การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  นางโสภามีบุตร  4  คน  คือ  นายหนึ่ง  นายสอง  นายสาม  และนายสี่  นางโสภา  นายหนึ่ง  นายสอง  และนายสามร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องนายสี่ว่า  โจทก์ทั้งสี่ได้รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม  แต่เข้าครอบครองที่ดินมี  น.ส.3  ซึ่งเป็นมรดกไม่ได้  เพราะจำเลยขัดขวาง  จึงขอเรียกทรัพย์มรดกโดยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่  1 กึ่งหนึ่ง  อีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของสามีโจทก์ที่  1  ซึ่งตกได้แก่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยในฐานะทายาทส่วนละเท่าๆกัน  นายสี่ซึ่งตกเป็นจำเลยต่อสู้ว่า  ที่ดินพิพาทจำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวตามข้อตกลงของทายาทและจำเลยมีชื่อใน  น.ส. 3  จำเลยครอบครองโดยสงบ  เปิดเผย  ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า  10  ปีแล้ว  จึงได้สิทธิครอบครอง  หากในวันสืบพยาน  คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ  อยากทราบว่าคดีนี้คู่ความฝ่ายใดเป็นฝ่ายแพ้คดี

ธงคำตอบ

 มาตรา  84/1  คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น  แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1373  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

วินิจฉัย

ในเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ในคดีที่คู่ความพาทกันว่าทรัพย์สินเป็นของคู่ความฝ่ายใด  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์จำพวกที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดิน  หรือทะเบียนสิทธิครอบครองเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.3  หรือ  น.ส.3  ก.)  บุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นสิทธิครอบครองตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  และโฉนดที่ดิน  น.ส.3  หรือ  น.ส.3 ก.  ก็เป็นเอกสารมหาชนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น  ซึ่งตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  127  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้และถูกต้อง  กรณีเช่นนี้  จึงต้องเป็นหน้าที่ของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องมีภาระการพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายนั้น

แต่อย่างไรก็ตาม  ในคดีมรดกซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกซึ่งอยู่ที่จำเลยนั้น  แม้ว่าจำเลยจะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ก็มิใช่ว่าจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานเสมอไป  หากจำเลยรับว่าเป็นทรัพย์ของผู้ตายจริง  แต่ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกให้ผู้อื่นไปแล้ว  หรือว่าได้มีการแบ่งมรดกกันแล้ว  กรณีเช่นนี้  ถือว่าเป็นกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่  ดังนี้  ภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่จำเลย  (ฎ.122/2490,  ฎ. 596/2534)

หากในวันสืบพยาน  คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ  คู่ความฝ่ายใดจะเป็นฝายแพ้คดี  เห็นว่า  คดีนี้  แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.3)  ซึ่งเป็นที่ดินพิพาท  และได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองก็ตาม  แต่การที่จำเลยให้การรับว่าที่พิพาทเป็นมรดก  และกล่าวอ้างข้อ

เท็จจริงขึ้นใหม่ว่า  จำเลยมีชื่อใน  น.ส.3  แต่ผู้เดียวตามข้อตกลงของทายาท  จำเลยครอบครองโดยสงบเปิดเผย  ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า  10  ปีแล้ว  จึงได้สิทธิครอบครอง  จำเลยจึงยังต้องมีภาระการพิสูจน์ให้เห็นว่า  จำเลยได้รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาทอันเป็นมรดกตามข้อตกลงของทายาทโดยชอบ  และได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองดังกล่าวว่าได้ครอบครองเพื่อตนและสุจริตอันเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมาใหม่อีกด้วย  ดังนั้นจำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ตามมาตรา  84/1  เช่นนี้  หากในวันสืบพยาน  คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ  จำเลยจะเป็นฝ่ายแพ้คดีเพราะไม่นำพยานเข้าสืบตามหน้าที่  (ฎ. 5132/2539)

สรุป  หากในวันสืบพยานคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ  จำเลยจะเป็นฝ่ายแพ้คดี

ข้อ  2  มีบุคคลใดบ้างที่ห้ามออกหมายเรียกมาเป็นพยานในคดีแพ่งและคดีอาญา

ธงคำตอบ

อธิบาย

โดยหลักแล้ว  ในคดีแพ่งเมื่อคู่ความฝ่ายใดไม่สามารถนำพยานของตนมาศาลได้เอง  คู่ความฝ่ายนั้นอาจขอต่อศาลก่อนวันสืบพยานให้ออกหมายเรียกพยานนั้นมาศาลได้  โดยศาลอาจให้คู่ความฝ่ายนั้นแถลงถึงความเกี่ยวพันของพยานกับข้อเท็จจริงในคดีอันจำเป็นที่จะต้องออกหมายเรียกพยานดังกล่าวด้วย  และต้องส่งหมายเรียกพร้อมสำเนาคำแถลงของผู้ขอให้พยานรู้ล่วงหน้าอย่างน้อย  3  วัน  (ป.วิ.พ.  มาตรา  106)

แต่อย่างไรก็ตาม  ห้ามมิให้ออกหมายเรียกพยานดังต่อไปนี้

1)    พระมหากษัตริย์  พระราชินี  พระรัชทายาท  หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ไม่ว่าในกรณีใดๆ

2)    พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา  ไม่ว่าในกรณีใดๆ

3)    ผู้ที่ได้รับเอกสิทธิ์หรือความคุ้มกันตามกฎหมาย

ในกรณีตาม  2)  และ  3)  ให้ศาลหรือผู้พิพากษาที่รับมอบหรือศาลที่ได้รับแต่งตั้งออกคำบอกกล่าวว่าจะสืบพยานนั้น  ณ  สถานที่และวันเวลาใดแทนการออกหมายเรียก  โดยในกรณีตาม  2)  ให้ส่งไปยังพยานส่วนตาม  3)  ให้ส่งคำบอกกล่าวไปยังสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อดำเนินการตามบทบัญญัติว่าด้วยการนั้น  หรือตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  (ป.วิ.พ.  มาตรา  106/1)

สำหรับการห้ามออกหมายเรียกมาเป็นพยานในคดีอาญา  เนื่องจากกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  กรณีจึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  (ป. วิ.พ.  มาตรา  106/1)  มาใช้บังคับกับคดีอาญาด้วยตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  15

 


ข้อ  3  คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  โจทก์นำสืบแสดงสำเนาใบส่งของต่อศาล  จำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับเอกสารแต่อย่างใด  ศาลได้วินิจฉัยรับฟังตามสำเนาเอกสารดังกล่าว  จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลล่างรับฟังสำเนาเอกสารของโจทก์นั้น  เป็นการรับฟังพยานเอกสารที่มิชอบด้วยกฎหมาย  เพราะโจทก์มิได้ขออนุญาตศาลก่อนเพื่อนำสำเนาเอกสารดังกล่าวมาสืบ  ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  93  การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น  เว้นแต่

(2) ถ้าต้นฉบับเอกสารนำมาไม่ได้  เพราะถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือสูญหาย  หรือไม่สามารถนำมาได้โดยประการอื่น  อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ  หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นำมาไม่ได้นั้น  ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้

วินิจฉัย

ตามมาตรา  93(2)  กำหนดว่า  ถ้าต้นฉบับเอกสารนำมาไม่ได้  เพราะถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือสูญหาย  หรือไม่สามารถนำมาได้โดยประการอื่น  อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ  หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นำมาไม่ได้นั้น  ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้  ถ้อยคำในตัวบทที่ว่า  ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้  มีลักษณะทำนองว่าจะต้องขออนุญาตต่อศาล  กล่าวคือ หากมีเหตุตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  93(2)  แล้ว  ศาลย่อมอนุญาตให้นำสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนได้เสมอ  หรือหากศาลยอมให้สืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนไปเลย  ก็ถือได้ว่าอนุญาตโดยปริยาย  ไม่จำต้องขออนุญาตต่อศาลก่อน

การที่ศาลล่างทั้งสองศาลรับฟังสำเนาเอกสารของโจทก์นั้นเป็นการรับฟังที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  การที่โจทก์นำสืบแสดงสำเนาใบส่งของต่อศาล  และจำเลยมิได้โต้แย้งว่าโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับเอกสาร  เมื่อศาลล่างได้วินิจฉัยรับฟังตามสำเนาเอกสารดังกล่าว  ก็ถือได้ว่าศาลได้อนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ในกรณีไม่สามารถนำต้นฉบับเอกสารมาได้โดยประการอื่นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  93(2)  แล้ว  โยโจทก์ไม่จำต้องขออนุญาตศาลก่อน  ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น  (ฎ. 5841/2545)

สรุป  การที่ศาลล่างทั้งสองศาลรับฟังสำเนาเอกสารของโจทก์นั้น  เป็นการรับฟังที่ชอบด้วยกฎหมาย  ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

Advertisement