การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  บุญมีเปิดบัญชีฝากเงินประเภทกระแสรายวันไว้กับธนาคารกรุงเก่ามหาชน  จำกัด  จำนวน  200,000  บาท  ได้ทำการเดินสะพัดทางบัญชี  โดยนำเงินฝากและถอนเงินไปใช้เรื่อยมา  ภายหลังลูกค้ามีเงินฝากเหลืออยู่ในบัญชีเพียงเล็กน้อย  จึงทำหนังสือแจ้งไปยังธนาคารขอกู้เบิกเงินเกินบัญชีอีก  500,000  บาท  โดยยอมเสียดอกเบี้ยทบต้น  รายเดือนตามประเพณีธนาคารเป็นเวลา  2  ปี  บุญมีนำเงินฝากและถอนเงินไปใช้เรื่อยมา  เมื่อเวลาผ่านไป  1  ปี  บุญมีตายลง  ดังนี้นิติสัมพันธ์ระหว่างบุญมีกับธนาคารกรุงเก่ามหาชนจำกัดเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่อย่างไร  และธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบต้นตามกำหนดเวลา  2  ปี  ตามสัญญาได้หรือไม่อย่างไร

หมายเหตุ  ป.พ.พ.  มาตรา  655  ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ… ส่วนประเพณีการค้าขายที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดีในการค้าขายอย่างอื่นทำนองเช่นว่านั้นก็ดี  หาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติซึ่งกล่าวมาในวรรคก่อนไม่

ข  กรณีของตั๋วแลกเงินและเช็คนั้นผู้สั่งจ่ายจะสั่งให้ผู้จ่ายหรือธนาคารจ่ายเงินเป็นจำนวนแน่นอนให้กับผู้รับเงิน  ดังนี้ถ้าผู้สั่งจ่ายจะเขียนข้อความให้ผู้จ่ายหรือธนาคารจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้รับเงินด้วย  โดยคิดจากจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายได้หรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

มาตรา  856  อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง  ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน  และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค

วินิจฉัย

การที่บุญมีเปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวันกับธนาคารกรุงเก่ามหาชน  จำกัด  200,000  และได้ทำการเดินสะพัดทางบัญชีเรื่อยมา  เป็นกรณีที่บุญมีใช้สิทธิเบิกเงินตามที่บุญมีฝากเงินไว้กับธนาคารกรุงเก่า  มิใช่กรณีที่บุญมีกับธนาคารกรุงเก่าตกลงหักทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกันและคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาพ  ตามมาตรา 856  ต่อมาบุญมีทำหนังสือแจ้งไปยังธนาคารขอกู้เบิกเงินเกินบัญชี  500,000  บาท  เป็นเวลา  2  ปี  โดยยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามประเพณีธนาคารและมีการนำเงินเข้าฝากและถอนเรื่อยมานั้น  การเบิกเงินเกินบัญชีของบุญมีดังกล่าว  เป็นการที่บุญมีผู้ฝากเงินซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของธนาคารได้ขอเบิกเงินเกินกว่าที่ตนเองมีสิทธิและเมื่อธนาคารยอมให้เบิก  ธนาคารย่อมเป็นเจ้าหนี้และเมื่อมีการฝากถอนเงินไปใช้เรื่อยมา  

ดังนี้ย่อมเป็นการที่บุญมีกับธนาคารกรุงเก่าตกลงหักทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกันและคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาพ  จึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดประเภทที่มีกำหนดเวลา  2  ปี  ตามมาตรา  856 และเมื่อบุญมีตายลงย่อมทำให้สัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งเป็นเรื่องการเฉพาะตัวของบุญมีสิ้นสุดลง  ธนาคารย่อมหมดสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น  ธนาคารมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นถึงวันที่บุญมีตายเท่านั้นจะคิดตามกำหนด  2  ปี  ตามสัญญาไม่ได้  ตามมาตรา  655  (ฎ. 1862/2518)

สรุป  นิติสัมพันธ์ระหว่างบุญมีกับธนาคารกรุงเก่ามหาชน  จำกัด  เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดและธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบต้นตามกำหนดเวลา  2  ปีตามสัญญาไม่ได้

ข  อธิบาย

กรณีตั๋วแลกเงิน

ผู้สั่งจ่ายสามารถสั่งให้ผู้จ่ายจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้รับเงินได้  ตามมาตรา  911  ซึ่งมีหลักว่า

ผู้สั่งจ่ายจะเขียนข้อความกำหนดลงไว้ว่าจำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้นให้คิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้  และในกรณีเช่นนั้นถ้ามิได้กล่าวลงไว้เป็นอย่างอื่น  ท่านว่าดอกเบี้ยย่อมคิดแต่วันที่ลงในตั๋วเงิน

ดังนั้นถ้าผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินไม่ลงข้อกำหนดดอกเบี้ยลงในตั๋วแลกเงิน  ผู้รับเงินหรือผู้ทรงก็จะเรียกดอกเบี้ยตามมาตรานี้ไม่ได้  สำหรับดอกเบี้ยนั้นตามปกติต้อไม่เกินร้อยละ  15  ต่อปี  ถ้าเกินต้องลดลงมาเป็นร้อยละ  15  ต่อปี  และถ้าผู้สั่งจ่ายได้เขียนกำหนดดอกเบี้ยลงไว้ในตั๋วแลกเงิน  แต่มิได้กำหนดว่าร้อยละเท่าใด  ดังนี้ต้องนำมาตรา  7  มาบังคับ  คือคิดร้อยละ  7.5  ต่อปี

สำหรับการคิดดอกเบี้ยตามมาตรา  911  ถ้ามิได้กำหนดเป็นอย่างอื่น  ให้เริ่มนับจากวันที่ลงในตั๋วแลกเงินหรือวันออกตั๋วแลกเงิน

กรณีเช็ค

ผู้สั่งจ่ายไม่สามารถสั่งให้ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้รับเงินได้  ดังนั้นผู้สั่งจ่ายเช็คจะกำหนดดอกเบี้ยในเช็คไม่ได้  เพราะมาตรา  989 วรรคแรกมิได้บัญญัติให้นำมาตรา  911  ไปใช้บังคับกับเช็คด้วย  การคิดดอกเบี้ยในเช็คคงคิดได้ตามหลักทั่วไปในเรื่องหนี้  กล่าวคือ  คิดตามมาตรา  224  คือร้อยละ  7.5  ต่อปีในระหว่างผิดนัด  (ฎ. 901/2505)  ถ้ามีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในเช็ค  กรณีย่อมเป็นผลตามมาตรา  899  ซึ่งมีหลักว่า  ข้อความอันใดซึ่งมิได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายลักษณะนี้  ถ้าเขียนลงในตั๋วเงิน  ท่านว่าข้อความอันนั้นหาเป็นผลอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ตั๋วเงินไม่

 

ข้อ  2  ก  ธนาคารผู้มีหน้าที่ใช้เงินตามเช็คจะสามารถปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ข  ในวันที่  15  ตุลาคม  2547  นายวันสั่งจ่ายเช็คธนาคารไกรทอง  จำกัด  (มหาชน)  สาขาหัวหมากซึ่งตนเป็นลูกค้าอยู่จำนวน  100,000  บาท  ลงวันที่  29  ตุลาคม  2547  ระบุชื่อนายเดือนเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า  หรือผู้ถือ  ในเช็คนั้นออกแล้วส่งมอบเช็คนั้นชำระหนี้ค่าเช่าอาคารพาณิชย์ย่านถนนรามคำแหงให้แก่นายเดือน  ต่อมาเมื่อถึงวันที่  29  ตุลาคม  2547  นายเดือนก็ยังไม่นำเช็คไปยื่นให้ธนาคารไกรทองฯ  ใช้เงิน  เนื่องจากมีภารกิจต้องเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ต่างประเทศ  ต่อมาเมื่อนายเดือนเดินทางกลับมาจากต่างประเทศในวันที่  14  กุมภาพันธ์  2548  นายเดือนได้รีบนำเช็คฉบับดังกล่าวไปยื่นให้ธนาคารไกรทองฯ  ใช้เงินในวันเดียวกันนั้นทันที  เมื่อธนาคารไกรทองฯ  ทำการตรวจสอบเงินในบัญชีของนายวันผู้สั่งจ่ายแล้วปรากฏว่ามีเงินคงเหลืออยู่ในบัญชีที่ธนาคารจะสามารถจ่ายได้  จำนวน  1,000,000  บาท  ต่อจากนั้นธนาคารไกรทองฯได้ทำการสอบถามไปยังนายวัน  เมื่อนายวันทราบเรื่องก็แจ้งให้ธนาคารไกรทองฯ  ระงับการจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวทันที  เพราะเห็นว่าเป็นเช็คที่ล่วงเลยเวลาใช้เงินตามเช็คมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว  ดังนี้  ธนาคารไกรทองฯ  จะสามารถจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวนี้ให้แก่นายเดือนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

โดยหลักแล้ว  ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็ค  (Paying  Bank)  มีความผูกพันทางกฎหมาย  (นิติสัมพันธ์)  ในการใช้เงินตามเช็คต่อผู้เคยค้า  (ผู้สั่งจ่ายเช็ค)  จากบัญชีกระแสรายวันของผู้สั่งจ่ายคือ  ธนาคารผู้สั่งจ่ายจำต้องใช้เงินตามเช็คที่ผู้สั่งจ่าย  (ผู้เคยค้า)  ได้เซ็นสั่งจ่ายเพื่อเบิกจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันนั้น  เว้นแต่ธนาคารผู้สั่งจ่ายอาจใช้ดุลพินิจจ่ายหรือปฏิเสธการจ่ายเงินตามคำสั่งจ่ายเช็คนั้นก็ได้   หากมีข้อใดข้อหนึ่งตามที่ระบุไว้ในมาตรา  991  ดังนี้คือ

(1) ไม่มีเงินในบัญชีของผู้เคยค้า  (ผู้สั่งจ่าย)  เป็นเจ้าหนี้พอจ่ายตามเช็คนั้น  หรือ

(2) มีผู้นำเช็คที่ผู้เคนค้าเป็นผู้สั่งจ่ายนั้นมายื่นเพื่อให้ธนาคารผู้จ่ายใช้เงินเมื่อพ้น  6  เดือน  นับแต่วันออกเช็ค  (วันเดือนปีที่ลงในเช็ค)  หรือ

(3) มีการบอกกล่าวว่าเช็คที่ธนาคารรับไว้นั้นเป็นเช็คที่หายหรือถูกลักไป

อนึ่งมาตรา  992  ได้วางหลักว่าในกรณีดังต่อไปนี้เป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายสิ้นอำนาจและหน้าที่ในการใช้เงินตามเช็คที่ผู้เคยค้าได้เซ็นสั่งจ่ายเลิกเงินจากบัญชีของเขา  คือ

 (1) มีคำบอกห้ามการใช้เงินตามเช็คนั้นโดยผู้สั่งจ่ายเช็คนั้นเอง

(2) ธนาคารผู้จ่ายทราบว่าผู้สั่งจ่ายเช็คนั้นถึงแก่ความตาย

(3) ธนาคารผู้จ่ายรูว่าศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว  หรือคำสั่งให้ผู้สั่งจ่ายเป็นคนล้มละลายหรือได้มีประกาศโฆษณาคำสั่งเช่นนั้น

ข  อธิบาย

มาตรา  990  วรรคแรก  ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน  คือว่าถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่นภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คนั้น  ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่นต้องยื่นภายในสามเดือน  ถ้ามิฉะนั้นท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง  ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายด้วย  เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น

มาตรา  992  หน้าที่และอำนาจของธนาคารซึ่งจะใช้เงินตามเช็คอันเบิกแก่ตนนั้น  ท่านว่าเป็นอันสิ้นสุดไปเมื่อกรณีเป็นดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) มีคำบอกห้ามการใช้เงิน

วินิจฉัย

ตามข้อเท็จจริงนั้นเป็นกรณีที่ผู้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารในกรุงเทนมหานคร  เพื่อชำระหนี้ในกรุงเทพมหานคร  จึงถือว่าเป็นเช็คที่ออกในเมืองเดียวกัน  ดังนั้นผู้ทรงคือนายเดือนจะต้องยื่นเช็คให้ธนาคารฯจ่ายเงินภายใน  1  เดือนนับแต่วันลงในเช็ค  คือภายในวันที่  30  พฤศจิกายน  2548  มิฉะนั้นจะมีผลตามมาตรา  990  วรรคแรก  แต่ถึงแม้ในข้อเท็จจริงนายเดือนจะยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินในวันที่  14 กุมภาพันธ์  2549  ซึ่งเลยระยะเวลานับแต่วันที่ลงในเช็คมากว่า  3 เดือนเศษแล้วก็ตาม  แต่ก็ต้องถือว่าผู้สั่งจ่ายคือ  นายวันยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา  990  วรรคแรก  ทั้งนี้เพราะมิได้ปรากฏว่าธนาคารไกรทองฯ  ล้มละลายนายวันจึงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด  (ฏ. 1865/2492)

แต่ไม่ว่านายวันจะหลุดพ้นความรับผิดหรือไม่ก็ตาม  หากปรากฏว่านายวันผู้สั่งจ่ายแจ้งกับธนาคารฯให้ธนาคารระงับการจ่ายแล้วก็ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้สั่งจ่ายมีคำบอกกล่าวห้ามใช้เงินแล้ว  ตามมาตรา  992(1)  เมื่อธนาคารฯทราบแล้วธนาคารจะใช้ดุลยพินิจจ่ายเงินไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด

สรุป  ธนาคารไกรทองฯไม่สามารถจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวนี้ให้แก่นายเดือนได้

 

ข้อ  3  ก  กฎหมายตั๋วเงินที่ได้บัญญัติให้ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมไว้อย่างไร  หากปฏิบัติตามกฎหมายแล้วจะได้ประโยชน์ตามกฎหมายอย่างไร  ตรงกันข้าม  หากฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ดังกล่าว  จะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายอย่างไร

ข  เหลืองได้รับโอนเช็คธนาคารสินไทย  สาขาคลองจั่นจากดำไว้โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  เนื่องจากมูลหนี้ตามสัญญาซื้อขาย  ข้อเท็จจริงได้ความว่าเช็คดังกล่าว  แดงเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายล่วงหน้าระบุขาวเป็นผู้รับเงินหรือผู้ถือ  และได้ขีดคร่อมทั่วไปไว้  แต่แดงได้ทำตกหายไปโดยไม่รู้ตัว  ต่อมาเหลืองได้นำเช็คนั้นไปฝากให้ธนาคารกรุงทอง  สาขารามคำแหงซึ่งเป็นสาขาที่เหลืองมีบัญชีเงินฝากเพื่อเรียกเก็บ  พนักงานธนาคารกรุงทองได้ใช้ตราประทับซ้ำรอยขีดคร่อมทั่วไป  เป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะเพื่อเรียกเก็บเงินจากธนาคารสินไทยเข้าบัญชีของเหลืองได้สำเร็จ  และเหลืองได้ถอนเงินที่เดรียกเก็บมานั้นไปใช้แล้วบางส่วน

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยโดยอ้างอิงหลักกฎหมายโดยสังเขปในประเด็นดังต่อไปนี้

 (1) บุคคลใดเป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คดังกล่าว

(2) ธนาคารทั้งสอง  ยังคงต้องรับผิดต่อใครหรือไม่

(3) ธนาคารสินไทยจะหักบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของแดงได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(4) แดงได้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ขาวแล้วหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

กฎหมายตั๋วเงินได้บัญญัติหลักเกณฑ์การจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมสำหรับธนาคารผู้จ่ายเงินด้วยการจำแนกเช็คขีดคร่อม  3  ประเภท  ได้แก่  เช็คขีดคร่อมทั่วไป  เช็คขีดคร่อมเฉพาะ  และเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าหนึ่งธนาคารหนึ่งขึ้นไป  กล่าวคือ

 (1)   กรณีที่เป็นเช็คที่ได้มีการขีดคร่อมทั่วไป

 ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินแก่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งของผู้ทรงเช็คนั้น  จะจ่ายเป็นเงินสดอย่างธรรมดาเช่นเช็คธรรมดาที่มิได้ขีดคร่อมมิได้   (มาตรา  994  วรรคแรก)

(2)   กรณีที่เป็นเช็คที่ได้มีการขีดคร่อมเฉพาะ 

ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารที่ระบุชื่อไว้โดยเฉพาะจะจ่ายให้ธนาคารอื่นมิได้  จะจ่ายเป็นเงินสดอย่างเช่นเช็คธรรมดาหรือจ่ายให้แก่ธนาคารอื่นนอกจากที่ระบุชื่อไว้มิได้  (มาตรา  994  วรรคท้าย)

 (3)   กรณีที่เป็นเช็คที่ได้มีการขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารมากกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป 

ธนาคารผู้จ่ายต้องปฏิเสธการจ่ายเงิน  เว้นแต่อีกธนาคารหนึ่งนั้นมีฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินแทน  ดังนี้  ธนาคารผู้จ่ายก็สามารถจ่ายให้แก่ธนาคารตัวแทนนั้นได้  แต่จะจ่ายให้แก่ธนาคารอื่นมิได้  (มาตรา  995 (4)  ประกอบมาตรา  997  วรรคแรก)

อนึ่ง  ธนาคารผู้จ่ายหากได้จ่ายเงินไปภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นไปโดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อ  ทั้งได้จ่ายเงินไปตามทางการค้าปกติ  (ในระหว่างวันและเวลาที่เปิดทำการตามนัย  มาตรา  1009)  กรณีย่อมเป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายไม่ต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้น  (ปกติให้แก่ผู้ทรงเดิม)  และชอบที่จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้สั่งจ่ายนั้นได้  (มาตรา  998)

ตรงกันข้าม  หากธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินไปตามเช็คขีดคร่อมเป็นอย่างอื่น  เช่น  ใช้เงินสดให้แก่ผู้ทรงเช็คแทนที่จะเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ทรงเช็ค  หรือใช้เงินสดให้แก่พนักงานธนาคารอื่นผู้ยื่นเช็ค  หรือใช้เงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่มิได้ถูกระบุชื่อไว้โดยเฉพาะ  หรือมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงินกรณีที่มีการขีดคร่อมเฉพาะเกินกว่า  1  ธนาคาร  หรือใช้เงินให้แก่ธนาคารอื่นที่มิใช่อยู่ในฐานะเป็นตัวแทนเรียกเก็บเงินตามหลักเกณฑ์  (1)  (2)  และ  (3)  ดังกล่าวข้างต้น  กรณีย่อมเป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายยังจะต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้นในการที่เขาต้องเสียหายจากการที่มิได้ใช้ประโยชน์จากเช็คขีดคร่อมนั้น  (มาตรา  997  วรรคสองตอนท้าย)  อีกทั้งไม่มีสิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของผู้สั่งจ่าย  เพราะถือว่าธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินไปโดยไม่ถูกระเบียบ  (มาตรา  1009)

ข  อธิบาย

มาตรา  998  ธนาคารใดซึ่งเขานำเช็คขีดคร่อมเบิกเงินใช้เงินไปตามเช็คนั้นโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ  กล่าวคือว่าถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ใช้เงินให้แก่ธนาคารอันใดอันหนึ่ง  ถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ใช้ให้แก่ธนาคารซึ่งเขาเจาะจงขีดคร่อมให้เฉพาะ  หรือใช้ให้แก่ธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินของธนาคารนั้นไซร้ท่านว่าธนาคารซึ่งใช้เงินไปตามเช็คนั้นฝ่ายหนึ่ง  กับถ้าเช็คตกไปถึงมือผู้รับเงินแล้ว  ผู้สั่งจ่ายอีกฝ่ายหนึ่งต่างมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกัน  และเข้าอยู่ในฐานะอันเดียวกันเสมือนดั่งว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแล้ว

มาตรา  1000  ธนาคารใดได้รับเงินไว้เพื่อผู้เคยค้าของตนโดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่ออันเป็นเงินเขาใช้ให้ตามเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี  ขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ตนก็ดี  หากปรากฏว่าผู้เคยค้านั้นไม่มีสิทธิหรือมีสิทธิเพียงอย่างบกพร่องในเช็คนั้นไซร้  ท่านว่าเพียงแต่เหตุที่ได้รับเงินไว้หาทำให้ธนาคารนั้น  ต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้นแต่อย่างหนึ่งอย่างใดไม่

มาตรา  1009  ถ้ามีผู้นำตั๋วเงินชนิดจะพึงใช้เงินตามเขาสั่งเมื่อทวงถามมาเบิกต่อธนาคารใด  และธนาคารนั้นได้ใช้เงินให้ไปตามทางค้าปกติโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อไซร้  ท่านว่าธนาคารไม่มีหน้าที่จะต้องนำสืบว่าการสลักหลังของผู้รับเงิน  หรือการสลักหลังในภายหลังรายใดๆได้ทำไปด้วยอาศัยรับมอบอำนาจแต่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของคำสลักหลังนั้น  และถึงแม้ว่ารายการสลักหลังนั้นจะเป็นสลักหลังปลอมหรือปราศจากอำนาจก็ตาม  ท่านให้ถือว่าธนาคารได้ใช้เงินไปถูกระเบียบ

วินิจฉัย

 (1) เช็คพิพาทได้ตกหายไปในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของแดงผู้สั่งจ่าย  ต้องถือว่าแดงยังคงเป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนี้

(2) ธนาคารทั้งสอง  ได้แก่  ธนาคารสินไทยฯ  ในฐานะธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมเฉพาะและธนาคารกรุงทองในฐานะธนาคารผู้เรียกเก็บเงินตามเช็คที่ตนเองได้ขีดคร่อมเฉพาะเพื่อเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของเหลืองผู้ทรงเช็คที่ชอบด้วยกฎหมายต่างก็ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมเฉพาะแล้วย่อมไม่ต้องรับผิดต่อแดงเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คพิพาทรายนี้  ตามมาตรา  998  และมาตรา  1000

(3) ธนาคารสินไทยจ่ายเงินไปตามเช็คขีดคร่อมเฉพาะตามมาตรา  998  แล้ว  ย่อมถือว่าได้จ่ายเงินไปโดยถูกระเบียบย่อมมีสิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของแดงได้ตามนัย  มาตรา  1009

(4) แดงไม่หลุดพ้นจากการชำระหนี้ขายแต่อย่างใดทั้งมูลหนี้เดิม  และมูลหนี้ตามเช็ค  เนื่องจากเป็นมูลหนี้เดียวกัน  เพราะเช็คพิพาทนั้นยังมิได้ตกไปถึงมือขาวผู้รับเงินตามมาตรา  998

Advertisement