LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ        1. ข้อสงวนของสนธิสัญญาคืออะไร และมีหลักเกณฑ์ในการตั้งข้อสงวนอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ข้อสงวนของสนธิสัญญา (Reservation) หมายถึง ข้อความซึ่งรัฐคูสัญญาได้ประกาศออกมาว่า ตนไม่ผูกพันในข้อความหนึ่งข้อความใดในสนธิสัญญา หรือตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดอย่างไร หรือตน รับจะปฏิบัติแต่เพียงบางส่วน

อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 ได้ให้คำนิยามไว้ว่า การตั้งข้อสงวน ได้แก คำแถลง ฝ่ายเดียวของรัฐภาคีรัฐหนึ่งรัฐใดของสนธิสัญญาที่ได้ทำขึ้นขณะที่ลงนาม ให้สัตยาบัน ยอมรับ อนุมัติ หรือ ทำภาคยานุวัติสนธิสัญญา โดยคำแถลงนี้แสดงว่าต้องการระงับหรือเปลี่ยนแปลงผลทางกฎหมายของบทบัญญัติ บางอย่างของสนธิสัญญาในส่วนที่ใช้กับรัฐนั้น

เห็นได้ว่า การตั้งข้อสงวนคือวิธีการที่รัฐภาคีแห่งสนธิสัญญาต้องการหลีกเลี่ยงพันธกรณีตาม สนธิสัญญาในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือในหลายเรื่อง เป็นวิธีการจำกัดความผูกพันตามสนธิสัญญาของรัฐ เช่น แจ้งว่าตน จะไม่รับพันธะที่จะปฏิบัติทั้งหมด หรือรับที่จะปฏิบัติบางส่วน หรือว่าตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดนั้นว่าอย่างไร

การตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญานั้น จะกระทำได้เฉพาะในสนธิสัญญาประเภทพหุภาคีเท่านั้นสำหรับสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้นไม่สามารถกระทำได้ เพราะการตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้น เท่ากับเป็นการปฏิเสธการให้สัตยาบันและยื่นข้อเสนอใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อเมื่อคูสัญญายอมรับ ถ้าอีกฝ่ายไมยอมรับ ข้อเสนอสนธิสัญญาย่อมตกไป ดังนั้นสนธิสัญญาประเภททวิภาคีจึงไม่อาจมีข้อสงวนได้

สำหรับการตั้งข้อสงวนของสนธิสัญญานั้น รัฐคูสัญญาไมสามารถดำเนินการได้เสมอไป เพราะ อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 มาตรา 19 ระบุว่า รัฐคูสัญญาย่อมตั้งข้อสงวนได้ เว้นแต่

1.         สนธิสัญญามีข้อกำหนดห้ามการตั้งข้อสงวนไว้ชัดแจ้ง

2.         สนธิสัญญากำหนดกรณีที่อาจตั้งข้อสงวนได้ นอกเหนือจากกรณีที่กำหนดแล้ว รัฐไม่อาจ ตั้งข้อสงวนได้

3.         ข้อสงวนนั้นขัดต่อวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของสนธิสัญญา

การตั้งข้อสงวนหรือการรับข้อสงวนหรือการคัดค้านการตั้งข้อสงวน ต้องทำเป็นหนังสือและ แจ้งไปให้รัฐคูสัญญาทราบ และการตั้งข้อสงวนนั้น รัฐที่ตั้งข้อสงวนอาจจะขอถอนคืนข้อสงวนของตนได้ เว้นแต่  สนธิสัญญาดังกล่าวได้ระบุห้ามการถอนคืนข้อสงวนไว้

 

ข้อ 2. ที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศในกรณีของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป มีลักษณะอย่างไร มีความแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไมได้บัญญัติไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ ซึ่งการก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง

และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอสมควร      สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอนแต่ก็คงต้องเป็นระยะเวลายาวนานพอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐ ในโลก เพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณี ระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ ดือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ (เสมือนเป็นกฎหมาย) แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

ส่วนหลักกฎหมายทั่วไป เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากประเทศ ต่าง ๆ ที่มีความศิวิไลซ์ทางด้านกฎหมาย ซึ่งหมายถึง

1.         หลักเกณฑ์ทางกฎหมายทั่วไปที่ยอมรับและใช้บังคับอยูในกฎหมายภายในของรัฐ ทั้งหลาย โดยบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมายภายในของรัฐต่าง ๆ หรือกฎหมายภายในของประเทศที่มี ความเจริญในทางกฎหมาย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป อันอาจนำมาเป็นหลักในการพิจารณาวินิจฉัย คดีได้ เช่น หลักที่ว่าสัญญาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้ทำสัญญา หลักความสุจริตใจ หลักกฎหมายปิดปาก หลักผู้รับโอนไมมีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

2.         หลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐต่าง ๆ ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติโดย ทั่วไป โดยมิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น หลักความเสมอภาค เท่าเทียมกันของรัฐไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เป็นต้น

จะเห็นว่าหลักกฎหมายทั่วไปเกิดจากการที่รัฐต่าง ๆ ยอมรับคล้ายกับจารีตประเพณี แต่ยังไม่ถึง ขั้นที่เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ เพราะไม่ได้เกิดจากการยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเหมือนจารีตประเพณี แต่เกิดจากการที่สังคมระหว่างประเทศยอมรับเพราะถือว่าชอบด้วยเหตุผลทางกฎหมาย ซึ่งจะแตกต่างกับ จารีตประเพณีระหว่างประเทศที่เกิดจากการที่รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ไมว่าเรื่องดังกล่าว จะชอบด้วยเหตุผลทางกฎหมายหรือไมก็ตาม ดังนั้น จารีตประเพณีระหว่างประเทศจึงแตกต่างจากหลักกฎหมาย ทั่วไปในเรื่องของเหตุผลทางกฎหมาย

 

ข้อ 3. จงอธิบายให้ชัดเจนว่า ดินแดนของรัฐประกอบด้วยบริเวณใดบ้าง และดินแดนของรัฐเกี่ยวข้องกับ อำนาจอธิปไตยของรัฐอย่างไร นอกจากนี้การจะเป็นดินแดนชองรัฐจะต้องมีเงื่อนไขที่สำคัญอย่างไร ให้นักศึกษาอธิบายกรณีของประเทศปาเลสไตน์ ในประเด็นดังกล่าวนี้ให้เข้าใจประกอบด้วย

ธงคำตอบ

ดินแดนของรัฐ คือ บริเวณที่รัฐสามารถมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งดินแดนของรัฐจะสอดคล้องกับเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐ กล่าวคือ รัฐย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินและอำนาจ เหนือบุคคลก็เฉพาะในดินแดนของรัฐเท่านั้น

ดินแดนของรัฐจะประกอบไปด้วย

1.         พื้นดิน พื้นดินที่เป็นดินแดนของรัฐย่อมรวมถึงพื้นดินทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของเอกชน หรือของรัฐ หรือของชาวต่างประเทศที่อยู่ในอาณาเขตของรัฐ ดินแดนของรัฐถูกกำหนดโดยเส้นเขตแดน และรวมถึงพื้นที่ใต้พื้นดินด้วย ทั้งนี้ดินแดนที่รวมกันเป็นอาณาเขตของรัฐไมจำเป็นต้องติดต่อกัน อาจจะอยู่ใน ดินแดนของประเทศอื่นก็ได้

2.         พื้นน้ำบางส่วนที่เป็นน่านน้ำภายในและทะเลอาณาเขต น่านน้ำภายใน หมายถึง น่านน้ำ ที่อยู่ถัดจากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตเข้ามาทางแผ่นดิน

ทะเลอาณาเขต หมายถึง ส่วนหนึ่งของพื้นน้ำซึ่งอยู่ระหว่างทะเลหลวงกับรัฐ

3.         ห้วงอากาศ เหนือบริเวณต่าง ๆ ดังกล่าว

และการจะเป็นดินแดนของรัฐได้นั้น จะต้องมีเงื่อนไข 2 ข้อ คือ

1. มีความแน่นอน กล่าวคือ จะต้องสามารถรู้ได้แน่นอนว่าส่วนใดบ้างเป็นดินแดนของรัฐ และจะต้องมีความมั่นคงถาวรด้วย

2. สามารถกำหนดขอบเขตได้ชัดเจน คือ สามารถกำหนดเขตแดนของรัฐได้ชัดเจนนั่นเอง โดยอาจจะใช้เส้นเขตแดนในการกำหนดดังกล่าว ซึ่งดินแดนของรัฐจะเล็กหรือใหญ่ หรือมีอาณาเขตติดต่อกัน หรือไม่ไม่สำคัญ แต่ดินแดนของรัฐจะต้องมีความชัดเจนแน่นอน

กรณีของประเทศปาเลสไตน์ จะมีปัญหาในเรื่องความแน่นอนของดินแดนของรัฐ ซึ่งปาเลสไตน์ ยังไมสามารถกำหนดได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับประเทศอิสราเอล (ประเทศปาเลสไตน์ เป็นประเทศที่แยกตัวออกมาจากประเทศอิสราเอล)

 

ข้อ 4. จงอธิบายโดยสังเขปว่า กระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีมีลักษณะสำคัญ อย่างไร แตกต่างจากการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับทำสงครามในประเด็น สำคัญอย่างไร โดยให้ยกตัวอย่างประกอบการอธิบายในแต่ละกรณี และวิเคราะห์เปรียบเทียบ ให้เห็นความแตกต่างเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดแจ้งด้วย

ธงคำตอบ

การระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธี เป็นวิธีการแรก ๆ ที่จะถูกนำมาใช้เมื่อมี ข้อพิพาทระหว่างรัฐเกิดขึ้น ซึ่งจะมีลักษณะสำคัญดังนี้ คือ

1.         จะต้องเกิดความสมัครใจของรัฐคูกรณี มิได้เกิดจากการตัดสินใจดำเนินการของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว

2.         จะมีฝ่ายที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือในการระงับกรณีพิพาทด้วย โดยฝ่ายที่สามนี้ อาจเพียงแต่เข้ามาอำนวยความสะดวกให้คูกรณีได้ทำการเจรจาตกลงกัน หรือเข้ามา มีส่วนร่วมในการเจรจาหรือเสนอข้อยุติด้วยก็ได้

ซึ่งการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธี อาจจะกระทำได้หลายวิธี เช่น การเจรจา การไกลเกลี่ย การไต่สวน การประนีประนอม ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็นต้น

ส่วนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับทำสงคราม เป็นวิธีการที่รัฐนำมาใช้ ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐขึ้นและไม่สามารถตกลงกันได้โดยสันติวิธี หรือเมื่อรัฐคูกรณีไมต้องการตกลงกัน ซึ่งจะมีลักษณะที่สำคัญ คือ

1.         ไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่กรณี กล่าวคือ เป็นการตัดสินใจดำเนินการของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว

2.         ไม่มีฝ่ายที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือในการระงับกรณีพิพาทด้วย

ซึ่งการระงับกรณีพิพาทโดยวิธีที่ยังไม่ถึงขั้นทำสงครามนั้น อาจกระทำโดย การตัดสัมพันธ์ ทางการทูต รีทอร์ชั่น รีไพรซัล การแทรกแซง

ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีกับการระงับ กรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับทำสงคราม จึงอยู่ตรงประเด็นสำคัญเรื่อง ความสมัครใจของคู่กรณี และการเข้ามาเกี่ยวข้องของฝ่ายที่สาม ตัวอย่างเช่น การไกล่เกลี่ยเกิดจากความสมัครใจของคู่กรณี และผู้ไกล่เกลี่ย เป็นฝ่ายที่สามเข้ามาช่วยระงับข้อพิพาท แต่การตัดสัมพันธ์ทางการทูตนั้น เป็นการดำเนินการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายมิได้สมัครใจ และไม่มีฝ่ายที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องไนการระงับข้อพิพาท เช่น กรณีที่ อังกฤษตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับเม็กซิโกในกรณีการเวนคืนบริษัทน้ำมันของอังกฤษ เป็นต้น

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จงอธิบายลักษณะของจารีตประเพณีระหว่างประเทศโดยละเอียด และหากนำมาเปรียบเทียบกับ หลักความยุติธรรม จะแตกต่างกันอย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไมได้บัญญัติไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ การก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายบอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกับไม่เปลี่ยนแปลง เป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็นระยะเวลายาวนาน พอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็น การปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำด้งกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ แต่ จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องัอมรีบโดยทุกประเทศ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น

1.         จารีตประเพณีทั่วไป ซึ่งรัฐส่วนใหญ่ยอมรับและถือปฏิบัติ สามารถใช้บังคับแก่ทุกรัฐในโลก

2.         จารีตประเพณีท้องถิ่นเป็นกฎเกณฑ์ที่ยอมรับและถือปฏิบัติใบภูมิภาคเท่านั้น ซึ่งใช้บังคับ แก่รัฐที่อยู่ในภูมิภาคนั้นเท่านั้น

จารีตประเพณีระหว่างประเทศอาจเกิดจาก

1.         เกิดจากจารีตประเพณีหรือกฎหมายภายในหรือคำตัดสินของศาลยุติธรรมของรัฐหนึ่ง แต่ประเทศอื่นเห็นว่าดีก็นำหลักการดังกล่าวมาปฏิบัติ จบนานเข้าก็กลายเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ

2.         เกิดจากสนธิสัญญาประเภทกฎหมาย คำตัดสินของอนุญาโตตุลาการและคำพิพากษา ของศาลระหว่างประเทศ

ส่วนหลักความยุติธรรม ถือเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศขั้นรองลงมาจากสนธิสัญญา จารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งตามมาตรา 38 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ระบุว่า ศาลอาจวินิจฉัยคดีโดยอาศัยหลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดี หากคู่ความตกลงให้ปฏิบัติ เช่นนั้น” กล่าวคือ เมื่อมีข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยยึดหลักความยุติธรรมได้ต่อเมื่อ ไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศใดที่จะยึดถือเป็นหลักในการพิจารณาคดีได้ เช่น ไม่มีสนธิสัญญา ไม่มีจารีตประเพณี ระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไปใด ๆ ที่จะยึดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีได้ และคู่กรณีตกลงยินยอมให้ ศาลใช้หลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดีมาใช้พิจารณาตัดสินแทนได้ และแนวการตัดสินดังกล่าว จะพัฒนาเป็นหลักกฎหมายในเรื่องนั้นในที่สุด แต่ศาลจะนำมาใช้โดยพลการไม่ได้ ต้องได้รับความยินยอมจาก คู่กรณีก่อน อีกทั้งต้องไม่ขัดต่อหลักกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย

 

ข้อ 2. จงอธิบายว่าการที่รัฐใดไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำสนธิสัญญากับรัฐอื่น จะสามารถ เข้ามามีส่วนร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญานั้นได้หรือไม่ และอย่างไร

ธงคำตอบ

การที่รัฐใดไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำสนธิสัญญากับรัฐอื่น สามารถเข้ามา มีส่วนร่วมเนินภาคีสนธิสัญญานั้นได้ โดยวิธีการดังต่อไปนี้

1.         การลงนามภายหลัง (Deferred Signature) เป็นกรณีที่รัฐไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการทำสนธิสัญญานั้นแต่แรก แต่เข้ามามีส่วนในขั้นตอนหลังจากการเจรจาผ่านไปแล้วและอยู่ในระยะของขั้นตอน ที่ 2 คือการ.ลงนาม การลงนามภายหลังนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับการเข้าร่วม แต่ต่างกับตรงที่การเข้าร่วมนั้นจะมีผล ผูกพนนับแต่มีการปฏิญญาขอเข้าร่วมในสนธิสัญญา ส่วนการลงนามภายหลังนี้รัฐที่ลงนามภายหลังยังไม่มีพันธกรณี ตามสนธิสัญญา เพราะจะต้องให้สัตยาบันก่อนจึงจะถือว่าเนินภาคีสนธิสัญญาและมีผลผูกพันรัฐนั้น

2.         ภาคยานุวัติหรือการเข้าร่วม (Adhesion) คือ การที่รัฐหนึ่งรัฐใดไม่ได้เข้ามามีส่วน ในการทำสนธิสัญญาตังแต่แรก แต่เมื่อสนธิสัญญาผ่านขั้นตอนการลงนามจนมีผลใช้บังคับ และมิได้ระบุห้ามการ ภาคยาบุวัติไว้ รัฐนั้นก็อาจเข้าไปร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญานั้นในภายหลังหลังจากระยะเวลาการลงนามได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยยอมรับผูกพันตามสิทธิและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา ซึ่งมีผลผูกพันนับแต่วันทำภาคยานุวัติ ไม่มีผลย้อนหลัง แต่อย่างใด

อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 ได้กำหนดว่า ความยินยอมของรัฐที่จะรับพันธกรณี ตามสนธิสัญญาด้วยการทำภาคยานุวัติ จะทำได้ในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้

1)         สนธิสัญญานั้นกำหนดไว้โดยตรงให้มีการทำภาคยานุวัติได้

2)         ทุกรัฐที่เป็นภาคีของสนธิสัญญานั้นตกลงให้มีการภาคยานุวัติได้

การเข้าร่วมหรือภาคยานุวัติสามารถกระทำได้ 3 วิธี คือ

1)         การทำสนธิสัญญาพิเศษระหว่างรัฐที่เข้าร่วมกับรัฐภาคีสนธิสัญญาเดิม ซึ่งต้อง

มีการให้สัตยาบันตามปกติ

2)         โดยการแลกเปลี่ยนปฏิญญา (Declaration) คือรัฐที่เข้าร่วมทำปฏิญญาขอเข้าร่วม และรัฐคู่สัญญาทำปฏิญญารับเข้าร่วม และต้องมีการให้สัตยาบันปฏิญญาด้วย

3)         โดยรัฐที่ขอเข้าร่วมส่งคำปฏิญญาฝ่ายเดียวไปยังรัฐบาลที่สนธิสัญญากำหนดให้ เป็นผู้รับเรื่องและแจ้งให้ภาคีสนธิสัญญาทราบ การเข้าร่วมวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องให้สัตยาบันอีก เว้นแต่รัฐที่ขอเข้าร่วม จะระบุว่าตนขอเข้าร่วมภายใต้ข้อสงวนในการให้สัตยาบัน วิธีที่สามนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กับอยู่ในปัจจุบัน

 

ข้อ 3. ประเทศฝรั่งเศสเพิ่งจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคสังคมนิยมซึ่งไม่เคยเป็นรัฐบาล บริหารปกครองประเทศมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ในประเด็นของการรับรองรัฐบาล รัฐบาลของ พรรคสังคมนิยมนี้จะต้องมีการรับรองรัฐบาลหรือไม่ ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ และการรับรองรัฐบาลกระทบต่อสถานะความเป็นรัฐหรือไม่

ธงคำตอบ

รัฐบาล คือ คณะบุคคลที่มีอำนาจกระทำการในนามองค์กรฝ่ายบริหารของรัฐ ซึ่งเป็น องค์ประกอบสำคัญของรัฐ ในกรณีมีรัฐเกิดขึ้นใหม่และมีการรับรองรัฐก็ถือเป็นการรับรองรัฐบาลโดยปริยายด้วย ตามปกติแล้วรัฐต่าง ๆ ย่อมมีคณะบุคคลผลัดเปลี่ยนเข้ามามีอำนาจกระทำการเป็นฝ่ายบริหารของรัฐ

ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามปกติหรือตามวิถีทางของกฎหมายภายในของรัฐ เช่น รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการรับรองรัฐบาลชุดใหม่ แต่อย่างใด

การรับรองรัฐบาลใหม่ จะเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ

1.         กรณีที่รัฐบาลใหม่มิได้ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางของกฎหมาย คือ เป็นกรณีที่มี คณะบุคคลขึ้นครองอำนาจโดยวิธีการที่ผิดแปลกไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ คือ การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการได้อำนาจโดยการใช้กำลังบังคับ

2.         กรณีที่มีการตั้งรัฐบาลขึ้นมีอำนาจปกครองดินแดนส่วนหนึ่งของรัฐ โดยการแย่งอำนาจ ปกครองจากรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐ ทำให้มี 2 รัฐบาลในรัฐเดียวกัน

กรณีตามปัญหา การที่ประเทศฝรั่งเศสมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคสังคมนิยม ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีการรับรอง รัฐบาล เพราะไม่เข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้ว และแม้จะไม่มีการรับรองรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำ ของพรรคสังคมนิยม ก็ถือว่ารัฐบาลใหม่นี้เป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ สามารถปฏิบัติพันธกรณีระหว่างประเทศได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

และในกรณีที่มีการรับรองรัฐบาลย่อมไม่มีผลกระทบต่อสถานะความเป็นรัฐ ทั้งนี้เพราะโดย หลักการแล้ว การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนถึงความเป็นบุคคลระหว่างประเทศของรัฐ แต่อย่างไรก็ตามในฐานะที่รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนรัฐ ดังนั้นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่ ได้กล่าวไว้ข้างต้นถือได้ว่าเป็นรัฐบาลโดยพฤตินัย จึงสมควรที่จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐอื่น

 

ข้อ 4. จงอธิบายให้ชัดเจนว่าสิทธิพิเศษที่ผู้แทนทางการทูตได้รับความคุ้มครองประกอบไปด้วยเรื่องใดบ้าง และ แตกต่างจากกรณีของสิทธิพิเศษที่กงสุลได้รับอย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

สิทธิพิเศษที่ผู้แทนทางการทูตได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศเช่นเดียวกับ ประมุขของรัฐ ได้แก่ การได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันในเรื่องดังต่อไปนี้

1.         สิทธิล่วงละเมิดมิได้ ประกอบด้วยสิทธิในตัวบุคคลของผู้แทนทางการทูต และสิทธิใน ทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ของผู้แทนทางการทูต เช่น ตามมาตรา 29 อนุสัญญา กรุงเวียนนาฯ ห้ามจับกุมหรือกักขังในรูปใด ๆ และกระทำการอันกระทบกระเทือนต่อเสรีภาพและเกียรติยศของ ผู้แทนทางการทูต รัฐผู้รับต้องปฏิบัติต่อผู้แทนทางการทูตด้วยความเคารพตามสมควร หรือตามมาตรา 27 ได้ กำหนดว่า ถุงทางการทูต เอกสารทางราชการ สมุดทะเบียน เครื่องใช้ในการสื่อสาร จะต้องได้รับการคุ้มกันไม่ถูกตรวจค้น ยึด หรือเกณฑ์เอาไปใช้ เป็นต้น

2.         สิทธิไมอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของรัฐผู้รับ (สิทธิได้รับยกเว้นในทางศาล) สิทธิ ดังกล่าวเป็นหลักประกันในการปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระของคณะทูตและเป็นการห้เกียรติในฐานะตัวแทนของรัฐ ซึ่งจะเห็นได้จากมาตรา 31 อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ที่ระบุให้สิทธิผู้แทนทางการทูตจะไม่ถูกฟ้องทั้งในคดีอาญา และคดีแพ่ง แม้ว่าจะเป็นการกระทำนอกหน้าที่ก็ตาม

3.         สิทธิพิเศษเรื่องภาษี ผู้แทนทางการทูตจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีทางตรงไม่ว่าจะ เป็นของรัฐ ของท้องถิ่น เช่น ภาษีเงินได้ เป็นต้น และสำหรับภาษีทางอ้อมโดยปกติก็จะได้รับยกเว้นภาษีบางชนิด เช่น ภาษีศุลกากร เป็นต้น

ส่วนสิทธิพิเศษที่กงสุลได้รับนั้น เนื่องจากกงสุลไม่ใช่ผู้แทนทางการทูต จึงไม่ได้รับเอกสิทธิ์และ ความคุ้มกันทางการทูตอย่างเต็มที่เหมือนผู้แทนทางการทูต อย่างไรก็ดีกฎหมายระหว่างประเทศก็ยังรับรู้ให้กงสุล ได้รับสิทธิในการล่วงละเมิดมิได้ในตัวบุคคล จะจับหรือขังกงสุลไมได้ยกเว้นความผิดซึ่งหน้า

สถานที่ทำการกงสุลได้รับความคุ้มครองจะล่วงละเมิดมิได้ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ทั้งไม่มีสิทธิเข้าไป ตรวจค้นในสถานกงสุล รัฐที่ทั้งกงสุลจะต้องอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของกงสุล และที่ทำการกงสุล มีสิทธิชักธงและติดตราของรัฐที่ส่งกงสุล

และนอกจากนั้น จารีตประเพณีและสนธิสัญญาระหว่างรัฐเกี่ยวกับกงสุลยอมให้สิทธิกงสุลไม่อยู่ ใต้อำนาจของรัฐที่ตนไปประจำเฉพาะในกรณีที่กระทำตามหน้าที่ของกงสุลเท่านั้น แต่ถ้าเป็นความผิดที่มิได้เกิดจาก การกระทำตามหน้าที่กงสุลยังคงต้องรับผิดชอบ

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ1. จงอธิบายขั้นตอนการจัดทำสนธิสัญญาให้ชัดเจนและขั้นตอนใดที่จะทำให้สนธิสัญญามีผลผูกพันรัฐ นอกจากนี้สนธิสัญญาหากไม่ได้นำไปจดทะเบียนจะมีผลอย่างไรหรือไม่ อธิบายให้ชัดเจนด้วย

ธงคำตอบ

การจัดทำสนธิสัญญา มีขั้นตอนการจัดทำ ดังนี้ 1. การเจรจา 2. การลงนาม 3. การให้สัตยาบัน

4. การจดทะเบียน

1.         การเจรจา การเจรจาเป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการทำสนธิสัญญาเพื่อกำหนดเงื่อนไข ต่าง ๆ ในการทำสนธิสัญญา ซึ่งองค์กรที่มีอำนาจในการเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญาจะถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญของ แต่ละประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นประมุขของรัฐ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ หรือในบางกรณีผู้มีอำนาจ ในการเจรจาอาจจะไม่ทำการเจรจาด้วยตนเองก็ได้แต่มอบอำนาจให้ผู้อื่น เช่น ตัวแทนทางการทูต หรือคณะผู้แทน เข้าทำการเจรจาแทน แต่ต้องทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ซึ่งผู้แทนจะนำมามอบให้แก่รัฐคู่เจรจา หรือต่อที่ประชุมในกรณีที่มีรัฐหลายรัฐร่วมเจรจาด้วย

การร่างสนธิสัญญาเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญของรัฐคู่เจรจา จะทำความตกลงกันใน หลักการและข้อความในสนธิสัญญา โดยจะมีการประชุมพิจารณาร่างข้อความในสนธิสัญญา และตามมาตร”’ 9 ของ อนุสัญญากรุงเวียนนาระบุว่า ร่างสนธิสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบโดยเอกฉันท์จากรัฐคู่เจรจา เว้นแต่ที่ประชุม จะให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์

2.         การลงนาม การลงนามในสนธิสัญญา มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดข้อความเด็ดขาดใน สนธิสัญญา และการแสดงความยินยอมที่จะผูกพันในสนธิสัญญาของรัฐคู่เจรจา ซึ่งการลงนามในสนธิสัญญานั้น จะกระทำเมื่อผู้แทนในการเจรจาเห็นชอบกับข้อความในร่างสนธิสัญญานั้นแล้ว

การลงนามในสนธิสัญญานั้น อาจจะเป็นการลงนามเลย หรือลงนามย่อก่อนและลงนามจริง ในภายหลังก็ได้ และสนธิสัญญาที่ได้มีการลงนามแล้วนั้นยังไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันความรับผิดชอบของรัฐ จะต้องมีการ ให้สัตยาบันเสียก่อนจึงจะสมบูรณ์ แต่หากว่าเป็นสนธิสัญญาแบบย่อ การลงนามจะมีผลผูกพันรัฐนับแต่มีการลงนาม

3.         การให้สัตยาบัน การให้สัตยาบัน หมายถึง การยอมรับขั้นสุดท้าย เป็นการแสดงเจตนา ของรัฐที่จะรับข้อผูกพันและปฏิบัติตามพันธะในสนธิสัญญา และการให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญานั้น จะต้องมีการ จัดทำสัตยาบันสาร (instrument of Ratification) ซึ่งกระทำในนามประมุขของรัฐ หรือรัฐบาล หรืออาจจะลงนาม โดยรัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ และในสัตยาบันสารนั้นจะระบุข้อความในสนธิสัญญา และคำรับรองที่จะปฏิบัติตาม ข้อผูกพันในสนธิสัญญานั้น

4.         การจดทะเบียน เมื่อมีการทำสนธิสัญญาเสร็จแล้ว โดยหลักจะต้องนำสนธิสัญญานั้น ไปจดทะเบียนไว้กับสำนักเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติ (มาตรา 102 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ) แต่อย่างไรก็ดี สนธิสัญญาบางฉบับอาจจะไม่ได้นำไปจดทะเบียนก็ได้ ทั้งนี้เพราะกฎหมายมิได้บังคับว่าสนธิสัญญาจะมีผลสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อต้องจดทะเบียนแล้วเท่านั้น สนธิสัญญาบางฉบับแม้จะไม่ได้จดทะเบียนก็มีผลสมบูรณ์เช่นเดียวกัน

จากขั้นตอนในการจัดทำสนธิสัญญาดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนที่ทำให้สนธิสัญญามีผล ผูกพันกับรัฐ คือขั้นตอนการให้สัตยาบันนั่นเอง เว้นแต่สนธิสัญญาแบบย่อ ที่จะมีผลผูกพันรัฐสมาชิกนับแต่ที่ได้มี การลงนามกัน

ส่วนสนธิสัญญาที่มิได้นำไปจดทะเบียนต่อสหประชาชาตินั้นจะมีผลสมบูรณ์ทุกประการ แต่ถ้า ภาคีสมาชิกไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญานั้น ภาคีสมาชิกที่เหลือจะนำสนธิสัญญาดังกล่าวมาฟ้อง หรือมาอ้างต่อ องค์กรใด ๆ ของสหประชาชาติหรือต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อบังคับให้เป็นไปตามสนธิสัญญานั้นไม่ได้ เพราะสหประชาชาติมิได้รับรู้ถึงความมีอยู่ของสนธิสัญญาฉบับนั้น

 

ข้อ 2. จงอธิบายจารีตประเพณีระหว่างประเทศซึ่งถือเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศคืออะไร และ แตกต่างจากหลักความยุติธรรมในสาระสำคัญอย่างไรให้นักศึกษายกตัวอย่างประกอบการอธิบายด้วย

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่มิได้มีการบัญญัติไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้หรือยกเลิกได้โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ เช่น สนธิสัญญา การก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วย ปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง เป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็นระยะเวลา ยาวนานพอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ แต่ จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น

1.         จารีตประเพณีทั่วไป ซึ่งรัฐส่วนใหญ่ยอมรับและถือปฏิบัติ สามารถใช้บังคับแก่ทุกรัฐในโลก

2.         จารีตประเพณีท้องถิ่นเป็นกฎเกณฑ์ที่ยอมรับและถือปฏิบัติในภูมิภาคเท่านั้น ซึ่งใช้ บังคับแก่รัฐที่อยู่ในภูมิภาคนั้นเท่านั้น

จารีตประเพณีระหว่างประเทศอาจเกิดจาก

1.         เกิดจากจารีตประเพณีหรือกฎหมายภายในหรือคำตัดสินของศาลยุติธรรมของรัฐหนึ่ง แต่ประเทศอื่นเห็นว่าดีก็นำหลักการดังกล่าวมาปฏิบัติ จนนานเข้าก็กลายเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ

2.         เกิดจากสนธิสัญญาประเภทกฎหมาย คำตัดสินของอนุญาโตตุลาการและคำพิพากษา ของศาลระหว่างประเทศ

ส่วนหลักความยุติธรรม ถือเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศนั้นรองลงมาจากสนธิสัญญา จารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งตามมาตรา 38 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ระบุว่า ศาลอาจวินิจฉัยคดีโดยอาศัยหลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดี หากคู่ความตกลงให้ปฏิบัติเช่นนั้น

กล่าวคือ เมื่อมีข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยยึดหลักความยุติธรรมได้ต่อเมื่อไม่มีกฎหมาย ระหว่างประเทศใดที่จะยึดถือเป็นหลักในการพิจารณาคดีได้ เช่น ไม่มีสนธิสัญญา ไม่มีจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไปใด ๆ ที่จะยึดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีได้ และคู่กรณีตกลงยินยอมให้ศาลใช้หลักความยุติธรรม และความรู้สึกผิดชอบอันดีมาใช้พิจารณาตัดสินแทนได้ ซึ่งจะแตกต่างจากจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่า เป็นที่มาหลักหรือโดยทางตรงของกฎหมายระหว่างประเทศที่ศาลสามารถนำไปใช้เป็นหลักพื้นฐานในการตัดสินคดี ได้เลย

 

ข้อ 3. นักศึกษาทราบดีว่าสภาพบุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 กำหนดให้เริ่มตั้งแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก แต่คำถามในข้อนี้ให้นักศึกษาอธิบายให้เข้าใจว่า สภาพบุคคลของรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศจะเริ่มเกิดขึ้นได้อย่างไรมีรูปแบบใดบ้าง และ สภาพบุคคลของรัฐจะเป็นที่รับรู้ได้อย่างไรในสังคมระหว่างประเทศ และตัวอย่างที่เกิดขึ้นในสังคม ระหว่างประเทศในกรณีของไต้หวัน (Taiwan) และกรณีของฮ่องกง (Hong Kong) สามารถอธิบายถึง ประเด็นนี้ให้เข้าใจอย่างชัดเจนอย่างไร

ธงคำตอบ

สภาพบุคคลของรัฐ หรือรัฐในฐานะที่เป็นบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ จะเริ่มเกิดขึ้น ได้เมื่อมีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการดังต่อไปนี้ คือ

1.         ดินแดน กล่าวคือ รัฐต้องมีดินแดนให้ประชาชนได้อยู่อาศัย ซึ่งดินแดนของรัฐนั้น รวมทั้งพื้นดิน ผิวน้ำ และท้องฟ้าเหนือดินแดนด้วย ดินแดนไม่จำเป็นต้องเป็นผืนเดียวติดต่อกัน อาจจะเป็น ดินแดนโพ้นทะเลก็ได้ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศก็ไมได้กำหนดขนาดของดินแดนไว้ ฉะนั้นรัฐจะมีดินแดน มากน้อยเพียงใดไม่ใช่ข้อสำคัญ แต่ต้องมีความแน่นอนมั่นคงถาวร และกำหนดเขตแดนไว้แน่นอนชัดเจน

2.         ประชากร กล่าวคือ มีประชากรอาศัยอยู่ในดินแดนที่มีความแน่นอน ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีจำนวนประชากรมากน้อยเท่าไร เพียงแต่ต้องมีจำนวนมากพอสมควรที่จะสามารถดำรงความเป็นรัฐได้ ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนของรัฐนี้ไมจำเป็นต้องมีชนชาติเดียวกัน อาจมี เชื้อชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน แต่มีความผูกพันทางนิตินัยกับรัฐ คือ มีสัญชาติเดียวกัน

3.         รัฐบาล กล่าวคือ มีคณะบุคคลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรมาทำการ บริหารงานทั้งภายในและภายนอกรัฐ จัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน จัดระเบียบการปกครองภายใน รักษาความสงบเรียบร้อยในดินแดนของตน ดำเนินการป้องกันประเทศ ส่งเสริมความเจริญของประเทศ และ รักษาสิทธิผลประโยชน์ของประชาชน

4.         อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ รัฐสามารถที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกรัฐ อำนาจอิสระภายใน หมายถึง อำนาจของรัฐในการจัดกิจการภายในประเทศได้อย่างอิสรเสรีแต่เพียงผู้เดียว โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก ส่วนอำนาจอิสระภายนอก หมายถึง อำนาจของรัฐในการติดต่อ สัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น และได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับรัฐอื่น

รูปแบบของรัฐ อาจแบ่งแยกออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ รัฐเดี่ยว และรัฐรวม

1.         รัฐเดี่ยว หมายถึง รัฐซึ่งมีการปกครองเป็นเอกภาพไม่ได้แบ่งแยกออกจากกัน มีรัฐบาลกลางปกครองประเทศเพียงรัฐบาลเดียว แม้จะมีการกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่นแต่ก็ยังอยู่ใน ความควบคุมของรัฐบาลกลาง มีประมุขของรัฐแต่เพียงผู้เดียว และมีองค์กรนิติบัญญัติเพียงองค์กรเดียว ตัวอย่าง ของรัฐเดี่ยว ได้แก่ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน เบลเยียม อิตาลี และประเทศไทย เป็นต้น

2.         รัฐรวม หมายถึง รัฐหลายรัฐมารวมกันโดยเหตุการณ์หรือผลประโยชน์ร่วมกัน บางอย่าง ซึ่งรัฐรวมระหว่างหลายรัฐดังกล่าวอาจจะเป็นรัฐรวมแบบสมาพันธรัฐ หรือแบบสหพันธรัฐก็ได้

เมื่อเป็นรัฐและมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว การมีสภาพบุคคลของรัฐจะ เป็นที่รับรู้ได้ในสังคมระหว่างประเทศ ก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองสภาพความเป็นรัฐจากรัฐอื่น ๆ โดยเฉพาะจาก รัฐที่ตนจะเข้าไปทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วย ซึ่งหลักเกณฑ์ในการรับรองความเป็นรัฐโดยรัฐอื่นนั้น มีทฤษฎีเกี่ยวกับ การรับรองรัฐอยู่ 2 ทฤษฎี คือ

1.         ทฤษฎีว่าด้วยเงื่อนไข (การก่อกำเนิดรัฐ) หมายความว่า แม้รัฐใหม่ที่เกิดขึ้นจะมี องค์ประกอบของความเป็นรัฐครบ 4 ประการแล้วก็ตาม สภาพของรัฐก็ยังไม่เกิดขึ้น สภาพของรัฐจะเกิดขึ้นและ มีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ จะต้องมีการรับรองรัฐโดยรัฐอื่นด้วย และเมื่อรัฐอื่นได้ให้การรับรองแล้ว รัฐที่เกิดขึ้นใหม่ก็จะมีสภาพบุคคล มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสามารถที่จะติดต่อกับรัฐอื่นในสังคมระหว่างประเทศได้

2.         ทฤษฎีว่าด้วยการประกาศ (ยืนยัน) ซึ่งทฤษฎีนี้ถือว่าการรับรองนั้นไม่ก่อให้เกิดสภาพ ของรัฐ เพราะเมื่อรัฐที่เกิดขึ้นใหม่มีองค์ประกอบความเป็นรัฐครบถ้วนแล้วก็ย่อมเป็นรัฐที่สมบูรณ์แม้จะไม่มีการ รับรองจากรัฐอื่นก็ตาม และรัฐนั้นก็ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ การรับรองนั้น ถือว่าเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศความเป็นจริง (ความเป็นรัฐ) ที่เป็นอยู่แล้วเท่านั้น

สำหรับสถานะของ ไต้หวัน” (Taiwan) นั้น ถือว่ามีสถานะเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะมีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบที่สำคัญครบทั้ง 4 ประการดังกล่าวข้างต้น คือมีดินแดนและมีประชากร ที่อยู่อาศัยในดินแดนที่แน่นอน มีรัฐบาลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรทำการบริหารงานทั้งภายในและ ภายนอกรัฐ และที่สำคัญคือการมีอำนาจอธิปไตย ในอันที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกรัฐ อาทิเช่น มีอำนาจในการจัดกิจการภายในประเทศได้อย่างอิสระโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก และ มีอำนาจในการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น เป็นต้น

และเช่นเดียวกันเมื่อถือว่า ไต้หวัน” มีสถานะเป็นรัฐและมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว การมีฐานะเป็นรัฐของ ไต้หวัน” จะเป็นที่รับรู้หรือเป็นที่ยอมรับในสังคมระหว่างประเทศก็ต่อเมื่อ ได้รับการรับรองสภาพความเป็นรัฐจากรัฐอื่น โดยเฉพาะจากรัฐที่ตนจะเข้าไปทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วยบันเอง (ปัจจุบันความเป็นรัฐของไต้หวันยังมีสถานะไม่มั่นคง เพราะมีการรับรองจากรัฐอื่นไม่มากนัก)

ส่วนกรณีฮ่องกง (Hong Kong) นั้น มีองค์ประกอบของความเป็นรัฐดังกล่าวข้างต้นไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจอธิปไตย เพราะฮ่องกงเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของจีน และเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนเท่านั้น ดังนั้น ฮ่องกงจึงไม่มีสถานะเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศ

 

ข้อ 4. จงอธิบายกระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับสงคราม ที่เรียกว่าวิธีการ ‘’แทรกแซง” โดยละเอียด และวิธีการแทรกแซงนี้ไม่ชอบด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศเสมอไป หรือไม่ อธิบายให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

กระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับสงครามที่เรียกว่า การแทรกแซง” (Intervention) หมายถึง การทีรัฐหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น เพื่อบังคับให้รัฐนั้น ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการของรัฐที่เข้าแทรกแซง โดยรัฐที่ถูกแทรกแซงนั้นต้องเป็นรัฐที่เป็น เอกราช

การแทรกแซงจะต้องมีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ

1.         เป็นการกระทำที่แทรกแซงต่อกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น

2.         รัฐที่ถูกแทรกแซงต้องเป็นอิสระ มีอำนาจอธิปไตยของตนเองทั้งภายในและภายนอก

3.         มีวัตถุประสงค์ที่จะบังคับให้รัฐนั้นกระทำตามความประสงค์ของตน

และการแทรกแซงที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีได้ แต่จะต้องเป็นการแทรกแซงในกรณีดังต่อไปนี้

1.         การแทรกแซงโดยมีสนธิสัญญาต่อกันให้ดำเนินการได้

2.         การแทรกแซงโดยอ้างว่ารัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายร้องขอ

3.         การแทรกแซงโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลในสัญชาติตนในรัฐอื่น แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขดังนี้

1)         รัฐนั้นไม่ให้ความคุ้มครองหรือไม่สามารถให้ความคุ้มครองแก่บุคคล หรือทรัพย์สิน ของชาติที่ทำการแทรกแซง และองค์การสหประชาชาติก็ไม่สามารถจะให้ความ คุ้มครองได้ทันที

2)         มีการคุกคามซึ่งจำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

3)         การปฏิบัติการแทรกแซงต้องสมเหตุสมผลกับความเสียหายที่ไต้รับ และต้องหยุด การกระทำเมื่อทำการคุ้มครองเป็นผลสำเร็จหรืออพยพประชาชนหมดสิ้นแล้ว

4.         การแทรกแซงโดยเหตุผลของมนุษยธรรม เป็นกรณีที่รัฐที่ถูกแทรกแซงกระทำการป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม หรือไม่ยุติธรรมต่อบุคคลในสัญชาติของรัฐที่ถูกแทรกแซงเอง

ดังนั้นวิธีการแทรกแซงที่จะถือว่าเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ต่อเมื่อมิได้กระทำให้ถูกต้อง ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น มิได้หมายความว่าวิธีการแทรกแซงจะไม่ชอบด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศเสมอไป

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศในกรณีของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป มีลักษณะอย่างไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่ได้บัญญัติไว้เป็น

ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ ซึ่งการก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็น ระยะเวลายาวนานพอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณี ระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ (เสมือนเป็นกฎหมาย) แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

ส่วนหลักกฎหมายทั่วไป เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากประเทศ ต่าง ๆ ที่มีความศิวิไลซ์ทางด้านกฎหมาย ซึ่งหมายถึง

1.         หลักเกณฑ์ทางกฎหมายทั่วไปที่ยอมรับและใช้บังคับอยู่ในกฎหมายภายในของรัฐ ทั้งหลาย โดยบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมายภายในของรัฐต่างๆ หรือกฎหมายภายในของประเทศที่มี ความเจริญในทางกฎหมาย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป อันอาจนำมาเป็นหลักในการพิจารณาวินิจฉัย คดีได้ เช่น หลักที่ว่าสัญญาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้ทำสัญญา หลักความสุจริตใจ หลักกฎหมายปิดปาก หลักผู้รับโอนไม่มิสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

2.         หลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐต่าง ๆ ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ โดยทั่วไป โดยมิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น หลักความ เสมอภาคเท่าเทียมกันของรัฐไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เป็นต้น

จะเห็นว่าหลักกฎหมายทั่วไปเกิดจากการที่รัฐต่าง ๆ ยอมรับคล้ายกับจารีตประเพณี แต่ยังไม่ถึง ขั้นที่เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ เพราะไม่ได้เกิดจากการยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเหมือนจารีตประเพณี แต่เกิดจากการที่สังคมระหว่างประเทศยอมรับเพราะถือว่าชอบด้วยเหตุผลทางกฎหมาย ซึ่งจะแตกต่างกับจารีตประเพณี ระหว่างประเทศที่เกิดจากการที่รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลานานไม่ว่าเรื่องดังกล่าว จะชอบด้วยเหตุผล ทางกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น จารีตประเพณีระหว่างประเทศจึงแตกต่างจากหลักกฎหมายทั่วไปในเรื่องของเหตุผลทางกฎหมาย

 

ข้อ 2. ผลของสนธิสัญญา กรณีที่เกิดสงครามขึ้นระหว่างรัฐภาคีเป็นอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กรณีเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่างรัฐภาคีสนธิสัญญา ผลของสนธิสัญญาจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น จะต้องแยกพิจารณาว่า เป็นสนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) หรือสนธิสัญญาหลายฝ่าย (พหุภาคี)

สำหรับสนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) โดยหลักการแล้วถือว่าสนธิสัญญาที่ทำไว้ก่อนเกิด สงครามของรัฐคู่สงคราม (รัฐภาคีสนธิสัญญา) สิ้นสุดลง เว้นแต่

1.         สนธิสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อบังคับใช้โดยตรงในเวลาสงคราม เช่น อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วย กฎหมายและจารีตประเพณีในการทำสงครามทางบก ค.ศ. 1907อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก ค.ศ. 1949

2.         สนธิสัญญาบางชนิด เช่น การยกดินแดน

3.         สนธิสัญญานั้นเองได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าให้คงดำเนิบต่อไปแม้เมื่อเกิดสงคราม เช่น สนธิสัญญาลงวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1815 ระหว่างอังกฤษ ฮอลแลนด์ และรัสเซีย ซึ่งกำหนดว่าอังกฤษจะต้องจ่ายเงินให้รัสเซียแม้ว่าจะทำสงครามกับรัสเซียก็ตาม ใน สงครามไคเมียระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย อังกฤษก็ยังชำระหนี้ให้รัสเซียต่อไป

สำหรับสนธิสัญญาหลายฝ่าย (พหุภาคี) ซึ่งมีทั้งรัฐคู่สงคราม (รัฐภาคีสนธิสัญญา) และรัฐ เป็นกลางเป็นภาคีในสนธิสัญญา ผลของสนธิสัญญาระหว่างคู่สงครามเป็นแต่เพียงระงับไปชั่วคราวจนกว่า สงครามสงบ โดยมีการทำสนธิสัญญาสันติภาพ สนธิสัญญานั้นยังไม่ถือว่าสิ้นสุดลง แต่ผลระหว่างรัฐเป็นกลางกับ รัฐคู่สงคราม หรือระหว่างรัฐเป็นกลางที่เป็นภาคีสนธิสัญญายังใช้บังคับอยู่เช่นเดิม เช่น สงครามในปี ค.ศ. 1870 ไม่ได้ ทำให้สนธิสัญญาปารีสวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1856 สิ้นสุดลง และสนธิสัญญาวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1839 ที่ค้ำประกัน ความเป็นกลางของเบลเยียมไม่ได้สิ้นสุดลง เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียมในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 แต่ยังคงใช้อยู่ จนกระทั่งได้มีการทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เช่นเดียวกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1939 ก็ไม่ได้ทำให้ องค์การสันนิบาตชาติเลิกล้มไป จนกระทั่งเกิดองค์การสหประชาชาติขึ้นมาแทน

 

ข้อ 3. นายบารัก โอบามา ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ และจะเป็นผู้นำรัฐบาล ของประเทศอเมริกาต่อไปอีกหนึ่งสมัย ในฐานะที่ท่านผ่านการศึกษาวิชากฎหมายระหว่างประเทศ มาแล้ว อธิบายให้เข้าใจว่ารัฐบาลใหม่ของประเทศนี้จำเป็นที่จะต้องรับการรับรองตามหลักเกณฑ์ ของกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ (ต้องอธิบายหลักเกณฑ์โดยละเอียดประกอบด้วย) และ ประเทศอเมริกาเป็นรัฐในรูปแบบใด แตกต่างจากรูปแบบของประเทศไทยหรือไม่ อธิบายให้ชัดเจน

งคำตอบ

รัฐบาล คือ คณะบุคคลที่มีอำนาจกระทำการในนามองค์กรฝ่ายบริหารของรัฐ ซึ่งเป็น องค์ประกอบสำคัญของรัฐ ในกรณีมีรัฐเกิดขึ้นใหม่และมีการรับรองรัฐก็ถือเป็นการรับรองรัฐบาลโดยปริยายด้วย ตามปกติแล้วรัฐต่าง ๆ ย่อมมีคณะบุคคลผลัดเปลี่ยนเข้ามามีอำนาจกระทำการเป็นฝ่ายบริหารของรัฐ

ในกรณีทีมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามปกติหรือตามวิถีทางของกฎหมายภายในของรัฐ เช่น รัฐบาล มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการรับรองรัฐบาลชุดใหม่แต่อย่างใด

การรับรองรัฐบาลใหม่ จะเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ

1.         กรณีที่รัฐบาลใหม่มิได้ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางของกฎหมาย คือ เป็นกรณีที่ มีคณะบุคคลขึ้นครองอำนาจโตยวิธีการที่ผิดแปลกไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ คือ การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการได้อำนาจโดยการใช้กำลังบังคับ

2.         กรณีที่มีการตั้งรัฐบาลขึ้นมีอำนาจปกครองดินแดนส่วนหนึ่งของรัฐ โดยการแย่ง อำนาจปกครองจากรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐ ทำให้มี 2 รัฐบาลในรัฐเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลที่ตั้งขึ้นในกรณี ดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลโดยพฤตินัย จึงสมควรที่จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐอื่น

การตัดสินใจในการให้การรับรองรัฐบาลใหม่นี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐที่จะให้การรับรองหรือไม่ และอาจจะรับรองโดยมีเงื่อนไขก็ได้ การรับรองรัฐบาลนี้มีผลในลักษณะของการประกาศให้นานาชาติทราบถึง สถานภาพของรัฐบาลที่ได้รับการรับรองเช่นเดียวกับการรับรองรัฐ สำหรับหลักการพิจารณาเพื่อการรับรองรัฐบาลนี้ มีทฤษฎีทีเกี่ยวข้องดังนี้

1.         ทฤษฎี Tobar เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงความชอบธรรมของรัฐบาล ที่ขึ้นมามีอำนาจปกครองประเทศว่าเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้เป็นความคิดที่พยายามจะ ป้องกันการปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยในลาตินอเมริกา ซึ่ง Tobar รัฐมนตรีต่างประเทศเอกวาดอร์ เห็นว่ารัฐ ไม่ควรรับรองรัฐบาลที่ได้อำนาจมาโดยการปฏิวัติรัฐประหาร เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลใหม่จะทำให้ถูกต้องตาม ขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ โดยได้รับความยินยอมจากสภาที่มาจากการเลือกตั้งเสียก่อน

ทฤษฎี Tobar ใช้เฉพาะในทวิปอเมริกาเท่านั้น ประเทศใบยุโรปไม่ยอมรับนับถือ ปฏิบัติ โดยหลักการแล้วทฤษฎีดังกล่าวขัดแย้งกับข้อเท็จจริง เพราะการรับรองรัฐบาลใหม่ก็เหมือนกับการรับรอง รัฐ ซึ่งเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศสภาพของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วเท่านั้น และการปฏิเสธการรับรองรัฐบาลโดย อ้างว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมนั้น เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น ดังนั้นทฤษฎี Tobar จึงไม่ได้รับ การยึดถือปฏิบัติแต่ปลายปี ค.ศ. 1932 เป็นต้นมา

2.         ทฤษฎี Estrada เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลนั้น ที่มีอำนาจอันแท้จริงในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ได้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลมีความสามารถเช่นว่านี้ก็เพียงพอที่จะเป็นรัฐบาลโดยสมบูรณ์ได้ โดยมิต้องไปพิจารณาถึง ความถูกต้องตามกฎหมายภายในของรัฐบาล เพราะเป็นกิจการภายในของรัฐนั้น รัฐอื่นไม่มีหน้าที่ไปพิจารณา รัฐทุกรัฐ ย่อมมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง ซึ่งสังคมระหว่างประเทศในปัจจุบันนี้ยึดถือตามทฤษฎี Estrada นี้

กรณีตามปัญหา การที่นายบารัก โอบามา ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาและจะเป็น ผู้นำรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาต่อไปอีกหนึ่งสมัยนั้น ถือได้ว่ารัฐบาลใหม่ของประเทศนี้ซึ่งมีนายบารัก โอบามา เป็นผู้นำเป็นรัฐบาลที่ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางที่กฎหมายได้กำหนดไว้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องรับการรับรอง ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศและแม้จะไม่มีการรับรองรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายบารัก โอบามา ก็ถือว่ารัฐบาลใหม่นี้เป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ สามารถปฏิบัติพันธกรณีระหว่างประเทศ ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

สำหรับรูปแบบของรัฐนั้น อาจแบ่งแยกออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ รัฐเดี่ยวและรัฐรวม

1. รัฐเดี่ยว หมายถึง รัฐซึ่งมีการปกครองเป็นเอกภาพไม่ได้แบ่งแยกออกจากกัน มีรัฐบาลกลาง ปกครองประเทศเพียงรัฐบาลเดียว แม้จะมีการกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่นแต่ก็ยังอยู่ในความควบคุม ของรัฐบาลกลาง มีประมุขของรัฐแต่เพียงผู้เดียว และมีองค์กรนิติบัญญัติเพียงองค์กรเดียว

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ จะบัญญัติไว้ว่า ประเทศไทยเป็น ราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้” แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีรูปแบบของรัฐเป็นลักษณะของ รัฐเดี่ยว” โดยมีประมุขคนเดียวกัน และมีรัฐบาลกลางบริหารปกครองประเทศรัฐบาลเดียว

2. รัฐรวม หมายถึง รัฐหลายรัฐมารวมกันโดยเหตุการณ์หรือผลประโยชน์ร่วมกันบางอย่าง ซึ่งรัฐรวมระหว่างหลายรัฐดังกล่าวอาจจะเป็นรัฐรวมแบบสมาพันธรัฐ หรือแบบสหพันธรัฐก็ได้

สำหรับรัฐรวมแบบสหพันธรัฐหรือสหรัฐ เป็นการรวมกันของรัฐหลายรัฐในลักษณะที่ ก่อให้เกิดรัฐใหม่ขึ้นมารัฐเดียว ซึ่งรัฐเดิมที่เข้ามารวมนี้จะสูญสภาพความเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศไป โดยยอมสละอำนาจอธิปไตยบางส่วนให้แก่รัฐบาลกลางของสหพันธรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกิจการภายนอก เช่น อำนาจในการป้องกันประเทศ อำนาจในการติดต่อกับต่างประเทศ ส่วนกิจการภายในรัฐสมาชิกยังคงมีอิสระเช่นเดิม

สหพันธรัฐอาจจะเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น เกิดจากหลายรัฐมารวมกันในรูปของ สหพันธรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ หรือเกิดการเปลี่ยนรูปจากรัฐเดียวมาเป็นสหพันธรัฐ เช่น เม็กซิโก บราซิล เป็นต้น โดยปกติแล้วรัฐสมาชิกของสหพันธรัฐจะไม่สามารถถอนตัวออกไปได้ เว้นแต่จะกำหนดไว้ใน รัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐให้รัฐสมาชิกถอนตัวออกได้

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ารูปแบบของรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกากับของประเทศไทยจะแตกต่างกัน กล่าวคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐในรูปแบบของรัฐรวมแบบสหพันธรัฐหรือสหรัฐ แต่ของประเทศไทยเป็นรัฐ ในรูปแบบของรัฐเดี่ยว

 

ข้4. จงอธิบายกระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีที่เรียกว่าวิธีการ ศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศ” (ศาลโลก)โดยละเอียด และวิธีกรนี้มีความแตกต่างจากวิธีการที่เรียกว่า ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ” ในประเด็นสำคัญอย่างไร ซึ่งจะต้องอธิบายแยกแยะให้ชัดเจนด้วย

ธงคำตอบ

การระงับข้อพิพาทโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก เป็นการระงับข้อพิพาท ทางศาลตามความหมายที่แท้จริง เนื่องจากเป็นลักษณะของการเสนอข้อพิพาทให้ศาลที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างถาวร โดยมี ผู้พิพากษาประจำอยู่ มีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณาความของตนเอง แตกต่างจากศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ แต่ก็เป็นการระงับข้อพิพาทในทางกฎหมาย และอยู่บนพื้นฐานของการเคารพกฎหมายเช่นเดียวกัน

สำหรับโครงสร้างของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 นาย แต่จะ เป็นคนในสัญชาติเดียวกับไมได้ ได้รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่ง 9 ปี และอาจได้รับเลือกใหม่ นอกจากนั้นก็มีการ เลือกตั้งซ่อมทุก ๆ 3 ปี โดยผู้พิพากษา 5 คน จะอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี 5 คนอยู่ในตำแหน่ง 6 ปี และ 5 คนที่เหลือ อยู่ในตำแหน่งได้ครบ 9 ปี ถ้ามีตำแหน่งว่างให้มีการเลือกตั้งซ่อม ผู้ที่ได้รับเลือกจะอยู่ได้เท่าเวลาของผู้ที่ตนแทน การเลือกตั้งกระทำโดยความเห็นชอบร่วมกับของสมัชชาสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งในกรณีนี้ สมาชิกถาวรของคณะมนตริความมั่นคงไม่สามารถใช้สิทธิวีโต้ได้ มติถือเสียงส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ ศาลเลือกประธาน และรองประธานซึ่งอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี และอาจได้รับเลือกใหม่อีก

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทระหว่างประเทศหรือรัฐเท่านั้น และต้องการเกิดจากความสมัครใจของรัฐคู่กรณีด้วย มีเขตอำนาจในเรื่องตังต่อไปนี้คือ

1.         การตีความสนธิสัญญา

2.         ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ

3.         ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อผูกพันระหว่างประเทศ

4.         กรณีเกิดการเสียหายเพราะละเมิดพันธะระหว่างประเทศ

นอกจากนี้คู่พิพาทอาจจะขอให้ศาลพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในสนธิสัญญา และยังมีหน้าที่ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายแก่คณะมนตรีและสมัชชาของสันนิบาตชาติด้วย ในกรณีที่ถูกร้องขอ

การนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยปกติเป็นความประสงค์ชองคู่กรณีเอง นอกจากจะมีสนธิสัญญาที่ คู่กรณีทำไว้บังคับให้ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลนี้ คำตัดสินของศาลผูกพันคู่กรณีให้ต้องปฏิบัติ และถือเป็นที่สุดไม่มี อุทธรณ์ ฎีกา คำพิพากษาชองศาลมีลักษณะเป็นพันธกรณีที่คู่กรณีจะต้องปฏิบัติตาม และคำพิพากษาถือเป็นสิ้นสุด และผูกพันเฉพาะคูความในคดีเท่านั้น ถ้ารัฐใดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา รัฐอีกฝ่ายหนึ่งอาจร้องเรียนไปยัง คณะมนตรีความมันคง ซึ่งถ้าคณะมนตรีความมั่นคงเห็นว่าจำเป็นก็อาจทำคำแนะนำ หรือวินิจฉัยมาตรการที่จะดำเนินการเพื่อให้เกิดผลตามคำพิพากษา

ส่วนการระงับข้อพิพาทโดยศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เป็นการระงับข้อพิพาท โดยองค์กรที่ยังไม่มีลักษณะเป็นศาลที่แท้จริง โดยศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เป็นศาลที่มีการจัดตั้งขึ้นมา สืบเนื่องมาจากการประชุมที่กรุงเฮกในปี 1899 และปี 1907 ซึ่งได้มีการผลักดันให้มีการตั้งอนุญาโตตุลาการใน ลักษณะถาวรขึ้นเรียกว่า ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ มีที่ทำการอยู่ทีกรุงเฮก ประเทศฮอลแลนด์ โดยรัฐที่เป็นภาคีสมาชิกจะส่งรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถในด้านกฎหมายระหว่างประเทศในประเทศชองตน เพื่อไปเป็นผู้พิพากษายังศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศจำนวน 4 คน และรายชื่อทั้งหมดจะรวบรวมทำเป็น บัญชีไว้ หากมีกรณีพิพาทมาสู่ศาลจึงจะเรียกผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้นมาตัดสิน และกรณีที่ถือว่าศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศยังไม่มีลักษณะที่เป็นศาลอย่างแท้จริงก็เพราะว่า ถึงแม้จะมีที่ทำการศาลอย่างถาวรก็ตาม แต่ว่ายังไม่มี ผู้พิพากษาอยู่ประจำตลอดเวลาอย่างศาลทั่วไป และไม่มีการประชุมกันระหว่างผู้พิพากษาด้วยกันอย่างเช่นศาลทั่วไป

กระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศที่เรียกว่าวิธีการ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” (ศาลโลก) จะแตกตาางจากวิธีการที่เรียกว่าศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ” ในประเด็นที่สำคัญ คือ

1.         การนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยปกติจะเป็นความประสงค์ของคู่กรณีเอง เว้นแต่จะมีสนธิสัญญาที่คู่กรณีทำไว้บังคับให้ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลนี้ แต่การนำคดีขึ้นสู่ศาลอนุญาโตตุลาการ ระหว่างประเทศจะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของคู่กรณีเท่านั้น

2.         ผู้พิพากษาที่จะตัดสินคดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คือผู้พิพากษาที่ประจำอยู่ในศาล แต่ผู้พิพากษาที่จะตัดสินคดีในศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ คือผู้พิพากษาที่คู่พิพาทเลือกมาจากบัญชีรายชื่อ (เป็นผู้พิพากษาที่ได้รับความยินยอมจากคู่กรณี)

3.         การพิจารณาคดีโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จะมีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณา เป็นของตนเอง รวมทั้งมีการประชุมร่วมกันของผู้พิพากษาในศาล แต่การพิจารณาคดีโดยศาลอนุญาโตตุลาการ ระหว่างประเทศจะไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณาเป็นของตนเองรวมทั้งไม่มีการประชุมกันระหว่างผู้พิพากษา เหมือนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 (LA 403, LW 403) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จงอธิบายที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศโดยสังเขป และที่มาประเภทใดที่ยึดถือว่ามีความสำคัญ มากที่สุด (สองประการ) อธิบาย เพื่อให้เห็นจริงประกอบด้วย

ธงคำตอบ

กฎหมายระหว่างประเทศนั้น สามารถแบ่งที่มาออกได้เป็น 6 ประเภท ได้แก่

1.         สนธิสัญญา ถือว่าเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระยะหลังจะมีการรวบรวมจารีตประเพณีระหว่างประเทศมาบัญญัติไว้เป็นกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสนธิสัญญา และโดยที่สนธิสัญญาเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่ทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างรัฐหรือองค์การระหว่างประเทศ (สองฝ่ายหรือหลายฝ่าย) ซึ่งก่อให้เกิดผลผูกพันตามกฎหมายแก่คู่สัญญา ดังนั้นเมื่อคู่สัญญามีข้อพิพาทเกิดขึ้น เกี่ยวกับสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็มักจะอาศัยการตีความหมายจากสนธิสัญญาเพื่อใช้เป็นหลักใน การวินิจฉัยขี้ขาดคดีในศาลของตน

2.         จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่ได้บัญญัติไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ การก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

(1)       การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกัน ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็น ระยะเวลายาวนานพอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

(2)       การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณี ระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศอาจเกิดจาก

(1)       เกิดจากจารีตประเพณีหรือกฎหมายภายในหรือคำตัดสินของศาลยุติธรรมของ รัฐหนึ่ง แต่ประเทศอื่นเห็นว่าดีก็นำหลักการดังกล่าวมาปฏิบัติ จนนานเข้าก็กลายเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ

(2)       เกิดจากสนธิสัญญาประเภทกฎหมาย คำตัดสินของอนุญาโตตุลาการและคำพิพากษา

ของศาลระหว่างประเทศ

3.         หลักกฎหมายทั่วไป เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากประเทศ ต่าง ๆ ที่มีความศิวิไลซ์ทางด้านกฎหมาย ซึ่งหมายถึง

(1) หลักเกณฑ์ทางกฎหมายทั่วไปที่ยอมรับและใช้บังคับอยู่ในกฎหมายภายในของรัฐ ทั้งหลาย โดยบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมายภายในของรัฐต่าง ๆ หรือกฎหมายภายในของประเทศที่มี ความเจริญในทางกฎหมาย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป อันอาจนำมาเป็นหลักในการพิจารณาวินิจฉัยคดีได้

เช่น หลักที่ว่าสัญญาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้ทำสัญญา หลักความสุจริตใจ หลักกฎหมายปิดปาก หลักผู้รับโอน ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

(2) หลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐต่าง ๆ ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ โดยทั่วไป โดยมิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น หลักความเสมอภาค เท่าเทียมกันของรัฐไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เป็นต้น

4.         หลักความยุติธรรม ถือเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศชั้นรองลงมาจากสนธิสัญญา จารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งตามมาตรา 38 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ระบุว่า ศาลอาจวินิจฉัยคดีโดยอาศัยหลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดี หากคู่ความตกลงให้ปฏิบัติ เช่นนั้น” กล่าวคือ เมื่อมีข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยยึดหลักความยุติธรรมได้ต่อเมื่อไม่มี กฎหมายระหว่างประเทศใดที่จะยึดถือเป็นหลักในการพิจารณาคดีได้ เช่น ไม่มีสนธิสัญญา ไม่มีจารีตประเพณีระหว่าง ประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไปใด ๆ ที่จะยึดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีได้ และคู่กรณีตกลงยินยอมให้ศาลใช้หลัก ความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดีมาใช้พิจารณาตัดสินแทนได้ และแนวการตัดสินดังกล่าวจะพัฒนาเป็น หลักกฎหมายในเรื่องนั้นในที่สุด แต่ศาลจะนำมาใช้โดยพลการไม่ได้ ต้องได้รับความยิบยอมจากคู่กรณีก่อน อีกทั้ง ต้องไม่ขัดต่อหลักกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย

5.         คำพิพากษาของศาล มีอิทธิพลในการสร้างกฎหมายภายในอย่างมาก แต่คำพิพากษา ของศาลยังไม่ถือว่าเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงแต่แหล่งที่มาอีกประการหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ไมใช่แหล่งที่มาโดยตรงเหมือนเช่นสนธิสัญญาและจารีตประเพณีระหว่างประเทศ กล่าวคือ คำพิพากษาของศาล ในคดีก่อนเป็นเพียงวิธีการเสริมที่ช่วยผู้พิพากษาหรืออนุญาโตตุลาการในการใช้กฎหมายหรือแปลความหมายของ กฎหมายเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาของศาลก็มีบทบาทในการบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศโดยทางอ้อม

6.         ความเห็นของนักนิติศาสตร์ เป็นเครื่องมือที่ช่วยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการ วินิจฉัยหลักกฎหมาย เพื่อตัดสินคดีของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ อีกทั้งนักนิติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมักจะได้รับ การแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จึงอาจถือได้ว่าบทความ การเสนอแนะ หรือการ ตีความต่าง ๆ ของนักนิติศาสตร์เหล่านี้ก็มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยขี้ขาดตัดสินคดีเช่นเดียวกัน

และที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศทั้ง 6 ประเภทนั้น ที่มาที่ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดคือ สนธิสัญญาและจารีตประเพณีระหว่างประเทศ เพียงแต่สนธิสัญญานั้นคือสภาพปัจจุบันของการจัดทำกฎหมาย ระหว่างประเทศ แต่ในอดีตการเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศหรือความตกลงระหว่างประเทศมักจะเกิดขึ้น ในรูปของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ดังนั้น จึงถือว่าจารีตประเพณีระหว่างประเทศเป็นที่มาของกฎหมาย ระหว่างประเทศที่สำคัญเช่นเดียวกับสนธิสัญญา เพียงแต่ไม่ได้มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น แต่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจารีตประเพณีระหว่างประเทศจะไม่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็มีลักษณะเป็น กฎหมายระหว่างประเทศที่ทุกประเทศต้องปฏิบัติตาม ถ้าประเทศใดไม่ปฏิบัติตามจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ย่อมถือว่าประเทศนั้นละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ

 

ข้อ 2 สนธิสัญญา อาจสิ้นสุดการบังคับใช้ หรือไม่สามารถบังคับใช้ได้อีกต่อไป ในกรณีใดบ้าง  

ธงคำตอบ

สนธิสัญญาที่กำหนดให้คู่สัญญาปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น เมื่อได้ปฏิบัติไปตามนั้นแล้ว สนธิสัญญาก็ถือว่าสิ้นสุดลง เช่น การยกดินแดนให้แก่อีกรัฐหนึ่ง เป็นต้น แต่สำหรับสนธิสัญญาที่คู่สัญญาต้อง ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นประจำนั้นอาจสิ้นสุดการบังคับใช้ หรือไม่สามารถบังคับใช้ได้อีกต่อไป มีได้ใน กรณีดังต่อไปนี้คือ

1.         ในสนธิสัญญานั้นได้กำหนดวาระสิ้นสุดเอาไว้ กล่าวคือได้มีการกำหนดเอาไว้แน่นอน ในสนธิสัญญาว่าให้มีผลสิ้นสุดลงเมื่อใด ซึ่งเมื่อครบเวลาที่กำหนดไว้เมื่อใดก็ถือว่าสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ หรือในกรณีที่ รัฐคู่สัญญาเห็นพ้องต้องกัน ก็สามารถทำการตกลงยกเลิกสนธิสัญญานั้นได้ แม้ว่าระยะเวลาในการบังคับใช้จะยัง ไม่สิ้นสุดลงก็ตาม

2.         เมื่อรัฐภาคีเดิมได้ทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมาในเรื่องเดียวกันนั้น ซึ่งจะมีผลทำให้ สนธิสัญญาเดิมนั้นสิ้นสุดการใช้บังคับโดยปริยาย

3.         สนธิสัญญาที่ให้สิทธิแก่รัฐหนึ่งรัฐใดบอกเลิกฝ่ายเดียวได้ ซึ่งในกรณีที่เป็นสนธิสัญญา สองฝ่าย (ทวิภาคี) เมื่อรัฐหนึ่งรัฐใดใช้สิทธิบอกเลิกแล้วสนธิสัญญานั้นก็สิ้นสุดลงโดยไม่ต้องได้รับความยิบยอมจาก อีกรัฐหนึ่ง แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสนธิสัญญานั้นได้กำหนดว่าให้บอกเลิกได้ และจะต้องปฏิบัติตามวิธีการที่ สนธิสัญญานั้นได้กำหนดไว้ด้วย

แต่ถ้าเป็นสนธิสัญญาหลายฝ่าย (พหุภาคี) การใช้สิทธิบอกเลิกนั้นให้ถือว่าเป็นเพียงการถอนตัวของรัฐที่บอกเลิกเท่านั้น ไม่ทำให้สนธิสัญญาดังกล่าวสิ้นสุดลงแต่อย่างใด

4.         เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีการละเมิดสนธิสัญญา อีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีสิทธิบอกเลิกได้

5.         เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น เช่น มีการทำสงครามกันระหว่างรัฐคู่สัญญา เป็นต้น

6.         เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจอธิปไตยของรัฐคู่สัญญา ซึ่งมีผลทำให้สนธิสัญญาที่มี

ระหว่างกันสิ้นสุดลง

7.         สนธิสัญญาที่ทำขึ้นนั้นขัดต่อหลักเกณฑ์บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ กล่าวคือ ถ้าได้เกิดมีหลักเกณฑ์บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ หากสนธิสัญญาที่ได้ทำขึ้นมาก่อนหน้านั้น มีข้อความขัดกับหลักเกณฑ์บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ สนธิสัญญานั้นย่อมสิ้นสุดลง ไม่สามารถใช้บังคับได้อีกต่อไป

 

ข้อ 3. รัฐอาจแบ่งเป็นรูปแบบใดได้บ้าง และยกตัวอย่างประกอบในแต่ละรูปแบบด้วย

ธงคำตอบ

รูปแบบของรัฐ อาจแบ่งแยกออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ รัฐเดี่ยว และรัฐรวม

1.         รัฐเดี่ยว หมายถึง รัฐซึ่งมีการปกครองเป็นเอกภาพไม่ได้แบ่งแยกออกจากกัน มีรัฐบาลกลาง ปกครองประเทศเพียงรัฐบาลเดียว แม้จะมีการกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่นแต่ก็ยังอยู่ในความควบคุมของ รัฐบาลกลาง มีประมุขของรัฐแต่เพียงผู้เดียว และมีองค์กรนิติบัญญัติเพียงองค์กรเดียว ตัวอย่างของรัฐเดียว ได้แก่ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน เบลเยียม อิตาลี และประเทศไทย เป็นต้น

2.         รัฐรวม หมายถึง รัฐหลายรัฐมารวมกันโดยเหตุการณ์หรือผลประโยชน์ร่วมกันบางอย่าง ซึ่งรัฐรวมระหว่างหลายรัฐดังกล่าวอาจจะเป็นรัฐรวมแบบสมาพันธุรัฐ หรือแบบสหพันธรัฐก็ได้

สมาพันธรัฐ (Confederation of State) เป็นการรวมกลุ่มระหว่างรัฐหลายรัฐโดยสนธิสัญญา เพื่อวัตถุประสงค์หรือผลประโยชน์ร่วมกันบางประการ เช่น การป้องกันทางทหาร การเศรษฐกิจการค้า เป็นต้น มีลักษณะการรวมคล้ายกับสมาคมของรัฐ โดยไม่ก่อให้เกิดฐานะเป็นรัฐใหม่ขึ้นอีก จะไม่มีรัฐบาลกลาง แต่มีองค์กรกลาง ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อประสานงานและดำเนินการบางอย่างตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา

ลักษณะสำคัญของสมาพันธุรัฐ มีดังต่อไปนี้

1.         รัฐที่เข้ามารวมเป็นสมาพันธรัฐยังคงมีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ สามารถติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้ สามารถที่จะรับส่งผู้แทนทางการทูตได้ เพียงแต่มอบกิจการบางอย่างตามที่ได้ ตกลงกันไว้ในสนธิสัญญาเท่านั้นที่ให้สมาพันธุรัฐดำเนินการแทน

2.         รัฐที่เข้ามารวมเป็นสมาพันธุรัฐเกิดจากข้อตกลงระหว่างประเทศหรือสนธิสัญญา ซึ่ง จะกำหนดจุดประสงค์และขอบเขตอำนาจขององค์กรกลางของสมาพันธุรัฐ แต่รัฐสมาชิกสมาพันธรัฐยังมีอำนาจอิสระ อย่างสมบูรณ์ไนกิจการที่ไม่ได้มอบหมายหน้าที่ให้องค์กรกลางกระทำ

3.         สมาพันธุรัฐไม่มีอำนาจเหนือประชาชนภายในรัฐของสมาชิกสมาพันธุรัฐโดยตรง ดังนั้น มติขององค์กรกลางจะใช้บังคับแก่ประชาชนของรัฐสมาชิกได้ ก็ต่อเมื่อรัฐสมาชิกนำมตินั้นมาออกเป็นกฎหมาย ภายในของรัฐตน จึงจะมีผลใช้บังคับได้

4.         รัฐสมาชิกสามารถถอนตัวออกจากสมาพันธุรัฐได้ ไม่เป็นกบฏ

เห็นได้ว่า กลไกการบริหารงานในรูปสมาพันธุรัฐนั้นยากแก่การปฏิบัติ เช่น มติขององค์กรกลาง ต้องเป็นเอกฉันท์ ถ้าผู้แทนของรัฐเพียงรัฐเดียวไม่ยินยอม มตินั้นก็ถือว่าไม่ได้รับการอนุมัติ หรือการให้รัฐสมาชิก สามารถถอนตัวออกจากสมาพันธุรัฐได้ เป็นต้น ปัจจุบันการรวมแบบสมาพันธรัฐไม่มีแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาเคยเป็น สมาพันธรัฐ (ค.ศ. 1781 – 1787) ต่อมาเปลี่ยนเป็นรูปของสหรัฐ หรือสมาพันธุรัฐเยอรมัน (ค.ศ. 1815 – 1866) ก็กลายเป็นรูปสหรัฐเช่นกัน

สำหรับรัฐรวมแบบสหพันธรัฐหรือสหรัฐ เป็นการรวมกันของรัฐหลายรัฐในลักษณะที่ก่อให้เกิด รัฐใหม่ขึ้นมารัฐเดียว ซึ่งรัฐเดิมที่เข้ามารวมนี้จะสูญสภาพความเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศไป โดยยอม สละอำนาจอธิปไตยบางส่วนให้แก่รัฐบาลกลางของสหพันธรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกิจการภายนอก เช่น อำนาจในการ ป้องกันประเทศ อำนาจในการติดต่อกับต่างประเทศ ส่วนกิจการภายในรัฐสมาชิกยังคงมีอิสระเช่นเดิม

ลักษณะสำคัญของสหพันธรัฐ มีดังต่อไปนี้

1.         การรวมในรูปสหพันธรัฐไม่ใช่การรวมแบบสมาคมระหว่างรัฐ แต่เป็นการรวมที่ก่อให้เกิด รัฐใหม่ขึ้นมารัฐเดียว และจะมีรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐเพื่อเป็นกฎหมายแม่บทในการปกครอง กำหนดหน้าที่ของ รัฐบาลกลางและหน้าที่ของรัฐสมาชิก

2.         รัฐที่มารวมจะหมดสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศไป ซึ่งรัฐใหม่ที่เกิดขึ้นมา จะมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศเพียงรัฐเดียว

3.         อำนาจการติดต่อภายนอก เช่น การทำสนธิสัญญา การรับส่งผู้แทนทางการทูต การป้องกัน ประเทศ ฯลฯ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลกลางแต่ผู้เดียว แต่รัฐสมาชิกก็ยังมีอำนาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ในกิจการ ภายในของตนเอง แต่รัฐธรรมนูญของมลรัฐจะขัดกับรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐไมได้

4.         มลรัฐมีส่วนในการบริหารงานของสหพันธรัฐ โดยสภาสูงจะประกอบด้วยผู้แทนของ

แต่ละมลรัฐ

5.         ในกรณีที่มลรัฐไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐต่างประเทศ สหพันธรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว

สหพันธรัฐอาจจะเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น เกิดจากหลายรัฐมารวมกันในรูปของสหพันธรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ หรือเกิดการเปลี่ยนรูปจากรัฐเดียวมาเป็นสหพันธรัฐ เช่น เม็กซิโก บราซิล เป็นต้น โดยปกติแล้วรัฐสมาชิกของสหพันธรัฐจะไม่สามารถถอนตัวออกไปได้ เว้นแต่จะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ของสหพันธรัฐให้รัฐสมาชิกถอนตัวออกได้

ในปัจจุบันมีรัฐเป็นจำนวนมากที่มีรูปการปกครองแบบสหพันธรัฐ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก บราซิล อินเดีย ปากีสถาน ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน และมาเลเซีย เป็นต้น

 

ข้อ 4. จงอธิบายการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีการที่เรียกว่า Retorsion และ Reprisals ให้ชัดเจน และการที่ประเทศซาอุดีอาระเบียไม่อนุญาตให้คนงานไทยเข้าไปทำงานในประเทศของตน จะเป็นกระบวนการตามวิธีการดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

การระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีการที่เรียกว่า รีทอร์ชั่น (Retorsion) และรีไพรซัล (Reprisals) ต่างก็เป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับทำสงคราม เพียงแต่จะมีลักษณะที่ แตกต่างกัน ดังนี้คือ

รีทอร์ชั่น (Retorsion) เป็นการกระทำที่รัฐหนึ่งกระทำตอบแทนการกระทำที่ไม่เป็นมิตร ไม่ยุติธรรม และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตนของรัฐอื่น ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ระหว่างประเทศซึ่งโดยปกติจะเป็นการตอบโต้ทางเศรษฐกิจการคลังโดยมีเจตนาจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐนั้น โดยไม่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่มักจะเป็นมาตรการเกี่ยวกับภาษีศุลกากร เช่น การขึ้นอัตราอากรขาเข้า หรือตัดโควตาปริมาณสินค้าเข้าของประเทศที่กระทำต่อตน หรือการลดค่าเงินตรา จำกัดโควตาคนเข้าเมืองของพลเมืองของประเทศนั้น หรือการไม่ให้เรือของรัฐนั้นเข้ามาในท่า ซึ่งโดยหลักการแล้วรัฐจะใช้วิธีรีทอร์ชั่นก็ต่อเมื่อ รัฐบาลไม่พอใจในการกระทำของรัฐนั้น และวิธีการใช้รีทอร์ชั่นกระทำต่อรัฐอื่นนั้น อาจจะเป็นแบบเดียวกันกับที่รัฐนั้น ถูกกระทำหรือจะเป็นแบบอื่นก็ได้

รีโพรซัล (Reprisals) เป็นมาตรการตอบโต้การกระทำอันละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ของอีกรัฐหนึ่ง เพื่อให้รัฐนั้นเคารพในสิทธิของตนและรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งมาตรการตอบโต้นั้น เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน แต่เป็นการกระทำเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว

ดังนั้นรัฐที่เสียหายจากการถูกละเมิดจากรัฐอื่น ควรหาทางให้รัฐที่ละเมิดชดใช้ก่อน ถ้าไม่เป็นผล ค่อยนำมาตรการนี้มาใช้ โดยมีเงื่อนไขคือ

1.         การกระทำนั้นเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

2.         ไม่สามารถตกลงโดยวิธีอื่น

3.         รัฐที่เสียหายต้องเรียกร้องค่าทดแทนก่อน

4.         มาตรการตอบโต้ต้องแบบสมเหตุผลกับความเสียหายที่ได้รับ

การตอบโต้อาจทำในรูปเดียวกันกับที่ถูกกระทำหรือรูปแบบอื่นก็ได้ โดยอาจกระทำต่อบุคคลหรือ ทรัพย์สินก็ได้ ซึ่งการตอบโต้บั้นจะต้องตอบโต้ต่อรัฐที่ทำผิดและต้องทำโดยองค์กรของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตาม คำสั่งของรัฐ

สำหรับการที่ประเทศซาอุดีอาระเบียไม่อนุญาตให้คนไทยเข้าไปทำงานในประเทศของตนนั้น ถือว่าเป็นมาตรการตอบโต้เพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทย แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงถือว่าเป็นวิธีการรีทอร์ชั่น (Retorsion) ดังที่ได้อธิบายไว้ ข้างต้น

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ1 จงอธิบายถึงขั้นตอนการลงนามในสนธิสัญญาว่าเป็นขั้นตอนที่ก่อให้เกิดความผูกพันหรือไม่ อย่างไร และการลงนามเต็ม (หรือการลงนามอย่างเป็นทางการ) จะต่างกับการลงนามย่ออย่างไร

ธงคำตอบ

การลงนามในสนธิสัญญา มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดข้อความเด็ดขาดในสนธิสัญญา (ตาม มาตรา 10 แหงอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยสนธิสัญญา ค.ศ. 1969) และเป็นการแสดงความยินยอมที่จะเข้าผูกพัน ในสนธิสัญญาระหว่างรัฐคู่เจรจา ซึ่งการลงนามในสนธิสัญญานั้นจะกระทำเมื่อผู้แทนในการเจรจาเห็นชอบกับข้อความ ในร่างสนธิสัญญานั้นแล้ว ตามหลักทั่วไป สนธิสัญญาที่ได้มีการลงนามนั้นยังไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันความรับผิดชอบ ของรัฐแต่อย่างใด จะต้องมีการให้สัตยาบันเสียก่อนจึงจะสมบูรณ์และมีผลผูกพัน เว้นแต่จะตกลงกันให้เกิด ความผูกพันในขั้นตอนการลงนาม (ตามมาตรา 11 แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยสนธิสัญญา ค.ศ. 1969)

การลงนามเต็ม (หรือการลงนามอย่างเป็นทางการ) จะเป็นการลงนามตามปกติของการลงนาม ในสนธิสัญญา แต่การลงนามย่อนั้นจะเป็นกรณีที่ตัวแทนของรัฐอาจจะเกิดความไม่แน่ใจในอำนาจการลงนามของตน จึงอยากจะสอบถามรัฐบาลของตนเสียก่อนที่จะลงนามจริง จึงได้ลงนามย่อไว้ ซึ่งการลงนามย่อนี้จะยังไม่สมบูรณ์ จนกว่าจะมีการยืนยันกลับมาอย่างเป็นทางการอีกครั้งหรือเมือมีการลงนามเต็มอีกครั้งในภายหลัง

 

ข้อ 2. จงอธิบายถึงข้อสงวนในสนธิสัญญา และรัฐสามารถที่จะตั้งข้อสงวนได้หรือไม่ อย่างไร 

ธงคำตอบ

ข้อสงวนของสนธิสัญญา (Reservation) หมายถึง ข้อความซึ่งรัฐคู่สัญญาได้ประกาคออกมา ว่าตนไม่ผูกพันในข้อความหนึ่งข้อความใดในสนธิสัญญา หรือตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดอย่างไร หรือตนรับจะปฏิบัติแต่เพียงบางส่วน

อนุสัญญากรุงเวียนนาฯค.ศ. 1969 ได้ให้คำนิยามไว้ว่า การตั้งข้อสงวน ได้แก่ คำแถลงฝ่ายเดียว ของรัฐภาครัฐหนึ่งรัฐใดของสนธิสัญญาที่ได้ทำขึ้นขณะที่ลงนาม ให้สัตยาบัน ยอมรับ อนุมัติ หรือทำภาคยานุวัติ สนธิสัญญา โดยคำแถลงนี้แสดงว่าต้องการระงับหรือเปลี่ยนแปลงผลทางกฎหมายของบทบัญญัติบางอย่างของ สนธิสัญญาในส่วนที่ใช้กับรัฐนั้น

เห็นได้วา การตั้งข้อสงวนคือวิธีการที่รัฐภาคีแห่งสนธิสัญญาต้องการหลีกเลี่ยงพันธกรณีตาม สนธิสัญญาในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือในหลายเรื่อง เป็นวิธีการจำกัดความผูกพันตามสนธิสัญญาของรัฐ เช่น แจ้งว่าตน จะไม่รับพันธะที่จะปฏิบัติทั้งหมด หรือรับที่จะปฏิบัติบางส่วน หรือว่าตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดนั้นวาอย่งไร

การตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญานั้น จะกระทำได้เฉพาะในสนธิสัญญาประเภทพหุภาคีเท่านั้น สำหรับสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้นไม่สามารถกระทำได้เพราะการตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้น เท่ากับเป็นการปฏิเสธการให้สัตยาบันและยื่นข้อเสนอใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อเมื่อคู่สัญญายอมรับ ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมรับ ข้อเสนอสนธิสัญญาย่อมตกไป ดังนั้นสนธิสัญญาประเภททวิภาคีจึงไม่อาจมีข้อสงวนได้

สำหรับการตั้งข้อสงวนของสนธิสัญญานั้น รัฐคู่สัญญาไม่สามารถดำเนินการได้เสมอไป เพราะ อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 มาตรา 19 ระบุว่า รัฐคู่สัญญาย่อมตั้งข้อสงวนได้ เว้นแต่

1.         สนธิสัญญามีข้อกำหนดห้ามการตั้งข้อสงวนไว้ชัดแจ้ง

2.         สนธิสัญญากำหนดกรณีที่อาจตั้งข้อสงวนได้ นอกเหนือจากกรณีที่กำหนดแล้ว รัฐไม่อาจ ตั้งข้อสงวนได้

3.         ข้อสงวนนั้นขัดต่อวัตถุประสงค์หรอความมุ่งหมายของสนธิสัญญา

การตั้งข้อสงวนหรอการรับข้อสงวนหรือการคัดค้านการตั้งข้อสงวน ต้องทำเป็นหนังสือและแจ้ง ไปให้รัฐคู่สัญญาทราบ และการตั้งข้อสงวนนั้น รัฐที่ตั้งข้อสงวนอาจจะขอถอนคืนข้อสงวนของตนได้ เว้นแต่สนธิสัญญา ดังกล่าวได้ระบุห้ามการถอนคืนข้อสงวนไว้

 

ข้อ 3. ประเทศปากีสถานเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเมื่อไม่นานมานี้ ส่งผลเสียหายอย่างมากมาย ขณะเดียวกัน ก็เกิดมีเกาะโผล่ขึ้นมาใหม่ในทะเลห่างจากชายฝั่งประมาณ 2 ไมล์ทะเล เนื่องมาจากผลของแผ่นดินไหว ครั้งนี้ ให้นักศึกษาอธิบายหลักการได้ดินแดนของรัฐด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยสังเขป และเกาะดังกล่าว จะถือว่าเป็นการได้ดินแดนของปากีสถานหรือไม่ ด้วยเหตุผลตามหลักการของกฎหมายระหว่าง ประเทศใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ธงคำตอบ

รัฐอาจได้ดินแดนโดยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

1.         โดยการใช้กำลัง ในครั้งโบราณการได้ดินแดนของรัฐส่วนใหญ่มักจะได้มาจากการรบ ซึ่งรัฐที่มีชัยชนะก็มีสิทธิจะทำการผนวกดินแดนของรัฐที่พ่ายแพ้มาเป็นของตน ในประวัติศาสตร์มีการได้ดินแดน โดยวิธีนี้มากมาย แต่ปัจจุบันกฎหมายระหว่างประเทศไม่ยอมรับความชอบธรรมในการได้ดินแดนโดยการใช้กำลัง

2.         โดยการยกให้ ปกติการได้ดินแดนของรัฐอื่นจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อได้มีสนธิสัญญา ยกดินแดนให้จากรัฐที่เป็นเจ้าของ ซึ่งอาจเป็นการยกให้โดยเสน่หาหรือขายดินแดนหรือแลกเปลี่ยนดินแดนกันก็ได้

3.         โดยการครอบครองดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ คือการเข้าครอบครองดินแดนที่ยังไม่ได้อยู

ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐใด หรืออาจเคยอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐอื่นมาก่อน แต่รัฐนั้นได้ทอดทิ้งไปแล้ว และต้องครอบครองในนามของรัฐ เอกชนที่เข้าครอบครองไม่มีสิทธิที่จะอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นได้

4.         โดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นวิธีการที่รัฐเข้าครอบครองและใช้อำนาจอธิปไตยเหนือ ดินแดนนั้นเป็นระยะเวลานานโดยดินแดนนั้นเป็นหรือเคยเป็นของรัฐอื่นมาก่อน และรัฐที่เข้ามาครอบครองภายหลัง โดยรัฐเดิมไม่ได้คัดค้าน และรัฐอื่นมิได้โต้แย้ง การครอบครองปรปักษ์เป็นหลักการทำนองเดียวกับกฎหมายภยใน แต่ไม่ได้กำหนดเงื่อนเวลาไว้อย่างชัดเจน แต่โดยปกติรัฐก็จะต้องครอบครองดินแดนนั้นเป็นเวลานาน

5.         โดยการครอบครองดินแดนโดยผลจากธรรมชาติ รัฐอาจจะได้ดินแดนโดยผลของธรรมชาติ เช่น ที่งอกริ่มตลิ่ง ริมแม่น้ำ หรือฝั่งทะเล ตามหลักกฎหมายโรมันถือว่าสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ากับสิ่งที่เป็นประธาน ย่อมเป็นทรัพย์ของผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์ประธาน นอกจากนั้นรัฐอาจจะได้ดินแดนโดยการกระทำของรัฐเอง เช่น ถมที่ดินขยายพื้นที่ออกไป หรือทำพื้นในทะเลให้แห้งเป็นพื้นดินได้

6. โดยคำพิพากษาของศาลหรือมติขององค์การระหว่างประเทศ เช่น คำพิพกษาของศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีกรีนแลนด์ตะวันออก และมติของสมัชชาสหประชาชาติเกี่ยวกับการตั้ง รัฐอิสราเอลใบปี ค.ศ. 1947

ตามอุทาหรณ์ เกาะที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวนั้นถือเป็นผลมาจากธรรมชาติ และเป็นเกาะซึ่งอยู่ ภายในทะเลอาณาเขตของปากีสถาน เพราะห่างจากชายฝั่งเพียง 2 ไมล์ทะเลซึ่งอาณาเขตของทะเลมีอาณาเขตกว้าง 12 ไมล์ทะเล ดังนั้นการเกิดเกาะดังกล่าวจึงถือว่าเป็นการได้ดินแดนของปากีสถานตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว

 

ข้อ 4. จงอธิบายการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีการทีเรียกว่า การแทรกแซง” ว่ามีลักษณะ ของการดำเนินการอย่างไร และการแทรกแซงจะกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ได้หรือไม่ และอย่างไร

ธงคำตอบ

กระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับสงครามทีเรียกว่า การแทรกแซง” (Intervention) หมายถึง การที่รัฐหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น เพื่อบังคับให้รัฐนั้น ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการของรัฐที่เข้าแทรกแซง โดยรัฐที่ถูกแทรกแซงนั้นต้องเป็นรัฐที่เป็นเอกราช

การแทรกแซงจะต้องมีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ

1.         เป็นการกระทำที่แทรกแซงต่อกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น

2.         รัฐที่ถูกแทรกแซงต้องเป็นอิสระ มีอำนาจอธิปไตยของตนเองทั้งภายในและภายนอก

3.         มีวัตถุประสงค์ที่จะบังคับให้รัฐนั้นกระทำตามความประสงค์ของตน

และการแทรกแซงที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักการของกฎหมาย ระหว่างประเทศนั้นมีได้ แต่จะต้องเป็นการแทรกแซงในกรณีดังต่อไปนี้

1.         การแทรกแซงโดยมีสนธิสัญญาต่อกันให้ดำเนินการได้

2.         การแทรกแซงโดยอ้างว่ารัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายร้องขอ

3.         การแทรกแซงโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลในสัญชาติตนในรัฐอื่น แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขดังนี้

1)         รัฐนั้นไม่ให้ความคุ้มครองหรือไม่สามารถให้ความคุ้มครองแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของขาติที่ทำการแทรกแซง และองค์การสหประชาชาติก็ไม่สามารถจะให้ความ คุ้มครองได้ทันที

2)         มีการคุกคามซึ่งจำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

3)         การปฏิบัติการแทรกแซงต้องสมเหตุสมผลกับความเสียหายที่ได้รับ และต้องหยุดการกระทำเมื่อทำการคุ้มครองเป็นผลสำเร็จหรืออพยพประชาชนหมดสิ้นแล้ว

4.         การแทรกแซงโดยเหตุผลของมนุษยธรรม เป็นกรณีที่รัฐที่ถูกแทรกแซงกระทำการป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม หรือไม่ยุติธรรมต่อบุคคลในสัญชาติของรัฐที่ถูกแทรกแซงเอง

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การตั้งข้อสงวน (Reservation) ในสนธิสัญญาหมายถึงอะไร มีหลักเกณฑ์ในการตั้งข้อสงวนและ ข้อห้ามของการตั้งข้อสงวนอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ข้อสงวนของสนธิสัญญา (Reservation) หมายถึง ข้อความซึ่งรัฐคู่สัญญาได้ประกาศออกมาว่า ตนไม่ผูกพันในข้อความหนึ่งข้อความใดในสนธิสัญญา หรือตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดอย่างไร หรือตนรับ จะปฏิบัติแต่เพียงบางส่วน

อนุสัญญากรุงเวียนนาฯค.ศ. 1969 ได้ไห้คำนิยามไว้ว่า การตั้งข้อสงวน ได้แก่คำแถลงฝ่ายเดียว ของรัฐภาคีรัฐหนึ่งรัฐใดของสนธิสัญญาที่ได้ทำขึ้นขณะที่ลงนาม ให้สัตยาบัน ยอมรับ อนุมัติ หรือทำภาคยานุวัติ สนธิสัญญา โดยคำแถลงนี้แสดงว่าต้องการระงับหรือเปลี่ยนแปลงผลทางกฎหมายของบทบัญญัติบางอย่างของ สนธิสัญญาในส่วนที่ใช้กับรัฐนั้น

เห็นได้ว่า การตั้งข้อสงวนคือวิธีการที่รัฐภาคีแห่งสนธิสัญญาต้องการหลีกเลี่ยงพันธกรณีตาม สนธิสัญญาในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือในหลายเรื่อง เป็นวิธีการจำกัดความผูกพันตามสนธิสัญญาของรัฐ เช่น แจ้งว่า ตนจะไม่รับพันธะที่จะปฏิบัติทั้งหมด หรือรับที่จะปฏิบัติบางสวน หรือว่าตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดนั้น ว่าอย่างไร

การตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญานั้น จะกระทำได้เฉพาะในสนธิสัญญาประเภทพหุภาคีเท่านั้น สำหรับสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้นไม่ลามารถกระทำได้ เพราะการตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้น เท่ากับเป็นการปฏิเสธการให้สัตยาบันและยื่นข้อเสนอใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อเมื่อคู่สัญญายอมรับ ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมรับ ข้อเสนอสนธิสัญญย่อมตกไป ดังนั้นสนธิสัญญาประเภททวิภาคีจึงไม่อาจมีข้อสงวนได้

หลักเกณฑ์ในการตั้งข้อสงวน

การตั้งข้อสงวนหรือการรับข้อสงวนหรือการคัดค้านการตั้งข้อสงวน ต้องทำเป็นหนังสือและแจ้ง ไปให้รัฐคู่สัญญาทราบ และการตั้งข้อสงวนนั้น รัฐที่ตั้งข้อสงวนอาจจะขอถอนคืนข้อสงวนของตนได้ เว้นแต่สนธิสัญญา ดังกล่าวได้ระบุห้ามการถอนคืนข้อสงวนไว้

ข้อห้ามของการตั้งข้อสงวน

สำหรับการตั้งข้อสงวนของสนธิสัญญานั้น รัฐคู่สัญญาไม่สามารถดำเนินการได้เสมอไป เพราะ อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ศ.ศ. 1969 มาตรา 19 ระบุว่า รัฐคู่สัญญาย่อมตั้งข้อสงวนได้ เว้นแต่

1.         สนธิสัญญามีข้อกำหนดห้ามการตั้งข้อสงวนไว้ชัดแจ้ง

2.         สนธิสัญญากำหนดกรณีที่อาจตั้งข้อสงวนได้ นอกเหนือจากกรณีที่กำหนดแล้ว รัฐไม่อาจ ตั้งข้อสงวนได้

3.         ข้อสงวนนั้นขัดต่อวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของสนธิสัญญา

4.         สนธิสัญญาประเภททวีภาคี (สองฝ่าย) ไมสามารถตั้งข้อสงวนได้

 

ข้อ 2. ที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีจารีตประเพณีระหว่างประเทศนั้นมีลักษณะอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมายระหว่างประเทศในอดีตจะเกิดขึ้นจากจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่สังคมระหว่าง ประเทศยอมรับ และยึดถือปฏิบัติกัน จนมีสภาพบังคับเสมือนกฎหมาย ต่อมาเมื่อมีจารีตประเพณีดังกล่าวมากขึ้น จึงมีการพยายมรวบรวมจารีตประเพณีระหว่างประเทศให้เป็นอนุสัญญา ซึ่งถือเป็นการทำกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ให้เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร จารีตประเพณีระหว่างประเทศจะมีความยืดหยุ่นมากกว่ากฎหมายลายลักษณ์อักษร เพราะถ้าช่วงสมัยหรือสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปเกิดความไม่เหมาะสมขึ้น หรือกฎหมายล้าสมัยก็อาจเลิกปฏิบัติได้ แล้วก็อาจมีแนวปฏิบัติที่เหมาะสมมาใช้ต่อไป

จารีตประเพณีที่จะเป็นที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัยที่สำคัญ 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง เป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็นระยะเวลายาวนาน พอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็น การปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณี ระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ แต่ จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น

1.         จารีตประเพณีทั่วไป ซึ่งรัฐส่วนใหญ่ยอมรับและถือปฏิบัติ สามารถใช้บังคับแก่ทุกรัฐในโลก

2.         จารีตประเพณีท้องถิ่นเป็นกฎเกณฑ์ที่ยอมรับและถือปฏิบัติในภูมิภาคเท่านั้น ซึ่งใช้บังคับ แก่รัฐที่อยู่ในภูมิภาคนั้นเท่านั้น

 

ข้อ 3. ปัจจุบันสถานการณ์ในสังคมระหว่างประเทศมีการเดินขบวนเพื่อต่อต้านรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ เป็นจำนวนมากรวมทั้งประเทศไทยด้วย หากมีเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลใหม่แทน รัฐบาลเดิมด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ การปฏิวัติ หรือวิธีอื่นใดก็ตาม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและมีผู้สนใจมาถามนักศึกษาในฐานะที่ผ่าน การศึกษาวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองมาแล้ว ท่านจะอธิบายให้ผู้สนใจนี้เกิดความ เข้าใจอย่างชัดเจนอย่างไร และยกตัวอย่างประกอบในการอธิบายด้วย

ธงคำตอบ

หากมีเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลใหม่แทนรัฐบาลเดิมด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ การปฏิวัติ หรือวิธีอื่นใดก็ตาม จะต้องมีการรับรองรัฐบาลใหม่หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1.         กรณีไม่จำเป็นต้องรับรอง คือกรณีที่รัฐบาลใหม่ได้ขึ้นมาบริหารประเทศตามกระบวนการ ตามปกติวิสัยหรือตามวิถีทางของกฎหมายภายในของรัฐนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือโดย วิธีการอื่น ๆ ก็ตาม ก็ไม่จำเป็นต้องรับรองรัฐบาลชุดใหม่นี้ เพราะถือว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องและชอบธรรมแล้ว

2.         กรณีที่จะต้องมีการรับรองรัฐบาลใหม่ จะเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ

(1)       กรณีที่รัฐบาลใหม่มิได้ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางของกฎหมาย คือ เป็นกรณี ที่มีคณะบุคคลขึ้นครองอำนาจโดยวิธีการที่ผิดแปลกไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ คือ การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการได้อำนาจโดยการใช้กำลังบังคับ

(2)       กรณีที่มีการตั้งรัฐบาลขึ้นมีอำนาจปกครองดินแดนส่วนหนึ่งของรัฐ โดยการแย่ง อำนาจปกครองจากรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐ ทำให้มี 2 รัฐบาลในรัฐเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลที่ตั้งขึ้นในกรณี ตังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลโดยพฤตินัย จึงสมควรที่จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐอื่น

การตัดสินใจในการให้การรับรองรัฐบาลใหม่นี้ขี้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐที่จะให้การรับรองหรือไม่ และอาจจะรับรองโดยมีเงื่อนไขก็ได้ การรับรองรัฐบาลนี้มีผลในลักษณะของการประกาศให้นานาชาติทราบถึง สถานภาพของรัฐบาลที่ได้รับการรับรองเช่นเดียวกับการรับรองรัฐ

สำหรับแนวคิดในการพิจารณาเกี่ยวกับการรับรองรัฐบาลใหม่นี้ มีทฤษฎีทีเกี่ยวข้องดังนี้ คือ

1. ทฤษฎี Tobar เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงความชอบธรรมของรัฐบาล ที่ขึ้นมามีอำนาจปกครองประเทศว่าเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้เป็นความคิดที่พยายามจะป้องกัน การปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยในลาตินอเมริกา ขึ้ง Tobar รัฐมนตรีต่างประเทศเอกวาดอร์ เห็นว่ารัฐไม่ควรรับรอง รัฐบาลที่ได้อำนจมาโดยการปฏิวัติรัฐประหาร เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลใหม่จะทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ โดยได้รับความยินยอมจากสภาที่มาจากการเลือกตั้งเสียก่อน

ทฤษฎี Tobar ใช้เฉพาะในทวีปอเมริกาเท่านั้น ประเทศในยุโรปไม่ยอมรับนับถือปฏิบัติ โดยหลักการแล้วทฤษฎีดังกล่าวขัดแย้งกับข้อเท็จจริง เพราะการรับรองรัฐบาลใหม่ก็เหมือนกับการรับรองรัฐ ซึ่งเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศสภาพของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วเท่านั้น และการปฏิเสธการรับรองรัฐบาลโดยอ้างว่าเป็น รัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมนั้น เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น ดังนั้นทฤษฎี Tobar จึงไม่ได้รับการยึดถือปฏิบัติ ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1932 เป็นต้นมา

2. ทฤษฎี Estrada เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลนั้น ว่ามีอำนาจอันแท้จริงในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ได้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลมีความสามารถเช่นว่านี้ก็เพียงพอที่จะเป็นรัฐบาลโดยสมบูรณ์ได้ โดยมิต้องไปพิจารณาถึง ความถูกต้องตามกฎหมายภายในของรัฐบาล เพราะเป็นกิจการภายในของรัฐนั้น รัฐอื่นไม่มีหน้าที่ไปพิจารณา รัฐทุกรัฐ ย่อมมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง ซึ่งสังคมระหว่างประเทศในปัจจุบันนี้ยึดถือตามทฤษฎี Estrada นี้ เช่น การรับรอง รัฐบาลทหารของประเทศพม่า เป็นต้น

 

ข้อ 4. จงอธิบายกระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่เรียกว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” โดยละเอียด และศาลฯ นี้มีความแตกต่างจาก ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ” ในประเด็น สำคัญอย่างไร

ธงคำตอบ

การระงับข้อพิพาทโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก เป็นการระงับข้อพิพาท ทางศาลตามความหมายที่แท้จริง เนื่องจากเป็นลักษณะของการเสนอข้อพิพาทให้ศาลที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างถาวร โดยมี ผู้พิพากษาประจำอยู่ มีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณาความของตนเอง แตกต่างจากศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ แต่ก็เป็นการระงับข้อพิพาทในทางกฎหมาย และอยู่บนพื้นฐานของการเคารพกฎหมายเช่นเดียวกัน

สำหรับโครงสร้างของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 นาย แต่จะเป็น คนในสัญชาติเดียวกันไม่ได้ ได้รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่ง 9 ปี และอาจได้รับเลือกใหม่ นอกจากนั้นก็มีการเลือกตั้งซ่อม ทุก ๆ 3 ปี โดยผู้พิพากษา 5 คน จะอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี 5 คนอยู่ในตำแหน่ง 6 ปี และ 5 คนที่เหลือ อยู่ในตำแหน่ง ได้ครบ 9 ปี ถ้ามีตำแหน่งว่างให้มีการเลือกตั้งซ่อม ผู้ที่ได้รับเลือกจะอยู่ได้เท่าเวลาของผู้ที่ตนแทน ภารเลือกตั้ง กระทำโดยความเห็นชอบร่วมกันของสมัชชาสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งในกรณีนี้สมาชิกถาวร ของคณะมนตรีความมั่นคงไม่สามารถใช้สิทธิวีโต้ได้ มติถือเสียงส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ ศาลเลือกประธานและรองประธาน ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี และอาจได้รับเลือกใหม่อีก

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทระหว่างประเทศหรือรัฐเท่านั้น และต้องการเกิดจากความสมัครใจของรัฐคู่กรณีด้วย มีเขตอำนาจในเรื่องดังต่อไปนี้คือ

1.         การตีความสนธิสัญญา

2.         ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ

3.         ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อผูกพันระหว่างประเทศ

4.         กรณีเกิดการเสียหายเพราะละเมิดพันธะระหว่างประเทศ

นอกจากนี้คู่พิพาทอาจจะขอให้ศาลพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในสนธิสัญญา และ ยังมีหน้าที่ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายแก่คณะมนตรีและสมัชชาของสันนิบาตชาติด้วย ในกรณีที่ถูกร้องขอ

การนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยปกติเป็นความประสงค์ของคู่กรณีเอง นอกจากจะมีสนธิสัญญาที่คู่กรณี ทำไว้บังคับให้ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลนี้ คำตัดสินของศาลผูกพันคู่กรณีให้ต้องปฏิบัติ และถือเป็นที่สุดไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา

คำพิพากษาของศาลมีลักษณะเป็นพันธกรณีที่คู่กรณีจะต้องปฏิบัติตาม และคำพิพากษาถือเป็นสิ้นสุด และผูกพัน เฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้น ถ้ารัฐใดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา รัฐอีกฝายหนึ่งอาจร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งถ้าคณะมนตรีความมั่นคงเห็นว่าจำเป็นก็อาจทำคำแนะนำ หรือวินิจฉัยมาตรการที่จะดำเนินการเพื่อให้เกิดผล ตามคำพิพากษา

ส่วนการระงับข้อพิพาทโดยศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เป็นการระงับข้อพิพาท โดยองค์กรที่ยังไม่มีลักษณะเป็นศาลที่แท้จริง โดยศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เป็นศาลที่มีการจัดตั้งขึ้นมา สืบเนื่องมาจากการประชุมที่กรุงเฮกในปี 1899 และปี 1907 ซึ่งได้มีการผลักดันให้มีการตั้งอนุญาโตตุลาการในลักษณะถาวรขึ้นเรียกว่า ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ มีที่ทำการอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศฮอลแลนด์ โดยรัฐที่เป็น ภาคีสมาชิกจะส่งรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถในด้านกฎหมายระหว่างประเทศในประเทศของตนเพื่อไป เป็นผู้พิพากษายังศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศจำนวน 4 คน และรายชื่อทั้งหมดจะรวบรวมทำเป็นบัญชีไว้ หากมีกรณีพิพาทมาสู่ศาลจึงจะเรียกผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้นมาตัดสิน และกรณีที่ถือว่าศาลอนุญโตตุลาการระหว่างประเทศยังไม่มีลักษณะที่เป็นศาลอย่างแท้จริงก็เพราะว่า ถึงแม้จะมีที่ทำการศาลอย่างถาวรก็ตาม แต่ว่ายังไม่มีผู้พิพากษาอยู่ประจำตลอดเวลาอย่างศาลทั่วไป และไม่มีการประชุมกันระหว่างผู้พิพากษาด้วยกันอย่างเช่นศาลทั่วไป

กระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศที่เรียกว่าวิธีการ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” (ศาลโลก) จะแตกต่างจากวิธีการที่เรียกว่าศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ” ในประเด็นที่สำคัญ คือ

1.         การนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยปกติจะเป็นความประสงค์ของคู่กรณีเอง เว้นแต่จะมีสนธิสัญญาที่คู่กรณีทำไว้บังคับให้ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลนี้ แต่การนำคดีขึ้นสู่ศาลอนุญาโตตุลาการ ระหว่างประเทศจะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของคู่กรณีเท่านั้น

2.         ผู้พิพากษาที่จะตัดสินคดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คือผู้พิพากษาที่ประจำอยู่ในศาล แต่ผู้พิพากษาที่จะตัดสินคดีในศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ คือผู้พิพากษาที่คู่พิพาทเลือกมาจากบัญชีรายชื่อ (เป็นผู้พิพากษาที่ได้รับความยินยอมจากคู่กรณี)

3.         การพิจารณาคดีโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จะมีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณา เป็นของตนเอง รวมทั้งมีการประชุมร่วมกันของผู้พิพากษาในศาล แต่การพิจารณาคดีโดยศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศจะไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณาเป็นของตนเองรวมทั้งไม่มีการประชุมกันระหว่างผู้พิพากษาเหมือนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 

กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ1. จงอธิบายลักษณะของจารีตประเพณีระหว่างประเทศโดยละเอียด และแตกต่างจากหลักกฎหมาย ทั่วไปอย่างไร ยกตัวอย่างประกอบการอธิบายให้เข้าใจอย่างชัดเจนด้วย

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไมได้บัญญัติไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ ซึ่งการก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็น ระยะเวลายาวนานพอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้านแต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณี ระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ (เสมือนเป็นกฎหมาย) แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

ส่วนหลักกฎหมายทั่วไป เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากประเทศ ต่าง ๆ ที่มีความศิวิไลซ์ทางด้านกฎหมาย ซึ่งหมายถึง

1.         หลักเกณฑ์ทางกฎหมายทั่วไปที่ยอมรับและใช้บังคับอยู่ในกฎหมายภายในของรัฐ ทั้งหลาย โดยบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมายภายในของรัฐต่าง ๆ หรือกฎหมายภายในของประเทศที่มี ความเจริญในทางกฎหมาย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป อันอาจนำมาเป็นหลักในการพิจารณาวินิจฉัย คดีได้ เช่น หลักที่ว่าสัญญาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้ทำสัญญา หลักความสุจริตใจ หลักกฎหมายปิดปาก หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

2.         หลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐต่าง ๆ ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ โดยทั่วไป โดยมิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่นหลักความเสมอภาค เท่าเทียมกันของรัฐไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เป็นต้น

จะเห็นว่าหลักกฎหมายทั่วไปเกิดจากการที่รัฐต่าง ๆ ยอมรับคล้ายกับจารีตประเพณี แต่ยัง ไม่ถึงขั้นที่เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ เพราะไม่ได้เกิดจากการยอมรับปฏิบัติติดต่อกับมาเหมือนจารีต ประเพณี แต่เกิดจากการที่สังคมระหว่างประเทศยอมรับเพราะถือว่าชอบด้วยเหตุผลทวงกฎหมาย ซึ่งจะแตกต่าง กับจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่เกิดจากการที่รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าเรื่อง ดังกล่าวจะชอบด้วยเหตุผลทางกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น จารีตประเพณีระหว่างประเทศจึงแตกต่างจาก หลักกฎหมายทั่วไปใบเรื่องของเหตุผลทางกฎหมายนั่นอง

ในกรณีที่มีคดีเกิดขึ้นและไม่มีสนธิสัญญาหรือจารีตประเพณีทีจะนำมาใช้พิจารณาคดีได้ ศาลก็อาจจะนำหลักกฎหมายทั่วไปมาวินิจฉัยคดีได้ เคยมีหลายคดีขึ้งศาลได้ใช้หลักกฎหมายทั่วไปเป็นแนวทางตัดสินคดี เช่น คดีเขาพระวิหารซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินชี้ขาด เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2525 ให้เขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา โดยอ้างหลักกฎหมายทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายปิดปาก เป็นต้น

 

ข้อ 2. จงอธิบายถึงขั้นตอนการจัดทำสนธิสัญญาภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ว่าด้วยสนธิสัญญา ให้ชัดเจนและขั้นตอนใดของสนธิสัญญาที่จะทำให้รัฐผูกพันตามสนธิสัญญาและรัฐที่ไม่ได้ร่วม จัดทำสนธิสัญญาสามารถเข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาได้โดยวิธีใดบาง อธิบายประกอบโดยสังเขป

ธงคำตอบ

การจัดทำสนธิสัญญาภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ว่าด้วยสนธิสัญญา มีขั้นตอน การจัดทำดังนี้ คือ   

1. การเจรจา

2.         การลงนาม

3.         การให้สัตยาบัน

4.         การจดทะเบียน

1.         การเจรจา การเจรจาเป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการทำสนธิสัญญาเพื่อกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ในการทำสนธิสัญญา ซึ่งองค์กรที่มีอำนาจในการเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญาจะถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นประมุขของรัฐ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ หรือในบางกรณีผู้มีอำนาจใน การเจรจาอาจจะไม่ทำการเจรจาด้วยตนเองก็ได้แต่มอบอำนาจให้ผู้อื่น เช่น ตัวแทนทางการทูต หรือคณะผู้แทน เข้าทำการเจรจาแทน แต่ต้องทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ซึ่งผู้แทนจะนำมามอบให้แก่รัฐคู่เจรจา หรือต่อที่ประชุมในกรณีที่มีรัฐหลายรัฐร่วมเจรจาด้วย

การร่างสนธิสัญญาเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญของรัฐคู่เจรจา จะทำความตกลงกันใน หลักการและข้อความในสนธิสัญญา โดยจะมีการประชุมพิจารณาร่างข้อความในสนธิสัญญา และตามมาตรา 9 ของ อนุสัญญากรุงเวียนนาระบุว่า ร่างสนธิสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบโดยเอกฉันท์จากรัฐคู่เจรจา เว้นแต่ที่ประชุม จะให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์

2.         การลงนาม การลงนามในสนธิสัญญา มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดข้อความเด็ดขาดใน สนธิสัญญา และการแสดงความยินยอมที่จะผูกพันในสนธิสัญญาของรัฐคู่เจรจา ซึ่งการลงนามในสนธิสัญญานั้น จะกระทำเมื่อผู้แทนในการเจรจาเห็นชอบกับข้อความในร่างสนธิสัญญานั้นแล้ว

การลงนามในสนธิสัญญานั้น อาจจะเป็นการลงนามเลย หรือลงนามย่อก่อนและลงนามจริง ในภายหลังก็ได้ และสนธิสัญญาที่ได้มีการลงนามแล้วนั้นยังไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันความรับผิดชอบของรัฐ จะต้อง มีการให้สัตยาบันเสียก่อนจึงจะสมบูรณ์

3.         การให้สัตยาบัน การให้สัตยาบัน หมายถึง การยอมรับขั้นสุดท้าย เป็นการแสดงเจตนา ของรัฐที่จะรับข้อผูกพันและปฏิบัติตามพันธะในสนธิสัญญา และการให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญานั้น จะต้องมีการจัดทำสัตยาบันสาร (Instrument of Ratification) ซึ่งกระทำในนามประมุขของรัฐ หรือรัฐบาล หรืออาจจะลงนามโดย รัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ และในสัตยาบันสารนั้นจะระบุข้อความในสนธิสัญญา และคำรับรองที่จะปฏิบัติตาม ข้อผูกพันในสนธิสัญญานั้น

4.         การจดทะเบียน เมื่อมีการทำนธิสัญญาเสร็จแล้ว โดยหลักจะต้องนำสนธิสัญญานั้น ไปจดทะเบียนไว้กับสำนักเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติ (มาตรา 102 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ) แต่อย่างไรก็ดี สนธิสัญญาบางฉบับอาจจะไม่ได้นำไปจดทะเบียนก็ได้ ทั้งนี้เพราะกฎหมายมิได้บังคับว่าสนธิสัญญาจะมีผลสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อต้องจดทะเบียนแล้วเท่านั้น สนธิสัญญาบางฉบับแม้จะไม่ได้จดทะเบียนก็มีผลสมบูรณ์เช่นเดียวกัน

และจากขั้นตอนในการจัดทำสนธิสัญญาดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนที่ทำให้สนธิสัญญามีผล ผูกพันกับภาคีสมาชิกคือขั้นตอนการให้สัตยาบันนั่นเอง

และการที่รัฐใดไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำสนธิสัญญากับรัฐอื่น สามารถ เข้ามามีส่วนร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญานั้นได้ โดยวิธีการดังต่อไปนี้

1.         การลงนามภายหลัง (Deferred Signature) เป็นกรณีทีรัฐไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมใน การทำสนธิสัญญานั้นแต่แรก แต่เข้ามามีส่วนในขั้นตอนหลังจากการเจรจาผ่านไปแล้วและอยู่ในระยะของขั้นตอนที่ 2 คือการลงนาม การลงนามภายหลังนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับการเข้าร่วม แต่ต่างกันตรงที่การเข้าร่วมนั้นจะมีผลผูกพัน นับแต่มีการปฏิญญาขอเข้าร่วมในสนธิสัญญา ส่วนการลงนามภายหลังนี้รัฐที่ลงนามภายหลังยังไม่มีพันธกรณี ตามสนธิสัญญา เพราะจะต้องให้สัตยาบันก่อนจึงจะถือว่าเป็นภาคีสนธิสัญญาและมีผลผูกพันรัฐนั้น

2.         ภาคยานุวัติหรือการเข้าร่วม (Adhesion) คือ การที่รัฐหนึ่งรัฐใดไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการทำสนธิสัญญาตั้งแต่แรก แต่เมื่อสนธิสัญญาผ่านขั้นตอนการลงนามจนมีผลใช้บังคับ และมิได้ระบุห้ามการ ภาคยานุวัติไว้ รัฐนั้นก็อาจเข้าไปร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญานั้นในภายหลังหลังจากระยะเวลาการลงนามได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยยอมรับผูกพันตามสิทธิและหน้าทีที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา ซึ่งมีผลผูกพันนับแต่วับทำภาคยานุวัติ ไม่มีผลย้อนหลังแต่อย่างใด

อนึ่งอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 ได้กำหนดว่า ความยินยอมของรัฐที่จะรับพันธกรณีตามสนธิสัญญาด้วยการทำภาคยานุวัติ จะทำได้ในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้

1)         สนธิสัญญานั้นกำหนดไว้โดยตรงให้มีการทำภาคยานุวัติได้

2)         ทุกรัฐที่เป็นภาคีของสนธิสัญญานั้นตกลงให้มีการภาคยานุวัติได้

 

ข้อ 3. นายรักรามเป็นผู้สนใจในข่าวสารเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศ พบว่ามีรัฐเกิดขึ้นใหม่หลายรัฐ เมื่อไม่นานมานี้ แต่นายรักรามไม่เข้าใจในหลักเกณฑ์เกี่ยวกับรัฐในสังคมระหว่างประเทศว่า มีสาระสำคัญที่ควรจะรับรู้อย่างไร จึงมาขอคำอธิบายจากท่านในฐานะที่ผ่านการศึกษาวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองมาแล้ว ท่านจะอธิบายให้นายรักรามเข้าใจอย่างไรว่า สภาพความเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศจะเริ่มเกิดขึ้นได้อย่างไร และความเป็นรัฐจะเป็นที่รับรู้ได้อย่างไรในสังคมระหว่างประเทศ และมีหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ให้ท่านยกตัวอย่างกรณีของประเทศไต้หวันและติมอร์ตะวันออก อธิบายประกอบ หลักเกณฑ์ดังกล่าวให้ชัดเจน และวิเคราะห์ให้เข้าใจว่าสถานะความเป็นรัฐของทั้งสองประเทศ แตกต่างกันในสาระสำคัญอย่างไร

งคำตอบ

ตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะให้คำอธิบายแก่นายรักราม ดังนี้ คือ

สภาพความเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศจะเริ่มเกิดขึ้นได้ จะต้องมีองค์ประกอบ ของความเป็นรัฐครบ 4 ประการ ดังต่อไปนี้ คือ

1.         ดินแดน กล่าวคือ รัฐต้องมีดินแดนให้ประชาชนได้อยู่อาศัย ซึ่งดินแดนของรัฐนั้น รวมทั้งพื้นดิน ผืนน้ำ และท้องฟ้าเหนือดินแดนด้วย ดินแดนไม่จำเป็นต้องเป็นผืนเดียวติดต่อกัน อาจจะเป็น ดินแดนโพ้นทะเลก็ได้ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศก็ไม่ได้กำหนดขนาดของดินแดนไว้ ฉะนั้นรัฐจะมีดินแดนมากน้อย เพียงใดไม่ใช่ข้อสำคัญ แต่ต้องมีความแน่นอนมั่นคงถาวร และกำหนดเขตแดนไว้แน่นอนชัดเจน

2.         ประชากร กล่าวคือ มีประชากรอาศัยอยู่ในดินแดนที่มีความแน่นอน ซึ่งกฎหมาย ระหว่างประเทศก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีจำนวนประชากรมากน้อยเท่าไร เพียงแต่ต้องมีจำนวนมากพอสมควรที่จะสามารถดำรงความเป็นรัฐได้ ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนของรัฐนี้ไม่จำเป็นต้องมีชนชาติเดียวกัน อาจมี เชื้อขาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน แต่มีความผูกพันทางนิตินัยกับรัฐ คือ มีสัญชาติเดียวกัน

3.         รัฐบาล กล่าวคือ มีคณะบุคคลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรมาทำการ บริหารงานทั้งภายในและภายนอกรัฐ จัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน จัดระเบียบการปกครองภายใน รักษาความสงบเรียบร้อยในดินแดนของตน ดำเนินการป้องกันประเทศ ส่งเสริมความเจริญของประเทศ และรักษา สิทธิผลประโยชน์ของประชาชน

4.         อำนาจอธิปไตย (หรือเอกราชอธิปไตย) กล่าวคือ รัฐสามารถที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกรัฐ อำนาจอิสระภายใน หมายถึง อำนาจของรัฐในการจัดกิจการภายในประเทศ ได้อย่างอิสรเสรีแต่เพียงผู้เดียว โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก ส่วนอำนาจอิสระภายนอก หมายถึง อำนาจของรัฐในการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น และได้รับการปฏิบัติ อย่างเสมอภาคกับรัฐอื่น

และเมื่อมีสภาพความเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศเพราะมีองค์ประกอบที่สำคัญครบ ทั้ง 4 ประการดังกล่าวข้างต้นแล้ว ความเป็นรัฐจะเป็นที่รับรู้ในสังคมระหว่างประเทศก็ต่อเมื่อได้รับการรับรอง สภาพความเป็นรัฐจากรัฐอื่น โดยเฉพาะจากรัฐที่ตนจะเข้าไปทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วย ซึ่งหลักเกณฑ์ในการรับรอง ความเป็นรัฐโดยรัฐอื่นนั้น มีทฤษฎีเกี่ยวกับการรับรองรัฐอยู่ 2 ทฤษฎี คือ

1.         ทฤษฎีว่าด้วยเงื่อนไข (การก่อกำเนิดรัฐ) หมายความว่า แม้รัฐใหม่ที่เกิดขึ้นจะมี องค์ประกอบของความเป็นรัฐครบ 4 ประการแล้วก็ตาม สภาพของรัฐก็ยังไม่เกิดขึ้น สภาพของรัฐจะเกิดขึ้นและ มีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ จะต้องมีการรับรองรัฐโดยรัฐอื่นด้วย และเมื่อรัฐอื่นได้ให้การรับรองแล้ว รัฐที่เกิดขึ้นใหม่ก็จะมีสภาพบุคคล มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสามารถที่จะติดต่อกับรัฐอื่นในสังคมระหว่างประเทศได้

2.         ทฤษฎีว่าด้วยการประกาศ (ยืนยัน) ซึ่งทฤษฎีนี้ถือว่าการรับรองนั้นไม่ก่อให้เกิด สภาพของรัฐ เพราะเมื่อรัฐที่เกิดขึ้นใหม่มีองค์ประกอบความเป็นรัฐครบถ้วนแล้วก็ย่อมเป็นรัฐที่สมบูรณ์แม้จะ ไม่มีการรับรองจากรัฐอื่นก็ตาม และรัฐนั้นก็ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ การรับรองนั้นถือว่าเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศความเป็นจริง (ความเป็นรัฐ) ที่เป็นอยู่แล้วเท่านั้น

 

สำหรับกรณีของประเทศ ไต้หวัน ’’ และประเทศ ติมอร์ตะวันออก” นั้น ถือว่ามีสถานะเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะมีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบที่สำคัญครบทั้ง 4 ประการดังกล่าวข้างต้น คือมีดินแดนและมีประชากรที่อยู่อาศัยในดินแดนที่แน่นอน มีรัฐบาลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรทำการ บริหารงานทั้งภายในและภายนอกรัฐ และที่สำคัญคือการมีอำนาจอธิปไตย ในอันที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ทั้งภายในและภายนอกรัฐ อาทิเช่น มีอำนาจในการจัดกิจการภายในประเทศได้อย่างอิสระโดยปราศจากการ แทรกแซงจากภายนอก และมีอำนาจในการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตาม สถานะความเป็นรัฐของทั้งสองประเทศจะแตกต่างกันในสาระสำคัญ คือ กรณีของประเทศไต้หวันนั้น ความเป็นรัฐยังไม่สมบูรณ์และยังมีสถานะไม่มั่นคง เพราะมีการรับรองความเป็นรัฐ จากรัฐอื่นไม่มากนัก โดยเฉพาะประเทศจีน (สาธารณรัฐประชาชนจีน) และประเทศที่ยังคงติดต่อทำมาค้าขายกับ ประเทศจีนยังไม่ให้การรับรอง

วนประเทศติมอร์ตะวันออกนั้น ความเป็นรัฐถือว่าสมบูรณ์และมีสถานะที่มั่นคง เพราะมี การรับรองความเป็นรัฐจากรัฐอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียที่ประเทศติมอร์ตะวันออกได้แยกตัวออกไป ยังได้ให้การรับรองความเป็นรัฐ และที่ว่าประเทศติมอร์ตะวันออกมีสถานะความเป็นรัฐที่มันคง คือ การได้เข้าไปเป็น สมาชิกกับองค์การสหประชาชาตินั่นเอง

 

ข้อ 4. จงอธิบายการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่เรียกว่า “’การไกล่เกลี่ย” ว่ามีลักษณะของ การดำเนินการอย่างไร และมีความแตกต่างจากกระบวนการที่เรียกว่า ประนีประนอม” ในสาระสำคัญ อย่างไร

ธงคำตอบ

การระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่เรียกว่า การไกล่เกลี่ย” (Mediation) เป็นกรณี ที่รัฐที่สามหรือบุคคลที่สามเป็นผู้ติดต่อให้คู่กรณีมีการเจรจากัน และตนก็เข้าร่วมในการเจรจาด้วย รวมทั้งสามารถ เสนอแนวทางในการยุติข้อพิพาทให้คู่กรณีพิจารณาได้ด้วย แต่ไม่ผูกพันรัฐคู่พิพาท ซึ่งอาจจะยอมรับแนวทาง การไกล่เกลี่ยนั้นหรือไม่ก็ได้ เพราะกระบวนการไกล่เกลี่ยนั้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความสมัครใจของทุกฝ่าย

การไกล่เกลี่ยรูปนี้มีลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ

1.         ผู้เสนอตัวหรือผู้รับการไกล่เกลี่ยเป็นไปด้วยความสมัครใจ

2.         ข้อเสนอการไกล่เกลี่ยรัฐคู่พิพาทอาจจะรับหรือไม่ก็ได้

ส่วนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยกระบวนการที่เรียกว่า การประนีประนอม” นั้น เป็นวิธีการยุติข้อพิพาทโดยการจัดตั้งคณะบุคคล หรือคณะกรรมการพิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริงพร้อมกับการเสนอลู่ทางที่จะยุติข้อพิพาท แต่ข้อเสนอนั้นจะไม่ผูกพันคู่กรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม

ดังนั้น การระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่เรียกว่า การไกล่เกลี่ย” จะแตกต่างกับ วิธี การประนีประนอม” ตรงที่ว่า การไกล่เกลี่ยนั้นฝ่ายที่สามเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางเท่านั้น ไม่จำเป็นต้อง ทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงอย่างเช่นวิธีการประนีประนอม

LAW4002 การว่าความ ซ่อม 1/2551

การสอบไล่ภาคซ่อม  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4002 การว่าความ 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ 1.       ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ทนายจำเลยได้แถลงโต้แย้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ๆ ได้อธิบายให้ทนายเข้าใจ ทนายกลับย้อนศาลว่า ท่านอย่ามาตีฝีปากกับผม ๆ ระดับดอกเตอร์น๊ะครับ เราคนละเกรดกัน ความประพฤติของทนายเช่นนี้จะถือว่าผิดมรรยาททนายความหรือไม่ เพราะเหตุใด

ข้อ 2.       ทนายความที่ใบอนุญาตว่าความขาดต่ออายุได้เรียบเรียงคำให้การจำเลยและลงนามในฐานะผู้เรียงและพิมพ์ เมื่อได้ยื่นคำให้การฉบับนั้นแล้วได้ไปต่อใบอนุญาตว่าความในวันนั้นเอง ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า (ก) ทนายจะมีความผิดตาม พ.ร.บ. ทนายความ พ.ศ. 2528 ประการใดหรือไม่ และ (ข) คำให้การฉบับนั้นจะมีผลตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ข้อ 3.       สมมติข้อเท็จจริงว่าเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา นายกบ อิ่มสำราญ ได้ไปดื่มกาแฟที่ร้านกาแฟในตลาด ต.ดินกระโดน อ.โคลนกระเด็น จ.บุรีรัมย์ ได้พบกับนายอึ่ง ศรชาวนา และกลุ่มขาประจำของร้านกาแฟ  นายกบได้คุยกับนายอึ่งหลายเรื่องรวมทั้งบอกกับนายอึ่งและบุคคลอื่นที่ร่วมโต๊ะกาแฟว่า นายสุนทรนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลดินกระโดนคอร์รัปชั่นการสร้างถนนหน้าตลาดบ้านเรา โดยได้รับงินจากผู้รับเหมา 2 ล้านบาท ความดังกล่าวถึงหูนายสุนทร ทำให้นายสุนทรไม่พอใจต้องการฟ้องนายกบ ข้อหาหมิ่นประมาทตาม ป. อาญา มาตรา 326 โดยนายสุนทรไม่ได้แจ้งความ เพราะต้องการฟ้องคดีเอง ให้ท่านเรียบเรียงคำฟ้องดังกล่าวเฉพาะส่วนเนื้อหาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 158(5) ป.อาญา มาตรา 326 บัญญัติว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท…ฯลฯ

ข้อ 4.       โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อและจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันต่อศาลแพ่ง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดชำระหนี้ที่เช่าซื้อและค้ำประกัน ซึ่งศาลแพ่งได้รับฟ้องไว้แล้ว แต่เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดชลบุรี โจทก์มีความประสงค์จะขอให้ศาลแพ่งส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องไปยังศาลจังหวัดชลบุรีเพื่อส่งหมายฯ ให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อไป โดยโจทก์ไม่นำส่งเอง ให้ท่านในฐานะทนายโจทก์เรียบเรียงคำแถลงดังกล่าวพร้อมให้ท่านลงชื่อในคำแถลงและขอปิดหมายฯ ด้วย หากไม่พบจำเลยที่ 2 หรือไม่มีผู้ใดรับหมายแทน

LAW4002 การว่าความ 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4002 การว่าความ 

คำแนะนำ
  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ
  ข้อ 1.       โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เช่าบ้านจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 20,000.- บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549  มีกำหนด 3 ปี เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว  โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย โดยหนังสือลงทะเบียนตอบรับทางไปรษณีย์ให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านที่เช่าภายในกำหนด 1 เดือน ครั้นเมื่อครบกำหนดตามหนังสือแล้ว จำเลยและบริวารก็ยังไม่ยอมออกจากบ้านที่เช่า โจทก์จึงฟ้องศาลให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเช่าพร้อมกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 25,000.- บาท ตั้งแต่วันครบกำหนดตามสัญญาเช่าจนกว่าจำเลยและบริวารจะยอมออกจากบ้านที่เช่าจำเลยได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นทนายความเพื่อต่อสู้คดีโดยมีข้อต่อสู้ดังนี้

                1.  จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องว่า จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าและตามระยะเวลาที่เช่าดังกล่าวจริง แต่เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว  โจทก์ได้ตกลงให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทต่อไปในอัตราค่าเช่าเดิมโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการเช่า

                2.  จำเลยขอปฏิเสธว่า ไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่าจากโจทก์แต่ประการใด

                3.  จำเลยขอต่อสู้ว่า ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเดือนละ 25,000.- บาทนั้น เกินความจริง ความเสียหายของโจทก์หากจะมีก็ไม่เกินเดือนละ 20,000.- บาทเท่าอัตราค่าเช่าตามฟ้อง

                ดังนั้น ให้ท่านในฐานะทนายความของจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีตามความประสงค์ของจำเลย (ให้ร่างแต่ใจความในคำให้การ  โดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบฟอร์มศาล)

แนวคำตอบ

ตัวอย่างคำให้การ

 

                ข้อ 1.       จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องว่า จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าและตามระยะเวลาที่เช่าดังกล่าวจริง  แต่เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว  โจทก์ได้ตกลงให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทต่อไปในอัตราค่าเช่าเดิมโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการเช่า

                ข้อ 2.       จำเลยขอปฏิเสธว่า จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่าจากโจทก์แต่ประการใด

                ข้อ 3.       จำเลยขอต่อสู้ว่า ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเดือนละ 25,000.- บาทนั้นเกินความจริง ความเสียหายของโจทก์จะมีก็ไม่เกินเดือนละ  20,000.- บาทเท่าอัตราค่าเช่าตามฟ้อง

                อาศัยเหตุผลดังกล่าว ขอศาลได้โปรดพิพากษายกฟ้องของโจทก์  โดยให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลยด้วย

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

                                                                ลงชื่อ                            ก.                            ทนายจำเลย

                                                         คำให้การฉบับนี้ ข้าพเจ้า นาย ก ทนายจำเลยเป็นผู้เรียงพิมพ์

                                                                ลงชื่อ                            ก.                            ผู้เรียงพิมพ์

ข้อ 2.       ในคดีพิพาทเกี่ยวกับหุ้นส่วนในบริษัทแห่งหนึ่งระหว่าง นายจิต  จิ๋วแจ๋ว  ประธานบริษัท ซึ่งเป็นโจทก์ กับ นายยักษ์ ใหญ่มาก  กรรมการบริษัทซึ่งเป็นจำเลย  ศาลแพ่งนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 18 ตุลาคม 2551  เวลา 9.00 น.  ในวันพิจารณาดังกล่าวปรากฏว่า ตัวโจทก์ซึ่งเป็นพยานปากแรกและเป็นพยานสำคัญในประเด็นแห่งคดีที่จะต้องเบิกความก่อนพยานโจทก์ปากอื่นไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ เนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นประธานบริษัทได้เดินทางไปประชุมที่ต่างประเทศและมีกำหนดเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยในวันที่ 15 ตุลาคม 2551  แต่ปรากฏว่าพนักงานประจำท่าอากาศยานในประเทศที่โจทก์ไปร่วมประชุมได้ประท้วงหยุดงานเพื่อขอขึ้นเงินเดือน ทำให้ทุกสายการบินไม่สามารถทำการบินได้ ซึ่งถึงขณะนี้การประท้วงหยุดงานก็ยังไม่เสร็จสิ้น  ทำให้โจทก์ยังคงต้องอยู่ที่ประเทศนั้นต่อไปจนกว่าพนักงานจะกลับมาทำงานตามเดิม  ทั้งนี้ โจทก์มีหลักฐานเป็นภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยที่ได้ติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดและมีหนังสือซึ่งโจทก์เขียนด้วยลายมือตัวเองส่งจากต่างประเทศมาให้ทนายโจทก์ทางโทรสาร

                ดังนั้น ให้ท่านในฐานะทนายโจทก์ ร่างคำร้องขอเลื่อนคดีโดยยื่นต่อศาลในวันพิจารณา (ให้ร่างแต่ใจความในคำร้อง  โดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์ศาล)

แนวคำตอบ           

ตัวอย่างคำให้การ

 

                ข้อ 1.       คดีนี้ ศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันนี้ ดังความแจ้งแล้วนั้น

                ข้อ 2.       เนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นพยานปากแรก  และเป็นพยานสำคัญในประเด็นแห่งคดีที่จะต้องเบิกความก่อนพยานโจทก์ปากอื่นไม่สามารถเดินทางมาศาลได้  เนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นประธานบริษัทได้เดินทางไปประชุมที่ต่างประเทศและมีกำหนดเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยในวันที่ 15 ตุลาคม 2551  แต่ปรากฏว่าพนักงานประจำท่าอากาศยานในประเทศที่โจทก์ไปร่วมประชุมได้ประท้วงหยุดงานเพื่อขอขึ้นเงินเดือน  ทำให้ทุกสายการบินไม่สามารถทำการบินได้  ซึ่งถึงขณะนี้การประท้วงหยุดงานก็ยังไม่เสร็จสิ้น  ทำให้โจทก์ยังคงต้องอยู่ที่ประเทศนั้นต่อไปจนกว่าพนักงานจะกลับมาทำงานตามเดิม  ทั้งนี้ โจทก์มีหลักฐานเป็นภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยที่ติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดและหนังสือซึ่งโจทก์เขียนด้วยลายมือตัวเองส่งจากต่างประเทศมาให้ทนายโจทก์ทางโทรสาร  รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1 และ 2

                อาศัยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าวข้างต้น โจทก์จึงขอความกรุณาจากศาลขอเลื่อนการสืบพยานโจทก์ออกไปอีกนัดหนึ่ง  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  ขอศาลได้โปรดอนุญาต

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

                                                                ลงชื่อ                           ก.                             ทนายจำเลย

                                                         คำให้การฉบับนี้ ข้าพเจ้า นาย ก ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

                                                                ลงชื่อ                           ก.                             ผู้เรียงและพิมพ์

 ข้อ 3.      เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551  เวลาประมาณ 22.00 นาฬิกา  นายสมัครกับนายดุสิตได้พากันไปที่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 10 ของถนนสาย  3112  ตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก  จังหวัดอ่างทอง ซึ่งราษฎรในหมู่บ้านบริเวณดังกล่าวนำรถจักรยานยนต์มาจอดเพื่อหนีน้ำท่วม  เมื่อไปถึงบริเวณดังกล่าวนายสมัครกับนายดุสิตได้ช่วยกันตัดโซ่ที่คล้องรถจักรยานยนต์ของนายสมชาย  ราคา 25,000 บาท  ที่จอดในบริเวณดังกล่าวแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ขับออกไป  นายสมชายได้ยินเสียงเครื่องยนต์จึงเดินไปดู  เห็นว่ารถจักรยานยนต์ของตนถูกลักเอาไป  จึงร้องเรียกให้คนช่วยกันจับตัวนายสมัครกับนายดุสิต  พอดีมีสิบตำรวจตรีชวลิตกับพวกซึ่งเป็นตำรวจสายตรวจขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา  จึงได้ขับตามไปในทันทีและสามารถจับตัวนายสมัครได้  ส่วนนายดุสิตกระโดดรถลงไปในบริเวณที่น้ำท่วมหลบหนีไปได้  สิบตำรวจตรีชวลิตกับพวกจึงนำตัวนายสมัคร พร้อมยึดรถจักรยานยนต์ของนายสมชายที่ถูกลักเอาไปเป็นของกลาง นำส่ง ร.ต.อ.เฉลิม พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรป่าโมกเพื่อทำการสอบสวนต่อไป  ชั้นสอบสวนนายสมัครให้การรับสารภาพ  รถจักรยานยนต์ของกลางพนักงานสอบสวนคืนแก่นายสมชายไป  ระหว่างสอบสวนนายสมัครถูกควบคุมตัวตลอดมา  โดยต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลจังหวัดอ่างทอง  ในคดีหมายเลขดำที่  ฝ.423/2551  เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จจึงส่งสำนวนให้พนักงานอัยการจังหวัดอ่างทอง

                สมมติว่านักศึกษาเป็นอัยการจังหวัดอ่างทองผู้รับผิดชอบคดีนี้  ได้สั่งฟ้องนายสมัครในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์  ให้นักศึกษาเรียงคำฟ้องเฉพาะเนื้อหาคำฟ้องเท่านั้น

                ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์

                มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์

(1)     ในเวลากลางคืน

(2)     ในที่หรือบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้  การระเบิด  อุทกภัย  หรือในที่…………………….

(3)     โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ

        มาตรา  83    ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วม

กระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ……………………………..

                แนวคำตอบ

                ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการจังหวัดอ่างทอง  ข้าพเจ้าจะเรียกคำฟ้องดังต่อไปนี้

                ข้อ 1.เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551  เวลากลางคืนหลังเที่ยง  จำเลยนี้กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีกหนึ่งคน  ได้บังอาจร่วมกันตัดโซ่ที่คล้องรถจักรยานยนต์อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์นั้น  แล้วลักเอารถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน ราคา 25,000 บาท  ของนายสมชาย ผู้เสียหาย ซึ่งจอดในที่หรือบริเวณที่มีเหตุอุทกภัย ไปโดยทุจริต

                เหตุเกิดที่ตำบลโผงเผง  อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง

                ข้อ 2.   ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ภายหลังจากที่จำเลยกับพวกลักเอารถจักรยานยนต์ดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ไปแล้ว  เจ้าพนักงานจับจำเลยนี้ได้นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน

                ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ

                รถจักรยานยนต์ของกลางพนักงานสอบสวนคืนแก่ผู้เสียหายไปแล้ว

                ระหว่างสอบสวนจำเลยถูกควบคุมตัวมาตลอด  ตามหมายขังของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.423/2551  ขอศาลเบิกตัวจำเลยมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

ข้อ 4.       เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2551  นายเทียนชัย  สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสดสวย ได้ตกลงว่าจ้างนายยุติธรรม   ทนายความ ให้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับนางสดสวย  ในข้อหาหรือฐานความผิด หย่า แบ่งสินสมรส นายเทียนชัยได้ชำระค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องและดำเนินคดีเบื้องต้นเป็นเงิน 200,000 บาท  ส่วนค่าทนายความที่เหลือนายเทียนชัยตกลงให้นายยุติธรรม เรียกจากส่วนแบ่งของทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส ในอัตราร้อยละ 10 ของทรัพย์สินที่ได้รับจากการแบ่งสินสมรส  นายยุติธรรม จึงตกลงทำสัญญาจ้างว่าความและรับทำคดีให้แก่นายเทียนชัย  ต่อมาคดีเสร็จสิ้น  นายเทียนชัยได้รับส่วนแบ่งสินสมรสในคดีดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 5,000,000 บาท  นายยุติธรรมจึงทวงถามค่าทนายความส่วนที่เหลือจากนายเทียนชัย ตามที่ได้ตกลงกันไว้  แต่นายเทียนชัย ไม่ยอมชำระค่าทนายในส่วนที่เหลือในอัตราร้อยละ 10 ของทรัพย์สินที่ได้รับจากการแบ่งสินสมรส  ซึ่งเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท ให้แก่นายยุติธรรม  นายยุติธรรมจึงฟ้องนายเทียนชัยในข้อหาหรือฐานความผิด ผิดสัญญาจ้างว่าความ

                ให้ท่านวินิจฉัยว่า การที่นายยุติธรรม ทนายความ ได้ตกลงทำสัญญาจ้างว่าความกับนายเทียนชัย โดยเรียกเอาส่วนแบ่งของทรัพย์สินที่ได้รับจากการแบ่งสินสมรสนั้น เป็นการประพฤติผิดมรรยาททนายความ ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 ในหมวด 3 มรรยาทต่อตัวความหรือไม่ อย่างไร ให้อธิบาย

แนวคำตอบ

ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 หมวด 3 มรรยาทต่อตัวความ ข้อ 9 ถึง     ข้อ 15

ข้อ  9       กระทำการอันใดอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกัน  ในกรณีอันหามูลมิได้

ข้อ 10      ใช้อุบายอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวต่อไปนี้เพื่อจูงใจให้ผู้ใดมอบคดีให้ว่าต่างหรือแก้ต่าง

(1)          หลอกลวงให้เขาหลงว่าคดีนั้นจะชนะ เมื่อตนรู้สึกแก่ใจว่าจะแพ้

(2)          อวดอ้างว่าตนมีความรู้ยิ่งกว่าทนายความอื่น

(3)          อวดอ้างว่าเกี่ยวเป็นสมัครพรรคพวกรู้จักคุ้นเคยกับผู้ใด อัน

กระทำให้เขาหลงว่า  ตนสามารถจะทำให้เขาได้รับผลเป็นพิเศษ

นอกจากทางว่าความ หรือหลอกลวงว่าจะชักนำจูงใจให้ผู้นั้น

ช่วยเหลือคดีในทางใด ๆ ได้   หรือแอบอ้างขู่ว่าถ้าให้ตนว่าคดีนั้นแล้ว

จะหาหนทางให้ผู้นั้นกระทำให้คดีของเขาเป็นแพ้

ข้อ  11    เปิดเผยความลับของลูกความที่ได้รู้ในหน้าที่ของทนายความ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากลูกความนั้นแล้ว  หรือโดยอำนาจศาล

ข้อ 12     การกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวต่อไปนี้ อันอาจทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ของลูกความ

(1)          จงใจขาดนัด หรือทอดทิ้งคดี

(2)          จงใจละเว้นหน้าที่ ที่ควรกระทำอันเกี่ยวแก่การดำเนินคดีแห่งลูกความของตน หรือปิดบังข้อความที่ควรแจ้งให้ลูกความทราบ

                ข้อ 13      ได้รับปรึกษาหารือ หรือได้รู้เรื่องกรณีแห่งคดีใดโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องกับคู่ความฝ่ายหนึ่ง แล้วภายหลังไปรับเป็นทนายหรือใช้ความรู้ที่ได้มานั้นช่วยเหลือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นปรปักษ์อยู่ในกรณีเดียวกัน

                ข้อ 14      ได้รับเป็นทนายความแล้ว ภายหลังใช้อุบายด้วยประการใด ๆ โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร เพื่อจะให้ตนได้รับประโยชน์นอกเหนือจากที่ลูกความได้ตกลงสัญญาให้

                ข้อ 15      กระทำการอันใดอันเป็นการฉ้อโกง  ยักยอก หรือตระบัดสินลูกความ หรือครอบครองหรือหน่วงเหนี่ยวเงินหรือทรัพย์สินของลูกความที่ตนได้รับมาโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องไว้นานเกินกว่าเหตุโดยมิได้รับความยินยอมจากลูกความ เว้นแต่จะมีเหตุอันสมควร

                เมื่อพิจารณาตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529  หมวดที่ 3 แล้วเห็นว่า ข้อบังคับดังกล่าวมิได้กำหนดให้การเข้าเป็นทนายความและตกลงเรียกค่าจ้างว่าความโดยวิธีเอาส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันพึงได้แก่ลูกความ เป็นการประพฤติผิดมรรยาททนายความแต่อย่างใด

                ดังนั้น การที่นายยุติธรรม  ทนายความ ได้ตกลงทำสัญญาจ้างว่าความกับนายเทียนชัยดังกล่าวข้างต้น  จึงไม่เป็นการประพฤติผิดมรรยาททนายความตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529  หมวดที่ 3  แต่อย่างใด  (เทียบได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่  1260/2543 (ประชุมใหญ่)  ที่ 5229/2544  และที่ 6919/2544

WordPress Ads
error: Content is protected !!