต๊ะหิน (Dolmens) 2. หินตั้ง (Standing Stone) หรือแท่งหินที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว (Menhir)

3.         หินตั้งเป็นวงกลม (Stone Circles or Comlechs) 4. หินตั้งเป็นแถวขนาน (Alignments)

63.       ข้อใดแสดงความแตกต่างระหว่างสมัยก่อนประวัติศาสตร์กับสมัยประวัติศาสตร์ได้ชัดเจนที่สุด

(1) ตัวอักษร     

(2) เครื่องมือเครื่องใช้

(3)       โบราณสถาน-โบราณวัตถุ      

(4) วิถีชีวิตของคนในสังคม

ตอบ 1 หน้า 47114 (ร), (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงความแตกต่างระหว่างสมัยก่อนประวัติศาสตร์กับสมัยประวัติศาสตร์ได้ชัดเจนที่สุด คือ ตัวอักษร ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งยุคสมัยของมนุษย์ กล่าวคือ สมัยก่อนประวัติศาสตร์นั้นยังไม่มีตัวอักษรสำหรับการจดบันทึก การศึกษาศิลปะจึง ศึกษาจากศิลปะวัตถุและซากโครงกระดูกต่าง ๆ ส่วนสมัยประวัติศาสตร์จะมีการใช้ตัวอักษร เพื่อสื่อความหมายและทำความเข้าใจระหว่างกัน การศึกษาศิลปะจึงศึกษาจากลายลักษณ์อักษรที่ได้จดบันทึกขึ้น

64.       ข้อใดคือยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ในช่วงเวลาติดต่อกัน

(1) ยุคหินใหม่-ยุคเหล็ก           (2) ยุคหินใหม่-ยุคสำริด

(3)       ยุคหินเก่า-ยุคหินใหม่  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 49,54-56,(คำบรรยาย) การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ตามลักษณะศิลปกรรมมีดังนี้

1.         ยุคหิน (Stone Age) แบ่งออกเป็น 3 ยุค ได้แก่ ยุคหินเก่า (500,000 – 10,000 B.C.) ยุคหินกลาง (10,000 – 6,000 B.C.) และยุคหินใหม่ (6,000 – 4,000 B.C.)

2.         ยุคโลหะ (Metal Age) แบ่งออกเป็น 2 ยุค ได้แก่ ยุคสำริด (4,000 – 2,000 B.C.)

และยุคเหล็ก (2,000 – 1,500 B.C.)

65.       ลักษณะเด่นของยุคหิน คือข้อใด

(1) มีการใช้สำริดทำอาวุธ        (2) พบเครื่องมือเหล็ก

(3)       มีการทำเครื่องประดับ (4) มีการใช้เครื่องมือที่ทำจากหิน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

66.       พัฒนาการที่สำคัญของมนุษย์ในยุคหินเก่า คืออะไร

(1) การพูด       (2) การกระทำ

(3) การใช้สติปัญญา   (4) การใช้ความสามารถ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

67.       ข้อใดเป็นหลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอินเดีย

(1) สโตนเฮนจ์ (2) เมืองโบราณโมเหนโจดาโร

(3) โครงกระดูกมนุษย์สไตน์ไฮม์          (4) ภาพเขียนสีวัวป่าที่ถํ้าอัลตามีรา

ตอบ 2 หน้า 5985 อารยธรรมอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์จะเจริญขึ้นแถบลุ่มแม่นํ้าคงคาและสินธุ ราว 2,500 – 1,500 ปีก่อนพุทธกาล เรียกว่า อารยธรรมแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ ดังหลักฐาน ที่เมืองโบราณโมเหนโจดาโรและฮารัปปา ซึ่งพบซากการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ คงได้รับแบบอย่างมาจากอารยธรรมเมโสโปเตเมียราว 1,800 ปีก่อนพุทธกาล นอกจากนี้ยังพบ โบราณวัตถุสำคัญในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ตราประทับที่ทำจากหินสบู่ในแคว้นปัญจาบ และสิบธุ

68.       ประติมากรรมพระพุทธรูปสมัยแรกของอินเดียได้รับอิทธิพลจากศิลปะประเทศใด

(1) จีน  (2) โรมัน          (3) กรีก            (4) เปอร์เซีย

ตอบ 3 หน้า 93 – 94 การสร้างประติมากรรมพระพุทธรูปอินเดียเป็นรูปเคารพครั้งแรกเกิดขึ้นในศิลปะคันธารราฐ (พุทธศตวรรษที่ 6-7) ซึ่งเชื่อกันว่าพระพุทธรูปสมัยแรกของอินเดียคงทำขึ้น โดยช่างกรีก จึงได้ปรากฏอิทธิพลของกรีกแบบเฮลเลนิสติกอย่างชัดเจนจากพระพักตร์ พระเกศา และการครองจีวรที่แทบจะไม่มีลักษณะของอินเดียเหลืออยู่เลย โดยช่างคันธารราฐ นิยมทำเป็นประติมากรรมลอยตัว แต่ภาพเล่าเรื่องนิยมทำเป็นภาพสลักนูนสูง

69.       หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในข้อใดต่อไปนี้มีอายุเก่าแก่ที่สุด

(1) คัมภีร์พระเวท        (2) ตำราอรรถศาสตร์

(3) คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์    (4) ศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช

ตอบ 1 หน้า 8890, (คำบรรยาย) ก่อนหน้า 1,000 ปีก่อนพุทธกาล ชนเผ่าอารยันได้เข้ามายึดครอง ดินแดนแถบลุ่มแม่นํ้าสินธุและคงคาของอินเดีย โดยได้นำเอาอารยธรรมต่าง ๆ เข้ามาเผยแพร่ ในอินเดีย ดังนี้

1.         คัมภีร์พระเวท เป็นวรรณกรรมทางศาสนาในภาษาสันสกฤต และถือเป็นหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด

2.         เริ่มเกิดระบบวรรณะในอินเดียจากสูงไปต่ำ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์และศูทร

3.         เกิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน ฯลฯ

70.       ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับอารยธรรมอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์บริเวณลุ่มน้ำสินธุ

(1)       มีศาสนา

(2) มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ

(3) เป็นอารยธรรมของชาวศกะ

(4) ตั้งอยู่ในประเทศเนปาลปัจจุบัน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

71.       ยุคทองของอินเดียหมายถึงช่วงสมัยใด         

(1) สมัยจักรวรรดิมคธ

(2)       สมัยจักรวรรดิคุปตะ   

(3) สมัยจักรวรรดิเมารยะ        

(4) สมัยอิสลาม

ตอบ 2 หน้า 100 – 103109, (คำบรรยาย) ศิลปะคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 9-11) จัดเป็นยุคทอง ของศิลปะอินเดีย ซึ่งเจริญขึ้นในสมัยจักรวรรดิคุปตะ โดยพระพุทธรูปในสมัยนี้จะมีความงาม ตามอุดมคติแบบอินเดีย คือ พระพักตร์ของพระพุทธรูปจะแสดงถึงความเมตตา ความอ่อนโยน ความสงบนิ่ง และความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ซึ่งพระพุทธรูปสมัยคุปตะส่วนใหญ่ จะนิยมแกะสลักด้วยหินทรายแดง

72.       ลักษณะประติมากรรมของโรมัน คือข้อใด     

(1) แข็งทื่อไร้ชีวิตชีวา

(2)       ผิดธรรมชาติ    

(3) สวยงามแบบอุดมคติ         

(4) สมจริงตามธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 128 – 129 (S), (คำบรรยาย) ลักษณะงานประติมากรรมของโรมันจะสะท้อนบุคลิกภาพของมนุษย์ได้อย่างสมจริงตามธรรมชาติ แต่จะเน้นแกะสลักรูปปั้นบุคคลสำคัญในท่าครึ่งท่อนบน ได้อย่างสมจริง เช่น รอยย่นที่ขอบตา รอยหยักของมุมปาก ผมที่ดูเหมือนเปียกและมัน เนื่องจากเหงื่อ ฯลฯ ทำให้งานประติมากรรมรูปเหมือนมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวต่างไปจาก ศิลปะอื่น ๆ ในยุคสมัยเดียวกัน

73.       ภาพวัวไบซันที่ถํ้าอัลตามีรา ประเทศสเปน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคใด

(1) ยุคหินเก่า   

(2) ยุคหินกลาง           

(3)       ยุคหินใหม่       

(4)       ยุคโลหะ

ตอบ 1 หน้า 49 – 50, (AR 103 เลขพิมพ์ 30175 หน้า 35 – 36) จิตรกรรมในสมัยโบราณก่อนประวัติศาสตร์มักพบตามถํ้า เช่น ตามผนังถํ้าและเพดานถํ้าที่อยู่ลึกจากปากถํ้าเข้าไป บางครั้ง จึงเรียกว่า ศิลปะถํ้า” โดยถํ้าแรกสุดที่พบจิตรกรรมภาพเขียนของคนก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าที่สุด คือ ถํ้าอัลตามิรา (Altamira) ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศสเปน พบภาพเขียนสีเป็นภาพ วัวไบซัน (Bison) บนผนังถํ้าจำนวนมากจนไม่อาจนับได้ ซึ่งมีอายุอยู่ในปลายยุคหินเก่าประมาณ 30,000 B.C.

74.       ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่เทพเจ้าที่ชาวอียิปต์นับถือ

(1) เร   (2) ซุส  (3)       ไอซิส    (4)       โอซิริส

ตอบ 2 หน้า 115 (S), (คำบรรยาย) เทพเจ้าที่ชาวอียิปต์นับถือมีอยู่หลายองค์ เช่น สุริยเทพเรหรือรา (Re or Ra) เป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์เทพโอซิริส (Osiris) เป็นเทพเจ้าแห่งแม่นํ้าไนล์ หรือเทพเจ้าแห่งความตายเทพีไอซิส (Isis) ซึ่งเป็นมเหสีของเทพโอซิริส เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์เทพโฮรัส (Horus) ซึ่งเป็นบุตรของเทพโอซิริสกับเทพีไอซิส เป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์ เป็นต้น

75.       ศิลปะคันธารราฐนิยมทำประติมากรรมตามข้อใด

(1)       ประติมากรรมลอยตัว แต่ภาพเล่าเรื่องเป็นภาพนูนสูง

(2)       ประติมากรรมลอยตัว แต่ภาพเล่าเรื่องเป็นภาพนูนต่ำ

(3)       ประติมากรรมนูนตํ่า ภาพเล่าเรื่องเป็นภาพนูนตํ่า

(4)       ประติมากรรมลอยตัว ภาพเล่าเรื่องเป็นภาพลอยตัว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ

76.       พระพุทธรูปสมัยใดที่แสดงถึงความอ่อนโยน สงบนิ่ง อันเป็นความงามตามอุดมคติแบบอินเดีย

(1) สมัยคันธารราฐ      (2)       สมัยอมราวดี    (3)       สมัยคุปตะ       (4)       สมัยมถุรา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 71.       ประกอบ

77.       ยุคทองของพระพุทธรูปไทย คือสมัยใด

(1) สมัยทวารวดี          (2)       สมัยศรีวิชัย      (3)       สมัยลพบุรี       (4)       สมัยสุโขทัย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

78.       ศิลปะของอินเดียสมัยใดที่ขาดความเป็นเอกลักษณ์และก่อให้เกิดศิลปะที่หลากหลายรูปแบบ

(1) ศิลปะอมราวดี       (2)       ศิลปะคุปตะ    (3)       ศิลปะมถุรา     (4)       ศิลปะหลังคุปตะ

ตอบ 4 หน้า 101 – 102, (คำบรรยาย) ศิลปะหลังคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 12 – 14) เป็นยุคที่ศิลปกรรม ของอินเดียหมดความสวยงามลงไป เนื่องจากช่างผู้ทำมุ่งให้ถูกต้องตามปฏิมาณวิทยาเท่านั้น นอกจากนี้ยังนิยมเลียนแบบทั้งลักษณะและท่าทางของพระพุทธรูปในยุคทอง แต่จะเพิ่มลวดลาย ละเอียดมากขึ้น จึงทำให้ขาดความเป็นเอกลักษณ์และก่อให้เกิดศิลปะที่หลากหลายรูปแบบ

79.       สกุลช่างใดที่นิยมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอินเดีย

(1) สกุลช่างเบงกอล   (2) สกุลช่างคุชราช

(3)       สกุลช่างโมคุล (4) สกุลช่างในแหลมเดคข่าน

ตอบ 2 หน้า 106 – 107 จิตรกรรมในสมัยศิลปะอิสลาม (พุทธศตวรรษที่ 18 – 23) จะมีหลายสกุลช่าง ด้วยกัน แต่ลักษณะรูปภาพที่เขียนแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะดังนี้

1.         กลุ่มที่นิยมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอินเดีย เช่น สกุลช่างคุชราช

2.         กลุ่มที่นิยมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับราชสำนักและความงามของหญิงสาว เช่น สกุลช่างโมคุล

80.       สกุลช่างใดที่นิยมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับราชสำนักและความงามของหญิงสาว

(1) สกุลช่างเบงกอล   (2) สกุลช่างคุชราช

(3)       สกุลช่างโมคุล (4) สกุลช่างในแหลมเดคข่าน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

81.       ชนเผ่าใดเป็นผู้ก่อให้เกิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และระบบวรรณะ

(1) ชนเผ่าอารยัน         

(2) ชนเผ่าติวโตนิก      

(3) ชนเผ่าอินเดียแดง  

(4) ชนเผ่าสุเมเรีย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

82.       ประเทศอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษด้วยวิธีใด

(1)       การเจรจาด้วยการประนีประนอม

(2)       การสู้รบจนชนะ

(3)       ต่อสู้เรียกร้องแบบอหิงสาภายใต้การนำของมหาตมะ คานธี

(4)       อังกฤษสมัครใจให้เอกราชแก่อินเดียเอง

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ประเทศอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 ซึ่งเป็นผลมาจากการต่อสู้เรียกร้องแบบอหิงสาภายใต้การนำของมหาตมะ คานธี คือ การประท้วงแบบสันติหรืออารยะขัดขืน หลีกเลี่ยงความรุนแรง โดยจะทำควบคู่ไปกับ สัตยานุเคราะห์ คือ ความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวมั่นคงที่จะยืนหยัดอยู่กับความจริงและความถูกต้อง

83.       ข้อใดจัดลำดับระบบวรรณะในอินเดียได้ถูกต้อง

(1) พราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ ศูทร       

(2) กษัตริย์ แพทย์ ศูทร พราหมณ์

(3) แพทย์ ศูทร พราหมณ์ กษัตริย์       

(4) พราหมณ์ กษัตริย์ ศูทร แพทย์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

84.       พระพุทธรูปยกพระหัตถ์ขวาขึ้นเสมอพระอังสา พระหัตถ์ซ้ายกำอยู่เหนือพระโสณี เป็นพระพุทธรูปในศิลปะใด

(1) สมัยคันธารราฐ      (2) สมัยมถุรา  (3) สมัยคุปตะ (4) สมัยอมราวดี

ตอบ 2 หน้า 95 – 96 การแสดงปางของพระพุทธรูปในศิลปะมธุรา (พุทธศตวรรษที่ 7-8) จะผิดแปลก ออกไป เช่น พระพุทธรูปปางประทานอภัย มักแสดงโดยยกพระหัตถ์ขวาขึ้นเสมอพระอังสา พระหัตถ์ซ้ายกำอยู่เหนือพระโสณี ซึ่งจะไม่พบลักษณะเช่นนี้ในศิลปะแบบอื่นเลย

85.       พระพุทธรูปสมัยใดที่ทรงเครื่องหรือประดับด้วยเครื่องราชาภรณ์

(1) สมัยมธุรา  (2) สมัยคุปตะ (3) สมัยอมราวดี          (4) สมัยปาละ-เสนะ

ตอบ 4 หน้า 105 ศิลปะปาละ (พุทธศตวรรษที่ 14 – 16) และเสนะ (พุทธศตวรรษที่ 16 – 18) จัดเป็นศิลปะยุคเสื่อมที่เจริญขึ้นในแควันเบงกอลของอินเดีย โดยมีลักษณะเฉพาะ คือ พระพุทธรูปมักมีแผ่นหลังติดอยู่และมีลวดลายประดับมากมาย ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูป ทรงเครื่องหรือประดับด้วยเครื่องราชาภรณ์ นิยมหล่อด้วยสำริดและสร้างจากศิลา แต่ไม่มี ความสวยงามเลย

86.       หินที่นิยมนำมาแกะสลักพระพุทธรูปสมัยคุปตะ คือหินชนิดใด

(1)       หินทรายแดง   (2) หินทรายเหลือง      (3) หินทรายเขียว         (4) ทินแกรนิต

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ

87.       ข้อใดถือเป็นหลักฐานชั้นรอง 

(1) ศิลาจารึก

(2)       เครื่องปั้นดินเผา         (3) ตราประทับดินเผา (4) เอกสารทางประวัติศาสตร์

ตอบ 4 (คำบรรยาย) หลักฐานทางประวัติศาสตร์แบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้

1.         หลักฐานชั้นต้น (ปฐมภูมิ) คือ หลักฐานที่บันทึกไว้ในสมัยที่เรื่องราวนั้นเกิดขึ้น รวมถึงสิ่งปลูกสร้าง และผลผลิตที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น เช่น ศิลาจารึก เครื่องปั้นดินเผา ตราประทับดินเผา ฯลฯ

2.         หลักฐานชั้นรอง (ทุติยภูมิ) คือ บันทึกของผู้ที่ทราบเหตุการณ์จากคำบอกเล่าของบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง ได้แก่ เอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นภายหลัง โดยอาศัยหลักฐานชั้นต้น เช่น ตำนาน วิทยานิพนธ์ ฯลฯ

ข้อ 88. – 95.    ข้อใดถูกให้ตอบข้อ 1 ข้อใดผิดให้ตอบข้อ 2

88.       จุดมุ่งหมายของการเรียนศิลปะ คือ ช่วยให้วาดภาพได้อย่างสวยงามและสมสัดส่วน ตอบ 2 หน้า 3-4 จุดมุ่งหมายของการเรียนศิลปะวิจักษณ์ มีดังนี้

1.         เพื่อให้เข้าใจความสัมพันธ์ของโครงสร้างของศิลปะ

2.         เพื่อให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในความงามของศิลปกรรม

3.         เพื่อพัฒนารสนิยม

4.         เพื่อศึกษาเรื่องราวของมนุษย่ให้เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ สภาพสังคม ประเพณี และ วัฒนธรรมของคนในอดีต

89.       การจัดวางเส้น รูปร่าง พื้นผิว และช่องว่าง ถือเป็นโครงสร้างของงานศิลปะ

ตอบ 1 หน้า 330 โครงสร้างของงานศิลปะ (The Structure of Art) หมายถึง การจัดวางองค์ประกอบ ของเส้น คุณค่า รูปร่าง รูปลักษณะ มวล พื้นผิว และช่องว่างให้มีคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ คือ ให้เกิดมีความสมดุล มีสัดส่วน มีช่วงจังหวะ มีความกลมกลืน มีความขัดแย้ง และมีจุดเด่น ในงานศิลปะ

90.       การประจักษ์ในด้านความงามของศิลปะจะช่วยพัฒนารสนิยมของคนให้ดีขึ้น

ตอบ 1 หน้า 4 รสนิยมของคนเราทุกคนจะพัฒนาไปตามวัย และย่อมมีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น ถ้าเรารู้จักศึกษาและหาประสบการณ์ใหม่ ๆ พร้อมทั้งรู้จักเอาใจใส่ในสิ่งรอบ ๆ ตัว และ เปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวอยู่เสมอ โดยนักปราชญ์และศิลปินทั้งหลายให้ความเห็นว่า ความรู้สึก ซาบซึ้งและเข้าใจในศิลปะ หรือการประจักษ์ในด้านความงามของศิลปะ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะช่วยพัฒนารสนิยมของคนให้ดีขึ้นได้

91.       ศิลปะสามารถสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในอดีตได้ แต่ต้องไม่เกิน 50 ปี

ตอบ 2 หน้า 4 – 57 ศิลปะสามารถสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สภาพสังคม ประเพณี และวัฒนธรรม ของคนในอดีตได้ ดังนั้นเราจึงสามารถเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสมัยก่อนได้จาก งานศิลปกรรมทุกชนิด ไม่ว่างานศิลปกรรมนั้นจะมีอายุเก่าแก่เพียงใด ดังที่นักโบราณคดีให้ ความเห็นว่า ศิลปกรรมย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งบอกถึงความเจริญในอดีต และศิลปะย่อมเป็น หลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้ดีที่สุด

92.       ศิลปกรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

ตอบ 1 หน้า 4 ศิลปกรรมย่อมคู่กับวัฒนธรรมเสมอ เพราะศิลปกรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและ แสดงออกถึงความเจริญของสังคม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และความคิดอ่านของศิลปิน จึงได้ ถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะ ดังนั้นการศึกษาศิลปะจึงอาจกล่าวได้ว่า คือการศึกษา เรื่องราวของมนุษย์

93.       ศาสนาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างศิลปะ

ตอบ 1 หน้า 15 คติแห่งความเชื่อได้มีผลต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะมาตลอด จนกระทั่งเกิดมีศาสนาขึ้น ศิลปกรรมทุกแขนงได้เปลี่ยนมารับใช้ศาสนาเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจกล่าวได้ว่าศาสนาเป็น แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งคติความเชื่อของศาสนาแต่ละศาสนา ที่แตกต่างกันย่อมเป็นผลให้แบบอย่างและลักษณะของศิลปกรรมแตกต่างกันไปด้วย

94.       ศิลปกรรมทุกแขนงในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทำขึ้นจากคติความเชื่อถือ

ตอบ 1 หน้า 14-15 ศิลปกรรมทุกแขนงในสมัยก่อนประวิติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรมประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ย่อมทำขึ้นจากคติความเชื่อถือทั้งสิ้น เช่น รูปเทพธิดาวีนัส หรือเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ จะปรากฏอยู่ในแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ทั่วไปทั้งในยุโรป และเอเชีย ได้แก่ ที่สเปน ฝรั่งเศส อินเดีย และไทย

95.       แม้คติความเชื่อของศาสนาแต่ละศาสนาจะแตกต่างกัน ก็ไมส่งผลห้แบบอย่างและลักษณะของศิลปกรรม แตกต่างกันไปด้วย

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

ข้อ 96. – 100. จงพิจารณาเลือกคำตอบข้อ 1-4 ใช้ตอบคำถามต่อไปนี้

(1) แบบสีฝุ่น   (2) แบบปูนเปียก

(3)       แบบขี้ผึ้ง          (4) แบบขี้ผึ้งผสมนํ้ามัน

96.       การเขียนภาพแบบใดละเอียดและประณีตที่สุด

ตอบ 1 หน้า 160 – 161 การเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบสีฝุ่น (Tempera) เป็นแบบที่ละเอียด และประณีตที่สุด ก่อนจะเขียนต้องเอาฝุ่นสีขาวผสมกับนํ้ากาวที่ทำจากเม็ดในมะขาม โดยคั่วเม็ดมะขามให้ร้อนและแช่นํ้าไว้จนเปลือกนอกล่อนออกแล้วทิ้งไป เอาแต่เม็ดในมะขามมาต้ม จนเป็นวุ้นแล้วละลายกับนํ้าพอสมควร ฉาบทาลงพื้นหลาย ๆ ครั้งและขัดให้เรียบ ทั้งนี้สีที่ใช้ ต้องผสมกับกาวหรือยางไม้ แต่จะต้องรอให้ผนังแห้งสนิทดีก่อน จึงลงมือเขียนได้

97.       วิธีที่ต้องฉาบทาลงพื้นหลาย ๆ ครั้ง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

98.       วิธีที่ใช้กับการเขียนภาพขนาดใหญ่

ตอบ 2 หน้า 160 การเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบปูนเปียก (Fresco) เหมาะสำหรับการเขียนภาพ ขนาดใหญ่ เพราะต้องเขียนสีลงบนพื้นผนังที่ฉาบด้วยปูนและทรายเมื่อยังเปียกอยู่ หากปูนอยู่ตัวแล้ว จะเขียนสีลงบนผนังต่อไปอีกไม่ได้ เพราะพื้นผนังที่ฉาบปูนจะไม่ดูดสีที่ละลายนํ้า จึงต้องทำให้เสร็จ ภายใน 4-5 ชั่วโมง ดังนั้นการที่จะเปลี่ยนเป็นรูปขนาดเล็กและละเอียดจึงเป็นไปไม่ได้

99.       ก่อนจะเขียนต้องเอาฝุ่นสีขาวผสมกับนํ้ากาว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

100.    ต้องทำให้เสร็จภายใน 4-5 ชั่วโมง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 98. ประกอบ

ANT3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา ANT3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         เพราะเหตุใดเราจึงต้องเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมไทย

(1)       เราเป็นคนไทย 

(2) วัฒนธรรมคือวิถีชีวิตของคนไทย

(3) สังคมและวัฒนธรรมไทยอยูในตัวตนของเรา         

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1, (คำบรรยาย) การศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องที่คนไทยศึกษาได้ตลอดเวลา เพราะเราคือคนไทยและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะจากสังคมไทยตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นสังคมและวัฒนธรรมไทยจึงอยู่ทั้งในตัวตนของเราและอยู่ล้อมรอบตัว ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้ทุกวัน เวลา และสถานที่ ในทุก ๆ ด้าน เช่น วิถีชีวิตหรือความเป็นอยู่ ของคนไทย พฤติกรรมความคิด ทัศนะในการมองโลก ค่านิยม ความเชื่อ ระบบการศึกษา เป็นต้น

2.         ข้อใดสะท้อนภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย

(1)       วรรณกรรม      

(2) ภาพยนตร์  

(3) ประเพณี    

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1, (คำบรรยาย), (ดูคำอธบายข้อ 1. ประกอบ) การศึกษาภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย นอกจากจะศึกษาวิเคราะห์ได้จากสังคมต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราแล้ว ยังสามารถศึกษาวิเคราะห์ได้ จากวรรณกรรม ตำนาน พิธีกรรมทางศาสนา งานบุญ ประเพณี ซึ่งจะทำให้ได้ภาพสะท้อนของสังคม และวัฒนธรรมไทยในอดีต หรือการชมละครวิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และสื่อโฆษณาต่าง ๆ ก็จะทำให้เราเข้าใจสภาพสังคมและวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน เป็นต้น

3.         ข้อใดคือความหมายของคำว่า สังคม‘’

(1)       คนที่มาอยู่รวมกันมีความสัมพันธ์กันตามที่สังคมกำหนด

(2)       ประเทศไทยมีประชากรชายประมาณ 30 ล้านคนเศษ

(3)       กลุ่มคนที่มาอยู่รวมกัน            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 12, (คำบรรยาย) สังคมและวัฒนธรรมจะมีความหมายแตกต่างกันดังนี้ 1. สังคม หมายถึง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่มาอยู่รวมกัแเละมีความสัมพันธ์กันตามแบบแผนที่สังคมกำหนด ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรม ประเพณี สถานภาพ (ตำแหน่ง) และบทบาทที่ตนสังกัด เป็นต้น

2.         วัฒนธรรม หมายถึง แบบแผนพฤติกรรมที่สังคมกำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางให้สมาชิก ประพฤติปฏิบัติ หรือใช้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมได้อย่างราบรื่นและถาวร

4.         ศาสตร์สาขาใดจะทำให้เราเข้าใจภาพรวมของสังคมไทยได้ดีขึ้น

(1)       ภูมิศาสตร์        (2) วิทยาคาสตร์          (3) สหวิทยาการ          (4) มนุษยศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 14, (คำบรรยาย) การศึกษาเพื่อให้เข้าใจภาพรวมของสังคมไทยได้ดีขึ้นนั้น จะต้องใช้ ความรู้จากหลายสาขาประกอบกันที่เรียกว่า สหวิทยาการ” ซึ่งได้แก่

1.         ภูมิศาสตร์ เป็นการศึกษาที่ตั้ง ขอบเขต ภูมิอากาศและลักษณะภูมิประเทศ

2.         ประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาความเป็นมาของชนชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

3.         เศรษฐศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากร การผลิต และการบริโภค

4.         สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ศึกษาความเป็นมา ตลอดจนโครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรม

5.         สังคมเมืองแตกต่างจากสังคมชนบทในด้านใด

(1)       มีคนไม่มาก     (2) มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคมสูง

(3) เจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 4-6 ลักษณะสังคมชนบทและสังคมเมืองมีความแตกต่างกัน ดังนี้

1. ชนบทส่วนใหญ่เป็นชุมชนขนาดเล็ก มีประชากรไม่มากนัก ส่วนสังคมเมืองมีขนาดใหญ่ มีประชากรจำนวนมาก 2. ชนบทมีลักษณะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคมสูง ส่วนสังคมเมือง มีความหลากหลายในเกือบทุกด้าน 3. ในชนบทเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนใหญ่ดัดแปลงจากธรรมชาติ ส่วนสังคมเมืองมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ

6.         สังคมประเพณีและสังคมทันสมัย เป็งเรูปแบบสังคมที่ใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัวทกำหนด

(1) สิ่งแวดล้อม            (2) ระบบความสัมพันธ์           (3) วัฒนธรรม  (4) ระบบเศรษฐกิจ

ตอบ 3 หน้า 3 – 46 – 7 นักวิชาการแบ่งรูปแบบของสังคมตามตัวกำหนดที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ดังนี้ 1. แบ่งตามสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิต คือ สังคมชนบทกับสังคมเมือง

2.         แบ่งตามระบบความสัมพันธ์ คือ สังคมง่าย ๆ (สังคมพื้นบ้าน) กับสังคมซับซ้อน

3.         แบ่งตามวัฒนธรรม คือ สังคมดั้งเดิม (สังคมประเพณี) กับสังคมทันสมัย

4.         แบ่งตามเทคโนโลยีที่ใช้ หรีอวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจของคน คือ สังคมเกษตรกรรม กับสังคมอุตสาหกรรม

7.         โครงสร้างทางสังคมคืออะไร  

(1) คนที่มาอยู่รวมกัน

(2)       ความสัมพันธ์ของคนที่มาอยู่ร่วมกัน   (3) กฎเกณฑ์ทางสังคม           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 8-9 โครงสร้างทางสังคม คือ ระบบความสัมพันธ์ของคนที่มาอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่าง ๆ ที่มีฐนะและคุณค่าที่แตกต่างกัน เช่น ความสัมพันธ์ ระหว่างเครือญาติกลุ่มนายทุน-กรรมกรคนรวย-คนจนขุนนาง-ไพร่เด็ก-ผู้ใหญ่ ฯลฯ

8.         ข้อใดคือองค์ประกอบของโครงสร้างสังคม    

(1) สถาบันต่าง ๆ

(2)       กลุ่มคน            (3) สถานภาพและบทบาท      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 8-9 องค์ประกอบของโครงสร้างทางสังคม ได้แก่ 1. กลุ่มทางสังคม (Social Groups) ที่มีฐานะและคุณค่าแตกต่างกัน เช่น กลุ่มคนชาติพันธ์ต่าง ๆ กลุ่มผู้ปกครอง กลุ่มประชาชน กลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มแรงงน ฯลฯ 2. สถาบันทางสังคม (Social Institution) ซึ่งสถาบันหลัก ๆ ได้แก่ ครอบครัว ศาสนา การศึกษา เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ฯลฯ

3.         สถานภาพและบทบาท (Status and Roles) คือ ตำแหน่งและหน้าที่ในกลุ่มสังคม

9.         ข้อใดคือลักษณะสำคัญของวัฒนธรรม         

(1) เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

(2)       เกิดจากการเรียนรู้       (3) เกิดจากสัญชาตญาณ       (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 10 – 11. (คำบรรยาย) ลักษณะสำคัญชองวัฒนธรรม ได้แก่

1. เป็นผลผลิตจากระบบความคิดของมนุษย์ หรือเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์

2.         เป็นแบบแผนของพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือเกิดจากการกระทำโต้ตอบกัน ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ            3. มีองค์ประกอบของความคิด โลกทัศน์ ค่านิยมทางสังคม ซึ่งเป็นตัวท่าหนดมาตรฐานของพฤติกรรม         4. เป็นมรดกทางสังคมที่ส่งต่อจากชนร่นหนึ่ง

ไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่ง         5. มีพื้นฐานมาจากการใช้สัญลักษณ์ คือ ภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือ ที่มนุษย์ใช้สื่อสารและส่งต่อความรู้ต่างๆ     6. มีลักษณะเป็นสากล ใช้ในระดับกว้างหรืออาจใช้ในระดับแคบเฉพาะกลุ่มคนก็ได้ ฯลฯ

10. ข้อใดทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาองค์ความรู้ได้อย่างรวดเร็ว       

(1) การอยูรวมกันเป็นสังคมเมือง

(2)       ภาษาที่เป็นระบบสัญลักษณ์ (3) การเคารพระบบอาวุโส      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 311 – 12, (คำบรรยาย) การที่มนุษย์มีความสามารถในการสร้างและใช้ระบบสัญลักษณ์ เช่น ภาษาพูดและภาษาเขียน รวมทั้งสื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ นั้น ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อสัมพันธ์กัน อย่างราบรื่น ตลอดจนสามารถสะสม พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีจาก ชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่งได้ง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นระบบสัญลักษณ์จึงถือเป็นพื้นฐานของ วัฒนธรรมและเป็นเครื่องมือช่วยสร้างความมั่นคงให้แกสังคม โดยระบบสัญลักษณ์ที่ใช้ต่างกัน ก็จะทำให้การใช้ภาษาแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม

11.       ข้อใดแสดงถึงวัฒนธรรมในแนวดิ่ง

(1)       การไหว้            

(2) การยิ้ม       

(3) การเล่นพื้นบ้าน     

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 46 – 47 วัฒนธรรมไทยแนวดิ่ง คือ ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างวัฒนธรรมเจ้ากับไพร่ ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านสถานภาพ เพราะคนแต่ละคนจะมีสถานะที่ลดหลั่นกันเป็นลำดับใน โครงสร้างของสังคม โดยแบบแผนพฤติกรรมที่แสดงถึงความไมเท่าเทียมกันในแนวดิ่ง ได้แก่

1.         ภาษากาย (กิริยาท่าทาง) หรือที่เรียกว่ากิริยามารยาท เช่น การไหว้ การเดินสวนกัน ฯลฯ

2.         ภาษาพูดและภาษาเขียน 3. ความแตกต่างในศักดิ์ของร่างกาย เช่น เท้าตํ่าสุด หัวสูงสุด เป็นต้น

12.       ข้อใดแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับวัฒนธรรม

(1)       สังคมสร้างวัฒนธรรม  

(2) วัฒนธรรมเป็นแบบแผนพฤติกรรมของสังคม

(3)       วัฒนธรรมช่วยควบคุมสังคม  

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1214 สังคมกับวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและไมสามารถแยกออก จากกันได้ เพราะเมื่อมนุษย์รวมตัวกันเป็นกลุ่มสังคมก็จะต้องสร้างวัฒนธรรมขึ้นเป็นแบบแผน พฤติกรรมของสังคม เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดหรือควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็นไป ตามกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกัน สังคมจึงจะดำรงอยู่ได้โดยมั่นคงราบรื่น ซึ่งความสัมพันธ์อันนี้ เปรียบเสมือนกายกับใจ หรือเหรียญ 2 ด้าน ที่จะขาดซึ่งกันและกันไม่ได้

13.       ข้อใดคือวัฒนธรรมสากล

(1) การนับถือศาสนา   (2) การไหว้ทักทาย      (3) การนับถือไสยศาสตร์        (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 10, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมอาจใช้ในระดับกว้างหรือเรียกว่าวัฒนธรรมสากล คือ วัฒนธรรม ที่ทุกสังคมมีเหมือน ๆ กัน เช่น ภาษา (ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน) ศาสนา กฎหมาย ฯลฯ หรือใช้ในระดับแคบ คือ วัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มคนในสังคมใดสังคมหนึ่ง เช่น สังคมไทยมี วัฒนธรรมการไหว้เพื่อแสดงความเคารพ มีการรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก มีการประกอบอาชีพ เกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ มีความเชื่อเรื่องไสยสาสตร์และโหราศาสตร์ ฯลฯ

14.       สังคมไทยมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในด้านใด

(1) ทัศนคติ      (2) ชาติพันธุ์    (3) วัฒนธรรม  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ     3 หน้า 11 – 1214 – 15, (คำบรรยาย) สังคมไทยไม่ได้มีลักษณะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนด้านกายภาพของสิ่งแวดล้อมและชาติพันธุ์ของคน เนื่องจากสังคมไทยประกอบด้วยกลุ่ม ชาติพันธุ์ที่หลากหลาย จึงทำให้คนไทยมีระบบความคิด ทัศนคติ และความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่เมือต้องมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคมก็จะต้องอาศัยวัฒนธรรมหลัก หรือวัฒนธรรมหลวง มาหล่อหลอมให้มีพฤติกรรมและแบบแผนการดำเนินชีวิตที่คล้ายคลึงเป็นไปในรูปแบบเดียวกัน หรือมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคม

15.       การศึกษาสังคมไทยในมิติทางมานุษยวิทยา เกิดขึ้นเมื่อไร

(1) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   (2) ลังสงครามโลกครั้งที่ 2

(3)       หลัง 14 ตุลาคม 2516 (4) ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

ตอบ 2 หน้า 16 – 18 การศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทยมีพัฒนาการแบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้

1.         ยุคแรกช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 การศึกษาเป็นแบบพรรณนาหรือบรรยายแบบแผน การดำเนินชีวิตของคนไทย      2. ยุคภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีการศึกษาในเชิงมานุษยวิทยา โดยจะอยู่ภายใต้กรอบของแนวคิดทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่เป็นหลัก

3.         ยุคภายหลังการเปลี่ยนแปลงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 การศึกษาได้ฉีกแนวออกมาสนใจ ความขัดแย้ง และความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม

16.       ชนชาติใดเรียกดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า สุวรรณภูมิ

(1)       อังกฤษ            (2) อินเดีย       (3) โปรตุเกส    (4) เปอร์เซีย

ตอบ 2 หน้า 1826 – 27 สุวรรณภูมิ หมายถึง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด หรืออุษาคเนย์ ซึ่งประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา (เขมร) มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ โดยคำว่า สุวรรณภูมิ มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต 2 คำ คือ สุวรรณ + ภูมิ แปลว่า แผ่นดินทอง หรือแหลมทอง ซึ่งเป็นคำที่ชาวอินเดียโบราณที่เข้ามาติดต่อแลกเปลี่ยน สิ่งของเป็นผู้ใช้เรียก เพราะดินแดนแถบนี้มีความมั่งคั่งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ

17.       ข้อใดคือ สุวรรณภูมิ”        

(1) ไทย มาเลเซีย สิงคโบร์

(2)       ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้     (3) เอเชียใต้     (4) เอเชียตะวันออก

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

18.       นักวิชาการท่านใดเชื่อว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน

(1) สุด แสงวิเชียร        (2) สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ

(3)       สมเดีจกรมพระยาดำรงราชานุภาพ    (4) สุจิตต์ วงษ์เทศ

ตรบ 3 หน้า 21 – 22 สาคูเพอรี่ เสนอว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน แถบกวางตุ้ง กวางไส กุยจิว เสฉวน และยูนนาน ซึ่งสอดคล้องกับสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ได้เสนอว่า ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่มณฑลยูนนาน กุ้ยโจ กวางสี และเสฉวน ตลอดจน นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่ชื่อ วัยอาจ (Wyatt) และนักภาษาศาสตร์อีกหลายท่าน เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ และปรีดี พนมยงค์ ก็เห็นในทำนองเดียวกัน โดยอยู่บนหลักฐานที่ว่าคนแถบนี้ มีภาษาพูดและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับไทย

19.       คนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนมีหลักฐานด้านใดสนับสนุน

(1) ชาติพันธุ์เดียวกัน   (2) วัฒนธรรมและภาษาพูด

(3)       ลักษณะอาชีพเกษตรกรรม      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

20.       คนไทยที่เราศึกษาหมายถึงใคร

(1) คนที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย   (2) คนที่พูดภาษาไทย

(3)       คนผิวเหลืองในเอเชีย  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ1 หน้า 14, (คำบรรยาย) คนไทยในความหมายที่เราศึกษา หมายถึง สังคมไทย หรือกลุ่มคน ขนาด ใหญ่ที่ถือสัญชาติไทยตามกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ย่อย ๆ มากมาย

21. นักวิชาการท่านใดเชื่อว่า คนไทยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ดั้งเดิม

(1)       จิตร ภูมิศักดิ์    

(2) สุด แสงวิเชียร        

(3) สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ          

(4) ถูกทั้งหมด

ตรบ 2 หน้า 1722, (คำบรรยาย) นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้เปรียบเทียบโครงกะโหลกของ คนไทยปัจจุบันกับกะโหลกของมนุษย์ยุคหินใหม่ซึ่งพบที่ตำบลบ้านเก่า จ.กาญจนบุรี พบว่า โครงกะโหลกทั้งคู่ไม่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจนพอที่จะแบ่งเป็นคนละเชื้อชาติได้ เขาจึงได้ข้อสรุปและเขียนหนังสือชื่อว่า คนไทยอยู่ที่นี่” ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับ สุจิตต์ วงษ์เทศ และศรีศักร วัลลิโภดม ที่ใช้หลักฐานด้านโบราณคดีก่อนสมัยประวัติศาสตร์ มาแสดงพัฒนาการของมนุษย์ สังคม และวัฒนธรรม โดยทั้งหมดสรุปว่า คนไทยไมได้อพยพ มาจากไหน แต่เป็นชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่ (สุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)มาตั้งแต่ดั้งเดิมและปัจจุบันแนวคิดนี้ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น

22.       ยีนของคนไทยคล้ายคลึงกับยีนของชาวอินโดนีเซียมากกว่าจีน” เป็นผลการศึกษาของนักวิชาการท่านใด

(1)       สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ    

(2) ประเวศ วะสี          

(3) เสมอชัย พูลสุวรรณ           

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 22 – 23, (คำบรรยาย) นายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ เสนอว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ ทางใต้แถบคาบสมุทรมลายูและชวา (อาณาจักรศรีวิชัย) เนื่องจากเมื่อเขาได้เปรียบเทียบความถี่ ของยีนระหว่างคนไทยกับคนจีนและคนอินโดนีเซียแล้ว พบว่ายีนของคนไทยคล้ายคลึงกับยีน ของคนอินโดนีเซียมากกว่าของคนจีน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของนายแพทย์ประเวศ วะสี และเสมอชัย พูลสุวรรณ ที่ยืนยันว่าคนไทยไมได้สืบเชื้อสายมาจากจีน โดยทั้งหมดใช้การทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรมด้วยวิธีการตรวจสอบยีน (DNA) ในเม็ดเลือด เป็นเกณฑ์ใน การกำหนดเชื้อชาติ

23.       ประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเชื้อสายอะไร

(1)       มองโกลอยด์    (2)       ออสโตรลอยด์  (3)       ออสโตรนีเชียน            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ. 1 หน้า 1923 ประชากรทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเชื้อสายมองโกลอยด์ (Mongoloid) หรือผิวเหลืองเหมือนกัน แต่อาจจำแนกได้เป็นหลายชาติพันธุ์ตามสภาพภูมิศาสตร์และเวลา

24.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะสังคมไทย

(1)       ประกอบด้ายกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย        (2) ส่วนไหญมีอาชีพเกษตรกรรม

(3) ความเชื่อไสยศาสตร์          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 13. และ 14. ประกอบ

25.       ตระกูลภาษาใดมีคนพูดมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1)       ออสโตรเอเชียติก         (2)       ไท-คะได          (3)       สิโน-ทิเบตัน     (4) ทิเบโต-เบอร์แมน

ตอบ3 หน้า 24 – 25 ภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบ่งออกเป็น 5 ตระกูล คือ

1.         ออสโตรนีเชียน (Austronesian) หรือมาลาโย-โปลีนีเชียน (Malayo-Polynesian) ได้แก่ ภาษาของกลุ่มคนที่พูดภาษามาเลย์ซึ่งอาศัยอยู่ตามชายทะเลและเกาะแก่งต่าง ๆ

2.         ออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) หรือมอญ-เขมร ได้แก ภาษาของพวกซาไก มอญ เขมร กุย ส่วย ฯลฯ ซึ่งเป็นตระกูลภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเชื่อว่าเป็นภาษาของกลุ่มชนดังเดิมในพื้นที่แถบนี้

3.         เท-คะได (Tai-Kadai) หรือ ไท-ลาว ได้แก่ ภาษาของไทย ลาว (โซ่ง ดำ แดง ขาว) กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ตามลุ่มแม่น้ำโขง สาละวิน ดำ แดง ขาว และเจ้าพระยา

4.         สิโน-ทิเบตัน (Sino-Tibetan) ได้แก่ ภาษาของม้ง เย้า จีนฮ่อ ขะฉิ่น ฯลฯ ซึ่งเป็นตระกูลภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

5.         ทิเบโต-เบอร์แมน (Tibeto-Burman) ได้แก่ ภาษาของพม่า อีก้อ มูเซอ เกรียง ลีซอ ลัวะ

26.       ข้อใดคือตระกูลภาษาของกลุ่มชนดั้งเดิมชองเอเชียตะวันออกเฉียงไต้

(1)       ออสโตรเอเชียติก         (2)ไท-คะได     (3) สิโน-ทิเบตัน           (4)ทิเบโต-เบอร์แมน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

27.       เพราะเหตุใดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงถูกเรียกว่า อินโดจีน

(1) เคยถูกครอบงำโดยจีนและอินเดีย (2) อยู่ติดกับจีนและอินเดีย

(3) วัฒนธรรมเป็นแบบจีนและอินเดีย (4) ประชากรมีชาติพันธุ์จีนและอินเดีย

ตอบ 3 หน้า 26, (คำบรรยาย) ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออุษาคเนย์หรือสุวรรณภูมินั้น แต่เดิมชาวตะวันตกจะเรียกว่า อินโดจีน” เนื่องจากอยู่ตรงกลางระหว่างอินเดียและจีน นอกจากนี้ยังมีอคติว่าพื้นที่แถบนี้เป็นสังคมป่าเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม ดังนั้นจึงถูกครอบงำ โดยวัฒนธรรมอินเดียและวัฒนธรรมจีน

28.       อะไรเป็นวัฒนธรรมดังเดิมที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้ของคนในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) การนับถือผี            (2) การยกย่องสตรี

(3) การยกย่องเพศชาย           (4) การนับถือผีและการยกย่องสตรี

ตอบ 4 หน้า 27, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีเอกลักษณ์ ของตนเอง ซึ่งสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ คือ 1 การเคารพนับถือผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ และผีวีรชน           2. การยกย่องสตรี       3. การเพาะปลูก

29.       เพราะเหตุใดกลุ่มคนกลุ่มบนจึงพัฒนาล่าช้า

(1) เพราะทำมาหากินลำบาก  (2) อยู่ห่างทะเลการคมนาคมลำบาก

(3) ส่วนใหญ่เป็นชาวเขา         (4) เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคม

ตอบ 2 หน้า 27, (คำบรรยาย) พื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากมองโดยใช้ทะเลเป็นเกณฑ์ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

1.         กลุ่มบน ได้แก่ พื้นที่ทางตอนใต้ของจีน ตอนเหนือของอินเดีย พม่า ลาว เวียดนาม กลุ่มนี้พัฒนาการช้าเพราะอยู่ห่างไกลทะเล การติดต่อคมนาคมจึงลำบาก

2.         กลุ่มล่าง ได้แก่ บริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน มาเลเซีย และหมูเกาะทางตอนใต้ เป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการของชุมชนขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการติดต่อแลกเปลี่ยน สังสรรค์กับชาวต่างชาติได้สะดวก เพราะอยู่ติดทะเล

30.       จากหลักฐานด้านโบราณคดีระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมนุษย์อาศัยอยู่นานกว่า 7 แสนปีเพราะอะไร

(1) ความหลากหลายทางชีวภาพ        (2) อุดมสมบูรณ์

(3) ดินฟ้าอากาศหลากหลาย  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 27 – 28 จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ระบุว่า สุวรรณภูมิหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออุษาคเนย์ มีมนุษย์อาศัยอยู่มานานกว่า 7 แสนปี เนื่องจาก

1.         เป็นพื้นที่ที่มีสภาพดินฟ้าอากาศหลากหลาย

2.         มีความหลากหลายทางชีวภาพ และอุดมสมบูรณ์ด้วยแรธาตุ

3.         มีพื้นที่กว้างขวาง แต่สัดส่วนของคนต่อพื้นที่ตํ่ามาก

31.       พัฒนาการของสังคมและวัฒนธรรมทยเริ่มมีขึ้นเมื่อใด

(1)       คนเริ่มเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์          

(2) ตั้งแต่กลุ่มคนโยกย้ายร่อนเร่หาอาหารเพื่อยังชีพ

(3) มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี           

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 28 พัฒนาการของสังคมและวัฒนธรรมไทยเริ่มมีขึ้นเมื่อคนเริ่มทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ จึงมีการตั้งถิ่นฐานถาวรขึ้น ทำใหไม่ต้องเดินทางโยกย้ายร่อนเร่หาอาหารเพื่อยังชีพอีกต่อไป

32.       การที่จะเข้าใจสังคมไทยจะต้องศึกษาในภูมิภาคใด 

(1) เอเชียตะวันออก

(2)       เอเชียตะวันออกเฉียงใต้         

(3) เอเชียกลาง            

(4) เอเชียใต้

ตอบ 2 หน้า 26 การศึกษาความเป็นมาของชนชาติไทยจะต้องศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ของภูมิภาค- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย จะศึกษาย้อนไปแค่อาณาจักรสุโขทัยไม่ได้ เนื่องจากพื้นที่นี้เป็น ลักษณะสังคมที่เรียกว่า วิวิธพันธุ์ คือ มีประชากรเผ่าพันธุ์ต่างๆมาอยู่รวมกันซึ่งมีลักษณะ เป็นเผ่าพันธุ์ผสมจากหลายเผ่าพันธุปะปนกัน ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนและมีพัฒนาการทาง ด้านสังคมและวัฒนธรรมร่วมกัน เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจสังคมไทยจึงต้องทำความเข้าใจ พัฒนาการของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด

33.       ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

(1) ผู้อาวุโส      (2) เพศชาย     (3) เพศหญิง    (4) ผู้มีลักษณะพิเศษ

ตอบ 3 หน้า 28 ชุมชนหมู่บ้านยุคแรกเมื่อราว 5,000 – 6,000 ปีก่อนประวัติศาสตร์ ได้เริ่มทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และตั้งถิ่นฐานถาวรขึ้น ทำให้คนไม่ต้องร่อนเร่หาอาหารอีกต่อไป โดยชุมชนหมู่บ้านยุคแรกมักเกิดขึ้นตามลุ่มน้ำที่เพาะปลูกได้ และเชื่อกันว่าหัวหน้าหมู่บ้าน ในยุคแรกๆ เป็นผู้หญิง ซึ่งทำหน้าที่ติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

34.       โลหะสัมฤทธิ์ประกอบด้วยอะไร

(1) เหล็ก          (2) เหล็กกับทองแดง   (3) ดีบุกกับทองแดง    (4) ตะกั่วกับเหล็ก

ตอบ 3 หน้า 28 – 29 ราว 4,000 ปีที่ผ่านมา คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถถลุงโลหะ แล้วเอามาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน โดยโลหะที่สำคัญ ได้แก่

1.         โลหะสัมฤทธิ์ คือ โลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก หรือตะกั่ว

2.         เหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ

35.       เพราะเหตุใดชุมชนภาคกลางจึงเติบโตกลายเป็นเมืองขนาดเล็กในช่วงแรก

(1) เพราะขุดพบทอง   (2) เพราะทำการเกษตร           (3) เพราะมีประชากรมาก (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 29 เมื่อประมาณ 2,000 ปี ชุมชนหมู่บ้านในภาคกลางแถบลุ่มแม่น้ำท่าจีนและลุ่มเจ้าพระยา พัฒนาขึ้นเป็นเมืองขนาดเล็ก โดยประกอบอาชีพด้านการเกษตร เพราะมีทรัพยากรน้อยกว่า จึงพัฒนาช้ากว่าแอ่งโคราช แตเนื่องจากรู้จักติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายทางทะเลกับชุมชนภายนอก จึงทำให้เมืองเล็ก ๆ พัฒนาเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าดินแดนตอนใน

36.       ศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์เข้ามาในภาคกลางครั้งแรกที่เมืองใด

(1) สุพรรณภูมิ (2) อู่ทอง         (3) ลพบุรี         (4) อยุธยา

ตอบ 2 หน้า 29 – 30 หลักฐานของอินเดียระบุว่า เมืองอู่ทองซึ่งเป็นชุมชนในภาคกลางแถบลุ่มน้ำท่าจีน และแม่กลอง มีความเก่าแก่เกินกว่า 1,700 ปี และมีการรับเอาวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาใช้กับ วัฒนธรรมท้องถิ่น ทำให้เกิดการนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู (ศาสนาพราหมณ์) และเริ่มนำ ระบบกษัตริย์มาใช้เป็นครั้งแรก

37.       ประชากรในสมัยสุโขทัยอพยพมาจากที่ใด

(1)       ศรีสัชนาลัย      (2)       สองฝั่งโขง       (3)       แพร่     (4) อู่ทอง

ตอบ 2 หน้า 31 อาณาจักรสุโขทัยก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17 โดยเริ่มจากการเป็นชุมชน ถลุงเหล็กจนขยายตัวเป็นศูนย์กลางด้านการค้า และมีพลเมืองส่วนใหญ่ย้ายมาจาก 2 ฝั่งโขง จึงทำสัมฤทธิ์เก่ง เนื่องจากได้สะสมความรู้และประสบการณ์มาจากยุคเหล็กและเป็นผู้สืบทอด วัฒนธรรมบ้านเชียง

38.       ประชากรไทยเพิ่มเป็นจำนวนมากในยุคสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 3  (2)       รัชกาลที่ 5       (3)       รัชกาลที่ 7       (4) รัชกาลที่ 9

ตอบ 4 หน้า 32, (คำบรรยาย) ในยุครัตนโกสินทร์ตอนปลาย โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็น รัชกาลปัจจุบัน ถือเป็นช่วงที่ประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มมากที่สุด เพราะเป็นระยะที่ประเทศไทย มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนอายุยืนขึ้น ในขณะที่คนเกิดเท่าเดิมแต่คนตายน้อยลง

39.       กลุ่มคนกลุ่มใดมีมากที่สุดในสังคมไทย

(1) ไทย-ลาว    (2)       ไทย-มาเลย์      (3)       มอญ เขมร       (4) เกรียง ส่วย กุย

ตอบ 1 หน้า 33 – 34 โครงสร้างสังคมไทยประกอบด้วยกลุ่มสังคมย่อย ๆ หลายกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่

1.         ไทย-ลาว เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีมากที่สุดในสังคมไทย 2. ไทย-มาเลย์ มีอยู่มากที่สุด

ในภาคใต้ของไทย       3. เขมร ส่วย กุย มอญ ส่วนใหญ่อยู่กระจัดกระจายแถบภาคอีสานของไทย

4.         เกรียง มีมากที่สุดทางภาคเหนือของไทย และอยู่กระจัดกระจายแถวจังหวัดราชบุรีและกาญจนบุรี

5.         ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญอาศัยอยู่ทางเหนือของไทย เช่น กะเหรี่ยง อาข่า ลื้อ มูเซอ

6.         ชาวป่า มีอยู่ไม่มากในปัจจุบัน เช่น ผีตองเหลือง เซมัว ซาไก  7. ชาวน้ำ เป็นชนพื้นเมือง

ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ตามริ่มฝั่งทะเลทางภาคใต้      8. ชนต่างด้าว ส่วนใหญ่จะอยู่ตามเขตเมือง เช่น

คนจีน อินเดีย และชาวตะวันตกประเทศต่าง ๆ

40.       ระบบความสัมพันธ์สังคมไทยที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้คืออะไร

(1) ระบบอุปถัมภ์        (2)       แบ่งแยกของสูง-ตํ่า     (3) ระบบประชาธิปไตย (4) ระบบขุนนาง

ตอบ 1 หน้า 34 – 35, (คำบรรยาย) ความสัมพันธ์ทางสังคมของไทยในปัจจุบัน ถือเป็นมรดกสืบทอด มาจากระบบความสัมพันธ์ในอดีตซึ่งเป็นระบบอุปถัมภ์หรือระบบเครือญาติ (Patron-client Relationship) ในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างคนที่มีฐานะต่างกัน เช่น ผู้ใหญ่กับผู้น้อย หรือนายกับบ่าวที่ต่างยอมรับต่อกัน มีหน้าที่ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยต่อกัน และจะขาดเสีย ซึ่งฝ่ายใดผ่ายหนึ่งไปไม่ได้

41.       ข้อใดคือลักษณะของสังคมไทยปัจจุบัน

(1) เท่าเทียมกัน           

(2) แบ่งแยกของสูง-ตํ่า

(3)       ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน     

(4) ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ตอบ 2 หน้า 35, (คำบรรยาย) สังคมไทยเป็นสังคมที่มีการแบ่งแยกชองสูง-ตั้า เช่น ผ้านุ่งผู้หญิง (ผ้าซิ่น) ถือว่าเป็นของตํ่า แต่ผ้าขาวม้าผู้ชายถือว่าเป็นของสูง เท้าถือเป็นของตํ่า แต่หัวถือเป็นของสูง ฯลฯ นอกจากนั้นสังคมไทยยังมีการแบ่งแยกความสูง-ต่ำด้านอายุและเพศ เช่น ผู้ใหญ่-ผู้น้อยเด็ก-ผู้อาวุโส และเพศหญิง-เพศชาย ชึ่งมีฐานะและคุณค่าทางสังคมไม่เท่ากัน

42.       โครงสร้างของสังคมไทย ปัจจุบันถูกกำหนดโดยอะไร

(1) อาชีพ         

(2) ตำแหน่งหน้าที่การงาน      

(3) ฐานะทางสังคม     

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 35 โครงสร้างของสังคมไทยปัจจุบันถูกกำหนดโดยใช้ลักษณะอาชีพ ตำแหน่งหน้าที่การงาน การพึ่งพาอาศัย และฐานะทางสังคม ทำให้โครงสร้างของสังคมไทยเปลี่ยนไปเป็น 3 ชนชั้น ได้แก่        1. ชนชั้นสูง      2. ชนชั้นกลาง   3. ชนชั้นตํ่า

43.       ข้อใดคือหน้าที่ของครอบครัวไทยปัจจุบัน      

(1) ให้กำเนิดสมาชิกไหม

(2)       อบรมสั่งสอนอาชีพ      (3) ผลิตอาหารและแจกแจงผลผลิต   (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 36 – 37 หน้าที่ของครอบครัวไทยมีดังนี้    1. ให้กำเนิดสมาชิกใหม่

2.         ให้การศึกษาอบรม       3. ให้ความรักความอบอุ่น        4. ให้ความมันคงปลอดภัย

44.       การนับญาติของครอบครัวไทยปัจจุบันเป็นแบบใด   

(1) นับญาติทั้ง 2 ฝาย

(2)       นับญาติทางพ่อ           (3) นับญาติทางแม่      (4) ไม่มีกฎเกณฑ์กติกาชัดเจน

ตอบ 1 หน้า 37 สังคมไทยจะมีการนับญาติทั้ง 2 ฝ่าย คือ นับญาติทั้งทางฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา แต่การสืบสกุลจะนิยมสืบทางฝ่ายบิดา

45.       เพราะเหตุใดครอบครัวไทยในอดีตจึงมีขนาดใหญ่    

(1) เป็นสังคมเกษตร

(2)       ต้องการแรงงาน           (3) ไมรู้จักวิธีควบคุมการเกิด   (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 35 – 36, (คำบรรยาย) สังคมไทยในอดีตเป็นสังคมเกษตรกรรม ซึ่งต้องการแรงงาน จำนวนมากมาช่วยด้านการเกษตร ประกอบกับในสมัยนั้นยังไมมีการคุมกำเนิดจึงทำให้ ครอบครัวไทยในอดีตมีขนาดใหญ่ เป็นครอบครัวขยาย ซึ่งประกอบด้วยญาติพี่น้องหลายช่วงวัยอายุ อยู่รวมภายใต้หลังคาเดียวกัน หรือตั้งบ้านเรือนอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันเป็นหมู่บ้าน

46.       ข้อใดคือรูปแบบการสมรสของครอบครัวไทยปัจจุบัน

(1) สามีภรรยาเดียว

(2)       สามีภรรยาหลายคน (3) สามี 1 คน มีภรรยาได้หลายคน        (4) ภรรยา 1 คน มีสามีได้หลายคน

ตอบ1 หน้า 36, (คำบรรยาย) รูปแบบการสมรสของครอบครัวไทยในอดีต คือ สามี 1 คน มีภรรยาได้หลายคน แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศมากขึ้น จึงทำให้รูปแบบการสมรสของครอบครัวไทยปัจจุบันเปลี่ยนไป โดยมีการออกกฎหมายให้การสมรส ต้องเป็นแบบสามีภรรยาเดียว แต่ในทางปฏิบัติแล้วชายไทยส่วนใหญ่ก็ยังนิยมมีภรรยามากกว่า 1 คน จึงทำให้สังคมไทยมีปัญหา

47.       ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกในสังคมไทยในอดีต           

(1) มีความใกล้ชิด

(2)       ต่างคนต่างอยู่ (3)       พ่อแม่เข้มงวดระเบียบวินัยกับลูก       (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 36 – 37 ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกในสังคมไทยในอดีต จะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเกือบทุกเรื่อง และลูกมักจะเป็นศูนย์กลางของครอบครัวที่ได้รับการดูแลเอาอกเอาใจ แต่ในปัจจุบันครอบครัวใกล้ชิดสนิทสนมและให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกน้อยลง เพราะพ่อแม่ ออกไปทำงานนอกบ้าน ทำให้มีเวลาอยู่กับลูกไม่มากนัก

48.       สังคมไทยมีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ตามแบบตะวันตกในยุคใด       

(1) กรุงศรีอยุธยา

(2)       กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น          (3) สมัยรัชกาลที่ 7      (4) สมัยรัชกาลที่ 9

ตอบ 2 หน้า 44 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเทศตะวันตกได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมในประเทศ แถบตะวันออก ทำให้ในสมัยรัชกาลที่ 4 สังคมไทยได้ตระหนักถึงภัยที่จะเกิดขึ้น จึงเริ่ม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของไทยใหม่ และยกเลิกกฎเกณฑ์บางอย่างที่ไม่ทันสมัย เพี่อแสดงให้เหินถึงความเก่าแก่และอารยธรรมของสังคมไทย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 สังคมไทย จึงได้มีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ตามแบบประเทศตะวันตกขึ้น

49.       จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีความสำคัญอย่างไรต่อสังคมไทย

(1)       เปลี่ยนคำว่าสยามเป็นประเทศไทย     (2) นำประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม

(3)       พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบพึ่งตนเอง      (4) พัฒนาการปกครองแบบประชาธิปไตย

ตอบ 1 หน้า 20 ดำว่า สยาม” นั้น นายปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนไว้ว่า มีการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แต่ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2482 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ประกาศรัฐนิยมใหัใช้ชื่อ ประเทศไทย” แทน โดยให้ใช้คำว่า ไทย” แทนดำว่า สยาม” นับแต่นั้นจะต้องเรียกคนไทยว่าไทย และเรียกประเทศว่าประเทศไทย

50.       แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นโดยความช่วยเหลือของประเทศใด

(1)       ญี่ปุน   (2) สหรัฐอเมริกา         (3) รัสเซีย        (4) จีน

ตอบ 2 (ดำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงของการตื่นตัวในการพัฒนาตามแบบตะวันตก ประเทศไทยจึงมีการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยได้รับความช่วยเหลือทั้งทางด้านการเงินและวิชาการจากสหรัฐอเมริกา

51.       เศรษฐกิจของสังคมไทยในอดีต มีลักษณะอย่างไร

(1)       ผลิตเพื่อบริโภค           

(2) ผลิตเพื่อแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่น

(3)       ผลิตเพื่อการค้า            

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ1 หน้า 37 – 38 ในอดีตก่อนติดต่อกับชาวตะวันตก หรือก่อนเปิดประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 ตามสนธิสัญญาบาวริ่งนั้น ระบบเศรษฐกิจของคนไทยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง นั่นคือ แต่ละครอบครัวจะผลิตของกินของใช้ขึ้นมาบริโภคเองภายในครอบครัว โดยมิได้มุ่งผลิต เพื่อการค้า แต่เมื่อมีผลผลิตเหลือก็อาจจะแลกเปลี่ยนกับชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงบ้าง

52.       เศรษฐกิจของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 4  

(2) รัชกาลที่ 5  

(3)       รัชกาลที่ 7       

(4)       รัชกาลที่ 9

ตอบ .1 หน้า 38, (ดำบรรยาย) เศรษฐกิจของสังคมไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมากครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 หลังจากมีการเปิดประเทศตามสนธิสัญญาบาวริ่ง ทำให้ประเทศไทยมีการ เปิดประเทศค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น ซึ่งนับเป็นก้าวย่างสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทย เริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตเพื่อขายในทางการค้า และมีการบริโภคสินค้าอื่น ๆ มากขึ้น

53.       เศรษฐกิจของสังคมไทยประสบปัญหาอย่างมากในปี พ.ศ. ใด

(1) พ.ศ. 2490 (2) พ.ศ. 2504 (3)       พ.ศ. 2540       (4)       พ.ส. 2547

ตอบ 3 หาน้า 39 เศรษฐกิจของสังคมไทยประสบปัญหาอย่างมากตามภาวะเศรษฐกิจโลกในปี พ.ศ. 2540ทำให้ประชาชนยากจนลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งตัว แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจของไทยก็ได้ฟื้นตัวขึ้น จากการบริหารของผู้นำประเทศ

54.       ข้อใดคือหน้าที่ของสถาบันการศึกษา

(1) ถ่ายทอดวัฒนธรรม            (2) พัฒนาบุคลิกภาพ  (3)       ฝึกฝีมือแรงงาน           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 39 หน้าที่ของสถาบันการศึกษา ได้แก่

1.         ถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยการอบรมขัดเกลาสมาชิกทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้รู้และประพฤติปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม

2.         ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของคนให้มีความมั่นคง

3.         ช่วยฝึกหัดแรงงานเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

55. สถานที่ใดเป็นสถาบันให้การศึกษาในอดีต

(1) วัด-วัง         (2) ตักศิลา      (3) วัดเท่านั้น   (4) วังเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 40 สถานที่ที่ให้การศึกษาของสังคมไทยในอดีตก็คือวัดและวัง ต่อมาเมื่อมีการติดต่อกับ ต่างประเทศ สังคมไทยก็ได้รับเอาระบบการศึกษาในระบบโรงเรียนเข้ามา โดยมีการตั้งโรงเรียน แบบสากลขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 และขยายตัวเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ชึ่งมีทั้งสถาบันของรัฐ และเอกชน แต่ระบบการศึกษาของไทยก็ยังคงเป็นระบบบังคับ

56.       สังคมไทยรับเอาระบบการศึกษาในระบบโรงเรียนสากลเข้ามาในสมัยรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 4  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

57.       วัฒนธรรมหลวง เป็นวัฒนธรรมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร

(1) การบูรณาการ        (2) ความเป็นเอกภาพของสังคมไทย

(3)       แสดงความเจริญก้าวหน้าของประเทศ            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 12, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมในแต่ละสังคมจะประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้

1.         วัฒนธรรมหลักหรือวัฒนธรรมหลวง คือ ศิลปะวัฒนธรรมหลักของชาติ ซึ่งสมาชิกรับรู้ และประพฤติปฏิบัติไปในทำนองเดียวก้น เพื่อแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าของประเทศ ความเป็นระเบียบ รวมทั้งเพื่อการบูรณาการหรือความเป็นเอกภาพของสังคมส่วนรวม ได้แก่ ภาษาไทยการกินข้าวการไหว้ประเพณีประจำชาติหรือประเพณีหลวง

(เช่น ประเพณีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประเพณีสงกรานต์ ฯลฯ)

2.         วัฒนธรรมรองหรือวัฒนธรรมราษฎร์ คือ วัฒนธรรมเฉพาะภาคเฉพาะกลุ่มที่แตกต่างกันไป แต่ละท้องถิ่น ได้แก่ จารีตความเชื่อทักษะการประกอบอาชีพประเพณีท้องถิ่นหรือ ประเพณีราษฎร์ (เช่น ประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีงานบุญเดือนสิบ ฯลฯ)

58.       วัฒนธรรมไทยมีที่มาจากปัจจัยใด

(1) สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์       (2) ความเชื่อด้านศาสนาพุทธและพราหมณ์

(3)       การติดต่อกับชนเผ่าอื่น            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 45 – 46 วัฒนธรรมไทยปัจจุบันมีที่มาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

1. สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษเป็นผู้คิดสร้างขึ้นจากการปรับตัว ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตรอด

2.         ความเชื่อทางด้านศาสนาพุทธและพราหมณ์ซึ่งรับมาจากอินเดีย รวมทั้งความเชื่อดั้งเดิม

3.         การติดต่อสัมพันธ์และสังสรรค์กับกลุ่มชาติพันธุ์และชนต่างสังคมต่างวัฒนธรรมอื่น ๆ

59.       ข้อใดคือภูมิปัญญาไทย

(1) องค์ความรู้ในการทำนาปลูกข้าว   (2) องค์ความรู้ในการสร้างคอมพิวเตอร์

(3)       องค์ความรู้ในการจัดการองค์กรแบบสากล     (4) องค์ความรู้ในการรักษาโรคแบบทันสมัย

ตอบ 1 หน้า 53 – 54 ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะสำคัญสรุปได้ดังนี้      1. เป็นความรู้ของสังคมไทยในเกือบทุกเรื่อง   2. เป็นองค์ความรู้ที่คนไทยคิดสร้างขึ้นและได้แปรความรู้จากนามธรรมมาสู่รูปธรรม เช่น การทำนาปลูกข้าว การเกษตรแบบผสมมสาน เรือหางยาว รผีฟ้า เสื้อผ้าที่ทำจากฝ้าย ฯลฯ            3. ภูมิปัญญาไทยในแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกัน และเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วแต่ละท้องถิ่นก็จะเป็นเจ้าของชัดเจน 4. เป็นความรู้ที่ได้จากชีวิตจริงโดยการลองผิดลองถูก

60.       ข้อใดถูกต้องที่สุด

(1)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากความเชื่อด้านไสยศาสตร์

(2)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ

(3)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากคนไทยคิดสร้างขึ้น

(4)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมไทยกับสากล

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

61. ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะสำคัญอย่างไร

(1) มีเจ้าของชัดเจน     

(2) เป็นสากลพบได้ทั่ว ๆ ไป

(3)       ไม่มีเจ้าของเป็นของกองกลาง 

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 ดูคำอธินายข้อ 59. ประกอบ

62.       อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน” จัดอยู่ในภูมิปัญญาใด

(1) เชิงเทคนิค  

(2) การจัดการ 

(3) การควบคุม            

(4) นามธรรม

ตอบ 4 หน้า 51 – 52. (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้

1.         ระดับพื้นฐานเชิงเทคนิคซึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรม เช่น ความรู้เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ฤดูกาลใดเหมาะแก่การเพาะปลูก การรู้ว่าพืชสัตว์อะไรกินได้ อะไรนำมาใช้สอยได้ ฯลฯ

2.         ระดับการจัดการระบบการผลิตและทรัพยากรซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม เช่น การรู้จักคัดเลือก พันธุ์พืชและพื้นที่ในการเพาะปลูก การดูคุณสมบัติของดิน การสร้างเหมืองฝาย ฯลฯ

3.         ระดับการควบคุมโดยใช้ความเชื่อและพิธีกรรมซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม เช่น ความเชื่อเรื่องรุกขเทวดา รวมทั้งจารีตประเพณีต่าง ๆ

4.         ระดับวิธีคิดหรือค่านิยมซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมและเป็นระดับสูงสุดของสังคม

63.       พิธีกรรม จารีต ประเพณี เป็นภูมิปัญญาไทยระดับใด

(1) เชิงเทคนิค  

(2) การจัดการ 

(3) การควบคุม            

(4) นามธรรม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

64.       ข้อใดคือตัวอย่างของภูมิปัญญาไทย

(1) รำผีฟ้า       (2) เกษตรแบบผสมผสาน       (3) เรือหางยาว            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

65.       ข้อใดคือความสำคัญของภูมิปัญญาไทย

(1) สร้างชาติเป็นปึกแผ่นมั่นคง           (2) สร้างความภาคภูมิใจ

(3) สร้างความสมดุลระหว่างสังคมกับธรรมชาติ         (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ4 หน้า 53 ความสำคัญของภูมิปัญญาไทยมีดังนี้

1.         สร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง            2. สร้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีเกียรติภูมิแก่คนไทย

3.         สามารถประยุกต์หลักธรรมคำสอนทางศาสนามาใช้กับวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม

4.         สร้างความสมดุลระหว่างคน สังคม และธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

5.         ช่วยปรับวิถีชีวิตคนให้เหมาะสมตามยุคสมัย

66.       การบวชป่าสืบชะตาขุนนํ้า เป็นภูมิปัญญาของภาคใด

(1) เหนือ          (2) กลาง         (3) อีสาน         (4) ใต้

ตอบ 1 หน้า 54 – 65 ภูมิปัญญาที่โดดเด่นของแต่ละภาคมีดังนี้

1.         ภาคเหนือ ได้แก่ ระบบเหมืองฝาย ซึ่งถึอเป็นภูมิปัญญาด้านการจัดการนํ้าที่เด่นเฉพาะ ของชาวเหนือ ความรู้เรื่องสมุนไพร การสืบชะตาขุนน้ำ บวชต้นไม้ บวชป่า ฯลฯ

2.         ภาคอีสาน ได้แก่ ความเชื่อเรื่องดาวผีดาน การตั้งศาลปู่ตาในถิ่นฐานใหม่ ความสามารถในการจับและกินแมลง ระบบพ่อแก้ว-ลูกแก้ว การผูกเสี่ยว ฯลฯ

3.         ภาคกลาง ได้แก่ ภูมิปัญญาเกี่ยวกับวัฒนธรรมข้าวและพิธีกรรมสืบเนื่องจากตำนานข้าว เช่น พิธีแรกนา พิธีทำขวัญข้าว ฯลฯ

4.         ภาคใต้ ได้แก่ การปลูกบ้านมีตีน การผูกดอง ผูกเกลอ ความเชื่อเรื่องธาตุสี่ ฯลฯ

67.       บ้านมีตีน” เป็นภูมิปัญญาของภาคใด

(1) ภาคกลาง  (2) ภาคเหนือ   (3) ภาคอีสาน  (4) ภาคใต้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประก

68.       ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดินไทยเป็นปัจจัยทำให้เกิดภูมิปัญญาด้านใด

(1) เทคโนโลยีชั้นสูง    (2) ศิลปะและนันทนาการ

(3) การทำมาหากิน      (4) การเมืองการปกครอง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาด้านศิลปะและนันทนาการของไทย คือ ผลโดยตรงที่เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดินไทย เนื่องจากสังคมใดที่อยู่ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ มีความมั่งคั่ง สังคมนั้นก็จะมีเวลาที่จะสร้างสรรค์ศิลปะและการละเล่นต่าง ๆ ได้

69.       ข้อใดคือเอกลักษณ์ที่แสดงความเป็นชาติไทย

(1) ศิลปกรรมไทยตามวัดและวัง         (2) การพูดภาษาไทยอย่างชัดเจน

(3) อาหารไทย (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 65 – 66, (คำบรรยาย) เอกลักษณ์พื้นฐานของสังคมไทย ได้แก่

1.         ชาติ หมายถึง ลักษณะหรือเอกสักษณ์ความเป็นชาติไทย โดยเฉพาะที่แสดงให้เห็นถึง ความเป็นคนไทย ความภาคภูมิใจและความสำนึกในความเป็นไทย รวมทั้งการมี วัฒนธรรมไทย เช่น ศิลปกรรมไทย พฤติกรรมความเป็นอยู่แบบไทย อาหารไทย ภาษาไทย ธงชาติและการยืนตรงทำความเคารพเพลงชาติไทย ฯลฯ

2.         ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะอุปนิสัย ทัศนคติในการมองโลก และวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย

3.         พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และทรงมีภาระหน้าที่ ในการขจัดทุกข์บำรุงสุขของคนไทยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

4.         การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

70.       อะไรคือเอกลักษณ์พื้นฐานของไทย

(1) ชาติ            (2) ศาสนา       (3) พระมหากษัตริย์     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

71.       เอกลักษณ์ของศาสนาปรากฎอยู่ในรูปแบบใด

(1) ทัศนะในการมองโลก         

(2) วิถีการดำเนินชีวิต

(3) ลักษณะอุปนิสัย    

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

72.       อะไรคือภาระหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

(1) ขจัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร           

(2) เป็นผู้รักษาความยุติธรรม

(3) เป็นนักรบ  

(4) เป็นเจ้าชีวิต

ตอบ 1 ดูคำอธิบาษข้อ 69. ประกอบ

73.       นักวิชาการท่านใดระบุว่าสังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม

(1) เอมบรี        

(2) เบเนดิกท์   

(3) วัยอาจ       

(4) มาลินอฟสกี้

ตอบ 1 หน้า 69, (คำบรรยาย) เอมบรี (Embree) กล่าวว่า สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม(Loosely Structured) นั่นคือ คนไทยขาดระเบียบวินัย มีลักษณะปัจเจกบุคคลนิยมสูง ชอบอยู่โดดเดี่ยว ไมชอบการรวมกล่ม และเป็นสังคมที่มีลักษณะยืดหยุ่นประนีประนอมสูง นอกจากนี้คนไทยยังรักอิสระ นิยมเลือกทำตามใจตนเอง ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ชอบผูกมัด ต่อหน้าที่ และพยายามหลีกเลี่ยงพันธะทางสังคม จึงมักมีปัญหาในการทำงานรวมกลุ่มกับผู้อื่น

74.       อะไรคือลักษณะนิสัยคนไทยในทัศนะของศาสตราจารย์ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง

(1) นิยมความโอ่อ่า      (2) รักความเป็นอิสระ

(3) เคารพเชื่อฟังผู้มีอำนาจ      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 70, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง กล่าวว่า คนไทยมีนิสัยรักความ เป็นไทย มีความเป็นปัจเจกบุคคลสูง มักน้อย สันโดษ ยํ้าการหาความสุขจากชีวิต นิยมความโอ่อ่า สุภาพอ่อนโยน รักอิสระแต่เคารพเชื่อฟังอำนาจ ดังนั้นคนไทยจึงมีนิสัยขัดแย้งในตัวเอง เพราะคนไทยรักอิสระ ไมชอบให้ใครมาสั่ง แต่ถ้ารู้ว่าใครมีอำนาจก็จะกลัวและยอมเชื่อฟังเขา

75.       การรู้ว่าอะไรกินได้ อะไรนำมาใช้สอยได้ เป็นภูมิปัญญาไทยระดับใด

(1) นามธรรม   (2)       รูปธรรม           (3)       สูงสุดของสถาบัน        (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

76.       คนไทยมีลักษณะนิสัยบางอย่างคล้ายทัน เนื่องมาจากอะไร

(1) การศึกษา  (2)       อาชีพ   (3)       การอบรมเลี้ยงดู          (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 68, (คำบรรยาย) ลักษณะนิสัยประจำชาติ อาจหมายถึง ลักษณะนิสัยบางอย่างซึ่งบุคคลที่อยู่ในประเทศเดียวกันมักมีอยู่คล้าย ๆ กัน อันเป็นผลมาจากการเติบโตและได้รับ การอบรมเลี้ยงดูขัดเกลามาจากคนในสังคมที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมา มีความเชื่อทางศาสนา มีสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ (สภาพภูมิศาสตร์) สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจเหมือนกัน

77.       สังคมไทยมี โครงสร้างแบบหลวม” หมายความว่าอย่างไร

(1) คนไทยชอบรวมกลุ่มเสวนากัน       (2) คนไทยไม่ยึดมั่นกับกฎเกณฑ์ใด ๆ

(3) คนไทยไม่ชอบอยู่โดดเดี่ยว            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ

78.       ค่านิยมอะไรที่คนไทยยึดมันทำให้คนไทยไมทำสิ่งที่ไม่ให้ประโยชน์แกตน

(1) รักสนุก       (2)       ประสานประโยชน์       (3)       เล็งผลปฏิบัติ   (4)       ขันติ ความอดกลั้น

ตอบ 3 หน้า 70, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ กล่าวว่า คนไทยเล็งผลการปฏิบัติ หมายถึง คนไทยจะชอบทำเฉพาะสิ่งที่เอื้อประโยชน์กับตนเท่านั้น โดยพิจารณาว่าถ้าสิ่งนั้นขัดกับ ประโยชน์ส่วนตนหรือเกิดความเสียหายก็จะไมปฏิบัติ แต่ถ้าเสริมประโยชน์กับตนก็จะปฏิบัติ

79.       ข้อใดคือตัวอย่างของวิกฤตทางวัฒนธรรมในสังคมไทย

(1) ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์      (2) การโกงเงินบริจาคสาธารณะ

(3) การแล้งน้ำใจ ดูดาย          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 7276, (คำบรรยาย) สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้ความหมายโดยสรุปไว้ว่า วิกฤตวัฒนธรรม หมายถึง ปรากฎการณ์ที่เบี่ยงเบนไปจากวิถีชีวิตอันดีงาม หรือ สวนกระแสระบบคุณค่าและมาตรฐานทางศีลธรรม นั่นคือ พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยยึดถือปฏิบัตินั่นเอง เช่น ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์การแล้งนํ้าใจ ดูดายขาดจิตสำนึกสาธารณะเห็นแกตัวหรือเห็นแกผลประโยชน์ส่วนตัวคดโกง ไมซื่อสัตย์,ยโสโอหังให้ความสำคัญกับเงินหรือวัตถุ และเชื่อว่าสวรรค์กับการบริโภคเป็นสิ่งเดียวกัน ฯลฯ

80.       ข้อใดเป็นลักษณะสังคมที่มีความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา

(1)       คนไทยขาดจิตสาธารณะ

(2)       เด็กไทยในเมืองใช้คอมพิวเตอร์ได้ดีกว่าเด็กไทยในชนบท

(3)       โรงเรียนมีคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากแต่นักเรียนยังไม่สามารถใช้ได้อย่างเติมที่

(4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 73 – 74 สังคมไทยมีความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา หรือมีลักษณะรูปแบบก้าวหน้าแต่เนื้อหาล้าหลัง หมายถึง สังคมไทยรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาแต่วัตถุกับเปลือก แต่มิได้เรียนรู้วิธีคิด ตลอดจนเนื้อหาที่แท้จริง จนทำให้เกิดความล่าทางวัฒนธรรม (Culture Lag) เช่น คนไทย มีปัญญาซื้อรถยนต์ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาจราจรได้ หรือการซื้อคอมพิวเตอร์จำนวนมาก แต่ไม่รู้วิธีใช้และไม่มีกฎหมายควบคุมที่ได้ผล เป็นต้น

81.       การที่มาตรฐานเกี่ยวกับความดี ความชั่วของคนไทยเกิดความสับสนนั้น เกิดจากสาเหตุอะไร

(1) การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว     

(2) คนไม่นับถือศาสนา

(3) คนมีครอบครัวลดลง          

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 72 – 74 ที่มาหรือสาเหตุของวิกฤตวัฒนธรรมไทยมีดังนื้

1.         เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้ มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี เทคนิควิทยาด้านต่าง ๆ และระบบสื่อสารคมนาคมจนเกิดภาวะ ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา” หรือเรียกว่าความล่าทางวัฒนธรรม (Culture Lag)

2.         การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไปสู่ระบบทุนนิยมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความสับสน ในมาตรฐานเกี่ยวกับความดี ความชั่ว ที่เคยยึดถือกันมา

82.       จากวิกฤตทางวัฒนธรรมของไทย ทำให้เด็กไทยปัจจุบันมีลักษณะนิสัยอย่างไร

(1) ชอบแสวงหาความรู้           

(2) ชอบเลียนแบบผู้อื่น

(3) ชอบธรรมชาติ        

(4) ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

ตอบ 2 หน้า 70 – 71, (คำบรรยาย) จากวิกฤตทางวัฒนธรรมของไทยทำให้เด็กไทยปัจจุบันมีนิสัยดังนี้ 1. ขี้เหงา ติดเพื่อน   2. ไม่มีความอดทนในการรอคอย

3.         เจ้าอารมณ์     4. เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน

5.         ขาดจิตสำนึกสาธารณะ           6. ชอบทันสมัย ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ และตามแฟชั่น

7.         ชอบเลียนแบบผู้อื่นและวัฒนธรรมอื่น (โดยเฉพาะวัฒนธรรมตะวันตก) ที่แพร่เข้ามา เพื่อความเป็นสากล ฯลฯ

83.       สังคมไทยแก้ไขวิกฤตทางวัฒนธรรมด้วยวิธีได

(1) ปฏิรูปการศึกษา    

(2) ส่งเสริมสถาบันครอบครัว

(3) ควบคุมการพัฒนาให้สมดุลกับธรรมชาติ  

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 76 – 77, (คำบรรยาย) การแก้ไขวิทฤตทางวัฒนธรรมควรทำทั้งในระดับบุคคล สถาบัน และสังคมทั้งสังคม ด้วยวิธีการต่อไปนี้

1.         การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาให้อยู่ในสภาพที่สมดุลตามธรรมชาติ

2.         ปฏิรูปและส่งเสริมระบบการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจแก่นแท้ของวัฒนธรรมไทย รู้จริง เกี่ยวกับรากฐานวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิบัญญาไทย

3.         ส่งเสริมสถาบันครอบครัวและชุมชนให้เข้มแข็งและมั่นคง และเปิดโอกาสให้ชุมชน ได้มีสวนร่วมในการอนุรักษ์ แก้ไข และปกป้องวัฒนธรรมของตนเอง

4.         เร่งศึกษาถึงอิทธิพลของโลกภายนอกที่มีต่อสังคมไทยในทุกด้าน

5.         ฟื้นฟูสถาบันศาสนาให้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตเหมีอนอดีต

84.       ระบบความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่มีที่มาจากอะไร

(1) หลักวิทยาศาสตร์   (2) ความกลัวในอำนาจเหนือธรรมชาติ

(3) ความมั่นใจในตนเอง          (4) หลายปัจจัยประกอบกัน

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ระบบความเชื่อเป็นสิงที่มนุษย์ในทุกสังคมผูกสร้างเป็นเรื่องราวขึ้นจากเหตุการณ์ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลที่เป็นรูปธรรมตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะปรากฎออกมา ในลักษณะของการเชื่อถือพลังอำนาจนอกเหนือธรรมชาติที่มักมีพิธีกรรมและประเพณีต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ระบบความเชื่อมีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นการส่งเสริมอำนาจ เป็นการตอบสนองความกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดจนเป็นเครื่องมือควบคุมมนุษย์ให้ อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีระเบียบ

85.       คนไทยส่วนใหญ่ใช้อะไรเป็นมาตรฐานในการเข้าใจตนเอง ผู้อื่น และสังคม

(1) กฎหมาย    (2) เหตุผล       (3) ความเชื่อ    (4) หลักวิทยาศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 79, (คำบรรยาย) มนุษย์ในทุกสังคมจะใช้ระบบความเชื่อเป็นมาตรฐานในการเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจสังคม และเข้าใจโลก โดยความเชื่อนี้มักจะผูกพันกับหลักศีลธรรม จริยธรรม ปรัชญา ตลอดจนศาสนา ซึ่งจะมีส่วนกำหนดความเป็นไปของวิถีชีวิตผู้คนในสังคม

86.       อะไรคือสิ่งยึดเหนี่ยวของคนไทย

(1) หลักธรรมของศาสนา         (2) ไสยศาสตร์ (3) โหราศาสตร์           (4) ถูกทั้งหมด

ตรบ 4 หน้า 81 – 83, (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ) ความเชื่อในสังคมไทยแบ่งออก ได้ดังนี้            1. ความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ได้แก่ ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา,ความเชื่อเรื่องขวัญความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์โหราศาสตร์ ฯลฯ 2. ความเชื่อด้านศาสนา เช่น การเชื่อว่าชีวิตเป็นไปตามกรรมเมตตาธรรมคํ้าจุนโลกลัทธิเทวราชาพรหมลิขิตคติไตรภูมิ 1ลฯ

87.       ข้อใดคือความเชื่อดั้งเดิมในสังคมไทย

(1) หลักวิทยาศาสตร์   (2) ศาสนาพุทธ           (3) เทคโนโลยี  (4) อำนาจเหนือธรรมชาติ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

88.       ความเชื่อต่างจากศาสนาในแงใด

(1) มีผู้นำ         (2) เชื่อนอำนาจเหนือธรรมชาติ          (3) หลักศีลธรรม          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 79 ความเหมือนกันของศาสนาและความเชื่อ คือ มีที่มาจากความเชื่อว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ลึกลับบางอย่างหรือหลายอย่างที่อยู่นอกเหนือมนุษย์ธรรมดา และอำนาจเหนือธรรมชาตินี้ จะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งในทางดีและทางร้าย ทั้งให้คุณและให้โทษได้ แต่ความเชื่อจะต่างจากศาสนาในแงที่ว่าความเชื่ออาจจะไม่แสดงกำเนิดและการสิ้นสุดของโลก หรืออาจไม่มีหลักธรรมที่เกี่ยวกับบุญ-บาปเป็นศีลธรรมเหมือนกับศาสนา

89.       ไตรลักษณ์” คืออะไร           

(1) หลักธรรมทางศาสนาพุทธ

(2)       หลักศาสนาพราหมณ์ (3) ลักษณะที่ดี 3 ประการ      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ไตรลักษณ์ เป็นหลักธรรมทางพุธศาสนา ซึ่งหมายถึงลักษณะที่เป็นสามัญทั่วไป3 ประการ ได้แก่ 1. อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง     2. ทุกขัง คือ ความมีทุกข์

3.         อนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน

90.       ความเชื่อที่คนไทยใช้อธิบายชีวิตของคนคืออะไร

(1) กฎแห่งกรรม          (2) บุญ-วาสนา            (3) การกระทำ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 83 ความเชื่อที่คนไทยใช้อธิบายชีวิตพื้นฐานของคน ตลอดจนการกระทำของบุคคล คือ ความเชื่อเรื่องกรรม (การกระทำ) กฎแห่งกรรม วาสนา และบุญบารมี

91.       ศาสนาพุทธได้รับการปรับปรุงให้มีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นในยุคสมัยใด

(1)       พ่อขุนรามคำแหงมหาราช       

(2) พระบรมไตรโลกนา

(3)       รัชกาลที่ 4       

(4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 82 เมื่อไทยยอมรับวัฒนธรรมตะวันตกและเข้าสู่สมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ชนชั้นปกครองไทยเริ่มให้ความสำคัญกับความรู้ ที่อธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ดังนั้นความรู้ความเชื่อทางด้านศาสนาพุทธจึงได้รับ การปรับปรุงให้ดูมีเหตุผลและเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น

92.       เพราะเหตุใดคนไทยปัจจุบันจึงนิยมการดูหมอและสะเดาะเคราะห์   

(1) อยากรู้อนาคต

(2)       หาความมั่นใจในการดำรงชีวิต           

(3) ชอบทดลอง           

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 82, (คำบรรยาย) คนไทยบางส่วนในปัจจุบันยังไม่เป็นคนสมัยใหม เพราะยังมีการทรงเจ้า เข้าทรง ดูหมอดู สะเดาะเคราะห์ มีการกราบไหว้บวงสรวงศาลเจ้า ศาลพระภูมิ รวมทั้งต้นไม้ใหญ่ต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยิ่งพัฒนาไปมากเท่าไหร่ความเชื่อในเรื่อง ไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา และโหราศาสตร์ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาที่ เป็นไปอย่างรวดเร็วทำให้ผู้คนตามไม่ทัน จึงก่อให้เกิดความสันสนทางความคิดและต้องหา ความมั่นใจในการดำเนินชีวิตในอนาคตด้วยวิธีนี้

93.       ไสยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยอะไร

(1) เวทมนตร์คาถา      (2) จิตวิญญาณ          (3) ผีบรรพบุรุษ            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 82, (คำบรรยาย) ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาเครื่องรางของขลัง นํ้ามันพลาย รัก-ยม ฯลฯ ซึ่งคนไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย

94.       ศีล คืออะไร

(1) ข้อปฏิบัติ   (2) ข้อห้าม       (3) บทสวดมนต์           (4) คาถา

ตอบ2  (คำบรรยาย) ศีล หมายถึง การประพฤติดีปฏิบัติชอบตามหลักศีลของพระพุทธศาสนาซึ่งส่วนใหญ่จะหมายถึงข้อห้าม ส่วนธรรมหมายถึงข้อปฏิบัติ

95.       ข้อใดคือหลักคำสอนของศาสนาพุทธ

(1) จงทำดี จงทำดี       (2) จงทำดี ละเว้นความชั่ว

(3)       ทำจิตใจให้บริสุทธิ์       (4) จงทำดี ละเว้นดวามชั่ว และทำใจให้บริสุทธิ์

ตอบ 4 หน้า 83, (คำบรรยาย) หลักคำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจหรือแก่นของศาสนาพุทธ ได้แก่จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ การดับทุกข์

96.       อะไรคือประเพณีของสังคมไทย

(1)       การแต่งงาน    (2) การบวช    (3) จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (4) การตาย

ตอบ 3 หน้า 86 – 87, (คำบรรยาย ประเพณีไทยแบ่งตามลักษณะทั่วไปออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวาระต่าง ๆ ของชีวิตคนไทยแต่ละคน ได้แก่ ประเพณีเกี่ยวกับ การเกิด การตาย การบวช การสมรส เป็นต้น        2. ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับลังคมไทย ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และความเป็นอยู่ของคน ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ลอยกระทง จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ บุญบั้งไฟ แห่นางแมว บูชาพระแม่ธรณี ปั้นเมฆ ตลอดจนงานบุญ และการละเล่นอื่น ๆ เช่น แข่งเรือ การเข้าทรงแม่ศรี ผีครก ผีสาก เป็นต้น

97.       ประเพณีเกี่ยวกับความตาย เป็นประเพณีเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) สังคมไทย

(2)       ชีวิตของคนไทยแต่ละคน        (3) ชนกลุ่มน้อย           (4) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

98.       ประเพณีไทยมีความสำคัญอย่างไร   

(1) แสดงความเป็นอารยะ

(2) ส่งเสริมความสามัคคี         (3) แสดงความกตัญญ            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 85 – 86, (คำบรรยาย) ความสำคัญของประเพณีไทยมีดังนี้ 1. แสดงความเป็นอารยะ  2. ส่งเสริมความสามัคคี 3.        แสดงถึงความกตัญญูรู้คุณ     4. ช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนา5. แสดงถึงประวัติความเป็นมาของชาติ            6. เป็นมรดกทางสังคม 7 แสดงโลกทัศน์ของคนไทย   8. แสดงให้เห็นระบบความสัมพันธ์ในสังคม ฯลฯ

99.       ประเพณีใดเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์

(1) แห่นางแมว            (2) บุญบั้งไฟ   (3) บูชาพระแม่ธรณี    (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

100.    อะไรคือที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างในทัศนะของชาวพุทธ

(1) กรรม          (2) พระพรหม  (3) พญาแถน   (4) สิ่งเหนือธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 83, (คำบรรยาย) ในทัศนะของชาวพุทธ กรรม” คือ การกระทำของเรา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งหลาย และเป็นที่มาของทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเมื่อกระทำสิ่งใด ผลของกรรมที่เกิดจากการกระทำนั้นก็จะตามมา กรรมที่กระทำไว้ใม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว จะยังผลให้มีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร จึงกล่าวได้ว่าพื้นฐานชีวิตความเป็นอยู่ปัจจุบัน จะเป็นเช่นไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับ กรรม” หรือบาปบุญที่ได้กระทำไว้ในชาติหนึ่งนั่นเอง

ANT3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา ANT3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         ข้อใดได้จากการศึกษาสังคมไพย

(1)       โครงสร้างสังคม 

(2) การควบคุมสังคม            

(3) ประเพณีไทย         

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1, (คำบรรยาย) การศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องที่คนไทยศึกษาได้ตลอดเวลา เพราะเราคือคนไทยและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะจากสังคมไทยตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นสังคมและวัฒนธรรมไทยจึงอยู่ทั้งในตัวตนของเราและอยู่ล้อมรอบตัว ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้ทุกวัน เวลา และสถานที่ ในทุก ๆ ด้าน เช่น วิถีชีวิตหรือความเป็นอยู่ ของคนไทย พฤติกรรมความคิด ทัศนะในการุมองโลก ค่านิยม ความเชื่อ ระบบภารศึกษา ประเพณีไทย ตลอดจนโครงสร้างสังคมและระบบการควบคุมสังคม เป็นต้น

2.         ประเพณีสงกรานต์สะท้อนให้เห็นอะไร

(1)       ลักษณะกายภาพของสังคม    

(2) ความเป็นเอกภาพของสังคม

(3) ทัศนะในการมองโลกของคนไทย   

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 18, (คำบรรยาย) การศึกษางานบุญประเพณีของไทยจะสะท้อนให้เห็นถึงระบบความคิด ความเชื่อ ทัศนะในการมองโลกของคนไทย และโครงสร้างทางสังคมไทย ซึ่งเป็นภาพสะท้อน ของสังคมและวัฒนธรรมไทยในอดีต

3.         สังคมไทยประกอบด้วยอะไร

(1) คนหลายชาติพันธุ์  (2) คนไทยเท่านั้น        (3) ชาวไร่ชาวนา          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 1215, (คำบรรยาย) สังคมไทยประกอบด้วยคนหลายกลุ่มหลายชาติพันธุ์ จึงทำให้ คนไทยมีระบบความคิด ทัศนคติ และความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่เมื่อต้องมาอยู่รวมกันเป็น กลุ่มสังคมเดียวกันก็จะต้องอาศัยวัฒนธรรมไทยมาหล่อหลอมและขัดเกลาให้มีพฤติกรรม และแบบแผนการดำเนินชีวิตที่คล้ายคลึงหรือเป็นไปในรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้คนไทยมี ความสัมพันธ์กันได้ถูกต้อง และอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมได้อย่างราบรื่นถาวร

4.         เพราะเหตุใดคนไทยจึงสัมพันธ์กันได้ถูกต้อง

(1)       เพราะเป็นสัตว์สังคม  (2) เพราะรู้จักคิดมีเหตุผล

(3) เพราะได้รับการขัดเกลาจากสังคมเดียวกัน           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

5.         กายกับใจ แยกจากกันไมได้” เปรียบได้กับอะไร   

(1) สังคมกับเงินตรา

(2)       สังคมกับวัฒนธรรม    (3) สังคมกับเทคโนโลยี           (4) สังคมกับอุตสาหกรรม

ตอบ2  หน้า 1214 สังคมกับวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะเมื่อมนุษย์รวมตัวกันเป็นกลุ่มสังคมก็จะต้องสร้างวัฒนธรรมขึ้นเป็นแบบแผน พฤติกรรมของสังคม เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดหรือควบคุมพฤติกรรมชองคนในสังคมให้เป็นไป ตามกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกัน สังคมจึงจะดำรงอยู่ได้โดยมั่นคงราบรื่น ซึ่งความสัมพันธ์อันนี้ เปรียบเสมือนกายกับใจ หรือเหรียญ 2 ด้าน ที่จะขาดซึ่งกันและกันไม่ได้

6.         สังคมรูปแบบใดกำหนดโดยใช้สิ่งแวดล้อมเป็นเกณฑ์

(1) ชนบท-เมือง           (2)       ง่าย ๆ-ซับช้อน

(3)       เกษตรฯ-อุตสาหกรรม  (4)       ประเพณี-ทันสมัย

ตอบ 1 หน้า 3 – 46 – 7 นักวิชาการแบ่งรูปแบบของสังคมตามตัวกำหนดที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ดังนี้ 1. แบ่งตามสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต คือ สังคมชนบทกับสังคมเมือง

2.         แบ่งตามระบบความสัมพันธ์ คือ สังคมง่าย ๆ (สังคมพื้นบ้าน) กับสังคมซับซ้อน

3.         แบ่งตามวัฒนธรรม คือ สังคมดั้งเดิม (สังคมประเพณี) กับสังคมทันสมัย

4.         แบ่งตามเทคโนโลยีที่ใช้ หรือวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจของคน คือ สังคมเกษตรกรรม กับสังคมอุตสาหกรรม

7.         เครือข่ายความสัมพันธ์ของคนที่มาอยู่รวมกัน เรียกว่าอะไร

(1) กลุ่มสังคม (2)       โครงสร้างของสังคม

(3) พฤติกรรมของคนในสังคม (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ . 2 หน้า 8-9 โครงสร้างทางสังคม คือ ระบบเครือข่ายความสัมพันธ์ของคนที่มาอยู่รวมกัน ในสังคม ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่าง ๆ ที่มีฐานะและคุณค่าที่แตกต่างกัน เช่น ความสัมพันธ์ ระหว่างเครือญาติกลุ่มนายทุน-กรรมกรคนรวย-คนจนขุนนาง-ไพร่เด็ก-ผู้ใหญ่ ฯลฯ

8.         กลุ่มสังคมที่มีฐานะและคุณค่าแตกต่างกัน เป็นองค์ประกอบของอะไร

(1) สถาบันต่าง ๆ        (2) โครงสร้างสังคม

(3) การจัดระเบียบทางสังคม  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

9.         การส่งทอดความรู้สะดวกรวดเร็วเกิดจากข้อใด

(1) ภาษาที่เป็นระบบสัญลักษณ์         (2) วิทยาการเจริญก้าวหน้า

(3) สังคมมีเอกภาพ     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ    1 หน้า 311-12, (คำบรรยาย) การที่มนุษย์มีความสามารถในการสร้างและใช้ระบบสัญลักษณ์เช่น ภาษาพูดและภาษาเขียน รวมทั้งสื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ นั้น ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อสัมพันธ์กัน อย่างราบรื่น ตลอดจนสามารถสะสม พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีจาก ชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่งได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว ดังนั้นระบบสัญลักษณ์จึงถือเป็นพื้นฐาน ของวัฒนธรรมและเป็นเครื่องมือช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่สังคม โดยระบบสัญลักษณ์ที่ใช้ต่างกัน ก็จะทำให้การใช้ภาษาแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม

10. ข้อใดคือลักษณะสำคัญของวัฒนธรรม    

(1) เกิดจากการเรียนรู้

(2)       เป็นสากล        (3) ส่งทอดโดยใช้สัญลักษณ์  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 10 – 11, (คำบรรยาย) ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรม ได้แก่

1. เป็นผลผลิตจากระบบความคิดของมนุษย์ หรือเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์

2. เป็นแบบแผนของพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือเกิดจากการกระทำโต้ตอบกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

3. มีองค์ประกอบของความคิด โลกทัศน์ ค่านิยมทางสังคม ซึ่งเป็นตัวกำหนดมาตรฐานของ พฤติกรรม

4. เป็นมรดกทางสังคมที่ส่งต่อจากชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่ง

5. มีพื้นฐานมาจากการใช้สัญลักษณ์ คือ ภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้สื่อสารและส่งทอดความรู้ต่าง ๆ

6. มีลักษณะเป็นสากล ใช้ในระดับกว้าง หรืออาจใช้ในระดับแคบเฉพาะกลุ่มคนก็ได้ ฯลฯ

11.       ข้อใดคือวัฒนธรรมที่มนุษย์สร้าง

(1)       วิถีประชา จารีต           

(2) การเพาะปลูก        

(3) การทำเหมืองฝาย  

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 10, (คำบรรยาย) วัฒนธรรม” ในความหมายหนึ่ง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ สร้างขึ้นทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เพื่อเป็นแบบแผนพฤติกรรมให้แก่สมาชิกและเพื่อ อำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต ซึ่งในความหมายนี้แสดงให้เห็นว่าสังคมกับวัฒนธรรม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

12.       ข้อใดคือวัฒนธรรมสากล

(1)       การนับถือศาสนา        

(2) การไหว้ทักทาย      

(3) การนับถือไสยศาสตร์        

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 10, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมอาจใช้ในระดับกว้าง หรือเรียกว่าวัฒนธรรมสากล คือ วัฒนธรรม ที่ทุกสังคมมีเหมือนๆ กัน เช่น ภาษา (ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน) ศาสนา กฎหมาย ฯลฯ หรือใช้ในระดับแคบ คือ วัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มคนในสังคมใดสังคมหนึ่ง เช่น สังคมไทยมี วัฒนธรรมการไหว้เพื่อแสดงความเคารพ มีการรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก มีการนับถือ ผู้สูงอายุ มีความเชื่อเรืองไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ ฯลฯ

13.       สินค้าโอท็อปของไทย เป็นวัฒนธรรมในความหมายใด

(1) สิ่งที่ดีงาม ดีเลิศ มีคุณค่า  (2) ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น

(3)       วิถีชีวิต (4) วัฒนธรรมดั้งเดิม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

14.       วัฒนธรรม” ประกอบด้วยอะไรบ้าง

(1) ทัศนคติ ค่านิยม     (2) ประเพณี    (3) ลักษณะนิสัยของคน          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 12 วัฒนธรรมในแต่ละสังคมประกอบด้วย 2 ส่วนดังนี้

1.         วัฒนธรรมหลักหรือวัฒนธรรมหลวง คือ วัฒนธรมส่วนรวมของคนในสังคม เช่น ภาษา กฎหมาย ศาสนา การละเล่นบางอย่าง แบบแผนพฤติกรรม จารีตประเพณี ฯลฯ

2.         วัฒนธรรมรองหรือวัฒนธรรมราษฎร์ คือ วัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มเฉพาะภาค เช่น ความเชื่อ สำเนียงภาษา ทัศนคติ ค่านิยม ลักษณะนิสัย กิริยาท่าทาง ทักษะในการประกอบอาชีพ ฯลฯ

15.       ในอดีตมนุษย์คิดสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่ออะไร

(1) ตอบสนองความตองการด้านชีวภาพ         (2) แสดงความสามารถด้านสมอง

(3) เสริมสร้างความสบาย       (4) ถูกทั้งหมด

ตรม     1 หน้า 44 – 45, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ทำให้สังคมมนุษย์สร้างวัฒนธรรมและคิดสร้างสรรค์เทคโนโลยีหรือสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา มี 3 ระดับ คือ 1. ความต้องการด้านชีวภาพ (ปัจจัยสี่) เป็นความต้องการเบื้องต้นในอดีตของมนุษย์เพื่อการมีชีวิตรอด

2.         ความต้องการด้านจิตวิทยา เป็นความต้องการเกี่ยวกับความมั่นคง ปลอดภัย สะดวกสบาย

3.         ความต้องการด้านสังคม เป็นความต้องการเพื่อการมีชีวิตที่ดีที่สุด

16.       สังคมคืออะไร

(1) แบบแผนพฤติกรรม           (2) คนที่มาอยู่รวมกันและสัมพันธ์กัน

(3) กฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน            (4) กฎเกณฑ์ในการควบคุมคนที่มาอยู่ร่วมกัน

ตอบ2  หน้า 12, (คำบรรยาย) สังคม หมายถึง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่มาอยู่รวมกันและมีความสัมพันธ์กันโดยที่รูปแบบความสัมพันธ์นันย่อมเป็นไปตามแบบแผนหรือวัฒนธรรมที่สังคมกำหนด เพราะคนในสังคมใดย่อมต้องได้รับการถ่ายทอด อบรมขัดเกลา ให้ต้องปฏิบัติตามแบบแผนของสังคมนั้น

17.       วัฒนธรรมเป็นตราประจำสังคม” เป็นคำกลาวของนักวิชาการท่านใด

(1)       สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ     (2) อี. บี. ไทเลอร์

(3) พัทยา สายหู          (4) ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง

ตอบ 3 หน้า 13 พัทยา สายหู กล่าวว่า วัฒนธรรมเป็นตราประจำสังคม คือ เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอก ให้รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นสมาชิกของกลุ่มเดียวกันหรือต่างกลุ่มกัน

18.       ข้อใดคือ คนไทย” ตามกฎหมาย

(1)       คนชาติพันธุ์ไทย          (2) คนที่ถือสัญชาติไทย

(3) คนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย         (4) คนที่จำแนกไมได้ว่าเป็นคนชาติใด

ตอบ 2 หน้า 14, (คำบรรยาย) คนไทยในความหมายที่เรากำลังศึกษาใวิชานี้ หมายถึง สังคมไทยหรือ กลุ่มคนขนาดใหญ่ที่ถือสัญชาติไทยตามกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ย่อย ๆ มากมาย

19.       สังคมไทยหลากหลายในด้านใด

(1)       พันธุ์พืชแสะสัตว์ (2) ชาติพันธุ์ (3) ประเพณี    (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 14 – 15, (คำบรรยาย) การศึกษาสังคมไทยจำเป็นต้องใช้ความรู้แบบ สหวิทยาการ” ซึ่งเป็นความรู้หลายสาขาประกอบกัน เนื่องจากสังคมไทยมีความหลากหลายในหลายด้าน คือ

1.         สังคมไทยมีลักษณะ วิวิธพันธุ์” คือ มีความแตกต่างหลากหลายในด้านชาติพันธุ์

2.         สังคมไทยในแต่ละภูมิภาคและแต่ละท้องถิ่นมีโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมย่อย ของตนเองแตกต่างกันไป ทำให้มีระบบความคิด ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมที่ต่างกัน

3.         สังคมไทยมีความแตกต่างด้านกายภาพของสิ่งแวดล้อมดินฟ้าอากาศหรือสภาพภูมิศาสตร์ ทำให้มีลักษณะพันธุ์พืชและประเภทของสัตว์ที่อาศัยอยู่แตกต่างกันไป

20.       การศึกษาสังคมไทยในมิติทางมานุษยวิทยา เกิดขึ้นเมื่อไร

(1)       ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2         (2) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

(3) หลัง 14 ตุลาคม 2516       (4) ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

ตอบ 2 หน้า 16 – 18 การศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทยมีพัฒนาการแบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้

1.         ยุคแรกช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 การศึกษาเป็นแบบพรรณนาหรือบรรยายแบบแผน การดำเนินชีวิตของคนไทย ซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้าจากบันทึกและประสบการณ์ของพ่อค้า ข้าราชการ มิชชันนารี ตลอดจนทูตประเทศต่าง ๆ

2.         ยุคภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีการศึกษาสังคมไทยในเชิงมานุษยวิทยา โดยจะ อยู่ภายใต้กรอบของแนวคิดทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่เป็นหลัก

3.         ยุคภายหลังการเปลี่ยนแปลงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 การศึกษาได้ฉีกแนวออกมาสนใจ ความขัดแย้ง ความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม

21.       ชนชาติใดเรียกดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า สุวรรณภูมิ

(1)       ชาวยุโรป         

(2) ชาวอินเดีย 

(3) ชาวจีน       

(4) ชาวเปอร์เซีย

ตอบ     2 หน้า 1826 – 27 สุวรรณภูมิ หมายถึง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด หรืออุษาคเนย์ซึ่งประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา (เขมร) มาเลเซีย อินโดนีเชีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ โดยคำว่า สุวรรณภูมิ มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต 2 คำ คือ สุวรรณ + ภูมิ แปลว่า แผ่นดินทอง หรือแหลมทอง ซึ่งเป็นคำที่ชาวอินเดียโบราณที่เข้ามาติดต่อแลกเปลี่ยน สิ่งของเป็นผู้ใช้เรียก เพราะดินแดนแถบนี้มีความมังคั่งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ

22.       สังคมไทยตั้งอยู่ส่วนใดของเอเชีย

(1) ตอนกลางของเอเชีย          

(2) ทิศใต้         

(3) ทิศตะวันออก         

(4) ทิศตะวันออกเฉียงใต้

ตอบ 4 หน้า 18 สังคมไทยตั้งอยู่กึ่งกลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออุษาคเนย์(ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชีย) มีลักษณะเป็นผืนแผ่นดินที่ยาวยื่นลงไปทางทิศใต้ ซึ่งเป็น คาบสมุทร และมีทะเลขนาบ 2 ด้าน คือ ทะเลจีนในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ทางทิศตะวันออก กับทะเลอันดามันในมหาสมุทรอินเดียอยู่ทางทิศตะวันตก

23.       สังคมไทยมีพื้นที่ติดกับทะเลใด

(1) จีนและอินเดีย        (2) จีนและอันดามัน    (3) จีนและแปซิฟิก      (4) แปซิฟิก

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

24.       ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน ไทยเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งเพราะอะไร

(1) เกิด เอล-นิโน่         (2) ลมมรสุมตะวันศกเฉียงใต้พัดผ่าน

(3) ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่าน       (4) ลมมรสุมจากทะเลจีนใต้พัดผ่าน

ตอบ 3 หน้า 18 ประเทศไทยมีลมมรสุมจากทะเลทั้ง 2 ด้านพัดผ่าน จึงทำให้เกิดฤดูกาลที่สำคัญ 2 ฤดู คือ

1.         ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เนื่องจากมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่าน

2.         ฤดูแล้ง เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน เนื่องจากมีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่าน

25.       มีหลักฐานระบุว่าไทยมีการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศอื่นมาตั้งแต่โบราณ เป็นเพราะปัจจัยใด

(1) ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ            (2) การมีพื้นที่ติดทะเล

(3) ความหลากหลายทางชีวภาพ        (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 19 ประเทศไทยในอดีตเป็นสังคมที่อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีความหลากหลายทางชีวภาพ นั่นคือ มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและพืชพันธุ์ธัญญาหาร และยังมีพื้นที่ติดทะเล จึงมีการเดินเรือติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่อยู่ห่างไกล มาตั้งแต่สมัยโบราณและเป็นตัวเชื่อมโยงการแลกเปลี่ยนค้าขายระหว่างตะวันตกกับตะวันออก

26.       สยาม” เป็นชื่อเรียกประเทศไทยตั้งแต่สมัยใด

(1) สุโขทัย       (2) กรุงศรีอยุธยา        (3) สงครามโลกครั้งที่ 1           (4) สงครามโลกครั้งที่ 2

ตอบ 2 หน้า 20 คำว่า สยาม” นั้น นายปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนไว้ว่า มีการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แต่ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2482 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ประกาศรัฐนิยมให้ใช้ชื่อ ประเทศไทย” แทน โดยให้ใช้คำว่า ไทย” แทนคำว่า สยาม” นับแต่นั้นจะต้องเรียกคนไทยว่าไทย และเรียกประเทศว่าประเทศไทย

27.       หนังสือ หลักไทย” ของขุนวิจิตรมาตรา ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของนักวิชาการท่านใด

(1) หมอด๊อดด์ (2) สุด แสงวิเชียร

(3) สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ          (4) ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง

ตอบ1 หน้า 2123 William Clifton Dodd (หมอด๊อดด์) เป็นหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันที่ได้ เขียนหนังสือชื่อ เชื่อชาติไทย พี่ชายของคนจีน” ขึ้น โดยเขามีความเชื่อว่า ถิ่นเดิมของไทย อยู่แถบเทือกเขาอัลไต (จีน) ซึ่งเขาได้ยืนยันแนวคิดนี้โดยใช้หลักฐานด้านภาษาพูด (ภาษาไต) และชาติพันธุ์มองโกลอยด์เป็นหลัก ทำให้แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลครอบงำ สังคม ไทยอยู่เป็นเวลายาวนาน ดังจะเห็นได้จากหนังสือชื่อ หลักไทย” ของขุนวิจิตรมาตรา และยังปรากฏอยู่ในแบบเรียนของไทย แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับน้อยมาก

28.       อะไรคือหลักฐานที่หมอด๊อดด์ใช้ยืนยันว่าถิ่นเดิมของไทยอยู่ที่อัลไต  

(1) ภาษาพูด

(2)       ภาษาและวัฒนธรรม   (3) การสืบเชื้อสายทางมารดา (4) จดหมายเหตุของจีน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 27. ประกอบ

29.       สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเชื่อว่าถิ่นเดิมของไทยอยู่ที่ใด     

(1) อัลไต

(2)       ยูนนาน กุ้ยโจ กวางสี เสฉวน  (3) อาณาจักรศรีวิชัย   (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 21 – 22, (คำบรรยาย) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนอว่า ถิ่นเดิมของชนชาติไทย อยู่ทางตอนใต้ของจีนแถบมณฑลยูนนาน กุ้ยโจ กวางสี และเสฉวน ซึ่งสอดคล้องกับลาคูเพอรี่ ที่ได้เสนอว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่แถบกวางตุ้ง กวางไส กุยจิ๋ว เสฉวน และยูนนาน ตลอดจน นักประวัติศาสตร์รุ่นใหมที่ชื่อ วัยอาจ (Wyatt) และนักภาษาศาสตร์อีกหลายท่าน เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ และปรีดี พนมยงค์ ก็เห็นในทำนองเดียวกัน โดยอยู่บนพื้นฐานที่ว่าคนแถบนี้ มีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับไทย

30.       นักวิชาการท่านใดยืนยันว่าคนไทยมิได้อพยพมาจากที่ใด

(1) สุด แสงวิเชียร        (2) สุจิตต์ วงษ์เทศ       (3) ศรีศักร วัลลิโภดม  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1722, (คำบรรยาย) นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้เปรียบเทียบโครงกะโหลกของ คนไทยปัจจุบันกับกะโหลกของมนุษย์ยุคหินใหม่ซึ่งพบที่ตำบลบ้านเก่า จ.กาญจนบุรี พบว่า โครงกะโหลกทั้งคูไมมีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจนพอที่จะแบงเป็นคนละเชื้อชาติได้ เขาจึงได้ข้อสรุปและเขียนหนังสือชื่อว่า คนไทยอยู่ที่นี่” ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับ สุจิตต์ วงษ์เทศ และศรีศักร วัลลิโภดม ที่ใช้หลักฐานด้านโบราณคดีก่อนสมัยประวัติศาสตร์ มาแสดงพัฒนาการของมนุษย์ สังคม และวัฒนธรรม โดยทั้งหมดสรุปว่า คนไทยไม่ได้อพยพ มาจากไหน แต่เป็นชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่ (สุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)มาตั้งแต่เดิม และปัจจุบันแนวคิดนี้ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น

31.       ถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางใต้แถบคาบสมุทรมลายูและชวา อยู่บนหลักฐานอะไร

(1) ภาษาและวัฒนธรรม         

(2) เปรียบเทียบโครงกระดูก

(3)       ยีนในเม็ดเลือด           

(4) พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม

ตอบ 3 หน้า 22 – 23, (คำบรรยาย) นายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ เสนอว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ ทางใต้แถบคาบสมุทรมลายูและชวา (อาณาจักรศรีวิชัย) เนื่องจากเมื่อเขาได้เปรียบเทียบความถี่ของยีนระหว่างคนไทยกับคนจีนและคนอินโดนีเซียแล้ว พบว่ายีนของคนไทยคล้ายคลึงกับยีน ของคนอินโดนีเซียมากกว่าของคนจีน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของนายแพทย์ประเวศ วะสี และเสมอชัย พูลสุวรรณ ที่ยืนยันว่าคนไทยไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากจีน โดยทั้งหมดใช้หลักฐาน การทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรมด้วยวิธีการตรวจสอบยีน (DNA) ในเม็ดเลือด เป็นเกณฑ์ไนการกำหนดเชื้อชาติ

32.       สังคมไทยขยายตัวกว้างขวางเนื่องมาจากอะไร

(1) การอพยพของคนจากภายนอกเข้ามา       

(2) การแลกเปลี่ยนทางสังคม

(3)       ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามธรรมชาติ    

(4) การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม

ตอบ3  หน้า 32, (คำบรรยาย) สังคมไทยในปัจจุบันได้ขยายตัวอย่างกว้างขวาง เนื่องมาจากประชากรไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 9 แห่งยุครัตนโกสินทร์ตอนปลาย ซึ่งเป็นรัชกาลปัจจุบัน ถือเป็นช่วงที่ประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มมากที่สุด เพราะเป็นระยะที่ประเทศไทย มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนอายุยืนขึ้น ในขณะที่คนเกิดเท่าเดิมแต่คนตายน้อยลง

33.       ประชากรไทยมีเชื้อชาติอะไร

(1)       คอเคซอยด์      (2)       มองโกลอยด์    (3)       ออสโตรลอยด์  (4) นิกรอยด์

ตอบ 2 หน้า 1923 ประชากรทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเชื้อชาติมองโกลอยด์ (Mongoloid) หรือผิวเหลืองเหมือนกัน แต่อาจจำแนกได้เป็นหลายชาติพันธุ์ตามสภาพภูมิศาสตร์และเวลา

34.       ข้อใดคือกลุมชาติพันธุ์เร่ร่อน

(1)       มองโกลอยด์    (2)       ออสโตรลอยด์  (3)       ออสโตรนีเชียน            (4) ไทย-ลาว

ตอบ 2 หน้า 23 – 24, (คำบรรยาย) กลุ่มชนดั้งเดิมหรือชาติพันธุเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มี 2 กลุ่ม คือ

1.         ออสโตรลอยด์ (Austroioid) เป็นพวกทื่มีรูปร่างสูงเพรียว ผมหยักศกเป็นคลื่น ปากหนา ผิวคล้ำ ปัจจุบันคือชนพื้นเมืองของศรีลังกาและออสเตรเลีย รวมทั้งพวกผีตองเหลือง

2.         นิกริโตหรือนิกรอยด์ (Nigroid) เป็นพวกที่มีรูปร้างเตี้ย ผิวดำ ปากหนา ผมหยิกหยอย ปัจจุบันอาศัยอยู่ตามเกาะในทะเลอันดามัน เช่น พวกมอร์แกนหรือชาวเล และอาศัยอยู่ บนคาบสมุทรมลายูทางใต้ของไทย เช่น พวกเงาะชาไก เป็นต้น

35.       ออสโตรนีเชียน” หมายถึงมนุษย์กลุ่มใด

(1) มนุษย์ยุคหินใหม่   (2) ชนพื้นเมืองออสเตรเลีย

(3) กลุ่มคนในคาบสมุทรมลายู            (4) เงาะซาไกและผีตองเหลือง

บ 1 หน้า 24 กลุ่มชนที่เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งรกรากกลุ่มแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ พวกออสโตรนีเชียน (Austronesian) ซึ่งเป็นพวกมีผมดำเหยียดตรงและผิวค่อนข้างเหลือง เชื่อกันว่าเป็นพวกมองโกลอยด์ที่ย้ายมาจากทางใต้ของจีนตั้งแต่ยุคหินใหม่ ซึ่งเมื่ออพยพ เข้ามาก็สามารถขยายชุมชนได้เร็ว และได้กลายเป็นบรรพบุรุษของชนชาติต่าง ๆ ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

36.       เพราะเหตุใดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงถูกเรียกว่า อินโดจีน

(1) เคยถูกครอบงำโดยจีนและอินเดีย (2) อยู่ติดกับจีนและอินเดีย

(3) วัฒนธรรมเป็นแบบจีนและอินเดีย (4) ประชากรมีชาติพันธุ์จีนและอินเดีย

ตอบ 3 หน้า 26, (คำบรรยาย) ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออุษาคเนย์หรือสุวรรณภูมินั้น แต่เดิมชาวตะวันตกจะเรียกว่า อินโดจีน” เนื่องจากอยู่ตรงกลางระหว่างอินเดียและจีน นอกจากนี้ยังมือคติว่าพื้นที่แถบนี้เป็นสังคมป่าเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม ดังนั้นจึงถูกครอบงำ โดยวัฒนธรรมอินเดียและวัฒนธรรมจีน

37.       เพราะเหตุใดกลุ่มล่างจึงขยายตัวเติบโตเร็วกว่ากลุ่มบน

(1) การติดต่อกับคนต่างกลุ่มสะดวก  (2) มีทรัพยากรธรรมชาติมาก

(3) ประชากรมาก        (4) มีการใช้เทคโนโลยี

ตอบ 1 หน้า 27, (คำบรรยาย) พื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากมองโดยใช้ทะเลเป็นเกณฑ์ จะแบงออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

1. กลุ่มบน ได้แก พื้นที่ทางตอนใต้ของจีน ตอนเหนือของอินเดีย พม่า ลาว เวียดนาม กลุ่มนี้พัฒนาการช้าเพราะอยู่ห่างไกลทะเล การติดต่อคมนาคมจึงลำบาก 2. กลุ่มล่าง ได้แก่ บริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน มาเลเซีย และหมู่เกาะทางตอนใต้ เป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการของชุมชนขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการติดต่อแลกเปลี่ยน สังสรรค์กับชาวต่างชาติหรือคนต่างกลุ่มได้สะดวก เพราะอยู่ติดทะเล

38.       อะไรคือปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ยุคแรกตั้งถิ่นฐานอยู่กับที่

(1) สภาพดินฟ้าอากาศเหมาะสม        (2) เริ่มมีการเพาะปลูก

(3) การสร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่        (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 27 – 28 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์ยุคแรกตั้งถิ่นฐานถาวร ได้แก่ การเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ไม่ต้องเดินทางโยกย้ายร่อนเร่หาอาหารเพื่อยังชีพอีกต่อไป

39.       อะไรคือปัจจัยที่ทำให้แอ่งโคราชขยายตัวก้าวหน้าเร็วกว่าแอ่งสกลนคร

(1) พืช สัตว์ สมบูรณ์ (2) ประชากรมาก          (3) มีแร่เหล็กและเกลือ            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 29, (คำบรรยาย) ในบริเวณที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน แอ่งโคราชซึ่งเป็นพื้นที่ทางอีสาน- ตอนใต้ ถือเป็นชุมชนโบราณที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มากมาย โดยเฉพาะแร่เหล็กและเกลือสินเธาว์ จึงทำให้แอ่งโคราชกลายเป็นศูนย์กลางของการค้า การแลกเปลี่ยน ซึ่งมีชนต่างถิ่นอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมาก จึงพัฒนาขยายตัวเป็นเมือง ได้ก้าวหน้าเร็วกว่าแอ่งสกลนครและเมืองในภาคกลาง เช่น อู่ทอง และสุพรรณบุรี

40.       ข้อใดคือลักษณะของสังคมไทยปัจจุบันที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้   

(1) ระบบอุปถัมภ์

(2)       ระบบเครือญาติ

(3) ระบบช่วยเหลือกันระหว่างคนที่มีฐานะแตกต่าง

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 34 – 35, (คำบรรยาย) ความสัมพันธ์ทางสังคมของไทยในปัจจุบันที่ถือเป็นมรดกสืบทอดมาจากระบบความสัมพันธ์ในอดีต คือ ระบบอุปถัมภ์หรือระบบเครือญาติ (Patron-client Relationship) นลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างคนที่มีฐานะต่างกัน เช่น ผู้ใหญ่กับผู้น้อย หรือนายกับบ่าวที่ต่างยอมรับต่อกัน มีหน้าที่ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยต่อกัน และจะขาดเสีย ซึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปไม่ได้

41. การจะเข้าใจสังคมไทยจะต้องศึกษาในภูมิภาคใด

(1) เอเชียตะวันออก     

(2) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้    

(3) เอเชียกลาง            

(4) เอเชียใต้

ตอบ 2 หน้า 26 การศึกษาความเป็นมาของซนชาติไทยจะต้องศึกษารื่องราวต่าง ๆ ของภูมิภาค- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย จะศึกษาย้อนไปแค่อาณาจักรสุโขทัยไม่ได้ เนื่องจากพื้นที่นี้เป็น ลักษณะสังคมที่เรียกว่า วิวิธพันธุ์ คือ มีประชากรเผ่าพันธ์ต่าง ๆ มาอยู่รวมกัน ซึ่งมีลักษณะ เป็นเผ่าพันธุ์ผสมจากหลายเผ่าพันธุ์ปะปนกัน ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนและมีพัฒนาการทาง ด้านสังคมและวัฒนธรรมร่วมกัน เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจสังคมไทยจึงต้องทำความเข้าใจ พัฒนาการของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด

42.       เพราะเหตุใดจีนและอินเดียจึงเข้าสู่ยุคหินใหม่ก่อนประเทศต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิ

(1) จีนและอินเดียฉลาดกว่า    

(2) สุวรรณภูมิคนน้อยแต่มีอาหารอุดมสมบูรณ์

(3)       จีนและอินเดียเกิดก่อนสุวรรณภูมิ      

(4) ผิดทั้งหมด

ตอบ.2 หน้า 28 การที่จีนและอินเดียเข้าสู่ยุคหินใหม่ก่อนประเทศต่าง ๆ ในสุวรรณภูมินั้น ไม่ใช่ เพราะว่าคนในสุวรรณภูมิโง่กว่าจีนและอินเดีย แต่เป็นเพราะคนในสุวรรณภูมิอยู่กันอย่างสุขสบาย มีคนน้อยแต่อาหารอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นความจำเป็นในการสร้างเทคโนโลยีต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ จึงมีน้อย ทำให้เกิดความล้าหลังและด้อยกว่าในเชิงวัฒนธรรมเมื่อเทียบกับจีนและอินเดีย

43.       เพราะเหตุใดกลองมโหระทึกจึงปรากฎอยู่ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) การย้ายถิ่นที่อยู่ของคน     (2) การติดต่อสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจและสังคม

(3) ระบบความคิดคล้ายคลึงกัน         (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 29 การชุดค้นพบกลองมโหระทึกหรือกลองกบ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ แม้แต่อินโดนีเซียที่เป็นหมู่เกาะก็ยังขุดค้นพบ แสดงให้เห็นว่าคนในภูมิภาคนี้มีการติดต่อสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจและสังคมมาเป็นเวลาช้านาน และยังมีการติดต่อกับคนที่อยู่ห่างไกลออกไปในทะเล

44.       ปัจจัยใดส่งผลให้อู่ทองขยายตัวเป็นเมืองขนาดเล็ก

(1) ที่ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มนํ้าท่าจีน   (2) มีการขุดพบทองเป็นจำนวนมาก

(3) หัวหน้าชุมชนฉลาดและเข้มแข็ง    (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 29 – 30 ปัจจัยที่ส่งผลให้เมืองอู่ทองขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเมืองอูทองตั้งอยู่ ที่ราบลุ่มนํ้าท่าจีนและแม่กลอง จึงทำให้สามารถติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายทางทะเลกับชุมชนภายนอก พร้อมกับมีการรับเอาวัฒนธรรมอินเดียมาใช้กับวัฒนธรรมท้องถิ่นของตน ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้ ชุมชนแถบนี้รวมทั้งอูทองขยายตัวเป็นเมืองขนาดเล็ก และพัฒนาเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า ดินแดนตอนใน

45.       ชุมชนต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใตัได้รับวัฒนธรรมด้านใดจากการติดต่อกับอินเดีย

(1) ความเชื่อด้านศาสนาพุทธ  (2) ความเชื่อในพระพรหมผู้สร้าง

(3) การปกครองระบบกษัตริย์ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 30 เมื่อราว 2,500 บ อินเดียได้เข้ามาติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรม กับชุมชนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือสุวรรณภูมิ จนทำให้นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสในอดีต เชื่อว่าอินเดียเข้ามาครอบครองชุมชนแถบนี้ และนำเอาวัฒนธรรมด้านศาสนา ความเชื่อ ตลอดจนการปกครองระบบกษัตริย์มาให้ จึงเรียกชุมชนแถบนี้ว่า “Greater India”

46.       ประชากรไทยเพิ่มมากที่สุดในยุคใด

(1) พ่อขุนรามคำแหงมหาราช  (2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระปิยมหาราช      (4) รัชกาลที่ 9

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

47.       กลุ่มสังคมใดมีมากที่สุดในประเทศไทย

(1) ไทย-ลาว    (2) ไทย-มาเลย์            (3) ชนต่างด้าว (4) ชาติตะวันตก

ตอบ 1 หน้า 33 – 34 โครงสร้างสังคมไทยประกอบด้วยสังคมย่อย ๆ หลายกลุ่มชาติพันธ์ ได้แก่

1.ไทย-ลาว เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีมากที่สุดในสังคมไทย          2. ไทย-มาเลย์ มีอยู่มากที่สุดใน

ภาคใต้ของไทย            3. เขมร ส่วย กุย มอญ ส่วนใหญ่อยู่กระจัดกระจายแถบภาคอีสานของไทย

4.         เกรียง มีมากที่สุดทางภาคเหนือของไทย และอยู่กระจัดกระจายแถวจังหวัดราชบุรีและกาญจนบุรี

5.         ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางเหนือของไทย เช่น กะเหรี่ยง อาข่า ลื้อ มูเซอ

6.         ชาวป่า มือยูไมมากในปัจจุปัน เช่น ผีตองเหลือง เซมัว ซาไก  7. ชาวนํ้า เป็นชนพื้นเมือง

ซึ่งส่วนใหญอยู่ตามริมฝั่งทะเลทางภาคใต้      8. ชนต่างด้าว ส่วนใหญ่จะอยู่ตามเขตเมือง เช่น

คนจีน อินเดีย และชาวตะวันตกประเทศต่าง ๆ

48.       ข้อใดคือสถาบันพื้นฐานของสังคมไทย

(1) สถาบันกษัตริย์      (2) สถาบันศาสนา       (3) สถาบันชาติ           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 35 สถาบันพื้นฐานของสังคมไทยมี 5 สถาบัน คือ ครอบครัว การศึกษา ศาสนา เศรษฐกิจและการเมืองการปกครอง ซึ่งในทางมานุษยวิทยากล่าวว่า สถาบันทางสังคมตาง ๆ นั้น มนุษย์สร้างขึ้นมาก็เพื่อตอบสนองความต้องการในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์นั่นเอง

49.       การศึกษาสังคมไทยควรใช้ความรู้ที่เหมาะสมแบบใด

(1) ประวัติศาสตร์        (2) โบราณคดี  (3) สหวิทยาการ          (4) มานุษยวิทยา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ

50.       เศรษฐกิจแบบพอเพียง” ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

(1) ก่อนมีสนธิสัญญาบาวริ่ง   (2) สมัยรัชกาลที่ 9

(3) หลังปี 2540 ฟองสบู่แตก  (4) ยุคปัจจุบัน

ตอบ 1 หน้า 38, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยได้ตกลงทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษ ทำให้ประเทศไทยต้องมีการเปิดประเทศค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น ซึ่งนับเป็นก้าวย่างสำคัญที่ ทำให้ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงของไทยในอดีต เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมากครั้งแรกไปสู่การผลิต เพื่อขายในทางการค้า และมีการบริโภคสินค้าอื่น ๆ มากขึ้น

51.       ในอดีตการส่งทอดองค์ความรู้และความเชื่อต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของสถาบันใด

(1)       ครอบครัว      

(2) ศาสนา      

(3) การศึกษา  

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 39 – 40 สถาบันการศึกษา เป็นแบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ ประเพณี วัฒนธรรม แบบแผนการดำรงชีวิต ตลอดจนความเชื่อและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของสังคม จากชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งในอดีตสถาบันที่ทำหน้าที่นี้ ได้แก่ ครอบครัว ศาสนา (วัด) และวัง

52.       สถาบันใดช่วยพัฒนาบุคลิกภาพฃองคนให้มีความมั่นคง

(1) ครอบครัว   

(2) การศึกษา  

(3) ศาสนา       

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 39 หน้าที่ของสถาบันการศึกษา ได้แก่     1. ถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยการอบรม-ขัดเกลาสมาชิกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้รู้และประพฤติปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม

2.         ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของคนให้มีความมั่นคง 3. ช่วยฝึกหัดแรงงานเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

53.       สังคมไทยปัจจุบันมีการแบงกลุ่มทางสังคมแบบใด  

(1) ชนชั้นสูง-สามัญชน

(2)       ชนชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นตํ่า        

(3) ขุนนาง-ไพร่            

(4) กษัตริย์-ไพร่

ตอบ 2 หน้า 35 โครงสร้างชองสังคมไทยปัจจุบันถูกกำหนดโดยใช้ลักษณะอาชีพ ตำแหน่งหน้าที่การงาน การพึ่งพาอาศัย และฐานะทางสังคม ทำให้โครงสร้างของสังคมไทยในปัจจุบันนั้นมีการแบ่งกลุ่ม ทางสังคมออกเป็น 3 ชนชั้น ได้แก่ 1. ชนชั้นสูง        2. ชนชั้นกลาง 3. ชนชั้นตํ่า

54.       สังคมไทยมีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ตามแบบตะวันตกในยุคใด

(1) รัชกาลที่ 4  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 7  (4) รัชกาลที่ 9

ตอบ 2 หน้า 44 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเทศตะวันตกได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมในประเทศ แถบตะวันออก ทำให้ในสมัยรัชกาลที่ 4 สังคมไทยได้ตระหนักถึงภัยที่จะเกิดขึ้น จึงเริ่ม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของไทยใหม่ และยกเลิกกฎเกณฑ์บางอย่างที่ไม่ทันสมัย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่และอารยธรรมของสังคมไทย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 สังคมไทย จึงได้มีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ตามแบบประเทศตะวันตกขึ้น

55.       วัฒนธรรมไทยปัจจุบันมีที่มาจากที่ใด

(1) บรรพบุรุษเป็นผู้สร้าง         (2) ศาสนาพุทธและพราหมณ์

(3)       การติดต่อกับชนต่างวัฒนธรรม          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 45 – 46 วัฒนธรรมไทยปัจจุบันมีที่มาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้        1. สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษเป็นผู้คิดสร้างขึ้นจากการบ่รับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อการมีชีวิตรอด 2. ความเชื่อทางด้านศาสนาพุทธและพราหมณ์ซึ่งรับมาจากอินเดีย รวมทั้งความเชื่อดั้งเดิม         3. การติดต่อสัมพันธ์และสังสรรค์กับชนต่างสังคมต่างวัฒนธรรมอื่น ๆ

56.       พฤติกรรมใดแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่งของคนไทย

(1) ภาษาพูดและเขียน            (2) การไหว้      (3) กิริยาท่าทาง           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 46 – 47 วัฒนธรรมไทยแนวดิ่ง คือ ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างวัฒนธรรมเจ้ากับไพร่ ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านสถานภาพ เพราะคนแต่ละคนจะมีสถานะที่ลดหลั่นกันเป็นลำดับใน โครงสร้างของสังคม โดยแบบแผนพฤติกรรมที่แสดงถึงความไมเท่าเทียมกันในแนวดิ่ง ได้แก่

1.         ภาษากาย (กิริยาท่าทาง) หรีอที่เรียกว่ากิริยามารยาท เช่น การไหว้ การเดินสวนกัน ฯลฯ

2.         ภาษาพูดและภาษาเขียน 3. ความแตกต่างในศักดิ์ของร่างกาย เช่น เท้าตํ่าสุด หัวสูงสุด เป็นต้น

57.       วัฒนธรรมแห่งชาติ” ของไทยเป็นวัฒนธรรมของชนชั้นใด

(1) ชั้นสูง         (2) ชั้นกลาง     (3) ชาวบ้าน     (4) ชาวไร่ชาวนา

ตอบ 1 หน้า 47 เมื่อสังคมไทยพัฒนาเป็นสังคมสมัยใหม่ มีระบบโรงเรียน โรงงาน และราชการสังคมไทยได้เลือกเอาวัฒนธรรมของชนชั้นสูงเป็น วัฒนธรรมแห่งชาติ” ดังนั้นความสัมพันธ์ ทางสังคมในแนวดิ่งจึงกลายเป็นแบบแผนของความสัมพันธ์ในสังคมไทยไปโดยปริยาย

58.       ผู้นำท่านใดใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติไทยในลักษณะชาตินิยม

(1) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ           (2) จอมพล ป. พิบูลสงคราม

(3) จอมพลถนอม กิตติขจร      (4) นายปรีดี พนมยงค์

ตอบ 2 หน้า 48 – 49 ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม จะเน้นว่า วัฒนธรรม หมายถึง ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นมรดกทางสังคม เป็นภูมิปัญญาไทย และเป็นสิ่งดีงามที่ต้องอนุรักษ์เอาไว้ ดังนั้นในยุคนี้ จึงได้มีการใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือสร้างชาติไทยในลักษณะชาตินิยม เพื่อส่งเสริมความเป็น ระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าในชาติ และศีลธรรมอันดีงามของประชาชน

59.       วัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดบุคลิกภาพ” เป็นแนวคิดของนักวิชาการท่านใด

(1) เบเนดิกท์   (2) ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง       (3) เอมบรี        (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ1 หน้า 48 – 49, (คำบรรยาย) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิชาการชาวอเมริกันได้เข้ามาศึกษาสังคมไทยเป็นจำนวนมาก เช่น รูธ เบเนดิกท์มากาเร็ต มีด ฯลฯ โดยใช้วิธีการศึกษา ตามหลักของมานุษยวิทยา ซึ่งประเด็นที่พวกเขาสนใจศึกษาก็คือ วัฒนธรรมเป็นตัวกำหนด พฤติกรรมและบุคลิกภาพ หรือวัฒนธรรมมีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับบุคลิกภาพ

60.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ ภูมิปัญญาไทย

(1) เป็นความรู้ด้านการทำมาหากิน     (2) ภูมิปัญญาในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน

(3) เป็นความรู้ที่ได้จากชีวิตจริง           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 53 – 54 ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะสำคัญสรุปได้ดังนี้

1. เป็นความรู้ของสังคมไทยในเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นในด้านการทำมาหากิน ดินฟ้าอากาศ และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ

2.         เป็นองค์ความรู้ที่คนไทยคิดสร้างขึ้นและได้แปรความรู้จากนามธรรมมาสู่รูปธรรม

3.         ภูมิปัญญาไทยในแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกัน และเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วแต่ละท้องถิ่นก็จะเป็นเจ้าของขัดเจน

4. เป็นความรู้ที่ได้จากชีวิตจริงโดยการลองผิดลองถูก หรือผ่านการ-ทดลองด้วยตนเอง เช่น ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทยและอาหาร

61.       เพราะเหตุใดแต่ละท้องถิ่นจึงมีภูมิปัญญาในเรื่องการทำมาหากินต่างกัน

(1)       คนมีความสามารถด้านสมองไม่เท่ากัน           

(2) สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติต่างกัน

(3) ขนาดของสมองไม่เท่าเทียมกัน      

(4) การส่งทอดองค์ความรู้ไมมีประสิทธิภาพ

ตอบ 2 หน้า 51 ภูมิปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นสี่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและพัฒนา ให้เจริญก้าวหน้าอยู่ในระบบนิเวศของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งคนในท้องถิ่นก็จะมีภูมิปัญญาในเรื่อง ต่าง ๆ ของตนเองที่แตกต่างกันไป เนื่องจากมีระบบนิเวศหรือสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ที่ต่างกัน เช่น ความแตกต่างด้านดิน นํ้า ต้นไม้ พืช อากาศ สัตว์ เป็นต้น

62.       ความรู้เกี่ยวกับ สมุนไพรไทย” มีลักษณะสำคัญอย่างไร

(1)       ผ่านการทดลอง          

(2) ผีบอก        

(3) เกิดขึ้นโดยบังเอิญ 

(4) รับมาจากสังคมอื่น

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

63.       ภูมิปัญญาระดับใดแสดงออกในรูปวิธีคิด     

(1) ระดับเทคนิค

(2)       ระดับการจัดการ         

(3) ระดับความเชื่อและพิธีกรรม          

(4) นามธรรม

ตอบ 4 หน้า 51 – 52, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้

1.         ระดับพื้นฐานเชิงเทคนิคชึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรม เช่น ความรู้เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ พื้นที่ใดเหมาะกับการเพาะปลูกพืชประเภทใด ฤดูกาลใดเหมาะแกการเพาะปลูก ฯลฯ

2.         ระดับการจัดการระบบการผลิตและทรัพยากรซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม เช่น การรู้จักคัดเลือก พันธุ์พืชและพื้นที่ในการเพาะปลูก การดูคุณสมบัติของดิน การสร้างเหมืองฝาย ฯลฯ

3.         ระดับการควบคุมโดยใช้ความเชื่อและพิธีกรรมซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม เช่น ความเชื่อเรื่องรุกขเทวดา รวมทั้งจารีตประเพณีต่าง ๆ

4.         ระดับวิธีคิดหรือค่านิยมซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมและเป็นระดับสูงสุดของสังคม

64.       ระบบเหมืองฝายเป็นภูมิปัญญาของภาคใด

(1) กลาง         (2) เหนือ          (3) อีสาน         (4) ใต้

ตอบ 2 หน้า 54 – 65 ภูมิปัญญาที่โดดเด่นของแต่ละภาคมีดังนี้

1.         ภาคเหนือ ได้แก่ ระบบเหมืองฝาย ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาด้านการจัดการน้ำที่เด่นเฉพาะ ของชาวเหนือ ความรู้เรื่องสมุนไพร การสืบชะตาขุนนํ้า บวชต้นไม้ บวชป่า ฯลฯ

2.         ภาคอีสาน ได้แก่ ความเชื่อเรื่องดาวผีดาน การตั้งศาลปู่ตาในถิ่นฐานใหม่ ความสามารถในการจับและกินแมลง ระบบพอแก้ว-ลูกแก้ว การผูกเสี่ยว ฯลฯ

3.         ภาคกลาง ได้แก่ ภูมิปัญญาเกี่ยวกับวัฒนธรรมข้าวและพิธีกรรมที่สืบเนื่องจากตำนานข้าว เช่น พิธีแรกนา พิธีทำขวัญข้าว ฯลฯ

4.         ภาคใต้ ได้แก่ การปลูกบ้านมีตีน การผูกดอง ผูกเกลอ ความเชื่อเรื่องธาตุสี่ ฯลฯ

65.       ระบบการผูกเสี่ยวและระบบพ่อแก้ว-ลูกแก้วของชาวอีสาน เป็นภูมิปัญญาที่ส่งเสริมอะไร

(1) การร่วมมือกันในการทำมาหากิน   (2) ระบบความสัมพันธ์ออกจากกลุ่มญาติ

(3)       ส่งเสริมความสัมพันธ์ภายในกลุ่มญาติให้แน่นแฟ้นขึ้น          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 5964 ภูมิปัญญาของชาวอีสานนอกจากจะส่งเสริมระบบความสัมพันธ์ในชุมชน เช่น ระบบ เจ้าโคตร” และการยกย่องให้เป็น หมอ” เช่น หมอแคน หมอยาแล้ว ก็ยังส่งเสริม ระบบความสัมพันธ์ออกจากกลุ่มเครือญาติ เรียกว่า เป็นญาติสมมุติ เช่น ระบบพ่อแก้ว-ลูกแก้ว ที่มีการฝากตัวเป็นลูกเป็นพ่อกัน และระบบการผูกเสี่ยวระหว่างคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งการผูกเสี่ยวนี้ก็จะคล้ายคลึงกับการผูกเกลอของทางภาคใต้

66.       ข้อใดคือภูมิปัญญาเด่นของคนภาคกลาง

(1) การใช้ภาษาไทยไพเราะ     (2) วัฒนธรรมข้าว

(3) ด้านการดำเนินชีวิต            (4) ประเพณีหลวง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

67.       อะไรคือเอกลักษณ์พื้นฐานของไทย

(1)       ชาติ    (2) ศาสนา       (3) พระมหากษัตริย์     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 65 – 66, (คำบรรยาย) เอกลักษณ์พื้นฐานของสังคมไทย ได้แก่

1. ชาติ หมายถึง ลักษณะหรือเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทย โดยเฉพาะที่แสดงให้เห็นถึง ความเป็นคนไทย ความภาคภูมิใจและความสำนึกในความเป็นไทย รวมทั้งการมีวัฒนธรรมไทย เช่น ศิลปกรรมไทย พฤติกรรมความเป็นอยู่แบบอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทย อาหารไทย ภาษาไทย ธงชาติและการยืนตรงทำความเคารพเพลงชาติไทย ฯลฯ

2.         ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะอุปนิลัย ทัศนคติในการมองโลก และวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย

3.         พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และทรงมีภาระหน้าที่ ในการขจัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรไทยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

4.         การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

68.       เอกลักษณ์ของชาติปรากฏอยู่ในรูปแบบใด  

(1) ทัศนะในการมองโลก

(2)       วิถีการดำเนินชีวิต        (3)       ภาษาพูด         (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

69.       อะไรคือภาระหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน      

(1) ขจัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร

(2)       เป็นผู้รักษาความยุติธรรม        (3)       เป็นนักรบ        (4)       เป็นเจ้าชีวิต

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

70.       การยืนตรงเคารพธงชาติไทย เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงให้เห็นอะไร      

(1) ระบบอำนาจของไทย

(2)       ลักษณะนิสัยคนไทย   (3)       ลักษณะชาติ    (4)       ความมีระเบียบวินัย

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

71.       ความเป็นชาติไทยปรากฏอยู่ที่อะไร

(1) การแสดงพฤติกรรมอ่อนน้อมถ่อมตน        

(2) การรับประทานอาหารไทย

(3)       การพูดภาษาไทยชัดเจน         

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

72.       ข้อใดเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง

(1) วัฒนธรรมไทยส่งเสริมความเท่าเทียมกัน  

(2) คนไทยเป็นคนมุ่งสัมฤทธิ์คติ

(3)       คนไทยส่วนใหญ่ยืนตรงเคารพเพลงชาติไทย  

(4) คนไทยส่วนใหญ่เชื่อกฎแห่งกรรม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 56. และ 57. ประกอบ

73.       พระมหากษัตริย์ไทยทรงปกครองโดยใช้หลัก ทศพิธราชธรรม” แสดงให้เห็นอะไร

(1) อำนาจของพระมหากษัตริย์           

(2) การเป็นพุทธมามะกะของพระมหากษัตริย์

(3)       ความสามารถของพระมหากษัตริย์      

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 66, (คำบรรยาย) หลักทศพิธราชธรรม (คุณธรรม 10 ประการของผู้ปกครองบ้านเมือง)เป็นอิทธิพลจากพุทธศาสนาที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีคุณลักษณะแบบธรรมราชในการปกครองประเทศ ซึ่งหลักธรรมนี้ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก ดังนันหลักทศพิธราชธรรมนอกจาก จะสะท้อนให้เห็นถึงคุณลักษณะของพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นพุทธมามะกะแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ หรือวัดกับวังอีกด้วย

74.       กษัตริย์เป็นปางอวตารของพระผู้เป็นเจ้า” เป็นแนวคิดที่สังคมไทยได้รับอิทธิพลมาจากที่ใด

(1) จีน  (2) อินเดีย

(3) การนับถือสิ่งเหนือธรรมชาติ          (4) การติดต่อกับตะวันตก

ตอบ 2 หน้า 67, (คำบรรยาย) ลักษณะกษัตริย์แบบเทวราชา เป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากเขมร ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียอีกต่อหนึ่ง โดยเปรียบพระมหากษัตริย์ว่าเป็นสมมุติเทพที่เป็น ปางอวตารของพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ มีอำนาจสูงสุดที่คนต้องเครพบูชา จึงส่งผลให้เกิด ราชประเพณีที่สำคัญต่าง ๆ และเป็นต้นกำเนิดของคำราชาศัพท์ด้วย

75.       อะไรคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สังคมไทยสิ้นชาติ

(1) คนไทยไมพูดภาษาไทย      (2) คนไทยไม่สนใจอาหารไทย

(3) คนไทยยึดมั่นในเรื่องไสยศาสตร์    (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 65 – 66, (คำบรรยาย) ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมไทยสิ้นชาติ คือ การที่คนไทยยอมรับ วัฒนธรรมอื่นที่แพรเข้ามาเพื่อความเป็นสากล จนหลงลืมวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่มีอยู่เฉพาะในหมู่คนไทยหรือสังคมไทย เช่น การที่คนไทยไมพูดภาษาไทย ไม่สนเจอาหารไทยหรือยึดมั่นแต่เฉพาะเรื่องไสยศาสตร์

76.       บุคลิกภาพของคนแตกต่างกัน เนื่องมาจากอะไร

(1) ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคม        (2) การอบรมเลี้ยงดู

(3) ความเชื่อทางศาสนา          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 68 บุคลิกภาพ หมายถึง ระบบผลรวมทางอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด คุณค่า หรือความเชื่อ ที่มนุษย์เรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งประสบการณ์ของคนแต่ละคนแต่ละสังคมจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคม ความเชื่อทางศาสนา การอบรมเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สังคม วัฒนธรรม

77.       สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม หมายความว่าอย่างไร

(1) การยืดหยุ่นประนีประนอมสูง        (2) คนไทยไมชอบอยู่ในกฎเกณฑ์

(3) คนไทยชอบทำตามใจตนเอง          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 69, (คำบรรยาย) เอมบรี (Embree) กล่าวว่า สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม(Loosely Structured) นั่นคือ คนไทยขาดระเบียบวินัย มีลักษณะปัจเจกบุคคลนิยมสูง ชอบอยู่โดดเดี่ยว ไม่ชอบการรวมกลุ่ม และเป็นสังคมที่มีลักษณะยืดหยุ่นประนีประนอมสูง นอกจากนี้คนไทยยังรักอิสระ นิยมเลือกทำตามใจตนเอง ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ชอบผูกมัด ต่อหน้าที่ และพยายามหลีกเลี่ยงพันธะทางสังคม จึงมักมีปัญหาในการทำงานรวมกลุ่มกับผู้อื่น

78.       ผู้ใดเป็นผู้เสนอแนวคิดที่ว่าสังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม

(1) เบเนดิกท์   (2) ฟิลลิป        (3) เอมบรี        (4) มาลินอฟสกี้

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

79.       คนไทยรักสนุก ใจเย็น และวัฒนธรรมไทยถูกครอบงำโดยเพศชาย” เป็นผลการศึกษาของใคร

(1) เบเนดิกท์   (2) ฟิลลิป        (3) เอมบรี        (4) มาลินอฟสกี้

ตอบ 1 หน้า 69, (คำบรรยาย) รูธ เบเนดิกท์ นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน กล่าวว่า คนไทยรักสนุก ใจเย็น และวัฒนธรรมไทยถูกครอบงำโดยเพศชาย ซึ่งลักษณะทั้ง 3 นี้เป็นผลมาจากความเชื่อทางศาสนา การอบรมขัดเกลาทางสังคม และแบบแผนการเลี้ยงดู นอกจากนี้เขายังให้ทัศนะ ต่อไปอีกว่าสาเหตุที่ทำให้คนไทยชอบสนุกนั้นเกิดจากการอบรมเลี้ยงดู การทำมาหากินแบบ เกษตรกรรม และการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์

80.       คนไทยมีอุปนิสัยขัดแย้งกัน คือ รักอิสระแต่เคารพเชื่อฟังอำนาจ เป็นผลการศึกษาของผู้ใด

(1) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ          (2) ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง

(3) อดุล วิเชียรเจริญ   (4) ไพฑูรย์ เครือแก้ว

ตอบ 2 หน้า 70, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง กล่าวว่า คนไทยมีนิสัยรักความเป็นไทย มีความเป็นปัจเจกบุคคลสูง มักน้อย สันโดษ ยํ้าการหาความสุขจากชีวิต นิยมความโอ่อ่า สุภาพอ่อนโยน รักอิสระแต่เคารพเชื่อฟังอำนาจ ดังนั้นคนไทยจึงมีนิสัยขัดแย้ง ในตัวเอง เพราะคนไทยรักอิสระ ไมชอบให้ใครมาสั่ง แต่ถ้ารู้ว่าใครมีอำนาจก็จะกลัวและ ยอมเชื่อฟังเขา

81.       คนไทยมีนิสัย เล็งผลปฏิบัติ” หมายความว่าอย่างไร

(1) ชอบทำงานคนเดียว           

(2) ตั้งเป้าหมายในการทำงานไว้สูง

(3) ทำเฉพาะสิ่งที่เอื้อประโยชน์ตนเท่านั้น       

(4) ชอบทำงานสาธารณประโยชน์

ตอบ 3 หน้า 70, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ กล่าวว่า คนไทยมีนิสัยเล็งผล การปฏิบัติ หมายถึง คนไทยจะชอบทำเฉพาะสิ่งที่เอื้อประโยชน์กับตนเท่านั้น โดยพิจารณาว่า ถ้าสิ่งนั้นขัดกับประโยชน์ส่วนตนหรือเกิดความเสียหายก็จะไม่ปฏิบัติ แต่ถ้าเสริมประโยชน์ กับตนก็จะปฏิบัติ

82.       วิกฤตวัฒนธรรมของไทยเกิดจากปัจจัยใด

(1) ความเจริญก้าวหน้าด้านเทคนิควิทยา        

(2) การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม

(3) กระแสโลกาภิวัตน์ 

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 72 – 74 ที่มาหรือสาเหตุของวิกฤตวัฒนธรรมไทยมีดังนี้

1. เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้มี ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เทคนิควิทยาด้านต่าง ๆ และระบบสื่อสารคมนาคม จนเกิดภาวะ ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา” หรือเรียกว่าความล่าทางวัฒนธรรม (Culture Lag) 2. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไปสู่ระบบทุนนิยมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความสับสน ในมาตรฐานเกี่ยวกับความดี ความชั่ว ที่เคยยึดถือกันมา

83.       ข้อใดคือตัวอย่างของวิกฤตวัฒนธรรมไทย

(1) การยึดถือ เงิน” เป็นพระเจ้า       

(2) การนิยมใช้ของมียี่ห้อแพง ๆ

(3) การนิยมกินอาหาร Fast Food          

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ.4 หน้า 75 – 76 วิกฤตทางวัฒนธรรมไทยที่เกิดขึ้นอาจพิจารณาได้จากประเด็นต่อไปนี้

1.         การสูญเสียความเข้าใจและความภูมิใจในวัฒนธรรมไทย

2.         การเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมไปสู่ลัทธิบริโภคนิยม เช่น การนิยมใช้ของมียี่ห้อแพง ๆ การนิยมบริโภคอาหาร Fast Food ฯลฯ

3.         เกิดความขัดแย้งในระบบความคิด หรือเกิดช่องว่างระหว่างวัยทางสังคมสูงขึ้น

4.         มองว่าความมั่นคงในชีวิต คือ เงิน” จึงยึดถือเงินเป็นพระเจ้าที่บันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง

5.         ความเชื่อด้านศาสนาลดความสำคัญลง

84.       ข้อใดเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง

(1)       ระบบความเชื่อเกิดขึ้นมาพร้อมกับการรวมกลุ่มของสังคม

(2)       ระบบความเชื่อเกี่ยวข้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติ

(3)       ระบบความเชื่อใช้ควบคุมสังคม         (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 79, (คำบรรยาย) ระบบความเชื่อเกิดขึ้นมาพร้อมกับการรวมกลุ่มของสังคมมนุษย์โดยเป็นสิ่งที่มนุษย์ในทุกสังคมผูกสร้างเป็นเรื่องราวขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นรูปธรรมตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะปรากฎออกมาในลักษณะของการเชื่อถือ พลังอำนาจนอกเหนือธรรมชาติที่มักมีพิธีกรรมและประเพณีต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทังนี้ระบบ ความเชื่อมีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นการส่งเสริมอำนาจ เป็นการตอบสนองความกลัว ในสิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดจนเป็นเครื่องมือควบคุมมนุษย์ให้อยูร่วมกันในสังคมได้อย่างมีระเบียบ

85.       ข้อใดคือความเชื่อของสังคมไทย       

(1) การนับถือผีสางเทวดา

(2)       โหราศาสตร์และไสยศาสตร์    (3) ศาสนาพุทธ           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 81 – 83, (คำบรรยาย) ความเชื่อในสังคมไทยแบ่งออกได้ดังนี้

1.         ความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ได้แก่ ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา,

ความเชื่อเรื่องขวัญความเชื่อเรืองไสยศาสตร์โหราศาสตร์ฯลฯ

2.         ความเชื่อด้านศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์ เช่น การเชื่อว่าชีวิตเป็นไปตามกรรม เมตตาธรรมคํ้าจุนโลกลัทธิเทวราชาพรหมลิขิตคติไตรภูมิ ฯลฯ

86.       ข้อใดคือความเหมือนกันของศาสนาและความเชื่อ    

(1) มีศาสดาผู้ก่อตั้ง

(2)       มีหลักธรรมคำลังสอน  (3) มีความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 79 ความเหมือนกันของศาสนาและความเชื่อ คือ มีที่มาจากความเชื่อว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ลึกลับบางอย่างหรือหลายอย่างที่อยู่นอกเหนือมนุษย์ธรรมดา และอำนาจเหนือธรรมชาตินี้ จะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งในทางดีและทางร้าย ทั้งให้คุณและให้โทษได้ แต่ความเชื่อจะต่างจากศาสนาในแง่ที่ว่าความเชื่ออาจจะไมแสดงกำเนิดและการสิ้นสุดของโลก หรืออาจไมมีหลักธรรมที่เกี่ยวกับบุญ-บาปเป็นศีลธรรมเหมือนกับศาสนา

87.       อะไรเป็นองค์ประกอบหลักของศาสนา

(1) พิธีกรรม     (2) ความเชื่อ    (3) ผู้ประกอบพิธีกรรม            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 80 องค์ประกอบหลักของศาสนาและความเชื่อ ได้แก่ 1. ตัวความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือ ธรรมชาติที่ให้คุณให้โทษแก่ชีวิตมนุษย์ได้ เช่น ผี เจ้า เทวดา อิทธิพลของดวงดาว ฤกษ์ยาม ฯลฯ 2. บุคคลผู้รู้ที่ติดต่อกับอำนาจลึกลับและสิ่งศักดิ์สิทธิ้นั้น ๆ เช่น คนทรง หมอผี นักบวช ผู้ประกอบพิธีกรรม ฯลฯ 3. พิธีกรรม 4. สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 5. วัตถุคักดิ์สิทธิ์หรือวัตถุมงคล

88.       เพราะเหตุใดคนไทยจึงยึดมั่นในความเชื่อทางศาสนา

(1) เพื่อเข้าใจสังคม     (2) เพื่อเข้าใจตนเอง    (3) เพื่อเข้าใจคนอื่น     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 79, (คำบรรยาย) มนุษย์ในทุกสังคมจะใช้ระบบความเชื่อเป็นมาตรฐานในการเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจสังคม และเข้าใจโลก โดยความเชื่อนี้มักจะผูกพันกับหลักศีลธรรม จริยธรรม ปรัชญา ตลอดจนศาสนา ซึ่งจะมีส่วนกำหนดความเป็นไปของวิถีชีวิตผู้คนในสังคม

89.       อะไรคือจุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธ

(1) ดับทุกข์      (2) สร้างความสุขทางโลก

(3)       สร้างคนดีให้กับสังคม (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 83, (คำบรรยาย) หลักคำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจหรือแก่นของศาสนาพุทธ ได้แก่จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ การดับทุกข์

90.       ความเชื่อเรื่องใดที่คนไทยใช้เป็นหลักยึดทางด้านจิตใจ

(1) โหราศาสตร์           (2) ไสยศาสตร์

(3)       หลักธรรมคำสั่งสอนทางศาสนา          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายช้อ 84. และ 85. ประกอบ

91.       ภาพวาดพุทธประวัติตามวัดต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นอะไร

(1) ความศรัทธาในศาสนา       

(2) ความเชื่อในนรก-สวรรค์

(3) กฎแห่งกรรม          

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 83, (คำบรรยาย) ภาพชาดก หรือภาพวาดพุทธประวัติชาติก่อน ๆ ของพระพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ มีทั้งหมด 550 พระชาติ ถือเป็นศิลปกรรมไทยที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อด้าน ศาสนาพุทธ เช่น ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมที่ว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว

92.       อะไรคือจุดมุ่งหมายของศาสนาต่าง ๆ

(1) ให้มนุษย์ยึดมั่นในหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์    

(2) ให้มนุษย์มีชีวิตทางโลกอย่างมีความสุข

(3) ให้มนุษย์อยู่ร่วมกันโดยสันติสุข     

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 79 คำสอนของศาสนาต่าง ๆ โดยรวมแล้วจะมีจุดมุ่งหมายเน้นให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน

93.       การประกอบพิธีกรรมไหว้ผีบรรพบุรุษมีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร

(1) แสดงความเคารพ  

(2) ไม่ให้มารบกวนเรา 

(3) ให้คุ้มครอง 

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ.1 (คำบรรยาย) ความเชื่อเรื่องผีมักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการสื่อสาร ระหว่างคนกับผี เช่น การประกอบพิธีกรรมเซ่นสรวงบูชาไหว้ผีบรรพบุรุษก็เพื่อต้องการแสดง ความเคารพ ความกตัญญู และให้ช่วยปกปักรักษาการรำผีฟ้าเพื่อให้ช่วยรักษาโรค ซึ่งเป็น ความเชื่อเกี่ยวกับการแพทย์แผนโบราณในสมัยก่อน เป็นต้น

94.       ไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องอะไร

(1) การทำนายโชคชะตา         (2) เวทมนตร์คาถา      (3)       กฎแห่งกรรม    (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ2 หน้า 82, (คำบรรยาย) ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลัง น้ำมันพราย รัก-ยม ฯลฯ ซึ่งคนไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย

95.       ประเพณีทำบุญ ตานก๋วยสลาก” เป็นประเพณีของภาคใด

(1) เหนือ          (2)       กลาง   (3)       อีสาน   (4) ใต้

ตอบ 1 หน้า 89, (คำบรรยาย) งานบุญสลากภัตต์ของภาคเหนือหรือที่เรียกว่า ตานก๋วยสลากเป็นงานบุญที่มีการเขียนสลากชื่อเจ้าของสำรับอาหารและเครื่องไทยทานไวัในถาด พระองค์ใด จับสลากได้สำรับอาหารของผู้ใด ก็จะรับอาหารและปัจจัยไทยทานของเจ้าภาพนั้น ซึ่งเป็น พิธีการที่คล้ายกับงานบุญเดือนสิบหรือบุญวันสารทในภาคอีสาน

96.       ประเพณีคืออะไร

(1) ธรรมเนียมปฏิบัติที่สีบทอดกันมา  (2) แบบแผนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต

(3) แบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 85 ประเพณี คือ แบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคนในสังคมที่ได้ ปฏิบัติสืบทอดกันมา ซึ่งมีหลายประเภท ได้แก่

1. จารีตประเพณี คือ แบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมและศีลธรรม ผู้ที่ละเมิด จะถูกลงโทษจากสังคม

2.         ธรรมเนียม คือ แบบแผนพฤติกรรมที่สังคมกำหนดไว้และปฏิบัติสืบทอดกันมา

3.         ประเพณีปรัมปรา คือ แบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบความคิด คุณค่า ทัศนคติ ซึ่งมีการสั่งสมสืบทอดมาตั้งแต่อดีตและปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน

4.         ขนบธรรมเนียม คือ ประเพณีที่มีระเบียบแบบแผนและถูกกำหนดขั้นตอนไว้ชัดเจน เช่น ประเพณีการสมรส

5.         ธรรมเนียมประเพณีหรือวิถีประชา คือ ประเพณีที่เป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

97.       ข้อใดคือลักษณะของประเพณีปรัมปรา

(1) เป็นแบบแผนพฤติกรรมที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้        (2) เป็นแบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม

(3) เป็นแบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวกับระบบความคิด (4) เป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

98.       ข้อใดคือลักษณะเด่นของจารีตประเพณี

(1) เน้นศีลธรรม           (2) เน้นแบบแผนปฏิบัติ          (3) เน้นความสามัคคี   (4) เน้นเรื่องคุณค่า

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

99.       ประเพณีใดเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์

(1) บุญบั้งไฟ   (2) แหนางแมว            (3) บูชาพระแม่ธรณี    (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 86 – 87, (คำบรรยาย) ประเพณีไทยแบ่งตามลักษณะทั่วไปออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวาระต่าง ๆ ของชีวิตคนไทยแต่ละคน ได้แก่ ประเพณีเกี่ยวกับ การเกิด การตาย การบวช การสมรส เป็นต้น       2. ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทย ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และความเป็นอยู่ของคน ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ลอยกระทง จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ บุญบั้งไฟ แหนางแมว บูชาพระแม่ธรณี ปั้นเมฆ ตลอดจนงานบุญ และการละเล่นอื่น ๆ เช่น แข่งเรือ การเข้าทรงแม่ศรี ผีครก ผีสาก เป็นต้น

100. ข้อใดเป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทย      

(1) การแต่งงาน

(2) จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (3) การบวช     (4) การตาย

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 99. ประกอบ

ANT3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา ANT3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         เพราะเหตุใดเราจึงต้องเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมไทย

(1)       เราเป็นคนไทย 

(2) วัฒนธรรมคือวิถีชีวิตของคนไทย

(3) สังคมและวัฒนธรรมไทยอยูในตัวตนของเรา         

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1, (คำบรรยาย) การศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องที่คนไทยศึกษาได้ตลอดเวลา เพราะเราคือคนไทยและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะจากสังคมไทยตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นสังคมและวัฒนธรรมไทยจึงอยู่ทั้งในตัวตนของเราและอยู่ล้อมรอบตัว ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้ทุกวัน เวลา และสถานที่ ในทุก ๆ ด้าน เช่น วิถีชีวิตหรือความเป็นอยู่ของคนไทย พฤติกรรมความคิด ทัศนะในการมองโลก ค่านิยม ความเชื่อ ระบบการศึกษา ประเพณีไทย โครงสร้างสังคมและระบบการควบคุมสังคม เป็นต้น

2.         ข้อใดสะท้อนภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย

(1)       วรรณกรรม      

(2) ภาพยนตร์  

(3) ประเพณี    

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1, (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ) การศึกษาภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย นอกจากจะศึกษาวิเคราะห์ได้จากสังคมต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราแล้ว ยังสามารถศึกษาวิเคราะห์ได้ จากวรรณกรรม ตำนาน พิธีกรรมทางศาสนา งานบุญ ประเพณี ซึ่งจะทำให้ได้ภาพสะท้อนของสังคม และวัฒนธรรมไทยในอดีต หรือการชมละครวิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และสื่อโฆษณาต่าง ๆ ก็จะทำให้เราเข้าใจสภาพสังคมและวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน เป็นต้น

3.         ข้อใดคือความหมายของคำว่า สังคม

(1) คนที่มาอยู่รวมกันมีความสัมพันธ์กันตามที่สังคมกำหนด

(2)       ประเทศไทยมีจำนวนเพศชายประมาณ 30 ล้านคนเศษ

(3)       กลุ่มคนที่มาอยู่รวมกัน            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 12, (คำบรรยาย) สังคม หมายถึง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่มาอยู่รวมกันและมีความสัมพันธ์กัน โดยที่รูปแบบความสัมพันธ์นั้นย่อมเป็นไปตามแบบแผนหรือวัฒนธรรมที่สังคมกำหนด เพราะคนในสังคมใดย่อมต้องได้รับการถ่ายทอด อบรมขัดเกลา ให้ต้องปฏิบัติตามแบบแผน ของสังคมนั้น

4.         ศาสตร์สาขาใดจะทำให้เราเข้าใจภาพรวมของสังคมไทยได้ดีขึ้น

(1) ภูมิศาสตร์  (2) วิทยาศาสตร์          (3) สหวิทยาการ          (4) มนุษยศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 14, (คำบรรยาย) การศึกษาเพื่อให้เข้าใจภาพรวมของสังคมไทยได้ดีขึ้นนั้น จะต้องใช้ ความรู้จากหลายสาขาประกอบกันที่เรียกว่า สหวิทยาการ” ซึ่งได้แก่ 1. ภูมิศาสตร์ เป็นการศึกษาที่ตั้ง ขอบเขต ภูมิอากาศ และลักษณะภูมิประเทศ

2.         ประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาความเป็นมาของชนชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

3.         เศรษฐศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากร การผลิต และการบริโภค

4.         สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ศึกษาความเป็นมา ตลอดจนโครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรม

5.         สังคมเมืองแตกต่างจากสังคมชนบทในด้านใด

(1)       มีคนไมมาก     (2) มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคมสูง

(3) เจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี     (4) มีความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ

ตอบ 3 หน้า 4-6, (คำบรรยาย) ลักษณะสังคมเมืองและสังคมชนบทมีความแตกต่างกัน ดังนี้ 1. สังคมเมืองมีขนาดใหญ่ มีคนมาก ส่วนสังคมชนบทมีขนาดเล็ก มีคนน้อย

2.         สังคมเมืองมีความสัมพันธ์แบบเป็นทางการ (ทุติยภูมิ) ส่วนสังคมชนบทมีความสัมพันธ์ แบบไม่เป็นทางการ (ปฐมภูมิ)         3. สังคมเมืองมีความหลากหลายในทุกด้าน ส่วนสังคมชนบทมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคมสูง 4. สังคมเมืองมีความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ส่วนสังคมชนบทมีวิถีชีวิตพึ่งพิงธรรมชาติ ฯลฯ

6.         สังคมประเพณีและสังคมทันสมัย เป็นรูปแบบสังคมที่ใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัวกำหนด

(1) สิ่งแวดล้อม            (2) ระบบความสัมพันธ์           (3) วัฒนธรรม  (4) ระบบเศรษฐกิจ

ตอบ 3 หน้า 3 – 46 – 7 นักวิชาการแบ่งรูปแบบของสังคมตามตัวกำหนดที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ดังนี้ 1. แบ่งตามสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิต คือ สังคมชนบทกับสังคมเมือง

2.         แบ่งตามระบบความสัมพันธ์ คือ สังคมง่าย ๆ (สังคมพื้นบ้าน) กับสังคมซับช้อน

3.         แบ่งตามวัฒนธรรม คือ สังคมดั้งเดิม (สังคมประเพณี) กับสังคมทันสมัย

4.         แบ่งตามเทคโนโลยีที่ใช้ หรือวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจชองคน คือ สังคมเกษตรกรรม กับสังคมอุตสาหกรรม

7.         โครงสร้างทางสังคมคืออะไร  

(1) คนที่มาอยู่รวมกัน

(2)       ความสัมพันธ์ของคนที่มาอยู่รวมกัน   (3) บรรทัดฐานของสังคม        (4) ถูกทั้งหมด

ตอ 2 หน้า.8 – 9 โครงสร้างทางสังคม คือ ระบบเครือข่ายความสัมพันธ์ของคนที่มาอยู่รวมกัน

ในสังคม ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่าง ๆ ที่มีฐานะและคุณค่าที่แตกต่างกัน เช่น ความสัมพันธ์ ระหว่างเครือญาติกลุ่มนายทุน-กรรมกรคนรวย-คนจนขุนนาง-ไพรเด็ก-ผู้ใหญ่ ฯลฯ

8.         ข้อใดคือองค์ประกอบของโครงสร้างสังคม

(1) สถาบันต่าง ๆ        (2) กลุ่มคน      (3) สถานภาพและบทบาท      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 8-9 องค์ประกอบของโครงสร้างทางสังคม ได้แก่

1. กลุ่มทางสังคม (Social Groups) ที่มีฐานะและคุณค่าแตกต่างกัน เช่น กลุ่มคนชาติพันธุ์ต่าง ๆ กลุ่มผู้ปกครอง กลุ่มประชาชน กลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มแรงงาน ฯลฯ

2.         สถาบันทางสังคม (Social Institution) ซึ่งสถาบันหลัก ๆ ได้แก่ ครอบครัว ศาสนา การศึกษา เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ฯลฯ

3.         สถานภาพและบทบาท (Status and Roles) คือ ตำแหน่งและหน้าที่ในกลุ่มสังคม

9.         ข้อใดคือลักษณะสำคัญของวัฒนธรรม          

(1) เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

(2)       เกิดจากการเรียนรู้       (3) เกิดจากสัญชาตญาณ       (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 10 – 11, (คำบรรยาย) ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรม ได้แก่

1. เป็นผลผลิตจากระบบความคิดของมนุษย์ หรือเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์

2.         มีองค์ประกอบของความคิด โลกทัศน์ ค่านิยมทางสังคม ซึ่งเป็นตัวกำหนดมาตรฐานของพฤติกรรม

3.         เป็นแบบแผนของพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือเกิดจากการกระทำโต้ตอบกัน ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

4.         เป็นมรดกทางสังคมที่ส่งต่อจากชนรุ่นหนึ่งไปส่ชนอีกรุ่นหนึ่ง

5.         มีพื้นฐานมาจากการใช้สัญลักษณ์ คือ ภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้สื่อสาร และส่งทอดความรู้ต่าง ๆ

6.         มีลักษณะเป็นสากล ใช้ในระดับกว้าง หรืออาจใช้ในระดับแคบเฉพาะกลุ่มคนก็ได้ ฯลฯ

10.       ข้อใดทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาองค์ความรู้ใด้อย่างรวดเร็ว

(1)       การอยู่รวมกันเป็นลังคมเมือง  (2) ภาษาที่เป็นระบบสัญลักษณ์

(3)       การเคารพระบบอาวุโส            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 311 – 12, (คำบรรยาย) การที่มนุษย์มีความสามารถในการสร้างและใช้ระบบสัญลักษณ์ เช่น ภาษาพูดและภาษาเขียน รวมทั้งสื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ นั้น ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อสัมพันธ์กัน อย่างราบรื่น ตลอดจนสามารถสะสม พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีจาก ชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่งได้ง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นระบบสัญลักษณ์จึงถือเป็นพื้นฐานของ วัฒนธรรมและเป็นเครื่องมือช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่สังคม โดยระบบสัญลักษณ์ที่ใช้ต่างกัน ก็จะทำให้การใช้ภาษาแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม

11.       ข้อใดแสดงถึงวัฒนธรรมในแนวดิ่ง

(1)       การไหว้            

(2) การยิ้ม       

(3) การเล่นพื้นบ้าน     

(4) การแข่งขัน

ตอบ 1 หน้า 46 – 47 วัฒนธรรมไทยแนวดิ่ง คือ ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างวัฒนธรรมเจ้ากับไพร่ ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านสถานภาพ เพราะคนแต่ละคนจะมีสถานะที่ลดหลั่นกันเป็นลำดับใน โครงสร้างของสังคม โดยแบบแผนพฤติกรรมที่แสดงถึงความไม่เท่าเทียมกันในแนวดิ่ง ได้แก่

1.         ภาษากาย (กิริยาท่าทาง) หรือที่เรืยกว่ากิริยามารยาท เช่น การไหว้ การเดินสวนกัน ฯลฯ

2.         ภาษาพูดและภาษาเขียน

3.         ความแตกต่างในศักดิ์ของร่างกาย เช่น เท้าตํ่าสุด หัวสูงสุด เป็นต้น

12.       ข้อใดแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับวัฒนธรรม

(1)       สังคมสร้างวัฒนธรรม  

(2) วัฒนธรรมเป็นแบบแผนพฤติกรรมของสังคม

(3)       วัฒนธรรมช่วยควบคุมสังคม   

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1214 สังคมกับวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและไม่สามารถแยกออก จากกันได้ เพราะเมื่อมนุษย์รวมตัวกันเป็นกลุ่มสังคมก็จะต้องสร้างวัฒนธรรมขึ้นเป็นแบบแผน พฤติกรรมของสังคม เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดหรือควบคุมพฤติกรรมชองคนในสังคมให้เป็นไป ตามกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกัน สังคมจึงจะดำรงอยู่ไดโดยมั่นคงราบรื่น ซึ่งความสัมพันธ์อันนี้ เปรียบเสมือนกายกับใจ หรือเหรียญ 2 ด้าน ที่จะขาดซึ่งกันและกันไม่ได้

13.       สิ่งใดบ่งบอกความเป็นพวกเดียวกัน

(1) วัฒนธรรมการกิน   (2) ภาษาที่เป็นระบบสัญลักษณ์

(3) พันธุกรรม  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 13 พัทยา สายหู กล่าวว่า วัฒนธรรมเป็นตราประจำสังคม คือ เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอก ให้รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นสมาชิกของกลุ่มเดียวกันหรือต่างกลุ่มกัน

14.       สังคมไทยมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในด้านใด

(1) ทัศนคติ      (2) ชาติพันธุ์    (3) วัฒนธรรม  (4) บุคลิกภาพ

ตอบ 3 หน้า 11 – 1214 – 15, (คำบรรยาย) สังคมไทยไมได้มีลักษณะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในด้านกายภาพของสิ่งแวดล้อมและชาติพันธุ์ของคน เนื่องจากสังคมไทยประกอบไปด้วย กลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย จึงทำให้คนไทยมีระบบความคิด ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความเชื่อ ที่แตกต่างกัน แต่เมื่อต้องมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคมก็จะต้องอาศัยวัฒนธรรมหลัก หรือ วัฒนธรรมหลวง มาหล่อหลอมให้มีพฤติกรรมและแบบแผนการดำเนินชีวิตที่คล้ายคลึงเป็นไป ในรูปแบบเดียวกัน หรือมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคม

15.       การศึกษาสังคมไทยในมิติทางมานุษยวิทยา เกิดขึ้นเมื่อไร

(1) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   (2) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

(3) หลัง 14 ตุลาคม 2516       (4) ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

ตอบ 2 หน้า 16 – 18 การศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทยมีพัฒนาการแบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้

1.         ยุคแรกช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 การศึกษาเป็นแบบพรรณนาหรือบรรยายแบบแผน การดำเนินชีวิตซองคนไทย ซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้าจากบันทึกและประสบการณ์ของพ่อค้า ข้าราชการ มิชชันนารี ตลอดจนทูตประเทศต่าง ๆ

2.         ยุคภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีการศึกษาสังคมไทยในเชิงมานุษยวิทยา โดยจะ อยู่ภายใต้กรอบของแนวคิดทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่เป็นหลัก

3.         ยุคภายหลังการเปลี่ยนแปลงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 การศึกษาได้ฉีกแนวออกมาสนใจ ความขัดแย้ง ความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม

16.       ชนชาติใดเรียกดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า สุวรรณภูมิ

(1) อังกฤษ      (2) อินเดีย       (3) โปรตุเกส    (4) เปอร์เซีย

ตอบ 2 หน้า 1826 – 27 สุวรรณภูมิ หมายถึง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด หรืออุษาคเนย์ ซึ่งประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา (เขมร) มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ โดยคำว่า สุวรรณภูมิ มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต 2 คำ คือ สุวรรณ + ภูมิ แปลว่า แผ่นดินทอง หรือแหลมทอง ซึ่งเป็นคำที่ชาวอินเดียโบราณที่เข้ามาติดต่อแลกเปลี่ยน สิ่งของเป็นผู้ใช้เรียก เพราะดินแดนแถบนี้มีความมั่งคั่งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ

17.       ข้อใดคือ สุวรรณภูมิ

(1) ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์       (2) ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(3) เอเชียใต้     (4) เอเชียตะวันออก

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

18.       นักวิชาการท่านใดเชื่อว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน

(1) สุด แสงวิเชียร        (2) สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ

(3) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ           (4) สุจิตต์ วงษ์เทศ

ตอบ 3 หน้า 21 – 22, (คำบรรยาย) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนอว่า ถิ่นเดิมของชนชาติไทย อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนแถบมณฑลยูนนาน กุ้ยโจ กวางสี และเสฉวน ซึ่งสอดคล้องกับ ลาคูเพอรี่ ที่ได้เสนอว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่แถบกวางตุ้ง กวางไส กุยจิ๋ว เสฉวน และยูนนาน ตลอดจนนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่ชื่อ วัยอาจ (Wyatt) และนักภาษาศาสตร์อิกหลายท่าน เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ และปรีดี พนมยงค์ ก็เห็นในทำนองเดียวกัน โดยอยู่บนพื้นฐานที่ว่าคนแถบนี้ มีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับไทย

19. คนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนมีหลักฐานด้านใดสนับสนุน

(1) ชาติพันธุ์เดียวกัน   (2) วัฒนธรรมและภาษาพูด

(3) ลักษณะอาชีพเกษตรกรรม            (4) เปรียบเทียบกะโหลกของคน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

20.       คนไทยที่เราศึกษาหมายถึงใคร

(1) คนที่มิสัญชาติไทยตามกฎหมาย   (2) คนที่พูดภาษาไทย

(3) คนผิวเหลืองในเอเชีย         (4) คนที่ประพฤติตามวิถีไทย

ตอบ 1 หน้า 14, (คำบรรยาย) คนไทยในควมหมายที่เราศึกษาในวิชานี้ หมายถึง สังคมไทยหรือกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่ถือสัญชาติไทยตามกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ย่อย ๆ มากมาย

21.       นักวิชาการท่านใดเชื่อว่า คนไทยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ดั้งเดิม

(1) จิตร ภูมิศักดิ์          

(2) สุด แสงวิเชียร        

(3) สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ          

(4) ประเวศ วะสี

ตอบ 2 หน้า 1722, (คำบรรยาย) นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้เปรียบเทียบโครงกะโหลกของ คนไทยปัจจุบันกับกะโหลกของมนุษย์ยุคหินใหม่ซึ่งพบที่ตำบลบ้านเก่า จ.กาญจนบุรี พบว่า โครงกะโหลกทั้งคู่ไม่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจนพอที่จะแบงเป็นคนละเชื้อชาติได้ เขาจึงได้ข้อสรุปและเขียนหนังสือชื่อว่า คนไทยอยู่ที่นี่” ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับ สุจิตต์ วงษ์เทศ และศรีศักร วัลลิโภดม ที่ใช้หลักฐานด้านโบราณคดีก่อนสมัยประวัติศาสตร์ มาแสดงพัฒนาการของมนุษย์ สังคม และวัฒนธรรม โดยทั้งหมดสรุปว่า คนไทยไม่ได้อพยพ มาจากไหน แต่เป็นชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่ (สุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)มาตั้งแต่ดั้งเดิม และปัจจุบันแนวคิดนี้ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น

22.       ยีนของคนไทยคล้ายคลึงกับยีนของชาวอินโดนีเซียมากกว่าจีน” เป็นผลการศึกษาของนักวิชาการท่านใด

(1) สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ          

(2) สุด แสงวิเชียร        

(3) สุจิตต์ วงษ์เทศ       

(4) จิตร ภูมิศักดิ์

ตอบ 1 หน้า 22 – 23, (คำบรรยาย) นายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ เสนอว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ ทางใต้แถบตาบสมุทรมลายูและชวา (อาณาจักรศรีวิชัย) เนื่องจากเมื่อเขาได้เปรียบเทียบความถี่ ของยีนระหว่างคนไทยกับคนจีนและคนอินโดนีเซียแล้ว พบว่ายีนของคนไทยคล้ายคลึงกับยีน ของคนอินโดนีเซียมากกว่าของคนจีน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของนายแพทย์ประเวศ วะสี และเสมอชัย พูลสุวรรณ ที่ยีนยันว่าคนไทยไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากจีน โดยทั้งหมดใช้หลักฐาน การทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรมด้วยวิธีการตรวจสอบยีน (DNA) ในเม็ดเลือด เป็นเกณฑ์ในการกำหนดเชื้อชาติ

23.       ประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเชื้อสายอะไร

(1) มองโกลอยด์          (2) คอเคซอยด์            (3) นิกรอยด์    (4) ชาวนํ้า

ตอบ     1 หน้า 1923 ประชากรทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเชื้อสายมองโกลอยด์ (Mongoloid)หรือผิวเหลืองเหมือนกัน แต่อาจจำแนกได้เป็นหลายชาติพันธุ์ตามสภาพภูมิศาสตร์และเวลา

24.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะสังคมไทย

(1) ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย  (2) ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม

(3) ความเชื่อไสยศาสตร์          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 15, (คำบรรยาย) สังคมไทยมีลักษณะดังนี้

1.         สังคมไทยมีลักษณะ วิวิธพันธุ์” คือ มีความแตกต่างหลากหลายในด้านชาติพันธุ

2.         สังคมไทยในแต่ละภูมิภาคและแต่ละท้องถิ่นมีโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมย่อย ของตนเองแตกต่างกันไป ทำให้มีระบบความคิด ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมที่ต่างกัน

3.         สังคมไทยมีความแตกต่างด้านกายภาพของสิ่งแวดล้อมดินฟ้าอากาศหรือสภาพภูมิศาสตร์ ทำให้มีลักษณะพันธุ์พืชและสัตว์ การตั้งถิ่นฐาน การประกอบอาชีพ ฯลฯ ที่ต่างกัน

25.       ตระกูลภาษาใดมีคนพูดมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ออสโตรเอเชียติก   (2) ไท-คะได    (3) สิโน-ทิเบตัน           (4) ทิเบโต-เบอร์แมน

ตอบ 3 หน้า 24 – 25 ภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบ่งออกเป็น 5 ตระกูล คือ

1.         ออสโตรนีเชียน (Austronesian) หรือมาลาโย-โปลีนีเชียน (Malayo-Polynesian)ได้แก่ ภาษาของกลุ่มคนที่พูดภาษามาเลย์ ซึ่งอาศัยอยู่ตามชายทะเลและเกาะแก่งต่าง ๆ

2.         ออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) หรือมอญ-เขมร ได้แก่ ภาษาของพวกซาไก มอญ เขมร กุย ส่วย ฯลฯ ซึ่งเป็นตระกูลภาษาที่เก่าแกที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเชื่อว่าเป็นภาษาของกลุ่มชนดั้งเดิมในพื้นที่แถบนี้

3.         ไท-คะได (Tai-Kadai) หรือ ไท-ลาว ได้แก่ ภาษาของไทย ลาว (โซ่ง ดำ แดง ขาว) กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ตามลุ่มแม่น้ำโขง สาละวิน ดำ แดง ขาว และเจ้าพระยา

4.         สิโน-ทิเบตัน (Sino-Tibetan) ได้แก่ ภาษาของม้ง เย้า จีนฮ่อ ขะฉิ่น ฯลฯ ซึ่งเป็นตระกูลภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

5.         ทิเบโต-เบอร์แมน (Tibeto-Burman) ได้แก่ ภาษาของพม่า อีก้อ มูเซอ เกรียง ลีซอ ลัวะ

26.       ข้อใดคือตระกูลภาษาของกลุ่มชนดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ออสโตรเอเชียติก   (2) เท-คะได     (3) สิโน-ทิเบตัน           (4) ทิเบโต-เบอร์แมน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

27.       เพราะเหตุใดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงถูกเรียกว่า อินโดจีน

(1) เคยถูกครอบงำเดยจีนและอินเดีย (2) อยู่ติดกับจีนและอินเดีย

(3) วัฒนธรรมเป็นแบบจีนและอินเดีย (4) ประชากรมีชาติพันธุ์จีนและอินเดีย

ตอบ 3 หน้า 26, (คำบรรยาย) ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อุษาคเนย์หรือสุวรรณภูมิ) นั้น แต่เดิมชาวตะวันตกจะเรียกว่า อินโดจีน” เนื่องจากอยู่ตรงกลางระหว่างอินเดียและจีน นอกจากนียังมีอคติว่าพื้นที่แถบนี้เป็นสังคมป่าเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม ดังนั้นจึงถูกครอบงำ โดยวัฒนธรรมอินเดียและวัฒนธรรมจีน

28.       อะไรเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้ของคนในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) การนับถือผี            (2) การยกย่องสตรี

(3) การยกย่องเพศชาย           (4) การนับถือผีและการยกย่องสตรี

ตอบ 4 หน้า 27, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมตั้งเดิมของคนในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีเอกลักษณ์ ของตนเอง ซึ่งสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ คือ 1. การเคารพนับถือผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ และผีวีรชน 2. การยกย่องสตรี    3. การเพาะปลูก

29.       เพราะเหตุใดกลุ่มคนกลุ่มบนจึงพัฒนาล่าช้า

(1) เพราะทำมาหากินลำบาก  (2) อยู่ห่างทะเล การคมนาคมลำบาก

(3) ส่วนใหญ่เป็นชาวเขา         (4) เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคม

ตอบ 2 หน้า 27, (คำบรรยาย) พื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากมองโดยใช้ทะเลเป็นเกณฑ์ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

1.         กลุ่มบน ได้แก่ พื้นที่ทางตอนใต้ของจีน ตอนเหนือของอินเดีย พม่า ลาว เวียดนาม กลุ่มนี้พัฒนาการช้าเพราะอยูห่างไกลทะเล การติดต่อคมนาคมจึงลำบาก

2.         กลุ่มล่าง ได้แก่ บริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน มาเลเซีย และหมู่เกาะทางตอนใต้ เป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการชองชุมชนขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการติดต่อ แลกเปลี่ยนสังสรรค์กับชาวต่างชาติหรือคนต่างกลุ่มได้สะดวก เพราะอยู่ติดทะเล

30.       จากหลักฐานด้านโบราณคดีระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมนุษย์อาศัยอยู่นานกว่า 7 แสนปีเพราะอะไร

(1) ความหลากหลายทางชีวภาพ        (2) อุดมสมบูรณ์

(3) ดินฟ้าอากาศหลากหลาย  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 27 – 28 จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ระบุว่า สุวรรณภูมิหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออุษาคเนย์ มีมนุษย์อาศัยอยู่มานานกว่า 7 แสนปี เนื่องจาก

1.         เป็นพื้นที่ที่มีสภาพดินฟ้าอากาศหลากหลาย

2. มีความหลากหลายทางชีวภาพและอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ

3. มีพื้นที่กว้างขวาง แต่สัดส่วนของคนต่อพื้นที่ตํ่ามาก

31.       พัฒนาการของสังคมและวัฒนธรรมไทยเริ่มมีขึ้นเมื่อใด

(1) คนเริ่มเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์      

(2) ตั้งแต่กลุ่มคนโยกย้ายร่อนเร่หาอาหารเพื่อยังชีพ

(3) มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี           

(4) มีการพัฒนาอุตสาหกรรม

ตอบ 1 หน้า 28 พัฒนาการของสังคมและวัฒนธรรมไทยเริ่มมีขึ้นเมื่อคนเริ่มทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ จึงมีการตั้งถิ่นฐานถาวรขึ้น ทำให้คนไม่ต้องเดินทางโยกย้ายร่อนเร่หาอาหารเพื่อยังชีพอีกต่อไป

32.       ข้อใดแสดงให้เห็นว่าชุมชนไทยมีมาก่อนอาณาจักรสุโขทัย

(1) การปลูกข้าว          

(2) การนับถือผี            

(3) กลุ่มคนที่พูดภาษาไทย      

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 27 – 28 สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าชุมชนไทยมีมาก่อนอาณาจักรสุโขทัย ได้แก่

1. ความเชื่อเรื่องการนับถือผีและเรื่องขวัญที่สืบทอดต่อกันมา            2. การยกย่องสตรี

3.         ภาษาพูดตระกูลไท ซึ่งเป็นตระกูลภาษาเก่าแกที่ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีอายุมาไม่น้อยกว่า 3,000 ปี         4. เครื่องมือหินกะเทาะที่พบกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ

5.         การเพาะปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ

33.       ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

(1) ผู้อาวุโส      

(2) เพศชาย     

(3) เพศหญิง    

(4) ผู้มีลักษณะพิเศษ

ตอบ 3 หน้า 28 ชุมชนหมู่บ้านยุคแรกเมื่อราว 5,000 – 6,000 ปีก่อนประวัติศาสตร์ ได้เริ่มทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และตั้งถิ่นฐานถาวรขึ้น ทำให้คนไมต้องร่อนเร่หาอาหารอีกต่อไป โดยชุมชนหมู่บ้านยุคแรกมักเกิดขึ้นตามลุ่มนํ้าที่เพาะปลูกได้ และเชื่อกันว่าหัวหน้าหมู่บ้าน ในยุคแรก ๆ เป็นผู้หญิง ซึ่งทำหน้าที่ติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

34.       โลหะสัมฤทธิ์ประกอบด้วยอะไร

(1) เหล็ก          (2) เหล็กกับทองแดง   (3) ดีบุกกับทองแดง    (4) ตะกั่วกับเหล็ก

ตอบ 3 หน้า 28 – 29 ราว 4,000 ปีที่ผ่านมา คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถถลุงโลหะแล้วเอามาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจ่าวัน โดยโลหะที่สำคัญ ได้แก่ โลหะสัมฤทธิ์ (สำริด) คือ โลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก หรือตะกั่ว และโลหะอีกชนิดหนึ่งคือ เหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ

35.       เพราะเหตุใดชุมชนภาคกลางจึงเติบโตกลายเป็นเมืองขนาดเล็กในช่วงแรก

(1) เพราะไมมีแร่ธาตุที่สำคัญ  (2) เพราะทำการเกษตร

(3) เพราะไม่มีสินค้าที่สำคัญ   (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 29 เมื่อประมาณ 2,000 ปี ชุมชนหมู่บ้านในภาคกลางแถบลุ่มแม่น้ำท่าจีนและลุ่มเจ้าพระยา พัฒนาขึ้นเป็นเมืองขนาดเล็ก โดยประกอบอาชีพค้านการเกษตร เพราะมีทรัพยากรน้อยกว่า จึงพัฒนาช้ากว่าแอ่งโคราช แต่เนื่องจากรู้จักติดต่อแลกเปลี่ยนค้าชายทางทะเลกับชุมชนภายนอก จึงทำให้เมืองเล็ก ๆ พัฒนาเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าดินแดนตอนใน

36.       ศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์เข้ามาในภาคกลางครั้งแรกที่เมืองใด

(1) สุพรรณภูมิ (2) อู่ทอง         (3) ลพบุรี         (4) อยุธยา

ตอบ 2 หน้า 29 – 30 หลักฐานของอินเดียระบุว่า เมืองอูทองซึ่งเป็นชุมชนในภาคกลางแถบลุมนํ้าท่าจีน และแม่กลอง มีความเก่าแกเกินกว่า 1,700 ปี และมีการรับเอาวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาใช้กับ วัฒนธรรมท้องถิ่น ทำให้เกิดการนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู (ศาสนาพราหมณ์) และเริ่มนำ ระบบกษัตริย์มา ใช้เป็นค รั้งแรก

37.       ประชากรในสมัยสุโขทัยอพยพมาจากที่ใด

(1) ศรีสัชนาลัย            (2)       สองฝั่งโขง       (3)       แพร่     (4)       อู่ทอง

ตอบ2  หน้า 31 อาณาจักรสุโขทัยก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17 โดยเริ่มจากการเป็นชุมชนถลุงเหล็กจนขยายตัวเป็นศูนย์กลางด้านการค้า และมีพลเมืองส่วนใหญ่ย้ายมาจาก 2 ฝั่งโขง จึงทำสัมฤทธ์เก่ง เนื่องจากได้สะสมความรู้และประสบการณ์มาจากยุคเหล็กและเป็นผู้สืบทอด วัฒนธรรมบ้านเชียง

38.       ประชากรไทยเพิ่มเป็นจำนวนมากในยุคสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 3  (2)       รัชกาลที่ 5       (3)       รัชกาลที่ 7       (4)       รัชกาลที่ 9

ตอบ. 4 หน้า 32, (คำบรรยาย) ในยุครัตนโกสินทร์ตอนปลาย โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็น รัชกาลปัจจุบัน ถือเป็นช่วงที่ประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มมากที่สุด เพราะเป็นระยะที่ประเทศไทย มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนอายุยืนขึ้น ในขณะที่คนเกิดเท่าเดิมแต่คนตายน้อยลง

39.       กลุ่มคนกลุ่มใดมีมากที่สุดในสังคมไทย

(1) ไทย-ลาว    (2)       ไทย-มาเลย์      (3)       มอญ เขมร       (4)       เกรียง ส่วย กุย

อบ 1 หน้า 33 – 34 โครงสร้างสังคมไทย ประกอบด้วย กลุ่มลังคมย่อย ๆ หลายกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่

1. ไทย-ลาว เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีมากที่สุดในสังคมไทย

2.         ไทย-มาเลย์ มีอยู่มากที่สุดในภาคใต้ของไทย

3.         เขมร ส่วย กุย มอญ ส่วนใหญ่อยู่กระจัดกระจายแถบภาคอีสานของไทย

4.         เกรียง มีมากที่สุดทางภาคเหนือของไทย และอยู่กระจัดกระจายแถวจังหวัดราชบุรีและกาญจนบุรี

5.         ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางเหนือของไทย เช่น กะเหรี่ยง อาข่า ลื้อ มูเซอ

6.         ชาวป่า มีอยู่ไม่มากในปัจจุบัน เช่น ผีตองเหลือง เซมัว ซาไก

7.         ชาวน้ำ เป็นชนพื้นเมืองซึ่งส่วนใหญ่อยู่ตามริมฝั่งทะเลทางภาคใต้

8.         ชนต่างด้าว ส่วนใหญ่จะอยู่ตามเขตเมือง เช่น คนจีน อินเดีย และชาวตะวันตกประเทศต่าง ๆ

40.       ระบบความสัมพันธ์ของสังคมไทยที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้คืออะไร

(1) ระบบอุปถัมภ์        (2) แบ่งแยกของสูง-ตํ่า           (3) ระบบประชาธิปไตย          (4) ระบบขุนนาง

ตอบ 1 หน้า 34 – 35, (คำบรรยาย) ความสัมพันธ์ทางสังคมของไทยในปัจจุบันที่ถือเป็นมรดกสืบทอด มาจากระบบความสัมพันธ์ในอดีต คือ ระบบอุปถัมภ์หรือระบบเครือญาติ (Patron-client Relationship) ในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างคนที่มีฐานะต่างกัน เช่น ผู้ใหญ่กับผู้น้อย หรือนายกับบ่าวที่ต่างยอมรับต่อกัน มีหน้าที่ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยต่อกัน และจะขาดเสีย ซึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปไม่ได้

41.       ข้อใดคือลักษณะของสังคมไทยปัจจุบัน

(1) มีระบบขุนนาง       

(2) แบ่งแยกของสูง-ตํ่า

(3) ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน            

(4) ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ตอบ 2 หน้า 35, (คำบรรยาย) สังคมไทยเป็นสังคมที่มีการแบ่งแยกของสูง-ตํ่า เช่น ผ้านุ่งผู้หญิง (ผ้าซิ่น) ถือว่าเป็นของตํ่า แต่ผ้าขาวม้าผู้ชายถือว่าเป็นของสูง เท้าถือเป็นของตํ่า แต่หัวถือเป็นของสูง ฯลฯ นอกจากนั้นสังคมไทยยังมีการแบ่งแยกความสูง-ตํ่าต้านอายุและเพศ เช่น ผู้ใหญ่-ผู้น้อยเด็ก-ผู้อาวุโส และเพศหญิง-เพศชาย ซึ่งมีฐานะและคุณค่าทางสังคมไม่เท่ากัน

42.       โครงสร้างของสังคมไทย ปัจจุบันถูกกำหนดโดยอะไร

(1) อาชีพ         

(2) ตำแหน่งหน้าที่การงาน      

(3) ฐานะทางสังคม     

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 35 โครงสร้างของสังคมไทยปัจจุบันถูกกำหนดโดยใช้ลักษณะอาชีพ ตำแหน่งหน้าที่การงาน การพึ่งพาอาศัย และฐานะทางสังคม ทำใหโครงสร้างของสังคมไทยในปัจจุบันนั้นมีการแบ่งกลุ่ม ทางสังคมออกเป็น 3 ชนชั้น ได้แก่ 1. ชนชั้นสูง        2. ชนชั้นกลาง 3. ชนชั้นตํ่า

43.       ข้อใดคือหน้าที่ของครอบครัวไทยปัจจุบัน

(1) ให้กำเนิดสมาชิกใหม่         

(2) อบรมสั่งสอนอาชีพ

(3) ผลิตอาหารและแจกแจงผลผลิต   

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 36 – 37 หน้าที่ของครอบครัวไทยมีดังนี้    1. ให้กำเนิดสมาชิกใหม่

2.         ให้การศึกษาอบรม       3. ให้ความรักความอบอุ่น        4. ให้ความมั่นคงปลอดภัย

44.       การนับญาติของครอบครัวไทยปัจจุบันเป็นแบบใด

(1) นับญาติทั้ง 2 ฝ่าย (2) นับญาติทางพ่อ

(3) นับญาติทางแม่      (4) ไม่มีกฎเกณฑ์กติกาชัดเจน

ตอบ 1 หน้า 37 สังคมไทยจะมีการนับญาติทั้ง 2 ฝ่าย คือ นับญาติทั้งทางฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา แต่การสืบสกุลจะนิยมสืบทางฝ่ายบิดา

45.       เพราะเหตุใดครอบครัวไทยในอดีตจึงมีขนาดใหญ่

(1) เป็นสังคมเกษตร    (2) ต้องการแรงงาน     (3) ไมรู้จักวิธีควบคุมการเกิด   (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 35 – 36, (คำบรรยาย) สังคมไทยในอดีตเป็นสังคมเกษตรกรรม ซึ่งต้องการแรงงาน จํ านวนมากมาช่วยต้านการเกษตร ประกอบกับในสมัยนั้นยังไม่มีการคุมกำเนิด จึงทำให้ ครอบครัวไทยในอดีตมีขนาดใหญ่ เป็นครอบครัวขยาย ซึ่งประกอบด้วยญาติพี่น้องหลายช่วงวัยอายุ อยู่รวมภายใต้หลังคาเดียวกัน หรือตั้งบ้านเรือนอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันเป็นหมู่บ้าน

46.       ข้อใดคือรูปแบบการสมรสของครอบครัวไทยปัจจุบัน

(1) สามีภรรยาเดียว    (2) สามีภรรยาหลายคน

(3) สามี 1 คน มีภรรยาได้หลายคน     (4) ภรรยา 1 คน มีสามีได้หลายคน

ตอบ 1 หน้า 36, (ค่าบรรยาย) รูปแบบการสมรสของครอบครัวไทยในอดีต คือ สามี 1 คน มีภรรยาได้ หลายคน แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศมากขึ้น จึงทำให้รูปแบบการสมรสของครอบครัวไทยปัจจุบันเปลี่ยนไป โดยมีการออกกฎหมายให้การสมรส ต้องเป็นแบบสามีภรรยาเดียว แต่ในทางปฏิบัติแล้วชายไทยส่วนใหญ่ก็ยังนิยมมีภรรยามากกว่า 1 คน จึงทำให้สังคมไทยมีปัญหา

47.       ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกในลังคมไทยในอดีต

(1) มีความใกล้ชิด       (2) ต่างคนต่างอยู่

(3) พ่อแม่เข้มงวดระเบียบวินัยกับลูก  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 36 – 37 ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกในสังคมไทยในอดีต จะมีความใกล้ชิดสนิทสนม กันมากเกือบทุกเรื่อง และลูกมักจะเป็นศูนย์กลางของครอบครัวที่ได้รับการดูแลเอาอกเอาใจ แต่ในปัจจุบันครอบครัวใกล้ชิดสนิทสนมและให้ความรักความอบอุ่นแกลูกน้อยลง เพราะพ่อแม่ ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทำให้มีเวลาอยู่กับลูกไม่มากนัก

48.       โครงสร้างของสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในสมัยใด

(1) กรุงศรีอยุธยา        (2) กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

(3) สมัยรัชกาลที่ 7      (4) สมัยรัชกาลที่ 9

ตอบ 3 (คำบรรยาย) โครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรมไทยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดจากหน้ามือเป็นหลังมือในสมัยรัชกาลที่ 7 เนื่องจากเป็นยุคที่สังคมไทยเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกอย่างเต็มที่

49.       จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีความสำคัญอย่างไรต่อสังคมไทย

(1) เปลี่ยนคำว่าสยามเป็นประเทศไทย           (2) นำประเทศเข้าส่ระบบทุนนิยม

(3) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบพึ่งตนเอง (4) พัฒนาการปกครองแบบประชาธิปไตย

ตอบ 1 หน้า 20 ค่าวา สยาม” นั้น นายปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนไว้ว่า มีการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แต่ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2482 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ประกาศรัฐนิยมให้ใช้ชื่อ ประเทศไทย” แทน โดยให้ใช้คำว่า ไทย” แทนค่าว่า สยาม” นับแต่นั้นจะต้องเรียกคนไทยว่าไทย และเรียกประเทศว่าประเทศไทย

50.       แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นโดยความช่วยเหลือของประเทศใด

(1) ญี่ปุ่น         (2) สหรัฐอเมริกา         (3) รัสเซีย        (4) จีน

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงของการตื่นตัวในการพัฒนาตามแบบตะวันตก ประเทศไทยจึงมีการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยได้รับความช่วยเหลือทั้งทางด้านการเงินและวิชาการจากสหรัฐอเมริกา

51.       เศรษฐกิจของสังคมไทยในอดีต มีลักษณะอย่างไร

(1) ผลิตเพื่อบริโภค     

(2) ผลิตเพื่อแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่น

(3) ผลิตเพื่อการค้า      

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 37 – 38 ในอดีตก่อนติดต่อกับชาวตะวันตก หรือก่อนเปิดประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 ตามสนธิสัญญาบาวริ่งนั้น ระบบเศรษฐกิจของคนไทยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง นั่นคือ แต่ละครอบครัวจะผลิตของกินของใช้ขึ้นมาบริโภคเองภายในครอบครัว โดยมิได้มุ่งผลิต เพื่อการค้า แต่เมื่อมีผลผลิตเหลือก็อาจจะแลกเปลี่ยนกับชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงบ้าง

52.       การทำสนธิสัญญาบาวริ่ง เกิดขึ้นในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 4  

(2)       รัชกาลที่ 5       

(3)       รัชกาลที่ 7       

(4) รัชกาลที่ 9

ตอบ 1 หน้า 38, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยได้ตกลงทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษ ทำให้ประเทศไทยต้องมีการเปิดประเทศค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น ซึ่งนับเป็นก้าวย่างสำคัญที่ ทำให้ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงของไทยในอดีต เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมากครั้งแรกไปสู่การผลิต เพื่อขายในทางการค้า และมีการบริโภคสินค้าอื่น ๆ มากขึ้น

53.       เศรษฐกิจของสังคมไทยประสบปัญหาอย่างมากในปี พ.ศ. ใด

(1) พ.ศ. 2490 

(2)       พ.ศ. 2504       

(3)       พ.ศ. 2540       

(4) พ.ศ. 2547

ตอบ 3 หน้า 39 เศรษฐกิจของสังคมไทยประสบปัญหาอย่างมกตามภาวะเศรษฐกิจโลกในปี พ.ศ. 2540 ทำให้ประชาชนยากจนลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งตัว แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจของไทยก็ได้ฟื้นตัวขึ้น จากการบริหารของผู้นำประเทศ

54.       ข้อใดคือหน้าที่ของสถาบันการศึกษา

(1) ถ่ายทอดวัฒนธรรม            (2)       พัฒนาบุคลิกภาพ       (3)       ฝึกฝีมือแรงงาน           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 39 หน้าที่ของสถาบันการศึกษา ได้แก่     1. ถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยการอบรมขัดเกลาสมาชิกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้รู้และประพฤติปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม

2.         ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของคนให้มีความมั่นคง            3. ช่วยฝึกหัดแรงงานเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

55.       สถานที่ใดเป็นสถาบันให้กรศึกษาในอดีต

(1) วัด-วัง         (2) ตักศิลา      (3) วัดเท่านั้น   (4) วังเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 40 สถานที่ที่ให้การศึกษาของสังคมไทยในอดีตก็คือ วัดและวัง ต่อมาเมื่อมีการติดต่อกับ ต่างประเทศ สังคมไทยก็ได้รับเอาระบบการศึกษาในระบบโรงเรียนเข้ามา โดยมีการตั้งโรงเรียน แบบสากลขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 และขยายตัวเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งสถาบันของรัฐ และเอกชน แต่ระบบการศึกษาของไทยก็ยังคงเป็นระบบบังคับ

56.       สังคมไทยรับเอาระบบการศึกษาในระบบโรงเรียนสากลเข้ามาในสมัยรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 4  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

57.       วัฒนธรรมหลวง เป็นวัฒนธรรมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร

(1) การบูรณาการ        (2) ความเป็นเอกภาพของสังคมไทย

(3) แสดงความเจริญก้าวหน้าของประเทศ      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 12, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมในแต่ละสังคมจะประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้

1.         วัฒนธรรมหลักหรือวัฒนธรรมหลวง คือ ศิลปวัฒนธรรมหลักของชาติ ซึ่งสมาชิกรับรู้ และประพฤติปฏิบัติไปในทำนองเดียวกัน เพื่อแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าของประเทศ ความเป็นระเบียบ รวมทั้งเพื่การบูรณาการหรือความเป็นเอกภาพของสังคมส่วนรวม ได้แก ภาษาไทยการกินข้าวการไหว้ประเพณีประจำชาติหรือประเพณีหลวง

(เช่น ประเพณีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประเพณีสงกรานต์ ฯลฯ)

2.         วัฒนธรรมรองหรือวัฒนธรรมราษฎร์ คือ วัฒนธรรมเฉพาะภาคเฉพาะกลุ่มที่แตกต่างกันไป แต่ละท้องถิ่น ได้แก่ จารีตความเชื่อทักษะการประกอบอาชีพประเพณีท้องถิ่นหรือ ประเพณีราษฎร์ (เช่น ประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีงานบุญเดือนสิบ ฯลฯ)

58.       วัฒนธรรมไทยมีที่มาจากปัจจัยใด

(1) สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์       (2) ความเชื่อด้านศาสนาพุทธและพราหมณ์

(3) การติดต่อกับชนเผ่าอื่น      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 45 – 46 วัฒนธรรมไทยปัจจุบันมีที่มาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

1.         สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษเป็นผู้คิดสร้างขึ้นจากการปรับตัว ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตรอด

2.         ความเชื่อทางด้านศาสนาพุทธและพราหมณ์ซึ่งรับมาจากอินเดีย รวมทั้งความเชื่อดั้งเดิม

3.         การติดต่อสัมพันธ์และสังสรรค์กับกลุ่มชาติพันธุ์และชนต่างสังคมต่างวัฒนธรรมอื่น ๆ

59.       ข้อใดคือภูมิปัญญาไทย

(1) องค์ความรู้ในการทำนาปลูกข้าว   (2) องค์ความรู้ในการสร้างคอมพิวเตอร์

(3) องค์ความรู้ในการจัดการองค์กรแบบสากล           (4) องค์ความรูในการรักษาโรคแบบทันสมัย

ตอบ 1 หน้า 53 – 54 ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะสำคัญสรุปได้ดังนี้      1. เป็นความรู้ของสังคมไทยในเกือบทุกเรื่อง เช่น การทำมาหากินด้วยการทำนาปลูกข้าว การเกษตรแบบผสมผสาน ฯลฯ

2.         เป็นองค์ความรู้ที่คนไทยคิดสร้างขึ้นและได้แปรความรู้จากนามธรรมมาสู่รูปธรรม เช่น เรือหางยาว รำผีฟ้า เสื้อผ้าที่ทำจากฝ้าย ฯลฯ         3. ภูมิปัญญาไทยเป็นความรู้เฉพาะท้องถิ่นที่แตกต่างกัน และเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วแต่ละท้องถิ่นก็จะเป็นเจ้าของชัดเจน  4.เป็นความรู้ที่ได้จากชีวิตจริงโดยการลองผิดลองถูก

60.       ข้อใดถูกต้องที่สุด

(1)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากความเชื่อด้านไสยศาสตร์

(2)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ

(3)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากคนไทยคิดสร้างขึ้น

(4)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมไทยกับสากล

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

61.       ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะสำคัญอย่างไร       

(1) เป็นความรู้เฉพาะท้องถิ่น

(2)       เป็นสากลพบได้ทั่ว ๆ ไป          

(3) ไมมีเจ้าของเป็นของกองกลาง

(4) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

62.       อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน” จัดอยู่ในภูมิปัญญาใด

(1) เชิงเทคนิค  

(2) การจัดการ 

(3) การควบคุม            

(4) นามธรรม

ตอบ 4 หน้า 51 – 52, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้

1. ระดับพื้นฐานเชิงเทคนิคซึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรม เช่น ความรู้เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ฤดูกาลใดเหมาะแกการเพาะปลูก การรู้วาพืชสัตว์อะไรกินได้ อะไรนำมาใช้สอยได้ ฯลฯ

2.         ระดับการจัดการระบบการผลิตและทรัพยากรซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม เช่น การรู้จักคัดเลือก พันธุ์พืชและพื้นที่ในการเพาะปลูก การดูคุณสมบัติของดิน การสร้างเหมืองฝาย ฯลฯ

3.         ระดับการควบคุมโดยใช้ความเชื่อและพิธีกรรมซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม เช่น ความเชื่อเรื่องรุกขเทวดา รวมทั้งจารีตประเพณีต่าง ๆ

4.         ระดับวิธีคิดหรือค่านิยมซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมและเป็นระดับสูงสุดของสังคม

63.       พิธีกรรม จารีต ประเพณี เป็นภูมิปัญญาไทยระดับใด

(1) เชิงเทคนิค  

(2) การจัดการ 

(3) การควบคุม            

(4) นามธรรม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

64.       ข้อใดคือตัวอย่างของภูมิปัญญาไทย

(1)รำผีฟ้า        (2) เกษตรแบบผสมผสาน       (3) เรือหางยาว            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

65.       ข้อใดคือความสำคัญของภูมิปัญญาไทย

(1) สร้างชาติเป็นปึกแผ่นมั่นคง           (2) สร้างความภาคภูมิใจ

(3)       สร้างความสมตุสระหว่างสังคมกับธรรมชาติ   (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 53 ความสำคัญของภูมิปัญญาไทยมีดังนี้

1.         สร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง           2. สร้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีเกียรติภูมิแก่คนไทย

3.         สามารถประยุกต์หลักธรรมคำสอนทางศาสนามาใช้กับวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม

4.         สร้างความสมดุลระหว่างคน สังคม และธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

5.         ช่วยปรับวิถีชีวิตคนให้เหมาะสมตามยุคสมัย

66.       การบวชป่าสืบชะตาขุนนํ้า เป็นภูมิปัญญาของภาคใด

(1) เหนือ          (2) กลาง         (3) อีสาน         (4) ใต้

ตอบ 1 หน้า 54 – 65 ภูมิปัญญาที่โดดเด่นของแต่ละภาคมีดังนี้

1. ภาคเหนือ ได้แก่ ระบบเหมืองฝาย ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาด้านการจัดการนํ้าที่เด่นเฉพาะ ของชาวเหนือ ความรู้เรื่องสมุนไพร การสืบชะตาขุนนํ้า บวชต้นไม้ บวชป่า ฯลฯ

2.         ภาคอีสาน ได้แก่ ความเชื่อเรื่องดาวผีดาน การตั้งศาลปู่ตาในถิ่นฐานใหม่ ความสามารถในการจับและกินแมลง ระบบพ่อแก้ว-ลูกแก้ว การผูกเสี่ยว ฯลฯ

3.         ภาคกลาง ได้แก่ ภูมิปัญญาเกี่ยวกับวัฒนธรรมข้าวและพิธีกรรมที่สืบเนื่องจากตำนานข้าว เช่น พิธีแรกนา พิธีทำขวัญข้าว ฯลฯ

4.         ภาคใต้ ได้แก่ การปลูกบ้านมีตีน การผูกดอง ผูกเกลอ ความเชื่อเรื่องธาตุสี่ ฯลฯ

67.       เหมืองฝาย” เป็นภูมิปัญญาของภาคใด

(1) ภาคกลาง  (2) ภาคเหนือ   (3) ภาคอีสาน  (4) ภาคใต้

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ

68.       ปัจจัยใดของสังคมไทยส่งเสริมการเกิดภูมิปัญญาด้านศิลปะและนันทนาการ

(1) ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดิน (2) อุปนิสัยของคนไทย

(3) วัฒนธรรมไทย       (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ1 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาด้านศิลปะและนันทนาการของไทย คือ ผลโดยตรงที่เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดินไทย เนื่องจากสังคมใดที่อยู่ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ มีความมั่งคั่ง สังคมนั้นก็จะมีเวลาที่จะสร้างสรรค์ศิลปะและการละเล่นต่าง ๆ ได้

69.       ข้อใดคือเอกลักษณ์ที่แสดงความเป็นชาติไทย

(1) ศิลปกรรมไทยตามวัดและวัง         (2) การพูดภาษาไทยอย่างชัดเจน

(3) อาหารไทย (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หนา 65 – 66, (คำบรรยาย) เอกลักษณ์พื้นฐานของสังคมไทย ได้แก่

1. ชาติ หมายถึง ลักษณะหรือเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทย โดยเฉพาะที่แสดงให้เห็นถึง ความเป็นคนไทย ความภาคภูมิใจและความสำนึกในความเป็นไทย รวมทั้งการมีวัฒนธรรมไทย เช่น ศิลปกรรมไทย พฤติกรรมความเป็นอยู่แบบอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทย อาหารไทย ภาษาไทย ธงชาติและการยืนตรงทำความเคารพเพลงชาติไทย ฯลฯ

2.         ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะอุปนิสัย ทัศนคติในการมองโลก และวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย

3.         พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และทรงมีภาระหน้าที่ ในการขจัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรไทยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

4.         การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

70.       อะไรคือเอกลักษณ์พื้นฐานของไทย

(1) ชาติ            (2)       ศาสนา (3)       พระมหากษัตริย์          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

71.       เอกลักษณ์ของศาสนาปรากฏอยู่ในรูปแบบใด

(1) ทัศนะในการมองโลก         

(2)       วิถีการดำเนินชีวิต        

(3)       ลักษณะอุปนิสัย          

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

72.       อะไรคือภาระหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

(1) ขจัดทุกข์บำรุงสุขแกราษฎร           

(2) เป็นผู้รักษาความยุติธรรม

(3) เป็นนักรบ  

(4) เป็นเจ้าชีวิต

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

73.       นักวิชาการท่านใดระบุว่าสังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม

(1) เอมบรี        

(2)       เบเนดิกท์         

(3)       วัยอาจ 

(4) มาลินอฟสกี้

ตอบ 1 หน้า 69, (คำบรรยาย) เอมบรี (Embree) กล่าวว่า สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม(Loosely Structured) นั่นคือ คนไทยขาดระเบียบวินัย มีลักษณะปัจเจกบุคคลนิยมสูง ชอบอยู่โดดเดี่ยว ไม่ชอบการรวมกลุ่ม และเป็นสังคมที่มีลักษณะยืดหยุ่นประนีประนอมสูง นอกจากนคนไทยยังรักอิสระ นิยมเลือกทำตามใจตนเอง ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ชอบผูกมัด ต่อหน้าที่ และพยายามหลีกเลี่ยงพันธะทางสังคม จึงมักมีปัญหาในการทำงานรวมกลุ่มกับผู้อื่น

74.       อะไรคือลักษณะนิสัยคนไทยในทัศนะของศาสตราจารย์ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง

(1) นิยมความโอ่อ่า      (2) รักความเป็นอิสระ  (3) เคารพเชื่อฟังผู้มีอำนาจ      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 70, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง กล่าวว่า คนไทยมีนิสัยรักความเป็นไทย มีความเป็นปัจเจกบุคคลสูง มักน้อย สันโดษ ยํ้าการหาความสุขจากชีวิต นิยมความโอ่อ่า สุภาพอ่อนโยน รักอิสระแต่เคารพเชื่อฟังอำนาจ ดังนั้นคนไทยจึงมีนิสัย ขัดแย้งในตัวเอง เพราะคนไทยรักอิสระ ไมชอบให้ใครมาสั่ง แต่ถ้ารู้ว่าใครมีอำนาจก็จะกลัว และยอมเชื่อฟังเขา

75.       การรู้ว่าอะไรกินได้ อะไรนำมาใช้สอยได้ เป็นภูมิปัญญาไทยระดับใด

(1) นามธรรม   (2) รูปธรรม      (3) การควบคุม            (4) การจัดการ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

76.       คนไทยมีลักษณะนิสัยบางอย่างคล้ายกัน เนื่องมาจากอะไร

(1) การศึกษา  (2) อาชีพ         (3) การอบรมเลี้ยงดู    (4) การปกครอง

ตอบ 3 หน้า 68, (คำบรรยาย) ลักษณะนิสัยประจำชาติ อาจหมายถึง ลักษณะนิสัยบางอย่างซึ่งบุคคลที่อยู่ในประเทศเดียวกันมักมีอยู่คล้าย ๆ กัน อันเป็นผลมาจากการเติบโตและได้รับ การอบรมเลี้ยงดูขัดเกลามาจากคนในสังคมที่มีประวัติสาสตร์ความเป็นมา มีความเชื่อทางศาสนา มีสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ (สภาพภูมิศาสตร์) สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจเหมือนกัน

77.       สังคมไทยมี โครงสร้างแบบหลวม” หมายความว่าอย่างไร

(1) คนไทยชอบรวมกลุ่มเสวนากัน       (2) คนไทยไม่ยึดมั่นกับกฎเกณฑ์ใด ๆ

(3) คนไทยไม่ชอบอยู่โดดเดี่ยว            (4) คนไทยไม่ประหยัดในการใช้จ่าย

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ

78.       ค่านิยมอะไรที่คนไทยยึดมั่น ทำให้คนไทยไมทำสิ่งที่ไมให้ประโยชน์แก่ตน

(1) รักสนุก       (2) ความโอ่อ่า (3) เล็งผลปฏิบัติ         (4) ขันติ ความอดกลั้น

ตอบ 3 หน้า 70, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ กล่าวว่า คนไทยเล็งผลการปฏิบัติ หมายถึง คนไทยจะชอบทำเฉพาะสิ่งที่เอื้อประโยชน์กับตนเท่านั้น โดยพิจารณาว่าถ้าสิ่งนั้นขัดกับ ประโยชน์ส่วนตนหรือเกิดความเสียหายก็จะไม่ปฏิบัติ แต่ถ้าเสริมประโยชน์กับตนก็จะปฏิบัติ

79.       ข้อใดคือตัวอย่างของวิกฤตทางวัฒนธรรมในสังคมไทย

(1) ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์      (2) การโกงเงินบริจาคสาธารณะ

(3) การแล้งน้ำใจ ดูดาย          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 7276, (คำบรรยาย) สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้ความหมายโดยสรุปไว้ว่า วิกฤตวัฒนธรรม หมายถึง ปรากฏการณ์ที่เบี่ยงเบนไปจากวิถีชีวิตอันดีงาม หรือ สวนกระแสระบบคุณค่าและมาตรฐานทางศีลธรรม นั่นคือ พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยยึดถือปฏิบัตินั่นเอง เช่น ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์การแล้งนํ้าใจ ดูดายขาดจิตสำนึกสาธารณะเห็นแก่ตัวหรือเห็นแกผลประโยชน์ส่วนตัวคดโกง ไมซื่อสัตย์,ยโสโอหังห้ความสำคัญกับเงินหรือวัตถุ และเชื่อว่าสวรรค์กับการบริโภคเป็นสิ่งเดียวกัน ฯลฯ

80.       ข้อใดเป็นลักษณะที่เรียกว่า รูปแบบก้าวหน้า เนื้อหาล้าหลัง

(1) การแต่งกายตามแฟชั่น      (2) การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเล่นเกม

(3) อาหารจะมีลักษณะผสมทางตะวันออกและทางตะวันตก (4) การออกแบบบ้านเพื่อป้องกันนํ้าท่วม

ตอบ 2 หน้า 73 – 74 สังคมไทยมีความทันสมัยแต่ไมพัฒนา หรือมีลักษณะ รูปแบบก้าวหน้าเนื้อหาล้าหลัง” หมายถึง สังคมไทยรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาแต่วัตถุกับเปลือก แต่มิได้เรียนรู้ วิธีคิด ตลอดจนเนื้อหาที่แท้จริง จนทำให้เกิดความล่าทางวัฒนธรรม (Culture Lag) เช่น คนไทยมีบัญญาซื้อรถยนต์ แต่ไมสามารถแก้ปัญหาจราจรได้ หรือการมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ ระบบอินเทอร์เน็ต แต่ไม่รู้วิธีใช้หรือใช้อย่างผิด ๆ ไมได้ประโยชน์ และไมมีกฎหมายควบคุม ที่ได้ผล เป็นต้น

81. การที่มาตรฐานเกี่ยวกับความดี ความชั่วของคนไทยเกิดความสับสนนั้น เกิดจากสาเหตุอะไร

(1) การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว     

(2) คนไม่นับถือศาสนา

(3) คนเป็นโสดมากขึ้น 

(4) ขนาดครอบครัวเล็กลง

ตอบ 1 หน้า 72 – 74 ที่มาหรือสาเหตุของวิกฤตวัฒนธรรมไทยมีดังนี้

1. เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้ มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี เทคนิควิทยาด้านตาง ๆ และระบบสื่อสารคมนาคม จนเกิดภาวะ ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา” (ดูคำอธิบายข้อ 80. ประกอบ)

2. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไปสู่ระบบทุนนิยมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความสับสน ในมาตรฐานเกี่ยวกับความดี ความชั่ว ที่เคยยึดถือกันมา

82.       จากวิกฤตทางวัฒนธรรมของไทย ทำให้เด็กไทยปัจจุบันมีลักษณะนิสัยอย่างไร

(1) ชอบแสวงหาความรู้           

(2) ชอบเลียนแบบผู้อื่น           

(3) ชอบธรรมชาติ        

(4) ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

ตอบ 2 หน้า 70-71, (คำบรรยาย) จากวิกฤตทางวัฒนธรรมของไทย ทำให้เด็กไทยปัจจุบันมีนิสัยดังนี้ 1. ขี้เหงา ติดเพื่อน 2. ไม่มีความอดทนในการรอคอย           3. เจ้าอารมณ์

4.         เห็นแกประโยชน์ส่วนตน 5. ขาดจิตสำนึกสาธารณะ   6. ชอบทันสมัย ฟุ่มเฟือย

ฟุ้งเฟ้อ และตามแฟชั่น 7. ชอบเลียนแบบผู้อื่นและวัฒนธรรมอื่น (โดยเฉพาะวัฒนธรรม ตะวันตก) ที่แพร่เข้ามาเพื่อความเป็นสากล ฯลฯ

83.       สังคมไทยแก้ไขวิกฤตทางวัฒนธรรมด้วยวิธีใด

(1)       ปฏิรูปการศึกษา         

(2) ส่งเสริมสถาบันครอบครัว

(3) ควบคุมการพัฒนาให้สมดุลกับธรรมชาติ  

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 76 – 77, (คำบรรยาย) การแก้ไขวิกฤตทางวัฒนธรรมควรทำทั้งในระดับบุคคล สถาบัน และสังคมทั้งสังคม ด้วยวิธีการต่อไปนี้

1.         การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาให้อยู่ในสภาพที่สมดุลตามธรรมชาติ

2.         ปฏิรูปและส่งเสริมระบบการศึกษาเพี่อให้ผู้เรียนเข้าใจแก่นแท้ของวัฒนธรรมไทย ตลอดจนให้รู้จริงเกี่ยวกับรากฐานวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาไทย

3.         ส่งเสริมสถาบันครอบครัวและชุมชนให้เข้มแข็งและมั่นคง แสะเปิดโอกาสให้ชุมชน ได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ แก้ไข และปกป้องวัฒนธรรมของตนเอง

4.         เร่งศึกษาถึงอิทธิพลของโลกภายนอกที่มีต่อสังคมไทยในทุกด้าน

5.         ฟื้นฟูสถาบันศาสนาให้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตเหมือนอดีต

84.       ระบบความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่มีที่มาจากอะไร 

(1) หลักวิทยาศาสตร์

(2)       ความกลัวในอำนาจเหนือธรรมชาติ    (3) ความมั่นใจในตนเอง          (4) หลายปัจจัยประกอบกัน

ตอบ2 หน้า 79, (คำบรรยาย) ระบบความเชื่อเกิดขึ้นมาพร้อมกับการรวมกลุ่มของสังคมมนุษย์

โดยเป็นสิ่งที่มนุษย์ในทุกสังคมผูกสร้างเป็นเรื่องราวขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นรูปธรรมตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะปรากฏออกมาในลักษณะของการเชื่อถือ พลังอำนาจนอกเหนือธรรมชาติที่มักมีพิธีกรรมและประเพณีต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ระบบ ความเชื่อมีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นการส่งเสริมอำนาจ เป็นการตอบสนองความกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดจนเป็นเครื่องมือควบคุมมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีระเบียบ

85.       คนไทยส่วนใหญ่ใช้อะไรเป็นมาตรฐานในการเข้าใจตนเอง ผู้อื่น และสังคม

(1) กฎหมาย    (2) เหตุผล       (3) ความเชื่อ    (4) หลักวิทยาศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 79, (คำบรรยาย) มนุษย์ในทุกสังคมจะใช้ระบบความเชื่อเป็นมาตรฐานในการเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจสังคม และเข้าใจโลก โดยความเชื่อนี้มักจะผูกพันกับหลักศีลธรรม จริยธรรม ปรัชญา ตลอดจนศาสนา ซึ่งจะมีส่วนกำหนดความเป็นไปของวิถีชีวิตผู้คนในสังคม

86.       อะไรคือสิ่งยึดเหนี่ยวของคนไทย

(1) หลักธรรมของศาสนา         (2) ไสยศาสตร์ (3) โหราศาสตร์           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 81 – 83, (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ)ความเชื่อในสังคมไทยแบ่งออกได้ดังนี้

1.         ความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ได้แก่ ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา,ความเชื่อเรื่องขวัญความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์โหราศาสตร์ฯลฯ

2.         ความเชื่อด้านศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์ เช่น การเชื่อว่าชีวิตเป็นไปตามกรรม เมตตาธรรมค้ำจุนโลกลัทธิเทวราชาพรหมลิขิตคติไตรภูมิ ฯลฯ

87.       ข้อใดคือความเชื่อดั้งเดิมในสังคมไทย

(1) หลักวิทยาศาสตร์   (2) ศาสนาพุทธ           (3) เทคโนโลยี  (4) อำนาจเหนือธรรมชาติ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

88.       ความเชื่อและศาสนามีความเหมือนกันในแง่ใด

(1) มีผู้นำ         (2) เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ          (3) หลักศีลธรรม          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 79 ความเหมือนกันของศาสนาและความเชื่อ คือ มีที่มาจากความเชื่อว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ลึกลับบางอย่างหรือหลายอยางที่อยู่นอกเหนือมนุษย์ธรรมดา และอำนาจเหนือธรรมชาตินี้ จะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งในทางดีและทางร้าย ทั้งให้คุณและให้โทษได้ แต่ความเชื่อจะต่างจากศาสนาในแง่ทว่าความเชื่ออาจจะไมแสดงกำเนิดและการสิ้นสุดของโลก หรืออาจไมมีหลักธรรมที่เกี่ยวกับบุญ-บาปเป็นศีลธรรมเหมือนกับศาสนา

89.       ไตรลักษณ์” คืออะไร

(1) หลักธรรมทางศาสนาพุทธ (2) หลักศาสนาพราหมณ์

(3)       ลักษณะที่ดี 3 ประการ            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ไตรลักษณ์ เป็นหลักธรรมทางพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึง ลักษณะที่เป็น สามัญทั่วไป 3 ประการ ได้แก่   1. อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง 2. ทุกขัง คือ ความมีทุกข์ 3. อนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน

90.       ความเชื่อที่คนไทยใช้อธิบายชีวิตของคนคืออะไร

(1) กฎแห่งกรรม          (2) บุญ-วาสนา            (3) การกระทำ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 83 ความเชื่อที่คนไทยใช้อธิบายชีวิตพื้นฐานของคน ตลอดจนการกระทำของบุคคล คือ ความเชื่อเรื่องกรรม (การกระทำ) กฎแห่งกรรม วาสนา และบุญบารมี

91.       ศาสนาพุทธได้รับการปรับปรุงให้มีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นในยุคสมัยใด

(1) พ่อขุนรามคำแหงมหาราช  

(2) พระบรมไตรโลกนาถ

(3) รัชกาลที่ 4  

(4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 82 เมื่อไทยยอมรับวัฒนธรรมตะวันตกและเข้าสู่สมัยใหม่ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ชนชั้นปกครองของไทยเริ่มให้ความสำคัญกับความรู้ ที่อธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ดังนั้นความรู้ความเชื่อทางด้านศาสนาพุทธจึงได้รับ การปรับปรุงให้ดูมีเหตุผลและเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น

92.       เพราะเหตุใดคนไทยปัจจุบันจึงนิยมการดูหมอและสะเดาะเคราะห์

(1) อยากรู้อนาคต        

(2) หาความมั่นใจในการดำรงชีวิต

(3) ชอบทดลอง           

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 82, (คำบรรยาย) คนไทยบางส่วนในปัจจุบันยังไมเป็นคนสมัยใหม่ เพราะยังมีการทรงเจ้า เข้าทรง ดูหมอดู สะเดาะเคราะห์ มีการกราบไหว้บวงสรวงคาสเจ้า ศาลพระภูมิ และต้นไม้ใหญ่ ต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยิ่งพัฒนาไปมากเท่าไหร่ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา และโหราศาสตร์ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาที่เป็นไป อย่างรวดเร็วทำให้ผู้คนตามไม่ทัน จึงก่อให้เกิดความสับสนทางความคิดและต้องหาความมั่นใจ ในการดำเนินชีวิตในอนาคตด้วยวิธีนี้

93.       ไสยศาสตร์เป็นสาสตร์ที่ว่าด้วยอะไร

(1) เวทมนตร์คาถา      

(2)       จิตวิญญาณ    

(3)       ผีบรรพบุรุษ     

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 82, (คำบรรยาย) ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลัง นํ้ามันพลาย รัก-ยม ฯลฯ ซึ่งคนไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย

94.       ศีล คืออะไร

(1) ข้อปฏิบัติ   (2)       ข้อห้าม (3)       บทสวดมนต์    (4) คาถา

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ศีล หมายถึง การประพฤติดีปฏิบัติชอบตามหลักศีลของพระพุทธศาสนาซึ่งส่วนใหญ่ศีลจะหมายถึงข้อห้าม ส่วนธรรมจะหมายถึงข้อปฏิบัติ

95.       ข้อใดคือหลักคำสอนของศาสนาพุทธ

(1) จงทำดี จงทำดี       (2) จงทำดี ละเว้นความชั่ว

(3) ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ (4) จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำใจให้บริสุทธิ์

ตอบ 4 หน้า 83, (คำบรรยาย) หลักคำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจหรือแก่นของศาสนาพุทธ ได้แก่

จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ การดับทุกข์

96.       อะไรคือประเพณีของสังคมไทย

(1) การแต่งงาน           (2) การบวช     (3) จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (4) การตาย

ตอบ 3 หน้า 86 – 87, (คำบรรยาย) ประเพณีไทยแบ่งตามลักษณะทั่วไปออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1.         ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวาระต่าง ๆ ของชีวิตคนไทยแต่ละคน ได้แก่ ประเพณีเกี่ยวกับ การเกิด การตาย การบวช การสมรส เป็นต้น

2.         ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทย ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และความเป็นอยู่ ของคน ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ลอยกระทง จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ บุญบั้งไฟแหนางแมว บูชพระแม่ธรณี ปั้นเมฆ ตลอดจนงานบุญ และการละเล่นอื่น ๆ เช่น แข่งเรือ การเข้าทรงแม่ศรี ผีครก ผีสาก เป็นต้น

97.       ประเพณีเกี่ยวกับความตาย เป็นประเพณีเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) สังคมไทย  (2) ชีวิตของคนไทยแต่ละคน   (3) ชนกลุ่มน้อย           (4) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

98. ประเพณีไทยมีความสำคัญอย่างไร

(1) แสดงความเป็นอารยะ       (2) ส่งเสริมความสามัคคี

(3) แสดงความกตัญญ            (4) ถูกทั้งหมด

อบ 4 หน้า 85 – 86, (คำบรรยาย) ความสำคัญของประเพณีไทยมีดังนี้ 1. แสดงความเป็นอารยะ  2. ส่งเสริมความสามัคคี3. แสดงถึงความกตัญญูรู้คุณ 4. ช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนา  5.แสดงถึงประวัติความเป็นมาของชาติ          6. เป็นมรดกทางสังคม

7. แสดงโลกทัศน์ของคนไทย   8. แสดงให้เห็นระบบความสัมพันธ์ในสังคม ฯลฯ

99. ประเพณีใดเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์

(1) แห่นางแมว            (2) บุญบั้งไฟ   (3) บูชาพระแม่ธรณี    (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

100. อะไรคือที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างในทัศนะของชาวพุทธ

(1) กรรม          (2) พระพรหม  (3) พญาแถน   (4) สิ่งเหนือธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 83, (คำบรรยาย) ในทัศนะของชาวพุทธ กรรม” คือ การกระทำของเรา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งหลาย และเป็นที่มาของทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเมื่อกระทำสิ่งใด ผลของกรรมที่เกิดจากการกระทำนั้นก็จะตามมา กรรมที่กระทำไว้ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว จะยังผลให้มีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร จึงกล่าวได้ว่าพื้นฐานชีวิตความเป็นอยู่ปัจจุบัน จะเป็นเช่นไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับ กรรม” หรือบาปบุญที่ได้กระทำไว้ในชาติหนึ่งนั้นเอง

ANT3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา ANT 3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย

ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         เพราะเหตุใดเราจึงต้องเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมไทย

(1)       เราเป็นคนไทย 

(2) วัฒนธรรมคือวิถีชีวิตของคนไทย

(3) สังคมและวัฒนธรรมไทยอยู่ในตัวตนของเรา         

(4) ถูกทั้งหมด

ตอป 4 หน้า 1, (คำบรรยาย) การศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องที่คนไทยศึกษาได้ตลอดเวลา เพราะเราคือคนไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม และวัฒนธรรมก็คือวิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นสังคมและวัฒนธรรมไทยจึงอยู่ทั้งในตัวตนของเราและอยู่ล้อมรอบตัว ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้ทุกวัน เวลา และสถานที่ ในทุก ๆ ต้าน เช่น วิถีชีวิตหรือความเป็นอยู่ ของคนไทย พฤติกรรมความคิด ทัศนะในการมองโลก ค่านิยม ความเชื่อ ระบบการศึกษา ระบบยุติธรรม ประเพณีไทย โครงสร้างสังคมและระบบการควบคุมสังคม เป็นต้น

2.         ข้อใดสะท้อนภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย

(1) ระบบการศึกษา     

(2) ระบบยุติธรรม        

(3) ความเชื่อ    

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.         ข้อใดคือความหมายของคำว่า สังคม

(1)       คนที่มาอยู่รวมกันมีความสัมพันธ์กันตามที่สังคมกำหนด

(2)       ประเทศไทยมีจำนวนเพศชายประมาณ 30 ล้านคนเศษ

(3)       กลุ่มคนที่มาอยู่รวมกัน            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 12, (คำบรรยาย) สังคม หมายถึง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่มาอยู่รวมกันและมีความสัมพันธ์กัน โดยที่รูปแบบความสัมพันธ์นั้นย่อมเป็นไปตามแบบแผนหรือวัฒนธรรมที่สังคมกำหนด เพราะคนในสังคมใดย่อมต้องไต้รับการถ่ายทอด อบรมขัดเกลา ให้ต้องปฏิบัติตามแบบแผน ของสังคมนั้น

4.         สังคมไทยแตกต่างจากสังคมอื่นในด้านใด

(1) วัฒนธรรมการดำเนินชีวิต  (2) ลักษณะอาชีพ

(3) การศึกษา  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 1390, (คำบรรยาย) สังคมแต่ละแห่งจะมีวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตของตนเองซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ความแตกต่างระหว่างสังคมหนึ่งกับสังคมอื่น ๆ ดังที่พัทยา สายหู ได้กล่าวว่า วัฒนธรรมเป็นตราประจำสังคม คือ เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกให้รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นสมาชิกของ กลุ่มเดียวกันหรือต่างกลุ่มกัน

5.         สังคมเมืองแตกต่างจากสังคมชนบทในด้านใด

(1) มีคนไม่มาก            (2) มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคมสูง

(3) เจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 4-6, (คำบรรยาย) ลักษณะสังคมเมืองและสังคมชนบทมีความแตกต่างกัน ดังนี้

1.         สังคมเมืองมีขนาดใหญ่ มืคนมาก ส่วนสังคมชนบทมีขนาดเล็ก มีคนน้อย

2.         สังคมเมืองมีความสัมพันธ์แบบเป็นทางการ (ทุติยภูมิ) ส่วนสังคมชนบทมีความสัมพันธ์

แบบไม่เป็นทางการ (ปฐมภูมิ)

3. สังคมเมืองมีความหลากหลายในทุกด้าน ส่วนสังคมชนบท มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคมสูง   4. สังคมเมืองมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนสังคมชนบทมีวิถีซีวิตพึ่งพิงธรรมชาติ ฯลฯ

6.         สังคมประเพณีและสังคมทันสมัย เป็นรูปแบบสังคมที่ใซ้เกณฑ์อะไรเป็นตัวกำหนด

(1) สิ่งแวดล้อม            (2) ระบบความสัมพันธ์ (3) วัฒนธรรม            (4) ระบบเศรษฐกิจ

ตอบ 3 หน้า 3 – 46 – 7 นักวิชาการแบ่งรูปแบบของสังคมตามตัวกำหนดที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ดังนี้

1.         แบ่งตามสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิต คือ สังคมชนบทกับสังคมเมือง

2.         แบ่งตามระบบความสัมพันธ์ คือ สังคมง่าย ๆ (สังคมพื้นบ้าน) กับสังคมซับซ้อน

3.         แบ่งตามวัฒนธรรม คือ สังคมดั้งเดิม (สังคมประเพณี) กับสังคมทันสมัย

4.         แบ่งตามเทคโนโลยีที่ใช้ หรือวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจของคน คือ สังคมเกษตรกรรม กับสังคมอุตสาหกรรม

7.         โครงสร้างทางสังคมคืออะไร

(1) คนที่มาอยู่รวมกัน  (2) ความสัมพันธ์ของคนที่มาอยู่รวมกัน

(3) กฎเกณฑ์ทางสังคม           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 8-9 โครงสร้างทางสังคม คือ ระบบเครือข่ายความสัมพันธ์ของคนที่มาอยู่รวมกันในสังคม ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่าง ๆ ที่มีฐานะและคุณค่าที่แตกต่างกัน เช่น ความสัมพันธ์ ระหว่างเครือญาติกลุ่มนายทุน-กรรมกรคนรวย-คนจนขุนนาง-ไพร่เด็ก-ผู้ใหญ่ ฯลฯ

8.         ข้อใดคือองค์ประกอบของโครงสร้างสังคม

(1) สถาบันต่าง ๆ        (2) กลุ่มคน      (3) สถานภาพและบทบาท      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 8-9 องค์ประกอบของโครงสร้างทางสังคม ได้แก่

1.         กลุ่มทางสังคม (Social Groups) ที่มีฐานะและคุณค่าแตกต่างกัน เช่น กลุ่มคนชาติพันธุ์ต่าง ๆ กลุ่มผู้ปกครอง กลุ่มประชาชน กลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มแรงงาน ฯลฯ

2.         สถาบันทางสังคม (Social Institution) ซึ่งสถาบันหลัก ๆ ได้แก่ ครอบครัว ศาสนา การศึกษา เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ฯลฯ

3.         สถานภาพและบทบาท (Status and Roles) คือ ตำแหน่งและหน้าที่ในกลุ่มสังคม

9.         ข้อใดคือลักษณะสำคัญของวัฒนธรรม

(1) เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ          (2) เกิดจากการเรียนรู้

(3) เกิดจากสัญชาตญาณ       (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 10-11, (คำบรรยาย) ลักษณะสำคัญซองวัฒนธรรม ได้แก่

1.         เป็นผลผลิตจากระบบความคิดของมนุษย์ หรือเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์

2.         มีองค์ประกอบซองความคิด โลกทัศน์ ค่านิยมทางสังคม ซึ่งเป็นตัวกำหนดมาตรฐานของพฤติกรรม

3.         เป็นแบบแผนของพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือเกิดจากการกระทำโต้ตอบกัน ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

4.         เป็นมรดกทางสังคมที่ส่งต่อจากชนรุ่นหนี่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่ง

5.         มีพื้นฐานมาจากการใช้สัญลักษณ์ คือ ภาษา ซึ่งเป็นเครืองมือที่มนุษย์ใช้สื่อสาร และส่งทอดความรู้ต่าง ๆ

6.         มีลักษณะเป็นสากล ใช้ในระดับกว้าง หรืออาจใช้ในระดับแคบเฉพาะกลุ่มคนก็ได้ ฯลฯ

10.       ข้อใดทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาองค์ความรู้ได้อย่างรวดเร็ว

(1) การอยู่รวมกันเป็นสังคมเมือง        (2) ภาษาที่เป็นระบบสัญลักษณ์

(3) การเคารพระบบอาวุโส      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 311 – 12, (คำบรรยาย) การที่มนุษย์มีความสามารถในการสร้างและใช้ระบบสัญลักษณ์เช่น ภาษาพูดและภาษาเขียน รวมทั้งสื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ นั้น ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อสัมพันธ์กัน อย่างราบรื่น ตลอดจนสามารถสะสม พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีจาก ชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่งได้ง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นระบบสัญลักษณ์จึงถือเป็นพื้นฐานของ วัฒนธรรมและเป็นเครื่องมือช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่สังคม โดยระบบสัญลักษณ์ที่ใช้ต่างกัน ก็จะทำให้การใช้ภาษาแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม

11.       ศาสตร์สาขาใดจะทำให้เราเข้าใจภาพรวมของสังคมไทยได้ดีฃึ้น

(1) ภูมิศาสตร์  

(2) วิทยาศาสตร์          

(3) สหวิทยาการ          

(4) มนุษยศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 14, (คำบรรยาย) การศึกษาเพื่อให้เข้าใจภาพรวมของสังคมไทยได้ดีฃี้นนั้น จะต้องใช้ความรู้จากหลายสาขาประกอบกันที่เรียกว่า สหวิทยาการ” ซึ่งได้แก่

1.         ภูมิศาสตร์ เป็นการศึกษาที่ตั้ง ขอบเขต ภูมิอากาศ และลักษณะภูมิประเทศ

2.         ประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาความเป็นมาของชนชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

3.         เศรษฐศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากร การผลิต และการบริโภค

4.         สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ศึกษาความเป็นมา ตลอดจนโครงสร้างของสังคม และวัฒนธรรม ฯลฯ

12.       ข้อใดแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับวัฒนธรรม

(1) สังคมสร้างวัฒนธรรม        

(2) วัฒนธรรมเป็นแบบแผนพฤติกรรมของสังคม

(3) วัฒนธรรมช่วยควบคุมสังคม         

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1214 สังคมกับวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและไม่สามารถแยกออกจาก กันได้ เพราะเมื่อมนุษย์รวมตัวกันเป็นกลุ่มสังคมก็จะต้องสร้างวัฒนธรรมขึ้นเป็นแบบแผน พฤติกรรมของสังคม เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดหรือควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็นไป ตามกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกัน สังคมจึงจะดำรงอยู่ได้โดยมั่นคงราบรื่น ซึ่งความสัมพันธ์อันนี้ เปรียบเสมือนกายกับใจ หรือเหรียญ 2 ด้าน ที่จะขาดซึ่งกันและกันไม่ได้

13.       สิ่งใดบ่งบอกความเป็นพวกเดียวกัน

(1) วัฒนธรรมการกิน   (2) ภาษาที่เป็นระบบสัญลักษณ์

(3) พันธุกรรม  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

14.       สังคมไทยมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในด้านใด

(1) เศรษฐกิจ   (2) ชาติพันธุ์    (3) วัฒนธรรม  (4) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 11 – 1214 – 15, (คำบรรยาย) สังคมไทยไม่ได้มีลักษณะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในด้านกายภาพของสิ่งแวดล้อมและชาติพันธุ์ของคน เนื่องจากสังคมไทยประกอบไปด้วย กลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย จึงทำให้คนไทยมีระบบความคิด ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความเชื่อ ที่แตกต่างกัน แต่เมื่อต้องมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคมก็จะต้องอาศัยวัฒนธรรมหลัก หรือ วัฒนธรรมหลวง มาหล่อหลอมให้มีพฤติกรรมและแบบแผนการดำเน้นชีวิตที่คล้ายคลึงเป็นไป ในรูปแบบเดียวกัน หรือมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคม

15.       การศึกษาสังคมไทยในมิติทางมานุษยวิทยา เกิดขึ้นเมื่อไร

(1) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   (2) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

(3) หลัง 14 ตุลาคม 2516       (4) ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

ตอบ 2 หน้า 16 – 18 การศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทยมีพัฒนาการแบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้

1.         ยุคแรกช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 การศึกษาเป็นแบบพรรณนาหรือบรรยายแบบแผน การดำเนินชีวิตของคนไทย ซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้าจากบันทึกและประสบการณ์ของพ่อค้า ข้าราชการ มิชชันนารี ตลอดจนทูตประเทศต่าง ๆ

2.         ยุคภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีการศึกษาสังคมไทยในมิติมานุษยวิทยา โดยจะอยู่ ภายใต้กรอบของแนวคิดทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่เป็นหลัก

3.         ยุคภายหลังการเปลี่ยนแปลงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 การศึกษาได้ฉีกแนวออกมาสนใจ ความขัดแย้ง ความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม

16.       ชนชาติใดเรียกดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า สุวรรณภูมิ

(1) อังกฤษ      (2) อินเดีย       (3) โปรตุเกส    (4) เปอร์เซีย

ตอบ 2 หน้า 1826 – 27 สุวรรณภูมิ หมายถึง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด หรืออุษาคเนย์ ซึ่งประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา (เขมร) มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ โดยคำว่า สุวรรณภูมิ มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต 2 คำ คือ สุวรรณ + ภูมิ แปลว่า แผ่นดินทอง หรือแหลมทอง ซึ่งเป็นคำที่ชาวอินเดียโบราณที่เข้ามาติดต่อแลกเปลี่ยน สิ่งของเป็นผู้ใช้เรียก เพราะดินแดนแถบนี้มีความมั่งคั่งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ

17.       ข้อใดคือ สุวรรณภูมิ

(1) ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์       (2) ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(3) เอเชียใต้     (4) เอเชียตะวันออก

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

18.       นักวิชาการท่านใดเชื่อว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน

(1) สุด แสงวิเชียร        (2) สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ

(3) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ           (4) สุจิตต์ วงษ์เทศ

ตอบ 3 หน้า 21 – 22, (คำบรรยาย) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนอว่า ถิ่นเดิมของชนชาติไทย อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนแถบมณฑลยูนนาน กุ้ยโจ กวางสี และเสฉวน ชึ่งสอดคล้องกับ ลาคูเพอรี่ ที่ได้เสนอว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่แถบกวางตุ้ง กวางไส กุยจิ๋ว เสฉวน และยูนนาน ตลอดจนนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่ชื่อ วัยอาจ (Wyatt) และนักภาษาศาสตร์อีกหลายท่าน เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ และปรีดี พนมยงค์ ก็เห็นในทำนองเดียวกัน โดยอยู่บนพื้นฐานความเชื่อ ที่ว่าคนแถบนี้มีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับไทย

19.       คนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนมีหลักฐานด้านใดสนับนุน

(1) ชาติพันธุ์เดียวกัน   (2) วัฒนธรรมและภาษาพูด

(3) ลักษณะอาชีพเกษตรกรรม            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

20.       คนไทยที่เราศึกษาหมายถึงใคร

(1) คนที่มีสัญาติไทยตามกฎหมาย   (2) คนที่พูดภาษาไทย

(3) คนผิวเหลืองในเอเชีย         (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 14, (คำบรรยาย) คนไทยในความหมายที่เราศึกษาในวิชานี้ หมายถึง สังคมไทย หรือกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่ถือลัญชาติไทยตามกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ย่อย ๆ มากมาย

21.       นักวิชาการท่านใดเชื่อว่า คนไทยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ดั้งเดิม

(1) จิตร ภูมิศักดิ์          

(2) สุด แสงวิเชียร        

(3) สมศักดิ์ พันธุสมบุญ          

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 1722, (คำบรรยาย) บายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้เปรียบเทียบโครงกะโหลกของคนไทยปัจจุบันกับกะโหลกของมนุษย์ยุคหินใหม่ซึ่งพบที่ตำบลบ้านเก่า จ.กาญจนบุรี พบว่า โครงกะโหลกทั้งคู่ไม่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจนพอที่จะแบ่งเป็นคนละเชื้อชาติได้ เขาจึงได้ข้อสรุปและเขียนหนังสือชื่อว่า คนไทยอยู่ที่นี้” ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับ สุจิตต์ วงษ์เทศ และศรีศักร วัลลิโภดม ที่ใช้หลักฐานด้านโบราณคดีก่อนสมัยประวัติศาสตร์ มาแสดงพัฒนาการของมนุษย์ สังคม และวัฒนธรรม โดยทั้งหมดสรุปว่า คนไทยไม่ได้อพยพ มาจากไหน แต่เป็นชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่ สุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาตั้งแต่ตั้งเดิม และปัจจุบันแนวคิดนี้ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น

22.       ยีนของคนไทยคล้ายคลึงกับยีนของชาวอินโดนีเซียมากกว่าจีน” เป็นผลการศึกษาของนักวิชาการท่านใด

(1) สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ          

(2) ประเวศ วะสี          

(3) เสมอชัย พูลสุวรรณ 

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ4 หน้า 22 – 23, (คำบรรยาย) นายแพทย์สมศักดิ พันธุสมบุญ เสนอว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางใต้แถบคาบสมุทรมลายูและชวา (อาณาจักรศรีวิชัย) เนื่องจากเมื่อเขาได้เปรียบเทียบความถี่ของยีนระหว่างคนไทยกับคนจีนและคนอินโดนีเซียแล้ว พบว่ายีนของคนไทยคล้ายคลึงกับยีน ของคนอินโดนีเซียมากกว่าของคนจีน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของนายแพทย์ประเวศ วะสี และเสมอชัย พูลสุวรรณ ที่ยืนยันว่าคนไทยไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากจีน โดยทั้งหมดใช้หลักฐาน การทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรมด้วยวิธีการตรวจสอบยีน (DNA) ในเม็ดเลือด เป็นเกณฑ์ในการกำหนดเชื้อชาติ

23.       ประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเชื้อสายอะไร

(1) มองโกลอยด์          (2) ออสโตรลอยด์        (3) ออสโตรนีเชียน       (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 1923 ประชากรทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเชื้อสายมองโกลอยด์ (Mongoloid) หรือผิวเหลืองเหมือนกัน แต่อาจจำแนกได้เป็นหลายชาติพันธุ์ตามสภาพภูมิศาสตร์และเวลา

24.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะสังคมไทย

(1) ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย  (2) ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม

(3) ความเชื่อไสยศาสตร์          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 15, (คำบรรยาย) สังคมไทยมีลักษณะ ดังนี้

1.         สังคมไทยมีลักษณะ วิวิธพันธุ์” คือ มีความแตกต่างหลากหลายในด้านชาติพันธุ์

2.         สังคมไทยในแต่ละภูมิภาคและแต่ละท้องถิ่นมีโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมย่อยของตนเองแตกต่างกันไป ทำให้มีระบบความคิด ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมที่ต่างกัน

3.         สังคมไทยมีความแตกต่างด้านกายภาพของสิ่งแวดล้อมดินฟ้าอากาศหรือสภาพภูมิศาสตร์ ทำให้มีสักษณะพันธุ์พืชและสัตว์ การตั้งถิ่นฐาน การประกอบอาชีพ ฯลฯ ที่ต่างกัน

25.       ตระกูลภาษาใดมีคนพูดมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ออสโตรเอเชียติก   (2) ไท-คะได    (3) สิโน-ทิเบตัน           (4) ทิเบโต-เบอร์แมน

ตอบ 3 หน้า 24 – 25 ภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบ่งออกเป็น 5 ตระกูล คือ

1.         ออสโตรนีเชียน (Austronesian) หรือมาลาโย-โปลีนีเชียน ได้แก่ ภาษาของกลุ่มคนที่ พูดภาษามาเลย์ ซึ่งอาศัยอยู่ตามชายทะเลและเกาะแก่งต่าง ๆ

2.         ออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) หรือมอญ-เขมร ได้แก่ ภาษาของพวกซาไก มอญ เขมร กุย ส่วย ฯลฯ ซึ่งเป็นตระกูลภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเชื่อว่าเป็นภาษาของกลุ่มชนดั้งเดิมในพื้นที่แถบนี้

3.         ไท-คะได (Tai-Kadai) หรือไท-ลาว ได้แก่ ภาษาของไทย ลาว (โซ่ง ดำ แดง ขาว) กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ตามลุ่มแม่นํ้าโขง สาละวิน ดำ แดง ขาว และเจ้าพระยา

4.         สิโน-ทิเบตัน (Sino-Tibetan) ได้แก่ ภาษาของม้ง เย้า จีนฮ่อ ขะฉิ่น ฯลฯ ซึ่งเป็นตระกูล ภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

5.         ทิเบโต-เบอร์แมน (Tibeto-Burman) ได้แก่ ภาษาของพม่า อีก้อ มูเซอ เกรียง ลีซอ ลัวะ

26.       ข้อใดคือตระกูลภาษาของกลุ่มชนดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ออสโตรเอเชียดิก   (2) ไท-คะได    (3) สิโน-ทิเบตัน           (4) ทิเบโต-เบอร์แมน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

27.       เพราะเหตุใดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงถูกเรียกว่า อินโดจีน

(1) เคยถูกครอบงำโดยจีนและอินเดีย (2) อยู่ติดกับจีนและอินเดีย

(3) วัฒนธรรมเป็นแบบจีนและอินเดีย (4) ประชากรมีชาติพันธุ์จีนและอินเดีย

ตอบ 3 หน้า 26, (คำบรรยาย) ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อุษาคเนย์หรือสุวรรณภูมิ) นั้น แต่เดิมชาวตะวันตกจะเรียกว่า อินโดจีน” เนื่องจากอยู่ตรงกลางระหว่างอินเดียและจีน นอกจากนี้ยังมีอคติว่าพื้นที่แถบนี้เป็นสังคมป่าเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม ดังนั้นจึงถูกครอบงำ โดยวัฒนธรรมอินเดียและวัฒนธรรมจีน

28.       อะไรเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้ของคนในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) การนับถือผี            (2) การยกย่องสตรี

(3) การเคารพนับถือผีวีรชน     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 27, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมตั้งเดิมของคนในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมี เอกลักษณ์ฃองตนเอง ซึ่งสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ คือ

1.         การเคารพนับถือผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ และผีวีรชน

2.         การยกย่องสตรี          3. การเพาะปลูก

29.       เพราะเหตุใดกลุ่มคนกลุ่มบนจึงพัฒนาล่าช้ากว่าคนกลุ่ล่าง

(1) เพราะทำมาหากินลำบาก  (2) อยู่ห่างทะเล การคมนาคมลำบาก

(3) ส่วนใหญ่เป็นชาวเขา         (4) เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคม

ตอบ 2 หน้า 27, (คำบรรยาย) พื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากมองโดยใช้ทะเลเป็นเกณฑ์ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

1.         กลุ่มบน ได้แก่ พื้นที่ทางตอนใต้ของจีน ตอนเหนือของอินเดีย พม่า ลาว เวียดนาม กลุ่มนี้พัฒนาการช้าเพราะอยู่ห่างไกลทะเล การติดต่อคมนาคมจึงลำบาก

2.         กลุ่มล่าง ได้แก่ บริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน มาเลเซีย และหมู่เกาะทางตอนใต้ เป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการของชุมชนขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการติดต่อ แลกเปลี่ยนสังสรรค์กับชาวต่างชาติหรือคนต่างกลุ่มได้สะดวก เพราะอยู่ติดทะเล

30.       จากหลักฐานด้านโบราณคดีระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมนุษย์อาศัยอยู่นานกว่า 7 แสนปีเพราะอะไร

(1) ความหลากหลายทางชีวภาพ        (2) อุดมสมบูรณ์

(3) ดินฟ้าอากาศหลากหลาย  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 27 – 28 จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ระบุว่า สุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออุษาคเนย์ มีมนุษย์อาศัยอยู่มานานกว่า 7 แสบปี เนื่องจาก

1.         เป็นพื้นที่ที่มีสภาพดินฟ้าอากาศหลากหลาย

2.         มีความหลากหลายทางชีวภาพ และอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ

3.         มีพื้นที่กว้างขวาง แต่สัดส่วนของคนต่อพื้นที่ตํ่ามาก

31.       พัฒนาการของสังคมและวัฒนธรรมไทยเริ่มมีขึ้นเมื่อใด

(1) คนเริ่มเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์      

(2) ตั้งแต่กลุ่มคนโยกย้ายร่อนเร่หาอาหารเพื่อยังชีพ

(3) มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี           

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 28 พัฒนาการของสังคมและวัฒนธรรมไทยเริ่มมีขึ้นเมื่อคนเริ่มทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ จึงมีการตั้งถิ่นฐานถาวรขึ้น ทำให้คนไม่ต้องเดินทางโยกย้ายร่อนเร่หาอาหารเพื่อยังชีพอีกต่อไป

32.       ต้นเค้าของอาณาจักรสุโขทัยคือเมืองใด

(1) ศรีสัชนาลัย            

(2) พิษณุโลก   

(3) อู่ทอง         

(4) กำแพงเพชร

ตอบ 1 หน้า 31 ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17 ได้เกิดแคว้นศรีสัชนาลัยสุโขทัยขึ้น ซึ่งเป็นต้นเค้าของ อาณาจักรสุโขทัย โดยเริ่มจากการเป็นชุมชนถลุงเหล็กจนขยายตัวเป็นศูนย์กลางด้านการค้า และมีพลเมืองส่วนใหญ่ย้ายมาจาก 2 ฝั่งโขง จึงทำสัมฤทธิ้ (สำริด) เก่งเนื่องจากได้สะสมความรู้ และประสบการณ์มาจากยุคเหล็ก และเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมบ้านเชียงด้วย

33.       ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

(1) ผู้อาวุโส      

(2) เพศชาย     

(3) เพศหญิง    

(4) ผู้มีลักษณะพิเศษ

ตอบ 3 หน้า 28 ชุมชนหมู่บ้านยุคแรกเมื่อราว 5,000 – 6,000 ปีก่อนประวัติศาสตร์ ได้เริ่มเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และตั้งถิ่นฐานถาวรขึ้น ทำให้คนไม่ต้องร่อนเร่หาอาหารอีกต่อไป โดยชุมชนหมู่บ้าน ยุคแรกมักเกิดขึ้นตามลุ่มนํ้าที่เพาะปลูกได้ และเชื่อกันว่าหัวหน้าหมู่บ้านในยุคแรก ๆ เป็นผู้หญิง ซึ่งทำหน้าที่ติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

34.       โลหะสัมฤทธิ์ประกอบด้วยอะไร

(1) เหล็ก          (2) เหล็กกับทองแดง   (3) ดีบุกกับทองแดง    (4) ตะกั่วกับเหล็ก

ตอบ 3 หน้า 28 – 29 ราว 4,000 ปีที่ผ่านมา คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถถลุงโลหะ แล้วเอามาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน โดยโลหะที่สำคัญ ได้แก่

1.         โลหะสัมฤทธิ์ (สำริด) คือ โลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก หรือตะกั่ว

2.         เหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ

35.       เพราะเหตุใดชุมชนภาคกลางจึงเติบโตกลายเป็นเมืองขนาดเล็กในช่วงแรก

(1) เพราะมีแร่ธาตุที่สำคัญ      (2) เพราะทำการเกษตร

(3) เพราะมีผู้นำที่ดี      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 29 เมื่อประมาณ 2,000 ปี ชุมชนหมู่บ้านในภาคกลางแถบลุ่มแม่นํ้าท่าจีนและลุ่มเจ้าพระยา พัฒนาขึ้นเป็นเมืองขนาดเล็ก โดยประกอบอาชีพด้านการเกษตร เพราะมีทรัพยากรน้อยกว่า จึงพัฒนาช้ากว่าแอ่งโคราซ แต่เนื่องจากรู้จักติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายทางทะเลกับชุมชนภายนอก จึงทำให้เมืองเล็ก ๆ พัฒนาเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าดินแดนตอนใน

36.       ศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์เข้ามาในภาคกลางครั้งแรกที่เมืองใด

(1) สุพรรณภูมิ (2) อู่ทอง         (3) ลพบุรี         (4) อยุธยา

ตอบ 2 หน้า 29 – 30 หลักฐานของอินเดียระบุว่า เมืองอู่ทองซึ่งเป็นชุมชนในภาคกลางแถบลุ่มนํ้าท่าจีน และแม่กลอง มีความเก่าแก่เกินกว่า 1,700 ปี และมีการรับเอาวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาใช้กับ วัฒนธรรมท้องถิ่น ทำให้เกิดการนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู (ศาสนาพราหมณ์) และเริ่มนำ ระบบกษัตริย์มาใช้เป็นครั้งแรก

37.       ในสมัยกรุงศรีอยุธยาใช้นโยบายอะไรในการส่งเสริมการเพิ่มประชากร

(1) ส่งเสริมการมีบุตรมาก       (2) ส่งเสริมการมีภรรยาหลายคน

(3) ส่งเสริมการสมรสกับคนต่างกลุ่ม  (4) ส่งเสริมการอพยพเข้าของสตรี

ตอบ 2 หน้า 31 – 32, (คำบรรยาย) ในสมัยกรุงศรีอยุธยาประชากรมีจำนวนลดลงอย่างมากเนื่องจากภาวะสงคราม ดังนั้นเมื่อพระมหาธรรมราชาขึ้นครองราชย์ภายหลังเสียกรุงครั้งที่ 1 จึงทรงใช้นโยบายส่งเสริมการเพิ่มประชากร คือ ส่งเสริมให้ผู้ชายมีภรรยาได้หลายคน เพื่อที่จะมีบุตรได้มากกว่าการมีภรรยาเพียงคนเดียว นอกจากนี้ยังมีการเกณฑ์คนลงมาจากเมืองพิษณุโลก ทำให้พลเมืองอยุธยารุ่นใหม่เป็นพวกคนเหนือด้วย

38.       ประชากรไทยเพิ่มอย่างมากในยุคสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 3  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 7  (4) รัชกาลที่ 9

ตอบ 4 หน้า 32, (คำบรรยาย) ในยุครัตนโกสินทร์ตอบปลาย โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็น รัชกาลปัจจุบัน ถือเป็นช่วงที่ประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มมากที่สุด เพราะเป็นระยะที่ประเทศไทย มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนอายุยืนขึ้น ในขณะที่คนเกิดเท่าเดิมแต่คนตายน้อยลง

39.       กลุ่มคนกลุ่มใดมีมากที่สุดในสังคมไทย

(1) ชาติพันธุ์ไทย-ลาว  (2) ไทย-มาเลย์

(3) มอญ เขมร (4) เกรียง ส่วย กุย

ตอบ 1 หน้า 33 – 34 โครงสร้างของสังคมไทย ประกอบด้วย กลุ่มสังคมย่อย ๆ หลายกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่

1.         ไทย-ลาว เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีมากที่สุดในสังคมไทย

2.         ไทย-มาเลย์ มีอยู่มากที่สุดในภาคใต้ของไทย

3.         เขมร ส่วย กุย มอญ ส่วนใหญ่อยู่กระจัดกระจายแถบภาคอีสานของไทย

4.         เกรียง มีมากที่สุดทางภาคเหนือของไทย และอยู่กระจัดกระจายแถวจังหวัดราชบุรีและกาญจนบุรี

5.         ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางเหนือของไทย เช่น กะเหรี่ยง อาข่า ลื้อ มูเซอ

6.         ชาวป่า มีอยู่ไม่มากในปัจจุบัน เช่น ผีตองเหลือง เซมัว ซาไก

7.         ชาวน้ำ เป็นชนพื้นเมืองซึ่งส่วนใหญ่อยู่ตามริ่มฝั่งทะเลทางภาคใต้

8.         ชนต่างด้าว ส่วนใหญ่จะอยู่ตามเขตเมือง เช่น คนจีน อินเดีย เวียดนาม และชาวตะวันตก ประเทศต่าง ๆ

40.       ระบบความสัมพันธ์ของสังคมไทยที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้คืออะไร

(1)       ระบบอุปถัมภ์  (2) ระบบความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกัน

(3) ระบบประชาธิปไตย          (4) ระบบขุนนาง

ตอบ 1 หน้า 34 – 35, (คำบรรยาย) ความสัมพันธ์ทางสังคมของไทยในปัจจุบันที่ถือเป็นมรดกสืบทอด มาจากระบบความสัมพันธุ์ในอดีต คือ ระบบอุปถัมภ์หรือระบบเครือญาติ (Patron-client Relationship) ในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างคนที่มีฐานะต่างกัน เช่น ผู้ใหญ่กับผู้น้อย หรือนายกับบ่าวที่ต่างยอมรับต่อกัน มีหน้าที่ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยต่อกัน และจะขาดเสีย ซึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปไม่ได้

41.       ข้อใดคือลักษณะของสังคมไทยปัจจุบัน

(1) เท่าเทียมกัน           

(2) มีความแตกต่างกันตามฐานะที่แตกต่าง

(3) ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน            

(4) ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ตอบ 2 หน้า 35, (คำบรรยาย) สังคมไทยบัจจุบันเป็นสังคมที่มีการแบ่งแยกของสูงตํ่า เช่นผ้านุ่งผู้หญิง (ผ้าซิ่น) ถือว่าเป็นของต่ำ แต่ผ้าขาวม้าผู้ชายถือว่าเป็นของสูงเท้าถือเป็นของตํ่า แต่หัวถือเป็นของสูง ฯลฯ นอกจากนั้นสังคมไทยยังมีการแบ่งแยกความสูงตํ่าด้านอายุและเพศ เช่น ผู้ใหญ่-ผู้น้อยเด็ก-ผู้อาวุโส และเพศหญิง-เพศชาย ซึ่งมีฐานะและคุณค่าทางสังคม ที่แตกต่างหรือไม่เท่ากัน

42.       โครงสร้างของสังคมไทย ปัจจุบันถูกกำหนดโดยอะไร

(1) อาชีพ         

(2) ตำแหน่งหน้าที่การงาน      

(3) ฐานะทางสังคม     

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 35 โครงสร้างของสังคมไทยปัจจุบันถูกกำหนดโดยใช้ลักษณะอาชีพ ตำแหน่งหน้าที่การงาน การพึ่งพาอาศัย และฐานะทางสังคม ทำให้โครงสร้างของสังคมไทยในปัจจุบันนั้นมีการแบ่งกลุ่ม ทางสังคมออกเป็น 3 ชนชั้น ได้แก่   1. ชนชั้นสูง      2. ชนชั้นกลาง 3. ชนชั้นตำj

43.       ข้อใดคือหน้าที่ของครอบครัวไทยปัจจุบัน

(1) ให้กำเนิดสมาชิกใหม่         

(2) อบรมสั่งสอนอาชีพ

(3) ผลิตอาหารและแจกแจงผลผลิต   

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 36 – 37 หน้าที่ของครอบครัวไทยปัจจุบัน มีดังนี้

1.         ให้กำเนิดสมาชิกใหม่   2. ให้การศึกษาอบรม

3.         ให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูก  4. ให้ความมั่นคงปลอดภัยแก่สมาชิกในครอบครัว

44.       การนับญาติของครอบครัวไทยปัจจุบันเป็นแบบใด

(1) นับญาติทั้ง 2 ฝ่าย (2) นับญาติทางพ่อ

(3) นับญาติทางแม่      (4) ไม่มีกฎเกณฑ์กติกาชัดเจน

ตอบ 1 หน้า 37 สังคมไทยจะมีการนับญาติทั้ง 2 ฝ่าย คือ นับญาติทั้งทางฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา แต่การสืบสกุลจะนิยมสืบทางฝ่ายบิดา

45.       เพราะเหตุใดครอบครัวไทยในอดีตจึงมีขนาดใหญ่

(1) เป็นสังคมเกษตร    (2) ต้องการแรงงาน     (3) ไม่รู้จักวิธีควบคุมการเกิด   (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 35 – 36, (คำบรรยาย) สังคมไทยในอดีตเป็นสังคมเกษตรกรรม ซึ่งต้องการแรงงาน จำนวนมากมาช่วยด้านการเกษตร ประกอบกับในสมัยนั้นยังไม่มีการคุมกำเนิด จึงทำให้ ครอบครัวไทยในอดีตมีขนาดใหญ่ เป็นครอบครัวขยาย ซึ่งประกอบด้วยญาติพี่น้องหลายช่วง วัยอายุอยู่รวมภายใต้หลังคาเดียวกัน หรือตั้งบ้านเรือนอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันเป็นหมู่บ้าน

46.       ข้อใดคือรูปแบบการสมรสของครอบครัวไทยปัจจุบัน

(1) สามีภรรยาเดียว    (2) สามีภรรยาหลายคน

(3) สามี 1 คน มีภรรยาได้หลายคน     (4) ภรรยา 1 คน มีสามีได้หลายคน

ตอบ 1 หน้า 36, (คำบรรยาย) รูปแบบการสมรสของครอบครัวไทยในอดีต คือ สามี 1 คน มีภรรยาได้ หลายคน แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศมากขึ้น จึงทำให้รูปแบบการสมรสของครอบครัวไทยปัจจุบันเปลี่ยนไปโดยมีการออกกฎหมายให้การสมรส ต้องเป็นแบบสามีภรรยาเดียว แต่ในทางปฏิบัติแล้วชายไทยส่วนใหญ่ก็ยังนิยมมีภรรยามากกว่า 1 คน จึงทำให้สังคมไทยมีปัญหา

47.       ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกในสังคมไทยในอดีต

(1) มีความใกล้ชิด       (2) ต่างคนต่างอยู่

(3) พ่อแม่เข้มงวดระเบียบวินัยกับลูก  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 36 – 37 ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกในสังคมไทยในอดีต จะมีความใกล้ชิดสนิทสนม กันมากเกือบทุกเรื่อง และลูกมักจะเป็นศูนย์กลางของครอบครัวที่ได้รับการดูแลเอาอกเอาใจ แต่ในปัจจุบันครอบครัวใกล้ชิดสนิทสนมและให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกน้อยลง เพราะพ่อแม่ ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทำให้มีเวลาอยู่กับลูกไม่มากนัก

48.       โครงสร้างของสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในสมัยใด

(1) กรุงศรีอยุธยา        (2) กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

(3) สมัยรัชกาลที่ 7      (4) สมัยรัชกาลที่ 9

ตอบ 3 (คำบรรยาย) โครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรมไทยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 4 และมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดจากหน้ามือเป็นหลังมือในสมัยรัชกาลที่ 7 เนื่องจากเป็นยุคที่สังคมไทยเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกอย่างเต็มที่

49.       จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีความสำคัญอย่างไรต่อสังคมไทย

(1) เปลี่ยนคำว่าสยามเป็นประเทศไทย           (2) นำประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม

(3) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบพึ่งตนเอง (4) พัฒนาการปกครองแบบประชาธิปไตย

ตอบ 1 หน้า 20 คำว่า สยาม” นั้น นายปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนไว้ว่า มีการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แต่ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2482 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ประกาศรัฐนิยมให้ใช้ชื่อ ประเทศไทย” แทน โดยให้ใช้คำว่า ไทย” แทนคำว่า สยาม” นับแต่นั้นจะต้องเรียกคนไทยว่าไทย และเรียกประเทศว่าประเทศไทย

50.       แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นโดยความช่วยเหลือของประเทศใด

(1) ญี่ปุ่น         (2) สหรัฐอเมริกา         (3) รัสเซีย        (4) จีน

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงของการตื่นตัวในการพัฒนาตามแบบตะวันตก ประเทศไทยจึงมีการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยได้รับความช่วยเหลือทั้งทางด้านการเงินและวิชาการจากสหรัฐอเมริกา

51.       เศรษฐกิจของสังคมไทยในอดีต มีลักษณะอย่างไร

(1) ผลิตเพื่อบริโภค     

(2) ผลิตเพื่อแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่น

(3) ผลิตเพื่อการค้า      

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 37 – 38 ในอดีตก่อนติดต่อกับชาวตะวันตก หรือก่อนเปิดประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 ตามสนธิสัญญาบาวริ่งนั้น ระบบเศรษฐกิจของคนไทยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง นั่นคือ แต่ละครอบครัวจะผลิตของกินของใช้ขึ้นมาบริโภคเองภายในครอบครัว โดยมิได้มุ่งผลิต เพื่อการค้า แต่เมื่อมีผลผลิตเหลือก็อาจจะแลกเปลี่ยนกับชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงบ้าง

52.       เศรษฐกิจของสังคมไทยมีการเปิดประเทศค้าขายกับต่างชาติครั้งแรกในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 4  

(2)       รัชกาลที่ 5       

(3)       รัชกาลที่ 7       

(4)       รัชกาลที่ 9

ตอบ 1 หน้า 38, (คำบรรยาย) เศรษฐกิจของสังคมไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมากครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 4 เนื่องจากประเทศไทยได้ตกลงทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษ ทำให้ประเทศไทย ต้องมีการเปิดประเทศค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น ซึ่งนับเป็นก้าวย่างสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจ พอเพียงของไทยในอดีต เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมากครั้งแรกไปสู่การผลิตเพื่อขายในทางการค้า และมีการบริโภคสินค้าอื่น ๆ มากขึ้น

53.       เศรษฐกิจของสังคมไทยประสบปัญหาอย่างมากในปี พ.ศ. ใด

(1) พ.ศ. 2490 (2)       พ.ศ. 2504       (3)       พ.ศ. 2540       (4)       พ.ศ. 2547

ตอบ 3 หน้า 39 เศรษฐกิจของสังคมไทยประสบปัญหาอย่างมากตามภาวะเศรษฐกิจโลกในปี พ.ศ. 2540 ทำให้ประชาชนยากจนลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งตัว แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจของไทยก็ได้ฟื้นตัวขึ้น จากการบริหารของผู้นำประเทศ

54.       ข้อใดคือหน้าที่ของสถาบันการศึกษา

(1) ถ่ายทอดวัฒนธรรม            (2)       พัฒนาบุคลิกภาพ       (3)ฝึกฝีมือแรงงาน       (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 39 หน้าที่ของสถาบันการศึกษา ได้แก่

1.         ถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยการอบรมขัดเกลาสมาชิกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้รู้และ ประพฤติปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม

2.         ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของคนให้มีความมั่นคง

3.         ช่วยฝึกหัดแรงงานเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

55.       สถานที่ใดเป็นสถาบันให้การศึกษาในอดีต

(1) วัด-วัง         (2) ตักศิลา      (3) วัดเท่านั้น   (4) วังเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 40 สถานที่ที่ให้การศึกษาของสังคมไทยในอดีตก็คือ วัดและวัง ต่อมาเมื่อมีการติดต่อกับต่างประเทศ สังคมไทยก็ได้รันเอาระบบการศึกษาในระบบโรงเรียนแบบสากลเข้ามา โดยมีการ ตั้งโรงเรียนขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 และขยายตัวเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งสถาบันของรัฐ และเอกชน แต่ระบบการศึกษาของไทยก็ยังคงเป็นระบบบังคับ

56.       สังคมไทยรับเอาระบบการศึกษาในระบบโรงเรียนสากลเข้ามาในสมัยรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 4  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

57.       ศิลปกรรมไทยตามวัดและวัง เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงให้เห็นอะไร

(1) ระบบอำนาจของไทย         (2) ลักษณะนิสัยประจำชาติ

(3) ลักษณะชาติ          (4) ประเพณีไทย

ตอบ 3 หน้า 65 – 66, (คำบรรยาย) เอกลักษณ์พื้นฐานของสังคมไทย ได้แก่

1.         ชาติ หมายถึง ลักษณะหรือเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทย โดยเฉพาะที่แสดงให้เห็นถึง ความเป็นคนไทย ความภาคภูมิใจและความสำนึกในความเป็นไทย รวมทั้งการมีวัฒนธรรมไทย เช่น ศิลปกรรมไทย พฤติกรรมความเป็นอยู่แบบอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทย อาหารไทย ภาษาไทย ธงชาติและการยืนตรงทำความเคารพเพลงชาติไทย ฯลฯ

2.         ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะอุปนิสัย ทัศนคติในการมองโลก และวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย

3.         พระมหากษัตรียั ซึ่งทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และทรงมีภาระหน้าที่ ในการขจัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรไทยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

4.         การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

58.       วัฒนธรรมไทยมีที่มาจากปัจจัยใด

(1) สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตรี       (2) ความเชื่อด้านศาสนาพุทธและพราหมณ์

(3) การติดต่อกับชนเผ่าอื่น      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 45 – 46 วัฒนธรรมไทยปัจจุบันมีที่มาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

1.         สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษเป็นผู้คิดสร้างขึ้นจากการปรับตัว ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตรอด

2.         ความเชื่อทางด้านศาสนาพุทธและพราหมณ์ซึ่งรับมาจากอินเดีย รวมทั้งความเชื่อดั้งเดิม

3.         การติดต่อสัมพันธ์และสังสรรค์กับกลุ่มชาติพันธุ์และชนต่างสังคมต่างวัฒนธรรมอื่น ๆ

59.       ข้อใดคือภูมิปัญญาไทย

(1) องค์ความรู้ในการทำนาปลูกข้าว   (2) องค์ความรู้ในการสร้างคอมพิวเตอร์

(3) องค์ความรู้ในการจัดการองค์กรแบบสากล           (4) องค์ความรู้ในการรักษาโรคแบบทันสมัย

ตอบ 1 หน้า 53 – 54 ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะสำคัญ สรุปได้ดังนี้

1.         เป็นความรู้ของสังคมไทยในเกือบทุกเรื่อง เช่น การทำมาหากินด้วยการทำนาปลูกข้าว การเกษตรแบบผสมผสาน ฯลฯ

2.         เป็นองค์ความรู้ที่คนไทยคิดสร้างขึ้นและได้แปรความรู้จากนามธรรมมาสู่รูปธรรม เช่น เรือหางยาว รำผีฟ้า เสื้อผ้าที่ทำจากฝ้าย ฯลฯ

3.         เป็นความรู้เฉพาะท้องถิ่นที่แตกต่างกัน และเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วแต่ละท้องถิ่นก็จะเป็น

เจ้าของชัดเจน

4.         เป็นความรู้ที่ได้จากชีวิตจริงโดยการลองผิดลองถูก

60.       ข้อใดถูกต้องที่สุด

(1)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากความเชื่อด้านไสยศาสตร์

(2)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ

(3)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากคนไทยคิดสร้างขึ้น

(4)       ภูมิปัญญาไทยเกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมไทยกับสากล

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

61.       ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะสำคัญอย่างไร

(1) มีเจ้าของชัดเจน     

(2) สากลพบได้ทั่วๆ ไป

(3) ไม่มีเจ้าของ เป็นของกองกลาง      

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

62.       อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน” จัดอยู่ในภูมิปัญญาใด

(1) เชิงเทคนิค  

(2) การจัดการ 

(3) การควบคุม            

(4) นามธรรม

ตอบ 4 หน้า 51 – 52, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้

1.         ระดับพื้นฐานเชิงเทคนิค ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรม เช่น ความรู้เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ฤดูกาลใดเหมาะแก่การเพาะปลูก การรู้ว่าพืชสัตว์อะไรกินได้ อะไรนำมาใช้สอยได้ ฯลฯ

2.         ระดับการจัดการระบบการผลิตและทรัพยากร เช่น การรู้จักคัดเลือกพันธุ์พืขและพื้นที่ ในการเพาะปลูก การดูคุณสมบัติของดิน การสร้างเหมืองฝาย ฯลฯ

3.         ระดับการควบคุมโดยใช้ความเชื่อและพิธีกรรม เช่น ความเชื่อเรื่องรุกขเทวดา รวมทั้ง จารีตประเพณีต่าง ๆ

4.         ระดับวิธีคิดหรือค่านิยม ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมและเป็นระดับสูงสุดของสังคม เช่น อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน ฯลฯ

63.       พิธีกรรม จารีต ประเพณี เป็นภูมิปัญญาไทยระดับใด

(1) เชิงเทคนิค  

(2) การจัดการ 

(3) การควบคุม            

(4) นามธรรม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

64.       ข้อใดคือตัวอย่างของภูมิปัญญาไทย

(1) รำผีฟ้า       (2) เกษตรแบบผสมผสาน       (3) เรือหางยาว            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

65.       ข้อใดคือความสำคัญของภูมิปัญญาไทย

(1) สร้างชาติเป็นปึกแผ่นมั่นคง           (2) สร้างความภาคภูมิใจ

(3) สร้างความสมดุลระหว่างสังคมกับธรรมชาติ         (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 53 ความสำคัญของภูมิปัญญาไทย มีดังนี้

1.         สร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง

2.         สร้างความภาคภูมิใจและคักดิ์ศรีเกียรติภูมิแก่คนไทย

3.         สามารถประยุกต์หลักธรรมคำสอนทางศาสนามาใช้กับวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม

4.         สร้างความสมดุลระหว่างคน สังคม และธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

5.         ช่วยปรับวิถีชีวิตคนให้เหมาะสมตามยุคสมัย

66.       การบวชป่าสืบชะตาขุนนํ้า เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นใด

(1)       ภาคเหนือ        (2) ภาคกลาง  (3) ภาคอีสาน  (4) ภาคใต้

ตอบ 1 หน้า 54 – 65 ภูมิปัญญาที่โดดเด่นของแต่ละภาค มีดังนี้

1.         ภาคเหนือ ได้แก่ ระบบเหมืองฝาย ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาด้านการจัดการนํ้าที่เด่นเฉพาะ ของชาวเหนือ ความรู้เรื่องสมุนไพร การสืบชะตาขุนนํ้า บวชต้นไม้ บวชป่า ฯลฯ

2.         ภาคอีสาน ได้แก่ ความเชื่อเรื่องดาวผีดาน การตั้งศาลปู่ตาในถิ่นฐานใหม่ ความสามารถในการจับและกินแมลง ระบบพ่อแก้ว-ลูกแก้ว การผูกเสี่ยว ฯลฯ

3.         ภาคกลาง ได้แก่ ภูมิปัญญาเกี่ยวกับวัฒนธรรมข้าวและพิธีกรรมที่สืบเนื่องจากตำนานข้าว เช่น พิธีแรกนา พิธีทำขวัญข้าว ฯลฯ

4.         ภาคใต้ ได้แก่ การปลูกบ้านมีตีน การผูกดอง ผูกเกลอ ความเชื่อเรื่องธาตุสี่ ฯลฯ

67.       วัฒนธรรมข้าว” เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นใด

(1) ภาคกลาง  (2) ภาคเหนือ   (3) ภาคอีสาน  (4) ภาคใต้

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ

68.       ปัจจัยใดของสังคมไทยส่งเสริมการเกิดภูมิปัญญาด้านศิลปะและนันทนาการ

(1) ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดิน (2) อุปนิสัยของคนไทย

(3) วัฒนธรรมไทย       (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ภูมิปีญญาด้านศิลปะและนันทนาการของไทย คือ ผลโดยตรงที่เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดินไทย เนื่องจากสังคมใดที่อยู่ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ มีความมั่งคั่ง สังคมนี้นก็จะมีเวลาที่จะสร้างสรรค์ศิลปะและการละเล่นต่าง ๆ ได้

69.       ข้อใดคือเอกลักษณ์ที่แสดงความเป็นชาติไทย

(1) ศิลปกรรมไทยตามวัดและวัง         (2) การพูดภาษาไทยอย่างชัดเจน

(3) อาหารไทย (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

70.       อะไรคือเอกลักษณ์พื้นฐานของไทย

(1) ชาติ            (2) ศาสนา       (3) พระมหากษัตริย์     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

71.       เอกลักษณ์ของศาสนาปรากฏอยู่ในรูปแบบใด

(1) ทัศนะในการมองโลก         

(2) วิถีการดำเนินชีวิต

(3) ลักษณะอุปนิสัย    

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

72.       อะไรคือภาระหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

(1) ขจัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร           

(2) เป็นผู้รักษาความยุติธรรม

(3) เป็นนักรบ  

(4) เป็นเจ้าชีวิต

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

73.       นักวิชาการท่านใดระบุว่าสังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม

(1) เอมบรี        

(2) เบเนดิกท์   

(3) วัยอาจ      

(4) มาลินอฟสกี้

ตอบ- 1 หน้า 69, (คำบรรยาย) เอมบรี (Embree) กล่าวว่า สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม(Loosely structured) นั่นคือ คนไทยขาดระเบียบวินัย มีลักษณะปัจเจกบุคคลนิยมสูง ชอบอยู่โดดเดี่ยว ไม่ชอบการรวมกลุ่ม และเป็นสังคมที่มีลักษณะยืดหยุ่นประนีประนอมสูง นอกจากนี้คนไทยยังรักอิสระ นิยมเลือกทำตามใจตนเอง ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ชอบผูกมัด ต่อหน้าที่ และพยายามหลีกเลี่ยงพันธะทางสังคม จึงมักมีปัญหาในการทำงานรวมกลุ่มกับผู้อืน

74.       อะไรคือลักษณะนิสัยคนไทยในทัศนะของศาสตราจารย์ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง

(1) นิยมความโอ่อ่า      (2) รักความเป็นอิสระ

(3) เคารพเชื่อฟังผู้มีอำนาจ      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 70, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง กล่าวว่า คนไทยมีนิสัยรักความเป็นไทย มีความเป็นปัจเจกบุคคลสูง มักน้อย สันโดษ ยํ้าการหาความสุขจากชีวิต นิยมความโอ่อ่า สุภาพอ่อนโยน รักอิสระแต่เคารพเชื่อฟังอำนาจ ดังนั้นคนไทยจึงมีนิสัยขัดแย้งในตัวเอง เพราะ คนไทยรักอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง แต่ถ้ารู้ว่าใครมีอำนาจก็จะกลัวและยอมเชื่อฟังเขา

75.       การรู้ว่าอะไรกินได้ อะไรนำมาใช้สอยได้ เป็นภูมิปัญญาไทยระดับใด

(1) นามธรรม   (2) รูปธรรม      (3)       สูงสุดของสถาบัน        (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

76.       คนไทยมิลักษณะนิสัยบางอย่างคล้ายกับ เนื่องมาจากอะไร

(1) การศึกษา  (2) อาชีพ         (3)       การอบรมเลี้ยงดู          (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 68, (คำบรรยาย) ลักษณะนิสัยประจำชาติ อาจหมายถึง ลักษณะนิสัยบางอย่างซึ่งบุคคลที่อยูในประเทศเดียวกันมักมีอยู่คล้าย ๆ กัน อันเป็นผลมาจากการเติบโตและได้รับ การอบรมเลี้ยงดูขัดเกลามาจากคนในสังคมที่มีประวิติศาสตร์ความเป็นมา มีความเชื่อทางศาสนา มีสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ (สภาพภูมิศาสตร์) สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจเหมือนกัน

77.       สังคมไทยมี โครงสร้างแบบหลวม” หมายความว่าอย่างไร

(1) คนไทยชอบรวมกลุ่มเสวนากัน       (2) คนไทยไม่ยืดมั่นกับกฎเกณฑ์ใด ๆ

(3) คนไทยไม่ชอบอยู่โดดเดี่ยว            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ

78.       ค่านิยมอะไรที่คนไทยยืดมั่น ทำให้คนไทยไม่ทำสิ่งที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ตน

(1) รักสนุก       (2) ประสานประโยชน์ (3) เล็งผลปฏิบัติ         (4) ขันติ ความอดกลั้น

ตอบ 3 หน้า 70, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ กล่าวว่า คนไทยเล็งผลการปฏิบัติ หมายถึง คนไทยจะชอบทำเฉพาะสิ่งที่เอื้อประโยชน์กับตนเท่านั้น โดยพิจารณาว่าถ้าสิ่งนั้นขัดกับ ประโยชน์ส่วนตนหรือเกิดความเสียหายก็จะไม่ปฏิบัติ แต่ถ้าเสริมประโยชน์กับตนก็จะปฏิบัติ

79.       ข้อใดคือตัวอย่างของวิกฤตทางวัฒนธรรมในสังคมไทย

(1) ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์      (2) การโกงเงินบริจาคสาธารณะ

(3) การแล้งนํ้าใจ ดูดาย          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 7276, (คำบรรยาย) สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้ความหมายว่า วิกฤตทางวัฒนธรรม หมายถึง ปรากฏการณ์ที่เบี่ยงเบนไปจากวิถีชีวิตอันดีงาม หรือสวนกระแส ระบบคุณค่าและมาตรฐานทางศีลธรรม นั่นคือ พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคย ยึดถือปฏิบัตินั่นเอง เช่น ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ การแล้งนํ้าใจ ดูดาย ขาดจิตสำนึกสาธารณะ เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว คดโกง ไม่ซื่อสัตย์ ยโสโอหัง ให้ความสำคัญกับเงิน หรือวัตถุ และเชื่อว่าสวรรค์กับการบริโภคเป็นสิ่งเดียวกัน ฯลฯ

80.       อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตวัฒนธรรมไทย

(1) การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม (2) เด็กไทยในเมืองใช้คอมพิวเตอร์ในการศึกษา

(3) ความสัมพันธ์แบบศักดินา (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 72 – 74 ที่มาและปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตทางวัฒนธรรมไทย มีดังนี้ 1. เป็นผลมาจาก การปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี เทคนิควิทยาด้านค่าง ๆ และระบบสื่อสารคมนาคม จนเกิดภาวะ ทันสมัย แค่ไม่พัฒนา

2.         การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไปสูระบบทุนนิยมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความสับสน ในมาตรฐานเกี่ยวกับความดี ความชั่ว ที่เคยยึดถือกันมา

81.       การที่มาตรฐานเกี่ยวกับความดี ความชั่วของคนไทยเกิดความสับสนนั่น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) ระบบค่านิยม         

(2) ความหมายของวัฒนธรรม

(3) วิกฤตทางวัฒนธรรม          

(4) การปฏิรูปการเมือง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 80. ประกอบ

82.       จากวิกฤตทางวัฒนธรรมของไทย ทำให้เด็กไทยปัจจุบันมืลักษณะนิสัยอย่างไร

(1) ชอบแสวงหาความรู้           

(2) ชอบเลียนแบบผู้อื่น

(3) ชอบธรรมชาติ        

(4) ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

ตอบ 2 หน้า 70-71, (คำบรรยาย) จากวิกฤตทางวัฒนธรรมของไทยทำให้เด็กไทยปัจจุบันมีนิสัย ดังนี้ 1. ขี้เหงา ติดเพื่อน   2. ไม่มีความอดทนในการรอคอย         3. เจ้าอารมณ์

4.         เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน          5. ขาดจิตสำนึกสาธารณะ      6. ชอบทันสมัย ฟุ่มเฟื้อย ฟุ้งเฟ้อ และตามแฟชั่น            7. ชอบเลียนแบบผู้อื่บและวัฒนธรรมอื่น (โดยเฉพาะวัฒนธรรมตะวันตก) ที่แพร่เข้ามาเพื่อความเป็นสากล ฯลฯ

83.       สังคมไทยแก้ไขวิกฤตทางวัฒนธรรมด้วยวิธีใด

(1) ปฏิรูปการศึกษา    

(2) ส่งเสริมสถาบันครอบครัว

(3) ควบคุมการพัฒนาให้สมดุลกับธรรมชาติ  

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 76 – 77, (คำบรรยาย) การแก้ไขวิกฤตทางวัฒนธรรมควรทำทั้งในระดับบุคคล สถาบัน และสังคมทั้งสังคม ด้วยวิธีการต่อไปนี้

1.         การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาให้อยู่ในสภาพที่สมดุลตามธรรมชาติ

2.         ปฏิรูปและส่งเสริมระบบการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจแก่นแท้ของวัฒนธรรมไทย ตลอดจนให้รู้จริงเกี่ยวกับรากฐานวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาไทย

3.         ส่งเสริมสถาบันครอบครัวและชุมชนให้เข้มแข็งและมั่นคง และเปิดโอกาสให้ชุมชน ได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ แก้ไข และปกป้องวัฒนธรรมของตนเอง

4.         เร่งศึกษาถึงอิทธิพลของโลกภายนอกที่มีต่อสังคมไทยในทุกด้าน

5.         ฟิ้นฟูสถาบันศาสนาให้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตเหมือนอดีต

84.       ระบบความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่มีที่มาจากอะไร

(1) หลักวิทยาศาสตร์   (2) ความกลัวในอำนาจเหนือธรรมชาติ

(3) ความมั่นใจในตนเอง          (4) หลายปัจจัยประกอบกัน

ตอบ 2 หน้า 79, (คำบรรยาย) ระบบความเชื่อเกิดขึ้นมาพร้อมกับการรวมกลุ่มของสังคมมนุษย์ โดยเป็นสิ่งที่มนุษย์ในทุกสังคมผูกสร้างเป็นเรื่องราวขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นรูปธรรมตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะปรากฏออกมาในลักษณะของการเชื่อถือ พลังอำนาจนอกเหนือธรรมชาติที่มักมีพิธีกรรมและประเพณีต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ระบบ ความเชื่อมีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นการส่งเสริมอำนาจ เป็นการตอบสนองความกลัว ในสิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดจนเป็นเครื่องมือควบคุมมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีระเบียบ

85.       คนไทยส่วนใหญ่ใช้อะไรเป็นมาตรฐานในการเข้าใจตนเอง ผู้อื่น และสังคม

(1) กฎหมาย    (2) เหตุผล       (3) ความเชื่อ    (4) หลักวิทยาศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 79, (คำบรรยาย) มนุษย์ในทุกสังคมจะใช้ระบบความเชื่อเป็นมาตรฐานในการเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจสังคม และเข้าใจโลก โดยความเชื่อนี้มักจะผูกพันกับหลักศีลธรรม จริยธรรม ปรัชญา ตลอดจนศาสนา ซึ่งจะมีส่วนกำหนดความเป็นไปของวิถีชีวิตผู้คนในสังคม

86.       อะไรคือสิ่งยึดเหนี่ยวของคนไทย

(1) หลักธรรมของศาสนา         (2) ไสยศาสตร์ (3) โหราศาสตร์           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 81 – 83, (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ)ความเชื่อที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในสังคมไทยแบ่งออกได้ ดังนี้

1.         ความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ได้แก่ ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ความเชื่อเรื่องขวัญ ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ฯลฯ

2.         ความเชื่อด้านศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์ เช่น การเชื่อว่าชีวิตเป็นไปตามกรรม เมตตาธรรมคํ้าจุนโลก ลัทธิเทวราชา พรหมลิขิต คติไตรภูมิ ฯลฯ

87.       ข้อใดคือความเชื่อดั้งเดิมในสังคมไทย

(1)       หลักวิทยาศาสตร์       (2) ศาสนาพุทธ           (3) เทคโนโลยี  (4) อำนาจเหนือธรรมชาติ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

88.       ศาสนาและความเชื่อมีสิ่งที่ตรงกันคือข้อใด   

(1) มีผู้นำ

(2)       มีความเชื่อในอำนาจศักดิสิทธิ         (3) หลักศีลธรรม         (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 79 ศาสนาและความเชื่อมีสิ่งที่ตรงกันหรือเหมือนกัน คือ มีที่มาจากความเชื่อว่ามีอำนาจศักดิสิทธิลึกลับบางอย่างหรือหลายอย่างที่อยู่นอกเหนือมนุษย์ธรรมดา และอำนาจ เหนือธรรมชาตินี้จะเกียวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งในทางดิและทางร้าย ทั้งให้คุณ และให้โทษได้ แต่ความเชื่อจะต่างจากศาสนาในแง่ที่ว่าความเชื่ออาจจะไม่แสดงกำเนิดและ การสิ้นสุดของโลก หรืออาจไม่มีหลักธรรมที่เกี่ยวกับบุญ-บาปเป็นศีลธรรมเหมือนกับศาสนา

89.       การประกอบพิธีเซ่นสรวงบูชาผีบรรพบุรุษมีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร

(1) แสดงความกตัญญู (2) ให้ปกปักรักษา     (3)       แสดงความเคารพ        (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ความเชื่อเรื่องผีมักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการสื่อสาร ระหว่างคนกับผี เช่น การประกอบพิธีกรรมเซ่นสรวงบูชาไหว้ผีบรรพบุรุษก็เพื่อต้องการแสดง ความเคารพ ความกตัญณู และให้ช่วยปกปักรักษาการรำผีฟ้าเพื่อให้ช่วยรักษาโรค ซึ่งเป็น ความเชื่อเกี่ยวกับการแพทย์แผนโบราณในสมัยก่อน เป็นต้น

90.       ความเชื่อที่คนไทยใช้อธิบายชีวิตของคนคืออะไร

(1) กฎแห่งกรรม          (2) บุญ-วาสนา            (3)       การกระทำ       (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 83 ความเชื่อที่คนไทยใช้อธิบายชีวิตพื้นฐานของคน ตลอดจนการกระทำของบุคคล คือ ความเชื่อเรื่องกรรม (การกระทำ) กฎแห่งกรรม วาสนา และบุญบารมี

91.       อะไรคือหลักคำสอนในศาสนาพุทธ

(1)       จงทำดี จงทำดี            

(2) จงทำดี ละเว้นความซัว

(3)       จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์           

(4) ทำจิตใจให้บริสุทธิ์

ตอบ 3 หน้า 83, (คำบรรยาย) หลักคำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจหรือแก่นของศาสนาพุทธ ได้แก่ จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ การดับทุกข์

92.       เพราะเหตุใดคนไทยปัจจุบันจึงนิยมการดูหมอและสะเดาะเคราะห์  

(1) อยากรู้อนาคต

(2)       หาความมั่นใจในการดำรงชีวิต            

(3)       ชอบทดลอง     

(4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 82, (คำบรรยาย) คนไทยบางส่วนในปัจจุบันยังไม่เป็นคนสมัยใหม่ เพราะยังมีการทรงเจ้า เข้าทรง ดูหมอดู สะเดาะเคราะห์ มีการกราบไหว้บวงสรวงศาลเจ้า ศาลพระภูมิ และต้นไม้ใหญ่ ต่าง ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยิ่งพัฒนาไปมากเท่าไหร่ ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา และโหราศาสตร์ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาที่เป็นไป อย่างรวดเร็วทำให้ผู้คนตามไม่ทัน จึงก่อให้เกิดความสับสนทางความคิดและต้องหาความมั่นใจ ในการดำเนินชีวิตในอนาคตด้วยวิธีนี้

93.       ไสยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยอะไร

(1) เวทมนตร์คาถา      

(2)       จิตวิญญาณ    

(3)       ผีบรรพบุรุษ     

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 82, (คำบรรยาย) ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลัง นํ้ามันพลาย รัก-ยม ฯลฯ ซึ่งคนไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย

94.       ศีล คืออะไร

(1) ข้อปฏิบัติ   (2)       ข้อห้าม (3)       บทสวดมนต์    (4) คาถา

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ศีล หมายถึง การประพฤติดีปฏิบัติชอบตามหลักศีลของพระพุทธศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่ศีลจะหมายถึงข้อห้าม ส่วนธรรมจะหมายถึงข้อปฏิบัติ

95.       อะไรคือจุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธ

(1) ดับทุกข์      (2) สร้างความสุขทางโลก

(3)       สร้างคนดีให้กับสังคม            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ

96.       อะไรคือประเพณีของสังคมไทย

(1) การแต่งงาน           (2) การบช

(3) จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (4) การตาย

ตอบ 3 หน้า 86 – 87, (คำบรรยาย) ประเพณีไทยแบ่งตามลักษณะทั่วไปออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1.         ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวาระต่าง ๆ ของชีวิตคนไทยแต่ละคน ได้แก่ ประเพณีเกี่ยวกับ การเกิด การตาย การบวช การสมรส เป็นต้น

2.         ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทย ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และความเป็นอยู่ ของคน ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ลอยกระทง จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ บุญบั้งไฟแห่นางแมว บูชาพระแม่ธรณี ปั้นเมฆ ตลอดจนงานบุญ และการละเล่นอื่น ๆ เช่น แข่งเรือ การเข้าทรงแม่ศรี ผีครก ผีสาก เป็นต้น

97.       ประเพณีเกี่ยวกับความตาย เป็นประเพณีเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) สังคมไทย  (2) ชีวิตของคนไทยแต่ละคน

(3) ชนกลุ่มน้อย           (4) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

98.       ประเพณีไทยมีความสำคัญอย่างไร

(1) แสดงความเป็นอารยะ       (2) ส่งเสริมความสามัคคี

(3) แสดงความกตัญญู            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 85 – 86, (คำบรรยาย) ความสำคัญของประเพณีไทย มีดังนี้ 1. แสดงความเป็นอารยะ 2. ส่งเสริมความสามัคคี

3.         แสดงถึงความกตัญญูรู้คุณ    4. ช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนา

5.         แสดงถึงประวัติความเป็นมาของชาติ  6. เป็นมรดกทางสังคม

7. แสดงโลกทัศน์ของคนไทย   8. แสดงให้เห็นระบบความสัมพันธ์ในสังคม ฯลฯ

99.       ประเพณีใดเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์

(1) แห่นางแมว            (2) บุญบั้งไฟ   (3) บูชาพระแม่ธรณี    (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

100.    อะไรคือที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างในทัศนะของชาวพุทธ

(1) กรรม        (2) พระพรหม  (3) พญาแถน   (4) สิ่งเหนือธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 83, (คำบรรยาย) ในทัศนะของขาวพุทธ กรรม” คือ การกระทำของเรา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งหลาย และเป็นที่มาของทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเมื่อกระทำสิ่งใด ผลของกรรมที่เกิดจากการกระทำนั้นก็จะตามมา กรรมที่กระทำไว้ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว จะยังผลให้มีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร จึงกล่าวได้ว่าพื้นฐานชีวิตความเป็นอยู่ปัจจุบัน จะเป็นเช่นไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับ กรรม” หรือบาปบุญที่ได้กระทำไว้ในชาติหนึ่งนั่นเอง

ANT3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา ANT 3057 สังคมและวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง   ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว

1.         ข้อใดเป็นลักษณะสำคัญของวัฒนธรรม

(1)       มีการถ่ายทอดจากชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่ง

(2) มีลักษณะที่คงที่ตายตัว 

(3) มีลักษณะที่เป็นสากล            

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมได้แก่ 1. เป็นผลผลิตจากระบบความคิดของมนุษย์ หรือเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์        2. มีองค์ประกอบของความคิดโลกทัศน์ ค่านิยมทางสังคม ซึ่งเป็นตัวกำหนดมาตรฐานของพฤติกรรม 3. เป็นแบบแผนของ พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือเกิดจากการกระทำโต้ตอบกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

4.         มีลักษณะไม่คงที่ตายตัว เปลี่ยนแปลงปรับปรุงไต้ตามสภาพแวดล้อม

5.         เป็นมรดกทางสังคมที่ถ่ายทอดหรือส่งต่อจากชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่ง

6.         มีลักษณะเป็นสากล ใช้ในระดับกว้าง หรืออาจใช้ในระดับแคบเฉพาะกลุ่มคนก็ได้ ฯลฯ

2.         ข้อใดเป็น วัฒนธรรมราษฎร์

(1)       ภาษา  

(2) กฎหมาย    

(3) กิริยาท่าทาง           

(4) ศาสนา

ตอบ 3 หน้า 12, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมในแต่ละสังคมประกอบด้วย 2 ส่วนดังนี้

1.         วัฒนธรรมหลักหรือวัฒนธรรมหลวง คือ วัฒนธรรมส่วนรวมของคนในสังคม เพื่อแสดงถึง ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ ความเป็นระเบียบ รวมทั้งเพื่อการบูรณาการหรือ ความเป็นเอกภาพของสังคมไทย เช่น ภาษา กฎหมาย ศาสนา การละเล่นบางอย่าง แบบแผนพฤติกรรม จารีตประเพณี ฯลฯ

2.         วัฒนธรรมรองหรือวัฒนธรรมราษฎร์ คือ วัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มเฉพาะภาค เช่น ความเชื่อ สำเนียงภาษา ทัศนคติ ค่านิยม ลักษณะนิสัย กิริยาท่าทาง ทักษะในการประกอบอาชีพ ฯลฯ

3.         ใครเป็นผู้กล่าวว่า วัฒนธรรมเป็นตราประจำสังคม”        

(1) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

(2)       พัทยา สายหู   

(3) ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง       

(4) อดุล วิเชียรเจริญ

ตอบ 2 หน้า 13 พัทยา สายหู กล่าวว่า วัฒนธรรมเป็นตราประจำสังคม คือ เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอก ให้รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นสมาชิกของกลุ่มเดียวกันหรือต่างกลุ่มกัน

4.         ปัจจัยใดที่ทำให้มนุษย์รู้จักสร้างวัฒนธรรม   

(1) มนุษย์มีสมอง

(2)       มนุษย์ใช้ภาษาในการสื่อสาร   (3) มนุษย์คิดหาทางควบคุมธรรมชาติ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 12, (คำบรรยาย) ปัจจัยทีทำให้มนุษย์รู้จักสร้างวัฒนธรรมขึ้นมา มีดังนี้

1.         ปัจจัยทางชีวภาพ คือ ความต้องการมีชีวิตรอด ทำให้มนุษย์คิดสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา

2.         การรู้จักใช้สื่งอื่นแทนมือ เช่น เครื่องมีอเครื่องใช้ต่าง ๆ เนื่องจากมนุษย์มีสมองที่ใหญ่ได้สัดส่วน กับร่างกาย มนุษย์จึงรู้จักคิดได้แตกฉาน

3.         การรู้จักใช้ภาษาในการสื่อสารที่เป็นระบบสัญลักษณ์ จึงสามารถสะสมและส่งทอดองค์ความรู้ จากชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่งได้

4.         การที่มนุษย์คิดหาทางควบคุมธรรมชาติได้ เช่น การรู้จักสร้างเขื่อนกั้นนํ้า

5.         สังคมไทยมีลักษณะ วิวิธพันธุ์” หมายถึงข้อใด

(1)       มีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์            (2) มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม

(3)       มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์  (4) มีความแตกต่างทางภาษา

ตอบ 3 หน้า 15, (คำบรรยาย) สังคมไทยมีลักษณะ ดังนี้

1.         สังคมไทยมีลักษณะ วิวิธพันธุ์” คือ มีความแตกต่างหลากหลายในด้านชาติพันธุ์

2.         สังคมไทยในแต่ละภูมิภาคและแต่ละท้องถิ่นมีโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมย่อยของตนเองแตกต่างกันไป ทำให้มีระบบความคิด ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมที่ต่างกัน

3.         สังคมไทยมีความแตกต่างด้านกายภาพของสิ่งแวดล้อมดินฟ้าอากาศหรือสภาพภูมิศาสตร์ ทำให้มีลักษณะพันธุ์พืชและสัตว์ การตั้งถิ่นฐาน การประกอบอาชีพ ฯลฯ ที่ต่างกัน

6.         การศึกษาสังคมไทยต้องใช้วิธีการศึกษาแบบใด

(1)       มานุษยวิทยา   (2) โบราณคดี  (3) สังคมวิทยา            (4) สหวิทยาการ

ตอบ 4 หน้า 14, (คำบรรยาย) การศึกษาเพื่อให้เข้าใจภาพรวมของสังคมไทยได้ดีขึ้นนั้น จะต้องใช้ความรู้จากหลายสาขาประกอบกันที่เรียกว่า สหวิทยาการ” ซึ่งได้แก่

1.         ภูมิศาสตร์ เป็นการศึกษาที่ตั้ง ขอบเขต ภูมิอากาศ และลักษณะภูมิประเทศ

2.         ประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาความเป็นมาของชนชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

3.         เศรษฐศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากร การผลิต และการบริโภค

4.         สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ศึกษาความเป็นมา ตลอดจนโครงสร้างของสังคม และวัฒนธรรม ฯลฯ

7.         การศึกษาสังคมไทยอยางเป็นระบบจริงจังเป็นผลมาจากสิ่งใด

(1)       ประเทศตะวันตกขยายอาณานิคมเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย

(2)       หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

(3)       หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

(4)       เมื่อใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 ในการพัฒนาประเทศ

ตอบ 1 หน้า 16 การศึกษาสังคมไทยอย่างเป็นระบบจริงจังเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นผลมาจาก การที่ประเทศตะวันตกได้ขยายอาณานิคมเข้ามาครอบคลุมประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน อินเดีย พม่า มาเลเซีย และประเทศอื่น ๆ มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ทำให้สังคมไทย จำเป็นต้องหาทางรอดพ้นจากอิทธิพลของตะวันตก

8.         การศึกษาสังคมไทยในยุคแรกเป็นการศึกษาในเรื่องใด

(1)       วิถีชีวิตของคนในชุมชน            (2) เรื่องราวพระมหากษัตริย์และเหตุการณ์บ้านเมือง

(3)       ประเพณี          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 16 – 17 การศึกษาสังคมไทยในยุคแรกก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการศึกษาค้นคว้า จากบันทึกและประสบการณ์ของพอค้า ข้าราชการ มิชชันนารี ตลอดจนทูตประเทศต่าง ๆ แล้วเขียนแบบพรรณนาหรือบรรยายออกมาให้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนในชุนชน ประเพณี วัฒนธรรม อุปนิสัยใจคอ และสภาพทั่วไปของสังคมไทย โดยจะให้ความสำคัญกับ เรื่องราวของพระมหากษัตริย์และเหตุการณ์บ้านเมืองมากกวาเรื่องราวของสามัญชน ทั้งนี้ ในการศึกษายังไม่มีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบในเชิงวิทยาศาสตร์ หรือในเชิงมานุษยวิทยา

9.         ผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น” หมายถึงข้อใด

(1)       สังคม   (2) วัฒนธรรม  (3) เชื้อชาติ      (4) มานุษยวิทยา

ตอบ 2 หน้า 10, (คำบรรยาย) วัฒนธรรม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างหรือผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เทือเป็นแบบแผนพฤติกรรมให้แก่สมาชิก และเพื่ออำนวย ความสะดวกในการดำรงชีวิต เช่น ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ระบบความเชื่อ วิถีประชา จารีต ขนบประเพณี ภูมิปัญญา ฯลฯ

10.       สังคมและวัฒนธรรมไทย” สามารถศึกษาได้จากแหล่งใด

(1)       วรรณกรรม      (2) งานบุญ ประเพณี  (3) ภาพยนตร์  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 1, (คำบรรยาย) การศึกษาภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย นอกจากจะศึกษาวิเคราะห์ ได้จากสังคมต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราแล้ว ยังสามารถศึกษาวิเคราะห์ได้จากวรรณกรรม ตำนาน พิธีกรรมทางศาสนา งานบุญ ประเพณี ซึ่งจะทำให้ได้ภาพสะท้อนของสังคมและวัฒนธรรมไทย ในอดีต หรือการชมละครวิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และสื่อโฆษณาต่าง ๆ ก็จะทำให้เราเข้าใจ สภาพสังคมและวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน เป็นต้น

11.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับความหมาย สังคม

(1)       พ่อแม่พาลูกไปซื้อของ 

(2) ฝูงชนมุงดูสินค้าที่ตู้กระจก

(3) คนไทยไปดูการแข่งขันฟุตบอล      

(4) นักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ตอบ 1 หน้า 12, (คำบรรยาย) สังคม หมายถึง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่มาอยู่รวมกันและมีความสัมพันธ์กัน โดยที่รูปแบบความสัมพันธ์นั้นย่อมเป็นไปตามแบบแผนหรือวัฒนธรรมที่สังคมกำหนด เพราะคน ในสังคมใดย่อมต้องได้รับการถ่ายทอด อบรมขัดเกลา ให้ต้องปฏิบัติตามแบบแผนของสังคมนั้น เช่น พ่อแม่พาลูกไปซื้อของ เป็นกลุ่มสังคมที่คงทนถาวร เพราะเป็นสถาบันครอบครัวที่มีความสัมพันธ์กัน ทางลายโลหิต (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นฝูงชนที่เกิดขึ้นมาแล้วก็สลายไป ไม่คงทนถาวร)

12.       ข้อใดเป็นลักษณะของสังคมชนบท

(1)       มีการแบ่งงานกับทำอย่างเด็ดขาด      

(2) มีความสัมพันธ์แบบทุติยภูมิ

(3) ระเบียบสังคมเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี 

(4) วิถีชีวิตพึ่งพิงเทคโนโลยี

ตอบ 3 หน้า 4-5 ลักษณะของสังคมชนบท มีดังนี้ 1. เป็นชุมชนขนาดเล็ก มีจำนวนประชากรน้อย ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร 2. มีระบบความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการหรือ แบบปฐมภูมิ เน้นความสัมพันธ์ส่วนตัว 3. มีการแบ่งงานไม่ชัดเจน ช่วยกันทำ

4.         มีวิถีชีวิตแบบพึ่งพิงธรรมชาติอย่างมากทั้งในการทำมาหากินและดำรงชีวิต

5.         ยึดมั่นระเบียบสังคมเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด เป็นต้น

13.       ข้อใดเป็นการจำแนกรูปแบบสังคมพื้นบ้านกับสังคมซับซ้อน

(1)       จำนวนคน       

(2) ความสัมพันธ์         

(3) เทคโนโลยี  

(4) จารีต

ตอบ 2 หน้า 6 สังคมง่าย ๆ หรือสังคมพื้นบ้านกับสังคมซับซ้อน เป็นการจำแนกรูปแบบของสังคม โดยพิจารณาจากระบบความสัมพันธ์ของสมาชิกที่อยู่ในสังคมนั้น ๆ

14.       โครงสร้างสังคม” หมายถึงข้อใด     

(1) คนในสังคมมีการกระทำระหว่างกันทั้งทางตรงและทางอ้อม

(2)       สังคมประกอบด้วยชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่

(3)       สังคมประกอบด้วยสถาบันต่าง ๆ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 8 ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง ให้ความหมายว่า โครงสร้างทางสังคม หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ ที่สมาชิกของสังคมมีต่อกันในฐานะที่มาอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน มีการกระทำระหว่างกันทั้งทางตรง และทางอ้อม ต้องพึ่งพาอาศัยกัน และมีส่วนได้เสียในการกระทำของกันและกัน โดยการกระทำ ทางสังคมนั้นจะเป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่สังคมได้กำหนดขึ้น

15.       สถาบันทางสังคม” หมายถึงข้อใด

(1)       ความสัมพันธ์ของคนในสังคม (2) กฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดในการอยู่ร่วมกัน

(3) ลักษณะนิสัยของคนในชาติ           (4) ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ตอบ 2 หน้า 8-9, (คำบรรยาย) สถาบันทางสังคม (Social Institution) คือ กฎเกณฑ์หรือแบบแผนพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ที่สังคมกำหนดไว้เป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติเพื่อการดำรงอยู่ร่วมกัน ของสังคม เช่น วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม เป็นต้น ซึ่งสถาบันหลัก ๆ ได้แก่ สถาบันครอบครัว ศาสนา การศึกษา เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครอง โดยทุกสถาบันสังคม จะประกอบด้วยสถานภาพ บทบาท แบบแผนพฤติกรรม ตลอดจนมีหน้าที่ตอบสนองสังคมใหญด้วย

16.       ภาพชาดก” เป็นวัฒนธรรมในความหมายใด

(1) ความเชื่อ    (2) วิถีชีวิต       (3) สิ่งที่ดีงาม  (4) ประเพณี

ตอบ 1 หน้า 83, (คำบรรยาย) ภาพชาดก หรือภาพวาดพุทธประวัติชาติก่อน ๆ ของพระพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ มีทั้งหมด 550 พระชาติ ถือเป็นศิลปกรรมไทยที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมด้าน ความเชื่อทางศาสนาพุทธ เช่น ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมที่ว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว

17.       การศึกษาสังคมไทยภายหลังลงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้วิธีการศึกษาแบบใด

(1)       จากบันทึกและประสบการณ์ของพ่อค้า ข้าราชการ มิชชันนารี

(2)       มานุษยวิทยา  (3) จิตวิทยา     (4) ประวัติศาสตร์

ตอบ 2 หน้า 17, (คำบรรยาย) การศึกษาสังคมไทยในยุคภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นโดยนักวิชาการตะวันตกและคนไทยที่ไปศึกษาในประเทศแถบตะวันตกได้เริ่มนำการศึกษาทาง มานุษยวิทยาเข้ามาใช้ในการศึกษาสังคมไทย คือ การเข้าไปอยู่รวมในสังคมหรือชุมชนที่ ทำการศึกษา แล้วเก็บข้อมูลโดยการสังเกตและสัมภาษณ์ความคิดเห็นต่าง ๆ ของคนในชุมชน ซึ่งจะอยู่ภายใต้กรอบของแนวคิดทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่เป็นหลัก

18.       ลักษณะภูมิศาสตร์ของสังคมไทยมีลักษณะอย่างไร

(1) อยู่กึ่งกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้         (2) มีลมมรสุมพัดผ่าน

(3)       ทำให้เกิดฤดูกาล 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและฤดูแล้ง           (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 18 ลักษณะภูมิศาสตร์ของสังคมไทยตั้งอยู่กึ่งกลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออุษาคเนย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชีย) มีลักษณะเป็นผืนแผ่นดีนที่ยาวยื่นลงไปทาง ทิศใต้ ซึ่งเป็นคาบสมุทร และมีทะเลขนาบ 2 ด้าน คือ ทะเลจีนในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ทาง ทิศตะวันออก กับทะเลอันดามันในมหาสมุทรอินเดียอยู่ทางทิศตะวันตก ทำให้ประเทศไทย มีลมมรสุมจากทะเลทั้ง 2 ด้านพัดผ่าน จึงทำให้เกิดฤดูกาลที่สำคัญ 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและฤดูแล้ง

19.       คนไทยอยู่ในกลุ่มเชื้อชาติ (Racial Group) ใด

(1) ผิวขาว        (2) ผิวเหลือง   (3) ผิวขาวเหลือง         (4) ผิวดำ

ตอบ 2 หน้า 1923 ประชากรทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มเชื้อชาติ (Racial Group) ที่เรียกว่า มองโกลอยด์ (Mongoloid) หรือผิวเหลืองเหมือนกัน แต่อาจจำแนกได้เป็นหลายชาติพันธุ์ตามสภาพภูมิศาสตร์และเวลา

20.       ข้อใดถูกต้อง

(1)       ประเทศสยามเคยใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

(2)       ประเทศสยาม หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน

(3)       ประเทศสยามเปลี่ยนเป็นประเทศไทยเมื่อวันที 3 ตุลาคม พ.ศ. 2482

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 20 คำว่า สยาม นั้น นายปรีดี พนมยงคํ เคยเขียนไว้ว่า มืการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งในอดีตพระมหากษัตริย์ไทยเรียก ดินแดนแห่งนี้ว่า ประเทศสยามเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน แต่ต่อมาใน วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2482 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ประกาศรัฐนิยมให้ใช้ชื่อ ประเทศไทย” แทน โดยให้ใช้คำวา ไทย” แทนคำว่า สยาม” นับแต่นั้นจะต้องเรียกคนไทยว่าไทย และ เรียกประเทศว่าประเทศไทย

21.       การศึกษาถิ่นเดิมของชนชาติไทยมีการศึกษากี่แนวทาง

(1) 2 แนวทาง  

(2) 3 แนวทาง  

(3) 4 แนวทาง  

(4) 5 แนวทาง

ตอบ 3 หน้า 21 – 23, (คำบรรยาย) นักวิชาการมีสมมุติฐานในการศึกษาเกี่ยวกับถิ่นเดิมของไทยที่ แตกต่างกันอยู่ 4 แนวทาง ดังนี้

1.         ถิ่นเดิมของไทยอยู่แถบเทือกเขาอัลไต โดยใช้หลักฐานด้านภาษาพูด (ภาษาไต) และ ชาติพันธุ์มองโกลอยด์เป็นหลัก

2.         ถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีน โดยใซ้หลักฐานที่ว่าคนแถบนี้ใช้ภาษาไทยเก่า ๆและมีวัฒนธรรมการกันอยู่ ความเชื่อเรื่องผี และระบบครอบครัวคล้ายคลึงกับไทย

3.         ถิ่นเดิมของไทยอยู่บนพื้นที่นี้มาแต่ดั้งเดิม (สุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)โดยใช้หลักฐานการเปรียบเทียบกะโหลกของคนไทยโบราณสมัยหินใหม่กับคนไทยปัจจุบัน

4.         ถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางใต้แถบคาบสมุทรมลายูและชวา (อาณาจักรศรีวิชัย) โดยใช้หลักฐาน ด้านพันธุกรรมเพื่อเปรียบเทียบความถี่ของยีน (DNA) ในกลุ่มเลือดของคนไทยกับอินโดนีเซีย และจีน

22.       หลักฐานใดที่นักวิชาการใช้อ้างอิงว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีน

(1) ภาษาไต     

(2) ภาษาไทยเก่า ๆ และวัฒนธรรม

(3)       เปรียบเทียบกะโหลกของคนไทยโบราณกับปัจจุบัน

(4)       เปรียบเทียบความถี่ของยีนในกลุ่มเลือดของคนไทยกับอินโดนีเซียและจีน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23.       หลักฐานใดที่นักวิชาการใช้อ้างอิงว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่ที่สุวรรณภูมินี้

(1) ภาษาไต     

(2) ภาษาไทยเก่า ๆ และวัฒนธรรม

(3)       เปรียบเทียบกะโหลกของคนไทยโบราณกับปัจจุบัน

(4)       เปรียบเทียบความถี่ของยีนในกลุ่มเลือดของคนไทยกับอินโดนีเซียและจีน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

24.       ข้อใดคือกลุ่มชนดั้งเดิมที่อยู่ในสุวรรณภูมิ

(1)       ผีตองเหลือง    (2) เงาะซาไก   (3) ชาวเล        (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 23 – 24, (คำบรรยาย) กลุ่มชนดั้งเดิมหรือชาติพันธุ์เร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในสุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มี 2 กลุ่ม คือ

1.         ออสโตรลอยด์ (Austroloid) เป็นพวกที่มีรูปร่างสูงเพรียว ผมหยักศกเป็นคลื่น ปากหนา ผิวคลํ้า ปัจจุบันคือชนพื้นเมืองของศรีลังกาและออสเตรเลีย รวมทั้งพวกผีตองเหลือง

2.         นิกริโตหรือนิกรอยด์ (Nigroid) เป็นพวกที่มีรูปรางเตี้ย ผิวดำ ปากหนา ผมหยิกหยอย ปัจจุบันอาศัยอยู่ตามเกาะในทะเลอันดามันที่เรียกว่า มอร์แกนหรือชาวเล และอาศัย บนคาบสมุทรมลายูทางใต้ของไทย เช่น พวกเงาะซาไก เป็นต้น

25.       ตระกูลภาษาใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนคนพูดมากที่สุด

(1)       ภาษามาเลย์    (2) ภาษามอญ-เขมร (3) ไท-คะได       (4) สิโน-ทิเบตัน

ตอบ 4 หน้า 25 สิโน-ทิเบตัน (Sino-Tibetan) ได้แก่ ภาษาของม้ง เย้า จีนฮ่อ จีน ทิเบต พม่า ขะฉิน ลฯ เป็นตระกูลภาษาที่มีจำนวนคนพูดมากทีสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

26.       ข้อใดถูกต้อง

(1)       คนไทยพูดภาษาที่มาจากตระกูลไท-คะได

(2)       คนไทยที่พูดภาษาไทยกระจายอยู่ตามลุ่มนํ้าโขง สาละวิน ดำ แดง ขาว และเจ้าพระยา

(3)       ภาษาไทยมีคำที่เกิดจากการผสมผสานภาษาเขมร บาลี สันสกฤต เป็นจำนวนมาก

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 25 ภาษาของคนไทยมีที่มาจากตระกูลภาษาไท-คะได (Tai-Kadai) หรือไท-ลาวซึ่งในปัจจุบันมีกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยประมาณ 90 ล้านคน กระจายอยู่ตามลุ่มนํ้าโขง สาละกิน ดำ แตง ขาว และเจ้าพระยา โดยภาษาไทยมีคำที่เกิดขึ้นใหม่จากการผสมผสานภาษาของ เพื่อนบ้าน ได้แก่ ภาษาเขมร บาลี สันสกฤต เป็นจำนวนมาก

27.       เหตุผลใดที่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกเรียกว่า อินโดจีน

(1)       พื้นที่นี้คนอินเดียและจีนเคยเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้า

(2)       พื้นที่นี้เคยเป็นอาณานิคมของประเทศอินเดีย

(3)       พื้นที่นี้อยู่ตรงกลางระหว่างประเทศอินเดียและจีน

(4)       พื้นที่นี้มีความอุดมสมบูรณ์

ตอบ 3 หน้า 26, (คำบรรยาย) ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อุษาคเนยหรือสุวรรณภูมิ) นั้น

แต่เดิมชาวตะวันตกจะเรียกว่า อินโดจีน” เนื่องจากพื้นที่นี้อยู่ตรงกลางระหว่างอินเดียและจีน นอกจากนี้ยังมีอคติว่าพื้นที่แถบนี้เป็นสังคมป่าเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม ดังนั้นจึงถูกครอบงำ โดยวัฒนธรรมอินเดียและวัฒนธรรมจีน

28.       วัฒนธรรมใดของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นเอกลักษณ์สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

(1)       การนับถือผีและยกย่องเพศชาย         (2) การนับถือผีและยกย่องสตรี

(3) การนับถือผี            (4) การยกย่องเพศชาย

ตอบ 2 หน้า 27, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีเอกลักษณ์ ของตนเอง ซึ่งสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ คือ    1. การเคารพนับถือผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษและผีวีรชน        2. การยกย่องสตรี       3. การเพาะปลูก

29.       ชุมชนในสุวรรณภูมิกลุ่มไหนที่มีการพัฒนาได้รวดเร็ว

(1) กลุ่มบน      (2) กลุ่มล่าง    (3) กลุ่มตะวันออก       (4) กลุ่มตะวันตก

ตอบ 2 หน้า 27, (คำบรรยาย) พี้นที่ในสุวรรณภูมิหรอเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากมองโดยใช้ทะเล เป็นเกณฑ์ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

1.         กลุ่มบน ได้แก่ พื้นที่ทางตอนใต้ของจีน ตอนเหนือของอินเดีย พม่า ลาว เวียดนาม กลุ่มนี้พัฒนาการช้าเพราะอยู่ห่างไกลทะเล การติดต่อคมนาคมจึงลำบาก

2.         กลุ่มล่าง ได้แก่ บริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน มาเลเซีย และหมู่เกาะทางตอนใต้ เป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการของชุมชนขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการติดต่อ แลกเปลี่ยนสังสรรค์กับชาวต่างชาติหรีอคนต่างกลุ่มได้สะดวก เพราะอยู่ติดทะเล

30.       เพราะเหตุใดการพัฒนาเทคโนโลยีของคนในสุวรรณภูมิจึงล้าหลังกว่าคนจีนและอินเดีย

(1)       พื้นที่ในสุวรรณภูมิมีความอุดมสมบูรณ์

(2)       คนจีนและอินเดียฉลาดกว่า

(3)       จำนวนคนในสุวรรณภูมิมีน้อยกว่าคนจีนและอินเดีย

(4)       คนในสุวรรณภูมิมีการโยกย้ายจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง

ตอบ 3 หน้า 28 การที่จีนและอินเดียเข้าสู่ยุคหินใหม่ก่อนประเทศต่าง ๆ ในสุวรรณภูมินั้น ไม่ใช่เพราะว่า คนในสุวรรณภูมิโง่กว่าจีนและอินเดีย แต่เป็นเพราะคนในสุวรรณภูมิอยู่กันอย่างสุขสบาย มีจำนวนคนน้อยแต่อาหารอุดมลมบูรณ์ ดังนั้นความจำเป็นในการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ จึงมีน้อย ทำให้เกิดความล้าหลังและด้อยกว่าในเชิงวัฒนธรรมเมื่อเทียบกับจีนและอินเดีย

31.       ชุมชนหมู่บ้านยุคแรกในสุวรรณภูมิมีลักษณะเป็นอย่างไร

(1)       ชุมชนเกิดขึ้นบริเวณลุ่มนํ้าทำจีน แม่กลอง สองฝั่งโขง

(2)       ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์     

(3) หัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้หญิง 

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 28 ชุมชนหมู่บ้านยุคแรกเมื่อราว 5,000 – 6,000 ปีก่อนประวัติศาสตร์ ได้เริ่มเพาะปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ และตั้งถิ่นฐานถาวรขึ้น ทำให้คนไม่ต้องร่อนเร่หาอาหารอีกต่อไป โดยชุมชนหมู่บ้าน ยุคแรกมักเกิดขึ้นตามลุ่มน้ำที่เพาะปลูกได้ เช่น สองฝั่งแม่น้ำโขง ท่าจีน แม่กลอง เป็นต้น และเชื่อกันว่าหัวหน้าหมู่บ้านใบยุคแรก ๆ เป็นผู้หญิง ซึ่งทำหน้าที่ติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

32.       ทำไมชุมชน แอ่งโคราช” จีงขยายตัวได้รวดเร็วกว่าชุมชน แอ่งสกลนคร

(1) มีแร่เหล็กและเกลือ            

(2) จำนวนประชากรมาก

(3)       อยู่ใกล้แหล่งนํ้า          

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 29, (คำบรรยาย) ในบริเวณที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน แอ่งโคราชซึ่งเป็นพื้นที่ทาง อีสานตอนใต้ ถือเป็นชุมชนโบราณที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วย ทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะแร่เหล็กและเกลือสินเธาว์ จึงทำให้แอ่งโคราชกลายเป็น ศูนย์กลางของการค้าการแลกเปลี่ยน ซึ่งมีชนต่างถิ่นอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมาก จึงพัฒนาขยายตัวเป็นเมืองได้ก้าวหน้ารวดเร็วกว่าแอ่งสกลนครและเมืองในภาคกลาง เช่น อู่ทอง และสุพรรณบุรี

33.       คนอินเดียนำศาสนาพุทธเข้ามาเผยแผ่ที่เมืองใด

(1) โคราช        (2) สกลนคร    (3) อู่ทอง         (4) ละโว้

ตอบ 3 หน้า 29 – 30 หลักฐานของอินเดียระบุว่า เมืองอู่ทองซึ่งเป็นชุมชนในภาคกลางแถบลุ่มน้ำท่าจีน และแม่กลอง มีความเก่าแก่เกนกว่า 1.700 ปี ได้รับเอาวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาใช้กับ วัฒนธรรมท้องถิ่น ทำให้เกิดการเผยแผ่และนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู (ศาสนาพราหมณ์) และเริ่มนำระบบกษัตริย์มาใช้เป็นครั้งแรก

34.       ผลของการรับวัฒนธรรมของอินเดียเข้ามาทำให้สังคมในสุวรรณภูมิเป็นเช่นไร

(1) มั่งคั่ง

(2)       ความแตกต่างระหว่างชนชั้น  (3) พัฒนาเทคโนโลยี   (4) ผลิตเพื่อค้า

ตอบ 2 หน้า 30 ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3-4 ศาสนาได้กระจายสู่ระดับราษฎร ซึ่งผลของการรับวัฒนธรรม ของอินเดียเข้ามาทำให้สังคมในสุวรรณภูมิหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความแตกต่างกันระหว่าง ชนชั้นอย่างชัดเจน เนื่องจากการอ้างอิงอำนาจจากเทพเจ้าในศาสนา ทำให้กษัตริย์มั่งคั่งมาก

35.       ต้นเค้าของอาณาจักรสุโขทัยคือเมืองใด

(1) ทวารวดี      (2) ละโว้          (3) ศรีสัชนาลัย            (4) อู่ทอง

ตอบ 3 หน้า 31 ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17 ได้เกิดแคว้นศรีสัชนาลัยสุโขทัยขึ้น ซึ่งเป็นต้นเค้าของ อาณาจักรสุโขทัย โดยเริ่มจากการเป็นชุมชนถลุงเหล็กจนขยายตัวเป็นศูนย์กลางด้านการค้า และมีพลเมืองส่วนใหญ่ย้ายมาจาก 2 ฝั่งโขง จึงทำสัมฤทธิ์ (สำริด) เก่งเนื่องจากได้สะสม ความรู้และประสบการณ์มาจากยุคเหล็ก และเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมบ้านเชียงด้วย

36.       สมัยกรุงศรีอยุธยามีผู้คนโยกย้ายเข้าออกอยู่ตลอดเนื่องมาจากปัจจัยใด

(1) สงครามและการค้า           (2) การขยายตัวของเมือง

(3)       พระมหากษัตริย์ปกครองโดยธรรม     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 31 – 32, (คำบรรยาย) ในสมัยกรุงศรีอยุธยามืผู้คนโยกย้ายเข้าออกอยู่ตลอด เนื่องมาจาก ปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ 1. สงคราม ได้ส่งผลให้มีการขยายอำนาจไปตามหัวเมืองอื่น ๆ ทำให้มีการกวาดต้อนผู้คนมาจากเมืองที่แพ้สงคราม 2. การค้า อยุธยาเป็นศูนย์กลางของ การค้ามาตั้งแต่ พ.ศ. 2000 ทำให้มีคนต่างชาติต่างภาษาเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอยุธยามากขึ้น

37.       กลุ่มชนชาติพันธุ์ใดที่มีจำนวนมากที่สุดในสังคมไทย

(1) ไทย-มาเลย์            (2) ไทย-ลาว    (3) ไทย-เขมร   (4) ไทย-มอญ

ตอบ 2 หน้า 33 – 34 โครงสร้างสังคมไทย ประกอบด้วย กลุ่มสังคมย่อย ๆ หลายกลุ่มาติพันธุ์ ได้แก่

1.         ไทย-ลาว เป็นกลุ่มชนชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในสังคมไทย

2.         ไทย-มาเลย์ มีอยู่มากที่สุดในภาคใต้ของไทย

3.         เขมร ส่วย กุย มอญ ส่วนใหญ่อยู่กระจัดกระจายแถบภาคอีสานซองไทย

4.         เกรียง มีมากที่สุดทางภาคเหนือของไทย และอยู่กระจัดกระจายแถวจังหวัดราชบุรีและกาญจนบุรี

5.         ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางเหน้อฃองไทย เช่น กะเหรี่ยง อาข่า ลื้อ มูเซอ

6.         ชาวป่า มีอยู่ไม่มากในปัจจุบัน เช่น ผีตองเหลือง เซมัว ซาไก

7.         ชาวนํ้า เป็นชนพื้นเมืองซึ่งส่วนใหญ่อยู่ตามริมฝั่งทะเลทางภาคใต้

8.         ชนต่างด้าว ส่วนใหญ่จะอยู่ตามเขตเมือง เช่น คนจีน อินเดีย และชาวตะวันตกประเทศต่าง ๆ

38.       ปัจจุบันความสัมพันธ์ของคนในสังคมไทยใช้ปัจจัยใดเป็นตัวกำหนด

(1) อาชีพ         (2) การศึกษา  (3) ฐานะทางสังคม     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 35, (คำบรรยาย) ความสัมพันธ์ของคนในสังคมไทย หรือโครงสร้างของสังคมไทยปัจจุบัน ถูกกำหนดโดยใช้ลักษณะอาชีพ ตำแหน่งหน้าทการงาน รายได้ การศึกษา สถานภาพ การพึ่งพาอาศัย และฐานะทางสังคม ทำให้โครงสร้างของสังคมไทยในปัจจุบันนั้นมีการ แบ่งกลุ่มทางสังคมออกเป็น 3 ชนชั้น ได้แก่ 1. ชนชั้นสูง 2. ชนชั้นกลาง 3. ชนชั้นตํ่า

39.       ครอบครัวไทยส่วนใหญ่มีลักษณะอย่างไร

(1) ครอบครัวขยาย      (2) ครอบครัวประกอบร่วม

(3) ครอบครัวหน่วยกลาง        (4) ครอบครัวปฐมนิเทศน์

ตอบ 3 หน้า 35 – 36 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิชาการไทยและต่างชาติได้ศึกษาเกี่ยวกับ ครอบครัวไทยมากขึ้นพบว่า ครอบครัวไทยส่วนใหญ่มีขนาดเล็กลงเป็นครอบครัวหน่วยกลาง และนิยมไปตั้งบ้านเรือนเป็นอิสระของตนเอง มีเพียงจำนวนน้อยที่ยังคงอาศัยอยู่กับครอบครัว พ่อแมภายหลังการสมรส (ส่วนครอบครัวไทยในอดีตจะมีขนาดใหญ่เป็นครอบครัวขยาย)

40.       ครอบครัวไทยมีการนับญาติทางฝ่ายใด

(1) บิดา           (2) มารดา        (3) บิดาและมารดา     (4) ญาติโดยสายโลหิต

ตอบ 3 หน้า 37 สังคมไทยจะมีการนับญาติของครอบครัวทั้ง 2 ฝ่าย คือ นับญาติทั้งทางฝ่ายบิดา และฝ่ายมารดา แต่การสืบสกุลจะนิยมสืบทางฝ่ายบิดา

41.       ในอดีตระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยเป็นแบบใด

(1) ผลิตเพื่อบริโภค     

(2) ผลิตเพื่อการค้า      

(3) ผลิตเพื่อแลกเปลี่ยน 

(4) ผลิตตามแผนพัฒนา

ตอบ 1 หน้า 37 – 38 ในอดีตก่อนติดต่อกับชาวตะวันตก หรือก่อนเปิดประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 ตามสนธิสัญญาบาวริ่งนั้น ระบบเศรษฐกิจของคนไทยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง นั่นคือ แต่ละครอบครัวจะผลิตของกินของใช้ขึ้นมาบริโภคเองภายในครอบครัว โดยมิได้มุ่งผลิต เพื่อการค้า แต่เมื่อมีผลผลิตเหลือก็อาจจะแลกเปลี่ยนกับชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงบ้าง

42.       ประเทศไทยพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504 – 2509)ในสมัยรัฐบาลใด

(1) จอมพล ป. พิบูลสงคราม   

(2) จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

(3) จอมพลถนอม กิตติขจร      

(4) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์

ตอบ 2 หน้า 38, (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงของการตื่นตัวในการพัฒนาตามแบบ ตะวันตก ประเทศไทยในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับแรกขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยได้รับความช่วยเหลือทั้งทางด้านการเงินและ วิชาการจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาประเทศไทยได้พัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504 – 2509) ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็น รัฐบาลต่อมาภายหลังจากรัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกทำรัฐประหาร

43.       ปัจจุบันประเทศไทยพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่เท่าไร

(1) ฉบับที่ 12  (2) ฉบับที่ 11  (3) ฉบับที่ 10  (4) ฉบับที่ 9

ตอบ 2 (คำบรรยย) ปัจจุบันประเทศไทยพัฒนาประทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 – 2559) ซึ่งได้จัดทำขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ ทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยร่วมกันน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาพัฒนาประเทศ อย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งให้เกิดภูมิคุ้มกันและมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมในการ พัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและยั่งยืน

44.       ข้อใดเป็นผลของการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงปัจจุบัน

(1) ปัญหาความยากจน (2) ปัญหามลพิษ      (3) ปัญหาการกระจายรายได้  (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 39, (คำบรรยาย) ผลที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงปัจจุบัน มีดังนี้ 1. ปัญหาความยากจนทั้งในชนบทและในเมือง

2.         ปัญหาการกระจายรายได้ไม่ยุติธรรม

3.         ปัญหามลพิษต่าง ๆ อันเนื่องมาจากการเน้นพัฒนาอุตสาหกรรม ฯลฯ

45.       ข้อใดเป็นหน้าที่ของสถาบันการศึกษาในสังคมไทย

(1) ถ่ายทอดวัฒนธรรม (2) พัฒนาบุคลิกภาพ            (3) พัฒนาฝีมือแรงงาน (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 39 หน้าที่ของสถาบันการศึกษา ได้แก 1. ถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยการอบรมขัดเกลา สมาชิกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้รู้และประพฤติปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม

2.         ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของคนให้มีความมั่นคง

3.         ช่วยฝึกหัดและพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

46.       ในอดีตสถานที่ใดเป็นสถานศึกษาของประชาชน

(1) วัด  (2) วัง  (3) โรงเรียน     (4) วัดและวัง

ตอบ 4 หน้า 40 สถานที่ทีให้การศึกษาของสังคมไทยในอดีตก็คือ วัดและวัง ต่อมาเมื่อมีการติดต่อ กับต่างประเทศ สังคมไทยก็ได้รับเอาระบบการศึกษาใบระบบโรงเรียนแบบสากลเข้ามา โดยมี การตั้งโรงเรียนขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 และขยายตัวเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งสถาบัน ของรัฐและเอกชน แต่ระบบการศึกษาของไทยก็ยังคงเป็นระบบบังคับ

47.       สมัยรัชกาลใดที่มีการตั้งโรงเรียนแบบสากล

(1) รัชกาลที่ 4  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ

48.       ข้อใดเป็นหน้าที่ของสถาบันศาสนาในสังคมไทย

(1) ให้การอบรมสั่งสอนทางศีลธรรม   (2) ส่งเสริมจริยธรรม

(3) สร้างความมันคงทางด้านจิตใจ     (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 41 หน้าทีของสถาบันศาสนาในบระเทศไทย มีดังนี้ 1. อบรมศีลธรรมและปลูกฝังค่านิยม ที่ดีให้แก่สมาชิก 2. ส่งเสริมจริยธรรมและการประพฤติปฏิบัติตนตามประเพณีทางศาสนา

3.         ตอบสนองความต้องการทางด้านจิตใจของสมาชิก และสร้างความมั่นคงทางด้านจิตใจ

4.         สร้างความมั่นคงให้กับสังคม โดยการสร้างความสามัคคี ความมีเมตตา ช่วยเหลือเกื้อหนุน ซึ่งกันและกัน

49.       ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่มีความเชื่อและนับถือศาสนาใด

(1) นับถือศาสนาพุทธ (2) นับถือผี

(3) เชื่อเรื่องโหราศาสตร์และไสยศาสตร์          (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 41 – 4281         82 ในสังคมไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ โดยมีคนไทยนับถือาสนาพุทธเกินกว่า 95% ที่เหลือนับถือศาสนาอื่น แต่ปัจจุบันความเชื่อในศาสนาของคนไทย ลดลง เนื่องมาจากความเจริญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้คนไทยหันไปนับถือ ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพิ่มขึ้น เช่น ความเชื่อเรื่องการนับถือผี โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ฯลฯ

50.       ในสมัยใดที่มีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ตามแบบประเทศตะวันตก

(1)       รัชกาลที่ 4       (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 2 หน้า 44 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเทศตะวันตกได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมใน ประเทศแถบตะวันออก ทำให้ในสมัยรัชกาลที่ 4 สังคมไทยได้ตระหนักถึงภัยที่จะเกิดขึ้น จึงเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของไทยใหม่ และยกเลิกกฎเกณฑ์บางอย่าง ที่ไม่ทันสมัย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่และอารยธรรมของสังคมไทย ต่อมาในสมัย รัชกาลที่ 5 สังคมไทยจึงได้มีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ตามแบบประเทศตะวันตกขึ้น

51.       ข้อใดเป็นวัฒนธรรมไทย

(1)       คนไทยไปเวียนเทียนที่วัดในวันวิสาขบูขา        

(2) คนไทยใส่สูทเข้าประชุม

(3) วัยรุ่นไทยชอบดูภาพยนตร์เกาหลี  

(4) ถูกทั้งหมด

ต-รบ 1 หน้า 44 – 45, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมไทย คือ แบบแผนการดำเนินชีวิตของคนไทย หรือสิ่งที่คนไทยคิดสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองทั้งทางด้านชีวภาพ จิตวิทยา และสังคม ดังนั้นวัฒนธรรมที่คนไทยสร้างขึ้นจึงมีหลายประเภทและหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม ซึ่งควรอนุรักษ์และใช้กันมาอย่างแพรหลายตั้งแต่อดีต เช่น คนไทย ไปเวียนเทียนที่วัดในวันวิสาขบูขา เป็นต้น

52.       ข้อใดเป็นวัฒนธรรมแนวดิ่ง

(1)       ภูมิปัญญาในแต่ละภูมิภาคแตกต่างกัน         

(2) ความเชื่อของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์แตกต่างกัน 

(3) ภาษาที่ใช้กับผู้อาวุโสแตกต่างจากกลุ่มเครือญาติ 

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ3 หน้า 46 – 47 วัฒนธรรมไทยแนวดิ่ง คือ ความสัมพันธ์ทางสังคมระหวางวัฒนธรรมเจ้ากับไพร่ ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านสถานภาพ เพราะคนแต่ละคนจะมีสถานะที่ลดหลั่นกันเป็นลำดับใน โครงสร้างของสังคม โดยแบบแผนพฤติกรรมที่แสดงถึงความไม่เทำเทียมกันในแนวดิ่ง ได้แก่

1.         ภาษากาย (กิริยาท่าทาง) หรือที่เรียกว่ากิริยามารยาท เช่น การไหว้ การเดินสวนกัน ฯลฯ

2.         ภาษาพูดและภาษาเขียน เช่น ภาษาที่ใช้กับผู้อาวุโสแตกต่างจากกลุ่มเครือญาติ เป็นต้น

3.         ความแตกต่างในศักดิของรางกาย เช่น เท้าต่ำสุด หัวสูงสุด เป็นต้น

53.       ข้อใดเป็น วัฒนธรรมแห่งชาติ”     

(1) วัฒนธรรมชาวบ้าน

(2)       วัฒนธรรมของชนชั้นสูง          

(3) วัฒนธรรมท้องถิ่น  

(4) วัฒนธรรมเมือง

ตอบ2 หน้า 47 เมื่อสังคมไทยพัฒนาเป็นสังคมสมัยใหม่ มีระบบโรงเรียบโรงงาน และราชการสังคมไทยได้เลือกเอาวัฒนธรรมของขนชั้นสูงเป็น วัฒนธรรมแห่งชาติ” ดังนั้นความสัมพันธ์ ทางสังคมในแนวดิ่งจึงกลายเป็นแบบแผนของความสัมพันธ์ในสังคมไทยไปโดยปริยาย

54.       ข้อใดหมายถึง วัฒนธรรม” ในยุคแรกของสังคมไทย

(1) ศิลปะต่าง ๆ (2) การไหว้    (3) วิถีชีวิต       (4) เครื่องไม้เครื่องมือในการประกอบอาชีพ

ตอบ 1 หน้า 48, (คำ,บรรยาย) ความหมายของคำว่า วัฒนธรรม” ในยุคแรกของสังคมไทยคือสิ่งที่ดีงาม ดีเลิศ มีคุณค่าซึ่งคนในสังคมได้ใช้ประพฤติปฏิบัติและแสดงออกมาช้านานในลักษณะ ที่เป็นขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะต่าง ๆ อันมีทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่ควรอนุรักษ์

55.       ทฤษฎีใดวิเคราะห์วัฒนธรรมจากพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะสะท้อนให้เห็น อำนาจ” ในสังคม

(1)       การหน้าที่        (2) วิวัฒนาการ            (3) ความขัดแย้ง          (4) สัญลักษณ์

ตอบ 3 หน้า 50 แนวความคิดหรือทฤษฎีที่นักมาบุษยวิทยานำมาใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ วัฒนธรรมไทย มีดังนี้ 1. ทฤษฎีการหน้าที่หรือหน้าที่นิยม โดยมองว่าวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็เพื่อตอบสนองสังคม คือ ทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้และมีชีวิตที่ดี โดยทำทั้งหน้าที่หลัก หน้าที่แอบแฝง ตลอดจนหน้าที่ต่อบุคคล 2. ทฤษฎีความขัดแย้ง โดยมองว่า พิธีกรรมต่าง ๆ มักสะท้อนให้เห็นถึง อำนาจ” ในสังคม ทั้งที่เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ จากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง และที่เกิดจากตัวเอง

56.       ข้อใดเป็นลักษณะของภูมิปัญญาไทย

(1)       องค์ความรู้ที่เกิดและพัฒนาในระบบนิเวศท้องถิ่น (2) องค์ความรู้ที่มีการทดลอง ปรับปรุง

(3)       คนไทยเป็นเจ้าขององค์ความรู้ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 52 – 54 ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะสำคัญ สรุปได้ดังนี้

1.         เป็นองค์ความรู้ของสังคมไทยในเกือบทุกเรื่อง เช่น การทำมาหากินด้วยการทำนาปลูกข้าว การเกษตรแบบผสมผสาน ฯลฯ

2.         เป็นองค์ความรู้ที่คนไทยคิดสร้างขึ้นและได้แปรความรู้จากนามธรรมมาสู่รูปธรรม เช่น เรือหางยาว รำผีฟ้า เสื้อผ้าที่ทำจากฝ้าย ฯลฯ

3.         เป็นองค์ความรู้เฉพาะท้องถิ่นที่แตกต่างกัน หรือเป็นสิ่งที่เกิดและพัฒนาในระบบนิเวศท้องถิ่น และเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วคนไทยในแต่ละท้องถิ่นก็จะเป็นเจ้าของชัดเจน

4.         เป็นองค์ความรู้ที่ได้จากชีวิตจริงโดยการลองผิดลองถูก หรือผ่านการทดลอง ปรับปรุง ฯลฯ

57.       ข้อใดเป็นภูมิปัญญาในระดับที่เป็นองค์ความรู้เชิงเทคนิค

(1) ป่าอยู่คนอยู่           (2) ระบบการจัดการนํ้า (3) เห็ดชนิดไหนที่กินได้ (4) แห่นางแมวขอฝน

ตอบ 3 หน้า 51-52, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้

1.         ระดับพื้นฐานเชิงเทคนิค ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรม เช่น ความรู้เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ฤดูกาลใดเหมาะแก่การเพาะปลูก การรู้ว่าพืชสัตว์อะไรกินได้ อะไรนำมาใช้สอยได้ ฯลฯ

2.         ระดับการจัดการระบบการผลิตและทรัพยากร เช่น การรู้จักคัดเลือกพันธุ์พืชและพื้นที่ เพาะปลูก การดูคุณสมบัติของดิน การสร้างเหมืองฝาย ระบบการจัดการนํ้า ฯลฯ

3.         ระดับการควบคุมโดยใข้ความเชื่อและพิธีกรรม เช่น ความเชื่อเรื่องรุกขเทวดา พิธีแห่นางแมวขอฝน รวมทั้งจารีตประเพณีต่าง ๆ

4.         ระดับวิธีคิดหรือค่านิยม ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมและเป็นระดับสงสุดของสังคม เช่น อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน ป่าอยู่คนอยู่ ฯลฯ

58. ข้อใดเป็นภูมิปัญญาเด่นของภาคเหนือ

(1) การออกแบบชลประทาน   (2) การถนอมอาหาร

(3) ปลูกบ้านที่ดินดำนํ้าชุ่ม      (4) ปลูกข้าว

ตอบ1 หน้า 54 – 65 ภูมิปัญญาไทยที่โดดเด่นของแต่ละภาคมีดังนี้

1.         ภาคเหนือ ได้แก่ ระบบเหมืองฝาย ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาด้านการออกแบบชลประทาน เพื่อการจัดการนํ้าที่เด่นเฉพาะของชาวเหนือ ความรู้เรื่องสมุนไพร การสืบชะตาขุนนํ้า บวชต้นไม้ บวชป่า ฯลฯ

2.         ภาคอีสาน ได้แก่ การทำนาปลูกข้าวในที่ดินดำนํ้าชุ่ม ความเชื่อเรื่องดาวผีดาน การตั้งศาลปู่ตา ในถิ่นฐานใหม่ ความสามารถในการจับและกินแมลง ระบบพ่อแก้ว-ลูกแก้ว การผูกเสี่ยว ฯลฯ

3.         ภาคกลาง ได้แก่ การปลูกข้าว ภูมิปัญญาเกี่ยวกับวัฒนธรรมข้าว และพิธีกรรมที่สืบเนื่องจาก ตำนานข้าว เช่น พิธีแรกนา พิธีทำขวัญข้าว ฯลฯ

4.         ภาคใต้ ได้แก่ การปลูกบ้านมีตีน การถนอมอาหาร การผูกดอง ผูกเกลอ ความเชื่อเรื่อง ธาตุสี่ ฯลฯ

59.       ผูกเกลอ” เป็นภูมิปัญญาภาคใด

(1)       ภาคเหนือ        (2) ภาคกลาง  (3) ภาคอีสาน  (4) ภาคใต้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 58. ประกอบ

60.       ข้อใดเป็นภูมิปัญญาไทย

(1)       องค์ความรู้ในการใช้ Internet      (2) องค์ความรู้ในการรักษาโรคตามแพทย์ปัจจุบัน

(3) องค์ความรู้ในการทำนาปลูกข้าว   (4) องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ดี

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 56. ประกอบ

61.       วัฒนธรรมหลวงเป็นวัฒนธรรมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร

(1) การบูรณาการ        

(2) ความเป็นเอกภาพของสังคมไทย

(3) ความเจริญก้าวหน้าของบระเทศ   

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

62.       สถาบันทางสังคมสถาบันใดมีหน้าที่ตอบสนองความต้องการทางด้านจิตใจของสมาชิก

(1)       การศึกษา       

(2) ศาสนา       

(3) การเมืองการปกครอง        

(4) เศรษฐกิจ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ

63.       ศิลปกรรมไทยตามวัดและวัง เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงให้เห็นอะไร      

(1) ประเพณีไทย

(2)       ลักษณะนิสัยประจำชาติ        

(3) ลักษณะชาติ          

(4) ระบบอำนาจของไทย

ตอบ 3 หน้า 65 – 66, (คำบรรยาย) เอกลักษณ์พื้นฐานของสังคมไทย ได้แก่

1.         ชาติ หมายถึง ลักษณะหรือเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทย โดยเฉพาะที่แสดงให้เห็นถึง ความเป็นคนไทย ความภาคภูมิใจและความสำนึกในความเป็นไทย รวมทั้งการมีวัฒนธรรมไทย เช่น ศิลปกรรมไทย พฤติกรรมความเป็นอยู่แบบอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทย อาหารไทย ภาษาไทย ดนตรีไทย ธงชาติและการยืนตรงทำความเคารพเพลงชาติไทย ฯลฯ

2.         ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะอุปนิสัย ทัศนคติในการมองโลก และวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย

3.         พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และทรงมีภาระหน้าที่ ในการขจัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรไทยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

4.         การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

64.       ข้อใดคือเอกลักษณ์ไทย         

(1) การไหว้

(2)       สมุนไพร           (3) ความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์   (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 65 เอกลักษณ์ไทยจะปรากฏทั้งในด้านรูปธรรมและนามธรรม ดังนี้

1.         ด้านรูปธรรม ได้แก่ สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ดนตรี การไหว้ สมุนไพรรักษาโรค อาหาร เครื่องแต่งกาย วิถีชีวิตของคนไทย ฯลฯ

2.         ด้านนามธรรม ได้แก่ ลักษณะนิสัย ทัศนคติ คุณค่า ความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์ ฯลฯ

65.       อะไรคือเอกลักษณ์พื้นฐานของไทย

(1) ชาติ            (2) ศาสนา       (3)       พระมหากษัตริย์          (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

66.       พระมหากษัตริย์ยุคใดที่มีลักษณะเป็น เทวราชา

(1) สุโขทัย       (2) อยุธยา       (3)       กรุงรัตนโกสินทร์          (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 66, (คำบรรยาย) คุณลักษณะของพระมหากษัตริย์ไทยแต่ละยุคลมัยจะแตกต่างกันดังนี้

1.         สมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นธรรมิกราชหรือธรรมราชาที่ทรงยึดหลักทศพิธราชธรรม

2.         สมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ส่วนใหญ่มลักษณะเป็นเทวราชาหรือสมมติเทพที่เชื่อว่าเป็น ปางอวตารของพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์

3.         สมัยรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์มีลักษณะกึ่งกลางระหว่างธรรมราชาและเทวราชา

67.       ข้อใดแสดงให้เห็นถึง ความเป็นชาติไทย

(1) เพลงชาติไทย         (2) ดนตรีไทย   (3)       อาหารไทย       (4)       ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

68.       ลักษณะนิสัยประจำชาติ” มีความหมายตรงกับข้อใด

(1)       เป็นภาพรวมทสะท้อนให้เห็นลักษณะบุคลิกภาพของคนในชาติ

(2)       การอบรมเลี้ยงดูของคนในชาติ

(3)       ความสัมพันธ์ของคนในชาติ

(4)       พฤติกรรมของคนในชาติ

ตอบ 1 หน้า 68, (คำบรรยาย) ลักษณะนิสัยประจำชาติ หมายถึง ลักษณะทางบุคลิกภาพที่เห็บเด่นชัดอันเป็นผลจากองค์ประกอบทางวัฒนธรรมและโครงสร้างสังคม ตลอดจนการกระทำโต้ตอบกัน ระหว่างวัฒนธรรมและบุคลิกภาพเดิม ดังนั้นลักษณะนิสัยประจำชาติจึงเป็นภาพรวมที่สะท้อน ให้เห็นลักษณะบุคลิกภาพของคนในชาตินั้น ๆ ในลักษณะของภาพแบบเดียวกัน (Stereotype) หรือภาพประทับใจ (Impression) เช่น คนอังกฤษเก็บตัว คนยิวตระหนี่ เป็นต้น

69.       สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม” หมายความว่าอย่างไร 

(1) คนไทยขาดวินัย

(2)       คนไทยมีลักษณะยืดหยุ่น        (3) คนไทยชอบอิสระ   (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 69, (คำบรรยาย) เอมบรี (Embree) กล่าวว่า สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม(Loosely Structured) นั่นคือ คนไทยขาดระเบียบวินัย มีลักษณะปัจเจกบุคคลนิยมสูง ชอบอยู่โดดเดี่ยว ไม่ชอบการรวมกลุ่ม และเป็นสังคมที่มีลักษณะยืดหยุ่นประนีประนอมสูง นอกจากนี้คนไทยยังรักอิสระ นิยมเลือกทำตามใจตนเอง ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ชอบผูกมัด ต่อหน้าที่ และพยายามหลีกเลี่ยงพันธะทางสังคม จึงมักมีปัญหาในการทำงานรวมกลุ่มกับผู้อื่น

70.       ค่านิยม การเล็งผลปฏิบัติ” ทำให้คนไทยมีนิสัยอย่างไร

(1)       ชอบทำงานคนเดียว     (2) ตั้งเป้าหมายในการทำงานไว้สูง

(3)       ทำเฉพาะสิ่งที่เอิ้อประโยชน์ตนเท่านั้น (4) ชอบทำงานสาธารณประโยชน์

ตอบ 3 หน้า 70, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ กลาวว่า คนไทยเล็งผลการปฏิบัติ หมายถึง คนไทยจะชอบทำเฉพาะสิ่งที่เอื้อประโยชน์กับตนเท่านั้น โดยพิจารณาว่าถ้าสิ่งนั้น ขัดกับประโยชน์ส่วนตนหรือเกิดความเสียหายก็จะไมปฏิบัติ แต่ถ้าเสริมประโยชน์กับตนก็จะปฏิบัติ

71.       คนไทยรักสนุก ใจเย็น และวัฒนธรรมไทยถูกครอบงำโดยเพศชาย” เป็นคำกล่าวของผู้ใด

(1) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ           

(2) ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง

(3)       อดุล วิเชียรเจริญ         

(4) รูธ เบเนดิกท์

ตอบ 4 หน้า 69, (คำบรรยาย) รูธ เบเนดิกท์ นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน กล่าวว่า คนไทยรักสนุก ใจเย็น และวัฒนธรรมไทยถูกครอบงำโดยเพศชาย ซึ่งลักษณะตั้ง 3 นี้เป็นผลมาจากความเชื่อ ทางศาสนา การอบรมขัดเกลาทางสังคม และแบบแผนการเลี้ยงดู นอกจากนี้เขายังให้ทัศนะ ต่อไปอีกว่าสาเหตุที่ทำให้คนไทยชอบสนุกนั้นเกิดจากการอบรมเลี้ยงดู การทำมาหากินแบบ เกษตรกรรม และการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบุรณ์

72.       พูดได้ตามใจคือไทยแท้” หมายถึงคนไทยมีนิสัยอย่างไร

(1) ปัจเจกบุคคล         

(2) รักอิสระและความเป็นไทย

(3)       หาความสุขจากชีวิต    

(4) นิยมความโอ่อ่า

ตอบ 2 หน้า 70, (คำบรรยาย) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงลักษณะนิสัยของคนไทย ไว้ประการหนึ่ง ได้แก่ คนไทยรักความเป็นไทย คือ การรักอิสรเสรี เนื่องจากคนไทยชอบ การคิดที่เสรี พูดที่เสรี และการกระทำที่เสรี (มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม) ดังคำกล่าว ที่ว่า พูดได้ตามใจคือไทยแท้

73.       เพราะเหตุใดลักษณะนิสัยส่วนรวมของคนไทยจึงแตกต่างจากชนชาติอื่น     

(1) การอบรมเลี้ยงดู

(2)       ความเชื่อทางศาสนา   

(3) ประวัติศาสตร์ความเป็นมา            

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 68 ปัจจัยที่ทำให้ลักษณะนิสัยประจำชาติ หรือลักษณะนิสัยส่วนรวมของคนไทย แตกต่างจากชนชาติอื่น มีดังนี้     1. ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคม

2.         ความเชื่อทางศาสนา   3. การอบรมเลี้ยงดู

4.         สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ        5. สิ่งแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรม

74.       ข้อใดเป็นลักษณะนิสัยของเด็กไทยรุ่นใหม่    

(1) เคารพผู้อาวุโส

(2)       เลียนแบบวัฒนธรรมอื่น (3) อนุรักษ์บรรทัดฐานของสังคม      (4) เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม

ตอบ2 หน้า 70 – 71, (คำบรรยาย) จากวิกฤตทางวัฒนธรรมของไทยทำให้เด็กไทยรุ่นใหม่มีนิสัยดังนี้

1.         ขี้เหงา ติดเพื่อน           2. ไม่มีความอดทนในการรอคอย         3. เจ้าอารมณ์

4.         เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน 5. ขาดจิตสำนักสาธารณะ   6. ชอบทันสมัย ฟุ่มเฟือย

ฟุ้งเฟ้อ และตามแฟชั่น            7. ชอบเลียนแบบวัฒนธรรมอื่น (โดยเฉพาะวัฒนธรรมตะวันตก)

ที่แพร่เข้ามาเพื่อความเป็นสากล ฯล

75.       ข้อใดเป็นลักษณะของ ครอบครัวลูกระเบิด”        

(1) ครอบครัวหย่าร้าง

(2)       ครอบครัวแยกกันอยู่    (3) ครอบครัวทะเลาะเบาะแว้ง            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 70, (คำบรรยาย) ครอบครัวลูกระเบิด เป็นลักษณะของครอบครัวที่มีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง มีเรื่องระหองระแหงกันอยู่เสมอ ถึงขั้นลงมือลงไม้ตบตีกัน หาบรรยากาศร่มเย็นไม่ได้ จึงเป็น ครอบครัวที่มีแต่ความร้อนใจจนไม่น่าอยู่

76.       ข้อใดคือความหมาย วิกฤตวัฒนธรรม

(1)       วิถีชีวิตของคนในสังคมมีความขัดแย้งในระบบคุณค่าและมาตรฐานทางศีลธรรม

(2)       ความคิดเห็นของคนในสังคมแตกต่างกัน

(3)       ทัศนคติของคนในสังคมแตกต่างกัน

(4)       ความสัมพันธ์ของคนในชนบทและคนในเมืองแตกต่างกัน

ตอบ 1 หน้า 7276, (คำบรรยาย) สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้ความหมายว่าวิกฤตวัฒนธรรม หมายถึง ปรากฏการณ์ที่เบี่ยงเบนไปจากวิถีชีวิตอันดีงาม หรือวิถีชีวิตของคน ในสังคมที่มีความขัดแย้งสวนกระแสในระบบคุณค่าและมาตรฐานทางศีลธรรม นั่นคือ พฤติกรรม ของคนที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยยึดถือปฏิบัตินั่นเอง ซึ่งตัวอย่างของวิกฤตทางวัฒนธรรม ในสังคมไทย เช่น ความรุนแรงต่างๆ ทางสังคมการแล้ง-น้ำใจ ดูดายการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมการให้ความสำคัญกับเงินหรือวัตถุมากกว่าสิ่งอื่นปัญหาสิ่งแวดล้อมความขัดแย้ง ด้านผลประโยชน์ และความเชื่อว่าสวรรค์กับการบริโภคเป็นสิ่งเดียวกับ ฯลฯ

77.       ข้อใดคือตัวอย่างของวิกฤตวัฒนธรรมไทย

(1) การทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคม          (2) ปัญหาสิ่งแวดล้อม

(3)       คนในสังคมเน้นเรื่อง เงิน” มากกว่าสิ่งอื่น      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 76. ประกอบ

78.       ข้อใดเป็นตัวอย่างของสังคมไทยที่มีการพัฒนาแบบ รูปแบบก้าวหน้า เนื้อหาล้าหลัง

(1)       ปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานคร   (2) ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต

(3)       ปัญหานํ้ามันมีราคาแพง          (4) ปัญหาความยากจน

ตอบ 1 หน้า 73 – 74 สังคมไทยมีความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา หรือมีลักษณะ รูปแบบก้าวหน้าเนื้อหาล้าหลัง” หมายถึง สังคมไทยรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาแต่วัตถุกับเปลือก แต่มิได้เรียนรู้ วิธีคิด ตลอดจนเนื้อหาที่แท้จริง จนทำให้เกิดความล่าทางวัฒนธรรม (Culture La§) เช่น คนไทยมีปัญญาซื้อรถยนต์ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครได้ หรือการมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต แต่ไม่รู้วิธีใช้หรือใช้อย่างผิด ๆ ไม่ได้ประโยชน์ และไม่มีกฎหมายควบคุมที่ได้ผล เป็นต้น

79.       วิกฤตวัฒนธรรมของไทยเกิดจากปัจจัยใด    

(1) การพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

(2)       เทคโนโลยีก้าวไกล     (3) การสื่อสารแบบไร้พรมแดน            (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า .72 – 74, (คำบรรยาย) ที่มาและปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตทางวัฒนธรรมไทย มีดังนี้

1.         เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้มีการ พัฒนาประเทศให้ทันสมัย เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เทคนิควิทยาด้าน ต่าง ๆ และระบบสื่อสารคมนาคมแบบไร้พรมแดน จนเกิดภาวะ ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา

2.         การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไปสู่ระบบทุนนิยมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด ความสับสนในมาตรฐานเกี่ยวกับความดี ความชั่ว ที่เคยยึดถือกันมา

80.       การที่มาตรฐานเกี่ยวกับความดี ความชั่วของคนไทยเกิดความสับสนนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) ระบบค่านิยม         (2) การปฎิรูปการเมือง (3) วิกฤตทางวัฒนธรรม (4) การขยายตัวของเมือง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

81.       เพราะเหตุใดระบบความเชื่อจึงเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับการรวมกลุ่มเป็นสังคมของมนุษย์

(1)       มนุษย์ศรัทธาในธรรมชาติ       

(2) มนุษย์ไม่แน่ใจในธรรมชาติ

(3)       มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ        

(4) มนุษย์พยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ

ตอบ 2 หน้า 79, (คำบรรยาย) ระบบความเชื่อเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับการรวมกลุ่มเป็นสังคมของมนุษย์เนื่องจากมนุษย์ไม่แน่ใจในธรรมชาติ เกิดความกลัวธรรมชาติ ดังนั้นมนุษย์จึงสร้างระบบความเชื่อขึ้นเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นการส่งเสริมอำนาจ เป็นการตอบสนองความกลัวในสิ่ง เหนือธรรมชาติ ตลอดจนเป็นเครื่องมือควบคุมมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีระเบียบ

82.       ความเหมือนกันของศาสนากับความเชื่อคือข้อใด      

(1) มีศาสดาเป็นผู้ก่อตั้ง

(2)       มีหสักธรรมคำสอน 

(3) มีความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ  

(4) การกำเนิดและสิ้นสุดของโลก

ตอบ 3 หน้า 79 ศาสนาและความเชื่อมีสิ่งที่ตรงกันหรือเหมือนกัน คือ มีที่มาจากความเชื่อว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ลึกลับบางอย่างหรือหลายอย่างที่อยู่นอกเหนือมนุษย์ธรรมดา และความเชื่อ ในอำนาจเหนือธรรมชาตินี้จะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งในทางดีและทางร้าย ทั้งให้คุณและให้โทษได้ แต่ความเชื่อจะต่างจากศาสนาในแงที่ว่าความเชื่ออาจจะไม่แสดง กำเนิดและการสิ้นสุดของโลก หรืออาจไม่มีหลักธรรมคำสอนที่เกี่ยวกับบุญ-บาปเป็นศีลธรรม เหมือนกับศาสนา

83.       อะไรคือจุดมุ่งหมายของศาสนาต่าง ๆ

(1) ให้มนุษย์อยู่ร่วมกับโดยสันติสุข     

(2) ให้มนุษย์อยู่ร่วมกันโดยใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์

(3)       ให้มนุษย์พ้นทุกข์        

(4) ให้มนุษย์มืความสุขในทางโลก

ตอบ1 หน้า 79 คำสอนของศาสนาต่าง ๆ โดยรวมแล้วจะมีจุดมุ่งหมายเน้นให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน

84.       อะไรเป็นองค์ประกอบหลักของศาสนา

(1)       พิธีกรรม          (2) ตัวความเชื่อ           (3) ผู้ประกอบพิธีกรรม (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ4 หน้า 80 องค์ประกอบหลักของศาสนาและความเชื่อ ได้แก่ 1. ตัวความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือ ธรรมชาติที่ให้คุณให้โทษแก่ชีวิตมนุษย์ได้ เช่น ผี เจ้า เทวดา อิทธิพลของดวงดาว ฤกษ์ยาม ฯลฯ 2. บุคคลผู้รู้ที่ติดต่อกับอำนาจลึกลับและสิ่งศักด์สิทธิ์นั้น ๆ เช่น คนทรง หมอผี นักบวช ผู้ประกอบพิธิกรรม ฯลฯ 3. พิธีกรรม 4. สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 5. วัตถุศักดิ์สิทธิ์หรือวัตถุมงคล

85.       ความเชื่อเรื่องใดที่คนไทยใช้เป็นหลักยึดทางด้านจิตใจ         

(1) หลักธรรมคำสั่งสอนทางศาสนา

(2)       โหราศาสตร์    (3) ไสยศาสตร์ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 81 – 83, (คำบรรยาย) ความเชื่อในสังคมไทยที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ แบ่งออก ได้ดังนี้ 1. ความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ได้แก่ ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ความเชื่อเรื่องขวัญ ความเชื่อเรื่องไสยคาสตร์ โหราศาสตร์ ฯลฯ 2. ความเชื่อด้านศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์ เช่น การเชื่อว่าชีวิตเป็นไปตามกรรม เมตตาธรรมคํ้าจุนโลก ลัทธิเทวราชา พรหมลิขิต คติไตรภูมิ ฯลฯ

86.       ประเภทความเชื่อของศาสนาพุทธคือข้อใด

(1) เทวนิยม     (2) อเทวนิยม   (3) เอกเทวนิยม           (4) พหุเทวนิยม

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ประเภทความเชื่อของศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม คือ เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า แสะเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ด้วย ความเพียรของตน

87.       ข้อใดคือหลักคำสอนสำคัญของกาลามสูตร

(1) เชื่อผู้ที่เชื่อถือได้     (2) เชื่อเพราะเป็นตำรา

(3)       เชื่อเพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญ       (4) เชื่อโดยใช้วิจารณญาณและเหตุผล

ตอบ 4 (คำบรรยาย) หลักคำสอนสำคัญของกาลามสูตรในศาสนาพุทธ เป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงาย โดยควรใช้ปัญญา ไตร่ตรอง หรือใช้วิจารณญาณและเหตุผลพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนที่จะเชื่อ

88.       อะไรคือที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างในทัศนะของชาวพุทธ

(1) กรรม          (2) พระพรหม  (3) สิ่งเหนือธรรมชาติ  (4) ขวัญ

ตอบ 1 หน้า 83, (คำบรรยาย) ในทัศนะของชาวพุทธ กรรม” คือ การกระทำของเรา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งหลาย และเป็นที่มาของทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเมื่อกระทำสิ่งใด ผลของกรรมที่เกิดจากการกระทำนั้นก็จะตามมา กรรมที่กระทำไว้ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือ กรรมชั่วจะยังผลให้มีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร จึงกล่าวได้ว่าพื้นฐานชีวิตความเป็นอยู่ ปัจจุบันจะเป็นเช่นไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับ กรรม” หรือบาปบุญที่ได้กระทำไว้ในชาติหนึ่งนั่นเอง

89.       อะไรคือหลักคำสอนในศาสนาพุทธ

(1) จงทำดี จงทำดี       (2) จงทำดี ละเว้นความชั่ว

(3)       ทำใจให้บริสุทธิ์            (4) จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำใจให้บริสุทธิ์

ตอบ 4 หน้า 83, (คำบรรยาย) หลักคำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจหรือแก่นของศาสนาพุทธ ได้แก่ จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ การดับทุกข์

90.       ศาสนาพุทธได้รับการปรับปรุงให้มีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นในยุคสมัยใด

(1) พ่อขุนรามคำแหงมหาราช  (2) พระบรมไตรโลกนาถ

(3) รัชกาลที่ 4  (4) รัชกาลที่ 6

ตอบ 3 หน้า 82 เมื่อไทยยอมรับวัฒนธรรมตะวันตกและเข้าสู่สมัยใหม่ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ชนชั้นปกครองของไทยเริ่มให้ความสำคัญกับความรู้ ที่อธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ดังนั้นความรู้ความเชื่อทางด้านศาสนาพุทธจึงได้รับ การปรับปรุงให้ดูมีเหตุผลและเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น

91.       ข้อใดหมายถึงประเพณีไทย

(1) การขึ้นบ้านใหม่     

(2) การบวช     

(3) สงกรานต์   

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 85 – 87, (คำบรรยาย) ประเพณีไทยแบ่งตามลักษณะทั่วไปออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวาระต่าง ๆ ของชีวิตคนไทยแต่ละคน ได้แก่ ประเพณีเกี่ยวกับ การเกิด การตาย การบวช การสมรส การขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น

2. ประเพณีที่เกียวข้องกับสังคมไทย ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ และความเป็นอยู่ ของคน ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ลอยกระทง จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ บุญบั้งไฟ แห่นางแมว บูชาพระแม่ธรณี ปั้นเมฆ ตลอดจนงานบุญ และการละเล่นอื่น ๆ เช่น แข่งเรือ การเข้าทรงแม่ศรี ผีครก ผีสาก เป็นต้น

92.       ข้อใดคือความหมาย ประเพณี

(1)       เป็นแบบแผนของพฤติกรรมที่สมาชิกในสังคมได้มีการสร้างและปฏิบัติสิบทอดกันมา

(2)       เป็นค่านิยมในสังคม

(3)       เป็นความสัมพันธ์ของคนในสังคม

(4)       เป็นความเชื่อของคนในสังคม

ตอบ 1 หน้า 85 ประเพณี คือ แบบแผนของพฤติกรรมเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่สมาชิกในสังคมได้มี การสร้างและปฏิบัติสืบทอดกันมา ซึ่งมีหลายประเภท ได้แก่

1.         จารีตประเพณี คือ แบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมและศีลธรรม ผู้ที่ละเมิด หรือไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษจากสังคม

2.         ธรรมเนียม คือ แบบแผนพฤติกรรมที่สังคมกำหนดไว้และปฏิบัติสืบทอดกันมา

3.         ประเพณีปรัมปรา คือ แบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบความคิด คุณค่า ทัศนคติ ซึ่งมีการสั่งสมสืบทอดมาตั้งแต่อดีตและปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน

4.         ขนบธรรมเนียม คือ ประเพณีที่มีระเบียบแบบแผนและถูกกำหนดขั้นตอนไว้ชัดเจน ในการปฏิบัติ เช่น ประเพณีการสมรส การบวช การตาย ฯลฯ

5.         ธรรมเนียมประเพณีหรือวิถีประชา คือ ประเพณีที่เป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

93.       ประเพณีไทยมีความสำคัญอย่างไร

(1) ส่งเสริมความสามัคคี         

(2) แสดงความกตัญญู

(3) แสดงความเป็นอารยะ       

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 85 – 86, (คำบรรยาย) ความสำคัญของประเพณีไทย มีดังนี้ 1. แสดงความเป็นอารยะ 2. ส่งเสริมความสามัคคี

3.         แสดงถึงความกดัญญูรู้คุณ     4. ช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนา

5.         แสดงถึงประวัติความเป็นมาของชาติ 6. เป็นมรดกทางสังคม

7. แสดงโลกทัศน์ของคนไทย   8. แสดงให้เห็นระบบความสัมพันธ์ในสังคม ฯลฯ

94.       ลอยกระทง” เป็นประเพณีประเภทใด

(1) ประเพณีสังคม      (2) ประเพณีชีวิตบุคคล (3) ประเพณีท้องถิ่น  (4) จารีตประเพณี

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ

95.       ข้อใดเป็นประเพณีที่คนไทยต้องประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ

(1) ขนบธรรมเนียม      (2) ประเพณีปรัมปรา  (3) จารีตประเพณี       (4) ธรรมเนียมประเพณี

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

96.       บุญบั้งไฟ” เป็นประเพณีของท้องถิ่นใด

(1) ภาคกลาง  (2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

(3) ภาคเหนือ   (4) ภาคใต้

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือ

ภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องพระยาคันคาก และ เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทานได้กล่าวถึงชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อการบูชาพญาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร โดยชาวบ้านมีความเชื่อว่าพญาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตก ตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกตามฤดูกาล จนอาจก่อให้เกิดภัยพิบ้ติกับหมู่บ้านได้

97.       ข้อใดคือลักษณะของ ธรรมเนียมประเพณี

(1) เป็นแบบแผนพฤติกรรมที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้         (2) เป็นแบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม

(3) เป็นแบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวกับระบบความคิด (4) เป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

98.       สถาบันทางสังคมหมายถึงข้อใด

(1) ประเพณี    (2) กฎเกณฑ์สังคม     (3) ค่านิยม      (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

99.       “สุวรรณภูมิ” หมายถึงประเทศใด

(1)ไทย (2)จีน (3)อินเดีย          (4)ประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตอบ 4 หน้า 1826 – 27 สุวรรณภูมิ หมายถึง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด หรืออุษาคเนย์ ซึ่งประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา (เขมร) มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน และพิลิปปินส์ โดยคำว่า สุวรรณภูมิ มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต 2 คำ คือ สุวรรณ + ภูมิ แปลว่า แผ่นดินทอง หรือแหลมทอง ซึ่งเป็นคำที่ชาวอินเดียโบราณที่เข้ามาติดต่อ แลกเปลี่ยนสิ่งของเป็นผู้ใช้เรียก เพราะดินแดนแถบนี้มีความมั่งคั่งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ

100.    ระบบความสัมพันธ์ในสังคมไทยที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้คืออะไร

(1) ระบบขุนนาง          (2) ระบบอุปถัมภ์        (3) ระบบญาติพี่น้อง   (4) ระบบประชาธิปไตย

ตอบ 2 หน้า 34 – 35, (คำบรรยาย) ระบบความสัมพันธ์ในสังคมไทยปัจจุบันที่ถือเป็นมรดกสืบทอด มาจากระบบความสัมพันธ์ในอดีต คือ ระบบอุปถัมภ์หรือระบบเครือญาติ (Patron-client Relationship) ในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างคนที่มีฐานะต่างกัน เช่น ผู้ใหญ่กับผู้น้อย หรือนายกับบ่าวที่ต่างยอมรับต่อกัน มีหน้าที่ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยต่อกัน และจะขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไปไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!