ENG3401 การเขียนเชิงสาธก เนื้อเรื่อง Characteristics of a Good Police Officer

Characteristics of a Good Police Officer

Police is necessary in our society. They provide security and peace to this world, which is full of mean and dangerous people. They are supposed to serve, protect, and help all the citizens. It seems that not anyone is qualified to be a police officer. A police officer must have special characteristics due to his/her important responsibilities. So, what are the qualities of a good police officer?

The most important quality that police officers must have is common sense. Policemen are involved in many different problems every day. They must face all kind of situations. In any given, they must confront traffic accidents, robberies, kidnappings, threats, murders, etc. Some of these problems can be solved quickly by using common sense, especially the small law violations. In addition, all police officers carry firearms with them. It takes a lot of common sense to carry them in order to use them properly.

Secondly, a good police officer must be fair. The opinion of police officer is very important in a court of law. Police should be fair and honest, and treat everyone in an equal way. Therefore, a good police officer should never accept any kind of bribery because he/she should protect all the citizens equally. In fact, he/she should prosecute this type of activity.

Thirdly, a good police officer must know, understand, and obey the law. Police officers should be an example for the people in their community. They should never break the law so people around them can trust them and learn from them. They should be energetic and enthusiastic about obeying the law.

In conclusion, the above paragraphs have discussed three characteristics of a good police officer. The first characteristic, the good police officer must have is common sense. The second characteristic, the good police officer must be fair The last characteristic, the good police officer must know, understand and obeying the law.

คำศัพท์ที่ควรรู้

security (n)         = ความปลอดมัย

serve (v)   = รับใช้บริการ

protect (v)        =       ป้องกันอารักขา

peace (n)  =          ความสงบสุข

due to (adj.)     =       เพราะว่เนื่องจาก

responsibilities (n)   =          ความรับผิดชอบ

common sense (n)    =          สามัญสำนึก

face (v)     =       เผชิญพบ = confront

robberies (n)     =          การปล้นชิงทรัพย

kidnappings (n)           =          การลักพาตัว

threats (n)           =       การคุกคามการขู่กรรโชก

violation (n)       =          การฝ่าฝืนการละเมิด

firearms (n)        =          อาวุธขนาดเล็ก

fair (adj.) =       ยุติธรรมถูกต้อง

bribery (n)           =          การให้สินบน

citizen (n)            =          พลเมืองประชาชน

obey (v)   =       เชื่อฟังยอมทำตาม

ลักษณะของตำรวจที่ดี

ตำรวจเป็นบุคคลจำเป็นในสังคมของเรา พวกเขาให้ความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยแก่โลกใบนี้ซึ่งเต็มไปด้วยคนที่เห็นแก่ตัวและคนที่อันตราย ตำรวจถูกจินตนาการว่าควรเป็นคนที่ให้บริการ ให้การป้องกันและช่วยเหลือแก่ประชาชนทุกคน มันดูเหมือนว่าไม่มีใครมีคุณสมบัติ ดังกล่าวที่จะเป็นตำรวจได้ ตำรวจต้องมีคุณลักษณะพิเศษเพราะความรับผิดชอบของเขา/เธอที่สำคัญ อะไรคือคุณสมบัติของการเป็นตำรวจที่ดี?

คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดซึ่งตำรวจต้องมีก็คือสามัญสำนึกทั่วไป ตำรวจจะเกี่ยวข้องกับ ปัญหาต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไปในทุกๆวัน พวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ในทุกรูปแบบ พวก เขาต้องเจอกับอุบัติเหตุตามท้องถนน การปล้นชิงทรัพย การลักพาตัวเรียกค่าไถ่ การขู่เข็ญ การ ฆาตกรรม ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้บางปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งใช้สามัญสำนึกทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝ่าฝืนเล็กๆ น้อยๆ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดได้พกพาอาวุธปืนไว้กับตัว มันเป็นเรื่องปกติหรือสามัญสำนึกในการมีอาวุธเพื่อใช้มันให้ถูกต้องเหมาะสม

อย่างที่สอง เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีความยุติธรรม ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความสำคัญมากในทางศาลกหมาย ตำรวจควรมีความยุติธรรมและซื่อสัตย์และปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดี ไม่ควรมีการรับสินบนไม่ว่าในรูปแบบใด ๆ เพราะเขาหรือเธอ ควรปกป้องประชาชนเหล่านี้อย่างเท่าเทียมกัน ในความเป็นจริง เขาหรือเธอควรปฏิบัติหน้าที่หรือดำเนินคดีต่างๆตามหน้าที่การงานของเขา

กล่าวโดยสรุป ย่อหน้าข้างต้นได้อธิบายถึง 3 คุณสมบัติของตำรวจที่ดี คุณสมบัติแรกคือเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีสามัญสำนึกทั่วไป คุณสมบัติที่สองคือเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีความยุติธรรม คุณสมบัติสุดท้ายคือเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรู้ เข้าใจ และปฏิบัติตามกฎหมาย

ENG3401 การเขียนเชิงสาธก เนื้อเรื่อง How to Prepare for the Job Application Process

How to Prepare for the Job Application Process

In our society, everyone needs a job, and most everybody needs to go through the job application process. Applying for a job is a painstaking process. Some people say that getting ready for the job application process is a job itself. It requires many steps and no mistakes can be done, otherwise you might loose your possibilities of getting the desired job. If you are looking for your first job or you want to change jobs, this is how you should prepare yourself in order to do a good job in the application process.

First of all, you need to get an interview. Therefore you need to write a nice resume. In many cases, you will need a cover letter as well. The resume is very important, take as much time as you need to write it. Then, you need that resume to be seen by as many people as possible. Send it to companies and recruitment personnel. To post it on the Internet is a good idea too. The more people receive your resume, the better your chances are to get a job interview.

Once you are called for an interview, you need to prepare for it. Learn as much information as you can of the company that is going to interview you. You have to know their products and services, their annual sales revenue, etc. But most importantly, you have to be ready to answer some common questions, such as describe yourself, what your strongest and weakest points are, what you can do for this company, and you expected salary. Thin of questions you would like to be asked and questions you would not like to be asked.

The interview is the most important step of the job application process. This is when the company meets you for the first time. The first impression is very important. You have to dress properly, smile, and be glad to meet the interviewer. Do not get nervous, be calm, and answer all the questions honestly, to the best of your knowledge. Be energetic and enthusiastic at all times. In addition, you are supposed to make a few questions. Ask intelligent and proper questions. A failure to ask questions is considered a lack of interest. When the interview is over, you must thank the interviewer for giving the opportunity to meet him/her. Do not forget to express again how much interested you are in that position and that you are sure you will do a good job. Say good bye in a polite manner and leave.

The job application process does not only consist of an interview. It is in fact a long and complicated process. You must prepare a resume, some cover letters, and lots of questions. It is a good idea if you practice answering the questions with a friend or family member. Remember that during the interview you must show calm and self- confidence. Good luck.

คำศัพท์ที่ควรรู้

painstaking (adj.)    = อุตสาหะพากเพียรพยายาม        

desired (v)        = ความปรารถนา       

resume (n)          = ประวัติ        

interview (n)     = การสัมภาษณ์การเข้าพบเพื่อซักถาม       

cover letter (n)            จดหมายแนะนำตัว

recruitment (n)  = การรับสมัครพนักงานใหม่

personnel (n)    = ส่วนบุคคล  

post (v)     = ส่งจดหมาย

common (adj.)          = ธรรมดาสามัญ     

step (n)      = ขั้นตอน        

impression (m)            = ความประทับใจ       

properly (adv.)         = อย่างเหมาะสม       

energetic (adj.)         = มีพลังขะมักเขม้นชอบทำงาน   

enthusiastic (adj.)   = กระตือรือร้น           

honestly (adv.)         = อย่างซื่อสัตย์          

failure (n) = ความล้มเหลวการสอบตก

lack (n)       = การขาดแคลน         

polite (adj.)      = สู่ภาพอ่อนน้อม    

manner (n)         = กิริยามารยาทท่าทาง        

self-confidence (adj.)       = ความเชื่อมั่นในตนเอง        

วิธีการเตรียมตัวสำหรับขั้นตอนในการสมัครงาน

ในสังคมทุก ๆ คน ต้องการงานและส่วนใหญ่ทุกคนต้องการผ่านขั้นตอนการสมัครงานทั้งนั้น การขอสมัครงาน เป็นขั้นตอนทางความอุตสาหะพยามยา ประชาชนบางคน กล่าวว่าการเตรียมความพร้อมสำหรับ ขั้นตอนในการสมัครงานนั้น ถือว่าเป็นงานประเภทหนึ่ง มันกำหนดไว้หลายขั้นตอนและไม่ควรมีความผิดพลาดเกิดขึ้น หรือถ้าเกิดข้อผิดพลาดอาจกล่าวได้ว่าคุณอาจจะเสียความเป็นไปได้ในการได้งาน ที่ปรารถนาไว้ ถ้าคุณ กำลังมองหางานแรกของคุณหรือคุณต้องการจะเปลี่ยนงาน สิ่งเหล่านี้คือวิธีที่คุณควรเตรียมตัวเองเพื่อทำให้คุณ ได้งานที่ดีตามขั้นตอนในการสมัครงาน

ขั้นแรก คุณจำเป็นต้องได้รับการเรียกตัวเพื่อไปสัมภาษณ์ก่อน ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องเขียน ประวัติที่สวยงามของตัวคุณเอง ในหลาย ๆ กรณี คุณต้องการจดหมายแนะนำตนเอง (ส่งแนบไปพร้อมกับประวัติ)ประวัติ (ที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว การศึกษา ประสบการณ์ความสามารถ) เป็นสิ่งที่สำคัญซึ่งมันต้องใช้เวลานานในการเรียบเรียงและเขียนขึ้นมา คุณต้องการให้ประวัติของคุณถูกพิจารณาโดยบุคคลต่าง ๆ มันจะถูก ส่งไปที่บริษัทและส่งต่อไปในแผนกบุคคลที่มีการรับสมัครคนงานใหม่ การส่งจดหมายทางอินเตอร์เน็ต ก็เป็น ความคิดที่ดีอย่างหนึ่ง ยิ่งมีบุคคลมากขึ้น ที่เป็นคนได้รับประวัติของคุณ มันก็เป็นการดีที่คุณจะได้รับโอกาสที่จะได้รับการสัมภาษณ์มากขึ้น

เมื่อคุณถูกเรียกตัวเพื่อไปสัมภาษณ์งาน คุณจำเป็นต้องเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ การศึกษาเรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับบริษัทที่กำลังจะสัมภาษณ์คุณนั้น คุณควรศึกษาให้มากที่สุดเท่าที่คุณ สามารถทำได้ คุณต้องรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทนั้น ๆ รู้ถึงยอดขายในแต่ละปี ฯลฯ แต่ที่สำคัญ ที่สุดก็คือ คุณต้องเตรียมพร้อมในการตอบคำถามที่ดูเหมือนธรรมดา เช่น อะไรคือจุดเด่นและจุดด้อยในตัวคุณ อะไรที่คุณสามารถทำให้กับบริษัทนี้ได้ คุณคาดหวังกับเงินเดือนเท่าไร ซึ่งคำตอบของคำถามเหล่านี้สามารถ อธิบายตัวคุณเองต่อคนที่กำลังสัมภาษณ์คุณอยู่ การคิดเกี่ยวกับคำถามต่าง ๆ เหล่านี้ คุณอยากจะตอบและคิด ด้วยว่าคำถามนี้คุณไม่อยากจะตอบ

ในการสัมภาษณ์คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในขั้นตอนการสมัครงาน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อบริษัทได้มี การพบปะกับคุณในครั้งแรก ความประทับใจในครั้งแรกคือสิ่งที่สำคัญมาก คุณต้องแต่งกายให้เหมาะสม มีรอยยิ้มและแสดงความยินดีที่มีการพบปะกันในการสัมภาษณ์งานนี้ อย่าทำตัวตื่นตระหนก ใจเย็น และตอบ คำถามทุกคำถามอย่างซื่อสัตย์ในสิ่งที่ดีที่สุดของความรู้ของตัวเอง คุณควรมีความขะมักเขม้นและกระตือรือร้นใน ทุก ๆ ครั้งที่มีการสัมภาษณ์หรือสมัครงาน นอกจากนี้คุณอาจถูกคาดคะเนเพื่อตอบคำถาม 2-3 คำถาม คุณควร ตอบคำถามอย่างฉลาด และตอบให้เหมาะสมกับคำถามนั้น ๆ ข้อบกพร่องในการตอบคำถามเหล่านี้จะถูก พิจารณาและถือว่าเป็นการขาดความสนใจ เมื่อการสัมภาษณ์จบลง คุณต้องขอบคุณคนที่มาสัมภาษณ์คุณ สำหรับ การห้โอกาสนการพบปะพวกเขา อย่าลืมแสดงความสนใจที่คุณมีอยู่และคุณมั่นใจว่าคุณจะทำงานได้ดีใน ตำแหน่งงานนี้ คุณควรกล่าวลาอย่างสุภาพแล้วก็เดินออกไป

ขั้นตอนในการสมัครงานไมใช่แคมีเพียงการสัมภาษณ์เท่านั้น โดยแท้จริงมันเป็นขั้นตอนที่ ยาวนานและซับซ้อน คุณต้องเตรียมประวัติ จดหมายแนะนำตัว และเตรียมตอบคำถามมากมาย มันเป็นความคิด ที่ดีถ้าคุณฝึกฝนในการตอบคำถามกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวคุณเอง คุณควรพึงระลึกว่าในระหว่างการ สัมภาษณ์ คุณต้องแสดงความเยือกเย็นและความเชื่อมั่นในตนเอง โชคดี

ENG3401 การเขียนเชิงสาธก เนื้อเรื่อง The Advantages of Getting a Degree from a Foreign University

The Advantages of Getting a Degree from a Foreign University

Many young Thai students consider every year the idea of studying in a different country, studying and living abroad represent a big expense for the family budget. Nevertheless, families make big efforts so their children can study abroad. They believe that they will have better career opportunities with a degree from a prestigious overseas university. A foreign degree might increase the chances to get a job, but it is not the only advantage, there are others as well.

Getting a degree in a foreign university requires at least four or five years. Therefore, when you obtain a degree from a different country, you also obtain a new language. In today’s society, being knowledgeable of languages is very important. The more languages you know the better for you. In Thailand, English is of vital importance, not only for your professional career but also for your personal life. Chinese and Japanese are also very helpful due to the importance of these countries in Asia. There are also many German companies in Thailand, and having knowledge of this language is very advantageous as well.

Learning a new culture is also very helpful in life. It helps you to understand people better. Therefore you can understand your friends and family better and know how they feel. It also helps you to make new friends. It provides you as well with the ability to look at things from a different point of view. This is very useful to solve every-day problems.

In addition, when you live in a different country for a certain period of time, you are exposed to situations that you are not likely to experience in Thailand. If you learn from these experiences you will gain self-confidence. You will be a much resourceful person as well. When people are willing to spend a few years out of their home country means that they are ambitious, adaptable, experienced, broad-minded, independent, and self-disciplined among other qualities. These characteristics are important to face life with a positive and optimistic attitude.

In conclusion, students who think about getting a degree from a foreign university can gain many advantages. Here, there are 3 main advantages to students— obtain a new language, learn a new culture and acquire many personal qualities that are very important in life. In addition, there are also many other advantages associated with studying abroad.

คำศัพท์ที่น่ารู้           

consider(v)       =       พิจารณาคิดทบทวน

abroad (adv)    =       ต่างประเทศ

budget(n)            =          งบประมาณ

career (n) =          อาชีพงานการ

prestigious (adj.)      =      มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือ

overseas (adv,adj)   =       โพ้นทะเลต่างประเทศ

foreign (adj.)    =       ชาวต่างประเทศ

knowledgeable (adj.)       =       มีความรู้เฉลียวฉลาด

professional (n)          =         อาชีพวิชาชีพการยอมรั

helpful (adj.)    =         ได้ประโยชน์มีประโยชน์

provide (v)        =       จัดหาให้

ability (n) =          ความสามารถ

useful (adj.)      =         ใช้เป็นประโยชน์

exposed (v)      =       เปิดเผยได้รั

self-confident (adj.)            =     ความเชื่อมั่นในตนเอง

resourceful (adj.)     =       สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดี มีความชำนาญ

ambitious (adj.)       =       ทะเยอทะยานปรารถนาอย่างแรงกล้า

broad-minded .(adj.)       =       ใจกว้าง

independent.. (adj.)         =       เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง

self-disciplined (adj.)       =       มีวินัยในตัวเองควบคุมตนเองได้

optimistic (adj.)        =         ซึ่งมองโลกในแง่ดี

adaptable (adj.)       =       ที่ปรับตัวได้ ที่ปรับให้เหมาะได้

attitude (n)         =          ทัศนคติ

associated (v)  =       กี่ยวเนื่องเข้าร่วม

ประโยชน์ของการได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ

นักเรียนไทยที่อายุยังน้อยจำนวนมากได้พิจารณาถึงแนวคิดที่เกี่ยวกับการศึกษาเล่ารียนใน ประเทศที่มีความแตกต่าง การศึกษาเล่าเรียนและการอาศัยอยู่ในต่างประเทศได้แสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายอย่าง มากมายต่องบประมาณของครอบครัว แต่ทว่าครอบครัวหลาย ๆ ครอบครัวที่มีความพยายามอย่างมากที่จะให้ ลูก ๆ ของพวกเขา สามารถเดินทางไปเล่าเรียนต่อในต่างประเทศได้ พวกเขาเชื่อว่า พวกเขาจะมีโอกาสในหน้าที่ การงานที่ดีขึ้น ด้วยปริญญาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศได้ ปริญญาต่างประเทศอาจจะเพิ่ม โอกาสในการได้รับงาน แต่มันไม่ใช่เพียงแคมีประโยชน์เท่านั้น แต่ยังมีแง่คิดอื่น ๆ ได้อีกด้วย

การได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศนั้น จะต้องใช้เวลาศึกษาอย่างน้อย 4 – 5 ปี ดังนั้นเมื่อคุณได้รับปริญญาจากต่างประเทศที่แตกต่าง คุณยังได้รับหรือเรียนรู้ภาษาใหม่ด้วย ในสังคมทุกวันนี้ การมีความรู้ในด้านภาษาเป็นเรื่องที่สำคัญ ภาษามากมายที่คุณรู้จะดีมากสำหรับตัวคุณเอง ในประเทศไทย ภาษาอังกฤษเป็นภาษาจำเป็นสำหรับชีวิต ไม่เพียงแต่ต่อหน้าที่การงานของคุณเท่านั้น แต่มันยังจำเป็นต่อชีวิต ส่วนตัวของคุณเองได้อีกด้วย ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น ก็มีประโยชน์เหมือนกัน เพราะถือว่าจีนและญี่ปุ่นเป็น ประเทศที่สำคัญในทวีปเอเชีย นอกจากนี้ยังมีบริษัทเยอรมันมากมายในประเทศไทย และการมีความรู้ในภาษานี้ ก็ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากด้วย

การ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ ถือว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตเช่นกัน มันช่วยให้คุณได้เข้าใจคนได้ดี ยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณจะสามารถเข้าใจเพื่อนและครอบครัวของคุณได้ดียิ่งขึ้น และรู้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร มันยังช่วย ให้คุณได้มีเพื่อนใหม่ มันให้คุณในด้านความสามารถในการมองสิ่งต่าง ๆ ในมุมมองที่แตกต่างได้อีกด้วย เหล่านี้ เป็นประโยชน์ไนการแก้ไขปัญหาในทุกวันนี้

นอกจากนี้ เมื่อคุณอาศัยในประเทศที่แตกต่างในช่วงเวลาหนึ่ง คุณจะแสดงออกหรือดำเนินชีวิต ในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งคุณไม่เคยมีมาก่อนตอนที่คุณอาศัยอยู่ในเมืองไทย ถ้าคุณเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้ แล้ว คุณจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง คุณจะมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เมื่อ คนเราเต็มใจที่จะใช้เวลา 2 – 3 ปีในต่างประเทศ นั้นก็หมายความว่า พวกเขาเป็นคนที่มีความปรารถนา มีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสม มีประสบการณ์ เป็นคนใจกว้าง มีความเป็นอิสระ และมีการควบคุมตนเองได้ คุณลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญในการเผชิญกับชีวิตด้วยทัศนคติและการมองโลกในแง่ดี

สรุปแล้ว นักเรียนที่ได้คิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งปริญญาจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศสามารถ ได้รับประโยชน์มากมาย ในที่นี้ มีประโยชน์ 3 ประการคือ ได้รับภาษาใหม่ ๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ และ ได้พบคุณสมบัติต่าง ๆ ให้กับตัวคุณเองซึ่งถือว่าเป็นสิงที่สำคัญในชีวิต นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีประโยชน์อื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้องในการศึกษาเล่าเรียนในต่างประเทศอีก 

ENG3401 การเขียนเชิงสาธก เนื้อเรื่อง (Causes and Effects of Traffic Jam in Bangkok)

Causes and Effects of Traffic Jam in Bangkok

Bangkok, the capital and the largest city in Thailand, has been facing traffic congestions for decades. It has led to many subsequent losses and damages, e.g. stress of people and economical loss. Therefore, several concerned government agencies have made their efforts in improving the situation. However, the problem continues to worsen and becomes even more complicated due to the continuing expansion of city and increase of population. In my opinion, the causes and effects of traffic jam in Bangkok are following:

The first cause of traffic congestion in Bangkok is due to the whole city plan and public transportation services, which are unsuitable to meet the rapid growth of Bangkok and surrounding areas. For the city plan, the concerned authorities in the past failed to enforce concerned laws to promote the effectiveness of the proposed city plan, while mass transportation networks are quite scarce. This is to say that the present commuter train lines, both BTS and MRT, do not reach every corner of Bangkok. This is why more and more Bangkokians are dependent on private cars instead of public services.

The next cause is that Bangkok drivers and riders are neglect the traffic rules and are quite selfish in using their cars, while the traffic police are not sufficient to cope with the breach of those rules. Therefore, once the accident is occurred, it takes time to solve the problem. Then, it will block the traffic flow and worsen the traffic congestion in Bangkok.

For the effect of traffic problem, it causes many subsequently severe loss and damage both for quality of life and for economical aspect. Bangkokians spend more several hours to travel inside the city. The students have to wake up very early in order to reach their schools on time. This leads to the stress of people. For the economical loss, the traffic jam leads to the waste of fuel and energy.

In conclusion, the above paragraph give some examples of the causes of traffic jam in Bangkok, namely unsuitable city plan, poor mass transportation networks, negligent behaviors of drivers and riders and inadequacy of traffic police squad. Besides, some effects of traffic problems are also given here, e.g. the stress of Bangkokians and the waste of fuel and energy. Therefore, it is necessary now for all concerned government agencies to pay more close attention to this problem in order to solve this problem. The betterment of traffic jam will lastly benefit all Bangkokians as well, as improve their quality of life.

คำศัพท์ที่ควรรู้            

face (V)    =       เผชิญ

congestion       =       การตัดขัด

decades   =       หลายสิบปี

subsequent      =       ผลตามมา

loss (ท)        =          ความสูญเสียการขาดทุ

damage   =       ความเสียหาย

stress        =       ความตึงเครียด

concerned        =       วิตกกังวลเอาเป็นธุระ

effort        =       ความพยายาม

worsen (v)        =       ทำให้แย่ลง

complicated    =       ยุ่งยากซับซ้อน

expansion         =       การขยายออกไป

due to      =       เนื่องจากเพราะ

unsuitable        =       ไม่เหมาะสม

dependent (adj)       =       พึ่งพาขึ้นอยู่กัน

neglect     =       ละเลย = negligent

selfish       =       เห็นแก่ตัว

sufficient =       enough, adequate เพียงพอ

cope with         =       จัดการกับ

breach      =       ฝ่าฝืน

occur        =       happen = take place เกิดขึ้น

severe      =       รุนแรง

aspect      =         แง่มุด้าน

waste (v)  =         ทำให้สูญเสียเปล่าประโยชน์ (n) ของเสีย

สาเหตุและผลกระทบของการจราจรติดขัดในกรุงเทพ

กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  กำลังเผชิญกับการจราจรติดขัดนับเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว มันได้ก่อให้เกิดผลตามมาของความสูญเสียและความ เสียหายมากมาย ตัวอย่างเช่น ความตึงเครียดของผู้คนและความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ดังนั้น องคกร ของรัฐบาลต่าง ๆ ที่วิตกกังวลจำนวนมากได้ทำความพยายามมากมายในการปรับปรุงสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็ยังคงแย่ลงไปเรื่อย ๆ และกลายมาเป็นสิ่งซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเนื่องจากการ ขยายตัวเรื่อยๆ ของเมืองและประชากรเพิ่มขึ้น ในความคิดของข้าพเจ้า สาเหตุและผลกระทบของ จราจรติดขัดในกรงเทพฯ เป็นดังต่อไปนี้

สาเหตุประการแรกของการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ เนื่องมาจากการวางแผนเมืองทั้งหมดและการบริการด้านการขนส่งมวลชน ซึ่งไม่สามารถตอบสนองต่อการเติบโตที่รวดเร็วและพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ของกรุงเทพฯได้ สำหรับการวางแผนเมืองเจ้าหน้าที่ที่ดูแลที่ฝานมาไม่สามารถนำ กฎหมายมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพของการวางแผนเมืองที่ว่านี้ ขณะเดียวกัน เครือข่ายการขนส่งมวลชนก็ไม่เพียงพอ หรืออาจกล่าวได้ว่าเส้นทางรถไฟให้กับผู้คนเดินทางในปัจจุบัน ทั้งบีทูเอสและเอ็มอาร์ที ไม่สามารถเข้าถึงทุกที่ในกรุงเทพฯ ผลตามมาชาวกรุงเทพฯจำนวนมากขึ้น ๆ อาศัยรถส่วนตัวแทนที่จะใช้บริการขนส่งมวลชน

สาเหดุต่อไปก็คือ คนขับรถและผู้ขับขี่ในกรุงเทพฯ ละเลยกฎจราจรและค่อนข้างเห็นแก่ตัวในการใช้รถของพวกเขา ขณะเดียวกันตำรวจจราจรก็ไม่เพียงพอที่จะจัดการกับการฝ่าฝืนกฎระเบียบเหล่านั้น ดังนั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ก็กินเวลาในการแก้ไขปัญหา ผลตามมาก็จะไปกีดขวางการ เคลื่อนไหวของการจราจรและทำให้การจราจรติดขัดแย่ลงในกรุเทพฯ

สำหรับผลกระทบของปัญหาการจราจร ได้ก่อให้เกิดผลการสูญเสียและความเสียหาย อย่างรุนแรงจำนวนมากต่อคุณภาพของชีวิตและสำหรับทางด้านเศรษฐกิจ คนกรุงเทพฯต้องใช้เวลา หลายชั่วโมงในการเดินทางในเมือง นักเรียนต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อให้ถึงโรงเรียนตรงเวลา สิงนี้ ก่อให้เกิดความเครียดต่อผู้คน สำหรับความสูญเสียทางเศรษฐกิจ การจราจรติดขัดทำให้เกิดการ สินเปลืองของน้ำมันและพลังงาน

กล่าวโดยสรุปแล้ว ย่อหน้าตามข้างต้นได้ให้ตัวอย่างของสาเหตุและผลกระทบของ จราจรติดขัดในกรุงเทพฯ ตามลำดับก็คือ การวางแผนเมืองที่ไม่เหมาะสม เครือข่ายการขนส่งมวลชนที่ไม่ดี พฤติกรรมที่ละเลยของผู้ขับรถและความไม่เพียงพอของตำรวจจราจร นอกจากนี้ ผลกระทบ บางอย่างของปัญหาการจราจรก็ยังมี เช่น ความเครียดของคนกรุงเทพฯ และการสูญเปล่าของน้ำมันและพลังงาน ดังนั้น ในปัจจุบัน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรของรัฐที่ดูแลจะต้องให้ความสนใจมากขึ้นในปัญหา นี้เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา การจราจรที่ดีขึ้นจะเป็นผลดีให้กับคนกรุงเทพฯและปรับปรุง คุณภาพชีวิตของพวกเขาได้

ENG3401 การเขียนเชิงสาธก การสอบไล่ภาคฤดูร้อนปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อนปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา ENG 3401 การเขียนเชิงสาธก

Instruction:      Choose only one of the topics and write an argumentative essay consisting of five paragraphs, but comparison-contrast may have four paragraphs. Each paragraph should contain between 5-10 sentences. If two or more papers are identical in any way, it is an indication that the essays have been prepared and memorized beforehand an thus will be given an F. Use pen only and in a clear handwriting.

1.         Three Characteristics of a Good Tour Guide

2.         Effects of Air Pollution in Chiang Mai

3.         How to Lose Weight and stay Healthy

4.         Which is Better: studying in a Regular School vs. in an International School?

5.         Causes of Global Warming

6.         Three Reasons Why Students Should Read a Newspaper Everyday

7.         Advantages and Disadvantages of On-line Marketing

8.         Three Characteristics of a Good Movie

ให้เลือกเพียงเรื่องเดียว ประกอบด้วย 5 ย่อหน้า ยกเว้นเลือกหัวข้อการเปรียบเทียบและความ แตกต่างให้เขียนเพียง 4 ย่อหน้า และแต่ละย่อหน้าควรมี 5-10 ประโยค ต่อไปนี้จะเลือกหัวข้อที่ 2 ให้ นักศึกษาดูแนวการเขียนนะคะ ห้ามท่องไปเขียนเพราะถ้าหากการเขียนที่ลอกมาจะปรับตกในการสอบทันที

Effects of Air Pollution in Chiang Mai

Now, there is one big problem in Chiang Mai that will become nation problem in the near future. That problem is pollution that is created by local people. The pollution affects air, water and soil. We can see that three of them are ail nature problems. We will explain about the three effects below.

As for the first effect, pollution affects the cleanliness of air. The most important factor that causes air pollution is pollution from cars and machines. Cars and machines that use Diesel fuel will create more pollution into air. People and animals that breathe in this pollution will have cancer that is a very dangerous disease. Moreover, cancer is very hard to be cured as well.

As for the second effect, chemical from factors in the heart of Chiang Mai creates water pollution in the river. Water pollution causes death among fishes and plants. Moreover, it also creates malfunction of organs among people and animals that drink the water as well. Some chemicals are very dangerous that they may even change the body parts of human in the next species too. In addition, water pollution will also cause a bad condition of soil that is another effect of pollution.

As for the last effect, water pollution can cause bad soil condition as well. Normally, we use water to feed plants and soil. If the water is not clean, then plants and soil will also get all the bad effects. Some numbers of local people are farmers, they rely on the plants and soil. If the soil is bad, plants will not grow and the farmers will be able to collect fewer plants and earn less income. Not only this, but also they will get a lot of illness if they eat the plants that grow from bad soil and bad water.

The previous paragraph should explain the effects of pollution in Chiang Mai. In my opinion, pollution may cause air pollution, water pollution and bad soil condition. These effects will bring about the problem to local people and animals wellness. Local people and all of the visitors should be more careful and aware of this problem. Also they should reduce the activities that cause pollution.

คำศัพท์พี่ควรรู้

effect (n)     =  ผลกระทบ  = result ส่วน affect (v)

pollute (v)    =  ทำให้เกิดมลพิษ —> pollution (n)

create (v)    =  ทำให้เกิด   = produce, make, cause    (v)

fuel (n)        =  น้ำมัน, เชื้อเพลิง =    oil, petrol

breathe (v)   = หายใจ

cancer         =  โรคมะเร็ง

malfunction  = การทำหน้าที่บกพร่อง

organ          = อวัยวะ

cure             = รักษา             = treat

species         = สายพันธุ์

collect           = เก็บ, สะสม

ผลกระทบของมลพิษในจังหวัดเชียงใหม่

ใน ปัจจุบันนี้ มีปัญหาใหญ่อันหนึ่งในเชียงใหม่ซึ่งจะกลายมาเป็นปัญหาของชาติในอนาคตอันใกล้ ปัญหานั้นก็คือปัญหามลพิษที่ก่อให้เกิดขึ้นมาโดยผู้คนในท้องถิ่น มลพิษมีผลต่อ อากาศ น้ำ และดิน เราสามารถเห็นว่าสามประการของมลพิษล้วนเป็นปัญหาธรรมชาติ เราจะอธิบาย เกี่ยวกับผลกระทบสามประการข้างล่างนี้

สำหรับผลกระทบแรก มลพิษมีผลต่อความสะอาดของอากาศ  ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศคือมลพิษจากรถยนต์และเครื่องยนต์ต่าง ๆ รถยนต์และเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลจะก่อให้เกิดมลพิษไปสู่อากาศมากขึ้น ผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ ที่หายใจเข้าในมลพิษนี้จะเป็น โรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่อันตรายมาก ยิ่งไปกว่านั้น โรคมะเร็งยากที่จะรักษาให้หายด้วย

สำหรับผลกระทบที่สอง สารเคมีที่มาจากโรงงานต่าง ๆในใจกลางเมืองเชียงใหม่ ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำในแม่น้ำ มลพิษทางน้ำก่อให้เกิดการตายของปลาและพืชต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังก่อให้เกิดการทำหน้าที่บกพร่องของอวัยวะของผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ ที่ดื่มน้ำด้วย สารเคมี บางอย่างอันตรายอย่างมากซึ่งมับอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนต่างๆของร่างกายในสายพันธุ์ต่อไปด้วย นอกจากนี้ มลพิษทางน้ำก็ยังทำให้เกิดสภาพที่ไม่ดีต่อดินซึ่งก็เป็นผลกระทบอีกอันหนึ่งของมลพิษ

สำหรับผลกระทบสุดท้าย มลพิษทางน้ำสามารถทำให้เกิดสภาพดินที่ไม่ดีเช่นกัน โดย ปกติแล้ว เราสามารถใช้น้ำเพื่อเลี้ยงดูพืชและดิน ถ้าน้ำไม่สะอาด พวกพืชและดินก็จะได้รับผลกระทบ ในทางลบ ผู้คนในท้องถิ่นบางคนเป็นชาวนา พวกเขาอาศัยพืชและดิน ถ้าดินไม่ดี พืชก็จะไม่ เจริญเติบโตและชาวนาจะสามารถเก็บพืชผลและมีรายได้น้อยลง ไม่เพียงแต่สิ่งนี้ แต่พวกเขายังจะได้รับโรคเจ็บป่วยมากมายถ้าพวกเขากินพืชที่ปลูกจากดินและน้ำที่ไม่ดี

จากย่อหน้าที่ได้กล่าวข้างต้นนี้ อธิบายถึงผลกระทบของมลพิษในเชียงใหม่ ในความคิดของข้าพเจ้า มลพิษอาจจะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ และสภาพของดินที่ไม่ดี ผลกระทบ เหล่านี้จะทำให้เกิดปัญหาให้กับความอยู่ดีกินดีของผู้คนในท้องถิ่นและสัตว์ ผู้คนในท้องถิ่นและผู้ที่มาเยือนทุกคนควรจะระมัดระวังมากขึ้นและตระหนักถึงปัญหานี้ เช่นกันพวกเขาควรช่วยเหลือด้วยการลดการกระทำที่ก่อให้เกิดมลพิษ

ENG3401 การเขียนเชิงสาธก การสอบไล่ ภาคซ่อม 1 ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ ภาคซ่อม 1 ปีการศึกษา 2551

ข้อสอบกระบวนวิชา ENG 3401 การเขียนเชิงสาธก

Part 1  Essay Writing

Direction: Choose only one of the following topics and write an essay consisting of an introduction and thesis sentence, a conclusion, and two or three body paragraphs. The body paragraphs should contain around 100 words each. Use a pen only and write neatly.

1.      What to Look in a Good Friend

2.      Consequences of Recent Political Instability in Thailand

3.      Characteristics of a Happy Person

4.      Differences Between Being a Lawyer and a Teacher

5.      Reasons Why Thai Tourists Should Travel in Thailand

6.      Comparison of Gardening at Home and Learning to Play Music

ส่วนที่เป็นการเขียนความเรียง

คำสั่ง ให้เลือกทำเพียงอันเดียวในหัวข้อต่อไปนี้และเขียนความเรียงที่ประกอบด้วยบทนำและใจความสำคัญ บทสรุป และย่อหน้าที่เป็นเนื้อหา 2-3 ย่อหน้า ย่อหน้าที่เป็นเนื้อหาควรมีคำประมาณ 100 คำในแต่ละย่อหน้า ใช้ปากกาเท่านั้นและเขียนอย่างสละสลวย

คำเฉลย เลือกหัวข้อที่ 5 Reasons Why Thai Tourists Should Travel in Thailand

Reasons Why Thai Tourists Should Travel in Thailand

Many foreigners come to Bangkok each year and most Thai people come to foreign countries from different perspectives. Many Thai people want to travel abroad every year because they want to relax with their family or friends after working hard throughout the year. However, many Thai people also want to travel within the country because of the following reasons.

Firstly, Thailand has many interesting cultural places where many Thai people do not aware of such as Doi Suthep Temple in Chiang Mai where many tourists like to go there every year in order to pay respect to the Buddha image in the temple. Specifically, Thai people should go to visit so that they feel very comfortable in their minds and after that they can work happily. Moreover, crocodile farm is interesting for many Thais. Most Thai people should come here because it is very fun to see a lot of crocodiles’ show.

Secondly, Thailand is very cost effective comparing to many countries. Generally, most people in anywhere in the world like to save money for other necessary things so if they choose to travel in Thailand, they can save in a lot of things such as accommodation, transportation, etc. For example, Thai people can save more than 5,000 baht per day if they choose to stay in the same hotel in Thailand rather than foreign countries. In addition, food in Thailand is much cheaper than many countries; for example, it is very easy to find food which cost about 50-100 baht in anywhere in Thailand especially in many food courts in many department stores.

Lastly, Thais should travel within their countries because of the economic reason. The more they spend in Thailand, the more Thai government can get such money for necessary projects such as transportation or education project. As a result of above economic reason, Thai government not only use such money for helping the poor in Thailand but also they can use money in developing the country. To make it simpler, Thais should spend money in Thailand for the interest of Thai people.

In summary, Thais should aware of many factors before traveling broad, such as cost, interest or places for above 3 reasons. As a consequence, Thais government should make a good traveling campaign especially for Thai people so that they can choose to travel in Thailand rather than foreign countries.

Part II: Summary

Direction: Summarize the following passage, making it one unified paragraph, 80-100 words long. Remember to keep the events and information in the same order as the original, and use your own words in the summary (do not copy sentences from the original)

Coffee is indeed the world’s most popular drink-over 400 billion cups of coffee are happily consumed each year. So, just who is drinking all this coffee? People from every country around the world, certainly, even though the Americans, the French, and the Germans consume over 65 percent of the world’s yearly production by themselves. According to where they are from and their personal preference, coffee lovers the world over enjoys this aromatic beverage iced or steaming hot, black or with milk; with lemon peel or whipped cream; with spices such as cinnamon, ginger, or cardamom or with chocolate; with brandy or whiskey; and even with a pinch of salt or pepper. Coffee drinkers start their day with It, drink it as mid- morning pick-me-up, sip it after lunch, and linger over it after dinner and dessert.

The first coordinated attempt to cultivate the coffee plant was made on the Arabian peninsula around 1100 A.D. Arabs extracted the beans from the red coffee berries, roasted them, and then boiled them in water to make qahwa. By the 1500s, coffee had taken hold all over the Middle East, and the world’s first coffee shop was established in Constantinople. Coffee came to Europe through the port of Venice around 1600 and only seven later was introduced to America by Captain John Smith, the founder of Virginia. The Dutch became the first to see the potential in transporting and cultivating coffee as a business in 1690, but they had to contend with smugglers, who secretly took coffee plants and seeds to Brazil from Ceylon to sell.

Many of the important coffee-producing countries owe their beginnings to those first smugglers.

For all practical purposes, coffee beans are of two types-Arabica and Robusta. As the name indicates, Arabica derives from the earliest cultivated species in the Middle East. Arabica beans cost more because they are highly prized for their rich favor and aroma, and also because they require a great amount of care to cultivate properly. Robusta, on the other hand, requires less care, and so grows more successfully in West Africa and Southeast Asia. It tolerates different climates better than Arabica and contains twice the caffeine of Arabica as well.

As people consume more and more coffee, they wonder about its effect on the health. Coffee contains caffeine, an alkaloid compound also found in tea and cola nuts, among other products. Coffee drinkers worry that coffee might be additive and that caffeine might have harmful effects. Studies have shown that caffeine does stimulate the central nervous system, as well as the cardiovascular system. It increases blood pressure up to a point and also increases the secretion of gastric acid, thus aiding digestion. It is highly valued for it ability to make people feel more alert and less tired, and for that reason it is a favorite of students and office workers. It also helps fight with migraine headaches, and for that reason may be a favorite of teachers and bosses. Most experts agree, however, that caffeine does not pose a danger if consumed in moderate amounts. So, if you are a coffee drinker who is worrying about caffeine, relax. Have a “cuppa joe.”

Part IIการย่อความ

คำสั่ง : ให้ย่อความเนื้อเรื่องต่อไปนี้ ทำให้เนื้อความอยู่ในย่อหน้าเดียวเป็นเอกภาพ ความยาวประมาณ 80- 100 คำ ให้คงเนื้อหาสาระและข้อมูลคงเดิมเหมือนต้นฉบับ และใช้คำด้วยตัวเองในการย่อหน้านี้ (ห้ามลอก ประโยคจากต้นฉบับ)

คำเฉลย  ย่อความแบบที่ 1

Coffee is now a favorite drink in the world. Hundred millions people drink it every year. Americans, the French and Germans drink about 65% of world coffee. Arabian Peninsula people cultivated coffee for the first time in 1100 A.D. in 1500s, the first coffee shop was opened to Constantinople. Then, the coffee was introduced to Europe around 1600 and to American seven years later. The first coffee trading was begun in 1690 by the Dutch. There are two types of coffee: Arabica and Robusta. The caffeine in coffee: is good for our health because it keeps our body alerted and less tired as well as reduce migraine headache. For this reason, most experts recommended US to drink a suitable amount of coffee.

คำเฉลย  ย่อความแบบที่ 2

Today coffee becomes world’s favorite beverage drunk yearly by hundred millions people around the globe. 65% of the world coffee production is consumed by Americans, the French and Germans. The early coffee cultivation was found in Arabian Peninsula around 1100 A.D., while the first coffee shop was opened in Constantinople in 1500s. The coffee was introduced in Europe around 1600 and in America seven years later. The Dutch was the first coffee traders whose profitable business began in 1690. There are now two types of coffee: Arabica and Robusta. Moreover, the caffeine contained in coffee has health benefits: stimulation, tiresome reduction and migraine headache mitigation. So we should drink it in a suitable amount.

ENG2002 การอ่านตีความ ข้อสอบชุด 3 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

แนวข้อสอบชุดพิเศษ 3 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา ENG2002 การอ่านตีความ

Part I : Seen Passages

A : Directions : Read the following statements. Then blacken 1 for a true statement, and blacken 2 for a false statement. (1 = True / 2 = False)

คำสั่ง : จงอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบา 1 หากเป็นข้อความที่ถูกต้อง และระบาย 2 หากเป็นข้อความที่ผิด (1 = ถูก / 2 = ผิด)

1 .   A good reader must read everything in detail.

ถาม        ผู้อ่านที่ดีต้องการรายละเอียดทุกอย่าง

ตอบ  2  :  (ผิด)  ผู้อ่านที่ดีต้องทราบจุดประสงค์ในการอ่านของตัวเอง ซึ่งจะมีวิธีในการอ่านที่แตกต่างกัน เช่น ในการอ่านเพื่อจับเนื้อเรื่องคร่าว ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านรายละเอียดทุกตัว แต่ถ้าเราต้องการอ่านเพื่อประเมินคุณภาพของงานเขียนหรือเนื้อเรื่องที่อ่านมีความซับซ้อนสูงเราก็จำเป็นต้องอ่านรายละเอียดทุกอย่าง เป็นต้น      

2 .   Skimming and scanning can help you locate some specific information quickly.

ถาม           การอ่านแบบสกิมมิงและสแกนนิงสามารถช่วยให้คุณหาข้อมูลเฉพาะได้อย่างรวดเร็ว

ตอบ  1  :  (ถูก)  การอ่านแบบสกิมมิง (Skimming) คือ รูปแบบการอ่านเช่นเดียวกับการอ่านแบบสแกนนิง (scanning) แต่จะแตกต่างกันที่การอ่านแบบสกิมมิงจะอ่านแบบข้าม ๆ โดยมุ่งไปที่จุดสำคัญ ๆ เพื่อหาชื่อเรื่อง ใจความสำคัญโดยทั่วไป หรือข้อมูลเฉพาะอย่าง ส่วนการอ่านแบบสแกนนิงจะใช้เมื่อต้องการหาข้อมูลเฉพาะอย่างเท่านั้น โดยไม่สนใจใจความอื่น ๆ เลย

3 .   When authors make a major of the topic of his writing, that major is the main idea.

ถาม           เมื่อผู้เขียนสร้างประเด็นหลักจากหัวข้อเรื่องในงานเขียนของเขา ประเด็นหลักนั้นเป็นใจความสำคัญ

ตอบ  1  :  (ถูก)  ใจความสำคัญ (Main Idea) คือ ประเด็นหลักหรือข้อสรุปที่ผู้เขียนต้องการบอกผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดในย่อหน้าซึ่งจะมีประโยคต่าง ฟ สนับสนุนใจความสำคัญนั้นโดยใจความสำคัญก็คือ ประเด็นหลักที่สร้างขึ้นมาจากหัวข้อเรื่องซึ่งถูกขยายเป็นประโยคที่สมบูรณ์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ ประโยคที่ประกอบด้วยหัวข้อเรื่องบวกกับส่วนขยาย (ภาคแสดง) นั่นเอง

4 .   The topic sentence is always the first sentence of a paragraph.

ถาม           ประโยคใจความสำคัญคือประโยคแรกของเนื้อเรื่องเสมอ

ตอบ  2  :  (ผิด)  ประโยคใจความสำคัญ (Topic Sentence) คือ ประโยคที่มีใจความสำคัญของย่อหน้านี้ปรากฏออยู่ชัดเจน ซึ่งอาจจะอยู่ตอนต้นย่อหน้า กลางย่อหน้า ท้ายย่อหน้า หรือทั้งต้นและท้ายของย่อหน้าก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประโยคแรกของย่อหน้า

5 .   A good carefully selects words in writhing in order to revel his attitude toward his subject.

ถาม           นักเขียนที่ดีจะเลือกใช้คำอย่างระมัดระวังในการเขียนเพื่อที่จะเปิดเผยทัศนคติของเขาต่อเรื่องที่เขาเขียน

ตอบ  1  :  (ถูก)  เราสามารถทราบทัศนคติของผู้เขียนต่อเรื่องที่เขาเขียนได้ โดยดูจากคำที่เขาใช้หรือท่วงทำนองการเขียน เช่น เชิงตลกขบขัน จริงจัง แดกดัน เป็นต้น

6 .   A word can different meanings depending on its context.

ถาม           คำ ๆ หนึ่งอาจมีความหมายที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับบริบท

ตอบ  1  :  (ถูก)  คำบางคำอาจมีความหมายได้หลายอย่าง ดังนั้นในการอ่าน เราต้องเลือกความหมายให้ตรงหรือใกล้เคียงกับบริบทนั้น ๆ เช่น คำว่า swallow (n.) แปลว่า การกลืน ในอีกความหมายหนึ่งแปลว่า นกนางแอ่น หรือคำ ๆ เดียวมีความหมายเดียว แต่อาจจะแปลความหมายในบริบทต่างออกไป เช่น คำว่า eat แปลว่า กิน แต่ถ้าใช้ในสำนวนที่ว่า eat one’s words แปลว่า ถอนคำพูด เป็นต้น

7 .  You can surely pass EN 202 course of you know the meaning of every word.

ถาม           คุณสามารถผ่านวิชา EN 202 ได้อย่างแน่นอน ถ้าคุณรู้ความหมายของคำว่าทุกคำ

ตอบ  2  :  (ผิด)  การที่จะผ่าน EN 202 ได้นั้นไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายของคำว่าทุกคำ แต่ผู้อ่านต้องอาศัยวิธีการหาคำตอบที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นการอ่านแบบสกิมมิงหรือการอ่านแบบสแกนนิงที่สำคัญ ผู้อ่านต้องรู้จักเดาความหมายและพยายามสรุปในใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้าให้ได้เพื่อที่จะทำให้ทราบความหมายคร่าว ๆ ของเนื้อเรื่องทั้งหมด

8 .   Reading needs no practice; it is an innate skill.

ถาม           การอ่านไม่ต้องอาศัยการฝึกฝน แต่เป็นความชำนาญโดยกำเนิด

ตอบ  2  :  (ผิด)  การที่จะทำให้เกิดความชำนาญในการอ่าน เราต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพราะการฝึกฝนนี้จะพัฒนาให้เรามีประสิทธิภาพในการอ่าน ทำให้เราเกิดความคุ้นเคยกับประโยค คำศัพท์ ทั้งนี้ยังสามารถตีความหมายได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วได้อีกด้วย

9 .   The objective of EN 202 is to make you memorize all the reading passages.

ถาม           วัตถุประสงค์ของวิชา   EN 202 คือ การที่ทำให้คุณจดจำเนื้อเรื่องที่อ่านได้ทุกเรื่อง

ตอบ   2  :  (ผิด)  วัตถุประสงค์ของวิชา EN 202 คือ ต้องการให้ผู้อ่านรู้จักเลือกใช้วิธีการอ่านที่เหมาะสมและต้องการให้ผู้อ่านรู้จักเดาความหมาย ตีความ และจับใจความสำคัญของเนื้อเรื่องที่อ่านได้

10 .   Some techniques authors often use to organize their writhing are sequencing, comparison/ contrast, definition, illustration, etc.

ถาม     เทคนิคบางอย่างงที่ผู้เขียนใช้บ่อยครั้งเพื่อเรียบเรียงงานเขียนของเขาคือ การเรียงลำดับการเปรียบเทียบ / เปรียบต่าง คำจำกัดความ การยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เป็นต้น

ตอบ  1  :  (ถูก)  ผู้เขียนจะเรียบเรียงข้อความด้วยรูปแบบการเขียนแบบต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์กว้าง ๆ ที่ได้ตั้งเอาไว้ ดังนั้นการมองเห็นและเข้าใจรูปแบบการเรียบเรียงเนื้อความ จะทำให้ผู้อ่านมีโครงร่างสำหรับการวิเคราะห์ทำความเข้าใจเนื้อหาที่อ่าน และสามารถดึงข้อมูลที่อ่านได้ครบถ้วน

B : Directions : Read the following passages and choose the best answer for each question.

คำสั่ง :   จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

                1It is difficult to be completely sure that a certain chemical leads to certain health problems. 2One reason for this uncertainty is that some effects may appear only very slowly. 3Some types of cancer, for example, may which are used to test the chemical. 4Another reason for the uncertainty is the methods which are to test the chemicals. 5It is impossible, of course, to test the chemical on human beings, so experiments are conducted with animals.  6Howevet, some scientists, especially scientists who are working for industrial companies, criticize the animal experiments. 7They claim, for example, that the animals are exposed to very large amounts of chemicals. 8These amounts are much greater than the amounts which a human would absorb during one lifetime.

                1มันยากที่จะให้เห็นแน่ใจได้อย่างเต็มที่ว่าสารเคมีชนิดไหนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพใดบ้าง 2เหตุผลหนึ่งที่ไม่แน่ใจคือผลกระทบบางอย่างอาจจะปรากฏให้เห็นช้ามาก ๆ  3ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็งบางชนิดอาจจะต้องการเวลาในการก่อตัวนานถึง 20 ปี 4เหตุผลอีกประการหนึ่งสำหรับความไม่แน่ใจนี้ก็คือบางชนิดที่นำมาใช้ในการทดลองสารเคมี 5แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะนำสารเคมีมาทำการทดลองกับมนุษย์ ดังนั้นจึงต้องการทดลองกับสัตว์ 6แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์มองคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานให้กับบริษัทอุตสาหกรรม มักจะวิพากษ์วิจารณ์การทำการทดลองกับสัตว์ 7ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาอ้างว่าสัตว์ทดลองได้รับสารเคมีในปริมาณเต็มที่ 8ซึ่งปริมาณสารเคมีมีที่มนุษย์จะได้รับในชั่วชีวิตหนึ่งเสียอีก

11 .   The paragraph discusses _______.

1.       Health problem

2.       Scientific experiments

3.       Experiments on animals

4.       Doubts about the effect of chemical on health

ถาม        ย่อหน้านี้พูดถึงเรื่อง ______

1.       ปัญหาสุขภาพ

2.      การทดลองทางวิทยาศาสตร์

3.       การทดลองกับสัตว์

4.       ความไม่แน่ใจเกี่ยวกับผลกระทบของสารเคมีที่มีต่อสุขภาพ

ตอบ  4  :  ในย่อหน้านี้พูดถึงความไม่แน่ใจเกี่ยวกับผลกระทบของสารเคมีที่มีต่อสุขภาพ ดังปรากฏเป็นใจความสำคัญ ในประโยคที่ 1 โดยมีประโยคอื่นเป็นใจความสนับสนุนเพื่อบอกว่าความไม่แน่ใจนี้เกิดอะไรบ้าง

12 .   In the paragraph, _______.

1.       The main idea is implied

2.       Sentence 1 is the topic sentence

3.       There is an introductory sentence

4.       The details do not support the main idea

ถาม        ในย่อหน้านี้ ______

1.       ใจความสำคัญบ่งบอกเป็นนัย

2.       ประโยคที่ 1 เป็นประโยคใจความสำคัญ

3.       มีประโยคเกริ่นนำ

4.       รายละเอียดไม่ได้สนับสนุนใจความสำคัญ

ตอบ  2  :  ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

13 .   According to the paragraph, it is not certain that chemical result in bad health ______.

1.       So chemicals are still used

2.       So scientists continue their experiments on animals

3.       Because their effects do not appear in a short time

4.       Because scientists do not reveal their experiments’ results

ถาม        ตามเนื้อเรื่องนี้ มันไม่ชัดเจนว่าสารเคมีเป็นต้นเหตุของสุขภาพที่ไม่ดี _____

1.       ดังนั้นสารเคมียังคงถูกใช้อยู่

2.       ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองกับสัตว์ต่อไป

3.       เพราผลกระทบไม่ได้ปรากฏในช่วงระยะเวลาอันสั้น

4.       เพราะนักวิทยาศาสตร์ไม้ได้เปิดเผยผลของการทดลอง

ตอบ  3  :  จากประโยคที่ 1 และ 2

14 .   _______reasons for the uncertainty are discussed in the paragraph.

1.       Two              

2. Three               

3. Four                 

4. Five

ถาม        _______เหตุผลของความไม่แน่ใจที่ถูกพูดถึงในเนื้อเรื่องนี้

1.       2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 5

ตอบ  1  :  เหตุผลแรกเพราะผลกระทบบางอย่างอาจจะปรากฏให้เห็นช้ามากซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาและเหตุผลอีกประการหนึ่งคือ วิธีการทดลองสารเคมีกับสัตว์ไม่อาจแน่ใจว่าจะมีผลลัพธ์เช่นเดียวกับกรณีของมนุษย์

15 .   The word “absorb” in sentence 8 is closest in meaning to ______.

1.       Permit                       

2. Observe                       

3. Commit                        

4. Consume

ถาม        คำว่า “absorb” ในประโยคที่ 8 มีความหายใกล้เคียงกับคำว่า ______

อนุญาต                        

2. สังเกต                              

3. กระทำการ                      

4. ใช้บริโภค

ตอบ  4  : “absorb” เป็นสกรรมกริยา (vt.) ในที่นี้แปลว่า รับเข้ามา ดูดซึม ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า consume

Passage 2

                1Students need to question their professors and to have their ideas taken seriously. 2Only then will they develop the analytical skills required to thing intelligently and creatively. 3Most students learn best by engaging in frequent and even heated debate, not by scribbling down a professor’s often unsatisfactory summary of complicated issues. 4They need small discussion classes that demand the common labors of teacher and students rather than classes in which one person, however learned, propounds his or her own ideas.

                1นักศึกษาจำเป็นต้องถามอาจารย์และแนวความคิดของพวกเขาต้องได้รับความสนใจอย่างจริงจัง 2เมื่อนั้นแหละพวกเขาจึงจะพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ ซึ่งจำเป็นสำหรับการคิดอย่างชาญฉลาดและสร้างสรรค์ 3นักศึกษาส่วนใหญ่จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดโดยการเข่าร่วมในการอภิปรายที่เข้มข้นเป็นประจำสม่ำเสมอไม่ใช่โดยการเร่งจดสรุปประเด็นที่สลับซับซ้อนซึ่งมักยังไม่ดีพอของอาจารย์ลงไป 4พวกเขาต้องมีชั้นเรียนแบบอภิปรายที่มีขนาดเล็กซึ่งต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างอาจารย์และนักศึกษา แทนที่จะเป็นชั้นเรียนที่มีคนเพียงคนเดียว คอยเสนอความคิดเห็นของตัวเองแม้เขาจะมีความรู้แค่ไหนก็ตาม

16 .   The paragraph is about _______.

1.       What students should do to learn

2.       How students write to learn

3.       What teachers have to do

4.       Teachers’ roles

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ______

1.       สิ่งที่นักศึกษาควรทำเพื่อการเรียนรู้

2.       วิธีการที่นักศึกษาเขียนเพื่อการเรียนรู้

3.       สิ่งที่อาจารย์ต้องทำ

4.       บทบาทของอาจารย์

ตอบ  1  :  โดยสรุปจากเนื้อเรื่องนี้ได้บอกถึงสิ่งที่นักศึกษาควรทำเพื่อการเรียนรู้ว่ามีอะไรบ้าง

17 .   Students can think intelligently and creatively if they _______.

1.       Listen a lot

2.       Write notes

3.       Have analytical skills

4.       Write down questions

ถาม        นักศึกษาสามารถคิดได้อย่างชาญฉลาดและอย่างสร้างสรรค์ ถ้าพวกเขา ______

1.       ฟังมาก

2.       จดบันทึก

3.       มีทักษะในการวิเคราะห์

4.       เขียนโจทย์ลงไป

ตอบ  3  :  จากประโยคที่ 2

18 .   What kind of class does the phrase “classes in which one person, however learned, propounds his or her own ideas” imply ?

1.       A discussion class

2.       A lecture class

3.       Independent study

4.       A workshop

ถาม        ห้องเรียนประเภทใดที่วลี ชั้นเรียนที่มีคนเพียงคนเดียวคอยเสนอแต่ความคิดเห็นของตนเองแม้เขาจะมีความรู้แค่ไหนก็ตามหมายถึง

1.       ห้องเรียนแบบอภิปราย

2.       ห้องเรียนแบบบรรยาย

3.       การศึกษาด้วยตัวเอง

4.       การประชุมเชิงปฏิบัติการ

ตอบ  2  :  จากประโยคสุดท้าย ข้อความดังกล่าวหมายถึงห้องเรียนแบบบรรยาย

19 .   To develop the necessary analytical skills, students have to _____.

1.       Read and think

2.       Write and think

3.       Speak and think

4.       Ask questions and think

ถาม        เพื่อที่จะพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ที่จำเป็น นักศึกษาต้อง ______

1. อ่านและคิด                 

2. เขียนและคิด                   

3. พูดและคิด                     

4. ถามข้อสงสัยและคิดตามไปด้วย

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 1 และ 2

20 .   The word “propounds” in sentence 4 is closest in meaning to ______.

1. Suggest                       

2. Receive                           

3. Ask                                   

4. Force

ถาม        คำว่า “propounds” ในประโยคที่ 4 มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า _____

1.       เสนอแนะ                   

2. ได้รับ                               

3. ถาม                                  

4. บังคับ

ตอบ  1  :  “propounds” เป็นสกรรมกริยา (vt.) แปลว่า เสนอ ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า suggest

Passage 3

                1America because of its wrong policy and its numerous mistakes, contributed much to the fall of Vietnam. 2The U.S. was right when it wanted to become involved in the Vietnam issue after the Geneva agreements to prevent Vietnam from sliding under Communist control. 3However, American policy – makers made many mistakes in their methods of intervention in Vietnam. 4For example, after the fall of the Ngo Dinh Diem regime, the U.S. government supported only the obedient generals whom they called “strong men.” 5The Nguyen Thieu regime, which was rejected caused the Vietnamese people, survived for several years under U.S. support. 6This support caused the Southern Vietnamese to become dissatisfied and thus weakened the war against the Communists. 7People didn’t trust their own government; several meetings were held by the students who represented the people in request the resignation of the President. 8Unfortunattely, he did resign, but because of the request from his people; rather, he resigned because of the U.S. withdrawal of support. 9Later in the war, American made another big mistake. 10First, they mobilized all of their forces to destroy the Communist group attacking South Vietnam, yet later they negotiated with the Communists. 11Finally, Americans committed themselves to the “limited war’ concept. 12Their troops in Vietnam did not seek victory on the battlefield. 13This encouraged the stubborn Communists to continue the war because in a game, if a player knows that he will win or at least tie, he is not so stupid as to give up.

                1เนื่องจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดและข้อผิดพลาดต่าง ๆ มากมายของสหรัฐอเมริกาประเทศนี้จึงมีส่วนอย่างมากต่อการล่มสลายของเวียดนาม 2สหรัฐอเมริกาทำถูกต้องแล้วในการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของเวียดนามตามข้อตกลงเจนีวาเพื่อป้องันไม่ให้เวียดนามตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของฝ่ายคอมมิวนิสต์ 3แต่อย่างไรก็ตามผู้ดำเนินนโยบายของสหรัฐอเมริกาได้ทำความผิดพลาดอย่างมากในวิธีการเข้าไปแทรกแซงเวียดนาม 4ตัวอย่างเช่น ภายหลังรัฐบาลโง ดินห์ เดียม หมดอำนาจลง รัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนเฉพาะนายพลที่เชื่อฟังเท่านั้น ผู้ซึ่งพวกเขาเรียกว่า บุรุษเหล็ก” 5รัฐบาล เหงียน วัน เทียว ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนชาวเวียดนาม อยู่รอดมาได้หลายปีภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา 6การสนับสนุนนี้ทำให้ชาวเวียดนามใต้รู้สึกไม่พอใจ และจึงทำให้สงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ขาดพลัง 7ประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพวกเขาเอง มีการชุมนุมหลายครั้งโดยเหล่านักศึกษาซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนเพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีเหงียน วัน เทียว ลาออกจากตำแหน่ง 8โชคร้ายที่เขาลาออกจริง ๆ แต่ไม่ใช่เนื่องจากการเรียกร้องจากประชาชนของเขา หากแต่เขาลาออกเพราะการถอนการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา 9ต่อมาในช่วงสงคราม ชาวอเมริกันได้ทำความผิดพลาดครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง 10ทีแรกพวกเขาได้ระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อบดขยี้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่เข้าโจมตีเวียดนามใต้ แต่ต่อมาพวกเขากลับยอมเจรจากีบฝ่ายคอมมิวนิสต์ 11ในที่สุดชาวอเมริกาก็ยอมรับแนวคิด สงครามจำกัดพื้นที่” 12กองทัพทหารของพวกเขาในเวียดนามไม่ได้แสวงหาชัยชนะในสรมรภูมิการสู้รบ 13สิ่งนี้กลับเป็นการส่งเสริมให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ไม่ยอมแพ้อยากจะทำสงครามต่อไป เพราะว่าในการแข่งขัน ถ้าผู้เล่นรู้ว่าเขาจะชนะหรืออย่างน้อยที่สุดก็เสมอ เขาก็ไม่โง่ที่จะยอมแพ้

21 .   The first sentence is _______.

1.       An introductory sentence

2.       A supporting sentence

3.       The main idea of the paragraph

4.       A factual statement

ถาม        ประโยคแรกเป็น ______

1.       ประโยคเกริ่นนำ

2.       ประโยคสนับสนุน

3.       ใจความสำคัญของเนื้อเรื่อง

4.       ข้อความที่เป็นจริง

ตอบ  3  :  เรื่องนี้เกี่ยวกับความผิดพลาดของสหรัฐฯ ในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของเวียดนามซึ่งมีผลทำให้เวียดนามล่มสลาย โดยมีประโยคอื่น ๆ เป็นประโยคสนับสนุนว่ามีความผิดพลาดอะไรบ้าง

22 .   The author _____American intervention in Vietnam issue.

1.       Approves of

2.       Disapproves of

3.       Blames

4.       Puts pressure on

ถาม        ผู้เขียน _____การแทรกแซงของอเมริกาเกี่ยวกับปัญหาของเวียดนาม

1.       เห็นด้วยกับ

2.       ไม่เห็นด้วยกับ

3.       ตำหนิ

4.       กดดัน

ตอบ  1  :  ผู้เขียนเห็นด้วยกับการแทรกแซงแต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการ

23 .   How many mistakes America made are mentioned in the paragraph ?

1.       Two              

2. Three               

3. Five                  

4. Six

ถาม      อเมริกาได้ทำความผิดพลาดกี่อย่างกล่าวไว้ในย่อหน้านี้

1. สอง              

2. สาม                  

3. ห้า                   

4. หก

ตอบ   1  :  อเมริกาได้ทำความผิดพลาด 2 อย่าง คือ     

1.       การให้การสนับสนุนเฉพาะนายพลที่เชื่อฟัง

2.       การเปลี่ยนยุทธวิธีการสู้รบ

24 .   Why the Ngo Dinh Diem regime fell ______.

1.       Is mentioned as the cause of the fall of Vietnam

2.       Is mentioned twice

3.       Is clearly stated

4.       Is not stated

ถาม        สาเหตุที่รัฐบาลโง ดินห์ เดียม ล่มสลาย ______

1.       ถูกกล่าวว่าเป็นต้นเหตุของการล่มสลายของเวียดนาม

2.       ถูกกล่าวถึง 2 ครั้ง

3.       ถูกกล่าวไว้อย่างชัดเจน

4.       ไม่ได้ระบุไว้

ตอบ  4   :  ในย่อหน้านี้พูดถึงเฉพาะสาเหตุการล่มสลายของรัฐบาลเหงียน วัน เทียว เท่านั้น ซึ่งแม้จะการอ้างอิงถึงการล่มสลายของรัฐบาลโง ดินห์ เดียม ด้วยก่อนหน้านั้น แต่ก็ไม่ได้ระบุสาเหตุเอาไว้

25 .   “This support” in sentence 6 refers to American support of ______.

1.       The Ngo Dinh diem regime

2.       The Nguyen Van Thieu regime

3.       The Vietnamese people

4.       Vietnamese “strong men”

ถาม        “This support” ในประโยคที่ 6 อ้างอิงถึงการสนับสนุนของอเมริกาต่อ _____

1.       รัฐบาลโง ดินห์ เดียม

2.       รัฐบาลเหงียน วัน เทียว

3.       คนเวียดนาม

4.       “บุรุษเหล็ก” ชาวเวียดนาม

ตอบ  2  :  “การสนับสนุนนี้” หมายถึง การสนับสนุนของอเมริกาที่มีต่อรัฐบาลเหงียน วัน เทียว

26 .   Who were the Vietnamese fighting with ?

1.       The Americans

2.       The students

3.       The Communists

4.       Vietnamese “strong men”

ถาม        ชาวเวียดนามกำลังต่อสู้อยู่กับใคร

1.       คนอเมริก

2.       นักศึกษา

3.       พวกคอมมิวนิสต์

4.       “บุรุษเหล็ก” ชาวเวียดนาม

ตอบ  3  :  ชาวเวียดนามในที่นี้หมายถึงชาวเวียดนามใต้ ซึ่งกำลังต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์

27 .   The author accuses the U.S. for not _______.

1.       Making a policy

2.       Being strong enough

3.       Negotiating with the Communist

4.       Fully committing itself

ถาม        ผู้เขียนกล่าวหาสหรัฐอเมริกาไม่ ______

1.       กำหนดนโยบาย

2.       เข้มแข็งพอ

3.       เจรจากับคอมมิวนิสต์

4.       ปวารณาตนอย่างจริงจัง

ตอบ  2  :  จากประโยคที่ 9 – 13

28 .   Which is not correct according to the paragraph ?

1.       The Vietnamese lost their war to the Communists.

2.       The Communists were stubborn fighters with a purpose.

3.       The fall of Ngo Dinh Diem led to the fall of South Vietnam.

4.       The withdrawal of American support was the cause of the fall of Vietnam

ถาม        ข้อใดไม่ถูกต้องตามเนื้อเรื่องนี้

1.       ชาวเวียดนามแพ้สงครามต่อคอมมิวนิสต์

2.       คอมมิวนิสต์เป็นนักสู้ที่ดื้อรั้นแต่มีเป้าหมาย

3.       การล่มสลายของรัฐบาลโง ดินห์ เดียม นำไปสู่การล่มสลายของเวียดนามใต้

4.       การถอนการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาเป็นสาเหตุของการล่มสลายของเวียดนาม

ตอบ  3   :  จากเนื้อเรื่องผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงว่ารัฐบาลโง ดินห์ เดียม มีส่วนต่อการล่มสลายของเวียดนามเลย

Passage 4

                Today, most people – certainly most men-quote physical differences between the sexes as evidence of barriers to athletic equality. Because of these differences. Women are said to be more suited to some sport than others-and unfit to compete directly with men in any contact sport.

                ทุกวันนี้ผู้คนส่วนมากซึ่งแน่นอนก็คือผู้ชายส่วนใหญ่ ได้ยกเอาความแตกต่างทางด้านร่างกายระหว่างเพศชายหญิงมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันความเสมอภาคทางด้านกีฬา เนื่องจากความแตกต่างเหล่านี้ผู้หญิงจึงถูกกล่าวว่าเหมาะสมกับกีฬาประเภทหนึ่งมากกว่าบางประเภท และไม่เหมาะสมที่จะแข่งขันกีฬาใด ๆ ก็ตามที่ต้องการใช้แรงปะทะกันโดยตรงกับผู้ชาย

29 .   What is the writer saying ?

1.       Men and women are equal.

2.       Men are stronger than women

3.       Men and women are not equal athletically.

4.       Women cannot compete with men in any contact sport.

ถาม        ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงสิ่งใด

1.       ผู้ชายและผู้หญิงมีความสามารถเสมอภาคเท่าเทียมกัน

2.       ผู้ชายมีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้หญิง

3.       ผู้ชายและผู้หญิงไม่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันทางด้านกีฬา

4.       ผู้หญิงไม่สามารถแข่งขันกับผู้ชายได้ในกีฬาที่ใช้แรงปะทะโดยตรงกับผู้ชาย

ตอบ  3  : ดังคำกล่าวในประโยคแรกซึ่งเป็นใจความสำคัญของย่อหน้า

30 .   According to the paragraph, ______.

1.       Men are better at sports than women

2.       Feminine and masculine physiques are different

3.       Because of the physical differences, women should be considered inferior to men

4.       All are correct.

ถาม        ตามย่อหน้านี้ ______

1.       ผู้ชายเก่งกีฬามากกว่าผู้หญิง

2.       ทางด้านร่างกายผู้หญิงและผู้ชายมีความแตกต่างกัน

3.       เพราะความแตกต่างกันทางด้านร่างกาย จึงควรกล่าวได้ว่าผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชาย

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  2  :  ตามเนื้อเรื่องนี้สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงคือผู้ชายและผู้หญิงจะมีความแตกต่างกันทางด้านร่างกายแต่ยังสรุปไม่ได้ว่าใครจะเก่งหรือด้อยกว่ากัน

31 .   Which of the following is physical?

1.       Muscles                    

2. Bones           

3. Heart                             

4. All are correct.

ถาม        ข้อใดต่อไปนี้เกี่ยวกับทางร่างกาย

1. กล้ามเนื้อ                     

2. กระดูก             

3. หัวใจ               

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  4  :  ทางร่างกาย (Physical) คือ สิ่งเกี่ยวกับอวัยวะหรือส่วนประกอบของร่างกายที่เป็นรูปธรรมซึ่งตรงกันข้ามกับทางจิตใจ (Mental)

32 .   The word “evidence” in the paragraph is similar in meaning to ______.

1.       Proof                        

2. Purpose        

3. Suggestion                  

4. Explanation

ถาม        คำว่า “evidence” ในย่อหน้ารี้ มีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า _____

1.ข้อพิสูจน์หลักฐาน  

2. จุดประสงค์     

3. คำแนะนำ                       

4. คำอธิบาย

ตอบ  3  :  “evidence” เป็นคำนาม แปลว่า หลักฐาน ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า proof

33 .   The word “others” in the paragraph refers to other _______.

1.       Men                              

2. Women                           

3. Sports                              

4. Differences

ถาม         คำว่า “others” ในย่อหน้านี้ อ้างอิงถึง ______

1.  ผู้ชาย                            

2. ผู้หญิง                              

3. กีฬา                                  

4. ความแตกต่าง

ตอบ  3  :  คำว่า “others” เป็นคำสรรพนาม ซึ่งในที่นี้หมายถึง other sports

Passage 5

                In one promising experiment toward the goal of letting the body “make its own pill,” Koella has found that administration of 5 – hydroxytryptophan, the chemical substance from which the body deriver serotonin, will quickly restore a normal sleeping pattern to cats lacking in serotonin.

                ครั้งหนึ่งในการทดลองที่มีทีท่าว่าจะเป็นไปได้สำหรับเป้าหมายที่จะทำให้ร่างกาย ผลิตตัวยาขึ้นมาเอง” โคเอลลาพบว่าการใช้สาร 5-ไฮดรอกซีทริพโทแฟน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำให้ร่างกายได้รับสารเซโรโทนินนั้น จะทำให้ลักษณะการนอนหลับตามปกติของแมวที่ขาดสารเซโรโทนินกลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว

39 .   _______ major communication satellite systems are mentioned in the paragraph.

1. One                              

2. Two                 

3. Three               

4. Four

ถาม        มี ______ ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญ ๆ ได้ถูกระบุอยู่ในย่อหน้านี้

1. 1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ตอบ  3  :  ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญที่ถูกระบุในย่อหน้านี้คือ

1.       ระบบที่ดำเนินการโดย อินเทลแซท

2.       ระบบที่ดำเนินการโดย อินมาร์แซท

3.       ระบบดาวเทียมภายในประเทศและในภูมิภาค

40 .   INMARSAT provides services for ______.

1.       Point – to – point communication on land

2.       Point – to – point communication at sea

3.       Particular areas in countries

4.       Both 1 and 2

ถาม        ระบบที่ดำเนินการโดย อินมาร์แซท ให้บริการ ______           

1.       การติดต่อสื่อสารระหว่างจุดหนึ่งกับจุดหนึ่งบนภาคพื้นดิน

2.       การติดต่อสื่อสารระหว่างจุดหนึ่งในท้องทะเล

3.       พื้นที่เฉพาะในประเทศ

ตอบ  2  : “serves a similar role” ก็คือ การให้บริการการติดต่อสื่อสารระหว่างจุดหนึ่งกับจุดหนึ่ง (แต่จะใช้เฉพาะกับเรือที่อยู่ในทะเลเท่านั้น)

Part II : Unseen Passages (เนื้อเรื่องนอกตำรา)

A : Directions : Read the passage. Then blacken 1 for a true statement, and blacken for a false statement. (1 = True / 2 = False)

คำสั่ง : จงอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบาย 1 หากเป็นข้อความที่ถูกต้อง และระบาย 2 หากเป็นข้อความที่ผิด (1 = ถูก / 2 = ผิด)

                Harry Potter has woven a new golden spell. J.K. Rowling, creator of the young wizard has overtaken Queen Elizabeth in the Sunday Times annual list of Britain’s richest people.

                In 10 years, the success of Harry’s adventures has propelled Rowling from a modest flat in Edinburgh to a mansion in Perthshire and, for the first time, the title of Britain’s wealthiest self – made woman.

                She has amassed a fortune of £280 m from the sale of almost 200 m books and accompanying film rights, £30 m more than the Queen’s personal portfolio. At 122nd in the list of Britain’s 1,000 wealthiest, Rowing, 37, is the ninth richest woman. All those women above her, however, have become rich by marriage or inheritance.

                แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้ร่ายเวทมนต์ทองคำใหม่อีกบทขึ้น เจ.เค. โรว์ลิง ผู้สร้างพ่อมดน้อยตนนี้ได้แซงหน้าพระราชชินีอลิชาเบธในรายชื่อบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเกาะอังกฤษ ซึ่งจัดลำดับขึ้นทุกปีโดยหนังสือพิมพ์ซันเดไทมส์

                ภายในช่วงเวลา 10 ปี ความสำเร็จในการผจญภัยของแฮร์รี่ได้ผลักดันโรว์ลิงออกจาแฟลตธรรมดา ๆ ในเมืองเอดินเบอะ ไปสู่แมนชั่นในเมืองเพิร์ทไซร์ และเป็นครั้งแรกกับตำแหน่งสตรีผู้ร่ำรวยที่สุดบนเกาะอังกฤษที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยตัวเอง

                เธอสร้างสมทรัพย์สมบัติมูลค่า 280 ล้านปอนด์ จากยอดขายหนังสือเกือบ 200 ล้านเล่ม บวกกับค่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์อีกส่วนหนึ่งซึ่งมากกว่าพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระราชินีถึง 30 ล้านปอนด์ด้วยลำดับที่ 122 ของรายชื่อบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุด 1,000 คน บนเกาะอังกฤษ โรว์ลิงในอายุ 37 ปี เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดลำดับที่ 9 แต่อย่างไรก็ตามผู้หญิงเหล่านั้นทั้งหมดที่อยู่ลำดับเหนือเธอขึ้นไปต่างก็ร่ำรวยขึ้นมาจากการแต่งงานหรือไม่ก็มาจากมรดก

41 .   This passage is about the popularity of Harry Potter.

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความโด่งดังของแฮร์รี่ พอตเตอร์

ตอบ  2 (ผิด)  :  เนื้อเรื่องนี้เกี่ยวกับ เจ.เค. โรว์ลิง ผู้เขียนนวนิยายเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์

42 .   J.K. Rowling according to the statistics here is the richest woman in Great Britain.

ถาม        ตามสถิติในที่นี้ เจ.เค. โรว์ลิง เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดบนเกาะอังกฤษ

ตอบ  2  (ผิด)  :  เจ.เค. โรว์ลิง เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดลำดับที่ 9 แต่เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง

43 .   J.K. Rowling’s main source of income comes from books.

ถาม        แหล่งรายได้หลักของ เจ.เค. โรว์ลิง มาจากหนังสือ

ตอบ  1  (ถูก)  :  จากย่อหน้าที่ 3 ประโยคที่ 1

44 .   J.K. Rowling used to live in a mansion in Edinburgh.

ถาม        เจ.เค. โรว์ลิง เคยอาศัยอยู่ในแมนชั่นในเมืองเอดินเบอระ

ตอบ  2  (ผิด)  :  สรุปความจากย่อหน้าที่ 2 เจ.เค. โรว์ลิง เคยอาศัยอยู่ในแฟลตในเมืองเอดินเบอระแต่ปัจจุบันย้ายมาอยู่แมนชั่นในเมืองเพิร์ทไซร้

45 .   J.K. Rowling is determined to compete with the Queen in wealth.

ถาม        เจ.เค. โรว์ลิง มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะแข่งขันกับพระราชินีในเรื่องความร่ำรวย

ตอบ  2  (ผิด)  :  เพราะไม่ได้กล่าวไว้ในเนื้อเรื่อง

46 .   A “self – made” person is someone who earns money and/ or fame through his/ her own ability or effort.

ถาม     คนที่ “self – made” คือ บุคคลที่หาเงิน และ/หรือ ชื่อเสียงด้วยความสามารถหรือความพยายามของตัวเอง

ตอบ 1  (ถูก)  :  self – made (adj.) แปลว่า ที่สร้างตัวเอง หรือประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง

47 .   There are only 10 richest women in Britain.

ถาม     มีผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดเพียง 10 คนบนเกาะอังกฤษ

ตอบ  2  (ผิด) :  ในเนื้อเรื่องไม่ได้ระยุไว้

48 .   From the sale of 200 million copies of Harry Potter, J.K. Rowling got nearly 300 million pounds.

ถาม     จากยอดขายหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ จำนวน 200 ล้านเล่ม เจ.เค. โรว์ลิง ได้เกือบ 300 ล้านปอนด์

ตอบ  2  (ผิด)  :  จากย่อหน้าที่ 3 ประโยคแรก จำนวนเงินเกือบ 300 ล้านปอนด์ ได้มาจากค่าหนังสือบวกกับค่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ ซึ่งในที่นี้ไม่ได้บอกว่าอย่างละเท่าไหร่

49 .   J.K. Rowling got about 30 pounds more than the Queen’s personal portfolio.

ถาม     เจ.เค. โรว์ลิง ได้รายได้มากกว่ารายได้ของราชินีประมาณ 30 ปอนด์

ตอบ  2  (ผิด)  :  ดังคำกล่าวในย่อหน้าที่ 3 เจ.เค. โรว์ลิง ได้รายได้มากกว่ารายได้ของราชินีประมาณ 30 ปอนด์

 50 .   In paragraph 3, “those women” means the other eight women.

 ถาม       ในย่อหน้าที่ 3 “those women” หมายถึง ผู้หญิงอีกแปดคน

ตอบ  1  (ถูก)  :  นั่นคือ ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดอีก 8 คนที่อยู่เหนือเธอ

B : Directions : Read the following passage and choose the best answer for each question.

คำสั่ง :   จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

1 .   Small talk is a type of conversation usually restricted to light or casual topics. Small talk has two functions. First because it is a ritual, it allows the participant to be included in social relations. Second, it permits you to ask questions that allow you, without offending people, to get enough information to decide whether you want to know them better

2 .   Small talk is necessary with people that you do not know well, but sometimes it is appropriate at the beginning of a conversation with a good friend, too. In addition, when an introduction does not contain enough information, people generally start their conversations with small talk

3 .   Most Americans are shy. They like to feel comfortable before they talk about serious topics and small talk helps them to feel comfortable.

                การพูดคุยสัพเพเหระเป็นการสนทนาประเภทหนึ่งโดยปกติจะจำกัดอยู่เฉพาะแค่หัวข้อเรื่องเบา ๆ หรือสบาย ๆ การพูดคุยสัพเพเหระมี 2 หน้าที่ด้วยกัน ประการแรก เนื่องจากมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่ง มันจึงทำให้ผู้ร่วมสนทนาเป็นส่วนหนึ่งในระบบความสัมพันธ์ทางสังคม ประการที่สองมันทำให้คุณสามารถถามคำถามที่ทำให้คุณได้รับข้อมูลที่เพียงพอโดยไม่ทำให้คนอื่นรำคาญใจ เพื่อจัดสินใจว่าคุณต้องการที่จะรู้จักพวกเขามากกว่านี้หรือไม่

                การพูดคุยสัพเพเหระนั้นจำเป็นกับผู้คนที่คุณยังไม่รู้จักเขาดี แต่บางครั้งมันก็เหมาะในการเริ่มต้นการสนทนากับเพื่อนสนิทด้วยเช่นกัน นอกจากนี้หากการแนะนำให้รู้จักกันไม่ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอ โดยทั่วไปผู้คนก็จะเริ่มการสนทนาที่เป็นการพูดคุยสัพเพเหระ

                ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ขี้อาย พวกเขาชอบความรู้สึกผ่อนคลายก่อนที่พวกเขาจะพูดเกี่ยวกับเรื่องหนัก ๆ และการพูดคุยสัพเพเหระจะช่วยให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายได้

51 .   The topic of this passage is _______.

1.       Americans

2.       Small talk

3.       A type of conversation

4.       How to make friend

ถาม        หัวเรื่องของเนื้อเรื่องนี้คือ ______

1.       ชาวอเมริกัน

2.       การพูดคุยสัพเพเหระ

3.       ประเภทของการสนทนา

4.       วิธีการที่จะเป็นเพื่อน

ตอบ  2  :  เนื้อเรื่องนี้กล่าวถึงการพูดคุยสัพเพเหระว่ามันมีประโยชน์อย่างไร

52 .   The word “light” in paragraph 1 is opposite in meaning to ______.

1.       Serious

2.       Strong

3.       Interesting

4.       Cheerful

ถาม        คำว่า “light” ในย่อหน้าที่ 1 มีความหมายตรงข้ามกับคำว่า ______

1.       จริงจังเคร่งขรึม

2.       แข็งแรง

3.       น่าสนใจ

4.       ร่าเริงแจ่มใส

ตอบ  1  :  “light” ในที่นี้เป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า เบา ๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่า serious

53 .   Which of the following topics is appropriate for small talk?

1.       Politics

2.       Salary

3.       Weather

4.       All are correct.

ถาม        หัวข้อเรื่องข้อใดต่อไปนี้เหมาะสมกับการพูดคุยสัพเพเหระ

1.       การเมือง

2.       เงินเดือน

3.       ภูมิอากาศ

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  3  :  การพูดคุยสัพเพเหระ คือ การพูดคุยทักทายแบบสบาย ๆ อย่างเช่น เรื่องภูมิอากาศ การถามสารทุกข์สุกดิบ เป็นต้น

54 .   Small talk is formal, so _______.

1.       We use it in a formal situation

2.       It makes people feel comfortable

3.       We do not use it with our good friends

4.        Strangers are permitted to be included in a conversation

ถาม        การพูดคุยสัพเพเหระเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ดังนั้น ______

1.       เราจึงใช้มันสถานการณ์ที่เป็นทางการ

2.       มันทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย

3.       เราไม่ใช่มันกับเพื่อนสนิทของเรา

4.       คนแปลกหน้าจึงถูกยินยอมให้เข้าร่วมอยู่ในวงสนทนา

ตอบ  4  :  จากย่อหน้าที่ 1 ประโยคที่ 3 (ritual = formal)

55 .   Paragraph 1 is about _______.

1.       Various definitions of small talk

2.       Where we use small talk

3.       How we use small talk

4.       The functions of small talk

ถาม        ย่อหน้าที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ______

1.       คำจำกัดความต่าง ๆ ของการพูดคุยสัพเพเหระ

2.       ที่ที่ซึ่งพวกเราใช้การพูดคุยสัพเพเหระ

3.       เราจะใช้การพูดคุยสัพเพเหระอย่างไร

4.       หน้าที่ของการพูดคุยสัพเพเหระ

ตอบ  4  :  ย่อหน้านี้พูดถึงหน้าที่ของการพูดคุยสัพเพเหระว่ามี 2 หน้าที่

56 .   Small talk is ______.

1.       Useful                           

2. Serious            

3. Fun

4. Dangerous

ถาม        การพูดคุยสัพเพเหระนั้น ______

1.  มีประโยชน์                

2. จริงจัง              

3. สนุกสนาน     

4. อันตราย

ตอบ  1  :  ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

57 .   Which of the following is a part of small talk?

1.       “Can you keep it a secret?”

2.       “Do you have a hobby?”

3.       “I’d like to have your opinion about Nick.”

4.       All are correct.

ถาม        ข้อใดต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุยสัพเพเหระ

1.       “คุณสามารถเก็บมันเป็นความลับได้ไหม?”

2.       “คุณมีงานอดิเรกไหม?”

3.       “ฉันอยากจะขอความคิดเห็นของคุณเกี่ยวกับนิค

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  2 :  ดูคำอธิบายข้อ 53. ประกอบ

58 .   The word “offending” in paragraph 1 is closest in meaning to ______.

1.       Defending

2.       Asking

3.       Annoying

4.       Knowing

ถาม        คำว่า “offending” ในย่อหน้าที่ 1 มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า ______

1.       การป้องกัน

2.       การถาม

3.       การทำให้รำคาญรบกวน

4.       การรู้เห็น

ตอบ  3  :  ในที่นี้คำว่า “offending” แปลว่า การทำให้รำคาญใจ ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า Annoying

59 .   With people you do not know well, _______.

1.       You cannot talk anything to tem

2.       You can discuss any topic with them

3.       You can start a conversation with small talk

4.       None is correct.

ถาม        กับผู้คนที่คุณไม่รู้จักดี _____

1.       คุณไม่สามารถพูดคุยอะไรต่อพวกเขาได้

2.       คุณสามารถพูดคุยเรื่องใด ๆ ก็ได้กับพวกเขา

3.       คุณสามารถเริ่มการสนทนาด้วยการพูดคุยสัพเพเหระ

4.       ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ  3  :  จากย่อหน้าที่ 2 ประโยที่ 1

60 .   The word “contain” in paragraph 2 is closest in meaning to ______.

1. Leave                           

2. List                   

3. Write

4. Have

ถาม        คำว่า “contain” ในย่อหน้าที่ 2 มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า ______

1.   ทิ้ง                                 

2. จดรายการ       

3. เขียน                

4. มี

ตอบ  4  :  “contain” เป็นสกรรมกริยา (vt.) ในที่นี้แปลว่า บรรจุ มี ซึ่งมีความหมายใกล้เคียง

Passage 2

                1What are some of the things that happen when we enter this strange, new world under the sea ? First, we all know that we can’t breathe under water. 2Fish can, but human being can’t. 3Therefore, when we go under water, we will need to return to the surface often or take a supply of oxygen along with us. 4Second, since water is much heavier than air, it holds things up, makes them float. 5Thus, most people can float on it or in it. 6In fact, if water weren’t buoyant we couldn’t swim in it, but because it is buoyant we have to force our way down though it. 7Third, because water weighs much more than air, it creates much pressure. 8This pressure increases as the depth increases, so we are not safe at great depths. 9Fourth, water does strange things to light. 10It bends light rays so that things always look closer than they really are; it magnifies things; and also, colours are changed in water. 11Differnt colours disappear as we go down into the water. 12Red goes first, and at thirty feet it looks pink, at sixty feet green, and as we go deeper it looks blue. 13At 2,000 feet the only sound is complete blackness. 14The last thing that happens in the water – world is that all sound is cut off; there is complete silence, and that is why the sea is sometimes referred to as “the silent world”.

                1มีอะไรเกิดขึ้นบ้างเมื่อเราลงไปสู่โลกใต้ทะเลที่แลปกใหม่แห่งนี้ ประการแรก พวกเราทุกคนทราบว่าเราไม่สามารถหายใจใต้น้ำได้  2ปลาทำได้แต่มนุษย์ไม่สามารถทำได้  3ดังนั้นเมื่อเราลงไปใต้น้ำเราจึงจำเป็นต้องกลับขึ้นมายังผิวน้ำบ่อยครั้งหรือไม่ก็ต้องนำสำรองออกซิเจนติดตัวไปด้วย  4ประการที่สองเนื่องจากน้ำจะหนักกว่าอากาศมาก มันจึงมีคุณสมบัติที่ทำให้วัตถุลอยตัว นั่นคือ มันจะพยุงวัตถุต่าง ทำให้สิ่งเหล่านั้นลอยขึ้นมา  5ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงลอยอยู่เหนือน้ำหรือในน้ำได้ 6อันที่จริงหากน้ำไม่ทำให้ลอบเราก็จะไม่สามารถว่ายน้ำได้ แต่อย่างไรก็ตามเพราะน้ำทำให้วัตถุลอย เราก็จึงต้องออกแรงดำลงไป  7ประการที่สาม เนื่องจากน้ำมีน้ำหนักมากกว่าอากาศมาก มันจึงทำให้เกิดแรงกดสูง 8แรงกดนี้จะเพิ่มมากขึ้นตามความลึกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงไม่ปลอดภัยที่ความลึกมาก ๆ  9ประการที่สี่ น้ำทำให้เกิดสิ่งประหลาดเกี่ยวกับแสง  10มันทำให้ลำแสงหักเหจนทำให้เกิดวัตถุต่าง ๆ ดูอยู่ใกล้ว่าความเป็นจริงเสมอ น้ำทำให้วัตถุดูใหญ่ขึ้น และนอกจากนั้นสีก็จะถูกเปลี่ยนไปด้วยน้ำ  11 สีต่าง ๆ จะค่อย ๆ หายไปเมื่อเราดำลงไปใต้น้ำ  12ทีแรกเป็นสีแดง แต่พอที่ความลึกสามสิบฟุตมันจะกลายเป็นสีชมพู ที่หกสิบฟุตเป็นสีเขียว และเมื่อเราดำลึกลงไปอีกมันจะเป็นสีน้ำเงิน  13ที่ความลึก 2,000 ฟุต จะมีสีเดียวคือสีดำมืดสนิท  14ประการสุดท้ายที่เกิดขึ้นในโลกใต้น้ำนั่นก็คือ เสียงทั้งหมดจะถูกตัดขาด มีแต่ความเงียบสงัด และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมบางครั้งทะจึงถูกรียกว่า โลกแห่งความเงียบ”               

61 .   The passage is about ______.

1.       What the sea looks like

2.       What happens in the water – world

3.       Why the water – world looks strange

4.       What we should do in the water – world

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ _____

1.       สิ่งที่ทะเลดูคล้าย

2.       สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใต้น้ำ

3.       ทำไมโลกใต้น้ำจึงดูแลปกประหลาด

4.       สิ่งที่พวกเขาควรทำในโลกใต้น้ำ

ตอบ  2  :  เนื้อเรื่องนี้กล่าวถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใต้น้ำว่ามีอะไรบ้าง

62 .   The first sentence functions as ______ of the passage.

1.       The introduction

2.       The topic sentence

3.       The conclusion

4.       The body

ถาม        ประโยคแรกทำหน้าที่เป็น ______ ของเนื้อเรื่อง

1.       ประโยคนำ

2.       ประโยคใจความสำคัญ

3.       บทสรุป

4.       เนื้อหา

ตอบ  2  :  ประโยคใจความสำคัญ (Topic Sentence) คือ ใจวามหลักที่มีประโยคอื่น ๆ ในเนื้อเรื่องขยาย อธิบาย ยกตัวอย่าง หรือให้เหตุผลและประโยคที่มีใจความครอบคลุมเนื้อหารายละเอียดของเรื่องทั้งหมด

63 .  The main idea of the passage is that ______.

1.       The world under the sea is attractive because it is completely silent

2.       There are differences between the world under the sea and above the sea

3.       There are several things which happen when we enter the strange world under the sea

4.       We have to be aware of what will happen when we enter the strange world under the sea

ถาม        ใจความสำคัญของเนื้อเรื่องนี้คือ ______

1.       โลกใต้น้ำนั้นน่าสนใจเพราะมันเงียบสงัด

2.       มีความแตกต่างหลายอย่างระหว่างโลกใต้น้ำกับโลกเหนือน้ำ

3.       มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราลงไปยังโลกที่แปลกใต้ทะเล

4.       เราต้องระวังถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพวกเราลงไปยังโลกที่แปลกใต้ทะเล

ตอบ  3  :  โดยมีประโยคที่ 2, 5, 8, 10 และ 15 เป็นประโยคสนับสนุนใจความหลัก นั่นคือ มีห้าอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเราลงไปยังโลกใต้ทะเล

64 .   We _____ to remain under water longer.

1.       Swim like fish

2.       Take air with us

3.       Hold our breath

4.       None is correct.

ถาม        พวกเรา _______ เพื่อที่จะอยู่ใต้น้ำได้นานขึ้น

1.       ว่ายน้ำเหมือนปลา

2.       พกพาอากาศติดตัวไปด้วย

3.       กลั้นหายใจ

4.       ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ  2  :  จากประโยคที่ 4

65 .   If water weren’t buoyant, ______.

1.       We would sink

2.       We could swim in it

3.       Everything would float in it

4.       It would be much heavier than air

ถาม        ถ้าน้ำไม่มีคุณสมบัติที่ทำให้วัตถุลอย ______

1.       พวกเราก็จะจมน้ำ

2.       พวกเราสามารถว่ายน้ำได้

3.       ทุกสิ่งจะลอยในน้ำ

4.       มันจะหนักว่าอากาศมาก

ตอบ  1  :  จากประโยคที่ 5 -7

66 .   _______ causes water pressure to increase.

1.       Colour                         

2. Salty                

3. Weight                           

4. Depth

ถาม        ______ เป็นสาเหตุให้แรงกดของน้ำเพิ่มขึ้น

1.  สี                                   

2. ความเค็ม         

3. น้ำหนัก                           

4. ความลึก

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 9

67 .   When we enter the world under water, _______.

1.       We will feel heavier than water

2.       We will not be able to float in the water

3.       objects will appear larger than they really are

4.       red will be the only colour that we will be able to see

ถาม        เมื่อเราลงไปยังโลกใต้น้ำ______

1.       เราจะรู้สึกหนักกว่าน้ำ

2.       เราจะไม่สามารถลอยอยู่ในน้ำได้

3.       วัตถุต่าง ๆ จะดุใหญ่กว่าความเป็นจริง

4.       สีแดงจะเป็นสีเดียวที่พวกเราจะมองเห็นได้

ตอบ  3  :  จากประโยคที่ 11 “it magnifies things”

68 .   The writer mentions ______ things that happen when we enter the world under water.

1.  4                    

2. 5                       

3. 6                       

4. 7

ถาม        ผู้เขียนกล่าวถึง ______ อย่างที่เกิดขึ้นมาเมื่อพวกเราลงไปยังโลกใต้น้ำ

1.       4                    

2. 5                       

3. 6                       

4. 7

ตอบ  2  :  ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

69 .   If you wore a red swim suit under water, what colour would it look like when you reached a depth of 100 feet ?

1.  Red                                 

2. Green                  

3. Pink                                     

4. Blue

ถาม        ถ้าคุณสวมชุดว่ายน้ำสีแดงใต้น้ำ มันจะดูเป็นสีอะไรเมื่อคุณไปถึงความลึกที่ 100 ฟุต

1. สีแดง                           

2. สีเขียว                              

3. สีชมพู                              

4. สีน้ำเงิน

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 13

70 .   Water does _______ strange things to light.

1. 2                                    

2. 3                                        

3. 4                                       

4. 5

ถาม        น้ำทำสิ่งที่แปลก ______ อย่างเกี่ยวกับแสง

1. 2                                    

2. 3                                       

3. 4                                       

4. 5

ตอบ  2  :  จากประโยคที่ 10 – 11 น้ำทำให้เกิดสิ่งประหลาด 3 อย่าง คือ

1.       ทำให้วัตถุใกล้กว่าความเป็นจริง

2.       ทำให้วัตถุดูใหญ่ขึ้น

3.       ทำให้สีของวัตถุดูเปลี่ยนไป

Passage 3

1 .   Sometimes people need a special item for their house, apartment, or office. They may need some dishes or a small table for the living room. They may need some clothes for the children or a small rug for the office. People can buy these items new at a store, but they are usually expensive. Some people do not have the money to buy these things new, and some people do not want to spend a lot of money. These people go to a garage or yard sale.

2 .   A garage or yard sale is a good place to buy inexpensive, used items. People can buy pots and pans for the kitchen or plants for the living room. They can buy almost anything: furniture, cassettes, radios, sinks, or old magazines.

3 .   Where do people find the items to sell? Often people find these items in their closets or drawers, and in their basements or garages. They usually find a lot old, useless items. They collect all these things and look at them carefully. They may keep some of the things and sell the other at a garage sale.

4 .   Some people do not like to throw old things away, so they sell them at a garage sale. “Aha!” somebody says. “Here’s an old picture of Aunt Lucy. We don’t need this useless picture, so let’s sell it. Maybe somebody wants to buy it.”

5 .   Most of the items at a garage sale are useful, but some of them are useless. Most people at garage sales buy only necessary and useful items. Some people like to collect old things, and some people go only to look.

                บางครั้งผู้คนก็ต้องการสิ่งของที่พิเศษสักชิ้นหนึ่งสำหรับบ้าน อพาร์ตเมนต์ หรือที่ทำงานของเขาพวกเขาอาจจะต้องการจานสักชุดหรือโต๊ะเล็ก ๆ สักตัวหนึ่งสำหรับห้องรับแขก พวกเขาอาจจะต้องการเสื้อผ้าสำหรับลูก ๆ หรือพรมเล็ก ๆ สำหรับที่ทำงาน ผู้คนสามารถซื้อสิ่งของเหล่านี้ใหม่ ๆ ได้ที่ร้านขายสินค้าแต่โดยทั่วไปพวกมันมีราคาแพง บางคนไม่มีเงินที่จะซื้อสินค้าใหม่ ๆ เหล่านี้ได้ และบางคนก็ไม่ต้องการที่จะจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก ๆ ผู้คนเหล่านนี้จึงเป็นที่จุดขายสินค้าแบบการาจเซลหรือยาร์ดเซล

                การาจเซลหรือยาร์ดเซล เป็นสถานที่ดีเยี่ยมที่จะซื้อของมือสอง และราคาม่แพง ผู้คนสามารถซื้อหม้อและกระทะสำหรับห้องครัว หรือกระถางต้นไม้สำหรับห้องรับแขก พวกเขาสามารถซื้อได้เกือบทุกอย่าง เช่น เฟอร์นิเจอร์ เทปคาสเซ็ท วิทยุ อ่างล้างหน้า หรือนิตยาสารเก่า ๆ

                ผู้คนไปหาสิ่งของเพื่อที่จะนำมาขายไปได้จากไหน บ่อยครั้งที่ผู้คนหาสิ่งของเหล่านี้ได้จากตู้หรือลิ้นชัก และตามห้องใต้ดินหรือโรงรถ บ่อยครั้งที่พวกเขาเจอสิ่งของเก่า ๆ ที่ไม่มีประโยชน์มากมาย พวกเขาจะเก็บสะสมสิ่งของทั้งหมดเหล่านี้และตรวจดูมันอย่างถี่ถ้วน พวกเขาอาจจะเก็บของบางอย่างไว้และนำของบางอย่างที่เหลือไปขายที่การาจเซล

                บางคนไม่ชอบที่จะทิ้งของเก่า ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงนำมันไปขายที่การาจเซล เฮ้ย” ใครคนหนึ่งพูด นี่มันรูปภาพเก่าของป้าลูซี่ พวกเราไม่ต้องการรูปภาพที่ไม่มีประโยชน์นี้แล้ว เพราะฉะนั้นเราเอามันไปขายกันเถอะ เผื่อใครบางคนต้องการจะซื้อมันก็ได้

                สิ่งของส่วนใหญ่ที่การาจเซลมีประโยชน์ แต่บางอย่างก็ไม่มีประโยชน์ คนส่วนมากที่การาจเซลจะซื้อสิ่งของที่จำเป็นและมีประโยชน์ บางคนชอบที่จะสะสมของเก่า และบางคนก็ไปเดินดูเฉย ๆ จะซื้อสิ่งของที่จำเป็นและมีประโยชน์เท่านั้น บางคนชอบที่สะสมของเก่า และบางคนก็ไปเดินดูเฉย ๆ

71 .   The passage is about ________.

1.       Old  items

2.       Garage sales

3.       A place to keep old things

4.       A store

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ______

1.       สิ่งของเก่า ๆ

2.       การาจเซล

3.       สถานที่ที่เก็บของ

4.       ร้านขายสินค้า

ตอบ  2  :  เนื้อเรื่องนี้พูดเกี่ยวกับการาจเซลว่าเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าประเภทไหนอย่างไร

72 .   Items at a store are usually ______.

1.       Useful                          

2.baeutiful                           

3. Expensive                       

4. Old

ถาม        โดยทั่วไปสิ่งของตามร้านขายสินค้า ______

1. มีประโยชน์                

2. สวยงาม                           

3. แพง                                 

4. เก่า

ตอบ  3  :  จากย่อหน้าที่ 1 ประโยคที่ 4

73 .   Items at garage sales are cheap because they are usually ______.

1. Wanted                        

2. Beautiful                         

3. Old                                   

4. Broken

ถาม    สิ่งของตามการาจเซลมีราคาถูกเพราโดยทั่วไปพวกมัน _____

1. เป็นที่ต้องการ             

2. สวยงาม                            

3. เก่า                                    

4. แตกหัก

ตอบ  3  :  จากย่อหน้าที่ 2 ประโยคแรก

74 .  Where do people find the items to sell?

1.       In their own house

2.       In a store

3.       In their neighbours’ house

4.       In a maket

ถาม        ผู้คนหาสิ่งของต่าง ๆ เพื่อนำไปขายได้จากที่ไหน

1.       ในบ้านของเขาเอง

2.       ในร้านขายสินค้า

3.       ในบ้านของเพื่อนบ้าน

4.       ในตลาด

ตอบ  1   :  จากย่อหน้าที่ 3 ประโยคที่ 1 -2

75 .   According to the passage, _______.

1.       A garage sale is in a park

2.       Only poor people go to a garage sale

3.       A garage sale is a good to find new items

4.       People can buy almost anything at a garage sale

ถาม        ตามเนื้อเรื่องนี้ ______

1.       การาจเซลอยู่ในสวนสาธารณะ

2.       คนจนเท่านั้นที่ไปที่การาจเซล

3.       การาจเซลเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมที่จะหาสิ่งของใหม่ ๆ

4.       ผู้คนสามารถซื้อของได้เกือบทุกอย่างที่การาจเซล

ตอบ  4  : จากย่อหน้าที่ 2 ประโยคสุดท้าย

76 .   According to the passage, why do people have garage sales?

1.       They want money

2.       They want to collect old things.

3.       They are asked to sell their old things.

4.       They don’t want to throw old things away.

ถาม        ตามเนื้อเรื่องนี้ ทำไมผู้คนถึงไม่มีการาจเซล

1.       พวกเขาต้องการเงิน

2.       พวกเขาต้องการสะสมสิ่งของเก่า ๆ

3.       พวกเขาถูกขอร้องให้ขายสิ่งของเก่า ๆ

4.       พวกเขาไม่ต้องการทิ้งของเก่า ๆ

ตอบ  4  :  จากย่อหน้าที่ 4 ประโยคแรก

77 .   According to the passage, some people at garage sales buy old pictures, old dishes, or old books because _______.

1.       These things are cheep

2.       They like to collect old things

3.       They cannot find then at stores

4.       None is correct.

ถาม        ตามเนื้อเรื่องนี้ บางคนที่การาจเซลซื้อรูปภาพเก่า ๆ จานเก่า ๆ หรือหนังสือเก่า ๆ เพราะ ______

1.       สิ่งของเหล่านี้มีราคาถูก

2.       พวกเขาชอบที่จะสะสมของเก่า

3.       พวกเขาไม่สามารถหาสิ่งของเหล่านั้นได้ตามร้านขายสินค้า

4.       ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ  2  :  จากเนื้อเรื่องผู้คนไปที่การาจเซลเพราะมีของราคาถูก โดยบางคนซื้อของเก่าเพราะต้องการนำไปใช้ประโยชน์ แต่บางคนซื้อเพื่อนำไปสะสม

78 .   People go to garage sales because ______.

1.       They want to meet people

2.       They want inexpensive items

3.       There is everything they want at garage sales

4.       All are correct.

ถาม        ผู้คนไปยังการาจเซล เพราะ______

1.       พวกเขาต้องการไปพบปะผู้คน

2.       พวกเขาต้องการสินค้าที่มีราคาไม่แพง

3.       มีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการที่การจเซล

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  2  :  ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

79 .   The word “them” in paragraph 4 refers to ______.

1.       Old things

2.       People

3.       Garages

4.       Old pictures

ถาม        คำว่า “them” อ้างอิงถึงสิ่งที่เพ่งกล่าวถึงไปแล้ว (พหูพจน์) โดยให้พิจารณาจากความหมายในประโยค

1.       สิ่งของเก่า ๆ

2.       ผู้คน

3.       โรงรถ

4.       รูปภาพเก่า ๆ

ตอบ  1  :  “them” อ้างอิงถึงสิ่งที่เพิ่งกล่าวถึงไปแล้ว (พหูพจน์) โดยให้พิจารณาจากความหมายในประโยค

80 .   Which of the following refers to a place to keep things?

1.       Pot                                 

2. Plant                                

3. Drawer

4. Cassettes

ถาม   ข้อใดต่อไปนี้หมายถึงที่สำหรับเก็บของ

1. หม้อ                             

2. กระถางต้นไม้                

3. ลิ้นชัก                               

4. เทปคาสเซ็ท

ตอบ  3  :  สรุปความจากย่อหน้าที่ 3 ประโยคที่ 2 แสดงว่าผู้คนมักชอบเก็บของไว้ในตู้ ลิ้นชักห้องใต้ดิน และโรงรถ

Passage 4

                1Human vision, like that other primates, has evolved in an arboreal environment. 2In the dense, complex world of a tropical forest, it is more important to see well than to develop an acute sense of small. 3In the course of evolution, members of see primate line have acquired large eyes while the snout has shrink to give the eye a clear view. 4Of mammals, only humans and some primates enjoy color vision. 5The red flag is black to the bull. 6Horses live in a monochrome world. 7Ligth visible to n\human eyes, however, occupies only a very narrow band in the whole electromagnetic spectrum. 8Ultraviolet rays are invisible to human, though ants and honeybees are sensitive to them. 9Humans rays have no direct perception of infrared rays, unlike the rattlesnakes, which has receptors tuned in to wavelengths longer than 0.7 microns. 10The world would look strangely different if human eyes were sensitive to infrared radiation. 11Then, instead of the darkness of night, we would be able to move easily in strange, shadowless world where objects glowed with varying degrees of intensity.

                1การมองเห็นของมนุษย์ เช่นเดียวกับไพรเมตรชนิดอื่น ๆ ได้พัฒนาขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้ 2ในโลกของป่าเขตร้อนซึ่งหนาทึบและสลับซับซ้อน การมองเห็นได้อย่างดีนั้นย่อมสำคัญกว่าการพัฒนาประสาทรับกลิ่นที่เป็นเลิศ 3ในช่วงเวลาของวิวัฒนาการ สมาชิกในกลุ่มไพรเมตรจำเป็นต้องมีดวงตาขนาดใหญ่ ขณะที่ส่วนจมูกหดเล็กลงเพื่อให้ตามองเห็นภาพได้ชัดเจน 4ในบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีแต่มนุษย์และไพรเมตรบางชนิดเท่านั้นที่สามารถเพลิดเพลินกับภาพที่เป็นสีสัน 5วัวตัวผู้จะเห็นธงสีแดงเป็นสีดำ 6ม้าจะอยู่ในโลกที่มีสีเดียว 7อย่างไรก็ตาม แสงที่ตาเปล่าของมนุษย์สามารถมองเห็นได้ก็อยู่ในช่วงแคบ ๆ ของสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมดเท่านั้น 8มนุษย์จึงไม่สามารถมองเห็นรังสีอัลตราไวโอเลตได้ แม้ว่ามดและผึ้งจะมีความไวต่อสิ่งนี้ก็ตามที  9มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ถึงรังสีอินฟราเรดได้โดยตรง ไม่เหมือนกับงูหางกระดิ่งซึ่งมีเครื่องรับที่สามารถรับความยาวคลื่นมากกว่า 0.7 ไมครอน 10โลกคงดูต่างออกไปอย่างน่าแปลกตาของมนุษย์มีความไวต่อรังสีอินฟราเรด 11เมื่อนั้นโดยปราศจากความมืดของยามค่ำคืนเราก็จะสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างในโลกอันแปลกประหลาดที่ไร้เงา ซึ่งเป็นโลกที่มีวัตถุเปล่งแสงด้วยระดับความเข้มที่แตกต่างกัน

81 .   What does the passage mainly discuss?

1.       Ultraviolet rays

2.       Human vision

3.       Sight and small

4.       The environment of primates

ถาม        โยหลักแล้ว เนื้อเรื่องนี้กล่าวถึงเรื่องอะไร

1.       รังสีอัลตราไวโอเลต

2.       การมองเห็นของมนุษย์

3.       การมองเห็นและการดมกลิ่น

4.       สิ่งแวดล้อมของไพรเมตร

ตอบ  2  :  เนื้อเรื่องนี้กล่าวถึงการมองเห็นของมนุษย์ว่าได้พัฒนาและมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด

82 .   Why does the author mention the “tropical forest” in sentence 2 ?

1.       To give an example of environmental change

2.       To explain why primates have developed keen vision

3.       To suggest that primates need to see only the color green

4.       To indicate where large – eyed primates can be found

ถาม        ทำไมผู้เขียนเอ่ยถึง “tropical forest” ในประโยคที่ 2

1.       เพื่อยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม

2.       เพื่ออธิบายว่าทำไมไพรเมตรจึงมีการพัฒนาสายตาที่แหลมคม

3.       เพื่อชี้ให้เห็นว่าไพรเมตรต้องการที่จะมองเห็นเฉพาะสีเขียวเท่านั้น

4.       เพื่อแสดงให้เห็นว่าจะสามารถค้นพบไพรเมตรที่มีดวงตาขนาดใหญ่ได้ที่ไหน

ตอบ  2  :  นั่นคือ เพราะมนุษย์และไพรเมตชนิดอื่น ๆ มีวิวัฒนาการอยู่ในป่าทึบ

83 .   What does the author mean by stating that “the red flag is black to the bull” (sentence 5) ?

1.       Bulls attack all flages.

2.       Bulls do not notice flag.

3.       Bulls do not see the color red.

4.       Bulls are attracted to red objects.

ถาม        ผู้เขียนหมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่า วัวตัวผู้จะเห็นธงสีแดงเป็นสีดำ” (ประโยคที่ 5)

1.       วัวตัวผู้โจมตีธงทุกชนิด

2.       วัวตัวผู้มองไม่เห็นธง

3.       วัวตัวผู้ไม่เห็นสีแดง

4.       วัวตัวผู้สนใจวัตถุที่เป็นสีแดง

ตอบ  3  :  นั่นคือ ผู้เขียนต้องการอธิบายเพิ่มเติมประโยคที่ 4

84 .   what do horses and human have in common ?

1.       They are mammals.

2.       They are primates.

3.       They enjoy color vision.

4.       They live in a monochrome world.

ถาม        ม้าและมนุษย์มีอะไรที่เหมือนกันโดยทั่วไป

1.       ทั้งหมดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

2.       ทั้งหมดเป็นไพรเมต

3.       ทั้งหมดเพลิดเพลินกับสภาพที่เป็นสีสัน

4.       ทั้งหมดอยู่ในโลกแห่งเอกรงค์

ตอบ  1  :  จากประโยคที่ 4 – 6 ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างวัวตัวผู้แม้ม้าจะเป็นเลี้ยงลูกด้วยนมที่มองไม่เห็นสีสัน ผิดกับมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมด้วยกัน

85 .   In sentence 6, “monochrome” is closest in meaning to ______.

1.  Monotonous               

2. Ultraviolet                      

3. One – color                    

4. One – dimension

ถาม        ในประโยคที่ 6 “monochrome” มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า ______

1.  น่าเบื่อ                          

2. อัลตราไวโอเลต             

3. สีเดียว                              

4. มิติเดียว

ตอบ  3  :  “monochrome” มาจาก mono = เดี่ยวหนึ่ง กับ chrome =สี

86 .   It is most likely that _____ are not color – blind.

1. Chimpanzees              

2. Ants                 

3. Bulls                 

4. Snakes

ถาม        น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดว่า _____ ไม่ได้ตาบอดสี

1.       ลิงชิมแปนซี                 2. มด                      3. วัวตัวผู้               4. งู

ตอบ  1  :  จากประโยคที่ 4 – 6 เพราะชิมแปนซีเป็นสัตว์ในตระกูลไพรเมต

87 .   In sentence 8, “them” refers to______.

1.       Human eyes

2.       Humans

3.       Wavelengths

4.       Ultraviolet rays

ถาม        ในประโยคที่ 8 “them” อ้างอิงถึง _____

1.       ดวงตาของมนุษย์

2.       มนุษย์

3.       ความยาวคลื่น

4.       รังสีอัลตราไวโอเลต

ตอบ  4  :  “them” อ้างอิงถึงสิ่งที่เพิ่งกล่าวถึงไปแล้ว (พหูพจน์) โดยให้พิจารณาความหมายในประโยค

88 .   According to the passage, which of the following can detect wavelengths of light longer than 0.7 microns?

1. Bulls                                

2. Ants                                    

3. Horses                

4. Rattlesnakes

ถาม        ตามเนื้อเรื่องนี้ ข้อใดต่อไปนี้สามารถตรวจจับความยาวคลื่นของแสงที่มากกว่า 0.7 ไมครอน

1.       วัว                                   2. มด                                      3. ม้า                                       4. งูหางกระดิ่ง

ตอบ  4  :  ดังคำกล่าวในประโยคที่ 9

89 .   It can be inferred from the passage that humans could move more easily at night if they ____.

1.       Were color-blind

2.       Had infrared vision

3.       Had a narrower field of vision

4.       Lived in an arboreal environment

ถาม        สามารถสรุปได้จากเนื้อเรื่องนี้ว่า มนุษย์สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างสะดวกมากขึ้นในเวลากลางคืนถ้าพวกเขา _____

1.       ตาบอดสี

2.       มองเห็นรังสีอินฟราเรด

3.       มีขอบเขตการมองเห็นที่แคบกว่านี้

4.       อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้

ตอบ  2  :  จากประโยคที่ 10 – 11

90 .   The author states that humans are ______.

1.       Superior to other animals

2.       Inferior to other animals

3.       At the top of the food chain

4.       No correct answer.

ถาม        ผู้เขียนกล่าวว่า มนุษย์ _______

1.       เหนือกว่าสัตว์อื่น ๆ

2.       ต่ำกว่าสัตว์อื่น ๆ

3.       สูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

4.       ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง

ตอบ  4  :  ผู้เขียนกล่าวว่ามนุษย์มีความสามารถในการมองเห็นมากกว่าสัตว์บางชนิดแต่ด้อยกว่าสัตว์บางชนิด

Passage 5

                1Louis Armstrong is an example of a person who moved from rags to riches. 2His family was poor and lived in the slums of New Orleans. 3He was an orphan at age ten, yet he learned to play the trumpet in an orphanage and became one of the greatest entertainers in the world. 4He sang and played the trumpet in motion pictures, radio, television, and night clubs. 5He was asked to play for audiences in Europe, Asia, and Africa. 6He became successful by giving people pleasure though music.

                1หลุยส์ อาร์มสตรอง เป็นตัวอย่างบุคคลที่พลิกผันตัวเองจากคนที่ไม่มีอะไรเลยมาเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย 2ครอบครัวของเขายากจนและอาศัยอยู่ในสลัมของเมืองนิวโอลีนส์ 3เขาเป็นเด็กกำพร้าเมื่ออายุครบ 10 ขวบ อย่างไรก็ตามเขาได้เรียนการเล่นทรัมเป็ตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก  4เขาร้องเพลงและเล่นทรัมเป็ตในภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ และในไนต์คลับ 5เขาได้รับเชิญให้ไปแสดงต่อหน้าผู้ชมในยุโรป เอเชีย และแอฟริกา 6เขาประสบความสำเร็จจาการให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้คนผ่านทางดนตรี

91 .   This passage is ______.

1.       Descriptive

2.       Narrative

3.       Affirmative

4.       Persuasive

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็น _____

1.       แบบพรรณนาโวหาร

2.       แบบบรรยายโวหาร

3.       เชิงยืนยัน

4.       เชิงชักจูง

ตอบ  2  :  การบรรยายโวหาร (Narrative) เป็นการบรรยายหรือเล่าเรื่องราว การกระทำหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกสนใจ เกิดความเพลิดเพลินหรือมีส่วนร่วมในประสบการณ์ที่เล่าและทำให้ผู้อ่านได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร

92 .  This passage is about ______.

1.       Being successful

2.       Being an orphan

3.       Louis Armstrong

4.       How to be rich

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ _______

1.       การประสบความสำเร็จ

2.       การเป็นเด็กกำพร้า

3.       หลุยส์ อาร์มสตรอง

4.       ทำอย่างไรที่จะรวย

ตอบ  3  : เนื้อเรื่องนี้ได้พูดถึงเกี่ยวกับประวัติของหลุยส์ อาร์มสตรอง ว่าถึงแม้จะยากจนแต่ก็ประสบความสำเร็จในชีวิต

93 .   The main idea of the paragraph is in sentence (s) _______.

1.       1                                 

2. 3                                    

3. 6                                     

4. 4 and 6

ถาม        ใจความสำคัญของเนื้อเรื่องนี้อยู่ในประโยค ______

1.  1                                    

2. 3                                       

3. 6                                       

4. 4 และ 6

ตอบ  1  :  ใจความสำคัญอยู่ในประโยคที่ 1 โดยกล่าวถึงหลุยส์ อาร์มสตรองว่าเป็นบุคคลตัวอย่างที่มาจากคนไม่มีอะไรเป็นคนที่ร่ำรวยได้ ส่วนประโยคอื่น ๆ เป็นเพียงใจความสนับสนุนเท่านั้นว่าทำไมเขาจึงร่ำรวยได้

94 .   The word “rags” in sentence 1 represents _______.

1.       Hunger                     

2. Money                          

3. Failure

4. Poverty

ถาม        คำว่า “rags” ในประโยคที่ 1 หมายถึง ______

1.       ความหิว                       

2. เงิน                                   

3. ความล้มเหลว                 

4. ความยากจน

ตอบ  4 :  “rags” เป็นคำนาม แปลว่า ผ้าขี้ริ้วสิ่งที่มีลักษณะขาดวิ่น ซึ่งในที่นี้หมายถึง ความจน

95 .   The slum is a place where ______ people live.

1.  Poor                             

2.  Rich               

3. Bad                                  

4. Good

ถาม        สลัมเป็นสถานที่ที่คน ______อาศัย

1. จน                                

2. รวย                                   

3. เลว                                   

4. ดี

ตอบ  1  :  สรุปความจากประโยคที่ 2

96 .   Louis Armstrong was _______.

1.       A scientist

2.       A writer

3.       An entertainer

4.       A cartoonist

ถาม        หลุยส์ อาร์มสตรอง เป็น ______

1.       นักวิทยาศาสตร์

2.       นักเขียน

3.       นักแสดงบันเทิง

4.       นักเขียนการ์ตูน

ตอบ  3  :  ดังคำกล่าวในประโยคที่ 3

97 .   What kind of musical instrument did Louis play ?

1.  Brass                            

2. Percussion                      

3. Strings                             

4. Woodwind

ถาม    เครื่องดนตรีประเภทมดที่หลุยส์ เล่น

1. เครื่องเล่นทองเหลือง

2. เครื่องตี                            

3. เครื่องสาย                       

4. เครื่องเป่า

ตอบ  1  :  ทรัมเป็ต เป็นเครื่องดนตรีประเภททองเหลือง ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับทรอมโบน และทูบา

98 .   When Louis Armstrong was ten, _______.

1.       His parents died

2.       He traveled to Europe

3.       He became successful

4.       His parents put him in an orphanage

ถาม        เมื่อหลุยส์ อาร์มสตรองอายุ 10 ขวบ ______

1.       พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต

2.       เขาเดินทางไปยุโรป

3.       เขาได้ประสบความสำเร็จ

4.       พ่อแม่ของเขาได้เอาตัวไปไว้ที่สถานเด็กกำพร้า                  

ตอบ  1  :  จากประโยคที่ 3 เขาเป็นเด็กกำพร้า แสดงว่าพ่อแม่ของเขาเสียชีวิต

99 .   Louis Armstrong was poor, _______.

1.       So he went into an orphanage

2.       But he could achieve Success in life

3.       So he played the trumpet to earn a living

4.       But he lived in the slums of New Orlean

ถาม        หลุยส์ อาร์มสตรองยากจน ______

1.       ดังนั้นเขาจึงเข้าไปอยู่สถานเด็กกำพร้า

2.       อย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิต

3.       ดังนั้น เขาจึงเล่นทรัมเป็ตเพื่อเลี้ยงชีพ

4.       อย่างไรก็ตาม เขาก็อาศัยอยู่ในสลัมของเมืองนิวโอลีนส์

ตอบ  2  :  ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

 100 .   Louis Armstrong was _______.

1.       An American

2.       An Asian

3.       A European

4.       An African

ถาม        หลุยส์ อาร์มสตรอง เป็น ______

1.       ชาวอเมริกัน

2.       ชาวเอเชีย

3.       ชาวยุโรป

4.       ชาวแอฟริกัน

ตอบ  1  :  หลุยส์ อาร์มสตรอง อาศัยในสลัมของเมืองนิวโอลีนส์ ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในสหรัฐอเมริกา

ENG2002 การอ่านตีความ ข้อสอบชุด 2 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

แนวข้อสอบชุพิเศษ 2 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554 

ข้อสอบกระบวนวิชา ENG2002 การอ่านตีความ

Part I : Seen Passages

ส่วนที่ 1 : เนื้อเรื่องในตำรา

A :  Directions : Read the following statements. Then blacken 1 for a true statement, and blacken 2 for a false statement. (1 = True / 2 = False)

คำสั่ง  จงอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบาย 1 หากเป็นข้อความที่ถูกต้องและระบาย 2 หากเป็นข้อความที่ผิด (1 = ถูก / 2 = ผิด)

1 .   In skimming, it is not  necessary that you skip over unimportant information.

ถาม        ในการอ่านแบบสกิมมิ่ง คุณไม่จำเป็นต้องอ่านข้ามข้อมูลที่ไม่สำคัญ

ตอบ  2   (ผิด)   การอ่านแบบสกิมมิ่ง (skimming) เป็นการอ่านอย่างรวดเร็วเพื่อหาใจความสำคัญโดยทั่วไปหรือรายละเอียดสำคัญบางอย่างของเนื้อเรื่อง โดยจะอ่านเฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญ ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วอ่านข้ามส่วนที่คิดว่าไม่สำคัญในประโยคนั้น เช่น การสกิมมิ่งหนังสือว่าเนื้อหาในหนังสือนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

2 .   You can skim to get an overview of textbook.

ถาม        คุณสามารถสกิมเนื้อหาคร่าว ๆ ของหนังสือเรียน

ตอบ  1   (ถูก)   ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3 .   You can scan to locate a piece of information.

ถาม        คุณสามารถสแกนเพื่อหาข้อมูลบางอย่าง

ตอบ  1   (ถูก)   การอ่านแบบสแกนนิ่ง (Scanning) เป็นเทคนิคการอ่านเร็วเมื่อต้องการหาข้อมูลบางอย่างที่ต้องการรู้เท่านั้น โดยไม่สนใจใจความอื่น ๆ เลย

 4 .   The word “which” generally refers to a person.

ถาม        คำว่า “which” ปกติแล้วใช้ในการอ้างอิงถึงบุคคล

ตอบ  2  (ผิด)   Relative Pronouns เป็นตัวอ้างอิงชนิดหนึ่งที่ใช้แทนหรือขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้าเพื่อเชื่อมประโยคหลักกับประโยครองในประโยคความซ้อนเข้าด้วยกัน โดยจะวางไว้ข้างหลังติดกับคำนามที่มันขยาย เช่น Which (ใช้อ้างอิงถึงคำนามที่เป็นสัตว์และสิ่งของ), Who (ใช้อ้างอิงถึงคำนามที่เป็นคน), That (ใช้อ้างอิงได้ทั้งคำนามที่เป็นคน สัตว์และสิ่งของ)

5 .   The word “that” can refer to a thing or a person.

ถาม        คำว่า “that” สามารถใช้อ้างอิงได้ทั้งสิ่งของหรือบุคคล

ตอบ  1  (ถูก)   ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6 .   A paragraph contains three essential components : topic, main idea, details.

ถาม        ในหนึ่งย่อหน้าจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ หัวเรื่อง ใจความสำคัญ แลรายละเอียด

ตอบ  1  (ถูก)   อนุเฉท /ย่อหน้า (paragraph) คือ กลุ่มประโยคที่กล่าวถึงหัวเรื่องใดหัวเรื่องหนึ่งซึ่งจะอธิบาย นิยามหรือขยายความคิดหัวข้อเรื่องเดียวกัน โดยในแต่ละย่อหน้าจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ  1. หัวเรื่อง (topic)             2. ใจความสำคัญ (main idea)                3. รายละเอียดที่อธิบายหรือเพิ่มเติมเสริมความของใจความสำคัญ (Supporting Details)

7 .   In one paragraph, there can be two main ideas.

ถาม        ในหนึ่งย่อหน้า สามารถมีใจความสำคัญได้สองใจความ

ตอบ  2  (ผิด)   ใจความสำคัญ (main idea) คือ เนื้อหาหรือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการบอกผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องที่เขียน โดยมีประโยคอื่น ๆ ซึ่งเป็นรายละเอียดมาสนับสนุนหรืออธิบายใจความสำคัญให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยในแต่ละย่อหน้าจะต้องมีเพียงหนึ่งหัวข้อเรื่องและมีใจความสำคัญ

8 .   The main idea support details of a paragraph.

ถาม        ปกติแล้วใจความสำคัญที่ผู้เขียนระบุไว้ชัดเจนจะแสดงไว้ในประโยคที่สมบูรณ์เพียงประโยคเดียว

ตอบ  1  (ถูก)   โดยทั่วไปแล้วใจความสำคัญที่ระบุในย่อหน้า (Stated Main Idea) มักจะปรากฏในประโยคแรกของย่อหน้าเพียงประโยคเดียว

9 .   The main idea supports details of a paragraph.

ถาม        ใจความสำคัญจะสนับสนุนราละเอียดของย่อหน้านั้น

ตอบ  2  (ผิด)   ดูคำอธิบายข้อ 6. และ 7. ประกอบ

10 .   When reading for main idea that is not directly stated, you have to be aware of details of a paragraph.

ถาม        ในการอ่านเพื่อหาใจความสำคัญที่ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน คุณต้องเข้าใจเนื้อหาต่าง ๆ ของย่อหน้าอย่างละเอียด

ตอบ  1  (ถูก)   ในบางย่อหน้าไม่มีใจความสำคัญระบุไว้ แต่รายละเอียดแสดงนัย ๆ ไว้ ผู้อ่านต้องอ่านย่อหน้านั้นอย่างละเอียด แล้วสรุปใจความสำคัญของเรื่องด้วยตนเอง

B : Directions :  Read the following passage and choose the best answer for each question.

คำสั่ง     จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดสำหรับคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

                Children display an amazing ability to become fluent speakers of any language consistently spoken around them. Every normal human child who is not brought up in virtual isolation from language use soon comes to speak one or more languages natively.

                เด็ก ๆ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งในการเป็นผู้พูดภาษาใดก็ได้ ที่พูดกันอยู่เป็นประจำรอบตัวพวกเขาได้อย่างคล่องแคล่ว เด็กปกติทุกคนที่ไม่ได้เลี้ยงดูให้ถูกปิดกั้นจาการใช้ภาษาอย่างสิ้นเชิง ไม่นานพวกเขาก็จะสามารถพูดได้ 1 ภาษาหรือมากกว่านี้เป็นภาษาแม่

11 .   The paragraph is about _______.

1.       A language spoken around children

2.       Children’s ability to speaker a language

3.       Normal children who are brought up in a talkative environment

4.       The influence of language use on children’s ability to speaker a language

ถาม        ย่อหน้านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ______

1.       ภาษาที่พูดกันอยู่รอบตัวเด็ก ๆ

2.       ความสามารถของเด็ก ๆ ในการพูดภาษาใดภาษาหนึ่ง

3.       เด็กปกติที่ถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่มีการพูด

4.       อิทธิพลของการใช้ภาษาที่มีผลต่อความสามารถของเด็ก ๆ ในการพูดภาษาใดภาษาหนึ่ง

ตอบ  2  :  การถามแบบนี้คือ ถามหัวเรื่อง ซึ่งต้องเป็นตัวเลือกครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด และต้องไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป ย่อหน้านี้ผู้เขียนต้องการพูดถึงความสามารถของเด็กในการพูดภาษา

12 .   The word that suggests the writer’s attitude towards what he is talking about is “______”.

1.       Amazing

2.       Fluent

3.       Normal

4.       Consistently

ถาม        คำที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้เขียนที่มีต่อสิ่งที่เขากล่าวถึง คือ “_______”

1.       น่าทึ่ง

2.       คล่องแคล่ว

3.       ปกติ

4.       เป็นประจำไม่เปลี่ยนแปลง

ตอบ  1  :  “ Children display an amazing ability…” ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นว่าความสามารถในการพูดภาษาของเด็กนั้นเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง ส่วนข้ออื่นเป็นข้อเท็จจริง

13 .   According to the paragraph, it is possible that _______.

1.       Some abnormal children cannot speak a language natively

2.       Some normal children can speak  more than one language natively

3.       A normal child who is isolated from language speak a language

4.       All are correct.

ถาม        จากย่อหน้านี้ เป็นไปได้ว่า ______

1. เด็กผิดปกติบางคนไม่สามารถพูดภาษาได้

2. เด็กปกติบางคนสามารถพูดภาษาได้มากกว่า 1 ภาษาเป็นภาษาแม่

3. เด็กปกติที่ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาไม่สามารถพูดภาษาได้

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 2

14 .   The word “who” in the paragraph refers to _______.

1.       Children

2.       Fluent speakers

3.       Every normal human child

4.       Both 1 and 2

ถาม        คำว่า “who” ในย่อหน้านี้อ้างอิงถึง ______

1.       เด็ก ๆ

2.       คนที่พูดอย่างคล่องแคล่ว

3.       เด็กปกติทุกคน

4.       ถูกทั้งข้อ 1. และ 2.

ตอบ  3  :  “who” เป็น Relative Pronoun ซึ่งจะใช้อ้างอิงถึง n. ที่อยู่ข้างหน้าติดกับมัน

15 .   The word “display” in the paragraph is closest in meaning to ______.

1. Have            

2. Show               

3. Learn               

4. Maintain

ถาม        คำว่า “display” ในย่อหน้านี้มีความหมายใกล้เคียงที่สุดกับคำว่า _______

1.  มี                   

2. แสดงให้เห็นถึง            

3. เรียนรู้              

4. รักษาไว้

ตอบ  2  : display = shoe (v.) = แสดงให้เห็นถึง

Passage 2

                The major communications satellite systems include those operated by INTELSAT, whose satellites are used for global point – to – point communications, INMARSAT, which serves a similar role for ships at sea; and finally the various regional and domestic satellite systems being operated in a number of regions or by individual countries.

                ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญ ๆ นั้น ได้แก่ ระบบที่ดำเนินการโดย อินเทลแชท ซึ่งดาวเทียมของระบบนี้จะใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่างจุดหนึ่งกับจุดหนึ่งทั่วโลก ระบบที่ดำเนินการโดย อินมาร์แชทซึ่งให้บริการในบทบาทเดียวกันสำหรับการเดินเรือในท้องทะเล และสุดท้ายคือระบบดาวเทียมภายในประเทศและในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งดำเนินการอยู่ในหลายภูมิภาคหรือโดยประเทศหนึ่ง

16 .   The paragraph is about _______.

1.       The major communications satellite systems

2.       INTELSAT

3.       INMARSAT

4.       Regional and domestic satellite systems

ถาม        ย่อหน้านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ______

1.       ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญ ๆ

2.       ระบบ อินเทลแชท

3.       ระบบ อินมาร์แชท

4.       ระบบดาวเทียมภายในประเทศและในภูมิภาค

ตอบ  1  :  ย่อหน้านี้กล่าวถึง ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญ ๆ ” ว่ามีระบบใดบ้างกี่ระบบ

17 .   How many major communications satellite systems are mentioned in the paragraph ?

1. 2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 5

ถาม        ระบบดาวเทียมสื่อสารที่สำคัญ ๆ ที่กล่าวไว้ในย่อหน้านี้มีกี่ระบบ

1. 2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 5

ตอบ  2  :  มี 3 ระบบ คือ อินเทลแชทอินมาร์แชทและ ระบบดาวเทียมภายในประเทศและภูมิภาค

18 .   The satellite system used among countries in a region is _______.

1.       INTELSAT

2.       INMARSAT

3.       The regional satellite system

4.       Not mentioned in the paragraph

ถาม        ระบบดาวเทียมที่ประเทศต่าง ๆ ใช้สื่อสารภายในภูมิภาคของตนคือ ______

1.       ระบบ อินเทลแชท

2.       ระบบ อินมาร์แชท

3.       ระบบดาวเทียมภายในภูมิภาค

4.       ไม่ได้กล่าวถึงไว้ในย่อหน้านี้

ตอบ  3  :  ส่วนระบบ อินเทลแชทและอินมาร์แชท จะใช้สำหรับการรติดต่อสื่อสารทั่วโลก

19 .  The word “which” in line 2 refers to _______.

1.       INTELSAT

2.       INMARSAT

3.       regional satellite system

4.       The regional who operate the satellite system

ถาม        คำว่า “which” ในบรรทัดที่ 2 อ้างอิงถึง ______

1.       ระบบ อินเทลแชท

2.       ระบบ อินมาร์แชท

3.       ระบบดาวเทียมภายในภูมิภาค

4.       ภูมิภาคที่ใช้ระบบดาวเทียม

ตอบ  2  :  “which” เป็น Relative Pronoun เช่นเดียวกัน โดยทำหน้าที่ขยาย n. ที่อยู่ข้างหน้าติดกับมัน

Passage 3

                Much of the violence in these programmes is what’s called ‘clean’. But it can be argued that ‘clean’ violence has more effect, in that it accustoms children – and adults – to the spectacle of violence, without showing either the suffering, in terms of immediate pain, or the consequences, in terms of bereaved families, or lifelong mutilation, or the spirals of revenge and protracted counter – violence that can follow in reality. Violence may be presented merely as a form of exciting action, engaged in by heroes and villains alike, and frequently – within the programme rewarded. This last point is perhaps particularly serious, since a large number of experiments suggest that it is rewarded or ligitimised violence – often the violence shown on the part of the hero – which is most likely to be taken into a viewer’s repertoire, or most likely in itself to stimulate him to aggression.

                มีความรุนแรงมากมายที่อยู่ในรายการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า คลีน’ แต่ก็สามารถโต้แย้งได้ว่าความรุนแรงแบบ คลีน’ มีผลกระทบมากกว่า เพราะมันจะทำให้เด็ก ๆ รวมทั้งผู้ใหญ่เคยชินกับภาพของความรุนแรง โดยไม่ต้องแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานในแง่ของความเจ็บปวดเฉียบพลัน หรือผลที่เกิดขึ้นตามมาในแง่ของครอบครัวที่สูญเสียไปคนรักไป หรือการทำให้พิกลพิการตลอดชีวิต หรือวังวนแห่งการแก้แค้นและการโต้ตอบกันด้วยความรุนแรงที่ยืดเยื้อ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นตามมาได้ในชีวิตจริง ความรุนแรงอาจจะแค่นำเสนอในรูปของฉากที่ตื่นเต้น ซึ่งมีพระเอกหรือกระทั่งผู้ร้ายร่วมอยู่ด้วย และในเรื่องบ่อยครั้งที่ความรุนแรงนั้นได้รับรางวัลตอบแทน ประเด็นสุดท้ายนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะจากทดลองจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า มันเป็นความรุแรงที่ได้รับรางวัลตอบแทนหรือถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งมักจะเป็นความรุนแรงที่แสดงออกมาในบทบาทของพระเอก ซึ่งเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะถูกนำเข้ามาอยู่ในคลังประสบการณ์ของผู้ชมหรือเป็นไปได้มากที่สุดในตัวของมันเองว่ามันจะกระตุ้นผู้ชมให้มีความก้าวร้าว

21 .   The paragraph discusses _______.

1.       Violence as a form of exciting action

2.       Violence on TV programmes

3.       ‘clean’ Violence as ligitimised violence

4.       The affect of ‘clean’ violence

ถาม        ย่อหน้านี้พูดถึงเรื่อง ________

1.       ความรุนแรงในรูปแบบหนึ่งของฉากที่ตื่นเต้น

2.       ความรุนแรงที่มีอยู่ในรายการทีวี

3.      ความรุนแรงที่เรียกว่า คลีน’ ในฐานะความรุนแรงที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งถูกต้อง

4.       ผลของความรุนแรงที่เรียกว่า คลีน

ตอบ  4  :  ย่อหน้านี้กล่าวเฉพาะความรุนแรงที่เรียกว่า คลีน’ เท่านั้น โดยมุ่งที่ผลกระทบของมัน

22 .   According to the writer, ‘clean’ violence _______.

1.       Showa immediate pain

2.       Is an unnecessary form of violence

3.       Is a solution to the bereaved families

4.       Does not present its real outcome

ถาม        ตามความคิดเห็นของผู้เขียน ความรุนแรงที่เรียกว่า คลีน

1.       แสดงถึงความเจ็บปวดแบบเฉียบพลัน

2.       เป็นรูปแบบของความรุนแรงที่ไม่จำเป็น

3.       เป็นทางออกของปัญหาสำหรับครอบครัวที่สูญเสียคนรักไป

4.       ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงผลที่ตามมาที่แท้จริงของมัน

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 1 และ 2 “without showing…”

23 .   The fact that ______is particularly serious in the writer’s opinion.

1.       The hero’s violent act is rewarded

2.       Violent on TV has more effect on children

3.       Violent in TV programmes is called ‘clean’

4.       Violent may be presented as a form of exciting action

ถาม        ข้อเท็จจริงที่ว่า ______ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในความคิดเห็นของผู้เขียน

1.       บทบาทที่แสดงออกถึงความรุนแรงของพระเอกกลับได้รับรางวัลตอบแทน

2.       ความรุนแรงที่มีอยู่ในทีวีมีผลกระทบต่อเด็ก ๆ มากกว่า

3.       ความรุนแรงที่มีอยู่ในรายการทีวีนี้เรียกว่า คลีน

4.       ความรุนแรงอาจจะเสนอในรูปของฉากที่ตื่นเต้น

ตอบ  1  :  จากประโยคที่ 3 และ 4 “This last point…’ ในประโยคที่ 4 คือ ข้อความในประโยคที่ 3

24 .  The pronoun “him” in line 11 reefers to _______.

1.       An adult

2.       A child

3.       A viewer

4.       A hero on a TV programme

ถาม        คำสรรพนาม “him” ในบรรทัดที่ 11 อ้างอิงถึง ______

1.       ผู้ใหญ่

2.       เด็ก

3.       ผู้ชม

4.       พระเอกในรายการทีวี

ตอบ  3  :  “him” ใช้เป็น pron. แทน “viewer”

25 .   The writer seems to believe that ______.

1.       Violent on TV is influential

2.       Children have become more aggressive

3.       TV producers stimulate viewers to aggression

4.       There should be no violent programme on TV

ถาม        ดูเหมือนผู้เขียนจะเชื่อว่า ______

1.       ความรุนแรงที่ปรากฏอยู่ในทีวีนั้นอิทธิพล

2.       เด็ก ๆ จะมีความก้าวร้าวมากขึ้น

3.       ผู้ผลิตรายการทีวีกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดความก้าวร้าว

4.       ไม่ควรจะมีรายการทีวีที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรง

ตอบ  1  :  จากประโยคที่ 1 และ 2 ส่วนประโยคอื่นก็เป็นการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบที่มาจากอิทธิพลของความรุนแรงที่ปรากฏทางทีวี

Passage 4

                1Chemical pollution is not only caused by chemicals which are deliberately sprayed on land for some specific purposes. 2It is also caused by chemical waste that is carelessly or illegally dumped. 3Certain other substances by chemical in the production of chemicals. 4These substances are often useless, and some of them are extremely dangerous. 5Dioxin, or TCDD, is such a by – product of the chemical industry. 6For some years, there were few laws that governed the dumping of dangerous chemical wastes. 7As a result, they now lie in dumps all over the industrial countries. 8Today the deadly chemicals are in the water and the soil of many communities; governments do not know exactly how many dangerous dump exist. 9In fact, according to environmentalists, people today are continuing to dump dangerous waste illegally in spite of strict new laws against dumping.

                1มลพิษจากสารเคมีไม่เพียงแต่จะมีสาเหตุมาจากสารเคมีที่เจตนาฉีดพ่นลงบนพื้นดินเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งบางประการเท่านั้น 2แต่มันยังมีสาเหตุจากขยะสารเคมีที่ถูกทิ้งอย่างไม่ระมัดระวังหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย 3มีสารเคมีบางชนิดที่เกดขึ้นในระหว่างการผลิตเคมีภัณฑ์ 4สารเหล่านั้นมักไม่มีประโยชน์ และบางชนิดก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง 5สารไดออกซินหรือสารทีซีดีดีคือผลพลอยได้ที่ว่านั้นจากอุตสาหกรรมเคมี 6เป็นเวลาหลายปีแล้วที่แทบจะไม่มีกฎหมายออกมาควบคุมการทิ้งขยะที่เป็นสารเคมีอันตราย7ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันสารไดออกซินจึงมีอยู่ในกองขยะทั่วประเทศอุตสาหกรรม 8ปัจจุบันสารเคมีมรณะเหล่านี้มีอยู่ในน้ำและผืนดินของชุมชนหลายแห่ง ซึ่งรัฐบาลเองก็ไม่รู้ว่ามีกองขยะที่เป็นอันตรายนี้อยู่น้อยแคไหน 9อันที่จริงแล้วตามความคิดของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเห็นว่า ทุกวันนี้ผู้คนทิ้งขยะที่เป็นสารเคมีอันตรายโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีกฎหมายใหม่ ๆ ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการทิ้งขยะก็ตาม

26 .   “It” in sentence 2 refers to _______.

1.       Chemical pollution

2.       Chemical

3.       A specific purpose

4.       Chemical waste

ถาม        “It” ในประโยคที่ 2 อ้างอิงถึง ______

1.       มลพิษจากสารเคมี

2.       เกี่ยวกับสารเคมี

3.       วัตถุประสงค์เฉพาะ

4.       ขยะสารเคมี

ตอบ  1  :  คำเชื่อม “also” เชื่อมประโยคที่ 1 ปับ 2 ดังนั้นสิ่งที่กล่าวถึงในประโยคที่ 2 ต้องเป็นสิ่งเดียวกันกับที่กล่าวไว้ในประโยคแรก

27 .  Most sentence in the paragraph support sentence ________.

1. 1                 

2. 2                    

3. 8                    

4. 9

ถาม         ประโยคส่วนใหญ่ในย่อหน้านี้สนับสนุนประโยคที่ ______

1. 1                    

2. 2                       

3. 8                       

4. 9

ตอบ  2  :  ประโยคแรกเป็นเพียงการเกริ่นนำเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ผู้เขียนต้องการกล่าวถึงนั้นอยู่ในประโยคที่ 2 ส่วนประโยคอื่น ๆ เป็นการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนประโยคที่ 1

28 .   According to the of ‘by – product’ is in sentence ______.

1.       The chemical industry

2.       Useless and dangerous

3.       A chemical by – product

4.       2 and 3 are correct.

ถาม        จากย่อหน้านี้ สารทีซีดีดี _______

1.       เป็นอุตสาหกรรมเคมี

2.       ไม่มีประโยชน์และเป็นอันตราย

3.       เป็นผลพลอยได้ที่เกิดสารเคมี

4.       ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 3 – 5

29 .   The meaning of ‘by – product’ is in sentence _______.

1. 2                    

 2. 3

3. 4                      

4. 5

ถาม        ความหมายของคำว่า ‘by – product’ อยู่ในประโยคที่ _______

1. 2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 5

ตอบ  2  :  ประโยคที่ 3 กล่าวว่า ในการผลิตมีสารเคมีสารบางอย่างเกิดขึ้นมาด้วย” โดยผู้เขียนกล่าวถึงสารที่ว่านี้ในประโยคที่ 5 ว่าเป็นผลพลอยได้ (by – product) ที่เกิดจากอุตสาหกรรมเคมี

30 .   If you dump chemical waste carelessly, it may _______.

1.     Evaporate into the air

2.     Change people’s lifestyle

3.     Leak into water sources

4.     Disappear within a few years

ถาม        ถ้าคุณทิ้งขยะสารเคมีอย่างไม่ระมัดระวัง มันอาจจะ ______

1.ระเหยสู่อากาศ

2.เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน

3.ไหลซึมผ่านเข้าไปในแหล่งงน้ำ

4.หายไปในเพียงไม่กี่ปีนี้

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 6

31 .   ______ there are strict new laws against dumping, people today still dump dangerous chemical waste illegally.

1.       Despite the fact that

2.       Because of

3.        Moreover

4.       As a result of

ถาม        ______ มีการออกกฎหมายใหม่ ๆ ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการทิ้งขยะ แต่ทุกวันนี้ผู้คนก็ยังคงทิ้งขยะที่เป็นสารเคมีอันตรายโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

1.       ทั้ง ๆ ที่ความจริง

2.       เพราะ

3.       ยิ่งไปกว่านั้น

4.       ด้วยเหตุนี้

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 9 แต่คำถามข้อนี้สลับตำแหน่งของประโยค คำเชื่อมที่ใช้จึงต้องสอดคล้องกับข้อความใหม่ด้วย

32 .   The author puts the blame on _____ for the current problem of chemical pollution.

1.       Irresponsible people

2.       Inefficient government

3.       Inefficient law

4.       All are correct.

ถาม        ผู้เขียนกล่าวโทษ _____ เรื่อปัญหามลพิษจากสารเคมีที่เกิดขั้นในปัจจุบัน

1.     คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ

2.       รัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพ

3.       กฎหมายที่ใช้ไม่ได้ผล

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  4  :  ตั้งแต่ประโยคที่ 2 – 7 กล่าวถึง การที่คนทิ้งขยะที่เป็นสารเคมีอย่างไม่ระมัดระวังและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และรัฐบาลเองก็ไม่ได้ตระหนักถึงปัญหานี้มากนัก” และมีการกล่าวสรุปอีกครั้งในประโยคสุดท้ายว่า แม้มีกฎหมายที่เข้มงวดออกมา แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

 Passage 5

                1Today, American colleges and universities are under strong attack from many quarters. 2Teachers, it is charged, are not doing a good job of teaching and students are not doing a good job of learning. 3American businesses and industries suffer from unenterprising, uncreative educated not to think for themselves but to mouth outdated truisms the rest of the word has long discarded. 4College graduates lack both basic skills and general culture. 5Studies are conducted and reports are issued on the status of higher education. 6But any changes that result either are largely cosmetic or make a bad situation worse.

                1ทุกวันนี้ วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในอเมริกา กำลังถูกโจมตีอย่างหนักจาหลายฝ่าย 2มีการกล่าวหาว่าอาจารย์ปฏิบัติหน้าที่ในการสอนได้ไม่ดี และนักศึกษาก็ปฏิบัติหน้าที่ในการเรียนได้ไม่ดี 3ธุรกิจและอุตสาหกรรมของชาวอเมริกันประสบความเสียหายจากผู้บริหารที่ไม่กล้าได้กล้าเสียและขาดความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งไม่ได้ถูกสอนมาให้คิดด้วยตัวเอง แต่ให้ท่องหลักทฤษฎีล้าสมัยที่คนอื่นในโลกเขาโยนทิ้งกันไปนาน แล้ว 4ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยขาดทั้งทักษะพื้นฐานและการฝึกอบรมทั่วไป 5มีการทำการศึกษาวิจัยและมีรายงานตีพิมพ์ออกมากมายเกี่ยวกับสภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา 6แต่ความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่ใช่ผักชีโรยหน้าก็ทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้วยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีก

33 .   Which adjective cannot be applied to the American education ?

1.       Inadequate

2.       Challenging

3.       Outdated

4.      Unsatisfactory

ถาม        คำศัพท์คำใดที่ไม่สามารถใช้ได้กับระบบการศึกษาของอเมริกา ?

1.       ไม่พอเพียง

2.       ท้าทายความสามารถ

3.       ล้าสมัย

4.       ไม่เป็นที่น่าพอใจ

ตอบ  2  :  จากประโยคที่ 1 – 4 หลายฝ่ายไม่พอใจกับระบบการศึกษาของอเมริกา เพรานักศึกษาได้รับความรู้ไม่เพียงพอ เนื่องจากอาจารย์ไม่ตั้งใจสอนและนักศึกษาก็ไม่ตั้งใจเรียนขาดทักษะพื้นฐาน และไม่มีการฝึกอบรมใด ๆ ระบบการเรียนการสอนล้าสมัย และไม่สอนให้นักศึกษาคิดด้วยตัวเอง

34 .   This paragraph is probably in the field of _______.

1.       Education

2.       Business

3.       Cosmetic industry

4.       Business and industry

ถาม        ย่อหน้านี้น่าจะอยู่ในสาขาวิชา ______

1.       การศึกษา

2.       ธุรกิจ

3.       อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง

4.       ธุรกิจและอุตสาหกรรม

ตอบ  1  :  เป็นประเด็นที่ถกกันเรื่อง ระบบการศึกษาของอเมริกา

35 .   To be successful, American businesses and industries need ______.

1.       Creative leaders

2.       College students

3.       Studies and reports

4.       Good teachers

ถาม        เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของอเมริกาต้องการ ______

1.       ผู้นำที่มีความคิดสร้างสรรค์

2.       นักศึกษาในระดับวิทยาลัย

3.       การศึกษาวิจัยและรายงาน

4.       อาจารย์ที่ดี

ตอบ  3  : จากประโยคที่ 3

36 .   In the last sentence, the writer seems to suggest that ______.

1.       The bad situation is being improved

2.       The changes that result are too large

3.       The problem must be tackled seriously

4.      Cosmetic changes make a bad situation worse

ถาม        ในประโยคสุดท้าย ดูเหมือนผู้เขียนจะแนะนำว่า _______

1.       สถานการณ์เลวร้ายกำลังได้รับการแก้ไข

2.       การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นใหญ่หลวงนัก

3.       ต้องมีการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

4.       การเปลี่ยนแปลงแบบผักชีโรยหน้าทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก

ตอบ  3  :  ผู้เขียนกล่าวว่า แม้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา แต่ก็เป็นแบบขอไปที ซึ่งยิ่งทำให้ระบบที่แย่ลงไปอีก จึงควรจะมีการแก้ไขระบบกันอย่างจริงจังสักที

Passage 6

                Koella believes that at least some types of chronic insomnia may be caused by a drop in brain – serotonin levels. The Worcester physiologist is now working on chemical ways to raise the brain’s serotonin levels and produce, in his words, “a truly physiological sleeping pill.” Synthetic sleeping pills, such as barbiturates, bring sleep, but at a price: they depress the central nervous system, reduce heart action and respiration – and they can become habit – forming or even addictive.

                โคเอลลาเชื่อว่าอ่างน้อยที่สุดโรคนอนไม่หลับเรื้อรังบางชนิดอาจจะมีสาเหตุมาจากระดับของสารเซโรโทนินในสมองมีปริมาณลดลง นักสรีรวิทยาแห่งสถาบันวอร์เซลเตอร์ท่านี้ ปัจจุบันกำลังทำการทดลองด้วยวิธีการทางเคมีเพื่อเพิ่มระดับของสารเซโรโทนินในสมองและสร้างสิ่งเขาเรียกว่า ยานอนหลับตามระบบสรีรวิทยาขนานแท้” ส่วนยานอนหลับที่ได้จากการสังเคราะห์ เช่น ยาบาร์บิทูเรต มันทำให้นอนอหลับได้ แต่ก็มีผลข้างเคียง กล่าวคือ มันจะกดระบบประสาทส่วนกลาง ลดทอนการทำงานของหัวใจและระบบหายใจ และมันมันสามารถทำให้เกิดเป็นความชินหรือแม้กระทั่งเกิดการติดยาได้

37 .   According to Koella, a physiological pill is _______.

1.       Insomnia

2.       A barbiturate

3.       A synthetic sleeping pill

4.       serotonin

ถาม        ตามความคิดเห็นของโคเอลลา ยาตามระบบสรีรวิทยา คือ ______

1.       โรคนอนไม่หลับ

2.       ยาบาร์บิทูเรต

3.       ยานอนหลับที่ได้จากการสังเคราะห์

4.       สารเซโรโทนิน

ตอบ  4  :  ประโยคที่ 2

38 .   Serotonin ________.

1.       Is a synthetic sleeping pill

2.       Causes chronic insomnia

3.       Helps raise chemical in the brain

4.       Causes people to sleep

ถาม        สารเซโรโทนิน _______

1.       เป็นยานอนหลับที่ได้จาการสังเคราะห์

2.       เป็นสาเหตุของโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง

3.       ช่วยเพิ่มสารเคมีในสมอง

4.       ทำให้เรานอนหลับ

ตอบ  4  :  ประโยคที่ 1 และ 2

39 .   How many side effects of synthetic sleeping pills are mentioned ?

1.       1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ถาม        ผลข้างเขียงจองยานอนหลับที่ได้จากการสังเคราะห์ที่กล่าวถึงในย่อหน้านี้มีกี่อย่าง ?

1. 1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 3 คือ 1. มีฤทธิ์กดประสาท            2. ลดการทำงานของหัวใจและระบบการหายใจ        

3 . ทำให้ติดยา

40 .   Koella is trying to _______.

1.       Raise the serotonin level in the brain

2.       Drop the serotonin level in the brain

3.       Find a chemical for synthetic sleeping pills

4.       1 and 3 are correct.

ถาม        โคเอลลากำลังพยายามที่จะ _______

1.       เพิ่มระดับเซโรโทนินในสมอง

2.       ลดระดับสารเซโรโทนินในสมอง

3.       หารสารเคมีเพื่อใช้สร้างยานอนหลับแบบสังเคราะห์

4.       ข้อ 1 และ 3 ถูก

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 2 “The Worcester physiologist (นักสรีรวิทยาแห่งสถาบันวอร์เซลเตอร์) ก็คือ Koella ซึ่งกำลังมองหาสารเคมีเพื่อสร้างยานอนหลับตามระบบสรีรวิทยา (physiological sleeping pill) ที่ทำงานโดยการเพิ่มระดับสารเซโรโทนินในสมอง

Part II : Unseen Passages

ส่วนที่ 2 : เนื้อเรื่องนอกตำรา

A : Directions : Read this passage. Then blacken 1 for a true statement, and blacken 2 for a false statement. (1 = True / 2 = False)

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบาย 1 หากข้อความนั้นเป็นจริงหรือระบาย 2 หากข้อความนั้นผิด (1 = จริง / 2 = ผิด)

                1Listening is an art which very few of us are capable of. 2We never actually listen. 3The word has a sound and when we do not listen to the sound, we interpret it, try to translate it into our own particular language or tradition. 4We never listen acutely, without any distortion. 5So, the speaker suggests, respectfully, that you so listen and not interpret what he says. 6When you tell a rather exciting story to a little boy, he listens with a tremendous sense of curiosity and energy. 7He wants to know what is going to happen, and he waits excitedly to the very end. 8But we grown – up people lost all that curiosity, the energy to find out, that energy which is required to see very clearly things as are, without any distortion. 9We never listen to each other. 10You never listen to your wife, do you ? You know her much too well, or she you. 11There is no sense of deep appreciation, friendship, amity, which would make you listen to each other, whether you like it or not. 12But if you do listen so completely, that very act of listening is a great miracle.

                1การฟังเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่พวกเราน้อยคนนักจะมีความสามารถในด้านนี้ 2ราไม่เคยฟังอย่างแท้จริง 3คำพูดล้วนมีเสียง และเมื่อเราไม่ได้ฟังเสียงนั้น เราก็จะตีความคำพูดนั้น แล้วพยายามที่จะแปลความหมายมันออกมาเป็นความหมายหรือความเข้าใจเฉพาะของเราเอง 4เราไม่เคยฟังให้ชัดเจนโดยไม่ผิดเพี้ยนใด ๆ เลย 5ดังนั้นผู้ที่เป็นนักพูดจึงแนะนำอย่างสุภาพว่า ให้คุณตั้งใจฟังให้ดีและอย่าไปตีความสิ่งที่เขาพูด 6เมื่อคุณเล่าเรื่องที่ค่อนข้างตื่นเต้นให้เด็กชายคนหนึ่งฟัง เขาฟังด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้และด้วยพลัง 7เขาต้องการรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และเขาก็เฝ้ารอให้ถึงตอนจบของเรื่องอย่างตื่นเต้น 8แต่สำหรับพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่นั้น ความกระหายใคร่รู้แบบนี้ไม่มีอีแล้ว โดยไม่มีบิดเบือนใด ๆ 9เราไม่เคยฟังกันและกันเลย 10คุณไม่เคยฟังภรรยาของคุณเลยไม่ใช่หรือ ก็คุณรู้จักเธอดีเกินไป หรือไม่เธอก็รู้จักคุณดีเกินไป 11ไม่มีความรู้สึกของการนับถือกันอย่างซึ้งใจ ไม่มีความรู้สึกของมิตรภาพ หรือสัมพันธไมตรี ที่จะทำให้คุณสนใจฟังกันและกันมากขึ้น ไม่ว่าคุณชอบมันหรือไม่ก็ตาม 12แต่ถ้าคุณฟังสิ่งต่าง ๆ อย่างครบถ้วนแล้ว นั่นแหละถึงจะทำให้การฟังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่

41 .   According to the author, distortion is inevitable.

ถาม        ตามความคิดเห็นของผู้เขียน การบิดความหมายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ตอบ  2   (ผิด)  :  ผู้เขียนคิดว่า ผู้ใหญ่มักจะฟังกันไม่ค่อยเป็นเพราะชอบบิดเบือนความหมายซึ่งเกิดจากการชอบตีความเข้าข้างตัวเอง โดยการบิดเบือนจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเราตั้งใจฟังอย่างแท้จริงเหมือนการฟังของเด็ก

42 .   Interpreting what you listen to is a kind of distortion in the author’s opinion.

ถาม        กี่ตีความหมายในสิ่งที่คุณฟังเป็นการบิดเบือนความหมายอย่างหนึ่งในความคิดเห็นของผู้เขียน

ตอบ  1  (ถูก)  :  ดูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43 .   The author encourages us to interpret every time we listen.

ถาม        ผู้เขียนแนะนำให้เราตีความหมายทุกครั้งที่เราฟัง

ตอบ  2  (ผิด)  :  ตามเนื้อเรื่อง ผู้เขียนแนะนำให้เราตั้งใจฟังในสิ่งที่คู่สนทนาพูด แต่อย่าไปตีความในสิ่งที่เขาพูด

44 .   The older you become, the more curious you are.

ถาม        จากเนื้อเรื่องนี้ เด็กจะทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีกว่าผู้ใหญ่

ตอบ  1  (ถูก)  :  ผู้เขียนกล่าวว่า เด็กจะตั้งใจฟัง เพราะเด็กมีความกระหายใคร่รู้ แต่ผู้ใหญ่ไมมีความรู้สึกเช่นนี้อีกแล้ว และมักจะคิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว จึงไม่ตั้งใจฟังคู่สนทนา

45 .   The older you become, the more curious you are.

ถาม        ยิ่งคุณมีอายุมากขึ้นเท่าไร คุณก็จะมีความกระหายใคร่รู้มากขึ้นเท่านั้น

ตอบ  2  (ผิด)  :  ตามเนื้อเรื่อง เด็กจะมีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องต่าง ๆ มากกว่าผู้ใหญ่

46 .   Because we think we know each other well, do not listen attentively.

ถาม        เพราะเราคิดว่าเรารู้จักกันและกันเป็นอย่างดี เราจึงไม่ได้ตั้งใจฟังอีกฝ่ายหนึ่ง

ตอบ  1  (ถูก)  :  ประโยคที่ 10

47 .   In this paragraph, “it” refers to the capacity to listen attentively.

ถาม        ในย่อหน้านี้ “it” อ้างอิงถึงความสามารถในการฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

ตอบ  2  (ผิด)  :  “it” ในประโยคที่ 3 นี้ อ้างอิงถึง “the word”

48 .   The last sentence of the paragraph is a conclusion.

ถาม        ประโยคสุดท้ายของย่อหน้านี้เป็นการกล่าวสรุป

ตอบ  1  (ถูก)  :   เป็นการกล่าวสรุปว่าการฟังที่ดีนั้นเราต้องการฟังอย่างตั้งใจและให้ครบถ้วนถูกต้องชัดเจน

49 .   It is most likely that the author of the paragraph is an artist.

ถาม        น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดว่าผู้เขียนย่อหน้านี้เป็นศิลปิน

ตอบ  2  (ผิด)  :  ผู้เขียนย่อหน้านี้น่าจะเป็นนักสื่อสาร

50 .   The tone of the writing is rather aggressive.

ถาม        น้ำเสียงของงานเขียนชิ้นนี้ค่อนข้างจะรุนแรง

ตอบ  1  (ถูก)  :  ผู้เขียนวิจารณ์พฤติกรรมการฟังของผู้ใหญ่ ซึ่งใช้คำที่แสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรง

B : Directions : Read the following passages and choose the best answer for each question.

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

1 .   If western construction companies tried to use bamboo scaffolding instead of steel, their workers would probably go on strike. Climbing to the top of a high – rise building on weds of bamboo tied together by hand seems a dangerous thing to attempt.

2 .   Yet, as anyone who lives in Hong Kong knows, bamboo scaffolding works very well, as it has for the last seven thousand years. Buildings may change and get taller, but old methods – say the Chinese – remain the best. To illustrate this, they tell the table of the typhoon which struck Hong Kong in 1964. There were two buildings side by side, one surrounded by steel scaffolding, the other by bamboo. During the height of the typhoon, the steel scaffolding was ripped off while the bamboo remained. The ability to bend with the wind is as useful for scaffolding as for a Chinese politician.

3 .   The bamboo used locally for scaffolding comes from the plants of the bambusa, a type of giant grass, which grows to a towering one hundred and twenty feet. The support columns for the scaffolding are usually forty feet long, with a base diameter of eight inches.

4 .   Constructing bamboo scaffolding requires a high degree of skill and the experts are very well paid for what they do. Women, having the lightness of touch necessary, are usually regarded as more skilled than men at this kind of work.

1 .   หากบริษัทรับเหมาก่อสร้างในประเทศแถบตะวันตกพยายามที่จะใช้นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่แทนนั่งร้านที่ทำจากเหล็ก คนงานของพวกเขาอาจจะทำการประท้วงได้ เพราะการปีนป่ายขึ้นไปยังยอดตึกสูงบนโครงไม้ไผ่ที่ผูกติดกันด้วยมือนั้น ดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตราย

2 .   แต่กระทำนั้นก็ตาม อย่างที่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในฮ่องกงรู้กัน การที่ใช้นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่นั้นใช้งานได้ดีมากเพราะใช้กันมานานถึง 7,000 ปีแล้ว แม้ว่าตัวอาคารอาจจะเปลี่ยนแปลงไปหรือมีความสูงมากขึ้น แต่วิธีการแบบเก่า ๆ ของชาวจีนก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อทีจะอธิบายให้เห็นภาพของคำกล่าวนี้ พวกเขาเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ครั้งเมื่อพายุไต้ฝุ่นสร้างความเสียหายในฮ่องกงเมื่อปี ค.ศ. 1964 ว่ามีตึก 2หลังอยู่ติดกัน ตึกหลังหนึ่งล้อมรอบไปด้วยนั่งร้านที่ทำจากเหล็ก แต่อีกหลังหนึ่งเป็นนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ ในช่วงที่พายุไต้ฝุ่นพัดกระหน่ำนั้นนั่งร้านที่ทำจากเหล็กพังลงมายับเยิน ในขณะที่นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่คงสภาพเดิมอยู่ ความสามารถในการลู่ไปตามแรงลมถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของนั่งร้านพอ ๆ กับนักการเมืองจีน

3 .   ไม้ไผ่ที่นำมาใช้ทำนั่งร้านใช้กันภายในประเทศนั้นมาจากพืชตระกูล Bambusa ซึ่งเป็นต้นหญ้ายักษ์ชนิดหนึ่งที่มีความสูงของลำต้นถึง120 ฟุต ส่วนลำไม้ไผ่ที่ใช้เป็นโครงของนั่งร้านนั้นปกติแล้วจะมีความยาว 40 ฟุตซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ฐานขนาด 8 นิ้ว

4 .   งานประกอบนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่นี้ต้องอาศัยทักษะความชำนาญอย่างมาก และผู้ที่มีความชำนาญในงานนี้ก็จะได้รับค่าตอบแทนอย่างาม และสำหรับผู้หญิงซึ่งมีความนุ่มนวลในการใช้มือประกอบนั่งร้านนั้นเป็นสิ่งจำเป็น มักจะถือว่ามีทักษะความชำนาญในการทำงานด้านนี้มากกว่าผู้ชาย

51 .   The topic of this passage is ________.

1.     Western construction companies

2.     Steel scaffolding

3.     Bamboo scaffolding

4.     High – rise building

ถาม        หัวเรื่องของย่อหน้านี้คือ ________

1.       บริษัทรับเหมาก่อสร้างในประเทศแถบตะวันตก

2.       นั่งร้านที่ทำจากเหล็ก

3.       นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

4.       อาคารสูง

ตอบ  3   :  ในทุกย่อหน้าล้วนแต่พูดถึงนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

 52 .   Western workers _______ steel scaffolding to bamboo scaffolding.

1.       Climb on

2.       Prefer

3.       Go on strike

4.       Try to use

ถาม        คนงานในประเทศตะวันตก ______ นั่งร้านที่ทำจากเหล็กมากว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

1.       ปีนป่ายขึ้นไป

2.       ชอบ

3.       ประท้วง

4.       พยายามที่จะใช้

ตอบ  2  :  คนงานเหล่านี้ชอบนั่งร้านที่ทำจาเหล็กมากกว่า เพราคิดว่าปลอดภัยกว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

53 .    How is bamboo scaffolding tied together ?

1.       By hand                       

2. By steel           

3. By bamboo    

4. By climbing

ถาม        การผูกนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่นั้นทำได้อย่างไร ?

1.       ด้วยมือ                         

2. ด้วยเหล็ก        

3. ด้วยไม้ไผ่        

4. ด้วยการปีนป่ายขึ้นไป

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 2 ย่อหน้าที่ 1

54 .   In paragraph 2, bamboo scaffolding is better than steel scaffolding in a place like Hong Kong because _______.

1.       It has been used here for a long time

2.       It is favoured by Chinese politicians

3.       It is better for tall buildings

4.       It is more fixable

ถาม        ในย่อหน้าที่ 2 ในบางแห่ง เช่น ฮ่องกง นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ดีกว่านั่งร้านที่ทำจากนักการเมืองจีนเพราะ _______

1.       ฮ่องกงใช้นั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่กันมานานแล้ว

2.       ได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองจีน

3.       มันใช้กับตึกสูง ๆ ได้ดีกว่า

4.       มันมีความยืดหยุ่นมากกว่า

ตอบ  4  :  ย่อหน้าที่ 2 กล่าวว่า คุณสมบัติที่พิเศษของนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่คือความสามารถในการลู่ไปตามแรงลม ทำให้ไม้พังลงมาง่าย ๆ โดยการเปรียบเทียบกับนักการเมืองของจีนว่ามีความยืดหยุ่น

55 .   The tale of the typhoon in 1964 is mentioned to prove that bamboo scaffolding can ____ attack off by

1.       Be ripped off by

2.       Work with

3.       Withstand

4.       Protect

ถาม        มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งเกิดพายุไต้ฝุ่น เมื่อปี ค.ศ. 1964 เพื่อต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ สามารถ _____ การทำลายจากธรรมชาติได้

1.       ถูกทำลายถูกทำลายให้เสียหาย

2.       ทำงานกับ

3.       ต้านทาน

4.       ป้องกัน

ตอบ  3  :  “withstand” มีความหมายว่า ทนทานต่อการล้มหรือถล่มลงมา” ส่วน “protect” มีความหมายว่า ป้องกันให้พ้นจากอันตราย

56 .   What do Chinese politicians and bamboo scaffolding have in common ?

1.       Usefulness

2.       High – headedness

3.       Tolerance

4.       Flexibility

ถาม        นักการเมืองกับนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่มีอะไรที่เหมือนกัน ?

1.       การไม่มีประโยชน์

2.       ความหัวสูง

3.       ความอดทน

4.       ความยืดหยุ่น

ตอบ  4   :  ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

57 .   The main purpose of paragraph 3 is to _______.

1.       Define bambuse and its suitability

2.       Describe a local plant

3.       Explain the of bamboo

4.       state that bamboo is a type of big grass

ถาม        วัตถุประสงค์ของย่อหน้าที่ 3 คือ เพื่อจะ ________

1.       ให้คำจำกัดความของไม้ไผ่ป่าและความเหมาะสมในการใช้งานของมัน

2.       อธิบายเกี่ยงกับต้นไม้พื้นบ้าน

3.       อธิบายถึงประโยชน์ของไม้ไผ่

4.       ชี้ให้เห็นว่าไม้ไผ่เป็นต้นหญ้ายักษ์ชนิดหนึ่ง

ตอบ  1  :  ย่อหน้านี้กล่าวถึงไม้ไผ่ที่นำมาใช้ในการทำนั่งร้านว่าใช้ไม้ไผ่แบบไหนและไม่ไผ่อย่างๆรที่เหมาะสมสำหรับการนำมาทำนั่งร้าน

58 .   Constructing bamboo scaffolding ________.

1.       Is highly paid work

2.       Is highly skilled work

3.       Requires a light touch

4.       Can be done by skilled men and women

ถาม        การประกอบนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ _______

1.       เป็นงานที่ได้เงินดี

2.       เป็นงานที่มีทักษะความชำนาญอย่างมาก

3.       จำเป็นต้องมีการสัมผัสที่เบามือ

4.       ทั้งชายและหญิงที่มีทักษะความชำนาญต่างก็สามารถทำงานนี้ได้

ตอบ  4  :  ย่อหน้าสุดท้าย

59 .   In constructing bamboo scaffolding, what is one advantage of women over men ?

1.       Their flexibility

2.       Their manual skill

3.       Their building expertise

4.       Their weight

ถาม        ในงานประกอบนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ อะไรคือข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของผู้หญิงที่ดีกว่าผู้ชาย

1.       ความยืดหยุ่นของพวกเธอ

2.       ทักษะความชำนาญในการใช้มือของพวกเธอ

3.       ความรู้ความชำนาญในงานกล่องสร้างของพวกเธอ

4.       น้ำหนักตัวของพวกเธอ

ตอบ  2  :  ประโยคสุดท้ายของย่อหน้าสุดท้าย เพราะผู้หญิงจับสิ่งของเบามือกว่าผู้ชาย

60 .   It can be concluded that the writer wants to ________.

1.       Describe bamboo scaffolding

2.       Explain the uses of steel and bamboo scaffolding

3.       Argue that bamboo scaffolding has some advantages over steel

4.       Argue that steel scaffolding has some advantages over bamboo

ถาม        สามารถสรุปได้ว่าผู้เขียนต้องการที่จะ _______

1.       อธิบายเกี่ยวกับนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

2.       อธิบายถึงประโยชน์ของนั่งร้านที่ทำจากเหล็กและที่ทำจากไม้ไผ่

3.       อ้างเหตุผลว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่มีข้อดีบางอย่างมากกว่านั่งร้านที่ทำจากเหล็ก

4.       อ้างเหตุผลว่านั่งร้านที่ทำจากเหล็กมีข้อดีบางอย่างมากกว่านั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่

ตอบ  3  :  ผู้เขียนต้องการชี้แจงข้อดีของนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ โดยการเปรียบเทียบกับร้านที่ทำจากเหล็ก

Passage 2

1 .   1Medical science is making remarkable discoveries about the relationship between your state of mind and your mental and physical health. 2Researchers have found that one function of the brain is to produce substances that can improve your health. 3Your brain can create endorphins, which natural painkillers; gamma globulin for fortifying your immune system; and interferon for combating infections, viruses, and even cancer. 4Yourbrain can combine these and other substances into a vest number of tailor – made  prescriptions for whatever ails you.

2 .   1The substances that your brain produces depend in part on your thoughts, feelings, and expectations. 2If your attitude about an illness (or life in general) is negative and you don’t have expectations  that your condition will get better. Your brain may not produce enough of the substances your body needs to heal. 3On the other hand, if your attitude and expectations are more positive, your body’s healing power.

3 .   1Your physical health also has an impact on your brain’s ability to produce substances that affect your mental well – being. 2An illness or injury that causes long – term physical stress can lead to chemical imbalances in the brain. 3These imbalances may lead to depression and other mental health problems.

1 .   1วิทยาศาสตร์การแพทย์ทำให้เกิดการค้นพบออย่างน่าอัศจรรย์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างภาวะความรู้สึกนึกคิดกับสุขภาพจิตและสุขภาพกายของคุณ 2นักวิจัยค้นพบว่าหน้าที่อย่างหนึ่งของสมองคือ ทำการผลิตสารที่สามารถช่วยให้คุณสุขภาพดีขึ้น 3สมองของคุณสามารถผลิตสารเอ็นโดฟินซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ช่วยลดอาการเจ็บปวดต่าง ๆ สารแกมมาโกลบิวลินซึ่งช่วยในการสร้างเกราะป้องกันให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันของคุณ และสารอินเตอร์เฟียรอนซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อโรค เชื้อไวรัส และแม้แต่โรคมะเร็ง 4สมองของคุณสามารถผสมสารเหล่านี้และสารอื่น ๆ รวมกันเป็นเหมือนยาที่สั่งปรุงโดยเฉพาะจำนวนมากเพื่อรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยใด ๆ ก็ตามที่ทำร้ายคุณ

2 .   1สารที่สมองคุณผลิตมานั้นบางส่วนขึ้นอยู่กับความคิด ความรู้สึก และความคาดหวังของคุณ 2หากทัศนคติของคุณเกี่ยวกับความเจ็บไข้ได้ป่วย (หรือเกี่ยวกับการใช้ชีวิตโดยทั่ว ๆ ไป) เป็นในแง่ลบ และคุณไม่มีความคาดหวังว่าอาการของคุณจะดีขึ้น สมองของคุณก็อาจจะผลิตสารที่ร่างกายของคุณต้องการใช้ในการรักษาเยียวยาอาการของคุณได้ไม่เพียงพอ 3และในทางตรงกันข้าม ถ้าทัศนคติและความคาดหวังของคุณไปในแง่บวก มีแนวโน้มว่าสมองของคุณจะผลิตสารเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ร่างกายของคุณเกิดพลังในการรักษาเยียวยาขึ้นมา

3 .   1นอกจากนี้สุขภาพร่างกายของคุณก็ยังส่งผลต่อความสามารถของสมองในการผลิตสารที่จะมีผลต่อการมีสุขภาพจิตที่ดีของคุณอีกด้วย 2ความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือบาดเจ็บที่สาเหตุให้เกิดความเครียดทางกายในระยะยาวสามารถก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางเคมีในสมองได้3และความไม่สมดุลเหล่านี้ก็อาจจะนำไปสู่การเกิดความหดหู่และปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ตามมา

61 .   What is the passage about ?

1.     The relationship between positive attitudes and health

2.     The relationship between a healthy body and healthy mind

3.     The relationship between body healthy and the brain’s capacity

4.     The connection between the substances the brain produces and health

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ?

1.       ความรู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างทันคติในแง่บวกและสุขภาพ

2.       ความเกี่ยวข้องกันระหว่างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและการมีสุขภาพจิตที่ดี

3.       ความเกี่ยวข้องกันระหว่างสุขภาพกับความสามารถของสมอง

4.       ความเกี่ยวข้องกันระหว่างสารที่สมองผลิตกับสุขภาพ

ตอบ  4  :  ผู้เขียนกล่าวถึงความสัมพันธ์กันระหว่างสารในสมองกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตในแง่ที่ว่าสารในสมองมีความสำคัญต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างไร นั่นคือ สุขภาพจิตใจดี (เกิดสารในสมอง)        ทำให้สุขภาพกายดี (เกิดสารในสมอง)      ทำให้สุขภาพจิตดี

62 .   The brain does not produce _______.

1.       Immune cells

2.       Gamma globulin

3.       Endorphins

4.       Interferon

ถาม        สมองไม่ได้ผลิต ________

1.       เซลล์ที่เป็นภูมิคุ้มกันโรค

2.       สาแกมมาโกลบิวลิน

3.       สารเอ็นโดฟิน

4.       สารอินเตอร์เฟียรอน

ตอบ  4  :  จากปรระโยคที่ 3 สมองผลิตสารเอ็นโดฟิน แมมาโกลบิวลิน และอินเตอร์เฟียรอน

63 .   The number of useful substances the brain produces varies according to your _______.

1.       Physical health

2.       Mental health

3.       Immune system

4.       both 1 and 2

ถาม        จำนวนของสารที่เป็นประโยชน์สมองผลิตขึ้นมานั้นจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ______ ของคุณ

1.       สุขภาพกาย

2.       สุขภาพจิต

3.       ระบบภูมิคุ้มกันโรค

4.       ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ  4  :  สารที่สมองผลิตขึ้นเพื่อช่วยให้เรามรสุขภาพที่ดีขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสุขภาพจิตของเรา (ดังกล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 2) และสุขภาพกายของเรา (ดังกล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 3)

64 .   The main idea of paragraph 2 is in sentence(s) _______.

1. 1                 

2. 2                    

3. 3                     

4. 2 and 3

ถาม        ใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 2 อยู่ในประโยคที่ _______

1. 1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 2 and 3

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 2 และ 3 เป็นรายละเอียดสนับสนุน

65 .   The word “ails” in the first paragraph is similar in meaning to ______.

1.  Boosts          

2. Steals               

3. Affects                            

4. Expects

ถาม        คำว่า “ails” ในย่อหน้าแรกมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า _______

1. กระตุ้น        

2. ซ่อนขโมย                     

3. เป็นผลร้ายทำร้าย        

4. คาดหวัง

ตอบ  3  :  “ails” ในที่นี้เป็นสกรรมกิริยา (vt.) แปลว่า ทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “affects”

66 .   The word which links paragraph 3 with paragraph 2 is ______.

1. Your          

2. Also                              

3. Produce                       

4. None

ถาม        คำเชื่อมระหว่างย่อหน้าที่ 3 กับย่อหน้าที่ 2 คือ ______

1. ของคุณ                        

2. นอกจากนี้                       

3. ผลิต                  

4. ไม่มี

ตอบ  2  :  “also” เป็นคำเชื่อมที่ใช้ในการเพิ่มเติมเสริมความของข้อความข้างต้น

67 .   The main idea of paragraph 3 is in sentence(s) _______.

1. 1                    

2. 2                       

3. 3                        

4. 2 และ 3

ถาม        ใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 3 อยู่ในประโยคที่ _______

1.  1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 2 และ 3

ตอบ  1  :  ประโยคอื่น ๆ เป็นการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนข้อความในประโยคแรก

68 .   According to the first paragraph, interferon _______.

1.       Is a netural substance

2.       Functions as an antibody

3.       Is one of the substances that improve health

4.       All are correct.

ถาม        จากย่อหน้าแรก สารอินเตอร์เฟียรอน ________

1.       เป็นสารธรรมชาติที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา

2.       ทำหน้าที่เหมือนแอนตี้บอดี้

3.       เป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้สุขภาพคุณดีขึ้น

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  4  :  ประโยคที่ 2 และ 3 ย่อหน้าที่ 1 “อินเตอร์เฟียรอน” เป็นสารที่สมองผลิตขึ้นมาเพื่อต้านทานเชื้อโรคในร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่เหมือนสารแอนตี้บอดี้ และทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีขึ้น

69 .   Which is correct according to paragraph 3 ?

1.       Poor body health        poor mental health       insufficient substances

2.       Insufficient substances        poor body health       poor mental health

3.       Poor body health        insufficient substances       poor mental health

4.       Poor emotional health      poor body health        insufficient substances

ถาม        ข้อใดถูกต้องตามย่อหน้าที่ 3 ?

1.       สุขภาพกายไม่        สุขภาพจิตแย่        สารไม่เพียงพอ

2.       สารไม่เพียงพอ       สุขภาพกายไม่ดี       สุขภาพจิตแย่

3.       สุขภาพกายไม่ดี       สารไม่พอเพียง      สุขภาพจิตแย่

4.       สุขภาพทางอารมณ์ความรู้สึกแย่      สุขภาพกายไม่ดี      สารไม่เพียงพอ

ตอบ  3  :  ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

 70 .   What is the main idea of the passage ?

1.       The brain produces different kinds of substances.

2.       Scientists have discovered substances that can heal your feelings.

3.       The substances the brain produces are important for your body and mental health.

4.       You should have positive thinking so that you will have good emotional health.

ถาม        ใจความสำคัญของเนื้อเรื่องนี้คืออะไร ?

1.       สมองผลิตสารออกมาต่างชนิดกัน

2.       นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสารที่สามารถช่วยเยียวยารักษาความรู้สึกของคุณได้

3.       สารที่สมองผลิตความสำคัญต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณ

4.       คุณควรจะคิดบวกเพื่อว่าคุณจะได้มีสุขภาพด้านอารมณ์ที่ดี

ตอบ  3   :  ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

Passage 3

1 .   Euclid Lewis dead. On June 17, the 55 – year – old Milwaukee civic activist was killed by two of the 17 bullets first from a semi – automatic handgun. But that’s not why he died.

2 .  Lewis was an innocent bystander. In street slang, he was a “mushroom,” someone who “popped up” in the line of fire. Standing with friends in front of their home when a gun still outside when two slugs hit his chest.

3 .   Milwaukee Police Lt. William Vogl called Lewis’ death from stray bullets “an all – too – familiar stray,” which it has indeed become. So far this year, three of the 58 murder victims in Milwaukee have been innocent bystanders. Three – year – old Christopher Gray Jr. almost became the fourth fatality in May while playing under the watchful eyes of his grandmother, who was sitting on her front porch. Two men suddenly started shooting at each other, and hit Christopher three times in the crossfire.

1 .   ยูคลิด เลวิส เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน นักต่อสู้เพื่ออิทธิพลเมืองชาวมิลวอกี วัย 55 ปี ถูกฆ่าด้วยลูกกระสุน 2 ใน 17 นัด ที่ยิงจากปืนพกแบบกึ่งอัตโนมัติ ปืนกระบอกนั้นได้ยุติบทบาทการต่อสู้อันยาวนานของเขาในการที่จะขจัด แหล่งมั่วสุมค้ายา” ให้หมดไปจากชุมชนของเขา

2 .   เลวิส เป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ในภาษาสแลง เขาเป็น ดอกเห็ด” คือ ใครคนหนึ่งที่ ผุดขึ้นมา” บนเส้นทางของไฟ ในขณะที่ยืนอยู่หน้าบ้านกับเพื่อน ๆ ของเขา เมื่อเกิดการยิงต่อสู้กับบนถนน เลวิสผลักทุกคนเขาไปในบ้าน แต่เขากลับเป็นคนสุดท้ายที่ยังคงยืนอยู่นอกบ้าน เมื่อลูกกระสุน 2 นัดยิงเข้ามาที่หน้าอกของเขา

3 .   ร้อยตำรวจโทวิลเลียม โวกล์ นายตำรวจเมืองมิลวอกี เรียกการตายของเลวิสจากกระสุนที่พลาดไปยิงเขาว่า เหตการณ์ที่เกิดขึ้นจนชิ้น” ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพียงแค่ปีนี้เท่านั้น เหยื่อที่ถูกฆาตกรรมในเมืองมิลวอกีจำนวน 58 คน มี 3 คนที่เป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เมื่อเดือนพฤษภาคม คริสโตเฟอร์ เกร จูเนียร์ วัย 3 ขวบ ก็เกือบจะเสียชีวิตเป็นรายที่ 4 ในขณะที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ภายใต้การดูแลของคุณยายที่นั่งอยู่ที่ระเบียบหน้าบ้านของท่าน ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่ม 2 คน กระหน่ำยิงต่อสู้กัน และต่างฝ่ายยิงถูกคริสโตเฟอร์ถึง 3 นัด

71 .   What is the passage about ?

1.     Euclid Lewis

2.     Bystander shootings

3.     A social problem

4.     Milwaukee

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ?

1.       ยูคคลิด เลวิส

2.       การยิงถูกชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่

3.       ปัญหาสังคม

4.       มิลวอกี

ตอบ  2  :  เนื้อเรื่องนี้ต้องการพูดถึงเหตุการณ์การยิงโดนชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในเมืองมิลวอกี ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา โดยยกตัวอย่างรายของยูคลิด เลวิส เป็นสำคัญ

72 .   Who was Lewis ?

1.       A civic activist

2.       A policeman

3.       An author

4.       Not mentioned in the passage

ถาม        เลวิสคือใคร ?

1.       นักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง

2.       ตำรวจ

3.       นักเขียน

4.       ไม่ได้กล่าวไว้ในเนื้อเรื่องนี้

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 2 ของย่อหน้าที่ 1 ผู้เขียนให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลวิส

73 .   The word “that” in paragraph 1 refers to _______.

1.       The 55 – year –old Milwaukee civic activist

2.       The fact that the gun put end to his long battle

3.       Two of the 17 bullets fired from a semi – automatic battle

4.       His long battle to get “drug houses” out of his neighborhood

ถาม        คำว่า “that” ในย่อหน้าที่ 1 อ้างอิงถึง ______

1.       นักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองชาวมิลวอกี วัย 55 ปี

2.       ความจริงที่ว่าปืนกระบอกนั้นทำให้การต่อสู้ของเขาต้องสิ้นสุดลง

3.       กระสุน 2 นัดจากทั้งหมด 17 ชนิด ที่ยิงมาจากปืนพกแบบกึ่งอัตโนมัติ

4.       การต่อสู้อันยาวนานของเขาในการที่จะขจัด แหล่งมั่วสุมค้าขาย” ให้หมดไปจากชุมชนของเขา

ตอบ  4  :  การต่อสู้เรียกร้องของเลวิสไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาตาย แต่เขาตายเพราะกระสุนของคนอื่รที่พลาดไปโดนเขาเข้า

 74 .   According to paragraph 1, ________.

1.       Lewis was famous in Milwaukee

2.       Lewis was a very serious man

3.       People were against Lewis

4.       Lewis was addicted to drugs

ถาม        จากย่อหน้าที่ 1 _______

1.       เลวิส เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองมิลวอกี

2.       เลวิส เป็นคนที่จริงจังมาก

3.       ประชาชนพากันต่อต้านเลวิส

4.       เลวิสติดยาเสพติด

ตอบ  1  :  สาเหตุที่ผู้เขียนยกตัวอย่างรายของยูคลิด เพราะเขาเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองมิลวอกีในฐานะนักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองนั่นเอง

 75 .   Paragraph 2 is about why Lewis _______.

1.       Stayed where he did

2.       Worked his job

3.       Died

4.        was outstanding

ถาม        ย่อหน้าที่ 2 กล่าวถึงสาเหตุที่เลวิส _______

1.       อยู่ในที่ที่เขาอยู่

2.       ทำงานของเขา

3.       ตาย

4.       มีความโดเด่น

ตอบ  3  :  ย่อหน้านี้อธิบายเพิ่มเติมจากย่อหน้าแรกว่า เลวิสตายอย่างไร

76 .   According to paragraph2, the word “mushroom” is ________.

1.       A king of plant

2.       street slang

3.       a group of people

4.       a bullet

ถาม        จากย่อหน้าที่ 2 คำว่า “mushroom” เป็น ______

1.       พืชชนิดหนึ่ง

2.       ภาษาสแลง

3.       คนกลุ่มหนึ่ง

4.       กระสุนปืน

ตอบ  2  :  คำว่า “mushroom” เป็นภาษาสแลง หมายถึง ผู้บริสุทธิ์ที่โดนยิงโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่

77 .   The word “slugs” in paragraph 2 means ________.

1.       Men              

2. Cars                 

3. Policemen                       

4. Bullets

ถาม        คำว่า “slugs” ในย่อหน้าที่ 2 หมายถึง _______

1.  ผู้ชาย            

2. รถยนต์            

3. ตำรวจ                              

4. กระสุนปืน

ตอบ  4  :  ซึ่งสามรารถได้จากวลี “two of the 17 bullets” ในประโยคที่ 2 ย่อหน้าที่ 1

78 .   According to paragraph 3, _______.

1.       Bystander shootings are very familiar in Milwaukee

2.       A three – year –old boy died from bystander shootings

3.       The laws against bystander shootings are very tough

4.       Not to be killed by stray bullets, people avoid staying in the crowd

ถาม        จากย่อหน้าที่ 3 _______

1.       การยิงถูกชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยมากในเมืองมิลวอกี

2.       เด็กชายวัย 3 ขวบคนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากเป็นการนิงพลาดไปโดนชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่

3.       กฎหมายที่ออกมาควบคุมการยิงพลาดไปโดนชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นั้นเข้มงวดมาก

4.       เพื่อที่จะไม่ต้องตายเพราะกระสุนลูกหลง ผู้คนจึงหลีกเลี่ยงการอยู่ในฝูงชน

ตอบ  1  :  โดยนอกจากรายของ ยูคลิด เลวิส แล้ว ผู้เขียนยังยกตัวอย่างรายอื่น ๆ อีก

 79 .   The word “fatality” in paragraph 2 is similar in meaning to ______.

1.       Murder                        

2. Injury                              

3. Death                               

4. Accident

ถาม        คำว่า “fatality” ในย่อหน้าที่ 3 มีความหมายเหมือนกับคำว่า _______

1.       การฆาตกรรม               2. การบาดเจ็บ                      3. การตาย                              4. อุบัติเหตุ

ตอบ  3  :  คำว่า   “fatality” เป็นการตายที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติทั่วไป ส่วน “murder” คือ การทำให้ตายโดยมุ่งร้ายและตั้งใจ

80 .   According to the passage, ______.

1.       It is usual for people to possess guns illegally

2.       In front of the houses is the most dangerous place to stay

3.       The person who killed Lewis was associated with the neighborhood’s drug houses

4.       The residents of Milwaukee are at the risk of being murdered from bystander shootings

ถาม        จากเนื้อเรื่องนี้ _______

1.       เป็นเรื่องปกติที่ประชาชนมีปืนไว้ในครอบครองอย่างผิดกฎหมาย

2.       หน้าบ้านเป็นที่ที่อยู่แล้วอันตรายมาที่สุด

3.       คนที่ฆ่าเลวิสเกี่ยวข้องกับแหล่งมั่วสุมค้ายาเสพติดในชุมชน

4.       ชาวมิลวอกีเสี่ยงต่อการถูกฆ่าจากการยิงปืนพลาดไปโดนชาวบ้านไม่รู้อีโหน่อีเหน่

ตอบ  4  :  ทุกย่อหน้ากล่าวถึงการยิงพลาดไปโดนผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่มีความปลอดภัย โดยกล่าวถึงเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นในเมืองมิลวอกีเท่านั้น

Passage 4

                Six men have been trapped in a mine for seventeen hours. If they are not brought to the surface soon they may lose their lives. However, rescue operations are proving difficult. If explosives are used, vibrations will cause the roof of the mine to collapse. Rescue workers are therefore drilling a hole on north side of the mine. They intend to bring the men up in a special capsule. If there had not been a hard layer of rock beneath the soil, they would have completed the job in a few hours. As it is, they have been drilling for sixteen hours and they still have a long way to go. Meanwhile, a microphone, which was lowered into the mine two hours ago, has enabled the men to keep in touch with the closest relatives. Though they are running out of food and drink, the men are cheerful and confident that they will get out soon. They have been told that rescue operations are progressing smoothly. If they knew how difficult it was to drill though the hard rock, they would lose heart.

                ชายหกคนติดอยู่ในเหมืองมา 17 ชั่วโมงแล้ว หากไม่นำพวกเขาขึ้นมาจากเหมืองโดยเร็ว พวกเขาอาจจะเสียชีวิตได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการในการช่วยชีวิตครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก หากจะทำการระเบิดนั้น แรงสั้นสะเทือนจะทำให้เพดานเหมืองถล่มลงมา ดังนั้นหน่วยกู้ภัยจึงทำการเจาะอุโมงค์เข้าไปด้านเหนือของเหมือง พวกเขาตั้งใจจะนำคนเหล่านี้ขึ้นมาด้วยแคปซูลพิเศษ  ถ้าไม่มีชั้นหินแข็ง ๆ อยู่ใต้ดิน พวกเขาก็คงสามารถเจาะอุโมงค์ได้สำเร็จภายในอีกไม่กี่ชั่วโมง แต่เพราะเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงต้องใช้เวลาในการเจาะอุโมงค์ไปแล้วถึง 16 ชั่วโมง และพวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว ในระหว่างนั้นไมโครโฟน ซึ่งถูกหย่อนลงไปในเหมืองเมื่อ 2ชั่วโมงก่อน ได้ทำให้คนเหล่านี้สามารถติดต่อกับญาติมิตรได้ถึงแม้ว่าพวกเขากำลังขาดอาหารและน้ำ แต่พวกเขาก็ยังคงมีน้ำใจ และมีความมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถออกไปได้ในไม่ช้า มีคนคอยบอกพวกเขาว่าปฏิบัติการกู้ภัยกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น เพราะหากพวกเขารู้ว่าการเจาะอุโมงค์ผ่านเข้าไปในหินที่มีความแข็งมากนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบากเพียงไร พวกเขาอาจจะเสียกำลังใจได้

81 .   For how long have six men been trapped in amine ?

1.       Almost a day

2.       Almost two days

3.       Almost three days

4.       Almost four days

ถาม        ชายทั้งหกคนติดอยู่ในเหมืองนานเท่าไหร่ ?

1.       เกือบ 1 วัน

2.       เกือบ 2 วัน

3.       เกือบ 3 วัน

4.       เกือบ 4 วัน

ตอบ  1  :  จากประโยคแรก “for seventeen hours (เป็นเวลา 17 ชั่วโมง)

82 .   The phrase “lose their lives” in line 2 mean _______.

1.       Be in trouble

2.       Be unconscious

3.       Get sick

4.       Die

ถาม        วลี “lose their lives” ในบรรทัดที่ 2 มีความหมายว่า _______

1.       ประสบปัญหา

2.       หมดสติ

3.       ป่วย

4.       เสียชีวิต

ตอบ  4  :  “lose their lives” เป็นสำนวน แปลว่า เสียชีวิต (die)

83 .   Explosives are not used because ______ the six men in the mine.

1.       There will be a heat which can burn

2.       There will be vibrations which will shake

3.       There will be a  very loud noise which will endanger

4.       The roof of the mine will collapse which will endanger

ถาม        ไม่ได้ใช้วิธีการะเบิด เพราะ _______ ต่อชายทั้ง 6 คนติดที่อยู่ในเหมือง

1.       อาจจะมีความร้อนซึ่งอาจทำให้เกิดการเผาไหม้

2.       อาจจะมีแรงสั้นสะเทือนที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน

3.       อาจจะมีเสียงดังที่ทำให้ตื่นตกใจ

4.       เพดานเหมืองอาจจะถล่มลงมาซึ่งอาจจะเป็นอันตราย

ตอบ  4  :  ประโยคที่ 4

84 .   What are the rescue workers doing to save the six men’s lives ?

1.       Drilling a hole

2.       Using a bomb

3.       Removing the roof of the mine

4.       1 and 2

ถาม        เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยช่วยชีวิตทั้งหกอย่างไร ?

1.       โดยการขุดเจาะอุโมงค์เข้าไป

2.       โดยการใช้ระเบิด

3.       โดยการเอาเพดานเหมืองออก

4.       ข้อ 1 และ 2

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 4 และ 5 กล่าวมี 2 วิธีให้เลือก แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะขุดเจาะอุโมงค์เข้าไปเพราะการระเบิดเหมืองนั้นอาจทำให้เหมืองถล่มลงมาทับชายทั้งหกคนได้

85 .   What makes the rescue worker’s job harder ?

1.       A terrible weather

2.       A crowd

3.       A hard layer of rock

4.       Heavy equipment

ถาม        อะไรที่ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยยากขึ้น ?

1.       สุขภาพอากาศที่เลวร้าย

2.       ฝูงชน

3.       ชั้นขิงหินที่มีความแข็งมาก

4.       อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 7, 8 และ 12

86 .   The phrase “lose heart” in the last line means feeling ______.

1.       Sad               

2. Weak               

3. Hopeless                         

4. Confused

ถาม        วลี “lose heart” ในบรรทัดสุดท้ายหมายถึง ความรู้สึก _______

1. เศร้า              

2. อ่อนแอ            

3. สิ้นหวัง                           

4. สับสน

ตอบ  3  :  “lose heart” มีความหมายว่า สิ้นหวังเสียกำลังใจหมดกำลังใจ

87 .   The clause “it is” in “As it is, …” line 6 refers to _______.

1.       It takes a long time to drill a hole

2.       There is a hard layer of rock beneath the soil

3.       They cannot complete their job in a  few hours

4.       They will bring the men up in a special capsule

ถาม        อนุประโยคที่มีคำว่า “it is” ใน “As it is, …” ในบรรทัดที่ 6 อ้างอิงถึง ______

1.       ใช้เวลานานในการขุดเจาะอุโมงค์เข้าไป

2.       มีชั้นหินที่แข็งมากอยู่ใต้ดิน

3.       พวกเขาไม่สามารถทำงานนี้ให้สำเร็จได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

4.       พวกเขาจะนำคนเหล่านั้นขึ้นมาด้วยแคปซูลพิเศษ

ตอบ  2  :  ประโยคก่อนหน้านี้กล่าวว่า ถ้าไม่มีชั้นหินที่มีความแข็งมากอยู่ใต้ดิน หน่วยกู้ภัยจะใช้เวลาในการเจาะอุโมงค์ไม่กี่ชั่วโมง แต่เพราะมันมีชั้นของหินที่มีความแข็งมากนี่เองจึงทำให้การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบากและใช้เวลานาน

88 .   What makes the six men in the mine still cheerful ?

1.       They can hear the drilling noise.

2.       They are told they can get out soon.

3.       The time they are trapped is not long.

4.       They stay in a group of six not individually.

ถาม        อะไรที่ทำให้ชายทั้งหกคนที่ติดอยู่ในเหมืองยังคงมีกำลังใจ ?

1.       พวกเขาสามารถได้ยินเสียงการขุดเจาะอุโมงค์

2.       มีคนบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะได้ออกมาในไม่ช้า

3.       เวลาที่พวกเขาติดอยู่ในเหมืองนั้นไม่นานมากนัก

4.       พวกเขาทั้งหกคนอยู่กันเป็นกลุ่ม ไม่ได้อยู่คนเดียว

ตอบ  2  :  ประโยคที่ 10 และ 11

89 .   Six men in the mine communicate with the people on the surface though _______.

1.       A letter

2.       A drum

3.       A microphone

4.       Not mentioned in the passage

ถาม        ชายหกคนที่ติดอยู่ในเหมืองติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่ข้างนอกผ่าน ______

1.       จดหมาย

2.       กลอง

3.       ไมโครโฟน

4.       ไม่ได้กล่าวไว้ในเนื้อเรื่อง

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 9

90 .   According to the passage, the rescue workers are considering _____ methods to save six men’s live, and they chose the better one.

1.       2                       

2. 3

3. 4                           

4. 5

ถาม        จากเนื้อเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยพิจารนาวิธีการในการช่วยชีวิตทั้งหกคนอยู่ _____วิธีและพวกเขาก็เลือกวิธีหนึ่งที่ดีกว่า

1.       2                    

2. 3                        

3. 4                        

4. 5

ตอบ  1  :  ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ

Passage 5

                1The freeways in Los Angeles, California, are frequently the scenes of death and destruction. 2Nevertheless, the Los Angeles freeways are among the safest in the world. 3For one thing, they are carefully patrolled. 4There are 125 highway patrol officers on the freeways looking for violations. 5The violations that they look for especially are tailgating (following too closely), careless lane changing, going too slowly in the fast lane, speeding, and drunk driving. 6For these other violations, 125 officers give an average of 120,000 tickets a year.

                1The freeways are well engineered. 2There are four extrawide lanes going in each direction. 3Ome is for high speeds, two for average speeds, and one for trucks and slow drivers. 4The freeways are carefully banked for high speeds. 5When you banked into a curve, you feel the banking holding you on the road. 6They are well lighted also, and there are no steep grades or hills blocking visibility.

                1ทางด่วนในเมืองลอสแองเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย มักจะเป็นสถานที่เกิดการตายและความเสียหายอยู่บ่อยครั้ง 2แต่อย่างไรก็ตาม ทางด่วนในลอสแองเจลิสก็ยังว่ามีความปลอดภัยที่สุดในโลก 3เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ มีการตรวจตราความปลอดภัยบนท้องถนนเหล่านี้อย่างเข้มงวด 4มีตำรวจทางหลวง 125 นาย คอยสอดส่องดูแลการฝ่าฝืนกฎจราจร 5การฝ่าฝืนกฎจราจรที่พวกเขาเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ การขับจ่อท้าย (ขับตามติดกันมาก) การเปลี่ยนเลนโดยประมาท การขับรถช้าเกินไปในเลนที่ต้องขับรถเร็ว การขับรถเร็ว และการขับรถขณะเมาสุรา 6สำหรับการฝ่าฝืนกฎจราจรเหล่านี้รวมทั้งกฎข้ออื่น ๆ ตำรวจทางหลวงทั้ง 125 นายนี้ให้ใบสั่งโดยเฉลี่ยแล้วปีละประมาณ 120,000 ใบ

                1ทางด่วนเหล่านี้ถูกออกแบบมาอย่างดี 2มีเลนที่มีความกว้างเป็นพิเศษข้างละ 4 เลน 3เลนหนึ่งสำหรับวิ่งในระดับความเร็วสูง อีก 2 เลนสำหรับความเร็วปานกลาง และอีก 1 เลนสำหรับรถบรรทุกและคนที่ขับรถด้วยความเร็วต่ำ 4ทางด่วนนี้ถูกสร้างให้ลาดเอียงเข้าหาโค้งอย่างเหมาะสมสำหรับการขับขี่ในระดับความเร็วสูง 5เมื่อคุณเลี้ยวโค้ง คุณจะรู้สึกว่าถนนที่ลาดเอียงเข้าหาโค้งจะช่วยประคองให้คุณอยู่บนถนน 6นอกจากนี้ ตามถนนเหล่านี้ยังมีการติดไฟสว่างไสวมาก และไม่มีระดับความสูงชันหรือเนินที่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น       

91 .   Sentence ______ is the topic sentence of paragraph 1.

1. 1                    

2. 2                       

3. 4                       

4. 6

ถาม        ประโยคที่ _______เป็นประโยคใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 1

1. 1                    

2. 2                       

3. 4                       

4. 6

ตอบ  2  :  ย่อหน้าที่ 1 ผู้เขียนต้องการบอกว่าแม้ทางด่วนในลอสแองเจลิสจะเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ยังเป็นที่ปลอดภัยที่สุดในโลก โดยประโยคที่เหลือให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าปลอดภัยอย่างไร

92 .   ______ major point (s) is / are cited to support the topic sentence in the first paragraph.

1.       One           

2. Two                              

3. Three                            

4. Four

ถาม        มีประเด็นหลัก ๆ ______ ประเด็น ที่กล่าวสนับสนุนประโยคใจความสำคัญในย่อหน้าแรก

1.       1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ตอบ  1  :  ย่อหนน้านี้มีการยกเหตุผลสนับสนุนใจความสำคัญเพียงเหตุผลเดียว (ประโยคที่ 3) โดยมีประโยคที่ 4 – 6 กล่าวสนับสนุนเหตุผลในประโยคที่ 3 อีกหนึ่ง

93 .   Highway patrol officers are especially alert to _______.

1.       Improperly registered vehicles

2.       Careless lane changing

3.       Motorcyclists without helmets

4.       Incorrect hand signals

ถาม        ตำรวจทางหลวงต้องรับผิดชอบดูแลเป็นพิเศษในเรื่อง _______

1.       รถที่จดทะเบียนไม่ถูกต้อง

2.       การเปลี่ยนเลนโดยประมาท

3.       ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกกันน็อค

4.       การใช้สัญญาณมือที่ไม่ถูกต้อง

ตอบ  2  :  ประโยคที่ 5

94 .   ______there are accidents on the freeways of Los Angeles, they are  among the safest in the world.

1. Because                       

2. However         

3. Although                        

4. Due to

ถาม        _______ มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางด่วนในเมืองลอสแองเจสิล แต่ถนนเหล่านี้ก็เป็นถนนที่มีความปลอดภัยที่สุดในโลก

1. เพราะ             

2. แต่อย่างไรก็ตาม             

3. ถึงแม้ว่าแม้ว่า

4. เนื่องจาก

ตอบ  3  :  ประโยคที่ 1 และ 2 เชื่อมที่แสดงถึงความขัดแย้งกัน เช่น although, though, nevertheless, however

95 .   In paragraph 2, sentence ______ is the topic sentence.

1.  1                    

2. 2                       

3. 5                       

4. 6

ถาม        ในย่อหน้าที่ 2 ประโยคที่ ______ เป็นประโยคใจความสำคัญ

1.  1                    

2. 2                        

3. 5                       

4. 6

ตอบ  1  :  ย่อหน้านี้กล่าวว่า ถนนเหล่านี้ถูกสร้างมาอย่างดี (ประโยคที่ 1) ประโยคที่ 2 – 6 อธิบายและบอกถึงลักษณะของถนนเหล่านี้ว่ามีการสร้างไว้ดีอย่างไร

96 .   “One” in sentence 3, paragrage2, refers to _______.

1. Freeway                   

2. Lane                              

3. Direction                      

4. Truck

ถาม        “One” ในประโยคที่ 3 ย่อหน้าที่ 2 อ้างอิงถึง _______

1. ทางด่วน                      

2. เลน                  

3. ทิศทาง                              

4. รถบรรทุก

ตอบ  2  :  “One” เป็น pron. ที่ใช้แทน n. ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำนั้นซ้ำอีกซึ่งในที่นี้ “One” ใช้แทน “lane” ในประโยคที่ 2

97 .   The Los Angeles freeways are _______.

1.       Carefully banked

2.       Surrounded by steel rails

3.       Covered with nonglare asphalt

4.       Embedded with traffic sensors

ถาม        ทางด่วนในลอสแองเจลิส________

1.       ถูกสร้างให้ลาดเอียงเข้าหาโค้งอย่างเหมาะสม

2.       ล้อมรอบด้วยรางเหล็ก

3.       ปุทับด้วยยางมะตอยชนิดไม้สะท้อนแสง

4.       ติดเครื่องตรวจสอบการจราจร

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 4 และ 5

98 .   How many minor details cited in paragraph 2 ?

1.  2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 4

ถาม        มีประโยคสนับสนุนรองกล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 2 กี่ประโยค ?

1.  2                    

2. 3                       

3. 4                       

4. 4

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 1 เป็นใจความสำคัญ และประโยคที่ 2, 4 และ 6 เป็นประโยคสนับสนุนหลัก ส่วนประโยคที่ 3 และ 5 นั้นเป็นประโยคสนับสนุนรองของประโยคที่ 2 และ4

99 .   For which of the following terms does the author supply a definition ?

1.       “patrolled” (line 3)

2.       “violations” (line 4)

3.       “tailgating” (line 4)

4.       “curve” (line 11)

ถาม        คำใดที่ผู้เขียนได้ให้คำจำกัดความไว้ด้วย ?

1.       “patrolled” (บรรทัดที่ 3)

2.       “violations” (บรรทัดที่ 4)

3.       “tailgating” (บรรทัดที่ 4)

4.       “curve” (บรรทัดที่ 11)

ตอบ  3  :  ย่อหน้าแรก ประโยคที่ 5 ผู้เขียนให้ความหมายของคำว่า “tailgating” ไว้ในวงเล็บ (following too closely)

100 .   The main function of the details in this passage is to _______.

1.       Give reasons for an opinion and reveal character

2.       Give examples and advance a sequence of events

3.       Describe and to give reasons for an opinion

4.       Define a topic and set a tone

ถาม        รายละเอียดที่กล่าวไว้ในเนื้อเรื่องนี้โดยหลัก ๆ แล้วต้องการที่จะ ______

1.       ให้เหตุผลสนับสนุนความคิดเห็นและชี้ให้เห็นถึงลักษณะพิเศษของสิ่งนั้น

2.       ยกตัวอย่างและเรียงลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง

3.       อธิบายและให้เหตุผลสนับสุนความคิดเห็นหนึ่ง

4.       กำหนดหัวเรื่องและแสดงน้ำเสียง

ตอบ  1  :  นั่นคือ ผู้เขียนให้เหตุผลสนับสนุนว่าทำไมมันจึงเป็นทางด่วนที่ปลอดภัยที่สุดในโลกในย่อหน้าที่ และบอกว่ามันมีลักษณะพิเศษอย่างไรในย่อหน้าที่ 2

ENG2002 การอ่านตีความ ข้อสอบชุด 1 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

แนวข้อสอบชุดพิเศษ 1 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554 

ข้อสอบกระบวนวิชา ENG2002 การอ่านตีความ

Part I : Seen Passages

ส่วนที่ 1 : เนื้อเรื่องในตำรา

A : Directions :  Read the following statements. Then blacken 1 for a true statement and blacken 2 for a false statement. (1 = True / 2 = False)

 A : คำสั่ง :  จงอธิบายข้อความต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบาย 1 หากเป็นข้อความที่ถูกต้องและระบบ 2 หากเป็นข้อความที่ผิด (1 = ถูก / 2 = ผิด)

1 .   To read well, you have to point at what you are reading word by word.

       ถาม          เพื่อการอ่านที่ดี คุณต้องชี้สิ่งที่คุณอ่านทีละคำ

       ตอบ    2    :  (ผิด)    การอ่านที่ดีผู้อ่านต้องอาศัยความรู้เดิม (Prior Knowledge) และพื้นฐานทางภาษาที่ดี และมีวิธีการที่ถูกต้อง ซึ่งการอ่านโดยทั่วไปผู้อ่านทีละคำแต่ให้อ่านเป็นกลุ่มคำ และต้องไม่อ่านออกเสียงหรือชี้นิ้วตามไปด้วย เพราะจะทำให้การอ่านนั้นช้าและขาดความต่อเนื่อง เกิดความสับสนจนมาสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้

2 .   The topic of the passage always tells you the main idea of that passage.

       ถาม      หัวเรื่องของเรื่องนี้จะบอกให้คุณทราบใจความสำคัญของเนื้อเรื่องเสมอ

       ตอบ   2    :  (ผิด)   ใจความสำคัญ คือ หัวเรื่องที่ประกอบด้วยกับส่วนขยาย (ภาคแสดง) เป็นประโยชน์ที่สมบูรณ์ดังนั้นหัวเรื่องอย่างเดียวจะไม่สามารถบอกถึงใจความสำคัญได้ เพราะเราจะไม่ทราบว่าผู้เขียนถึงหัวเรื่องนั้นใดแง่ใด

3 .   In skimming, you have to read every word in the passage to get as much information as possible.

       ถาม เนื้อเรื่องอ่านที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีใจความสำคัญ

       ตอบ   2     :   (ผิด)  การอ่านแบบสกิมมิง (skimming) เป็นเทคนิคการอ่านเร็วแบบข้าม ๆ เพื่อหาใจความสำคัญโดยทั่วไป หรือรายละเอียดสำคัญบางอย่างของเนื้อเรื่องโดยจะอ่านเฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญ ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วอ่านข้ามส่วนที่คิดว่าไม่สำคัญในประโยคนั้น โดยไม่มีความจำเป็นต้องอ่านทุกคำในเนื้อเรื่อง

4 .   A good reading passage needs to have a main idea.

      ถาม  เนื้อเรื่องอ่านที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีใจความสำคัญ

      ตอบ   1    :  (ถูก)   การเขียนเนื้อเรื่องที่ดีนั้นผู้เขียนจะต้องมีวัตถุประสงค์ในการเขียน โดยเขียนให้อยู่ในเรื่องเดียวกันและจำเป็นต้องมีประเด็นหลักหรือใจความสำคัญ เพื่อให้ผู้อ่านทราบหรือสรุปได้ว่าจากเนื้อเรื่องทั้งหมดผู้เขียนต้องการบอกอะไร

5 .   In scanning, you look for only certain information you need from the reading passage.

      ถาม   ในการอ่านแบบสแกนนิง คุณมองหาข้อมูลเฉพาะที่คุณต้องการจากเนื้อเรื่องที่อ่านเท่านั้น

      ตอบ   1    :  (ถูก)   การอ่านแบบสแกนนิง (scanning) เป็นเทคนิคการอ่านเร็วอีกวิธีหนึ่งเพื่อหาข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่ต้องการทราบเท่านั้น เช่น วันที่ เลขที่ ชื่อต่าง ๆ ข้อมูลหรือความคิดบางอย่าง เป็นต้น

6 .   In writing the writer uses reference to shorten what he or she is writing, to save space.

       ถาม   ในการเขียน ผู้เขียนใช้การอ้างอิงเพื่อทำให้สิ่งที่เขาหรือเธอเขียนสั้นลงเพื่อประหยัดเนื้อที่

      ตอบ   2   :  (ผิด)   การอ้างอิง (Reference) คือ การที่ผู้เขียนเชื่อมโยงความคิดของเนื้อหาของเรื่องโดยการใช้คำหรือวลีแทนคำหรือข้อความที่ได้กล่าวไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวคำเดิมหรือข้อวามเดิมซ้ำ ๆ อีก เพราะการใช้คำเดิมหรือข้อความเดิมอาจทำให้เนื้อเรื่องไม่กระชับและทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่ายได้

7 .   The main idea of each paragraph can at the beginning, in the middle or at the end of the paragraph.

      ถาม  ใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้าสามารถปรากฏที่ตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนท้ายของย่อหน้า

       ตอบ   1   :  (ถูก)   ใจความสำคัญของย่อหน้ามี 2 ชนิด คือ

1.       ใจความสำคัญที่ระบุในย่อหน้าซึ่งอาจจะปรากฏในต้อนต้น ตอนกลางหรือตอนท้ายของย่อหน้าก็ได้

2.     ใจความสำคัญโดยนัย เป็นใจความสำคัญที่ไม่ได้ระบุชัดเจนในย่อหน้า ผู้อ่านย่อหน้านั้นอย่างละเอียดแล้วรวบรวมและเรียบเรียงใจความสำคัญจากข้อมูล รายละเอียดและข้อความสำคัญ ๆ ที่บอกเป็นนัยไว้ เพื่อสรุปใจความสำคัญด้วยตนเอง      

8 .   Inference is the information that the writer does not directly tell reader, but the reader can get that information from information from other information stated in the reading.

        ถาม                การวิเคราะห์สรุปความ คือ ข้อมูลที่ผู้เขียนไม่ได้บอกผู้อ่านโดยตรง แต่ผู้อ่านสามารถไดรับข้อมูลนั้นจากข้อมูลอื่น ๆ ที่ระบุในเรื่องที่อ่าน

       ตอบ   1   :  (ถูก)   ในการเขียนบางครั้งผู้เขียนอาจไม่ได้อธิบายหรือแจกแจงทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียดให้ผู้อ่านทราบโดยตรง แต่จะให้ลักษณะข้อมูลบางอย่างที่ผู้อ่านสามารถนำไปวิเคราะห์และสรุปความเองได้ ซึ่งผู้อ่านอาจจะต้องอาศัยภูมิความรู้เดิมและประสบการณ์ในการวิเคราะห์ด้วย

B : Directions : Read the following passages and choose the best answer for each question.

 B : คำสั่ง : จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามแต่ละข้อ

Passage  1

                It is difficult, therefore, to find definite proof that a chemical can cause illness or death. However the majority of scientists who conduct independent research into the effect of chemicals on the environment believe that complete certainty is not needed. According to them, if a connection id found between a chemical and serious health problems in test animals, we must stop the use of that chemical. It is better to ban a chemical which may be safe than to use a chemical which may cause serious illness or death.

                ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะหาข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดได้ว่า สารเคมีตัวหนึ่งจะสามารถเป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยหรือการตายได้ แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ทำงานวิจัยอิสระเกี่ยวกับผลกระทบของสารเคมีที่มีต่อสิ่งแวดล้อมเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องมีความแน่ใจอย่างเต็มที่ ตามความคิดเห็นของพวกเขา ถ้าพบความเกี่ยวข้องกันระหว่างสารเคมีตัวหนึ่งกับปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงในสัตว์ทดลองเราก็จะต้องหยุดใช้สารเคมีตัวนั้น การประกาศห้ามใช้สารเคมีที่บางทีอาจจะปลอดภัยนั้นดีกว่าการใช้สารเคมีที่บางทีอาจจะเป็นต้นเหตุของอาการเจ็บป่วยที่ร้ายแรงหรือความตาย

9.   According to the passage, most scientists ____________.

      1. do not like to study the harm of any chemical.

      2. cannot find any clear – cut proof that a certain chemical can cause death in human beings.

      3. can prove that which chemical is harmful or not.

      ถาม    ตามเนื้อเรื่อง นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่_______.

1.       ไม่ชอบศึกษาถึงภัยอันตรายของสารเคมีใด ๆ

2.       ไม่สามารถหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ว่าสารเคมีบางชนิดสามารถเป็นสาเหตุของการตายในมนุษย์

3.       สามารถพิสูจน์ได้ว่าสารเคมีตัวไหนเป็นอันตรายหรือไม่

4.       ถูกทุกข้อ

      ตอบ   2       :   จากเนื้อเรื่อง นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ทำงานวิจัยอิสระและรวมถึงนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่นอนว่าสารเคมีจะเป็นอันตรายทำให้ถึงตายได้จริงหรือไม่

10 .   What is the thing that the scientists mentioned above do ?

1.     Conduct independent research

2.     Complete people’s needs

3.     Produce chemicals

4.     Clean the environment

       ถาม อะไรคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ที่กล่าวถึงข้างต้นทำ

1.       ทำงานวิจัยอิสระ

2.       สนองความต้องการของประชาชน

3.       ผลิตสารเคมี

4.       ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม

        ตอบ   1     :   นักวิทยาศาสตร์ที่กล่าวถึงในย่อหน้านี้คือนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวิจัยอิสระ

11 .   We can infer from passage that these scientists test _____ to see whether there is any connection between a chemical and serious health problems.

1.       Human being

2.       Animals in the environment

3.       Lab animals

4.       Both human beings and wild animals

ถาม        เราสามารถสรุปได้จากเนื้อเรื่องว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ ได้ทดสอบ ____ เพื่อทราบว่ามีความเกี่ยวข้องใด ๆ ระหว่างสารเคมีตัวหนึ่งกับปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงหรือไม่

1.       มนุษย์

2.       สัตว์ในสภาพแวดล้อม

3.       สัตว์ในห้องทดลอง

4.       ทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า

ตอบ  3   :   จากเนื้อเรื่องแสดงว่ามีการทดลองกับสัตว์ในห้องทดลองเท่านั้น จึงทำให้ไม่แน่ใจในกรณีของมนุษย์

12 .   At the end of the paragraph, it is suggested that we should ______.

1.       Not use chemical at all

2.       Use chemicals safely

3.       Stop using a certain chemical if it may cause health problems

4.       Improve chemicals to make better than before

ถาม        ตอนท้ายของย่อหน้า มีคำแนะนำว่าพวกเราควร ______

1.       ไม่ใช้สารเคมีเลย ใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย

2.       หยุดใช้สารเคมีบางชนิดที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ

3.       ปรับปรุงสารเคมีเหล่านั้นให้ดีกว่าเมื่อก่อน

ตอบ  3   :  ซึ่งเป็นคำแนะนำของนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวิจับอิสระ

13 .   The word “them” refers to _____.

1.       Health problems

2.       Test animals

3.       Chemicals

4.       Scientists

ถาม        คำว่า  “them”  อ้างอิงถึง

ตอบ   4   :   หมายถึง นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวิจัยอิสระ

14 .   The word “ban” means ________.

1.       Prohibit

2.       Allow

3.       Proof

4.       test

ถาม        คำว่า  “ban”  หมายความว่า ______

ตอบ  1   :   “ban” เป็นคำกริยา แปลว่า ประกาศห้าม มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า Prohibit

Passage 2

                Today, American colleges and universities (originally modeled on German ones) are under strong attack from many quarters. Teachers, it is charged, are not doing a good job of teaching and students are not doing a good job of learning. American businesses and industries suffer from unenterprising, uncreative executives educated not to think for themselves but to mouth outdated truisms the rest of the world has long discarded. College graduates lack both basic skills and general culture. Studies are conducted and reports are issued on the status of higher education. But any changes that result either are largely cosmetic or make a bad situation worse.

                ทุกวันนี้วิทยาลัยมหาวิทยาลัยในอเมริกา (ซึ่งแต่ตั้งเดิมจำลองตามแบบวิทยาลับและมหาวิทยาลัยของเยอรมนี) กำลังถูกโจมตีอย่างหนักจากหลายฝ่าย มีการกล่าวหาว่าอาจารย์ปฏิบัติหน้าที่ในการสอนได้ไม่ดี และนักศึกษาก็ปฏิบัติหน้าที่ในการเรียนได้ไม่ดี ธุรกิจและอุตสาหกรรมของชาวอเมริกันประสบความเสียหายจากผู้บริหารที่ไม่กล้าได้กล้าเสียและขาดความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งไม่ได้ถูกสอนมาให้คิดด้วยตนเอง แต่ให้ท่องหลักทฤษฎีล้าสมัยที่คนอื่นในโลกเขาโยนทิ้งกันไปนานแล้ว ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยขาดทั้งทักษะพื้นฐานและการฝึกอบรมทั่วไป มีการทำการศึกษาวิจัยและรายงานตีพิมพ์ออกมามากมายเกี่ยวกับสภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา แต่ความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่ใช่ผักชีโรยหน้าก็ทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้วยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีก

15 .   According to the passage, American colleges and universities get their models from _____.

1.       Asia

2.       North American

3.       Europe

4.       Australia

ถาม        ตามเนื้อเรื่อง วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในอเมริกาได้แบบของพวกเขาจาก ______

1.       เอเชีย

2.       อเมริกาเหนือ

3.       ยุโรป

4.       ออสเตรเลีย

ตอบ   3   :   จากเนื้อเรื่องมีการจำลองแบบมาจากเยอรมนี

16 .  According to the passage, who are charged of not doing a good job ?

1.       Teachers

2.       Businessmen

3.       Students

4.        1 and 3 are correct.

ถาม        ตามเนื้อเรื่อง ใครถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ได้

1.       อาจารย์

2.       นักธุรกิจ

3.       นักศึกษา

4.       ข้อ 1 และ 3 ถูก

ตอบ  4   :  จากประโยคที่ 2

17 .   American businesses and industries suffer because of _______.

1.       Higher education

2.       The excessive use of cosmetics

3.       The changes in their culture

4.       Inefficient executives

ถาม        ธุรกิจและอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาประสบความเสียหาย เนื่องจาก ______

1.       การศึกษาในระดับอุดมศึกษา

2.       การใช้เครื่องสำอางมากเกินไป

3.       การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของพวกเขา

4.       ผู้บริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ

ตอบ   4   :   การที่ผู้บริหารไม่มีประสิทธิภาพคือ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์และไม่มีความกล้าได้กล้าเสียจึงเป็นสาเหตุทำให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมของอเมริกาเกิดความเสียหาย

18 .  What do college graduates lack ?

1.       Higher education

2.       Changes

3.       Basic skills general culture

4.       Businesses

ถาม        ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยขาดอะไร

1.       การศึกษาในระดับอุดมศึกษา

2.       การเปลี่ยนแปลง

3.       ทักษะพื้นฐานและการฝึกอบรมทั่ว ๆไป

4.       ธุรกิจการค้า

ตอบ  3   :  จากประโยคที่ 4

19 .   The word “ones” refers to ________.

1.       Colleges

2.       Universities

3.       Businesses

4.       Colleges and universities

ถาม        คำว่า “ones” อ้างอิงถึง ________

1.       วิทยาลัย

2.       มหาวิทยาลัย

3.       ธุรกิจ

4.       วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย

ตอบ   4   :  “German Ones” หมายถึง German colleges and Universities

20 .   The word “quarter” here means _______.

1.       a unit of time equal to 25 minutes

2.       unspecified people

3.       a period of three months

4.       a U.S. coin worth 25 cents

ถาม        คำว่า “quarter” ในที่นี้ หมายถึง _______

1.       หน่วยของเวลาเท่ากับ 25 นาที

2.       ผู้คนที่ไม่เจาะจง

3.       ระยะเวลา 3 เดือน

4.       เหรียญมูลค่า 25 เซนต์ของสหรัฐฯ

ตอบ   2   :   จากเนื้อเรื่อง “quarter” หมายถึงส่วนหรือฝ่าย ซึ่งเป็นการกล่าวแบบไม่เจาะจงหรือระบุบุคคล

Passage 3

                 Beyond these programmes lie war films, the Western and the specifically violent dramatic ones about crime. Besides providing excitement and suspense, these also may be offering way in which children can express their aggression in a safe way, or see it being expressed. The evidence suggests, however, that if they offer to satisfy this need the more realistic ones at least don’t necessarily succeed in doing so. Perhaps they function as pornography often does – attracting with the  outward sings of what might satisfy a need, but not actually doing so ; or perhaps they are like certain processed foods which have been found no more nourishing on examination than their cardboard packaging.

                นอกเหนือจากรายการเหล่านี้ยังมีภาพยนตร์สงคราม หนังคาวบอยและภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับอาชญากรรมที่ตื่นเต้นเร้าใจและรุนแรงเป็นพิเศษ นอกเหนือจาการให้ความตื่นเต้นและอาการอยากติดตามแล้วหรือจะได้เห็นมันถูกแสดงออกมา แต่อย่างไรก็ตามจากหลักฐานแสดงให้เห็นว่าถ้ามันนำเสนอเพื่อสนองความต้องการเหล่านี้ได้ อย่างน้อยที่สุดรายการที่มีลักษณะสมจริงมากกว่าก็ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในการทำเช่นนั้นเสมอไป บางทีพวกมันมีลักษณะเช่นเดียวกับสื่อลามกที่เป็นอยู่เสมอ นั่นคือ ดึงดูดความสนใจด้วยสัญลักษณ์ภายนอกของสิ่งที่อาจจะสนองความต้องการ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้สนองความต้องการหรือบางทีพวกมันอาจจะเหมือนกับอาหารแปรรูปบางอย่าง ซึ่งพบว่าไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการมากไปกว่ากล่องกระดาษที่บรรจุมันเลย

21 .   According to the passage, not only do the war provide excitement and suspense, they also ______.

1.   educate children

2.  children a safe way to express their aggression

3.  teach them about the real world

4. give them evidence of aggression

ถาม        ตามเนื้อเรื่อง ภาพยนตร์สงครามไม่ใช่แค่ให้ความตื่นเต้นและความอยากติดตามเท่านั้นพวกมันยัง _______

1.       ให้วามรู้แก่ตัวเด็ก ๆ

2.       ให้วิธีการที่ปลอดภัยในการแสดงออกถึงความก้าวร้าวแก่เด็ก ๆ

3.       สั่งสอนพวกเขาเกี่ยวกับโลกที่เป็นจริง

4.       แสดงหลักฐานของความก้าวร้าวแก่เด็ก ๆ

ตอบ   2   :  วิเคราะห์จากประโยคที่ 2

22 .   According to the passage, evidence shows that ________.

1.      Violent films cannot satisfy children’s need

2.       Children can release their aggression just by watching violent films

3.       Violent films arouse children to express their aggression the same ways that the characters in the films do

4.       Children who watch violent films like to eat processed foods

ถาม        ตามเนื้อเรื่อง  หลักฐานได้แสดงให้เห็นว่า _______

1.       ภาพยนตร์ที่รุนแรงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเด็ก ๆ ได้

2.       เด็ก ๆ สามารถปลดปล่อยความก้าวร้าวของพวกเขาๆได้เพียงแค่ดูภาพยนตร์ที่รุนแรง

3.       ภาพยนตร์ที่รุนแรงกระตุ้นเด็กให้แสดงออกถึงความก้าวร้าวด้วยวิธีการเดียวกันกับตัวละครในภาพยนตร์นั้นแสดง

4.       เด็ก ๆ ที่ดูภาพยนตร์ที่รุนแรงชอบรับประทานอาหารแปรรูป

ตอบ   1   :  ใจความสำคัญของย่อหน้านี้สรุปได้ว่า ภาพยนตร์ที่รุนแรงแท้จริงแล้วไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในการแสดงออกซึ่งความก้าวร้าวของเด็กได้

23 .   The author compares violent films with _______.

1.     Cardboards

2.     Examinations

3.     Pornography

4.     Western films

ถาม        ผู้เขียนเปรียบเทียบภาพยนตร์ที่รุนแรงกับ _______

1.        กระดาษแข็ง

2.       การตรวจสอบ

3.       สื่อลามก

4.       ภาพยนตร์คาวบอย

ตอบ   1   :   ผู้เขียนเปรียบเทียบภาพยนตร์ที่รุนแรงกับสื่อลามกและอาหารแปรรูปบางชนิด ซึ่งพวกมันไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการอย่างแท้จริง

 24 .   It can be inferred that the author thinks that processed foods ________.

1.     Are too expensive

2.     Taste like cardboards

3.     Can be examined

4.     Lose their nutrients

ถาม        สามารถสรุปได้ว่าผู้เขียนคิดว่าอาหารแปรรูป _______

1.       แพงเกินไป

2.       รสชาติเหมือนกระดาษแข็ง

3.       สามารถตรวจสอบได้

4.       สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ

ตอบ   4   :  วิเคราะห์จากประโยคสุดท้าย

25 .   According to the passage, pornography_________.

1.       Attracts people with outwards signs that might be able be to satisfy their need

2.       Helps people have to make chance to express their need directly

3.       Teachers people how to make processed foods

4.       Teachers people the packing design of processed foods

ถาม        ตามเนื้อเรื่อง สื่อลามก ______

1.       ดึงดูดความสนใจของผู้คนรูปลักษณ์ภายนอกทีอาจจะสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้

2.       ช่วยให้ผู้คนมีโอกาสที่แท้จริงเพื่อแสดงออกถึงความต้องการของพวกเขาได้โดยตรง

3.       สอนผู้คนเกี่ยวกับการทำการอาหารแปรรูป

4.       สอนผู้คนเกี่ยวกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ของอาหารแปรรูป

ตอบ   1   :   วิเคราะห์จากเนื้อเรื่อง ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่สามารถสนองได้เลย

26 .   The word “which” refers to ______.

1.       Ways

2.       Programmes

3.       Crime

4.       Suspense

ถาม        คำว่า “which” อ้างอิงถึง _______

1.       วิธีการ

2.       รายการ

3.       อาชญากรรม

4.       ความอยากติดตาม

ตอบ   1   :  “which” เป็นคำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามหรือคำสรรพนามที่อยู่ข้างหน้าติดกับมัน นั่นคือ way

27 .   The word “it” refers to _______.

1.       Crime

2.       Excitement

3.       Evidence

4.       The children’s aggression

ถาม        คำว่า “it” อ้างอิงถึง ________

1.       อาชญากรรม

2.       ความตื่นเต้น

3.       หลักฐาน

4.       ความก้าวร้าวของเด็ก ๆ

ตอบ   4   :   นั่นคือ เด็กจะได้เห็นความก้าวร้าวตามสัญชาตญาณของเด็กถูกแสดงออกมา

28 .  The word “their” refers to _______.

1.       Children’ s

2.       War films

3.       Processed foods’

4.       Programmes’

ถาม        คำว่า “their” อ้างอิงถึง ______

1.       ของพวกเด็ก ๆ

2.       ของภาพยนตร์สงคราม

3.       ของอาหารแปรรูป

4.       ของรายการต่าง ๆ

ตอบ   3   :  กล่องกระดาษของอาหารแปรรูป

Passage 4

                This capacity for acquiring language is remarkable for a number of reasons. It is remarkable first because of it uniformity throughout the human race. There simply are no cases of normal human children who, when they are given the chance, fail to acquire a native language. By way of comparison, it is not at all unusual for a child to fail to master arithmetic, reading, swimming, or gymnastics despite a considerable amount of instruction. Language acquisition, in other words, is species uniform.

                It is also species specific. Every normal person learns a human language, but no other animals, not even the most intelligent ape, has been shown to be capable of marking the slightest progress in this direction, although some animals can learn to solve problems, use tools, and so on. Language acquisition thus appears to be different in kind from acquisition of other skill mentioned.

                ความสามารถในการเรียนรู้ภาษานี้มีความน่าทึ่งด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกที่น่าทึ่งเนื่องจากการที่มันเป็นลักษณะร่วมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด เคยปรากฏเลยว่าเด็กปกติที่โอกาสสัมผัสกับภาษาจะไม่สามารถเรียนรู้ภาษาแม่ได้ หากจะเปรียบเทียบกันแล้วมันเป็นเรื่องปกติมากที่สุดเด็กคนหนึ่งจะไม่เก่งวิชาก็คือ การอ่าน การว่ายน้ำ หรือยิมนาสติก ทั้ง ๆ ที่ไดรับการสอนแล้วจำนวนมาก กล่าวคือ นัยหนึ่งก็คือ การเรียนรู้ภาษาเป็นลักษณะร่วมกันของเผ่าพันธุ์

                นอกจากนั้นการเรียนรู้ภาษายังเป็นลักษณะเฉพาะสำหรับบางพันธุ์ มนุษย์ปกติทุกคนรู้ภาษามนุษย์ แต่สัตว์ประเภทอื่นแม้กระทั้งลิงซึ่งเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถพัฒนาในด้านนี้ได้เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น แม้ว่าสัตว์บางชนิดสามารถที่จะรู้จักแก้ปัญหา รู้จักใช้เครื่องมือและอะไรทำนองนั้นก็ตาม ดังนั้นการเรียนรู้ภาษาจึงดูเหมือนว่ามีลักษณะที่แตกต่างจาการเรียนรู้ทางด้านทักษะอื่น ๆ ที่กล่าวมา

29 .   What does it mean by saying that language acquisition is species uniform ?

1.       Human beings learn their native language  the same way as animals their own language

2.       Any human being can learn their own native language with ease.

3.       Some normal human being cannot learn their own native language

4.       All are correct.

ถาม        อะไรคือความหมายของคำกล่าวที่ว่า การเรียนรู้ภาษาเป็นลักษณะร่วมของผ่าพันธุ์

1.       มนุษย์เรียนรู้ภาษาแม่ของพวกเขาด้วยวิธีการเดียวกันกับสัตว์ที่เรียนรู้ภาษาของพวกมันเอง

2.       มนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ภาษาแม่ของพวกเขาได้โดยง่าย

3.       มนุษย์ปกติบางคนไม่สามารถเรียนรู้ภาษาแม่ของพวกเขาได้

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ   2   :  จากย่อหน้าที่ 1 ลักษณะของเผ่าพันธุ์ หมายถึง มนุษย์ปกติทุกคนสามารถเรียนรู้ภาษาได้โดยง่ายเหมือนกันหมด ไม่มีใครที่ไม่รู้ภาษา

30 .   Learning native language is not the same as learning how to _______.

1.       Swim

2.       Do math

3.       Read

4.       All are correct.

ถาม        การเรียนรู้ภาษาแม่ไม่เหมือนกับการเรียนรู้วิธีการ _____

1.       ว่ายน้ำ

2.       ทำโจทย์คณิต

3.       อ่าน

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ   4   :   การเรียนรู้ทักษะทางด้านอื่น ๆ เช่น การอ่าน การว่ายน้ำ ยิมนาสติก หรือวิชาเลขคณิตจะมีความแตกต่างจาการเรียนรู้ภาษา เพราะบางคนทำได้แต่บางคนทำไม่ได้

31 .   That language acquisition is species specific means ______.

1.     Only human being can learn a language

2.      only apes can learn a language

3.     Both human beings and apes can learn a language

4.     Human beings can learn to use tools and solve simple problems,  but not language

ถาม        การเรียนรู้ภาษานั้นเป็นลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ หมายความว่า _______

1.       มนุษย์เท่านั้นที่สามารถเรียนรู้ภาษาได้

2.       ลิงเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้ภาษาได้

3.       ทั้งมนุษย์และลิงสามารถเรียนรู้ภาษาได้

4.       มนุษย์สามารถเรียนรู้การใช้เครื่องไม้เครื่องมือและแก้ไขปัญหาที่ไม่สลับซับซ้อนได้ แต่สามารถเรียนรู้ภาษาได้

ตอบ   1   :   หมายถึง เป็นลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น เผ่าพันธุ์อื่นไม่สามารถเรียนรู้ภาษาได้ซึ่งภาษาในที่นี้หมายถึงภาษาที่เทียบเท่าภาษามนุษย์

32 .   The word “it” refers to ________.

1.     Human

2.     The capacity of acquiring language

3.     The chance

4.     A native language

ถาม        คำว่า “it” อ้างอิงถึง ________

1.       เผ่าพันธุ์มนุษย์

2.       ความสามารถในการเรียนรู้ภาษา

3.       โอกาส

4.       ภาษาแม่

ตอบ   2   :   นั่นคือ ความสามารถในการเรียนรู้ภาษานั้นน่าทึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับประโยคก่อนกน้า

32 .    The phrase “this direction” refers the direction of _______.

1.       Making slight progress in learning a language

2.       Learning how to do math and swim

3.       Learning a native language

4.       Solving problems and using tools

ถาม        วลี “this direction” อ้างอิงถึงในด้านของ______

1.       การเกิดความก้าวหน้าเล็กน้อยในการเรียนรู้ภาษา

2.       การเรียนรู้วิธีการทำวิชาคณิตและการว่ายน้ำ

3.       การเรียนรู้ภาษาแม่

4.       การแก้ปัญหาและการใช้เครื่องมือ

ตอบ   3   :  หมายถึง ลิงไม่สามารถพัฒนาในด้านการเรียนรู้ภาษาแม่ได้เลย

34 .   The phrase “other skills mentioned” refers to the following skills, except ______.

1.       Swimming

2.       Gymnastics

3.       Reading

4.       Learning one’s native language

ถาม        วลี “other skills mentioned” อ้างอิงถึงทักษะต่อไปนี้ ยกเว้น _______

1.       การว่ายน้ำ

2.       ยิมนาสติก

3.       การอ่าน

4.       การเรียนรู้ภาษาแม่ของบุคคลหนึ่ง

ตอบ   4   :  ดูคำอธิบายข้อ 30. ประกอบ

Passage 5

                As for muscle mass, women do indeed, according to some studies, have roughly half the muscle mass of men. And men are, on the average, a third stronger than women. Most women are in poor physical condition, sedentary, and often overweight. Were they given women the opportunities men have to keep fit, the strength gap would narrow considerably. The petite build of many top women gymnasts belies their extraordinary strength. Muriel Davis Grossfeld, the 1960 U.S Olympic gymnast, is just over five feet tall. Yet fitness tests at the University of Illinois revealed that she was as strong as the average male college athlete.

                สำหรับเรื่องขนาดของกล้ามเนื้อ จากบางรายงานการศึกษาจริงอยู่ว่าผู้หญิงมีขนาดของกล้ามเนื้อประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ชาย และโดยเฉลี่ยแล้วผู้ชายจะแข็งแรงกว่าผู้หญิงประมาณ 1/3 เท่า ผู้หญิงส่วนใหญ่อยู่ในสภาวการณ์ทางร่างกายที่ไม่ดี ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนร่างกาย และมักมีน้ำหนักเกิน แต่หากพวกเธอได้รับโอกาสเหมือนอย่างผู้ชายในการแลร่างกายให้แข็งแรงนี้ก็คงจะแคบลงอีกมากอย่างแน่นอน รูปร่างอันเพรียวบางของนักยิมนาสติกหญิงในระดับแนวหน้าหลายคนขัดแย้งกับความแข็งแรงที่ไม่ธรรมดาของพวกเธอ มิวเรียล เดวิส กรอสเฟลด์ นักยิมนาสติกโอลิมปิกปี  1960 ที่สหรัฐอเมริกา เธอมีความสูงแค่ 5 ฟุตกว่า ๆ กระนั้นผลการทดสอบความสมบูรณ์ของสภาพร่างกายที่หมาวิทยาลัยอิลลินอยส์ กลับแสดงให้เห็นว่าเธอมีความแข็งแรงเท่า ๆ กับนักกีฬามหาวิทยาลัยที่เป็นผู้ชายโดยเฉลี่ย

35 .   According to the passage, men have _______.

1.       Less muscle mass then women

2.       The same amount of muscle mass as women

3.       More muscle mass than women

4.       None is correct.

ถาม        ตามเนื้อเรื่อง ผู้ชายมี _______

1.       ขนาดของกล้ามเนื้อเล็กกว่าผู้หญิง

2.       ขนาดของกล้ามเนื้อปริมาณเท่ากันกับผู้หญิง

3.       ขนาดของกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง

4.       ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ   3  :  จากเนื้อเรื่องผู้หญิงมีขนาดกล้ามเนื้อประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ชาย นั่นคือ ผู้ชายมีขนาดกล้ามเนื้อมากกว่าขนาดกล้ามเนื้อของผู้หญิง

40 .   Men are ______stronger than women.

1.       1/2

2.       1/3

3.       ¼

4.       1/5

ถาม        ผู้ชายมีความแข็งแรงมากกว่าผู้หญิง_______เท่า

1.       1/2

2.       1/3

3.       1/4

4.       1/5

ตอบ   2   :  จากประโยคที่ 2 A third = 1/3

Part II : Unseen Passages

A : Directions :  Read the following passage. Then blacken 1 for a true statement, and blacken 2 for a  false statement. (1 = True/ 2 = False)

คำสั่ง      จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วระบาย 1 หากข้อความนั้นถูกและระบาย 2 หากข้อความนั้นผิด (1 = ถูก / 2 = ผิด)

TOKYO : The unseasonably warm weather this winter has set records in Japan’s various regions, hurting business at ski resorts but helping other industries.

The warmth has also led to bigger hauls of fish, especially anchovies 45 time larger than usual.

Halfbacks a spring catch also were caught in February for the first time in memory.

                But at Lake Haruma in  Takasaki, Gumma Perfecture, a popular ice fishing spot smelt proved impossible as the lak’s ice was too thin. Leading to the city putting up notices prohibiting the pastime for the first time since the end of World War II.

In the Noto region of Ishikawa Prefecture, fishermen had their peak haul of anchovies months earlier than usual. In Decemberr, 908 tonnes of the fish were caught 45 time the usual for the month. In January, the catch was 447 tonnes, or 16 times normal.

                โตเกียว : อากาศอบอุ่นผิดฤดูกาลในฤดูหนาวนี้ได้เกิดขึ้นเป็นประวัติการณ์ในหลายพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจรีสอร์ตสกี แต่ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ

                อากาศที่อบอุ่นยังได้ทำให้จับปลาได้จำนวนมากขึ้นโดยเฉพาะปลาแอนโชวี ที่มีการจับปลาชนิดนี้เมื่อเดือนธันวาคมได้จำนวนมากที่สุด

เร็วกว่าปกติ ในที่จับได้ตามปกติสำหรับเดือนนั้น ในเดือนมกราคม ปลาที่ถูกจับได้ปริมาณ 447 ตัน หรือ 16 เท่าของปริมาณปกติ

Ski resorts, meanwhile, have also been affected, Unazuki Onsen Ski Gelande the firut winter since opening in 1954 in whin it did not have a single day of sking.

–          THE DAILY YOMIURI

ยังมีการจับปลาครึ่งฤดูหลัง หรือการจับปลาในฤดูใบไม้ผลิในเดือนกุมภาพันธ์เป็นครึ่งแรกเท่าที่เคยบันทึกไว้

                แต่ที่ทะเลสาบฮารุมะในเมืองทากาซากิจังหวัดกุมมะสถานที่ตกปลาสเมลต์บนน้ำแข็งที่ได้รับความนิยม พบว่าไม่สามารถใช้บริการได้ เพราะว่าน้ำแงบนทะเลสาบบางเกินไปทำให้เมืองนี้ต้องติดป้ายประกาศห้ามกิจกรรมพักผ่อนหน่อยใจนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

                ในขระเดียวกันธุรกิจรีสอร์ตสกี ก็ไดรับผลกระทบด้วยเช่นเดียวกัน อูนาซูกิ ออนเซ็น สกี เกอเลนเดอ ในเมืองคูโรเบะ จังหวัดโตยามา ประสบกับฤดูหนาวแรกตั้งแต่เปิดมาเมื่อปี 1954 ที่ไม่มีการเล่นสกีแม้แต่วันเดียว

–          เดลิโยมิอุริ

41 .   This passage discusses the causes of the unseasonably warm weather in winter in Japan.

ถาม        เนื้อเรื่องพูดถึงสาเหตุของอากาศอบอุ่นผิดฤดูกาลในช่วงฤดูหนาวในประเทศญี่ปุ่น

ตอบ   2   :   (ผิด) เนื้อเรื่องนี้พูดถึงอากาศที่อบอุ่นได้ส่งผลกระทบให้เกิดผลดีผลเสียในด้านใดบ้าง

42 .   The unusually warm winter affected the Japanese tourist industry.

ถาม         อากาศที่อบอุ่นผิดปกติในช่วงฤดูหนาวได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น

ตอบ   1   :  (ถูก) อากาศอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเล่นสกี แต่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการประมงของญี่ปุ่น

43 .   The warm winter bring only damage to Japanese Industries.

ถาม        ฤดูหนาวที่อบอุ่นได้ทำให้เกิดความเสียหายล้วน ๆ ต่ออุตสาหกรรมญี่ปุ่น

ตอบ  2   :   (ผิด) ดูคำอธิบายข้อ 42. ประกอบ

44 .   Paragraph I states all the points to be discusses in the passage.

ถาม        ย่อหน้าที่ 1 ได้ระบุประเด็นทั้งหมดที่กล่าวถึงในเนื้อเรื่องนี้

ตอบ   1   :  (ถูก) ย่อหน้าแรกเป็นประโยคใจความสำคัญ (Topic Sentence) ของเนื้อเรื่องนี้

45 .   In paragraph 3, “peak” probably means “the lowest.”

ถาม        ย่อหน้าที่ 3 “peak” น่าจะหมายถึง “the lowest.”

ตอบ  2  :  (ผิด) “peak” ในที่นี้เป็นคำคุณศัพท์ (adj.) หมายถึง สูงสุด (the highest)

46 .   We can assume that in general the winter months are the time for catching anchovies in Japan.

ถาม        เราสามารถสันนิษฐานได้ว่า โดยทั่วไปเดือนในฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาของการจับปลาแอนโชวีในประเทศญี่ปุ่น

ตอบ  1  :  (ถูก) จากย่อหน้าที่ 2 ที่บอกว่าความอบอุ่นในฤดูหนาวทำให้จับปลาแอนโชวีได้มากกว่าปกติแสดงว่าปกติมีการจับปลาแอนโชวีในฤดูหนาว

47 .   It can be concluded that people are never allowed to fish in Lake Haruma.

ถาม        สามารถสรุปได้ว่าประชาชนไม่เคยได้รับอนุญาตให้ตกปลาในทะเลสาบฮารุมะ

ตอบ  2  :  (ผิด) ฤดูหนาวนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการห้ามตกปลา

48 .   In 1954, people could not ski at Unazuski Onsen Ski Gelande in Kurobe.

ถาม        ในปี 1954 ผู้คนไม่สามารถเล่นสกีที่ อูนาซุกิ ออนเซ็น สกี เกอเลนเดอ ในเมืองคูโรเบะได้

ตอบ  2  :  (ผิด) ฤดูหนาวนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้คนไม่สามารถเล่นสกีได้นับตั้งแต่เปิดมาเมื่อปี 1945

49 .   Unazuski Onsen Ski Gelande in Kurobe is an old ski resort.

ถาม        อูนาซุกิ ออนเซ็น สกี เกอเลนเดอ ในเมืองคูโรเบะ เป็นธุรกิจรีสอร์ตสกีที่เก่าแก่

ตอบ  1   :  (ถูก) เพราะเปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1954

50 .   This passage probably comes from a guidebook.

ถาม        เนื้อเรื่องนี้น่าจะมาจากหนังสือคู่มือการท่องเที่ยว

ตอบ   2   :  (ผิด) เนื้อเรื่องนี้มาจากหนังสือพิมพ์เดลิโยมิอุริ

B : dirctions : :  Read the following passage and choose the best answer for each question.

B : คำสั่ง : จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดสำหรับคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

                Every customer is different, and must be handled according to his or her special needs.

                Customers can be typed. There is the silent type ; he will listen unmoved to the assistant’s explanations, will volunteer no information except to answer direct questions and will give no indication that he is responding. There is the talkative customer ; the assistant can channel the flow of chatter in a constructive direction only by interrupting from time to time. The decistive customer knows what he assistant’s advantage to let the customer go on thinking this is true. With the indecisive customer, it is often the assistant’s job to make suggestions and recommendations. The impulsive customer will buy quickly, but he will return goods as quickly. The aggressive customer challenges the assistant to persuade him to buy, but he will usually respond to a logical and honest selling policy. The shy customer must be put at his ease.

                The assistant should, first of all, make every prospective purchaser feel welcome, then adjust his technique to the circumstances. Creative salesmanship is treating people the way they like to be treated.

                ลูกค้าแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน และจำเป็นต้องดูแลให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะอย่างของเขาหรือเธอ

               ลูกค้าสามารแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน ลูกค้าประเภทนิ่งเงียบ เขาจะฟังคำอธิบายของพนักงานแบบไม่ไหวติง ไม่อาสาที่จะให้ข้อมูลเว้นแต่เป็นการตอบคำถามโดยตรง และเขาจะไม่ให่เครื่องบ่งชี้ใด ๆ ว่าเขากำลังตอบสนอง ลูกค้าประเภทช่างพูดช่างคุย พนักงานจะสามารถควบคุมคำพูดฉอด ๆ ที่ไม่หยุดหย่อนนั้นให้อยู่ในแนวทางที่สร้างสรรค์ได้ก็โดยเพียงการพูดสอดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น ลูกค้าประเภทลังเลใจ จะรู้ถึงสิ่งที่เขาต้องการและเขาต้องการมันอย่างรวดเร็ว เขาชอบคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของเขามันก็เป็นความได้เปรียบของพนักงานที่ปล่อยให้ลูกค้าคิดว่ามันเป็นความจริง ลูกค้าประเภทใจเร็วจะซื้อด้วยความรวดเร็ว แต่เขาก็จะคืนสินค้าอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ลูกค้าประเภทก้าวร้าว จะท้าท้ายพนักงานให้โน้มน้าวจูงใจเขาให้ซื้อ แต่โดยปกติแล้วเขาจะตอบรับต่อนโยบายการขายที่ซื่อสัตย์และสมเหตุสมผลลูกค้าประเภทซื้อขาย ต้องถูกปล่อยให้วางตัวตามสบาย

                ก่อนอื่นพนักงานควรทำให้ว่าที่ผู้ซื้อรู้สึกอบอุ่นใจก่อน ต่อจากนั้นจึงปรับใช้เทคนิคให้เข้ากับสถานการณ์ นักขายที่สร้างสรรค์ย่อมปฏิบัติต่อผู้คนเช่นเดียวกับที่เขาต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเขา

51 .   Paragraph 1 is ________.

1.       The thesis statement of the passage

2.       A major supporting sentence

3.       Too short to be a paragraph

4.       A fact statement

ถาม        ย่อหน้าแรก คือ ______

1.       ใจความสำคัญของเนื้อเรื่อง

2.       ประโยคสนับสนุนหลัก

3.       สั้นเกินไปสำหรับหนึ่งย่อหน้า

4.       ข้อเท็จจริง

ตอบ  1   :  โดยมีย่อหน้าที่ 2 และ 3 สนับสนุน

52 .   How many types of customers are mentioned in the passage ?

1.       4

2.       5

3.       6

4.       7

ถาม        ประเภทลูกค้าที่ได้กล่าวถึงในเนื้อเรื่องนี้มีกี่ประเภท

1.       4

2.       5

3.       6

4.       7

ตอบ  4   :    

1. ประเภทนิ่งเงียบ                       

2. ประเภทช่างพูดช่างคุย

3 . ประเภทเด็ดขาด                       

4. ประเภทลังเลใจ

5 . ประเภทใจเร็ว                           

6. ประเภทก้าวร้าว

7 . ประเภทซื้อขาย

53 .   Which is not a necessary characteristic of a goof assistant ?

1.       Observant

2.       Flexible

3.        Aggressive

4.       Supportive

ถาม        ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะที่จำเป็นของพนักงานที่ดี

1.       ช่างสังเกต

2.       ยืดหยุ่น

3.       ก้าวร้าว

4.       ชอบช่วยเหลือ

ตอบ  3   :  วิเคราะห์จากย่อหน้าสุดท้าย

54 .   Which cannot be concluded from passage ?

1.       All customers are different.

2.       All customers are different to please.

3.       All customers must be suitably treated.

4.       Customers can classified into different groups.

ถาม        ข้อใดไม่สามารถสรุปได้จากเนื้อเรื่อง

1.       ลูกค้าทั้งหมดนั้นแตกต่างกัน

2.       ลูกค้าทั้งหมดนั้นยากที่จะทำให้พึงพอใจ

3.       ลูกค้าทั้งหมดต้องถูกปฏิบัติอย่างเหมาะสม

4.       ลูกค้าสามารถแยกประเภทเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้

ตอบ  2  :  จากเนื้อเรื่องบอกแค่วิธีทำให้ลูกค้าพึงพอใจ แต่ไม่ได้บอกว่ายากหรือง่าย

55 .   A customer who cannot make up his mind is a/ an ______ customer.

1.       Silent

2.       Impulsive

3.       Indecisive

4.       Aggressive

ถาม        ลูกค้าที่ไม่สามารถตัดสินใจได้คือลูกค้าประเภท________

1.       นิ่งเงียบ

2.       ใจเร็ว

3.       ลังเลใจ

4.       ก้าวร้าว

ตอบ   3   : ลูกค้าประเภทลังเลใจต้องการคำแนะนำหรือการชี้แนะนำในการตัดสินใจ

56 .   The shy customer ________.

1.       Should not be pressured

2.       Should be interrupted often

3.       Should be given questions

4.       Should not be helped

ถาม        ลูกค้าประเภทขี้อาย ______

1.       ไม่ควรถูกกดดัน

2.       ควรถูกขัดจังหวะบ่อย ๆ

3.       ควรถูกตั้งคำถาม

4.       ไม่ควรได้รับความช่วยเหลือ

ตอบ  1  :  วิเคราะห์จากย่อหน้าที่ 2 ประโยคสุดท้าย

57 .   The basic writing technique of paragraph 2 is _______.

1.       Definition

2.       Illustration

3.       Enumeration

4.       Classification

ถาม        เทคนิคเขียนพื้นฐานของย่อหน้าที่ 2 คือ ______

1.       การให้คำจำกัดความ

2.       การใช้ภาพประกอบ

3.       การแจกแจง

4.       การแยกประกอบ

ตอบ  3  :  ย่อหน้าที่ 2 เป็นการเขียนแบบแจกแจงว่าลูกค้าประเภทต่าง ๆ นั้นมีอะไรบ้าง

58 .   The proverb, “honesty is the best policy”, may work well with a ______ customer.

1.       Talkative

2.       Indecisive

3.       Aggressive

4.       Shy

ถาม        สุภาษิต “honesty is the best policy” อาจจะใช้ได้ผลดีกับลูกค้าประเภท _______

1.       ช่างพูดช่างคุย

2.       ลังเลใจ

3.       ก้าวร้าว

4.       ขี้อาย

ตอบ  3   :  ลูกค้าประเภทก้าวร้าวจะชอบวิธีการขายแบบตรงไปตรงมาหรือซื่อสัตย์

59 .   The last paragraph is a _______.

1.       Direction

2.       Narration

3.       Request

4.       Suggestion

ถาม        ย่อหน้าสุดท้าย เป็น ______

1.       แนวทาง

2.       การบรรยาย

3.       ข้อเรียกร้อง

4.       คำแนะนำ

ตอบ  4  :  สามารถสังเกตได้จากคำที่เขียนใช้ คือ should

60 .   This passage is probably in the  field of _______.

1.       Marketing

2.       Education

3.       Philosophy

4.       Mass media

ถาม        เนื้อเรื่องนี้น่าจะอยู่ในสาขาวิชาของ ______

1.       การตลาด

2.       การศึกษา

3.       ปรัชญา

4.       สื่อสารมวลชน

ตอบ  1  :  ประเภทของลูกค้าและเทคนิคการขายน่าจะเป็นหัวข้อหนึ่งในสาขาวิชาการตลาด

Passage 2

1 .   1Korea’s tea culture is one of the world’s oldest traditions in the history of  this universal beverage that traces its origins to 2737 B.C. when, according to historical records dried leaves blew into a cup of boiled water Chinese emperor Shennong was drinking in his garden. 2Over 4,700 years have passed since one of the world’s oldest beverages was discovered. And Korea’s ancient culture of tea thrives across the country due to resurging interest in holistic health. 3Korea teas are diverse yet hold unlimited appeal to those seekomg health and a refined taste for what tradition has to offer. 4Popular Korean teas nokcha (green tea), insamcha (ginseng tea), and yujacha (citron tea) are just some of the most widely sought favorites.

2 .   The health benefits of drinking tea are boundless. As far back as the Silla Kingdom (57 B.C – A.D. 935) Buddhist monks used the drink to ward off fatigue and to invigorate mind and body, an antidote that enhanced their spiritual training. Tea was also used as a form of medicine during the Joseon period (1392 – 1910) to treat common ailments such as indigestion and the common cold. Historical records also indicate that kings drank tea as a cure for headaches and mental anxiety. Indeed, modern science proves that tea is rich in vital nutrients, including Vitamins C and E, saponin, and tannins that help lower blood pressure, prevent cancers, and even reduce the likelihood of diabetes.

1 .   1วัฒนธรรมการดื่มชาของเกาหลีเป็นหนึ่งในประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดของโลกในประวัติศาสตร์ของเครื่องดื่มทั่วโลก ซึ่งต้นกำเนิดของมันสืบย้อนไป 2737 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อครั้งที่ตามบันทึกในทางประวัติศาสตร์บอกว่ามีใบไม้แห้งปลิวหล่นลงไปในถ้วยน้ำร้อน ในขณะที่จักรพรรดิเสินหนงของจีนกำลังดื่มน้ำอยู่ในอุทยานของพระองค์  2ล่วงเลยมากกว่า 4,700 ปี นับตั้งแต่หนึ่งในเครื่องดื่มที่เก่าแก่ที่สุดของโลกชนิดนี้ได้ถูกค้นพบวัฒนธรรมในการดื่มชาที่เก่าแก่ของเกาหลีได้แพร่หลายไปทั่วประเทศ เนื่องจากการหันมาใส่ใจในเรื่องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม 3ชาเกาหลีมีความหลากหลายอีกทั้งยังเป็นที่ดึงดูดใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่น่าสนใจสุขภาพและรสนิยมที่ดีจากสิ่งที่ประเพณีนำมาใช้ 4เกาหลีที่ได้รับความนิยมอย่างนกชา (ชาเขียว) อิมซัมชา (ชาโสม) และยูจาชา (ชามะนาว) เป็นเพียงบางส่วนของชาชนิดโปรดที่ถูกถามถึงอย่างกว้างขวางมากที่สุด

2 .   ประโยชน์ต่อสุขภาพของการดื่มชานั้นมีมากมาย ย้อนกลับไปในราชอาณาจักรซิลลา (57 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 935) พระสงฆ์ใช้ดื่มเพื่อขจัดความเมื่อยล้าและเพื่อทำให้จิตใจและร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เป็นเครื่องช่วยเสริมการฝึกจิตนาภาวนา ชาถูกใช้เป็นระบบประเภทหนึ่งของยาด้วยเช่นกันระหว่างในช่วงสมัยราชวงศ์โซซอน (1392 – 1910) เพื่อรักษาโรคเจ็บป่วยทั่ว ๆ ไป อย่างเช่น อาหารไม่ย่อยและไข้หวัดธรรมดา บันทึกทางประวัติศาสตร์บอกให้ทราบด้วยเช่นกันว่ากษัตริย์ดื่มชาเพื่อรักษาอาการปวดหัวและโรควิตดกังวล โดยแม้จริงแล้ววิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์แล้วว่าชานั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อชีวิต รวมทั้งวิตามีนซีและอี ชาโปนิน และแทนนิส ซึ่งช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันมะเร็ง และแม้แต่ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน

61 .   Sentence 1 of the first paragraph is ________.

1.     The main idea

2.     The topic sentence

3.     An introductory sentence

4.     The major supporting detail

ถาม        ประโยคที่ 1 ของย่อหน้าแรก คือ _______

1.       ใจความสำคัญ

2.       ประโยคใจความสำคัญ

3.       ประโยคเกริ่นนำ

4.       รายละเอียดสนับสนุนหลัก

ตอบ  3  :  ในย่อหน้าแรกประโยคที่ 1 เป็นประโยคเกริ่นนำ ประโยคที่ 2 เป็นประโยคใจความสำคัญ ประโยคที่ 3 เป็นประโยครายละเอียดสนับสนุนหลัก และประโยคที่ 4 เป็นรายละเอียด

62 .   According to the passage, tea as a beverage was discovered ______.

1.       In 2737 B.C.

2.       Between 57 B.C – A.D.  935

3.       Between 1392 – 1910

4.       Nearly 5,000 years ago

ถาม        ตามเนื้อเรื่อง ชาเป็นเครื่องดื่มที่ถูกค้นพบ _______

1.       ในช่วง 2737 ปีก่อนคริสตกาล

2.       ระหว่างช่วง 57 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 935

3.       ระหว่างปี 1392 – 1910

4.       เมื่อเกือบ 5,000 ปีมาแล้ว

ตอบ  1  :  วิเคราะห์จากย่อหน้าที่ 1 ประโยคที่ 1

63 .   We learn from paragraph 1 that enthusiasm about health ___ the popularity of tea drinking.

1.       Causes

2.       Releases

3.       Excites

4.       Improves

ถาม        เราเรียนรู้จากย่อหน้าที่ 1 ได้ว่า ความกระตือรือร้นเกี่ยวกับสุขภาพ _____ ความนิยมของการดื่มชา

1.       ทำให้เกิด       2. ปลดปล่อย         3. ทำให้ตื่นเต้น    4. ปรับปรุง

ตอบ  1  :  วิเคราะห์จากย่อหน้าที่ 2 ย่อหน้าแรก

64 .   Paragraph 2 mainly supports sentence _____in paragraph 1.

1. 1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ถาม        ย่อหน้าที่2 ส่วนใหญ่สนับสนุนประโยคที่ _____ ในย่อหน้าที่ 1

1. 1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ตอบ  2  :  นั่นคือ ย่อหน้าที่ 2 สนับสนุนใจความสำคัญในย่อหน้าที่ 1

65 .   The second paragraph discusses _______.

1.       An antidote that enhanced the spiritual training

2.       The common ailments caused by tea drinking

3.       The advantages of drinking tea

4.       Tae drinking in everyday life

ถาม        ย่อหน้าที่ 2 กล่าวถึง ______

1.       ยาที่ช่วยเสริมการฝึกจิตภาวนา

2.       โรคเจ็บป่วยทั่ว ๆ ไปที่เกิดจากกานดื่มชา

3.       ประโยชน์ของการดื่มชา

4.       การดื่มชาในชีวิตประจำวัน

ตอบ  3  :  ย่อหน้าที่ 2 กล่าวถึงประโยชน์ของชาซึ่งปรากฏเป็นใจความสำคัญอยู่ในประโยคที่ 1

66 .   Tea can ______ some common ailments.

1.       Rest              

2. Reform           

3. Refine              

4. Relive

ถาม        ชาสามารถ ______ โรคเจ็บป่วยทั่ว ๆ ไปบ้างโรคได้

1.       พัก                

2. แก้ไข               

3. ขัดเกลา            

4. บรรเทา

ตอบ  4  :  จากประโยคที่3 ย่อหน้าที่ 2

67 .   In  Paragraph 2, “boundless” means ______.

1.       Beautiful                     

2. Bad                  

3. Popular                           

4. Plenty

ถาม        ในย่อหน้าที่ 2 “boundless” หมายความว่า_______

1.       สวยงาม                        

2. ไม่ดีเลวร้าย                  

3. เป็นที่นิยม                       

4. มากมาย

ตอบ  4  :  “boundless” มีความหมายว่า มากมาย ไม่มีขอบเขต

68 .   Paragraph 2 has ________.

1.       A topic sentence

2.       An introductory sentence

3.       A concluding sentence

4.       All are correct.

ถาม        ย่อหน้าที่ 2 มี _______

1.       ประโยคใจความสำคัญ

2.       ประโยคเกริ่นนำ

3.       ประโยคสรุป

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  1  :  ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ (ส่วนประโยคอื่นทั้งหมดเป็นประโยคสนับสนุนหลัก)

69 .   Which, according to the passage is not a serious ailment ?

1.       Cancer         

2. Diabetes          

3. Blood pressure              

4. Indigestion

ถาม        ย่อหน้าที่ 2 มี _______

1.       ประโยคใจความสำคัญ

2.       ประโยคเกรินนำ

3.       ประโยคสรุป

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  1  :  จากเนื้อเรื่องชาสามารถรักษาโรคเจ็บป่วยธรรมดาได้ เช่น อาหารไม่ย่อยและไข้หวัดธรรมดา

70 .   This passage is about _______.

1.       Tea culture                  

2.        Korean teas                

3.       Benefits of tea            

4.       The origin of Korean tea

ถาม        เนื้อเรื่องนี้เกี่ยวกับ ______

1.       วัฒนธรรมการดื่มชา

2.       ชาเกาหลี

3.       ประโยชน์ของชา

4.       ต้นกำเนิดของชาเกาหลี

ตอบ  2  :  เนื้อเรื่องนี้พูดถึงชาเกาหลีมันมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

Passage 3

                1In recent years, sharks in the U.S. waters have received wide attention. 2Are such attacks a growing threat to swimmers and surfers ? 3Statistics suggest not. 4The rate of  attack per number of swimmers has not increased over time. 5What has increased is the popularity of aquatic sorts, such as surfing, sail boarding, and kayaking. 6More people are in the water these days, and therefore the chances of a shark encounter increase. 7Stull, to keep the issue in perspective we should remember that there were only six fatal shark attacks in U.S. coastal waters from 1990 to 2000.

                1เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปลาฉลามในน่าน้ำของสหรัฐฯ ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง 2การโจมตีเหล่านั้นเป็นภัยที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับว่ายน้ำและนักเล่นกระดานโต้คลื่นหรือไม่ 3ตามสถิติบอกว่าไม่ 4อัตราของการโจมตีต่อจำนวนของนักว่ายน้ำไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา 5แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือ ความนิยมชมชอบกีฬาทางน้ำอย่างเช่น การเล่นกระดานโต้คลื่น การแล่นเรือใบและการพายเรือคายัด 6ทุกวันนี้ผู้คนจะอยู่ในน้ำเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นโอกาสการเผชิญกับปลาฉลามก็เพิ่มขึ้นด้วย 7ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อไม่ให้มองเห็นประเด็นเกินจริงพวกเราต้องไม่ลืมว่ามีการโจมตีของปลาฉลามครั้งร้ายแรงเพียงหกครั้งเท่านั้นในน่านน้ำชายฝั่งของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1990 ถึงปี 2000

71 .   The word “issue” in sentence 7 refers to ______.

1.       ‘sharks in the U.S. waters’

2.       ‘shark attack’

3.       ‘the rate of shark attack’

4.       ‘the popularity of aquatic sports’

ถาม        คำว่า “issue” ในประโยคที่ 7 อ้างอิงถึง ______

1.       ‘ปลาฉลามในน่านน้ำของสหรัฐฯ

2.       ‘การโจมตีของปลาฉลาม

3.       ‘อัตราการโจมตีของปลาฉลาม

4.       ‘ความนิยมในกีฬาทางน้ำ

ตอบ  2  :  นั่นคือ ผู้เขียนต้อการเน้นย้ำว่า การโจมตีของปลาฉลามตามชายฝั่งสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นภัยเพิ่มขึ้นหรือเลวร้ายอย่างที่คิด เพราะจำนวนครั้งการโจมตีที่ร้ายแรงถือว่าน้อยในรอบ 11 ปีที่ผ่านมา

72 .   The main idea of this paragraph is _______.

1.       In sentence 1

2.       In sentence 3

3.       In sentence 5

4.       Implied

ถาม        ใจความสำคัญของย่อหน้านี้ ______

1.       อยู่ในประโยคที่ 1

2.       อยู่ในประโยคที่ 3

3.       อยู่ในประโยคที่ 5

4.       บอกเป็นนัย

ตอบ  2  :  ใจความสำคัญของเนื้อเรื่องนี้เกิดจากประโยคที่ 2 รวมกับประโยคที่ 3 (ประโยคคำถาม – คำตอบ) โดยให้ยึดประโยคคำตอบเป็นสำคัญ ซึ่งใจความสำคัญของย่อหน้านี้ก็คือ ถ้าดูจากสถิติแล้วการโจมตีของปลาฉลามไม่ได้เป็นภัยที่เพิ่มมากขึ้น

73 .   According to the author, which of the following has not increased over time ?

1.       The popularity of aquatic sports

2.       The number of fatal shark in U.S. coastal waters

3.       The rate of shark attacks per number of people in the water

4.       The estimated shark population in U.S. coastal waters

ถาม        ตามความคิดของผู้เขียน ข้อใดต่อไปนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา

1.       ความนิยมชมชอบของการเล่นกีฬาทางน้ำ

2.       จำนวนการโจมตีของปลาฉลามครั้งร้ายแรงตามชายในน่านน้ำของสหรัฐฯ

3.       อัตราของการโจมตีของปลาฉลามต่อจำนวนของประชาชนที่เล่นน้ำ

4.       จำนวนของปลาฉลามโดยประมาณในชายฝั่งน่านน้ำของสหรัฐฯ

ตอบ  3  :  วิเคราะห์จากประโยคที่ 4

74 .   The author most likely provides the statistic in the final sentence in order to ______.

1.       Warm swimmers and surfers against dangers

2.       Illustrate that relatively few fatal shark attacks have occurred in U.S. waters

3.       Point out that U.S. coastal waters are safer than those of other countries

4.       Suggest that the issue of fatal shark attacks may be misled as insignificant

ถาม        ผู้เขียนอ้างสถิติมนประโยคสุดท้าย เป็นไปได้ที่สุดว่าเพื่อที่จะ ______

1.       เตือนนักว่ายน้ำและนักเล่นกระดานโต้คลื่นเกี่ยวกับภัยอันตราย

2.       อธิบายว่าการโจมตีของปลาฉลามที่ร้ายแรงนับว่าน้อยที่ได้เกิดขึ้นในน่านน้ำของสหรัฐฯ

3.       ชี้ให้เห็นว่าชายฝั่งน่านน้ำของสหรัฐฯ มีความปลอดภัยมากกว่าชายฝั่งน่าน้ำของประเทศอื่น

4.       ชี้ให้เห็นว่าปัญหาการโจมตีที่ร้ายแงของปลาฉลามอาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ

ตอบ  2  :  ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ

75 .   The purpose of the paragraph is to _______.

1.       Instruct

2.       Complain

3.       Inform

4.       Compare

ถาม        จุดประสงค์ของย่อหน้านี้คือ ______

1.       สอน

2.       ร้องเรียน

3.       บอกแจ้ง

4.       เปรียบเทียบ

ตอบ  3  :  จากเนื้อเรื่องนี้ผู้เขียนมีจุดประสงค์เพื่อบอกกล่าวว่าสถิติชี้ว่าการโจมตีของปลาฉลามไม่ได้เป็นภัยเพิ่มขึ้น

Passage 4

                1With an estimated 250 million cases and 2 million resulting deaths per year, malaria has come back as the world’s number – one public health problem, especially in tropical and subtropical regions. 2The struggle with this infection is nothing new – malaria is mentioned in some of the earliest medical records of Western civilization. 3We know, for example, that the ancient Greek physician Hippocrates identified three types of malarial fevers in the 5th century B.C. 4By the late 15th century, malaria had spread to the Americas, likely as the result of European explorers. 5In fact, epidemics in Central America were recorded in 1493, only a year after Columbus ‘s first voyage there.

                1จากประมาณการผู้ป่วย 250 ล้านรายต่อปี และ2 ล้านรายต่อปีที่ถึงกับเสียชีวิต โรคมาเลเรียได้กลับมาเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับหนึ่งของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน 2การต่อสู้กับโรคติดต่อนี้ไม่ใช่เรื่อใหม่ โรคมาเลเรียถูกกล่าวถึงอยู่ในส่วนหนึ่งของบันทึกทางการแพทย์ในสมัยแรก ๆ ของอารยธรรมตะวันตก 3เป็นต้นว่าพวกเราทราบว่าฮิปโปเครติส แพทย์ชวกรีกโบราณได้จำแนกประเภทของโรคมาเลเรียออกเป็นสามประเภทในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล 4เมื่อปลายศตวรรษที่ 15 โรคมาเลเรียได้แพร่กระจายไปยังทวีปอเมริกาซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสาเหตุมาจานัดสำรวจชาวยุโรป 5แท้จริงแล้วโรคระบาดครั้งใหญ่ในอเมริกากลางได้ถูกบันทึกในปี1493 เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นหลังจากการเดินทางสำรวจด้วยเรือครั้งแรกของโคลัมบัสไปยังที่นั่น

76 .   Hippocrates was _______.

1.       A Greek      

2.       A doctor

3.       From the fifth century B.C.

4.       All are correct.

ถาม        ฮิปโปเครติส เป็น _____

1.       ชาวกรีก       

2. นายแพทย์       

3. อยู่ในศตวรรษที่

4 ก่อนคริสตกาล

5. ถูกทุกข้อ

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 3

77 .   According to the paragraph, malaria is ________.

1.       Impossible to eradicate from the tropics

2.       Likely to spread from the tropics to temperate regions

3.       A disease with a long history that remains a serious public health problem today

4.       An infection that was probably present in the Americas before the arrival of Europeans

ถาม        จากย่อหน้า โรคมาเลเรีย คือ ______

1.       เป็นไม่ได้ที่จะกำจัดไปจากเขตร้อน

2.       อาจจะระบาดจากเขตร้อนไปยังเขตอบอุ่น

3.       โรคที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ร้ายแรงอยู่ทุกวันนี้

4.       โรคระบาดที่น่าจะมีอยู่ในอเมริกาก่อนการมาถึงของชาวยุโรป

ตอบ  3  :  ตีความจากประโยคที่ 1

78 .   Malaria’s long history suggests that it has been ______.

1.       An infection for which there is no known treatment

2.       Especially well documented in the annuals of medicines

3.       Spread primarily from locations in Europe to other parts of the world

4.       Particularly resistant to efforts to eradicate or control the infection

ถาม        ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของโรคมาลาเรียบ่งบอกว่ามันเป็น ______

1.       โรคระบาดที่ไม่มีใครรู้วิธีการรักษา

2.       ถูกบันทึกไว้อย่างดีเป็นพิเศษในรายงานประจำปีทางการแพทย์

3.       โดยส่วนใหญ่แพร่ระบาดมาจากพื้นที่ต่าง ๆ ในยุโรปไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก

4.       ต้านทานเป็นพิเศษต่อความพยายามที่จะกำลังหรือควบคุมโรคนี้

ตอบ  4  :  จากเนื้อเรื่องโรคมาลาเรียมีประวัติศาสตร์ยาวนานและยังเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันแสดงว่าเป็นโรคที่ไม่สามารถควบคุมหรือกำจัดให้หมดไปจากโลกนี้ได้

79 .   Sentence _____ is an opinion statement.

1. 1                              

2. 2                                 

3. 3                                 

4. 4

ถาม        ประโยคที่ ______ เป็นข้อความแสดงความคิดเห็น

1.       1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 4

ตอบ  4  :  ข้อความแสดงความคิดเห็น คือ ข้อความที่ไม่แน่ชัดเป็นความจริง มักจะมีคำที่แสดงถึงความคิดเห็นส่วนตัว เช่นในที่นี้สังเกตจากคำว่า Likely (น่าจะดูเหมือน)

80 .   Sentence 5 is a _______ of sentence 4.

1.       Proof       

2. Hypothesis    

3. Lesson          

4. Suggestion

ถาม        ประโยคที่ 5 เป็น ______ ของประโยคที่ 4

ตอบ  1  :  ประโยคที่ 5 เป็นหลักฐานยืนยันข้อสมมุติฐานของผู้เขียนในประโยคที่ 4

Passage 5

                1Raising houseplants involves nearly as much care and knowledge as raising children. 2First, both plants and children are sensitive to their environments. 3For example, plant will grow faster and be much healthier if it is raised in an environment of tender, loving care. 4The same is true for a child, who will be happier and healthier if his parents love and nurture him. 5Similarly, proper care of houseplants requires a basic a basic knowledge of plants on the part of the owner. 6He must know, for example, which of his plants need direct sunlight and which need be kept in shady places, and how much water each plant requires for the best growth and appearance. 7Parents, too, must have a basic knowledge of their children’s needs in order to provide what is necessary for the best physical and mental development. 8Finally, the owner of houseplants must be willing to provide the best possible care for his plants. 9A child needs time and energy from his parents, too, to play with him, to talk to care for him. 10Generally speaking, happy, healthy plants and children are the result of extra time, knowledge, and energy.

                1การเลี้ยงไม้ประดับต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่และความรู้ความเข้าใจอย่างมากเกือบพอ ๆ กับการเลี้ยงเด็ก 2ประการแรกทั้งต้นไม้และเด็กจะไวต่อสภาพแวดล้อม 3ตัวอย่างเช่น ต้นไม้จะเจริญเติบโตเร็วมากและจะแข็งแรงกว่ามาก ถ้ามันถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมของการดูแลที่อ่อนโยนด้วยความรัก 4สิ่งเดียวกันแตกต่างไปจากเด็กซึ่งเขาจะมีความสุขและมีสุขภาพดีถ้าดีถ้าพ่อแม่และเอาใจใส่เขา 5ในทำนองเดียวกัน การดูแลที่เหมาะสมต่อไม้ประดับต้องอาศัยความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับต้นไม้จากฝ่ายที่เป็นเจ้าของ 6ตัวอย่างเช่น เขาจะต้องรู้ว่าต้นไม้ชนิดไหนของเขาที่ต้องการรับแสงแดดโดยตรง และชนิดไหนที่ต้องการการดูแลในสถานที่ร่วม และต้นไม้แต่ละต้นต้องการน้ำมากเท่าไหร่สำหรับการเจริญเติบโตและลักษณะรูปร่างที่ดีที่สุด 7พ่อแม่ด้วยเช่นเดียวกันจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความต้องการของลูก ๆ ของพวกเขาเพื่อที่จะจัดเรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาทางด้านร่างกายและสติปัญญาที่ดีที่สุด 8ประการสุดท้ายผู้เป็นเจ้าของไม้ประดับจะต้องพร้อมที่จะจัดการดูแลต้นไม้ของเขาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ 9เด็กต้องการเวลาแลพลังกายจากพ่อแม่ของเขาด้วยเช่นกันเพื่อที่จะเล่นกับเขา พูดคุยกับเขาและเอาใจใส่เขา 10กล่าวโดยทั่วไป ต้นไม้และเด็ก ๆ ที่สุขภาพดีมีความสุขคือผลลัทธ์ของการมีเวลา ความเข้าใจ และกำลังกายที่มากกว่าปกติ

81 .   In the first sentence there is/ are _______.

1.       No main idea

2.       Two main ideas

3.       A controlling idea

4.       A minor detail

ถาม        ในประโยคแรก มี ______

1.       ไม่มีใจความสำคัญ

2.       สองใจความสำคัญ

3.       ใจความควบคุม

4.       รายละเอียดสนับสนุน

ตอบ  3   :  ประโยคแรกคือ ใจความสำคัญหรือใจความควบคุมเนื้อเรื่อง

82 .   According to the paragraph, if the environment is _____, children  and plants will grow faster and healthier.

1.       Favorable

2.       Peaceful and quiet

3.       Sensitive

4.       The same

ถาม        ตามเนื้อเรื่อง ถ้าสภาพแวดล้อม _____ เด็ก ๆ และต้นไม้จะเจริญเติบโตเร็วและแข็งแรงสมบูรณ์

1.       ดี

2.       สงบสุข และเงียบ

3.       รับรู้ไว

4.       เหมือนกัน

ตอบ  1  :  วิเคราะห์จากประโยคที่ 3 – 4

83 .   Both parents and houseplant owners should be _____persons.

1.       Fast                              

2. Simple              

3. Knowledgeable             

4. Talkative

ถาม        ทั้งพ่อแม่และเจ้าของต้นไม้ประดับ ควรเป็นบุคคลที่ ______

1.       รวดเร็ว         

2. เรียบง่าย          

3. รอบรู้               

4. ช่างพูดช่างคุย

ตอบ  3  :  วิเคราะห์จากประโยคที่ 1 และ 5 – 7

84 .   “The same” in sentence 4 refers to sentence ______.

1.       1                    

2. 2                       

3. 3                       

4. 5

ถาม        “The same” ในประโยคที่ 4 อ้างอิงถึงประโยคที่ ______

1. 1                     

2. 2                       

3. 3                       

4. 5

ตอบ  3  :  สิ่งเดียวกันนี้ (The same) หมายถึง การโตเร็วและแข็งแรงเมื่อได้รับการดูแลที่เหมาะสม

85 .   In sentence 7, “provide” can be replaced by all the following words except “______”

1.       Give             

2. Protect            

3. Arrange          

4. Prepare

ถาม        ในประโยคที่ 7 “provide” สามารถแทนด้วยคำทั้งหมดต่อไปนี้ ยกเว้น “______”

1. ให้จัดขึ้น                   

2. ปกป้อง          

3. จัดการเตรียมการ                          

4. เตรียม

ตอบ  2  :  “provide” เป็นคำกริยา แปลว่า ให้จัดหาจัดเตรียม

86 .   The paragraph puts emphasis on the _____of the topic of discussion.

1.       Difficulties                  

2. Differences                

3. Similarities      

4. Possibilities

ถาม        ย่อหน้านี้เน้นย้ำถึง _____ของหัวข้อของการอภิปราย

1.       ความยุ่งยากอุปสรรค

2.       ความแตกต่าง

3.       ความคล้ายคลึง

4.       ความเป็นไปได้

ตอบ  3  :  ย่อหน้านี้เน้นย้ำถึงความคล้ายคลึงกันของการเลี้ยงต้นไม้และการเลี้ยงเด็กโดยเปรียบเทียบ (compare)  และการยกตัวอย่าง

87 .   This paragraph has ______.

1.       An introductory sentence

2.       An implied main idea

3.       Only major supporting details

4.       A topic sentence and a concluding sentence

ถาม        ย่อหน้านี้มี _____

1.       ประโยคเกริ่นนำ

2.       ใจความสำคัญโดยนัย

3.       รายละเอียดสนับสนุนเท่านั้น

4.       ประโยคใจความสำคัญและประโยคสรุป

ตอบ  4  :  ประโยคที่ 1 เป็นประโยคใจความสำคัญ ประโยคที่ 2, 5, 7, 8, 9 เป็นประโยคสนับสนุนหลัก ประโยคที่ 3, 4 และ 6 เป็นประโยคสนับสนุนรองของประโยคที่ 2 และ5 ตามลำดับ ส่วนประโยคที่ 10 เป็นประโยคสรุป

88 .   How many major supporting details in this paragraph ?

1.       3                              

2. 4                

3. 5                  

4. 6

ถาม        รายละเอียดสนับสนุนหลักในย่อหน้านี้มีกี่ประโยค

1.       3                    

2. 4                       

3. 5                       

4. 6

ตอบ  3  :  ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

89 .   The author supports  his argument by giving ______.

1.  Causes         

2. Contrasts        

3. Examples        

4. Orders

ถาม        ผู้เขียนสนับสนุนข้อพิสูจน์ของเขาโดยการยก _______

1.  สาเหตุ          

2. ข้อเปรียบต่าง                 

3. ตัวอย่าง           

4. ลำดับเหตุการณ์

ตอบ  3  :  ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

90 .   Both plants and children need _______.

1. Attention     

2. To be supported            

3. Wealth             

4. 1 and 2 are correct.

ถาม        ทั้งต้นไม้และเด็ก ๆ ต้องการ _______

1. ความเอาใส่ใจ             

2. ให้ได้รับการช่วยเหลือ                 

3.ความมั่นคง      

4. 1 และ 2 ถูก

ตอบ  4  :  จากเนื้อเรื่องทั้งต้นไม้และเด็กต้องการการดูแลเอาใจใส่ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงการต้องการความช่วยเหลือด้วย

Passage 6

1 .   1Miceooorganisms may have appeared on Mars about 308 billion years ago, the same time as they appeared on Earth. 2Then several million years later, as single celled animals on Earth began their long struggle to evolve, something went wrong on Mars. 3Some scientists theorize that because Mars is only half the size of Earth, it did not have enough gravity to hold onto its atmosphere, which steadily escaped into space. 4Others believe that carbon dioxide atmosphere grew thinner because it slowly combined with surface minerals to form carbonate rocks. 5In either case, as Mars lost its gaseous cloak, the planer’s ability to retain the sun’ s heat lessened. 6Then, because the thinner atmosphere was unable to prevent the sun’s deadly ultraviolet rays from reaching the surface, Mars changed from a warm, wet nursery to a dry, freezing desert.

2 .   Under such conditions, no life as we know it could survive, but many scientists believe that fossil  evidence of early life can still be found on Mars. Some even suspect that tenacious microbes may be living deep inside warm volcanoes or in aquifers below the permafrost. Simple organisms, they note, have been found thousands of feet below the surface of the Earth and on the bottom of Antarctica’s perpetually frozen lakes.

3 .   1Whether or not life has ever existed on Mars is a subject that raises questions.  2If living things never existed there, perhaps life’s magic moment happened only on Earth. Sense of uniqueness could encourage us be more caring about our own planet.

4 .   If living thing or ever fossils are discovered on Mars, life may be relatively common, found whenever water, carbon and a few other element mix. In that case, what was once a planet that may have help the hot breath of is a planet that could hold it again.

1 .   1สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอาจก่อกำเนิดขึ้นบนดาวอังคารเมื่อประมาณ 308 พันล้านปีมาแล้ว ใช่วงเวลาเดียวกันกับสิ่งเหล่านั้นก็ได้ก่อกำเนิดขึ้นบนโลก 2หลังจากนั้นหลายล้านปีต่อมาในขณะที่สัตว์เซลล์เดียวบนโลกได้เริ่มการต่อสู้ที่ยาวนานเพื่อการพัฒนา แต่มีบางอย่างเกิดความผิดพลาดบนดาวอังคาร 3นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้สร้างทฤษฎีที่ว่าเป็นเพราะดาวอังคารมีขนาดเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของโลกเท่านั้น มันจึงไม่มีแรงโน้มถ่วงเพียงพอที่จะยึดเหนียวชั้นบรรยากาศของมันไว้ได้ ซึ่งมันได้หลุดลอยสู่ห้วงอวกาศอยู่เสมอ 4ส่วนคนอื่น ๆ เชื่อว่าบรรยากาศที่เป็นก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์นั้นเริ่มเบาบางลงเรื่อย ๆ เนื่องจากมันรวมตัวกับแร่ธาตุที่อยู่บนพื้นผิวอย่างช้า ๆ จนกลายเป็นหินคาร์บอเนต 5จะด้วยกรณีไหนก็ตาม ขณะที่ดาวอังคารสูญเสียก๊าชที่ห่อหุ้มตัวมันไว้ ความสามารถของดาวเคราะห์ดวงนี้ในการเก็บกักความร้อนของดวงอาทิตย์ก็ลดน้อยลง 6และเนื่องจากชั้นบรรยากาศที่เบาบางไม่สามารถที่จะป้องกันไม่ให้รังสีอัลตร้าไวโอเลตที่รุนแรงของดวงอาทิตย์ส่องถึงพื้นผิวได้ ดาวอังคารจึงแปรสภาพจากสถานเพาะชำที่เปียกชื้นและอบอุ่นกลายเป็นทะเลทรายที่แห้งผากและเย็นยะเยือก

2 .   ภายใต้สภาพการณ์เช่นนั้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตเฉกเช่นที่เรารู้จักจะสามารถอยู่รอดได้ แต่นักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าหลักฐานจากซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตยุคแรก ๆ อาจจะยังคงถูกค้นพบได้บนดาวอังคาร บางท่านถึงขนาดสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ทนทาน อาจจะอาศัยอยู่ลึกลงไปภายในภูเขาไฟที่อุ่น ๆ อยู่ หรือในแหล่งน้ำใต้ดินภายใต้พื้นผิวที่เป็นน้ำแข็ง พวกเขาสังเกตว่า สิ่งมีชีวิตเชิงเดี่ยวเคยยถูกค้นพบลึกลงไปหนึ่งพันฟุตภายใต้พื้นผิวโลกและที่ก้นทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็งตลอดกาลของทวีปแอนตาร์กติก

3 .   1ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตจะเคยมีหรือไม่เคยอยู่บนดาวอังคารหรือไม่นั่นคือประเด็นที่ก่อให้เกิดคำถามตามมา 2ถ้าสิ่งมีชีวิตไม่เคยปรากฏอยู่ที่มี บางทีช่วงเวลาอัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้เฉพาะบนโลกเท่านั้น 3ความรู้สึกของความคิดพิเศษนั้นก็อาจกระตุ้นพวกเราให้ใส่ใจเกี่ยวกับดาวเคราะห์ของพวกเราเองมากขึ้น

4 .   ถ้าสิ่งมีชีวิตหรือแม้แต่ซากฟอสซิลถูกค้นพบบนดาวอังคาร สิ่งมีชีวิตอาจจะนับว่ามีอยู่ทั่วไป ซึ่งพบได้เมื่อใดก็ตามที่มีน้ำ ธาตุคาร์บอนและธาตุอื่น ๆ สองสามธาตุผสมกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดาวเคราะห์ที่อาจจะเคยมีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตก็จะเป็นดาวเคราะห์ที่สามารถมีมันได้อีกครั้ง

91 .   The word “it” in paragraph 1 refers to _______.

1.      The carbon dioxide

2.     The carbon dioxide atmosphere

3.     Mars

4.     Earth

ถาม        คำว่า “it” ในย่อหน้าที่ 1 อ้างอิงถึง _______

1.       ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์

2.       ชั้นบรรยากาศที่เป็นก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์

3.       ดาวอังคาร

4.       โลก

ตอบ  2  :  นั่นคือ ชั้นบรรยากาศจะค่อย ๆ หายไปเนื่องจากมันกลายไปเป็นหิน

92 .   Without atmosphere, ________.

1.       Mars could not keep warm

2.       Mars became lifeless

3.       Mars has no protect from ultraviolet rays

4.       All are correct.

ถาม        ปราศจากชั้นบรรยากาศ ______

1.       ดาวอังคารไม่สามารถคงความอบอุ่นไว้ได้

2.       ดาวอังคารจึงไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต

3.       ดาวอังคารไม่มีเครื่องป้องกันจากรรังสีอัลตร้าไวโอเลต

4.       ถูกทุกข้อ

ตอบ  4  :  วิเคราะห์จากประโยคที่ 5 และ6 ของย่อหน้าแรก

93 .   Sentence ______ is the topic sentence of the first paragraph.

1.  1                    

2. 2                       

3. 5                      

4. 6

ถาม         ประโยคที่ ______ คือประโยคใจความสำคัญของย่อหน้าแรก

1.       1                    

2.       2. 2               

3.       3. 5               

4.       4. 6

ตอบ  2  :  ใจความสำคัญของย่อหน้าแรกคือ ต้องการบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวอังคารที่ทำให้มันปราศจากสิ่งมีชีวิต

94 .   There are ______ causes of the loss of the Martian atmosphere.

1.  1              

2. 2                 

3. 3                 

4. 4

ถาม        มีสาเหตุ ______ ประการในการสูญเสียชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร

1. 1                    

2. 2                        

3. 3                      

4. 4

ตอบ  2  :  สาเหตุหลักที่ทำให้ดาวอังคารสูญเสียชั้นบรรยากาศ คือ  1. ดาวอังคารมีแรงโน้มถ่วงน้อยทำให้ชั้นบรรยากาศหลุดขึ้นสู่ห้วงอวกาศ    2. ชั้นบรรยากาศรวมตัวกับแร่ต่าง ๆ กลายเป็นหิน

95 .   The reasons given in Paragraph I are basically _______.

1.       Conclusive            

2.       Decisive

3.       Hypothetical

4.       Common

ถาม        เหตุผลที่ให้ไว้ในย่อหน้าที่ 1 นั้น โดยเบื้องต้น ______

1.       เป็นการสรุป

2.       เป็นการชี้ขาด

3.       เป็นข้อสมมุติฐาน

4.       เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป

ตอบ  3  :  จากประโยคที่ 3 – 5 เพราะมันเป็นแค่ทฤษฎีหรือความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มซึ่งยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด

96 .   Which is not correct according to the passage ?

1.       Mars is smaller than Earth.

2.       Mars does not have gravity.

3.       There used to be climate change on Mars.

4.       Microorganisms may have appeared on Earth about 308 billion years ago.

ถาม        จากเนื้อเรื่อง ข้อใดต่อไปนี้ไม่ถูกต้อง

1.       ดาวอังคารขนาดเล็กกว่าโลก

2.       ดาวอังคารไม่มีแรงโน้มถ่วง

3.       เคยมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิบนดาวอังคาร

4.       สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอาจจะปรากฏขึ้นบนโลกประมาณ 308 พันล้านปีมาแล้ว

ตอบ  2  :  วิเคราะห์จากประโยคที่ 3 ของย่อหน้าแรก ดาวอังคารมีแรงโน้มถ่วงแต่มีไม่พอที่ยึดเหนี่ยวชั้นบรรยากาศเอาไว้

97 .   In paragraph 2, scientists _____ evidence that there were living things on Mars.

1.       Have already proved

2.       Have not yet studied

3.       Have already discovered

4.       Have not yet found

ถาม        ในย่อหน้าที่ 2 นักวิทยาศาสตร์ _____ หลักฐานที่ว่าเคยมีสิ่งชีวิตอยู่บนดาวอังคาร

1.       มีการพิสูจน์แล้วสำหรับ

2.       ยังไม่มีการศึกษา

3.       ได้ค้นพบแล้วสำหรับ

4.       ยังไม่มีการค้นพบ

ตอบ  4  :  จากประโยคที่ 1 เป็นแค่ความเชื่อหรือความสงสัยว่ามันน่าจะถูกค้นพบได้บนดาวอังคาร

98 .   In paragraph 2, “such conditions” refers to ______ conditions.

1.       Warm and wet

2.       Warm, wet, and dry

3.       Dry and extremely cold

4.       Wet and freezing

ถาม        ในย่อหน้าที่ 2 “such conditions” อ้างอิงถึงสภาพการณ์ ______

1.       อบอุ่นและเปียก

2.       อบอุ่น เปียก แห้ง

3.       แห้ง และหนาวจัด

4.       เปียก และเย็นจัด

ตอบ  3  :  นั่นคือ สภาพการณ์เช่นท้ายประโยคที่ 6 ของย่อหน้าที่ 1

99 .   Which sentence is closet in meaning to sentence 2 in paragraph 3 ?

1.       If life never existed on Mars, then Earth may be the only place where life developed.

2.       If life did, or still does, exist on Mars, then life may develop easily on Earth.

3.       If living things used to exist on Mars, then life might be able to exist again on it.

4.       If life is magic, then living things never existed on Mars.

ถาม        ประโยคใดต่อไปนี้มีความหมายใกล้เคียงที่สุดกับประโยคที่ 2 ในย่อหน้าที่ 3

1.       ถ้าสิ่งมีชีวิตไม่เคยอาศัยอยู่บนดาวอังคาร ดังนั้นโลกอาจจะเป็นสถานที่เดียวที่สิ่งมีชีวิตมีการพัฒนา

2.       ถ้าสิ่งมีชีวิเคยมีหรือยังคงมีอยู่บนดาวอังคาร ดังนั้นสิ่งมีชีวิตอาจจะพัฒนาได้อย่างง่ายดายบนโลก

3.       ถ้าสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคาร ดังนั้นสิ่งมีชีวิตอาจจะสามารถอาศัยบนดาวอังคารได้อีกครั้ง

4.       ถ้าสิ่งมีชีวิตเกิดจากเวทมนตร์ ดังนั้นสิ่งมีชีวิตไม่เคยอาศัยอยู่บนดาวอังคาร

ตอบ  1  :  จากประโยคที่ 2 there = ดาวอังคาร

100 .   According to the passage, whether life has ever existed on Mars is ______

1.       Unimaginable

2.       Exciting

3.       Still questionable

4.       Absolutely impossible

ถาม        ตามเนื้อเรื่อง การที่สิ่งมีชีวิตเคยอาศัยอยู่บนดาวอังคารหรือไม่นั้น ______

1.       เหนือจินตนาการ

2.       น่าตื่นเต้น

3.       ยังคงเป็นที่น่าสงสัย

4.       เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

ตอบ  3  :  จากเนื้อเรื่องยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารหรือไม่

ENG2002 การอ่านตีความภาษาอังกฤษ เตรียมสอบภาค 1 ปีการศึกษา 2557 ชุด 2

แนวข้อสอบชุดพิเศษ 2 สำหรับเตรียมสอบภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวบวิชา ENG 2002 การอ่านตีความภาษาอังกฤษ

Part I : Seen Passages (เนื้อเรื่องในตำรา)

A : Directions : Read the following passage. Then blacken 1 for a true statement and blacken 2 for a false statement.

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วระบาย 1 หากเป็นข้อความที่ถูกต้อง และระบาย 2 หากเป็นข้อความที่ผิด

1.      Each word in the passage is important, so you have to read every single one of them.

ถาม     แต่ละคำในเนื้อเรื่องมีความสำคัญ ดังนั้นคุณต้องอ่านทุก ๆ คำ

ตอบ 2  (ผิด) ในการอ่านเพื่อความเข้าใจหรือตีความ เราต้องมุ่งไปที่เนื้อหาของเรืองเท่านั้น

โดยไม่ต้องสนใจคำศัพท์ทุก ๆ ตัว เพราะบางครั้งรายละเอียดที่มากเกินไปอาจกลับทำให้ เราสับสนและไม่สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้เลย

2.      Being able to distinguish a main idea from details of the reading passage helps you better understand the author’s purpose.

ถาม     การที่คุณสามารถแยกแยะใจความสำคัญออกจากรายละเอียดของเนื้อเรื่องที่อ่าน จะทำให้คุณเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้เขียนได้ดีขึ้น

ตอบ 1  (ถูก) การที่เราทราบใจความสำคัญจะทำให้เรารู้ว่าผู้เขียนมีจุดประสงค์อะไรในการเขียน

3.      You usually scan the passage when you want to get the general meaning.

ถาม     โดยปกติคุณจะอ่านเนื้อเรื่องโดยวิธีสแกนนิงเมื่อคุณต้องการหาความหมายโดยทั่ว ๆ ไป

ตอบ 2  (ผิด) การอ่านแบบสแกนนิงเป็นเทคนิคการอ่านเร็วเพื่อใช้ในการหาข้อมูลบางอย่างเท่านั้น เช่น ตัวเลข ชื่อต่าง ๆ เป็นต้น

4.      When reading, you can guess the meaning of the unknown word from its structure and context.

ถาม     เมื่อคุณอ่าน คุณสามารถเดาความหมายของคำที่คุณไม่รู้จากโครงสร้างของคำและบริบทใกล้เคียง

ตอบ 1 (ถูก) ในการอ่านเราสามารถเดาความหมายของคำศัพท์ใหม่ ๆ ได้โดยการพิจารณาจากโครงสร้างของคำ (Roots, Prefixes, Suffixes) หรือเดาจากบริบทข้างเคียง (Contextual Clues)

5.      The words such as which, who, that, he, and she are examples of reference that makes the ideas in the passage coherent.

ถาม     คำต่าง ๆ อย่างเช่น which, who, that, he และ she เป็นตัวอย่างของคำอ้างอิงที่ทำให้ความคิดในเนื้อเรื่องปะติดปะต่อกัน

ตอบ 1 (ถูก) ในภาษาอังกฤษมีการใช้ระบบคำอ้างอิง คือ การที่ผู้เขียนเชื่อมโยงความคิดของเนื้อเรื่องให้ปะติดปะต่อกัน โดยการใช้คำหรือวลีแทนคำหรือข้อความที่ได้กล่าวไปโดยไม่ต้องกล่าวคำ หรือข้อความนั้น ๆ ซ้ำอีก เช่น which, who, that, he, she เป็นต้น

6.         You can skim the passage when you are looking for the implied main idea.

ถาม     คุณสามารถอ่านเนื้อเรื่องโดยวิธีสกิมมิง เมื่อคุณต้องการหาใจความสำคัญที่แสดงไว้เป็นนัย

ตอบ 2  (ผิด) ใจความสำคัญโดยนัย (Implied Main Idea) คือ ใจความสำคัญที่ผู้เขียนไม่ได้ระบุไว้ ในย่อหน้าอย่างเด่นชัด แต่จะให้รายละเอียดแสดงไว้เป็นนัย ดังนั้นผู้อ่านต้องอ่านย่อหน้านั้น อย่างละเอียดแล้วสรุปใจความสำคัญของเรื่องด้วยตนเอง

7.         The phrases is caused, contributes to, and results in, are signal words found in the compare/contrast organizational pattern.

ถาม วลี is caused (มีสาเหตุมาจาก) contributes to (ก่อให้เกิด) และ results in (เป็นผลให้ เกิด) เป็นคำชี้แนะที่พบได้ในการเรียบเรียงแบบเปรียบเทียบ/เปรียบต่าง

ตอบ 2  (ผิด) การเขียนหรือการเรียบเรียงใจความแบบเปรียบเทียบ/เปรียบต่าง เป็นการเขียน เพื่อแสดงความเหมือนหรือความแตกต่างของหัวเรื่องที่พูดถึง โดยมีคำชี้แนะที่พบได้ทั่วไป คือ similar to, both, like, also เป็นต้น ส่วนวลี is caused, contributes to และ results in จะถูกพบในการเขียนแบบแสดงเหตุและผล

8.         The topic sentence is a clear statement of the main idea of the paragraph.

ถาม     ประโยคใจความสำคัญคือใจความสำคัญที่เขียนไว้ชัดเจนในย่อหน้า

ตอบ 1  (ถูก) ประโยคใจความสำคัญ (Topic Sentence) คือ ประโยคที่มีใจความสำคัญของย่อหน้านั้น ปรากฏอยู่ชัดเจน ซึ่งอาจจะอยู่ตอนต้นย่อหน้า กลางย่อหน้า ท้ายย่อหน้า หรือทั้งต้นและ ท้ายย่อหน้าก็ได้

B : Directions : Read the following passages. Then choose the best answer for each question.

คำสั่ง จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

1 This disconnection from our ecosystem is reinforced for many people by their belief, learned early in life, that “man” is the supreme life form and that everything else was put on earth for our use. 2 This fits well with another belief that humans are at the top of the food chain, that we have no natural enemies. 3 Once there were predators that humans feared. 4 They were the big carnivores—tigers, lions, and bears. 5 We overcame them with our brains which enabled US to invent weapons. Now, we are supreme. 7 Or are we ? 8 What about the tiniest creatures, the viruses and bacteria that kill US every day ?  9 We are not really supreme. 10 We are part of the system of life on this planet and we must live within the constraints of that system if we are to survive.

1 การตัดความเชื่อมโยงกับระบบบิเวคของเราเช่นนี้สำหรับหลายคนแล้วได้รับแรงหนุนจาก ความเชื่อของเขาเอง ซึ่งได้เรียนรู้มาตั้งแต่วัยเด็กว่า มนุษย์” คือสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีขึ้นบนโลกนี้ก็มีไว้เพื่อประโยชน์ของพวกเรา 2 ความเชื่อนี้ช่างสอดคล้องกับความเชื่ออีกอย่างที่ว่ามนุษย์ เป็นผู้ที่อยู่ตำแหน่งบนสุดของห่วงโซ่อาหาร ที่เชื่อว่าเราไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ 3 ครั้งหนึ่งเคยมีสัตว์นักล่า ที่มนุษย์หวาดกลัว 4พวกมันคือสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ เช่น เสือ สิงโต และหมี (5)แต่เราก็สามารถเอาชนะพวกมันได้ด้วยสมองของเราที่ทำให้เรารู้จักประดิษฐ์อาวุธ 6 ทุกวันนี้เรายิ่งใหญ่ที่สุด    7 หรือจะไม่ใช่ 8 แล้วสัตว์ที่มีขนาดเล็กที่สุดอย่างไวรัสและแบคทีเรียที่คร่าชีวิตพวกเราอยู่ทุกวันนี้ล่ะ            9ที่จริงเราไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุด 10 เราเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของระบบชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้ และเราต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ของระบบนี้ถ้าเราต้องการอยู่รอด

9.      What is the right belief according to the author ?

(1)    Man can be destroyed.   (2) Man has no natural enemies.

(3) Man is the supreme form of life.        (4) Man is at the top of the food chain.

ถาม     แนวคิดที่ถูกต้องตามความคิดของผู้เขียนคืออะไร

1.      มนุษย์สามารถถูกทำลายได้   

2.     มนุษย์ไม่มีศัตรูทางธรรมซาติ

3.      มนุษย์เป็นรูปแบบของชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

4.      มนุษย์เป็นผู้ที่อยู่ตำแหน่งบนสุดของห่วงโซ่อาหาร

ตอบ 1  จากประโยคที่ 8, 9 และ 10

10.    “This” refers to______

(1)    the fact that man is at the top of the food chain

(2)    the disconnection between man and his ecosystem

(3)    the belief that man is superior to every thing on earth

(4)    the belief that everything on earth in under constraints

ถาม คำว่า “This” อ้างอิงถึง          

1.      ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นผู้ที่อยู่ตำแหน่งบนสุดของห่วงโซ่อาหาร

2.      การตัดความเชื่อมโยงกันระหว่างมนุษย์และระบบนิเวศของพวกเขา

3.      ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

4.      ความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อยู่ภายใต้ข้อจำกัด

ตอบ 3  ตัวอ้างอิง “This” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความที่กล่าวไปแล้ว ในที่นี้ This = the belief that man is the supreme form

11.    Because man is_______big animals, he invented weapons.

(1) overcome by (2) superior to       (3) afraid of      (4) eaten by

ถาม เพราะมนุษย์_____สัตว์ขนาดใหญ่ พวกเขาจึงคิดค้นประดิษฐ์อาวุธขึ้นมา

1. ถูกเอาชนะโดย      2. อยู่เหนือ     3. กลัว           4. ถูกกินโดย

ตอบ 3  จากประโยคที่ 3 ที่กล่าวว่าครั้งหนึ่งเคยมีสัตว์นักล่าที่มนุษย์หวาดกลัว (fear) ซึ่งคำว่า fear ในที่นี้มีความหมายเช่นเดียวกับ be afraid of

12.    After the invention of weapons, man ______.

(1) became the most intelligent creature       (2) is the conqueror of the world

(3) still has natural enemies    (4) has no natural enemies

ถาม     หลังจากที่มีการคิดค้นประดิษฐ์อาวุธขึ้นมา มนุษย์ก็______        

1. กลายเป็นสัตว์โลกที่ฉลาดที่สุด     2. เป็นผู้ครอบครองโลก

3. ยังคงมีศัตรูทางธรรมชาติ   4. ไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ

ตอบ 3  จากประโยคที่ 8 นั่นคือ ไวรัส และแบคทีเรีย

13.       The question “What about the tiniest creatures, the viruses and bacteria that kill us every day ?” shows that the author thinks that man is_______.

(1) very talented (2) not really supreme (3) weak      (4) fearful

ถาม     คำถามที่ว่า แล้วสัตว์ที่มีขนาดเล็กที่สุดอย่างไวรัสและแบคทีเรียที่คร่าชีวิตพวกเราอยู่ทุกวันนี้ล่ะแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนคิดว่า มนุษย์______      

1. มีพรสวรรค์มาก       2. ไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง

3. อ่อนแอ        4. เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ตอบ 2  จากประโยคที่ 8 และ 9

14.       As used here, “constraints” is similar in meaning to____.

(1) considerations     (2) differences  (3) restrictions  (4) dangers

ถาม    คำว่า “constraints” ที่ใช้ในเนื้อเรื่องนี้มีความหมายเหมือนกับคำว่า______

1. การพิจารณา 2. ความแตกต่าง       3. การจำกัด    4. อันตราย

ตอบ 2  constraints ในที่นี้เป็นคำนามนับได้ แปลว่า การบีบบังคันการจำกัด ซึ่งมีความหมาย เหมือนกับคำว่า restrictions

15.       From the description here, it seems that man is____.

(1) arrogant       (2) ignorant       (3) stupid  (4) innocent

ถาม     จากการอธิบายในเนื้อเรื่องนี้ ดูเหมือนว่ามนุษย์_______ 

1. หยิ่งยโสจองหอง  2. ไม่รู้เรื่อง       3. โง่เง่า           4. ไร้เดียงสา

ตอบ 1  วิเคราะห์จากประโยคที่ 12 และ 3

Passage 2

Well, we set out to make a school in which we should allow children freedom to be themselves. In order to do this, we had to renounce all discipline, all direction, all suggestion, all moral training, all religious instruction. We have been called brave, but it did not require courage. All it required was what we had—a complete belief in the child as a good, not an evil, being. For almost forty years, this belief in the goodness of the child has never wavered; it rather has become a final faith.

ดังนั้นเราตัดสินใจที่จะสร้างโรงเรียนขึ้นมาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ที่เราจะปล่อยให้เด็ก ๆ มีเสรีภาพ ในการเป็นตัวของตัวเอง ในการทำเช่นนี้เราจะต้องละทิ้งระเบียบวินัย คำสั่ง คำแนะนำ การอบรมศีลธรรม และคำสอนทางศาสนาทั้งหมด มีคนบอกเราว่าเรากล้า แต่มันไม่ต้องอาศัยความกล้าเลย มันแค่อาศัยสิ่งที่เรามี นั่นคือความเชื่ออย่างยิ่งในตัวเด็กว่าเป็นคนดี ไม่ใช่คนเลว เป็นเวลาเกือบ 40 ปีที่ความเชื่อในความดีของเด็ก ที่ว่านี้ไม่เคยสั่นคลอนเลย มันดูจะกลายเป็นความศรัทธาที่ฝังลึกไปแล้ว

16.       The word “which” in line 1 refers to______.

(1) a school        (2) freedom       (3) children        (4) instruction

ถาม     คำว่า “which” ในบรรทัดที่ 1 อ้างอิงถึง   

1.โรงเรียน 2.อิสรภาพ 3.เด็กๆ            4.คำสอน

ตอบ 1  ตัวอ้างอิง “which” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความที่กล่าวไปแล้ว ในทีนี้ which = a school

17.    The writer’s goal is to______.

(1) set up a famous school (2) allow children freedom

(3) be called brave              (4) instruct a religion

ถาม เป้าหมายของผู้เขียนคือการ________

1.   ตั้งโรงเรียนที่มีขื่อเสียงแห่งหนึ่ง 2. ปล่อยให้เด็ก ๆ มีเสรีภาพ 3. ได้รับการเรียกว่ากล้าหาญ 4. สอนศาสนา

ตอบ 2  เนื้อเรื่องนี้ ผู้เขียนต้องการที่จะปล่อยให้เด็ก ๆ มีเสรีภาพในการเป็นตัวของตัวเอง เพราะเชื่ออย่างยิ่งว่าเด็กทุกคนเป็นคนดี ไมใช่คนเลว

18.    According to the writer, you can five children freedom if______

(1)    you have courage

(2)    you want to set up a school

(3)    you believe that ล child is a good being

(4)    you renounce all discipline, all direction, all religious training

ถาม ตามความคิดของผู้เขียน คุณสามารถให้เสรีภาพแก่เด็กถ้า_______

1.      คุณมีความกล้าหาญ

2.      คุณต้องการที่จะตั้งโรงเรียน

3.      คุณเชื่อว่าเด็กเป็นคนดี

4.      คุณละทิ้งระเบียบวินัย คำสั่ง การอบรมศาสนาทั้งหมด

ตอบ 3  ดังที่กล่าวไว้ในประโยคที่ 4 ส่วนข้อ 4 ถือเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการ

19.    The word ‘‘wavered” in line 6 is similar in meaning to____

(1) warranted (2) appeared (3) existed (4) weakened

ถาม คำว่า “wavered” ในบรรทัดที่ 6 มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า

1.   รับประกัน 2. ปรากฏ 3. มีอยู่ 4. อ่อนลง

ตอบ 4  “wavered” เป็นอกรรมกริยา (vi.) แปลว่า ลังเล โอนเอน ซึ่งในท่นี้มีความหมาย ใกล้เคียงกับคำว่า weakened

20.    The writer had to renounce all discipline, all direction, all moral training, all religious instruction to______

(1) set up a school (2) give children freedom

(3) to keep his belief (4) believe in children

ถาม ผู้เขียนต้องละทิ้งระเบียบวินัย คำสั่ง คำแนะนำ การอบรมศีลธรรม และคำสอนทางศาสนาทั้งหมด เพื่อที่จะ______

1. ตั้งโรงเรียนแห่งหนึ่ง 2. ให้อิสรภาพแก่เด็ก 3. ทำตามความเชื่อของเขา 4. เชื่อในตัวเด็ก

ตอบ 2  จากประโยคที่ 2 this = allowing children freedom

Passage 3

1 A third argument for conserving tropical forests concerns their effect on worldwide climate patterns. 2 All plants give off water vapor that becomes part of the atmosphere. 3 The dense plant life in a tropical forest transpires large quantities of water vapor. 4 This vapor condenses and falls as rain. 5 If the tropical forests disappear, there will be less water in the air. 6 It is, therefore, highly probable that destruction of the rain forests will mean widespread drought.

เหตุผลประการที่สามในการอนุรักษ์ป่าเขตร้อนจะเกี่ยวข้องกับผลกระทบของมันที่มีต่อ ลักษณะภูมิอากาศทั่วโลก พืชทั้งหลายจะคายไอน้ำออกมาซึ่งจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชั้นบรรยากาศ พืชที่มีอยู่อย่างหนาแน่นในป่าเขตร้อนจะคายไอน้ำออกมาในปริมาณมหาศาล ไอนานี้จะเกิดการควบแน่น และกลั่นตัวตกลงมาเป็นฝน ถ้าป่าเขตร้อนหมดสิ้นไปก็จะมีน้ำในอากาศน้อยลง 6 ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูง ว่าการทำลายป่าฝนเขตร้อนจะนำมาซึ่งความแห้งแล้งที่กระจายไปทั่ว

21. Without the rain forests,______.

(1)    vapor would not condense and fall as rain

(2)    the dense plant life would cease to exist

(3)    the global climate would be greatly affected

(4)    there would be no seasonal change

ถาม     ถ้าไม่มีป่าฝนเขตร้อน  

1.      ไอน้ำจะไม่เกิดการควบแน่นและกลั่นตัวตกลงมาเป็นฝน

2.      พืชที่มีอยู่อย่างหนาแน่นก็จะหมดไป

3.      ภูมิอากาศทั่วโลกจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

4.      จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล

ตอบ 3  ดังคำกล่าวในประโยคที่ 1 และ 6

22. Widespread drought is the_____of the destruction of the rain forests.

(1) result  (2) cause  (3) reason         (4) meaning

ถาม     ความแห้งแล้งที่แพร่กระจายไปทั่วเป็น______ของการทำลายป่าฝนเขตร้อน

1. ผลลัพธ์ 2. สาเหตุ            3. เหตุผล       4. ความหมาย

ตอบ 1 ดังคำกล่าวในประโยคสุดท้าย การทำลายของป่าฝนเขตร้อนจะนำมาซึ่งความแห้งแล้งที่แพร่กระจายไปทั่ว    

23. Which is a hypothetical sentence ?          

(1) 1            (2) 2         (3) 5         (4) 6

ถาม     ข้อใดเป็นประโยคแสดงสมมุติฐาน                 

1.1               2. 2 3. 5          4. 6

ตอบ 4 สังเกตจากคำว่า highly probable ซึ่งแสดงการคาดคะเน

24. The author of this paragraph tries to______his/her readers.

(1) discourage (2) convince     (3)force    (4) blame

ถาม ผู้เขียนย่อหน้านี้พยายามที่จะ______ผู้อ่าน

1.   ทำให้ท้อแท้ 2. จูงใจ 3. บังคับ 4. ตำหนิ

ตอบ 2  ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านยอมรับถึงความสำคัญของป่า และพยายามชี้ให้เห็นถึงผลกระทบ ที่เกิดจากการทำลายป่า

Passage 4

1 In the 1880s, William James formulated the first modern theory of emotion, and at almost the same time a Danish psychologist, Carl Lange, reached the same conclusions. 2 According to the James-Lange theory, stimuli cause physiological changes in our bodies, and emotions are the result of those physiological changes. 3 If you come face-to-face with a grizzly bear, the perception of the stimulus (the bear) causes your muscles, skin, and viscera (internal organs) to undergo changes: faster heart rate, enlarged pupils, deeper or shallower breathing, flushed face, increased perspiration, butterflies in the stomach, and a gooseflesh sensation as the body’s hairs stand on end. 4 The emotion of fear is simply your awareness of these changes. 5 All of this, of course, happens almost instantaneously and in a reflexive, automatic way.

(1) ในช่วงทศวรรษ 1880 วิลเลียม เจมส์ ได้ค้นพบทฤษฎีสมัยใหม่ทฤษฎีแรกเกี่ยวกับอารมณ์ และ ในเวลาใกล้เคียงกัน คาร์ล แลง นักจิตวิทยาชาวเดนมาร์ก ก็ได้ข้อสรุปแบบเดียวกับ (2)ตามทฤษฎีเจมส์-แลง สิ่งเร้าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในร่างกายของเรา และอารมณ์ก็คือผลจากการ เปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาเหล่านั้น (3)ถ้าคุณเผชิญหน้ากับหมีใหญ่ตัวหนึ่ง การรับรู้ต่อสิ่งเร้านี้ (หมี) จะทำให้ กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และท้องไส้ (อวัยวะภายใน) ของคุณเกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ อัตราการเต้นของ หัวใจเร็วขึ้น รูม่านตาขยาย การหายใจลึกขึ้นหรือแผ่วลง หน้าแดง เหงื่อออกมากขึ้น ท้องไส้ป่นป่วน และเกิด ความรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว ส่วนอารมณ์กลัวเป็นแค่เพียงการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ของคุณ (5)และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเกือบจะในทันทีทันใดในรูปของปฏิกิริยาสะท้อนอัตโนมัติ

25.       The paragraph discusses_______

(1) a definition of emotion (2) two psychologists

(3) effects of emotion (4) the James-Lange theory

ถาม ย่อหน้านี้ว่าด้วยเรื่อง

1. นิยามของคำว่าอารมณ์ 2. นักจิตวิทยา 2 คน 3. ผลกระทบของอารมณ์ 4. ทฤษฎีเจมส์-แลง

ตอบ 4  ย่อหน้านี้พูดถึงทฤษฎีเจมส์-แลง ว่าทฤษฎีนี้มีความเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับอารมณ์

26.       The main idea of the paragraph is in sentence______

(1) 1      (2) 2      (3) 4      (4) 5

ถาม ใจความสำคัญของย่อหน้านี้อยู่ในประโยคที่

1.1          2.2         3. 4         4. 5

ตอบ 2  ซึ่งต้องการบอกว่าตามทฤษฎีของเจมส์-แลง เชื่อว่าอารมณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนประโยคที่ 1 เป็นประโยคนำ และประโยคที่ 34 และ 5 เป็นประโยคสนับสนุนหลักอธิบายประโยคที่ 2

27.       The James-Lange theory explains_______.

(1) what stimuli cause       (2) why emotions occur

(3) what makes physical changes     (4) how you feel when seeing a grizzly bear

ถาม     ทฤษฎีเจมส์-แลงอธิบายถึง    

1. สิ่งที่เกิดจากสิ่งเร้า  2. สาเหตุที่อารมณ์เกิดขึ้น

3. สิงที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

4. ความรู้สึกเมื่อคุณเห็นหมีใหญ่

ตอบ 2  ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

28.       According to the details of the paragraph, the stimulus is________.

(1) a grizzly bear        (2) a body change     (3) a feeling       (4) an awareness

ถาม     จากรายละเอียดของย่อหน้า สิ่งเร้าคือ______     

1. หมีใหญ่       2. การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย         3. ความรู้สึก 4. การรู้ตัว

ตอบ 1 จากประโยคที่ 3

29.       The feeling mentioned in the details of the paragraph is the feeling of_______       

(1) excitement  (2) frightening  (3) fear      (4) surprise

ถาม     ความรู้สึกที่กล่าวถึงในรายละเอียดของย่อหน้านี้คือความรู้สึก______    

1. ตื่นเต้น         2. ทำให้กลัว    3. กลัว 4. ประหลาดใจ

ตอบ 3  จากประโยคที่ 4

30.       According to the paragraph, what causes emotions ?

(1) Stimuli (2) Perception  (3) Body changes (4) None is correct.

ถาม     จากย่อหน้า อะไรเป็นสาเหตุของอารมณ์

1. สิ่งเร้า          2. การรับรู้       3. การเปลี่ยนแปลงทางกาย      4.ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 จากประโยคที่ 2 ซึ่ง physiological changes = body changes

31.       The word “this” in sentence 5 refers to______.

(1) emotions and body changes       (2) body changes and perception

3) perception and emotions   (4) perception and awareness

ถาม     คำว่า “this” ในประโยคที่ 5 อ้างอิงถึง       

1. อารมณ์และการเปลี่ยนแปลงทางกาย 2. การเปลี่ยนแปลงทางกายและการรับรู้ 3. การรับรู้และอารมณ์ 4. การรับรู้และการรู้ตัว

ตอบ 1  นั่นคือ อารมณ์จะเป็นปฏิกิริยาสะท้อนอัตโนมัติจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเป็นปฏิกิริยาสะท้อนอัตโนมัติจากการรับรู้

32.       The word “undergo” in sentence 3 is similar in meaning to_______.

(1) remain (2) understand (3) produce       (4) experience

ถาม     คำว่า “undergo” ในประโยคที่ 3 มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า         

1. คงไว้            2. เข้าใจ          3. ผลิต            4. ประสบ

ตอบ 4  undergo เป็นสกรรมกิริยา (vt.) แปลว่า ประสบ พบ ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า experience (vt.)

Passage 5

1 After the Revolutionary War, the new United States government adopted a pluralistic approach to Native-American societies, seeking to gain more land through treaties. 2 Payment for land was far from fair, however, and when Native Americans resisted demands to surrender their homelands, superior military power was brought in to evict them. 3 Thousands of Cherokees, for example, died on a forced march—the Trail of Tears—from their homes in the southeastern United States to segregated reservations in the Midwest. 4 By the early 1800s, few Native Americans remained east of the Mississippi River.

(1)ภายหลังสงครามปฏิวัติ รัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้รับเอาวิธีการแบบพหุนิยมมาใช้กับ สังคมของชาวอเมริกันพื้นเมือง เพื่อแสวงหาดินแดนเพิ่มโดยผ่านการทำสนธิสัญญา 2 แต่อย่างไรก็ตาม การชำระค่าที่ดินห่างไกลจากความยุติธรรม และเมื่อชาวอเมริกันพื้นเมืองขัดขืนคำสั่งที่จะให้มอบ ผืนแผ่นดินเกิดของพวกเขา ก็มีการส่งกองกำลังทหารที่เหนือกว่ามาขับไล่พวกเขา (3)ยกตัวอย่างเช่น ชนเผ่าเชโรกีหลายพันคนเสียชีวิตในระหว่างการเดินทางบนเส้นทางสายน้ำตา ซึ่งถูกบังคับให้ออกจากบ้าน ของพวกเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาไปยังค่ายกักกันที่ถูกแยกออกไปด่างหากทางตะวันตก ตอนกลาง (4)ราวต้นทศวรรษ 1800 มีชาวอเมริกันพื้นเมืองไม่มากนักที่ยังคงอาศัยอยู่ทางตะวันออกของ แม่น้ำมิสซิสซิปปี

33.      Which is true based on the paragraph ?

(1)    Native Americans loved their land.

(2)    Native Americans gave their land to the U.Sgovernment.

(3)    Native Americans demanded more land from the U.Sgovernment.

(4)    Native Americans adopted pluralistic approach toward the U.Sgovernment.

ถาม ข้อใดถูกต้องตามย่อหน้านี้

1.      ชาวอเมริกันพื้นเมืองรักผืนแผ่นดินของพวกเขา

2.      ชาวอเมริกันพื้นเมืองมอบผืนแผ่นดินของพวกเขาให้แก่รัฐบาลของสหรัฐอเมริกา

3.      ชาวอเมริกันพื้นเมืองต้องการดินแดนจากรัฐบาลของสหรัฐอเมริกามากกว่านี้

4.      ชาวอเมริกันพื้นเมืองไต้รับเอาวิธีการแบบพหุนิยมมาใช้กับรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา

ตอบ 1  วิเคราะห์จากประโยคที่ 2 จากข้อความที่ว่า ชาวอเมริกันพื้นเมืองขัดขืนคำสั่งที่จะมอบ

ผืนแผ่นดิบเกิดของพวกเขาให้แก่รัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกา นั่นแสดงว่า ชาวอเมริกันพื้นเมือง มีความรักต่อผืนแผ่นดินของพวกเขา

34.    According to the paragraph, the U.Sarmy was____than the Native Americans.

(1) more powerful (2) less powerful (3) braver (4) weaker

ถาม จากย่อหน้า กองทัพสหรัฐอเมริกา_____กว่าชาวอเมริกันพื้นเมือง

1.   มีกำลังเหนือกว่า 2. มีกำลังน้อยกว่า 3. กล้าหาญกว่า 4. อ่อนแอกว่า

ตอบ 1  จากประโยคที่ 2 จากคำที่ว่า superior military power

35.    Which phrase reflects the author’s negative attitude towards the U.S?

(1) Adopted (2) Pluralistic approach (3) Payment (4) Far from fair

ถาม     วลีใดที่สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติในด้านลบของผู้เขียนที่มีต่อสหรัฐอเมริกา

1.         รับเอามา          2. วิธีการที่หลากหลาย            3. การชำระเงิน            4. ห่างไกลจากความยุติธรรม

ตอบ 4  จากประโยคที่ 1

36. It was “the trail of tears” because_______.

(1)       there were many deaths among the Cherokees

(2)       the Cherokees were forced to move out of their land

(3)       the Cherokees had to go and live in the reservation camps

(4)       All are correct.

ถาม     ที่เรียกว่า เส้นทางแห่งน้ำตา” เพราะว่า_______          

1.         ชนเผ่าเชโรกีเสียชีวิตจำนวนมาก

2.         ชนเผ่าเชโรกีถูกบังคับให้ย้ายออกจากผืนแผ่นดินของพวกเขา

3.         ชนเผ่าเชโรกีต้องไปอาศัยอยู่ในค่ายกักกัน    

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4  จากประโยคที่ 3

Passage 6

1 Cultural norms, often in the form of law, regulate whom a person may marry. These norms distinguish categories of people who are suitable mates from those who are not. One pattern that results from such norms is endogamy, marriage between people of the same social group or category. 4 Every society has norms of endogamy that endorse marriage between people of the same age, tribe, race, religion, or social class. 5 some religions in the United States—especially Judaism and Catholicism—actively encourage endogamous marriage. 6 The second pattern, also found in every society, is exogamy marriage between people of different social groups or categories. 7 The prohibition against gay marriage in the United States and most other societies is the most obvious form of exogamy.

1 บรรทัดฐานทางวัฒนธรรมซึ่งมักอยู่ในรูปของกฎหมายจะกำหนดคนที่บุคคลจะแต่งงานด้วย 2 บรรทัดฐานเหล่านี้จะแยกให้เห็นว่าคนประเภทใดเป็นคู่สมรส.ที่เหมาะสมและประเภทใดเป็นคู่สมรสที่ไม่เหมาะสม 3 รูปแบบการแต่งงานแบบหนึ่งที่เป็นผลมาจากบรรทัดฐานนี้คือ การสมรสในหมู่พวกเดียวกัน ซึ่งเป็นการแต่งงานกันระหว่างคนที่อยู่ในประเภทหรือกลุ่มทางสังคมแบบเดียวกัน 4 สังคมทุกสังคมจะมี บรรทัดฐานของการสมรสในหมู่พวกเดียวกัน ซึ่งสนับสนุนการแต่งงานกับคนที่มีอายุ เผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา หรือระดับชั้นทางสังคมเดียวกัน 5 บางศาสนาในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนายิวและกลุ่มนิกาย คาทอลิกล่งเสริมให้มีการแต่งงานในหมู่พวกเดียวกันอย่างเข้มงวด 6 รูปแบบการแต่งงานแบบที่สองซึ่ง มักจะพบได้ในสังคมทุกสังคมด้วยเช่นกันก็คือการสมรสกับคบต่างพวกกัน ซึ่งเป็นการแต่งงานระหว่างคน ที่อยู่ในประเภทหรือกลุ่มทางสังคมที่แตกต่างกัน  5 กฎข้อห้ามในการแต่งงานของคนรักร่วมเพศในประเทศ สหรัฐอเมริกาและสังคมอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นรูปแบบของการมีคู่สมรสที่ต่างพวกกันที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด

37.       What is the paragraph about ?

(1)       Endogamy        (2) The law of the marriage

(3) Judaism and Catholicism    (4) Cultural norm and marriage patterns

ถาม     ย่อหน้านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

1.         การสมรสในหมู่พวกเดียวกัน

2.         กฎหมายเกี่ยวกับการสมรส

3.         ศาสนายิวและศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก

4.         บรรทัดฐานทางวัฒนธรรมและรูปแบบการแต่งงาน

ตอบ 4  นั่นคือ บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม และรูปแบบการแต่งงาน 2 รูปแบบ คือ

1.         การสมรสในหมู่พวกเดียวกัน

2.         การสมรสกับคนต่างพวกกัน

38.______marriage pattern(s) is/are explained in the paragraph.

(1) 1    (2) 2    (3) 3    (4) 4

ถาม     ในย่อหน้านี้อธิบายรูปแบบการแต่งงาน_____รูปแบบ

ตอบ 2  ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

39.       Which of the following is an example of exogamy ?

(1)       A Buddhist is married with a Christian.

(2)       A Thai woman is married with a foreigner.

(3)       A rich man is married with a poor woman.

(4)       All are correct.

ถาม     ข้อใดต่อไปนี้เป็นตัวอย่างองการสมรสกับคนต่างพวกกัน

1.         คนที่นับถือศาสนาพุทธแต่งงานกับคนที่นับถือศาสนาคริสต์

2.         ผู้หญิงไทยแต่งงานกับชาวต่างชาติ

3.         ผู้ชายรวยแต่งงานกับหญิงสาวยากจน

4.         ถูกทุกข้อ

ตอบ 4  จากประโยคที่ 6

40.       Marriage patterns result from______.

(1) cultural norms (2) relatives  (3) parents         (4) religions

ถาม     รูปแบบการแต่งงานเป็นผลมาจาก_______        

1. บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม                2. ญาติพี่น้อง 3. พ่อแม่          4. ศาสนา

ตอบ 1  จากประโยคที่ 123 และ 6

Part II : Unseen Passages (เนื้อเรื่องนอกตำรา)

A : Directions : Read the following passage. Then blacken 1 for a true statement and blacken 2 for a false statement.

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบาย 1 หากข้อความเป็นจริง หรือระบาย 2 หากข้อความนั้นผิด

Komaki. AFP

At least 224 people died when a China Airlines Airbus A-300 with 274 people on board crashed and exploded in a ball of fire while landing yesterday at Nagoya in central Japan.

37 people were listed as missing some 4 hours after the crash while 11 were listed as survivors.

Flight C-140 from Taipei to Nagoya was carrying 158 Japanese and 99 foreign passengers, including two infants, plus 15crew.

About 50 fire trucks were sent to tackle the blaze, which lit up the night sky around the airport. The blaze was extinguished 40 minutes after the airliner crashed at the end of the runway at about 8:13 p.m., an official said.

มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 224 คน เมื่อเครื่องบินแอร์บัส A-300 ของสายการบินไชนาแอรไลนส์ ซึ่งมีผู้อยู่บนเครื่อง 274 คน ตกและระเบิดไฟลุกท่วมขณะลงจอดเมื่อวานนี้ที่เมืองนาโกยา ตอนกลางของ ประเทศญี่ป่น

มีรายชื่อผู้สูญหายจำนวน 37 คน หลังจากเหตุการณ์เครื่องบินตก 4 ชั่วโมง ในขณะที่รายชื่อ ผู้รอดชีวิตมีจำนวน 11 คน

เที่ยวบินที่ C-140 จากกรุงไทเปไปยังเมืองนาโกยา บรรทุกผู้โดยสารชาวญี่ป่น 158 คน และ ผู้โดยสารขาวต่างชาติ 99 คน ซึ่งรวมถึงเด็กทารก 2 คน และลูกเรืออีก 15 คน

รถดับเพลิงประมาณ 50 คัน ถูกส่งไปเพื่อสกัดเพลิงซึ่งทำให้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนรอบสนามบิน สว่างไสว เพลิงถูกดับภายใน 40 นาที หลังจากเครื่องบินโดยสารลำนั้นตกตรงสุดปลายรันเวย์ เมื่อเวลาประมาณ 20:13 น. เจ้าหน้าที่กล่าว

41.       This passage is about a plane crash in China.

ถาม     เนื้อเรื่องนี้เกี่ยวกับเครื่องบินตกในประเทศจีน

ตอบ 2  (ผิด) จากย่อหน้าแรก บอกว่าเครื่องบินตกในประเทศญี่ปุ่น (in central Japan)

42.       Only eleven people survived the disaster.

ถาม     มีผู้รอดชีวิตจากหายนะครั้งนี้เพียง 11 คนเท่านั้น

ตอบ 2  (ผิด) ข้อมูลเบื้องต้นบอกว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 224 คน สูญหาย 37 คน และรอดชีวิต 11 คน ซึ่งในที่นี้ผู้สูญหายยังไม่ทรบแน่ชัดว่าจะเสียชีวิตหรือมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่ ดังนั้น ที่ถูกต้องจึงสรุปว่ามีผู้รอดชีวิตอย่างน้อย 11 คน ไม่ใช่มีเพียง 11 คน

43.    The flight number of this plane was A-300.

ถาม     หมายเลขเที่ยวบินของเครื่องบินลำนี้คือ A-300

ตอบ 2  (ผิด) จากย่อหน้าที่ 3 หมายเลขเที่ยวบินของเครื่องบินลำนี้คือ C-140 บินจากกรุงไทเป ไปเมืองนาโกยา

44.    The plane flew from Nagoya to Taipei.

ถาม     เครื่องบินบินจากเมืองนาโกยาไปกรุงไทเป

ตอบ 2  (ผิด) ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45.    Most of the passengers were Japanese.

ถาม     ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น

ตอบ 1  (ถูก) จากย่อหน้าที่ 3 มีผู้โดยสารจำนวน 257 คน เป็นาวญี่ปุ่น 158 คน และาวต่างชาติ 99 คน

46.    The death toll was 274.

ถาม     จำนวนผู้เสียชีวิตมี 274 คน

ตอบ 2  (ผิด) จากเนื้อเรื่อง มีผู้อยู่บนเครื่อง 274 คน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 224 คน มีผู้รอดชีวิต อย่างน้อย 11 คน ดังนั้นผู้เสียชีวิตต้องอยู่ระหว่าง 224 – 263 คน

47.    The fire was put out 40 minutes after the crash.

ถาม     ไฟถูกดับภายใน 40 นาทีหลังจากเครื่องบินตก

ตอบ 1  (ถูก) จากประโยคสุดท้าย ซึ่งคำว่า the blaze = the fire และ extinguished = put out

48.    The airliner was Japanese owned.

ถาม     เครื่องบินโดยสารลำนี้มีชาวญี่ปุ่นเป็นเจ้าของ

ตอบ 2  (ผิด) เพราะเครื่องบินโดยสารลำนี้เป็นของสายการบินจีน และไม่ได้บอกว่ามีชาวญี่ปุ่นเป็นเจ้าของ

49.    The word “which” in the last paragraph refers to the blaze.

ถาม     คำว่า “which” ในย่อหน้าสุดท้ายอ้างอิงถึงกองเพลิง

ตอบ 1  (ถูก) ประพันธ์สรรพนาม which, who, that มักจะอ้างอิงถึงคำนามหลักที่อยู่ชิดข้างหน้า

50.    The plane exploded in the sky before crashing on the runway.

ถาม     เครื่องบินระเบิดบนท้องฟ้าก่อนที่จะตกบนรันเวย์

ตอบ 2  (ผิด) จากย่อหน้าแรกบอกว่าเครื่องบินตกแล้วระเบิด (crashed and exploded)

B : Directions : Read the following passages. Then choose the best answer for each question.

คำสั่ง : จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

1 Recent attacks on Jewish places of worship, cemeteries and shops in France and Belgium were blamed on the worsening Middle East crisis. After a firebomb attack on a Marseilles synagogue, similar assaults were made in Lyons, Montpellier, and Strasbourg. 3 In the Belgian cities of Brussels and Antwerp, synagogues were also attacked. 4 The French prime minister warned that the “passions that flare up in the Middle East must not flare up” here in France, home to 4 million Muslims and around 700,000 Jews.

1 การรโจมตีสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา สุสาน และร้านค้าของชาวยิวในประเทศฝรั่งเศส และเบลเยียมเมื่อเร็ว ๆ นี้ กล่าวกันว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลางที่กำลังเลวร้าย 2 หลังจากการโจมตีด้วยระเบิดเพลิงที่สุเหร่าชาวยิวในเมืองมาร์กเซยี การโจมตีในลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้น ที่เมืองลียงมองท์เปลิเย่ และสตารส์บวร์ก 3 ที่กรุงบรัสเซลล์และเมืองแอนท์เวิร์ปในประเทศเบลเยียม สุเหร่าของชาวยิวก็ถูกโจมตีด้วยเช่นกัน 4 นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสได้ออกมากล่าวเตือนว่า ความโกรธแค้น ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในตะวันออกกลางจะต้องไม่ลุกเป็นไฟ ” ในที่แห่งนี้ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบ้านให้กับชาวมุสลิม 4 ล้านคน และชาวยิวประมาณ 700,000 คน

51.       Which pair of words shares a similar meaning ?

(1) attacks, assaults  (2)       blamed,   warned

(3)       crisis, firebomb        (4) cemetery,    home

ถาม     คำคู่ใดมีความหมายคล้ายคลึงกัน

1. การโจมตีการจู่โจม           2. กล่าวโทษเตือน 3. วิกฤตระเบิดเพลิง 4. สุสานบ้าน

ตอบ 1  ในทีนี้คำว่า attacks เป็นคำนาม (n.) แปลว่า การโจมตี มีความหมายเหมือนคำว่า assaults (n.) = การจู่โจม การโจมตี การประทุษร้าย

52.       Which group of people was under attack ?

(1) The French  (2)       The Jews  (3)       The Muslims    (4) The Belgians

ถาม     คนกลุ่มใดที่ถูกโจมตี

1. ชาวฝรั่งเศส          2. ชาวยิว            3. ชาวมุสลิม        4. ชาวเบลเยียม

ตอบ 2  จากประโยคที่ 1 บอกว่าสถานที่ต่าง ๆ ที่ถูกโจมตีเป็นของชาวยิว (Jewish)

53.       It is believed that the attacks mentioned in the paragraph were related to______.

(1) religious problems       (2)       European social unrest

(3) a political crisis    (4)       problems in the Middle East

ถาม     เชื่อกันว่าการโจมตีที่กล่าวถึงในย่อหน้านี้มีความเกี่ยวข้องกับ_____        

1. ปัญหาทางศาสนา   2. ความไม่สงบทางสังคมของชาวยุโรป

3. วิกฤตการณ์ทางการเมือง    4. ปัญหาในตะวันออกกลาง

ตอบ 4 จากประโยคที่ 1 บอกว่า ถูกกล่าวว่าเกิดจาก (blamed on) วิกฤตการณ์ (cricis = problems) ในตะวันออกกลาง

54.    What places were attacked in Lyons, Montpellier, and Strasbourg ?

(1) Synagogues (2) Cemeteries (3) Churches (4) Cities

ถาม สถานที่ใดที่ถูกโจมตีในเมืองลียงมองท์เปลิเย่ และสตารส์บวร์ก

1.   สุเหร่าของชาวยิว 2. สุสาน 3. โบสถ์คริสต์ 4. ในเมือง

ตอบ 1  จากประโยคที่ 2 ซึ่ง similar assaults ก็คือ firebomb attacks on synagogues

55.    About______Muslims  live in France.

(1) 4,000 (2) 40,000 (3) 400,000 (4) 4,000,000

ถาม ชาวมุสลิมจำนวนประมาณ______คน อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส

1. 4,000     2. 40,000     3. 400,000    4. 4,000,000

ตอบ 4  จากประโยคสุดท้าย

56.    It is most likely that this news report is from_____

(1) Belgium (2) the Middle East (3) France (4) the U.S.A.

ถาม เป็นไปได้มากที่สุดว่ารายงานข่าวนี้มาจาก_______

1.   เบลเยียม 2. ตะวันออกกลาง 3. ฝรั่งเศส 4. สหรัฐอเมริกา

ตอบ 3 เพราะสังเกตจากคำว่า here ในประโยคสุดท้าย

57.    What should be the title of this passage ?

(1) Crisis in the Middle East (2) Dangerous Cities

(3) Troubled Europe (4) Difficult Political Situation

ถาม เนื้อเรื่องนี้ควรมีซื่อว่าอย่างไร

1.   วิกฤตการณ์ในตะวันออกกลาง 2. เมืองอันตราย 3. ยุโรปที่กำลังแย่ 4. สถานการณ์ทางการเมืองที่ยุ่งยาก

ตอบ 2 ใจความสำคัญของย่อหน้า คือ มีการโจมตีชาวยิวเกิดขึ้นในเมืองต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ซึ่งผู้เขียนกำลังบอกว่ามีเมืองใดบ้างที่ประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าว

Passage 2

The modern sailing ship was developed by a man who never went to sea. He was Prince Henry of Portugal, the younger son of the Portuguese king and an English princess.

Prince Henry lived in the fifteenth century. As a boy he became devoted to the sea, and he dedicated himself to improving the design of ships and the methods of sailing them. In 1416, when he was twenty-two, Henry founded a school for mariners, to which he invited everyone who could help him—Jewish astronomers, Italian and Spanish sailors, Arab mathematicians and map makers who knew how to use the crude compass of the day and could improve it.

Henry’s goal was to design and equip vessels that would be capable of making long ocean voyages without having to hug the shore. The caravel carried more sail and was longer and slimmer than any ship then made, yet was tough enough to withstand gales at sea. He also developed the carrack, which was capable of carrying more cargo.

To Prince Henry the world owes credit for development of craft that made ocean exploration possible. He lives in history as Henry the Navigator.

เรือใบเดินทะเลสมัยใหม่ถูกพัฒนาขึ้นโดยชายผู้หนึ่งซึ่งไม่เคยออกทะเลเลย เขาคือเจ้าชายเฮนรี แหงโปรตุเกส โอรสองค์เล็กของกษัตริย์โปรตุเกสกับเจ้าหญิงอังกฤษ

เจ้าชายเฮนรีมีพระชนม์อยู่ช่วงศตวรรษที่ 15 ขณะทรงพระเยาว์พระองค์ทรงผูกพันกับทะเล เป็นอย่างยิ่ง และทรงได้อุทิศตนในการพัฒนารูปแบบของเรือและวิธีการเดินเรือเสียใหม่ ในปี ค.ศ. 1416 เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 22 พรรษา พระองค์ทรงก่อตั้งโรงเรียนนักเดินเรือ โดยทรงเชื้อเชิญทุกคน ที่สามารถช่วยเหลือพระองค์ได้มายังที่นี่ ได้แก่ นักดาราศาสตร์ชาวยิว กะลาสีเรือชาวอิตาลีและสเปน นักคณิตศาสตร์ชาวอาหรับ และนักเขียนแผนที่ซึ่งรู้จักวิธีใช้เข็มทิศแบบหยาบ ๆ ในยุคสมัยนั้นและ สามารถพัฒนามันให้ดีขึ้นได้

เป้าหมายของเจ้าชายเฮนรีคือเพื่อออกแบบและติดตั้งอุปกรณ์ในเรือเพื่อให้สามารถเดินทางใน มหาสมุทรได้ในระยะทางไกล ๆ โดยไม่ต้องเลาะเลียบชายฝั่ง เรือคาราเวลของพระองค์จะรองรับใบเรือ ได้มากกว่า ยาวกว่า และเพรียวกว่าเรือทุกชนิดที่สร้างในสมัยนั้น อีกทั้งแข็งแรงทนทานพอที่จะต้านทาน ลมพายุในทะเลได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงพัฒนาเรือคาร์แร็คซึ่งสามารถบรรทุกสินค้าได้ มากขึ้นอีกด้วย

สำหรับเจ้าชายเฮนรี โลกต้องยกความดีความชอบให้กับพระองค์สำหรับการพัฒนาเรือที่ทำให้ การสำรวจมหาสมุทรเป็นสิงที่เป็นไปได้ พระองค์ถูกจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ในฐานะ เฮนรีนักเดินเรือ

58.       In paragraph 1, the author starts his introductory paragraph by stating an_______fact.

(1) unnatural (2) unusual (3) insignificant (4) inevitable

ถาม ในย่อหน้าที่ 1 ผู้เขียนเริ่มย่อหน้านำโดยการกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่________

1.   1 ไม่เป็นธรรมชาติ 2. แปลก 3. ไม่สำคัญ 4. ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ตอบ 2  ผู้เขียนเริ่มเรื่องด้วยข้อเท็จจริงที่แปลกที่ว่านักออกแบบเรือไม่เคยออกทะเล เพื่อดึงดูด ความสนใจของผู้อ่าน

59.       And in doing so. the author probably expects to______

(1) satisfy his need (2) attract his audience’s interest

(3) establish a common ground (4) emphasize the idea to be further discussed

ถาม ในการทำเช่นนั้น ผู้เขียนอาจคาดหวังที่จะ________

1.   1 สนองความต้องการของเขาเอง 2. ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน 3. สร้างความเข้าใจพื้นฐานร่วมกัน 4. ย้ำถึงแนวคิดที่จะพูดถึงต่อไป

ตอบ 2  ดูคำอธิบายข้อ 75. ประกอบ

60.       Prince Henry was________

(1). a teacher (2) a mariner (3) a founder of a school (4) an explorer

ถาม เจ้าชายเฮนรีเป็น________

1.   1 ครู 2. นักเดินเรือ 3. ผู้ก่อตั้งโรงเรียน 4. นักสำรวจ

ตอบ 3 จากประโยคที่ 3 ของย่อหน้าที่ 2

61.       In paragraph 2, “who” refers to_______.

(1)       Jewish astronomers         (2) Italian and Spanish sailors

(3) Arab mathematicians         (4) map makers

ถาม     ในย่อหน้าที่ 2 “who” อ้างอิงถึง_______

1.         นักดาราศาสตร์ชาวยิว             2. กะลาสีเรือซาวอิตาลีและสเปน

3. นักคณิตศาสตร์ชาวอาหรับ         4. นักเขียนแผนที่

ตอบ 4 ตัวอ้างอิง “who” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความที่กล่าวไปแล้ว ในที่นี้ who = map makers

62.       Prince Henry started his school for the purpose of_____.

(1) helping the mariners   (2) studying astronomy and mathematics

(3) improving his own skill as a sailor       (4) improving ship design and sailing methods

ถาม     เจ้าชายเฮนรีทรงก่อตั้งโรงงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ_______   

1.         ช่วยเหลือนักเดินเรือ

2.         ศึกษาดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์

3.         พัฒนาทักษะของพระองค์เองในฐานะกะลาสีเรือ

4.         ปรับปรุงรูปแบบของเรือและวิธีการเดินเรือ

ตอบ 4  จากย่อหน้าที่ 2-3

63.       Prince Henry wanted to see a ship that could_______.

(1)       make long deep-sea voyages

(2)       explore the coastline of Portugal

(3)       travel faster than those in use at the time

(4)       carry larger crews and more cargo than existing ones

ถาม     เจ้าชายเฮนรีต้องการที่จะเห็นเรือที่สามารถ________    

1.         เดินทางในทะเลลึกได้เป็นระยะทางไกล

2.         สำรวจชายฝั่งของโปรตุเกส

3.         เดินทางได้เร็วกว่าเรืออื่น ๆ ที่ใช้กันสมัยนั้น

4.         บรรทุกลูกเรือและสินค้าได้มากกว่าลำที่ใช้กันอยู่

ตอบ 1  จากย่อหน้าที่ 3

64.       Compared with his caravel, Prince Henry’s carrack was  ________,

(1) able to carry more cargo     (2) able to carry more sail

(3) longer and slimmer     (4) shorter

ถาม     เมื่อเทียบกับเรือคาราเวลของพระองค์ เรือคาร์แร็คของเจ้าชายเฮนรี _____

1. สามารถบรรทุกสินค้าได้มากกว่า    2. สามารถรองรับใบเรือได้มากกว่า

3. ยาวกว่าและเพรียวกว่า       4. สั้นกว่า

ตอบ 4 จากย่อหน้าที่ 3 ที่บอกว่าเรือคาราเวลสามารถรองรับใบเรือได้มากกว่า ยาวกว่า และเพรียวกว่า เรือใด ๆ ดังนั้นแสดงว่าเรือคาร์แร็คก็ต้องรองรับใบเรือได้น้อยกว่า สั้นกว่า และเทอะทะกว่า และสำหรับเรือคาร์แร็คในเนื้อเรื่องก็ไม่ได้บอกว่ามันสามารถบรรทุกสินค้าได้มากกว่า เรือชนิดอื่น

65.    Prince Henry’s principal achievement was to_______.

(1)    make oceanic exploration possible         (2) found a school for mariners

(3) invent the clipper ship       (4) improve the compass

ถาม     ความสำเร็จหลัก ๆ ที่สำคัญของเจ้าชายเฮนรีคือการ 

1. ทำให้การสำรวจมหาสมุทรเป็นสิ่งที่เป็นไปได้        2. ก่อตั้งโรงเรียบนักเดินเรือ

3. ประดิษฐ์เรือใบคลิปเปอร์   4. พัฒนาเข็มทิศ

ตอบ 1  จากย่อหน้าสุดท้าย

Passage 3

1 A few months after returning to the United States from Germany during my Army service, I enrolled in a college course in conversational French. 2 Since I had learned to speak German fluently while overseas, I thought it might be fun to begin studying yet another language.

3 At the first class, the instructor asked us to write a little of our personal history. 4 Then he conducted a pronunciation exercise in which he would say a word or two in French, and each student would do his best to copy. 5 When the instructor got to me, he kept having me say additional words, and I finally asked him why.

6 I find this fascinating,” he explained. 7 In 25 years of teaching languages, it’s the first time I’ve heard a Cherokee Indian from Oklahoma speak French with a German accent.”

1 สองสามเดือนหลังจากเดินทางกลับจากประเทศเยอรมนีในระหว่างที่รับราชการทหารมายัง สหรัฐอเมริกา ผมได้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตรการสนทนาภาษาฝรั่งเศสในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เนื่องจาก ผมได้หัดพูดภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่วขณะที่อยู่ต่างประเทศ ผมจึงคิดว่ามันน่าจะสนุกหากได้เรียน อีกภาษาหนึ่ง

ในคาบเรียนแรก อาจารย์ผู้สอนขอให้พวกเราเขียนประวิดส่วนตัวสั้น ๆ จากนั้นเขาก็เริ่มทำการฝึกออกเสียง ซึ่งเขาจะพูดภาษาฝรั่งเศสหนึ่งถึงสองคำแล้วให้นักศึกษาแต่ละคนพยายามออกเสียงตาม เมื่ออาจารย์เรียกชื่อผม เขาให้ผมพูดคำอื่นเพิ่มเติมคำแล้วคำเล่า และในที่สุดผมจึงถามเขาว่าเพราะอะไร

6 ผมคิดว่าอันนี้แปลกดี” เขาอธิบาย  ผมสอนภาษามา 25 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยิน

ชาวอินเดียแดงเผ่าเชโรกีจากรัฐโอกลาโฮม่าพูดภาษาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงเยอรมัน

66.    The narrator was a/an______.       

(1) American   (2)     German   (3) French         (4) Not mentioned in the passage.

ถาม     ผู้เล่าเป็น______  

1. ชาวอเมริกัน           2. ชาวเยอรมัน           3. ชาวฝรั่งเศส            4. ไม่ได้ระบุไว้ในเนื้อเรื่อง

ตอบ 1  จากย่อหน้าสุดท้าย ทำให้ทราบได้ว่าผู้เล่าเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียแดง

67.    What did the narrator do before taking a college course ?

(1) He took a French course.   (2) He was a soldier.

(3)    He was a college student.       (4) He worked in a company.

ถาม     ผู้เล่าทำอะไรก่อนลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัย

1.         เขาเคยเรียนภาษาฝรั่งเศส      2. เขาเคยเป็นทหาร

3. เขาเคยเป็นนักศึกษาวิทยาลัย         4. เขาเคยทำงานในบริษัท

ตอบ 2 จากประโยคที่ 1 เขารับราชการทหารอยู่ในประเทศเยอรมนี

68.       The narrator took a_______class after returning from Germany.

(1)       history      (2) language      (3) reading         (4) All of the above.

ถาม     ผู้เล่าได้สมัครเรียน_______หลังจากกลับมาจากประเทศเยอรมนี

1. ประวัติศาสตร์         2. ภาษา 3. การอ่าน    4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 2  จากประโยคที่ 1 เขาเรียนการสนทนาภาษาฝรั่งเศส

69.       The narrator learned German by_______.

(1) talking with parents    (2) studying from books

(3) reading after a tape     (4) living in a German environment

ถาม     ผู้เล่าเรียนรู้ภาษาเยอรมันโดย_______   

1. สนทนากับพ่อแม่     2. ศึกษาจากตำรา

3. ฝึกอ่านตามเทป       4. ใช้ชีวิดอยู่ในประเทศเยอรมนี

ตอบ 4 : จากประโยคที่ 2 โดยการเป็นทหารอยู่ที่ประเทศเยอรมนี

70.       According to the passage, at the first class the students were asked to_______.

(1) talk to each other in French         (2) read a paragraph in French

(3) introduce themselves in writing (4) discuss why they took the class

ถาม     จากเนื้อเรื่อง ในคาบแรกนักศึกษาถูกขอให้ _____

1. พูดคุยกันเป็นภาษาฝรั่งเศส                 2. อ่านบทความภาษาฝรั่งเศส

3. แนะนำตัวเองโดยการเขียน   4. อธิบายถึงเหตุผลที่เรียนวิชานี้

ตอบ 3 : จากประโยคที่ 3

71.       Which is correct ?

(1)       The narrator enjoyed studying French.

(2)       The writer could speak German fluently.

(3)       The college the narrator went to was in Oklahoma.

(4)       The narrator was the first student who came from Germany.

ถาม     ข้อใดถูกต้อง

1.         ผู้เล่าสนุกกับการเรียนภาษาฝรั่งเศส

2.         ผู้เขียนสามารถพูดภาษาเยอรมันได้คล่อง

3.         มหาวิทยาลัยที่ผู้เล่าเข้าเรียนอยู่ในรัฐโอกลาโฮม่า

4.         ผู้เล่าเป็นนักศึกษาคนแรกที่มาจากเยอรมนี

ตอบ 2  จากประโยคที่ 2 และจากประโยคที่ 7 ที่แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนสามารถพูดภาษาเยอรมัน ได้คล่องมาก จนฝึกพูดภาษาฝรั่งเศสยังออกสำเนียงเยอรมัน

72.       The narrator wondered why the instructor_______.

(1)       kept asking him to say words (2) never saw a German student

(3) said he spoke French fluently     (4) asked the student to repeat a word

ถาม     ผู้เล่าสงสัยว่าทำไมอาจารย์จึง _______

1.เฝ้าขอให้เขาพูดแล้วพูดอีก   2. ไม่เคยเห็นนักศึกษาชาวเยอรมันมาก่อน

3. พูดว่าเขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่อง 4. ขอให้นักศึกษาว่าตาม

ตอบ 1  จากประโยคที่ 5

73.       The word “this” in the last paragraph refers to_____.

(1)       25 years of teaching languages

(2)       a German speaking French fluently

(3)       a student saying additional words without hesitation

(4)       a Cherokee Indian from Oklahoma speaking French with a German accent

ถาม คำว่า “this” ในย่อหน้าสุดท้าย อ้างอิงถึง_______         

1.         25 ปีของการสอนภาษา

2.         ชาวเยอรมันคนหนึ่งที่พูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่อง

3.         นักศึกษาคนหนึ่งที่พูดคำอื่นเพิ่มเติมโดยไม่ลังเล

4.         ชาวอินเดียแดงเผ่าเชโรกีจากรัฐโอกลาโฮม่าทีพูดภาษาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงเยอรมัน

ตอบ 4 : ตัวอ้างอิง “this” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความ ในที่นี้

this = a Cherokee Indian from Oklahoma speaking French with a German accent ซึ่งเป็นการอ้างอิงไปข้างหน้า

74.       How did the instructor know each student ? (1) Each student wrote him.

(2)       It is not mentioned in the passage. (3) He read each student’s application form. (4) Each student presented himself in front of the class.

ถาม     อาจารย์รู้จักนักศึกษาแต่ละคนได้อย่างไร

1. นักศึกษาแต่ละคนเขียนส่งให้เขา    2. ไม่ได้ระบุไว้ในเนื้อเรื่อง

3. เขาอ่านใบสมัครของนักศึกษาแต่ละคน      4. นักศึกษาแต่ละคนแนะนำตัวหน้าชั้นเรียน

ตอบ 1 จากประโยคที่ 3 ผู้เป็นอาจารย์รู้ว่าผู้เขียนเป็นชาวอินเดียแดงเผ่าเชโรกีมาจากรัฐโอกลาโอม่า เพราะในชั่วโมงเรียนนั้นมีการให้เขียนประวัติส่วนตัว

Passage 4

Everyone remembers his first love. Few experiences will ever be as intense and overwhelming as your first crush.

When teenagers develop a sense of extraordinary closeness with another person, the experience has echoes of the close contact between mother and child in infancy.

Falling in love as a teenager is more intense than the experience in adulthood. But these early relationships usually burn out quickly. One survey showed that at age 15, dating relationships last an average of only three to four months.

Researchers have identified pathways in the brain which light up when teenagers are in love. Falling in love seems to have a similar effect on the brain as using cocaine. It’s so pleasurable, and it’s almost like an addiction.

Researchers have identified three phases of love. The initial physical response is ‘lust.’ The falling in love is called ‘attraction.’ The emotional commitment, required to make relationships last in the long term, is known as ‘attachment.’

Teenagers seem to experience the attraction phase more strongly than adults, but their failure to enter the attachment phase may be to blame for the short-term nature of their relationships.

However short-lived it might turn out to be, an experience of passionate love can quickly become the most important thing in a young person’s life. Teenagers in love spend endless hours talking, either on the phone or face to face.

This intimacy teaches them about their own identity, simply through becoming close to someone else. Intimacy also involves openness, sharing and trust, so it also contributes to maturity.

ทุกคนจำรักครั้งแรกของตัวเองได้ แทบไม่มีประสบการณ์ใดที่จะลึกซึ้งและยิ่งใหญ่เท่ากับรัก ครั้งแรกของเรา

เมื่อวัยรุ่นมีความรู้สึกใกล้ชิดเป็นพิเศษกับใครคนหนึ่ง ประสบการณ์นี้ก็จะคล้ายๆ กับความสัมพันธ์ ใกล้ชิดระหว่างแม่กับลูกในวัยทารก

การตกหลุมรักในวัยรุ่นจะลึกซึ้งรุนแรงมากกว่าการตกหลุมรักในวัยผู้ใหญ่ แต่ความสัมพันธ์ของ วัยรุ่นนี้โดยปกติจะมอดดับลงไปอย่างรวดเร็ว ผลการสำรวจชิ้นหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่าสำหรับวัยรุ่นอายุ 15 ปี ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการนัดพบกันนั้นจะอยู่ได้นานเฉลี่ยประมาณสามถึงสี่เดือนเท่านั้น

นักวิจัยได้พบว่าความคิดในสมองจะสว่างขึ้นเมื่อวัยรุ่นตกหลุมรัก การตกหลุมรักดูเหมือนว่า จะมีผลกระทบต่อสมองเช่นเดียวกับการเสพโคเคน มันช่างมีความสุข และมันเกือบเหมือนกับอาการติดยาเลยทีเดียว

นักวิจัยได้แบ่งขั้นของความรักออกเป็น 3 ขั้น การตอบสนองทางร่างกายในช่วงแรกก็คือ ‘‘ความใคร่” การตกหลุมรักจะเรียกว่า ความดึงดูดใจ” ส่วนข้อผูกมัดทางอารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ความสัมพันธ์ คงอยู่ยาวนานจะเรียกว่า ความผูกพัน

ดูเหมือนว่าวัยรุ่นจะประสบกับขั้นความดึงดูดใจที่รุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ความล้มเหลวที่จะ ก้าวเข้าสู่ขั้นความผูกพันก็น่าจะเกิดจากธรรมชาติของความสัมพันธ์ของพวกเขาที่สั้นเกินไป

ถึงแม้ความสัมพันธ์นี้จะอยู่ได้ช่วงสั้นแค่ไหนก็ตาม แต่ประสบการณ์ของความรักที่รุนแรงก็สามารถ กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนหนุ่มสาวได้ในฉับพลัน วัยรุ่นที่อยู่ในห้วงแห่งความรักจะใช้เวลานาน หลายชั่วโมง พูดคุยกันไม่รู้จักจบ ไมว่าจะทางโทรศัพท์หรือเมื่ออยู่ต่อหน้ากัน

ความใกล้ชิดสนิทสนมกันนี้จะสอนพวกเขาเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขาเองโดยเพียงการได้ใกล้ชิด กับใครบางคน นอกจากนั้นความใกล้ชิดสนิทสนมยังเกี่ยวข้องกับการเปิดเผย การมีส่วนร่วม และความเชื่อใจกัน ดังนั้นมันจึงมีส่วนสร้างความเป็นผู้ใหญ่ไปด้วยพร้อมกัน

75.       The passage is about_______

(1) teenagers’ falling in love (2) three stages of love

(3) importance of falling in love (4) the first love

ถาม เนื้อเรื่องนี้พูดเกี่ยวกับ_______

1. การตกหลุมรักของวัยรุ่น        2. ความรัก 3 ขั้น

3. ความสำคัญของการตกหลุมรัก 4. รักครั้งแรก

ตอบ 1 เนื้อเรื่องนี้ส่วนใหญ่พูดถึงความรักของวัยรุ่นว่ามีลักษณะอย่างไร

76.       The word “crush” in the first paragraph means_____

(1) pressure   (2) love   (3) experience   (4) relationship

ถาม คำว่า “crush” ในย่อหน้าแรก หมายถึง______

1.   1 ความกดดัน 2. ความรัก 3. ประสบการณ์ 4. ความสัมพันธ์

ตอบ 2  crush (n.)ในที่นี้เน้นภาษาพูด แปลว่า ความรู้สึกรักอย่างรุนแรงในช่วงสั้นๆหรือ ความหลงใหล

77.       The phrase “burn out” in the third paragraph is similar in meaning to________

(1) last    (2) fire    (3) disappear    (4) drop

ถาม วลี “bum out” ในย่อหน้าที่ 3 มีความหมายคล้ายกับคำว่า______

1. อยู่ได้นาน   2. ไฟ    3. หายไป   4. ลดลง

ตอบ 3  burn out (v.) แปลว่า มอดดับไปเอง

78.       According to the passage, the first love is______

(1) everlasting (2) weak (3) joyful (4) unforgettable

ถาม จากเนื้อเรื่อง ความรักครั้งแรก______

1.   1 คงอยู่ตลอดไป 2. เปราะบาง 3. เต็มไปด้วยความสุข 4. ไม่อาจลืมได้

ตอบ 4  จากย่อหน้าที่ 1

79.       According to the passage, most teenagers who fall in love________

(1) are close to mothers (2) use cocaine

(3) cannot maintain the relationship (4) feel happier than adults

ถาม จากเนื้อเรื่อง วัยรุ่นส่วนใหญ่ที่ตกหลุมรัก________

1.   มีความใกล้ชิดกับแม่ 2. เสพโคเคน 3. ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้ 4. รู้สึกมีความสุขมากกว่าผู้ใหญ่

ตอบ 3 จากย่อหน้าที่ 3

80.       When you are physically attracted to someone, you are in the________stage of love.

(1) first    (2) second    (3) third      (4) first and second

ถาม เมื่อคุณพึงพอใจในรูปกายของใครบางคน คุณอยู่ในความรักขั้น_______

1.   1 ที่หนึ่ง    2. ที่สอง    3. ที่สาม    4. ทั้งที่หนึ่งและที่สอง

ตอบ 1  จากย่อหน้าที่ 5 คือ ขั้นของความใคร่

81.    According to the passage_________.

(1)    teenagers never go to the attachment stage

(2)    love in teenagers is meaningless because it is short

(3)    we fall in love because love reminds US of our experiences during childhood

(4)    events occurring in the brain when we are in love have similarities with when we use cocaine

ถาม จากเนื้อเรื่อง_________

1.      วัยรุ่นไม่มีทางไปถึงขั้นความผูกผัน

2.      ความรักของวัยรุ่นไม่มีความหมายเพราะมันสั้น

3.      เราตกหลุมรักเพราะความรักเตือนเราให้ระลึกถึงประสบการณ์ไนวัยเด็ก

4.      สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองในช่วงที่เราตกหลุมรักจะคล้ายคลึงกับเวลาที่เราเสพโคเคน

ตอบ 4  จากย่อหน้าที่ 4

82.    When we are falling in love, we are in the stage.

(1) lust  (2) attraction  (3) attachment   (4) 1 or 2

ถาม เมื่อเรากำลังตกหลุมรัก เราอยู่ในความรักขั้น______

1.   1 ความใคร่    2. ความดึงดูดใจ   3. ความผูกพัน   4. ข้อ 1 หรือ 2

ตอบ 2  จากย่อหน้าที่ 5

83.    In what stage are teenagers in love when they spend endless hours talking, either on the phone or face to face ?

(1) first    (2) second    (3) third    (4) first or second

ถาม วัยรุ่นอยู่ในความรักขั้นใด เมื่อพวกเขาใช้เวลาหลาย ๆ ชั่วโมงไปกับการพูดคุยกัน ทั้งทางโทรศัพท์หรือเมื่ออยู่ต่อหน้ากัน

1. ที่หนึ่ง   2. ที่สอง    3. ที่สาม    4. ที่หนึ่งและที่สอง

ตอบ 2 จากย่อหน้าที่ 6 และ 7 คือ ขั้นความดึงดูดใจ

84.    Which of the following could best combine sentence 1 with sentence 2 in the first paragraph ?

(1) because   (2) so    (3) but    (4) although

ถาม คำใดต่อไปนี้เหมาะที่จะใช้เชื่อมประโยคที่ 1 กับประโยคที่ 2 ในย่อหน้าแรก

1.   1 เพราะว่า    2. ดังนั้น    3. แต่ว่า   4. แม้ว่า

ตอบ 1  เพราะประโยคที่ 1 เป็นผลของประโยคที่ 2

85.    The word “quickly” in paragraph 3 refers to_______

(1) the age of 15 (2) average 4 (3) 3 to 4 months (4) a year

ถาม คำว่า “quickly” ในย่อหน้าที่ 3 หมายถึง______

1.   1 อายุ 15 ปี     2. เฉลี่ย 4     3. 3 – 4 เดือน     4. หนึ่งปี

ตอบ 3 นั่นคือ ความสัมพันธ์ของวัยรุ่นจะจางหายไปอย่างรวดเร็วภายใน 3-4 เดือน

86.    Which word or words is/are analyzed in paragraph 5 ?

(1) researchers (2) lust (3) attachment phase (4) phases of love

ถาม     คำหรือกลุ่มคำในข้อใดที่ถูกพิจารณาในย่อหน้าที่ 5

1. นักวิจัย        2. ความใคร่     3. ขั้นความผูกพัน        4. ขั้นของความรัก

ตอบ 4  พูดถึงขั้นของความรัก 3 ขั้น

87. The ideas in paragraph 8 are the_______the ideas in paragraph 7.

(1)       reasons for       (2) causes of      (3) examples of (4) definitions of

ถาม     ใจความในย่อหน้าที่ 8 เป็น______ใจความในย่อหน้าที 7

1. เหตุผลของ  2. สาเหตุของ   3. ตัวอย่างของ            4. คำนิยามของ

ตอบ 3 ในย่อหน้าที่ 7 ผู้เขียนบอกว่าความรักของวัยรุ่นก็มีความสำคัญ โดยได้ยกตัวอย่างว่า มันสำคัญอย่างไรไว้ในย่อหน้าที่ 8

Passage 5

Grass covers nearly one-fourth of the whole earth. It provides food for people and animals. It protects hilly pastures from washing away. It carpets our lawns and parks. In Asia a giant grass, bamboo, is used to build houses, and to make tools, bowls, and even paper.

1 Much of the food we eat comes from grass. 2 Bread is made from flour, which is made by grinding the seeds of grasses. 3 The seeds of wheat and rye are the most common grains used to make bread. 4 Corn, rice, oats, barley and millet are other grasses whose seeds are made into bread and cereals. Much of the sugar that sweetens GUI deserts was refined from stem juices of a giant grass, sugarcane.

Many of the world’s other animals eat grass, too. Cattle, sheep, goats and many wild animals live mostly on grass. They change this green grass into meat and milk, which people eat. Many meat-eating animals eat grass-eating animals, so their food, too, comes first from grass.

There are over six thousand different kinds of grasses in this huge plant family. Some of the grasses are tiny, hairlike, green strands. Others, like the giant bamboos, are as tall as trees.

Life on earth would be much poorer without grasses, for these green stems and leaves and nutritious seeds feed so many people and animals.

หญ้าปกคลุมพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ของโลก มันเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์และสัตว์ มันช่วยปกป้องเนินทุ่งหญ้าจากการถูกกัดเซาะ มันเป็นพรมปูสนามและสวนสาธารณะของเรา ในทวีปเอเชีย ต้นไผ่ ซึ่งเป็นต้นหญ้าขนาดยักษ์ถูกนำมาใช้สร้างบ้านและใช้ทำเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ ถ้วยขาม และแม้แต่กระดาษ

1 อาหารที่เรารับประทานจำนวนไม่น้อยมาจากหญ้า 2 ขนมปังทำมาจากแป้งซึ่งได้มาจาก การบดเมล็ดของตันหญ้า 3 เมล็ดของข้าวสาลีและข้าวไรย์เป็นเมล็ดธัญพืชส่วนใหญ่ที่ใช้ทำขนมปัง 4 ข้าวโพด ข้าวเจ้า ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ และข้าวฟ่าง ก็เน้นต้นหญ้าอีกชนิดหนึ่งที่เมล็ดของมันสามารถ นำมาใช้ทำขนมปังและธัญญาหาร (5)น้ำตาลที่เติมความหวานให้กับขนมของเรา ส่วนใหญ่ก็ได้มาจาก น้ำหวานในลำต้นของต้นหญ้าขนาดยักษ์ นั่นคือ ต้นอ้อย

สัตว์อื่น ๆ ในโลกส่วนใหญ่ก็กินหญ้าด้วยเช่นกัน วัว ควาย แกะ แพะ และสัตว์ป่าอีกจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็อาศัยหญ้าเป็นอาหาร พวกมันเปลี่ยนหญ้าสีเขียวนี้ไปเป็นเนื้อและนมให้มนุษย์กิน สัตว์กินเนื้อ จำนวนมากกินสัตว์กินหญ้า ดังนั้นอาหารของพวกมันเดิมทีก็มาจากหญ้าเช่นเดียวกัน

ในตระกูลพืชที่ยิ่งใหญ่นี้ มีหญ้าชนิดต่าง ๆ มากกว่า 6 พันชนิด บางชนิดเป็นเส้นเกลียว ลีเขียว เล็ก ๆ คล้ายเส้นผม บางชนิดสูงเท่าต้นไม้ เช่น ต้นไผ่ยักษ์

ชีวิตต่าง ๆ บนโลกคงแย่ลงมากหากปราศจากต้นหญ้า เพราะลำต้นและใบเขียว ๆ รวมทั้ง เมล็ดที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการของมันเหล่านี้ คืออาหารของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย

88.       What is the main idea of paragraph 1 ?

(1)       Grass is useful.

(2)       Bamboo is a kind of grass.

(3)       Grass provides a good playground.

(4)       Grass covers nearly one-fourth of the earth.

ถาม     อะไรคือใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 1

1. ต้นหญ้ามีประโยชน์    2. ไผ่เป็นหญ้าชนิดหนึ่ง

3. หญ้าทำให้สนามเด็กเล่นดี  4. หญ้าปกคลุมพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ของโลก

ตอบ 1 ผู้เขียนพูดถึงต้นหญ้าว่ามีประโยชน์อย่างไร

89.       In paragraph 1, “carpets” is closing in meaning to_____.

(1) spreads         (2) covers  (3) provides       (4) gives

ถาม     ในย่อหน้าที่ 1 คำว่า “carpets” มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า 

1. ปู     2. ปกคลุม       3. จัดหาให้      4. ให้

ตอบ 1 ในที่นี้ carpets เป็นคำกริยา (vt.) แปลว่า ปู (ด้วยพรม/เหมือนพรม) มีความหมาย ใกล้เคียงกับคำว่า spread (vt.) = แผ่ ปู ลาด (ให้เรียบ)

90.       It cannot be concluded from paragraph 1 that_____.

(1) animals eat grass          (2) grass preserves pastures .

(3) bamboo originated in Asia (4) grass can be used for shelter

ถาม     จากย่อหน้าที่ 1 ไม่สามารถสรุปได้ว่า______        

1. สัตว์กินหญ้า            2. หญ้าช่วยรักษาเนินทุ่งหญ้าเอาไว้

3. ไผ่มีต้นกำเนิดในเอเชีย        4. หญ้านำมาทำเป็นที่อยู่อาศัยได้

ตอบ 3  เพราะเพียงแค่บอกว่า ในเอเชียมีการนำไผ่มาทำเป็นเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ไม่ได้ หมายความว่าต้นไผ่มีต้นกำเนิดในเอเชีย

91.       Sentence_____is the topic sentence in paragraph 2.

(1) 1    (2) 2    (3) 3    (4) 4

ถาม     ประโยคที่_______คือ ประโยคใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 2

1. 1      2. 2      3. 3      4. 4

ตอบ 1 ส่วนประโยคที่ 2-5 เป็นประโยคขยายความประโยคที่ 1

92.       According to the passage, grass________

(1) is usually grown professionally (2) plays a small role in the food chain

(3) can be easily grown by anyone (4) feeds both man and animals

ถาม จากเนื้อเรื่อง หญ้า_______

1.   โดยปกติมีการปลูกกับเป็นอาชีพ 2. ไม่ค่อยมีบทบาทในห่วงโซ่อาหาร 3. ใคร ๆ ก็ปลูกได้ไม่ยุ่งยาก 4. เป็นอาหารให้กับทั้งมนุษย์และสัตว์

ตอบ 4  จากย่อหน้าที่ 2  3 และ 5

93.       How many giant grasses are mentioned in the passage ?

(1) 1         (2) 2        (3) 3       (4) 4

ถาม มีหญ้าขนาดยักษ์กี่ชนิดที่กล่าวถึงในเนื้อเรื่อง

1.1                    2. 2               3. 3              4. 4

ตอบ 2  คือ ต้นไผ่ และต้นอ้อย

94.       According to the passage, bread cannot be made from_______

(1) millet    (2) corn    (3) sugarcane      (4) rice

ถาม ตามเนื้อเรื่อง ขนมปังไม่สามารถทำมาจาก______

1.   ข้าวฟ่าง      2. ข้าวโพด        3. อ้อย       4. ข้าวเจ้า

ตอบ 3  จากย่อหน้าที่ 2

95.       If you want to know about the physical appearance of grass, you have to read paragraph_________

(1) 1          (2) 2          (3) 3          (4) 4

ถาม หากคุณต้องการรู้เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของหญ้า คุณต้องอ่านย่อหน้าที่

1.1        2. 2         3. 3          4. 4

ตอบ 4 หญ้าบางชนิดเล็กเท่าเส้นผม บางชนิดสูงเท่าต้นไม้

96.       There are about______kinds of grass.

(1) 75         (2) 150         (3) 1,000        (4) 6,000

ถาม ต้นหญ้ามีประมาณ_______ชนิด

1.   75          2. 150            3. 1,000            4. 6,000

ตอบ 4  จากประโยคแรกของย่อหน้าที่ 4

97.       This passage leads US to believe that grasses are an important part of________

(1) farming (2) our food supply (3) our oceans (4) a greenhouse

ถาม เนื้อเรื่องนี้ชักนำให้เราเชื่อว่าหญ้ามีความสำคัญต่อ______

1.   1 การทำเกษตรกรรม 2. แหล่งอาหารของเรา 3. มหาสมุทรของเรา 4. เรือนเพาะชำ

ตอบ 2  จากย่อหน้าที่ 5ซึ่งผู้เขียนสรุปว่าหญ้ามีคุณค่าในฐานะที่เป็นแหล่งอาหารของเรา

98.       The writer feels that grass is______.

(1) valuable       (2) unnecessary

(3) hard to take care of     (4) grown in few places

ถาม     ผู้เขียนมีความคิดว่าหญ้า______ 

1. มีคุณค่า       2. ไม่มีความจำเป็น      3. ยากที่จะดูแล           4. ปลูกกันในไม่กี่พื้นที่

ตอบ 1  ดูคำอธิบายข้อ 97. ประกอบ

99.       We can conclude that grass is not______.

(1) a plant (2) common      (3) a tree   (4) None is correct.

ถาม     เราลามารถสรุปได้ว่า ต้นหญ้าไม่ใช่________    

1. พืช   2. พบได้ทั่วไป  3. ต้นไม้           4. ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3  จากประโยคที่ 3 ของย่อหน้าที่ 4 ที่บอกว่าหญ้าบางชนิดสูงเท่าต้นไม้ แสดงว่าหญ้าไม่ใช่ต้นไม้

100.    This passage is basically______.

(1) narrative      (2) imaginative (3) comical         (4) factual

ถาม     โดยพื้นฐานเนื้อเรื่องนี้มีลักษณะ_______

1. เชิงบรรยาย              2. เชิงจินตนาการ          3. เชิงขบขัน  4. เสนอข้อเท็จจริง

ตอบ 4  เป็นการเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสำคัญของหญ้า

WordPress Ads
error: Content is protected !!