การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายสาถูกฟ้องเป็นจำเลย นายสารู้ว่าพลตำรวจแดงจะต้องไปเป็นพยานตามหมายเรียกของศาล จึงให้เงิน 10,000 บาท แก่พลตำรวจแดงเพื่อจูงใจให้พลตำรวจเบิกความผิดจากความเป็นจริง พลตำรวจแดงจับนายสา ดังนี้ นายสามีความผิดต่อเจ้าพนักงานอย่างใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 144 ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ
อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2 ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3 แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4 เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่
5 โดยเจตนา
ให้ หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทำได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป
ขอให้ หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงจะรับเงินก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
รับว่าจะให้ หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทำก็รับปากกับเจ้าพนักงานว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นความผิดสำเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นจะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญ
สำหรับสิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน สร้อย แหวน นาฬิกา รถยนต์ หรือ “ประโยชน์อื่นใด” นอกจากทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถยนต์โดยไม่เสียค่าเช่าหรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย เป็นต้น
การกระทำตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทำต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้นและบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ด้วย ถ้าหากกระทำต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจหน้าที่หรือพ้นจากอำนาจหน้าที่ไปแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
ในเรื่องเจตนา ผู้กระทำจะต้องมีเจตนา ตามมาตรา 59 กล่าวคือ รู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทำไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ
(ก) ให้กระทำการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตำรวจจับกุมคนที่ไม่ได้กระทำความผิด
(ข) ไม่กระทำการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตำรวจจะจับกุมผู้กระทำผิด จึงให้เงินแก่ตำรวจนั้นเพื่อไม่ให้ทำการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทำ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายสามีความผิดต่อเจ้าพนักงานอย่างใดหรือไม่ เห็นว่า การที่นายสาให้เงินแก่พลตำรวจแดง 10,000 บาท เป็นการให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การที่พลตำรวจแดงต้องไปเบิกความต่อศาลในฐานะพยานตามหมายเรียกของศาลนั้น เป็นการกระทำหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่กระทำในหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ ดังนั้นแม้นายสาจะให้เงินโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเจ้าพนักงาน แต่เมื่อเจตนาพิเศษหรือมูลเหตุจูงใจที่ให้พลตำรวจเบิกความเท็จนั้นไม่ใช่เพื่อให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเฉพาะของเจ้าพนักงาน ย่อมไม่เข้าองค์ประกอบที่จะผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 ดังนั้นนายสาจึงไม่มีความผิด (ฎ.439/2469)
สรุป นายสาไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน
ข้อ 2 นายดำแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายขาว ข้อเท็จจริงได้ความว่า ไม่มีคนร้ายลักทรัพย์บ้านของนายขาวแต่ประการใด โดยนายดำก็รู้ ดังนี้ นายดำมีความผิดเกี่ยวกับความยุติธรรมฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 173 ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
ความผิดตามมาตรา 173 นี้แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้ คือ
1 รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น
2 แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา
3 ว่าได้มีการกระทำผิด
4 โดยเจตนา
ความผิดฐานแจ้งข้อความต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 173 นี้หมายความถึงการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน ในกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้น ถ้าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว ต้องปรับตามบทมาตรา 172 มิใช่มาตรา 173 นี้
การแจ้งข้อความต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 173 นี้หมายความถึงเจ้าพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเท่านั้น ถ้าเป็นบุคคลอื่นใดนอกจากนี้แล้ว ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้
การแจ้งตามมาตรา 173 นี้ อาจจะเสียหายแก่ใครหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะไม่ใช่องค์ประกอบแห่งความผิด เมื่อแจ้งโดยรู้ว่ามิได้มีการกระทำผิดต่อเจ้าพนักงานว่าได้มีการกระทำผิดแล้ว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จ ทั้งนี้ผู้กระทำผิดจะต้องได้กระทำโดยมีเจตนาด้วย
การที่นายดำไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายขาว ทั้งๆที่นายดำรู้ว่าไม่มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านนายขาว การกระทำของนายดำจึงเป็นความผิดตามมาตรา 173 กล่าวคือ รู้ว่าไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แต่ไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น
สรุป นายดำมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา 173
ข้อ 3 นายตุ่มจะเผาบ้านที่อยู่อาศัยของนายขวด ในขณะที่นั่งรอเวลาไปกระทำตามแผนการที่คิดไว้ นายตุ่มจุดบุหรี่สูบแล้วทิ้งก้านไม้ขีดไฟลงบนพื้นบ้าน เปลวไฟถูกถุงพลาสติกใส่น้ำมันเบนซินที่ซื้อมาไว้เพื่อราดจุดไฟเผาตามแผน ไฟลุกไหม้บ้านนายตุ่มแล้วลุกลามไปไหม้บ้านนายโอ่งซึ่งอยู่ใกล้กันเสียหายแต่ห้องครัว ดังนี้ นายตุ่มมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 219 ผู้ใดตระเตรียมเพื่อกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือมาตรา 218 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับพยายามกระทำความผิดนั้นๆ
มาตรา 225 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายหรือการกระทำโดยประมาทนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
ความผิดฐานตระเตรียมการวางเพลิง ตามมาตรา 219 มีองค์ประกอบคือ
1 ตระเตรียม
2 เพื่อกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือมาตรา 218
3 โดยเจตนา
โดยทั่วไปแล้ว การตระเตรียมการยังไม่ถือว่าเป็นความผิด เพราะยังไม่ลงมือกระทำความผิด แต่การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น มีผลกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนอย่างร้ายแรง ดังนั้นการตระเตรียมการเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น จึงเป็นความผิดแล้ว และต้องระวางโทษเท่ากับพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217 หรือมาตรา 218 แล้วแต่กรณี
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรก คือ การที่นายตุ่มเตรียมถุงพลาสติกใส่น้ำมันเบนซินที่ซื้อมาเพื่อราดจุดไฟเผาตามแผนนั้น มีความผิดฐานตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219 หรือไม่ เห็นว่า การกระทำของนายตุ่มดังกล่าว เป็นการกระทำด้วยประการใดๆอันนำไปสู่การกระทำความผิดสำเร็จได้ ถือว่าเป็นการตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาบ้านที่อยู่อาศัยของนายขวด อันเป็นโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย ตามมาตรา 218(1) ซึ่งได้กระทำโดยมีเจตนา นายตุ่มจึงมีความผิดฐานตระเตรียมวางเพลิง ตามมาตรา 219
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า นายตุ่มจะต้องรับผิดในการที่บ้านนายโอ่งซึ่งอยู่ใกล้กันเสียหายแต่ห้องครัวหรือไม่ เห็นว่า
องค์ประกอบความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท ตามมาตรา 225 ประกอบด้วย
1 กระทำให้เกิดเพลิงไหม้
2 โดยประมาท
3 เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น
การที่นายตุ่มจุดบุหรี่สูบ โดยทิ้งก้านไม้ขีดไฟลงบนพื้นบ้าน จนเกิดไฟลูกไหม้บ้านของนายตุ่มเองแล้วลุกลามไปไหม้บ้านนายโอ่งนั้น เป็นการทำให้เกิดเพลิงไหม้ โดยไม่มีเจตนา แต่ได้กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้บ้านของนายโอ่งซึ่งอยู่ใกล้กันเสียหาย แม้จะเสียหายเพียงห้องครัว นายตุ่มมีความผิดตามมาตรา 225 แล้ว
สรุป นายตุ่มมีความผิดฐานตระเตรียมวางเพลิงเผาบ้านนายขวด ตามมาตรา 219 และความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านนายโอ่งโดยประมาท ตามมาตรา 225 อีกกระทงหนึ่งด้วย
ข้อ 4 นายแก้วได้เสียอยู่กินกับนางวันทองซึ่งมีอายุ 18 ปี โดยจดทะเบียนสมรสมาได้หนึ่งปีแล้ว นางวันทองหนีไปอยู่กินกับนายช้าง นายแก้วตามนางวันทองกลับมา แล้วขอหลับนอนด้วย นางวันทองไม่ยอมนายแก้วจึงใช้ยาทำให้นางวันทองหมดสติ แล้ใช้อวัยวะเพศสอดเข้าทางช่องทวารหนักของนางวันทองจนสำเร็จความใคร่ ดังนี้ นายแก้วมีความผิดเกี่ยวกับเพศประการใดหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 276 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสี่ ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ
การกระทำชำเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่าการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำความผิดระหว่างคู่สมรส และคู่สมรสนั้นประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้
วินิจฉัย
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ตามมาตรา 276 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1 ข่มขืนกระทำชำเรา
2 ผู้อื่น
3 โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น
4 โดยเจตนา
ข่มขืนกระทำชำเรา หมายถึง การบังคับจิตใจ หรือกระทำโดยผู้อื่นไม่สมัครใจ ถ้าผู้อื่นนั้นสมัครใจร่วมประเวณี ก็ไม่ถือว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเรา ส่วน ผู้อื่น นั้นจะเป็นบุคคลเพศใดก็ได้ แม้แต่คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย กฎหมายก็ถือว่าเป็นผู้อื่น ตามนัยมาตรานี้ ดังนั้นการข่มขืนกระทำชำเราคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีความผิดได้เช่นกัน แต่หากผู้ถูกข่มขืนกระทำชำเรายังประสงค์จะอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กฎหมายก็ให้อำนาจศาลที่จะลงโทษผู้ข่มขืนกระทำชำเราที่เป็นคู่สมรสนั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ ทั้งนี้ตามมาตรา 276 วรรคสี่
สำหรับการกระทำชำเรานั้น บทบัญญัติมาตรา 276 วรรคสองได้กำหนดให้ความหมายรวมถึงการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ อวัยวะเพศกับทวารหนัก หรืออวัยวะเพศกับช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่นด้วย อย่างไรก็ดีการข่มขืนกระทำชำเราจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อผู้กระทำต้องมีเจตนา ตามมาตรา 59 และการข่มขืนนั้นกระทำในลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(ก) โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ
(ข) โดยใช้กำลังประทุษร้าย
(ค) โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้
(ง) โดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น
การที่นายแก้วใช้ยาทำให้นางวันทองหมดสติ ถือเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายตามบทนิยามมาตรา 1(6) ที่ว่าการใช้กำลังประทุษร้ายให้หมายความรวมถึงการกระทำใดๆซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ไม่ว่าจะโดยใช้ยาทำให้มึนเมา สะกดจิต หรือใช้วิธีอื่นใดคล้ายคลึงกัน
และการที่นายแก้วใช้อวัยวะเพศสอดใส่เข้าทางช่องทวารหนักของนางวันทองจนสำเร็จความใคร่ ก็ถือเป็นการข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามมาตรา 276 วรรคแรกแล้ว เพราะตามมาตรา 276 วรรคสองให้ความหมายของการกระทำชำเราว่ารวมถึงการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกับทวารหนักของผู้อื่นด้วย เมื่อนายแก้วมีเจตนาที่จะข่มขืนกระทำชำเรา แม้นางวันทองจะเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นความผิดเพราะเข้าองค์ประกอบความผิดทุกประการตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว
สรุป นายแก้วมีความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก