LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007 กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  อย่างไรเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน  (มาตรา  137)  จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  137  ผู้ใดแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน  ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายต้องระวางโทษ

อธิบาย 

ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  137  นี้  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ

2       แก่เจ้าพนักงาน

3       ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย

4       โดยเจตนา

แจ้งข้อความ  หมายถึง  การกระทำด้วยประการใดๆให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น  อาจกระทำโดยวาจา  โดยการเขียนเป็นหนังสือ  หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้

ข้อความอันเป็นเท็จ  หมายถึง  ข้อความที่นำไปแจ้งไม่ตรงกับความจริงหรือตรงข้ามกับความจริง  เช่น  นาย  ก  ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาว  ข  โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยาหรือจดทะเบียนสมรสมาก่อน  ทั้งๆที่นาย  ก  มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว  คือ  นาง  ค  เช่นนี้เป็นต้น  แต่อย่างไรก็ตามต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน  ถ้าหากเป็นเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่  จะว่าเป็นข้อความเท็จยังไม่ได้

การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  137  นี้อาจเกิดขึ้นได้  2  กรณีคือ

(ก)  ผู้แจ้งไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานเอง

(ข)  โดยตอบคำถามที่เจ้าพนักงานเรียกไปสอบสวนเป็นพยานก็ได้

อนึ่งการแจ้งข้อความอันเป็นจริงบางส่วนและเท็จบางส่วน ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแล้ว  เช่น  ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  โดยกรอกข้อความอื่นเป็นความจริง  แต่ในช่องสัญชาติของบิดากรอกว่า  บิดาเป็นไทย  ความจริงเป็นจีน  ซึ่งเป็นเท็จไม่หมด  ก็ถือว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา  137  นี้แล้ว

สำหรับการฟ้องเท็จในคดีแพ่งหรือการยื่นคำให้การเท็จในคดีแพ่ง  ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน  เป็นแต่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล  จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ  ตามมาตรา  137  (ฎ. 1274/2513)

ส่วนในคดีอาญา  ผู้ต้องหาชอบที่จะให้การแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างใดก็ได้  เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือจะไม่ยอมให้การเลยก็ได้   แม้คำให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ  หรือให้การไปโดยเชื่อว่าตนเองอยู่ในฐานะผู้ต้องหา  ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ  แม้ต่อมาจะได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้กระทำผิด  ก็ยังถือว่าเป็นคำให้การในฐานะผู้ต้องหาอยู่  (ฎ.1093/2522)  แต่ถ้าจำเลยได้แจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานก่อนที่จะตกเป็นผู้ต้องหาไม่ถือว่าให้การในฐานะผู้ต้องหา  จึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ

การแจ้งข้อความเท็จที่จะถือว่าเป็นความผิดสำเร็จนั้น  เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องได้ทราบข้อความนั้นด้วย  แม้ว่าจะไม่เชื่อเพราะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม  แต่ถ้าเจ้าพนักงานไม่ทราบข้อความนั้น  เช่น  เจ้าพนักงานไม่ได้ยิน  หรือได้ยินแต่กำลังหลับในอยู่ไม่รู้เรื่อง  หรือไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศที่แจ้ง  เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดสำเร็จ  เป็นเพียงความผิดฐานพยายามแจ้งความเท็จเท่านั้น

แก่เจ้าพนักงาน  เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้  ต้องมีอำนาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดำเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น  และต้องกระทำการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย  เช่น  นายอำเภอ  ปลัดอำเภอ  ตำรวจ  กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  เป็นต้น  ดังนั้นถ้าเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่ในการรับแจ้งข้อความหรือเรื่องที่แจ้งนั้นไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการได้  ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ

ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย  การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน  จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย  ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใดๆย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  อนึ่งกฎหมายใช้คำว่า  อาจทำให้เสียหาย  จึงไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆเพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว

โดยเจตนา  หมายความว่า  ผู้กระทำจะต้องกระทำด้วยเจตนาตามมาตรา  59  กล่าวคือ  ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ  และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย  ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่างความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  137

นายเอกมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  คือ  นางโท  หลังจากนั้นนายเอกยังได้ไปจดทะเบียนกับ  น.ส.ตรีอีก  โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยามาก่อนและไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน  ซึ่งทั้งนางโทและ  น.ส.ตรี  ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย  เช่นนี้จะเห็นว่านายเอกแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ  ต่อนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการรับแจ้งจดทะเบียนสมรส  ซึ่งกระทำโดยเจตนา  เพราะนายเอกรู้ว่านายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานและรู้ว่าข้อความที่แจ้งเป็นเท็จ  หากนายอำเภอรับจดทะเบียนสมรสให้ก็อาจจะทำให้นางโทและ น.ส.ตรีเสียหายแก่เกียรติยศหรือชื่อเสียงได้  นายเอกจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ  ตามมาตรา  137

แต่ถ้านายเอกและนางโทได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว  ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับไม่มีคู่สมรส  ดังนี้  การที่นายเอกไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าตนเคยมีภริยามาแล้ว  แต่ไม่เคยจดทะเบียนสมรส  จึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย  ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  (ฎ.1237/2544)

 

ข้อ  2  ร.ต.อ.ประจักษ์  พนักงานสอบสวน  สอบสวนนายกระสือผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์  นายกระสือไม่รับสารภาพพูดจากวนประสาท ร.ต.อ.ประจักษ์โกรธจึงตบที่กกหูและต่อยที่ท้องของนายกระสือ  พร้อมทั้งพูดว่ามึงจะรับหรือไม่รับ  เดี๋ยวโดนอีกชุด  รับสารภาพซะ  จะเจ็บตัวทำไม  ดังนี้  ร.ต.อ.ประจักษ์จะมีความผิดอาญาฐานใด  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

 มาตรา  157  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  หรือปฏิบัติ  หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา  157  มีองค์ประกอบความผิดดังนี้  คือ

1       เป็นเจ้าพนักงาน

2       ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

3       เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

4       โดยเจตนา

เป็นเจ้าพนักงาน  หมายถึง  เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย  โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  หมายถึง  การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่  แต่เป็นการอันมิชอบ  เช่น  เจ้าพนักงานตำรวจทำการสอบสวนผู้ต้องหา  ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ  ตำรวจจึงใช้กำลังชกต่อยให้รับสารภาพ  เป็นต้น

ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ  คือ  ต้องเป็นการกระทำ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด”  ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น  แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย  เช่น  ต่อชีวิต  ร่างกาย  ชื่อเสียง เป็นต้น  และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้  ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆ  จึงจะเป็นความผิด  เพียงแต่การกระทำนั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

โดยเจตนา  หมายความว่า  ผู้กระทำต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ  และผู้กระทำต้องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ร.ต.อ.ประจักษ์  พนักงานสอบสวน  ทำการสอบสวนนายกระสือผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์  แต่นายกระสือไม่รับสารภาพและพูดจากวนประสาท  ทำให้  ร.ต.อ.ประจักษ์โกรธจึงได้ใช้กำลังชกต่อยและพูดจาข่มขู่ให้นายกระสือรับสารภาพนั้น  ถือได้ว่า ร.ต.อ.ประจักษ์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่  แต่เป็นการอันมิชอบ  จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายกระสือ  และได้กระทำไปโดยมีเจตนา  การกระทำของ  ร.ต.อ.ประจักษ์จึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ  ดังนั้น  ร.ต.อ.ประจักษ์จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  157

สรุป  ร.ต.อ.ประจักษ์  มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  157

 

ข้อ  3  นายแก้วโกรธภริยา  จึงวางเพลิงเผาแพที่อยู่อาศัยของตนเอง  เพลิงลุกไหม้และลุกลามกำลังจะไหม้ถึงแพของคนอื่นที่อยู่ติดกัน แต่บังเอิญชาวบ้านเห็นเข้าจึงช่วยกันดับทัน  เพลิงจึงไหม้แต่แพของนายแก้ว  ดังนี้  นายแก้วมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  217  ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

มาตรา  220  ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง  จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก  เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา  218  ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  218

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  217  ดังกล่าว  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       วางเพลิงเผา

2       ทรัพย์ของผู้อื่น

3       โดยเจตนา

และความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ  ตามมาตรา  220  วรรคแรก  มีองค์ประกอบความผิด  ดังนี้

1       กระทำให้เกิดเพลิงไหม้

2       แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง

3       จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น

4       โดยเจตนา

กระทำให้เกิดเพลิงไหม้  หมายถึง  เผาวัตถุใดๆให้ลุกไหม้ขึ้นมา  ซึ่งถ้าเพลิงยังไม่ลุกไหม้ขึ้นมา  ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น  จึงไม่ผิดตามมาตรานี้

แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง  หมายถึง  กระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุ  ซึ่งวัตถุในที่นี้อาจจะเป็นทรัพย์ก็ได้  หรือไม่ใช่ทรัพย์ก็ได้  เป็นวัตถุของใครก็ได้  หรือเป็นวัตถุที่ไม่มีเจ้าของก็ได้  และแม้ว่าวัตถุนั้นจะเป็นของตนเองก็ตาม

จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น  หมายถึง  พฤติการณ์ของการกระทำไม่ใช่ผลของการกระทำ  กล่าวคือ  เพียงแต่มีเจตนากระทำให้เกิดเพลิงไหม้ แก่วัตถุ  และเพลิงไหม้นั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่นก็เป็นความผิดตามมาตรานี้แล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายแก้วโกรธภริยาจึงได้วางเพลิงเผาแพที่อยู่อาศัยของตนเอง  จนเกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นโดยเจตนา  และกำลังลุกลามไปไหม้แพของคนอื่นที่อยู่ติดกันนั้น  นายแก้วไม่มีความผิดตามมาตรา  217  เพราะไม่ได้เป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนายแก้วได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุแม้เป็นของตนเองโดยเจตนา  จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น  ดังนั้นการกระทำของนายแก้วจึงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา  220  วรรคแรก  นายแก้วจึงมีความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ  อันเป็นความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าทรัพย์ของผู้อื่นนั้นจะเป็นแพที่คนอยู่อาศัย  ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ระบุไว้ในมาตรา  218  ก็ตาม  แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าการกระทำของนายแก้วดังกล่าวได้ทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่แพที่อยู่อาศัยของคนอื่นแต่อย่างใด  นายแก้วจึงไม่มีความผิดตามมาตรา  220  วรรคสอง

สรุป  นายแก้วไม่มีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นตามมาตรา  217  แต่มีความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ  ตามมาตรา 220  วรรคแรก

 

ข้อ  4  นายแดงไม่เคยกู้เงินนาย  ก  วันเกิดเหตุ  นาย  ก  นำกระดาษแผ่นหนึ่ง  เขียนข้อความว่า  นายแดงกู้เงินนาย  ก  100,000  บาท  จากนั้น  ได้เซ็นชื่อนายแดงในช่องผู้กู้  ต่อมานาย  ก  ทำเอกสารฉบับนั้นหายไป  จำเลยเป็นคนเก็บได้  จำเลยแก้ไขข้อความคำว่า  นาย  ก  เป็นคำว่า  จำเลย  ข้อความจึงกลายเป็นว่า  นายแดงกู้เงินจำเลย  100,000  บาท  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  264  วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษ

มาตรา  265  ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ  หรือเอกสารราชการ  ต้องระวางโทษ

มาตรา  268  ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา  264  มาตรา  265  มาตรา  266  หรือมาตรา  267  ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังต่อไปนี้

(ก)  ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข)  เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือ

(ค)  ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2       โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3       ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  นำกระดาษมาเขียนสัญญากู้ขึ้นเอง  โดยที่นายแดงไม่เคยกู้เงินจากนาย  ก  เลยนั้น  ถือเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ  เอกสารการกู้ยืมเงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิปลอม

และการที่จำเลยเก็บเอกสารฉบับนั้นได้  และได้แก้ไขข้อความจากคำว่า  นาย  ก  เป็นคำว่า  จำเลยนั้น  ถึงแม้จำเลยจะไม่มีอำนาจที่จะกระทำก็ตาม  แต่การแก้ไขของจำเลยดังกล่าวเป็นการแก้ไขข้อความในเอกสารที่มีการปลอมมาก่อน  ซึ่งกรณีจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารได้นั้นจะต้องเป็นการแก้ไขข้อความในเอกสารที่แท้จริงเท่านั้น  ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบของความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  265

เมื่อจำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร  ถึงแม้จำเลยจะนำเอกสารดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากนายแดง  จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้เอกสารปลอมตามมาตรา  268

สรุป  จำเลยไม่มีความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ร้อยตำรวจตรีแดงออกตรวจท้องที่พบเห็นนายดำฆ่าคนตายโดยเจตนา  แต่ร้อยตำรวจตรีแดงไม่ยอมจับกุมนายดำ  นายเขียวจึงยื่นเงินให้ร้อยตำรวจตรีแดง  5,000  บาท  เพื่อให้จับ  ร้อยตำรวจตรีแดงรับเงินมาแล้วจึงจับกุมนายดำส่งสถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดี  ดังนี้  ร้อยตำรวจตรีแดงมีความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  149  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  สมาชิกนิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล  เรียกรับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ  หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด  ในตำแหน่งไม่ว่าการนั้น  จะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน  ตามมาตรา  149  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       เป็นเจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล

2       เรียก  รับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ

3       เพื่อกระทำการ  หรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่

4       โดยเจตนา

เรียก  หมายถึง  การที่เจ้าพนักงานฯแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้

รับ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ  และเจ้าพนักงานฯได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

ยอมจะรับ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ  และเจ้าพนักงานฯ  ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต  แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียก  รับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  จะเป็นความผิดตามมาตรานี้  ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ

(ก)  เพื่อกระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

(ข)  เพื่อไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเขียวยื่นเงิน  5,000  บาท  ให้ร้อยตำรวจตรีแดง  เพื่อให้จับนายดำ  และร้อยตำรวจตรีแดงรับเงินแล้วจับกุมนายดำส่งสถานีตำรวจ  ถือได้ว่าเป็นการรับทรัพย์สินเพื่อกระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  และได้กระทำโดยเจตนา  ดังนั้น  การกระทำของร้อยตำรวจตรีแดงจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา  149  แม้ว่าการจับกุมนายดำจะชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม

สรุป  ร้อยตำรวจตรีแดงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา  149

 

ข้อ  2  นายประทาน  แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายชัย  ข้อเท็จจริงได้ความว่าไม่มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายชัยแต่ประการใด  โดยนายประทานก็รู้  ดังนี้  นายประทานมีความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรมฐานใด  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  173  ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  173  นี้แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้  คือ

1       รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น

2       แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน  หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา

3       ว่าได้มีการกระทำผิด

4       โดยเจตนา

ความผิดฐานแจ้งข้อความต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา  173  นี้หมายความถึงการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน  ในกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย  แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้น  ถ้าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา  ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว  ต้องปรับตามบทมาตรา  172  มิใช่มาตรา  173  นี้

การแจ้งข้อความต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา  173  นี้หมายความถึงเจ้าพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเท่านั้น  ถ้าเป็นบุคคลอื่นใดนอกจากนี้แล้ว  ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

การแจ้งตามมาตรา  173  นี้  อาจจะเสียหายแก่ใครหรือไม่  ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะไม่ใช่องค์ประกอบแห่งความผิด  เมื่อแจ้งโดยรู้ว่ามิได้มีการกระทำผิดต่อเจ้าพนักงานว่าได้มีการกระทำผิดแล้ว  ย่อมเป็นความผิดสำเร็จ  ทั้งนี้ผู้กระทำผิดจะต้องได้กระทำโดยมีเจตนาด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายประทานแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายชัย  ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายชัยแต่ประการใดนั้น  ถือเป็นกรณีที่นายประทานรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  แต่ไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  และได้กระทำไปโดยมีเจตนา  การกระทำของนายประทานจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ  ดังนั้น  นายประทานจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา  173

สรุป  นายประทานมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา  173

 

ข้อ  3  นายสิงห์เช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจากบริษัท  ไทยเจริญ  โดยสัญญาเช่าซื้อมีกำหนดระยะเวลา  4  ปี  หลังจากเช่าซื้อไปได้  1 เดือน  นายสิงห์เกิดความไม่พอใจในรถยนต์  นายสิงห์ใช้น้ำมันเบนซินราดไปที่รถยนต์  จากนั้นก็จุดไฟโยนลงไป  ปรากฏว่าไฟไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหายทั้งคัน  ดังนี้  นายสิงห์มีความผิดฐานวางเพลิงหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  217  ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  217  ดังกล่าว  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       วางเพลิงเผา

2       ทรัพย์ของผู้อื่น

3       โดยเจตนา

วางเพลิงเผา  หมายถึง  การกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น  ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใดๆก็ตาม  เช่น  ใช้ไม้ขีดไฟจุดเผา  ใช้เลนส์ส่องทำมุมกับแสงอาทิตย์จนไฟลุกไหม้ขึ้น  หรือใช้วัตถุบางอย่างเสียดสีกันให้เกิดไฟ  เป็นต้น

การวางเพลิงเผาทรัพย์จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อเป็นการวางเพลิงเผา  ทรัพย์ของผู้อื่น  เท่านั้น  ซึ่งอาจจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้  แต่ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น  กล่าวคือ  ต้องเป็นทรัพย์ที่มีเจ้าของด้วย  ถ้าหากเป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ  คือเป็นทรัพย์ที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของใครเลย  ก็ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  ดังนั้นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเองย่อมไม่เป็นความผิด

นอกจากนี้การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องกระทำ  โดยเจตนา  คือ  มีเจตนาหรือมีความตั้งใจที่จะเผาทรัพย์ของผู้อื่น  และต้องรู้ด้วยว่าทรัพย์ที่เผานั้นเป็นของผู้อื่น  ถ้าหากไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีเจตนา  เช่น  วางเพลิงเผาทรัพย์โดยเข้าใจว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง  ก็ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสิงห์ใช้น้ำมันเบนซินราดไปที่รถยนต์  และจุดไม้ขีดไฟโยนลงไปจนไฟไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหายทั้งคันนั้น  ถือได้ว่าเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  เนื่องจากสัญญาเช่าซื้อรถยนต์นั้นกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังผู้เช่าซื้อจนกว่าจะชำระราคาครบถ้วน  เมื่อนายสิงห์ยังชำระราคาไม่ครบ  กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังเป็นของบริษัท  ไทยเจริญ  ซึ่งถือว่าเป็นของผู้อื่น  ดังนั้น  เมื่อนายสิงห์ได้กระทำไปโดยมีเจตนา  นายสิงห์จึงมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา  217

สรุป  นายสิงห์มีความผิดฐานวางเพลิงตามมาตรา  217

 

ข้อ  4  นายแดงไม่เคยกู้เงินนาย  ก  นาย  ก  ได้ทำสัญญากู้ขึ้นมาเพื่อจะนำไปเรียกเก็บเงินจากนายแดง  โดยในสัญญากู้มีข้อความว่า  นายแดงกู้ยืมเงินจากนาย  ก  จำนวน  100,000  บาท  กำหนดชำระคืนภายใน  1  ปี  ปรากฏว่า  ในสัญญากู้ดังกล่าวไม่ได้ลงชื่อนายแดงผู้กู้แต่ประการใด  ต่อมานาย  ก  ทำเอกสารนี้หายไป  จำเลยเก็บได้  จำเลยทำการเซ็นชื่อ  นายแดง  ลงในช่องผู้กู้  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  264  วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด  เติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ  ในเอกสารที่แท้จริง  หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร  ต้องระวางโทษ

มาตรา  265  ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ  หรือเอกสารราชการ  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก)  ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข)  เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือ

(ค)  ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2       โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3       ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จำเลยทำการเซ็นชื่อ  นายแดง  ลงในช่องผู้กู้ในสัญญาที่ยังไม่ได้ลงชื่อนายแดงผู้กู้นั้น  ถือได้ว่าเป็นการลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร  และการกระทำดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น  จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก

และเมื่อเอกสารที่จำเลยปลอมคือสัญญากู้นั้น  ถือว่าเป็นเอกสารสิทธิ  ดังนั้นจำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา  265

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  265

LAW 2007กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007 กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  อย่างไรเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน  (มาตรา  136)  จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  136  ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่  หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  136  ดังกล่าว  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       ดูหมิ่น

2       เจ้าพนักงาน

3       ซึ่งกระทำการตามหน้าที่  หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่

4       โดยเจตนา

ดูหมิ่น”  หมายถึง  การกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการดูถูก  เหยียดหยาม  สบประมาท  ต่อผู้ถูกกระทำ  ซึ่งอาจจะกระทำโดยวาจา  กิริยาท่าทาง  หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้  การดูหมิ่นด้วยวาจา  หรือด้วยกิริยาท่าทาง  ก็เช่น  ยกส้นเท้าให้  หรือถ่มน้ำลายรด  เป็นต้น  ทั้งนี้แม้ว่าเจ้าพนักงานจะไม่ได้ยินไม่เห็น  หรือด่าเป็นภาษาต่างประเทศ  ซึ่งเจ้าพนักงานไม่เข้าใจก็ตาม  ก็เป็นความผิดตามมาตรา  136  นี้ได้

อย่างไรก็ดี  ถ้อยคำบางอย่างนั้น  แม้ว่าจะเป็นคำไม่สุภาพ  คำหยาบ  ไม่สมควรจะกล่าว  หรือเป็นคำปรารภปรับทุกข์  หรือคำโต้แย้ง  คำกล่าวติชมตามปกติ  หากไม่ทำให้ผู้เสียหายถูกดูถูก  เหยียดหยามสบประมาท  หรือได้รับความอับอายขายหน้า  ก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น

การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้  จะต้องเป็นการดูหมิ่น  เจ้าพนักงาน  ถ้าบุคคลที่ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิดตามมาตรา  136  ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานอยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย  หากได้พ้นตำแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน  เช่น  จำเลยกล่าวต่อ  ร.ต.อ.แดงว่า  ตำรวจเฮงซวย  ซึ่งในขณะนั้น  ร.ต.อ.แดงได้ลาออกจากราชการเพื่อไปทำธุรกิจส่วนตัว  ดังนี้  จำเลยไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน  เพราะในขณะดูหมิ่นนั้น  ร.ต.อ.แดง  ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน

อนึ่ง  การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา  136  นี้  จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ  2  กรณีต่อไปนี้คือ

(ก)  ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่  หรือ

(ข)  ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทำการตามหน้าที่

ซึ่งกระทำการตามหน้าที่  หมายความว่า  ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทำการตามหน้าที่ซึ่งกฎหมายได้ให้อำนาจไว้  ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทำการนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือเกินขอบเขตย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

เพราะได้กระทำการตามหน้าที่  หมายความว่า  ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทำการตามหน้าที่แล้ว  เช่น  เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายแดง  แล้วนายแดงไปเล่าให้นายขาวฟัง  ต่อมาอีก  3  วันนายขาวพบเจ้าพนักงานตำรวจผู้นั้นโดยบังเอิญ  จึงด่าทอดูหมิ่น  เพราะโกรธที่ไปจับเพื่อนตน  เช่นนี้ขาวมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทำการตามหน้าที่  ตามมาตรา  136

การดูหมิ่นจะเป็นความผิดตามมาตรานี้  จะต้องเป็นการดูหมิ่น  โดยเจตนา  ตามมาตรา  59  กล่าวคือ  ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลดังกล่าวโดยตั้งใจดูหมิ่น  และรู้ว่าผู้ที่ตนตั้งใจดูหมิ่นเป็นเจ้าพนักงาน  ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานย่อมถือว่าขาดเจตนา  ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่างความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  136

นายดวงดื่มสุราเมาครองสติไม่ได้  ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่สวมหมวกนิรภัยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม  นายดวงไม่พอใจ  จึงพูดต่อหน้าเจ้าพนักงานตำรวจคนนั้นว่า  มึงแกล้งจับกูคนเดียว  คนอื่นมึงทำไมไม่จับ” เช่นนี้ถ้อยคำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น  เหยียดหยาม ซึ่งได้กระทำต่อเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทำการตามหน้าที่ที่กฎหมายได้ให้อำนาจไว้โดยเจตนา  นายดวงจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  136

แต่ถ้ากรณีเปลี่ยนเป็นว่า  ขณะเจ้าพนักงานตำรวจกำลังนั่งรับประทานอาหารกับภรรยาที่บ้านพัก  โดยเวลานั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติราชการ  จำเลยไปขอยืมเงินจากเจ้าพนักงานตำรวจ  แต่ไม่ได้  จำเลยจึงกล่าวว่า กูจะเอามึงให้ย้ายภายในเจ็ดวัน  อ้ายย้ายยังไม่แน่  ที่แน่คือกูจะเอามึงลงหลุมฝังศพ  เช่นนี้แม้ถ้อยคำดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยเจตนา  แต่เวลาดังกล่าวมิใช่เวลาปฏิบัติราชการตามหน้าที่  แต่เป็นเวลานอกราชการอันเป็นการส่วนตัว  จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่  ตามมาตรา  136

 

ข้อ  2  อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  (มาตรา  144)  จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  144  ผู้ใดให้  ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล  เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่  ต้องระวางโทษ

อธิบาย

ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144  ดังกล่าว  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       ให้  ขอให้  หรือรับว่าจะให้

2       ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใด

3       แก่เจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล

4       เพื่อจูงใจให้กระทำการ  ไม่กระทำการ  หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่

5       โดยเจตนา

ให้  หมายถึง  มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว  ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทำได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง  หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป

ขอให้  หมายถึง  เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน  เช่น  เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน  แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงจะรับเงินก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว

รับว่าจะให้  หมายถึง  เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน  แล้วผู้กระทำก็รับปากกับเจ้าพนักงานว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  เป็นความผิดสำเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้  ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นจะให้แล้วหรือไม่  ไม่ใช่ข้อสำคัญ

สำหรับสิ่งที่ให้  ขอให้  หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น  ทรัพย์สิน  เช่น  เงิน  สร้อย  แหวน  นาฬิกา  รถยนต์  หรือ  ประโยชน์อื่นใด  นอกจากทรัพย์สิน  เช่น  ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถยนต์โดยไม่เสียค่าเช่าหรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย  เป็นต้น

การกระทำตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทำต่อ  เจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล  เท่านั้นและบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ด้วย  ถ้าหากกระทำต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว  หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจหน้าที่หรือพ้นจากอำนาจหน้าที่ไปแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา  ผู้กระทำจะต้องมีเจตนา  ตามมาตรา  59  กล่าวคือ  รู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกแห่งสภา  ถ้าผู้กระทำไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  ทั้งนี้ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย  คือ

(ก)  ให้กระทำการ  อันมิชอบด้วยหน้าที่  เช่น  ให้เงินเพื่อให้ตำรวจจับกุมคนที่ไม่ได้กระทำความผิด

(ข)  ไม่กระทำการ  อันมิชอบด้วยหน้าที่  เช่น  ตำรวจจะจับกุมผู้กระทำผิด  จึงให้เงินแก่ตำรวจนั้นเพื่อไม่ให้ทำการจับกุมตามหน้าที่

(ค)  ประวิงการกระทำ  อันมิชอบด้วยหน้าที่  เช่น  ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน

ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทำการ  ไม่กระทำการ  หรือประวิงการกระทำอันชอบด้วยหน้าที่แล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา  144  นี้  เช่น  เจ้าพนักงานตำรวจไม่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย  จำเลยให้เงินตำรวจเพื่อให้ทำการจับกุม  กรณีจำเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา  144  เพราะการให้ทรัพย์สินมีมูลเหตุจูงใจให้กระทำการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144

นายแดงถูก  ส.ต.อ.ขาวจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง  จึงเสนอจะยกบุตรสาวของตนให้กับ  ส.ต.อ.ขาว  เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว  แต่  ส.ต.อ.ขาวยังไม่ได้ตอบตกลงตามที่นายแดงเสนอแต่อย่างใด  เช่นนี้ถือว่านายแดงขอให้ประโยชน์อื่นใดนอกจากทรัพย์สินแก่  ส.ต.อ.ขาวซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา  นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144  แม้ว่าเจ้าพนักงานนั้นจะยังไม่ได้รับเงินก็ตาม

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลย  นายแดงทราบว่า  ส.ต.อ.ขาวจะต้องไปเป็นพยานตามหมายเรียกของศาล  จึงขอยกบุตรสาวของตนให้กับ  ส.ต.อ.ขาวเพื่อให้  ส.ต.อ.ขาวเบิกความผิดจากความจริง (เบิกความเท็จ)  ดังนี้นายแดงไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144  เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป  ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ  จึงมิใช่การให้ประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่  (ฎ.439/2469)

 

ข้อ  3  กรรมกรโรงงานแห่งหนึ่งจำนวน  20  คน  ไม่พอใจคำสั่งของนายจ้าง  จึงมั่วสุมชุมนุมกันบนท้องถนนหลวงหน้าโรงงาน  ส่งเสียงเอะอะตึงตัง  ตีปี๊บ  จุดประทัด  ชาวบ้านร้านตลาดต่างตระหนกตกใจ  รีบปิดบ้านและห้างร้าน  รีบหนีกันอลหม่าน  ดังนี้  กรรมกรดังกล่าวมีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนประการใดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  215  วรรคแรก  ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป  ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  215  วรรคแรก  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       มั่วสุมกัน

2       ตั้งแต่  10  คนขึ้นไป

3       ใช้กำลังประทุษร้าย  ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย  หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

4       โดยเจตนา

มั่วสุมกัน  หมายถึง  เข้ามารวมกัน  เข้ามาชุมนุมกัน  โดยการเข้ามารวมกันนี้ไม่จำต้องมีการนัดหมายหรือตกลงกันมาก่อนก็ได้  แต่อย่างไรก็ตามการเข้ามามั่วสุมกันนี้กฎหมายกำหนดให้มีบุคคลจำนวนตั้งแต่  10  คนขึ้นไป  ถ้าไม่ถึง  10  คน  ก็ไม่เข้าเกณฑ์ความผิดตามมาตรานี้

และการมั่วสุมกันตั้งแต่  10  คนขึ้นไปนั้น  จะต้องมีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปอีก  จึงจะเป็นความผิดตามมาตรานี้  คือ  ต้องมีการใช้กำลังประทุษร้าย  ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย  หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง  และได้กระทำไปโดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่กรรมกรโรงงานแห่งหนึ่งจำนวน  20  คน  ได้มั่วสุมชุมนุมกันบนท้องถนนหลวงหน้าโรงงาน  ส่งเสียงเอะอะตึงตัง  ตีปี๊บ  จุดประทัด  จนชาวบ้านร้านตลาดต่างตระหนกตกใจรีบปิดบ้าน  ปิดห้างร้าน  และรีบหนีกันอลหม่าน  การกระทำของกรรมกร  20  คนดังกล่าว  ถือเป็นการมั่วสุมกันของคนตั้งแต่  10  คนขึ้นไป  และกระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง  และได้กระทำไปโดยเจตนา  การกระทำของกรรมกร  20  คนนั้น  จึงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา  215  วรรคแรกทุกประการ  ดังนั้น  กรรมกรดังกล่าวจึงมีความผิดฐานมั่วสุมกันทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

สรุป  กรรมกรดังกล่าวมีความผิดฐานมั่วสุมกันทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา  215

 

ข้อ  4  จำปีให้จำปูนกู้เงินไป  20,000  บาท  โดยมิได้ทำหนังสือสัญญากู้ไว้  ต่อมาจำปูนไม่ชำระเงินภายในกำหนดที่ตกลงกัน  จำปีจึงทำสำเนาสัญญากู้ขึ้นฉบับหนึ่งมีใจความว่าจำปูนกู้เงินจำปีไป  20,000  บาท  และเขียนชื่อจำปูนในช่องผู้กู้  เขียนชื่อจำปีในช่องผู้ให้กู้  กับเขียนชื่อบุคคลอีก  2  คนในช่องพยาน  โดยจำปีลงนามรับรองสำเนาสัญญากู้นั้นว่าเป็นสำเนาที่ถูกต้อง  แล้วจำปีนำสำเนาสัญญากู้นั้นไปฟ้องต่อศาลเรียกเงิน  20,000  บาทจากจำปูน  โดยแนบสำเนาสัญญากู้นั้นมาท้ายฟ้อง  และบรรยายในฟ้องว่าต้นฉบับสูญหายไป  จำปูนให้การปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญากู้ให้แก่จำปีไว้เลย  ในชั้นสืบพยานจำปีได้อ้างสำเนากู้ฉบับนั้นเป็นพยานด้วย  ดังนี้  การกระทำของจำปีมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารประการใดบ้างหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  264  วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด  เติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ  ในเอกสารที่แท้จริง  หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร  ต้องระวางโทษ

มาตรา  265  ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ  หรือเอกสารราชการ  ต้องระวางโทษ

มาตรา  268  ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา  264  มาตรา  265  มาตรา  266  หรือมาตรา  267  ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก)  ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข)  เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือ

(ค)  ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2       โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3       ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จำปีได้รับรองสำเนาสัญญากู้ที่ตนเองทำขึ้นว่าถูกต้องทั้งๆที่ต้นฉบับสัญญากู้ที่แท้จริงไม่มีนั้น  ถือเป็นการปลอมเอกสารขึ้นทั้งฉบับ  เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นแล้ว  เมื่อจำปีได้กระทำไปโดยมีเจตนา  จึงถือเป็นการปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  และเมื่อสัญญากู้เป็นเอกสารสิทธิ  การกระทำของจำปีจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา  265

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  จำปีได้นำสำเนาสัญญากู้นั้นไปยื่นฟ้องศาล  และได้อ้างสำเนาสัญญากู้ฉบับนั้นเป็นพยานในชั้นสืบพยาน การกระทำของจำปีจึงถือเป็นการใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา  268  ด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อปรากฏว่าจำปีเป็นทั้งผู้ปลอม  และใช้เอกสารสิทธิปลอม  จึงให้ลงโทษตามมาตรา  268  เพียงกระทงเดียวตามมาตรา  268  วรรคสอง

สรุป  การกระทำของจำปีมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  และมาตรา  265  และมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา  268  แต่ให้ลงโทษตามมาตรา  268  เพียงกระทงเดียว

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007 กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนเจ้าหน้าที่  (มาตรา  144)  จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป  และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  144  ผู้ใดให้  ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล  เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่  ต้องระวางโทษ

อธิบาย

ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144  ดังกล่าว  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       ให้  ขอให้  หรือรับว่าจะให้

2       ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใด

3       แก่เจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล

4       เพื่อจูงใจให้กระทำการ  ไม่กระทำการ  หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่

5       โดยเจตนา

ให้  หมายถึง  มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว  ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทำได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง  หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป

ขอให้  หมายถึง  เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน  เช่น  เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน  แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงจะรับเงินก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว

รับว่าจะให้  หมายถึง  เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน  แล้วผู้กระทำก็รับปากกับเจ้าพนักงานว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  เป็นความผิดสำเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้  ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นจะให้แล้วหรือไม่  ไม่ใช่ข้อสำคัญ

สำหรับสิ่งที่ให้  ขอให้  หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น  ทรัพย์สิน  เช่น  เงิน  สร้อย  แหวน  นาฬิกา  รถยนต์  หรือ  ประโยชน์อื่นใด  นอกจากทรัพย์สิน  เช่น  ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถยนต์โดยไม่เสียค่าเช่าหรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย  เป็นต้น

การกระทำตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทำต่อ  เจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล  เท่านั้นและบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ด้วย  ถ้าหากกระทำต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว  หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจหน้าที่หรือพ้นจากอำนาจหน้าที่ไปแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา  ผู้กระทำจะต้องมีเจตนา  ตามมาตรา  59  กล่าวคือ  รู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกแห่งสภา  ถ้าผู้กระทำไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  ทั้งนี้ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย  คือ

(ก)  ให้กระทำการ  อันมิชอบด้วยหน้าที่  เช่น  ให้เงินเพื่อให้ตำรวจจับกุมคนที่ไม่ได้กระทำความผิด

(ข)  ไม่กระทำการ  อันมิชอบด้วยหน้าที่  เช่น  ตำรวจจะจับกุมผู้กระทำผิด  จึงให้เงินแก่ตำรวจนั้นเพื่อไม่ให้ทำการจับกุมตามหน้าที่

(ค)  ประวิงการกระทำ  อันมิชอบด้วยหน้าที่  เช่น  ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน

ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทำการ  ไม่กระทำการ  หรือประวิงการกระทำอันชอบด้วยหน้าที่แล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา  144  นี้  เช่น  เจ้าพนักงานตำรวจไม่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย  จำเลยให้เงินตำรวจเพื่อให้ทำการจับกุม  กรณีจำเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา  144  เพราะการให้ทรัพย์สินมีมูลเหตุจูงใจให้กระทำการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144

นายแดงถูก  ส.ต.อ.ขาวจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง  จึงเสนอจะยกบุตรสาวของตนให้กับ  ส.ต.อ.ขาว  เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว  แต่  ส.ต.อ.ขาวยังไม่ได้ตอบตกลงตามที่นายแดงเสนอแต่อย่างใด  เช่นนี้ถือว่านายแดงขอให้ประโยชน์อื่นใดนอกจากทรัพย์สินแก่  ส.ต.อ.ขาวซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา  นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144  แม้ว่าเจ้าพนักงานนั้นจะยังไม่ได้รับเงินก็ตาม

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลย  นายแดงทราบว่า  ส.ต.อ.ขาวจะต้องไปเป็นพยานตามหมายเรียกของศาล  จึงขอยกบุตรสาวของตนให้กับ  ส.ต.อ.ขาวเพื่อให้  ส.ต.อ.ขาวเบิกความผิดจากความจริง (เบิกความเท็จ)  ดังนี้นายแดงไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144  เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป  ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ  จึงมิใช่การให้ประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่  (ฎ.439/2469)

 

ข้อ  2  อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยทุจริต  จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป  และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  157  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  หรือปฏิบัติ  หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต  ต้องระวางโทษ

อธิบาย

มาตรานี้กฎหมายบัญญัติการกระทำอันเป็นความเป็นความผิดอยู่  2  ความผิดด้วยกัน  กล่าวคือ  ความผิดแรกเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  ส่วนความผิดที่สองเป็นเรื่องเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

(ก)  องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

1       เป็นเจ้าพนักงาน

2       ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

3       เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

4       โดยเจตนา

เป็นเจ้าพนักงาน  หมายถึง  เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย  โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  หมายถึง  การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่  แต่เป็นการอันมิชอบ  เช่น  เจ้าพนักงานตำรวจทำการสอบสวนผู้ต้องหา  ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ  ตำรวจจึงใช้กำลังชกต่อยให้รับสารภาพ  เป็นต้น

ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  หมายถึง  การงดเว้นกระทำการตามหน้าที่  อันเป็นการมิชอบ  เช่น  เจ้าพนักงานตำรวจละเว้นไม่จับคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป  เป็นต้น

ดังนั้น  ถ้าการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัตินั้น  ไม่อยู่ในหน้าที่หรือเป็นการนอกหน้าที่หรือเป็นการชอบด้วยหน้าที่  ก็ไม่ผิดตามมาตรา  157 นี้

ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ  คือ  ต้องเป็นการกระทำ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น  แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย  เช่น  ต่อชีวิต  ร่างกาย  ชื่อเสียง  เป็นต้น  และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้  ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆจึงจะเป็นความผิด  เพียงแต่การกระทำนั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

โดยเจตนา  หมายความว่า  ผู้กระทำต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ  และผู้กระทำต้องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

(ข)  องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

1       เป็นเจ้าพนักงาน

2       ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่

3       โดยทุจริต

4       โดยเจตนา

โดยทุจริต  หมายถึง  เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  สำหรับตนเองหรือผู้อื่นทั้งนี้ไม่ว่าประโยชน์นั้นจะเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่น  ดังนั้นถ้าผู้กระทำขาดเจตนาทุจริตแล้ว  ย่อมไม่เป็น

ความผิดตามมาตรานี้

ความผิดที่สองนี้เพียงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตก็เป็นความผิดแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยชอบหรือโดยมิชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม  และโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่  ต่างกับความผิดแรกที่ต้องกระทำโดยมิชอบ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจึงจะเป็นความผิด

ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต  เช่น  เจ้าพนักงานพูดจูงใจให้ผู้เสียภาษีมอบเงินค่าภาษีให้เกินจำนวนที่ต้องเสีย  แล้วเอาเงินส่วนที่เกินไว้เสียเอง  เป็นต้น

ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต  เช่น  พนักงานที่ดินรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าพาหนะในการรังวัดแล้ว  มิได้นำเงินลงบัญชี  ทั้งมิได้ดำเนินการให้  ดังนี้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

 

ข้อ  3  นายสิงห์เช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจากบริษัทไทยเจริญ  โดยสัญญาเช่าซื้อมีกำหนดระยะเวลา  4  ปี  หลังจากเช่าซื้อไปได้  1  เดือน  นายสิงห์เกิดความไม่พอใจในรถยนต์  นายสิงห์ใช้น้ำมันเบนซินราดไปที่รถยนต์จากนั้นก็จุดไม้ขีดไฟโยนลงไป  ปรากฏว่าไฟไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหายทั้งคัน  ดังนี้  นายสิงห์มีความผิดฐานวางเพลิงหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  217  ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  217  ดังกล่าว  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       วางเพลิงเผา

2       ทรัพย์ของผู้อื่น

3       โดยเจตนา

วางเพลิงเผา  หมายถึง  การกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น  ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใดๆก็ตาม  เช่น  ใช้ไม้ขีดไฟจุดเผา  ใช้เลนส์ส่องทำมุมกับแสงอาทิตย์จนไฟลุกไหม้ขึ้น  หรือใช้วัตถุบางอย่างเสียดสีกันให้เกิดไฟ  เป็นต้น

การทำให้เพลิงไหม้นี้จะไหม้เพียงบางส่วนหรือทั้งหมดก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว  เช่น  เจตนาจะเผาบ้านทั้งหลัง  แต่ปรากฏว่าไฟไหม้บ้านเพียงครึ่งหลังเพราะผู้เสียหายดับทัน  กรณีเป็นความผิดสำเร็จแล้วมิใช่เพียงขั้นพยายาม  แต่อย่างไรก็ตามหากยังไม่เกิดเพลิงไหม้ขึ้น  ก็เป็นแค่พยายามวางเพลิงเท่านั้น

การวางเพลิงเผาทรัพย์จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อเป็นการวางเพลิงเผา  ทรัพย์ของผู้อื่น  เท่านั้น  ซึ่งอาจจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้  แต่ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น  กล่าวคือ  ต้องเป็นทรัพย์ที่มีเจ้าของด้วย  ถ้าหากเป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ  คือเป็นทรัพย์ที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของใครเลย  ก็ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  ดังนั้นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเองย่อมไม่เป็นความผิด

นอกจากนี้การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องกระทำโดยเจตนา  คือ  มีเจตนาหรือมีความตั้งใจที่จะเผาทรัพย์ของผู้อื่น  และต้องรู้ด้วยว่าทรัพย์ที่เผานั้นเป็นของผู้อื่น  ถ้าหากไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีเจตนา  เช่น  วางเพลิงเผาทรัพย์โดยเข้าใจว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง  ก็ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสิงห์ได้เช่าซื้อรถยนต์มาจากบริษัทไทยเจริญ  โดยสัญญาเช่าซื้อมีกำหนดระยะเวลา  4  ปีนั้น  เนื่องจากสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กรรมสิทธิ์ในรถ ยนต์จะโอนไปยังนายสิงห์ก็ต่อเมื่อนายสิงห์ได้ชำระเงินให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ คือบริษัทไทยเจริญครบตามที่ตกลงกันแล้ว  ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายสิงห์ได้เช่าซื้อไปได้เพียง  1  เดือนเท่านั้น  ยังชำระเงินค่าเช่าซื้อไม่ครบ  กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวจึงยังคงเป็นของบริษัทไทยเจริญ

การที่นายสิงห์ได้ใช้น้ำมันเบนซินราดไปที่รถยนต์  จากนั้นก็จุดไม้ขีดไฟโยนลงไปทำให้ไฟไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหาย  การกระทำของนายสิงห์ถือว่าเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของบริษัทไทยเจริญซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้อื่น  และกระทำโดยเจตนา  จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานวางเพลิงตามหลักกฎหมายข้างต้นทุกประการ  ดังนั้นนายสิงห์จึงมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตาม  ป.อาญา  มาตรา  217

สรุป   นายสิงห์มีความผิดฐานวางเพลิงตาม  ป.อาญา  มาตรา  217

 

ข้อ  4  นางสาว  ข  หลงรักนาย  ก  แต่นาย  ก  ไม่ได้รักด้วย  วันเกิดเหตุนางสาว  ข  ฉุดนาย  ก  ไปโดยใช้กำลังประทุษร้าย  จากนั้นได้กระทำชำเรานาย  ก  โดยที่นาย  ก  ไม่ได้สมัครใจ  ดังนี้  นางสาว  ข  มีความผิดเกี่ยวกับเพศหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  276  วรรคแรก  ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ  โดยใช้กำลังประทุษร้าย  โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้  หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา  ตามมาตรา  276  วรรคแรก  มีองค์ประกอบความผิดดังนี้  คือ

1       ข่มขืนกระทำชำเรา

2       ผู้อื่น

3       โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ  โดยใช้กำลังประทุษร้าย  โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้  หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น

4       โดยเจตนา

และตามมาตรา  276  วรรคแรก  ที่บัญญัติว่า  ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น  คำว่า  ผู้ใด  ตามนัยของมาตรานี้  กฎหมายมิได้บัญญัติว่าจะต้องเป็นชายหรือหญิง  ดังนั้นผู้กระทำที่จะมีความผิดตามมาตรานี้  อาจจะเป็นชายหรือหญิงก็ได้

ข่มขืนกระทำชำเรา  หมายถึง  การบังคับจิตใจ  หรือกระทำโดยผู้อื่นไม่สมัครใจ  ถ้าผู้อื่นนั้นสมัครใจร่วมประเวณี  ก็ไม่ถือว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเรา  ส่วน ผู้อื่น  นั้นจะเป็นบุคคลเพศใดก็ได้  แม้แต่คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย  กฎหมายก็ถือว่าเป็นผู้อื่น  ตามนัยมาตรานี้เช่นเดียวกัน 

การข่มขืนกระทำชำเราจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อผู้กระทำต้องมีเจตนา  ตามมาตรา  59  และการข่มขืนนั้นกระทำในลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

(ก)  โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ

(ข)  โดยใช้กำลังประทุษร้าย

(ค)  โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้

(ง)   โดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางสาว  ข  ฉุดนาย  ก  ไปโดยใช้กำลังประทุษร้าย  และได้กระทำชำเรานาย  ก  โดยนาย  ก  ไม่ได้สมัครใจ  และแม้จะเป็นกรณีที่หญิงข่มขืนกระทำชำเราชายก็ตาม  เมื่อนางสาว  ข  ได้กระทำโดยเจตนา  การกระทำของนางสาว  ข  จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามหลักกฎหมายข้างต้นทุกประการ  ดังนั้นนางสาว  ข  จึงมีความผิดเกี่ยวกับเพศตามมาตรา 276  วรรคแรก

สรุป  นางสาว  ข  มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา  276  วรรคแรก

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 2/2554

การสอบไล่ภาค  2   ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007 กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายตี๋ลอบเสพยาบ้าในเวลากลางคืน  มีไฟฟ้าให้แสงสว่าง  ตำรวจสายตรวจไปพบเข้า  จึงล้อมจับ  นายตี๋ดับไฟ  แล้วหนีไป  ดังนี้  นายตี๋มีความผิดต่อเจ้าพนักงานประการใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  138  วรรคแรก  ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา  138  วรรคแรก  มีองค์ประกอบความผิดดังนี้  คือ

1       ต่อสู้หรือขัดขวาง

2       เจ้าพนักงาน  หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่

3       โดยเจตนา

ต่อสู้  หมายถึง  การใช้กำลังขัดขืน  เพื่อไม่ให้การกระทำของเจ้าพนักงานสำเร็จผล  เช่น  สะบัดมือให้พ้นจากการจับกุม  หรือดิ้นจนหลุด

ขัดขวาง  หมายถึง  การกระทำด้วยประการใดๆ  ที่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่  ของเจ้าพนักงานหรือทำให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก  เพื่อไม่ให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้นประสบความสำเร็จ  เช่น  ตำรวจจะวิ่งเข้าไปจับนาย  ก  นาย  ก  จึงเอาท่อนไม้ไปขวางไว้  เป็นต้น

โดยการกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้  อาจจะเป็นการต่อสู้อย่างเดียว  หรือขัดขวางอย่างเดียว  หรืออาจเป็นทั้งการต่อสู้และขัดขวางก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ตำรวจสายตรวจไปพบนายตี๋กำลังลอบเสพยาบ้าในเวลากลางคืนจึงล้อมจับ  และนายตี๋ได้ดับไฟแล้วหนีไปนั้น  การกระทำดังกล่าวของนายตี๋มิได้เป็นการต่อสู้หรือขัดขวางตำรวจ  ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่  อันจะเป็นความผิดตามมาตรา  138  แต่ประการใดเพราะนายตี๋เพียงแต่ดับไฟเพื่อหนีตำรวจไปเท่านั้น  ดังนั้น  นายตี๋จึงไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

สรุป  นายตี๋ไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

 

ข้อ  2  นายเขียวไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านนายแดง  ข้อเท็จจริงได้ความว่า  ไม่มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านนายแดงแต่ประการใด  ซึ่งนายเขียวก็ทราบดี  ดังนี้  นายเขียวมีความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมอย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  173  ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  173  นี้แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้  คือ

1       รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น

2       แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน  หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา

3       ว่าได้มีการกระทำผิด

4       โดยเจตนา

ความผิดฐานแจ้งข้อความต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา  173  นี้หมายความถึงการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน  ในกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย  แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้น  ถ้าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา  ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว  ต้องปรับตามบทมาตรา  172  มิใช่มาตรา  173  นี้

การแจ้งข้อความต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา  173  นี้หมายความถึงเจ้าพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเท่านั้น  ถ้าเป็นบุคคลอื่นใดนอกจากนี้แล้ว  ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

การแจ้งตามมาตรา  173  นี้  อาจจะเสียหายแก่ใครหรือไม่  ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะไม่ใช่องค์ประกอบแห่งความผิด  เมื่อแจ้งโดยรู้ว่ามิได้มีการกระทำผิดต่อเจ้าพนักงานว่าได้มีการกระทำผิดแล้ว  ย่อมเป็นความผิดสำเร็จ  ทั้งนี้ผู้กระทำผิดจะต้องได้กระทำโดยมีเจตนาด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเขียวแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายแดง  ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายแดงแต่ประการใดนั้น  ถือเป็นกรณีที่นายเขียวรู้ว่า  มิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  แต่ไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  และได้กระทำไปโดยมีเจตนา  การกระทำของนายเขียวจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ  ดังนั้น  นายเขียวจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา  173

สรุป  นายเขียวมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา  173

 

ข้อ  3  จำเลยลอบเข้าไปในบ้านของนายแดง  จำเลยจุดไฟเผาบ้านของนายแดง  ปรากฏว่าไฟไหม้บ้านของนายแดง  และลุกลามไปไหม้เศษหญ้าแห้งในบริเวณบ้านของนายขาวเหลืออีกเพียงหนึ่งเมตรจะถึงตัวบ้านของนายขาว  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  217  ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

มาตรา  218  ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ดังต่อไปนี้

(1)    โรงเรือน  เรือ  หรือแพที่คนอยู่อาศัย

ต้องระวางโทษ

มาตรา  220  ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง  จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

การวางเพลิงเผาทรัพย์ที่จะเป็นความผิดตามมาตรา  218  นั้นในเบื้องต้น  การกระทำจะต้องครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา  217  อันเป็นหลักทั่วไปก่อน  คือ

1       วางเพลิงเผา

2       ทรัพย์ของผู้อื่น

3       โดยเจตนา

เมื่อการกระทำครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา  217  แล้ว  จึงมาพิจารณาว่าทรัพย์ที่วางเพลิงเผานั้นเป็นทรัพย์ที่ระบุไว้ในมาตรา  218  หรือไม่  ถ้าเป็นแล้ว  ผู้กระทำความผิดตามมาตรา  218  อันเป็นลักษณะฉกรรจ์  ต้องรับโทษสูงกว่าโทษที่ระบุไว้ในมาตรา  217

วางเพลิงเผา  หมายถึง  การกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น  ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใดๆก็ตาม  แม้จะไหม้เพียงบางส่วนก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว  แต่ถ้าหากยังไม่เกิดไฟไหม้ขึ้น  ก็เป็นแค่พยายามวางเพลิงเท่านั้น

ทรัพย์ของผู้อื่น  ถ้าเป็นทรัพย์ของตนเอง  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

โดยเจตนา  หมายความว่า  ผู้กระทำมีความต้องการที่จะเผาทรัพย์นั้น  และรู้ว่าทรัพย์ที่เผานั้นเป็นของผู้อื่นด้วย

และความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ  ตามมาตรา  220  วรรคแรก  มีองค์ประกอบความผิด  ดังนี้

1       กระทำให้เกิดเพลิงไหม้

2       แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง

3       จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น

4       โดยเจตนา

กระทำให้เกิดเพลิงไหม้  หมายถึง  เผาวัตถุใดๆให้ลุกไหม้ขึ้นมา  ซึ่งถ้าเพลิงยังไม่ลุกไหม้ขึ้นมา  ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น  จึงไม่ผิดตามมาตรานี้

แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง  หมายถึง  กระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุ  ซึ่งวัตถุในที่นี้อาจจะเป็นทรัพย์ก็ได้  หรือไม่ใช่ทรัพย์ก็ได้  เป็นวัตถุของใครก็ได้  หรือเป็นวัตถุที่ไม่มีเจ้าของก็ได้  และแม้ว่าวัตถุนั้นจะเป็นของตนเองก็ตาม

จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น  หมายถึง  พฤติการณ์ของการกระทำไม่ใช่ผลของการกระทำ  กล่าวคือ  เพียงแต่มีเจตนากระทำให้เกิดเพลิงไหม้ แก่วัตถุ  และเพลิงไหม้นั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่นก็เป็นความผิดตามมาตรานี้แล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จำเลยจุดไฟเผาบ้านของนายแดงและไฟได้ไหม้บ้านของนายแดงแล้วนั้น  การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของนายแดงซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้อื่น  และกระทำโดยเจตนา  จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานวางเพลิงตามมาตรา  217 และเมื่อทรัพย์ดังกล่าวเป็นบ้านของนายแดง  ซึ่งเป็นโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย  ดังนั้น  จำเลยจึงมีความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนของผู้อื่นตามมาตรา  218(1)

และเมื่อปรากฏว่า  การที่ไฟไหม้บ้านของนายแดงนั้นได้เกิดลุกลามไปไหม้เศษหญ้าแห้งบริเวณบ้านของนายขาว  เหลืออีกเพียงหนึ่งเมตรก็จะถึงตัวบ้านของนายขาว  ดังนี้  จึงถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ  จนน่าจะเป็นอันตรายต่อทรัพย์ของผู้อื่น  เมื่อจำเลยได้กระทำโดยเจตนา  การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา  220  วรรคแรกด้วย

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานวางเพลิงตามมาตรา  218(1)  และมีความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุตามมาตรา  220  วรรคแรก

 

ข้อ  4  นายเอกและนายโทเป็นครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง  ปกติแล้วทั้งสองคนไม่ถูกกันมาก่อน  วันเกิดเหตุ  นายเอกไปถึงโรงเรียนก่อน พอเซ็นชื่อเสร็จได้ลงมาทำงานโดยเขียนคำว่า  “8.00 น.”  เมื่อนายโทมาถึงโรงเรียน  นายโทถือวิสาสะโดยไม่มีอำนาจใช้ยางลบ  ลบเวลาที่นายเอกเขียนว่า  “8.00  น.”  ออกแล้วเขียนใหม่เป็น  “7.30  น.”  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  การกระทำของนายโทมีความผิดฐานปลอมเอกสารหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  264  วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบด้วย

 1       กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังต่อไปนี้

(ก)  ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข)  เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือ

(ค)  ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2       โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3       ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายโทใช้ยางลบ  ลบเวลาที่นายเอกเขียนว่า  “8.00  น.”  ออก  แล้วเขียนใหม่เป็น  “7.30  น.”  นั้น  ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขข้อความในเอกสารที่แท้จริง  โดยมีเจตนาและได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  แต่อย่างไรก็ตามการแก้เวลาดังกล่าว  ไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายเอกแต่ประการใด  ดังนั้น  การกระทำของนายโทจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  (ฎ. 734/2530)

สรุป  การกระทำของนายโทไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน   ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้นักศึกษาเลือกทำคำตอบเพียงข้อเดียวเพื่อเป็นคำตอบข้อ  1  โดยให้อธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป  และยกตัวอย่างประกอบ

(ก)   อย่างไรเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ  (มาตรา  137)  หรือ

(ข)  อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน (มาตรา 144)

ธงคำตอบ

(ก)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  137  ผู้ใดแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน  ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายต้องระวางโทษ

ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  137  นี้  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ

2       แก่เจ้าพนักงาน

3       ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย

4       โดยเจตนา

แจ้งข้อความ  หมายถึง  การกระทำด้วยประการใดๆให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น  อาจกระทำโดยวาจา  โดยการเขียนเป็นหนังสือ  หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้

ข้อความอันเป็นเท็จ  หมายถึง  ข้อความที่นำไปแจ้งไม่ตรงกับความจริงหรือตรงข้ามกับความจริง  เช่น  นาย  ก  ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาว  ข  โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยาหรือจดทะเบียนสมรสมาก่อน  ทั้งๆที่นาย  ก  มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว  คือ นาง  ค  เช่นนี้เป็นต้น  แต่อย่างไรก็ตามต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน  ถ้าหากเป็นเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่  จะว่าเป็นข้อความเท็จยังไม่ได้

การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  137  นี้อาจเกิดขึ้นได้  2  กรณีคือ

(ก)  ผู้แจ้งไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานเอง

(ข)  โดยตอบคำถามที่เจ้าพนักงานเรียกไปสอบสวนเป็นพยานก็ได้

อนึ่งการแจ้งข้อความอันเป็นจริงบางส่วนและเท็จบางส่วน ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแล้ว  เช่น  ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  โดยกรอกข้อความอื่นเป็นความจริง  แต่ในช่องสัญชาติของบิดากรอกว่า  บิดาเป็นไทย  ความจริงเป็นจีน  ซึ่งเป็นเท็จไม่หมด  ก็ถือว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา  137  นี้แล้ว

สำหรับการฟ้องเท็จในคดีแพ่งหรือการยื่นคำให้การเท็จในคดีแพ่ง  ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน  เป็นแต่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล  จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ  ตามมาตรา  137  (ฎ. 1274/2513)

ส่วนในคดีอาญา  ผู้ต้องหาชอบที่จะให้การแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างใดก็ได้  เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือจะไม่ยอมให้การเลยก็ได้   แม้คำให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ  หรือให้การไปโดยเชื่อว่าตนเองอยู่ในฐานะผู้ต้องหา  ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ  แม้ต่อมาจะได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้กระทำผิด  ก็ยังถือว่าเป็นคำให้การในฐานะผู้ต้องหาอยู่  (ฎ.1093/2522)  แต่ถ้าจำเลยได้แจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานก่อนที่จะตกเป็นผู้ต้องหาไม่ถือว่าให้การในฐานะผู้ต้องหา  จึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ

การแจ้งข้อความเท็จที่จะถือว่าเป็นความผิดสำเร็จนั้น  เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องได้ทราบข้อความนั้นด้วย  แม้ว่าจะไม่เชื่อเพราะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม  แต่ถ้าเจ้าพนักงานไม่ทราบข้อความนั้น  เช่น  เจ้าพนักงานไม่ได้ยิน  หรือได้ยินแต่กำลังหลับในอยู่ไม่รู้เรื่อง  หรือไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศที่แจ้ง  เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดสำเร็จ  เป็นเพียงความผิดฐานพยายามแจ้งความเท็จเท่านั้น

แก่เจ้าพนักงาน  เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้  ต้องมีอำนาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดำเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น  และต้องกระทำการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย  เช่น  นายอำเภอ  ปลัดอำเภอ  ตำรวจ  กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  เป็นต้น  ดังนั้นถ้าเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่ในการรับแจ้งข้อความหรือเรื่องที่แจ้งนั้นไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการได้  ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ

ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย  การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน  จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย  ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใดๆย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  อนึ่งกฎหมายใช้คำว่า  อาจทำให้เสียหาย  จึงไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆเพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว

โดยเจตนา  หมายความว่า  ผู้กระทำจะต้องกระทำด้วยเจตนาตามมาตรา  59  กล่าวคือ  ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ  และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย  ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่างความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  137

นายเอกมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  คือ  นางโท  หลังจากนั้นนายเอกยังได้ไปจดทะเบียนกับ  น.ส.ตรีอีก  โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยามาก่อนและไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน  ซึ่งทั้งนางโทและ  น.ส.ตรี  ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย  เช่นนี้จะเห็นว่านายเอกแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ  ต่อนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการรับแจ้งจดทะเบียนสมรส  ซึ่งกระทำโดยเจตนา  เพราะนายเอกรู้ว่านายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานและรู้ว่าข้อความที่แจ้งเป็นเท็จ  หากนายอำเภอรับจดทะเบียนสมรสให้ก็อาจจะทำให้นางโทและ น.ส.ตรีเสียหายแก่เกียรติยศหรือชื่อเสียงได้  นายเอกจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ  ตามมาตรา  137

แต่ถ้านายเอกและนางโทได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว  ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับไม่มีคู่สมรส  ดังนี้  การที่นายเอกไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าตนเคยมีภริยามาแล้ว  แต่ไม่เคยจดทะเบียนสมรส  จึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย  ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  (ฎ.1237/2544)

(ข)หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา 

มาตรา  144  ผู้ใดให้  ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล  เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่  ต้องระวางโทษ

อธิบาย

ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144  ดังกล่าว  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       ให้  ขอให้  หรือรับว่าจะให้

2       ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใด

3       แก่เจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล

4       เพื่อจูงใจให้กระทำการ  ไม่กระทำการ  หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่

5       โดยเจตนา

ให้  หมายถึง  มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว  ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทำได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง  หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป

ขอให้  หมายถึง  เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน  เช่น  เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน  แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงจะรับเงินก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว

รับว่าจะให้  หมายถึง  เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน  แล้วผู้กระทำก็รับปากกับเจ้าพนักงานว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  เป็นความผิดสำเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้  ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นจะให้แล้วหรือไม่  ไม่ใช่ข้อสำคัญ

สำหรับสิ่งที่ให้  ขอให้  หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น  ทรัพย์สิน  เช่น  เงิน  สร้อย  แหวน  นาฬิกา  รถยนต์  หรือ  ประโยชน์อื่นใด  นอกจากทรัพย์สิน  เช่น  ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถยนต์โดยไม่เสียค่าเช่าหรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย  เป็นต้น

การกระทำตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทำต่อ  เจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล  เท่านั้นและบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ด้วย  ถ้าหากกระทำต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว  หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจหน้าที่หรือพ้นจากอำนาจหน้าที่ไปแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา  ผู้กระทำจะต้องมีเจตนา  ตามมาตรา  59  กล่าวคือ  รู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกแห่งสภา  ถ้าผู้กระทำไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  ทั้งนี้ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย  คือ

(ก)  ให้กระทำการ  อันมิชอบด้วยหน้าที่  เช่น  ให้เงินเพื่อให้ตำรวจจับกุมคนที่ไม่ได้กระทำความผิด

(ข)  ไม่กระทำการ  อันมิชอบด้วยหน้าที่  เช่น  ตำรวจจะจับกุมผู้กระทำผิด  จึงให้เงินแก่ตำรวจนั้นเพื่อไม่ให้ทำการจับกุมตามหน้าที่

(ค)  ประวิงการกระทำ  อันมิชอบด้วยหน้าที่  เช่น  ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน

ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทำการ  ไม่กระทำการ  หรือประวิงการกระทำอันชอบด้วยหน้าที่แล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา  144  นี้  เช่น  เจ้าพนักงานตำรวจไม่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย  จำเลยให้เงินตำรวจเพื่อให้ทำการจับกุม  กรณีจำเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา  144  เพราะการให้ทรัพย์สินมีมูลเหตุจูงใจให้กระทำการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144

นายแดงถูก  ส.ต.อ.ขาว  จับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง  จึงเสนอจะยกบุตรสาวของตนให้กับ  ส.ต.อ.ขาว  เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว  แต่  ส.ต.อ.ขาว  ยังไม่ได้ตอบตกลงตามที่นายแดงเสนอแต่อย่างใด  เช่นนี้ถือว่า  นายแดงขอให้ประโยชน์อื่นใดนอกจากทรัพย์สินแก่  ส.ต.อ.ขาว  ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา  นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144  แม้ว่าเจ้าพนักงานนั้นจะยังไม่ได้รับเงินก็ตาม

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลย  นายแดงทราบว่า  ส.ต.อ.ขาว  จะต้องไปเป็นพยานตามหมายเรียกของศาล  จึงขอยกบุตรสาวของตนให้กับ  ส.ต.อ.ขาว  เพื่อให้  ส.ต.อ.  ขาว  เบิกความผิดจากความจริง  (เบิกความเท็จ)  ดังนี้นายแดงไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  144  เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป  ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ  จึงมิใช่การให้ประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่  (ฎ.439/2469)

 

ข้อ  2  ร.ต.อ.แดงซ้อมดำผู้ต้องหาคดีจำหน่ายยาบ้าซึ่งตนเองรับผิดชอบคดีระหว่างสอบสวนเพื่อให้รับสารภาพ  ดำสลบ  แดงมีความผิดอาญาฐานใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  157  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  หรือปฏิบัติ  หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

1       เป็นเจ้าพนักงาน

2       ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

3       เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

4       โดยเจตนา

เป็นเจ้าพนักงาน  หมายถึง  เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย  โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน  หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  หมายถึง  การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่  แต่เป็นการอันมิชอบ  เช่น  เจ้าพนักงานตำรวจทำการสอบสวนผู้ต้องหา  ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ  ตำรวจจึงใช้กำลังชกต่อยให้รับสารภาพ  เป็นต้น

ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ  คือ  ต้องเป็นการกระทำ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น  แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย  เช่น  ต่อชีวิต  ร่างกาย  ชื่อเสียง  เป็นต้น  และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้  ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆจึงจะเป็นความผิด  เพียงแต่การกระทำนั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

โดยเจตนา  หมายความว่า  ผู้กระทำต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ  และผู้กระทำต้องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ร.ต.อ.แดง  ซ้อมดำผู้ต้องหาคดีจำหน่ายยาบ้า  ซึ่งตนเองรับผิดชอบคดีระหว่างสอบสวนเพื่อให้รับสารภาพ  จนดำสลบนั้น  ถือได้ว่า  ร.ต.อ.แดงซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่  แต่เป็นการอันมิชอบ  จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ดำ  และได้กระทำไปโดยมีเจตนา  การกระทำของ  ร.ต.อ.แดงจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ  ดังนั้น  ร.ต.อ.แดงจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  ตาม  ป.อ.  มาตรา  157

สรุป  ร.ต.อ.  แดงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  ตาม  ป.อ. มาตรา  157

 

ข้อ  3  จำเลยกับนาย  ก  ไม่ถูกกันมาก่อน  วันเกิดเหตุจำเลยขับรถไปตามถนน  เห็นรถของนาย  ก  จอดอยู่  จำเลยจึงขับรถไปจอดใกล้กับรถยนต์ของนาย  ก  โดยมีระยะห่างประมาณครึ่งเมตร  จำเลยต้องการที่จะเผารถยนต์ของนาย  ก  แต่แทนที่จะเทน้ำมันราดไปที่รถของนาย ก  จำเลยกลับเทน้ำมันราดที่รถของจำเลยเอง  แล้วจุดไม้ขีดไฟโยนลงไป  ปรากฏว่าไฟได้ไหม้รถของจำเลย  แล้วลุกลามไปไหม้รถของนาย  ก  เสียหายบางส่วน  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  217  ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  217  ดังกล่าว  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       วางเพลิงเผา

2       ทรัพย์ของผู้อื่น

3       โดยเจตนา

วางเพลิงเผา  หมายถึง  การกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น  ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใดๆก็ตาม  เช่น  ใช้ไม้ขีดไฟจุดเผา  ใช้เลนส์

การวางเพลิงเผาทรัพย์จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อเป็นการวางเพลิงเผา  ทรัพย์ของผู้อื่น  เท่านั้น  ซึ่งอาจจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้  แต่ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น  กล่าวคือ  ต้องเป็นทรัพย์ที่มีเจ้าของด้วย  ถ้าหากเป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ  คือเป็นทรัพย์ที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของใครเลย  ก็ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  ดังนั้นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเองย่อมไม่เป็นความผิด

นอกจากนี้การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องกระทำโดยเจตนา  คือ  มีเจตนาหรือมีความตั้งใจที่จะเผาทรัพย์ของผู้อื่น  และต้องรู้ด้วยว่าทรัพย์ที่เผานั้นเป็นของผู้อื่น  ถ้าหากไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีเจตนา  เช่น  วางเพลิงเผาทรัพย์โดยเข้าใจว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง  ก็ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จำเลยจุดไฟเผารถของตนเอง  โดยมีเจตนาจะให้ไฟลามไปไหม้รถของนาย  ก  ด้วยนั้น  ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาที่จะเผารถของนาย  ก  โดยตรง  เมื่อไฟได้ไหม้รถของนาย  ก  ได้รับความเสียหาย  การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา  217  ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ตามมาตรา  217

 

ข้อ  4  เด็กหญิงนกอายุ  14  ปี  รักนายปูมาก  เต็มใจจะไปร่วมประเวณีกับนายปู  เมื่อนายปูพาเด็กหญิงนกเข้าไปในห้อง  พวกของนายปูอีก  2  คน  ก็เดินตามเข้าไปในห้องขอกระทำชำเราด้วย  เด็กหญิงนกก็ยินยอมให้กระทำชำเราตามคำขอร้องของนายปู  พวกของนายปูได้ผลัดกันกระทำชำเรา  ส่วนนายปูขอประทำชำเราเป็นคนสุดท้าย  ได้ถอดกางเกงยืนรออยู่  แต่มีคนมายังที่เกิดเหตุเสียก่อน  นายปูจึงไม่ได้กระทำชำเรา  ดังนี้นายปูมีความผิดเกี่ยวกับเพศประการใด  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  277  วรรคแรกและวรรคสี่  ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี  ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน  โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม  ต้องระวางโทษ

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสามได้กระทำโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน  อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือกระทำกับเด็กชายในลักษณะเดียวกันและเด็กนั้นไม่ยินยอมหรือได้กระทำโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด  หรือโดยใช้อาวุธ  ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  277  วรรคแรก  ดังกล่าว  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       กระทำชำเรา

2       เด็กอายุยังไม่เกิน  15  ปี  ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน

3       โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

4       โดยเจตนา

กระทำชำเรา  หมายความว่า  การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ  โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ  ทวารหนัก  หรือช่องปากของผู้อื่น  หรือการใช้สิ่งใดกระทำกับอวัยวะเพศ  หรือทวารหนักของผู้อื่น

เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี  ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน  หมายความว่า  ผู้ถูกกระทำชำเราตามมาตรานี้ต้องเป็น

(ก)  เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี  ไม่ว่าเด็กนั้นจะเป็นชายหรือหญิง  หากอายุเกินกว่า  15  ปี  ย่อมไม่เข้าเงื่อนไขของมาตรานี้  และ

(ข)  เด็กซึ่งถูกกระทำนั้นต้องมิใช่ภริยาหรือสามีของผู้กระทำ  หากเด็กนั้นเป็นภริยาหรือสามีของผู้กระทำแล้ว  ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  แต่ทั้งนี้คำว่า  สามีภริยา  ในที่นี้หมายถึงสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น

โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม  หมายความว่า  เด็กผู้ถูกกระทำชำเราตามมาตรานี้จะยินยอมให้กระทำชำเราหรือไม่ยินยอมให้กระทำชำเราก็เป็นความผิดทั้งสิ้น  ทั้งนี้ก็เพราะว่าเด็กอายุเพียงเท่านั้นยังไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพอ  ความรู้สึกนึกคิดยังน้อย  สมควรจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

กรกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ผู้กระทำจะต้องกระทำ  โดยเจตนา  กล่าวคือ  จะต้องรู้ว่าเด็กนั้นมิใช่ภริยาหรือสามีของตน  และเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน  15  ปี  ถ้าผู้กระทำไม่รู้ย่อมถือว่าขาดเจตนาไม่เป็นความผิด  เช่น  จำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงอายุ  15  ปี  โดยเข้าใจว่าเด็กหญิงนั้นอายุ  18  ปี  โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมให้กระทำชำเรา  ดังนี้  จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา  277

อนึ่งคำว่า  โทรมหญิง  หมายถึง  การร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราต่อเนื่องกันไป

การร่วมกันกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงนั้นจะต้องกระทำก่อนหลังกันอยู่ระหว่างที่พวกของนายปูบางคนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว  บางคนกำลังกระทำชำเราอยู่  การที่นายปูได้ถอดกางเกงยืนรออยู่พร้อมที่จะกระทำชำเราเด็กหญิงเป็นคนต่อไป  โดยเด็กนั้นยินยอม  แม้จะยังไม่ทันได้กระทำชำเราเด็กหญิงนก  เพราะมีคนมายังที่เกิดเหตุเสียก่อน  ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดแล้ว  ดังนั้นนายปูจึงอยู่ในลักษณะเป็นตัวการร่วมกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน  15  ปี  อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามมาตรา  277  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  83  (ฎ.2200/2527)

อย่างไรก็ตาม  เมื่อการกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง  ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้น  จะต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา  277  วรรคสี่หรือไม่  เห็นว่า  เหตุในลักษณะฉกรรจ์ที่จะทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น  ตามมาตรา  277  วรรคสี่นี้จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์คือ

1       ร่วมกันกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือกระทำกับเด็กชายในลักษณะเดียวกัน  และ

2       เด็กนั้นไม่ยินยอม

เมื่อเด็กหญิงนกยินยอมให้กระทำชำเรา  แม้จะเป็นความผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงก็ตาม  ผู้กระทำความผิดก็ไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นตามวรรคสี่แต่อย่างใด  คงต้องรับโทษเพียงวรรคแรกเท่านั้น

สรุป  นายปูเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิง  ตามมาตรา  277  วรรคแรก

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 1/2555

 การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2007 กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  อย่างไรเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน  (มาตรา  137)  จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป  และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  137  นี้  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ

2       แก่เจ้าพนักงาน

3       ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย

4       โดยเจตนา

แจ้งข้อความ  หมายถึง  การกระทำด้วยประการใดๆให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น  อาจกระทำโดยวาจา  โดยการเขียนเป็นหนังสือ  หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้

ข้อความอันเป็นเท็จ  หมายถึง  ข้อความที่นำไปแจ้งไม่ตรงกับความจริงหรือตรงข้ามกับความจริง  เช่น  นาย  ก  ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาว  ข  โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยาหรือจดทะเบียนสมรสมาก่อน  ทั้งๆที่นาย  ก  มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว  คือ  นาง  ค  เช่นนี้เป็นต้น  แต่อย่างไรก็ตามต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน  ถ้าหากเป็นเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่  จะว่าเป็นข้อความเท็จยังไม่ได้

การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  137  นี้อาจเกิดขึ้นได้  2  กรณีคือ

(ก)  ผู้แจ้งไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานเอง

(ข)  โดยตอบคำถามที่เจ้าพนักงานเรียกไปสอบสวนเป็นพยานก็ได้

อนึ่งการแจ้งข้อความอันเป็นจริงบางส่วนและเท็จบางส่วน ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแล้ว  เช่น  ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  โดยกรอกข้อความอื่นเป็นความจริง  แต่ในช่องสัญชาติของบิดากรอกว่า  บิดาเป็นไทย  ความจริงเป็นจีน  ซึ่งเป็นเท็จไม่หมด  ก็ถือว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา  137  นี้แล้ว

สำหรับการฟ้องเท็จในคดีแพ่งหรือการยื่นคำให้การเท็จในคดีแพ่ง  ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน  เป็นแต่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล  จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ  ตามมาตรา  137  (ฎ. 1274/2513)

ส่วนในคดีอาญา  ผู้ต้องหาชอบที่จะให้การแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างใดก็ได้  เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือจะไม่ยอมให้การเลยก็ได้   แม้คำให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ  หรือให้การไปโดยเชื่อว่าตนเองอยู่ในฐานะผู้ต้องหา  ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ  แม้ต่อมาจะได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้กระทำผิด  ก็ยังถือว่าเป็นคำให้การในฐานะผู้ต้องหาอยู่  (ฎ.1093/2522)  แต่ถ้าจำเลยได้แจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานก่อนที่จะตกเป็นผู้ต้องหาไม่ถือว่าให้การในฐานะผู้ต้องหา  จึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ

การแจ้งข้อความเท็จที่จะถือว่าเป็นความผิดสำเร็จนั้น  เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องได้ทราบข้อความนั้นด้วย  แม้ว่าจะไม่เชื่อเพราะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม  แต่ถ้าเจ้าพนักงานไม่ทราบข้อความนั้น  เช่น  เจ้าพนักงานไม่ได้ยิน  หรือได้ยินแต่กำลังหลับในอยู่ไม่รู้เรื่อง  หรือไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศที่แจ้ง  เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดสำเร็จ  เป็นเพียงความผิดฐานพยายามแจ้งความเท็จเท่านั้น

แก่เจ้าพนักงาน  เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้  ต้องมีอำนาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดำเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น  และต้องกระทำการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย  เช่น  นายอำเภอ  ปลัดอำเภอ  ตำรวจ  กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  เป็นต้น  ดังนั้นถ้าเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่ในการรับแจ้งข้อความหรือเรื่องที่แจ้งนั้นไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการได้  ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ

ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย  การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน  จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย  ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใดๆย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  อนึ่งกฎหมายใช้คำว่า  อาจทำให้เสียหาย  จึงไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆเพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว

โดยเจตนา  หมายความว่า  ผู้กระทำจะต้องกระทำด้วยเจตนาตามมาตรา  59  กล่าวคือ  ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ  และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย  ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่างความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  137

นายเอกมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  คือ  นางโท  หลังจากนั้นนายเอกยังได้ไปจดทะเบียนกับ  น.ส.ตรีอีก  โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยามาก่อนและไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน  ซึ่งทั้งนางโทและ  น.ส.ตรี  ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย  เช่นนี้จะเห็นว่านายเอกแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ  ต่อนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการรับแจ้งจดทะเบียนสมรส  ซึ่งกระทำโดยเจตนา  เพราะนายเอกรู้ว่านายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานและรู้ว่าข้อความที่แจ้งเป็นเท็จ  หากนายอำเภอรับจดทะเบียนสมรสให้ก็อาจจะทำให้นางโทและ น.ส.ตรีเสียหายแก่เกียรติยศหรือชื่อเสียงได้  นายเอกจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ  ตามมาตรา  137

แต่ถ้านายเอกและนางโทได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว  ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับไม่มีคู่สมรส  ดังนี้  การที่นายเอกไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าตนเคยมีภริยามาแล้ว  แต่ไม่เคยจดทะเบียนสมรส  จึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย  ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้  (ฎ.1237/2544)

 

ข้อ  2  อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน  (มาตรา  149)  จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป  และยกตัวอย่างประกอบ 

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  149  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  สมาชิกนิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล  เรียกรับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ  หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด  ในตำแหน่งไม่ว่าการนั้น  จะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน  ตามมาตรา  149  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       เป็นเจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล

2       เรียก  รับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ

3       เพื่อกระทำการ  หรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่

4       โดยเจตนา

เรียก  หมายถึง  การที่เจ้าพนักงานฯแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้

รับ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ  และเจ้าพนักงานฯได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

ยอมจะรับ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ  และเจ้าพนักงานฯ  ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต  แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียก  รับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  จะเป็นความผิดตามมาตรานี้  ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ

(ก)  เพื่อกระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่าง  ร.ต.อ.แดง  ออกตรวจท้องที่พบเห็นนายดำฆ่าคนตายโดยเจตนา  แต่  ร.ต.อ.แดงไม่ยอมจับกุมนายดำ  นายขาวจึงยื่นเงินให้  ร.ต.อ.แดง  10,000  บาท  เพื่อให้จับกุมนายดำ  ร.ต.อ.แดงรับเงินมาแล้ว  จึงจับกุมนายดำส่งสถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดี  ดังนี้  ร.ต.อ.แดงย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา  149

(ข)  เพื่อไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่าง  นายเอกเป็นตำรวจจราจร  กำลังตั้งด่านตรวจ  พบเห็นนายโทขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกกันน็อค  จึงเรียกให้จอด  แล้วบอกกับนายโทว่า  “ถ้าไม่อยากถูกออกใบสั่ง  ขอเงินให้ตน 500”  ดังนี้  แม้นายโทจะไม่ได้ให้เงินตามที่นายเอกบอก นายเอกก็มีความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามมาตรา  149  แล้ว

 

ข้อ  3  นายแก้วโกรธภริยา  จึงวางเพลิงเผาแพที่อยู่อาศัยของตนเอง  เพลิงลุกไหม้และลุกลามกำลังจะไหม้ถึงแพของคนอื่นที่อยู่ติดกัน  แต่บังเอิญชาวบ้านเห็นเข้าจึงช่วยกันดับทัน  เพลิงจึงไหม้แต่แพของนายแก้ว  ดังนี้  นายแก้วมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใด  หรือไม่  (ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบโดยละเอียด)

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  217  ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

มาตรา  220  ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ  แม้เป็นของตนเอง  จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก  เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา  218  ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  218

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  217  ดังกล่าว  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       วางเพลิงเผา

2       ทรัพย์ของผู้อื่น

3       โดยเจตนา

และความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ  ตามมาตรา  220  วรรคแรก  มีองค์ประกอบความผิด  ดังนี้

1       กระทำให้เกิดเพลิงไหม้

2       แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง

3       จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น

4       โดยเจตนา

กระทำให้เกิดเพลิงไหม้  หมายถึง  เผาวัตถุใดๆให้ลุกไหม้ขึ้นมา  ซึ่งถ้าเพลิงยังไม่ลุกไหม้ขึ้นมา  ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น  จึงไม่ผิดตามมาตรานี้

แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง  หมายถึง  กระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุ  ซึ่งวัตถุในที่นี้อาจจะเป็นทรัพย์ก็ได้  หรือไม่ใช่ทรัพย์ก็ได้  เป็นวัตถุของใครก็ได้  หรือเป็นวัตถุที่ไม่มีเจ้าของก็ได้  และแม้ว่าวัตถุนั้นจะเป็นของตนเองก็ตาม

จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่น  หมายถึง  พฤติการณ์ของการกระทำไม่ใช่ผลของการกระทำ  กล่าวคือ  เพียงแต่มีเจตนากระทำให้เกิดเพลิงไหม้ แก่วัตถุ  และเพลิงไหม้นั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น  หรือทรัพย์ของผู้อื่นก็เป็นความผิดตามมาตรานี้แล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายแก้วโกรธภริยาจึงได้วางเพลิงเผาแพที่อยู่อาศัยของตนเอง  จนเกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นโดยเจตนา  และกำลังลุกลามไปไหม้แพของคนอื่นที่อยู่ติดกันนั้น  นายแก้วไม่มีความผิดตามมาตรา  217  เพราะไม่ได้เป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนายแก้วได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุแม้เป็นของตนเองโดยเจตนา  จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น  ดังนั้นการกระทำของนายแก้วจึงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา  220  วรรคแรก  นายแก้วจึงมีความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ  อันเป็นความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าทรัพย์ของผู้อื่นนั้นจะเป็นแพที่คนอยู่อาศัย  ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ระบุไว้ในมาตรา  218  ก็ตาม  แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าการกระทำของนายแก้วดังกล่าวได้ทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่แพที่อยู่อาศัยของคนอื่นแต่อย่างใด  นายแก้วจึงไม่มีความผิดตามมาตรา  220  วรรคสอง

สรุป  นายแก้วไม่มีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นตามมาตรา  217  แต่มีความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ  ตามมาตรา 220  วรรคแรก

 

ข้อ  4  จำเลยเป็นผู้จัดการร้านขายรถจักรยานยนต์  มีหน้าที่เขียนใบส่งของ  วันเกิดเหตุ  จำเลยได้เขียนใบส่งของว่าได้มีการขายรถจักรยานยนต์ไปจำนวน  5  คัน  และส่งมอบให้แก่ลูกค้าแล้ว  จากนั้นได้เซ็นชื่อจำเลย  ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยไม่ได้ส่งของให้แก่ลูกค้า  แต่จำเลยได้ยักยอกเอาไว้  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  264  วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบด้วย

 1       กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังต่อไปนี้

(ก)  ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข)  เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือ

(ค)  ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2       โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3       ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จำเลยได้เขียนในใบส่งของว่าได้มีการขายรถจักรยานยนต์ไปจำนวน  5  คัน  และส่งให้แก่ลูกค้าแล้วนั้น  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้จัดการร้านขายรถจักรยานยนต์ดังกล่าว  และมีอำนาจในการเขียนใบส่งของ  ขณะเดียวกันจำเลยเซ็นชื่อของจำเลยเองไม่ได้ปลอมลายมือชื่อของผู้ใด  ดังนี้  แม้ว่าข้อความในใบส่งของจะเป็นเท็จ  การกระทำของจำเลยก็ย่อมไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร  ตามมาตรา  264  วรรคแรก  (ฎ. 484/2503)

สรุป  จำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 2/2555

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007  กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ผู้กำกับการสถานีตำรวจสั่งให้  ร.ต.อ.สุเทพทำหน้าที่เก็บรักษาเงินประกันตัวผู้ต้องหาของสถานีตำรวจ  ร.ต.อ.สุเทพนำเงินดังกล่าวไปฝากพี่สาว  มิได้นำมาเก็บไว้ในตู้นิรภัยของทางราชการ  เวลาผ่านไป  2  เดือน  ผู้กำกับการสถานีตำรวจรู้เข้า  จึงสั่งให้  ร.ต.อ.สุเทพ  นำเงินมาคืนแก่ทางราชการ  ร.ต.อ.สุเทพก็นำเงินมาคืนจนครบ  ดังนี้  ร.ต.อ.สุเทพ  มีความผิดประการใด  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  147  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่  ซื้อ  ทำ  จัดการ  หรือ  รักษาทรัพย์ใด  เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน  หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต  หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย  ต้องระวางโทษ

อธิบาย

องค์ประกอบความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  147  ประกอบด้วย

1       เป็นเจ้าพนักงาน

2       มีหน้าที่ซื้อ  ทำ  จัดการ  หรือรักษาทรัพย์ใด

3       เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน  หรือเป็นของผู้อื่น  หรือยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย

4       โดยทุจริต

5       โดยเจตนา

เจ้าพนักงาน  หมายถึง  เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย  โดยได้รับเงินเดือน  จากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

เจ้าพนักงานที่จะมีความผิดตามมาตรานี้  จะต้องเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่  ทำ  จัดการ  หรือรักษาทรัพย์  หากเจ้าพนักงานผู้นั้นไม่มีหน้าที่ดังกล่าวย่อมไม่เป็นความผิด  ตามมาตรา  147

หน้าที่ซื้อ  เช่น  มีหน้าที่ซื้อพัสดุหรือเครื่องพิมพ์ดีดมาใช้ในสำนักงาน

หน้าที่ทำ  เช่น  มีหน้าที่ประดิษฐ์เครื่องใช้เครื่องยนต์ขึ้นใหม่  หรือมีหน้าที่ซ่อมแซม  แก้ไข  เครื่องใช้เครื่องยนต์ที่ชำรุดให้ดีขึ้น

หน้าที่จัดการ  เช่น  หน้าที่ในการจัดการโรงงาน  จัดการคลังสินค้า  เป็นต้น

หน้าที่รักษา  เช่น  เป็นเจ้าหน้าที่การเงินก็ย่อมต้องดูแลรักษาเงินที่ได้รับมานั้นด้วย

เบียดบัง  หมายความว่า  การเอาเป็นของตน  หรือแสดงให้ปรากฏว่าตนเป็นเจ้าของทรัพย์นั้นตัวอย่างเช่น  เอาทรัพย์นั้นไปใช้อย่างเจ้าของ  หรือจำหน่ายทรัพย์นั้นไป

การเบียดบังที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้จะต้องเป็นการเบียดบังทรัพย์  ถ้าเบียดบังเอาอย่างอื่น  เช่น  แรงงาน  กรณีนี้ไม่เป็นความผิดตามมาตรา  147  ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นก็ตาม  และเป็นความผิดสำเร็จเมื่อเบียดบังเอาทรัพย์ไปแม้จะนำมาคืนในภายหลัง  ก็ยังคงมีความผิด

อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะเป็นการเบียดบังทรัพย์  หรือยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้น  ผู้กระทำจะต้องกระทำโดยมีเจตนา  ตามมาตรา  59  และต้องมีเจตนาพิเศษ  คือ  โดยทุจริต  เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น  ถ้าผู้กระทำขาดเจตนาโดยทุจริตแล้ว  ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ร.ต.อ.สุเทพซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำหน้าที่เก็บรักษาเงินประกันตัวผู้ต้องหาของสถานีตำรวจ  ได้นำเงินดังกล่าวไปฝากพี่สาว  มิได้นำมาเก็บไว้ในตู้นิรภัยของทางราชการนั้น  เมื่อ  ร.ต.อ.สุเทพเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่รักษาทรัพย์แล้วเอาทรัพย์  (เงินประกันตัวผู้ต้องหา)  นั้นไป  พฤติการณ์แสดงว่า  ร.ต.อ.สุเทพมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินนั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นแล้ว  แม้ต่อมาในภายหลัง  ร.ต.อ.สุเทพจะได้นำเงินมาคืนแก่ทางราชการจนครบ  การกระทำของ  ร.ต.อ.สุเทพก็เป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา  147  ทุกประการ  ดังนั้น  ร.ต.อ.สุเทพจึงมีความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา  147  (ฎ. 473/2527)

สรุป  ร.ต.อ.สุเทพมีความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  147

 

ข้อ  2  นายเดชไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายหมี  ข้อเท็จจริงได้ความว่า  ไม่มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายหมีแต่ประการใด  ซึ่งนายเดชก็ทราบดี  ดังนี้  นายเดชมีความผิดทางอาญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  173  ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา  173  นี้แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้  คือ

1       รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น

2       แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน  หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา

3       ว่าได้มีการกระทำผิด

4       โดยเจตนา

ความผิดฐานแจ้งข้อความต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา  173  นี้หมายความถึงการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน  ในกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย  แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้น  ถ้าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา  ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว  ต้องปรับตามบทมาตรา  172  มิใช่มาตรา  173  นี้

การแจ้งข้อความต่อเจ้าพนักงาน  ตามมาตรา  173  นี้หมายความถึงเจ้าพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเท่านั้น  ถ้าเป็นบุคคลอื่นใดนอกจากนี้แล้ว  ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

การแจ้งตามมาตรา  173  นี้  อาจจะเสียหายแก่ใครหรือไม่  ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะไม่ใช่องค์ประกอบแห่งความผิด  เมื่อแจ้งโดยรู้ว่ามิได้มีการกระทำผิดต่อเจ้าพนักงานว่าได้มีการกระทำผิดแล้ว  ย่อมเป็นความผิดสำเร็จ  ทั้งนี้ผู้กระทำผิดจะต้องได้กระทำโดยมีเจตนาด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเดชไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายหมี  ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายหมีแต่ประการใดนั้น  ถือเป็นกรณีที่นายเดชรู้ว่า  มิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  แต่ไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  และได้กระทำไปโดยมีเจตนา  การกระทำของนายเดชจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ  ดังนั้น  นายเดชจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ  ตามมาตรา  173

สรุป  นายเดชมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา  173

 

ข้อ  3  นายสาและนางสีจดทะเบียนสมรสโดยถูกต้องตามกฎหมาย  นายสาและนางสีได้ร่วมกันซื้อบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว  ขนาด  2  ห้องนอน  นายสาและนางสีนอนคนละห้อง  วันเกิดเหตุ  นายสาจุดบุหรี่สูบในห้องนอนแล้วเผลอหลับไป  ปรากฏว่าบุหรี่ไหม้พื้นห้องแล้วลุกลามไหม้ห้องของนายสา  นายสารู้สึกตัวตื่นขึ้นดับไฟได้ทัน  ก่อนที่จะลุกลามไปไหม้ห้องของนางสีซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ในเวลานั้น  ดังนี้  นายสามีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  225  ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท  และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายหรือการกระทำโดยประมาทนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท  ตามมาตรา  225  ประกอบด้วย

1       กระทำให้เกิดเพลิงไหม้

2       โดยประมาท

3       เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย  หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น

กระทำให้เกิดเพลิงไหม้  หมายถึง  การกระทำด้วยประการใดๆซึ่งทำให้ไฟลุกไหม้ขึ้น  โดยสิ่งที่ไหม้นั้นจะเป็นวัตถุหรือทรัพย์ของผู้อื่น  ของตน  หรือที่ไม่มีเจ้าของ  ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้

โดยประมาท  หมายถึง  กระทำโดยไม่เจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่

เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย  หมายความว่า  จะต้องเกิดความเสียหายขึ้นจริงๆแล้วจึงจะเป็นความผิด  ถ้าไม่มีความเสียหายหรือเพียงน่าจะเสียหายก็ยังไม่เป็นความผิด  แต่ข้อสำคัญก็คือว่า  ทรัพย์ที่เสียหายนั้นจะต้องเป็นทรัพย์ของผู้อื่น  ถ้าเป็นทรัพย์ของตัวเอง  ไม่ผิดมาตรานี้

น่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น  หมายความว่า  เพียงแต่น่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต(ความตาย)  ของบุคคลอื่น  ก็เป็นความผิดแล้ว ดังนั้นถ้าน่าจะเป็นอันตรายแก่กาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของตนเอง  ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสาจุดบุหรี่สูบในห้องนอนแล้วเผลอหลับไป  ทำให้บุหรี่ไหม้พื้นห้อง  แล้วลุกลามไหม้ห้องของนายสานั้น การกระทำของนายสาถือว่าเป็นการกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทแล้ว  และแม้ว่านายสาจะรู้สึกตัวตื่นขึ้น  และดับไฟได้ทันก่อนที่จะลุกลามไปไหม้ห้องของนางสีซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ในเวลานั้น  การกระทำของนายสาที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทนั้น  ได้เข้าองค์ประกอบความผิดที่ว่า  น่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่นแล้ว  แม้ว่าตามข้อเท็จจริงนางสีจะไม่ได้รับอันตรายใดๆก็ตาม  ดังนั้นการกระทำของนายสาจึงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา  225  นายสาจึงมีความผิดฐานทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท  ตามมาตรา 225

สรุป  นายสามีความผิดฐานทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท  ตามมาตรา  225

 

ข้อ  4  นายแดงกู้เงินจากนาย  ก  จำนวน  100,000  บาท  นายแดงทำสัญญากู้ส่งมอบให้นาย  ก  เก็บรักษาไว้  วันเกิดเหตุ  นาย  ก  นำสัญญากู้ขึ้นมาอ่าน  นาย  ก  พบว่าสัญญากู้ไม่ได้ลงนามในสัญญา  นาย  ก  จึงขอให้นายขาวช่วยลงนามเป็นพยานในสัญญากู้  นายขาวจึงเซ็นชื่อลงไปในสัญญากู้และเขียนข้อความต่อท้ายว่า  “พยานผู้ให้การรับรอง”  ข้อเท็จจริงได้ความว่า  การที่นายขาวเซ็นชื่อในฐานะพยานนั้น  นายแดงผู้กู้ไม่ได้ยินยอมด้วยแต่ประการใด  ดังนี้  นายขาวมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  264  วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษ

มาตรา  265  ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ  หรือเอกสารราชการ  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบด้วย

 1       กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังต่อไปนี้

(ก)  ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข)  เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือ

(ค)  ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2       โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3       ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4       โดยเจตนา

 ในเรื่องการปลอมเอกสาร  ที่เป็นการเติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หมายความว่า  มีเอกสารที่แท้จริงอยู่แล้ว  ต่อมามีการเติม  ตัดทอน  หรือแก้ไขข้อความ  เพื่อให้เข้าใจว่ามีการกระทำนั้นๆมาก่อนแล้ว  ดังนั้นการเติม  ตัดทอนหรือแก้ไขด้วยประการใดๆ  จะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารก็ต่อเมื่อกระทำต่อเอกสารที่แท้จริง  ถ้ากระทำต่อเอกสารปลอม  ย่อมไม่ผิดฐานปลอมเอกสาร

เติม  หมายถึง  การเพิ่มข้อความในเอกสารที่แท้จริง

ตัดทอน  หมายถึง  ตัดข้อความบางตอนออกจากเอกสารที่แท้จริง

แก้ไข  หมายถึง  การกระทำทุกอย่างอันเป็นการแก้ไขข้อความให้ผิดไปจากข้อความเดิม

นอกจากนี้การเติม  ตัดทอน  หรือแก้ไข  ข้อความในเอกสารที่แท้จริงจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อ  ผู้กระทำไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้  ถ้าหากว่าผู้กระทำมีอำนาจที่จะกระทำได้แล้ว  ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

อย่างไรก็ตามจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้ผู้กระทำต้องกระทำโดยเจตนา  และการกระทำนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น  หรือประชาชนด้วย  แม้ความเสียหายจะยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม  ทั้งนี้จะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายขาวได้เซ็นชื่อลงไปในสัญญากู้  และเขียนข้อความต่อท้ายว่า  “พยานผู้ให้การรับรอง”  ถือได้ว่าเป็นการเติมข้อความในเอกสารที่แท้จริง  และนายขาวได้กระทำไปโดยไม่มีอำนาจ  เพราะนายแดงผู้กู้ไม่ได้ยินยอมด้วยแต่ประการใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  653  วรรคแรก  เรื่องหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้น  กฎหมายก็มิได้บังคับว่าต้องมีลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมหรือพยานด้วยแต่อย่างใด  เมื่อมีลายมือชื่อของผู้กู้ยืมในหลักฐานนั้น  แม้ไม่มีลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมหรือพยาน  ก็สามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้  สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

ดังนั้นการที่นายขาวเซ็นชื่อและเขียนข้อความเพิ่มเติมในภายหลัง  การกระทำดังกล่าวจึงไม่น่าจะเกิดหรืออาจเกิดความเสียหายแก่นายแดงผู้กู้ยืมเงินได้ นายขาวจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  (ฎ. 1126/2505)

เมื่อการกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามมาตรา  264  วรรคแรก  จึงไม่จำต้องพิจารณาบทบัญญัติ  มาตรา  265  แต่อย่างใด  แม้สัญญากู้ยืมจะเป็นเอกสารสิทธิตามมาตรา  265  ก็ตาม

สรุป  นายขาวไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264265

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007 กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน  (มาตรา  149)  จงอธิบายหลักกฎหมาย  (พอสังเขป)  และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  149  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  สมาชิกนิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล  เรียกรับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ  หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด  ในตำแหน่งไม่ว่าการนั้น  จะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน  ตามมาตรา  149  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       เป็นเจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล

2       เรียก  รับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ

3       เพื่อกระทำการ  หรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่

4       โดยเจตนา

เรียก  หมายถึง  การที่เจ้าพนักงานฯแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้

รับ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ  และเจ้าพนักงานฯได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

ยอมจะรับ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ  และเจ้าพนักงานฯ  ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต  แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียก  รับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  จะเป็นความผิดตามมาตรานี้  ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ

(ก)  เพื่อกระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่าง  ร.ต.อ.แดง  ออกตรวจท้องที่พบเห็นนายดำฆ่าคนตายโดยเจตนา  แต่  ร.ต.อ.แดงไม่ยอมจับกุมนายดำ  นายขาวจึงยื่นเงินให้ ร.ต.อ.แดง  10,000  บาท  เพื่อให้จับกุมนายดำ  ร.ต.อ.แดงรับเงินมาแล้ว  จึงจับกุมนายดำส่งสถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดี  ดังนี้  ร.ต.อ.แดงย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา  149

(ข)  เพื่อไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่าง  นายเอกเป็นตำรวจจราจร  กำลังตั้งด่านตรวจ  พบเห็นนายโทขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกกันน็อค  จึงเรียกให้จอด  แล้วบอกกับนายโทว่า  “ถ้าไม่อยากถูกออกใบสั่ง  ขอเงินให้ตน 500”  ดังนี้  แม้นายโทจะไม่ได้ให้เงินตามที่นายเอกบอก นายเอกก็มีความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามมาตรา  149  แล้ว

 

ข้อ  2  ก  ตำรวจตรวจค้นตัว  ข  โดยชอบด้วยกฎหมาย  ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายในตัว  ข  คุมตัว  ข  จากที่เกิดเหตุเดินข้ามสะพานข้ามคลองไปฝั่งตรงข้ามประมาณ  30  เมตร  จึงปล่อยตัว  ข  ไป  ดังนี้  ก  ตำรวจจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  157  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  หรือปฏิบัติ  หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

1       เป็นเจ้าพนักงาน

2       ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

3       เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

4       โดยเจตนา

เป็นเจ้าพนักงาน  หมายถึง  เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย  โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  หมายถึง  การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่  แต่เป็นการอันมิชอบ  เช่น  เจ้าพนักงานตำรวจทำการสอบสวนผู้ต้องหา  ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ  ตำรวจจึงใช้กำลังชกต่อยให้รับสารภาพ  เป็นต้น

ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ  คือ  ต้องเป็นการกระทำ  เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น  แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย  เช่น  ต่อชีวิต  ร่างกาย  ชื่อเสียง  เป็นต้น  และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้  ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆจึงจะเป็นความผิด  เพียงแต่การกระทำนั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

โดยเจตนา  หมายความว่า  ผู้กระทำต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ  และผู้กระทำต้องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  ตำรวจซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ตำรวจตรวจค้นตัว  ข  แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย  แล้วไม่ยอมปล่อยตัว  ข  ทันที  แต่กลับคุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่งดังกล่าวนั้น  ย่อมถือเป็นการกระทำที่ไม่มีสิทธิทำได้ตามกฎหมาย  หรืออีกนัยหนึ่งถือเป็นการกลั่นแกล้ง  ข  ดังนั้น  จึงถือได้ว่า  ก  ตำรวจซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่  แต่เป็นการอันมิชอบ  อันถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว  โดยมีเหตุจูงใจพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่  ข  และได้กระทำไปโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของ  ก  ตำรวจจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ  ดังนั้น  ก  ตำรวจจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา  157

สรุป  ก  ตำรวจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  ตามมาตรา  157

 

ข้อ  3  ชาวบ้าน  20  คน  ได้จัดขบวนแห่นาคจะไปอุปสมบทที่วัดแห่งหนึ่ง  ระหว่างทางที่ขบวนแห่นาคมาถึงหน้าตลาด  จำเลยเมาสุราได้ยิงปืนขึ้นฟ้า  2  นัด  เป็นเหตุให้ขบวนแห่นาคเกิดความโกลาหลวุ่นวาย  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับศาสนาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  207  ผู้ใดก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน  นมัสการหรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาใดๆ  โดยชอบด้วยกฎหมาย  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานก่อให้เกิดความวุ่นวายในที่ประชุมศาสนิกชนตามมาตรา  207  ประกอบด้วย

1       ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชน

2       เวลาประชุมกัน  นมัสการ  หรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาใดๆ

3       โดยชอบด้วยกฎหมาย

4       โดยเจตนา

สำหรับการก่อให้เกิดความวุ่นวายที่จะมีความผิดดังกล่าวข้างต้นนั้น  จะต้องเกิดในเวลาประชุมกันในเวลานมัสการ  หรือในเวลากระทำพิธีกรรมและต้องเป็นเรื่องตามศาสนาด้วย  เช่น  เวลาสวดมนต์ไหว้พระ  เวลาทำพิธีบรรพชาอุปสมบท  และไม่จำกัดสถานที่ว่าจะต้องทำในสถานที่ใด  อาจจะเป็นในบ้านก็ได้  ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาแล้ว  ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า  แม้จะทำให้ขบวนแห่นาคเกิดความโกลาหลวุ่นวาย  แต่เมื่อปรากฏว่าการแห่นาคเป็นเพียงการกระทำตามประเพณีนิยม  ไม่ใช่พิธีกรรมตามศาสนา  การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา  207  เพราะการจะเป็นความผิดตามมาตรา  207  ได้นั้น  จะต้องเป็นการก่อให้เกิดการวุ่นวายในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน  นมัสการ  หรือกระทำพิธีกรรมทางศาสนา

สรุป  จำเลยไม่มีความผิดเกี่ยวกับศาสนาตามมาตรา  207

 

ข้อ  4  นายแดงยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน  จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  และได้ประกาศแจกโฉนดให้ราษฎรที่ยื่นคำขอไว้มารับ  นายแดงมาขอรับแต่จำเลยยังไม่ได้มอบโฉนดให้นายแดงไป  ต่อมามีผู้มาขออายัดการออกโฉนด  จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินที่ออกโฉนดจึงไม่แจกโฉนด  จากการที่มีผู้มาขออายัด  จำเลยเกรงว่าโฉนดที่ออกไปแล้วนั้นจะเป็นโฉนดที่สมบูรณ์  จำเลยจึงได้ทำการลบ  วัน  เดือน  ปี  และลายเซ็นชื่อของจำเลยเอง  ซึ่งได้เซ็นไว้ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินออกเสีย  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารประการใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  264  วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังต่อไปนี้

(ก)  ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข)  เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือ

(ค)  ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2       โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3       ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4       โดยเจตนา

การเติม  ตัดทอน  หรือแก้ไข  ข้อความในเอกสารที่แท้จริงจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อ  ผู้กระทำไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้  ถ้าหากว่าผู้กระทำมีอำนาจที่จะกระทำได้แล้ว  ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จำเลยลบวัน  เดือน  ปี  และลายเซ็นของจำเลยเองนั้นไม่ถือเป็นการปลอมเอกสาร  เพราะว่าเมื่อยังไม่ได้ส่งมอบโฉนดให้นายแดงไป  จึงถือไม่ได้ว่าที่ดินรายนี้ออกโฉนดแล้ว  และโฉนดรายนี้ยังเป็นเอกสารที่อยู่ในความยึดถือหรือในความรับผิดชอบของจำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่อยู่  และถือว่ายังอยู่ในระหว่างการดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่  ดังนั้น  เมื่อมีเหตุเปลี่ยนแปลง จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินที่ดำเนินการออกโฉนด  ย่อมมีอำนาจที่จะแก้ไขเสียได้  ไม่ถือเป็นการปลอมเอกสารแต่อย่างใด  การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก

สรุป  จำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 สอบซ่อม ภาคฤดูร้อน/2547

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  รถจักรยานยนต์ของเจนจบหายไป  เจนจบเข้าใจว่าจ้อนเอาไป  เจนจบพบจ้อน  เจนจบชักอาวุธปืนที่มีกระสุนบรรจุอยู่ในรังเพลิงพร้อมกับขึ้นนกจี้ศีรษะจ้อน  บังคับให้จ้อนยอมรับว่าเอารถจักรยานยนต์ของเจนจบไป  จ้อนสะบัดมือและปัดป้องอาวุธปืน  อาวุธปืนลั่นกระสุนปืนถูกหางคิ้วจ้อน  และเลยไปถูกจุ๋มแม่ค้าขายลูกชิ้นปิ้งในบริเวณนั้นตายด้วย  ดังนี้  เจนจบต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคหนึ่ง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

การกระทำ  ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น  โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

วินิจฉัย

การที่เจนจบใช้อาวุธปืนที่มีลูกกระสุนบรรจุอยู่ในรังเพลิงพร้อมกับขึ้นนกจี้ที่ศีรษะจ้อน  การกระทำของเจนจบเป็นการขู่จ้อนให้ยอมรับว่าเอารถจักรยานยนต์ของเจนจบไป  เจนจบไม่มีเจนากระทำต่อจ้อนไม่ว่าจะเป็นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเจตนาย่อมเล้งเห็นผลตามมาตรา  59 วรรคสอง  หากเจนจบมีเจตนากระทำต่อจ้อนย่อมทำได้อยู่แล้ว  เพราะอาวุธปืนพร้อมที่จะยิงและอยู่ในระยะกระชั้นชิดติดกันเช่นนั้น  แต่การที่เจนจบใช้อาวุธปืนจี้ศีรษะไว้ในขณะที่อาวุธปืนขึ้นนกโดยมีกระสุนบรรจุในรังเพลิง

เมื่อจ้อนสะบัดมือและปัดป้องอาวุธปืน  อาวุธปืนลั่นกระสุนปืนถูกจ้อน  ถือได้ว่าเจนจบกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งเจนจบจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่  จึงเป็นการกระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่

และกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำโดยประมาทนั้นเป็นความผิดจึงต้องรับผิดตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  ส่วนผลที่ไปเกิดกับจุ๋มมิใช่ผลซึ่งเกิดขึ้นโดยพลาดไปตามมาตรา  60  เพราะเมื่อเจนจบมิได้มีเจตนากระทำต่อจ้อนผลอันเกิดกับจุ๋มจึงมิใช่เจตนาโดยพลาดไป

สรุป

1       เจนจบต้องรับผิดต่อจ้อนเพราะได้กระทำไปโดยประมาทและกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำโดยประมาทนั้นเป็นความผิด

2       เจนจบไม่มีเจตนากระทำต่อจุ๋มเพราะไม่เป็นการกระทำโดยพลาด

 

ข้อ  2  โตตั้งใจจะฆ่าใหญ่  โตเห็นเบิ้มยืนคุยอยู่กับน้อยซึ่งเป็นเพื่อนกับโต  โตเข้าใจว่าเบิ้มคือใหญ่คนที่ตนต้องการฆ่า  โตยกปืนเล็งไปที่เบิ้ม  น้อยเห็นโตกำลังจะยิงเบิ้มซึ่งมิใช่ใหญ่ที่โตต้องการฆ่า  น้อยรีบเข้าปัดปืนของโตเฉไป  กระสุนปืนจึงเลยไปถูกเล็กตาย  ดังนี้  โตต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่ 

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคหนึ่ง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

มาตรา  59  วรรคสอง  กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

โตได้กระทำต่อเบิ้มโดยเจตนาประสงค์ต่อผลตามมาตรา  59  วรรคสอง  จึงต้องรับผิดตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  แม้ว่าโตจะต้งใจฆ่าใหญ่  แล้วโตเห็นเบิ้มยืนคุยอยู่กับน้อยซึ่งเป็นเพื่อนกับโต  โดยที่โตเข้าใจว่าเบิ้มคือใหญ่คนที่ตนต้องการฆ่า  ดังนั้น  เมื่อโตเจตนาจะกระทำต่อใหญ่  แต่ได้กระทำต่อเบิ้มโดยสำคัญผิด  โตจะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำต่อเบิ้มโดยเจตนามิได้ตาม  มาตรา  61  แต่การกระทำของโตต่อเบิ้มกระทำไปไม่ตลอดจึงเป็นพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  80

เมื่อโตยกปืนเล็งไปที่เบิ้มน้อยเห็นโตกำลังจะยิงเบิ้มซึ่งไม่ใช่ใหญ่ที่โตต้องการฆ่า  น้อยจึงรีบเข้าปัดปืนของโตให้เฉไป  กระสุนจึงเลยไปถูกเล็กตาย  ผลของการกระทำจึงเกิดขึ้นกับเล็กโดยพลาดไป  ดังนั้น  เมื่อโตเจตนากระทำต่อเบิ้มแต่ผลของการกระทำเกิดขึ้นแก่เล็กโดยพลาดไป  ให้ถือว่าโตเจตนากระทำต่อเล็กตามมาตรา  60

สรุป  โตเจตนากระทำต่อเบิ้มและเจตนากระทำต่อเล็กโดยพลาดไป  จึงต้องรับผิดทางอาญา

 

ข้อ  3  ก้องและหนุ่มไปเที่ยวงานเทศบาล  ระหว่างทางได้พบเต๋าเมาสุราเดินสวนมา  ก้องเดินเข้าไปหาเต๋าเพื่อทักทาย  กลับถูกเต๋าผลักล้มลง  หนุ่มเข้าไปจะช่วยประคองก้อง  เต๋าถีบหนุ่มและชักมีดปลายแหลมแทงไปที่หนุ่ม  หนุ่มเข้าแย่งมีดจากเต๋า  เต๋าเตะและต่อยก้องและหนุ่มแล้ววิ่งหนี้ไป  ก้องและหนุ่มวิ่งไล่ตาม  ก้องวิ่งไม่ทันจึงหยุดส่วนหนุ่มวิ่งตามไปทันเต๋า  ใช้ไม้ตีเต๋าถึงแก่ความตาย  

ดังนี้  ก้องและหนุ่มต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคสอง  กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

การที่ก้องเดินเข้าไปกาเต๋านั้นเพื่อทักทายมิได้มีเจตนาจะทำอันตรายหรือสมัครใจวิวาทตามมาตรา  59  วรรคสอง  กับเต๋า  การที่เต๋าผลักก้องล้มลงไป  ถีบหนุ่ม  และชักมีดแทงหนุ่ม  เต๋าได้ก่อภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายแก่กายก้องและหนุ่มและเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึงแต่เมื่อเต๋าได้วิ่งหนีไปแล้ว  ก็ไม่มีภยันตรายใดที่ก้องและหนุ่มจะต้องป้องกันอีก  การที่หนุ่มวิ่งตามไปทันเต๋าและใช้ไม้ตีเต๋าตายจึงอ้างว่าเป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ไม่ได้  แต่การที่เต๋าเตะต่อยและชักมีดออกแทงหนุ่มนั้น  เป็นการข่มเหงหนุ่มอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  หนุ่มอ้างได้ว่ากระทำไปโดยบันดาลโทสะตามมาตรา  72  ส่วนก้องวิ่งไม่ทันจึงหยุด  ก้องมิได้ลงมือกระทำความผิด  ก้องไม่มีความผิด

สรุป  หนุ่มเจตนากระทำต่อเต๋า  หนุ่มอ้างป้องกันไม่ได้  คงอ้างได้แต่บันดาลโทสะ  ส่วนก้องไม่มีความผิด

 

ข้อ  4  เอก  หนึ่ง  และเก่ง  ร่วมกันพานางสาวติ๋มไปที่บ้านของเอก  หลังจากดื่มและกินกันจนอิ่มแล้ว  เอกได้ร่วมประเวณีกับนางสาวติ๋ม โดยนางสาวติ๋มยินยอม  เมื่อเอกออกจากห้องไปแล้ว  ได้ปล่อยให้หนึ่งและเก่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปข่มขืนกระทำชำเรานางสาวติ๋มในห้องทีละคน  โดยเอกมิได้ขัดขวางหรือห้ามปรามแต่อย่างใด  ดังนี้  เอกจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

เอกไม่ได้ร่วมกันกระทำความผิด  เอกไม่ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83  (การที่เอกได้ร่วมประเวณีกับนางสาวติ๋ม  โดยนางสาวติ๋มยินยอมนั้น  เอกจึงไม่มีความผิดตามหลักที่ว่าเมื่อยอมแล้วไม่เป็นความผิด)  แต่การที่เอกมิได้ขวางหรือห้ามปรามปล่อยให้หนึ่งและเก่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปข่มขืนกระทำชำเรานางสาวติ๋มในห้องทีละคน  ถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกแก่หนึ่งและเก่งก่อนหรือขณะกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา  เอกจึงมีความผิดเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป  เอกรับผิดเป็นผู้สนับสนุนมิใช่ตัวการ

WordPress Ads
error: Content is protected !!