การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายหนึ่งออกเช็คชำระหนี้ให้นายสอง  100,000  บาท  นายสองโอนเช็คดังกล่าวชำระหนี้ให้นายสาม  นายสามนำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร  เมื่อเช็คถึงกำหนด  ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีนายหนึ่งไม่พอจ่าย  นายสามนำเช็คมาคืนนายสองและได้รับเงินสด  100,000  บาทจากนายสองไปแล้ว  วันรุ่งขึ้นนายสองนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินที่ธนาคารอีกครั้งหนึ่ง  ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินด้วยเหตุผลเดิมนายสองจึงนำเช็คไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนขอให้ดำเนินคดีอาญานายหนึ่ง  ตาม  พ.ร.บ.  เช็คฯ  เมื่อพนักงานสอบสวนเสร็จแล้ว  พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายหนึ่งตาม  พ.ร.บ.  เช็คฯ  ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี  นายสองยื่นคำร้องต่อศาลขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยของพนักงานอัยการ  และคำร้องของนายสองว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  120  ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล  โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ผู้เสียหายในความผิดตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ  คือ  ผู้ทรงเช็คฯ  ในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  (ฎ. 1035/2529)  ส่วนผู้รับโอนเช็คภายหลังจากการที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหาใช่ผู้เสียหายไม่

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  ศาลจะวินิจฉัยคดีของพนักงานอัยการว่าอย่างไร  เห็นว่า  การที่นายสองได้รับเช็คคืนมาจากนายสามซึ่งได้นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินที่ธนาคารและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว  กรณีเช่นนี้  แม้ได้ความว่าภายหลังจากที่นายสองได้รับเช็คคืนมาแล้วได้นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารอีก  ก็หาทำให้นายสองกลายเป็นผู้เสียหายแต่อย่างใด  เพราะการออกเช็คแต่ละฉบับนั้น  ถ้าเป็นความผิดก็คงเป็นความผิดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  นายสองจึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ  ตามมาตรา  2(4)  (ฎ. 2703/2523)

สำหรับการร้องทุกข์นั้น  โดยหลักแล้ว  บุคคลใดจะร้องทุกข์ได้ต้องเป็นผู้เสียหายในความผิดที่ร้องทุกข์  เมื่อได้ความว่านายสองไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดตาม  พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯการแจ้งความของนายสองจึงไม่เป็นคำร้องทุกข์  ตามมาตรา  2(7)  และเมื่อความผิดตาม  พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ  เป้นความผิดส่วนตัว  เมื่อไม่มีคำร้องทุกข์  พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตามมาตรา  121  วรรคสอง  การสอบสวนที่ดำเนินไปจึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เป็นผลให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง  ตามมาตรา  120  ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง 

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ศาลจะวินิจฉัยคดีของนายสองว่าอย่างไร  เห็นว่าเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการแล้ว  จึงไม่มีคำฟ้องอยู่ในศาล  นายสองจึงเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่ได้  อีกทั้งกรณีนี้นายสองก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย  จึงไม่มีอำนาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  ตามมาตรา  30  (ฎ. 1583/2513)

สรุป  ศาลต้องพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ  และยกคำร้องของนายสอง

 

ข้อ  2  นายแดงขับรถประมาทชนท้ายรถของนายเขียวเสียหาย  พนักงานอัยการจึงเป็นโจทก์ฟ้องและขอให้ศาลลงโทษนายแดงในฐานความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบก  นายแดงรับสารภาพ  ศาลพิพากษาลงโทษนายแดงตามฟ้องคดีถึงที่สุด  นายเหลืองซึ่งโดยสารมาในรถของนายเขียวและได้รับบาดเจ็บกระดูกคอเคลื่อน  ต้องรักษาเป็นเวลาถึงสามเดือน  เห็นว่าพนักงานอัยการยังไม่ได้ฟ้องนายแดงในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายเหลืองรับอันตรายสาหัส  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  300  นายเหลืองจึงเป็นโจทก์ฟ้องและขอให้ศาลลงโทษนายแดงในความผิด  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  300  ดังกล่าว  นายแดงต่อสู้ว่าได้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษ  คดีถึงที่สุดไปแล้ว  นายเหลืองจึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องใหม่ได้  นายเหลืองแถลงว่า  เป็นคนละคดีกันและนายแดงยังไม่เคยถูกฟ้องและถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดซึ่งได้ฟ้องนี้  ดังนี้  ศาลจะวินิจฉัยคดีของนายเหลืองในประเด็นดังกล่าวนี้เช่นไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  39  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง

วินิจฉัย

ในกรณีที่สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องระงับ  เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้น  ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       จำเลยในคดีแรกและคดีที่นำมาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2       การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเดียวกัน

3       ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

ศาลจะวินิจฉัยคดีของนายเหลืองในประเด็นดังกล่าวนี้เช่นไร  เห็นว่า  ในคดีก่อนพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษนายแดงในฐานความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบก  ส่วนคดีนี้นายเหลืองได้เป็นโจทก์ฟ้องและขอให้ศาลลงโทษนายแดงเช่นกัน  จึงเป็นกรณีที่จำเลยในคดีแรกและคดีที่นำมาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน  ตามหลักเกณฑ์ข้อที่  1

การกระทำโดยประมาทของนายแดงที่ปรากฏเหตุให้เป็นความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบกและเป็นเหตุให้นายเหลืองได้รับอันตรายสาหัสได้เกิดจากการกระทำของนายแดงครั้งเดียวกัน  ที่นายแดงได้ขับรถโดยประมาทชนท้ายรถยนต์ของนายสองเสียหาย  อันถือเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน  ตามหลักเกณฑ์ข้อที่  2

และเมื่อได้ความว่าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายแดงขอให้ศาลลงโทษนายแดงในฐานความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบก  จนมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว  จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว  ตามหลักเกณฑ์ข้อที่  3

ดังนั้น  นายเหลืองจึงไม่มีสิทธินำคดีอาญามาฟ้องนายแดงในการกระทำกรรมเดียวกันอีก  เพราะสิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปแล้ว  ตามมาตรา  39(4)  ศาลจึงต้องสั่งจำหน่ายคดีของนายเหลืองจากสารบบความ

สรุป  ศาลจึงต้องสั่งจำหน่ายคดีของนายเหลืองจากสารบบความ

 

ข้อ  3  นายมีและนายมาเป็นเจ้าของทรัพย์ม้า  1  ตัวร่วมกัน  โดยลงทุนออกเงินร่วมกันซื้อม้าตัวนี้มาใช้สำหรับวิ่งแข่งขันในสนามม้า  ปรากฏว่านายสอนได้ลักมาตัวนั้นไปขาย  เอาเงินมาใช้จนหมดไปแล้ว  นายมีจึงฟ้องนายสอนต่อศาลว่าลักทรัพย์ไป  แต่บรรยายฟ้องผิดวันเวลาและสถานที่  จึงขอถอนฟ้องแล้วบรรยายฟ้องใหม่ให้ถูกต้อง  ยื่นฟ้องต่อศาลอีก  ในขณะเดียวกันนายมาเห็นว่านายมียังทำผิดพลาดในการบรรยายฟ้องอีก  นายมาจึงได้บรรยายฟ้องนายสอนฐานลักทรัพย์ให้ถูกต้อง  แล้วยื่นฟ้องต่อศาลเดียวกันนั้นอีก

เช่นนั้น  นายมีและนายมาจะยื่นฟ้องนายสอนอีกได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  36  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว  จะนำมาฟ้องอีกหาได้ไม่…

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในความผิดที่มีผู้เสียหายหลายคน  เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งได้ยื่นฟ้องไว้แล้วขอถอนฟ้องไป  ย่อมตัดสิทธิเฉพาะผู้เสียหายคนนั้นไม่ให้ฟ้องใหม่  ส่วนผู้เสียหายคนอื่นยังมีสิทธิฟ้องได้อีกไม่ถูกตัดสิทธิแต่อย่างใด 

(ฎ. 5934  5935/2533)

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  นายมีจะยื่นฟ้องนายสอนได้อีกหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อได้ความว่านายมีได้ยื่นฟ้องไว้แล้วได้ถอนฟ้องคดีนั้นไปจากศาล  กรณีเช่นนี้  แม้คำฟ้องนั้นจะไม่ถูกต้อง  นายมีก็ไม่อาจนำคดีฐานลักทรัพย์มาฟ้องอีกได้ต้องห้ามตามมาตรา  36  ที่ว่า  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว  จะนำมาฟ้องอีกหาได้ไม่…  นายมีจึงไม่อาจยื่นฟ้องนายสอนอีกได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  นายมาจะยื่นฟ้องนายสอนอีกได้หรือไม่  เห็นว่า  นายมาเป็นเจ้าของทรัพย์  คือ ม้า  1  ตัว  ร่วมกับนายมี  กรณีเช่นนี้  ถือว่านายมาเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์ด้วยการที่นายมีเจ้าของร่วมได้ฟ้องแล้วถอนฟ้องไป  ย่อมตัดสิทธิเฉพาะนายมีเท่านั้นที่จะฟ้องอีกไม่ได้  แต่หาได้ตัดสิทธิผู้เสียหายอื่นที่จะฟ้องแต่อย่างใด  เพราะสิทธิในการดำเนินคดีอาญาที่ตนเป็นผู้เสียหายย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายแต่ละคน  อีกทั้งมาตรา  36  ก็มิได้กำหนดให้ตัดสิทธิผู้เสียหายแต่ละคนในกรณีที่มีผู้เสียหายหลายคนไว้โดยชัดแจ้ง  นายมาจึงยื่นฟ้องนายสอนได้

สรุป  นายมีไม่อาจฟ้องนายสอนอีกได้  แต่นายมาสามารถยื่นฟ้องนายสอนได้

 

ข้อ  4  ร.ต.ต. อาณัติ  นายสุธีและนางสาววิไล  ได้รับเชิญจากนายศิริเจ้าของบ้านให้ไปร่วมงานเลี้ยงในเวลากลางวันที่บ้านของนายศิริซึ่งอยู่ติดกับบ้านของนายสุธี  ขณะอยู่ในบ้านของนายศิริ  นางสาววิไลจำได้ว่านายสุธีเป็นคนร้ายที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราตนเมื่อสัปดาห์ก่อน  นางสาววิไลจึงชี้ให้  ร.ต.ต.อาณัติจับนายสุธีโดยแจ้งว่าได้ร้องทุกข์ไว้แล้ว  ร.ต.ต.อาณัติจึงเข้าจับกุมนายสุธี  โดยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการจับกุม  แล้วนำตัวนายสุธีไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับ 

ดังนี้  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติ  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด  

ธงคำตอบ

มาตรา  66  เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้

(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี  หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน  หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น

ถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง  หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร  ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี

มาตรา  78  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้  เว้นแต่

(3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา  66(2)  แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้

มาตรา  81  ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม  ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน  เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การจับในที่รโหฐาน  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใด  จะต้องมีอำนาจในการจับกุม  กล่าวคือ  ต้องมีหมายจับ หรือมีอำนาจในการจับได้โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐานด้วย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติเป็นการจับในที่รโหฐาน  (บ้านนายศิริ)  แม้การจับจะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้  อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน  เนื่องจากนายศิริเจ้าของบ้านผู้ครอบครองที่รโหฐานเชื้อเชิญให้เข้าไปในที่รโหฐานนั้น  แต่  ร.ต.ต. อาณัติ  ก็ไม่มีอำนาจในการจับเนื่องจาก  ตามมาตรา  78(3)  ประกอบมาตรา  66(2)  เจ้าพนักงานตำรวจจะจับนายสุธีได้โดยไม่มีหมายจับต่อเมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่านายสุธีน่าจะได้กระทำผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่านายสุธีจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุร้ายประการอื่นและมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับนายสุธีได้  ซึ่งตามข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายสุธีมีท่าทีจะหลบหนี  ประกอบกับนายสุธีก็มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  66  วรรคท้าย  ดังนั้น  ร.ต.ต. อาณัติจะจับนายสุธีโดยไม่มีหมายจับของศาลไม่ได้  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติ  ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

Advertisement