LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หลักการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักการที่รัชกาลที่ 4 ทรงเรียกว่าระบบนับถือกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบันที่กล่าวถึงหลักการนี้อยู่เสมอคือ หลักนิติรัฐ (Legal State) คือรัฐในระบบเสรีนิยมประชาธิปไตยหรือประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงขอให้นักศึกษาอธิบายสาระสำคัญของ “ระบบนับถือกฎหมาย” หรือ “หลักนิติรัฐ” (Legal State) ว่ามีสาระสำคัญอย่างไร และหลักนิติรัฐนั้นเนื้อหาของกฎหมายต้องเป็นกฎหมายที่ดี หรือมีความยุติธรรมเป็นยุติธรรมรัฐหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ตาม “ทฤษฎีเสรีนิยม” จะกำหนดให้รัฐอยู่ภายใต้กฎหมาย ทั้งนี้เพราะทฤษฎีนี้เน้นเรื่องเสรีภาพของปัจเจกชน ซึ่งถือว่ารัฐจะก่อให้เกิดความเสียหายหรือจำกัดเสรีภาพของบุคคลตามอำเภอใจไม่ได้ ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายที่มีอยู่ ทฤษฎีนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแนวความคิดของนักกฎหมายชาวฝรั่งเศสชื่อกาเร เดอ มัลแบร์ (Carre de Malberg) อันทำให้เกิดแนวความคิดในการให้รัฐอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งอาจอธิบายแนวความคิดดังกล่าวได้ดังนี้คือ

  1. แนวความคิดเรื่องการจำกัดตนเอง (Auto-limitation) และ
  2. แนวความคิดเรื่องนิติรัฐ (Legal State)

ลักษณะสำคัญของ “นิติรัฐ” อธิบายโดยสรุปได้ว่า “นิติรัฐเป็นรัฐที่ต้องยอมตนอยู่ใต้ระบบกฎหมายในความสัมพันธ์กับปัจเจกชนและเพื่อคุ้มครองสถานะของปัจเจกชนโดยรัฐยอมตนอยู่ใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนด” ดังนั้นใน “นิติรัฐ” การกระทำของรัฐต่อปัจเจกชนจึงมีอยู่สองนัย คือ

  1. รัฐต้องกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
  2. รัฐต้องกำหนดวิธีการและมาตรการซึ่งรัฐหรือหน่วยงานของรัฐสามารถใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด

ซึ่งกฎเกณฑ์ทั้ง 2 ประการดังกล่าวทำให้เกิดผล คือ “การจำกัดอำนาจรัฐ” หมายความว่าการใช้ “อำนาจรัฐ” จะต้องอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายที่รัฐกำหนด

ด้วยเหตุนี้ เมื่อฝ่ายปกครองเข้าไปมีนิติสัมพันธ์กับประชาชน ฝ่ายปกครองจึงไม่สามารถจะฝ่าฝืนหรือหลีกเลี่ยงกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นนิติรัฐที่มีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์แล้ว กรณีก็จะเข้มงวดถึงกับว่าถ้าไม่มีกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้นให้อำนาจฝ่ายปกครองไว้ ฝ่ายปกครองก็ไม่อาจจะกระทำการใด ๆ อันเป็นการบังคับประชาชนได้เลยถ้าประชาชนไม่สมัครใจ ซึ่งหมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้นให้อำนาจฝ่ายปกครองไว้โดยตรงหรือโดยปริยาย ฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถใช้มาตรการอย่างใด ๆ ต่อประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองได้เลย

ใน “นิติรัฐ” แม้จะมีกฎหมายให้อำนาจฝ่ายปกครองไว้ ฝ่ายปกครองก็ยังต้องดำเนินการตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้นั้นด้วย “วิธีการ” และตาม “ขั้นตอน” ที่กฎหมายกำหนด หรืออาจจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ฝ่ายปกครองซึ่งเป็นองค์กรใช้อำนาจรัฐจะกระทำการอย่างใด ๆ ต่อประชาชนได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจไว้ และด้วยวิธีการที่ระบบกฎหมายในขณะนั้นได้กำหนดไว้ เท่านั้น

หากฝ่ายปกครองละเมิดหลักการแห่ง “นิติรัฐ” ดังกล่าว ประชาชนก็สามารถดำเนินคดีกับการกระทำที่มิชอบทุกประเภทของฝ่ายปกครองโดยการร้องขอต่อผู้มีอำนาจวินิจฉัยขอให้ “ยกเลิก” หรือขอให้“เพิกถอน” หรือขอให้ “เปลี่ยนแปลงแก้ไข” การกระทำหรือคำสั่งอันมิชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายปกครองนั้นได้

กล่าวโดยสรุป “นิติรัฐ” ก็คือ ระบบที่สร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นหลักในการป้องกันและแก้ไขเยียวยาการใช้อำนาจรัฐตามอำเภอใจของฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ก็เพื่อคุ้มครอง “สิทธิและเสรีภาพของประชาชน” นั้นเอง

ดังนั้นสาระสำคัญของนิติรัฐ ก็คือ

  1. การจำกัดการใช้อำนาจรัฐหรือการจำกัดทารใช้อำนาจของผู้ปกครอง โดยจะต้องให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย และกฎหมายนั้นต้องเป็นกฎหมายที่ดี
  2. ต้องคุ้มครองสิทธิเสริภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ปกครอง
  1. เนื้อหาของการปกครองโดยหลักนิติรัฐ (Legal state) กฎหมายนั้นต้องถูกต้องเป็นธรรม ยุติธรรม สมเหตุสมผล ไม่ขัดต่อหลักกฎหมายที่ดี ซึ่งกฎหมายต้องห้ามไม่ให้กระทำในสิ่งที่ชั่วร้าย ไม่ใช่เอาสิ่งชั่วร้ายมาเป็นกติกาของสังคม การปกครองโดยกฎหมายดังกล่าวนี้ล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ทรงเรียกว่า “ระบบนับถือกฎหมาย”

ข้อ 2. จงอธิบายว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนมีความสัมพันธ์และมีความสำคัญต่อตัวนักศึกษาอย่างไร

ธงคำตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ฃองประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมายปกครองนั้นอาจจะอยู่ในชื่อของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ประมวลกฎหมายหรืออาจจะอยู่ในชื่อของประกาคคณะปฏิวัติก็ได้

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการรางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งทางปกครอง ให้อำนาจในการออกกฎ ให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

ซึ่งในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญรวมทั้งการใช้อำนาจทางปกครองในการออกกฎ ออกคำสั่งทางปกครอง หรือการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่นและการทำสัญญาทางปกครองขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ก็เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมของประเทศ ซึ่งรวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย ดังนั้นในการใช้อำนาจต่าง ๆ หรือการกระทำต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงต้องมีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ด้วย เพราะถ้าไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ องค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะไม่สามารถที่จะดำเนินการใด ๆ ได้

และนอกจากนั้น ในการใช้อำนาจต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็จะต้องได้ใช้อำนาจโดยถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย เช่น หลักความชอบด้วยกฎหมาย หลักความสุจริต หลักประโยซน์สาธารณะ หลักความยุติธรรม และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะใช้อำนาจทางปกครองเพื่อออกกฎ เช่น ระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัยหรือออกคำสั่งทางปกครอง หรือกระทำการทางปกครองในรูปแบบอื่น หรือการทำสัญญาทางปกครองในการบริหารมหาวิทยาลัยเพื่อประโยชน์ฃองมหาวิทยาลัยและนักศึกษาทุกคน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยนั้นก็จะต้องมีกฎหมายมหาชน ซึ่งในที่นี้คือ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นกฎหมายปกครองได้บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ด้วย และจะต้องใช้อำนาจและหน้าที่นั้นโดยถูกต้องตามหลักการต่าง ๆ ของกฎหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้นด้วย เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยได้ใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือเป็นการใช้อำนาจโดยที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ หรือได้ใช้อำนาจและหน้าที่ไม่ถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนแล้ว ย่อมอาจก่อให้เกิดข้อพิพาท เรียกว่า ข้อพิพาททางปกครองขึ้นมาได้ และเมื่อเกิดข้อพิพาททางปกครองหรือคดีปกครองขึ้นมาแล้ว ก็สามารถนำข้อพิพาทนั้นไปฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้

ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชน จะมีความสัมพันธ์และมีความสำคัญต่อข้าพเจ้า ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

ข้อ 3. จงอธิบายทฤษฎี การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ โดยละเอียด พร้อมทั้งอธิบายวิวัฒนาการของการจัดตั้งศาลปกครองของไทย

ธงคำตอบ

การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ หมายถึง การควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ หน่วยงานของรัฐนั่นเอง ซึ่งการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีได้ 2 รูปแบบ คือ

  1. อำนาจผูกพัน คือ อำนาจหน้าที่ที่องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐต้องปฏิบัติเมื่อมีข้อเท็จจริง

อย่างใด ๆ เกิดขึ้นตามที่กฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ ได้บัญญัติกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนี้องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐจะต้องออกคำสั่ง และคำสั่งนั้นต้องมีเนื้อความเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น เรื่องการร้องขอจดทะเบียนสมรส เมื่อชายและหญิงผู้ร้องขอมีคุณสมบัติครบถ้วนและปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการสมรสที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. แล้ว นายทะเบียนครอบครัวจะต้องทำการจดทะเบียนสมรสให้แก่ผู้ร้องขอเสมอ เป็นต้น

  1. อำนาจดุลพินิจ อำนาจดุลพินิจแตกต่างกับอำนาจผูกพันข้างต้น กล่าวคือ อำนาจดุลพินิจเป็นอำนาจที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหรือองค์กรฝ่ายปกครองของรัฐสามารถเลือกตัดสินใจออกคำสั่ง หรือเลือกสั่งการอย่างใด ๆ ได้ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพื่อให้บรรลุตามความมุ่งหมายหรือตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง อำนาจดุลพินิจก็คือ อำนาจที่กฎหมายเปิดช่องให้องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐมีอิสระในการตัดสินใจเมื่อมีเหตุการณ์หรือมีข้อเท็จจริงใด ๆ ที่กำหนดไว้เกิดขึ้น

เหตุที่ต้องมีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวก็เพราะกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ไม่เสมอภาค รัฐ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจเหนือประชาชนหากไม่มีการควบคุม เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐอาจใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ การใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ หน่วยงานของรัฐ กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใช้อำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมาย หรือใช้อำนาจนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน

วิธีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

  1. การควบคุมแบบป้องกัน หมายถึง ก่อนที่ฝ่ายบริหารจะได้วินิจฉัยสั่งการหรือก่อนจะมีการกระทำในทางปกครอง ที่จะไปกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะมีระบบป้องกันเสียก่อน กล่าวคือ มีกฎหมายกำหนดกระบวนการ หรือขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนที่จะมีคำสั่งออกไป

กระบวนการควบคุมดังกล่าวในกฎหมายของต่างประเทศมีตัวอย่างเช่น

–           การโต้แย้งคัดค้าน คือ ผู้ที่อาจเสียหายจากการกระทำของฝ่ายปกครองจะต้องสามารถแสดงข้อโต้แย้งของตนได้ก่อนมีการกระทำนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยง “การปกครองที่ดื้อดึง”

–           การปรึกษาหารือ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ

–           การให้เหตุผล เพื่อเป็นหลักประกันในการควบคุมการใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครอง

–           หลักการไม่มีส่วนได้เสีย กล่าวคือ ผู้มีอำนาจสั่งการทางปกครองต้องไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่สั่งการนั้น

–           การไต่สวนทั่วไปเป็นวิธีการที่กำหนดให้ฝ่ายปกครองต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยทำการรวบรวมความคิดเห็นของบุคคลที่มีส่วนได้เสีย แล้วทำเป็นรายงานก่อนที่ฝ่ายปกครองจะตัดสินใจกระทำการที่จะมีผลกระทบผู้มีส่วนได้เสีย

การควบคุมแบบป้องกัน จึงเป็นวิธีการที่ช่วยเสริมการควบคุมโดยทางศาล เพราะฝ่ายปกครองจะต้องระมัดระวังในขั้นตอนการพิจารณาออกคำสั่ง ทำให้การกระทำของฝ่ายปกครองมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดคดีที่จะมีไปสู่ศาลอีกทางหนึ่งด้วย

  1. การควบคุมแบบแก้ไข หรือการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง หลังการใช้อำนาจทางปกครองไปแล้ว สามารถกระทำได้หลายวิธี ดังนี้

1)         การควบคุมโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหารเอง เช่น

–           การร้องทุกข์

–           การอุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยทางปกครอง

2)         การควบคุมโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหาร เช่น

– การควบคุมโดยทางการเมือง ได้แก่ การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

–           การควบคุมโดยองค์กรพิเศษ ได้แก่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน

–           การควบคุมโดยศาลปกครอง

การควบคุมแบบแก้ไขนี้ เป็นการใช้อำนาจทางปกครองไปแล้ว และเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจทางการปกครองนั้นขึ้น จึงต้องแก้ไขปัญหาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้

วิวัฒนาการของการจัดดั้งศาลปกครองของไทย

ศาลปกครองของไทย เป็นผลผลิตที่เกิดจากวิวัฒนาการทางความคิดในระบบกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ทำกับอังกฤษใน พ.ศ. 2398 ซึ่งเป็นการทำให้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของประเทศไทยให้แก่ชาติมหาอำนาจตะวันตก

ทำให้ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงต้องเร่งรีบปฏิรูประบบกฎหมายของประเทศไทยโดยเร่งด่วน โดยเลือกที่จะนำระบบประมวลกฎหมายของฝรั่งเศสมาเป็นต้นแบบ ด้วยเหตุผลที่ว่าสามารถคัดลอกกฎหมายลายลักษณ์อักษรมาใช้ได้เลย ซึ่งจะทำให้การปฏิรูปกฎหมายของไทยเกิดความรวดเร็วขึ้น

ความพยายามก่อตั้งศาลปกครองของไทยนั้นได้มีมายาวนานกว่า 130 ปี โดยในปี พ.ศ. 2417พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้วางรากฐานให้กับศาลปกครองของไทย โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติ เคาน์ซิล ออฟ สเตต (Council of State) “จัดตั้งที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน” ซึ่งมีอิทธิพลในการจัดตั้งองค์กรเพื่อทำหน้าที่พิจารณาเรื่องที่ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากราชการ ซึ่งในเวลาต่อมาคือ “คณะกรรมการกฤษฎีกา” และ “คณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์” รวมทั้ง “คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์”ตามลำดับ จนต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้มีบทบัญญัติให้จัดตั้งศาลปกครองขึ้น และในปี พ.ศ. 2542 ได้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นสำเร็จ ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542 และตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ดังกล่าว ก็ได้บัญญัติถึงคดีพิพาทประเภทใด ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ทำให้ทราบถึงความแตกต่างของขอบเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลยุติธรรมและศาลปกครอง

LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ให้อธิบายความหมายของ “กฎหมายมหาชน” และความแตกต่างระหว่างหลักกฎหมายมหาชน หลักกฎหมายเอกชน อธิบายมาให้เข้าใจอย่างละเอียด

ธงคำตอบ

เมื่อพิจารณาจากความหมาย ลักษณะ และขอบเขตของกฎหมายมหาชนแล้ว สามารถที่จะสรุปได้ว่า “กฎหมายมหาชน” เป็นกฎหมายที่มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้ คือ

  1. เป็นกฎหมายที่มีลักษณะในการกำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ของคู่กรณี โดยที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นองค์กรของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมีการสร้างนิติสัมพันธ์กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยอาจเป็นองค์กรของรัฐด้วยกัน หรืออาจเป็นคู่กรณีที่มีสภาพบุคคลตามกฎหมายเอกชนก็ได้
  2. เป็นกฎหมายที่มีลักษณะในการมุ่งถึงประโยชน์ในการสร้างนิติสัมพันธ์ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะ
  3. เป็นกฎหมายที่มีลักษณะในการสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยไม่จำต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งหลักความเสมอภาค กล่าวคือ คู่กรณีฝ่ายรัฐสามารถมีอำนาจบังคับเหนือคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นเอกชนได้ หากเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะ
  4. เป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางกฎหมายเป็นการทั่วไป โดยคู่กรณีจะเจรจาหรือตกลงกันเองว่าจะนำกฎหมายใดมาใช้หรือไม่ใช้กฎหมายใดมีได้ (หากมีการทำข้อตกลงยกเว้นย่อมถือได้ว่ามีลักษณะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนได้)
  5. เป็นกฎหมายที่กำหนดให้ศาลพิเศษมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดี หากเกิดกรณีข้อพิพาทขึ้นศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดี คือ ศาลพิเศษ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองเป็นต้น (ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามลักษณะข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณี)สำหรับความแตกต่างระหว่างหลักกฎหมายมหาชนกับหลักกฎหมายเอกชนนั้น สามารถแยกออกเป็นหัวข้อที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
  6. ความแตกต่างทางด้านองค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทำนิติสัมพันธ์ (ทฤษฎีตัวการ) กฎหมายมหาชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทำนิติสัมพันธ์ ได้แก่ รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง กฎหมายเอกชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทำนิติสัมพันธ์ ได้แก่ เอกชนที่เป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง
  1. ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย (ทฤษฎีผลประโยชน์)กฎหมายมหาชน มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะและการให้บริการสาธารณะ โดยมิได้มีความมุ่งหมายถึงผลกำไรเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สิน แต่มุ่งหวังถึงความพึงพอใจและการตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ กฎหมายเอกชน มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละบุคคล โดยมีความมุ่งหมายถึงผลกำไรเป็นตัวเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ในลักษณะอื่นใดเพื่อประโยชน์ของปัจเจกบุคคลเป็นสำคัญ ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นกรณีที่เป็นเอกชนบางประเภทที่อาจดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังเช่นมูลนิธิหรือสมาคมการกุศล เป็นต้น
  2. ความแตกต่างทางด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ (ทฤษฎีความไม่เท่าเทียมกัน) กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการใช้บังคับอำนาจที่มีอยู่เหนือนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกับปัจเจกบุคคล โดยวิธีการที่เป็น “การกระทำฝ่ายเดียว” และปรากฏออกมาในรูปแบบ “คำสั่ง” กล่าวคือ เป็นการกระทำที่ฝ่ายหนึ่ง (รัฐและผู้ปกครอง) สามารถกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง (รัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือปัจเจกบุคคล) กระทำตาม โดยฝ่ายที่มีหน้าที่ต้องกระทำตามอาจไม่ไต้ตกลงยินยอมด้วยก็ตาม

กฎหมายเอกชน มีลักษณะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักความเป็นอิสระในการแสดงเจตนาหลักความเสมอภาค และหลักเสรีภาพในการทำสัญญา โดยคู่กรณีต้องมีความสมัครใจ (เจตนาเสนอสนองตรงกันสัญญาจึงจะเกิด) และคู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่มีอำนาจเหนือคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยจะทำการบังคับอีกฝ่ายหนึ่งโดยปราศจากความยินยอมมิได้

  1. ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการนำนิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนำแนวความคิดวิเคราะห์การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายมหาชน โดยการสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้บังคับ (โดยปฏิเสธการนำแนวความคิดวิเคราะห์ตามหลักกฎหมายเอกชนมาใช้บังคับโดยตรง)

กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการนำนิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนำความคิดวิเคราะห์การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายเอกชนที่มุ่งเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลด้วยกันเอง และมุ่งเน้นถึงการรักษาผลประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

  1. ความแตกต่างหางด้านนิติปรัชญา

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงการประสานและสร้างความสมดุลระหว่างผลประโยชน์สาธารณะหรือผลประโยชน์ของส่วนรวมกับผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลหรือเอกชน ที่มุ่งถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลตามที่กฎหมายให้อำนาจหรือกำหนดไว้กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน และตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

  1. ความแตกต่างหางด้านเขตอำนาจศาล

กฎหมายมหาชน หากเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ หรือข้อพิพาทระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคลหรือเอกชนในทางกฎหมายมหาชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลเฉพาะหรือศาลพิเศษในทางมหาชน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เป็นต้น

กฎหมายเอกชน หากเป็นข้อพิพาทระหว่างปัจเจกบุคคล หรือเอกชนต่อปัจเจกบุคคลหรือเอกชนในทางกฎหมายเอกชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ดังเช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง หรือศาลภาษี เป็นต้น

ข้อ 2. ให้อธิบายการกระทำของรัฐในทางกฎหมายมหาชนว่าสามารถปรากฏหรือแสดงออกมาผ่านการใช้อำนาจในลักษณะใด และการกระทำของรัฐในทางกฎหมายมหาชนดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจผ่านองค์กรหรือสถาบันทางการเมืองใด อธิบายมาให้เข้าใจ

ธงคำตอบ

การกระทำของรัฐในทางกฎหมายมหาชน หมายความถึง การใช้บังคับอำนาจอธิปไตยภายใต้หลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีการใช้บังคับอำนาจอธิปไตยผ่านการกระทำของรัฐในทางกฎหมายมหาชนสามรูปแบบ ได้แก่ การใช้บังคับอำนาจอธิปไตยด้านการนิติบัญญัติ การใช้บังคับอำนาจอธิปไตยด้านการบริหาร และการใช้บังคับอำนาจอธิปไตยด้านการตุลาการ

  1. การใช้บังคับอำนาจอธิปไตยก้านการนิติบัญญัติ ได้แก่ การใช้อำนาจรัฐในการออกหรือตรากฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีลำดับศักดิ์ทางกฎหมายในลำดับศักดิ์ต่าง ๆ ได้แก่ การใช้อำนาจในการออกกฎหมายของรัฐสภา (เช่น พระราชบัญญัติ) หรือการใช้อำนาจในการออกกฎหมายของรัฐบาล/คณะรัฐมนตรี (เช่น พระราชกำหนด ในกรณีทีมีความจำเป็นเร่งด่วนหรือฉุกเฉินเพื่อประโยชน์สาธารณะ) หรือการใช้อำนาจในการออกกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ (เช่น พระราชกฤษฎีกา กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือคำสั่ง ซึ่งต้องอาศัยอำนาจของกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์ทางกฎหมายสูงกว่าให้อำนาจไว้) หรือการใช้อำนาจรัฐในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นต้น
  2. การใช้บังคับอำนาจอธิปไตยด้านการบริหาร ได้แก่ การใช้อำนาจรัฐในการปกครองรัฐหรือการบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่

ก. การใช้อำนาจรัฐในการกระทำทางการเมือง หมายความถึง การที่รัฐบาล/คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจทางการเมือง เช่น การแถลงนโยบาย ฯลฯ การทำหนังสือสัญญา (สนธิสัญญา) ระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ เป็นต้น

ข. การใช้อำนาจรัฐในการกระทำทางปกครอง หมายความถึงการที่รัฐ/คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินหรือใช้อำนาจหน้าที่ในการบริการสาธารณะ โดยอาจใช้อำนาจผ่านหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ต้องกระทำการภายใต้กรอบอำนาจที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น

  1. การใช้บังคับอำนาจอธิปไตยด้านการตุลาการ ได้แก่ การใช้อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดี หรือพิจารณาวินิจฉัยข้อพิพาท ได้แก่

ก. การใช้บังคับอำนาจรัฐทางด้านตุลาการตามหลักกฎหมายมหาชน หมายความว่าหากเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ หรือข้อพิพาทระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคลหรือเอกชนในทางกฎหมายมหาชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลเฉพาะหรือศาลพิเศษในทางมหาชน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองเป็นต้น (ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามลักษณะข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณี)

ข. การใช้บังคับอำนาจรัฐทางด้านตุลาการตามหลักกฎหมายเอกชน หมายความว่าหากเป็นข้อพิพาทระหว่างปัจเจกบุคคลหรือเอกชนต่อปัจเจกบุคคลหรือเอกชนในทางกฎหมายเอกชนแล้วคดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม เช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง หรือศาลภาษี เป็นต้น

ข้อ 3. ให้อธิบายลักษณะการควบคุมการใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือฝ่ายปกครองแบบป้องกันและแบบแก้ไขมาให้เข้าใจอย่างละเอียด

ธงคำตอบ

การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ หมายถึง การควบคุมการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยสั่งการ หรือการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือฝ่ายปกครองนั่นเอง ซึ่งการควบคุมการใช้อำนาจรัฐนั้น แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

  1. ลักษณะการควบคุมการใช้อำนาจรัฐแบบป้องกัน หมายความว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือฝ่ายปกครองจะได้วินิจฉัยสั่งการ หรือมีการกระทำในทางปกครองที่จะไปกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใด ควรมีระบบป้องกันหรือควบคุมการวินิจฉัยสั่งการหรือการกระทำนั้นเสียก่อน กล่าวคือมีกฎหมายกำหนดกระบวนการหรือขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนที่จะมีคำสั่งนั้นออกไป
  2. ลักษณะการควบคุมการใช้อำนาจรัฐแบบแก้ไข หมายความว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐได้สั่งการใดหรือวินิจฉัยเรื่องใดไปแล้ว หากกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใดในทางที่มิชอบด้วยกฎหมาย จึงกำหนดให้มีระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐแบบแก้ไขโดยองค์กรที่เกี่ยวข้อง คือ ระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหาร และระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหาร

(1)       ระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหาร เป็นระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยขึ้นอยู่กับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ โดยอาจกระทำได้โดยการบังคับบัญชา และการกำกับดูแล ได้แก่

ก) ระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ด้วยการควบคุมบังคับบัญชาและการกำกับดูแล

–           การควบคุมบังคับบัญชา โดยผู้บังคับบัญชาทำการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและความเหมาะสมในการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชา โดยอาจตรวจสอบเองหรือมีบุคคลมาร้องเรียน

–           การกำกับดูแล โดยหน่วยงานของรัฐจะดำเนินการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของหน่วยงานตามสายการบังคับบัญชา

ข) ระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ด้วยการร้องทุกข์และการอุทธรณ์ภายในหน่วยงาน โดยสามารถร้องทุกข์หรืออุทธรณ์คำสั่งไปยังผู้ออกคำสั่งนั้น

(2)       ระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหาร ได้แก่

ก) การควบคุมโดยองค์กรทางการเมือง เช่น รัฐสภา เป็นต้น

ข) การควบคุมโดยองค์กรพิเศษ คือ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นต้น

(3)       ระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยองค์กรศาล ได้แก่

ก) การควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยศาลยุติธรรม

ข) การควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยศาลปกครอง

ค) การควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยศาลรัฐธรรมนูญ

 

LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หลักประโยชน์สาธารณะ คืออะไร องค์กรของรัฐใดบ้างต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะจงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักประโยชน์สาธารณะ คือ การตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ และไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของผู้ที่ดำเนินการนั้นเอง ดังนั้น ประโยชน์สาธารณะก็คือ ความต้องการของคนแต่ละคนที่ตรงกัน และมีจำนวนมากจนเป็นคนหมู่มาก หรือเป็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคมนั่นเอง ซึ่งความต้องการของคนส่วนใหญ่นั้นถือเป็นประโยชน์สาธารณะ และมีความแตกต่างกับประโยชน์ส่วนบุคคลของเอกชนแต่ละคน

องค์กรที่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้แก่ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ

  1. องค์กรของรัฐฝายบริหาร ในส่วนของรัฐบาลนั้นต้องมีการกำหนดนโยบายของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ซึ่งนโยบายของรัฐบาลจัดทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ นอกจากนั้นประโยชน์สาธารณะเป็นสิ่งที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดำเนินการ ถ้าเป็นกิจกรรมที่รัฐสภาได้ตราเป็นกฎหมายออกมาแล้ว หากฝ่ายปกครองไม่ดำเนินการย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะว่าเหตุที่ให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจ ก็เพราะฝ่ายปกครองมีภาระหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ฝ่ายเปกครองจึงต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อให้ภาระหน้าที่นั้นบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย
  2. องค์กรของรัฐฝายนิติบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภา ทำหน้าที่ออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน และควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ซึ่งก็เพื่อประโยชน์สาธารณะ
  3. องค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ คือ ศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหารศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำหน้าที่ในอำนาจหน้าที่ของแต่ละศาลที่แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ก็เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย

ข้อ 2. จงนำกฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนไปใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมายปกครองนั้นอาจจะอยู่ในชื่อของ หระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ประมวลกฎหมาย หรืออาจจะอยู่ในชื่อของประกาศคณะปฏิวัติก็ได้

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองชองรัฐในทางปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งทางปกครอง ให้อำนาจในการออกกฎ ให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

จากหลักการต่าง ๆ ที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งหมด จึงเห็นได้ว่า กฎหมายมหาชนไม่ว่าจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายปกครองซึ่งอาจจะอยู่ในชื่อของกฎหมายใด ๆ ก็ตาม มีความสำคัญต่อการเมืองการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินของไทยเป็นอย่างมาก เพราะเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐ รวมทั้งการบัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐทั้งองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรฝ่ายบริหาร และองค์กรฝ่ายตุลาการ และยังได้บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในทางปกครองของฝ่ายปกครอง ได้แก่ อำนาจหน้าที่ในการดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะ อำนาจในการออกกฎหรือคำสั่ง อำนาจในการกระทำทางปกครองและอำนาจในการทำสัญญาทางปกครอง ซึ่งกรณีตังกล่าวหากไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ องค์กรของรัฐและฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถที่จะดำเนินการใด ๆ ได้ ทั้งนี้เพราะตามหลักของกฎหมายมหาชน องค์กรของรัฐและฝ่ายปกครองจะกระทำการใด ๆ ใด้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้เท่านั้น

ส่วนหลักกฎหมายมหาชนที่มีความสำคัญต่อการเมืองการปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดินนั้นมีหลักการที่สำคัญ ๆ หลายประการ เช่น

  1. หลักความชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ จะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้เท่านั้น จะใช้อำนาจหน้าที่นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้
  2. หลักประโยชน์สารารณะ หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆจะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ใช่เป็นการสนองตอบต่อความต้องการของคนบางกลุ่มบางพวกหรือเพื่อใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
  3. หลักความยุติธรรม หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆ จะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่กับบุคคลทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคกัน และจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมและนอกจากนั้นยังมีหลักกฎหมายมหาชนที่มีความสำคัญต่อการเมืองการปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดินอีกหลายประการ เช่น หลักความซื่อสัตย์สุจริต หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

ข้อ 3. กฎหมายมหาชนเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน จงหยิบยกหลักกฎหมายมหาชนดังกล่าวมาอธิบายสัก 3-4 หลักการ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ โดยละเอียด

ธงคำตอบ

“กฎหมายมหาชน’’ คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทา■งปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายบกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนนั่นเอง

ดังนั้นกฎหมายมหาชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน คือกฎหมายปกครอง และจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทย แบ่งออกได้ดังต่อไปนี้

  1. ราชการบริหารส่วนกลาง หมายความถึง ราชการที่ฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนทั่วทั้งอาณาเขตของประเทศ เช่น การรักษาความสงบภายใน การป้องกันประเทศ การคมนาคม การคลัง เป็นต้น

องค์การที่จัดทำราชการบริหารส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนกลาง และมีอำนาจหน้าที่จัดทำราชการในอำนาจหน้าที่ของตนตลอดทั้งประเทศ

  1. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค หมายความถึง ราชการของกระทรวง ทบวง กรม อันเป็นองค์กรของราชการบริหารส่วนกลางที่ได้แบ่งแยกออกไปจัดทำตามเขตการปกครองต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนในเขตการปกครองนั้น ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลาง ซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ออกไปประจำตามเขตการปกครองนั้น ๆ เพื่อบริหารราชการภายใต้การบังคับบัญชาของราชการบริหารส่วนกลาง ซึ่งราชการบริหารส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัด อำเภอ รวมตลอดถึงตำบลและหมู่บ้าน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าในส่วนภูมิภาค
  2. ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หมายความถึง ราชการบางอย่างที่รัฐมอบหมายให้องคการบริหารส่วนท้องถิ่นจัดทำเอง เพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนเฉพาะในเขตท้องถิ่นนั้น โดยมีเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นนั้นเอง ซึ่งตามหลักไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลาง

องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร

หลักกฎหมายปกครองมีความเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้คือ

  1. ในการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินทั้ง 3 ส่วน จะต้องยึดหลักการของกฎหมายปกครอง คือ หลักการรวมอำนาจ หลักการแบ่งอำนาจ และหลักการกระจายอำนาจ ได้แก่

(1)       ราชการบริหารส่วนกลางยึดหลักการรวมอำนาจหลักการรวมอำนาจ คือ หลักการปกครองที่อำนาจในการตัดสินใจทั้งหลายจะอยู่ที่ส่วนกลางทั้งสิ้น จะไม่มีการมอบอำนาจการตัดสินใจบางระดับบางเรื่องไปให้แก่เจ้าหน้าที่ของส่วนกลางที่ถูกส่งออกไปประจำอยู่ในภูมิภาค และไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจตัดสินใจในระดับท้องถิ่นเลย มีการรวมกำลังในการบังคับต่าง ๆ เช่น กำลังทหารและกำลังตำรวจให้ขึ้นตรงต่อส่วนกลางทั้งสิ้น รวมทั้งมีลำดับขั้นการบังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีข้อดีคือ ทำให้รัฐบาลมั่นคง แต่มีข้อเสียคือ เกิดความล่าช้าและขาดประสิทธิภาพในการตัดสินใจในท้องถิ่นห่างไกล และการตัดสินใจย่อมทำได้ไม่ตรงกับความต้องการของท้องถิ่น เนื่องจากผู้ตัดสินใจมิใช่คนของท้องถิ่นจึงไม่อาจรู้ถึงความต้องการของคนในท้องถิ่นเท่าที่ควร

(2)       ราชการบริหารส่วนภูมิภาคยึดหลักการแบ่งอำนาจ

หลักการแบ่งอำนาจ คือ หลักการที่รัฐมอบอำนาจในการตัดสินใจบางประการของรัฐในส่วนกลางให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐ แต่ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ในแต่ละท้องที่

การปกครอง โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวก็ยังคงอยู่ใบระบบบังคับบัญชาของการปกครองส่วนกลางอยู่ตลอดเวลา เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด, นายอำเภอ เป็นตัวแทนของกระทรวงมหาดไทย, ศึกษาธิการจังหวัด, ป่าไม้จังหวัด, สรรพากรจังหวัด ฯลฯ เป็นตัวแทนของกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ในส่วนกลาง เป็นต้น โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องรับคำสั่งจากส่วนกลางเพื่อไปปฏิบัติตามแผนและนโยบายที่ส่วนกลางได้ให้ไว้ เพียงแต่เจ้าหน้าที่เหล่านี้อาจมีอำนาจตัดสินใจในบางเรื่องบางระดับโดยไม่ต้องส่งเรื่องเข้ามาขออนุญาต หรือขออนุมัติจากส่วนกลางเพื่อความสะดวกเท่านั้นเอง

(3)       ราชการบริหารส่วนท้องถิ่นยึดหลักการกระจายอำนาจหลักการกระจายอำนาจ เป็นวิธีการที่รัฐมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้แก่องค์กรอื่นนอกจากองค์กรของส่วนกลาง ซึ่งองค์กรเหล่านี้มีฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งและสามารถดำเนินการบริการสาธารณะได้โดยอิสระ มีงบประมาณและเจ้าหน้าที่ของตนเอง มีความเป็นอิสระในการจัดทำบริการสาธารณะที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ต้องขอรับคำสั่งจากส่วนกลาง ส่วนกลางเพียงแต่คอยกำกับดูแลให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายโดยถูกต้องเท่านั้น มิได้เข้าไปบังคับบัญชาหรืออำนวยการเอง

  1. การควบคุมการใช้อำนาจของราชการบริหารแผ่นดินส่วนต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามหลักของกฎหมายปกครอง กล่าวคือ

(1) ราชการบริหารส่วนกลางและราชการบริหารส่วนภูมิภาคมีการควบคุมแบบบังคับบัญชา

การควบคุมบังคับบัญชา คือ อำนาจที่หัวหน้าหน่วยงานใช้ปกครองผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เช่น การที่รัฐมนตรีใช้อำนาจบังคับบัญชาเหนือเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในกระทรวง อำนาจบังคับบัญชาเป็นอำนาจที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการใด ๆ ก็ได้ตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสม สามารถกลับ แก้ ยกเลิก เพิกถอน คำสั่งหรือการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นประการอื่น อย่างไรก็ตามการใช้อำนาจบังคับบัญชานี้ก็ต้องชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่วาจะใช้ไปในทางที่เหมาะสมแต่ขัดต่อกฎหมายได้

(2) ราชการบริหารส่วนห้องถิ่นมีการควบคุมแบบกำกับดูแล

การควบคุมกำกับดูแล คือ เป็นการควบคุมที่ไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับ จึงเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไขคือ จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจและต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด ในการควบคุมกำกับนั้น

องค์กรควบคุมกำกับไม่มีอำนาจสั่งการให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติการตามที่ตนเห็นสมควร องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับย่อมมีความรับผิดชอบ (อำนาจหน้าที่) ตามกฎหมาย ดังนั้นองค์กรควบคุมกำกับจึงเพียงแต่ควบคุมกำกับให้องค์กรภายใต้การควบคุมปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ1 กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายเกี่ยวกับรัฐ การใช้อำนาจของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และนิติบุคคลทางกฎหมายมหาชน จึงขอให้นักศึกษาอธิบายความหมายของนิติบุคคลทางกฎหมายมหาชนคืออะไร? แตกต่างจากนิติบุคคลทางกฎหมายเอกชนอย่างไรบ้าง และนิติบุคคลทางกฎหมายมหาชนของไทยได้แก่องค์กรของรัฐใดบ้าง?

ธงคำตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือกฎหมายที่เกี่ยวกับรัฐ อำนาจรัฐ และการใช้อำนาจของรัฐโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและนิติบุคคลทางกฎหมายมหาชน ซึ่งหมายถึงหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐนั่นเอง โดยมีหน้าที่หลักที่สำคัญคือการจัดทำบริการสาธารณะ

“นิติบุคคล” คือ บุคคลตามกฎหมายที่ถูกสมมุติขึ้นมาโดยกฎหมาย และกฎหมายได้รับรองให้มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เช่น นิติบุคคลสามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินและถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินได้ สามารถจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินได้ เป็นลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ได้ เป็นโจทก์เป็นจำเลยได้ ฯลฯ เว้นแต่สิทธิและหน้าที่บางอย่างที่มีได้เฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น เช่น สิทธิในครอบครัว หรือสิทธิในทางการเมือง เป็นต้น

กล่าวโดยสรุป นิติบุคคลคือบุคคลตามกฎหมายหรือบุคคลที่กฎหมายสมมุติขึ้นซึ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดานั่นเอง

นิติบุคคลสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

  1. นิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน ซึ่งได้แก่ นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น ห้างหุ้นส่วนที่ได้จดทะเบียนแล้ว บริษัทจำกัด สมาคม มูลนิธิที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นต้น
  2. นิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน ได้แก่ นิติบุคคลตามกฎหมายมหาชนตามกฎหมายไทยเช่น กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และวัดวาอาราม เป็นต้น

ดังนั้น “นิติบุคคลทางกฎหมายมหาชน” จึงหมายถึง บุคคลที่กฎหมายสมมุติให้มีขึ้น โดยมีอำนาจและหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ และจะมีลักษณะแตกต่างจากนิติบุคคลทางกฎหมายเอกชน ดังนี้คือ

  1. นิติบุคคลทางกฎหมายมหาชน เป็นนิติบุคคลโดยการจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมาย เช่นกระทรวง ทบวง กรม เป็นต้น แต่นิติบุคคลทางกฎหมายเอกชน เป็นนิติบุคคลโดยการจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
  2. นิติบุคคลทางกฎหมายมหาชน มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการคือการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ แต่นิติบุคคลตามกฎหมายเอกชนมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหากำไรหรือความก้าวหน้าในธุรกิจของตนเอง
  3. อำนาจหน้าที่ของนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน จะเป็นไปตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้เช่น กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ป้องกันประเทศ กระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับการศึกษา เป็นต้น

ส่วนนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชนนั้น จะมีอำนาจหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ หรือตามวัตถุประสงค์ที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งไว้

“นิติบุคคลทางกฎหมายมหาชน” ตามระบบกฎหมายมหาชนของรัฐไทย จะมีดังต่อไปนี้ คือ

  1. กระทรวง ทบวง กรม
  2. จังหวัด
  3. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามหลักการกระจายอำนาจและเป็นการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่

(1)       องค์การบริหารส่วนจังหวัด

(2)       เทศบาล

(3)       องค์การบริหารส่วนตำบล

(4)       กรุงเทพมหานคร

(5)       เมืองพัทยา

  1. รัฐวิสาหกิจ
  2. วัดวาอาราม (เฉพาะวัดในพุทธศาสนาเท่านั้น ส่วนวัดในศาสนาอื่นอาจเป็นนิติบุคคลได้ในทางกฎหมายเอกชน)
  3. องค์การมหาชน

 

ข้อ 2. จงนำกฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนไปใช้ในการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

และนอกจากนั้น กฎหมายปกครอง ยังเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งทางปกครอง การออกกฎ การกระทำทางปกครอง และการทำสัญญาทางปกครอง

สำหรับ “หลักกฎหมายมหาชน” หรือหลักกฎหมายปกครองที่มีความสำคัญต่อการบริหารราชการแผ่นดินนั้น มีหลักการที่สำคัญ ๆ อยู่หลายประการ เช่น

  1. หลักความชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ จะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้เท่านั้น จะใช้อำนาจหน้าที่นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้
  2. หลักประโยชน์สาธารณะ หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆจะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ใช่เป็นการสนองตอบต่อความต้องการของคนบางกลุ่มบางพวกหรือเพื่อใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
  3. หลักความยุติธรรม หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆ จะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่กับบุคคลทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคกัน และจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม

และนอกจากนั้นยังมีหลักกฎหมายมหาชนหรือหลักกฎหมายปกครองที่มีความสำคัญต่อการบริหารราชการแผ่นดินอีกหลายประการ เช่น หลักความซื่อสัตย์สุจริต หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไบ่แล้วข้างต้น

“การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น” เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการตามหลักการกระจายอำนาจปกครอง โดยให้มีการจัดตั้งหน่วยงานหรือองค์กรขึ้นมาแยกออกจากราชการบริหารส่วนกลาง มีงบประมาณและเจ้าหน้าที่เป็นของตนเอง และมีความเป็นอิสระในการจัดทำบริการสาธารณะที่ได้รับมอบหมายหรือตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ซึ่งปัจจุบันการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นประกอบไปด้วยหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ 5 ประเภท ได้แก่

  1. เทศบาล
  2. องค์การบริหารส่วนตำบล
  3. องค์การบริหารส่วนจังหวัด
  4. กรุงเทพมหานคร
  5. เมืองพัทยา

และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น(รวมทั้งการบริหารราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค)ของไทย ปัจจุบันจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชนในแง่ที่ว่ากฎหมายมหาชน ซึ่งได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์และวางหลักในการจัดระเบียบการปกครองของรัฐ รวมทั้งบัญญัติสถานะอำนาจหน้าที่แก่ผ่ายปกครองในทางปกครองและการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อสนองความต้องการของประชาชนภายในรัฐ หากไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ ฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ เพราะตามหลักการของกฎหมายมหาชนแล้ว ฝ่ายปกครองจะกระทำการใด ๆ ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้เท่านั้น

ตัวอย่างที่ถือว่าการบริหารราชการสวนท้องถิ่นมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชน เช่น ในการจัดตั้งเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ก็จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายมหาชนได้กำหนดไว้ หรือเมื่อมีการจัดตั้งขึ้นมาแล้ว เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลนั้นจะมีอำนาจและหน้าที่ประการใดบ้าง ก็จะต้องมีกฎหมายมหาชน (ซึ่งในที่นี้คือกฎหมายปกครองนั่นเอง) บัญญัติถึงอำนาจและหน้าที่ไว้ด้วย ทั้งนี้เพราะตามหลักของกฎหมายมหาชนนั้น หน่วยราชการบริหารส่วนท้องถิ่น (รวมทั้งหน่วยราชการบริหารรส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) จะสามารถดำเนินการใด ๆ ได้ ก็จะต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้เท่านั้น

และนอกจากนั้นในการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนท้องถิ่น จะต้องใช้อำนาจทางปกครองในการออกคำสั่งทางปกครอง การออกกฎการกระทำทางปกครองและการทำสัญญาทางปกครองให้ถูกต้องตามที่กฎหมายมหาชนหรือกฎหมายปกครองได้กำหนดไว้ และจะต้องกระทำให้ถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนหรือกฎหมายปกครองด้วย เช่น จะต้องกระทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริตชอบด้วยกฎหมาย และยุติธรรม โดยยึดหลักประโยชน์สาธารณะ เป็นต้น

และในการใช้อำนาจหน้าที่ทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ ออกคำสั่งทางปกครอง รวมทั้งการกระทำทางปกครองรูปแบนอื่นหรือการทำสัญญาทางปกครอง หากเกิดกรณีพิพาทที่เป็นกรณีพิพาททางปกครอง ก็จะต้องนำคดีพิพาทนั้นไปฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองเป็นผู้วินิจฉัยขี้ขาด

 

ข้อ 3. พระราชบัญญัติใดที่มีความเกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ให้นักศึกษาระบุมาอย่างน้อย 4-5 พระราชบัญญัติ พร้อมทั้งยกตัวอย่างอธิบาย พระราชบัญญัติดังกล่าวในการใช้ควบคุมการใช้อำนาจรัฐ มาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ หมายถึง การควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ และหน่วยงานของรัฐนั่นเอง และเหตุที่ต้องมีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวก็เพราะกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ไม่เสมอภาค รัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจเหนือประชาชน หากไม่มีการควบคุมเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐอาจใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ ซึ่งการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ และหน่วยงานของรัฐ กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใช้อำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมาย หรือใช้อำนาจนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน

สำหรับพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้อำนาจรัฐนั้น มีหลายฉบับ เช่น

  1. พระราชบัญญัติความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 พระราชบัญญัติฉบับนี้จะใช้บังคับแก่การกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐต่อบุคคลภายนอกหรือต่อหน่วยงานของรัฐ โดยจะกำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทำละเมิดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าการกระทำละเมิดนั้นจะเกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม
  2. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เป็นพระราชบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์ในการวางมาตรฐานการปฏิบัติงานราชการแผ่นดินของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหรือคำสั่งทางปกครอง ให้มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมแก่ประชาชน เช่น การวางกรอบวิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกกฎหรือคำสั่งทางปกครอง รูปแบบและผลของคำสั่ง การอุทธรณ์คำสั่ง การเพิกถอนคำสั่ง วิธีการแจ้งคำสั่ง ระยะเวลาและอายุความ เป็นต้น
  3. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542เป็นพระราชบัญญัติที่ใช้ควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจทางปกครองหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ หรือคำสั่ง หรือการกระทำใด ๆ เอกชนผู้ได้รับความเสียหายก็สามารถฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้โดยอาศัยกลไกของกฎหมายฉบับนี้
  4. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 (และที่แก้ไขจนถึงปัจจุบัน)เป็นพระราชบัญญัติในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐในลักษณะของการวางความสัมพันธ์ของหน่วยงานราชการทั้ง 3 ส่วน คือ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นการควบคุมการใช้อำนาจรัฐของเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานราชการต่าง ๆในลักษณะของการควบคุมบังคับบัญชา และการกำกับดูแลในระหว่างแต่ละส่วนราชการ เช่น ราชการบริหารส่วนกลางจะควบคุมบังคับบัญชาราชการบริหารส่วนภูมิภาค แต่จะกำกับดูแลราชการบริหารส่วนท้องถิ่น เป็นต้น

LAW 1001 หลัก กฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หลักประโยชน์สาธารณะคืออะไร องค์กรใดบ้างที่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักประโยชน์สาธารณะ คือ การตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ และไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของผู้ที่ดำเนินการนั้นเอง ดังนั้น ประโยชน์สาธารณะก็คือ ความต้องการของคนแต่ละคนที่ตรงกัน และมีจำนวนมากจนเป็นคนหมู่มาก หรือเป็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคมนั่นเอง ซึ่งความต้องการของคนส่วนใหญ่นั้นถือเป็นประโยชน์สาธารณะ และมีความแตกต่างกับประโยชน์ส่วนบุคคลของเอกชนแต่ละคนองค์กรที่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้แก่ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร องค์กรของรัฐ ฝ่ายนิติบัญญัติ และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ

  1. องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร ในส่วนของรัฐบาลนั้นต้องมีการกำหนดนโยบายของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ซึ่งนโยบายของรัฐบาลจัดทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ นอกจากนั้นประโยชน์สาธารณะเป็นสิ่งที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดำเนินการ ถ้าเป็นกิจกรรมที่รัฐสภาได้ตราเป็นกฎหมายออกมาแล้ว หากฝ่ายปกครองไม่ดำเนินการย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะว่าเหตุที่ให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจ ก็เพราะฝ่ายปกครองมีภาระหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ฝ่ายปกครองจึงต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อให้ภาระหน้าที่นั้นบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย
  2. องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภา ทำหน้าที่ออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน และควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ซึ่งก็เพื่อประโยชน์สาธารณะ
  3. องค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ คือ ศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร

ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำหน้าที่ในอำนาจหน้าที่ของแต่ละศาลที่แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ก็เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย

 

ข้อ 2. จงนำกฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนไปใช้อธิบายเกี่ยวกับการเมืองการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินของไทยปัจจุบัน

ธงคำตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมายปกครองนั้นอาจจะอยู่ในชื่อของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ประมวลกฎหมายหรืออาจจะอยู่ในชื่อของประกาศคณะปฏิวัติก็ได้

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางบกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งทางปกครอง ให้อำนาจในการออกกฎ ให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

จากหลักการต่าง ๆ ที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งหมด จึงเห็นได้ว่า กฎหมายมหาชนไม่ว่าจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายปกครองซึ่งอาจจะอยู่ในชื่อของกฎหมายใด ๆ ก็ตาม มีความสำคัญต่อการเมืองการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินของไทยเป็นอย่างมาก เพราะเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐ รวมทั้งการบัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐทั้งองค์กร

ฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรฝ่ายบริหาร และองค์กรฝ่ายตุลาการ และยังได้บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในทางปกครองของฝ่ายปกครอง ได้แก่ อำนาจหน้าที่ในการดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะ อำนาจในการออกกฎหรือคำสั่ง อำนาจในการกระทำทางปกครองและอำนาจในการทำสัญญาทางปกครอง ซึ่งกรณีดังกล่าวหากไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ องค์กรของรัฐและฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถที่จะดำเนินการใด ๆ ได้ ทั้งนี้เพราะตามหลักของกฎหมายมหาชน องค์กรของรัฐและฝ่ายปกครองจะกระทำการใด ๆ ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้เท่านั้น

ส่วนหลักกฎหมายมหาชนที่มีความสำคัญต่อการเมืองการปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดินนั้นมีหลักการที่สำคัญ ๆ หลายประการ เช่น

  1. หลักความชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ จะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้เท่านั้น จะใช้อำนาจหน้าที่นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้
  2. หลักประโยชน์สาธารณะ หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆจะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ใช่เป็นการสนองตอบต่อความต้องการของคนบางกลุ่มบางพวกหรือเพื่อใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
  3. หลักความยุติธรรม หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆ จะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่กับบุคคลทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคกัน และจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมและนอกจากนั้นยังมีหลักกฎหมายมหาชนที่มีความสำคัญต่อการเมืองการปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดินอีกหลายประการ เช่น หลักความซื่อสัตย์สุจริต หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

 

ข้อ„ 3. จงอธิบายหลักการควบคุมบังคับบัญชาและหลักการกำกับดูแลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทย พร้อมยกตัวอย่างประกอบโดยละเอียด

ธงคำตอบ

หลักการควบคุมบังคับบัญชา และหลักการกำกับดูแลมีความเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทย ดังนี้ คือ

การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น

ราชการบริหารส่วนกลาง ประกอบด้วย กระทรวง ทบวง กรม เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการรวมอำนาจ โดยการปกครองแบบนี้อำนาจในการติดสินใจทั้งหลายจะอยู่ที่ส่วนกลางทั้งสิ้น มีการรวมกำลังในการบังคับต่าง ๆ ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง และมีลำดับขั้นการบังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน

ราชการบริหารส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย จังหวัด อำเภอ กิ่งอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการแบ่งอำนาจ ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่ส่วนกลางมอบอำนาจตัดสินใจบางประการให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนภูมิภาค โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในบังคับบัญชาของส่วนกลางตลอดเวลา

ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัดเทศบาล เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการกระจายอำนาจ โดยรัฐจะมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้แก่องค์กรอื่นที่ไม่ใช่องค์กรส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาค เพื่อจัดทำบริการสาธารณะบางอย่าง โดยจะมีอิสระตามสมควร ไม่ต้องขึ้นอยู่ในการบังคับบัญชาชองส่วนกลาง เพียงแต่ขึ้นอยู่ในการกำกับดูแลเท่านั้น

การควบคุมบังคับบัญชา คือ อำนาจที่หัวหน้าหน่วยงานใช้ปกครองผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เช่นการที่รัฐมนตรีใช้อำนาจบังคับบัญชาเหนือเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในกระทรวง อำนาจบังคับบัญชาเป็นอำนาจที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการใด ๆ ก็ได้ตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสม สามารถกลับ แก้ ยกเลิก เพิกถอนคำสั่งหรือการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นประการอื่นโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามการใช้อำนาจบังคับบัญชานี้ต้องชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ว่าจะใช้โดยขัดต่อกฎหมายได้ซึ่งการควบคุมบังคับบัญชานี้เป็นลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคของไทยนั่นเอง

กล่าวโดยสรุป การควบคุมบังคับบัญชา ได้แก่ อำนาจในการออกคำสั่งเพื่อการควบคุมการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือออกคำสั่งเพื่อควบคุมกิจการ กำหนดแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งการออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขการกระทำชองผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น

และอำนาจในการควบคุมบังคับบัญชานั้น เป็นอำนาจที่มีอยู่เหนือการกระทำและเหนือตัวบุคคล กล่าวคือผู้บังคับบัญชาสามารถควบคุมการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาได้โดยการออกเป็นหนังสือหรือคำสั่งให้เจ้าหน้าที่กระทำการตามที่ตนสั่งได้ ส่วนอำนาจเหนือตัวบุคคล ได้แก่ อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ให้ความดีความชอบ รวมทั้งการลงโทษทางวินัย เป็นต้น เช่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนกลาง มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดไปปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาค เป็นต้น

ส่วนการควบคุมกำกับดูแล คือ การควบคุมที่ไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับ จึงเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไข คือ จะใช้ได้ต่อเมื่อกฎหมายให้อำนาจไว้และต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด ในการควบคุมกำกับนั้น องค์กรควบคุมกำกับไม่มีอำนาจสั่งการให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติตามที่ตนเห็นสมควร องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ดังนั้นองค์กรควบคุมจึงเป็นแต่ควบคุมกำกับให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งการควบคุมกำกับดูแลนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่นของไทยนั่นเอง

และอำนาจในการควบคุมกำกับดูแลนั้น จะมีลักษณะคล้าย ๆ กับอำนาจในการควบคุมบังคับบัญชาที่สามารถควบคุมกำกับดูแลเหนือการกระทำและเหนือตัวบุคคลได้เช่นเดียวกัน แต่จะต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้

–           อำนาจกำกับดูแลเหนือการกระทำ เช่น อำนาจในการให้ความเห็นชอบกับงบประมาณรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรืออำนาจในการสั่งยกเลิกการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นต้น

–           อำนาจกำกับดูแลเหนือตัวบุคคล เช่น อำนาจในการถอดถอนผู้บริหารส่วนท้องถิ่น หรืออำนาจในการสั่งยุบสภาท้องถิ่น เป็นต้น

 

LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หลักเกณฑ์ วิธีการ และกระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มีอย่างไรบ้าง จงอธิบาย และการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย หรือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ จงแสดงความคิด

ธงคำตอบ

ตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ วิธีการและกระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ดังนี้ คือ

(1)       ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้

(2)       ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ

(3)       การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(4)       การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมด้วยการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตราให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ

(5)       เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป

(6)       การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(7)       เมื่อการลงมติได้เป็นไปตามที่กล่าวแล้ว ให้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 และมาตรา 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

สำหรับประเด็นที่ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย หรือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

กรณีนี้เห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 นั้น ไม่ถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย หรือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 นั้น เป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจกับรัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติว่าสามารถกระทำได้ คือสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ถ้าไม่ไข่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ

 

ข้อ 2. จงนำกฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนไปใช้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องการเมืองการปกครองพร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายทบัญญัติไห้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมายปกครองนั้นอาจจะอยู่ในชื่อของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ประมวลกฎหมายหรืออาจจะอยู่ในชื่อของประกาศคณะปฏิวัติก็ได้

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งทางปกครอง ให้อำนาจในการออกกฎให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

จากหลักการต่าง ๆ ที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งหมด จึงเห็นได้ว่า กฎหมายมหาชนไม่ว่าจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายปกครองซึ่งอาจจะอยู่ในชื่อของกฎหมายใด ๆ ก็ตาม มีความสำคัญต่อการเมืองการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินของไทยเป็นอย่างมาก เพราะเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐ รวมทั้งการบัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐทั้งองค์กร

ฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรฝ่ายบริหาร และองค์กรฝ่ายตุลาการ และยังได้บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในทางปกครองของฝ่ายปกครอง ได้แก่ อำนาจหน้าที่ในการดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะ อำนาจในการออกกฎหรือคำสั่ง อำนาจในการกระทำทางปกครองและอำนาจในการทำสัญญาทางปกครอง ซึ่งกรณีดังกล่าวหากไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ องค์กรของรัฐและฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถที่จะดำเนินการใด ๆ ได้ ทั้งนี้เพราะตามหลักของกฎหมายมหาชน องค์กรของรัฐและฝ่ายปกครองจะกระทำการใด ๆ ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้เท่านั้น

ส่วนหลักกฎหมายมหาชนที่มีความสำคัญต่อการเมืองการปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดินนั้นมีหลักการที่สำคัญ ๆ หลายประการ เช่น

  1. หลักความชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ จะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้เท่านั้น จะใช้อำนาจหน้าที่นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้
  2. หลักประโยชน์สาธารณะ หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆจะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ใช่เป็นการสนองตอบต่อความต้องการของคนบางกลุ่มบางพวกหรือเพื่อใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
  3. หลักความยุติธรรม หมายถึง การใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆ จะต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่กับบุคคลทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคกัน และจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมและนอกจากนั้นยังมีหลักกฎหมายมหาชนที่มีความสำคัญต่อการเมืองการปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดินอีกหลายประการ เช่น หลักความซื่อสัตย์สุจริต หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

 

ข้อ 3. จงอธิบายวิวัฒนาการของระบบศาลคู่ ทั้งในกรณีของประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส มาโดยละเอียดพร้อมทั้งระบุเหตุผลว่าเพราะเหตุใดการใช้ระบบศาลคู่จึงถือเป็นวิธีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐที่ดีที่สุด

ธงคำตอบ

ระบบการศาลในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ระบบ คือ

  1. ระบบศาลเดี่ยว หมายความว่า ศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครอง โดยศาลจะนำหลักกฎหมายธรรมดา (กฎหมายเอกชน) มาปรับแก่คดี ไม่ว่าคดีนั้นจะเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน หรือเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชน ทั้งนี้เนื่องมาจากในประเทศที่มีระบบศาลเดียวนั้น จะไม่มีการแยกระหว่างกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบศาลเดียวคือ อังกฤษและสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
  2. ระบบศาลคู่ หมายความว่า ระบบการควบคุมฝ่ายปกครองทางศาลที่มีศาลพิเศษแยกต่างหากจากศาลยุติธรรม กล่าวคือ เป็นระบบการควบคุมฝ่ายปกครองที่ให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะคดีแพ่งและคดีอาญาเท่านั้น ส่วนการวินิจฉัยชี้ขาดคดีปกครองนั้นให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลปกครอง ซึ่งมีระบบศาลและระบบผู้พิพากษาแยกต่างหากจากระบบศาลยุติธรรม ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบศาลคู่ เช่น ประเทศฝรั่งเศส เบลเยียม สวีเดน ฟินแลนด์ ไทย เป็นต้น

“ศาลปกครอง” คือ องค์กรทางศาลหรือองค์กรตุลาการที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองซึ่งหมายถึงคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างฝ่ายปกครองกับเอกชน หรือระหว่างฝ่ายปกครองด้วยกันเอง โดยผู้ที่ฟ้องคดีปกครองนี้มุ่งที่จะให้ศาลปกครองพิพากษาเพิกถอนการกระทำหรือการวินิจฉัยสั่งการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายปกครอง แล้วไปกระทบถึงสิทธิของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ ซึ่งมิได้มุ่งหมายให้มีการลงโทษทางอาญาแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

วิวัฒนาการของระบบศาลคู่ (ความเป็นมาของศาลปกครอง)

  1. วิวัฒนาการของระบบศาลคู่ของประเทศฝรั่งเศส

ก่อนการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศสใน.ปี ค.ศ. 1789 ประเทศฝรั่งเศสปกครองในระบอบกษัตริย์ ซึ่งมีผลทำให้กษัตริย์และขุนนางข้าราชการมีอำนาจมาก การจะฟ้องร้องเอาผิดกับขุนนางข้าราชการเป็นได้ยาก

หรือในกรณีที่มีการฟ้องร้อง ศาลยุติธรรม (ศาลปาร์เลมองต์) ในขณะนั้นก็มักจะพิจารณาตัดสินเข้าข้างขุนนางข้าราชการด้วยกัน นอกจากนั้นศาลยุติธรรมยังเป็นศาลที่มีเอกสิทธิ์มากมายหลายประการ ภายหลังจากการปฏิวัติ

คณะปฏิวัติไม่ต้องการให้มีศาลในระบบเดิม เพราะไม่มีความไว้วางใจศาลยุติธรรมที่จะเข้ามาก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายบริหาร ทำให้ในปี ค.ศ.1790 ได้มีการออกกฎหมายห้ามศาลยุติธรรมพิจารณาพิพากษาคดีที่ฝ่ายปกครองเกี่ยวข้องโดยอ้างหลักการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออ ต่อมามีการกระทำรัฐประหารโดยนโปเลียน ซึ่งนโปเลียนได้รื้อฟื้นองค์กรทางการเมืองที่เคยเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ เรียกว่า “สภาที่ปรึกษาแห่งรัฐ” โดยให้มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลและพิจารณาข้อพิพาททางปกครอง

ผลงานของ “สภาที่ปรึกษาแห่งรัฐ” ได้พัฒนาเรื่อยมา และเป็นที่ยอมรับได้ของประชาชนทั่วไป สามารถรักษาประโยชน์สาธารณะไว้ได้ และยังเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไปในตัวอีกด้วยจนถึงปี ค.ศ. 1872 สภาที่ปรึกษาแห่งรัฐจึงมีฐานะเป็นศาลอย่างแท้จริง เหตุการณ์นี้จึงนำไปสู่การมีระบบศาลคู่กล่าวคือ นอกจากจะมีศาลยุติธรรมพิจารณาคดีระหว่างเอกชนด้วยกันแล้ว ยังมีศาลปกครอง (กองเซเคต้า) ที่มีอำนาจพิจารณาคดีปกครองด้วย

  1. วิวัฒนาการของระบบศาลคู่ของประเทศไทย

ศาลปกครองของไทย ไม่ได้มีที่มาจากความไม่พอใจการปกครองระบอบกษัตริย์ หรือข้าราชการเหมือนประเทศฝรั่งเศส แต่เป็นผลผลิตที่เกิดจากวิวัฒนาการทางความคิดในระบบกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์การทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งที่ทำกับอังกฤษใน พ.ศ. 2398 ซึ่งเป็นการทำให้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของประเทศไทยให้แก่ชาติมหาอำนาจตะวันตก ทำให้ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงต้องเร่งรีบปฏิรูประบบกฎหมายของประเทศไทยโดยเร่งด่วน โดยเลือกที่จะนำระบบประมวลกฎหมายของฝรั่งเศสมาเป็นต้นแบบ ด้วยเหตุผลที่ว่าสามารถคัดลอกกฎหมายลายลักษณ์อักษรมาใช้ได้เลย ซึ่งจะทำให้การปฏิรูปกฎหมายของไทยเกิดความรวดเร็วขึ้น

ความพยายามก่อตั้งศาลปกครองของไทยนั้นได้มีมายาวนานกว่า 130 ปี โดยในปี พ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้วางรากฐานให้กับศาลปกครองของไทย โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติ เคาน์ซิล ออฟ สเตต (Council of State) “จัดตั้งที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน” ซึ่งมีอิทธิพลในการจัดตั้งองค์กรเพื่อทำหน้าที่พิจารณาเรื่องที่ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากราชการ ซึ่งในเวลาต่อมาคือ “คณะกรรมการกฤษฎีกา” และ “คณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์” รวมทั้ง“คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์” ตามลำดับ จนต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้มีบทบัญญัติให้จัดตั้งศาลปกครองขึ้น และในปี พ.ศ. 2542 ได้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นสำเร็จ ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้ระบบศาลคู่เช่นเดียวกับประเทศฝรั่งเศส

ส่วนประเด็นที่ว่า เพราะเหตุใดการใช้ระบบศาลคู่จึงถือเป็นวิธิการควบคุมการใช้อำนาจรัฐที่ดีที่สุดนั้น เป็นเพราะว่า ในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งเป็นการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การควบคุมแบบป้องกัน และการควบคุมแบบแก้ไขนั้น การควบคุมแบบแก้ไขโดยวิธีการควบคุมโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหารเอง เช่น การร้องทุกข์ หรือการอุทธรณ์ หรือการควบคุมโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหาร เช่น การควบคุมโดยทางการเมือง ได้แก่ การตั้งกระทู้ถาม หรือการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น แม้จะเป็นการควบคุมการใช้อำนาจรัฐแบบแก้ไขที่เร็วที่สุด แต่ก็ขาดหลักประกันที่ฝ่ายบริหารจะยอมรับ และแม้การควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยฝ่ายตุลาการ (โดยระบบศาลคู่)อาจจะล่าช้าอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการควบคุมการใช้อำนาจรัฐที่ดีที่สุด ทั้งนี้เพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะเพื่อสนับสนุนและเป็นหลักประกันในการพิจารณาคดีของศาลปกครอง ซึ่งกฎหมายดังกล่าวได้แก่ พ.ร.บ. ความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

 

LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ขอให้นักศึกษาอธิบายหลักเกณฑ์ และกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 291 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์และกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไว้ดังนี้

(1)       ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามิจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกทั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้

(2)       ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ

(3)       การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(4)       การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับพฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกทั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมด้วย

การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตราให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ

(5)       เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป

(6)       การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(7)       เมื่อการลงมติได้เป็นไปตามที่กล่าวแล้ว ให้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 และมาตรา 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

 

ข้อ 2. จงนำกฎหมายมหาชนไปอธิบายการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินของไทยปัจจุบันตามที่ท่านเข้าใจ

ธงคำตอบ

กฎหมายมหาชนนั้นจะมีความสำคัญต่อการเมืองและการปกครอง (การบริหารราชการแผ่นดิน)ของไทยเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ

กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชนปัจจุบัน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครองกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตย และการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราขการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งทางปกครอง ให้อำนาจในการออกกฎ ให้อำนาจในภารกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

หน่วยงานทางปกครอง ได้แก่ หน่วยงานในราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น รัฐวสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน่วยงานทางปกครอง รวมถึงหน่วยงานเอกชนที่ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย เช่น สำนักงานรังวัดเอกชน สถานที่ตรวจสภาพรถยนต์ สภาทนายความ ฯลฯ

เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ บุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้ใช้อำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจในทางปกครองของรัฐ ได้แก่ ข้าราชการ พนักงานเจ้าหน้าที่ ลูกจ้าง คณะบุคคล หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงาน ทางปกครอง ฯลฯ

กล่าวโดยสรุป กฎหมายมหาชน ซึ่งปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครองมีความสำคัญกับการเมืองการปกครอง (การบริหารราชการแผ่นดิน) ของไทยในแง่ที่ว่า เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ และวางหลักในการจัดระเบียบการปกครองของรัฐ รวมทั้งบัญญัติสถานะอำนาจหน้าที่แก่ฝ่ายปกครองในทางปกครองและการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อสนองความต้องการของประชาชนภายในรัฐ หากไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ ฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ เพราะตามหลักการของกฎหมายมหาชนแล้วฝ่ายปกครองจะกระทำการใด ๆ ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้เท่านั้น

 

ข้อ 3. จงอธิบายการควบคุมการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่าหมายถึงการควบคุมเรื่องใด อย่างไร และดุลพินิจดังกล่าวมีลักษณะอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

การใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ หน่วยงานของรัฐ กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใช้อำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมาย หรือใช้อำนาจนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น อาจเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ ได้ใช้ดุลพินิจกระทำการที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ เช่น

(1)       กระทำการข้ามขั้นตอน เช่น ในกรณีกฎหมายบัญญัติให้ก่อนที่รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องสำคัญ ๆ จะต้องถามความเห็นประชาชนก่อน แต่รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร ดำเนินการต่าง ๆ โดยไม่ถามความเห็นของประชาชนก่อน ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้โต้แย้ง ถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอน เพราะการนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชน ทำให้ประชาชนเดือดร้อน

(2)       กระหำการโดยปราศจากอำนาจ เช่น กฎหมายไม่ได้กำหนดหรือมอบอำนาจและหน้าที่ในการอนุมัติ อนุญาตให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการ แต่เจ้าพนักงานธุรการผู้นั้นไปดำเนินการอนุมัติ หรืออนุญาตแทนปลัดอำเภอโดยไม่มีอำนาจ

(3)       กระหำการผิดแบบ เช่น การออกคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางกรณีกฎหมายบัญญัติให้ออกเป็นหนังสือ แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐกลับไปออกคำสั่งด้วยวาจา ย่อมเป็นการทำผิดแบบที่กฎหมายกำหนด

(4)       กระทำการนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย เช่น การที่ผู้บังคับบัญชานำเรื่องการย้ายการโอนมาเป็นการลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมาย เพราะเรื่องการย้ายการโอนข้าราชการสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ต่อตัวข้าราขการเอง มิใช่สร้างขึ้นมาเพื่อลงโทษแก่ตัวข้าราชการผู้นั้น

(5)       กระทำการโดยการสร้างภาระให้ประชาชน เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐไปสร้างภาระด้านค่าใช้จ่าย หรือไปกำหนดให้ประชาชนกระทำการใด ๆ เพิ่มเติมโดยไม่มีความจำเป็น

(6)       กระทำการโดยมีอคติหรือไม่สุจริต เช่น กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำลำคลองได้เพียง 1 เดือน แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐกลับสั่งปิดโรงงานดังกล่าวถึง 2 เดือน เพราะเคยมีปัญหาส่วนตัวกันมาก่อน ย่อมเป็นการใช้อำนาจโดยมีอคติ

ดังนั้น การควบคุมการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการควบคุมมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ หน่วยงานของรัฐใช้ดุลพินิจกระทำการที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวข้างต้นนั่นเอง

และเหตุที่ต้องมีการควบคุมการใช้ดุลพินิจดังกล่าวก็เพราะกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ไม่เสมอภาค รัฐ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจเหนือประชาชน ดังนั้นหากไม่มีการควบคุม เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ อาจใช้ดุลพินิจทีไม่ชอบด้วยกฎหมายได้

และการควบคุมการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือที่เรียกว่าเป็นการควบคุมการใช้อำนาจรัฐนั้น แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

  1. การควบคุมแบบป้องกัน หมายถึง ก่อนที่ฝ่ายบริหารจะได้วินิจฉัยสั่งการหรือก่อนจะมีการกระทำในทางปกครอง ที่จะไปกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะมีระบบป้องกันเสียก่อน กล่าวคือ มีกฎหมายกำหนดกระบวนการ หรือขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนที่จะมีคำสั่งออกไป

การควบคุมแบบป้องกัน จึงเป็นวิธีการที่ช่วยเสริมการควบคุมโดยทางศาล เพราะฝ่ายปกครองจะต้องระมัดระวังในขั้นตอนการพิจารณาออกคำสั่ง ทำให้การกระทำของฝ่ายปกครองมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดคดีที่จะมีไปสู่ศาลอีกทางหนึ่งด้วย

  1. การควบคุมแบบแก้ไข หรือการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง หลังการใช้อำนาจทางปกครองไปแล้ว และเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจทางการปกครองนั้นขึ้น จึงต้องแก้ไขปัญหาด้วยวิธีใด วิธีหนึ่งหรือหลายวิธีตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้

วิธีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐที่ดีที่สุด คือ การควบคุมแบบแล้ไข (ภายหลัง) ที่เรียกว่า ใช้ระบบตุลาการ (ศาลคู่) นั่นคือ ศาลปกครอง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีระบบการพิจารณาที่ใช้ศาล และมีกฎหมายรองรับทำให้การพิจารณาพิพากษาเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างยิ่ง อาทิเช่น กฎหมายจัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 กฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กฎหมายว่าด้วยความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้าน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. พุฒิภัทร ศัลยแพทย์หนุ่มฝีมือดีผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดสมองที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์จนมีชื่อเสียงโด่งตัง ได้นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าลูกค้าของร้านอีกคนหนึ่งคือมารตีซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้กันเกิดอาการสำลักเพราะมีเศษอาหารติดคอ และล้มลงช็อกหายใจไม่ออกพุฒิภัทรลุกขึ้นชะโงกหน้าไปดู แต่ก็’ไม่ได้ทำอะไร เพราะนึกขึ้นมาได้ว่ามีนัดไว้กับกรองแก้วซึ่งเป็นคู่รัก

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าหากมารตีถึงแก่ความตาย พุฒิภัทรจะมีความผิดฐานละเมิดต่อมารตีหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่’ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ตี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

ดังนั้นในเบื้องต้น จึงจำต้องพิจารณาก่อนว่าผู้ทำละเมิดมี “การกระทำ” หรือไม่ หากบุคคลไม่มี “การกระทำ” ก็ไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับการกระทำนั้น หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตใจบังคับหรือทำโดยรู้สำนึก นอกจากนี้การกระทำยังหมายความรวมถึงการงดเว้นการเคลื่อนไหวอันพึงต้องทำเพื่อป้องกันมิให้ผลเกิดขึ้นด้วย ในส่วนของการงดเว้นอันจะถือว่าเป็นการกระทำตามกฎหมายนั้น หมายถึงการงดเว้นการกระทำตามหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผลนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น หากบุคคลนั้นไม่มีหน้าที่ การงดเว้นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่พุฒิภัทร ศัลยแพทย์หนุ่มฝีมือดีผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดสมอง ได้นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามารตีซึ่งเป็นลูกค้าของร้านอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้กันเกิดอาการสำลักเพราะมีเศษอาหารติดคอ และล้มลงช็อกหายใจไม่ออก พุฒิภัทรลุกขึ้นชะโงกหน้าไปดูแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนั้น หากมารตีถึงแก่ความตาย พุฒิภัทรจะมีความผิดฐานละเมิดต่อมารตีหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้ก่อนที่มารตีจะถึงแก่ความตาย พุฒิภัทรอาจสามารถช่วยได้แต่ไม่ช่วยนั้น ไม่ถือว่าความตายของมารตีเกิดจากการทำละเมิดของพุฒิภัทรโดยการงดเว้น เนื่องจากการงดเว้นของพุฒิภัทรไม่ถือว่าเป็นการกระทำ เพราะถึงแม้พุฒิภัทรจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก แต่การที่พุฒิภัทรจะต้องช่วยเหลือมารตีหรือไม่นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของพุฒิภัทรไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย หน้าที่ตามระเบียบหรือคำสั่งในการปฏิบัติงาน หน้าที่ตามสัญญา หรือหน้าที่ตามความสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นก่อนแล้ว เป็นเพียงหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นในฐานะเป็นพลเมืองดีเท่านั้น ไม่ใช่หน้าที่โดยเฉพาะที่จะต้องทำเพื่อป้องกันผล คือ ความตายของมารตี

เมื่อไม่ถือว่าเป็นการกระทำ จึงไม่เป็นละเมิดตามความในมาตรา 420 ดังนั้นพุฒิภัทรจึงไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดเกี่ยวกับการตายของมารติ

สรุป หากมารตีถึงแก่ความตาย พุฒิภัทรไม่มีความผิดฐานละเมิดต่อมารตี

 

 

ข้อ 2. นายช่วงเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกได้มอบรถยนต์บรรทุกดังกล่าวให้แก่นายม่วงบุตรชายไปครอบครองและใช้สอย วันเกิดเหตุนายพ่วงลูกจ้างของนายม่วงได้ขับรถยนต์บรรทุกดังกล่าวเพื่อไปส่งของที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นายพ่วงขับรถด้วยความเร็วสูงเนื่องจากเร่งรีบเพื่อที่จะไปส่งชองให้ถึงอำเภอปากช่องโดยเร็ว เพราะนายพ่วงนัดกับนางสาวบ่วงแพ่นสาวเอาไว้ปรากฏว่าเวลาดังกล่าวมีช้างป่าเดินข้ามถนนมาโดยที่นายพ่วงไม่ได้ระมัดระวังทำให้นายพ่วงต้องเหยียบเบรกกะทันหัน รถยนต์บรรทุกจึงเสียหลักพุ่งชนรถจักรยานยนต์ของนายง่วงที่ขับสวนมาอีกฝั่งหนึ่ง ทำให้นายง่วงได้รับบาดเจ็บสาหัสและรถจักรยานยนต์เสียหายทั้งคัน ดังนี้ จงวินิจฉัยว่านายช่วง นายพ่วง และนายม่วง ต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายง่วงหรือไม่อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายพ่วงลูกจ้างชองนายม่วงได้ขับรถยนต์บรรทุกเพื่อไปส่งของ โดยนายพ่วงได้ขับรถด้วยความเร็วสูง เมื่อมีช้างป่าเดินข้ามถนนมาทำให้นายพ่วงซึ่งไม่ได้ระมัดระวังต้องเหยียบเบรกกะทันหันรถยนต์บรรทุกจึงเสียหลักพุ่งชนรถจักรยานยนต์ของนายง่วงที่ขับสวนมาอีกฝั่งหนึ่ง ทำให้นายง่วงได้รับบาดเจ็บสาหัสและรถจักรยานยนต์เสียหายทั้งคันนั้น ความเสียหายแก่ร่างกายและแก่ทรัพย์สินของนายง่วงเป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดของนายพ่วงตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทำให้เขาได้รับความเสียหาย และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายพ่วง ดังนั้นนายพ่วงจึงต้องรับผิดในทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายง่วง

สำหรับนายม่วงนั้น เมื่อปรากฏว่าในขณะที่นายพ่วงทำละเมิดนั้น นายพ่วงได้ขับรถยนต์บรรทุกของนายม่วงซึ่งเป็นนายจ้างเพื่อไปส่งของ จึงถือว่านายพ่วงได้ทำละเมิดในขณะที่อยู่ในระหว่างการปฏิบัติงานในทางการที่จ้าง ดังนั้น นายม่วงซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องรับผิดร่วมกันกับนายพ่วงลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งนายพ่วงได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นด้วยตามมาตรา 425 ส่วนนายช่วงเมื่อมิใช่นายจ้างของนายพ่วงจึงไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนายง่วง

สรุป นายพ่วงและนายม่วงต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายง่วงตามมาตรา 420 ประกอบมาตรา 425 ส่วนนายช่วงไม่ต้องรับผิด

 

 

ข้อ 3. สุนัขของนายทองได้นำมาให้นางนาคเลี้ยงชั่วคราว วันเกิดเหตุสุนัขตัวนี้ซึ่งมีความซุกซนมากได้วิ่งไปชนกระถางต้นไม้ที่วางอยู่ตรงระเบียงบ้านชั้นสองของนางพลอยซึ่งได้ให้นางมุกเช่าอยู่อาศัยทำให้กระถางตกหล่นใส่ศีรษะของนางสาวเพชรได้รับบาดเจ็บถึงขั้นสมองฟั่นเฟือน ไม่สามารถประกอบการงานได้อีกต่อไป ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายทอง นางนาค นางมุก และนางพลอยจะต้องมีความรับผิดในความเสียหายต่อนางสาวเพชรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 433 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆอันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”

มาตรา 436 “บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สุนัขของนายทองได้วิ่งไปชนกระถางต้นไม้ตกหล่นใส่ศีรษะของนางสาวเพชรได้รับบาดเจ็บนั้น ถือเป็นกรณีที่นางสาวเพชรได้รับความเสียหายอันเกิดจากสัตว์ ซึ่งตามมาตรา 433 วรรคหนึ่ง กำหนดให้เจ้าของสัตว์หรือผู้รับเลี้ยงสัตว์ต้องรับผิด เมื่อปรากฏว่าสัตว์ดังกล่าวได้ก่อความเสียหายในขณะที่อยู่ในความดูแลของนางนาคซึ่งเป็นผู้รับเลี้ยงสัตว์นั้น นางนาคจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสาวเพชร ส่วนนายทองเจ้าของสัตว์ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี นางนาคอาจแก้ตัวให้พ้นผิดได้หากพิสูจน์ได้ว่าได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่ชนิด วิสัย และพฤติการณ์ของสัตว์นั้นแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่านางนาคได้มีการใช้ความระมัดระวังดังกล่าว นางนาคจึงต้องรับผิด

และเมื่อปรากฏว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากกระถางต้นไม้หล่นลงมาจากโรงเรือนและเป็นโรงเรือนของนางพลอยซึ่งนางมุกเช่าอาศัยอยู่ จึงถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนตามมาตรา 436 และเมื่อนางมุกเป็นบุคคลผู้อยู่ในโรงเรือน นางมุกจึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อนางสาวเพชรตามมาตรา 436 ส่วนนางพลอยไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด

สรุป นางนาคและนางมุกจะต้องรับผิดในความเสียหายต่อนางสาวเพชร ส่วนนายทองและนางพลอยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายต่อนางสาวเพชร

 

 

ข้อ 4. ในวันเกิดเหตุ นายอ๊อดขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนายบัวขาวที่เดินอยู่บนทางเท้า เป็นเหตุให้นายบัวขาวได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องบอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 สัปดาห์เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 150,000 บาท เมื่อนายบัวขาวฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอลงไปไม่สามารถขยับร่างกายใด ๆ ได้ ทำให้ปัจจุบันนายบัวขาวไม่สามารถทำงานได้ปกติดังเดิม จงวินิจฉัยว่า

(ก) นายบัวขาวจะฟ้องเรียกค่าใช้จ่าย 150,000 บาท และค่าเสียหายที่ตนเองต้องทนทุกข์ทรมานและซึมเศร้าจากการเป็นอัมพาตไม่สามารถขยับตัวจากนายอ๊อดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) เด็กหญิงแจงบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบัวขาวจะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายอ๊อดเนื่องจากปัจจุบันนายบัวขาวไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงเด็กหญิงแจงได้ดังเดิมได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 443 วรรคสาม “ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

ฆาตรา 444 วรรคหนึ่ง “ในกรณีทำให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้น ผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป และค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงาบสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วน ทั้งในเวลาปัจจุบันนั้นและในเวลาอนาคตด้วย”

มาตรา 446 วรรคหนึ่ง “ในกรณีทำให้เขาเสียหายแกร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้ สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอ๊อดขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนายบัวขาว เป็นเหตุให้นายบัวขาวได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น การกระทำของนายอ๊อดถือเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกาย ดังนั้น นายอ๊อดจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

และการที่นายบัวขาวได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 สัปดาห์เสียค่าใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 150,000 บาท และเมื่อนายบัวขาวฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอลงไปไม่สามารถขยับร่างกายใด ๆ ได้ ทำให้ปัจจุบันนายบัวขาวไม่สามารถทำงานได้ปกติดังเดิมนั้น

(ก) นายบัวขาวสามารถฟ้องเรียกค่าใช้จ่าย 150,000 บาท จากนายอ๊อดได้ เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่นายบัวขาวซึ่งเป็นผู้ที่ต้องได้รับความเสียหายต้องเสียไปตามมาตรา 444 วรรคหนึ่งส่วนค่าเสียทายที่นายบัวขาวต้องทนทุกข์ทรมาน และซึมเศร้าจากการเป็นอัมพาตไม่สามารถขยับตัวได้นั้น นายบัวขาวสามารถฟ้องเรียกเอาจากนายอ๊อดได้เช่นเดียวกัน เพราะเป็นกรณีที่นายบัวขาวผู้ต้องเสียหายแก่ร่างกายได้ฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามมาตรา 446 วรรคหนึ่ง และการฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายบัวขาวนั้น ก็เป็นความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการละเมิดและเป็นความเสียหายที่ไม่ไกลกว่าเหตุ

(ข) การที่นายบัวขาวไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงเด็กหญิงแจงซึ่งเป็นบุตรได้ดังเดิมนั้นเด็กหญิงแจงจะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายอ๊อดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะสิทธิในการฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่ผู้ถูกทำละเมิดถึงแก่ความตายเท่านั้น (ตามมาตรา 443 วรรคสาม) ดังนั้นเมื่อนายบัวขาวผู้ที่ถูกนายอ๊อดทำละเมิดได้รับความเสียหายแก่ร่างกายมิได้ถึงแก่ความตาย เด็กหญิงแจงจึงไม่สามารถฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายอ๊อดผู้ทำละเมิดได้

สรุป

(ก) นายบัวขาวสามารถฟ้องเรียกค่าใช้จ่าย 150,000 บาท และค่าเสียหายที่ตนเองต้องทนทุกข์ทรมานและซึมเศร้าจากการเป็นอัมพาตไม่สามารถขยับตัวจากนายอ๊อดได้

(ข) เด็กหญิงแจงจะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายอ๊อดไม่ได้

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางอ่างสั่งให้ลูกจ้างคือนายอาร์ทขับรถไปส่งนางกวางไปงานวันแต่งงานของญาติ เมื่อเลิกงานก็ให้ขับรถกลับบ้านมาเก็บไว้ในโรงรถ โดยนางอ่างสั่งห้ามเด็ดขาดว่านายอาร์ทอย่าขับรถไปที่อื่นใดในเวลาที่รอนางกวาง แต่นายอาร์ทไม่เชื่อฟัง แอบขับรถออกไปแวะทานข้าวต้ม ระหว่างทางนายอาร์ทขับรถด้วยความประมาทชนรถยนต์ที่นายรวยขับเป็นเหตุให้นายรวยถึงแก่ความตายทันที

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าทั้งสองคนต้องร่วมกันรับผิดฐานละเมิดต่อนายรวยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้คำสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแท่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายอาร์ทขับรถด้วยความประมาทชนรถยนต์ที่นายรวยขับเป็นเหตุให้นายรวยถึงแก่ความตายนั้น ความเสียหายถึงแก่ชีวิตของนายรวยและความเสียหายแก่ทรัพย์สินของนายรวยเป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดของนายอาร์ทตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทำให้เขาได้รับความเสียหาย และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายอาร์ท ดังนั้น นายอาร์ทจึงต้องรับผิดในทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายรวย

สำหรับนางอ่างนั้น เมื่อปรากฏว่าในขณะที่นายอาร์ททำละเมิดต่อนายรวยนั้น นายอาร์ทได้ขับรถไปส่งนางกวางไปงานวันแต่งงานของญาติตามคำสั่งของนางอ่างขึ้งเป็นนายจ้าง แม้ว่านางอ่างจะได้สั่งห้ามเด็ดขาดว่านายอาร์ทอย่าขับรถไปที่อื่นใดก็ตาม การที่นายอารีทไม่เชื่อฟังแอบขับรถออกไปแวะทานข้าวต้มนั้น ถือได้ว่ายังอยู่ในระหว่างที่นายอาร์ทปฏิบัติหน้าที่ใน!ทางการที่จ้างของนางอ่าง การขัดคำสั่งของลูกจ้างไม่อาจนำมาใช้ยันบุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิด ดังนั้นนางอ่างซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องรับผิดร่วมกันกับนายอาร์ทลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งนายอาร์ทได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นด้วยตามมาตรา 425

สรุป นางอ่างและนายอาร์ทต้องร่วมกันรับผิดฐานละมิดต่อนายรวย

 

 

ข้อ 2. จากข้อเท็จจริงดังกล่าวในข้อ 1. หากนายจ้างของนายรวยได้จัดการทำศพให้แก่นายรวย และได้จ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นให้แก่ลูกจ้างคนใหม่ที่ต้องมาทำงานแทนนายรวยที่ตายไป ทำให้ตนต้องขาดการงานในอุตสาหกรรมไป นายจ้างของนายรวยจะมีสิทธิเรียกร้องให้นายอาร์ทชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายละเมิดได้อย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใดและหากว่านายสุขอายุ 18 ปี บุตรนอกกฎหมายของนายรวยที่ได้ใช้ชื่อนามสกุลของนายรวยได้รับเงินค่าประกันชีวิต จากบริษัทผู้รับประกันไว้หนึ่งล้านบาท นายสุขจะเรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 1649 วรรคสอง “ถ้าผู้ตายมิได้ตั้งผู้จัดการมรดกหรือบุคคลใดไว้ให้เป็นผู้จัดการทำศพ หรือทายาทมิได้มอบหมายตั้งให้บุคคลใดเป็นผู้จัดการทำศพ บุคคลผู้ได้รับทรัพย์มรดกโดยพินัยกรรมหรือโดยสิทธิโดยธรรมเป็นจำนวนมากที่สุดเป็นผู้มีอำนาจและตกอยู่ในหน้าที่ต้องจัดการทำศพ เว้นแต่ศาลจะเห็นเป็นการสมควรตั้งบุคคลอื่นให้จัดการเช่นนั้นในเมื่อบุคคลผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งร้องขอขึ้น”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ข้อ 1. และข้อ 2. แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีนายจ้างของนายรวย การที่นายจ้างของนายรวยได้จัดการทำศพให้แก่นายรวยนั้น นายจ้างของนายรวยจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนคือค่าปลงศพจากนายอาร์ทไม่ได้ เพราะแม้ว่านายจ้างของนายรวยจะได้จัดการปลงศพของนายรวยไปก็ตาม แต่เมื่อตนมิใช่ทายาทและไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการทำศพ ตามมาตรา 1649 วรรคสอง จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าปลงศพตามมาตรา 443 วรรคหนึ่ง

และนอกจากนั้น การที่นายจ้างของนายรวยได้จ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นให้แก่ลูกจ้างคนใหม่ที่ต้องมาทำงานแทนนายรวยที่ตายไปนั้น นายจ้างของนายรวยจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนคือค่าความเสียหายจากการขาดแรงงานในอุตสาหกรรมจากนายอาร์ทไม่ได้ เพราะผู้มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดแรงงานในอุตสาหกรรมตามมาตรา 445 นั้น จะต้องเป็นนายจ้างของลูกจ้างที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อปรากฏว่านายรวยซึ่งเป็นลูกจ้างได้ถูกทำละเมิดแล้วตายทันที สัญญาจ้างระหว่างนายจ้างและลูกจ้างย่อมระงับ นายจ้างจึงไม่อยู่ในฐานะขาดแรงงานจึงไม่อาจเรียกร้องค่าขาดแรงงานตามมาตรา 445 ได้

กรณีนายสุข การที่นายสุขเป็นบุตรนอกกฎหมายของนายรวยและได้ใช้ชื่อนามสกุลของนายรวยนั้น ย่อมถือว่านายสุขเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาให้การรับรองโดยพฤตินัยแล้ว และส่งผลให้นายสุขเป็นผู้สืบสันดานและเป็นทายาทซึ่งมีสิทธิรับมรดกของนายรวย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1627 ประกอบมาตรา 1629 (1) ดังนั้น นายสุขย่อมมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการทำศพตามมาตรา 1649 วรรคสอง จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทำศพตามมาตรา 443 วรรคหนึ่งได้ แม้ว่านายจ้างของนายรวยจะได้ช่วยออกค่าทำศพให้หมดแล้ว หรือแม้ว่านายสุขจะได้เงินค่าประกันชีวิตในฐานะผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยแล้วก็ตาม ก็ไม่ตัดสิทธิของนายสุขที่จะเรียกร้องค่าปลงศพจากนายอาร์ทผู้ทำละเมิด

แต่อย่างไรก็ดี แม้นายสุขจะมีสิทธิได้รับมรดกของนายรวยก็ตาม แต่เมื่อนายสุขมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายรวย นายรวย (ผู้ตาย) จึงไม่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูนายสุขซึ่งเป็นบุตรที่มีชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1564 ดังนั้น นายสุขจะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคท้าย จากนายอาร์ทผู้ทำละเมิดไม่ได้ เพราะตามมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้ทำละเมิดจะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น

สรุป นายจ้างของนายรวยไม่มีสิทธิเรียกร้องให้นายอาร์ทชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายละเมิดได้เลย ส่วนนายสุขสามารถเรียกค่าปลงศพจากนายอาร์ทได้แต่จะเรียกค่าขาดไร้อุปการะไม่ได้

 

 

ข้อ 3. จำเลยไปเที่ยวชายทะเล ขณะเดินเล่นริมชายหาด เห็นนายขาวซึ่งกำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเลเป็นตะคริวกำลังจะจมน้ำ นายขาวตะโกนให้จำเลยช่วย จำเลยไม่ยอมช่วยทั้ง ๆ ที่จำเลยว่ายน้ำเป็น ท้ายที่สุดปรากฏว่านายขาวจมน้ำถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยต้องรับผิดในทางละเมิดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

ดังนั้นในเบื้องต้น จึงจำต้องพิจารณาก่อนว่าผู้ทำละเมิดมี “การกระทำ” หรือไม่ หากบุคคลไม่มี “การกระทำ” ก็ไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

สำหรับการกระทำนั้น หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตใจบังคับหรือทำโดยรู้สำนึก นอกจากนี้การกระทำยังหมายความรวมถึงการงดเว้นการเคลื่อนไหวอันพึงต้องทำเพื่อป้องกันมิให้ผลเกิดขึ้นด้วย ในส่วนของการงดเว้นอันจะถือว่าเป็นการกระทำตามกฎหมายนั้น หมายถึงการงดเว้นการกระทำตามหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผลนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น หากบุคคลนั้นไม่มีหน้าที่ การงดเว้นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดในทางละเมิดหรือไม่ เห็นว่าการที่นายขาวซึ่งกำลังว่ายน้ำในทะเลเป็นตะคริวกำลังจะจมน้ำตาย และจำเลยสามารถช่วยได้แต่ไม่ยอมช่วยปรากฏว่านายขาวจมน้ำตาย เช่นนี้ไม่ถือว่าจำเลยทำละเมิดต่อนายขาวโดยงดเว้น ทั้งนี้เนื่องจากการงดเว้นของจำเลยไม่ถือเป็นการกระทำ เพราะถึงแม้จำเลยจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก แต่การที่จำเลยต้องช่วยนายขาวหรือไม่นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของจำเลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย หน้าที่ตามระเบียบหรือคำสั่งในการปฏิบัติงาน

หน้าที่ตามสัญญา หรือหน้าที่ตามความสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นก่อนแล้ว เป็นเพียงหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นในฐานะเป็นพลเมืองดีเท่านั้น ไม่ใช่หน้าที่โดยเฉพาะที่จะต้องทำเพื่อป้องกันผล คือ ความตายของนายขาว เมื่อไม่ถือว่าเป็นการกระทำ จึงไม่เป็นละเมิดตามความในมาตรา 420 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในทางละเมิด

สรุป จำเลยไม่ต้องรับผิดในทางละเมิด

 

 

ข้อ 4. นายสมรักอยู่กินด้วยกันโดยจดทะเบียนสมรสกับนางสมศรีมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือนางสาวสมหญิงอายุ 22 ปี ตอนที่นางสาวสมหญิงอายุ 15 ปี นายสมรักและนางสมศรีหย่าขาดจากกัน นางสมศรีได้ไปจดทะเบียนสมรสใหม่กับนายสมจริงมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือเด็กชายสมศักดิ์ อายุ 7 ปี วันเกิดเหตุนางสมศรีเดินทางไปเที่ยวเขาใหญ่ ปรากฏว่าช่วงที่นางสมศรีขับรถลงจากเขาใหญ่นั้น นายแจ่มได้ขับรถบรรทุกแซงตัดหน้ารถยนต์ที่นางสมศรีขับมาในระยะกระชั้นชิด รถบรรทุกของนายแจ่มไปกระแทกกับรถยนต์ของนางสมศรี ทำให้รถยนต์ของนางสมศรีพลิกคว่ำ เป็นเหตุให้นางสมศรีถึงแก่ความตาย

ดังนั้นจงวินิจฉัยว่าบุคคลผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากนายแจ่มนั้นคือใคร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น’’

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแจ่มได้ขับรถบรรทุกแซงตัดหน้ารถยนต์ที่นางสมศรีขับมาในระยะกระชั้นชิดและไปกระแทกกับรถยนต์ของนางสมศรี ทำให้รถยนต์ของนางสมศรีพลิกคว่ำเป็นเหตุให้นางสมศรีถึงแก่ความตายนั้น การกระทำของนายแจ่มเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิต และการกระทำของนายแจ่มสัมพันธ์กับผลของการกระทำ คือความตายของนางสมศรี ดังนั้น นายแจ่มจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ บุคคลใดบ้างที่จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากนายแจ่ม ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

  1. กรณีค่าปลงศพ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจากผู้กระทำละเมิดจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย และเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629

ดังนั้น บุคคลที่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพจากนายแจ่ม ได้แก่

(1)       นายสมจริง ซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสมศรี

(2)       นางสาวสมหญิงและเด็กชายสมศักดิ์ ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสมศรี

  1. กรณีค่าขาดไร้อุปการะ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น ได้แก่ สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งผู้รับบุตรบุญธรรม และบุตรบุญธรรมด้วย แต่ในกรณีของบุตรนั้นจะต้องเป็นบุตรผู้เยาว์ หรือบุตรที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตนเองไม่ได้เท่านั้น

ดังนั้น บุคคลที่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าขาดไร้อุปการะจากนายแจ่มไ ด้แก่

(1)       นายสมจริง ซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสมศรี

(2)       เด็กชายสมศักดิ์ ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสมศรี และเป็นบุตรผู้เยาว์

สำหรับนางสาวสมหญิง แม้จะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสมศรี แต่เมื่อมิได้เป็นบุตรผู้เยาว์ หรือเป็นบุตรที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ จึงเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายแจ่มไม่ได้

ส่วนนายสมรักนั้น เมื่อได้หย่าขาดจากนางสมศรีแล้ว จึงมิใช่สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสมศรี จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากนายแจ่ม

สรุป บุคคลที่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพจากนายแจ่ม คือนายสมจริงนางสาวสมหญิง และเด็กชายสมศักดิ์

และบุคคลที่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าขาดไร้อุปการะจากนายแจ่ม คือนายสมจริง และเด็กชายสมศักดิ์

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเมินอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางอมรามีอาชีพรับเลี้ยงเด็ก รับจ้างเลี้ยงเด็กหญิงนานาอายุห้าขวบ ซึ่งเป็นบุตรสาวของนางกวาง วันเกิดเหตุ เด็กหญิงนานาเล่นซุกซนวิ่งไปชนแจกันแก้วของป้าญาแตกเสียหาย นางอมราไปขอโทษแต่ถูกป้าญาต่อว่าที่ไม่ดูแลเด็กให้ดี นางอมราโกรธจึงเอามือทุบโต๊ะอย่างแรง ทำให้โต๊ะของป้าญาแตกหักเสียหาย ดังนี้ให้ทำบวินิจฉัยว่า

(ก) เด็กหญิงนานาต้องรับผิดต่อป้าญาหรือไม่ เพราะเหตุใด และนางกวางกับนางอมราต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) นางอมราต้องรับผิดต่อป้าญาหรือไม่ เพราะเหตุใด และนางกวางต้องร่วมรับผิดกับนางอมราในฐานะผู้ว่าจ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 ‘‘ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 428 “ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง”

มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”

มาตรา 430 “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่เด็กหญิงนานาบุตรสาวของนางกวางเล่นซุกซนวิ่งไปชนแจกันแก้วของป้าญาแตกเสียหายนั้น ถือว่าการกระทำของเด็กหญิงนานาเป็นการทำละเมิดต่อป้าญาตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทำให้เขาเสียหายต่อทรัพย์สิน และการกระทำของเด็กหญิงนานามีความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น ดังนั้นเด็กหญิงนานาจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และแม้ว่าเด็กหญิงนานาจะเป็นผู้เยาว์ก็ยังคงต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดนี้ตามมาตรา 429

และเมื่อผู้กระทำละเมิดเป็นผู้เยาว์ ดังนั้น นางกวางซึ่งเป็นมารดาก็ต้องร่วมกันรับผิดกับเด็กหญิงนานาด้วยตามมาตรา 429 เว้นแต่นางกวางจะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลเด็กหญิงนานาผู้เยาว์แล้ว

ส่วนนางอมรานั้น เมื่อปรากฏว่าการทำละเมิดของเด็กหญิงนานาซึ่งเป็นผู้ไร้ความสามารถ(ผู้เยาว์) ต่อป้าญานั้น ได้กระทำลงในขณะที่อยู่ในความดูแลของนางอมราและนางอมราก็ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น ดังนั้น นางอมราซึ่งเป็นผู้รับดูแลจึงต้องรับผิดร่วมกับเด็กหญิงนานาในผลแห่งละเมิดนั้นตามมาตรา 430

(ข) การที่นางอมราโกรธป้าญา จึงได้เอามือทุบโต๊ะอย่างแรงทำให้โต๊ะของป้าญาแตกหักเสียหายนั้น การกระทำดังกล่าวของนางอมราถือว่าเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยจงใจและผิดกฎหมายทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน และการกระทำของนางอมรามีความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น ดังนั้นนางอมราจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ป้าญา

ส่วนนางกวางซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างนั้น เมื่อการกระทำของนางอมราผู้รับจ้างซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่บุคคลภายนอกนั้น มิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการทำการงานที่ผู้ว่าจ้างสั่งให้ทำ หรือในคำสังที่ผู้ว่าจ้างให้ไว้แต่อย่างใด ดังนั้นนางกวางจึงไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้ว่าจ้างตามมาตรา 428

สรุป

(ก) เด็กหญิงนานาต้องรับผิดต่อป้าญาตามมาตรา 420 และ 429 ส่วนนางกวางกับนางอมราต้องร่วมรับผิดด้วยตามมาตรา 428 และ 430 ตามลำดับ

(ข) นางอมราต้องรับผิดต่อป้าญาตามมาตรา 420 ส่วนนางกวางไม่ต้องร่วมรับผิดกับนางอมราในฐานะผู้ว่าจ้างตามมาตรา 428

 

 

ข้อ 2. นางป้อมได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนายโจ๋ซึ่งคบหาชอบพอกับนางสาวแก้วบุตรสาวของนางป้อมว่านายโจ๋เป็นพ่อค้ายาเสพติด เคยติดคุกติดตะรางเพราะยาเสพติดมาแล้ว ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว นางป้อมจึงรีบกลับมาที่บ้านพักกล่าวต่อนางสาวแก้วว่า “อย่าคบหากับนายโจ๋ต่อไปเลยเพราะนายโจ๋เป็นพ่อค้ายาเสพติดเคยติดคุกติดตะรางเพราะยาเสพติดมาแล้ว” นายแดงผู้ซึ่งแอบปีนเข้ามาในบริเวณบ้านของนางป้อมได้ยินข้อความดังกล่าว จึงนำไปกล่าวต่อนายพินิจเพื่อนของนายแดงว่า“นายโจ๋เป็นพ่อค้ายาเสพติด เคยติดคุกติดตะรางเพราะยาเสพติดมาแล้ว” แต่ในความเป็นจริง นายโจ๋ไม่เคยข้องแวะเกี่ยวกับยาเสพติดใด ๆ และไม่เคยติดคุกแต่อย่างใด

จงวินิจฉัยว่า นายโจ๋จะเรียกร้องให้นางป้อมและนายแดงรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 423 “ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้

ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่”

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามมาตรา 423 วรรคหนึ่ง (หมิ่นประมาททางแพ่ง) มีดังนี้

  1. เป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง
  2. ทำให้แพร่หลาย กล่าวคือ กระทำต่อบุคคลที่สามคนเดียวก็ถือว่าแพร่หลายแล้ว โดยบุคคลที่สามต้องสามารถเข้าใจคำกล่าวหรือการไขข่าวนั้นได้
  3. มีความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของบุคคลอื่น
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางป้อมได้กล่าวต่อนางสาวแก้วบุตรสาวนั้น ถือได้ว่าเป็นการกล่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ทำให้ข้อความนี้แพร่หลายต่อบุคคลที่สาม คือ นางสาวแก้ว และเป็นที่เสียหายต่อชื่อเสียงของนายโจ๋ อันถือเป็นการหมิ่นประมาทนายโจ๋ตามมาตรา 423 วรรคหนึ่งแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม นางป้อมนั้นเป็นมารดาของนางสาวแก้ว เมื่อได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนายโจ๋จึงรีบกลับบ้านมาบอกบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง ถือเป็นกรณีที่นางป้อมส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง โดยนางป้อมมีทางได้เสียโดยชอบในการส่งข่าวสารนี้ เพราะมารดาย่อมมีทางได้เสียโดยชอบในเรื่องคู่ครองของบุตร

ดังนั้น นางป้อมจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายโจํตามมาตรา 423 วรรคสอง

ส่วนกรณีที่นายแดงแอบปีนเข้ามาในบริเวณบ้านของนางป้อมและได้ยินข้อความดังกล่าวนั้น ไม่อาจถือได้ว่านายแดงเป็นบุคคลที่สาม เพราะนางป้อมกล่าวต่อบุตรสาวในบ้านตนเองมิได้ตั้งใจจะให้นายแดงรับรู้ในข้อความดังกล่าว จึงไม่ถือว่านางป้อมทำให้ข้อความนั้นแพร่หลายต่อบุคคลที่สาม อันจะถือเป็นการหมิ่นประมาท นายโจ๋ตามมาตรา 423 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นางป้อมจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายโจ๋ในกรณีนี้เช่นกัน

กรณีที่นายแดงได้ยินข้อความดังกล่าวแล้วนำไปพูดต่อนั้นย่อมถือเป็นการกล่าวเช่นเดียวกันเมื่อได้กล่าวต่อบุคคลที่สามคือนายพินิจ และข้อความนั้นฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงและเป็นที่เสียหายต่อชื่อเสียง ของนายโจ๋ ดังนั้น นายแดงจึงต้องรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อนายโจ๋ตามมาตรา 423 วรรคหนึ่ง

และในกรณีนี้นายแดงไม่อาจอ้างข้อยกเว้นความรับผิดตามมาตรา 423 วรรคสองได้ เพราะนายแดงหรือนายพินิจไม่มีทางได้เสียโดยชอบในเรื่องดังกล่าว

สรุป นายโจ๋เรียกร้องให้นายแดงรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนได้ แต่จะเรียกร้องให้นางป้อมรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนไม่ได้

 

 

ข้อ 3. นายหล่อไม่ชอบนายเหลี่ยม จึงยุให้ลิงของนายเหล่ไปไล่กัดนายเหลี่ยม นายเหลี่ยมได้รับบาดเจ็บจึงวิ่งหนีกลับเข้าบ้าน แต่เนื่องจากยังโกรธนายหล่ออยู่ นายเหลี่ยมจึงได้ไปยุให้สุนัขของตนกัดลิงของนายเหล่ ลิงของนายเหล่ได้รับบาดเจ็บ จึงร้องโหยหวนได้วิ่งหนีไปบนหลังคารถยนต์ของยายแหยมที่จอดอยู่หน้าบ้าน ยายแหยมตกใจเสียงลิงร้องและเห็นลิงอยู่ที่หลังคารถยนต์ของตนจึงช็อกและขาดใจตายทันที

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าใครจะต้องรับผิดในความตายของยายแหยมและลิงของนายเหล่ที่ได้รับบาดเจ็บ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่รางกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรันผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้ คือ

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเหลี่ยมยุให้สุนัขของตนกัดลิงของนายเหล่จนได้รับบาดเจ็บนั้นการกระทำของนายเหลี่ยมถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายเหลี่ยม จึงถือว่านายเหลี่ยมได้กระทำละเมิดต่อนายเหล่ตามมาตรา 420 จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเหล่

และการที่ลิงของนายเหล่ได้วิ่งหนีไปบนหลังคารถยนต์ของยายแหยม และส่งเสียงร้องจนทำให้ยายแหยมตกใจช็อกถึงแก่ความตายนั้น ก็เป็นผลมาจากการกระทำของนายเหลี่ยมที่ยุสุนัขให้กัดลิงในตอนแรก เมื่อผลที่เกิดขึ้นกับยายแหยมสัมพันธ์กับการกระทำของนายเหลี่ยม ดังนั้นจึงถือว่านายเหลี่ยมกระทำละเมิดต่อยายแหยมและต้องรับผิดในความตายของยายแหยมด้วยตามมาตรา 420 ซึ่งทั้งสองกรณีดังกล่าวไม่ใช่ความรันผิดในความเสียหายอันเกิดขึ้นเพราะสัตว์ เนื่องจากความรับผิดตามมาตรา 433 จะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสัตว์นั้นเอง มิใช่มนุษย์ใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ

ส่วนการที่นายหล่อยุให้ลิงของนายเหล่ไปไล่กัดนายเหลี่ยมจนได้รับบาดเจ็บนั้น แม้จะถือว่านายหล่อกระทำละเมิดต่อนายเหลี่ยมและต้องรับผิดต่อนายเหลี่ยมตามมาตรา 420 แต่เนื่องจากภัยดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว นายเหลี่ยมจึงได้ยุให้สุนัขกัดลิงของนายเหล่เพราะความโกรธ ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยายแหยมและลิงของนายเหล่จึงไม่เกี่ยวกับความรับผิดของนายหล่อที่มีต่อนายเหลี่ยม

สรุป นายเหลี่ยมจะต้องรับผิดในความตายของยายแหยมและลิงของนายเหล่ที่ได้รับบาดเจ็บ

 

 

ข้อ 4. จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนนาย ก. ได้รับบาดเจ็บสาหัส นาย ก. เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 3 เดือน จึงหายเป็นปกติ ข้อเท็จจริงได้ความว่าในช่วงที่นาย ก. เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เป็นเวลา 3 เดือน นาย ก. ไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้เป็นเหตุให้สอบไล่ตก นาย ก. จึงจำเป็นต้องลงทะเบียนสอบซ่อม โดยนาย ก. ต้องเสียค่าลงทะเบียนสอบซ่อมจำนวน 500 บาท

ดังนี้นาย ก.จะเรียกค่าเสียหายที่ต้องลงทะเบียนสอบซ่อมจากจำเลยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 438 วรรคสอง “อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆอันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 438 วรรคสอง ได้กำหนดถึงค่าสิบไหมทดแทนที่ผู้กระทำละเมิดจะต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายนั้น มี 3 ประการ ได้แก่

  1. การคืนทรัพย์สิน
  2. การใช้ราคาทรัพย์สิน (ในกรณีที่ไม่สามารถคืนทรัพย์สินได้)
  3. การชดใช้ค่าเสียหาย (ในกรณีที่มีการคืนทรัพย์สิน หรือใช้ราคาทรัพย์สินไปแล้ว แต่ยังมีความเสียหายอยู่อีก)

ซึ่งการเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายนั้น จะต้องเป็นค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นนั้นด้วย (ตามมาตรา 438 วรรคสองตอนท้าย) กล่าวคือ จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ

  1. จะต้องเป็นความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการละเมิด และ
  2. จะต้องเป็นความเสียหายที่ไม่ไกลกว่าเหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนนาย ก. ได้รับบาดเจ็บสาหัส นาย ก. เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 3 เดือน จึงหายเป็นปกติ และปรากฏข้อเท็จจริงว่าในช่วงที่นาย ก. เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 3 เดือนนั้น นาย ก.ไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้เป็นเหตุให้สอบไล่ตก และนาย ก. ต้องลงทะเบียนสอบซ่อมและเสียค่าลงทะเบียนสอบซ่อมจำนวน 500 บาทนั้น จะเห็นได้ว่า ค่าลงทะเบียนสอบซ่อมจำนวน 500 บาท ที่นาย ก. ต้องเสียไปนั้น แม้จะเป็นความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการละเมิดก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นความเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ ทั้งนี้เพราะแม้ว่านาย ก. จะไม่ถูกจำเลยขับรถชนและไม่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยนาย ก. ได้ไปเรียนหนังสือตามปกติก็ตาม ก็ไม่แน่ว่านาย ก. จะสอบไล่ได้ อาจจะสอบตกก็ได้ ดังนั้น นาย ก. จะเรียกค่าเสียหายที่ต้องลงทะเบียนสอบซ่อมจากจำเลยจำนวน 500 บาท ไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1052/2506)

สรุป นาย ก. จะเรียกค่าเสียหายที่ต้องลงทะเบียนสอบซ่อมจากจำเลยไม่ได้

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!