POL3302 การวางแผนในภาครัฐ s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.กระบวนการใดทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ ไม่มีข้อถูก (คําบรรยาย) อาจสรุปได้ว่ากระบวนการของแผน ประกอบด้วย 7 กระบวนการ ดังนี้
1. กําหนดปัญหา
2. การตั้งเป้าหมาย/วัตถุประสงค์
3. การศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
4. ลงมือวางแผน เป็นการลงมือเขียนแผนให้ถูกต้อง โดยหน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการนี้
5. การประเมินแผน เป็นกระบวนการที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์ โดยการศึกษาวิเคราะห์แผนว่ามีความสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะนําไป ปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จากนั้นจึงนําเสนอแผนให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอนุมัติ เพื่อนําแผนไปปฏิบัติ
6. การนําแผนไปปฏิบัติ เป็นกระบวนการที่ทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
7. การประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการที่ทําให้ทราบถึงผลสําเร็จและเก็บเป็น ข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป

2.คํากล่าวที่ว่า “การวางแผน คือ Set of Temporally Linked Actions” เป็นของใคร
(1) José Villamil
(2) ดร.อมร รักษาสัตย์
(3) Albert Waterston
(4) William Dunn
(5) Gulick and Urwick
ตอบ 1 หน้า 25 José Villamit กล่าวว่า “การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด”

3. การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบายได้มีจุดเริ่มต้นที่ใด
(1) เมื่อ Mayo ได้ทดลองค้นคว้าที่เรียกว่า Hawthorne Study
(2) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
(3) เมื่อ Max Weber ได้ศึกษาระบบราชการ
(4) เมื่อมีกลุ่มนักทฤษฎีสมัยใหม่
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 6 – 7 การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบาย ถือเป็นแนวทางที่นักรัฐประศาสนศาสตร์ นิยมใช้กันมาก โดยเป็นการศึกษาที่เน้นการวิเคราะห์โดยทั่วไป (ในภาพรวม) มิใช่เป็น การศึกษารายกรณี และมีเทคนิควิธีการศึกษาที่ใช้หลักสหวิทยาการหรือหลักการของวิชาการหลายสาขามาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งการศึกษาตามแนวนี้ได้มีจุดเริ่มต้นระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม

4.เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดเล็กลง
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดใหญ่โตหน้าเวลา
(5) มีขนาดจะเล็กลงหรือจะโตขึ้นเป็นไปตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 หน้า 17 – 18 Randall Ripley และ Grace Franklin กล่าวว่า ในการนํานโยบายไปปฏิบัตินั้น มีประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติต้องทําความเข้าใจอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1. มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมากมาย
2. มีความต้องการหลากหลายต่อนโยบาย
3. ธรรมชาติของนโยบายมักจะมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
4. ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในหลายระดับ หลายสังกัด และหลายหน่วยเสมอ
5. มีปัจจัยมากมายที่นโยบายไม่สามารถควบคุมได้

5. หน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการใด
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

6. ใครกล่าวว่านโยบายคือ “สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา”
(1) Thomas R. Dye
(2) David Easton
(3) Woodrow Wilson
(4) William Dunn
(5) ดร.อมร รักษาสัตย์
ตอบ 1 หน้า 1 Thomas R. Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือ กิจกรรมหรือสิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา และเกี่ยวข้องกับเหตุผลว่าทําไมจึงเลือกเช่นนั้น”

7.แผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น จัดเป็นแผนประเภทใด
(1) แผนรายปี
(2) แผนงบประมาณ
(3) แผนการเงิน
(4) แผนโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สําหรับแผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นแผนประเภทแผนรายปี แผนงบประมาณ แผนการเงิน แผนระยะสั้น หรือแผนโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจําแนก

8.TP. หมายถึง
(1) เวลาที่ผ่านไป
(2) Target Planning
(3) Team Planning
(4) การทํางานเป็นทีม
(5) ทฤษฎีการวางแผน
ตอบ 3 หน้า 33 – 34, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบทีมวางแผน (Team Planning : TP.) คือ การวางแผนเป็นทีมที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมและการระดมสมอง (Brain Storm) มากที่สุด ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ร่วมกันกําหนดเป้าหมาย (Targets) ของหน่วยงานให้ชัดเจนตรงกัน
2. ร่วมกันกําหนดอนาคต (Scenario) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ต้องการโดยคิดล่วงหน้า 3 – 5 ปี
3. ร่วมกันหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือข้อจํากัด (Obstructions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. ร่วมกันกําหนดแผน (Plan) หรือกลยุทธ์ (Strategies) โดยใช้การวิเคราะห์ SWOT เข้าช่วย
5. ร่วมกันกําหนดกลวิธี (Tactics) หรือโครงการให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้ เช่น การจัดตั้ง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติของมหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็นต้น
6. ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ (Action Plan) ของโครงการ โดยเน้นให้เกิดผลภายใน 90 วัน หรือที่เรียกว่า 90 Day Implementation Plan

9.การกําหนดโครงการ หมายถึงอะไร
(1) การศึกษาความสมบูรณ์ของโครงการที่ร่างเสร็จแล้ว
(2) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
(3) การตรวจสอบข้อมูลของโครงการ
(4) การตรวจสอบผลของการดําเนินโครงการที่ผ่านไปแล้ว
(5) การตรวจสอบความสามารถของผู้ร่างโครงการซ้ําอีกครั้ง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การกําหนดโครงการ หมายถึง การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ หรือ การเสาะหาลู่ทางการลงทุนที่ดีและมีความเป็นไปได้ เช่น โครงการลงทุนของภาคเอกชน ที่มีแววว่าจะสามารถทํากําไร หรือให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่า และถ้าเป็นโครงการลงทุน ของภาครัฐก็เป็นโครงการลงทุนที่มีศักยภาพและความสําคัญสูงต่อการแก้ไขปัญหาหรือตอบสนอง ความต้องการและโอกาสในการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ ของประเทศ เป็นต้น

10. ข้อใดเป็นคํากล่าวที่ถูกต้องในเรื่องประเภทของแผน
(1) แผนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
(2) แผนระยะสั้น 3 ปี
(3) แผนระยะปานกลาง 6 ปี
(4) แผนระยะสั้น 4 ปี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 23, (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทของแผนหรือแผนงาน (Plan) โดยใช้เกณฑ์ระยะเวลา (Time Span) อาจจําแนกได้ดังนี้
1. แผนระยะสั้น เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 2 ปี ซึ่งสามารถวางแผนได้ง่าย เนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
2. แผนระยะปานกลาง เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 2 – 5 ปี ซึ่งนิยมใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศ
3. แผนระยะยาว เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

11. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ให้ประโยชน์กับสังคม
(2) ให้คํานึงถึงรัฐสภา
(3) ประโยชน์โดยทั่วไป
(4) ผู้นําและผู้ใกล้ชิด
(5) ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบหรือทฤษฎีสถาบัน (Institution Model Theory) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตาม จะได้ชื่อว่าเป็นนโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไปตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบันการปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

12. ในแนวคิดการศึกษานโยบายศาสตร์ในแนววิเคราะห์นโยบายนิยมใช้ในนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักรัฐศาสตร์
(2) นักสังคมวิทยา
(3) นักรัฐประศาสนศาสตร์
(4) นักวิทยาศาสตร์
(5) นักเศรษฐศาสตร์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

13. กระบวนการใดทําให้ได้รับข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

14. สถาบันที่มีหน้าที่ริเริ่มกําหนดนโยบายและมีอํานาจอิทธิพลต่อนโยบายมาก คือ
(1) สถาบันทหาร
(2) สถาบันศาล
(3) สถาบันทางรัฐสภา
(4) สถาบันการปกครอง
(5) สถาบันการปกครองท้องถิ่น
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

15. ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับแผนระยะยาว
(1) มีระยะเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
(2) วางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
(3) มีระยะเวลาไม่จํากัด
(4) ความเชื่อมั่นจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน
(5) ใช้แก้ปัญหาได้เพียงผิวเผิน
ตอบ 4 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนระยะยาว คือ แผนที่มีระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่มี ความเชื่อมั่นได้น้อยและจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน กล่าวคือ ความเชื่อมั่นจะลดต่ําลง ตามระยะเวลาที่ยาวออกไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (แผนนั้นเริ่มเห็นผล คือ สามารถ แก้ปัญหาได้ ความเชื่อมั่นที่มีต่อแผนก็จะเพิ่มมากขึ้น) และแผนระยะยาวนับว่าเป็นแผนที่ แก้ปัญหาได้ลึกซึ้งที่สุด แต่เห็นผลช้า (ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ)

16. ขั้นตอนใดที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ ไม่มีข้อถูก ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

17.Controlled Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนในภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 12 สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

18.การส่งมอบงานตึก 12 ชั้น คณะรัฐศาสตร์
(1) Policy Formulation
(2) Policy Analysis
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Implementation
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนของ การแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา/การตระเตรียม วิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

19. ความเป็นธรรมของนโยบายสามารถวัดได้อย่างไร
(1) วัดจากความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
(2) วัดจากการกระจายรายได้ของนโยบายสู่ประชาชน
(3) วัดจากประโยชน์ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
(4) วัดจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบาย
(5) วัดจากการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกระบวนการของนโยบายให้มากที่สุด
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การพิจารณาด้านความเป็นธรรมของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้น อาจพิจารณา หรือวัดได้จากประโยชน์ของนโยบาย แผน หรือโครงการว่าประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ จากนโยบาย แผน หรือโครงการอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะนโยบาย แผน หรือโครงการ ที่ดีนั้นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

20. แบบอะไรที่ถูกต้องในการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบายหรือแผน
(1) แผนการรายงาน
(2) แผนตรวจงาน
(3) แผนประเมินผลงาน
(4) แบบวิธีทดลอง
(5) แบบการวัดประสิทธิภาพ
ตอบ 4(คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบาย คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการดําเนินการตามนโยบายนั้นตรงกับ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1. แบบธรรมดา หรือแบบที่ไม่ใช่วิธีการทดลอง
2. แบบวิธีกึ่งทดลอง
3. แบบวิธีทดลอง

21. ข้อมูลที่ต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก คือ
(1) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(4) ข้อมูลทุกประเภท
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการของดิน
ตอบ 3 หน้า 11 ข้อมูลในการวางนโยบายหรือแผน อาจจําแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ และภูมิศาสตร์
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

22.นักวิชาการที่กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ คือ
(1) Harry Harty
(2) Walter
(3) Thomas R. Dye
(4) William Dunn
(5) Theodore Poister
ตอบ 5 หน้า 16 Theodore Poister กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ ดังนั้นจําเป็นต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังถึงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาของนโยบายกับผลกระทบทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น”

23. กระบวนการใดต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญหลายสาขามากที่สุด
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ 4 หน้า 27 งานวางแผนเป็นงานระดับกลุ่ม ดังนั้นการลงมือวางแผนจึงต้องประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขามาร่วมกันสร้างแผน โดยมีนักวางแผนเป็นผู้ประสานให้การวางแผน ไปสู่จุดหมายร่วมกันขององค์การได้

24. ในเรื่องเกี่ยวกับรูปร่างและรูปแบบของนโยบาย ข้อความในข้อใดกล่าวผิด
(1) มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มีรูปเป็นแบบแผน โครงการ
(3) มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ
(4) มีรูปแบบเป็นสัญญา
(5) เป็นคําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นไป
ตอบ 5 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

25. กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) เรียงตามลําดับได้อย่างไร
(1) กําหนด-วิเคราะห์-ปฏิบัติ-ประเมิน
(2) กําหนด-ปฏิบัติ-วิเคราะห์ ประเมิน
(3) ประเมิน-ปฏิบัติ-วิเคราะห์-กําหนด
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 8 – 20 กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) ประกอบด้วยกระบวนการ ที่สําคัญเรียงตามลําดับ ดังนี้
1. การกําหนดนโยบาย (Policy Formulation)
2. การวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
3. การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation)
4. การติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบาย (Policy Evaluation)

26. กําหนดทางเลือกซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกให้ครบถ้วน
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 3 หน้า 13 การออกแบบทางเลือกนโยบาย คือ การใช้ความรู้ ประสบการณ์ของผู้กําหนดนโยบาย ร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือกซึ่งเป็นแนวทาง ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใดที่สามารถ ปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นนี้ต้องรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกที่เป็นไปได้ให้ครบถ้วน

27. ข้อใดเป็นทางเลือกในการวางแผน โครงการ
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ทางเลือก (Alternative) หมายถึง มาตรการหรือแนวทางการดําเนินงานที่สามารถ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ซึ่งอาจมีหลายทางเลือกในการบรรลุวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ

28. การวางโครงการให้ประสบผลสําเร็จต้องอาศัยองค์ประกอบตัวใดเป็นสําคัญที่สุด
(1) คนวางโครงการ
(2) ข้อมูล
(3) การสนับสนุนจากผู้มีอํานาจ
(4) เวลาที่เหมาะสม
(5) เครื่องมือที่เพียบพร้อม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ในกระบวนการของแผน/โครงการนั้น กระบวนการหรือขั้นตอนที่ใช้ข้อมูลมากที่สุด และมีอิทธิพลต่อทุก ๆ กระบวนการมากที่สุดก็คือ การวางแผน/โครงการ เพราะโดยทั่วไปแล้ว การที่แผน/โครงการจะประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวนั้นจะขึ้นอยู่กับกระบวนการหรือขั้นตอน ที่ว่านี้เป็นสําคัญ กล่าวคือ ถ้าวางแผน/โครงการได้ดีมีรายละเอียดครอบคลุม มีการเก็บข้อมูล อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้การวางโครงการมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และ ประเมิน การนําไปปฏิบัติ ตลอดจนการประเมินผลสามารถทําได้โดยง่าย และโอกาสที่แผน/ โครงการนั้นจะประสบความสําเร็จก็จะมีสูง

29. ปัญหาชนิดใดวางโครงการง่ายที่สุด
(1) ปัญหาการเมืองของชาติ
(2) ปัญหาความแตกแยกในสังคมหมู่บ้าน
(3) ปัญหาประมงนอกน่านน้ําไทย
(4) ปัญหาความแห้งแล้งในทุ่งนา
(5) ปัญหาจราจรใน กทม.
ตอบ 5 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาแก้ไข (Solved Problem) เป็นปัญหาที่ปรากฏผลเสียหาย ให้เห็นอยู่แล้ว เห็นตัวตนของปัญหามีรูปธรรมชัดเจน และสังคมเห็นพ้องต้องกันว่านี้คือปัญหา ที่ต้องแก้ไข ซึ่งจะนํามาเป็นแนวคิดในการวางโครงการได้ง่ายที่สุดเพื่อแก้ปัญหา เช่น ปัญหา จราจรใน กทม. แก้ไขปัญหาโดยการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ปัญหาน้ําท่วมเมื่อปี 2554 เป็นต้น

30. การจัดการโครงการ (Program Management) มีเป้าหมายสําคัญอย่างไร
(1) เพื่อพัฒนาประเทศ
(2) เพื่อให้ได้ผลงานตามที่วางโครงการไว้
(3) เพื่อให้ครบกระบวนการของโครงการ
(4) เพื่อจัดองค์การให้เหมาะสมกับโครงการที่วางไว้
(5) เพื่อรวบรวมปัญหาและอุปสรรคไว้เป็นแนวทางในภายหน้า
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การบริหารหรือการจัดการโครงการหรือการปฏิบัติตามโครงการ (Program Management) เป็นขั้นตอนของการนําโครงการไปปฏิบัติ ซึ่งมีเป้าหมายสําคัญเพื่อนําเอา โครงการที่วิเคราะห์และประเมินแล้วมาดําเนินการให้เกิดผลงานตามที่วางโครงการไว้

31. ศึกษาถึงความเหมาะสมระหว่างทางเลือกกับสภาพแวดล้อม รวมทั้งศึกษาถึงประโยชน์ ข้อดี ข้อเสีย
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 4 หน้า 14 การวิเคราะห์ทางเลือก คือ การนําเอาทางเลือกที่มีทั้งหมดมาทําการศึกษาถึงปัจจัย ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ในแต่ละทางเลือกทีละทางเลือก เช่น ศึกษาความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ศึกษาถึงความเหมาะสมระหว่างทางเลือกกับสถานการณ์แวดล้อม ศึกษาถึงผลประโยชน์ข้อดี ข้อเสียของแต่ละทางเลือก ทั้งนี้เพื่อให้ได้รับทางเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุด

32. การกําหนดกิจกรรมที่โครงสร้างต้องดําเนินการไว้ให้ชัดเจน ถือเป็นการกําหนดขอบเขตของโครงการด้านใด
(1) ขอบเขตด้านเวลา
(2) ด้านปฏิบัติการ
(3) ด้านเทคนิค
(4) ด้านวิชาการ
(5) ด้านภูมิศาสตร์
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การกําหนดกิจกรรมที่โครงสร้างต้องดําเนินการไว้ให้ชัดเจน ถือเป็นการกําหนด ขอบเขตของโครงการด้านปฏิบัติการ เพื่อให้โครงการนั้น ๆ สะท้อนถึงความเป็นจริงในทางปฏิบัติอย่างแท้จริงมากขึ้น

33. ข้อใดประเมินดู Cost-Benefit
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 4 หน้า 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านการเงิน (Financial Analysis) เป็นแนวทางการประเมินโครงการทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย กับผลประโยชน์ที่ได้รับ (Cost-Benefit) เพื่อดูว่าโครงการที่จัดทําขึ้นมานั้นมีลักษณะคุ้มทุนหรือไม่

34.การทํา Feasibility ของโครงการมีจุดมุ่งหมายสําคัญเพื่อสิ่งใด
(1) เพื่อดูความพร้อมของโครงการ
(2) เพื่อประเมินผลที่เกิดจากโครงการ
(3) เพื่อตระเตรียมการแก้ปัญหาแต่เนิ่น ๆ
(4) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของโครงการ
(5) เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการ
ตอบ 5 หน้า 40 – 42, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การวิเคราะห์เปรียบเทียบโครงการ (Program/Project Analysis) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับปัจจัยภายในองค์การ/โครงการเป็นหลักโดยจะนําเอาโครงการที่มีอยู่ทั้งหมดมาทําการวิเคราะห์เปรียบเทียบถึงข้อดีข้อด้อยของแต่ละโครงการ เพื่อเลือกเอาโครงการที่ดีที่สุด ซึ่งเหมาะสําหรับโครงการที่ไม่เร่งด่วน
2. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบเปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่มากระทบโครงการโดยจะนําเอาโครงการที่ได้เลือกสรรไว้แล้วเพียงโครงการเดียวมาทําการศึกษาถึง ความเป็นไปได้ เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการว่ามีโอกาสที่จะ ประสบผลสําเร็จมากน้อยเพียงใด ซึ่งมักจะใช้ในกรณีที่เป็นโครงการเร่งด่วน

35. หลักการบริหารใดที่ต้องใช้มากที่สุดในการจัดการโครงการ
(1) การวางแผน (Planning)
(2) การจัดองค์การ (Organizing)
(3) การจัดทีมงาน (Team Building)
(4) การรายงาน (Reporting)
(5) การควบคุม (Controlling)
ตอบ 5 หน้า 44, (คําบรรยาย) ในการบริหารหรือการจัดการโครงการนั้น หลักการบริหารที่จะต้องใช้ มากที่สุดก็คือ การควบคุม (Controlling) ซึ่งโดยทั่วไปการควบคุมโครงการจะเน้นการควบคุม 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control)
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control)
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control)

36. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเน้นหลักในด้านใดบ้าง
(1) เศรษฐกิจ การจัดการ เทคโนโลยี
(2) สังคม เศรษฐกิจ การเมือง
(3) เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การเมือง
(4) ผลตอบแทน สิ่งแวดล้อม การเมือง
(5) การเงิน การคลัง เทคโนโลยี และการจัดการ
ตอบ 1 หน้า 42 การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) มักจะประเมินเพียง ตัวแปรหลัก ๆ ดังนี้
1. ด้านเศรษฐกิจ ความคุ้มทุนหรือผลตอบแทนของโครงการ (นิยมประเมิน ในด้านนี้เป็นประจํา)
2. ด้านการบริหารหรือการจัดการ
3. ด้านเทคนิค เช่น สถานที่ตั้ง วัตถุดิบ และเทคโนโลยีของโครงการ
4. ด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ

37.การวางแผนแตกต่างจากการวางโครงการ เพราะการวางแผนไม่มีกิจกรรมใดต่อไปนี้ แต่โครงการมี
(1) การวิเคราะห์ปัญหา
(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(3) การจัดทํา Project Programming
(4) การจัดทํา Feasibility Study
(5) การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
ตอบ 3 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ในกระบวนการวางโครงการจําเป็นต้องมีการจัดทําโครงการปฏิบัติ (Operation Plan) เป็นการกําหนดรายละเอียดของวิธีดําเนินการโครงการ หรือที่เรียกว่า การจัดทํา “Project Programming” ซึ่งไม่มีในการวางแผน ดังนี้
1. กําหนดบุคลากร (Man Power) คือ การจัดคนที่ต้องรับผิดชอบงานต่าง ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งถือเป็นงานที่จําเป็นมากที่สุด
2. วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ (Materials/Equipments and Facilities)
3. ตารางเวลาการปฏิบัติงาน (Work Scheduling) คือ การกําหนดขั้นตอนของงานประกอบกับช่วงเวลาที่ต้องปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนสิ้นสุดกระบวนการ
4. งบประมาณ (Budgeting)
5. สถานที่ (Location)
6. องค์การที่จะต้องดูแลผลของโครงการเมื่อดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว (Future Organization)
7. การประเมินผลโครงการ (Evaluation)

38. โครงการต้องเจาะจงอะไรให้ชัดเจนกว่าแผน
(1) รูปร่าง (Form)
(2) ความต้องการของประชาชน
(3) คู่แข่งขัน
(4) เวลาดําเนินการ
(5) เวลาที่จะเกิดผลสําเร็จ
ตอบ 4 หน้า 36, (คําบรรยาย) รูปแบบอันเฉพาะเจาะจงที่ทําให้โครงการมีความแตกต่างจากแผน มีดังนี้
1. โครงการมีความชัดเจนและเจาะจงกว่า ทั้งรูปแบบ/รายละเอียดของวิธีดําเนินการ สถานที่และระยะเวลาในการดําเนินการ
2. โครงการมีความมุ่งหมายให้เกิดผลิตผล (Products) มากกว่าแผน
3. โครงการเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในโครงสร้างของการกําหนดแนวทางในการบริหาร

39. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย รวมทั้งการยอมรับต่อนโยบาย
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 2 หน้า 13 การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย คือการศึกษาข้อจํากัดด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ข้อมูล
2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย
3. การรับรู้และการยอมรับต่อนโยบาย
4. สิ่งแวดล้อมทั่วไป

40. ข้อใดเป็นการวิเคราะห์ประเมินโครงการไม่ใช่ราชการ
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

41. การประเมินโครงการมีประโยชน์อย่างไร
(1) เป็นข้อมูลเพื่อแก้ไขโครงการนั้นได้
(2) เป็นข้อมูลเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
(3) เป็นข้อมูลเพื่อการวางโครงการในโอกาสต่อไป
(4) เป็นภาพสะท้อนให้ผู้บริหารโครงการปรับปรุงการบริหารได้
(5) เป็นการวางแผนขั้นสุดท้ายที่โครงการต้องทํา
ตอบ 3 หน้า 50, (คําบรรยาย) การประเมินโครงการมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทําให้ทราบว่าการดําเนินโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
2. ทําให้ทราบถึงเหตุผลสําคัญที่ทําให้โครงการประสบความสําเร็จหรือล้มเหลว
3. ช่วยปรับปรุงการดําเนินงานให้ดีขึ้น
4. เก็บเป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในโอกาสต่อ ๆ ไป ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ของผู้ร่างหรือผู้วางโครงการให้สูงขึ้นด้วย

42. ข้อใดสอดคล้องเหมาะสมกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 2 หน้า 41, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านสังคม (Social Analysis) จะพิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้
1. ความเหมาะสมสอดคล้องต้องกันระหว่างแนวทางของโครงการกับปัจจัยทางสังคม เช่น ศาสนา การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม กฎหมาย การเมืองและการปกครอง เป็นต้น
2. โอกาสที่สังคมจะยอมรับ/สนับสนุน หรือต่อต้าน/คัดค้านโครงการ

43. องค์การสหประชาชาตินิยามโครงการว่าหมายถึง
(1) รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม
(2) รูปแบบทั่ว ๆ ไปในการดําเนินงานในองค์กร
(3) รูปแบบที่สําคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหา
(4) รูปแบบการดําเนินการชนิดหนึ่ง
(5) รูปแบบการบริหารกิจกรรมอันสลับซับซ้อน
ตอบ 1 หน้า 36 องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้นิยามความหมายของโครงการ ว่าหมายถึง รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ซึ่งได้มีการจัดเตรียมไว้แล้ว (Organized Social Activities) โดยมีวัตถุประสงค์ที่เจาะจง (Specific Objectives) มีการ จํากัดในด้านสถานที่และเวลา (Limited in Space and Time) โครงการมักประกอบด้วย โครงงานย่อย (Project) ที่เกี่ยวข้องกันหลาย ๆ โครงงาน (Group of Projects)

44. ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริง หรือข้อมูลภาคสนาม หรือข้อมูลปฐมภูมิ ข้อมูลทุติยภูมิเพื่อจะทราบปัญหา
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 1 หน้า 12 การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหา โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก สถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูล ทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใดเร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และ ประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นโดยสรุปการระบุปัญหาก็คือ การศึกษาวิเคราะห์เพื่อกําหนด ปัญหาที่ถูกต้องและศึกษาค่านิยมที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับปัญหาเพื่อกําหนดแนวทางของนโยบายที่เหมาะสมกับความเป็นจริงต่อไป

45. การวิเคราะห์โครงการกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่
(1) วิเคราะห์ปัจจุบัน กับวิเคราะห์อนาคต
(2) วิเคราะห์ผลลัพธ์ กับผลที่คาดหวังไว้
(3) วิเคราะห์เชิงคุณภาพ กับวิเคราะห์เชิงปริมาณ
(4) วิเคราะห์ต้นทุน กับวิเคราะห์กําไร
(5) วิเคราะห์ทั่วไป กับวิเคราะห์แบบเจาะจง
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์โครงการสามารถกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่ การวิเคราะห์ต้นทุน (Cost) และการวิเคราะห์กําไรหรือผลตอบแทน (Benefit)

46. หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้รูปแบบใดในการบริหาร
(1) นโยบาย
(2) แผน
(3) โครงการ
(4) การตัดสินใจเฉพาะหน้า
(5) การใช้ประสบการณ์ที่ยาวนาน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้โครงการเป็นรูปแบบ ในการบริหาร โดยโครงการมีขึ้นเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นหลักพื้นฐานของการวางโครงการด้วย กล่าวคือ ถ้าไม่มีปัญหาก็จะไม่มีการวางโครงการ เพื่อทําหน้าที่ค้นหาวิธีแก้ปัญหานั้น ๆ

47. ข้อใดมิใช่ภารกิจที่สําคัญในการประเมินโครงการ
(1) การวิเคราะห์ความอยู่รอดของโครงการ
(2) การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ
(3) การคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ
(4) การทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้
(5) การวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นว่าโครงการเหมาะสมที่สุดหรือยัง
ตอบ 1 หน้า 39 – 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ มีความหมาย 2 ลักษณะ คือ
1. เป็นการศึกษาถึงโอกาสความสําเร็จในการดําเนินโครงการ โดยการวิเคราะห์และประเมินหาความเชื่อมั่นว่าตัวโครงการที่ร่างเสร็จแล้วนั้นมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติ ได้จริงหรือไม่ เช่น การวิเคราะห์หรือการคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ เป็นต้น
2. เป็นการศึกษาทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้ โดยการวิเคราะห์จําแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยและผลที่คาดว่าจะได้รับ หากมีการนําโครงการไปดําเนินการหรือนําไปปฏิบัติจริง พร้อมกับศึกษาว่าผลที่คาดว่าจะได้รับหรือผลที่จะเกิดขึ้นนั้นเหมาะสม มีคุณค่า มีประโยชน์ สมควรแก่การลงทุนดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่

48. ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับปัจจัยใดมากที่สุด
(1) ความถูกต้องของตัวโครงการ
(2) ผู้บริหารโครงการ
(3) ผู้ร่วมงานในโครงการ
(4) เวลาดําเนินการที่เหมาะสม
(5) สถานที่ดําเนินการที่เหมาะสม
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับความถูกต้องของตัวโครงการ มากที่สุด ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหารโครงการแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นการ วางโครงการให้ประสบความสําเร็จต้องอาศัยความถูกต้องของข้อมูลเป็นสําคัญที่สุด(ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ)

49. ข้อใดเป็นกระบวนการต่าง ๆ ทางวิชาการ
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กระบวนการ (Process) หมายถึง ขั้นตอนวิธีปฏิบัติ หรือกิจกรรมการดําเนินงาน ที่กระทําอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย

50.การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายเป็นระบบ
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 5 หน้า 14 การทดสอบทางเลือก คือ การทบทวนความเหมาะสมของขั้นตอนและข้อมูลที่ใช้ ทั้งทางด้านหลักการเหตุผล ทางเลือกของนโยบาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลว่ายังพอเพียง และดีอยู่ ตลอดจนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิธีวิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายว่าเป็นระบบและสอดคล้องต้องกันอย่างแท้จริง

51. การควบคุมคุณภาพของโครงการนั้นมีความหมายครอบคลุมเพียงใด
(1) ทํางานให้ตรงเวลาที่วางโครงการไว้
(2) ทํางานให้มากกว่าที่วางโครงการไว้
(3) ทํางานให้น้อยกว่าที่วางโครงการไว้
(4) ทํางานตามวัตถุประสงค์ให้ครบถ้วน
(5) ทํางานตามขั้นตอนที่มีในโครงการให้ครบถ้วน
ตอบ 4 หน้า 44, (คําบรรยาย) การควบคุมแผน/โครงการโดยทั่วไปมักจะกระทําใน 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control) คือ ควบคุมให้เสร็จตรงตามเวลาที่ได้วางแผน/โครงการไว้ โดยใช้เทคนิค PERT
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control) เป็นการควบคุมรายจ่ายของแผน/โครงการให้อยู่ใน กรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยใช้เทคนิค PPBS
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control) เป็นการควบคุมให้เกิดผลงานตรงตาม วัตถุประสงค์ของแผน/โครงการอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด เทคนิคที่ใช้อาจกระทําได้ โดยการกําหนดมาตรฐาน (Standard) ของงาน

52.Suchman จําแนกการประเมินผลโครงการเป็น 5 ประเภท ได้แก่ Effort, Performance, Adequacy of Performance, Efficiency Evaluation และอีก 1 ด้าน ได้แก่อะไร
(1) Materials Evaluation
(2) Personal Evaluation
(3) Process Evaluation
(4) Side-Effect Evaluation
(5) Outcomes Evaluation
ตอบ 3 หน้า 47 Suchman ได้จําแนกประเภทการประเมินผลโครงการไว้ 5 ประเภท คือ
1. Effort Evaluation เป็นการประเมินดู Input ของโครงการ
2. Performance Evaluation เป็นการศึกษาดูผลผลิต (Output) ของโครงการ
3. Adequacy of Performance เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการ (Effectiveness)
4. Efficiency Evaluation เป็นการประเมินดูอัตราส่วนระหว่าง Output : Input
5. Process Evaluation เป็นการวิเคราะห์กระบวนการปฏิบัติงานของโครงการ

53. ในงานการบริหารงานในโครงการนั้นต้องใช้เทคนิคการบริหารแบบใดเป็นสําคัญ
(1) การตรวจสอบ
(2) การประสานงาน
(3) การประชาสัมพันธ์
(4) การประเมินผลงาน
(5) การจูงใจผู้ร่วมงาน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) เนื่องจากการบริหารหรือการจัดการโครงการ (Program Management) มีลักษณะเป็นงานชั่วคราวที่ใช้หลักความร่วมมือหรือหลักการทํางานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งจําเป็นต้องมีการปรึกษาหารือกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นอํานาจการบริหารจึงควรเน้นไปที่การจูงใจผู้ร่วมงาน ให้เกิดความรู้สึกกระตือรือร้น ตื่นตัว และการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในการทํางานเพื่อให้ ทุกคนพร้อมที่จะใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ มากกว่าที่จะเน้นไปที่การบังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด หรือการให้คุณให้โทษพนักงาน หรืออาจกล่าวได้ว่า การจัดการโครงการมักจะไม่คํานึงถึงรูปแบบ องค์การอย่างเป็นทางการมากนักเหมือนอย่างการบริหารงานองค์การทั่ว ๆ ไป (Traditional Management) ทั้งนี้นอกจากงานดังกล่าวแล้วก็ยังมีงานอย่างอื่นที่ต้องทําอีก เช่น การควบคุม โครงการ การประสานงานในโครงการ การประชาสัมพันธ์โครงการ การประเมินผลโครงการ เป็นต้น

54. ต้องระบุถึงที่ตั้งและระยะเวลาอย่างเจาะจงแน่นอน
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 3 หน้า 36, (คําบรรยาย) โครงการ (Program) ถือเป็นเครื่องมือที่สําคัญสําหรับการปฏิบัติงาน ตามแผน เนื่องจากโครงการเป็นรูปแบบอันจําเพาะเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ที่ได้มีการจัดเตรียมไว้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่เจาะจงเกี่ยวกับสถานที่ เวลา และมีรายละเอียด ของวิธีการดําเนินงานที่ชัดเจน ซึ่งไม่มีความยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้ยาก

55. นักวิชาการที่กล่าวว่า การวางแผนจะมีลักษณะร่วมกันหลายประการ เช่น ต้องมองล่วงหน้า มีการเลือกสรร ต้องเตรียมวิธีการกระทํา คือใคร
(1) เนรู
(2) วิลลามิล
(3) วอเตอร์สตัน
(4) ดรอ
(5) เลอ เบรอตัน
ตอบ 3 หน้า 25 Albert Waterston กล่าวว่า “การวางแผนทุกชนิดจะต้องมีลักษณะร่วมกัน หลายประการ เช่น ต้องประกอบด้วยการมองล่วงหน้า (Looking Ahead) ต้องมีทางเลือก (Making Choices) และหากเป็นไปได้ต้องจัดเตรียมวิธีการกระทํา (Actions) ที่แน่นอน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรืออย่างน้อยที่สุดต้องกําหนดข้อจํากัด (Setting Limits)ที่อาจจะเกิดจากการกระทําดังกล่าวไว้ด้วย”

56. เป็นภารกิจระดับระบุกิจกรรม
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รูปแบบของกิจกรรมที่ใช้ในการบริหารโดยทั่วไป มี 5 รูปแบบ คือ
1. นโยบาย (Policy) เป็นข้อเสนอสําหรับแนวทางการดําเนินงานเพื่อสนองตอบต่อปัญหาต่าง ๆ
2. แผนหรือแผนงาน (Plan) หมายถึง วิถีทางของการดําเนินการซึ่งได้กําหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว กล่าวคือ จุดเน้นหลักของแผน คือ เพื่อแสดงแนวทางของการบรรลุเป้าหมาย
3. โครงการ (Program) เป็นกิจกรรมที่ระบุถึงวิธีดําเนินการของแผนเพื่อผลักดันให้เป้าหมาย ของแผนประสบผลสําเร็จ
4. โครงงาน (Project) เป็นส่วนย่อย ๆ ของโครงการ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลผลิต 1 ผลผลิต
5. งาน (Job) เป็นส่วนย่อยของโครงงานที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุกิจกรรมหรือขั้นตอน การปฏิบัติงานเป็นสําคัญ ทั้งนี้รายละเอียดในการดําเนินการของแต่ละกิจกรรมนั้น จะมีเพิ่มขึ้นตามลําดับ คือ จากนโยบาย (ส่วนที่อยู่บนสุด) ซึ่งมีรายละเอียดน้อยที่สุด ไล่ลงไปจนถึงงาน ซึ่งมีรายละเอียดมากที่สุด

57. ในการพัฒนาประเทศส่วนมากนิยมระยะปานกลาง
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

58. เป้าหมายคือแสดงแนวทางการบรรลุเป้าหมาย
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

59. กล่าวโดยสรุปว่าการวางแผนต้องจัดเตรียมนําเสนอสิ่งใดเพื่ออนาคต
(1) ปัญหา (Problem)
(2) แนวทางดําเนินการ (Alternatives)
(3) ข้อจํากัด (Constraints)
(4) ผล (Result)
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 25, (คําบรรยาย) การวางแผน (Planning) เป็นการเสนอแนะแนวทางดําเนินการ (Alternatives) โดยการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่จะเสนอข้อเสนอแนะ (Proporsals) ในการทํางานในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้วยวิธีที่ดีที่สุด และถือว่ากระบวนการวางแผน เป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลและต้องใช้ความคิดเชิงประยุกต์อย่างมาก

60. มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลผลิต 1 ผลผลิต
(1) Policy
(2) Ptan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

61. การประเมินโครงการต่างจากการวิเคราะห์โครงการที่ใด
(1) ไม่แตกต่าง
(2) มีวิธีการคิด/เทคนิคที่แตกต่าง
(3) เป็นการนําผลการวิเคราะห์ไปกําหนดคุณค่า
(4) ผู้รับผิดชอบคนละคนกัน
(5) ใช้ข้อมูลต่างประเภทกันอย่างชัดเจน
ตอบ 3 หน้า 40 การประเมินโครงการอาจถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าการวิเคราะห์โครงการ ทั้งนี้เพราะ การประเมินโครงการนั้นต้องใช้เทคนิคการวิเคราะห์ (Analysis Technique) เป็นสําคัญ อย่างไรก็ตามการประเมินโครงการจะมีความหมายมากกว่าการวิเคราะห์ทั่ว ๆ ไป เพราะในขณะที่ การวิเคราะห์เป็นวิธีการจําแนกแยกแยะโดยอาศัยหลักทฤษฎีเป็นเครื่องมือในการจําแนกนั้น การประเมินโครงการยังหมายรวมไปถึงการกําหนดคุณค่า (Value) ของสิ่งที่วิเคราะห์ว่ามีคุณค่ามากน้อยเพียงใดอีกด้วย

62. ผลของโครงการในช่องใดที่แสดงว่าโครงการประสบความสําเร็จแล้ว
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 50, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 1 คือ เป็นผลที่ต้องการและคาดว่า จะเกิดขึ้น ถือเป็นผลสําเร็จโดยตรง (Outputs) หรือความสําเร็จปกติของโครงการ และถือเป็น ผลที่โครงการต้องการมากที่สุด เนื่องจากเป็นผลที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ดังนั้นเมื่อมีผลในช่องนี้เกิดขึ้นจึงถือเป็นความสําเร็จที่น่าภาคภูมิใจของโครงการที่สามารถบริหารโครงการได้ประสบผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้

63. เครื่องมือที่ควรใช้ในการควบคุมโครงการมีหลายอย่าง เครื่องมือในการบริหารใดต่อไปนี้ทําให้ได้ข้อมูลละเอียดที่สุด
(1) การประชุม
(2) การรายงาน
(3) การอํานวยการ
(4) การกระจายอํานาจการบังคับบัญชา
(5) การตรวจสอบผล
ตอบ 1 หน้า 44, (คําบรรยาย) เครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมการปฏิบัติตามแผน/โครงการ ประกอบด้วย
1. การประชุม (Meeting) ถือเป็นเครื่องมือที่ทําให้ได้ข้อมูลละเอียดที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทําให้สิ้นเปลืองเวลาและเสียค่าใช้จ่ายมากที่สุดเช่นกันด้วย
2. การอํานวยการ (Directing)
3. การตรวจสอบงาน (Inspecting)
4. การรายงาน (Reporting) ฯลฯ

64. ผลของโครงการในช่องใดที่แสดงว่ามาตรฐานโครงการต่ํากว่าที่ควรจะเป็น
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 50, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 2 คือ เป็นผลที่ต้องการและไม่คาดว่า จะเกิดขึ้น ถือเป็นผลที่โครงการต้องการแต่ไม่ได้วางไว้ในโครงการ ผลชนิดนี้นับว่าเป็นผลพลอยได้ หรือผลโดยอ้อม (Outcomes) ของโครงการ ซึ่งเป็นผลทางสังคมหรือผลทางจิตวิทยา หากมีผล ลักษณะนี้มากเกินไป แสดงว่าวางมาตรฐานโครงการต่ํากว่าที่ควรจะเป็นเพราะผลที่ออกมา ไม่ตรงตามที่วางโครงการเอาไว้ ถึงแม้ผลนั้นจะเป็นผลที่ต้องการก็ตาม

65. หลักการสําคัญในการจัดการ (Management) โครงการ ได้แก่หลักการใด
(1) ใช้หลักผู้นําอย่างเคร่งครัด
(2) การลงโทษเป็นหลักที่จําเป็นกับโครงการมาก
(3) ต้องใช้หลักขององค์การอย่างเป็นทางการมาก
(4) ใช้หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม
(5) ผู้ร่วมงานทั้งหลายต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาที่เคร่งครัด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

66. กระบวนการใดเป็นกระบวนการแรกของการบริหารโครงการ
(1) การมอบหมายอํานาจหน้าที่
(2) การปิดโครงการ
(3) การประชาสัมพันธ์
(4) การส่งคืนบุคลากรในโครงการคืนสังกัดเดิม
(5) การวางแผนการดําเนินงาน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กระบวนการแรกของการบริหารหรือการจัดการโครงการก็คือ การจัดเตรียมแผนหรือการวางแผนการดําเนินงาน ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รับผิดชอบโครงการหรือผู้บริหาร โครงการ (Project Manager) กล่าวคือ ผู้บริหารโครงการต้องลงมือจัดเตรียมแผนปฏิบัติงาน หรือแผนการบริหารโครงการ โดยกําหนดวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ตามขั้นตอน และอาจใช้เทคนิค การควบคุมต่าง ๆ เช่น PERT, CPM, MAP ฯลฯ มาเป็นเครื่องมือในการควบคุมให้ผู้ปฏิบัติงาน แต่ละฝ่ายดําเนินงานไปตามแนวทางหรือวิธีปฏิบัติของแผนหรือโครงการอย่างเป็นระบบ

67. แผนการศึกษาของชาติเป็นแผนชนิดใด
(1) Social Plan
(2) Physical Plan
(3) Economic Plan
(4) Community Plan
(5) Comprehensive Plan
ตอบ 1 (คําบรรยาย) แผนแบ่งตามรูปแบบทางราชการหรือการใช้ทรัพยากรได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. Physical Plan คือ แผนเกี่ยวกับการก่อสร้างและการพัฒนาเมือง
2. Social Plan หรือ Socio-Economic Plan คือ แผนด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น แผนการด้านแรงงาน แผนการศึกษาแห่งชาติ แผนอบรมความรู้เรื่องเอดส์ เป็นต้น

68. ผลของโครงการในช่องใดที่แสดงว่าแนวทางโครงการผิดพลาด
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 3 คือ เป็นผลที่ไม่ต้องการ และคาดว่าจะเกิดขึ้น ถือเป็นผลที่โครงการได้วางเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีผลที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นโดยผลที่ไม่ต้องการนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อันแสดงถึงปัญหาและอุปสรรคตามปกติของ โครงการ ดังนั้นเมื่อมีผลในช่องนี้เกิดขึ้นก็ถือได้ว่าเป็นผลที่เกิดจากเหตุบกพร่องธรรมดาของ โครงการ ซึ่งผู้บริหารโครงการ (Project Manager) ต้องพยายามหลีกเลี่ยง โดยให้เกิดขึ้น น้อยที่สุด แต่ถ้าหากผลในช่องนี้เกิดมากเกินไปก็แสดงว่าวางแนวทางโครงการผิดพลาด

69. การควบคุมโครงการโดยทั่วไปเน้นการควบคุมด้านใดเป็นพิเศษ
(1) ด้านเวลา คุณภาพ ค่าใช้จ่าย
(2) ด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
(3) ด้านคน เงิน วัสดุอุปกรณ์
(4) ด้านเวลา ค่าใช้จ่าย ประสิทธิภาพ
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 35. และ 51. ประกอบ

70. ผลของโครงการในช่องใดที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยในการดําเนินโครงการ
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 51, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 4 คือ เป็นผลที่ไม่ต้องการและ ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น ถือเป็นผลที่โครงการไม่ได้วางเอาไว้และเป็นผลที่ผู้บริหารโครงการ (Project Manager) ต้องไม่ทําให้เกิดขึ้นเด็ดขาด แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็ถือเป็นความล้มเหลวของโครงการ มากที่สุด เพราะเกิดความผิดพลาดขึ้นทั้งการบริหารโครงการและการวางมาตรฐานโครงการ ที่สูงกว่าความเป็นจริง

71. การวางแผนแบบใดที่เป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
(1) ทุกแบบของการวางแผน
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Project-by-Project Planning
(5) ข้อ 3 และ 4 ถูก
ตอบ 3 หน้า 29, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบสมบูรณ์แบบหรือประสมประสานหรือแผนรวม(Comprehensive Planning) เป็นการวางแผนที่กล่าวถึงเป้าหมายที่ต้องการก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากการสร้างแบบจําลองการเจริญเติบโต (Growth Model) ของแผนก่อน ซึ่งเป็นการคํานวณอัตราการเจริญเติบโตที่คาดหวังไว้ในรูปของการบริโภค เงินออม การลงทุน การนําเข้า-ส่งออก การจ้างงาน ความต้องการ (Demand) และความสามารถในการตอบสนอง (Supply) ของภาครัฐและภาคเอกชนรวมกัน โดยการวางแผนในรูปแบบนี้จะมีการวางแผน ทั้งแบบ Forward และ Backward และมีการกล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนไว้อย่างครบถ้วน จึงนับว่าเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเหมาะสมสําหรับการวางแผนภาครัฐด้านเศรษฐกิจ และในสถานการณ์ที่หน่วยงานวางแผนมีความชํานาญแล้ว

72. คําใดต่อไปนี้มีความหมายถึงการวางแผน
(1) Plan
(2) Planning
(3) Project Manager
(4) Project Purpose
(5) Program Goal
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

73. การวิเคราะห์โครงการมีลักษณะอย่างไร
(1) วิเคราะห์ว่าโครงการจะสําเร็จเมื่อใด
(2) วิเคราะห์ถึงข้อดี ข้อด้อยของโครงการ
(3) เป็นวิธีร่วมกันคิด
(4) เป็นวิธีการในการหาข้อมูลชนิดหนึ่ง
(5) เป็นวิธีคิดแบบต้องอาศัยหลักการเชิงปริมาณ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

74. มิติ Complexity ของแผน หมายถึงอะไร
(1) ความยากของแผน
(2) ความลับของแผน
(3) ความจําเพาะเจาะจงของแผน
(4) ความครอบคลุมของแผน
(5) ความสําคัญของแผน
ตอบ 1 หน้า 22 (คําบรรยาย) ความสลับซับซ้อนหรือความยาก (Complexity) ของแผนพิจารณา ได้จากตัวแปรต่าง ๆ ดังนี้
1. ระดับของแผน
2. จํานวนองค์ประกอบของแผน เช่น ตัวแปร หน่วยงาน บุคลากร
3. วัตถุประสงค์ของแผน
4. ระดับทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง

75. การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปปัญหาในการวางแผนนั้น ข้อมูลที่ได้จะทําประโยชน์อย่างไรบ้าง
(1) ใช้กําหนดแนวทางแก้ไขปัญหา
(2) ใช้กําหนดแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนจะยอมรับ
(3) ใช้ระบุระดับการให้ความร่วมมือของประชาชนต่อแผน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 31 การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปปัญหาในการวางแผนนั้น ข้อมูลที่ได้จะนําไปใช้ ประโยชน์ ดังนี้
1. กําหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา
2. กําหนดแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนพอจะยอมรับได้
3. ระบุระดับการให้ความร่วมมือของประชาชน

76. ปัญหาชนิดใดของแผนที่น่าจะแก้ไขได้ง่ายที่สุด เพราะมองเห็นอาการได้ง่ายกว่า
(1) ปัญหาแก้ไข
(2) ปัญหาพัฒนา
(3) ปัญหาป้องกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 25 (คําบรรยาย) ปัญหาของแผน อาจจําแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. ปัญหาแก้ไข คือ ปัญหาที่ปรากฏผลเสียหายให้เห็นอยู่แล้ว จึงต้องรีบวางแผนหาทางแก้ไข ซึ่งปัญหาชนิดนี้มักจะแก้ไขได้ง่ายที่สุด
2. ปัญหาป้องกัน คือ ปัญหาที่ยังไม่ปรากฏผลเสียหายขึ้นในขณะวางแผน แต่สามารถรู้ได้ว่าหากไม่รีบวางแผนแก้ไขก็จะปรากฏผลเสียหายในอนาคตได้
3. ปัญหาพัฒนา คือ ปัญหาที่ไม่ปรากฏผลเสียหายทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่ต้องมี การวางแผนเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งนักวางแผนต้องใช้ความสามารถ ในการมองการณ์ไกลมากเป็นพิเศษ

77.Cleland และ King กล่าวว่า กระบวนการวางแผนควรเป็นหน้าที่ของใคร
(1) นักวิชาการที่ชํานาญการ
(2) ผู้เชี่ยวชาญเรื่ององค์การ
(3) ผู้นําในการบริหาร
(4) ผู้ชํานาญการในการวางแผนโดยเฉพาะ
(5) ผู้ที่จะเป็นผู้นําแผนไปปฏิบัติเอง
ตอบ 4 หน้า 26 Cleland และ King ได้สรุปหลักสําคัญของการวางแผนไว้ ดังนี้
1. กระบวนการวางแผนควรเป็นหน้าที่ของผู้ชํานาญการในการวางแผนโดยเฉพาะ
2. งานวางแผนควรเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะต้องนําแผนไปดําเนินการ
3. การวางแผนกลยุทธ์ต้องประกอบด้วยการคาดคะเนแนวโน้ม การคัดเลือกภารกิจ การคัดเลือกวัตถุประสงค์ และการคัดเลือกแนวทางกลยุทธ์
4. ความถูกต้องของกระบวนการวางแผนขึ้นอยู่กับความถูกต้องเพียงพอของฐานข้อมูล ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ฯลฯ

78. ปัญหาโครงสร้างของปัญหาไม่ชัดเจน หมายถึง
(1) จํานวนบุคลากรที่เข้ามาบริหารนโยบาย
(2) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(3) ลักษณะในทางภูมิศาสตร์
(4) ค่านิยมของคนในสังคม
(5) วัสดุอุปกรณ์ที่จะนํามาใช้กับนโยบาย
ตอบ 4 หน้า 10, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน (Ill-Structured Problem) หมายถึง ปัญหาที่เป็นค่านิยมของคนในสังคม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับผู้คนจํานวนมาก เป็นปัญหาที่มีทางออกได้ หลายหนทาง โดยแต่ละหนทางไม่สามารถมองเห็นผลประโยชน์ได้ชัดเจน จึงเป็นที่ถกเถียงกันได้ และมีผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน

79.การวางแผนแบบประสมประสาน มีขั้นตอนสําคัญอยู่ที่ใด
(1) การเก็บข้อมูลที่กว้างขวาง
(2) การวิเคราะห์สถานการณ์แบบก้าวหน้า
(3) การทําแบบจําลอง (Model) ของแผน
(4) การสร้างเศรษฐกิจของแผน
(5) การขออนุมัติหลักการของแผนก่อนเขียนแผนขั้นตอนสุดท้าย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

80. ในการวางโครงการนั้นคําว่า Where ทําหน้าที่อะไร
(1) ค้นหาคนปฏิบัติ
(2) ค้นหาเวลา
(3) ค้นหาสถานที่
(4) ค้นหาวิธีแก้ปัญหา
(5) ค้นหาปัญหา
ตอบ 3 หน้า 39 การวางโครงการตามแนวดั้งเดิมหรือประเพณีนิยม (Traditional Model) จะประกอบด้วยการตอบคําถามต่าง ๆ ดังนี้
1. What – การค้นหาปัญหาหรือวิธีแก้ปัญหา จนเกิดทางเลือกต่าง ๆ
2. When – การระบุเวลาที่ควรแก้ไขปัญหา
3. Where – การกําหนดสถานที่และขอบเขตของโครงการ
4. Why – การระบุถึงความต้องการ
5. How – การกําหนดวิธีแก้ไขปัญหาหรือวิธีการดําเนินงาน
6. Who – บุคคลหรือองค์การที่ต้องรับผิดชอบในกระบวนการของโครงการ

81. การจัดทําโครงการตามวิธีการที่ดีที่สุด เป็นขั้นตอนใดในกระบวนการของ ดร.สมพร แสงชัย
(1) ขั้นวางโครงการ
(2) ขั้นประเมินโครงการ
(3) ขั้นวิเคราะห์โครงการ
(4) ขั้นบริหารโครงการ
(5) ขั้นประเมินผลโครงการ
ตอบ 1 หน้า 37 – 39 ดร.สมพร แสงชัย กล่าวว่า กระบวนการวางโครงการมีขั้นตอนสําคัญ ๆ 8 ขั้นตอน ดังนี้
1. การพิจารณาสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่าง ๆ
2. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
3. การหาวิธีการแก้ไข
4. การจัดทําโครงการตามวิธีการที่ดีที่สุด ซึ่งประกอบด้วย การกําหนดเป้าหมายให้ละเอียด การระบุชื่อผู้รับผิดชอบโครงการ (Project Manager) และการจัดทําโครงการปฏิบัติหรือ การจัดทํา “Project Programming”
5. การเสนอโครงการเพื่อพิจารณาอนุมัติ
6. การเสนอของบประมาณ
7. การนําโครงการไปปฏิบัติ
8. การประเมินผลโครงการ

82. เป้าหมายสําคัญที่สุดของการวางแผนกลยุทธ์ของแผนคือสิ่งใด
(1) กําหนดกรอบเค้าโครงของแผน
(2) กําหนดขอบเขตของแผน
(3) กําหนดปัญหาของแผน
(4) กําหนดทรัพยากรในแผน
(5) กําหนดโครงการของแผน
ตอบ 1 หน้า 37, (คําบรรยาย) กระบวนการวางแผน/โครงการ อาจจําแนกได้เป็น 2 ระยะ คือ
1. การวางแผน/โครงการกลยุทธ์ (Strategic Planning) มีเป้าหมายที่สําคัญที่สุด คือ การกําหนดกรอบเค้าโครง ทิศทางและแนวทางสําคัญของแผน/โครงการอย่างกว้าง หรือคร่าว ๆ ซึ่งประกอบด้วยงานที่ต้องทําหลายอย่าง เช่น การคัดเลือกข้อมูล วัตถุประสงค์ ภารกิจ และแนวทางกลยุทธ์ รวมทั้งการคาดคะเนแนวโน้ม เพื่อนําไปสู่ การวิเคราะห์หาทางเลือกหรือแนวทางที่เหมาะสมที่สุด (The Best Alternative)
2. การวางแผน/โครงการดําเนินการ (Operational Planning) เป็นการนําเอาทางเลือกที่ เหมาะสมที่สุดมากําหนดรายละเอียดในวิธีการปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติจําเป็นต้องรู้ให้ครบถ้วน

83. ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามใดได้เสมอ
(1) What
(2) When
(3) Where
(4) Why
(5) How
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามคําว่า Why (ทําไม) ให้ได้เสมอว่าทําไมต้องทําเช่นนั้นในแต่ละขั้นตอน ซึ่งเป็นการทําให้นักวางโครงการได้ตระหนักว่าทุกขั้นตอนของการวางโครงการนั้นต้องกระทําอย่างมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์แม่นยํา และยืนยันได้ว่าถูกต้องมีเหตุมีผล

84.การจัดทํา Project Programming อยู่ในภารกิจใด
(1) การวางแผน
(2) การนําแผนไปปฏิบัติ
(3) การประเมินแผน
(4) การวางโครงการ
(5) การประเมินผลโครงการ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 37. และ 81. ประกอบ

85.ดร.สมพร แสงชัย เสนอว่าการระบุว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบโครงการจะอยู่ในขั้นตอนใดของกระบวนการโครงการ
(1) ขั้นวางโครงการ
(2) ขั้นประเมินโครงการ
(3) ขั้นวิเคราะห์โครงการ
(4) ขั้นบริหารโครงการ
(5) ขั้นประเมินผลโครงการ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

86. การวางแผนแบบประสานการลงทุนภาคสาธารณะมีจุดประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาอะไรของวิธีการวางแผนแบบรายโครงการ
(1) แก้ความขัดแย้งของแผนงานย่อย
(2) แก้ความขัดแย้งของหน่วยงานวางแผน
(3) แก้ความขัดแย้งในเรื่องงบประมาณ
(4) แก้ปัญหาเรื่องความไม่ลงตัวของวงเงินงบประมาณ
(5) แก้ปัญหาเรื่องขอบเขตของแผน
ตอบ 4 หน้า 28, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบประสานการลงทุนภาคสาธารณะ (Integrated Public Investment Planning) เป็นการวางแผนที่เริ่มต้นด้วยการประมาณการรายได้หรือรายรับ ของประเทศก่อน โดยคํานึงถึงการลงทุนของภาครัฐเป็นหลักว่าการลงทุนไปนั้นจะมีรายรับเท่าไร แล้วจึงไปกําหนดรายจ่ายทีหลัง โดยที่การลงทุนนั้นจะต้องคํานึงถึงภาวะเศรษฐกิจทั้งปัจจัย ภายในและภายนอกประเทศด้วย ซึ่งการวางแผนในรูปแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง (ความไม่พอดี) ของการวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เช่น การกําหนดงบประมาณของแต่ละโครงการที่มักกําหนดสูงเกินกว่า ความเป็นจริง ความขัดแย้งกันของโครงการทั้งหลายโดยเฉพาะในเรื่องของความไม่ลงตัวของวงเงิน งบประมาณ รวมถึงความไม่มีเอกภาพและการขาดทิศทางที่ชัดเจนในการกําหนดเป้าหมายของแผน ซึ่งเป็นการวางแผนที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่หน่วยงานเริ่มมีการสะสมข้อมูลได้พอประมาณแล้ว

87. ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูลทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษาอิทธิพลของธรรมชาติ และอะไร
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) ความร่วมมือระหว่างองค์การที่เกี่ยวข้อง
(4) ศาสนาและความเชื่อ
(5) กลไกราคา
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูล ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา อิทธิพลของธรรมชาติ ศาสนาและความเชื่อ เป็นต้น

88. ในกระบวนการวางแผนของ Le Breton นั้น ถือได้ว่าขั้นการวางกลยุทธ์ของแผนนั้นอยู่ในขั้นตอนที่เท่าใด
(1) ขั้นที่ 1
(2) ขั้นที่ 1 – 2
(3) ขั้นที่ 1 – 3
(4) ขั้นที่ 1 – 4
(5) ขั้นที่ 1 – 5
ตอบ 3 หน้า 30 (คําบรรยาย) ในขั้นการวางกลยุทธ์ของแผนนั้น ถือเป็นการกําหนดวัตถุประสงค์และ กําหนดกรอบเค้าโครงของแผนอย่างกว้าง ๆ ซึ่งตามกระบวนการวางแผนของ Le Breton นั้น จะปรากฏอยู่ในขั้นตอนที่ 1 – 3 คือ การพิจารณาความจําเป็น การกําหนดวัตถุประสงค์ และการกําหนดกรอบเค้าโครงเบื้องต้นของแผน

89. ถ้าต้องการค้นหาปัญหา คําใดคือคําถามที่ต้องใช้ในการวางโครงการ
(1) What
(2) When
(3) Where
(4) Why
(5) How
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

90. การวางแผนแบบรายโครงการถือเป็นการวางแผนในกระสวน (Pattern) ชนิดใด
(1) Bottom-up Process
(2) Top-down Process
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอบ 1 หน้า 28 (คําบรรยาย) การวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เป็นเทคนิคการวางแผนพัฒนารูปแบบแรก โดยเป็นการวางแผนในกระสวน ที่เรียกว่า “Bottom-up Process” กล่าวคือ รัฐบาลจะเป็นผู้กําหนดให้หน่วยปฏิบัติการใน ระดับล่างร่างโครงการของตนเสนอขึ้นมา โดยที่ไม่ได้มีการกําหนดรายรับรายจ่ายก่อนว่าเป็นเท่าไร แต่จะมากําหนดหลังจากหน่วยงานย่อยต่าง ๆ เสนอโครงการขึ้นมาแล้ว เพื่อรวบรวมโครงการ เหล่านั้นรวมเป็นแผนเดียวกัน (แผนรวมของชาติ) ซึ่งวิธีการวางแผนในรูปแบบนี้จะไม่กล่าวถึง บทบาทของภาคเอกชนไว้เลย และใช้หลักการมีส่วนร่วมน้อยที่สุด แต่จะเหมาะสําหรับการวางแผน ในภาวะขาดแคลนข้อมูลหรือขาดความชํานาญในการวางแผน เช่น การวางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 เพราะหน่วยงานวางแผนยังมีข้อมูลไม่เพียงพอและเป็นการวางแผนที่สะดวกที่สุด การวางแผนจัดทําไร่นาสวนผสม เป็นต้น

91. ปัญหาชนิดใดที่ต้องใช้ทักษะในการมองการณ์ไกลเป็นพิเศษ จึงจะวางแผนได้
(1) ปัญหาแก้ไข
(2) ปัญหาพัฒนา
(3) ปัญหาป้องกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

92. ข้อใดมิใช่ขอบเขตของโครงการ
(1) เวลา
(2) คู่แข่งขัน
(3) ภูมิศาสตร์
(4) การปฏิบัติ
(5) เทคโนโลยี
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ขอบเขตของโครงการ มีดังนี้
1. ขอบเขตเรื่องเวลา
2. ขอบเขตทางภูมิศาสตร์
3. ขอบเขตในทางปฏิบัติ
4. ขอบเขตในลักษณะอื่นๆ เช่น ขอบเขตที่สืบเนื่องมาจากความรู้ทางวิชาการ หรือเทคโนโลยี ที่มีอยู่ในประเทศ เป็นต้น

93.แผนที่มีลักษณะ Ease of Control จะแสดงให้เห็นได้อย่างไร
(1) เห็นได้จากการผ่านขั้นตอนของแผนอย่างครบถ้วนไม่ข้ามขั้นตอน
(2) เห็นได้จากการกําหนดที่มีเหตุผลและเป็นจริงในทางปฏิบัติ
(3) เห็นได้จากการมีมาตรฐานสําหรับการปฏิบัติอย่างชัดเจน
(4) เห็นได้จากการจัดทีมผู้วางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
(5) เห็นได้จากการจัดทีมผู้ปฏิบัติตามแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
ตอบ 3 หน้า 23, (คําบรรยาย) แผนที่มีลักษณะง่ายในการควบคุม (Ease of Control) หมายถึง แผน ที่มีมาตรฐานสําหรับการวัดและการปฏิบัติอย่างชัดเจน และโดยทั่วไปหากเป็นแผนที่มีลักษณะ ง่ายในการดําเนินการ (Ease of Implementation) ก็จะมีลักษณะง่ายในการควบคุมด้วย

94. วิธีการวางแผนทั้งหลายจําแนกเป็นขั้นตอนในการวางแผนได้ 2 ระยะ คือ การวางแผนกลยุทธ์กับอะไร
(1) การวางแผนรวม
(2) การวางแผนบริหาร
(3) การวางแผนดําเนินการ
(4) การวางแผนสังคม
(5) การวางแผนพัฒนา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ

95. Cleland และ King เห็นว่า ความถูกต้องของกระบวนการวางแผนขึ้นอยู่กับอะไร
(1) ระยะเวลาที่เหมาะสม
(2) ทรัพยากรที่สมบูรณ์
(3) การจูงใจผู้จัดการวางแผน
(4) ความถูกต้องเพียงพอของฐานข้อมูล
(5) องค์การเพื่อการวางแผน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

96. การวางแผนอาจทําได้ 3 วิธี วิธีที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ที่หน่วยวางแผนเริ่มมีการสะสมข้อมูล ได้พอประมาณ คือวิธีใด
(1) Project-by-Project Planning
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ

97. กล่าวโดยสรุปขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ได้แก่ การเก็บรวบรวมประมวลข้อมูลการลงมือวางแผน และอะไร
(1) การวิเคราะห์ข้อมูล
(2) การปฏิบัติตามแผน
(3) การประเมินผลแผน
(4) การขออนุมัติใช้แผน
(5) การตระเตรียมที่จะวางแผน
ตอบ 5 หน้า 29 – 30 ขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ดังนี้
1. การตระเตรียมการที่จะวางแผน เป็นการกําหนดเค้าโครงกลยุทธ์ของแผน โดยการกําหนด วัตถุประสงค์และแนวทางของแผน
2.การศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ความถูกต้อง ของงานในขั้นตระเตรียมการ
3. การลงมือวางแผน เป็นการเขียนแผนให้ถูกต้องตามรูปแบบที่ควรจะเป็นของแผน

98. อะไรไม่ใช่งานในการทํา Project Programming
(1) Scheduling
(2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์
(3) Opening
(4) แนวทางประเมินผล
(5) Future Organization
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 37. ประกอบ

99. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของโครงการ
(1) ความสําคัญและที่มาของโครงการ
(2) Budgeting
(3) วิธีดําเนินการ
(4) Man Power Planning
(5) แนวทางการวิเคราะห์โครงการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย), องค์ประกอบของโครงการ มีดังนี้
1. ความสําคัญและที่มาของโครงการ
2. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการ
3. ขอบเขตของโครงการ
4. วิธีดําเนินงานตามโครงการ
5. ความสัมพันธ์กับโครงการอื่น
6. ขั้นตอนการดําเนินงาน
7. ทรัพยากรที่ต้องใช้ในโครงการ
8. งบประมาณของโครงการ
9. แนวทางการวิเคราะห์โครงการ

100. การกําหนดกลยุทธ์ของโครงการต้องทําหลายอย่าง สิ่งใดมิใช่งานกําหนดกลยุทธ์ดังกล่าว
(1) การคาดคะเนแนวโน้ม
(2) การคัดเลือกโครงการ
(3) การคัดเลือกภารกิจ
(4) การคัดเลือกวัตถุประสงค์
(5) การคัดเลือกข้อมูล
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น s/2566

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว
ตั้งแต่ข้อ 1. – 8. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร

1.การเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
ตอบ 4 หน้า 135 เรามีเสรีภาพหรือไม่ เป็นคําถามสําคัญประการหนึ่งของปรัชญาการเมืองที่มักจะมีการถกเถียงกันอยู่ในชีวิตประจําวันของมนุษย์ทุกคนทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเสรีภาพ (Liberty) ในที่นี้หมายถึง การที่คน ๆ หนึ่งสามารถทําอะไรได้โดยปราศจากการควบคุมบังคับ ตลอดจนไม่ถูกกีดกันไม่ให้ทําอะไรจากผู้อื่น หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ การกระทําอะไรก็ได้ตาม ความปรารถนาของตนเองและไม่มีคนอื่นมาบงการควบคุม ซึ่งเสรีภาพที่ว่านี้จะเน้นไปในทาง เสรีภาพทางการเมือง อันได้แก่ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพที่จะมีส่วนร่วม ทางการเมือง เสรีภาพในการชุมนุมสมาคมกัน และเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครอง

2.การจัดสรรเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
ตอบ 5 หน้า 159 – 160 เราควรจะกระจายทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งในสังคมอย่างไร เป็นคําถาม ในเรื่องของการจัดสรรหรือการกระจายทรัพยากรให้กับสมาชิกในสังคม เช่น ควรจัดสรร ทรัพยากรในสังคมอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม การจัดการทรัพยากรในสังคมควรจะมีหลักการ จัดการในรูปแบบลักษณะใด ใครบ้างควรจะเป็นผู้ถือครองทรัพยากร การถือครองทรัพยากร ควรจะมีได้มากน้อยเท่าไร การได้มาของทรัพยากรควรจะได้มาด้วยวิธีการในลักษณะใด

3.เนื่องจากสภาวะธรรมชาติไม่มีความสมบูรณ์ มนุษย์มีความจําเป็นต้องมาอยู่รวมกันเพื่อสร้างรัฐและผู้ปกครองขึ้นมา
ตอบ 1 หน้า 25, 195, (คําบรรยาย) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง เป็นคําถามพื้นฐานที่สุด ในทางปรัชญาการเมือง ซึ่งในประเด็นนี้อาจมีการตั้งคําถามหรือข้อถกเถียงกันว่าทําไมต้องมีรัฐ หรือสังคมการเมือง มนุษย์มีความจําเป็นหรือไม่ที่จะต้องอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมือง รัฐหรือ สังคมการเมืองมีที่มาหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร รัฐหรือสังคมการเมืองมีความสําคัญอย่างไร เป็นต้น

4. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ข้อถกเถียงดังกล่าวสอดคล้องกับประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องเชื่อฟัง กฎหมาย” หรือ “ทําไมเราต้องทําตามกฎหมาย” โดยกฎหมายนั้นถือเป็นคําสั่งของรัฐ หากเราไม่เชื่อฟังหรือไม่ทําตามจะต้องถูกลงโทษตามตัวบทกฎหมาย

5. ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการจัดสรรนโยบายโฉนดชุมชนของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

6. กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมให้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ที่หน้าทําเนียบรัฐบาล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

7. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องบินรบ 1 ฝูง ของกองทัพอากาศ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

8. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

9. ปรัชญา (Philosophy) มีความหมายถึง
(1) ความรู้
(2) ความสามารถ
(3) ความรัก
(4) ถูกข้อ 1 และ 2
(5) ถูกข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 5 คําว่า “ปรัชญา” (Philosophy) เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้น ปรัชญาจึงหมายถึง “ความรัก ในความรู้” (Love of Wisdom) นั่นเอง

10. การเมือง (Politics) มีความหมายถึง
(1) กิจการของนครรัฐ
(2) เรื่องส่วนรวม
(3) เรื่องสาธารณะ
(4) วิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 6 (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) มีรากศัพท์มาจากคําในภาษากรีกคือ “Politika ซึ่งหมายถึง เรื่องราวหรือกิจการของ Polis หรือเมืองหรือนครรัฐ (Affairs of the Cities) สําหรับ พวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้นเป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ส่วนรวม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับทุกคนที่อยู่ใน Polis ด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึง ส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะตรงข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือ ในความหมายที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

ตั้งแต่ข้อ 11. – 15. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics

11. การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น เราโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิด หรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม
ตอบ 5 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควร จะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่า ความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือ สิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หรือการโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

12. ความงามคืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคนไปให้ค่ามัน ซึ่งอาจจะแปรผันกันไปได้แต่ละสังคมอีก
ตอบ 3 หน้า 2 – 3 (คําบรรยาย) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นสาขาที่มุ่งพยายามหาคําตอบ ในแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม ดังนั้นคําถามของสาขานี้จึงมักจะถามกันว่า ความงาม คืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ศิลปะคืออะไร เป็นศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อศิลปะ เป็นต้น

13. มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะตอบว่าตาผมไม่บอด ผมก็ย่อมมองเห็นนะซิ
ตอบ 2 หน้า 2 ญาณวิทยา (Epistemology) หรือบางครั้งก็เรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) ในสาขาย่อยของความรู้ทางด้านปรัชญานี้ จะมุ่งศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับว่า มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะ ตอบว่า “ตาผมไม่บอด ผมก็ย่อมมองเห็นนะซิ” ซึ่งการตอบว่า “ตาผมไม่บอด” ก็หมายความว่า ผมเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตา” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์สามารถรู้ถึง สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยประสาทสัมผัสนั่นเอง

14. การศึกษาถึงสิ่งที่เป็นแก่นสารของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่า สิ่งที่ เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialisrn) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เราก็จะเรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)
ตอบ 1 หน้า 1 – 2, (คําบรรยาย) อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาถึงแก่นแท้หรือ ความเป็นจริงสูงสุดของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ เช่น ในสาขานี้อาจจะตั้งคําถามว่า ความจริงแท้ คืออะไร อะไรคือความจริงแท้สูงสุด หรืออาจจะมีการตั้งคําถามกันว่า สิ่งที่เป็นแก่นสารของ สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่าสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)

15. มักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญา
ตอบ 4 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

16. “พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม” หมายถึง
(1) เสรีภาพ
(2) เสมอภาค
(3) ภราดรภาพ
(4) คุณธรรม
(5) ศีลธรรม
ตอบ 5 หน้า 3 ศีลธรรม (Morality) หมายถึง พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม

17. Philosophia Perennis คืออะไร
(1) แนวทางการดําเนินชีวิตของนักปรัชญา
(2) แนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักปรัชญา
(3) อาวุธทางปัญญาของนักปรัชญา
(4) คําถามทางปรัชญา
(5) คําตอบทางปรัชญา
ตอบ 4 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ กฎหมายคืออะไร ทําไมเราต้อง เชื่อฟังกฎหมาย มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพหรือไม่ ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควร ที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น

18.“Demos” ที่เป็นที่มาของคําว่า “Democracy” ในภาษากรีก หมายถึง
(1) คนชั้นสูง
(2) คนชั้นกลาง
(3) คนชั้นล่าง
(4) ประชาชน
(5) พลเมือง
ตอบ 3หน้า 106 ศัพท์ดั้งเดิมของคําว่า “Democracy” มาจากภาษากรีกคําว่า “Demokratia ซึ่งเป็นการผสมกันของรากศัพท์ 2 คํา คือ คําว่า “Demos” ที่แปลว่า ฝูงชน ชนชั้นต่ํา คนชั้นล่าง คนจน และคําว่า “Kratia” ที่แปลว่า การปกครอง โดยเมื่อนํามาผสมกันจึงแปลว่า การปกครองของพวกคนจนคนชั้นต่ํา

19. ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เน้นความเท่าเทียมโดยกลไกใดในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
(1) เลือกตั้ง
(2) สรรหา
(3) สอบคัดเลือก
(4) สภาแต่งตั้ง
(5) จับสลาก
ตอบ 5หน้า 8 (คําบรรยาย) ในรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ที่เน้นความเสมอภาค เท่าเทียมกันนั้น กลไกในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารกิจการสาธารณะ จะไม่ใช้วิธีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง เพราะการเลือกตั้งและแต่งตั้งนั้นเป็นวิธีการของการปกครอง แบบชนชั้นสูง แต่วิธีการแบบประชาธิปไตยของเอเธนส์จะใช้วิธีการ “จับสลาก” (By Lot) มีเพียงไม่กี่ตําแหน่งเท่านั้นที่ยังคงใช้การแต่งตั้งตามความสามารถ เช่น การเป็นแม่ทัพ หรือ การเป็นทูตที่จ่าต้องไปเจรจากับรัฐอื่น ๆ

20. วาทวิทยาหรือวาทศิลป์ (Rhetoric) หมายถึงอะไร
(1) การสนทนาหาคําตอบทางการเมือง
(2) การชักจูงหรือโน้มน้าวคนด้วยถ้อยคํา
(3) คุณธรรมของชาวเอเธนส์ที่ต้องบรรลุถึง
(4) ศิลปะการแสดงแขนงหนึ่งในยุคกรีก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 9, (คําบรรยาย) วาทวิทยาหรือวาทศิลป์ (Rhetoric) หมายถึง ศิลปะในการใช้ถ้อยคํา สํานวนโวหารให้ประทับใจ หรือเป็นศิลปะในการชักจูงหรือโน้มน้าวคนด้วยถ้อยคํา

ตั้งแต่ข้อ 21 – 30. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา

21.Patriarcha or the Natural Power of Kings
ตอบ 3 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นนักคิดสําคัญคนหนึ่งที่พยายามอธิบาย ว่า “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” เขาได้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของกษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดและการปกครองแบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้าง เหตุผลมาจากคัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) ในไบเบิ้ล

22. ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่าน ก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมาน ตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะสั่งให้ท่านถูกเฆี่ยน ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อจะได้รับ บาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต (Plato) ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนา ตอนที่โสเตรตีสกําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายาม หว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไม เราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟังกฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่ การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศและถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อ รัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอม ทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่านถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่ง ให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้น ของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง…”

23.Divine Right Theory
ตอบ 3 หน้า 66 – 67, 69 “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” เป็นความคิด ที่แพร่หลายในยุคกลาง (Middle Age) ของยุโรป โดยรากฐานของความคิดดังกล่าวมาจาก ความเชื่อความคิดในทางศาสนาคริสต์ที่ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ ของพระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งวิธีคิดนี้ได้กลายมาเป็นรากฐานให้กับ “ลัทธิเทวสิทธิ์” (Divine Right)

24. ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนัก ที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์
ตอบ 5 หน้า 80 – 81 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เคยถูกจับขังคุกเนื่องจากเขา ปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ โดยเขาอ้างว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขัดกับมโนธรรมของเขา เขาจึงไม่ต้องเชื่อฟัง ซึ่งภายหลังจากที่ธอโรออกจากคุกก็ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ใน
บทความชื่อว่า “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) โดยมี เนื้อหาบางส่วนดังนี้ “ ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐ ในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนักที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้อง เที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดีย งหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์”

25. Two Treatises of Government
ตอบ 4 หน้า 39, 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ ได้เสนอ แนวคิดเรื่อง “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution) ไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มเกี่ยวกับการปกครอง) โดยล็อคเห็นว่า พลเมืองต้องเชื่อฟัง กฎหมายเฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตาม ที่รัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะ ไม่เชื่อฟังกฎหมายหรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ โดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ว่ารัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้หรือไม่ ดังที่ล็อค ได้กล่าวว่า “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับ ความไว้วางใจที่ได้รับมอบมา…เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็น ผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสินไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะ ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าอํานาจในการไว้วางใจนั้นจะยังคงอยู่กับเขา แต่ผู้ที่แต่งตั้งตัวแทนโดยการมอบอํานาจความไว้วางใจให้จะต้องมีอํานาจในการเรียกคืนความไว้วางใจ จากตัวแทนในกรณีที่เขาละเมิดความไว้วางใจ…”

26. ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับความไว้วางใจที่ได้รับ มอบมา เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็นผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสิน ไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

27. Command Theory of Law
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า “คําสั่งใด ๆ ของ ผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณาจากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย” ซึ่ง ทฤษฎีนี้เองเป็นรากฐานของคําอธิบายที่ว่า มนุษย์จําเป็นต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟัง กฎหมายก็จะลงโทษผู้นั้นตามบทบัญญัติ

28. พลเมืองไม่ต้องเชื่อฟังรัฐ ถ้ารัฐมาบังคับให้พลเมืองนับถือศาสนาตามรัฐ หรือรัฐมาออกกฎหมายไม่ให้ เพศเดียวกันแต่งงาน หรือแม้แต่ถ้ารัฐออกกฎหมายเกณฑ์แรงงาน
ตอบ 4 หน้า 74 จอห์น ล็อค (John Locke) เห็นว่า พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมายเฉพาะเรื่องที่ตกลง กับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง ซึ่งข้อตกลงที่ประชาชนทําไว้กับรัฐก็คือการให้ รัฐปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน และเป็นคนกลางตัดสินในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างประชาชน ดังนั้นเองข้อตกลงระหว่างประชาชนกับรัฐจึงมีเพียงหลักการในสองเรื่องนี้เป็นหลัก ส่วนเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้รัฐไม่มีสิทธิที่จะมาบังคับประชาชนได้ ตัวอย่างเช่น ถ้ารัฐมาบังคับให้ พลเมืองนับถือศาสนาตามรัฐ หรือรัฐมาออกกฎหมายไม่ให้เพศเดียวกันแต่งงาน หรือแม้แต่ ถ้ารัฐออกกฎหมายเกณฑ์แรงงาน พลเมืองก็ไม่จําเป็นต้องเชื่อฟัง

29. Euthyphro, Apology, Crito
ตอบ 2 หน้า 60 – 61 แนวคิดของโสเครตีส (Socrates) ที่อธิบายว่า “เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” นั้น แสดงออกมาผ่านบทสนทนาเรื่อง “ยูไธโฟร” (Euthyphro) “อโพโลจี” (Apology) และ “ไครโต” (Crito) ที่เขียนโดยเพลโต (Plato) ทั้งนี้โสเครตีสไม่เคยเขียนหนังสือทิ้งไว้ให้ศึกษาเลย แต่เราสามารถทราบแนวคิดและ เรื่องราวต่าง ๆ ของโสเครตีสได้โดยผ่านงานเขียนของเพลโตผู้เป็นลูกศิษย์ของเขานั่นเอง

30.Martin Luther King, Jr.
ตอบ 5 หน้า 78 – 79 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เห็นว่า เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา โดยแนวคิดนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อมหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) ผู้นําของอินเดียในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King, Jr.) ผู้นําทางการเมืองที่เรียกร้องความเท่าเทียมกันของ พลเมืองในอเมริกา โดยแนวคิดของธอโรในปัจจุบันถูกเรียกว่า “อารยะขัดขืน” หรือ “การขัดขืน ในฐานะที่เป็นพลเมือง” (Civil Disobedience)

ตั้งแต่ข้อ 31. – 35. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism

31. การปกครองที่มีการรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญ
ตอบ 1 หน้า 85, (คําบรรยาย) การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democracy) หรือเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) เป็นการปกครองที่ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยจะเป็นผู้เลือกผู้แทน ไปทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองแทนตน และประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกอํานาจคืนจากผู้ปกครองได้ หากผู้ปกครองไม่ทําตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน นอกจากนี้ยังเป็นการปกครองที่มี การรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด รวมทั้งมีการเคารพ ในสิทธิมนุษยชน และมีการแบ่งแยกอํานาจของผู้ปกครองด้วย

32. ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง
ตอบ 3 หน้า 8, (คําบรรยาย) การปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ (Athenian Democracy) เป็นการปกครองที่ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง ซึ่งการปกครองแบบนี้พลเมืองชายเท่านั้นที่มีสิทธิทางการเมือง ส่วนเด็ก ผู้หญิง และ คนต่างชาติไม่มี เป็นการปกครองที่เหมาะกับเมืองที่มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับรัฐสมัยใหม่ที่มีขนาดใหญ่และมีพลเมืองจํานวนมาก บางคนเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)

33. ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34. ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อในเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่โดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง
ในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในระบบทุนนิยมนี้จะยินยอมให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property) รวมทั้งมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกบริโภคสินค้า และบริการได้อย่างเต็มที่

35. การปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้นจะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเข้ามาแทรกแซง
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สังคมนิยม (Socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมการดําเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจเองทั้งหมด เพราะมองว่าการปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้น จะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมในการกระจายผลผลิตแก่ประชาชน

ตั้งแต่ข้อ 36 – 45. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Jean Jacques Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม

36. นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษที่เสนอเรื่องสิทธิในการปฏิวัติ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

37. นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวาเชื่อว่าอํานาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวา ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) โดยมีความเชื่อว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน หรืออํานาจจะต้องอยู่ที่ประชาชน โดยรุสโซได้อธิบายเรื่องนี้ ผ่านแนวคิดเรื่องเจตจํานงทั่วไป (General Will) ที่สนับสนุนให้ประชาชนทุก ๆ คนมีอํานาจ ในการปกครองโดยตรงผ่านการออกเจตจํานงทั่วไป ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจของปัจเจกบุคคลที่คํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์สาธารณะในฐานะที่ประชาชนแต่ละคนนั้น เป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพทั้งหมดของสังคมที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้

38. นักปรัชญาการเมืองที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจออกจากกันเพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ
ตอบ 2 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส ที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และ อํานาจตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ใน หนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De l’esprit des lois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

39. คําประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา
ตอบ 4 หน้า 77 – 78 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) มาใช้ในการประกาศอิสรภาพ ของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 ซึ่งมีข้อความดังนี้ “เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้า ผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเหล่านั้นให้มั่นคง รัฐบาลจึงถูก สถาปนาขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยได้อํานาจที่ยุติธรรมอันเนื่องมาจากความยินยอมของผู้ที่อยู่ใต้ การปกครอง…. แต่เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลง ภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียวแล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะ ล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา”

40. เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดา สิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิม อย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลงภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียว แล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่ สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

42. ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้
ตอบ 5 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบ ตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไป และก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

43. นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสที่เสนอว่าประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่น แต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส เสนอว่า ประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่น แต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง

44. มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ภายใต้พันธนาการ
ตอบ 1 หน้า 137, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ใน บรรทัดแรกของหนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน (Man is born free but everywhere is in chains)… การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจนเป็นการละทิ้งสิทธิและ หน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมดออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

45. เสรีภาพคือสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์
ตอบ 1 หน้า 136 – 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เสนอว่า ธรรมชาตินั้น กําหนดให้สัตว์ทุกตัวดํารงชีวิตหรือทําอะไรก็แล้วแต่เป็นไปตามแรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณและแม้ว่ามนุษย์นั้นจะได้รับแรงกระตุ้นดังกล่าวเหมือนกับสัตว์อื่น ๆ แต่มนุษย์ก็มีเสรีภาพ ในการเลือกที่จะทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce or Resist) มนุษย์เป็น สัตว์ประเภทเดียวที่มีเสรีภาพนี้ และเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ หรือทําให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ โดยรุสโซเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “Quality of Free Agency”

ตั้งแต่ข้อ 46. – 50. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Niccolo Machiavelli

46. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “ผู้ปกครองเป็นใครก็ได้ ขอให้รักษาอํานาจรัฐและอํานาจผู้ปกครองไว้ได้ก็พอ”
ตอบ 5 หน้า 128, 130, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ผู้เขียนหนังสือ เรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) กล่าวว่า ผู้ปกครองที่ดีคือผู้ปกครองที่สามารถรักษารัฐ รักษาอํานาจ หรือคงสถานะในการเป็นผู้ปกครองไว้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองตามความคิดของ แมคคิอาเวลลีจึงเป็นใครก็ได้ แต่ขอให้รักษาอํานาจรัฐและอํานาจผู้ปกครองไว้ได้ก็พอ

47. นักปรัชญาการเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่
ตอบ 1 หน้า 124, 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่ วิจารณ์เสรีภาพที่หมายถึงการทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจและไม่ถูกพันธนาการด้วยอะไรเลยนั้น เป็นเสรีภาพที่ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพของคนบ้า โจรลักทรัพย์ และพวกฆาตกร ซึ่งตามความคิด ของเบิร์กมองว่า เสรีภาพที่อยู่ภายในสังคมภายใต้กฎเกณฑ์หรือระเบียบของสังคมคือเสรีภาพ ที่แท้จริงต่างหาก หรือกล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ เสรีภาพที่ดีต้องเป็นเสรีภาพที่ผ่านการจัดระเบียบ ของสังคม ผ่านการลองผิดลองถูก หรือผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานจนสถาปนาให้กลาย มาเป็นบรรทัดฐานหรือกฎหมายต่างหากคือเสรีภาพที่แท้จริง ดังนั้นเสรีภาพตามความคิด ของเบิร์กจึงเป็นเสรีภาพที่สังคมหรือรัฐเป็นผู้กําหนดขึ้นมา ไม่ใช่เสรีภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่กําเนิดหรือเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้ตามแบบความคิดของพวกเสรีนิยม

48. นักปรัชญาการเมืองคนใดกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ข้าพเจ้ามองประโยชน์สุขว่าเป็นสิ่งดึงดูดใจอันสูงสุด ในปัญหาทางจริยธรรมทั้งหมด แต่กระนั้นมันต้องเป็นประโยชน์สุขในความหมายที่กว้างที่สุด ซึ่งมีพื้นฐาน
อยู่บนผลประโยชน์อันถาวรของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ก้าวหน้า….”

ตอบ 2 หน้า 149 – 150 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ต้องการให้สังคมนั้นมีเสรีภาพ กว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด เพราะเขามองว่าการที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวางมันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งมิลล์ได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้ามองประโยชน์สุขว่า เป็นสิ่งดึงดูดใจอันสูงสุดในปัญหาทางจริยธรรมทั้งหมด แต่กระนั้นมันต้องเป็นประโยชน์สุขในความหมายที่กว้างที่สุด ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนผลประโยชน์อันถาวรของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ก้าวหน้า…. ถ้ามนุษยชาติทั้งมวล ยกเว้นคนเพียงคนเดียวจะมีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน และคน ๆ เดียวนั้นเองกลับมีความเห็นไปในทางตรงกันข้าม ถึงกระนั้นมนุษยชาติก็ไม่มีเหตุผล อันสมควรที่จะปิดปากคน ๆ นั้น… การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิด ก็คือ การสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปาก ไม่ให้โต้เถียงกันทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจ ยอมให้การประณามคัดค้านความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”

49. นักปรัชญาการเมืองคนใดกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิดก็คือการสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปากไม่ให้ โต้เถียงกันทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจยอมให้การประณาม คัดค้านความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

50. นักปรัชญาการเมืองคนใดกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมา อย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่าง เป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น…. และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติ ของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”
ตอบ 2 หน้า 152 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอว่า สังคมควรมีการอนุญาตให้เสรีภาพ ต่อมนุษย์ทุกคนอย่างกว้างขวางที่สุด แต่กระนั้นการให้เสรีภาพตามความคิดของมิลล์ใช่ว่าจะ ไม่มีข้อจํากัด โดยมิลล์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปราย อย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไร ทํานองนั้น และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”

51.ลองวาดภาพเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือทั้งหลายหรือบนเรือสักลําหนึ่ง วาดกัปตันเรือให้สูงและแข็งแรงกว่า ใคร ๆ ทุกคนบนเรือ แต่หูอื้อตาฟาง ตลอดจนมีความรู้ในการเดินเรือพอ ๆ กับหูและตาของเขา และต่อมาขอให้วาดภาพลูกเรือที่ทะเลาะวิวาทกันเพื่อแย่งกันถือหางเสือ ต่างคนก็อ้างว่าตนมีสิทธิจะถือหางเสือเรือได้ แม้ไม่เคยจะเรียนวิชาดังกล่าว และไม่อาจบอกได้ว่าใครเป็นครูสอนพวกเขา และเคยเรียนมาตั้งแต่เมื่อไร… สถานการณ์เปรียบเทียบรัฐเหมือนกับเรือ (Ship of State) ข้อใดถือเป็นทางแก้ไขและตัดสินว่าใครควรจะ เป็นผู้ปกครองเรือ (รัฐ)
(1) บุคคลที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว
(2) บุคคลที่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
(3) บุคคลที่มาจากประชาชน
(4) บุคคลที่ประชาชนเชื่อฟัง
(5) ใครก็ได้ที่สามารถรักษาเรือ (รัฐ) ไว้ได้
ตอบ 1 หน้า 87 – 88, (คําบรรยาย) จากอุปมาดังกล่าว เพลโต (Plato) มองว่า รัฐก็เหมือนกับเรือ (Ship of State) ซึ่งการเดินเรือหรือการนํารัฐให้เดินหน้าหรือไปในทิศทางที่ต้องการได้นั้น จําเป็นที่จะต้องมีผู้ควบคุมเรือหรือผู้ควบคุมรัฐ ดังนั้นคนที่ควรทําหน้าที่เป็นคนเดินเรือหรือกัปตันเรือก็ควรที่จะต้องมีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับการเดินเรือ ไม่ใช่กะลาสีเรือหรือคนงานบนเรือจะสามารถมาทําหน้าที่เดินเรือได้ ซึ่งก็เหมือนกับการปกครองรัฐที่ควรนําคนที่มีความรู้ความสามารถหรือคนที่ถูกฝึกมาอย่างเฉพาะทางในเรื่องการปกครองรัฐมาเป็นผู้ปกครอง ดังนั้นตามความคิดของเพลโตผู้ปกครองจึงควรเป็นบุคคลที่ได้รับการคัดสรรมาแล้วว่ามีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับการเป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้

52. รัฐที่กําเนิดขึ้นมาจากความบังเอิญตามปรัชญาการเมืองของฌอง ฌากส์ รุสโซ เป็นรัฐที่เลวและต้องก่อตั้ง สังคมใหม่ด้วยการทําสัญญาประชาคมเพราะเหตุใด
(1) รัฐมีรูปแบบการปกครองแบบทรราช
(2) รัฐมีรูปแบบการปกครองแบบคณาธิปไตย
(3) รัฐมีรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย
(4) รัฐมีรูปแบบการปกครองแบบชนชั้นน่า
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 94, 140, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) อธิบายว่า รัฐตาม ความคิดของเขาเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญและเป็นรัฐที่เลว ซึ่งจําเป็นต้องก่อตั้งสังคมใหม่ด้วย การทําสัญญาประชาคม เพราะรัฐดังกล่าวมีรูปแบบการปกครองแบบชนชั้นนํา ดังนั้นประชาชน ต้องยกเลิกรัฐเดิมและมาตกลงกันว่าจะรวมตัวภายใต้หลักการใหม่คือ ทุกคนยอมยกเสรีภาพ ตามธรรมชาติทั้งหมดที่แต่ละคนมีให้กับการรวมตัวแบบใหม่ ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เสรีภาพแบบใหม่ ที่เป็นเสรีภาพในสังคมขึ้นมาแทน ซึ่งเสรีภาพที่ว่านี้ก็คือ การที่คน ๆ หนึ่งได้รับการปกป้องชีวิต และทรัพย์สินของเขา หรือการมีรัฐบาลที่ปกป้องทรัพย์สินของประชาชนนั่นเอง

53. ข้อใดคือเกณฑ์ของอริสโตเติลที่ใช้สําหรับการจําแนกรูปแบบการปกครอง
(1) คุณธรรมของพลเมืองในรัฐ
(2) การตัดสินโดยประชาชนในรัฐ
(3) จํานวนผู้ใช้อํานาจกับเป้าหมาย
(4) ธรรมชาติของผู้ปกครอง
(5) คุณธรรมของผู้ปกครอง
ตอบ 3หน้า 103 – 104 อริสโตเติล (Aristotle) ได้จําแนกรูปแบบการปกครองโดยใช้เกณฑ์ 2 ประการ คือ
1. จํานวนของผู้ใช้อํานาจทางการเมืองการปกครอง
2. เป้าหมายของการใช้อํานาจ ในการปกครอง

54. ข้อใดเป็นทางแก้ไขปัญหาเพื่อยุติวงจรหรือวัฏจักรรูปแบบการปกครอง
(1) ยึดอํานาจรัฐ
(2) คัดสรรบุคคลด้วยระบบการศึกษา
(3) ทําสัญญาประชาคมใหม่
(4) แสวงหาเจตจํานงทั่วไป
(5) แสวงหารูปแบบปกครองแบบผสม
ตอบ 5 หน้า 110 – 112, (คําบรรยาย) ซิเซโร (Cicero) รัฐบุรุษชาวโรมัน มองว่า รูปแบบการปกครอง ของรัฐต่าง ๆ มีการหมุนเวียนเป็นวงจรหรือวัฏจักร (Cycle) ดังนั้นเพื่อที่จะยุติวงจรดังกล่าวนี้ รัฐจะต้องเอารูปแบบการเมืองทั้งสามแบบมาผสมกัน อันได้แก่ รูปแบบการปกครองคนเดียวหรือราชาธิปไตย (Monarchy) การปกครองโดยกลุ่มหรืออภิชนาธิปไตย (Aristocracy) และ การปกครองโดยคนจํานวนมากหรือประชาธิปไตย (Democracy) เพื่อดึงส่วนที่แต่ละอย่างออกมา และสร้างเป็นรูปแบบการปกครองใหม่ที่เรียกว่า “การปกครองแบบผสม” (Mixed Constitution/ Mixed Government) เพราะเขาเชื่อว่าการปกครองแบบผสมจะสร้างความเจริญรุ่งเรืองและ ความมั่นคงทางการเมืองให้กับรัฐได้

55.ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของนักการเมือง คํากล่าวข้างต้นเป็นของนักปรัชญาการเมืองท่านใด
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) คาร์ล มาร์กซ์
(3) โจเซฟ ชุมปีเตอร์
(4) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(5) โจเซฟ สตาลิน
ตอบ 3 หน้า 124 – 125 โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักปรัชญาการเมืองชาวออสเตรีย เป็นผู้เขียนงานเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้เสนอทฤษฎีประชาธิปไตยว่าเป็นการปกครองด้วยตัวแทนที่ถูกเลือกเข้ามา ไม่ใช่การปกครองของประชาชน การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเพียงแค่กลไกในการให้ผู้นําทางการเมือง มาแข่งขันเพื่อเข้าไปใช้อํานาจเท่านั้น ดังที่เขากล่าวว่า “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความ และสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษร ของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น… ดังนั้นเองในด้านหนึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของ นักการเมือง (Democracy is the Rule of the Politician)” ทั้งนี้วิธีคิดดังกล่าวภายหลัง ถูกเรียกว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบชุมปีเตอร์” (Schumpeterian Democracy)

56. ข้อใดเป็นคําถามเชิงปทัสถาน (Normative)
(1) ใครควรจะเป็นผู้ปกครอง
(2) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(3) รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร
(4) เราควรกระจายทรัพยากรในสังคมอย่างไร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) คําถามเชิงปทัสถาน (Normative) เป็นคําถามที่นักปรัชญาการเมืองตั้งขึ้นมา เพื่อหาคําตอบถึงสิ่งที่ควรจะเป็นหรือสิ่งที่ควรจะทําในทางการเมือง เช่น ทําไมเราต้องอยู่ใน สังคมการเมือง ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย ใครควรจะเป็นผู้ปกครอง รูปแบบการปกครอง ที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร เรามีเสรีภาพหรือไม่ เราควรจะกระจายทรัพย์สินหรือทรัพยากรในสังคม อย่างไร เป็นต้น

57. ประชาชนจะตัดสินทุกอย่างตามเสียงข้างมาก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสิทธิและทรัพย์สินของเอกชน และไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของผลประโยชน์ส่วนรวมเพราะการให้ประชาชนดําเนินการในทุกเรื่องจะเกิดความวุ่นวาย หรือบางครั้งประชาชนขาดวาทศิลป์หรือเงียบเฉย ประชาชนไม่สามารถคิดถึงประโยชน์ของ คนส่วนใหญ่ได้ จึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ผู้แทน” คําถามคือปรัชญาการเมืองดังกล่าวเป็นของ นักปรัชญาท่านใด
(1) เจมส์ เมดิสัน
(2) เจเรมี เบนแม
(3) โจเซฟ ชุมปีเตอร์
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ไม่เห็นด้วยที่จะให้ประชาชนเป็นผู้ออกกฎหมาย เพราะประชาชนจะตัดสินทุกอย่างตามเสียงข้างมาก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสิทธิและทรัพย์สินของเอกชน และไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของผลประโยชน์ส่วนรวม การให้ประชาชนดําเนินการในทุกเรื่องจะเกิดความวุ่นวาย หรือบางครั้งประชาชนขาดวาทศิลป์หรือเงียบเฉย ประชาชนไม่สามารถคิดถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ได้ จึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ผู้แทน”

58. นักปรัชญาการเมืองท่านใดเสนอว่าเสรีภาพต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(3) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(4) เจเรมี เบนแธม
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 หน้า 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มองว่า เสรีภาพไม่ใช่เรื่องของการที่มนุษ จะกระทําอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็คง ไม่ต่างกับพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่อยากจะฆ่าใครก็ได้ ทําอะไรก็ได้ ซึ่งมิลล์มองว่าการจะทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแบบพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมไม่ควรที่จะเรียกว่ามันคือเสรีภาพ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นพฤติกรรมแบบเผด็จการของแต่ละคนที่กระทําต่อกัน ดังนั้นเองมิลล์จึงเสนอว่า เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย

59. นักปรัชญาการเมืองท่านใดเสนอว่าเสรีภาพเป็นแค่เครื่องมือที่ทําให้มนุษย์พัฒนาไปได้
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(3) ฌอง ปอล ซาร์ต
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) เจเรมี เบนแม
ตอบ 2 หน้า 147 – 149, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอว่า รัฐหรือสังคม จําต้องสถาปนาเสรีภาพให้เกิดขึ้นหรืออนุญาตให้มีอย่างกว้างขวางในสังคม เพราะเสรีภาพนั้น เป็นเครื่องมือที่จะทําให้มนุษย์สามารถพัฒนาตัวเองออกไปได้ ดังนั้นเสรีภาพจึงเป็นสิ่งสําคัญ และรัฐก็ไม่ควรที่จะมาละเมิดหรือพรากเสรีภาพของคนใดคนหนึ่ง ตัวอย่างของการแสดงออก ซึ่งเสรีภาพที่สังคมควรอนุญาตให้มีและให้การสนับสนุน เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น

60. แนวคิดใดของฌอง ฌากส์ รุสโซที่ทําให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์และเป็นศักยภาพที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด
(1) ทรัพย์สิน
(2) ความรับผิดชอบ
(3) การเลือกที่จะทําหรือไม่ทําตาม
(4) ความปรารถนา
(5) ความเสมอภาค
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

61. วิธีการทดลองทางความคิด “ม่านแห่งความไม่รู้” (Veit of Ignorance) ของจอห์น รอลส์ เสนอให้เรากระจายทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือใครในสังคมการเมือง
(1) กลุ่มคนทุกกลุ่มในสังคม
(2) กลุ่มคนด้อยโอกาสที่สุดในสังคม
(3) กลุ่มคนที่มีความสามารถมากที่สุด
(4) กลุ่มคนที่มีทรัพย์สิน
(5) กลุ่มคนที่ใช้แรงงาน
ตอบ 2 หน้า 179 – 180, 186 – 187 จอห์น รอลส์ (John Rawts) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์ หนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด และได้วาง เงื่อนไขภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veil of Ignorance) ซึ่งผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบว่า ตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ ที่ เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าถ้าคนตัดสินจากสภาวะดังกล่าวคนจะเลือกเอาหลักการแบบรัฐสวัสดิการที่รัฐจะต้องเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสในสังคม เพราะเป็นวิธีการ ที่ปลอดภัยที่สุดสําหรับผู้ตัดสินใจเมื่อเทียบกับหลักการความยุติธรรมอื่น ๆ

62. ข้อใดจัดว่าเป็นการแสดงออกซึ่งเสรีภาพที่สังคมควรอนุญาตให้มีและให้การสนับสนุนตามปรัชญาการเมืองของจอห์น สจ๊วต มิลล์
(1) เสรีภาพในการกระทําอะไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ
(2) เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
(3) เสรีภาพในการมีทรัพย์สิน
(4) เสรีภาพที่ผ่านการจัดระเบียบของสังคม
(5) เสรีภาพที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

63. นักปรัชญาการเมืองท่านใดวิจารณ์แนวคิดเรื่องเสรีภาพที่หมายถึง การกระทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจและไม่ถูกพันธนาการด้วยอะไรเลย
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(3) ฌอง ปอล ซาร์ต
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) เจเรมี เบนแธม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

64. สถานการณ์สมมติใดที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ทุกคนทําสัญญาประชาคมกันของฌอง ฌากส์ รุสโซ
(1) รัฐที่ผู้ปกครองมีอํานาจเด็ดขาด
(2) รัฐบาลที่มีอํานาจจํากัด
(3) รัฐบาลที่จัดสวัสดิการให้คนยากไร้
(4) รัฐบาลที่ปกครองตามเจตจํานงทั่วไป
(5) รัฐบาลที่ปกป้องทรัพย์สินของประชาชน
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

65. นักปรัชญาการเมืองท่านใดที่เสนอให้จํากัดอํานาจรัฐอยู่ในขอบเขตเฉพาะการดูแลประชาชนมิให้ละเมิดกติกา การโจรกรรม และการใช้กําลังระหว่างกัน
(1) โรเบิร์ต โนซิค
(2) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(3) โทมัส ฮอบส์
(4) ฌอง ปอล ซาร์ต
(5) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
ตอบ 1 หน้า 188, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” ในปี ค.ศ. 1974 โดยโนซิคได้แถลงจุดประสงค์ในหนังสือว่าเขาต้องการ จะหักล้างข้ออ้างที่เสนอโดยจอห์น รอลล์ที่ว่า รัฐขนาดใหญ่เป็นรัฐที่ชอบธรรมได้ก็เพราะว่า ความใหญ่โตของรัฐจะมีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ซึ่งโนซิคไม่เห็นด้วย และเห็นว่ารัฐขนาดเล็ก (Minimal State) ต่างหากที่เป็นรัฐที่ชอบธรรม ซึ่งรัฐขนาดเล็กตาม ความคิดของโนซิคนั้นเป็นรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนในระดับน้อยที่สุด ไม่ว่าจะในทางเศรษฐกิจหรือในทางการเมือง โดยรัฐจะทําหน้าที่เป็นเพียงคนเฝ้ายามคอยดูแลไม่ให้ ประชาชนละเมิดกติกาหรือข้อตกลงพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันเท่านั้น เช่น ป้องกันการฉ้อฉลการโจรกรรม หรือการใช้กําลังระหว่างกัน เป็นต้น

66. ข้อใดคือเหตุผลของเพลโตที่เสนอว่าผู้ปกครองควรจะเป็นบุคคลที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว
(1) ผู้ปกครองทําเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
(2) ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่สามารถบรรลุเป้าหมายของการเป็นมนุษย์
(3) ผู้ปกครองมีธรรมชาติของการเป็นผู้ปกครอง
(4) ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่สามารถรักษารัฐเอาไว้ได้
(5) ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่ทําตามเจตจํานงของประชาชน
ตอบ 3 หน้า 85, 87, 132 เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Republic” ว่า ผู้ปกครองนั้นควรเป็นบุคคลที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้ ซึ่งตามความคิดของเพลโตนั้นมองว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดที่ถูกกําหนดมาจากธรรมชาติแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงผู้ปกครองด้วยเพราะการปกครองก็ถือว่าเป็นทักษะหนึ่งที่เฉพาะทางไม่ต่างกับช่าง หมอ หรือการงานหน้าที่อื่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ควรที่จะเป็นใครก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มี ธรรมชาติเป็นผู้ปกครอง และมีทักษะ ตลอดจนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

67. ข้อใดเป็นคุณธรรมสําหรับผู้ปกครองตามปรัชญาการเมืองของแมคคอาเวลลี
(1) ความสุขุมรอบคอบ
(2) ความมีไหวพริบ
(3) ทําตนเป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก
(4) ทําดีละเว้นชั่ว หรือทําชั่วหากรักษารัฐไว้ได้
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 130 – 132, (คําบรรยาย) ตามปรัชญาการเมืองของนิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) คุณธรรมสําหรับผู้ปกครอง (Virtue) หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสม สําหรับผู้ปกครองที่จะรักษารัฐไว้ได้ ซึ่งได้แก่
1. ทําดีละเว้นชั่ว หรือทําชั่วหากรักษารัฐไว้ได้
2. ทําตนเป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก
3. ความสุขุมรอบคอบ (Prudenzia/Prudence) 4. ความมีไหวพริบ (Astuzia/Astuteness)

68. ข้อใดเป็นทางแก้ไขให้กรรมกรสามารถหลุดพ้นจากความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ขูดรีดมูลค่าส่วนเกิน โดยคาร์ล มาร์กซ์
(1) การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
(2) การจัดสวัสดิการโดยรัฐบาล
(3) การปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ
(4) การจัดตั้งสหภาพแรงงาน
(5) การออกกฎหมายเพื่อควบคุมกิจการของนายทุนโดยรัฐบาล
ตอบ 3 หน้า 174 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้เสนอแนวคิดการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพเพื่อให้ กรรมกรหลุดพ้นจากความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ขูดรีดมูลค่าส่วนเกิน โดยการปฏิวัติที่ว่าก็คือ พวกกรรมกรจะต้องเข้ายึดครองปัจจัยการผลิตและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็นรัฐของชนชั้น แรงงานขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการผลิตอันกดขี่ที่มีมาในระบบทุนนิยม โดยแนวคิดของมาร์กซ์นี้ปรากฏอยู่ใน “แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848

69. นักปรัชญาการเมืองท่านใดเสนอว่า การกระจายทรัพยากรควรจะกระจายอย่างเสรี
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น ล็อค
(3) ฌอง ปอล ซาร์ต
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) เจเรมี เป็นแฮม
ตอบ 2 หน้า 162 จอห์น ล็อค (John Locke) เสนอว่า การกระจายทรัพย์สินหรือทรัพยากรในสังคม ควรจะกระจายอย่างเสรี คือ ใครทํา ใครหา ใครลงแรง คนนั้นก็ควรที่จะเป็นผู้ครอบครองทรัพยากร

70. แนวคิดใดของคาร์ล มาร์กซ์ที่ใช้วิจารณ์การกระจายทรัพย์สินอย่างเสรี
(1) ความสัมพันธ์ทางการเมือง
(2) ความสัมพันธ์ทุนทางสังคม
(3) ความสัมพันธ์ทางการผลิต
(4) ปัจจัยการผลิต
(5) ปัจจัยการสะสมทุน
ตอบ 3 หน้า 170 – 171, (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้วิจารณ์ระบบการกระจาย ทรัพยากรหรือทรัพย์สินอย่างเสรีว่าทําให้ชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือกรรมาชีพมีสภาพที่ย่ําแย่ อย่างมาก ซึ่งสภาพดังกล่าวเป็นผลมาจากรูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิตระหว่างชนชั้นนายทุนและกรรมกรไม่ความเป็นธรรมในการกระจายทรัพยากร นั่นก็เพราะเครื่องมือที่ใช้ในการผลิต สินค้าไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องจักร ที่ดิน สถานประกอบการ ฯลฯ มีนายทุนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ส่วนกรรมกรนั้นมีเพียงแรงงานที่ติดตัวมาของแต่ละคนเท่านั้นที่ใช้ในการผลิต ด้วยความสัมพันธ์ในการผลิตเช่นนี้เอง นายทุนได้จ่ายค่าแรงหรือค่าจ้างให้กรรมกรเพื่อแลกกับแรงงานของพวกเขา และนายทุนก็ได้กําไรจากการผลิตสินค้าของแรงงาน โดย “กําไร” นี้เอง ที่เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เพราะนายทุนได้ไปขูดรีดเอา “มูลค่าส่วนเกิน” (Surplus Value)มาจากกรรมกรที่ใช้แรงงานในการผลิตสินค้า

71. ข้อใดคือปัจจัยการผลิตของกรรมกรตามปรัชญาการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์
(1) ที่ดิน
(2) เครื่องจักร
(3) สถานประกอบการ
(4) แรงงาน
(5) ค่าจ้าง
ตอบ 4 หน้า 170, (คําบรรยาย) ตามปรัชญาการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นั้น ปัจจัย การผลิตของนายทุน ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน วัสดุ เครื่องมือ เครื่องจักร สถานประกอบการ เป็นต้น ส่วนปัจจัยการผลิตของกรรมกร ได้แก่ แรงงานที่ติดตัวมาของกรรมกรแต่ละคน

72.“การเอาส่วนใดส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เป็นของส่วนรวม (สิ่งที่เป็นอยู่อย่างสภาพธรรมชาติ) และนำมัน ออกมาจากสภาวะธรรมชาติ นั่นก็คือ การเริ่มต้นที่จะกลายมาเป็นทรัพย์สิน…” ข้อความดังกล่าว เป็นปรัชญาการเมืองของนักคิดท่านใด
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น ล็อค
(3) ฌอง ปอล ซาร์ต
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) เจเรมี เป็นแรม
ตอบ 2 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และ คนอื่น ๆ ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “การเอาส่วนใดส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ เป็นของส่วนรวม (สิ่งที่เป็นอยู่อย่างสภาพธรรมชาติ) และนํามันออกมาจากสภาวะธรรมชาติ นั่นก็คือ การเริ่มต้นที่จะกลายมาเป็นทรัพย์สิน… สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงานเป็นของ ข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม…”

73. ข้อใดคือผลเสียที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังจากการปล่อยให้เกิดการกระจายทรัพยากรอย่างเสรี
(1) ความยากจน
(2) ปัญหาเรื่องการกระจายรายได้
(3) ปัญหาคุณภาพชีวิต
(4) ค่าแรงขั้นต่ําไม่พอต่อการดํารงชีวิต
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผลเสียที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังจากการปล่อยให้เกิดการกระจายทรัพยากร อย่างเสรี ได้แก่ ปัญหาความยากจน ปัญหาเรื่องการกระจายรายได้ ปัญหาคุณภาพชีวิต ปัญหาค่าแรงขั้นต่ําไม่พอต่อการดํารงชีวิต เป็นต้น

74. หลักความยุติธรรมในข้อใดตรงกับหลักการเรื่องรัฐเล็ก (Minimal State) ของโรเบิร์ต โนซิค
(1) หลักความยุติธรรมในการเก็บภาษี
(2) หลักความยุติธรรมในการจัดสรรความแตกต่าง
(3) หลักความยุติธรรมในการจัดสวัสดิการ
(4) หลักความยุติธรรมในการครอบครองตั้งต้น
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 189, (คําบรรยาย) หลักความยุติธรรมที่ตรงกับหลักการเรื่องรัฐเล็ก (Minimal State) ของโรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) มี 2 ประการ คือ
1. หลักความยุติธรรมในการครอบครองตั้งต้น (Principle of Justice in Entitlement)
2. หลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน (Principle of Justice in Transfer)

75. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับสภาวะธรรมชาติของรุสโซมากที่สุด
(1) มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว
(2) มนุษย์โหดร้ายป่าเถื่อน
(3) มนุษย์มีจิตใจโอบอ้อมอารี
(4) มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคม
(5) มนุษย์รักความยุติธรรมและเสรีภาพ
ตอบ 1 หน้า 50 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มองว่า ในสภาวะธรรมชาติ มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใคร ไม่มีใครสนใจใครหรือเปรียบเทียบระหว่างกัน สิ่งนี้เองที่ทําให้มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน ไม่ใช่ว่ามีความเหมือนกันในความเป็นมนุษย์ แต่เพราะว่าทุก ๆ คนต่างก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต่างก็เป็นนายตัวเอง มีอิสระ ต่อกัน และมีเสรีภาพอย่างเต็มที่

76. นายพลฟรังโก้ (Francisco Franco) มีคําสั่งห้ามนักเรียนศึกษาปรัชญาการเมืองของนักคิดท่านใด
(1) โรเบิร์ต โนซิค
(2) จอห์น รอลส์
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) ฌอง ปอล ซาร์ต
(5) โจเซฟ ชุมปีเตอร์
ตอบ 3 หน้า 147 นายพลฟรังโก้ (Francisco Franco) มีคําสั่งห้ามนักเรียนศึกษาปรัชญาการเมือง ของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ซึ่งจากงานเขียนของโจนาธาน วูล์ฟ (Jonathan Wolff) ชี้ให้เห็นว่า นายพลฟรังโก้ไม่ได้กลัวความคิดของนักคิดเสรีนิยมคนอื่น หรือแม้แต่ ความคิดอันรุนแรงของมาร์กซ์เลย แต่กลับกลัวความคิดของมิลล์ เนื่องจากพลังของมิลล์ในการสนับสนุนเรื่องเสรีภาพนั้นมีความชัดเจนและยากที่จะโต้แย้งได้

77. การกําหนดคุณสมบัติการเลือกตั้งของบุคคลว่าต้องมีอายุขั้นต่ําจึงมีสิทธิในการเลือกตั้งขัดแย้งกับปรัชญาการเมืองข้อใด
(1) เสรีภาพ คือ สิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กําเนิด
(2) เสรีภาพเป็นสิ่งที่รัฐต้องให้การสนับสนุน
(3) เสรีภาพเป็นเครื่องมือทําให้มนุษย์พัฒนาไปได้
(4) เสรีภาพมีขอบเขตภายใต้กฎหมาย
(5) เสรีภาพเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 148, (คําบรรยาย) การกําหนดคุณสมบัติการเลือกตั้งของบุคคลว่าต้องมีอายุขั้นต่ํา จึงมีสิทธิในการเลือกตั้งนั้นขัดแย้งกับปรัชญาการเมืองที่ว่า “เสรีภาพ คือ สิ่งที่ติดตัวมนุษย์ มาแต่กําเนิด” ตัวอย่างนี้สอดคล้องกับแนวคิดของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ถ้ามนุษย์ทุกคนนั้นมีเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่กําเนิดมันก็ไม่จําเป็นจะต้องไปห้าม หรือจํากัดพฤติกรรมของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในการทําเรื่องใดเรื่องหนึ่งทั้งสิ้น เพราะถ้าเชื่อว่าคนทุกคนมีเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด เขาต้องมีเสรีภาพในการเลือกผู้ปกครองหรือ ทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา ใครก็ไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามหรือพรากเสรีภาพนั้นไปได้

78. รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยตัวแทนของจอห์น สจ๊วต มิลล์ พัฒนามาจากหลักจริยศาสตร์ข้อใด
(1) อัตถิภาวะนิยม
(2) อรรถประโยชน์นิยม
(3) อัตตาณัติ
(4) อิสรเสรีนิยม
(5) อัตสุขนิยม
ตอบ 2 หน้า 116 – 117 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mitt) ได้เสนอรูปแบบการปกครอง โดยผู้แทน (Representative Government) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยแบบ ตัวแทน” (Representative Democracy) เพราะมองว่า การให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ในการปกครองนั้นเป็นวิธีการเดียวที่จะทําให้เกิดความสุขแก่คนจํานวนมากที่สุด โดยแนวคิด การปกครองประชาธิปไตยแบบตัวแทนของมิลล์นี้พัฒนามาจากหลักอรรถประโยชน์นิยม (Utilitarianism) อันเป็นหลักการที่คํานึงถึง “ความสุข” “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” เป็นหลัก หรือยึดถือหลักการพื้นฐานที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการ ความสุขที่มากที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” นั่นเอง

79. ข้อใดกล่าวถูกต้องในเรื่องข้อเสนอแนะวิธีการปกครอง
(1) ความสุขเป็นสิ่งเดียวที่ประชาชนพึงปรารถนาเพราะเป็นหนทางไปสู่ความหลุดพ้น
(2) รูปแบบการปกครองที่บริสุทธิ์เท่านั้นทําให้รักษาอํานาจไว้ได้นาน
(3) เสรีภาพจะเกิดขึ้นต่อเมื่อสังคมทําสัญญาประชาคมเพื่อแสวงหาเจตจํานงเฉพาะ
(4) คนที่ควรเป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุด คือ ผู้พิทักษ์รัฐ
(5) ถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐไป แต่การทําชั่วทําให้เขารักษารัฐไว้ได้ เขาควรจะเลือกทําชั่ว
ตอบ 5 หน้า 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองนั้นไม่ควรจะ คํานึงแต่การทําดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะในกรณีที่ว่าถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐ แต่การทําชั่วสามารถทําให้เขารักษารัฐได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองก็ควรจะเลือกการทําชั่ว ดังที่เขากล่าวว่า “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่ว ต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรองทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะสัมฤทธิ์ผลในด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”

80. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองเรื่องเสรีภาพ
(1) เสรีภาพคือการทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจ
(2) เสรีภาพเป็นปัจจัยทําให้มนุษย์พัฒนา
(3) เสรีภาพมาพร้อมกับทรัพย์สิน
(4) เสรีภาพมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 144, 147 – 148, 156, (คําบรรยาย) แนวคิดของนักปรัชญาการเมืองเรื่องเสรีภาพ มีดังนี้
1. เสรีภาพคือการทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจ เป็นแนวคิดของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau)
2. เสรีภาพเป็นปัจจัยทําให้มนุษย์พัฒนา เป็นแนวคิดของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill)
3. เสรีภาพมาพร้อมกับทรัพย์สิน เป็นแนวคิดของรัสเซลล์ เคิร์ก (Russell Kirk)
4. เสรีภาพมาพร้อมกับความรับผิดชอบ เป็นแนวคิดของฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) และจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill)

81. สัญญาระหว่างบริษัทกีฬากับนักกีฬามีข้อตกลงระบุว่า นักกีฬาจะไม่ขอรับเงินเดือน แต่จะขอรับส่วนแบ่ง จากค่าตั๋วที่ผู้ชมเข้ามาดูในแต่ละการแข่งขัน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นไปตามหลักปรัชญาการเมืองข้อใด
(1) อิสรเสรีนิยม
(2) สัญญาประชาคม
(3) อรรถประโยชน์นิยม
(4) หลักความแตกต่าง
(5) ชุมชนนิยม
ตอบ 1 หน้า 190 – 191, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) เป็นนักปรัชญาการเมือง แนวเสรีนิยมหรืออิสรเสรีนิยม (Libertarianism) เห็นว่าการเสียภาษีเพื่อนําไปช่วยคนที่ยากไร้ หรือคนที่เสียโอกาสในสังคมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม โดยได้ยกตัวอย่างนักกีฬาอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อว่า วิลท์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) ซึ่งเป็นนักบาสเกตบอลที่ได้ตกลงกับสโมสรที่ สังกัดอยู่ว่า เขาจะไม่ขอรับเงินเดือน แต่จะขอรับเป็นส่วนแบ่งจากค่าตัวที่ผู้ชมเข้ามาดูในแต่ละ การแข่งขัน เป็นต้น โดยโนซิคได้ตั้งคําถามว่า วิลท์ แชมเบอร์เลน หาเงินนี้ได้มาโดยสุจริต จากน้ําพักน้ําแรงและความสามารถของตนเองแล้วรัฐบาลมีเหตุผลอันใดที่ชอบธรรมจะมายึด เงินบางส่วน หรือบังคับให้เขาเสียภาษีเพื่อนําไปช่วยคนที่ยากไร้หรือคนที่เสียโอกาสในสังคม เพราะในเมื่อเขาหาเงินมาโดยสุจริตเขาก็มีสิทธิเหนือเงินก้อนนั้นของเขาอย่างเต็มที่

82. ในสังคมทุนนิยมจะมีความสัมพันธ์ทางการผลิตที่นายทุนจะขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากกรรมกร สาเหตุใดที่กรรมกรจึงไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อรัฐบาล
(1) ค่าแรงเป็นความยุติธรรมในการถ่ายโอน
(2) รัฐจะเข้ามาจัดสวัสดิการให้กรรมกร
(3) ค่าแรงเป็นไปตามหลักการครอบครองตั้งต้น
(4) รัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นนายทุน
(5) รัฐมีบทบาทเฉพาะการบังคับใช้อํานาจเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน
ตอบ 4 หน้า 173 – 174 สาเหตุที่กรรมกรไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อรัฐบาล เพราะในสังคมทุนนิยมนั้น รัฐจะเป็นเครื่องมือของนายทุนที่ใช้ครอบงํา ปกป้อง และควบคุมให้สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดําเนินไปตามแนวทางที่นายทุนต้องการ เมื่อใดก็ตามที่รัฐจําเป็นจะต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์ ของนายทุนกับผลประโยชน์ของกลุ่มคนหรือชนชั้นอื่น ๆ ในสังคม รัฐก็จะเลือกปกป้องและ เอื้อประโยชน์ต่อชนชั้นนายทุนอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่กรรมกรเรียกร้องขอเพิ่มค่าแรง กับนายทุนด้วยการใช้วิธีนัดหยุดงานหรือกดดันในรูปแบบอื่น ๆ รัฐจะยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย เพื่อให้คนงานกลับเข้าทํางาน และถ้าคนงานยังดื้อดึงอยู่ รัฐก็จะใช้เจ้าหน้าที่ตํารวจเข้าจัดการ กับกลุ่มคนงาน หรือไม่ก็ออกกฎหมายควบคุมห้ามคนงานนัดหยุดงาน รัฐมักไม่สนใจกับการเรียกร้องค่าแรงที่ไม่พอกับค่าครองชีพของกรรมกร แต่จะสนใจว่าถ้าขึ้นค่าแรงมันจะส่งผลให้นายทุนถอนการผลิตหรือย้ายฐานการผลิตออกไปจากรัฐของตนหรือไม่

83. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับข้อเสนอของคาร์ล มาร์กซ์ เรื่องการพัฒนาสังคมสู่สังคมคอมมิวนิสต์
(1) ล้มเลิกกรรมสิทธิ์ที่ดิน
(2) ยกเลิกการสืบทอดมรดก
(3) ยึดทรัพย์สินของพวกนายทุน
(4) ถ่ายโอนโรงงานและปัจจัยการผลิตทั้งหมดเป็นของรัฐ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 174 – 176, (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เสนอว่า การพัฒนาสังคมสู่สังคม คอมมิวนิสต์ควรใช้มาตรการดังนี้
1. เลิกล้มกรรมสิทธิ์ถือครองที่ดิน และให้นําเอาค่าเช่าที่ดินทั้งหมดไปใช้เป็นรายจ่ายเพื่อจุดประสงค์ในทางสาธารณะให้หมด
2. ทําการจัดเก็บภาษีรายได้ในอัตราก้าวหน้า หรือจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมตามรายได้ในระดับที่สูง
3. ยกเลิกสิทธิในการสืบมรดกของเอกชนทั้งหมด
4. จัดการยึดทรัพย์สินของพวกนายทุนที่หลบหนีออกไปต่างประเทศรวมทั้งพวกกบฏทุกคน
5. ถ่ายโอนโรงงานและปัจจัยการผลิตทั้งหมดเป็นของรัฐ
6. จัดการให้ทุก ๆ คนทํางานตามหน้าที่โดยทั่วหน้า และรัฐจะต้องจัดการให้ทุกคนทํางาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรม ฯลฯ

84. ข้อใดเป็นสาเหตุที่ทําให้ชนชั้นกรรมาชีพต้องจัดการช่วยเหลือตนเองด้วยการโค่นล้มระบบทุนนิยมและสถาปนารัฐสังคมนิยมขึ้นมา
(1) การกดขี่ขูดรีด
(2) ปัจจัยการผลิต
(3) มูลค่าส่วนเกิน
(4) รัฐบาล
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 170 – 174, (คําบรรยาย) สาเหตุที่ทําให้ชนชั้นกรรมาชีพต้องจัดการช่วยเหลือตนเอง ด้วยการโค่นล้มระบบทุนนิยมและสถาปนารัฐสังคมนิยมขึ้นมา ได้แก่
1. การกดขี่ขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากกรรมกร
2. ค่าแรงขั้นต่ําไม่เพียงพอต่อการดํารงชีวิต
3. ปัจจัยการผลิตเป็นของชนชั้นนายทุน
4. รัฐบาลเป็นเครื่องมือของชนชั้นนายทุน

85. ตัวเลือกในข้อใดถูกต้องตามหลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน
(1) ซื้อพระคนที่ไม่ทราบในราคาถูกเพื่อไปขายต่อให้กับคนไม่รู้ในราคาแพง
(2) เก็บภาษีคนรวยไปช่วยคนจน
(3) ยกเลิกสิทธิในการครอบครองมรดกของเอกชน
(4) รับซื้อของโจร
(5) ยึดทรัพย์สินของนายทุนมาเป็นของรัฐบาล
ตอบ 1 หน้า 189 – 190 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) ได้เสนอหลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน (Principle of Just ce in Transfer) โดยอธิบายว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับสิ่งของใดก็ตามไม่ว่า จะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้งกําไรรายได้จากการ แลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็นสิ่งที่ชอบธรรม เช่น ซื้อพระ จากคนที่ไม่ทราบในราคาถูกเพื่อไปขายต่อให้กับคนไม่รู้ในราคาแพง การแลกเปลี่ยนดังกล่าว ไม่มีการบังคับและคนทั้งสองฝ่ายก็ยอมตกลงกันอย่างเสรี ดังนั้นการแลกเปลี่ยนดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ชอบธรรมแม้ว่าคนที่นําพระไปขายต่อจะสามารถทํากําไรจากความไม่รู้ของคนที่นําพระมาขายให้อย่างมหาศาลก็ตาม

86. นักปรัชญาการเมืองท่านใดที่เสนอว่า “ใครเป็นผู้ปกครองก็ได้ แต่ขอให้แค่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม”
(1) แมคคิอาเวลลี
(2) อริสโตเติล
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) ซิเซโร
(5) โพลิบิอุส
ตอบ 2หน้า 102 – 103, 109 อริสโตเติล (Aristotle) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Politics” ว่า ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ แต่ขอให้แค่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ หมายความว่า จํานวนของผู้ปกครองจะมีกี่คนก็ได้ เป็นระบอบอะไรก็ได้ ใครเป็นก็ได้ แต่ขอ เพียงอย่างเดียวคือผู้ปกครองเหล่านั้นควรจะปกครองเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นตามทัศนะ ของอริสโตเติลจึงเป็นการพิจารณาจุดมุ่งหมายของการปกครองว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร ถ้าเพื่อ ประโยชน์สาธารณะแล้ว การปกครองนั้นก็ถือว่าเป็นการปกครองที่ดี

87. มีอยู่ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยคุณแม่และลูก ๆ อีกสี่คน ในวันหยุดทุกคนตกลงกันว่าจะทําเค้กทานกัน เมื่อทําเสร็จแล้วเกิดปัญหาว่า จะแบ่งเค้กอย่างไรให้เกิดความยุติธรรมที่สุด ลูกชายคนโตเสนอว่า ควรจะ แบ่งเค้กให้เขาเพราะเขาเป็นคนที่ช่วยคุณแม่มากที่สุด แนวคิดในการแบ่งเค้กของลูกชายคนโตสอดคล้องกับ แนวคิดการกระจายทรัพยากรของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น รอลส์
(3) จอห์น ล็อค
(4) โรเบิร์ต โนซิค
(5) จอห์น สจ๊วต มิลล์
ตอบ 3 หน้า 162, (คําบรรยาย) แนวคิดในการแบ่งเค้กของลูกชายคนโตสอดคล้องกับแนวคิด การกระจายทรัพยากรของจอห์น ล็อค (John Locke) ซึ่งเสนอว่า การกระจายทรัพยากร ในสังคมนั้นควรจะเป็นไปอย่างเสรี คือ ใครทํา ใครหา ใครลงแรง คนนั้นก็ควรที่จะเป็น ผู้ครอบครองทรัพยากร

88. รูปแบบการปกครองที่เหมาะสมในกรณีของซิเซโร คือ
(1) ราชาธิปไตย
(2) อภิชนาธิปไตย
(3) ประชาธิปไตย
(4) ผสมกันระหว่างข้อ 1 และ 2
(5) ผสมกันระหว่างข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

89. งานเขียนชิ้นใดที่เชื่อว่าประชาชนไม่ควรเป็นผู้ปกครอง แต่ผู้ปกครองควรมาจากการคัดสรรอย่างดี
(1) The Republic
(2) The Prince
(3) The Politics
(4) The Social Contract
(5) Crito
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

90. ข้อใดไม่จัดเป็นปัจจัยการผลิตตามปรัชญาการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์
(1) ที่ดิน
(2) แรงงาน
(3) เครื่องจักร
(4) สถานประกอบการ
(5) กําไร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

91. “ ไม่มีทางเดินเล่นสําหรับคนทั่วไป หรือสถานหย่อนใจให้ผู้ใช้แรงงานที่มีอยู่หลายพันคนและครอบครัว ได้บรรเทาความเหนื่อยยากจากความจําเจในการทํางาน การถูกจํากัดให้อยู่ในสถานที่ที่แออัดเต็มไปด้วยฝุ่น ตั้งแต่ตีห้าจนถึงทุ่มหรือสองทุ่ม ทุก ๆ สัปดาห์โดยไม่เปลี่ยนแปลง จึงเป็นเรื่องธรรดาที่พวกเขาจะต้อง วิ่งหาร้านเหล้า ร้านเบียร์หรือโรงเต้นระบํา…” จากข้อความดังกล่าวข้อใดเป็นเงื่อนไขทําให้ชีวิตกรรมกร อยู่ในสภาพทรุดโทรม
(1) ความสัมพันธ์ทางการผลิต
(2) มูลค่าส่วนเกิน
(3) ค่าแรงขั้นต่ำ
(4) สภาวะแปลกแยก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 168, 170 – 173, (คําบรรยาย) จากข้อความดังกล่าว เงื่อนไขที่ทําให้ชีวิตกรรมกรอยู่ใน สภาพทรุดโทรมก็คือ ความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ทําให้นายทุนไปขูดรีดเอามูลค่าส่วนเกินมาจาก กรรมกรและจ่ายค่าแรงขั้นต่ําให้กรรมกรเพียงเท่าที่กรรมกรจะมีชีวิตรอดไปวัน ๆ ทําให้กรรมกร ยากจนและต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพทรุดโทรม นอกจากนี้ความสัมพันธ์ทางการผลิตยังทําให้กรรมกร เกิดสภาวะแปลกแยก (Alienation) คือ กรรมกรขาดความเคารพตนเอง ขาดความภาคภูมิใจ ต่อสิ่งที่ตนเองผลิตขึ้นมา แต่กรรมกรก็จําเป็นต้องผลิตเพื่อต้องการจะได้รับค่าจ้างมาดํารงชีวิต

92. ข้อใดจัดเป็นเสรีภาพตามปรัชญาการเมืองของฌอง ฌากส์ รุสโซ
(1) สามีเลิกสูบบุหรี่เพราะภริยาสั่งให้เลิก
(2) สามีเลิกสูบบุหรี่เพราะอยากมีชีวิตอยู่กับครอบครัว
(3) สามีไม่คาดเข็มขัดนิรภัยให้ตนเองและภริยาเพราะไม่มีตํารวจจราจรยืนอยู่
(4) สามีรีบคาดเข็มขัดนิรภัยให้ภริยาเพราะเห็นตํารวจจราจรยืนอยู่
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 หน้า 100, (คําบรรยาย) กรณีสามีเลิกสูบบุหรี่เพราะอยากมีชีวิตอยู่กับครอบครัว การกระทํา ของสามีดังกล่าวถือว่ามีเสรีภาพ เพราะเขาคิดด้วยตัวเขาเองไม่มีใครบังคับ เขาอยากเลิกสูบ บุหรี่เอง ซึ่งเป็นการกระทําที่สอดคล้องกับแนวคิดเสรีภาพตามปรัชญาการเมืองของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ที่ให้ประชาชนทุกคนเป็นคนออกกฎหมายด้วยตนเองและ กฎหมายนั้นก็จะนํามาใช้กับพวกเขาเอง เขาไม่ต้องเชื่อฟังใครนอกจากตัวเอง ซึ่งในมุมมองของ รุสโซถือว่าวิธีการดังกล่าวนั้นมีเสรีภาพมาก

93. ถ้านักศึกษาจําเป็นต้องตัดสินใจภายใต้หลังม่านแห่งความไม่รู้ หลักการในข้อใดจะไม่ได้รับการคัดเลือกมาเพื่อเป็นหลักการพื้นฐานทางสังคม
(1) เสรีภาพ
(2) หลักความแตกต่าง
(3) ประโยชน์ของตนเอง
(4) ความปลอดภัยของตนเอง
(5) ความเท่าเทียมกัน
ตอบ 5 หน้า 182 – 184, (คําบรรยาย) หากเราต้องตัดสินใจภายใต้หลังม่านแห่งความไม่รู้ตามแนวคิดของจอห์น รอลส์ (John Rawls) หลักการที่จะได้รับการคัดเลือกมาเป็นหลักการพื้นฐานทาง สังคม ได้แก่
1. ประโยชน์ของตนเอง
2. ความปลอดภัยของตนเอง
3. หลักเสรีภาพ
4. หลักความแตกต่าง

94. นักปรัชญาการเมืองท่านใดเปรียบเทียบเสรีภาพที่จะทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจไม่ต่างจากคนบ้า โจรลักทรัพย์และพวกฆาตกร
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น รอลส์
(3) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(4) โรเบิร์ต โนซิค
(5) จอห์น สจ๊วต มิลล์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

95. นักรัฐศาสตร์ท่านใดที่นิยามคําว่า “การเมือง” ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรหรือกระจายทรัพยากรให้กับสมาชิกในสังคม
(1) เดวิด อีสตัน
(2) โจเซฟ ซุมปีเตอร์
(3) ฟรานซิส ฟูกูยาม่า
(4) ซามูเอล ฮันติงตัน
(5) เซมูร์ มาติน ลิปเซต
ตอบ 1 หน้า 159 ฮาโรลด์ ดี. แลสเวลล์ (Harold D. Lasswell) และเดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่นิยามคําว่า “การเมือง” ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรหรือ กระจายทรัพยากรให้กับสมาชิกในสังคม โดยแลสเวลล์ได้นิยามว่า การเมือง คือ เรื่องของการที่ ใครได้อะไร เมื่อไร และอย่างไร (Politics is who gets what, when, and how) ส่วนอีสตัน ได้นิยามว่า การเมือง คือ การใช้อํานาจหน้าที่ในการจัดสรรแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ให้แก่สังคม (Authoritative atlocation of values to a society)

96. “โพลิตี้” (Polity) เป็นคําที่มาจากภาษากรีก คําว่า Politeia (โพ-ลิ-เท-อา) ที่อริสโตเติลเรียกการใช้อํานาจ เพื่อประโยชน์สาธารณะนั้นมีการแปลเป็นภาษาไทยว่าอะไร
(1) ระบอบการปกครอง
(2) รูปแบบการปกครอง
(3) ระบบการปกครอง
(4) รัฐ
(5) นครรัฐ
ตอบ 2 หน้า 107 อริสโตเติล (Aristotle) เรียกรูปแบบการปกครองที่อํานาจอยู่ในมือมหาชนและ ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะว่า “โพลิตี้” (Polity) ซึ่งคําดังกล่าวมาจากภาษากรีก คือ Politeia (โพ-ลิ-เท–อา) ที่แปลว่า “รูปแบบการปกครอง”

97. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์รัฏฐาธิปัตย์
(1) ผู้ที่มีอํานาจสูงสุดในรัฐ
(2) เราสามารถเรียกว่าองค์อธิปัตย์ได้
(3) ผู้นําเผด็จการทหารเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ไม่ได้
(4) ผู้ถือครองอ้านาจอธิปไตย
(5) ประชาชนสามารถถือครองอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศได้
ตอบ 3 หน้า 57, (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ หรือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) หมายถึง ผู้ที่มีอํานาจ สูงสุดในรัฐหรือสังคมการเมือง โดยคําว่าผู้มีอํานาจสูงสุดนี้หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของอํานาจ อธิปไตย ซึ่งอาจจะหมายถึง ประชาชนทุกคน รัฐบาล หรือผู้นําเผด็จการทหาร หรือใครก็ได้ ที่เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อํานาจดังกล่าว

98. ข้อใดคือหลักการของปรัชญาการเมืองสํานักอรรถประโยชน์นิยม
(1) ปกครองให้เกิดความสุขแก่คนจํานวนมากที่สุด
(2) ปกครองให้เกิดเสรีภาพ
(3) ปกครองให้เกิดประโยชน์สาธารณะ
(4) ปกครองให้เกิดความเท่าเทียม
(5) ปกครองให้เกิดประโยชน์กับคนด้อยโอกาสที่สุดในสังคม
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

99. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) ผู้ที่สมควรเป็นผู้ปกครองตามปรัชญาการเมืองของเพลโต คือ ราชาปราชญ์
(2) ผู้ที่สมควรเป็นผู้ปกครองตามปรัชญาการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์ ก่อนพัฒนาไปสู่สังคมไร้ชนชั้น คือ ชนชั้นกรรมาชีพ
(3) ผู้ที่สมควรเป็นผู้ปกครองตามปรัชญาการเมืองของจอห์น สจ๊วต มิลล์ คือ ผู้แทนในระบอบประชาธิปไตย
(4) ผู้ที่สมควรเป็นผู้กระจายทรัพยากรสู่สังคมของจอห์น รอลส์ คือ รัฐบาลที่จัดสวัสดิการ
(5) ผู้ที่สมควรเป็นผู้กระจายทรัพยากรสู่สังคมของโรเบิร์ต โนซิค คือ เอกชนที่เสียภาษี
ตอบ 5 หน้า 187, 192, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) โต้แย้งแนวคิดของจอห์น รอลส์ (John Rawls) โดยเขาเห็นว่า การกระจายทรัพยากรนั้นควรจะปล่อยให้เอกชนจัดการกันเอง โดยเสรี ใครทํา ใครหา ใครลงแรง คนนั้นก็ควรที่จะเป็นผู้ครอบครองทรัพยากร การที่รัฐเข้ามา แทรกแซงด้วยการกระจายทรัพยากรจากคนใดคนหนึ่งเพื่อนําไปช่วยเหลือคนด้อยโอกาสในรูปของ การเก็บภาษี หรือด้วยรูปแบบการกระจายทรัพยากรอื่น ๆ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่แตกต่างกับการขโมย หรือการก่ออาชญากรรม นั่นก็เพราะว่ามันเป็นการใช้กําลังบังคับเอาของจากคนหนึ่ง ๆ ที่เขามีสิทธิต่อทรัพย์สินนั้นอย่างเต็มที่ไปโดยที่เขาไม่ได้ยินยอม

100. เอ็ดมันด์ เบิร์ก สนับสนุนความคิดทางการเมืองใด
(1) เผด็จการ
(2) คอมมิวนิสต์
(3) สังคมนิยม
(4) เสรีนิยม
(5) อนุรักษนิยม
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(5) Socialism
(4) Capitalism
ตอบ 2 หน้า 8 (คําบรรยาย) การปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ (Athenian Democracy) เป็นการปกครองที่ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเองซึ่งการปกครองแบบนี้พลเมืองชายเท่านั้นที่มีสิทธิทางการเมือง ส่วนเด็ก ผู้หญิง และ คนต่างชาติไม่มี เป็นการปกครองที่เหมาะกับเมืองที่มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับรัฐสมัยใหม่ที่มีขนาดใหญ่และมีพลเมืองจํานวนมาก บางคนเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)

2. การปกครองที่อํานาจอยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มบุคคล ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อํานาจ และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทางการเมือง
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Socialism
ตอบ 3(คําบรรยาย) การปกครองแบบเผด็จการ (Dictatorship) คือ การปกครองที่อํานาจอยู่ที่ บุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มบุคคล ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อํานาจ และไม่เปิดโอกาส ให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

3. ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อในเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Socialism
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่โดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง
ในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในระบบทุนนิยมนี้จะยินยอมให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property) รวมทั้งมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกบริโภคสินค้า และบริการได้อย่างเต็มที่

4.การปกครองที่มีการการันตีเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญ เคารพสิทธิมนุษยชน มีการแบ่งแยก อํานาจของผู้ปกครอง คือหัวใจสําคัญของการปกครองระบอบใด
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Socialism
ตอบ 1 หน้า 85, (คําบรรยาย) การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democracy) หรือเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) เป็นการปกครองที่ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยจะเป็นผู้เลือกผู้แทน ไปทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองแทนตน และประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกอํานาจคืนจากผู้ปกครองได้หากผู้ปกครองไม่ทําตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน นอกจากนี้ยังเป็นการปกครองที่มี การรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด รวมทั้งมีการเคารพ ในสิทธิมนุษยชน และมีการแบ่งแยกอํานาจของผู้ปกครองด้วย

5. การปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้นจะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเข้ามาแทรกแซง
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Sociatism
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สังคมนิยม (Socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมการดําเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจเองทั้งหมด เพราะมองว่าการปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้น จะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมในการกระจายผลผลิตแก่ประชาชน

6. นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษคนใดที่เสนอเรื่องสิทธิในการปฏิวัติ
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 3 หน้า 39, 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ ได้เสนอ แนวคิดเรื่อง “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution) ไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มเกี่ยวกับการปกครอง) โดยล็อคเห็นว่า พลเมืองต้องเชื่อฟัง กฎหมายเฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตาม ที่รัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะ ไม่เชื่อฟังกฎหมายหรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ โดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ว่ารัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้หรือไม่ ดังที่ล็อค ได้กล่าวว่า “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับ ความไว้วางใจที่ได้รับมอบมา…เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็น ผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสินไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะ ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าอํานาจในการไว้วางใจนั้นจะยังคงอยู่กับเขา แต่ผู้ที่แต่งตั้งตัวแทนโดยการมอบอํานาจความไว้วางใจให้จะต้องมีอํานาจในการเรียกคืนความไว้วางใจ จากตัวแทนในกรณีที่เขาละเมิดความไว้วางใจ…”

7. นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวาคนใดที่เชื่อว่าอํานาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวา ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) โดยมีความเชื่อว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน หรืออํานาจจะต้องอยู่ที่ประชาชน โดยรุสโซได้อธิบายเรื่องนี้ ผ่านแนวคิดเรื่องเจตจํานงทั่วไป (General Wilt) ที่สนับสนุนให้ประชาชนทุก ๆ คนมีอํานาจ
ในการปกครองโดยตรงผ่านการออกเจตจํานงทั่วไป ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจของปัจเจกบุคคลที่คํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์สาธารณะในฐานะที่ประชาชนแต่ละคนนั้น เป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพทั้งหมดของสังคมที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้

8.นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจออกจากกันเพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 1 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส ที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และ อํานาจตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ใน หนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des tois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

9.“เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดา สิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 2 หน้า 77 – 78 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา ได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) มาใช้ในการประกาศเอกราช ของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 ซึ่งมีข้อความดังนี้ “เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้า ผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเหล่านั้นให้มั่นคง รัฐบาลจึงถูก สถาปนาขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยได้อํานาจที่ยุติธรรมอันเนื่องมาจากความยินยอมของผู้ที่อยู่ใต้ การปกครอง…. แต่เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลง ภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียวแล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะ ล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา”

10. “ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 5 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไป และก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

11. “เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิม อย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลงภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียว แล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่ สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

12. นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสคนใดที่เสนอว่าประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่นแต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 1 (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส เสนอว่า ประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่น แต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง

13.“Man is born free but everywhere is in chains” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 4หน้า 137, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ใน บรรทัดแรกของหนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน (Man is born free but everywhere is in chains)… การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจนเป็นการละทิ้งสิทธิและ หน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมดออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

14. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “รัฐบาลต้องมีอํานาจจํากัด ควรปล่อยให้เอกชนสามารถดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี”
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 3 (คําบรรยาย) จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมืองสกุลเสรีนิยม เสนอว่า รัฐบาล ต้องมีอํานาจจํากัด ควรปล่อยให้เอกชนสามารถดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี

15. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพคือสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์”
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 4 หน้า 136 – 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เสนอว่า ธรรมชาตินั้นกําหนดให้สัตว์ทุกตัวดํารงชีวิตหรือทําอะไรก็แล้วแต่เป็นไปตามแรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณและแม้ว่ามนุษย์นั้นจะได้รับแรงกระตุ้นดังกล่าวเหมือนกับสัตว์อื่น ๆ แต่มนุษย์ก็มีเสรีภาพ ในการเลือกที่จะทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce or Resist) มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่มีเสรีภาพนี้ และเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ โดยรุสโซเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “Quality of Free Agency” ตัวอย่างเช่น สุนัขหิวก็กิน อยากขับถ่ายก็ไม่ต้องรอ แต่มนุษย์เราเลือกที่จะทําเช่นนี้หรือไม่ก็ได้

16. “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึง เรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น… และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม” เป็นคํากล่าวของ
นักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 152 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอว่า สังคมควรมีการอนุญาตให้เสรีภาพ ต่อมนุษย์ทุกคนอย่างกว้างขวางที่สุด แต่กระนั้นการให้เสรีภาพตามความคิดของมิลล์ใช่ว่าจะ ไม่มีข้อจํากัด โดยมิลล์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมา อย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปราย อย่างเป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไร ทํานองนั้น และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”

17. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “ผู้ปกครองปรารถนาจะคงรักษาตนเองไว้ก็จําเป็นที่เขาจะต้องเรียนรู้ ให้สามารถไม่เป็นคนดีได้ และจะใช้หรือไม่ใช้มันสุดแล้วแต่ความจําเป็น
(1) John Stuart Millt
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 128 – 129, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เป็นนักปรัชญา การเมืองชาวอิตาเลียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่” เขาได้ เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ว่า “หากผู้ปกครองปรารถนา จะคงรักษาตนเองไว้ก็จําเป็นที่เขาจะต้องเรียนรู้ให้สามารถไม่เป็นคนดีได้ และจะใช้หรือไม่ใช้มันสุดแล้วแต่ความจําเป็น”

18. “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพ ดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับ เสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้” ข้อความดังกล่าว
เป็นแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 3 หน้า 124, 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่ กล่าวว่า “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้”

19. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด และไม่ว่าใครก็ตาม จะมาพรากเอาเสรีภาพนี้ไปอย่างชอบธรรมไม่ได้เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่ผู้ให้กําเนิดอย่างบิดามารดาก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะมาพรากเอาเสรีภาพของลูกไป”
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 5 หน้า 142 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เสนอว่า เสรีภาพคือคุณสมบัติ ที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด และไม่ว่าใครก็ตามจะมาพรากเอาเสรีภาพนี้ไปอย่างชอบธรรม ไม่ได้เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่ผู้ให้กําเนิด อย่างบิดามารดาก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะมาพรากเอาเสรีภาพของลูกไป

20. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติของมนุษย์ มนุษย์ไม่อาจจะเป็นทาสบางเวลา และเป็นเสรีบางเวลาได้ เขาเป็นเสรีภาพอย่างเต็มที่ตลอดกาล หรือมิฉะนั้นก็ไม่เป็นเสรีภาพตลอดกาล เพราะมนุษย์ถูกสาปให้เป็นเสรีภาพ
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 หน้า 142, 144, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) เป็นนักปรัชญาการเมือง ชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 20 สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เขามีความเชื่อว่า มนุษย์นั้น ถูกกําหนดให้มีเสรีภาพ ดังที่เขากล่าวไว้ว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติของมนุษย์ มนุษย์ไม่อาจจะ เป็นทาสบางเวลาและเป็นเสรีบางเวลาได้ เขาเป็นเสรีภาพอย่างเต็มที่ตลอดกาล หรือมิฉะนั้น ก็ไม่เป็นเสรีภาพตลอดกาล เพราะมนุษย์ถูกสาปให้เป็นเสรีภาพ

21. ประชาชนไม่ควรเป็นผู้ปกครอง แต่ผู้ปกครองควรมาจากการคัดสรรอย่างดี
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 2 หน้า 85, 87, 132 เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Republic” ว่า ผู้ปกครองนั้น ควรเป็นคนที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และเหมาะสมกับหน้าที่ ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้ ซึ่งตามความคิดของเพลโตนั้นมองว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดที่ถูกกําหนดมาจากธรรมชาติแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงผู้ปกครองด้วย เพราะการปกครองก็ถือว่าเป็นทักษะหนึ่ง ที่เฉพาะทางไม่ต่างกับช่าง หมอ หรือการงานหน้าที่อื่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ควรที่จะเป็นใคร ก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มีธรรมชาติเป็นผู้ปกครอง และมีทักษะ ตลอดจนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

22. งานเขียนชิ้นสําคัญที่เชื่อในเรื่องของการที่อํานาจจะต้องอยู่ที่ประชาชน
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

23. ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ ไม่เกี่ยวกับจํานวนของผู้ปกครอง แต่ควรพิจารณาจากจุดมุ่งหมายของ ผู้ปกครองว่าทําเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 4 หน้า 102 – 103, 109 อริสโตเติล (Aristotle) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Politics” ว่า ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ แต่ขอให้แค่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ หมายความว่า จํานวนของผู้ปกครองจะมีกี่คนก็ได้ เป็นระบอบอะไรก็ได้ ใครเป็นก็ได้ แต่ขอ เพียงอย่างเดียวคือผู้ปกครองเหล่านั้นควรจะปกครองเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นตามทัศนะ ของอริสโตเติลจึงเป็นการพิจารณาจุดมุ่งหมายของการปกครองว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร ถ้าเพื่อ ประโยชน์สาธารณะแล้ว การปกครองนั้นก็ถือว่าเป็นการปกครองที่ดี

24. ผู้ปกครองต้องทําทุกอย่างเพื่อรักษาอํานาจไว้ให้ได้
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 5 หน้า 128 – 130, 132 – 133, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ว่า ผู้ปกครองที่ดีนั้นจะต้องทําทุกอย่าง เพื่อรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ให้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงเป็นใครก็ได้ แต่ขอเพียงอย่างเดียว ให้คน ๆ นั้นมีความสามารถในการรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ

25. งานเขียนชิ้นสําคัญที่กล่าวถึงความยุติธรรม ความอยุติธรรม หลังการจําคุกของโสเครตีส
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 1 หน้า 61, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณโดยเพลโต (Plato) ในงานชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการสนทนาระหว่างโสเครตีสและไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิท เกี่ยวกับความยุติธรรม ความอยุติธรรม และการตอบสนองที่เหมาะสมต่อความอยุติธรรม หลังจากการจําคุกของโสเครตีส

26.ชีวิตเป็นของเรา เวรกรรมไม่มี มนุษย์เป็นคนกําหนดชีวิตตัวเอง วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2หน้า 142 – 143 ของ ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) ได้อธิบายวิธีคิดเกี่ยวกับเสรีภาพของ เขาว่า มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือแก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัวมากับมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ไม่มีพระเจ้า เวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือธรรมชาติใด ๆ มากําหนด ชีวิตเป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็นผู้กําหนดว่า ตัวเองจะเป็นอย่างไร ดังที่ชาร์ตกล่าวว่า “การมีอยู่มาก่อนสาระหมายความว่าอย่างไร เรา หมายความว่าก่อนอื่นใดทั้งหมด มนุษย์มีอยู่ ค้นพบตัวเอง ปรากฏตัวในโลก และนิยามตัวเอง ภายหลัง…. ถ้ามนุษย์นิยามไม่ได้ ก็เป็นเพราะว่า ก่อนอื่นใดมนุษย์ไม่ใช่อะไรเลย เขาจะเป็น อะไรก็ตามหลังจากนั้น และเขาจะเป็นตามที่เขาสร้างตัวเองให้เป็น…. เนื่องจากมนุษย์คิดสร้าง ตัวเองภายหลังการมีอยู่ และเนื่องจากเขาต้องการสร้างให้ตัวเองเป็นภายหลังการมีอยู่ มนุษย์จึงมิใช่อะไรอื่นนอกจากผลิตผลที่เขาสร้างขึ้นให้แก่ตัวเอง…”

27. มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือแก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัว มากับมนุษย์ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

28. การที่มนุษย์มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 หน้า 144 – 145, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) มองว่า การที่มนุษย์ มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาป ให้มีเสรีภาพ (Man is condemned to be free)… เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นบนโลกนี้ เขาก็ต้อง รับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขากระทํา และพวกที่เชื่อในแนวคิดอัตถิภาวะนิยมจะไม่ยอมรับในอํานาจ แห่งอารมณ์ เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยว่า อารมณ์ที่รุนแรงคือสายน้ำเชี่ยวกรากที่นํามนุษย์ให้ กระทําการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งถูกลิขิตไว้ และมนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”

29. เมื่อเด็กโตขึ้นและแข็งแรงเพียงพอ เขาก็อาจจะออกจากครอบครัวไปโดยที่พ่อแม่ไม่สามารถทวงบุญคุณ ในการเลี้ยงดูได้ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 5 หน้า 139 – 140, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีแกนกลางอยู่ที่เสรีภาพ ด้วยเหตุนี้เองการรวมตัวกันของครอบครัวต้องเกิดจาก การตกลงยินยอมของพ่อแม่ลูก การยินยอมนี้หมายความว่าแต่ละคนเลือกที่จะอยู่รวมกันหรือ เลือกที่จะแยกกันอยู่ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ การรวมตัวกันต้องเป็นไปโดยเสรีและเกิดจากการยินยอม ระหว่างกัน ดังนั้นเมื่อเด็กโตขึ้นและแข็งแรงเพียงพอ เขาก็อาจจะออกจากครอบครัวไปโดยที่ พ่อแม่ไม่สามารถทวงบุญคุณได้ เพราะการทวงบุญคุณมีค่าเท่ากับการบังคับ และเป็นการละเมิดเสรีภาพ ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันเป็นการละเมิดความเป็นมนุษย์

30.Existentialism เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

31. ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่วต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองนั้นไม่ควรจะ คํานึงแต่การทําดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะในกรณีที่ว่าถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐ แต่การทําชั่วสามารถทําให้เขารักษารัฐได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองก็ควรจะเลือกการทําชั่ว ดังที่เขากล่าวว่า “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่ว ต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรองทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะสัมฤทธิ์ผลในด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”

32. เสรีภาพมีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่คนจํานวนมากที่สุด วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 116, 149, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ต้องการให้สังคมนั้น มีเสรีภาพกว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อ้างว่าเสรีภาพนี้มีที่มาจาก สิทธิติดตัวของมนุษย์ตั้งแต่กําเนิด แต่การที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวางมันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด ซึ่งแนวคิดของมิลล์นี้เป็นไปตาม หลักการของประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งคํานึงถึง “ความสุข” “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” เป็นหลัก โดยนักคิดที่ยึดถือหลักการประโยชน์นิยมนั้นจะมีหลักการพื้นฐาน ร่วมกันที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุขที่มากที่สุดของคนจํานวน มากที่สุด” หรือถือว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างวัดกันที่อรรถประโยชน์เป็นหลัก”

33.Utilitarianism เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34. เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วยวิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavetti
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มองว่า เสรีภาพไม่ใช่เรื่องของการที่มนุษย์ จะกระทําอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็คง ไม่ต่างกับพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่อยากจะฆ่าใครก็ได้ ทําอะไรก็ได้ ซึ่งมิลล์มองว่าการจะทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแบบพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมไม่ควรที่จะเรียกว่ามันคือเสรีภาพ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นพฤติกรรมแบบเผด็จการของแต่ละคนที่กระทําต่อกัน ดังนั้นเองมิลล์จึงเสนอว่า เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย

35. ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ (On Liberty) เป็นงานเขียนของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 146 – 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “แชมป์เปี้ยนแห่งเสรีภาพ” (Champion of Liberty) เขาได้เขียนงาน ชิ้นสําคัญออกมาในปี ค.ศ. 1859 ชื่อว่า “ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ” (On Liberty)

36. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพที่ดีต้องเป็นเสรีภาพที่ผ่านการจัดระเบียบของสังคม ผ่านการลองผิดลองถูก หรือผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานจนสถาปนาให้กลายมาเป็นบรรทัดฐาน
หรือกฎหมายต่างหากคือเสรีภาพที่แท้จริง”
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 3 หน้า 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) เสนอว่า เสรีภาพที่ดีต้องเป็นเสรีภาพที่ผ่าน การจัดระเบียบของสังคม ผ่านการลองผิดลองถูก หรือผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน จนสถาปนาให้กลายมาเป็นบรรทัดฐานหรือกฎหมายต่างหากคือเสรีภาพที่แท้จริง ดังนั้น เสรีภาพตามความคิดของเบิร์กจึงเป็นเสรีภาพที่สังคมหรือรัฐเป็นผู้กําหนดขึ้นมา ไม่ใช่เสรีภ ที่ติดตัวมาตั้งแต่กําเนิดหรือเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้ตามแบบความคิดของพวกเสรีนิยม

37.“การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้ง ผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขา กล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก เพราะธรรมชาติมนุษย์นั้น อกตัญญู เปลี่ยนใจง่าย เป็นพวก มือถือสาก ปากถือศีล และพวกอําพราง พวกหลีกเลี่ยงอันตราย ผู้รักผลได้…”

38. ถ้าอยากจะเข้าใจถึงธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยเสรีภาพนั้น จําเป็นจะต้องพิจารณามนุษย์ ในสภาวะธรรมชาติ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavetti
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 5 หน้า 136 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) อธิบายว่า ถ้าอยากจะเข้าใจ… ธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยเสรีภาพนั้น จําเป็นจะต้องพิจารณามนุษย์ในสภาวะ ธรรมชาติ (State of Nature) หรือในสภาวะก่อนที่มนุษย์จะเข้ามาอยู่รวมกันเป็นสังคมหรือรัฐเนื่องจากรุสโซมองว่าถ้าเกิดทําการพิจารณามนุษย์จากในสภาวะที่เป็นสังคมแล้วก็จะไม่สามารถพบธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ได้ เพราะเขาเชื่อว่าถ้าเมื่อใดที่มนุษย์เข้ามาอยู่รวมกัน เมื่อนั้น ธรรมชาติที่ดีของมนุษย์ก็จะสูญหายไป ดังนั้นเองถ้าหากต้องการที่จะทราบว่าธรรมชาติของ มนุษย์เป็นเช่นไร หรืออีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์มีเสรีภาพหรือไม่ จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณา มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ

39. “ในช่วงเวลาหนึ่งมนุษย์เราอาจจะเห็นว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องผิด แต่ในภายหลังมันอาจจะกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ถูกหรือได้รับการยอมรับได้ ดังนั้นสังคมไม่ควรที่จะด่วนปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกของคนใดคนหนึ่ง” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 151 – 152, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) กล่าวว่า ในช่วงเวลาหนึ่งมนุษย์อาจจะเห็นว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องผิด แต่ในภายหลังมันอาจจะกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ ถูกต้องหรือได้รับการยอมรับได้ ดังนั้นสังคมไม่ควรที่จะปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
หรือแสดงออกของคนใดคนหนึ่งเพราะถ้าความคิดเห็นที่แสดงออกมานั้นเป็นสิ่งที่ผิดในท้ายที่สุด คนก็จะไม่เชื่อถือ แต่ถ้าเกิดความเห็นนั้นถูกต้องขึ้นมาภายหลังเราก็จะเสียโอกาสที่จะได้ทราบ ความจริงไป ทั้งนี้มิลล์ได้ยกตัวอย่างเรื่องโสเครตีส (Socrates) และพระเยซู (Jesus) มาเป็น ข้อสนับสนุนความคิดของตน

40. ผู้ปกครองจะต้องมีคุณธรรม 2 ประการที่สําคัญเหนือคุณธรรมทั้งหมดทั้งปวง คือ ความสุขุมรอบคอบ และความมีไหวพริบ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 131 – 132 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เห็นว่า ผู้ปกครองจะต้องมี คุณธรรม 2 ประการที่สําคัญเหนือคุณธรรมทั้งหมดทั้งปวง คือ ความสุขุมรอบคอบ (Prudenzia/Prudence) และความมีไหวพริบ (Astuzia/Astuteness)

41. รัฐไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 2 หน้า 187 – 189, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) นักปรัชญาการเมือง ชาวอเมริกันเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” เขาเห็นว่ารัฐไม่ควร เข้ามาแทรกแซงเรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย โดยเฉพาะเรื่องการกระจายทรัพยากร เพราะ มองว่าการตัดสินใจต่าง ๆ ในสังคมควรจะเป็นไปอย่างเสรีโดยไม่ต้องมีการกํากับหรือวางแผน อย่างตายตัวจากรัฐ เหตุผลที่โนซิคเสนอเช่นนี้ก็เนื่องมาจากเขามีฐานคิดที่ว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับทรัพยากรมาด้วยความชอบธรรมแล้ว รัฐหรือเอกชนคนใดก็ไม่มีสิทธิที่จะมาพรากเอา ทรัพย์สินนั้น ๆ ไปจากเจ้าของได้อย่างชอบธรรม

42. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เขียนหนังสือเรื่อง Anarchy, State and Utopia
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43. นักปรัชญาการเมืองคนใดไม่เชื่อเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 1 (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นนักปรัชญาการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับระบบทุนนิยม เขาได้เขียนหนังสือว่าด้วยทุน (Das Kapital) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1867 ซึ่งมีเนื้อหา เป็นการวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมที่เน้นแต่เรื่องของกําไร-ขาดทุน การจ้างงาน การสะสมทุน กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงาน ฯลฯ

44. การปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ เป็นวิธีคิดของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawis
(5) John Locke
ตอบ 1 หน้า 174 – 176 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้เสนอแนวคิดการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพโดยเขาเรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพรวมกลุ่มกันปฏิวัติโค่นล้มรัฐนายทุนและสถาปนารัฐสังคมนิยม
ที่เป็นรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการผลิตของชนชั้นนายทุน ให้กลายมาเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งแนวคิดของมาร์กซ์นี้ปรากฏอยู่ใน “แถลงการณ์ พรรคคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848

45. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอแนวคิดเรื่องม่านแห่งความไม่รู้
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 4 หน้า 179 – 180, 186 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด และได้วางเงื่อนไข ภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veit of Ignorance) ซึ่งผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบว่าตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ ที่เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นการตัดสินอันยุติธรรมเพราะผู้ตัดสินใจจะใช้แต่เหตุผล และไม่นําสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานะของตนเองมาเป็นปัจจัยในการตัดสิน

46. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่สํารวจชีวิตของชนชั้นล่างอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 และเขียนออกมาเป็นรายงาน ว่า “คนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ซึ่งคนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่ง มีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 3 หน้า 168, (คําบรรยาย) เซอร์เอ็ดวิน แซดวิก (Sir Edwin Chadwick) นักปรัชญาการเมือง ชาวอังกฤษได้ไปสํารวจชีวิตของชนชั้นล่างอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 และเขียนเป็นรายงาน เสนอรัฐสภา โดยเขาเล่าว่า คนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ซึ่งคนพวกนี้ จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็นสภาพชีวิตของคนจน ในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

47. “ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้างกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 5 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และคนอื่น ๆ ง ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของ ข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงาน เป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม… ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้าง กรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”

48. “ในรูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิต (Relation of Production) ระหว่างชนชั้นนายทุน (Bourgeoisie) และชนชั้นผู้ผลิต กรรมกร หรือผู้ลงแรงในการผลิต (Proletariat) จะมีความไม่เป็นธรรมในการกระจาย ทรัพยากรอยู่เสมอ” เป็นวิธีคิดของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 1 หน้า 170 – 171, (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ในรูปแบบความสัมพันธ์ ทางการผลิต (Relation of Production) ระหว่างชนชั้นนายทุน (Bourgeoisie) และชนชั้นผู้ผลิต กรรมกร หรือผู้ลงแรงในการผลิต (Proletariat) จะมีความไม่เป็นธรรมในการกระจายทรัพยากร อยู่เสมอ นั่นก็เพราะเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตสินค้าไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องจักร ที่ดิน สถานประกอบการ ฯลฯ มีนายทุนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ส่วนกรรมกรนั้นมีเพียงแรงงาน ที่ติดตัวมาของแต่ละคนเท่านั้นที่ใช้ในการผลิต ด้วยความสัมพันธ์ในการผลิตเช่นนี้เอง นายทุน ได้จ่ายค่าแรงหรือค่าจ้างให้กรรมกรเพื่อแลกกับแรงงานของพวกเขา และนายทุนก็ได้กําไรจาก การผลิตสินค้าของแรงงาน โดย “กําไร” นี้เองที่เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เพราะนายทุนได้ไปขูดรีดเอา “มูลค่าส่วนเกิน” (Surplus Value) มาจากกรรมกรที่ใช้แรงงานในการผลิตสินค้า

49. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เขียนหนังสือเรื่อง A Theory of Justice
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 เพื่อเสนอหลักความยุติธรรมใน การกระจายทรัพยากร โดยรอลส์มองว่าการกระจายทรัพยากรนั้นไม่ควรปล่อยเสรี รัฐจะต้อง เข้าไปแทรกแซงและจัดสวัสดิการให้กับคนที่ด้อยโอกาส คนยากจน และคนทุกข์ยาก

50. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “รัฐจะต้องเข้าไปแทรกแซงและจัดสวัสดิการให้กับคนด้อยโอกาสคนยากจน คนทุกข์ยาก”
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

51. การเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของที่มาของสมาชิกวุฒิสภา
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 4 หน้า 135 เรามีเสรีภาพหรือไม่ เป็นคําถามสําคัญประการหนึ่งของปรัชญาการเมืองที่มักจะมีการถกเถียงกันอยู่ในชีวิตประจําวันของมนุษย์ทุกคนทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเสรีภาพ (Liberty) ในที่นี้หมายถึง การที่คน ๆ หนึ่งสามารถทําอะไรได้โดยปราศจากการควบคุมบังคับ ตลอดจนไม่ถูกกีดกันไม่ให้ทําอะไรจากผู้อื่น หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ การกระทําอะไรก็ได้ตาม ความปรารถนาของตนเองและไม่มีคนอื่นมาบงการควบคุม ซึ่งเสรีภาพที่ว่านี้จะเน้นไปในทาง เสรีภาพทางการเมือง อันได้แก่ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพที่จะมีส่วนร่วม ทางการเมือง เสรีภาพในการชุมนุมสมาคมกัน และเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครอง

52. นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปีละ 12,000 บาทของพรรครวมไทยสร้างชาติ
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 5 หน้า 159 – 160 เราควรจะกระจายทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งในสังคมอย่างไร เป็นคําถาม ในเรื่องของการจัดสรรหรือการกระจายทรัพยากรให้กับสมาชิกในสังคม เช่น ควรจัดสรร ทรัพยากรในสังคมอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม การจัดการทรัพยากรในสังคมควรจะมีหลักการ จัดการในรูปแบบลักษณะใด ใครบ้างควรจะเป็นผู้ถือครองทรัพยากร การถือครองทรัพยากร ควรจะมีได้มากน้อยเท่าไร การได้มาของทรัพยากรควรจะได้มาด้วยวิธีการในลักษณะใด

53. ข้อถกเถียงเรื่องการเกิดขึ้นของรัฐ
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 1 หน้า 25, 195, (คําบรรยาย) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง เป็นคําถามพื้นฐานที่สุด ในทางปรัชญาการเมือง ซึ่งในประเด็นนี้อาจมีการตั้งคําถามหรือข้อถกเถียงกันว่าทําไมต้องมีรัฐ หรือสังคมการเมือง มนุษย์มีความจําเป็นหรือไม่ที่จะต้องอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมือง รัฐหรือ สังคมการเมืองมีที่มาหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร รัฐหรือสังคมการเมืองมีความสําคัญอย่างไร เป็นต้น

54. นโยบายเงินดิจิตอล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

55. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ข้อถกเถียงดังกล่าวสอดคล้องกับประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องเชื่อฟัง กฎหมาย” หรือ “ทําไมเราต้องทําตามกฎหมาย” โดยกฎหมายนั้นถือเป็นคําสั่งของรัฐ หากเราไม่เชื่อฟังหรือไม่ทําตามจะต้องถูกลงโทษตามตัวบทกฎหมาย

56. การประกาศวันเลือกตั้ง ส.ส. วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 3 หน้า 7, 85, (คําบรรยาย) “ใครควรเป็นผู้ปกครอง” เป็นคําถามหนึ่งในทางปรัชญาการเมืองที่มีความสําคัญและเป็นประเด็นในการถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งในประเด็นนี้อาจจะมี การถกเถียงหรือตั้งคําถามว่าผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควรจะเป็นผู้ปกครอง การเข้ามามีอํานาจของผู้ปกครองมีความชอบธรรมหรือไม่ เป็นต้น

57. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายประชานิยมกับนโยบายประชารัฐ
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

58. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับความชอบธรรมของการรัฐประหารในซูดานของนายพลอัลบูร์ฮาน
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

59. ปรัชญา (Philosophy) มีความหมายถึง
(1) ความรู้
(2) ความสามารถ
(3) ความรัก
(4) ถูกข้อ 1 และ 2
(5) ถูกข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 5 คําว่า “ปรัชญา” (Philosophy) เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้นปรัชญาจึงหมายถึง “ความรัก ในความรู้” (Love of Wisdom) นั่นเอง

60. การเมือง (Politics) ในภาษากรีก คือ
(1) Political
(2) Politika
(3) Politico
(4) Politician
(5) Politicos
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) มีรากศัพท์มาจากคําในภาษากรีกคือ “Politika ซึ่งหมายถึง เรื่องราวหรือกิจการของ Polis (Affairs of the Cities) สําหรับพวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้นเป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ทุกคนที่อยู่ใน Polis ด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึงส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะตรงกันข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือในความหมาย ที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

61. “การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น เราโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิด หรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม” ข้อความดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 5 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควร จะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่า ความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือ สิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หรือการโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

62. “ความงามคืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ซึ่งอาจจะแปรผันกันไปได้แต่ละสังคมอีก” ข้อความดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 3 หน้า 2 – 3 (คําบรรยาย) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นสาขาที่มุ่งพยายามหาคําตอบ ในแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม ดังนั้นคําถามของสาขานี้จึงมักจะถามกันว่า ความงาม คืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ศิลปะคืออะไร เป็นศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อศิลปะ เป็นต้น

63. “มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะตอบว่า ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ข้อความดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 2 หน้า 2 ญาณวิทยา (Epistemology) หรือบางครั้งก็เรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) ในสาขาย่อยของความรู้ทางด้านปรัชญานี้ จะมุ่งศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับว่า มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะ ตอบว่า “ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ซึ่งการตอบว่า “ตาผมไม่บอด” ก็หมายความว่า ผมเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตา” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์สามารถรู้ถึง สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยประสาทสัมผัสนั่นเอง

64. “การศึกษาถึงสิ่งที่เป็นแก่นสารของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่า สิ่งที่ เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)” ข้อความ ดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 1 หน้า 1 – 2 (คําบรรยาย) อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาถึงแก่นแท้หรือ ความเป็นจริงสูงสุดของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ เช่น ในสาขานี้อาจจะตั้งคําถามว่า ความจริงแท้ คืออะไร อะไรคือความจริงแท้สูงสุด หรืออาจจะมีการตั้งคําถามกันว่า สิ่งที่เป็นแก่นสารของ สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่าสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)

65. เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 4 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆแต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

66. พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม หมายถึง
(1) Liberty
(2) Equality
(3) Fraternity
(4) Solidarity
(5) Morality
ตอบ 5 หน้า 3 ศีลธรรม (Morality) หมายถึง พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม

67. Philosophia Perennis คืออะไร
(1) แนวทางการดําเนินชีวิตของนักปรัชญา
(2) แนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักปรัชญา
(3) อาวุธทางปัญญาของนักปรัชญา
(4) คําถามทางปรัชญา
(5) คําตอบทางปรัชญา
ตอบ 4 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ กฎหมายคืออะไร ทําไมเราต้อง เชื่อฟังกฎหมาย มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพหรือไม่ ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควร ที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น

68.“Demos” ที่เป็นที่มาของคําว่า “Democracy” ในภาษากรีก หมายถึง
(1) คนชั้นสูง
(2) คนชั้นกลาง
(3) คนชั้นล่าง
(4) ประชาชน
(5) พลเมือง
ตอบ 3 หน้า 106 ศัพท์ดั้งเดิมของคําว่า “Democracy” มาจากภาษากรีกคําว่า “Demokratia ซึ่งเป็นการผสมกันของรากศัพท์ 2 คํา คือ คําว่า “Dermos” ที่แปลว่า ฝูงชน ชนชั้นต่ํา คนชั้นล่าง คนจน และคําว่า “Kratia” ที่แปลว่า การปกครอง โดยเมื่อนํามาผสมกันจึงแปลว่า การปกครองของพวกคนจนคนชั้นต่ำ

69. ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เน้นความเท่าเทียมโดยกลไกใดในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
(1) เลือกตั้ง
(2) สรรหา
(3) สอบคัดเลือก
(4) สภาแต่งตั้ง
(5) จับสลาก
ตอบ 5หน้า 8, คําบรรยาย) ในรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ที่เน้นความเสมอภาค เท่าเทียมกันนั้น กลไกในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารกิจการสาธารณะ จะไม่ใช้วิธีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง เพราะการเลือกตั้งและแต่งตั้งนั้นเป็นวิธีการของการปกครอง แบบชนชั้นสูง แต่วิธีการแบบประชาธิปไตยของเอเธนส์จะใช้วิธีการ “จับสลาก” (By Lot) มีเพียงไม่กี่ตําแหน่งเท่านั้นที่ยังคงใช้การแต่งตั้งตามความสามารถ เช่น การเป็นแม่ทัพ หรือ การเป็นทูตที่จําต้องไปเจรจากับรัฐอื่น ๆ

70. บุคคลใดต่อไปนี้ไม่ใช่พวกโซฟิสต์
(1) Protagoras
(2) Gorgias
(3) Xerophon
(4) Thrasymachus
(5) Hippias
ตอบ 3 หน้า 9 – 10 โซฟิสต์ (Sophist) เป็นชื่อของกลุ่มคนในยุคกรีกโบราณที่มีอาชีพสอนพลเมือง ให้มีความรู้ต่าง ๆ ทางการเมือง เช่น สอนพลเมืองให้มีทักษะในการโต้เถียงหรือพูดในที่สาธารณะ โดยพวกโซฟิสต์มักจะเป็นชาวต่างด้าวหรือไม่ใช่พลเมืองชาวเอเธนส์ โซฟิสต์คนสําคัญที่มีชื่อเสียง ในยุคกรีกโบราณ ได้แก่ โปรทากอรัส (Protagoras), กอร์เกียส (Gorgias), ฮิปปิอัส (Hippias), ทราไซมาคุส (Thrasymachus) เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 71 – 78. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา

71. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Command Theory of Law
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า “คําสั่งใด ๆ ของ ผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณาจากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย” ซึ่ง ทฤษฎีนี้เองเป็นรากฐานของคําอธิบายที่ว่า มนุษย์จําเป็นต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟัง กฎหมายก็จะลงโทษผู้นั้นตามบทบัญญัติ

72. “ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่าน ก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานตาม คําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะสั่งให้ท่านถูกเฆี่ยน ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อจะได้รับบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ” ข้อความดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับข้อใด
ตอบ 2 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต (Plato) ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนา ตอนที่โสเตรตีสกําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายาม หว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไม เราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟังกฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่ การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศและถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อ รัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอม ทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่านถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่ง ให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้น ของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง….”

73. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Paul the Apostle
ตอบ 3 หน้า 66 – 68 เปาโล หรือเซนต์พอล หรือนักบุญพอล (Saint Paul Paul the Apostle) หมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน เห็นว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” ดังที่เปาโลได้เขียนไว้ในตอนหนึ่ง ของพระคัมภีร์โรมว่า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอํานาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอํานาจ ใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอํานาจนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืน อํานาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ…”

74. การที่ซาอูล (Saul) ในฐานะกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่กลับไม่ถูกฆ่า สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 66, 68 – 69 ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกนํามาอธิบายในประเด็นเรื่อง “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” ก็คือ กรณีของซาอูล (Saul) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย แต่กลับไม่ถูกดาวิด (David) ฆ่าแม้จะพยายามฆ่าดาวิดอยู่หลายหน โดยสาเหตุที่ดาวิดตัดสินใจ ไม่ฆ่ากษัตริย์ซาอูลเพราะมองว่ากษัตริย์ซาอูลคือคนที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็นผู้ปกครองจากการ ร้องขอของพวกยิว คนที่จะเอาชีวิตของกษัตริย์ซาอูลได้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิจะไปล้มล้างผู้ปกครองแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม

75. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Antigone
ตอบ 3 หน้า 71 – 72 ตัวอย่างหนึ่งของการอธิบายเรื่อง “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่ง ที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” เช่น กรณีของแอนธิกอน (Antigone) เธอได้ละเมิด คําสั่งของกษัตริย์คลอน (Creon) ที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิส (Polyneices) ซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอ เห็นว่ามันเป็นเรื่องประหลาดและฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของแอนธิกอนนั้นมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่ กําหนดโดยมนุษย์สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์ แต่กระนั้นเธอก็ยอมถูกลงโทษตามคําสั่งของกษัตริย์

76. “ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนัก ที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้า มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์” ข้อความดังกล่าว มีความสัมพันธ์กับข้อใด
ตอบ 5 หน้า 80 – 81 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เคยถูกจับขังคุกเนื่องจากเขา ปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ โดยเขาอ้างว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขัดกับมโนธรรมของเขา เขาจึงไม่ต้องเชื่อฟัง ซึ่งภายหลังจากที่ธอโรออกจากคุกก็ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ใน บทความชื่อว่า “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) โดยมี เนื้อหาบางส่วนดังนี้ “ ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐ ในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนักที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้อง เที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์”

77. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Two Treatises of Government
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

78. “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับความไว้วางใจที่ได้รับ มอบมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็นผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสิน ไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม” ข้อความดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

79. ใครคือผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง Patriarcha or the Natural Power of Kings
(1) John Austin
(2) Robert Filmer
(3) John Locke
(4) Henry David Thoreau
(5) Thomas Hobbes.
ตอบ 2 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของ กษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และการปกครอง แบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้างเหตุผลมาจาก คัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) ในไบเบิ้ล

80. ตามความคิดของ Thomas Hobbes หากผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะใดมากที่สุด
(1) สันติภาพที่ถาวร
(2) สภาวะต่างคนต่างอยู่
(3) การฆ่าฟันกันจนตายโหง
(4) กฎหมายสลายตัวไป
(5) ความรักใคร่สามัคคีกัน
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) ตามความคิดของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หากองค์อธิปัตย์หรือผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะ เข้ามาอยู่ในรัฐ นั่นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา สุดท้ายก็จะเกิดความวุ่นวายและนําไปสู่สภาวะสงครามที่ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันกันจนตายโหง

81.คําว่า “Political Society” ใกล้เคียงกับคําศัพท์ในข้อใดมากที่สุด
(1) Anarchy
(2) State of Nature
(3) Modern Nation-State
(4) Royal Palace
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 25, (คําบรรยาย) คําว่า “Political Society” หรือ “สังคมการเมือง” นั้น เป็นคําที่มี ความหมายใกล้เคียงกับคําว่า “รัฐ” (State) หรือ “รัฐชาติสมัยใหม่” (Modern Nation-State)

82. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอริสโตเติล
(1) อริสโตเติลมีชีวิตในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล
(2) อริสโตเติลเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
(3) อริสโตเติลเป็นชาวมาซิโดเนีย
(4) อริสโตเติลเป็นเจ้าของผลงานที่ชื่อว่า The Prince
(5) ทุกข้อเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 25, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวมาซิโดเนีย ลูกศิษย์ของเพลโต (Plato) เขามีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โดยมี ผลงานที่สําคัญ ได้แก่ งานเขียนเรื่อง “The Politics” และ “Nicomachean Ethics

83. ข้อใดต่อไปนี้ไม่สอดคล้องกับคําว่า “จุดหมายปลายทาง” ในความหมายของอริสโตเติล
(1) Goal
(2) Primary
(3) Final Cause
(4) Telos
(5) Purpose
ตอบ 2 หน้า 25 – 28 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้วิธีการ ที่เรียกว่า “Teleology” หรือการอธิบายว่าของทุกสิ่งนั้นมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่มันจะต้อง คลี่คลายไปเสมอ โดยจุดมุ่งหมายปลายทางของสิ่งต่าง ๆ นั้น อริสโตเติลเรียกว่า “เทลอส” (Telos) ซึ่งเป็นคําภาษากรีก แปลว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” “จุดมุ่งหมาย” “เป้าประสงค์” “จุดประสงค์” (Final Cause/End/Purpose/Goat) เช่น มีดปอกแอปเปิลจุดมุ่งหมายปลายทาง หรือ Telos ก็คือ การปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้เป็นอย่างดี และการที่มีดดังกล่าวจะทําหน้าที่ ในการปอกได้ดีนั้น มีดจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะที่จะทําให้บรรลุจุดมุ่งหมายปลายทางนั้นได้ โดยอริสโตเติลเรียกคุณสมบัติดังกล่าวว่า “Arete” หรือ “Virtue” ซึ่ง Arete ของมีดปอก
แอปเปิลก็คือ ความคมที่เหมาะแก่การปอกแอปเปิลนั่นเอง

84.การที่มีดปอกแอปเปิลสามารถใช้ในการปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้ อริสโตเติลเห็นว่ามีดปอกแอปเปิลนั้นมีคุณสมบัติข้อใดดังต่อไปนี้
(1) Virtue
(2) Telos
(3) Barred
(4) Quality
(5) Strong
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

85.หากกล่าวว่า “สิงโตที่สมบูรณ์คือสิงโตที่เป็นเจ้าป่า ดุดัน และเป็นนักล่า” คําว่า Arete ในความหมายของ อริสโตเติลที่สอดคล้องกับคํากล่าวข้างต้นตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) สวนสัตว์ปิด
(2) ตัวสิงโต
(3) นายพราน
(4) กระต่ายและแมว
(5) ป่าตามธรรมชาติ
ตอบ 5 หน้า 26 – 27 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยยกตัวอย่างจาก สิงโต ซึ่งตามความคิดของอริสโตเติลนั้นมองว่า Telos ของสิงโตก็คือ การเป็นสิงโตที่สมบูรณ์ อย่างที่รับรู้ทั่วไป ส่วน Arete ของสิงโตก็คือ ความแข็งแรง ความดุดัน ความเป็นสัตว์ป่า ความเป็นนักล่า ฯลฯ และการที่สิงโตจะสามารถเป็นสิงโตที่สมบูรณ์หรือบรรลุ Telos ของ ความเป็นสิงโตได้ สิงโตนั้นจะต้องอยู่ในป่าตามธรรมชาติ (ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ)

86. วิธีการที่เรียกว่า “Teleology” ของอริสโตเติลตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) ปรัชญาการเมืองเป็นศาสตร์ของเทวดา
(2) ทุกสิ่งมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่จะต้องคลี่คลายไปเสมอ
(3) พระผู้เป็นเจ้ามีอํานาจสูงสุดในการออกกฎหมาย
(4) คุณสมบัติของสรรพสิ่งมีความสําคัญน้อยกว่าจุดมุ่งหมาย
(5) มนุษย์ที่สมบูรณ์คือมนุษย์ที่เติบโตจากธรรมชาติในป่า
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

87.Thomas Hobbes, John Locke and Jean Jacques Rousseau เป็นนักปรัชญาการเมืองสกุลใด
(1) Existentialism
(2) Sophist
(3) Philosopher
(4) Social Contract
(5) Nihilism
ตอบ 4 หน้า 30 – 32, (คําบรรยาย) นักปรัชญาการเมืองสกุลสัญญาสังคมหรือสัญญาประชาคม (Social Contract) ที่สําคัญ ได้แก่
1. โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes)
2. จอห์น ล็อค (John Locke)
3. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau)
4. จอห์น รอลส์ (John Rawls)

88. ข้อใดคือสาเหตุที่ทําให้มนุษย์มาอยู่รวมกันในสังคมการเมืองในความคิดของ Thomas Hobbes
(1) Safety
(2) Comfortable
(3) Technology
(4) Political Animal
(5) Freedom
ตอบ 1 หน้า 32, 36 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทําให้มนุษย์ต้องเข้ามาอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมืองว่าถ้ามนุษย์ไม่มีรัฐ มนุษย์ก็จะทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่ากันไม่รู้จบหรือเรียกว่าอยู่ในสภาวะสงคราม ซึ่งมนุษย์ จะไม่ความปลอดภัยใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเกิดรัฐและมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐเพราะรัฐ จะช่วยให้มนุษย์มีความปลอดภัย (Safety) และมีชีวิตอยู่รอด

89. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับคําว่า “Thought Experiment” มากที่สุด
(1) ศิลาจารึก
(2) เอกสารใบลาน
(3) จินตนาการ
(4) คัมภีร์
(5) สื่อสังคมออนไลน์
ตอบ 3 หน้า 33 – 34 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ใช้วิธี “การทดลองทางความคิด” (Thought Experiment) ในการตอบคําถามว่าทําไมมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมืองซึ่งวิธีดังกล่าวจะไม่ใช้การเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์แบบนักประวัติศาสตร์ หรือสืบค้นผ่านหลักฐานทางโบราณคดีแบบพวกนักโบราณคดี แต่จะใช้การจินตนาการโดยใช้เหตุผลถึงพฤติกรรม ของมนุษย์ว่าถ้าพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันอย่างเป็นอิสระ มนุษย์จะเป็นอย่างไร ซึ่งสภาวะจําลองดังกล่าวนี้พวกนักปรัชญา การเมืองสกุลสัญญาประชาคมเรียกว่า “สภาวะธรรมชาติ” (State of Nature) และเมื่อทราบ แล้วว่ามนุษย์อยู่อย่างไร พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจว่าทําไมมนุษย์จึงออกจากสภาวะธรรมชาติ เพื่อมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง

90. จากประโยคที่ว่า “มนุษย์อยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคน อยู่กันอย่างเป็นอิสระ” ตรงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) รัฐธรรมนูญ
(2) อํานาจอธิปไตย
(3) สภาวะธรรมชาติ
(4) เสรีภาพทางความคิด
(5) ทุกข้อเป็นส่วนหนึ่งของประโยคนี้
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

91. ประโยคที่ว่า “By all means we can, to defend ourselves” สัมพันธ์กับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) สิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ในการทําสิ่งที่ดีที่สุดต่อตนเอง
(2) การฆ่าฟันกันโดยไม่มีเหตุผลของมนุษย์
(3) การปกป้องตนเองภายใต้การดํารงอยู่ของรัฐ
(4) การปกป้องตนเองภายใต้รัฐธรรมนูญ
(5) การใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อยึดอํานาจการปกครอง
ตอบ 1 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) ที่จะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินหรือเหตุผลส่วนตัวของเขา ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิตามธรรมชาติ” ตามความคิดของฮอบส์นั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากกฎธรรมชาติ (Law of Nature) อันเป็นกฎสากลทั่วไป ซึ่งกฎธรรมชาติพื้นฐานตามความคิดของฮอบส์ก็คือ มนุษย์ จะถูกห้ามไม่ให้ทําอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของตนเอง หรือถูกบังคับให้ไม่ใช้วิธีการใด ๆ หรือ การละเว้นที่จะทําให้เขามีชีวิตรอด โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเขาคิดว่าจะธํารงไว้ ซึ่งชีวิตของเขา (By all means we can, to defend ourselves)

92. เพราะเหตุใดมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค จึงไม่ทําร้ายคนอื่นในแบบข้อเสนอของโทมัส ฮอบส์
(1) มีศาลทําหน้าที่ในการตัดสิน
(2) มีกฎหมายเป็นตัวกํากับบทลงโทษ
(3) มนุษย์ไม่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง
(4) มนุษย์พยายามทําแล้วแต่ไม่ประสบความสําเร็จ
(5) เป็นการหาเรื่องให้ตนเองตายและไม่ปกป้องตนเอง
ตอบ 5 หน้า 40 – 41 สาเหตุที่ทําให้มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค (John Locke) ไม่ไปทําร้ายคนอื่นในแบบเดียวกันกับมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นั้น ก็เพราะว่ามนุษย์ตามความคิดของล็อคอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่ว่า แต่ละคน ต้องปกป้องรักษาตนเอง ซึ่งด้วยการใช้เหตุผลเข้าใจหลักการตามกฎธรรมชาติดังกล่าว จึงทําให้ มนุษย์ไม่คิดจะไปทําร้ายคนอื่น เพราะการทําร้ายคนอื่นเท่ากับเป็นการหาเรื่องให้ตนเอง บาดเจ็บหรืออาจจะเสียชีวิตได้ ซึ่งก็หมายถึงการไม่ปกป้องรักษาตนเองนั่นเอง

93. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับคําว่า “คุณธรรม” ภายใต้ State of Nature ของโทมัส ฮอบส์
(1) การพูดความจริง
(2) การยึดถือทางสายกลาง
(3) ความกล้าหาญ
(4) การใช้กําลังและความฉ้อฉล
(5) ราชาธิปไตย
ตอบ 4 หน้า 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ก็คือสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) ซึ่งเป็นสภาวะที่มนุษย์ทุกคนจะเป็น ศัตรูต่อกัน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายกันและกัน (Every man against every man) โดยไม่เกี่ยง วิธีการ ในสภาวะสงครามไม่มีคําว่ายุติธรรมหรืออยุติธรรม ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณธรรมอย่างเดียว ที่มีก็คือ การใช้กําลังและการหลอกลวง ฉ้อฉล (Force and Fraud)

94. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับบทบาทของ Leviathan มากที่สุด
(1) Sustaining Anarchy
(2) Keeping them all in Awe
(3) Promoting State of War
(4) Being Judge and Executioner
(5) Protecting Property
ตอบ 2 หน้า 37 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า การเกิดสภาวะสงครามทําให้มนุษย์ จําเป็นต้องแสวงหาสันติภาพเพื่อจะทําให้ทุกคนมีชีวิตรอด โดยต้นเหตุของสภาวะสงครามก็คือสิทธิตามธรรมชาติอันไม่จํากัดที่มีเหนือร่างกายของมนุษย์ทุกคนและมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ มันได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีความจําเป็นที่ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติดังกล่าวให้ Leviathan หรือองค์อธิปัตย์มีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดอย่างไม่จํากัด เพื่อให้มนุษย์ทุกคนตกอยู่ภายใต้ความกลัว (Keeping them all in Awe) และไม่ให้เขาเหล่านั้นกลับไปอยู่ในสภาวะธรรมชาติอันเป็นสภาพของสงครามอีกต่อไป

95. สําหรับจอห์น ล็อค ข้อใดต่อไปนี้เป็นคุณลักษณะของการลงโทษที่อาจตามมาจาก “Self-Love”
(1) Benevolence
(2) Charity
(3) Supportive
(4) Violent Death
(5) Revenge
ตอบ 5 หน้า 42 – 43 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนในสภาวะธรรมชาตินั้น เป็นทั้งคนตัดสินและใช้อํานาจลงโทษโดยลําพังตามกฎธรรมชาติ (Judge and Executioner)แต่การตัดสินลงโทษผู้ที่ละเมิดอาจจะไม่เป็นไปตามโทษที่สมควรได้รับทั้งนี้ก็เนื่องจากการรักตนเอง (Self-Love) หรือรักพวกพ้องของตนเอง จึงอาจทําให้มนุษย์ตัดสินเข้าข้างตนเองหรือ เข้าข้างพวกพ้องที่ตนรัก หรืออาจจะตัดสินลงโทษไปด้วยความต้องการที่จะล้างแค้น (Revenge) ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์จะต้องยกอํานาจในการตัดสินและ การลงโทษดังกล่าวให้กับรัฐบาลหรือสังคมการเมืองเป็นผู้ทําหน้าที่แทน

96. ข้อใดต่อไปนี้คือคุณลักษณะการทําหน้าที่ของสังคมการเมืองในแบบจอห์น ล็อค
(1) Moderate Scarcity
(2) Leviathan
(3) Utopia
(4) Judge and Executioner
(5) Maximizing Utility
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับสภาวะธรรมชาติของรุสโซมากที่สุด
(1) มนุษย์โหดร้ายป่าเถื่อน
(2) มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคม
(3) มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว
(4) มนุษย์รักความยุติธรรมและเสรีภาพ
(5) มนุษย์มีจิตใจโอบอ้อมอารี
ตอบ 3 หน้า 50 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มองว่า ในสภาวะธรรมชาติมนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใคร ไม่มีใครสนใจใครหรือเปรียบเทียบระหว่างกัน สิ่งนี้เองที่ทําให้มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน ไม่ใช่ว่ามีความเหมือนกันในความเป็นมนุษย์ แต่เพราะว่าทุก ๆ คนต่างก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต่างก็เป็นนายตัวเอง มีอิสระ ต่อกัน และมีเสรีภาพอย่างเต็มที่

ตั้งแต่ข้อ 98 – 99. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) John Locke
(2) Joseph Schumpeter
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Rawls
(5) John Austin

98.ผลงานที่ชื่อว่า “Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men” เป็นผลงานของ นักปรัชญาการเมืองคนใด
ตอบ 3 หน้า 45 – 46, 94, คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นบิดา แห่งลัทธิ Romanticism และแนวคิดของเขาก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 โดยผลงานที่สําคัญของรุสโซ มีดังนี้
1. หนังสือเรื่อง “ความเรียงว่าด้วยต้นกําเนิดและรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคของ มวลมนุษยชาติ” หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ “Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men” “On the Origin and Foundation of Inequality of Mankind” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1755
2. หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1762 เป็นงานเขียนที่นําแนวคิดสัญญาประชาคมมาเป็นชื่องานของตน

99.“ประชาธิปไตยคือการปกครองของนักการเมือง” วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของนักคิดคนใด
ตอบ 2 หน้า 124 – 125 โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักคิดชาวออสเตรีย เป็นผู้เขียน งานเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้เสนอ ทฤษฎีประชาธิปไตยว่าเป็นการปกครองด้วยตัวแทนที่ถูกเลือกเข้ามา ไม่ใช่การปกครองของประชาชน การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเพียงแค่กลไกในการให้ผู้นําทางการเมือง มาแข่งขันเพื่อเข้าไปใช้อํานาจเท่านั้น ดังที่เขากล่าวว่า “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความ และสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษร ของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น…. ดังนั้นเองในด้านหนึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของ นักการเมือง (Democracy is the Rule of the Politician)” ทั้งนี้วิธีคิดดังกล่าวภายหลัง ถูกเรียกว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบชุมปีเตอร์” (Schumpeterian Democracy)

100. Democracy is the Rule of the Politician มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Lockean Democracy
(2) Jeffersonian Democracy
(3) Madisonian Democracy
(4) Schumpeterian Democracy
(5) Athenian Democracy
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 99. ประกอบ

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. ข้อความดังกล่าวนี้ตรงกับตัวเลือกใดมากที่สุด “ตั้งคําถามเกี่ยวกับเรื่องการโกหกว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี
(1) อภิปรัชญา
(2) อุดมการณ์ทางการเมือง
(3) สุนทรียศาสตร์
(4) จริยศาสตร์
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควร จะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่า ความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือ สิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หรือการโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

2. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับความหมายของคําว่า Political Ideology
(1) บางครั้งมีผู้เรียกว่ามันคือ ศาสนาทางการเมือง
(2) Liberalism
(3) ไม่จําเป็นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือยึดหลักศีลธรรมหรือคุณธรรมทางการเมือง
(4) เป็นความเชื่อที่ไม่เป็นระบบมากนัก มักเป็นเรื่องที่ใครคนใดคนหนึ่งเชื่อ
(5) มีจุดมุ่งหมายเพื่อกล่อมเกลาสมาชิกที่ยึดถือให้มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน
ตอบ 4 (คําบรรยาย) อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) หรือบางครั้งมีผู้เรียกว่ามันคือ ศาสนาทางการเมือง เป็นความเชื่อทางการเมืองที่เป็นระบบ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อกล่อมเกลา สมาชิกที่ยึดถือให้มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน โดยอุดมการณ์ทางการเมืองนี้ไม่จําเป็นต้อง เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือยึดหลักศีลธรรมหรือคุณธรรมทางการเมือง ตัวอย่างของอุดมการณ์ทาง การเมือง เช่น เสรีนิยม (Liberalism) อนุรักษ์นิยม (Conservatism) ฟาสซิสต์ (Fascism) คอมมิวนิสต์ (Communism) เป็นต้น ส่วนความคิดทางการเมือง (Political Thought) นั้น เป็นความเชื่อที่ไม่เป็นระบบมากนัก มักเป็นเรื่องที่ใครคนใดคนหนึ่งเชื่อ

3. ข้อใดเกี่ยวข้องกับข้อความดังต่อไปนี้ “มุ่งศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ว่ามีลักษณะสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร”
(1) Ethics
(2) Political Philosophy
(3) Logic
(4) Political Ideology
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ง ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

4. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ Normative Political Theory
(1) ไม่ใช่สิ่งเดียวกับปรัชญาการเมือง
(2) ประชาธิปไตยคือการปกครองที่ดีที่สุดจริงหรือไม่
(3) ไม่ปลอดจากค่านิยม
(4) เป็นแนวทางหลักในยุคคลาสสิก :
(5) ทุกข้อกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ Normative Political Theory
ตอบ 1 หน้า 12 – 13 จุดมุ่งหมายของปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือ การศึกษาถึง ธรรมชาติ หรือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด หรือความจริงแท้สูงสุดอันเป็นสากลในทางการเมือง แต่จะไม่มุ่งอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ด้วยเหตุนี้รูปแบบการศึกษาปรัชญาการเมือง จึงถูกเรียกว่า “การศึกษาการเมืองแบบปทัสถานนิยม” (Normative Political Theory) คือ เป็นการศึกษาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานในทางการเมือง เพื่อที่จะนําความรู้นั้นไปสร้างบรรทัดฐาน หรือการเมืองที่ควรจะเป็นขึ้นมา ดังนั้นวิธีการศึกษาปรัชญาการเมืองจึงมีความแตกต่างกับวิธี การศึกษาของรัฐศาสตร์กระแสหลักอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากปรัชญาการเมืองไม่ได้มีการพยายาม หาคําตอบหรือมีการหาความรู้ด้วยระเบียบวิธีวิจัยแบบวิทยาศาสตร์ แต่ปรัชญาการเมืองจะใช้ทัศนคติ ค่านิยม ประสบการณ์ของตัวนักคิดมาอธิบาย

5. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ Empirical Political Theory
(1) เน้นอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(2) เน้นทํานายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(3) เป็นเครื่องมือหลักของนักปรัชญาการเมือง
(4) รัฐศาสตร์กระแสหลักแบบอเมริกัน
(5) ฐานคิดอยู่บนหลักการแบบวิทยาศาสตร์ตอบ 3
ตอบ 3 หน้า 11 – 12, (คําบรรยาย) ทฤษฎีการเมืองเชิงประจักษ์ (Empirical Political Theory) เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ปัจจุบันที่มุ่งเน้นการอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนมุ่งเน้นทํานายถึงผลลัพธ์ทางการเมืองของปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยเน้นการพรรณนาให้เห็นว่าปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุหรือกลไกใดที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ นั้น ๆ ขึ้นมา เป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากการศึกษาการเมืองแบบอเมริกัน โดยการศึกษาดังกล่าวจะมีระเบียบการหาความรู้แบบเดียวกับวิทยาศาสตร์

ข้อ 6. – 10. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Philosophia Perennis
(2) Aesthetics
(3) Love of Wisdom
(4) Democracy
(5) Sophist

6.“ความสวย ความหล่อ ขึ้นอยู่กับการให้คุณค่าของคนในแต่ละสังคม” คําพูดดังกล่าวนี้น่าจะตรงกับสาขาใดของปรัชญา
ตอบ 2 หน้า 2 – 3, (คําบรรยาย) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นสาขาที่มุ่งพยายามหาคําตอบใน แง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม ดังนั้นคําถามของสาขานี้จึงมักจะถามกันว่า ความงามคือ อะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงาม ความสวย ความหล่อขึ้นอยู่กับการให้คุณค่าของ คนในแต่ละสังคมหรือขึ้นอยู่กับอะไร ศิลปะคืออะไร เป็นศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อศิลปะ ฯลฯ

7.คือความหมายของคําว่า Philosophy
ตอบ 3 หน้า 5 คําว่า “ปรัชญา” (Philosophy) เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้นปรัชญาจึงหมายถึง “ความรัก ในความรู้” (Love of Wisdom) นั่นเอง

8.Thrasymachus
ตอบ 5 หน้า 9 – 10 โซฟิสต์ (Sophist) เป็นชื่อของกลุ่มคนในยุคกรีกโบราณที่มีอาชีพสอนพลเมือง ให้มีความรู้ต่าง ๆ ทางการเมือง เช่น สอนพลเมืองให้มีทักษะในการโต้เถียงหรือพูดในที่สาธารณะ โดยพวกโซฟิสต์มักจะเป็นชาวต่างด้าวหรือไม่ใช่พลเมืองชาวเอเธนส์ โซฟิสต์คนสําคัญที่มีชื่อเสียง ในยุคกรีกโบราณ ได้แก่ โปรทากอรัส (Protagoras), กอร์เกียส (Gorgias), ฮิปปิอัส (Hippias), ทราไซมาคุส(Thrasymachus) เป็นต้น

9.หัวใจคือ Equality
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีหัวใจ หรือให้ความสําคัญกับสิทธิ (Right) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของ ประชาชน โดยเชื่อว่าสมาชิกของสังคมทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เช่น การออกเสียงเลือกตั้ง การรวมกลุ่ม การพูดและแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ เป็นต้น

10. เป็นคําถามหนึ่งที่นักปรัชญาการเมืองชอบถามนั่นก็คือ มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพหรือไม่
ตอบ 1 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ กฎหมายคืออะไร ทําไมเราต้อง เชื่อฟังกฎหมาย มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพหรือไม่ ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควร ที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น

ข้อ 11. – 15. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Telos
(2) Liberty to Acquiesce or Resist
(3) Existentialism
(4) Utilitarianism
(5) David Hume

11. สุนัขหิวก็กิน อยากขับถ่ายก็ไม่ต้องรอ แต่มนุษย์เราเลือกที่จะทําเช่นนี้หรือไม่ก็ได้
ตอบ 2 หน้า 136 – 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา กล่าวว่า ธรรมชาตินั้นกําหนดให้สัตว์ทุกตัวดํารงชีวิตหรือทําอะไรก็แล้วแต่เป็นไปตามแรงกระตุ้นจาก สัญชาตญาณ และแม้ว่ามนุษย์นั้นจะได้รับแรงกระตุ้นดังกล่าวเหมือนกับสัตว์อื่น ๆ แต่มนุษย์ ก็มีเสรีภาพในการเลือกที่จะทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce or Resist) มนุษย์ เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่มีเสรีภาพนี้ และเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ โดยรุสโซเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “Quality of Free Agency” ตัวอย่างเช่น สุนัขหิวก็กิน อยาก ขับถ่ายก็ไม่ต้องรอ แต่มนุษย์เราเลือกที่จะทําเช่นนี้หรือไม่ก็ได้

12. “สังคมควรมีเสรีภาพกว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด แต่กระนั้นก็ไม่ควรอ้างว่าเสรีภาพนี้มีที่มาจาก สิทธิติดตัวของมนุษย์ตั้งแต่กําเนิด แต่การที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวาง มันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด” เป็นแนวคิดในเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 116, 149, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) นักคิดชาวอังกฤษ ต้องการให้สังคมนั้นมีเสรีภาพกว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อ้างว่า เสรีภาพนี้มีที่มาจากสิทธิติดตัวของมนุษย์ตั้งแต่กําเนิด แต่การที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวางมันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด ซึ่งแนวคิด ของมิลล์นี้เป็นไปตามหลักการของประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งคํานึงถึง “ความสุข” “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” เป็นหลัก โดยนักคิดที่ยึดถือหลักการประโยชน์นิยมนั้น จะมีหลักการพื้นฐานร่วมกันที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุขที่มาก ที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” หรือถือว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างวัดกันที่อรรถประโยชน์เป็นหลัก”

13. เป็นแนวคิดของนักคิดฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 20
ตอบ 3 หน้า 142, 144, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 20 สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เขามีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นถูกกําหนด ให้มีเสรีภาพ ดังที่เขากล่าวไว้ว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติของมนุษย์ มนุษย์ไม่อาจจะเป็นทาส บางเวลาและเป็นเสรีบางเวลาได้ เขาเป็นเสรีภาพอย่างเต็มที่ตลอดกาล หรือมิฉะนั้นก็ไม่เป็น เสรีภาพตลอดกาล เพราะมนุษย์ถูกสาปให้เป็นเสรีภาพ

14. มนุษย์ถูกกําหนดให้มีเสรีภาพ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

15. นักคิดชาวสกอตแลนด์ที่ไม่เชื่อเรื่องสิทธิตามธรรมชาติ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) เดวิด ฮิวม์ (David Hume) เป็นนักคิดชาวสกอตแลนด์ที่ไม่เชื่อในเรื่องสิทธิ
ตามธรรมชาติ (Natural Right)

ข้อ 16. – 25. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau

16. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมี เงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น…. และตราบเท่าที่สิ่งที่เรา ทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”
ตอบ 1 หน้า 152 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอว่า สังคมควรมีการอนุญาตให้เสรีภาพ ต่อมนุษย์ทุกคนอย่างกว้างขวางที่สุด แต่กระนั้นการให้เสรีภาพตามความคิดของมิลล์ใช่ว่าจะ ไม่มีข้อจํากัด โดยมิลล์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมา อย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปราย อย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไร ทํานองนั้น…. และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”

17. ใครเป็นผู้เขียนงานเรื่องเจ้าผู้ปกครอง
ตอบ 4 หน้า 128, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เป็นนักคิดในยุคแห่ง การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ชาวอิตาเลียน มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1469 – 1527 เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่” และได้เขียนหนังสือสําคัญ เล่มหนึ่งเพื่อเป็นคําแนะนําการปกครองให้ผู้ปกครองที่ชื่อว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1532

18. ต่อต้านการปฏิวัติฝรั่งเศสอย่างแข็งขัน
ตอบ 3 หน้า 124, (คําบรรยาย) เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) เป็นบิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยม สมัยใหม่ (Modern Conservative) มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1729 – 1797 เขาเป็นนักคิดที่มีชีวิต อยู่ร่วมสมัยกับการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 แต่มีความคิดต่อต้านการปฏิวัติดังกล่าวอย่างแข็งขัน

19. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิดก็คือการสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปากไม่ให้โต้เถียงกัน ทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจยอมให้การประณามคัดค้าน ความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมด ทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”
ตอบ 1 หน้า 149 – 150 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ไม่เห็นด้วยกับการที่คนส่วนใหญ่หรือ คนใดคนหนึ่งจะไปปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของคนอีกคนหนึ่งโดยอ้างว่าความคิดเห็นนั้นเป็นสิ่งที่ผิด โดยมิลล์ได้กล่าวไว้ว่า “การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิดก็คือ การสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปาก ไม่ให้โต้เถียงกันทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจ ยอมให้การประณามคัดค้านความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”

20. “Champion of Liberty” คือฉายาของใคร
ตอบ 1 หน้า 147 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ได้รับฉายาว่าเป็น “แชมป์เปี้ยน แห่งเสรีภาพ” (Charnpion of Liberty) โดยเขาได้เขียนงานชิ้นสําคัญเกี่ยวกับเสรีภาพออกมา ในปี ค.ศ. 1859 ชื่อว่า “On Liberty”

21. บิดาแห่งลัทธิ Romanticism
ตอบ 5 หน้า 45 – 46, 94, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นบิดา แห่งลัทธิ Romanticism และแนวคิดของเขาก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 โดยผลงานที่สําคัญของรุสโซ มีดังนี้
1. หนังสือเรื่อง “ความเรียงว่าด้วยต้นกําเนิดและรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคของ มวลมนุษยชาติ” หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ “Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men” ve “On the Origin and Foundation of Inequality of Mankind” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1755
2. หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1762 เป็นงานเขียนที่นําแนวคิดสัญญาประชาคมมาเป็นชื่องานของตน

22. ทุกสิ่งทุกอย่างวัดกันที่อรรถประโยชน์เป็นหลัก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

23. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “มนุษย์คิดสร้างตัวเองภายหลังการมีอยู่ และเนื่องจากเขาต้องการ สร้างให้ตัวเองเป็นภายหลังการมีอยู่ มนุษย์จึงมิใช่อะไรอื่นนอกจากผลิตผลที่เขาสร้างขึ้นให้แก่ตัวเอง”
ตอบ 2 หน้า 142 – 143 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) ได้อธิบายวิธีคิดเกี่ยวกับเสรีภาพของ เขาว่า มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือแก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัวมากับมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ไม่มีพระเจ้า เวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือธรรมชาติใด ๆ มากําหนด ชีวิตเป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็นผู้กําหนดว่า ตัวเองจะเป็นอย่างไร ดังที่ซาร์ตกล่าวว่า “การมีอยู่มาก่อนสาระหมายความว่าอย่างไร เรา หมายความว่าก่อนอื่นใดทั้งหมด มนุษย์มีอยู่ ค้นพบตัวเองปรากฏตัวในโลก และนิยามตัวเอง ภายหลัง…. ถ้ามนุษย์นิยามไม่ได้ ก็เป็นเพราะว่า ก่อนอื่นใดมนุษย์ไม่ใช่อะไรเลย เขาจะเป็น อะไรก็ตามหลังจากนั้น และเขาจะเป็นตามที่เขาสร้างตัวเองให้เป็น… เนื่องจากมนุษย์คิดสร้าง ตัวเองภายหลังการมีอยู่ และเนื่องจากเขาต้องการสร้างให้ตัวเองเป็นภายหลังการมีอยู่ มนุษย์
จึงมิใช่อะไรอื่นนอกจากผลิตผลที่เขาสร้างขึ้นให้แก่ตัวเอง…”

24. ความคิดของเขานําไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

25. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน”
ตอบ 5 หน้า 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรกของ หนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหน เขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน…. การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจน เป็นการละทิ้งสิทธิและหน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมด ออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

ข้อ 26 – 35. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) John Stuart Mill
(2) James Madison
(3) Edmund Burke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Plato

26. ใครเป็นผู้เขียน “Federalist Papers No. 10
ตอบ 2 หน้า 121 – 122, (คําบรรยาย) เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของ สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งชาติของสหรัฐอเมริกา (American Founding Fathers) และถือได้ว่ามีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน เขาพยายามที่จะเสนอรูปแบบการ ปกครองสําหรับสหรัฐอเมริกาให้เป็นการปกครองด้วยตัวแทน โดยเสนอความคิดดังกล่าวไว้ใน งานเขียนชื่อว่า “The Federalist Papers No. 10” ซึ่งมีข้อความดังนี้ “สําหรับประชาธิปไตย แบบบริสุทธิ์ ซึ่งข้าพเจ้าหมายถึง สังคมที่ประกอบด้วยพลเมืองจํานวนหนึ่งผู้ซึ่งมารวมตัวกัน และบริหารรัฐบาลด้วยตนเองนั้น…. เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็น สิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครองลักษณะนี้มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง…. ส่วนมหาชนรัฐ (Republic) ซึ่งข้าพเจ้าหมายถึง รัฐบาลที่มีระบบการแทนตนนั้น ได้ก่อให้เกิดลู่ทางที่แตกต่างกันออกไป… จุดแตกต่างใหญ่สองจุดระหว่างประชาธิปไตยและมหาชนรัฐคือ ประการแรก การมอบอํานาจ การปกครองให้กับพลเมืองจํานวนน้อยซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากพลเมืองที่เหลือ ประการที่สอง การที่จํานวนพลเมืองและขอบเขตของประเทศสามารถจะขยายออกไปได้มากกว่า…”

27. ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้ “ประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์ เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและ การโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไป รูปแบบการปกครองลักษณะนี้มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

28. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “มหาชนรัฐ (Republic) ซึ่งข้าพเจ้าหมายถึง รัฐบาลที่มีระบบ การแทนตนนั้น ได้ก่อให้เกิดลู่ทางที่แตกต่างกันออกไป…”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

29. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “จุดแตกต่างใหญ่สองจุดระหว่างประชาธิปไตยและมหาชนรัฐคือ ประการแรก การมอบอํานาจการปกครองให้กับพลเมืองจํานวนน้อยซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากพลเมืองที่เหลือ ประการที่สอง การที่จํานวนพลเมืองและขอบเขตของประเทศสามารถจะขยายออกไปได้มากกว่า”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

30. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ผู้แทนของท่านมีหน้าที่ต่อท่านไม่เฉพาะในเรื่องความขยันขันแข็ง พากเพียรอุตสาหะเท่านั้น แต่ในเรื่องการใช้วิจารณญาณ มันก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เขาต้องมีต่อท่านด้วย และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้วิจารณญาณตัดสินไปตามความคิดเห็นของพวกท่าน เมื่อนั้นเองพวกเขาก็ได้ชื่อว่าทรยศต่อท่านและไม่ได้เป็นผู้รับใช้ท่านอีกต่อไปแล้ว”
ตอบ 3 หน้า 124 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องผู้แทนไว้ใน “Speech to the Electors of Bristol” ว่า “ผู้แทนของท่านมีหน้าที่ต่อท่านไม่เฉพาะในเรื่องความขยัน ขันแข็งพากเพียรอุตสาหะเท่านั้น แต่ในเรื่องการใช้วิจารณญาณ มันก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เขา ต้องมีต่อท่านด้วย และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้วิจารณญาณตัดสินไปตามความคิดเห็นของพวกท่านเมื่อนั้นเองพวกเขาก็ได้ชื่อว่าทรยศต่อท่านและไม่ได้เป็นผู้รับใช้ท่านอีกต่อไปแล้ว”

31. บุคคลใดถือว่าเป็นหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งชาติของสหรัฐอเมริกา (Founding Fathers)
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

32.หนังสือเรื่อง “The Republic” ใครเป็นคนเขียน
ตอบ 5 หน้า 85, 87, 132 เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Republic” ว่า ผู้ปกครองนั้นควรเป็นคนที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และเหมาะสมกับหน้าที่ ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้ ซึ่งตามความคิดของเพลโตนั้นมองว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดที่ถูกกําหนด มาจากธรรมชาติแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงผู้ปกครองด้วย เพราะการปกครองก็ถือว่าเป็นทักษะหนึ่ง ที่เฉพาะทางไม่ต่างกับช่าง หมอ หรือการงานหน้าที่อื่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ควรที่จะเป็นใคร ก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มีธรรมชาติเป็นผู้ปกครอง และมีทักษะ ตลอดจนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

33. คนที่ปกครองควรเป็นคนที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และเหมาะสมกับหน้าที่ แนวคิดนี้เป็นของใคร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34. ใครเป็นคนที่เขียนงานเรื่อง “Considerations on Representative Government”
ตอบ 1 หน้า 115 – 116, 120, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอ รูปแบบการปกครองโดยผู้แทน (Representative Government) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยแบบตัวแทน” (Representative Democracy, เพราะมองว่าผู้ปกครองที่ มาจากระบบตัวแทนนั้นคือ ผู้ปกครองที่ดีที่สุด โดยแนวคิดดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่ในงานเขียน ของเขาเรื่อง “Considerations on Representative Government”

35. นักคิดในศตวรรษที่ 18 คนใดที่กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้ “เมื่อต้องไปประชุมสภาหรือ พวกเขาก็แต่งตั้ง ตัวแทนขึ้นมาแล้วก็นอนอยู่บ้าน ด้วยเหตุแห่งความเกียจคร้านและเงินทอง ชีวิตของพวกเขาจึงจบลง ด้วยการที่มีทหารเพื่อกดขี่ปิตุภูมิตนเอง และมีผู้แทนเพื่อจะขายชาติตนเอง”
ตอบ 4 หน้า 125 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดในศตวรรษที่ 18 ได้โจมตี ระบอบผู้แทนไว้อย่างรุนแรง โดยกล่าวว่า “ทันทีที่การรับใช้สาธารณะไม่ได้กลายมาเป็นหน้าที่หลัก ของพลเมือง และเมื่อพวกเขาชอบรับใช้ถุงเงินของตนมากกว่าตัวตนของตน เมื่อนั้นรัฐก็เข้าใกล้ ความพินาศ เมื่อต้องถึงเวลาไปรบ พวกเขากลับจ่ายเงินให้กองทหารแล้วก็นอนอยู่บ้าน เมื่อต้องไป ประชุมสภาหรือ พวกเขาก็แต่งตั้งตัวแทนขึ้นมาแล้วก็นอนอยู่บ้าน ด้วยเหตุแห่งความเกียจคร้าน และเงินทอง ชีวิตของพวกเขาจึงจบลงด้วยการที่มีทหารเพื่อกดขี่ปิตุภูมิตนเอง และมีผู้แทน เพื่อจะขายชาติตนเอง”

ข้อ 36 – 42. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Machiavelli
(2) Montesquieu
(3) Joseph Schumpeter
(4) John Locke
(5) Aritstotle

36. เป็นลูกศิษย์ของเพลโต
ตอบ 5 หน้า 25, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักคิดชาวมาซิโดเนีย ลูกศิษย์ของเพลโต (Plato) เขามีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีผลงานที่สําคัญ ได้แก่ งานเขียนเรื่อง “Politics” และ “Nicomachean Ethics”

37. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความและสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษรของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับ
หรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น”
ตอบ 3 หน้า 124 – 125 โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักคิดชาวออสเตรีย เป็นผู้เขียน งานเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้เสนอ ทฤษฎีประชาธิปไตย โดยกล่าวว่า “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความและสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษรของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น… ดังนั้นเองในด้านหนึ่ง เราอาจจะกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของนักการเมือง (Democracy is the Rule of the Politician)”

38. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มนุษย์ทุกคนจะสามารถนํามัน มาใช้ประโยชน์ได้ หรือนํามันมาเป็นเจ้าของได้ภายใต้เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ด้วยการที่เขานําแรงงานของ ตัวเขาเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้นๆ”
ตอบ 4 หน้า 162 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มนุษย์ทุกคนจะสามารถนํามันมาใช้ประโยชน์ได้ หรือนํามันมาเป็นเจ้าของได้ภายใต้เงื่อนไขใด เงื่อนไขหนึ่ง ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเขาเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นไป ด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็น กรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม

39. นักคิดคนใดที่กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้ “การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก”
ตอบ 1 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขา กล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก เพราะธรรมชาติมนุษย์นั้น อกตัญญู เปลี่ยนใจง่าย เป็นพวก มือถือสาก ปากถือศีล และพวกอําพราง พวกหลีกเลี่ยงอันตราย ผู้รักผลได้…”

40. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของ ความชั่วต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสีย แล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตามก็จะ กลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตามก็จะสัมฤทธิ์ผล ในด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”
ตอบ 1 หน้า 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองนั้นไม่ควรจะ คํานึงแต่การทําดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะในกรณีที่ว่าถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐ แต่การทําชั่วสามารถทําให้เขารักษารัฐได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองก็ควรจะเลือกการทําชั่ว ดังที่เขากล่าวว่า “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่ว ต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรองทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะสัมฤทธิ์ผลในด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”

41. นักคิดชาวฝรั่งเศสที่เสนอเรื่องการแบ่งแยกอํานาจ
ตอบ 2 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศสที่เสนอให้ แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจ ตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ในหนังสือ เรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des lois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

42. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ธรรมชาติมนุษย์นั้น อกตัญญู เปลี่ยนใจง่าย เป็นพวกมือถือสาก ปากถือศีล และพวกอําพราง พวกหลีกเลี่ยงอันตราย ผู้รักผลได้”
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

ข้อ 43 – 47. จงเติมรูปแบบการปกครองตามความคิดของอริสโตเติลลงในตารางข้างล่างตามข้อที่กําหนดโดยใช้ตัวเลือกดังต่อไปนี้
(1) Democracy
(2) Polity
(3) Oligarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy

43.ตอบ 4 หน้า 104 – 105 อริสโตเติล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

44.ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45.ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

46.ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

47. ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

ข้อ 48 – 60. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Harold D. Lasswell
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick

48. กรรมกรต้องรวมกลุ่มกันโค่นล้มรัฐนายทุน
ตอบ 1 หน้า 174 – 176 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นผู้สนับสนุนการยึดครองรัฐโดยชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) โดยเขาเรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพรวมกลุ่มกันปฏิวัติโค่นล้มรัฐนายทุนและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็นรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการผลิตของชนชั้นนายทุนให้กลายมาเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งแนวคิดของมาร์กซ์นี้ปรากฏอยู่ใน “แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848

49. ผู้เขียน “A Theory of Justice
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice” (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 จากผลงานนี้เอง ที่ทําให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) กล่าวยกย่องรอลส์ ว่าเป็นนักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20

50. “กรรมกรนั้นยิ่งทํางานมากขึ้น ๆ กลับมีแต่ยากจนลง และไม่มีวันจะเก็บหอมรอมริบสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เพราะว่าค่าแรงที่กรรมกรได้รับในแต่ละวันนั้นเพียงพอแค่ที่กรรมกรจะมีชีวิตรอดไปวัน ๆ” วิธีคิดดังกล่าวนี้
เป็นความคิดของใครที่ใช้อธิบายระบบทุนนิยม
ตอบ 1 หน้า 172 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ในระบบทุนนิยมนั้นกรรมกรยิ่งทํางาน มากขึ้น ๆ กลับมีแต่ยากจนลง และไม่มีวันจะเก็บหอมรอมริบสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เพราะว่า ค่าแรงที่กรรมกรได้รับในแต่ละวันนั้นเพียงพอแค่ที่กรรมกรจะมีชีวิตรอดไปวัน ๆ ไม่นับถึง ครอบครัวที่กรรมกรผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องเลี้ยงดู ซึ่งในส่วนนั้นนายจ้างไม่ได้บวกเพิ่มให้ไปในค่าแรงของกรรมกร เพราะนายจ้างถือว่าแรงงานคนเดียวแลกกับค่าจ้างของคน ๆ เดียว

51. รัฐควรมีหน้าที่เหมือนนักดับเพลิง หรือไม่ก็คนเฝ้ายามก็เพียงพอแล้ว
ตอบ 2 หน้า 188, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” ในปี ค.ศ. 1974 โดยโนซิคได้แถลงจุดประสงค์ในหนังสือว่าเขาต้องการ จะหักล้างข้ออ้างที่เสนอโดยจอห์น รอลล์ที่ว่า รัฐขนาดใหญ่เป็นรัฐที่ชอบธรรมได้ก็เพราะว่า ความใหญ่โตของรัฐจะมีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ซึ่งโนซิคไม่เห็นด้วย และเห็นว่ารัฐขนาดเล็ก (Minimal State) ต่างหากที่เป็นรัฐที่ชอบธรรม ซึ่งรัฐขนาดเล็กตาม ความคิดของโนซิคนั้นเป็นรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนในระดับน้อยที่สุด ไม่ว่าจะ ในทางเศรษฐกิจหรือในทางการเมือง โดยรัฐจะทําหน้าที่เหมือนนักดับเพลิง หรือไม่ก็คนเฝ้ายาม คอยดูแลไม่ให้ประชาชนละเมิดกติกาหรือข้อตกลงพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันเท่านั้น

52. ใครเป็นผู้เขียน “Anarchy, State and Utopia” ตีพิมพ์ออกมาปี ค.ศ. 1974
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

53. สนับสนุน Minimal State
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

54. “ร่างกาย แรงงาน และทรัพย์สินเป็นของเรา ใครจะมายึดไปอย่างชอบธรรมไม่ได้” เป็นวิธีคิดของใคร
ตอบ 2 หน้า 189, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) ได้เสนอ “หลักความยุติธรรม ในการครอบครองตั้งต้น” (Principle of Justice in Entitlement) ซึ่งเป็นหลักการที่เสนอว่า ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหารายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้ โดยทรัพยากรนั้นก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกาย แรงงาน สติปัญญา หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของ ต่าง ๆ มาอย่างชอบธรรม ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ชอบธรรมไปด้วยใครจะมาพรากหรือยึดเอาทรัพย์สินหรือรายได้เหล่านั้นไปอย่างชอบธรรมไม่ได้

55. บุคคลใดเขียนงานขึ้นมาส่วนหนึ่งเพื่อโจมตีแนวคิดเรื่อง “หลักการความแตกต่าง (Difference Principle)” ของ John Rawls
ตอบ 2 หน้า 192 โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) ได้เขียนงานขึ้นมาเพื่อโจมตีแนวคิดเรื่อง “หลักการ ความแตกต่าง” (Difference Principle) ของจอห์น รอลส์ (John Rawis) โดยโนซิคมองว่า การที่คน ๆ หนึ่งได้รับทรัพย์สินมาด้วยวิธีการอันชอบธรรม หรือได้มาโดยการแลกเปลี่ยนอย่าง เสรี ทรัพย์สินหรือดอกผลที่เกิดขึ้นนั้น ๆ ก็ถือว่าชอบธรรม และการที่รัฐจะนําไปแจกจ่ายให้กับ คนที่เสียเปรียบก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะนํามาสร้างความชอบธรรมได้ มากไปกว่านั้นการที่รัฐเข้ามาแทรกแซงด้วยการกระจายทรัพยากรจากคนใดคนหนึ่งเพื่อนําไปช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาส ในรูปของการเก็บภาษี หรือด้วยรูปแบบการกระจายทรัพยากรอื่น ๆ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่แตกต่างกับ การขโมยหรือการก่ออาชญากรรม นั่นก็เพราะว่ามันเป็นการใช้กําลังบังคับเอาของจากคน ๆ หนึ่ง ที่เขามีสิทธิต่อทรัพย์สินนั้นอย่างเต็มที่ไปโดยที่เขาไม่ได้ยินยอม

56. ใครเป็นคนกล่าวว่า “การเมือง คือ เรื่องของการที่ใครได้อะไร เมื่อไร และอย่างไร”
ตอบ 3 หน้า 159 ฮาโรลด์ ดี. แลสเวลล์ (Harold D. Lasswell) กล่าวว่า การเมือง คือ เรื่องของ การที่ใครได้อะไร เมื่อไร และอย่างไร (Politics is who gets what, when, and how)

57. นําเรื่องความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของคนจนอังกฤษนําไปเสนอรัฐสภา
ตอบ 5 หน้า 168, (คําบรรยาย) เซอร์เอ็ดวิน แชดวิก (Sir Edwin Chadwick) เป็นนักปฏิรูปสังคม ชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1800 – 1890) เขาได้ไปสํารวจชีวิตของ คนจนอังกฤษซึ่งมีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นและเขียนเป็นรายงานเสนอรัฐสภา โดยเขาเล่าว่าคนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว คนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรม ที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็นสภาพชีวิตของคนจนในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

58. เป็นบุคคลที่มีแนวโน้มสนับสนุนการยึดครองรัฐโดยกรรมาชีพมากที่สุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

59. ผู้เขียน “The Communist Manifesto” ตีพิมพ์ ค.ศ. 1848
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

60. บุคคลใดแนวโน้มเห็นด้วยมากที่สุดกับแนวคิดเรื่องการที่เราได้มรดกมาอย่างถูกต้องเราก็จะนําไปใช้ อย่างไรก็ได้ รัฐบาลไม่ควรมีสิทธิมาเก็บเงินนั้นเพื่อนําไปกระจายให้กับคนจน
ตอบ 2 หน้า 189, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) มีแนวคิดว่า การที่เราได้มรดก มาอย่างถูกต้องชอบธรรมเราก็จะนําไปใช้อย่างไรก็ได้ รัฐบาลไม่ควรมีสิทธิมาเก็บเงินหรือ นําทรัพย์สินนั้น ๆ ไปกระจายให้กับคนจนหรือคนด้อยโอกาสได้อย่างชอบธรรม ซึ่งแนวคิดนี้ เป็นไปตาม “หลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน” (Principle of Justice in Transfer) ของ โนซิคที่เสนอไว้ว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับสิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือ ด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้งกําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สิน ที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็นสิ่งที่ชอบธรรม รัฐหรือเอกชนคนใดก็ไม่มีสิทธิจะมาพรากเอา ทรัพย์สินหรือรายได้นั้น ๆ ไปจากเจ้าของได้อย่างชอบธรรม

ข้อ 61. – 80. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Aristotle
(2) Thomas Hobbes
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

61. บุคคลมองว่า รัฐนั้นเกิดขึ้นมาจากการที่มนุษย์นั้นเข่นฆ่ากัน
ตอบ 2 หน้า 32, 36 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักคิดชาวอังกฤษ ได้อธิบายถึงเหตุผล ที่มนุษย์ต้องเข้ามาอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมืองก็เนื่องจากถ้ามนุษย์ไม่มีรัฐ มนุษย์ก็จะทะเลาะ เบาะแว้งเข่นฆ่ากันไม่รู้จบหรือเรียกว่าอยู่ในสภาวะสงคราม ซึ่งมนุษย์จะไม่ความปลอดภัยใด ๆทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเกิดรัฐและมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐเพราะรัฐจะช่วยให้มนุษย์มีความปลอดภัย (Safety) และมีชีวิตอยู่รอด

62. นักคิดคนใดในตัวเลือกข้างต้นเชื่อว่า รัฐบาลไม่ควรมีอํานาจจํากัด
ตอบ 2 หน้า 37 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า การเกิดสภาวะสงครามทําให้มนุษย์ จําเป็นต้องแสวงหาสันติภาพเพื่อจะทําให้ทุกคนมีชีวิตรอด โดยต้นเหตุของสภาวะสงครามก็คือสิทธิตามธรรมชาติอันไม่จํากัดที่มีเหนือร่างกายของมนุษย์ทุกคนและมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ มันได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีความจําเป็นที่ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติดังกล่าวให้ Leviathan หรือ องค์อธิปัตย์ (ผู้ปกครองหรือรัฐบาล) มีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดอย่างไม่จํากัด เพื่อให้มนุษย์ทุกคน ตกอยู่ภายใต้ความกลัวและไม่ให้เขาเหล่านั้นกลับไปอยู่ในสภาวะสงครามอีก แต่ฮอบส์ก็มี ข้อยกเว้นว่าประชาชนหรือผู้ที่อยู่ภายใต้อํานาจอาจจะไม่เชื่อฟังองค์อธิปัตย์ได้ ถ้าองค์อธิปัตย์ ใช้อํานาจแบบทรราชสังหารผู้ที่อยู่ภายใต้ปกครองตามอําเภอใจ ดังที่ฮอบส์กล่าวไว้ว่า “ถ้า องค์อธิปัตย์สั่งให้ผู้ที่อยู่ภายใต้อํานาจสังหาร หรือทําร้ายตัวเขาเองนั้น…. ตลอดจนสิ่งอื่น ที่ถ้าขาดสิ่งเหล่านั้นแล้วจะทําให้เขาไม่สามารถดํารงชีวิตอยู่ต่อไปได้ การบังคับทั้งหมดนี้มนุษย์ แม้จะอยู่ภายใต้อํานาจขององค์อธิปัตย์ก็ตาม เขาก็จะยังมีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ในการที่จะไม่เชื่อฟังคําสั่งดังกล่าว”

63. นักคิดคนใดนําแนวคิดสัญญาประชาคมมาเป็นชื่องานของตน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

64. นักคิดเจนีวาคนใดที่มองว่าเสรีภาพเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
ตอบ 4 หน้า 135 – 136, 142, 157 นักคิดที่มองว่าเสรีภาพคือสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด หรือเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ได้แก่
1. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา
2. ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศส

65. นักคิดคนใดที่เน้นการอธิบายถึงการที่มนุษย์เข้ามาอยู่ภายในสังคมการเมืองนั้นก็ด้วยจุดประสงค์ เรื่องความปลอดภัย (Safety) เป็นประเด็นสําคัญ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 61. ประกอบ

66. งานเขียนของนักคิดอังกฤษคนใดที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติอเมริกัน
ตอบ 3 หน้า 39, 73 – 77 จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ ได้เสนอแนวคิดเรื่อง “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution) ไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มเกี่ยวกับการปกครอง) โดยล็อคเห็นว่า พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมายเฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลทําหน้าที่ บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังกฎหมาย หรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งแนวคิดของล็อคนี้ได้กลายมาเป็นฐานคิดสําคัญ ของแนวคิดเสรีนิยมที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนั้นเป็นสิ่งที่ทําได้ และเป็นอํานาจอัน ชอบธรรมของประชาชน และวิธีคิดนี้ก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติอเมริกันในปี ค.ศ.1776

67. นักคิดคนใดที่เสนอว่า รัฐควรมีหน้าที่ระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในสังคมเท่านั้น
ตอบ 3 หน้า 42 – 43 จอห์น ล็อค (John Locke) เห็นว่า มนุษย์ทุกคนในสภาวะธรรมชาตินั้นเป็นทั้ง คนตัดสินและใช้อํานาจลงโทษโดยลําพังตามกฎธรรมชาติ แต่การตัดสินลงโทษผู้ที่ละเมิดอาจจะไม่เป็นไปตามโทษที่สมควรได้รับทั้งนี้ก็เนื่องจากการรักตนเองหรือรักพวกพ้องของตนเอง จึงอาจทําให้มนุษย์ตัดสินเข้าข้างตนเองหรือเข้าข้างพวกพ้องที่ตนรัก หรืออาจจะตัดสินลงโทษไปด้วย ความต้องการที่จะล้างแค้น ดังนั้นรัฐจึงควรมีหน้าที่ระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในสังคม ดังที่ล็อค กล่าวว่า “ในสภาวะธรรมชาติ ทุก ๆ คนมีอํานาจในการบังคับใช้กฎธรรมชาติ… แต่บางครั้งมันก็ ไม่เป็นไปตามเหตุตามผลสําหรับมนุษย์ที่จะต้องตัดสินกรณีพิพาทเมื่อตัวเองต้องมีส่วนได้ส่วนเสีย นั่นก็เพราะว่า ความรักตนเองจะทําให้เขาตัดสินเอนเอียงเข้าข้างตน หรือเข้าข้างพวกพ้องของตนได้… ดังนั้นเอง พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ตั้งรัฐบาลขึ้นมาเพื่อที่จะจัดการความอยุติธรรม และการใช้ ความรุนแรงระหว่างมนุษย์ ซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นด้วยอย่างมากว่า รัฐบาลคือหนทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อใช้แก้ไขปัญหาอันติดขัดของมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ…

68. ใครเป็นคนกล่าวว่า “สภาพของมนุษย์ในสภาวะธรรมชาตินั้นจะมีความเท่าเทียมระหว่างกันเป็นอย่างมาก (Equality) ความเท่าเทียมที่เขาหมายถึงนี้ คือ ความสามารถในการอ้างต่อสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นของตนได้
อย่างเท่าเทียมกัน”
ตอบ 2 หน้า 34 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า สภาพของมนุษย์ในสภาวะธรรมชาตินั้น จะมีความเท่าเทียมระหว่างกันเป็นอย่างมาก (Equality) ซึ่งความเท่าเทียมที่เขาหมายถึงนี้ คือ ความสามารถในการอ้างต่อสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นของตนได้อย่างเท่าเทียมกัน

69. นักคิดอังกฤษคนใดที่เสนอเรื่องสิทธิในการปฏิวัติ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

70.“By all means we can, to defend ourselves” เป็นแนวคิดของนักคิดคนใด
ตอบ 2 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) ที่จะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินหรือเหตุผลส่วนตัวของเขา ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิตามธรรมชาติ” ตามความคิดของฮอบส์นั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากกฎธรรมชาติ (Law of Nature) อันเป็นกฎสากลทั่วไป ซึ่งกฎธรรมชาติพื้นฐานตามความคิดของฮอบส์ก็คือ มนุษย์ จะถูกห้ามไม่ให้ทําอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของตนเอง หรือถูกบังคับให้ไม่ใช้วิธีการใด ๆ หรือ การละเว้นที่จะทําให้เขามีชีวิตรอด โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเขาคิดว่าจะธํารงไว้ ซึ่งชีวิตของเขา (By all means we can, to defend ourselves)

71. นักคิดคนใดที่เชื่อมั่นในเรื่องของอํานาจในการปกครองประชาชนควรจะเป็นผู้ใช้เอง
ตอบ 4 หน้า 94, 101, 132 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า ประชาชนคือ ผู้ปกครองที่ดีที่สุด ถ้าปรารถนาจะได้รูปแบบการเมืองที่ชอบธรรมหรือเป็นรูปแบบการเมือง ที่มีเสรีภาพและเสมอภาคก็ควรจะให้ประชาชนเป็นผู้ใช้อํานาจในการปกครองด้วยตนเอง

72. นักคิดคนใดที่กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ตั้งรัฐบาลขึ้นมาเพื่อที่จะจัดการความอยุติธรรม และการใช้ ความรุนแรงระหว่างมนุษย์ ซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นด้วยอย่างมากว่า รัฐบาลคือหนทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อใช้แก้ไขปัญหาอันติดขัดของมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ”
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ

73. ใครเป็นคนกล่าวว่า “ถ้าองค์อธิปัตย์สั่งให้ผู้ที่อยู่ภายใต้อํานาจสังหาร หรือทําร้ายตัวเขาเองนั้น…. ตลอดจน สิ่งอื่น ๆ ที่ถ้าขาดสิ่งเหล่านั้นแล้วจะทําให้เขาไม่สามารถดํารงชีวิตอยู่ต่อไปได้ การบังคับทั้งหมดนี้มนุษย์
แม้จะอยู่ภายใต้อํานาจขององค์อธิปัตย์ก็ตาม เขาก็จะยังมีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ในการที่จะไม่เชื่อฟังคําสั่งดังกล่าว”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

74. รัฐคือสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นแนวคิดของใคร
ตอบ 1 หน้า 25, 29, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) ได้ใช้วิธีคิดเรื่อง Telos มาอธิบายว่า ทําไมมนุษย์ต้องอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมือง โดยอริสโตเติลมองว่า รัฐหรือสังคมการเมืองนั้น คือสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ และไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็ต้องอยู่ในรัฐ เพราะการอยู่ในรัฐนั้น เป็นทางเดียวที่จะทําให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีและสามารถบรรลุความประเสริฐหรือความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้

75. ใครเป็นผู้กล่าวว่า “กฎธรรมชาตินี้เป็นกฎที่สอนมนุษย์ว่า ทุกคนเท่าเทียมกันและเป็นอิสระต่อกัน ดังนั้น มนุษย์ไม่ควรที่จะทําร้ายมนุษย์คนอื่น ทั้งในด้านชีวิต สุขภาพ เสรีภาพ หรือทรัพย์สมบัติ เพราะว่ามนุษย์นั้น เป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเหมือน ๆ กัน”
ตอบ 3 หน้า 40 จอห์น ล็อค (John Locke) เห็นว่า มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติยังอยู่ภายใต้กฎหนึ่งเสมอ นั่นก็คือ “กฎธรรมชาติ” (Law of Nature) ซึ่งกฎธรรมชาตินี้เป็นกฎที่สอนมนุษย์ว่า ทุกคน เท่าเทียมกันและเป็นอิสระต่อกัน ดังนั้นมนุษย์ไม่ควรที่จะทําร้ายมนุษย์คนอื่น ทั้งในด้านชีวิต สุขภาพ เสรีภาพ หรือทรัพย์สมบัติ เพราะว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเหมือน ๆ กัน

76. นักคิดคนใดที่นําวิธีคิดเรื่อง Telos มาอธิบายว่าทําไมมนุษย์ต้องอยู่ในรัฐ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

77. ใครเป็นผู้แต่ง On the Origin and Foundation of Inequality of Mankind
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

78. นักคิดคนใดที่กล่าวว่า “มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ พวกเขามีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามนั้นมนุษย์ไม่ได้ คิดอะไรไปมากกว่าการได้กินผลไม้เพียงลูกหนึ่ง”
ตอบ 4 หน้า 50 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) กล่าวว่า มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ พวกเขามีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามนั้นมนุษย์ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการได้กินผลไม้เพียงลูกหนึ่ง หรือสายตาที่เขามองเพศตรงข้ามนั้นไม่ต่างอะไรกับที่เขามองสัตว์ตัวหนึ่ง

79. นักคิดคนใดเป็นชาวมาซิโดเนีย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

80. นักคิดคนใดเป็นชาวฝรั่งเศสโดยกําเนิด
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 36., 51., 64. และ 66. ประกอบ

81. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์รัฏฐาธิปัตย์
(1) ผู้ที่มีอํานาจสูงสุดในรัฐ
(2) บางทีเราสามารถเรียกว่าองค์อธิปัตย์ได้
(3) Leviathan ในความหมายของ Hobbes
(4) ประชาชนสามารถถือครองอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศได้
(5) ขุนนางคือองค์รัฎฐาธิปัตย์ในงานของรุสโซ
ตอบ 5 หน้า 57, (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ หรือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) หมายถึง ผู้ที่มีอํานาจ สูงสุดในการปกครองรัฐหรือสังคมการเมือง โดยคําว่าผู้มีอํานาจสูงสุดนี้หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตย ซึ่งอาจจะหมายถึง ประชาชนทุกคน รัฐบาล ผู้นําเผด็จการทหาร หรือใครก็ได้ ที่เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อํานาจดังกล่าว ทั้งนี้ในงานของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ประชาชนคือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ)

82. คําว่า “Free Gift” ตามความหมายของ Thomas Hobbes ใช้กับบุคคลในข้อใด
(1) ผู้ปกครอง – พระเจ้า
(2) ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย – ผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
(3) คนรวย – คนจน
(4) ผู้ปกครอง – ผู้ใต้ปกครอง
(5) พระเจ้า – บุตรแห่งพระเจ้า
ตอบ 2 หน้า 59 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) อธิบายว่า ถ้าคนหนึ่งปฏิบัติตามกฎหมาย แต่อีกคนไม่ปฏิบัติตามทั้ง ๆ ที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าทุก ๆ คนจะมอบอํานาจที่แต่ละคนมี ตามธรรมชาติให้คนกลางคนหนึ่งตัดสินและออกกฎหมายในทุก ๆ เรื่อง และจะเชื่อฟังคนดังกล่าว ซึ่งถ้าคนหนึ่งเชื่อฟังอีกคนไม่เชื่อฟังและไม่ถูกลงโทษ เหตุการณ์แบบนี้ก็เหมือนกับการที่ คนปฏิบัติตามกฎหมายได้ให้ของขวัญเปล่า ๆ แก่คนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและไม่ถูกลงโทษ โดยฮอบส์เรียกการกระทํานี้ว่า “ของขวัญที่ให้กันฟรี ๆ” (Free Gift) หรือในปัจจุบันมักเรียกว่า “Free Rider”

83. ใครเป็นผู้เสนอคําอธิบายที่ว่า กฎหมายจะเป็นกฎหมายได้ก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่ง
(1) John Austin
(2) Thomas Hobbes
(3) Immanuel Kant
(4) Aristotle
(5) Socrates
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า กฎหมายจะเป็น กฎหมายได้นั้นก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเขา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “คําสั่งใด ๆ ของผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณา จากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย”

84. ข้อใดต่อไปนี้คือผลงานชิ้นสําคัญของ Robert Nozick
(1) Two Treatises of Government
(2) On Liberty
(3) Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men
(4) Politics
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

85. ตามความคิดของ Thomas Hobbes หากผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะใดมากที่สุด
(1) สันติภาพที่ถาวร
(2) สภาวะต่างคนต่างอยู่
(3) การฆ่าฟันกันจนตายโหง
(4) กฎหมายสลายตัวไป
(5) ความรักใคร่สามัคคีกัน
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) ตามความคิดของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หากองค์อธิปัตย์ หรือผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะ เข้ามาอยู่ในรัฐ นั่นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา สุดท้ายก็จะเกิดความวุ่นวายและนําไปสู่สภาวะสงครามที่ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันกันจนตายโหง

86. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ “ไครโต” (Crito)
(1) พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกภายหลังโดนสั่งประหารชีวิต
(2) ผู้สั่งประหารชีวิตโสเครตีส
(3) บิดาของโสเครตีส
(4) ญาติที่ให้การเลี้ยงดูโสเครตีส
(5) ผู้ที่ขัดขวางการหนีออกจากคุกของโสเครตีส
ตอบ 1 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต (Plato) ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนา ตอนที่โสเตรตีสกําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายาม หว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไม เราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟังกฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่ การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ ท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศและถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อ รัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอม ทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่านถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่ง ให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้น ของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง….”

87. ประโยคที่ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) ไครโต
(2) เพลโต
(3) โสเครตีส
(4) อริสโตเติล
(5) นักบุญพอล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ

88. ประโยคที่ว่า “ ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” ผู้พูดต้องการสื่อความหมายอย่างไร
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4)เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ

89. ผู้ใดต่อไปนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน
(1) Saint Paul’
(2) Saint Peter
(3) Saint Philip
(4) Saint Matthews
(5) Saint Thomas
ตอบ 1 หน้า 67 เปาโลหรือนักบุญพอล (Saint Paul) ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูสิบสองคนโดยตรง เหมือนกับนักบุญปีเตอร์ แต่ตามตํานานกล่าวว่าหลังพระเยซูเสียชีวิตที่กางเขนแล้ว พระเยซู ได้มาปรากฏให้เปาโลเห็นเพื่อเลือกเปาโลให้มารับใช้พระองค์ จึงทําให้เปาโลซึ่งเป็นผิวที่คอยข่มเหงพวกคริสเตียนอยู่ตลอดเวลา กลับใจหันมาอุทิศชีวิตป่าวประกาศเรื่องราวของพระเยซู จนได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานให้กับศาสนาคริสต์ที่สําคัญคนหนึ่ง หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ เปาโล คือหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน

90. คําว่า Explicit Consent มีความหมายว่าอย่างไร
(1) การตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(2) การตกลงโดยปริยายว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(3) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐแบบเป็นลายลักษณ์อักษร
(4) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐโดยปริยาย
(5) การไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งของสาธารณะของรัฐเพื่อเลี่ยงกฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 63 – 64 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายในเรื่องการเชื่อฟังกฎหมายว่า การที่ พลเมืองเชื่อฟังกฎหมายและยอมปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐก็เนื่องจากเขาได้ตกลงทําสัญญาที่จะอยู่ร่วมกันภายใต้รัฐ โดยหวังว่ารัฐจะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าทําสัญญาตลอดจนทําหน้าที่ไกล่เกลี่ยเมื่อมีข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งตามความคิดของล็อคนั้นการตกลง ทําสัญญามี 2 ลักษณะ คือ
1. การตกลงแบบชัดแจ้ง (Express Consent/Explicit Consent) เป็นการตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะเข้ามาอยู่ในรัฐและปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
2. การตกลงแบบปริยาย (Tacit Consent) เป็นการตกลงที่ผู้ตกลงได้มาใช้ประโยชน์จาก รัฐหนึ่ง ๆ เช่น ใช้ทางหลวง ใช้สิ่งของสาธารณะ หรือได้ประโยชน์จากการที่เข้ามาอยู่ภายในรัฐ จึงทําให้คน ๆ นั้นมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐนั้น ๆ โดยปริยาย

91. ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ใครเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมนุษย์ตั้งแต่เศษหินดินทราย ไปจนกระทั่งถึงตัวมนุษย์
(1) พระเยซู
(2) โมเสส
(3) โนอาห์
(4) พระยะโฮวา
(5) ไม่มีผู้ใดสร้าง สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ
ตอบ 4 หน้า 66 – 67, (คําบรรยาย) ความเชื่อหรือความคิดในทางศาสนาคริสต์ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไบเบิ้ล (Bible) โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า พระเจ้า (พระยะโฮวา) เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งวิธีคิดนี้ได้กลายเป็นรากฐานให้กับคริสเตียน ที่คิดว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องเชื่อฟังกฎหมาย

92. หากต้องการศึกษาความคิดของศาสนาคริสต์ ต้องศึกษาจากเอกสารชิ้นใด
(1) Quran
(2) Avesta
(3) Rigveda
(4) Nihongi
(5) Bible
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93. แนวคิดที่เสนอว่า “ประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังรัฐบาลหรือกฎหมายได้ถ้าไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้…” เป็นแนวคิดของใคร
(1) จอห์น ล็อค
(2) โรเบิร์ต ฟิลเมอร์
(3) จอห์น ออสติน
(4) ซิเซโร
(5) แมคคิอาเวลลี
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

94. การที่ซาอูล (Saul) ในฐานะกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่กลับไม่ถูกฆ่า สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3. หน้า 66, 68 – 69 ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกนํามาอธิบายในประเด็นเรื่อง “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” ก็คือ กรณีของซาอูล (Saul) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย แต่กลับไม่ถูกดาวิด (David) ฆ่าแม้จะพยายามฆ่าดาวิดอยู่หลายหน โดยสาเหตุที่ดาวิดตัดสินใจ ไม่ฆ่ากษัตริย์ซาอูลเพราะมองว่ากษัตริย์ซาอูลคือคนที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็นผู้ปกครองจากการ ร้องขอของพวกยิว คนที่จะเอาชีวิตของกษัตริย์ซาอูลได้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิจะไปล้มล้างผู้ปกครองแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม

95. หากท่านได้อ่านถึงบทบาทของแอนธิกอน (Antigone) ในการฝังศพโพลินีซิส (Polyneices) แล้ว ท่านเห็นด้วยกับแอนธิกอน แปลว่าท่านเห็นด้วยกับตัวเลือกในข้อใด
(1) กฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์
(2) กฎของมนุษย์ยิ่งใหญ่กว่ากฎของพระเจ้า
(3) กฎของพระเจ้าสําคัญเทียบเท่ากับกฎของมนุษย์
(4) กฎของพระเจ้าหรือมนุษย์สําคัญน้อยกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล
(5) กฎของพระเจ้าสําคัญน้อยกว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์
ตอบ 1 หน้า 71 – 72 กรณีของแอนธิกอน (Antigone) นั้น เธอได้ละเมิดคําสั่งของกษัตริย์คลื่อน (Creon) ที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิส (Polyneices) ซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่อง ประหลาดและฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของ แอนธิกอนนั้นมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่กําหนดโดยมนุษย์ สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า กฎของมนุษย์

96. ใครคือผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์
(1) อริสโตเติล
(2) จอห์น รอลส์
(3) จอห์น ล็อค
(4) แมคคิอาเวลลี
(5) โรเบิร์ต ฟิลเมอร์
ตอบ 5 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของ กษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และการปกครอง แบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้างเหตุผลมาจาก คัมภีร์ปฐมกาล (Geresis) ในไบเบิ้ล

97. ใครคือผู้ที่เปรียบเปรยว่า “รัฐบาลมีฐานะเป็นคนรับใช้ของประชาชน”
(1) จอห์น ล็อค
(2) จอห์น รอลส์
(3) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(4) จอห์น ออสติน
(5) แมคคิอาเวลลี
ตอบ 3 หน้า 76 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า รัฐบาลมีฐานะเป็นแค่ คนรับใช้ของประชาชนและประชาชนนั้นเป็นเจ้านายของรัฐบาล แม้ตําแหน่งของรัฐบาลจะเรียกว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (Prince) แต่รัฐบาลก็ไม่ มีสิทธิออกกฎหมายใด ๆ ตามความต้องการของตนเอง รัฐบาลเป็นแค่หน่วยงานในการที่จะกระทําการตามเจตจํานงของกฎหมายที่ประชาชนเป็นผู้ออกอํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นอํานาจที่ประชาชนฝากไว้ ซึ่งอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้หากประชาชนพอใจ

98. คําประกาศเอกราชของโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ได้อิทธิพลทางความคิดมาจากนักคิด
ของประเทศใด
(1) สหรัฐอเมริกา
(2) ออสเตรีย-ฮังการี
(3) ฝรั่งเศส
(4) ปรัสเซีย
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 77 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (American Founding Fathers) ได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ มาใช้ในการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776

99. เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เห็นด้วยกับสงครามในข้อใด
(1) World War I (1914 – 1919)
(2) World War II (1939 – 1945)
(3) Mexican-American War (1846 – 1848)
(4) Cayuse War (1847 – 1855)
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 80 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ไม่เห็นด้วยกับ “สงครามเม็กซิกัน- อเมริกัน” (Mexican-American War : 1846 – 1848) ที่อเมริกาไปรบกับเม็กซิโกเพื่อผนวก ดินแดนเท็กซัส เพราะมันเป็นการเพิ่มรัฐที่มีทาสให้กับอเมริกา โดยธอโรมีความเห็นว่าการมี ทาสนั้นเป็นสิ่งชั่วช้าและในอเมริกาก็ไม่ควรที่จะยอมให้เกิดขึ้นมากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกต่อไปดังนั้นธอโรจึงปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ เพราะการจ่ายภาษีให้กับรัฐก็หมายความว่า รัฐจะนําเงินไปใช้จ่ายในสงครามที่ทํากับเม็กซิโก

100. เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เสนอแนวคิดใด
(1) การเรียกร้องให้สร้างโรงพยาบาล
(2) การส่งเสริมอารยะขัดขืน
(3) การต่อต้านการเหยียดผิว
(4) การหนีภาษีและการหนีคดีออกนอกประเทศ
(5) การบริจาคเงินให้กับรัฐบาลโดยระบุวัตถุประสงค์
ตอบ 2 หน้า 80 – 82 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้เสนอแนวคิดอารยะขัดขืน ไว้ในบทความเรื่อง “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1849 โดยธอโรพยายามชี้ให้เห็นว่าบางครั้งกฎหมายอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับ ความยุติธรรมหรือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กฎหมายเองอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ ซึ่งธอโรเชื่อว่ามนุษย์นั้น มีสิ่งที่เรียกว่า “มโนธรรม” หรือ “จิตสํานึก” ดังนั้นถ้ากฎหมายใดที่พลเมืองมองว่ามันเป็น การขัดกับจิตสํานึกของตน พลเมืองไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์รัฏฐาธิปัตย์
(1) ผู้ที่มีอํานาจสูงสุดในรัฐ
(2) เราสามารถเรียกว่าองค์อธิปัตย์ได้
(3) ผู้นําเผด็จการทหารเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ไม่ได้
(4) ผู้ถือครองอํานาจอธิปไตย
(5) ประชาชนสามารถถือครองอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศได้
ตอบ 3 หน้า 57, (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ หรือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) หมายถึง ผู้ที่มีอํานาจ สูงสุดในการปกครองรัฐหรือสังคมการเมือง โดยคําว่าผู้มีอํานาจสูงสุดนี้หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตย ซึ่งอาจจะหมายถึง ประชาชนทุกคน รัฐบาล ผู้นําเผด็จการทหาร หรือใครก็ได้ ที่เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อํานาจดังกล่าว

2. “คุณธรรมของผู้ปกครอง (Virtue) หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสมสําหรับผู้ปกครองที่จะ รักษารัฐไว้ได้” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 128, 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) กล่าวว่า ผู้ปกครองที่ดีคือผู้ปกครองที่สามารถรักษารัฐ รักษาอํานาจ หรือคงสถานะในการเป็นผู้ปกครองไว้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองตามความคิดของ แมคคิอาเวลลีจึงเป็นใครก็ได้ แต่ขอให้รักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ ซึ่งผู้ปกครอง ที่จะสามารถรักษารัฐไว้ได้ก็คือ ผู้ปกครองที่มีคุณธรรม (Virtue) โดยคุณธรรมของผู้ปกครอง ตามความหมายของแมคคิอาเวลลีนั้น หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสมสําหรับ ผู้ปกครองที่จะรักษารัฐไว้ใต้

3.Montesquieu มีความเห็นว่า อํานาจไม่ควรอยู่ในมือใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น จะเป็นการปกครองแบบทรราช
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) มีความเห็นว่า อํานาจไม่ควรอยู่ในมือใคร คนใดคนหนึ่งเท่านั้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะเป็นการปกครองแบบทรราช (Tyranny)

4. บุคคลผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 หน้า 124, 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่ กล่าวว่า “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้”

5. “เราลองนึกถึงในแง่ดีที่สุดแล้วก็ตาม เราก็จะพบว่า มันเป็นการปกครองแบบที่ให้คนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลย มาตัดสินเรื่องราวที่ต้องใช้ประสบการณ์ เอาคนที่ไม่รู้มานั่งตัดสินเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ความไม่รู้ที่ว่านี้หมายถึง ขนาดที่ว่าแม้ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ไม่รู้เพื่อที่จะให้รู้ นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว ประชาชนมักขาดความระมัดระวัง และยังโอหังทะนงตัวอีกด้วย” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 หน้า 118 – 119 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ชื่นชมยกย่องและนิยม ให้ประชาชนมีอํานาจในการปกครองตนเอง แต่ก็ไม่เห็นด้วยถ้าจะให้ประชาชนทุกคนมาเป็น คนออกกฎหมายหรือทําอะไรด้วยตนเอง โดยมิลล์ได้ให้เหตุผลไว้ว่า “เราลองนึกถึงในแง่ดีที่สุด แล้วก็ตาม เราก็จะพบว่า มันเป็นการปกครองแบบที่ให้คนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลยมาตัดสิน เรื่องราวที่ต้องใช้ประสบการณ์ เอาคนที่ไม่รู้มานั่งตัดสินเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ความไม่รู้ที่ว่านี้ หมายถึงขนาดที่ว่าแม้ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ไม่รู้เพื่อที่จะให้รู้ นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว ประชาชน มักขาดความระมัดระวังและยังโอหังทะนงตัวอีกด้วย”

6.มีดปอกผลไม้ก็มีไว้ปอกผลไม้ มีดปอกสายไฟก็มีไว้ปอกสายไฟ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 4 หน้า 25 – 28 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า Teleology หรือการอธิบายว่าของทุกสิ่งนั้นมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่มันจะต้องคลี่คลายไปเสมอ โดยจุดมุ่งหมายปลายทางของสิ่งต่าง ๆ นั้น อริสโตเติลเรียกว่า “เทลอส” (Telos) ซึ่งเป็นคํา ภาษากรีก แปลว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” “จุดมุ่งหมาย” “เป้าประสงค์” “จุดประสงค์ (Final Cause/End/Purpose/Goal) เช่น มีดปอกผลไม้จุดมุ่งหมายปลายทางหรือ Telos ก็คือ การปอกผลไม้ มีดปอกสายไฟจุดมุ่งหมายปลายทางหรือ Telos ก็คือ การปอกสายไฟ เป็นต้น

7. นักคิดชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 17 ที่คิดว่า รัฐช่วยปกป้องรักษาทรัพย์สิน ชีวิต และตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 3 หน้า 39 จอห์น ล็อค (John Locke) เป็นนักคิดชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17 (ค.ศ. 1632 – 1704) เขาได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มว่าด้วยการปกครอง) ว่า รัฐเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยปกป้องรักษาทรัพย์สิน ชีวิต และ ตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ

8.แนวคิดที่เสนอว่า “ประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังรัฐบาลหรือกฎหมายได้ถ้าไม่เป็นไปตามเจตจํานง ที่ประชาชนให้ไว้” เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Locke
(2) John Rawls
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Austin
(5) Niccolo Machiavelli
ตอบ 1 หน้า 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมายเฉพาะเรื่อง ที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลทําหน้าที่ บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังกฎหมาย หรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้เรียกว่า “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution)

9.นักคิดคนใดใช้ตัวอย่างของนักกีฬามาเป็นเครื่องมือในการอธิบายเกี่ยวกับหลักความยุติธรรมในการกระจาย
ทรัพยากร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 หน้า 187 – 191 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) นักคิดชาวอเมริกัน ได้อธิบายเกี่ยวกับ หลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากรไว้ในหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” โดยได้กล่าวถึง “หลักความยุติธรรมในการครอบครองตั้งต้น” (Principle of Justice in Entitlement) ซึ่งเป็นหลักการที่เสนอว่า ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหา รายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้โดยทรัพยากรนั้นก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกายของตน แรงงานของตน สติปัญญาของตน หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของต่าง ๆ มา และถ้าการหา รายได้นั้น ๆ เป็นไปอย่างชอบธรรมตั้งแต่ต้น ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ ชอบธรรมไปด้วย นั่นก็หมายความว่าคนอื่นก็ไม่มีสิทธิที่จะแย่งชิงทรัพย์สินหรือรายได้เหล่านั้นโดยเขาได้ยกตัวอย่างของนักกีฬามาเป็นเครื่องมือในการอธิบาย

10. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ “ไครโต” (Crito)
(1) พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกภายหลังโดนสั่งประหารชีวิต
(2) ผู้สั่งประหารชีวิตโสเครตีส
(3) บิดาของโสเครตีส
(4) ญาติที่ให้การเลี้ยงดูโสเครตีส
(5) ผู้ที่ขัดขวางการหนีออกจากคุกของโสเครตีส
ตอบ 1 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต (Plato) ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนา ตอนที่โสเตรตีสกําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นใครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายาม หว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไม เราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟังกฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่ การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศและถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อ รัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอม ทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่านถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่ง ให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้น ของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง….”

11.Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men เป็นงานเขียนของ Thomas Hobbes
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 45, 94 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มีผลงานที่สําคัญ ได้แก่ 1. หนังสือเรื่อง “ความเรียงว่าด้วยต้นกําเนิดและรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคของ มวลมนุษยชาติ” (Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men) หรือบางครั้งก็เรียกงานชิ้นนี้ว่า “ความเรียงชิ้นที่ 2 ของรุสโซ” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1755 2. หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1762

12. การปกครองที่ชอบธรรมและเป็นไปได้มากที่สุดสําหรับ John Stuart Mill คือ การปกครองที่ให้ประชาชน
เป็นผู้ปกครองด้วยตนเอง
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 116 – 120 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ชื่นชมยกย่องและนิยม ให้ประชาชนมีอํานาจในการปกครองตนเอง แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยถ้าจะให้ประชาชนทุกคนมาเป็น คนออกกฎหมายหรือทําอะไรด้วยตนเองเพราะมองว่าการที่ประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมใน ทุก ๆ เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐสมัยใหม่มีปัญหาที่สลับซับซ้อนหรือต้องใช้ความรู้ มากมายในการไตร่ตรองและตัดสินใจกว่าจะกําหนดนโยบายได้ ดังนั้นเขาจึงเสนอรูปแบบ การปกครองโดยผู้แทน (Representative Government) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ประชาธิปไตย แบบตัวแทน” (Representative Democracy) เพราะมองว่าการปกครองโดยผู้แทนที่มาจาก ประชาชนนั้นคือการปกครองที่ชอบธรรมและเหมาะสมที่สุดสําหรับรัฐสมัยใหม่

13. อํานาจอยู่ในมือคน ๆ เดียว (The One) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 3 หน้า 104 – 105 อริสโตเติล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

14. อํานาจอยู่ในมือมหาชนทั้งหมด (The Many) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(5) Aristocracy
(4) Tyranny
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

15. “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้ง ผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขา กล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก…”

16.“ตําราสองเล่มว่าด้วยการปกครอง” นักคิดชาวอังกฤษคนใดเป็นคนเขียนขึ้น
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

17. มนุษย์จะบรรลุความประเสริฐได้จะต้องอยู่ในสังคมการเมืองเท่านั้น
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 หน้า 25, 29, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง “Politics” ว่า รัฐหรือสังคมการเมืองเป็นสิ่งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ และไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็ต้องอยู่ในรัฐเพราะการอยู่ในรัฐนั้นเป็นทางเดียวที่จะทําให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีและสามารถบรรลุความประเสริฐหรือความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้

18. นักคิดคนใดเป็นผู้ต่อต้าน Laissez-faire หรือ “หลักการมือใครยาวสาวได้สาวเอา” มากที่สุด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 170 – 173 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นนักคิดที่ต่อต้านระบบทุนนิยม (Capitalism) ที่มีการกระจายทรัพย์สินหรือทรัพยากรอย่างเสรี หรือระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา (Laissez-faire) เป็นอย่างมาก เพราะมองว่าในระบบดังกล่าวทําให้ชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือ กรรมาชีพมีสภาพชีวิตที่ย่ําแย่มากเพราะการถูกขูดรีดค่าแรง และในทางด้านจิตใจผู้ใช้แรงงานก็ยังถูกทําให้แปลกแยกจากตนเองและไม่ได้มีความภาคภูมิใจต่อสิ่งที่ตนเองได้ผลิตขึ้นมาเลย

19. วิธีคิดของนักคิดคนใดได้กลายเป็นรากฐานของอุดมการณ์ Communism
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 174 – 176, (คําบรรยาย) วิธีคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้กลายมาเป็นรากฐานของอุดมการณ์สังคมนิยม (Socialism) หรือคอมมิวนิสต์ (Communism) โดยเฉพาะ ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848 ที่มาร์กซ์ได้เรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพปฏิวัติโค่นล้มระบบทุนนิยม โดยการเข้ายึดครอง ปัจจัยการผลิตและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็นรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยน ความสัมพันธ์ทางการผลิตของชนชั้นนายทุนให้กลายมาเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ

20. เป็นรากศัพท์ของคําว่าการเมือง
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 3 หน้า 6, (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) มีรากศัพท์มาจากคําในภาษากรีกคือ “Politika” ซึ่งหมายถึง เรื่องราวหรือกิจการของ Polis (Affairs of the Cities) สําหรับพวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้นเป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ทุกคนที่อยู่ใน Polis ด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึงส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะตรงกันข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือในความหมาย ที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

21. นักคิดสกุลสัญญาประชาคมคนใดที่อธิบายว่าการทําสัญญายอมยกอํานาจให้แล้วเอาคืนไม่ได้ ตลอดจนอธิบายว่าองค์อธิปัตย์ต้องมีอํานาจสูงสุด
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 หน้า 30 – 32, 36 – 38, 58, 60 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เป็นนักคิดสกุลสัญญา ประชาคมชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1588 – 1679 เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง “Leviathan” โดยกล่าวถึงสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ว่าเป็นสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) มนุษย์ทุกคนจะเป็นศัตรูต่อกัน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายซึ่งกันและกันโดยไม่เกี่ยง วิธีการ สภาวะดังกล่าวเป็นสภาวะที่มนุษย์อยู่อย่างไม่มีความปลอดภัยใด ๆ ทั้งสิ้น มนุษย์กลัว การตายโหง (Fear of Violent Death) ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ลําเค็ญ น่ารังเกียจ ป่าเถื่อน และอายุสั้น (Solitary, poor, nasty, brutish and short) ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่น่าพึงปรารถนา ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทําให้เกิดรัฐ และมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐและตกลงทําสัญญายอมยกอํานาจที่ตนเองมีทั้งหมดให้องค์อธิปัตย์หรือผู้ปกครองมีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดเพื่อที่จะไม่ต้องอยู่ในสภาวะสงครามอีก ซึ่งการมอบอํานาจให้องค์อธิปัตย์ดังกล่าวเป็นการมอบแล้วมอบเลยไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม

22. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) Moralitas แปลว่า “พฤติกรรมอันเหมาะสม”
(2) Ethics ก็มาจากภาษากรีกคําว่า “Ethos” ที่แปลว่า “นิสัย”
(3) Ethics เป็นสาขาย่อยสาขาหนึ่งของ Philosophy
(4) Moralitas มีความหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับความสวยงาม
(5) Aesthetics เป็นส่วนหนึ่งของ Philosophy
ตอบ 4 หน้า 3 คําว่า ศีลธรรม (Morality) มาจากภาษาละตินคําว่า “Moralitas” ซึ่งแปลว่า “พฤติกรรมอันเหมาะสม” (Proper Behavior)

23. ประโยคที่ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) ไครโต
(2) เพลโต
(3) โสเครตีส
(4) อริสโตเติล
(5) นักบุญพอล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

24. เป็นนักคิดคนสําคัญคนหนึ่งใน Utilitarianism หรือแนวคิดประโยชน์นิยม
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 หน้า 116, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดในสกุลประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งหลักการของประโยชน์นิยมนั้นมีหัวใจสําคัญอยู่ที่ “ความสุข” หรือ “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” จากหลักการนี้ทําให้นักคิดสกุลประโยชน์นิยมยึดถือ หลักการพื้นฐานทางสังคมร่วมกันที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุข ที่มากที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” (Greatest Happiness for the Greatest Numbers) หรือถือว่า “เวลาเราจะทําอะไรจะต้องคํานึงถึงอรรถประโยชน์สูงสุด” นั่นเอง

25. เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองแบบหนึ่ง
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Potis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง ซึ่งให้ความสําคัญกับสิทธิ (Right) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของ ประชาชน โดยเชื่อว่าสมาชิกของสังคมทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้ามามีส่วนร่วมใน กิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เช่น การออกเสียงเลือกตั้ง การรวมกลุ่ม การพูดและแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ เป็นต้น

26. “สิ่งที่ดีทั้งหลายซึ่งธรรมชาติได้มอบให้กับส่วนรวม ที่ทุก ๆ คนมีสิทธิที่จะได้มากเท่าที่เขาสามารถจะใช้ได้ และการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาสามารถสร้างมาด้วยแรงงานของเขา และด้วยความขยันขันแข็ง ที่จะขยายทรัพย์สินออกไป สิ่งต่าง ๆ ที่ถูกทําให้เปลี่ยนแปลงออกจากสภาพธรรมชาติและสิ่งที่ถูกเปลี่ยนนั้น ก็ตกเป็นของเขา” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawts
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 หน้า 164 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้กล่าวถึงหลักการครอบครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ไว้ว่า “สิ่งที่ดีทั้งหลายซึ่งธรรมชาติได้มอบให้กับส่วนรวม ที่ทุก ๆ คนมีสิทธิที่จะได้มากเท่าที่เขา สามารถจะใช้ได้ และการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาสามารถสร้างมาด้วยแรงงานของเขา และด้วยความขยันขันแข็งที่จะขยายทรัพย์สินออกไป สิ่งต่าง ๆ ที่ถูกทําให้เปลี่ยนแปลงออกจาก สภาพธรรมชาติและสิ่งที่ถูกเปลี่ยนนั้นก็ตกเป็นของเขา ยกตัวอย่างเช่น บุคคลใด ๆ ออกไปเก็บ ผลต้นโอ๊คหรือแอปเปิ้ลมาหนึ่งร้อยบุชเชล สิ่งเหล่านี้ก็ตกเป็นของเขา มันตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของเขาตั้งแต่เมื่อเขาเก็บมันมา….”

27. หากนักศึกษาได้อ่านถึงบทบาทของแอนธิกอน (Antigone) ในการฝังศพโพลินีซิส (Polyneices) แล้ว นักศึกษาเห็นด้วยกับแอนธิกอน แปลว่านักศึกษาเห็นด้วยกับตัวเลือกในข้อใด
(1) กฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์
(2) กฎของมนุษย์ยิ่งใหญ่กว่ากฎของพระเจ้า
(3) กฎของพระเจ้าสําคัญเทียบเท่ากับกฎของมนุษย์
(4) กฎของพระเจ้าหรือมนุษย์สําคัญน้อยกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล
(5) กฎของพระเจ้าสําคัญน้อยกว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์
ตอบ 1 หน้า 71 – 72 กรณีของแอนธิกอน (Antigone) นั้น เธอได้ละเมิดคําสั่งของกษัตริย์คลื่อน (Creon) ที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิส (Polyneices) ซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่อง ประหลาดและฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของ แอนธิกอนนั้นมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่กําหนดโดยมนุษย์ สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า กฎของมนุษย์

28. อํานาจอยู่ในมือมหาชนทั้งหมด (The Many) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

29. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง
(1) สามารถเรียกสลับไปมากับคําว่า “รัฐศาสตร์” ได้
(2) เป็นการศึกษาที่พยายามปลอดจากอคติและทัศนคติ
(3) ไม่จัดว่าเป็นแนวทางการศึกษาแรกของการศึกษาการเมือง
(4) ใช้วิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์
(5) Political Philosophy
ตอบ 5 หน้า 11, (คําบรรยาย) ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือสาขาวิชาย่อยในรัฐศาสตร์ (Political Science) ถือเป็นแนวทางการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์หรือเป็น แนวทางการศึกษาแรกของการศึกษาการเมือง และรูปแบบวิธีการศึกษานี้ก็ยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

30. ใครคือผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์”
(1) Aristotle
(2) John Rawls
(3) John Locke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Robert Filmer
ตอบ 5 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของ กษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และการปกครอง แบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้างเหตุผลมาจาก คัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) ในไบเบิ้ล

31. “เวลาเราจะทําอะไรจะต้องคํานึงถึงอรรถประโยชน์สูงสุด” เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

32. นักคิดคนใดยึดถือหลักการที่ว่า Greatest Happiness for the Greatest Numbers
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavetti
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

33. “ประชาธิปไตยคือการปกครองของนักการเมือง” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 5 หน้า 124 โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักคิดชาวออสเตรีย เป็นผู้เขียนงานเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้เสนอทฤษฎี ประชาธิปไตย โดยกล่าวว่า “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความและสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษรของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น…. ดังนั้นเองในด้านหนึ่ง เราอาจจะกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของนักการเมือง (Democracy is the Rule of the Politician)”

34. ตามความคิดของ Thomas Hobbes หากผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะใดมากที่สุด
(1) สันติภาพที่ถาวร
(2) สภาวะต่างคนต่างอยู่
(3) การฆ่าฟันกันจนตายโหง
(4) กฎหมายสลายตัวไป
(5) ความรักใคร่สามัคคีกัน
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) ตามความคิดของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หากองค์อธิปัตย์ หรือผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะ เข้ามาอยู่ในรัฐ นั่นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา สุดท้ายก็จะเกิดความวุ่นวายและนําไปสู่สภาวะสงครามที่ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันกันจนตายโหง

35. Speech to the Electors of Bristol เป็นผลงานของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 หน้า 124 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องผู้แทนไว้ใน “Speech to the Electors of Bristol” ว่า “ผู้แทนของท่านมีหน้าที่ต่อท่านไม่เฉพาะในเรื่องความขยัน ขันแข็งพากเพียรอุตสาหะเท่านั้น แต่ในเรื่องการใช้วิจารณญาณ มันก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เขา ต้องมีต่อท่านด้วย และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้วิจารณญาณตัดสินไปตามความคิดเห็นของพวกท่านเมื่อนั้นเองพวกเขาก็ได้ชื่อว่าทรยศต่อท่านและไม่ได้เป็นผู้รับใช้ท่านอีกต่อไปแล้ว”

36. ความเชื่อที่ว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการพูดและแสดงความคิดเห็น
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

37. นักคิดคนใดได้นําวิธีคิดเรื่อง ความกลัวตายอย่างรุนแรง มาใช้ในการอธิบายการเกิดขึ้นของรัฐ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

38. “การปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติบางประการ เอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริง ประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องการเลือกผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน” ข้อเขียนดังกล่าวปรากฏอยู่ในงานของนักคิดชาวฝรั่งเศสคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 1 หน้า 120 – 121 มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักคิดชาวฝรั่งเศส ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ การปกครองโดยตัวแทนไว้ในหนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De l’esprit des lois) ว่า มีความเลวร้ายอันยิ่งใหญ่อยู่ประการหนึ่งในบรรดาสาธารณรัฐโบราณนั่นก็คือ รัฐดังกล่าวปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติ บางประการเอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมากในความเป็นจริงประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องการเลือก ผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน”

39. ใครเป็นผู้กล่าวว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ภายใต้พันธนาการ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 2 หน้า 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรก? : หนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหน เขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน… การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจน เป็นการละทิ้งสิทธิและหน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมด ออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

40. ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ใครเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมนุษย์ตั้งแต่เศษหินดินทราย
ไปจนกระทั่งถึงตัวมนุษย์
(1) พระเยซู
(2) พระพุทธเจ้า
(3) พระนบีมูฮัมหมัด
(4) พระเจ้า
(5) ไม่มีผู้ใดสร้าง สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ
ตอบ 4 หน้า 66 – 67 ความเชื่อหรือความคิดในทางศาสนาคริสต์ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่ เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของ พระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งวิธีคิดนี้ได้กลายเป็นรากฐานให้กับคริสเตียนที่คิดว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่มาจาก พระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องเชื่อฟังกฎหมาย

41. “แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา หรือใช้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตของตนเองไว้ โดยมนุษย์แต่ละคนจะทําทุกวิถีทางตามวิจารณญาณและเหตุผลของตนเอง ซึ่งเป็นทางที่ตนเชื่อว่าดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับตนเอง” ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดนี้
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) หรือเสรีภาพที่จะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินหรือเหตุผลส่วนตัวของเขา ดังที่ฮอบส์ กล่าวว่า “มนุษย์แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา หรือใช้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตของตนเองไว้ โดยมนุษย์แต่ละคนจะทําทุกวิถีทางตามวิจารณญาณและเหตุผล ของตนเอง ซึ่งเป็นทางที่ตนเชื่อว่าดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดกับตนเอง”

42.Henry David Thoreau เสนอแนวคิดใด
(1) การเรียกร้องให้สร้างโรงพยาบาล
(2) การบริจาคเงินให้กับรัฐบาลโดยระบุวัตถุประสงค์
(3) การต่อต้านการเหยียดผิว
(4) การหนีภาษีและการหนีคดีออกนอกประเทศ
(5) การส่งเสริมอารยะขัดขืน
ตอบ 5 หน้า 80 – 82 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้เสนอแนวคิดอารยะขัดขืน ไว้ในบทความเรื่อง “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1849 โดยธอโรพยายามชี้ให้เห็นว่าบางครั้งกฎหมายอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับ ความยุติธรรมหรือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กฎหมายเองอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ ซึ่งธอโรเชื่อว่ามนุษย์นั้น มีสิ่งที่เรียกว่า “มโนธรรม” หรือ “จิตสํานึก” ดังนั้นถ้ากฎหมายใดที่พลเมืองมองว่ามันเป็น การขัดกับจิตสํานึกของตน พลเมืองไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง

43. สิทธิติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด ใครจะมาพรากไปก็ไม่ได้
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 2 หน้า 34 – 35 สิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) เป็นสิทธิติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด ใครจะมาพรากไปก็ไม่ได้ เป็นเสรีภาพที่มนุษย์แต่ละคนจะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินใจหรือเหตุผลส่วนตัวของตนตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสมที่สุดอันจะนํามาซึ่งการรักษาชีวิตของตนเอง

44. นักคิดคนใดมีความคิดปฏิเสธการให้ผู้แทนไปทําหน้าที่ในการออกกฎหมายอย่างสิ้นเชิง
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 4 หน้า 125 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นนักคิดที่ปฏิเสธการให้ผู้แทน ไปทําหน้าที่ในการออกกฎหมายอย่างสิ้นเชิง เพราะเขาเห็นว่าการปกครองที่มีเสรีภาพและ เสมอภาค ตลอดจนชอบธรรมที่สุดก็คือ การให้ประชาชนเป็นคนออกกฎหมายด้วยตนเอง

45.Niccolo Machiavelli มีความคิดว่าผู้ปกครองคือใครก็ได้ แต่ขอให้รักษารัฐ รักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

46.Veil of Ignorance หรือม่านแห่งความไม่รู้ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองทางความคิดของ John Rawis
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 179 – 180, 186 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด และได้วางเงื่อนไข ภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veil of Ignorance) ซึ่งผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบว่าตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ ที่เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นการตัดสินอันยุติธรรมเพราะผู้ตัดสินใจจะใช้แต่เหตุผล และไม่นําสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานะของตนเองมาเป็นปัจจัยในการตัดสิน

47. ประโยคที่ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ….” ผู้พูดต้องการสื่อความหมายอย่างไร
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

48. การที่ซาอูล (Saul) ในฐานะกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่กลับไม่ถูกฆ่า สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 66, 68 – 69 ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกนํามาอธิบายในประเด็นเรื่อง “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” ก็คือ กรณีของซาอูล (Saul) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย แต่กลับไม่ถูกดาวิด (David) ฆ่าแม้จะพยายามฆ่าดาวิดอยู่หลายหน โดยสาเหตุที่ดาวิดตัดสินใจ ไม่ฆ่ากษัตริย์ซาอูลเพราะมองว่ากษัตริย์ซาอูลคือคนที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็นผู้ปกครองจากการ ร้องขอของพวกยิว คนที่จะเอาชีวิตของกษัตริย์ซาอูลได้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิจะไปล้มล้างผู้ปกครองแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม

49. “มนุษย์คือผู้เลือกชะตาชีวิตของตนเอง ไม่มีหรอกกฎแห่งกรรมหรือธรรมชาติกําหนด ชีวิตเป็นของเราเรากําหนดเอง แต่กระนั้นก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราได้เลือกเองด้วย” เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 หน้า 142 – 145 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศส สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เชื่อว่า มนุษย์มีเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้เลือก ชะตาชีวิตของตนเอง ไม่มีพระเจ้า เวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือธรรมชาติใด ๆ มากําหนด ชีวิต เป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็นผู้กําหนดว่าตนเองจะเป็นอย่างไร และมนุษย์ก็ต้องรับผิดชอบใน สิ่งที่ตนได้เลือกเองด้วย

50. บุคคลใดคือประธานาธิบดีคนที่ 4 ของสหรัฐอเมริกา
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 หน้า 121 – 122, (คําบรรยาย) เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของ อเมริกา เป็นหนึ่งในบรรดาผู้สร้างชาติอเมริกา (American Founding Fathers) และถือได้ว่า มีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน เขาพยายามที่จะเสนอรูปแบบการปกครองสําหรับ อเมริกาให้เป็นการปกครองด้วยตัวแทน โดยเสนอความคิดดังกล่าวไว้ในงานเขียนชื่อว่า “The Federalist Papers” ซึ่งมีข้อความดังนี้ “สําหรับประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์ ซึ่งข้าพเจ้า หมายถึง สังคมที่ประกอบด้วยพลเมืองจํานวนหนึ่งผู้ซึ่งมารวมตัวกัน และบริหารรัฐบาล ด้วยตนเองนั้น…. เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้ กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครองลักษณะนี้ มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง นักการเมืองผู้รู้ทางทฤษฎีซึ่งสนับสนุนรัฐบาล ประเภทนี้ได้เข้าใจผิด ๆ มาว่า โดยการลดสภาพของมนุษยชาติลงมาจนเสมอภาคกันอย่าง สมบูรณ์ในสิทธิการเมืองนั้น จะทําให้มนุษย์นั้นมีความเสมอภาคและประสานกลมกลืนกัน อย่างสมบูรณ์ ทั้งในทรัพย์สิน ความคิดเห็น และกิเลสในเวลาเดียวกันด้วย…”

51. “เมื่อมนุษย์กลัวผู้อื่นจะมาทําอันตรายตน เขาจึงจําเป็นที่จะต้องแสร้งทําว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุด ดุร้าย ที่สุด โหดเหี้ยมที่สุด (Glory) เพื่อให้คนอื่นเกรงกลัวและไม่กล้ามาตอแยกับเขา” เป็นความคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 5 หน้า 35 – 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “Leviathan” ว่า“เมื่อมนุษย์กลัวผู้อื่นจะมาทําอันตรายตน เขาจึงจําเป็นที่จะต้องแสร้งทําว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแรง ที่สุด ดุร้ายที่สุด โหดเหี้ยมที่สุด (Glory) เพื่อให้คนอื่นเกรงกลัวและไม่กล้ามาตอแยกับเขา”

52.Politeia แปลว่า “รูปแบบการปกครอง”
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 107 อริสโตเติล (Aristotle) เรียกรูปแบบการปกครองที่อํานาจอยู่ในมือมหาชนและ ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะว่า “โพลิตี้” (Polity) ซึ่งคําดังกล่าวมาจากภาษากรีก คือ Politeia (โพ-ลิ-เท-อา) ที่แปลว่า “รูปแบบการปกครอง” (ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ)

53. นักคิดสัญญาประชาคมบางคนใช้อธิบายถึงสภาวะที่มนุษย์เป็นศัตรูต่อกัน
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

54. “ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับสิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้งกําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็น สิ่งที่ชอบธรรม” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 หน้า 189 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) ได้เสนอ “หลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน (Principle of Justice in Transfer) ซึ่งเป็นอีกหลักการหนึ่งที่โนซิคนํามาอธิบายเกี่ยวกับ หลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร โดยหลักการนี้ได้เสนอว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับ สิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้ง กําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็น สิ่งที่ชอบธรรม (ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ)

55. “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1942 เป็นงานของนักคิดคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

56. “ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบ ตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไป และก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

57. นักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 19
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 5 หน้า 168 เซอร์เอ็ดวิน แซดวิก (Sir Edwin Chadwick) เป็นนักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1800 – 1890) เขาได้ไปสํารวจชีวิตของชนชั้นล่าง ของอังกฤษและเขียนออกมาเป็นรายงาน โดยเขาเล่าว่าคนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว คนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็นสภาพชีวิตของคนจนในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

58.Edmund Burke มีฉายาว่า “แชมป์เปี้ยนแห่งเสรีภาพ
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 147 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ได้รับฉายาว่าเป็น “แชมป์เปี้ยน แห่งเสรีภาพ” (Champion of Liberty) โดยเขาได้เขียนงานชิ้นสําคัญเกี่ยวกับเสรีภาพออกมา ในปี ค.ศ. 1859 ชื่อว่า “On Liberty”

59. นักคิดคนใดคือคนที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) ได้กล่าวถึงว่าเป็น นักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice” (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 จากผลงานนี้เอง ที่ทําให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) กล่าวยกย่องรอลส์ ว่าเป็นนักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20

60. ข้อใดต่อไปนี้คือผลงานชิ้นสําคัญของ Thomas Hobbes
(1) Two Treatises of Government
(2) On Liberty
(3) Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men
(4) Politics
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

61. เป็นสภาวะที่อธิบายถึงเวลาก่อนที่มนุษย์จะมารวมตัวกันเป็นสังคมการเมือง
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 1 หน้า 30, 33 – 34 สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ตามแนวคิดของนักคิดสกุลสัญญา ประชาคมนั้น เป็นช่วงเวลาก่อนที่มนุษย์จะมารวมตัวกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง ในสภาวะ ดังกล่าวจะไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันอย่างเป็นอิสระ

62. คนที่มีหรือเป็นเจ้าของอํานาจสูงสุดในการปกครองสังคมการเมือง
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

63. “สถานะเริ่มแรกที่เท่าเทียมกันในทฤษฎีความยุติธรรมในฐานะที่เที่ยงธรรมนั้นก็ตรงกับสภาวะธรรมชาติในทฤษฎีสัญญาสังคมแบบดั้งเดิม ในประวัติศาสตร์ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเริ่มแรกนี้มันจะไม่ใช่สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงและมันก็ไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทางวัฒนธรรม ดังนั้นเราต้องเข้าใจมันในฐานะที่เป็นสถานการณ์อันถูกสมมุติขึ้นมาอย่างแท้จริง” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 หน้า 179 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร ซึ่งเป็นการลองสมมุติสถานการณ์ ขึ้นมาเพื่อหาคําตอบใดคําตอบหนึ่งโดยจํากัดเงื่อนไขบางอย่างไว้ โดยรอลส์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “สถานะเริ่มแรกที่เท่าเทียมกันในทฤษฎีความยุติธรรมในฐานะที่เที่ยงธรรมนั้นก็ตรงกับสภาวะธรรมชาติในทฤษฎีสัญญาสังคมแบบดั้งเดิม ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเริ่มแรกนี้มันจะไม่ใช่ สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และมันก็ไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทางวัฒนธรรม ดังนั้นเราต้องเข้าใจมันในฐานะที่เป็นสถานการณ์อันถูกสมมุติขึ้นมาอย่างแท้จริงทั้งนี้ก็เพื่อที่จะนําไปสู่ข้อสรุปอะไรบางอย่างอันเกี่ยวข้องกับความยุติธรรม…”

64.Robert Nozick เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Prince
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. และ 9. ประกอบ

65. คําว่า “Free Gift” ตามความหมายของ Thomas Hobbes ใช้กับบุคคลในข้อใด
(1) ผู้ปกครอง – พระเจ้า
(2) ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย – ผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
(3) คนรวย – คนจน
(4) ผู้ปกครอง – ผู้ใต้ปกครอง
(5) พระเจ้า – บุตรแห่งพระเจ้า
ตอบ 2 หน้า 59 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) อธิบายว่า ถ้าคนหนึ่งปฏิบัติตามกฎหมาย แต่อีกคนไม่ปฏิบัติตามทั้ง ๆ ที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าทุก ๆ คนจะมอบอํานาจที่แต่ละคนมี ตามธรรมชาติให้คนกลางคนหนึ่งตัดสินและออกกฎหมายในทุก ๆ เรื่อง และจะเชื่อฟังคนดังกล่าว ซึ่งถ้าคนหนึ่งเชื่อฟังอีกคนไม่เชื่อฟังและไม่ถูกลงโทษ เหตุการณ์แบบนี้ก็เหมือนกับการที่ คนปฏิบัติตามกฎหมายได้ให้ของขวัญเปล่า ๆ แก่คนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและไม่ถูกลงโทษ โดยฮอบส์เรียกการกระทํานี้ว่า “ของขวัญที่ให้กันฟรี ๆ” (Free Gift) หรือในปัจจุบันมักเรียกว่า“Free Rider”

66. นักคิดคนใดอธิบายว่า สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ไม่น่าพึงปรารถนา (Solitary, poor, nasty, brutish and short)
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

67. นักคิดคนใดอธิบายว่าทําไมในระบบทุนนิยม (Capitalism) หรือระบบที่มีการกระจายทรัพยากรอย่างเสรีนั้นชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือกรรมาชีพจึงมีสภาพชีวิตที่ย่ําแย่อย่างมาก
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

68. “มนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นศัตรูกับมนุษย์ทุกคน ทุกคนพร้อมจะทําร้ายกันและกัน (Every man against every man) โดยไม่เกี่ยงวิธีการ ในสภาวะสงครามไม่มีคําว่ายุติธรรม หรืออยุติธรรม ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณธรรมอย่างเดียวที่มีก็คือ การใช้กําลังและการหลอกลวง ฉ้อฉล” เป็นวิธีคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 5 หน้า 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ก็คือสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) ซึ่งเป็นสภาวะที่มนุษย์ทุกคนต่างก็เป็น ศัตรูกับมนุษย์ทุกคน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายกันและกัน (Every man against every man) โดยไม่เกี่ยงวิธีการ ในสภาวะสงครามไม่มีคําว่ายุติธรรมหรืออยุติธรรม ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณธรรม อย่างเดียวที่มีก็คือ การใช้กําลังและการหลอกลวง ฉ้อฉล (Force and Fraud)

69. หากต้องการศึกษาความคิดของศาสนาคริสต์นักศึกษาต้องศึกษาจากเอกสารชิ้นใด
(1) บันทึกใบลานของพระเจ้า
(2) ตําราขงจื้อ
(3) พระไตรปิฎก
(4) พระคัมภีร์อัลกุรอาน
(5) พระคัมภีร์ไบเบิ้ล
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

70.Aristotle เป็นนักคิดสกุลสัญญาประชาคม
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 30 – 32, 39, 45, (คําบรรยาย) นักคิดสกุลสัญญาสังคมหรือสัญญาประชาคม
(Social Contract) ที่สําคัญ ได้แก่
1. โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักคิดชาวอังกฤษ
2. จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ
3. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา
4. จอห์น รอลส์ (John Rawls) นักคิดชาวอเมริกัน

71. เป็นนักคิดชาวเจนีวา เขียนหนังสือเรื่อง “The Social Contract”
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 11. และ 70. ประกอบ

72.Henry David Thoreau ไม่เห็นด้วยกับสงครามในข้อใด
(1) World War I (1914 – 1919)
(2) World War II (1939 – 1945)
(3) Mexican-American War (1846 – 1848)
(4) Cayuse War (1847-1855)
(5) Utah War (1857 – 1858)
ตอบ 3 หน้า 80 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ไม่เห็นด้วยกับ “สงครามเม็กซิกัน- อเมริกัน” (Mexican-American War : 1846 – 1848) ที่อเมริกาไปรบกับเม็กซิโกเพื่อผนวก ดินแดนเท็กซัส เพราะมันเป็นการเพิ่มรัฐที่มีทาสให้กับอเมริกา โดยธอโรมีความเห็นว่าการมี ทาสนั้นเป็นสิ่งชั่วช้าและในอเมริกาก็ไม่ควรที่จะยอมให้เกิดขึ้นมากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกต่อไป ดังนั้นธอโรจึงปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ เพราะการจ่ายภาษีให้กับรัฐก็หมายความว่า รัฐจะนําเงินไปใช้จ่ายในสงครามที่ทํากับเม็กซิโก

73. แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกร ใครเป็นคนที่คิดเรื่องดังกล่าว
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 172 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งของนายทุนในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกรเพื่อให้ตนเองได้กําไรมากที่สุด โดยนายทุนจะจ่ายค่าแรงให้ต่ําที่สุดเท่าที่กรรมกรจะสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ เพื่อที่ว่าแรงงานนั้นจะกลับมาทําการผลิตให้กับนายทุนได้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ

74. “สําหรับประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์… เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครอง ลักษณะนี้มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง” เป็นความคิดของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 50. ประกอบ

75. นักคิดชาวอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1588 – 1679 ปัจจุบันได้รับการยกย่องว่าเป็นนักคิดสกุลสัญญาประชาคมคนสําคัญ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. และ 70. ประกอบ

76. นักคิดกรีกโบราณคนใดเป็นผู้เขียนงานเรื่อง Nicomachean Ethics
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 หน้า 25, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) นักคิดชาวมาซิโดเนีย เป็นนักคิดในยุคกรีกโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เขาเป็นผู้เขียนงานเรื่อง “Politics” และ “Nicomachean Ethics”

77. ราชาปราชญ์ (Philosopher King) คือแนวคิดสําคัญของฌอง ฌากส์ รุสโซ
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 90 เพลโต (Plato) เสนอว่า ผู้ปกครองที่ดีที่สุดก็คือ “ราชาปราชญ์” (Philosopher King) โดยบุคคลดังกล่าวนี้จะต้องรักในความรู้อันแท้จริง (Wisdom Lover) และชีวิตส่วนตัวนั้น จะต้องมีชีวิตเรียบง่าย เนื่องจากตัวเขาจะต้องอุทิศให้แก่รัฐที่เขาปกครอง

78. เป็นนักคิดชาวอิตาเลียน และเป็นผู้ใช้อุปมาเรื่องสิงโตกับสุนัขจิ้งจอก
(1) John Stuart Mil
(2) Jean Paul Sartrel
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 128, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) นักคิดชาวอิตาเลียน ได้อธิบายถึงคุณสมบัติของผู้ปกครองที่ดีไว้ในหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) โดยอุปมาถึงลักษณะของผู้ปกครองว่าควรจะต้องเป็นอย่างสิงโตและสุนัขจิ้งจอก นั่นคือ จะต้อง มีพละกําลังที่เข้มแข็งดุจสิงโต และมีความเฉลียวฉลาดดุจสุนัขจิ้งจอก ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถผจญกับเล่ห์เหลี่ยมและปราบปรามผู้ที่ตนปกครองได้นั่นเอง

79. เป็นหัวใจและเป็นสิ่งสําคัญของระบบทุนนิยม แต่เป็นสิ่งที่ในระบบคอมมิวนิสต์ต้องการกําจัด
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ระบบทุนนิยม (Capitalism) จะให้ความสําคัญกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property) ซึ่งตรงกันข้ามกับระบบคอมมิวนิสต์ (Communism) ที่ต้องการกําจัดระบบ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลแล้วให้ความสําคัญกับทรัพย์สินส่วนรวม (Public Property)

80. ใครคือผู้ที่เปรียบเปรยว่า “รัฐบาลมีฐานะเป็นคนรับใช้ของประชาชน”
(1) John Locke
(2) John Rawls
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Austin
(5) Niccolo Machiavelli
ตอบ 3 หน้า 76 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า รัฐบาลมีฐานะเป็นแค่ คนรับใช้ของประชาชนและประชาชนนั้นเป็นเจ้านายของรัฐบาล แม้ตําแหน่งของรัฐบาลจะเรียกว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (Prince) แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิออกกฎหมายใด ๆ ตามความต้องการของตนเอง รัฐบาลเป็นแค่หน่วยงานในการที่จะกระทําการตามเจตจํานงของกฎหมายที่ประชาชนเป็นผู้ออกอํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นอํานาจที่ประชาชนฝากไว้ ซึ่งอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้หากประชาชนพอใจ

81. “ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้างกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และคนอื่น ๆ ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของ ข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงาน เป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม… ด้วยการที่ มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้าง กรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”

82. “ผู้รู้ทางทฤษฎีซึ่งสนับสนุนรัฐบาลประเภทนี้ได้เข้าใจผิด ๆ มาว่า โดยการลดสภาพของมนุษยชาติลงมาจน เสมอภาคกันอย่างสมบูรณ์ในสิทธิการเมืองนั้น จะทําให้มนุษย์นั้นมีความเสมอภาคและประสานกลมกลืนกัน อย่างสมบูรณ์ ทั้งในทรัพย์สิน ความคิดเห็น และกิเลสในเวลาเดียวกันด้วย” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 50. ประกอบ

83. “ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหารายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้โดยทรัพยากรนั้น ก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกายของตน แรงงานของตน สติปัญญาของตน หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของต่าง ๆ มา และถ้า การหารายได้นั้น ๆ เป็นไปอย่างชอบธรรมตั้งแต่ต้น ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ไปด้วย” เป็นคํากล่าวของนักคิดชาวอเมริกันคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

84. บุคคลใดเป็นผู้ก่อร่างสร้างชาติอเมริกา และถือได้ว่ามีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 50. ประกอบ

85. คําว่า Explicit Consent มีความหมายว่าอย่างไร
(1) การตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(2) การตกลงโดยปริยายว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(3) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐแบบเป็นลายลักษณ์อักษร
(4) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐโดยปริยาย
(5) การไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งของสาธารณะของรัฐเพื่อเลี่ยงกฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 63 – 64 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายในเรื่องการเชื่อฟังกฎหมายว่า การที่พลเมืองเชื่อฟังกฎหมายและยอมปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐก็เนื่องจากเขาได้ตกลงทําสัญญาที่จะอยู่ร่วมกันภายใต้รัฐ โดยหวังว่ารัฐจะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าทําสัญญา ตลอดจนทําหน้าที่ไกล่เกลี่ยเมื่อมีข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งตามความคิดของล็อคนั้น การตกลงทําสัญญามี 2 ลักษณะ คือ
1. การตกลงแบบชัดแจ้ง (Express Consent / Explicit Consent) เป็นการตกลงแบบเป็น ลายลักษณ์อักษรที่จะเข้ามาอยู่ในรัฐและปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
2. การตกลงแบบปริยาย (Tacit Consent) เป็นการตกลงที่ผู้ตกลงได้มาใช้ประโยชน์จาก รัฐหนึ่ง ๆ เช่น ใช้ทางหลวง ใช้สิ่งของสาธารณะ หรือได้ประโยชน์จากการที่เข้ามาอยู่ ภายในรัฐ จึงทําให้คน ๆ นั้นมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐนั้น ๆ โดยปริยาย

86. อํานาจอยู่ในมือคน ๆ เดียว (The One) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

87. “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงานเป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม”ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

88.คําประกาศเอกราชของ Thomas Jefferson ได้อิทธิพลทางความคิดมาจากนักคิดของประเทศใด
(1) สหรัฐอเมริกา
(2) อังกฤษ
(3) ฝรั่งเศส
(4) ปรัสเซีย
(5) เยอรมนี
ตอบ 2 หน้า 77 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งใน รรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (American Founding Fathers) ได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ มาใช้ในการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776

89. ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Philosophy
(1) ความรักในความรู้
(2) Love of Wisdom
(3) Logic คือสาขาย่อยของ Philosophy
(4) สนใจต่อสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ
(5) ทุกข้อล้วนเกี่ยวข้องกับ Philosophy
ตอบ 5 หน้า 1 – 5 ปรัชญา (Philosophy) คือ องค์ความรู้ที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติของ สิ่งต่าง ๆ หรือปัญหาพื้นฐานของสิ่งต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาถึงการดํารงอยู่ของสิ่งต่าง ๆ การรับรู้ของมนุษย์ ความดีคืออะไร มนุษย์เกิดมาทําไม ฯลฯ โดยคําว่า “ปรัชญา” เกิดมาจาก การผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้น ปรัชญาจึงหมายถึง “ความรักในความรู้” (Love of Wisdom) สําหรับองค์ความรู้ทางปรัชญานั้น สามารถแบ่งสาขาย่อยออกได้เป็น 5 สาขา ได้แก่ อภิปรัชญา(Metaphysics) ญาณวิทยา (Epistemology) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) จริยศาสตร์ (Ethics) และตรรกวิทยา (Logic)

90. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ Normative Political Theory
(1) เน้นอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(2) เน้นทํานายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(3) มีฐานคิดอยู่บนหลักการแบบวิทยาศาสตร์
(4) คือสิ่งเดียวกับการศึกษาแบบปทัสถานนิยม
(5) ไม่มีตัวเลือกใดกล่าวถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 12 – 13 จุดมุ่งหมายของปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือ การศึกษาถึง ธรรมชาติ หรือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด หรือความจริงแท้สูงสุดอันเป็นสากลในทางการเมือง แต่จะไม่มุ่งอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ด้วยเหตุนี้รูปแบบการศึกษาปรัชญาการเมือง จึงถูกเรียกว่า “การศึกษาการเมืองแบบปทัสถานนิยม” (Normative Political Theory) คือ เป็นการศึกษาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานในทางการเมือง เพื่อที่จะนําความรู้นั้นไปสร้างบรรทัดฐาน หรือการเมืองที่ควรจะเป็นขึ้นมา ดังนั้นวิธีการศึกษาปรัชญาการเมืองจึงมีความแตกต่างกับวิธี การศึกษาของรัฐศาสตร์กระแสหลักอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากปรัชญาการเมืองไม่ได้มีการพยายามหาคําตอบหรือมีการหาความรู้ด้วยระเบียบวิธีวิจัยแบบวิทยาศาสตร์ แต่ปรัชญาการเมืองจะใช้ ทัศนคติ ค่านิยม ประสบการณ์ของตัวนักคิดมาอธิบาย

91. อัตถิภาวะนิยม (Existentialism)
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

92. อํานาจอยู่ในมือกลุ่มคน (The Few) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

93. ข้อความดังกล่าวนี้ตรงกับตัวเลือกใดมากที่สุด “บางครั้งก็เรียกว่าทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) ในสาขาย่อยของความรู้ทางด้านปรัชญานี้ จะมุ่งศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับว่ามนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร”
(1) อภิปรัชญา
(2) อุดมการณ์ทางการเมือง
(3) ปรัชญาการเมือง
(4) จริยศาสตร์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 2 ญาณวิทยา (Epistemology) หรือบางครั้งก็เรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) ในสาขาย่อยของความรู้ทางด้านปรัชญานี้ จะมุ่งศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับว่า มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะ ตอบว่า “ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ซึ่งการตอบว่า “ตาผมไม่บอด” ก็หมายความว่า ผมเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตา” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์สามารถรู้ถึง สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยประสาทสัมผัสนั่นเอง

94. “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพ ดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับ เสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้” เป็นคํากล่าว ของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

95. ใครเป็นผู้เสนอคําอธิบายที่ว่า กฎหมายจะเป็นกฎหมายได้ก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่ง
(1) John Austin
(2) Thomas Hobbes
(3) Immanuet Kant
(4) Aristotle
(5) Socrates
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า กฎหมายจะเป็น กฎหมายได้นั้นก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเขา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “คําสั่งใด ๆ ของผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณา จากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย”

96. คําถามประเภทที่ว่า กฎหมายคืออะไร มนุษย์มีเสรีภาพหรือไม่
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 1 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ กฎหมายคืออะไร ทําไมเราต้อง เชื่อฟังกฎหมาย มนุษย์มีเสรีภาพหรือไม่ ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควรที่จะเป็น ผู้ปกครอง เป็นต้น

97. เป็นสาขาความรู้ที่ในด้านหนึ่งสนใจเรื่องการใช้เหตุผลของมนุษย์
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 2 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไรในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

98.“Man is condemned to be free” เป็นคําพูดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 หน้า 144 – 145, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) มองว่า การที่มนุษย์ มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาป ให้มีเสรีภาพ (Man is condemned to be free)… เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นบนโลกนี้ เขาก็ต้อง รับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขากระทํา และพวกที่เชื่อในแนวคิดอัตถิภาวะนิยมจะไม่ยอมรับในอํานาจ แห่งอารมณ์ เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยว่า อารมณ์ที่รุนแรงคือสายน้ําเชี่ยวกรากที่นํามนุษย์ให้ กระทําการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งถูกลิขิตไว้ และมนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”

99. ผู้ใดต่อไปนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน
(1) Saint Paul
(2) Saint Peter
(3) Saint Pancras
(4) Saint Petersburg
(5) Saint Augustine
ตอบ 1 หน้า 67 เปาโลหรือนักบุญพอล (Saint Paul) ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูสิบสองคนโดยตรง เหมือนกับนักบุญปีเตอร์ แต่ตามตํานานกล่าวว่าหลังพระเยซูเสียชีวิตที่กางเขนแล้ว พระเยซู ได้มาปรากฏให้เปาโลเห็นเพื่อเลือกเปาโลให้มารับใช้พระอง จึงทําให้เปาโลซึ่งเป็นยิว อย ข่มเหงพวกคริสเตียนอยู่ตลอดเวลา กลับใจหันมาอุทิศชีวิตป่าวประกาศเรื่องราวของพระเยซู จนได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานให้กับศาสนาคริสต์ที่สําคัญคนหนึ่ง หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ เปาโล คือหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน

100. ใครเชื่อว่าสังคมการเมืองเป็นสิ่งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.เป็นสภาวะที่อธิบายถึงเวลาก่อนที่มนุษย์จะมารวมตัวกันเป็นสังคมการเมือง
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 1 หน้า 30, 33 – 34 สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ตามแนวคิดของนักคิดสกุลสัญญา ประชาคมนั้น เป็นช่วงเวลาก่อนที่มนุษย์จะมารวมตัวกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง ในสภาวะ ดังกล่าวจะไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันอย่างเป็นอิสระ

2. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ Normative Political Theory
(1) เน้นอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(2) เน้นทํานายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(3) มีฐานคิดอยู่บนหลักการแบบวิทยาศาสตร์
(4) คือสิ่งเดียวกับ Political Philosophy
(5) ไม่มีตัวเลือกใดกล่าวถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 12 – 13 จุดมุ่งหมายของปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือ การศึกษาถึง ธรรมชาติ หรือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด หรือความจริงแท้สูงสุดอันเป็นสากลในทางการเมือง แต่จะไม่มุ่งอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ด้วยเหตุนี้รูปแบบการศึกษาปรัชญาการเมือง จึงถูกเรียกว่า “การศึกษาการเมืองแบบปทัสถาน” (Normative Political Theory) คือ เป็น การศึกษาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานในทางการเมือง เพื่อที่จะนําความรู้นั้นไปสร้างบรรทัดฐาน หรือการเมืองที่ควรจะเป็นขึ้นมา ดังนั้นวิธีการศึกษาปรัชญาการเมืองจึงมีความแตกต่างกับวิธี การศึกษาของรัฐศาสตร์กระแสหลักอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากปรัชญาการเมืองไม่ได้มีการพยายามหาคําตอบหรือมีการหาความรู้ด้วยระเบียบวิธีวิจัยแบบวิทยาศาสตร์ แต่ปรัชญาการเมืองจะใช้ ทัศนคติ ค่านิยม ประสบการณ์ของตัวนักคิดมาอธิบาย

3. เป็นชื่อของกลุ่มคนในยุคกรีกโบราณ
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 5 หน้า 9 – 10 โซฟิสต์ (Sophist) เป็นชื่อของกลุ่มคนในยุคกรีกโบราณที่มีอาชีพสอนพลเมือง ให้มีความรู้ต่าง ๆ ทางการเมือง เช่น สอนพลเมืองให้มีทักษะในการโต้เถียงหรือพูดในที่สาธารณะ โดยพวกโซฟิสต์มักจะเป็นชาวต่างด้าวหรือไม่ใช่พลเมืองชาวเอเธนส์ โซฟิสต์คนสําคัญที่มีชื่อเสียง ในยุคกรีกโบราณ ได้แก่ โปรทากอรัส (Protagoras), กอร์เกียส (Gorgias), ฮิปปิอัส (Hippias), ทราไซมาคุส (Thrasymachus) เป็นต้น

4.ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ “ไครโต” (Crito)
(1) พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกภายหลังโดนสั่งประหารชีวิต
(2) ผู้สั่งประหารชีวิตโสเครตีส
(3) บิดาของโสเครตีส
(4) ญาติที่ให้การเลี้ยงดูโสเครตีส
(5) ผู้ที่ขัดขวางการหนีออกจากคุกของโสเครตีส
ตอบ 1 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนาตอนที่โสเตรตีส กําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นใครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีส หนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไมเราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟัง กฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ ท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศ และถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้น จะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่าน ถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้อง ทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง…”

5. ประโยคที่ว่า “ ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” ผู้พูดต้องการสื่อความหมายอย่างไร
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6.“เราลองนึกถึงในแง่ดีที่สุดแล้วก็ตาม เราก็จะพบว่า มันเป็นการปกครองแบบที่ให้คนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลย มาตัดสินเรื่องราวที่ต้องใช้ประสบการณ์ เอาคนที่ไม่รู้มานั่งตัดสินเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ความไม่รู้ที่ว่านี้หมายถึง ขนาดที่ว่าแม้ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ไม่รู้เพื่อที่จะให้รู้ นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว ประชาชนมักขาดความระมัดระวังและยังโอหังทะนงตัวอีกด้วย” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 หน้า 118 – 119 แม้จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) จะชื่นชมยกย่องและนิยมให้ ประชาชนมีอํานาจในการปกครองตนเอง แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยถ้าจะให้ประชาชนทุกคนมาเป็น คนออกกฎหมายหรือทําอะไรด้วยตนเอง โดยมิลล์ได้ให้เหตุผลไว้ว่า “เราลองนึกถึงในแง่ดีที่สุด แล้วก็ตาม เราก็จะพบว่า มันเป็นการปกครองแบบที่ให้คนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลยมาตัดสิน เรื่องราวที่ต้องใช้ประสบการณ์ เอาคนที่ไม่รู้มานั่งตัดสินเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ความไม่รู้ที่ว่านี้ หมายถึงขนาดที่ว่าแม้ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ไม่รู้เพื่อที่จะให้รู้ นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว ประชาชน มักขาดความระมัดระวังและยังโอหังทะนงตัวอีกด้วย”

7. ผู้เขียนงานเรื่องความเรียงชิ้นที่สองว่าด้วยต้นกําเนิดของความไม่เสมอภาค
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 2 หน้า 45, 94 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มีผลงานที่สําคัญ ได้แก่ 1. หนังสือเรื่อง “ความเรียงว่าด้วยต้นกําเนิดและรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคของมวลมนุษยชาติ” (Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men) หรือบางครั้งก็เรียกงานชิ้นนี้ว่า “ความเรียงชิ้นที่ 2 ของรุสโซ” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1755 2. หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1762

8.“ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหารายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้โดยทรัพยากรนั้น ก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกายของตน แรงงานของตน สติปัญญาของตน หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของต่าง ๆ มา และถ้า การหารายได้นั้น ๆ เป็นไปอย่างชอบธรรมตั้งแต่ต้น ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ไปด้วย” เป็นคํากล่าวของนักคิดชาวอเมริกันคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 หน้า 187 – 191 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) นักคิดชาวอเมริกัน ได้อธิบายเกี่ยวกับ หลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากรไว้ในหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” โดยได้กล่าวถึง “หลักความยุติธรรมในการครอบครองตั้งต้น” (Principle of Justice in Entitlement) ซึ่งเป็นหลักการที่เสนอว่า ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหา รายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้โดยทรัพยากรนั้นก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกายของตน แรงงานของตน สติปัญญาของตน หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของต่าง ๆ มา และถ้าการหา รายได้นั้น ๆ เป็นไปอย่างชอบธรรมตั้งแต่ต้น ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ ชอบธรรมไปด้วย นั่นก็หมายความว่าคนอื่นก็ไม่มีสิทธิที่จะแย่งชิงทรัพย์สินหรือรายได้เหล่านั้นโดยเขาได้ยกตัวอย่างของนักกีฬามาเป็นเครื่องมือในการอธิบาย

9.การกระจายทรัพยากรต้องยึดหลักว่า ถ้ากระจายให้ใครแล้วก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนจํานวนมากที่สุดสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 หน้า 116, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดในสกุลประโยชน์นิยม (Utilitarianism) เช่นเดียวกับเจเรมี เบนแธม (Jeremy Bentham) ซึ่งหลักการของประโยชน์นิยม มีหัวใจสําคัญอยู่ที่ “ความสุข” หรือ “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” จากหลักการนี้ จึงทําให้นักคิดสกุลประโยชน์นิยมยึดถือหลักการพื้นฐานทางสังคมร่วมกันที่ว่า “การกระทํา ทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุขที่มากที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” (Greatest Happiness for the Greatest Numbers) ดังนั้นแนวคิดในการกระจายทรัพยากรของมิลล์ จึงยึดหลักว่า ถ้ากระจายให้ใครแล้วก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนจํานวนมากที่สุด สิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ดี

10. เป็นสาขาความรู้ที่ในด้านหนึ่งสนใจเรื่องการใช้เหตุผลของมนุษย์
(1) Philosophia Perennis.
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 2 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

11. อํานาจอยู่ในมือคนเดียว (The One) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 4 หน้า 104 – 105 อริสโตเติล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

12.“ตําราสองเล่มว่าด้วยการปกครอง” นักคิดชาวอังกฤษคนใดเป็นคนเขียนขึ้น
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter.
ตอบ 3 หน้า 39 จอห์น ล็อค (John Locke) เป็นนักคิดชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17 (ค.ศ. 1632 – 1704) เขาได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มว่าด้วยการปกครอง) ว่า รัฐเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยปกป้องรักษาทรัพย์สิน ชีวิต และ ตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ

13. นักคิดกรีกโบราณคนใดเป็นผู้เขียนงานเรื่อง Politics
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 หน้า 25 (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) นักคิดชาวมาซิโดเนีย เป็นนักคิดในยุคกรีกโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เขาเป็นผู้เขียนงานเรื่อง “Politics” และ “Nicomachean Ethics”

14. ใครเป็นผู้เสนอคําอธิบายที่ว่า กฎหมายจะเป็นกฎหมายได้ก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่ง
(1) John Austin
(2) Thomas Hobbes
(3) Immanuel Kant
(4) Aristotte
(5) Socrates
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า กฎหมายจะเป็น กฎหมายได้นั้นก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเขา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “คําสั่งใด ๆ ของผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณา จากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย”

15. “การปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติบางประการ เอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริง ประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องการเลือกผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน” ข้อเขียนดังกล่าวปรากฏอยู่ในงานของนักคิดชาวฝรั่งเศสคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter

ตอบ 1 หน้า 120 – 121 มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักคิดชาวฝรั่งเศส ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ การปกครองโดยตัวแทนไว้ในหนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des lois) ว่า มีความเลวร้ายอันยิ่งใหญ่อยู่ประการหนึ่งในบรรดาสาธารณรัฐโบราณนั่นก็คือ รัฐดังกล่าวปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมากบางประการเอาไปปฏิบัติได้ ในความเป็นจริงประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องการเลือก ผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน”

16. เป็นหัวใจและเป็นสิ่งสําคัญของระบบทุนนิยม แต่เป็นสิ่งที่ในระบบคอมมิวนิสต์ต้องการกําจัด
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ในระบบทุนนิยม (Capitalism) จะให้ความสําคัญกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วน บุคคล (Private Property) ซึ่งตรงกันข้ามกับระบบคอมมิวนิสต์ (Communism) ที่ต้องการกําจัด ระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลแล้วให้ความสําคัญกับทรัพย์สินส่วนรวม (Public Property)

17. “สําหรับประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์… เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครอง ลักษณะนี้มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง” เป็นความคิดของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 หน้า 121 – 122, (คําบรรยาย) เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของ อเมริกา เป็นหนึ่งในบรรดาผู้สร้างชาติอเมริกา (American Founding Fathers) และถือได้ว่า มีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน เขาพยายามที่จะเสนอรูปแบบการปกครองสําหรับ อเมริกาให้เป็นการปกครองด้วยตัวแทน โดยเสนอความคิดดังกล่าวไว้ในงานเขียนชื่อว่า “The Federalist Papers” ซึ่งมีข้อความดังนี้ “สําหรับประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์ ซึ่งข้าพเจ้า หมายถึง สังคมที่ประกอบด้วยพลเมืองจํานวนหนึ่งผู้ซึ่งมารวมตัวกัน และบริหารรัฐบาล ด้วยตนเองนั้น เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้ กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครองลักษณะนี้ มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง นักการเมืองผู้รู้ทางทฤษฎีซึ่งสนับสนุนรัฐบาล ประเภทนี้ได้เข้าใจผิด ๆ มาว่า โดยการลดสภาพของมนุษยชาติลงมาจนเสมอภาคกันอย่าง สมบูรณ์ในสิทธิการเมืองนั้น จะทําให้มนุษย์นั้นมีความเสมอภาคและประสานกลมกลืนกัน อย่างสมบูรณ์ ทั้งในทรัพย์สิน ความคิดเห็น และกิเลสในเวลาเดียวกันด้วย….”

18. หากนักศึกษาได้อ่านถึงบทบาทของแอนธิกอน (Antigone) ในการฝังศพโพลินีซิส (Polyneices) แล้ว นักศึกษาเห็นด้วยกับแอนธิกอน แปลว่านักศึกษาเห็นด้วยกับตัวเลือกในข้อใด
(1) กฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์
(2) กฎของมนุษย์ยิ่งใหญ่กว่ากฎของพระเจ้า
(3) กฎของพระเจ้าสําคัญเทียบเท่ากับกฎของมนุษย์
(4) กฎของพระเจ้าหรือมนุษย์สําคัญน้อยกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล
(5) กฎของพระเจ้าสําคัญน้อยกว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์
ตอบ 1 หน้า 71 – 72 กรณีของแอนธิกอน (Antigone) นั้น เธอได้ละเมิดคําสั่งของกษัตริย์คลื่อน (Creon) ที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิส (Polyneices) ซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่อง ประหลาดและฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของ แอนธิกอนนั้นมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่กําหนดโดยมนุษย์ สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า กฎของมนุษย์

19. แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกร ใครเป็นคนที่คิดเรื่องดังกล่าว
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 172 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งของนายทุนในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกรเพื่อให้ตนเองได้กําไร มากที่สุด โดยนายทุนจะจ่ายค่าแรงให้ต่ําที่สุดเท่าที่กรรมกรจะสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้เพื่อที่ว่าแรงงานนั้นจะกลับมาทําการผลิตให้กับนายทุนได้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ

20. ข้อความดังกล่าวนี้ตรงกับตัวเลือกใดมากที่สุด “เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับการกระทํา ที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง สิ่งใดผิดสิ่งใดถูก”
(1) อภิปรัชญา
(2) อุดมการณ์ทางการเมือง
(3) ปรัชญาการเมือง
(4) จริยศาสตร์
(5) ญาณวิทยา
ตอบ 4 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควร จะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่า ความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือ สิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

21. เป็นผู้อธิบายว่าทําไมในระบบทุนนิยม (Capitalism) หรือระบบที่มีการกระจายทรัพยากรอย่างเสรีนั้นชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือกรรมาชีพจึงมีสภาพชีวิตที่ย่ำแย่อย่างมาก
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 170 – 173 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นนักคิดที่ต่อต้านระบบทุนนิยม (Capitalism) ที่มีการกระจายทรัพย์สินหรือทรัพยากรอย่างเสรี หรือระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา (Laissez-faire) เป็นอย่างมาก เพราะมองว่าในระบบดังกล่าวทําให้ชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือ กรรมาชีพมีสภาพชีวิตที่ย่ําแย่มากเพราะการถูกขูดรีดค่าแรง และในทางด้านจิตใจผู้ใช้แรงงานก็ยังถูกทําให้แปลกแยกจากตนเองและไม่ได้มีความภาคภูมิใจต่อสิ่งที่ตนเองได้ผลิตขึ้นมาเลย

22. แมคคิอาเวลลี (Machiavelli) มีความคิดว่าผู้ปกครองคือใครก็ได้ แต่ขอให้รักษารัฐ รักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 128, 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) กล่าวว่า ผู้ปกครองที่ดีคือผู้ปกครองที่สามารถรักษารัฐ รักษาอํานาจ หรือคงสถานะในการเป็นผู้ปกครองไว้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองตามความคิดของ แมคคิอาเวลลีจึงเป็นใครก็ได้ แต่ขอให้รักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ ซึ่งผู้ปกครอง ที่จะสามารถรักษารัฐไว้ได้ก็คือ ผู้ปกครองที่มีคุณธรรม (Virtue) โดยคุณธรรมของผู้ปกครอง ตามความหมายของแมคคิอาเวลลีนั้น หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสมสําหรับผู้ปกครองที่จะรักษารัฐไว้ใต้

23. นักคิดคนใดที่เขียนงานเรื่อง The Prince
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

24. วิธีคิดของเขาได้กลายเป็นรากฐานของอุดมการณ์ Communism
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 174 – 176, (คําบรรยาย) วิธีคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้กลายมาเป็นรากฐานของอุดมการณ์สังคมนิยม (Socialism) หรือคอมมิวนิสต์ (Communism) โดยเฉพาะ ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848 ที่มาร์กซ์ได้เรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพปฏิวัติโค่นล้มระบบทุนนิยม โดยการเข้ายึดครอง ปัจจัยการผลิตและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็นรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยน ความสัมพันธ์ทางการผลิตของชนชั้นนายทุนให้กลายมาเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ

25.Veit of Ignorance หรือม่านแห่งความไม่รู้ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองทางความคิดของจอห์น รอลล์
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 179 – 180, 186 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด และได้วางเงื่อนไข ภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veil of Ignorance) ซึ่งผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบว่าตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ ที่เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นการตัดสินอันยุติธรรมเพราะผู้ตัดสินใจจะใช้แต่เหตุผล และไม่นําสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานะของตนเองมาเป็นปัจจัยในการตัดสิน

26.ตามความคิดของ Thomas Hobbes หากผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะใดมากที่สุด
(1) สันติภาพที่ถาวร
(2) สภาวะต่างคนต่างอยู่
(3) การฆ่าฟันกันจนตายโหง
(4) กฎหมายสลายตัวไป
(5) ความรักใคร่สามัคคีกัน
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) ตามความคิดของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หากองค์อธิปัตย์ หรือผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะ เข้ามาอยู่ในรัฐ นั่นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา สุดท้ายก็จะเกิดความวุ่นวายและนําไปสู่สภาวะสงครามที่ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันกันจนตายโหง

27. ราชาปราชญ์ (Philosopher King) คือแนวคิดสําคัญของโสเครตีส
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 90 เพลโต (Plato) เสนอว่า ผู้ปกครองที่ดีที่สุดก็คือ “ราชาปราชญ์” (Philosopher King) โดยบุคคลดังกล่าวนี้จะต้องรักในความรู้อันแท้จริง (Wisdom Lover) และชีวิตส่วนตัวนั้น จะต้องมีชีวิตเรียบง่าย เนื่องจากตัวเขาจะต้องอุทิศให้แก่รัฐที่เขาปกครอง

28. “คุณธรรมของผู้ปกครอง (Virtue) หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสมสําหรับผู้ปกครองที่จะรักษารัฐไว้ได้” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

29. นักคิดคนใดมีความคิดปฏิเสธการให้ผู้แทนไปทําหน้าที่ในการออกกฎหมายอย่างสิ้นเชิง
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 4 หน้า 125 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นนักคิดที่ปฏิเสธการให้ผู้แทน ไปทําหน้าที่ในการออกกฎหมายอย่างสิ้นเชิง เพราะเขาเห็นว่าการปกครองที่มีเสรีภาพเสมอภาค ตลอดจนชอบธรรมที่สุดก็คือ การให้ประชาชนเป็นคนออกกฎหมายด้วยตนเอง

30. “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้ง ผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขา กล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก…”

31. นักคิดสกุลสัญญาประชาคมคนใดที่เป็นชาวอังกฤษ
(1) Aristotte
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 หน้า 30 – 32, 39, 45, (คําบรรยาย) นักคิดสกุลสัญญาสังคมหรือสัญญาประชาคม (Social Contract) ที่สําคัญ ได้แก่
1. โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักคิดชาวอังกฤษ
2. จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ
3. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา
4. จอห์น รอลส์ (John Rawls) นักคิดชาวอเมริกัน

32. หากต้องการศึกษาความคิดของศาสนาคริสต์นักศึกษาต้องศึกษาจากเอกสารชิ้นใด
(1) บันทึกใบลานของพระเจ้า
(2) ตําราขงจื้อ
(3) พระไตรปิฎก
(4) พระคัมภีร์อัลกุรอาน
(5) พระคัมภีร์ไบเบิ้ล
ตอบ 5 หน้า 66 – 67 ความเชื่อหรือความคิดในทางศาสนาคริสต์ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่ เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของ พระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งวิธีคิดนี้ได้กลายเป็นรากฐานให้กับคริสเตียนที่คิดว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่มาจาก พระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องเชื่อฟังกฎหมาย

33. “ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบ ตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไป และก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

34.ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ใครเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมนุษย์ตั้งแต่เศษหินดินทรายไปจนกระทั่งถึงตัวมนุษย์
(1) พระเยซู
(2) พระพุทธเจ้า
(3) พระนบีมูฮัมหมัด
(4) พระเจ้า
(5) ไม่มีผู้ใดสร้าง สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

35. เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เสนอแนวคิดใด
(1) การเรียกร้องให้สร้างโรงพยาบาล
(2) การส่งเสริมอารยะขัดขืน
(3) การต่อต้านการเหยียดผิว
(4) การหนีภาษีและการหนีคดีออกนอกประเทศ
(5) การบริจาคเงินให้กับรัฐบาลโดยระบุวัตถุประสงค์
ตอบ 2 หน้า 80 – 82 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้เสนอแนวคิดอารยะขัดขืน ไว้ในบทความเรื่อง “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1849 โดยธอโรพยายามชี้ให้เห็นว่าบางครั้งกฎหมายอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับ ความยุติธรรมหรือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กฎหมายเองอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ ซึ่งธอโรเชื่อว่ามนุษย์นั้น มีสิ่งที่เรียกว่า “มโนธรรม” หรือ “จิตสํานึก” ดังนั้นถ้ากฎหมายใดที่พลเมืองมองว่ามันเป็น การขัดกับจิตสํานึกของตน พลเมืองไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง

36. ประโยคที่ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) ไครโต
(2) เพลโต
(3) โสเครตีส
(4) อริสโตเติล
(5) นักบุญพอล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

37. คําว่า “Free Gift” ตามความหมายของ Thomas Hobbes ใช้กับบุคคลในข้อใด
(1) ผู้ปกครอง – พระเจ้า
(2) ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย – ผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
(3) คนรวย – คนจน
(4) ผู้ปกครอง – ผู้ใต้ปกครอง
(5) พระเจ้า – บุตรแห่งพระเจ้า
ตอบ 2 หน้า 59 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) อธิบายว่า ถ้าคนหนึ่งปฏิบัติตามกฎหมาย แต่อีกคนไม่ปฏิบัติตามทั้ง ๆ ที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าทุก ๆ คนจะมอบอํานาจที่แต่ละคนมี ตามธรรมชาติให้คนกลางคนหนึ่งตัดสินและออกกฎหมายในทุก ๆ เรื่อง และจะเชื่อฟังคนดังกล่าว ซึ่งถ้าคนหนึ่งเชื่อฟังอีกคนไม่เชื่อฟังและไม่ถูกลงโทษ เหตุการณ์แบบนี้ก็เหมือนกับการที่ คนปฏิบัติตามกฎหมายได้ให้ของขวัญเปล่า ๆ แก่คนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและไม่ถูกลงโทษ โดยฮอบส์เรียกการกระทํานี้ว่า “ของขวัญที่ให้กันฟรี ๆ” (Free Gift) หรือในปัจจุบันมักเรียกว่า”Free Rider”

38. เป็นผู้ก่อร่างสร้างชาติอเมริกา และถือได้ว่ามีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

39.“State of War ก่อให้เกิดรัฐ” เป็นวิธีคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 5 หน้า 36 – 38, 58, 60 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “Leviathan” โดยกล่าวว่า สภาวะธรรมชาติของมนุษย์เป็นสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) มนุษย์ทุกคนจะเป็นศัตรูต่อกัน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายซึ่งกันและกันโดยไม่เกี่ยง สภาวะดังกล่าวเป็นสภาวะที่มนุษย์อยู่อย่างไม่มีความปลอดภัยใด ๆ ทั้งสิ้น มนุษย์กลัว การตายโหง (Fear of Violent Death) ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ลําเค็ญ น่ารังเกียจ ป่าเถื่อน และอายุสั้น (Solitary, poor, nasty, brutish and short) ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่น่าพึงปรารถนา ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทําให้เกิดรัฐ และมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐและตกลงทําสัญญายอมยกอํานาจที่ตนเองมีทั้งหมดให้องค์อธิปัตย์หรือผู้ปกครองมีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดเพื่อที่จะไม่ต้อง
กลับไปอยู่ในสภาวะธรรมชาติอันเป็นสภาพของสงครามอีกต่อไป

40. “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใดๆก็ตาม เพราะว่าแรงงานเป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม”ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และคนอื่น ๆ ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงาน เป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม… ด้วยการที่ มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้าง กรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”

41. คําประกาศเอกราชของโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ได้อิทธิพลทางความคิดมาจาก นักคิดของประเทศใด
(1) สหรัฐอเมริกา
(2) อังกฤษ
(3) ฝรั่งเศส
(4) ปรัสเซีย
(5) เยอรมนี
ตอบ 2 หน้า 77 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (American Founding Fathers) ได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ มาใช้ในการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776

42. ผู้เขียนงานเรื่อง Leviathan
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

43.“ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับสิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้งกําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็น สิ่งที่ชอบธรรม” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 หน้า 189 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) ได้เสนอ “หลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน (Principle of Justice in Transfer) ซึ่งเป็นอีกหลักการหนึ่งที่โนซิคนํามาอธิบายเกี่ยวกับ หลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร โดยหลักการนี้ได้เสนอว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับ สิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้ง กําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็น สิ่งที่ชอบธรรม (ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ)

44. การที่ซาอูล (Saul) ในฐานะกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่กลับไม่ถูกฆ่า สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4)เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 66, 68 – 69 ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกนํามาอธิบายในประเด็นเรื่อง “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” ก็คือ กรณีของซาอูล (Saul) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย แต่กลับไม่ถูกดาวิด (David) ฆ่าแม้จะพยายามฆ่าดาวิดอยู่หลายหน โดยสาเหตุที่ดาวิดตัดสินใจ ไม่ฆ่ากษัตริย์ซาอูลเพราะมองว่ากษัตริย์ซาอูลคือคนที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็นผู้ปกครองจากการ ร้องขอของพวกยิว คนที่จะเอาชีวิตของกษัตริย์ซาอูลได้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิจะไปล้มล้างผู้ปกครองแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม

45. “สถานะเริ่มแรกที่เท่าเทียมกันในทฤษฎีความยุติธรรมในฐานะที่เที่ยงธรรมนั้นก็ตรงกับสภาวะธรรมชาติในทฤษฎีสัญญาสังคมแบบดั้งเดิม ในประวัติศาสตร์ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเริ่มแรกนี้มันจะไม่ใช่สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงและมันก็ไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทางวัฒนธรรม ดังนั้นเราต้องเข้าใจมัน
ในฐานะที่เป็นสถานการณ์อันถูกสมมุติขึ้นมาอย่างแท้จริง” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 หน้า 179 จอห์น รอลส์ (John Rawts) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร ซึ่งเป็นการลองสมมุติสถานการณ์ ขึ้นมาเพื่อหาคําตอบใดคําตอบหนึ่งโดยจํากัดเงื่อนไขบางอย่างไว้ โดยรอลส์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “สถานะเริ่มแรกที่เท่าเทียมกันในทฤษฎีความยุติธรรมในฐานะที่เที่ยงธรรมนั้นก็ตรงกับสภาวะธรรมชาติในทฤษฎีสัญญาสังคมแบบดั้งเดิม ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเริ่มแรกนี้มันจะไม่ใช่ สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และมันก็ไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทางวัฒนธรรม ดังนั้นเราต้องเข้าใจมันในฐานะที่เป็นสถานการณ์อันถูกสมมุติขึ้นมาอย่างแท้จริงทั้งนี้ก็เพื่อที่จะนําไปสู่ข้อสรุปอะไรบางอย่างอันเกี่ยวข้องกับความยุติธรรม….”

46. นักคิดสัญญาประชาคมบางคนใช้อธิบายถึงสภาวะที่มนุษย์เป็นศัตรูต่อกัน
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 31. และ 39. ประกอบ

47. มีแนวคิดคล้ายกันอย่างมากกับ Jeremy Bentham
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

48. คําว่า Explicit Consent มีความหมายว่าอย่างไร
(1) การตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(2) การตกลงโดยปริยายว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(3) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐแบบเป็นลายลักษณ์อักษร
(4) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐโดยปริยาย
(5) การไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งของสาธารณะของรัฐเพื่อเลี่ยงกฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 63 – 64 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายในเรื่องการเชื่อฟังกฎหมายว่า การที่ พลเมืองเชื่อฟังกฎหมายและยอมปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐก็เนื่องจากเขาได้ตกลงทําสัญญาที่จะอยู่ร่วมกันภายใต้รัฐ โดยหวังว่ารัฐจะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าทําสัญญาตลอดจนทําหน้าที่ไกล่เกลี่ยเมื่อมีข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งตามความคิดของล็อคนั้นการตกลง ทําสัญญามี 2 ลักษณะ คือ
1. การตกลงแบบชัดแจ้ง (Express Consent/Explicit Consent) เป็นการตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะเข้ามาอยู่ในรัฐและปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
2. การตกลงแบบปริยาย (Tacit Consent) เป็นการตกลงที่ผู้ตกลงได้มาใช้ประโยชน์จาก รัฐหนึ่ง ๆ เช่น ใช้ทางหลวง ใช้สิ่งของสาธารณะ หรือได้ประโยชน์จากการที่เข้ามาอยู่ภายในรัฐ จึงทําให้คน ๆ นั้นมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐนั้น ๆ โดยปริยาย

49. เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ไม่เห็นด้วยกับสงครามในข้อใด
(1) สงครามอังกฤษ-ฝรั่งเศส
(2) สงครามประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา
(3) สงครามอเมริกัน-เม็กซิกัน
(4) สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา
(5) สงครามกลางเมืองอังกฤษ
ตอบ 3 หน้า 80 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ไม่เห็นด้วยกับ “สงครามเม็กซิกัน- อเมริกัน” (Mexican-American War : 1846 – 1848) ที่อเมริกาไปรบกับเม็กซิโกเพื่อผนวก ดินแดนเท็กซัส เพราะมันเป็นการเพิ่มรัฐที่มีทาสให้กับอเมริกา โดยธอโรมีความเห็นว่าการมี ทาสนั้นเป็นสิ่งชั่วช้าและในอเมริกาก็ไม่ควรที่จะยอมให้เกิดขึ้นมากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกต่อไป ดังนั้นธอโรจึงปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ เพราะการจ่ายภาษีให้กับรัฐก็หมายความว่า รัฐจะนําเงินไปใช้จ่ายในสงครามที่ทํากับเม็กซิโก

50. “เมื่อมนุษย์กลัวผู้อื่นจะมาทําอันตรายตน เขาจึงจําเป็นที่จะต้องแสร้งทําว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุด ดุร้าย ที่สุด โหดเหี้ยมที่สุด เพื่อให้คนอื่นเกรงกลัวและไม่กล้ามาตอแยกับเขา” เป็นความคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 5 หน้า 35 – 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “Leviathan” ว่า “เมื่อมนุษย์กลัวผู้อื่นจะมาทําอันตรายตน เขาจึงจําเป็นที่จะต้องแสร้งทําว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแรง ที่สุด ดุร้ายที่สุด โหดเหี้ยมที่สุด (Glory) เพื่อให้คนอื่นเกรงกลัวและไม่กล้ามาตอแยกับเขา”

51. การปกครองที่ชอบธรรมและเป็นไปได้มากที่สุดสําหรับจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ก็คือ การปกครองที่ให้ประชาชนเป็นผู้ปกครองด้วยตนเอง
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 116 – 120 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ชื่นชมยกย่องและนิยม ให้ประชาชนมีอํานาจในการปกครองตนเอง แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยถ้าจะให้ประชาชนทุกคนมาเป็น คนออกกฎหมายหรือทําอะไรด้วยตนเอง เพราะมองว่าการที่ประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมใน ทุก ๆ เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐสมัยใหม่มีปัญหาที่สลับซับซ้อนหรือต้องใช้ความรู้ มากมายในการไตร่ตรองและตัดสินใจกว่าจะกําหนดนโยบายได้ ดังนั้นเขาจึงเสนอรูปแบบ การปกครองโดยผู้แทน (Representative Government) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ประชาธิปไตย แบบตัวแทน” (Representative Democracy) เพราะมองว่าการปกครองโดยผู้แทนที่มาจาก ประชาชนนั้นคือการปกครองที่ชอบธรรมและเหมาะสมที่สุดสําหรับรัฐสมัยใหม่

52.“Capitalism, Socialism and Democracy” เป็นงานของนักคิดคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 5 หน้า 124, (คําบรรยาย) โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักคิดชาวออสเตรีย ได้เสนอแนวคิดไว้ในงานเขียนเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ ในปี ค.ศ. 1942 โดยเขาเชื่อว่า การเมืองนั้นเป็นเรื่องของชนชั้นนํา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่กลไกในการให้ผู้นําทางการเมืองมาแข่งขัน เพื่อเข้าไปใช้อํานาจเท่านั้น ไม่ใช่การปกครองของประชาชน โดยวิธีคิดในลักษณะนี้ภายหลัง ถูกเรียกว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบชุมปีเตอร์” (Schumpeterian Democracy)

53. “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพ ดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับ เสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้” เป็นคํากล่าว
ของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 หน้า 124, 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่ กล่าวว่า “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้”

54. ข้อใดต่อไปนี้คือผลงานชิ้นสําคัญของ Thomas Hobbes
(1) Two Treatises of Government
(2) On Liberty
(3) Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men
(4) Politics
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

55. “ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้างกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

56. นักคิดชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 17 ที่คิดว่า รัฐช่วยปกป้องรักษาทรัพย์สิน ชีวิต และตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

57. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) Moralitas แปลว่า “พฤติกรรมอันเหมาะสม”
(2) Ethics ก็มาจากภาษากรีกคําว่า “Ethos” ที่แปลว่า “นิสัย”
(3) Ethics เป็นสาขาย่อยสาขาหนึ่งของ Philosophy
(4) Moralitas มีความหมายถึงลักษณะการกระทํา
(5) Aesthetics และ Ethics เป็นส่วนหนึ่งของ Ideology
ตอบ 5 หน้า 1 – 5 ปรัชญา (Philosophy) สามารถแบ่งสาขาย่อยออกได้เป็น 5 สาขา ได้แก่
1. อภิปรัชญา (Metaphysics)
2. ญาณวิทยา (Epistemology)
3. สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics)
4. จริยศาสตร์ (Ethics)
5. ตรรกวิทยา (Logic)

58.คําถามต่าง ๆ ในปรัชญาการเมือง เช่น ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 1 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควรที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น

59. “แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา หรือใช้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตของตนเองไว้ โดยมนุษย์แต่ละคนจะทําทุกวิถีทางตามวิจารณญาณและเหตุผลของตนเอง ซึ่งเป็นทางที่ตนเชื่อว่าดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับตนเอง” ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดนี้
(1) Aristotte
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) หรือเสรีภาพที่จะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินหรือเหตุผลส่วนตัวของเขา ดังที่ฮอบส์ กล่าวว่า “มนุษย์แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา หรือใช้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตของตนเองไว้ โดยมนุษย์แต่ละคนจะทําทุกวิถีทางตามวิจารณญาณและเหตุผล ของตนเอง ซึ่งเป็นทางที่ตนเชื่อว่าดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดกับตนเอง”

60. “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ” เป็นคําพูดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 หน้า 142, 144 – 145 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศส สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) มองว่า การที่มนุษย์มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความ รับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ…. เมื่อมนุษย์เกิดขึ้น บนโลกนี้ เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขากระทํา และพวกที่เชื่อในแนวคิดอัตถิภาวะนิยมจะ ไม่ยอมรับในอํานาจแห่งอารมณ์ เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยว่า อารมณ์ที่รุนแรงคือสายน้ําเชี่ยวกราก ที่นํามนุษย์ให้กระทําการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งถูกลิขิตไว้ และมนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัว ให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”

61. สิ่งมีชีวิตที่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองไม่ใช่สัตว์ป่าก็ต้องเป็นเทพ
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 หน้า 28, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “Politics” ว่า มนุษย์ทุกคนมีจุดมุ่งหมาย หรือ Telos ตามธรรมชาติของตนเช่นเดียวกันกับสิงโตหรือสิ่งอื่น ในโลกนี้
ด้วยเหตุนี้มนุษย์จะไม่สามารถพัฒนาตัวเองตามศักยภาพได้เลยถ้าเขาอยู่คนเดียวหรือ ไม่ได้อยู่ในรัฐ เนื่องจากมนุษย์จําเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นโดยเฉพาะปฏิสัมพันธ์ ในด้านการเมือง เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวทําให้มนุษย์มีความคิดอ่านที่กว้างไกลขึ้น จิตใจ พัฒนาขึ้น ร่างกายก็พัฒนาขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ามนุษย์อยู่เพียงลําพังโดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ กับเพื่อนมนุษย์คนอื่น มนุษย์ก็คงไม่ต่างกับสัตว์ป่าแต่อย่างใด ดังคํากล่าวของอริสโตเติลที่ว่า “คนที่อยู่คนเดียวได้ ถ้าไม่ใช่สัตว์ป่าก็ต้องเป็นเทพเจ้า”

62. นักคิดคนใดได้นําวิธีคิดเรื่อง ความกลัวตาย มาใช้ในการอธิบายการเกิดขึ้นของรัฐ
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

63. นักคิดชาวออสเตรียที่เชื่อว่า การเมืองเป็นเรื่องของชนชั้นนํา
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

64. เป็นนักคิดที่เขียนหนังสือเรื่อง The Social Contract
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

65.Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men เป็นงานเขียนของคาร์ล มาร์กซ์
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

66. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์รัฏฐาธิปัตย์
(1) ผู้ที่มีอํานาจสูงสุดในรัฐ
(2) เราสามารถเรียกว่าองค์อธิปัตย์ได้
(3) ผู้นําเผด็จการทหารเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ไม่ได้
(4) ผู้ถือครองอํานาจอธิปไตย
(5) ประชาชนสามารถถือครองอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศได้
ตอบ 3 หน้า 57, (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ หรือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) หมายถึง ผู้ที่มีอํานาจ สูงสุดในรัฐหรือสังคมการเมือง โดยคําว่าผู้มีอํานาจสูงสุดนี้หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของอํานาจ อธิปไตย ซึ่งอาจจะหมายถึง ประชาชนทุกคน รัฐบาล หรือผู้นําเผด็จการทหาร หรือใครก็ได้ ที่เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อํานาจดังกล่าว

67.นักคิดคนใดอธิบายว่า สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ไม่น่าพึงปรารถนา (Solitary, poor, nasty, brutish and short)
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

68. ในบรรดาตัวเลือกข้างต้น ใครจะเป็นผู้ต่อต้าน Laissez-faire หรือ “หลักการมือใครยาวสาวได้สาวเอา”มากที่สุด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

69. อํานาจอยู่ในมือมหาชนทั้งหมด (The Many) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

70. เพลโต เป็นนักคิดสกุลสัญญาประชาคม
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

71.Jean Jacques Rousseau มีฉายาว่า “แชมป์เปี้ยนแห่งเสรีภาพ”
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 147 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ได้รับฉายาว่าเป็น “แชมป์เปี้ยน แห่งเสรีภาพ” (Champion of Liberty) โดยเขาได้เขียนงานชิ้นสําคัญเกี่ยวกับเสรีภาพออกมา ในปี ค.ศ. 1859 ชื่อว่า “On Liberty”

72. ผู้ปกครองต้องมีลักษณะเป็นทั้งสิงโตและสุนัขจิ้งจอก
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 128, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ได้อธิบายถึงคุณสมบัติ ของผู้ปกครองที่ดีไว้ในหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) โดยอุปมาถึงลักษณะของ ผู้ปกครองว่าควรจะต้องเป็นอย่างสิงโตและสุนัขจิ้งจอก นั่นคือ จะต้องมีพละกําลังที่เข้มแข็ง ดุจสิงโต และมีความเฉลียวฉลาดดุจสุนัขจิ้งจอก ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถผจญกับเล่ห์เหลี่ยม และปราบปรามผู้ที่ตนปกครองได้นั่นเอง

73. นักคิดชาวฝรั่งเศสผู้ที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตตัวเอง
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 หน้า 142 – 143 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศส ได้อธิบายวิธีคิด เกี่ยวกับเสรีภาพของเขาว่า มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือ แก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัวมากับมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตของ ตัวเอง ไม่มีพระเจ้า เวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือธรรมชาติใด ๆ มากําหนด ชีวิตเป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็นผู้กําหนดว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร ดังที่ชาร์ตกล่าวว่า “การมีอยู่มาก่อนสาระ หมายความว่าอย่างไร เราหมายความว่าก่อนอื่นใดทั้งหมด มนุษย์มีอยู่ ค้นพบตัวเอง ปรากฏตัว ในโลก และนิยามตัวเองภายหลัง ถ้ามนุษย์นิยามไม่ได้ ก็เป็นเพราะว่า ก่อนอื่นใดมนุษย์ไม่ใช่ อะไรเลย เขาจะเป็นอะไรก็ตามหลังจากนั้น และเขาจะเป็นตามที่เขาสร้างตัวเองให้เป็น…”

74. เป็นขุนนางที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจออกจากกันเพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นขุนนางชาวฝรั่งเศสที่เสนอให้ แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจ ตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ในหนังสือ เรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des (ois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

75.“สิ่งที่ดีทั้งหลายซึ่งธรรมชาติได้มอบให้กับส่วนรวม ที่ทุก ๆ คนมีสิทธิที่จะได้มากเท่าที่เขาสามารถจะใช้ได้และการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาสามารถสร้างมาด้วยแรงงานของเขา และด้วยความขยันขันแข็ง ที่จะขยายทรัพย์สินออกไป สิ่งต่าง ๆ ที่ถูกทําให้เปลี่ยนแปลงออกจากสภาพธรรมชาติและสิ่งที่ถูกเปลี่ยนนั้น ก็ตกเป็นของเขา” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 หน้า 164 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้กล่าวถึงหลักการครอบครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ไว้ว่า “สิ่งที่ดีทั้งหลายซึ่งธรรมชาติได้มอบให้กับส่วนรวม ที่ทุก ๆ คนมีสิทธิที่จะได้มากเท่าที่เขา สามารถจะใช้ได้ และการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาสามารถสร้างมาด้วยแรงงานของเขา และด้วยความขยันขันแข็งที่จะขยายทรัพย์สินออกไป สิ่งต่าง ๆ ที่ถูกทําให้เปลี่ยนแปลงออกจาก สภาพธรรมชาติและสิ่งที่ถูกเปลี่ยนนั้นก็ตกเป็นของเขา ยกตัวอย่างเช่น บุคคลใด ๆ ออกไปเก็บ ผลต้นโอ๊คหรือแอปเปิ้ลมาหนึ่งร้อยบุชเชล สิ่งเหล่านี้ก็ตกเป็นของเขา มันตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของเขาตั้งแต่เมื่อเขาเก็บมันมา….”

76. “ผู้รู้ทางทฤษฎีซึ่งสนับสนุนรัฐบาลประเภทนี้ได้เข้าใจผิด ๆ มาว่า โดยการลดสภาพของมนุษยชาติลงมาจน เสมอภาคกันอย่างสมบูรณ์ในสิทธิการเมืองนั้น จะทําให้มนุษย์นั้นมีความเสมอภาคและประสานกลมกลืนกัน อย่างสมบูรณ์ ทั้งในทรัพย์สิน ความคิดเห็น และกิเลสในเวลาเดียวกันด้วย” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

77. สภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของสิ่งนั้น ๆ และในภาษาไทยอาจจะแปลได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมาย
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 4 หน้า 26 – 27 อริสโตเติล (Aristotle) อธิบายว่า สภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของสิ่งหนึ่ง ๆ ก็คือ การบรรลุ Telos หรือบรรลุความเป็นธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งคําว่า “เทลอส” (Telos) เป็นคําภาษากรีก แปลว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” “จุดมุ่งหมาย” “เป้าประสงค์” หรือ “จุดประสงค์” (Final Cause/End/Purpose/Goal)

78. บุคคลผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

79. ใครคือผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์”
(1) อริสโตเติล
(2) จอห์น รอลล์
(3) จอห์น ล็อค
(4) แมคคิอาเวลลี
(5) โรเบิร์ต ฟิลเมอร์
ตอบ 5 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของ กษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และการปกครอง แบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้างเหตุผลมาจาก คัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) ในไบเบิ้ล

80. ถ้าไม่อยู่ในรัฐมนุษย์จะไม่สามารถพัฒนาตัวเองตามศักยภาพได้เลย
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 61. ประกอบ

81. อํานาจอยู่ในมือกลุ่มคน (The Few) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

82. อํานาจอยู่ในมือคนเดียว (The One) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

83. สิทธิติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด ใครจะมาพรากไปก็ไม่ได้
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 2 หน้า 34 – 35 สิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) เป็นสิทธิติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด ใครจะมาพรากไปก็ไม่ได้ เป็นเสรีภาพที่มนุษย์แต่ละคนจะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินใจหรือเหตุผลส่วนตัวของตนตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสมที่สุดอันจะนํามาซึ่งการรักษาชีวิตของตนเอง

84. ใครคือคนที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) ได้กล่าวถึงว่าเป็นนักปรัชญา การเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice” (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 จากผลงานนี้เอง ที่ทําให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) กล่าวยกย่องรอลส์ ว่าเป็นนักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20

85. Speech to the Etectors of Bristol เป็นผลงานของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 หน้า 124 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องผู้แทนไว้ใน “Speech to the Electors of Bristol” ว่า “ผู้แทนของท่านมีหน้าที่ต่อท่านไม่เฉพาะในเรื่องความขยัน ขันแข็งพากเพียรอุตสาหะเท่านั้น แต่ในเรื่องการใช้วิจารณญาณ มันก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เขา ต้องมีต่อท่านด้วย และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้วิจารณญาณตัดสินไปตามความคิดเห็นของพวกท่านเมื่อนั้นเองพวกเขาก็ได้ชื่อว่าทรยศต่อท่านและไม่ได้เป็นผู้รับใช้ท่านอีกต่อไปแล้ว”

86. แนวคิดที่เสนอว่า “ประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังรัฐบาลหรือกฎหมายได้ถ้าไม่เป็นไปตามเจตจํานง ที่ประชาชนให้ไว้” เป็นแนวคิดของใคร
(1) จอห์น ล็อค
(2) จอห์น ออสติน
(3) นักบุญพอล
(4) จอห์น รอลส์
(5) แมคคิอาเวลลี
ตอบ 1 หน้า 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมายเฉพาะเรื่อง ที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลทําหน้าที่
บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังกฎหมาย หรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้เรียกว่า “สิทธิแห่งการปฏิวัติ”(Right of Revolution)

87. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง
(1) สามารถเรียกสลับไปมากับคําว่า “รัฐศาสตร์” ได้
(2) เป็นการศึกษาที่พยายามปลอดจากอคติและทัศนคติ
(3) ใช้วิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์
(4) ถือกันว่าเป็นแนวทางการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์
(5)ทุกตัวเลือกกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง
ตอบ 4 หน้า 11, (คําบรรยาย) คนทั่วไปมักเข้าใจกันว่าปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือสาขาวิชาย่อยในรัฐศาสตร์ (Political Science) ซึ่งการเข้าใจเช่นนี้ก็ไม่ผิด เพราะการศึกษา ทางการเมืองแนวปรัชญาการเมืองนั้นถือกันว่าเป็นแนวทางการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์หรือเป็นแนวทางการศึกษาแรกของการศึกษาการเมือง และรูปแบบวิธีการศึกษานี้ก็ยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

88. ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Political Ideology
(1) ความรักในความรู้
(2) Love of Wisdom
(3) Logic คือสาขาย่อยของ Ideology
(4) สนใจต่อสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ
(5) ทุกข้อล้วนไม่เกี่ยวข้องกับ Political Ideology
ตอบ 5 หน้า 1, 5, (คําบรรยาย) ทุกข้อที่กล่าวมาข้างต้นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ทางเมือง (Political Ideology) แต่เป็นเรื่องของปรัชญา (Philosophy) ซึ่งปรัชญานั้น คือ องค์ความรู้ ที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ หรือปัญหาพื้นฐานของสิ่งต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาถึงการดํารงอยู่ของสิ่งต่าง ๆ การรับรู้ของมนุษย์ ความดีคืออะไร มนุษย์เกิดมาทําไม ฯลฯ โดยคําว่า “ปรัชญา” เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้นปรัชญาจึงหมายถึง “ความรักในความรู้” (Love of Wisdori) (ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ)

89. ผู้ใดต่อไปนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน
(1) นักบุญพอล
(2) นักบุญปีเตอร์
(3) นักบุญแพนคราส
(4) นักบุญปีเตอร์สเบิร์ก
(5) พระเยซู
ตอบ 1 หน้า 67 เปาโลหรือนักบุญพอล (Saint Paul) ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูสิบสองคนโดยตรง เหมือนกับนักบุญปีเตอร์ แต่ตามตํานานกล่าวว่าหลังพระเยซูเสียชีวิตที่กางเขนแล้ว พระเยซูได้มาปรากฏให้เปาโลเห็นเพื่อเลือกเปาโลให้มารับใช้พระองค์ จึงทําให้เปาโลซึ่งเป็นผิวที่คอยข่มเหงพวกคริสเตียนอยู่ตลอดเวลา กลับใจหันมาอุทิศชีวิตป่าวประกาศเรื่องราวของพระเยซู จนได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานให้กับศาสนาคริสต์ที่สําคัญคนหนึ่ง หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ เปาโล คือหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน

90. เป็นหนึ่งใน Founding Father ของอเมริกา
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 17. และ 41. ประกอบ

91. เป็นรูปแบบการปกครองที่เชื่อในเรื่อง Equality
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 4 หน้า 85, (คําบรรยาย) การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democracy) หรือเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) เป็นการปกครองที่ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยจะเป็นผู้เลือกผู้แทน ไปทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองแทนตน และประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกอํานาจคืนจากผู้ปกครองได้หากผู้ปกครองไม่ทําตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน นอกจากนี้ยังเป็นการปกครองที่ให้ ความสําคัญกับสิทธิ (Right) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชน รวมทั้งการเคารพในสิทธิมนุษยชนด้วย

92. ใครคือผู้ที่เปรียบเปรยว่า “รัฐบาลมีฐานะเป็นคนรับใช้ของประชาชน”
(1) จอห์น ล็อค
(2) จอห์น ฟิลเมอร์
(3) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(4) นักบุญพอล
(5) แมคคิอาเวลลี
ตอบ 3 หน้า 76 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า รัฐบาลมีฐานะเป็นเพียงแค่ คนรับใช้ของประชาชนและประชาชนนั้นเป็นเจ้านายของรัฐบาล แม้ตําแหน่งของรัฐบาลจะเรียกว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (Prince) แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิออกกฎหมายใด ๆ ตามความต้องการของตนเอง รัฐบาลเป็นแค่หน่วยงานในการที่จะกระทําการตามเจตจํานงของกฎหมายที่ประชาชนเป็นผู้ออกอํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นอํานาจที่ประชาชนฝากไว้ ซึ่งอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้หากประชาชนพอใจ

93. อํานาจอยู่ในมือมหาชนทั้งหมด (The Many) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

94. Politeia (โพ-ลิ-เท-อา) แปลว่า “รูปแบบการปกครอง”
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 107 อริสโตเติล (Aristotle) เรียกรูปแบบการปกครองที่อํานาจอยู่ในมือมหาชนและ ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะว่า “โพลิตี้” (Polity) ซึ่งคําดังกล่าวมาจากภาษากรีก คือ Politeia (โพ-ลิ-เท-อา) ที่แปลว่า “รูปแบบการปกครอง” (ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ)

95. เป็นรากศัพท์ของคําว่าการเมือง
(1) Logic
(2) Polis
(3) Philosophia Perennis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) มีรากศัพท์มาจากคําในภาษากรีกคือ “Politika” ซึ่งหมายถึง เรื่องราวหรือกิจการของ Potis (Affairs of the Cities) สําหรับพวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้นเป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ทุกคนที่อยู่ใน Polis ด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึงส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะตรงกันข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือในความหมาย ที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

96.“Utilitarianism” เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

97. นักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 19
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick`
ตอบ 5 หน้า 168 เซอร์เอ็ดวิน แชดวิก (Sir Edwin Chadwick) เป็นนักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1800 – 1890) เขาได้ไปสํารวจชีวิตของชนชั้นล่าง ของอังกฤษและเขียนออกมาเป็นรายงาน โดยเขาเล่าว่าคนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว คนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็นสภาพชีวิตของคนจนในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

98.Cicero เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Prince
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

99. นักคิดคนใดใช้ตัวอย่างของนักกีฬามาเป็นเครื่องมือในการอธิบายเกี่ยวกับหลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

100. ผู้เขียนหนังสือเรื่อง A Theory of Justice
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 84. ประกอบ

 

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ ไม่เกี่ยวกับจํานวนของผู้ปกครอง แต่ควรพิจารณาจากจุดมุ่งหมายของ ผู้ปกครองว่าทําเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 102 – 103, 109 อริสโตเติล (Aristotle) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “Politics” ว่า ใครจะ มาเป็นผู้ปกครองก็ได้ แต่ขอให้แค่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ หมายความว่า จํานวนของผู้ปกครองจะมีกี่คนก็ได้ เป็นระบอบอะไรก็ได้ ใครเป็นก็ได้ แต่ขอ เพียงอย่างเดียวคือ ผู้ปกครองเหล่านั้นควรจะปกครองเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นตาม ทัศนะของอริสโตเติลจึงเป็นการพิจารณาจุดมุ่งหมายของการปกครองว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร ถ้าเพื่อประโยชน์สาธารณะแล้ว การปกครองนั้นก็ถือว่าเป็นการปกครองที่ดี

2. “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ” เป็นแนวคิดของใคร
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 142, 144 – 145 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศสร่วมสมัย สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) มองว่า การที่มนุษย์มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความ รับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ…. เมื่อมนุษย์เกิดขึ้น บนโลกนี้ เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขากระทํา และพวกที่เชื่อในแนวคิดอัตถิภาวะนิยมจะ ไม่ยอมรับในอํานาจแห่งอารมณ์ เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยว่า อารมณ์ที่รุนแรงคือสายน้ําเชี่ยวกราก ที่นํามนุษย์ให้กระทําการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งถูกลิขิตไว้ และมนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัว ให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”

3. นักคิดชาวอังกฤษผู้มีชีวิตในศตวรรษที่ 19 สนับสนุนแนวคิดเรื่องเสรีภาพ
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 146 – 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดชาวอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ ในช่วง ค.ศ. 1806 – 1873 (ศตวรรษที่ 19) เขาสนับสนุนแนวคิดเรื่องเสรีภาพ โดยมองว่า รัฐหรือสังคมจําต้องสถาปนาเสรีภาพให้เกิดขึ้นหรืออนุญาตให้มีอย่างกว้างขวางในสังคม เพราะ เสรีภาพนั้นเป็นเครื่องมือที่จะทําให้มนุษย์สามารถพัฒนาตัวเองออกไปได้ ดังนั้นเสรีภาพจึงเป็น สิ่งสําคัญและรัฐก็ไม่ควรที่จะมาละเมิดหรือพรากเสรีภาพของคนใดคนหนึ่ง

4. ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติฝรั่งเศส
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 124, (คําบรรยาย) เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) เป็นบิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยม สมัยใหม่ (Modern Conservative) มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1729 – 1797 เขาเป็นนักคิดที่มีชีวิตอยู่ ร่วมสมัยกับการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 แต่มีความคิดต่อต้านการปฏิวัติดังกล่าวอย่างมาก

5.General Will
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 96, (คําบรรยาย) ตามความคิดของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เจตจํานงทั่วไป (General Will) คือสิ่งที่แสดงออกถึงหลักการของรัฐที่ชอบธรรม อันได้ หลักการยินยอม เสมอภาค และเสรีภาพ เหตุที่กล่าวเช่นนี้ก็เนื่องจากการออกเจตจํานงทั่วไปนั้น จะแสดงตัวมันเองออกมาได้ในรูปของกฎหมายเท่านั้น และกฎหมายนั้นจะต้องถูกบัญญัติ โดยพลเมืองทุกคน อย่างไรก็ตามรุสโซไม่ได้เป็นนักคิดคนแรกที่คิดเรื่อง General Will แต่ก็เป็นนักคิดที่ทําให้แนวคิดดังกล่าวกลายเป็นที่รู้จักอย่างมหาศาล

6. ประชาชนไม่ควรเป็นผู้ปกครอง แต่ผู้ปกครองควรมาจากการคัดสรรอย่างดี
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 85, 87, 132 เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Republic” ว่า ผู้ปกครองนั้น ควรจะเป็นคนที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้ ซึ่งตามความคิดของเพลโตนั้นมองว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดที่ถูกกําหนดมาจากธรรมชาติแตกต่างกันซึ่งรวมถึงผู้ปกครองด้วย เพราะการปกครองก็ถือว่าเป็นทักษะหนึ่งที่เฉพาะทางไม่ต่างกับช่าง หมอ หรือการงานหน้าที่อื่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ควรที่จะเป็นใครก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มี ธรรมชาติเป็นผู้ปกครอง และมีทักษะ ตลอดจนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

7.“เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 152 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “ความเรียง ว่าด้วยเสรีภาพ” (On Liberty) ว่า สังคมควรมีการอนุญาตให้เสรีภาพต่อมนุษย์ทุกคนอย่าง กว้างขวางที่สุด แต่กระนั้นการให้เสรีภาพตามความคิดของมิลล์ใช่ว่าจะไม่มีข้อจํากัด โดยมิลล์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น และตราบเท่าที่ สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติ ของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”

8.ประโยชน์นิยม
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 116, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดในสกุลประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งหลักการของประโยชน์นิยมนั้น มีหัวใจสําคัญอยู่ที่ “ความสุข” หรือ “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” จากหลักการนี้ทําให้นักคิดสกุลประโยชน์นิยมยึดถือ หลักการพื้นฐานทางสังคมร่วมกันที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุข ที่มากที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” (Greatest Happiness for the Greatest Numbers) หรือถือว่า “เวลาเราจะทําอะไรจะต้องคํานึงถึงอรรถประโยชน์สูงสุด” นั่นเอง

9.นักคิดชาวเจนีวากล่าวว่า “อํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นอํานาจที่องค์อธิปัตย์ฝากไว้ ซึ่งมันอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้หากองค์อธิปัตย์พอใจ”
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince.
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 45, 75 – 76 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นนักคิดชาวเจนีวาที่ มีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่อง “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” เช่นเดียวกับล็อค โดยรุสโซได้กล่าวไว้ใน หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “รัฐบาลก็คือ ส่วนที่ถูกตั้งขึ้น ให้อยู่ระหว่างผู้ที่อยู่ใต้อํานาจกับองค์อธิปัตย์ นั่นก็เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างสองฝ่ายดังกล่าว และเพื่อรับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนรักษาเสรีภาพทั้งทางสังคมและการเมือง… รัฐบาลที่ถูกตั้งขึ้นนั้นมันเป็นเพียงการมอบหน้าที่ให้ มันเป็นแค่การจ้างงานเท่านั้น ผู้ปกครอง เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ผู้บริหารงานในนามขององค์อธิปัตย์เท่านั้น อํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นเพียง อํานาจที่องค์อธิปัตย์ฝากไว้ ซึ่งมันอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้ องค์อธิปัตย์พอใจ”

10. “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้ง ผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขากล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก…”

11. “บางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตามก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่น ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตามก็จะสัมฤทธิ์ผลด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองนั้นไม่ควรจะ คํานึงแต่การทําดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะในกรณีที่ว่าถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐ แต่การทําชั่วสามารถทําให้เขารักษารัฐได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองก็ควรจะเลือกการทําชั่ว ดังที่เขากล่าวว่า “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่ว ต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรองทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะสัมฤทธิ์ผลด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”

12. เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มองว่า เสรีภาพไม่ใช่เรื่องของการที่มนุษย์ จะกระทําอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็คง ไม่ต่างกับพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่อยากจะฆ่าใครก็ได้ ทําอะไรก็ได้ ซึ่งมิลล์มองว่าการจะทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแบบพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมไม่ควรที่จะเรียกว่ามันคือเสรีภาพ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นพฤติกรรมแบบเผด็จการของแต่ละคนที่กระทําต่อกัน ดังนั้นเองมิลล์จึงเสนอว่า เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย

13. ผู้ปกครองต้องทําทุกอย่างเพื่อรักษาอํานาจไว้ให้ได้
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 128 – 129, 132 – 133, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เป็นนักคิดชาวอิตาเลียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่” เขาได้ เขียนหนังสือสําคัญเล่มหนึ่งเพื่อเป็นคําแนะนําการปกครองให้ผู้ปกครองชื่อว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1532 ซึ่งตามความคิดของแมคคิอาเวลลีนั้นมองว่า ผู้ปกครองที่ดีจะต้องทําทุกอย่างเพื่อรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ให้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงเป็น ใครก็ได้ แต่ขอเพียงอย่างเดียวให้คน ๆ นั้นมีความสามารถในการรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ

14. ตําราของนักคิดอิตาเลียนที่เขียนขึ้นเพื่อเป็นคําแนะนําให้ผู้ปกครอง
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

15. ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ (On Liberty) เป็นงานของนักคิดคนใด
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

16. เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศสร่วมสมัย
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

17. “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่วต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้ว ก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้”
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

18. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอริสโตเติล
(1) อริสโตเติลเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
(2) อริสโตเติลมีชีวิตในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล
(3) อริสโตเติลเป็นชาวมาซิโดเนีย
(4) อริสโตเติลเป็นเจ้าของผลงานที่ชื่อว่า The Prince
(5) ทุกข้อเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 25, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักคิดชาวมาซิโดเนีย ลูกศิษย์ของเพลโต (Plato) เขามีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีผลงานที่สําคัญ ได้แก่ หนังสือ เรื่อง “Politics” และ “Nicomachean Ethics” (ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ)

19. นักคิดชาวอังกฤษ เป็นนักทฤษฎีสัญญาประชาคม
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 30 – 32, 39, 45, (คําบรรยาย) นักทฤษฎีสัญญาสังคมหรือสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) ที่สําคัญ ได้แก่
1. โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักคิดชาวอังกฤษ
2. จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ
3. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา
4. จอห์น รอลส์ (John Rawls) นักคิดชาวอเมริกัน

20. “มนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

21. “การที่มนุษย์มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย”
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

22. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับคําว่า “Thought Experiment” มากที่สุด
(1) ฟอสซิล
(2) เอกสารใบลาน
(3) ไมโครฟิล์ม
(4) อินเทอร์เน็ต
(5) ทดลองคิด
ตอบ 5 หน้า 33 – 34 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ใช้วิธี “การทดลองทางความคิด” (Thought Experiment) ในการตอบคําถามว่าทําไมมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง ซึ่งวิธีดังกล่าวจะไม่ใช้การเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์แบบนักประวัติศาสตร์ หรือสืบค้นผ่านหลักฐานทางโบราณคดีแบบพวกนักโบราณคดี แต่จะใช้การจินตนาการโดยใช้เหตุผลถึงพฤติกรรม ของมนุษย์ว่าถ้าพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันอย่างเป็นอิสระ มนุษย์จะเป็นอย่างไร ซึ่งสภาวะจําลองดังกล่าวนี้พวกนักคิด สกุลสัญญาประชาคมเรียกว่า “สภาวะธรรมชาติ” (State of Nature) และเมื่อทราบแล้วว่า มนุษย์อยู่อย่างไร พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจว่าทําไมมนุษย์จึงออกจากสภาวะธรรมชาติเพื่อมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง

23.สําหรับจอห์น ล็อค ข้อใดต่อไปนี้เป็นคุณลักษณะของการลงโทษที่อาจตามมาจาก Self-Love
(1) Benevolence
(2) Charity
(3) Supportive
(4) Compassion
(5) Revenge
ตอบ 5 หน้า 42 – 43 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนในสภาวะธรรมชาตินั้น เป็นทั้งคนตัดสินและใช้อํานาจลงโทษโดยลําพังตามกฎธรรมชาติ (Judge and Executioner) แต่การตัดสินลงโทษผู้ที่ละเมิดอาจจะไม่เป็นไปตามโทษที่สมควรได้รับ รับทั้งนี้ก็เนื่องจากการรัก ตนเอง (Self-Love) หรือรักพวกพ้องของตนเอง จึงอาจทําให้มนุษย์ตัดสินเข้าข้างตนเองหรือ เข้าข้างพวกพ้องที่ตนรัก หรืออาจจะตัดสินลงโทษไปด้วยความต้องการที่จะล้างแค้น (Revenge) ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์จะต้องยกอํานาจในการตัดสินและ การลงโทษดังกล่าวให้กับรัฐบาลหรือสังคมการเมืองเป็นผู้ทําหน้าที่แทน

24. ผลงานที่ชื่อว่า “The Social Contract” เป็นผลงานของนักปรัชญาท่านใด
(1) John Locke
(2) Robert Nozick
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Rawls
(5) Karl Marx.
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

25. ข้อใดคือสาเหตุที่ทําให้มนุษย์มาอยู่รวมกันในสังคมการเมืองในความคิดของจอห์น ล็อค
(1) ความปลอดภัย (Safety)
(2) ความสะดวกสบาย (Convenience)
(3) เทคโนโลยี (Technology)
(4) สัตว์การเมือง (Political Animal)
(5) ธรรมชาติ (Nature)
ตอบ 1 หน้า 39, 43 จอห์น ล็อค (John Locke) เห็นว่า การที่มนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐหรือ สังคมการเมืองนั้นก็เพื่อเหตุผลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งต้องการหา คนกลางมาตัดสินในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างเอกชน

26. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับสภาวะธรรมชาติของรุสโซมากที่สุด
(1) มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว
(2) มนุษย์โหดร้ายป่าเถื่อน
(3) มนุษย์มีเหตุผล
(4) มนุษย์รักพวกพ้อง
(5) มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคม
ตอบ 1 หน้า 50 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มองว่า ในสภาวะธรรมชาติ มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใคร ไม่มีใครสนใจใครหรือเปรียบเทียบระหว่างกัน สิ่งนี้เองที่ทําให้มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน ไม่ใช่ว่ามีความเหมือนกันในความเป็นมนุษย์ แต่เพราะว่าทุก ๆ คนต่างก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต่างก็เป็นนายตัวเอง มีอิสระ ต่อกัน และมีเสรีภาพอย่างเต็มที่

27. ข้อใดต่อไปนี้คือคุณลักษณะการทําหน้าที่ของสังคมการเมืองในแบบจอห์น ล็อค
(1) Moderate Scarcity
(2) Leviathan
(3) Utopia
(4) Judge and Executioner
(5) Maximizing Utility
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

28. ในความคิดของรุสโซ การที่มนุษย์มีเสรีภาพในการเลือกที่จะกระทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce or Resist) สัมพันธ์กับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) คนที่อยู่คนเดียวได้ ถ้าไม่ใช่สัตว์ป่าก็ต้องเป็นเทพเจ้า
(2) แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา
(3) มนุษย์มีคุณสมบัติในการไปสู่ความสมบูรณ์แบบ
(4) มนุษย์ต้องรักคนอื่น
(5) ความสามารถที่จะฝืนกฎแบบจักรกล
ตอบ 5 หน้า 49 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) กล่าวว่า มนุษย์แตกต่างกับสัตว์ ตรงที่มนุษย์มีเสรีภาพที่จะฝืนแรงกระตุ้นตามสัญชาตญาณของตนเองได้ กล่าวคือ ธรรมชาติ ได้กําหนดให้สัตว์ทุกตัวรวมทั้งมนุษย์ดํารงชีวิตหรือทําอะไรก็แล้วแต่เป็นไปตามแรงกระตุ้นจาก สัญชาตญาณ แม้ว่ามนุษย์นั้นจะได้รับแรงกระตุ้นดังกล่าวเหมือนสัตว์อื่น ๆ แต่มนุษย์ก็มีเสรีภาพ ในการเลือกที่จะทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce of Resist) ซึ่งเป็นความสามารถ ของมนุษย์ในการฝืนกฎแบบจักรกล (Law of Mechanism) มนุษย์จึงเป็นสัตว์ประเภทเดียว ที่มีเสรีภาพนี้ และเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ โดยรุสโซเรียก คุณสมบัตินี้ว่า “Quality of Free Agency”

29. จากประโยคที่ว่า “มันเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกที่ไม่อยากจะเห็นเผ่าพันธุ์ของตนได้รับความทุกข์ทรมาน สัมพันธ์กับข้อใดน้อยที่สุด
(1) Compassion
(2) Passion and Desire
(3) Fearful
(4) Timid
(5) Self-Preservation
ตอบ 2 หน้า 47 – 48, (คําบรรยาย) ประโยคที่ว่า “มันเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกที่ไม่อยากจะเห็น เผ่าพันธุ์ของตนได้รับความทุกข์ทรมาน” สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ตามความคิดของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นั้น สนใจการปกป้องรักษาตนเอง (Self-Preservation) ไม่คิดที่จะทําร้ายคนอื่น ทั้งนี้เพราะมนุษย์ในสภาวะธรรมชาตินั้นเป็นพวกขี้หวาดกลัว (Fearful) และขี้ขลาด (Timid) รวมทั้งมีความเมตตาเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (Compassion) จึงทําให้มนุษย์มุ่งที่จะปกปักรักษาตนเองไม่รบราฆ่าฟันกันอย่างเช่นมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ ตามความคิดของฮอบส์

30. คําว่า “Political Society” ใกล้เคียงกับคําศัพท์ในข้อใดมากที่สุด
(1) สภาวะธรรมชาติ
(2) State of Nature
(3) Anarchy
(4) Royal Palace
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 25, (คําบรรยาย) คําว่า “Political Society” หรือ “สังคมการเมือง” นั้น เป็นคําที่มี ความหมายใกล้เคียงกับคําว่า “รัฐ” (State) หรือ “รัฐชาติสมัยใหม่” (Modern Nation State)

31. การที่มีดปอกแอปเปิลสามารถใช้ในการปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้ อริสโตเติลเห็นว่ามีดปอกแอปเปิลนั้นมีคุณสมบัติข้อใดดังต่อไปนี้
(1) Virtue
(2) Telos
(3) Earred
(4) Quality
(5) Strong
ตอบ 2 หน้า 25 – 28 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้วิธีการ ที่เรียกว่า “Teleolcgy” หรือการอธิบายว่าของทุกสิ่งนั้นมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่มันจะต้อง คลี่คลายไปเสมอ โดยจุดมุ่งหมายปลายทางของสิ่งต่าง ๆ นั้น อริสโตเติลเรียกว่า “เทลอส” (Telos) ซึ่งเป็นคําภาษากรีก แปลว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” “จุดมุ่งหมาย” “เป้าประสงค์” “จุดประสงค์” (Final Cause/End/Purpose/Goal) เช่น มีดปอกแอปเปิลจุดมุ่งหมายปลายทาง หรือ Telos ก็คือ การปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการที่มืดดังกล่าวจะทําหน้าที่ ในการปอกได้ดีนั้น มีดจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะที่จะทําให้บรรลุจุดมุ่งหมายปลายทางนั้นได้ โดยอริสโตเติลเรียกคุณสมบัติดังกล่าวว่า “Arete” หรือ “Virtue” ซึ่ง Arete ของมีดปอกแอปเปิลก็คือ ความคมที่เหมาะแก่การปอกแอปเปิลนั่นเอง

32. ประโยคที่ว่า “By all means we can, to defend ourselves” สัมพันธ์กับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) การฆ่าฟันกันโดยไม่มีเหตุผลของมนุษย์
(2) การป้องกันตัวเองตราบเท่าที่ตนเองคิดว่าดี
(3) การปกป้องตนเองภายใต้การดํารงอยู่ของรัฐ
(4) การปกป้องตนเองภายใต้รัฐธรรมนูญ
(5) การใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อยึดอํานาจการปกครอง
ตอบ 2 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Right of Nature) ที่จะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาคิดว่าดีที่สุดต่อตัวเขาเอง ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิ ตามธรรมชาติ” ตามความคิดของฮอบส์นั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากกฎธรรมชาติ (Law of Nature) อันเป็นกฎสากลทั่วไป ซึ่งกฎธรรมชาติพื้นฐานตามความคิดของฮอบส์ก็คือ มนุษย์จะถูกห้าม ไม่ให้ทําอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของตนเอง หรือถูกบังคับให้ไม่ใช้วิธีการใด ๆ หรือการละเว้น ที่จะทําให้เขามีชีวิตรอด โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเขาคิดว่าจะปกป้องรักษาชีวิต ของตัวเขาเองไว้ได้ (By all means we can, to defend ourselves)

33. เพราะเหตุใดมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค จึงไม่ทําร้ายคนอื่นในแบบข้อเสนอของโทมัส ฮอบส์
(1) มีกฎหมายเป็นตัวกํากับบทลงโทษ
(2) มีศาลทําหน้าที่ในการตัดสิน
(3) มนุษย์พยายามทําแล้วแต่ไม่ประสบความสําเร็จ
(4) มนุษย์ใช้เหตุผล
(5) มนุษย์ไม่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง
ตอบ 4 หน้า 40 – 41 สาเหตุที่ทําให้มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค (John Locke) ไม่ไปทําร้ายคนอื่นในแบบเดียวกันกับมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของโทมัส ฮอบส์นั้น ก็เพราะว่า มนุษย์ตามความคิดของล็อคอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่ว่า แต่ละคนต้องปกป้องรักษาตนเอง ซึ่งด้วยการใช้เหตุผลเข้าใจหลักการตามกฎธรรมชาติดังกล่าว จึงทําให้มนุษย์ไม่คิดจะไปทําร้ายคนอื่น เพราะการทําร้ายคนอื่นเท่ากับเป็นการหาเรื่องให้ตนเองบาดเจ็บหรืออาจจะเสียชีวิตได้ซึ่งก็หมายถึงการไม่ปกป้องรักษาตนเองนั่นเอง

34. หากกล่าวว่า “สิงโตที่ดีคือสิงโตที่เป็นเจ้าป่า ดุดัน และเป็นนักล่า” คําว่า Telos ในความหมายของ อริสโตเติลที่สอดคล้องกับคํากล่าวข้างต้น ตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) สวนสัตว์เปิด
(2) สิงโตที่สมบูรณ์
(3) นายพราน
(4) กระต่ายและแมว
(5) ป่าตามธรรมชาติ
ตอบ 2 หน้า 26 – 27 การอธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ ตามวิธีการของอริสโตเติล (Aristotle) นั้น หากพิจารณาจากสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากธรรมชาติ เช่น สิงโต Telos ของสิงโตก็คือ การเป็นสิงโต ที่สมบูรณ์ ส่วน Arete ของสิงโตก็คือ ความเป็นเจ้าป่า ความแข็งแกร่ง ความดุดัน ความเป็น นักล่า ฯลฯ และการที่สิงโตจะสามารถเป็นสิงโตที่สมบูรณ์หรือบรรลุ Telos ของความเป็น สิงโตได้ สิงโตนั้นจะต้องอยู่ในป่าตามธรรมชาติ (ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ)

35. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับคําว่า “คุณธรรม” ภายใต้ State of Nature ของโทมัส ฮอบส์
(1) การพูดความจริง
(2) การยึดถือทางสายกลาง
(3) ความกล้าหาญ
(4) การใช้กําลังและความฉ้อฉล
(5) ราชาธิปไตย
ตอบ 4 หน้า 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ก็คือสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) ซึ่งเป็นสภาวะที่มนุษย์ทุกคนจะเป็น ศัตรูต่อกัน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายกันและกัน (Every man against every man) โดยไม่เกี่ยง วิธีการ ในสภาวะสงครามไม่มีคําว่ายุติธรรมหรืออยุติธรรม ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณธรรมอย่างเดียว ที่มีก็คือ การใช้กําลังและการหลอกลวง ฉ้อฉล (Force and Fraud)

36. นักคิดในข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่นักคิดในสกุลสัญญาประชาคม
(1) John Locke
(2) Karl Marx
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Rawls
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

37. วิธีการที่เรียกว่า “Teleology” ของอริสโตเติลตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) ปรัชญาการเมืองเป็นศาสตร์ของเทวดา
(2) ทุกสิ่งมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่จะต้องคลี่คลายไปเสมอ
(3) พระผู้เป็นเจ้ามีอํานาจสูงสุดในการออกกฎหมาย
(4) คุณสมบัติของสรรพสิ่งมีความสําคัญน้อยกว่าจุดมุ่งหมาย
(5) มนุษย์ที่สมบูรณ์คือมนุษย์ที่เติบโตจากธรรมชาติในป่า
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

38. ข้อใดต่อไปนี้ไม่สอดคล้องกับคําว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” ในความหมายของอริสโตเติล
(1) Goal
(2) Gold
(3) Final Cause
(4) Telos
(5) Purpose
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

39. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับบทบาทของ Leviathan มากที่สุด
(1) Sustaining Anarchy
(2) Keeping them all in Awe
(3) Promoting State of War
(4) Being Judge and Executioner
(5) Protecting Property
ตอบ 2 หน้า 37 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า การเกิดสภาวะสงครามทําให้มนุษย์ จําเป็นต้องแสวงหาสันติภาพเพื่อจะทําให้ทุกคนมีชีวิตรอด โดยต้นเหตุของสภาวะสงครามก็คือสิทธิตามธรรมชาติอันไม่จํากัดที่มีเหนือร่างกายของมนุษย์ทุกคนและมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ มันได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีความจําเป็นที่ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติดังกล่าวให้ Leviathan หรือองค์อธิปัตย์มีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดอย่างไม่จํากัดเพื่อให้มนุษย์ทุกคนตกอยู่ภายใต้ความกลัว (Keeping them all in Awe) และไม่ให้เขาเหล่านั้นกลับไปอยู่ในสภาวะธรรมชาติอันเป็นสภาพของสงครามอีกต่อไป

40. จากประโยคที่ว่า “มนุษย์อยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคน อยู่กันอย่างเป็นอิสระ” ตรงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) รัฐธรรมนูญ
(2) อํานาจอธิปไตย
(3) สภาวะธรรมชาติ
(4) เสรีภาพทางความคิด
(5) ทุกข้อเป็นส่วนหนึ่งของประโยคนี้
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

41. ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่กระจายทรัพย์สินดีที่สุด
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 5 หน้า 159 – 160, 162, 170 ความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร (Distributive Justice) เป็นคําถามหรือข้อถกเถียงทางปรัชญาการเมืองที่เกี่ยวกับว่า ในสังคมนั้นควรมีการกระจาย ทรัพยากรหรือทรัพย์สินอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม ซึ่งในประเด็นนี้ได้มีนักคิดให้คําตอบไว้ หลากหลาย เช่น จอห์น ล็อค (John Locke) มองว่า ระบบทุนนิยมหรือระบบที่มีการกระจาย ทรัพยากรอย่างเสรีเป็นระบบการกระจายทรัพยากรหรือทรัพย์สินที่ดีที่สุด หรือคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ที่มีมุมมองในลักษณะตรงกันข้ามกับล็อค โดยมองว่า การกระจายทรัพยากรไม่ควร จะปล่อยเสรี และให้เอกชนแข่งขันกัน แต่การกระจายทรัพยากรควรจะเป็นหน้าที่ของรัฐที่เป็น ตัวแทนของบรรดากรรมาชีพทั้งหลาย เป็นต้น

42. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับว่า ถ้าประชาชนยอมรับการรัฐประหาร รัฐประหารนั้นจะถือว่าชอบธรรมหรือไม่
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 3 หน้า 7, 85, (คําบรรยาย) “ใครควรเป็นผู้ปกครอง” เป็นคําถามหนึ่งในทางปรัชญาการเมืองที่มีความสําคัญและเป็นประเด็นในการถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งในประเด็นนี้อาจจะมี การถกเถียงหรือตั้งคําถามว่าผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควรจะเป็นผู้ปกครอง การเข้ามามีอํานาจของผู้ปกครองมีความชอบธรรมหรือไม่ เป็นต้น

43. นักคิดคนใดเขียนหนังสือเรื่อง Anarchy, State and Utopia
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 187 – 189, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) นักคิดชาวอเมริกัน เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” เขาเห็นว่ารัฐไม่ควรเข้ามาแทรกแซง เรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย โดยเฉพาะเรื่องการกระจายทรัพยากร เพราะมองว่าการตัดสินใจ ต่าง ๆ ในสังคมควรจะเป็นไปอย่างเสรีโดยไม่ต้องมีการกํากับหรือวางแผนอย่างตายตัวจากรัฐ เหตุผลที่โนซิคเสนอเช่นนี้ก็เนื่องมาจากเขามีฐานคิดที่ว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับทรัพยากรมาด้วย ความชอบธรรมแล้ว รัฐหรือเอกชนคนใดก็ไม่มีสิทธิที่จะมาพรากเอาทรัพย์สินนั้น ๆ ไปจากเจ้าของได้อย่างชอบธรรม

44. ประชาธิปไตยดีที่สุด
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 3 หน้า 85 คําถามที่ว่า “ใครควรเป็นผู้ปกครอง” ในปัจจุบันถ้าถามคนทั่ว ๆ ไปก็คงจะ ได้รับคําตอบว่า ประชาชนควรจะเป็นผู้ปกครอง เพราะอํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชนจะเป็นผู้เลือกรัฐบาลให้ไปทําหน้าที่แทน เมื่อรัฐบาลมีปัญหาประชาชนก็เรียก อํานาจคืน ดังนั้นการตอบในลักษณะนี้ก็หมายถึงว่า คนที่ตอบเห็นว่าการปกครองแบบ ประชาธิปไตยคือการปกครองที่ดีที่สุด (ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ)

45. การเมือง (Politics) มีความหมายถึง
(1) กิจการของนครรัฐ
(2) เรื่องส่วนรวม
(3) เรื่องสาธารณะ
(4) วิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 6 (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) ในภาษากรีกก็คือ “Politika” ซึ่งหมายถึง เรื่องราว หรือกิจการของเมืองหรือนครรัฐ (Affairs of the Cities) สําหรับพวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้น เป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนที่อยู่ในนครรัฐด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึงส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะ ตรงกันข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือในความหมายที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

46. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับความชอบธรรมของรัฐบาล
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

47. ปรัชญา (Philosophy) มีความหมายถึง
(1) ความรู้
(2) ความสามารถ
(3) ความรัก
(4) ถูกข้อ 1 และ 2
(5) ถูกข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 5, (คําบรรยาย) คําว่า “ปรัชญา” (Philosophy) เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Philos/Love) กับคําว่า “ความรู้” (Sophia/Wisdom) ดังนั้นปรัชญา จึงหมายถึง “ความรักในความรู้” (Love of Wisdom) นั่นเอง

48. แนวคิดเรื่องม่านแห่งความไม่รู้
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 179 – 180, 186 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด แต่กระนั้นรอลส์ ได้วางเงื่อนไขภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veil of Ignorance) โดยผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบ ว่าตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นการตัดสินอันยุติธรรมเพราะผู้ตัดสินใจ จะใช้แต่เหตุผลและไม่นําสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานะของตนเองมาเป็นปัจจัยในการตัดสิน

49. รัฐไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

50. กรรมกรต้องทําการปฏิวัติ
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 173 – 174 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เห็นว่า ในระบบทุนนิยมนั้นรัฐจะเป็นเครื่องมือ ของนายทุนที่ใช้ในการครอบงํา ปกครอง และควบคุมให้สังคม การเมือง และเศรษฐกิจดําเนินไป ตามแนวทางที่นายทุนต้องการ การที่จะไปขอร้องให้รัฐหรือรัฐบาลเข้ามาจัดการกับนายทุนนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเสนอให้กรรมกรจะต้องจัดการช่วยเหลือตนเองด้วยการ ปฏิวัติโค่นล้มระบบทุนนิยม โดยการเข้ายึดครองปัจจัยการผลิตและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็น รัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา

51. “ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้างกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และคนอื่น ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของ ข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงาน เป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม… ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้าง กรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”

52. ผู้เขียนหนังสือเรื่อง A Theory of Justice
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice” (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 จากผลงานนี้เอง ที่ทําให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) กล่าวยกย่องรอลส์ ว่าเป็นนักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20

53.John Austin
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 2 หน้า 57 – 58 ในประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย” นั้น จอห์น ออสติน (John Austin) ซึ่งเป็นนักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ และเป็นผู้เสนอทฤษฎีการบังคับบัญชา ของกฎหมาย (Command Theory of Law) ได้อธิบายว่า เหตุที่เราต้องเชื่อฟังกฎหมายนั้น ก็เพราะว่าถ้าเราไม่เชื่อฟัง เราก็จะต้องถูกลงโทษตามตัวบทกฎหมายนั่นเอง

54.Man was born free
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 4 หน้า 135, 137 – 138, (คําบรรยาย) ในประเด็นคําถามที่ว่า “เรามีเสรีภาพหรือไม่” นั้น ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้อธิบายว่า มนุษย์นั้นมีเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่ กําเนิดหรือเกิดมาพร้อมกับเสรีภาพ (Man was born free) แต่ด้วยสังคมหรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทําให้มนุษย์มีเสรีภาพลดน้อยลง แต่กระนั้นการดํารงอยู่ของเสรีภาพไม่ควรจะต้องสูญสลายไป เพราะการที่มนุษย์ไม่มีเสรีภาพหรือถูกพรากเสรีภาพไป นั่นเท่ากับคน ๆ นั้นได้ถูกพราก ความเป็นมนุษย์ไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้การรวมตัวของมนุษย์ไม่ว่าในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็นรัฐ หรือสังคมที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐที่ดีหรือสังคมที่ชอบธรรมนั้น เสรีภาพจะต้องเป็นแกนกลางของการรวมตัวของมนุษย์

55. แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 172 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งของนายทุนในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกรเพื่อให้ตนเองได้กําไร มากที่สุด โดยนายทุนจะจ่ายค่าแรงให้ต่ําที่สุดเท่าที่กรรมกรจะสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้เพื่อที่ว่าแรงงานนั้นจะกลับมาทําการผลิตให้กับนายทุนได้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ

56. วาทวิทยาหรือวาทศิลป์ (Rhetoric) คืออะไร
(1) การสนทนาหาคําตอบทางการเมือง
(2) การวาดรูปแบบกรีก
(3) คุณธรรมของชาวเอเธนส์ที่ต้องบรรลุถึง
(4) ศิลปะการแสดงแขนงหนึ่งในยุคกรีก
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 9, (คําบรรยาย) วาทวิทยาหรือวาทศิลป์ (Rhetoric) คือ ศิลปะในการใช้ถ้อยคํา สํานวนโวหารให้ประทับใจ หรือเป็นศิลปะในการชักจูงหรือโน้มน้าวคนด้วยถ้อยคํา

57. รัฐเกิดจากสัญญาประชาคม
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 1 หน้า 29 – 30 ในประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง” นั้น นักคิดสกุล สัญญาประชาคม (Social Contract) ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า มนุษย์โดยธรรมชาติแล้ว ไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ในสังคมการเมือง แต่มนุษย์มารวมตัวเพื่ออยู่ร่วมกันเป็นสังคมการเมืองสืบเนื่องมาจากจุดประสงค์ในการแก้ปัญหาบางประการอันเกิดจากการอยู่คนเดียว และรัฐก็เกิดจาก สัญญาประชาคมหรือการตกลงทําสัญญาระหว่างมนุษย์ด้วยกัน รัฐจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ รัฐเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ด้วยจุดมุ่งหมายบางอย่าง (Artificial)

58. Henry David Thoreau
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 2 หน้า 78 – 79 ในประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย” นั้น เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า พลเมืองทุกคนควรจะต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะพลเมืองก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในสังคม และสังคมนั้นก็จําเป็นที่จะต้องมีกฎหมายสําหรับ ใช้บังคับควบคุมสมาชิกในสังคม แต่ธอโรก็เห็นว่าไม่ใช่ทุกกรณีที่จะต้องเชื่อฟังกฎหมายเพราะถ้าเกิดกฎหมายมันไม่ยุติธรรมหรือขัดกับมโนธรรมของเรา เราก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟังหรือ ปฏิบัติตามกฎหมายนั้น แต่กระนั้นถ้าเลือกที่จะไม่เชื่อฟังหรือปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว คนๆนั้นก็จําต้องยอมรับการลงโทษจากกฎหมายด้วย

59.Crito
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเรา ตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนาตอนที่โสเตรตีส กําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีส หนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไมเราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟัง กฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ ท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศ และถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้น จะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่าน ถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้อง ทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง….”

60. นักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 19
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 168 เซอร์เอ็ดวิน แซดวิก (Sir Edwin Chadwick) เป็นนักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1800 – 1890) เขาได้ไปสํารวจชีวิตของชนชั้นล่างของ อังกฤษและเขียนออกมาเป็นรายงาน โดยเขาเล่าว่าคนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว คนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็น สภาพชีวิตของคนจนในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

61. “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับความไว้วางใจที่ได้รับ มอบมา…เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็นผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสิน ไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม”
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4)เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 4 หน้า 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ มองว่า พลเมืองต้องเชื่อฟัง กฎหมายเฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตาม ที่รัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือใช้อํานาจเกินหน้าที่ของตน ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟัง และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้เรียกว่า “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution) ดังนั้นตามความคิดของล็อค ประชาชนจึงเป็นผู้ตัดสินว่ารัฐบาลทําหน้าที่บกพร่อง หรือทําเกินกว่าอํานาจที่ประชาชนมอบให้หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ได้รับมอบหมาย ประชาชนก็มีสิทธิที่จะเปลี่ยนรัฐบาล และไม่เชื่อฟังกฎหมายหรือรัฐบาลนั้น ๆ ดังที่ล็อคได้กล่าวว่า “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับความไว้วางใจ ที่ได้รับมอบมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็นผู้ตัดสิน คนที่ จะต้องถูกตัดสินไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะปฏิบัติหน้าที่ ได้ดีหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าอํานาจในการไว้วางใจนั้นจะยังคงอยู่กับเขา แต่ผู้ที่แต่งตั้งตัวแทนโดยการมอบอํานาจความไว้วางใจให้จะต้องมีอํานาจในการเรียกคืนความไว้วางใจจากตัวแทนในกรณีที่เขาละเมิดความไว้วางใจ…”

62. สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือ วัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 1 หน้า 1 – 2, (คําบรรยาย) อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาถึงแก่นแท้หรือ ความเป็นจริงสูงสุดของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ เช่น ในสาขานี้อาจจะตั้งคําถามว่า ความจริงแท้ คืออะไร อะไรคือความจริงแท้สูงสุด หรืออาจจะมีการตั้งคําถามกันว่า สิ่งที่เป็นแก่นสารของ สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่าสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)

63. นักคิดคนใดไม่เชื่อเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นนักคิดที่ไม่เห็นด้วยกับระบบทุนนิยม เขาได้เขียน หนังสือว่าด้วยทุน (Das Kapital) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1867 ซึ่งมีเนื้อหาเป็นการวิเคราะห์ และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมที่เน้นแต่เรื่องของกําไร-ขาดทุน การจ้างงาน การสะสมทุน กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงาน ฯลฯ

64. นักคิดคนใดที่เขียนหนังสือเรื่องว่าด้วยทุน
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 63. ประกอบ

65. Command Theory of Law
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

66. Henry David Thoreau
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

67. มักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 4 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ว่ามีลักษณะสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

68. ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เน้นความเท่าเทียมโดยกลไกใดในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
(1) เลือกตั้ง
(2) สรรหา
(3) สอบคัดเลือก
(4) สภาแต่งตั้ง
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 3, (คําบรรยาย) ในรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ที่เน้นความเสมอภาค เท่าเทียมกันนั้น กลไกในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารกิจการสาธารณะ จะไม่ใช้วิธีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง เพราะการเลือกตั้งและแต่งตั้งนั้นเป็นวิธีการของการปกครอง แบบชนชั้นสูง แต่วิธีการแบบประชาธิปไตยของเอเธนส์จะใช้วิธีการ “จับสลาก” (By Lot) มีเพียงไม่กี่ตําแหน่งเท่านั้นที่ยังคงใช้การแต่งตั้งตามความสามารถ เช่น การเป็นแม่ทัพ หรือ การเป็นทูตที่จําต้องไปเจรจากับรัฐอื่น ๆ

69. Antigone
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 71 – 72 ตัวอย่างหนึ่งของการอธิบายเรื่อง “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” เช่น กรณีของแอนธิกอน (Antigone) เธอได้ละเมิด คําสั่งของกษัตริย์คลื่อนที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิสซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่องประหลาด และฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของแอนธิกอนนั้น มีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่กําหนดโดยมนุษย์สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อ พระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์ แต่กระนั้นเธอก็ยอมถูกลงโทษตามคําสั่งของกษัตริย์

70. “ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนัก ที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์”
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4)เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 5 หน้า 80 – 81 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เคยถูกจับขังคุกเนื่องจากเขา ปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ โดยเขาอ้างว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขัดกับมโนธรรมของเขา เขาจึงไม่ต้องเชื่อฟัง ซึ่งภายหลังจากที่ธอโรออกจากคุกก็ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ใน บทความชื่อว่า “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) โดยมี เนื้อหาบางส่วนดังนี้ “ ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐ ในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนักที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้อง เที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์

71. ประสาทสัมผัสเท่านั้นที่ถือว่าเป็นช่องทางของการรับรู้
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 2 หน้า 2, (คําบรรยาย) ญาณวิทยา (Epistemology) หรือบางครั้งเรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับความรู้ ดังนั้นในสาขานี้อาจจะ ตั้งคําถามว่า ความรู้คืออะไร ความรู้มาจากไหน มีเกณฑ์ใดในการจําแนกแยกแยะบ้าง หรือ อาจจะตั้งคําถามว่า มนุษย์นั้นรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือ เล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะตอบว่า “ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ซึ่งการตอบ ดังกล่าวก็หมายความว่า มนุษย์เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตา” ดังนั้น ประสาทสัมผัสจึงถือว่าเป็นช่องทางของการรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ของมนุษย์

72. การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น เราโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิด หรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
มันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 5 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควรจะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่าความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

73.“Demos” ที่เป็นที่มาของคําว่า “Democracy” ในภาษากรีก หมายถึง
(1) คนชั้นสูง
(2) คนชั้นกลาง
(3) คนชั้นล่าง
(4) ประชาชนทั่วไป
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 106 ศัพท์ดั้งเดิมของคําว่า “Democracy” มาจากภาษากรีกคําว่า “Demokratia ซึ่งเป็นการผสมกันของรากศัพท์ 2 คํา คือ คําว่า “Demos” ที่แปลว่า ฝูงชน ชนชั้นต่ํา คนชั้นล่าง คนจน และคําว่า “Kratia” ที่แปลว่า การปกครอง โดยเมื่อนํามาผสมกันจึงแปลว่า การปกครองของพวกคนจนคนชั้นต่ำ

74. “ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่าน ก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานตามคําสั่ง อย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะสั่งให้ท่านถูกเฆี่ยน ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อจะได้รับบาดเจ็บหรือ ถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง”
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

75. “เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดา สิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเหล่านั้นให้มั่นคง รัฐบาลจึงถูกสถาปนาขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยได้อํานาจที่ยุติธรรมอันเนื่องมาจากความยินยอมของ ผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง”
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 4 หน้า 77 – 78 ตามแนวคิดของจอห์น ล็อค (John Locke) ที่ว่า “พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมาย เฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น ถ้ารัฐบาลทํานอกเหนือจากสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ประชาชน ก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังกฎหมาย” ได้กลายมาเป็นฐานคิดสําคัญของแนวคิดเสรีนิยมที่มองว่า การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนั้นเป็นสิ่งที่ทําได้ และเป็นอํานาจอันชอบธรรมของประชาชนด้ว ซึ่งวิธีคิดนี้ได้ถูกนําไปใช้จริงในการปฏิวัติอเมริกา ค.ศ. 1776 โดยโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา และเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา ได้นําแนวคิดของล็อคมาใช้ในการประกาศเอกราชจากอังกฤษ ซึ่งมีข้อความดังนี้ “เรายึดถือว่า ความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดา สิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเหล่านั้น ให้มั่นคง รัฐบาลจึงถูกสถาปนาขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยได้อํานาจที่ยุติธรรมอันเนื่องมาจาก ความยินยอมของผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง… แต่เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิง อํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่า มีแผนการที่จะกดพวกเขาลงภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียวแล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่สําหรับ ความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา”

76. “คุณสมบัติที่ทําให้ประสบความสําเร็จในเรื่องหนึ่ง ๆ” หมายถึง
(1) เสรีภาพ
(2) เสมอภาค
(3) ภราดรภาพ
(4) คุณธรรม
(5) ศีลธรรม
ตอบ 4 หน้า 130 – 132, (คําบรรยาย) คุณธรรม (Virtue) คือ คุณสมบัติที่ทําให้ประสบความสําเร็จ ในเรื่องหนึ่ง ๆ ยกตัวอย่างเช่น คุณธรรมสําหรับการรักษารัฐของผู้ปกครองตามแนวคิดของ นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ซึ่งประกอบด้วย 2 ประการ คือ “ความสุขุม รอบคอบ” (Prudenzia/Prudence) และ “ความมีไหวพริบ” (Astuzia/Astuteness)

77. Philosophia Perennis คืออะไร
(1) แนวทางการดําเนินชีวิตของนักปรัชญา
(2) อาวุธทางปัญญาของนักปรัชญา
(3) แนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักปรัชญา
(4) คําถามอมตะทางปรัชญา
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายามหาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ

78. ความงามคืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ซึ่งอาจจะแปรผันกันไปได้แต่ละสังคม
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 3 หน้า 2 – 3 (คําบรรยาย) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นสาขาที่มุ่งพยายามหาคําตอบ ในแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม ดังนั้นคําถามของสาขานี้จึงมักจะถามกันว่า ความงาม คืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ศิลปะคืออะไร เป็นศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อศิลปะ เป็นต้น

79.Paul the Apostle
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 66 – 68 เปาโล หรือเซนต์พอล หรือนักบุญพอล (Saint Paul/Paul the Apostle) หมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน มีความคิดว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” ดังที่เปาโลได้เขียนไว้ในตอนหนึ่ง ของพระคัมภีร์โรมว่า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอํานาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอํานาจ ใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอํานาจนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืน อํานาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ…

80. นักคิดชาวเจนีวาเชื่อว่าอํานาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา มีความเชื่อว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยรุสโซได้อธิบายเรื่องนี้ผ่านแนวคิดเรื่องเจตจํานงทั่วไป (General Will) ที่สนับสนุนให้ประชาชนทุก ๆ คนมีอํานาจในการปกครองโดยตรงผ่านการออก เจตจํานงทั่วไป ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจของปัจเจกบุคคลที่คํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมหรือ ผลประโยชน์สาธารณะในฐานะที่ประชาชนแต่ละคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพทั้งหมดของสังคมที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้

81. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ข้าพเจ้ามองประโยชน์สุขว่าเป็นสิ่งดึงดูดใจอันสูงสุดในปัญหาทาง จริยธรรมทั้งหมด แต่กระนั้นมันต้องเป็นประโยชน์สุขในความหมายที่กว้างที่สุด ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนผลประโยชน์อันถาวรของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ก้าวหน้า….”
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 2 หน้า 149 – 150 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ต้องการให้สังคมนั้นมีเสรีภาพ กว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด เพราะเขามองว่าการที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวางมันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งมิลล์ได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้ามองประโยชน์สุขว่า เป็นสิ่งดึงดูดใจอันสูงสุดในปัญหาทางจริยธรรมทั้งหมด แต่กระนั้นมันต้องเป็นประโยชน์สุขในความหมายที่กว้างที่สุด ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนผลประโยชน์อันถาวรของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ก้าวหน้า…. ถ้ามนุษยชาติทั้งมวล ยกเว้นคนเพียงคนเดียวจะมีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน และคน ๆ เดียวนั้นเองกลับมีความเห็นไปในทางตรงกันข้าม ถึงกระนั้นมนุษยชาติก็ไม่มีเหตุผล อันสมควรที่จะปิดปากคน ๆ นั้น…. การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิด ก็คือ การสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปาก ไม่ให้โต้เถียงกันทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจ ยอมให้การประณามคัดค้านความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่ จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”

82. Bible
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 66 – 67 “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” เป็นความคิด ที่แพร่หลายในยุคกลาง (Middle Age) ของยุโรป โดยรากฐานของความคิดดังกล่าวมาจาก ความเชื่อความคิดในทางศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล (Bible) ที่ว่า พระเจ้า เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น

83. การปกครองที่มีการการันตีเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญ เคารพสิทธิมนุษยชน มีการแบ่งแยก อํานาจของผู้ปกครอง คือหัวใจสําคัญของการปกครองระบอบใด
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 1 หน้า 85, (คําบรรยาย) การปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยสมัยใหม่” (Modern Democracy) เป็นการปกครอง ที่ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยจะเป็นผู้เลือกผู้แทนไปทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองแทนตน และประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกอํานาจคืนจากผู้ปกครองได้หากผู้ปกครองไม่ทําตามพันธะสัญญา ที่ให้ไว้กับประชาชน ซึ่งการปกครองแบบนี้จะมีการรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ใน รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด รวมทั้งมีการเคารพในสิทธิมนุษยชน และมีการแบ่งแยก อ้านาจของผู้ปกครองด้วย

84. บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

85. ใครเป็นผู้เขียนงานเรื่อง “The Prince”
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

86. ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อในเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่โดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง
ในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในระบบทุนนิยมนี้จะยินยอมให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property) รวมทั้งมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกบริโภคสินค้า และบริการได้อย่างเต็มที่

87. “เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลงภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของ คน ๆ เดียวแล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่อง ป้องกันใหม่สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

88. เคยดํารงตําแหน่งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson.
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

89. “การปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติบางประการ เอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริง ประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องของการเลือกผู้แทนของตนเท่านั้น
ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 2 หน้า 120 – 121 มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการปกครองโดย ตัวแทนไว้ในหนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des lois) ว่า “มีความเลวร้าย อันยิ่งใหญ่อยู่ประการหนึ่งในบรรดาสาธารณรัฐโบราณนั่นก็คือ รัฐดังกล่าวปล่อยให้ประชาชน มีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติบางประการเอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริงประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องของการเลือกผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน”

90. เป็นขุนนางที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจออกจากกันเพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 2 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นขุนนางชาวฝรั่งเศสที่เสนอให้ แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจ ตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ในหนังสือ เรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des tois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

91. “เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

92. “ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 5 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบ ตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

93. ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 3 หน้า 8 (คําบรรยาย) การปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ (Athenian Democracy) เป็นการปกครองที่ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง ซึ่งการปกครองแบบนี้พลเมืองชายเท่านั้นที่มีสิทธิทางการเมือง ส่วนเด็ก ผู้หญิง และ คนต่างชาติไม่มี เป็นการปกครองที่เหมาะกับเมืองที่มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับรัฐสมัยใหม่ ที่มีขนาดใหญ่และมีพลเมืองจํานวนมาก บางคนเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)

94. การปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้นจะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเข้ามาแทรกแซง
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สังคมนิยม (Socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมการดําเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจเองทั้งหมด เพราะมองว่าการปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้น จะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมในการกระจายผลผลิตแก่ประชาชน

95. “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ภายใต้พันธนาการ”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 1 หน้า 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรกของ หนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหน เขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน… การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจน เป็นการละทิ้งสิทธิและหน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมด ออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

96. ทุก ๆ คนเท่าเทียมกัน ผู้ชายเท่านั้นที่มีสิทธิทางการเมือง มักใช้ในเมืองที่มีขนาดเล็ก
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ

97. เสรีภาพคือสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ

98. นักคิดชาวอังกฤษที่เสนอเรื่องสิทธิในการปฏิวัติ
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 61. ประกอบ

99. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมี เงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น…. และตราบเท่าที่สิ่งที่เรา ทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

100. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิด ก็คือการสรุป เอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปากไม่ให้โต้เถียงกัน ทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจยอมให้การประณามคัดค้าน ความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

POL2108 หลักปฏิบัติทางการปกครองและธรรมาภิบาลในภาครัฐ s/2566

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2108 หลักปฏิบัติทางการปกครองและธรรมาภิบาลในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

ตั้งแต่ข้อ 1. – 5. นักศึกษาพิจารณาและระบายลงในกระดาษคําตอบดังนี้
(1) หากข้อความที่ 1 ถูก และข้อความที่ 2 ผิด ให้ระบายในข้อ 1
(2) หากข้อความที่ 1 ผิด และข้อความที่ 2 ถูก ให้ระบายในข้อ 2
(3) หากข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ถูกทั้ง 2 ข้อ ให้ระบายในข้อ 3
(4) หากข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ผิดทั้ง 2 ข้อ ให้ระบายในข้อ 4

1.(1) คู่กรณีอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทําคําสั่งปกครองภายใน 15 วันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคําสั่งทางปกครองดังกล่าว
(2) ให้เจ้าหน้าที่พิจารณาคําอุทธรณ์และแจ้งผู้อุทธรณ์โดยไม่ชักช้าแต่ต้องไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับ อุทธรณ์ ในกรณีที่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้ดําเนินการเปลี่ยนแปลงคําสั่ง
ทางปกครองตามความเห็นของตนภายในกําหนดระยะเวลาดังกล่าวตามมาตรา 45 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ตอบ 3 หน้า 106 – 107 การอุทธรณ์คําสั่งทางปกครอง มีดังนี้

1. ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรีและไม่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนการอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณีอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองนั้น โดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทําคําสั่งปกครองภายใน 15 วันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคําสั่งทาง ปกครองดังกล่าวตามมาตรา 44 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

2. คําอุทธรณ์ต้องทําเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายที่อ้างอิง ประกอบด้วย และการอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครอง เว้นแต่ จะมีคําสั่งให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน และในการอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองผู้อุทธรณ์สามารถยื่นคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครองมาพร้อมกับคําอุทธรณ์ก็ได้ตามมาตรา 44 วรรคสองและวรรคสามแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

3. ให้เจ้าหน้าที่พิจารณาคําอุทธรณ์และแจ้งผู้อุทธรณ์โดยไม่ชักช้าแต่ต้องไม่เกิน 30 วันนับแต่ วันที่ได้รับอุทธรณ์ ในกรณีที่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้ดําเนินการ เปลี่ยนแปลงคําสั่งทางปกครองตามความเห็นของตนภายในกําหนดระยะเวลาดังกล่าวตาม มาตรา 45 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

4. ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้เร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังผู้มีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ให้ผู้มีอํานาจพิจารณา คําอุทธรณ์พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับรายงาน ถ้ามีเหตุจําเป็น ไม่อาจพิจารณาได้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์มีหนังสือ แจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบก่อนครบกําหนดเวลาดังกล่าว ในการนี้ให้ขยายระยะเวลาพิจารณา อุทธรณ์ออกไปได้ไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่ครบกําหนดเวลาดังกล่าวตามมาตรา 45 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ฯลฯ

2.(1) ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้เร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผล ไปยังผู้มีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณ์พิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับรายงาน
(2) ถ้ามีเหตุจําเป็นไม่อาจพิจารณาได้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์ มีหนังสือแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบก่อนครบกําหนดเวลาดังกล่าว ในการนี้ให้ขยายระยะเวลาพิจารณา อุทธรณ์ออกไปได้ไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่ครบกําหนดเวลาดังกล่าว
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.(1) เหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งทางปกครอง มีสาเหตุ เช่น ความไม่ชอบด้วยกฎหมายของ สภาพภายนอกคําสั่งทางปกครอง ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในสาระของคําสั่งทางปกครอง เป็นต้น
(2) ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในสาระของคําสั่งทางปกครอง ได้แก่ ความบกพร่องในเจตนาโดยสมัครใจ ความบกพร่องในมูลเหตุจูงใจ เป็นการใช้อํานาจผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย บกพร่องในข้อกฎหมาย อาจเกิดขึ้นได้ใน 3 กรณี คือ ไม่มีกฎหมายใช้บังคับเช่นนั้น หรือมีกฎหมายแต่กฎหมายนั้นใช้บังคับไม่ได้ หรือมีกฎหมายเป็นฐานแต่ตีความใช้กฎหมายผิด
ตอบ 3 หน้า 107 – 108 ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ อธิบายว่า ความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่ง ทางปกครอง มีสาเหตุดังนี้
1. ความไม่ชอบด้วยกฎหมายของสภาพภายนอกคําสั่งทางปกครอง ได้แก่ ความบกพร่อง ในความสามารถ ความบกพร่องในวิธีพิจารณา และความบกพร่องในแบบ
2. ความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในสาระของคําสั่งทางปกครอง ได้แก่
1) องค์ประกอบในส่วนอัตวิสัย ประกอบด้วย
– ความบกพร่องในเจตนาโดยสมัครใจ
– ความบกพร่องในมูลเหตุจูงใจ เป็นการใช้อํานาจผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย
2) องค์ประกอบในส่วนภาวะวิสัย ประกอบด้วย
– บกพร่องในข้อกฎหมาย อาจเกิดขึ้นได้ใน 3 กรณี คือ ไม่มีกฎหมายใช้บังคับเช่นนั้น หรือมีกฎหมายแต่กฎหมายนั้นใช้บังคับไม่ได้ หรือมีกฎหมายเป็นฐานแต่ตีความใช้กฎหมายผิด
– บกพร่องในข้อเท็จจริง
3) องค์ประกอบในวัตถุประสงค์

4.(1) ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางวิธีสารบัญญัติ คือ คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยปราศจากอํานาจ เกิดขึ้นในกรณีที่ฝ่ายปกครองออกคําสั่งทางปกครองเป็นผู้ไม่มีอํานาจที่จะออกคําสั่งทางปกครองนั้น
(2) ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางสารบัญญัติ คือ คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยเนื้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยเนื้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้บางครั้งเรียกว่าคําสั่งทางปกครองที่ออกโดยฝ่าฝืนกฎหมายโดยตรง
ตอบ 3 หน้า 108 – 110 มานิตย์ จุมปา อธิบายว่า ประเภทของเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ของคําสั่งทางปกครอง อาจแบ่งได้ 2 เหตุ คือ
1. ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางวิธีสารบัญญัติ ได้แก่
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยปราศจากอํานาจ เกิดขึ้นในกรณีที่ฝ่ายปกครองออกคําสั่ง ทางปกครองเป็นผู้ไม่มีอํานาจที่จะออกคําสั่งทางปกครองนั้น
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนวิธีการ
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ถูกต้องตามแบบ

2. ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางสารบัญญัติ ได้แก่
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยเนื้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย บางครั้งเรียกว่าคําสั่ง ทางปกครองที่ออกโดยฝ่าฝืนกฎหมายโดยตรง
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยมีมูลเหตุจูงใจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย บางครั้งเรียกว่าคําสั่งทางปกครองที่ออกโดยบิดเบือนอํานาจ

5.(1) เมื่อคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากําไรเกินควรได้ระบุชื่อหรือประเภทสิ่งของและสิ่งต้องห้าม มิให้ค้ากําไรเกินควรแล้ว คณะกรรมการจะต้องระบุเขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง หรือทั้งหมดเป็นท้องที่ต้องห้าม มิให้ค้ากําไรเกินควร เมื่อคณะกรรมการมิได้กําหนดให้ปรากฏชัดแล้ว ประกาศห้ามเคลื่อนย้ายโค กระบือ ที่มีชีวิตเข้าไปในเขตท้องที่ที่จะสั่งห้าม แสดงว่ามิได้ปฏิบัติการตามลําดับก่อนหลังดังกฎหมายกําหนดไว้ การประกาศของคณะกรรมการนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(2) ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 เจ้าพนักงานจราจรมีอํานาจออกข้อบังคับหรือคําสั่ง กําหนดสถานที่จอดพักรถได้ แต่สถานที่จอดพักรถนั้นอยู่ในความครอบครองของเอกชนและเอกชน เป็นผู้เรียกค่าบริการจอดรถ ก็ไม่เป็นสถานที่จอดพักรถตามความหมายของพระราชบัญญัติจราจร ทางบก แต่เป็นสถานที่ขนส่งตามพระราชบัญญัติขนส่ง พ.ศ. 2497 ซึ่งบัญญัติให้เป็นอํานาจของ รัฐมนตรีเป็นผู้กําหนดสถานที่ที่ใช้เป็นสถานีขนส่ง เจ้าหน้าที่พนักงานจราจรไม่มีอํานาจกําหนด

ตอบ 3 หน้า 108 – 109 ตัวอย่างของความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งทางปกครอง เช่น คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนวิธีการ กรณีนี้หากฝ่ายปกครองประสงค์ จะออกคําสั่งทางปกครอง ฝ่ายปกครองต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่กฎหมายกําหนดไว้ หากฝ่ายปกครองไม่ปฏิบัติตาม คําสั่งทางปกครองนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตัวอย่างเช่น เมื่อคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากําไรเกินควรได้ระบุชื่อหรือประเภทสิ่งของและสิ่งต้องห้ามมิให้ค้ากําไรเกินควรแล้ว คณะกรรมการจะต้องระบุเขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง หรือทั้งหมดเป็นห้องที่ต้องห้ามมิให้ค้ากําไรเกินควร เมื่อคณะกรรมการมิได้กําหนดให้ปรากฏ ชัดแล้ว ประกาศห้ามเคลื่อนย้ายโค กระบือที่มีชีวิตเข้าไปในเขตท้องที่ที่จะสั่งห้าม แสดงว่า มิได้ปฏิบัติการตามลําดับก่อนหลังดังกฎหมายกําหนดไว้ การประกาศของคณะกรรมการนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยเนื้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ฝ่ายปกครองจะต้องออก คําสั่งทางปกครองที่มีเนื้อความตามที่กฎหมายกําหนดไว้เท่านั้น ฝ่ายปกครองไม่อาจเลือก หรือกําหนดเนื้อความของคําสั่งทางปกครองตามใจชอบได้ ตัวอย่างเช่น ตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2477 เจ้าพนักงานจราจรมีอํานาจออกข้อบังคับหรือคําสั่งกําหนด สถานที่จอดพักรถได้ แต่สถานที่จอดพักรถนั้นอยู่ในความครอบครองของเอกชนและเอกชน เป็นผู้เรียกค่าบริการจอดรถ ก็ไม่เป็นสถานที่จอดพักรถตามความหมายของพระราชบัญญัติ จราจรทางบก แต่เป็นสถานที่ขนส่งตามพระราชบัญญัติขนส่ง พ.ศ. 2497 ซึ่งบัญญัติให้เป็น อํานาจของรัฐมนตรีเป็นผู้กําหนดสถานที่ที่ใช้เป็นสถานีขนส่ง เจ้าหน้าที่พนักงานจราจร ไม่มีอํานาจกําหนด (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ)

ตั้งแต่ข้อ 6. – 10. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) หลักกฎหมายทั่วไป
(2) หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําทางปกครอง
(3) หลักนิติธรรม
(4) หลักนิติรัฐ
(5) หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง

6. บรรดาการกระทําทั้งหลายขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ สอดคล้องกับหลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 4 หน้า 43 – 44 สาระสําคัญของหลักนิติรัฐ มี 3 ประการ ดังนี้
1. บรรดาการกระทําทั้งหลายขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ
2. บรรดากฎหมายทั้งหลายที่องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติได้ตราขึ้นจะต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
3. การควบคุมไม่ให้การกระทําขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารขัดต่อกฎหมายก็ดี การควบคุมไม่ให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญก็ดี จะต้องเป็นอํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ

7. การใช้กฎหมายจะต้องผูกพันต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติอันเป็นองค์กรที่มีพื้นฐานมาจากตัวแทนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติของกฎหมายที่เป็นการกระทบต่อสิทธิหรือจํากัดสิทธิของประชาชนจะกระทําได้เฉพาะภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ โดยผ่านความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชน สอดคล้องกับหลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจหลักอะไร
ตอบ 5 หน้า 44 หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง หรือเรียกว่า หลักความผูกพันต่อกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครองนั้น ตามหลักนิติรัฐ หลักในเรื่องนี้เป็นการเชื่อมโยงหลักความผูกพันต่อกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครองเข้ากับ หลักประชาธิปไตยโดยทางผู้แทน กล่าวคือ การใช้กฎหมายของฝ่ายตุลาการก็ดี หรือฝ่ายปกครอง ก็ดีจะต้องผูกพันต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติอันเป็นองค์กรที่มีพื้นฐานมาจากตัวแทนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติของกฎหมายที่เป็นการกระทบต่อสิทธิหรือจํากัดสิทธิของประชาชนนั้นจะกระทําได้เฉพาะภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ โดยผ่านความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชนก่อน

8. หลักการที่สําคัญ คือ ก่อนที่จะจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนคนใดคนหนึ่งด้วยการบังคับให้เขา กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือห้ามมิให้เขากระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่กรณี ฝ่ายปกครอง จะต้องถามตนเองเสมอว่ามีกฎหมายฉบับใด มาตราใดให้อํานาจกระทําการเช่นนั้นหรือไม่ สอดคล้องกับ หลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 2 หน้า 47 – 48 หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําทางปกครอง หมายความว่า ฝ่ายปกครองจะกระทําการใด ๆ ที่อาจมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพของเอกชนคนใดคนหนึ่งได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อํานาจและเฉพาะแต่ภายในขอบเขตที่กฎหมายกําหนดไว้ เท่านั้น ดังนั้นตามหลักการดัง เล่าวจึงมีหลักการที่สําคัญอยู่ว่า ก่อนที่จะจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพ ของประชาชนคนใดคนหนึ่งด้วยการบังคับให้เขากระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือห้ามมิให้เขากระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่กรณี ฝ่ายปกครองจะต้องถามตนเองเสมอว่ามีกฎหมาย ฉบับใด มาตราใดให้อํานาจกระทําการเช่นว่านั้นหรือไม่ ถ้าไม่มีกฎหมายให้อํานาจ ฝ่ายปกครอง จะต้องละความตั้งใจที่จะกระทําเช่นว่านั้น

9.แนวคิดที่ว่า มีหลักกฎหมายบางอย่างที่อยู่นอกเหนือเจตนาของผู้บัญญัติกฎหมาย และนอกเหนือจาก กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีอยู่ มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่อยู่ภายนอกและอยู่เหนือเจตนาของศาล จึงอาจมี การนําหลัก เช่น หลักความเสมอภาค หลัก ความต่อเนื่องของบริการสาธารณะมาใช้ เป็นต้น สอดคล้องกับ หลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 1 หน้า 56 หลักกฎหมายทั่วไป เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่า มีหลักกฎหมายบางอย่างที่อยู่นอกเหนือ เจตนาของผู้บัญญัติกฎหมาย และนอกเหนือจากกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีอยู่ มีกฎเกณฑ์ บางอย่างที่อยู่ภายนอกและอยู่เหนือเจตนาของศาล จึงอาจมีการนําหลัก เช่น หลักความเสมอภาค หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะมาใช้ เป็นต้น

10. ศาลเป็นผู้นําหลักอันเป็นนามธรรม มาใช้เป็นหลักที่เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับหลักการควบคุมตรวจสอบ การใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 1 หน้า 56 – 57 หลักกฎหมายทั่วไปเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อเป็นหลักประกันหรือพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนจากการใช้อํานาจตามอําเภอใจของฝ่ายปกครอง โดยหลักกฎหมาย ทั่วไปนั้นมิได้เกิดขึ้นตามอําเภอใจของศาล ศาลมิได้สร้างกฎหมายขึ้นมาใช้เอง แต่การยอมรับ หลักกฎหมายทั่วไปของศาลเป็นการนําเอาความเชื่อ ความเห็นของส่วนรวมอันเป็นหลักการ พื้นฐานของระบบการเมืองการปกครองและรากฐานของระบบกฎหมายในสังคมนั้น ๆ มาพัฒนา เป็นหลักกฎหมายทั่วไปเพื่อใช้บังคับกับคดีที่เกิดขึ้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ศาลเป็นผู้นํา หลักอันเป็นนามธรรมมาใช้เป็นหลักที่เป็นรูปธรรมนั่นเอง

11. ข้อใดเป็นรูปแบบของการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(1) ไม่สุจริต
(2) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญที่กําหนดไว้สําหรับการนั้น
(3) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 110 – 112 รูปแบบของการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีดังนี้
1. การกระทําที่ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
2. การกระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญที่กําหนดไว้ สําหรับการนั้น
3. การกระทําที่ไม่สุจริต
4. การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
5. การกระทําที่เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชน เกินสมควร
6. การกระทําที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

12. กรณีการเลือกรับเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาของรัฐ โดยอาศัยจํานวนเงินบริจาคเป็นเกณฑ์ เป็นการกระทํา ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในรูปแบบใด
(1) การไม่สุจริต
(2) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(3) เป็นการไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(4) เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
(5) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น
ตอบ 2 หน้า 112 การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เป็นกรณีของการปฏิบัติที่ขัดต่อ หลักความเสมอภาค มีความลําเอียง มีอคติหรือใช้ความแตกต่างกันในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ภาษา เพศ สภาพร่างกาย หรือความคิดเห็นทางการเมืองมาเป็นเกณฑ์ ในการปฏิบัติที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน เช่น
– กรณีการเลือกรับเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาของรัฐ โดยอาศัยจํานวนเงินบริจาคเป็นเกณฑ์
– กรณีของการจัดซื้อจัดจ้าง การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งอนุมัติให้ทําสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับผู้เสนอราคารายหนึ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน

13. กรณีที่หน่วยงานของรัฐออกระเบียบให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการในสถานที่ราชการต้องแต่งกายสุภาพ ด้วยการใส่สูทและผูกเนคไท เป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในรูปแบบใด
(1) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(2) เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
(3) เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(4) เป็นการนอกเหนืออํานาจ
(5) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้
ตอบ 2 หน้า 112 กรณีที่หน่วยงานของรัฐออกระเบียบให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการในสถานที่ราชการ ต้องแต่งกายสุภาพนั้น ไม่ถือเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ถ้าหน่วยงานของรัฐ ออกระเบียบให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการดังกล่าวต้องใส่สูทและผูกเนคไทด้วย ระเบียบดังกล่าว ย่อมเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควรซึ่งถือเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

14. ข้อใดเป็นการกระทําที่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(1) การปฏิบัติที่ใช้ความแตกต่างกันในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนามาเป็นเกณฑ์ ในการปฏิบัติที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน
(2) การปฏิบัติที่ใช้ความแตกต่างกันในเรื่องภาษา เพศ สภาพร่างกายมาเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติ ที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน
(3) การปฏิบัติที่ใช้ความแตกต่างกันในเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองมาเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

15. การที่หน่วยงานของรัฐออกระเบียบกําหนดให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการต้องแต่งกายสุภาพ เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
(1) เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นให้เกิดกับประชาชนเกินควร
(2) เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินควร
(3) เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นการกระทําที่ไม่มีอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ไม่เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

16. กรณีการลงโทษทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงแก่ข้าราชการ ซึ่งผู้บังคับบัญชาสามารถเลือกได้ว่าจะลงโทษ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน แต่ผู้บังคับบัญชากลับเลือกโทษที่สูงที่สุด เพราะมีอคติต่อ ข้าราชการผู้นั้น เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในลักษณะใด
(1) เป็นการกระทําที่ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(2) เป็นการกระทําที่ไม่สุจริต
(3) เป็นการกระทําที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(4) เป็นการกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(5) เป็นการกระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น ตอบ 3 หน้า 112 – 113 การกระทําที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ อาจเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ ของรัฐมีอํานาจดุลพินิจ (Discretionary Power) ตามที่กฎหมายได้บัญญัติให้อํานาจไว้ แต่ใช้ อํานาจดุลพินิจนั้นไปในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่มีเหตุอันสมควร เช่น กรณีการลงโทษ ทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงแก่ข้าราชการ ซึ่งผู้บังคับบัญชาสามารถเลือกได้ว่าจะลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน แต่ผู้บังคับบัญชากลับเลือกโทษที่สูงที่สุด เพราะมีอคติต่อ ข้าราชการผู้นั้น เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 17. – 21. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) หลักความได้สัดส่วน
(2) หลักความเสมอภาค
(3) หลักความเป็นกลาง
(4) หลักการฟังความอีกฝ่ายหนึ่ง
(5) หลักเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครอง

17. “บังคับให้องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกําหนดมาตรการที่สามารถดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ให้อํานาจได้จริงในการปฏิบัติ แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อความเสียหายแก่ประชาชนน้อยที่สุด”
ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 1 หน้า 117 หลักความได้สัดส่วน เป็นหลักการที่บังคับให้องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกําหนดมาตรการที่สามารถดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ให้อํานาจได้จริงในการปฏิบัติแต่ในขณะเดียวกันก็ก่อความเสียหายแก่ประชาชนน้อยที่สุด และห้ามมิให้ฝ่ายปกครองออก มาตรการใด ๆ ซึ่งหากได้ลงมือ บังคับใช้แล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่มหาชนน้อยมาก ไม่คุ้ม กับความเสียหายที่จะตกแก่ประชาชนและสังคมโดยส่วนรวม

18. “เป็นอํานาจพิเศษของฝ่ายปกครองที่มีเหนือเอกชน ใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดทําบริการสาธารณะ”ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 5 หน้า 127 หลักเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครอง เป็นเครื่องมือทางกฎหมายมหาชนที่กําหนดให้นิติบุคคลซึ่งจัดทําหรือกํากับดูแลการจัดทําบริการสาธารณะมีอํานาจพิเศษที่แตกต่างไปจากวิธีการทางกฎหมายเอกชน ซึ่งเรียกกันว่า อํานาจพิเศษของฝ่ายปกครอง หรือเอกสิทธิ์ของ ฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นอํานาจฝ่ายเดียวของฝ่ายปกครองที่มีเหนือเอกชน ใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดทําบริการสาธารณะ

19. “ความเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของผู้มีอํานาจทําการพิจารณาเพื่อออกคําสั่งทางปกครองหรือลงมติใด ๆเป็นหลักประกันความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยมีเหตุผลรองรับความเชื่อมั่น ในกระบวนการพิจารณาและวินิจฉัยทางปกครอง” ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตาม
หลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 3 หน้า 122 – 123 หลักความเป็นกลาง หรือความเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของผู้มีอํานาจทําการ พิจารณาเพื่อออกคําสั่งทางปกครองหรือลงมติใด ๆ เป็นหลักประกันความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยมีเหตุผลรองรับความเชื่อมั่นในกระบวนการพิจารณาและ วินิจฉัยทางปกครอง

20. “บุคคลทุกคนที่อยู่ในสถานะเท่าเทียมกันที่จะได้รับหรือได้ใช้บริการสาธารณะอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จะต้องได้รับการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน หรือ การไม่เลือกปฏิบัตินั่นเอง” ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทาง ปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 2 หน้า 118 เกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์ อธิบายว่า ในระบบกฎหมายของฝรั่งเศส หลักความ เสมอภาคปรากฏเป็นที่ยอมรับ และผูกพันองค์กรของรัฐในอันที่จะต้องเคารพและปฏิบัติ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ กล่าวโดยเฉพาะในเรื่องความเสมอภาคในการได้รับบริการสาธารณะแล้ว ย่อมหมายความว่า บุคคลทุกคนที่อยู่ในสถานะเท่าเทียมกันที่จะได้รับหรือได้ใช้บริการสาธารณะ อย่างหนึ่งอย่างใดแล้วจะต้องได้รับการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน หรือ “การไม่เลือกปฏิบัติ” นั่นเอง

21. “เป็นหลักการที่ให้สิทธิแก่บุคคลที่จะปกป้องนิติฐานะของตนจากการใช้อํานาจออกคําวินิจฉัยสั่งการของ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง” ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด

ตอบ 4 หน้า 123 หลักการฟังความอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นหลักการที่ให้สิทธิแก่บุคคลที่จะปกป้องนิติฐานะของตนจากการใช้อํานาจออกคําวินิจฉัยสั่งการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยผลบังคับของหลักการนี้มีอยู่ว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะตัดสินใจใช้อํานาจออกคําวินิจฉัยสั่งการที่อาจจะมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือประโยชน์อันชอบธรรมของบุคคลใด เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะต้องแจ้งข้อเท็จจริงที่ตนจะใช้เป็นเหตุผลในการออกคําวินิจฉัยสั่งการให้บุคคลนั้นทราบและ ให้เขามีโอกาสโต้แย้งข้อเท็จจริงนั้นและแสดงพยานหลักฐานสนับสนุนข้อโค้งแย้งของตน

22. “เป็นหลักเกณฑ์ที่ช่วยให้การจัดทําบริการสาธารณะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของฝ่ายปกครองหรือมีประสิทธิภาพสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายให้ประชาชนอยู่อย่างเป็นสุขและอยู่ดีกินดี” ข้อความนี้ตรงกับหลักเกณฑ์สําคัญในการจัดทําบริการสาธารณะหลักใด
(1) หลักความเป็นกลางของบริการสาธารณะ
(2) หลักการให้เปล่าของบริการสาธารณะ
(3) หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ
(4) หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 152 – 153 หลักเกณฑ์สําคัญในการจัดทําบริการสาธารณะ เป็นหลักเกณฑ์ที่ช่วยให้ การจัดทําบริการสาธารณะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของฝ่ายปกครองหรือมีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายให้ประชาชนอยู่อย่างเป็นสุขและอยู่ดีกินดี ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วย
1. หลักความเป็นกลางของบริการสาธารณะ
2. หลักการให้เปล่าของบริการสาธารณะ
3. หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ
4. หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
5. หลักเฉพาะที่แท้จริงของกฎหมายเกี่ยวกับบริการสาธารณะ

23.“ฝ่ายปกครองหรือหน่วยงานที่จัดทําบริการสาธารณะไม่ว่าจะเป็นการจัดบริการสาธารณะประเภทใด จําเป็น ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก มีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบได้” ข้อความนี้ตรงกับหลักเกณฑ์สําคัญในการจัดทําบริการสาธารณะหลักใด
(1) หลักความเป็นกลางของบริการสาธารณะ
(2) หลักการให้เปล่าของบริการสาธารณะ
(3) หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ
(4) หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
(5) หลักเฉพาะที่แท้จริงของกฎหมายเกี่ยวกับบริการสาธารณะ
ตอบ 3 หน้า 153 หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ หมายถึง ฝ่ายปกครองหรือหน่วยงาน ที่จัดทําบริการสาธารณะไม่ว่าจะเป็นการจัดบริการสาธารณะประเภทใด จําเป็นต้องมีการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก และมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบได้

24. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะของฝ่ายปกครอง
(1) การได้มาซึ่งทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่ง
(2) การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยการเวนคืนเพื่อประโยชน์สาธารณะ
(3) การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยวิธีการยึด
(4) การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยการโอนกิจการเป็นของรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดผิด
ตอบ 5 หน้า 40 การได้มาซึ่งทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะของฝ่ายปกครอง มี 2 วิธี คือ
1. การได้มาซึ่งทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่ง
2. การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งมี 3 กรณี คือ การเวนคืนเพื่อประโยชน์สาธารณะ การโอนกิจการเป็นของรัฐ และด้วยวิธีการยึด

25. ข้อใดเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดทําบริการสาธารณะ
(1) มาตรการทางกฎหมาย
(2) อํานาจพิเศษของฝ่ายปกครอง
(3) บุคลากรของรัฐ
(4) ทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 40 ฝ่ายปกครองมีเครื่องมือที่ใช้ในการจัดทําบริการสาธารณะ 4 ประการ คือ
1. มาตรการทางกฎหมาย
2. บุคลากรของรัฐ
3. ทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะ
4. อํานาจพิเศษของฝ่ายปกครอง

26. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับหลักนิติรัฐ
(1) นิติรัฐเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย
(2) การกระทําทั้งหลายขององค์กรรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร
(3) กฎหมายที่องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติตราขึ้นต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
(4) ข้อ 1 และ 2 ผิด
(5) ไม่มีข้อใดผิด
ตอบ 4 หน้า 42, (คําบรรยาย) การกล่าวว่านิติรัฐเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฎหมายอาจจะนําไปสู่ ความเข้าใจผิดได้เพราะเป็นการมองแบบแคบ ๆ โดยในทางเนื้อหานั้น คือ เป็นนิติรัฐที่เป็น เสรีนิยม คํานึงถึงความยุติธรรม ส่วนรัฐที่สนใจแต่เพียงกฎหมายในทางรูปแบบ ฝ่ายปกครอง จะผูกพันตนต่อกฎหมาย ไม่สนใจว่ากฎหมายนั้นจะถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ (ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ)

27. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้อํานาจโดยองค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ
(2) กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดให้องค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐมีอํานาจมหาชนที่จะกําหนดกฎเกณฑ์หรือออกคําสั่งให้เอกชนต้องปฏิบัติตามได้ โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยความสมัครใจ
หรือความยินยอมจากเอกชน
(3) กฎหมายปกครองที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐในทางบริหาร ใช้หลักการกระจายอํานาจ โดยกําหนด ให้มีองค์กรในรูปแบบส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 64 – 65 ชาญชัย แสวงศักดิ์ อธิบายว่า กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหาแยกได้เป็น 3 ส่วน คือ
1. กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐและบุคลากรของรัฐในทาง บริหาร ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการบริหารรัฐกิจหรือรัฐประศาสนศาสตร์และการบริหารงาน บุคคลภาครัฐ เช่น กฎหมายปกครองที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐในทางบริหารโดยใช้ หลักการรวมอํานาจ โดยกําหนดให้มีองค์กรในรูปแบบส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม
2. กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดให้องค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐมีอํานาจมหาชนที่จะกําหนดกฎเกณฑ์หรือออกคําสั่งให้เอกชนต้องปฏิบัติตามได้ โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยความสมัครใจหรือความยินยอมจากเอกชน
3. กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้อํานาจ โดยองค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ

28.ข้อใดเป็นการกระทําทางปกครอง
(1) การที่รัฐมีมาตรการต่าง ๆ มีคําสั่งหรือวางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ทําให้ประชาชนผู้รับคําสั่ง ต้องปฏิบัติตาม
(2) การที่รัฐให้ทุนการศึกษา ซึ่งถือเป็นคุณประโยชน์แก่ประชาชน
(3) การที่รัฐตัดถนน สร้างสนามบิน คลองส่งน้ํา
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ทุกข้อเป็นการกระทําทางปกครอง
ตอบ 5 หน้า 74 กมลชัย รัตนสกาววงศ์ อธิบายว่า การกระทําทางปกครอง คือ
1. การกระทําที่รัฐเข้าไปกระทบสิทธิเสรีภาพและทรัพย์สินของประชาชน เช่น มีมาตรการต่าง ๆ มีคําสั่งหรือวางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ทําให้ประชาชนผู้รับคําสั่งนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตาม
2. มีการกระทําบางอย่างที่ให้คุณประโยชน์แก่ประชาชน เช่น การให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบ อุบัติเหตุ ให้ทุนการศึกษา หรือให้เงินเพื่อการศึกษา เป็นต้น
3. การกระทําทางปกครองในลักษณะการวางแผน เช่น การตัดถนน สร้างสนามบิน คลองส่งน้ำ สร้างทางด่วน ซึ่งมีลักษณะเป็นทั้งการกระทบสิทธิและให้คุณประโยชน์แก่ประชาชน

29. ข้อใดไม่เป็นการกระทําทางปกครอง
(1) การที่สภาทนายความออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพว่าความ
(2) การที่เจ้าหน้าที่มีคําสั่งไม่อนุญาตตามคําขอ
(3) การที่แพทยสภาออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพแพทย์
(4) เฉพาะข้อ 1 และ 3 ที่ไม่เป็นการกระทําทางปกครอง
(5) ไม่มี เพราะทุกข้อเป็นการกระทําทางปกครอง
ตอบ 5 หน้า 74 – 75 มานิตย์ จุมปา) อธิบายว่า การกระทําทางปกครอง หมายถึง
1. การกระทําของรัฐที่ไม่ใช่การกระทําทางนิติบัญญัติ การกระทําทางตุลาการหรือการกระทํา ทางรัฐบาล และ

2. การกระทําของรัฐนั้นมีลักษณะของการกระทําที่กําหนด ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน หรือระงับ ซึ่งสิทธิและหน้าที่ของประชาชน ตัวอย่างการกระทําทางปกครอง เช่น
– การที่เจ้าหน้าที่มีคําสั่งไม่อนุญาตตามคําขอ
– การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
– การที่แพทยสภาออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพแพทย์
– การที่สภาทนายความออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพว่าความ

30. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะการกระทําทางปกครอง
(1) การกระทําทางปกครองเป็นการกระทําของรัฐ ไม่ใช่การกระทําของเอกชน
(2) การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารประเภทองค์กรฝ่ายปกครอง
(3) การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติหรือองค์กรฝ่ายตุลาการ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 75 นัยนา เกิดวิชัย อธิบายว่า การกระทําทางปกครองมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. การกระทําทางปกครองเป็นการกระทําของรัฐ ไม่ใช่การกระทําของเอกชน
2. การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารไม่ใช่องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติหรือองค์กรฝ่ายตุลาการ
3. การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารประเภทองค์กรฝ่ายปกครอง
4. มีลักษณะเป็นการกําหนดสิทธิหน้าที่ของประชาชน ให้เปลี่ยนแปลงหรือระงับซึ่งสิทธิ

31. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับและทราบเหตุผลของฝ่ายปกครอง
(2) สิทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ว
(3) สิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
(4) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 102 – 104 สิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง มีดังนี้
1. สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิ
2. สิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
3. สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร
4. สิทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ว และรับแจ้งสิทธิหน้าที่
5. สิทธิได้รับและรับทราบเหตุผลของฝ่ายปกครอง
6. สิทธิได้รับทราบถึงแนวทางหรือวิธีการโต้แย้งคําสั่งทางปกครอง

32. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิทุกกรณี
(2) สิทธิได้รับและทราบเหตุผลของฝ่ายปกครอง
(3) สิทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ว
(4) สิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
(5) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร
ตอบ 1 หน้า 102 – 103 ในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครองได้กําหนดให้คู่กรณีมีสิทธิได้รับแจ้ง ผลกระทบต่อสิทธิ แต่ไม่ทุกกรณี กล่าวคือ ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองอาจจะกระทบถึง สิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน แต่มิให้นํามาใช้บังคับในกรณีดังต่อไปนี้
1. เมื่อมีความจําเป็นรีบด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
2. เมื่อจะมีผลทําให้ระยะเวลาที่กฎหมายหรือกฎกําหนดไว้ในการทําคําสั่งทางปกครองต้อง ล่าช้าออกไป
3. เมื่อเป็นมาตรการบังคับทางปกครอง ฯลฯ (ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ)

33. ข้อใดผิดเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิทุกกรณี
(2) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสารแม้ยังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(3) เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็นกรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ
(4) ผิดเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ผิดเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 103 ในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครองได้กําหนดให้คู่กรณีมีสิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริง หรือตรวจดูเอกสารได้ โดยคู่กรณีมีสิทธิตรวจดูเอกสารที่จําเป็นต้องรู้เพื่อการโต้แย้งหรือชี้แจง หรือป้องกันสิทธิของตนได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น คู่กรณีก็ไม่มีสิทธิ ตรวจดูเอกสาร และเจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็น กรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ (ดูคําอธิบายข้อ 31. และ 32. ประกอบ)

34. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิทุกกรณี
(2) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสารแม้ยังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(3) เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็นกรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 31. — 33. ประกอบ

35. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) คู่กรณีไม่มีสิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร ถ้ายังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(2) เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็นกรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ
(3) คู่กรณีมีสิทธินําทนายหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครองได้
(4) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 103 ในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครองได้กําหนดให้คู่กรณีมีสิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายได้ กล่าวคือ ในการพิจารณาทางปกครองที่คู่กรณีต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหน้าที่คู่กรณีมีสิทธินําทนายความหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครองได้ ซึ่งการใด ที่ทนายความหรือที่ปรึกษาได้ทําลงต่อหน้าคู่กรณีให้ถือว่าเป็นการกระทําของคู่กรณี เว้นแต่ คู่กรณีจะได้คัดค้านเสียแต่ในขณะนั้น (ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ)

36. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับข้อยกเว้นของผู้รับคําสั่งทางปกครองที่จะอ้างความเชื่อโดยสุจริตไม่ได้
(1) บุคคลผู้มีพฤติกรรมได้ให้ข้อความซึ่งไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนในสาระสําคัญต้องรับผิดคืนประโยชน์ที่ได้รับเต็มจํานวน
(2) บุคคลผู้มีพฤติกรรมแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
(3) บุคคลผู้มีพฤติกรรมข่มขู่ หรือชักจูงใจ โดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มิชอบด้วยกฎหมาย
(4) บุคคลผู้มีพฤติกรรมรู้ถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของกฎหรือคําสั่งทางปกครองในขณะที่ได้รับคําสั่ง ทางปกครอง หรือการไม่รู้นั้นเป็นไปโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 115 ในกรณีดังต่อไปนี้ผู้รับคําสั่งทางปกครองจะอ้างความเชื่อโดยสุจริตไม่ได้ และจะต้องรับผิดคืนประโยชน์ที่ได้รับเต็มจํานวน
1. แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง หรือข่มขู่ หรือชักจูงใจโดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มิชอบด้วยกฎหมาย
2.ได้ให้ข้อความซึ่งไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนในสาระสําคัญ
3. รู้ถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของกฎหรือคําสั่งทางปกครองในขณะที่ได้รับคําสั่งทางปกครองหรือการไม่รู้นั้นเป็นไปโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

37. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับหลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(1) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังไม่ได้
(2) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะมีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังก็ได้แต่ให้มีผลในอนาคตไม่ได้
(3) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะมีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังก็ได้ แต่ให้มีผลในอนาคตไม่ได้
(4) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดได้
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 หน้า 114 หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีดังนี้
1. การเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่เป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนโดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดได้
2. การเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่เป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครอง เจ้าหน้าที่ หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดได้แต่กฎหมายก็อาจจะต้องไม่เพิกถอนคําสั่งทางปกครองย้อนหลังลบล้างคําสั่งนั้น แต่หาก จําเป็นต้องเพิกถอนให้มีผลย้อนหลังก็จะต้องกําหนดวิธีการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น

38. ข้อใดเป็นคําสั่งทางปกครอง
(1) คําสั่งรับหรือไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
(2) คําสั่งของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
(3) คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านในสวัสดิการของข้าราชการ
(4) คําสั่งเลื่อนขั้นในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 100 – 101 ฤทัย หงส์ศิริ อธิบายว่า ที่เรียกเป็นภาษากฎหมายว่า “คําสั่งทางปกครอง”มีตัวอย่างพอสรุปได้ดังนี้
1. คําสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการต่าง ๆ เช่น คําสั่งไม่ออกใบอนุญาตให้ ประกอบกิจการโรงงาน สถานบริการ เป็นต้น
2. คําสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ก่อสร้าง ดัดแปลงอาคาร หรือให้รื้อถอนอาคารที่มีลักษณะ เป็นอันตรายต่อสาธารณชนตามกฎหมายควบคุมอาคาร
3. คําสั่งของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
4. คําสั่งรับหรือไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
5. คําสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเป็นการส่วนตัว เช่น
– คําสั่งที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ เช่น คําสั่งแต่งตั้ง เลื่อนขั้นตําแหน่ง คําสั่งลงโทษทางวินัย คําสั่งพักราชการในระหว่างสอบสวนทางวินัย เป็นต้น
– คําสั่งเกี่ยวกับสวัสดิการของข้าราชการ เช่น คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้าน ค่ารักษา พยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น

39. ข้อใดเป็นคําสั่งทางปกครอง
(1) คําสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ก่อสร้าง ดัดแปลงอาคาร หรือให้รื้อถอนอาคารที่มีลักษณะเป็นอันตรายต่อสาธารณชนตามกฎหมายควบคุมอาคาร
(2) คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่ารักษาพยาบาล
(3) คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้าน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

40. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยหลักกฎหมายและกําหนดให้เป็นผู้มีอํานาจในการออกคําสั่งทางปกครองสามารถริเริ่มใช้อํานาจในการออกคําสั่งได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีผู้มาร้องขอ
(2) เจ้าหน้าที่จะริเริ่มออกคําสั่งทางปกครองได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชนหรือเอกชนมาร้องขอเสียก่อนจึงดําเนินการได้
(3) ผู้บังคับบัญชาพบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทําผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการลงโทษทางวินัยได้ทันที โดยไม่ต้องมีผู้ใดมาร้องเรียนกล่าวโทษ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 101 โดยหลักแล้วเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยหลักกฎหมายและกําหนดให้เป็นผู้มีอํานาจในการออกคําสั่งทางปกครอง สามารถริเริ่มใช้อํานาจในการออกคําสั่งได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีผู้มาร้องขอ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีกฎหมายกําหนดอํานาจหน้าที่ให้อยู่แล้ว เช่น กรณี ผู้บังคับบัญชาพบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทําผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการลงโทษทางวินัย ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีผู้ใดมาร้องเรียนกล่าวโทษ แต่ในบางกรณีเจ้าหน้าที่จะริเริ่มออกคําสั่งทาง ปกครองได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชน หรือเอกชนมาร้องขอเสียก่อนจึงดําเนินการได้ เช่น ในเรื่องของ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับจดทะเบียน การรับรอง การอนุมัติ การออกใบอนุญาตต่าง ๆ เช่น ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ใบอนุญาตจัดตั้งสถานบริการ เป็นต้น

41. คําสั่งทางปกครองที่ทําเป็นหนังสือและยืนยันคําสั่งทางปกครองเป็นหนังสือต้องให้มีเหตุผลไว้ด้วยโดยอย่างน้อยต้องมีองค์ประกอบใดเป็นเหตุผลบ้าง
(1) ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญ
(2) ข้อกฎหมายที่อ้างอิง
(3) ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 103 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 3 กําหนดว่า คําสั่งทางปกครองที่ทําเป็นหนังสือและยืนยันคําสั่งทางปกครองเป็นหนังสือต้องจัดให้มีเหตุผลไว้ด้วย และเหตุผลนั้นอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
1. ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญ
2. ข้อกฎหมายที่อ้างอิง
3. ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ

42. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) คําสั่งทางปกครองจะต้องทําเป็นหนังสือเท่านั้น
(2) คําสั่งทางปกครองจะทําด้วยวาจาได้
(3) คําสั่งทางปกครองจะทําเป็นรูปแบบอื่นก็ได้ นอกเหนือจากเป็นหนังสือ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 104 คําสั่งทางปกครองจะทําเป็นหนังสือ หรือทําด้วยวาจา หรือโดยรูปแบบอื่นก็ได้ กฎหมายบางฉบับระบุไว้ชัดเจนว่าต้องทําคําสั่งในเรื่องนั้นเป็นหนังสือ แต่ถ้ากฎหมายไม่ระบุไว้ เจ้าหน้าที่ย่อมมีสิทธิจะเลือกทําคําสั่งในรูปแบบใดก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจอันเป็นความ รับผิดชอบของเจ้าหน้าที่นั้นเอง โดยต้องพิจารณาจากความเร่งด่วนและความจําเป็นของสถานการณ์เป็นสําคัญ

43. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรูปแบบคําสั่งทางปกครอง
(1) คําสั่งทางปกครองที่กฎหมายกําหนดให้ทําเป็นหนังสือ หากไม่ทํา คําสั่งนั้นย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลทางกฎหมาย
(2) คําสั่งทางปกครองที่สั่งด้วยวาจา ถ้าผู้รับคําสั่งร้องขอ และการร้องขอได้กระทําโดยมีเหตุอันควร ต้องกระทําภายใน 14 วันนับแต่วันที่ทําคําสั่ง
(3) คําสั่งทางปกครองที่สื่อความหมายในรูปแบบอื่น ต้องมีข้อความหรือความหมายที่ชัดเจนเพียงพอ ที่จะเข้าใจได้
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 หน้า 104 – 105 คําสั่งทางปกครองที่กฎหมายกําหนดให้ทําเป็นหนังสือ หากไม่ทําเป็นหนังสือ ย่อมขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน และคําสั่งนั้นย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลทางกฎหมาย ส่วนคําสั่ง ทางปกครองที่สั่งด้วยวาจา ถ้าผู้รับคําสั่งนั้นร้องขอ และการร้องขอได้กระทําโดยมีเหตุอันสมควร ต้องกระทําภายใน 7 วันนับแต่วันที่ทําคําสั่ง และคําสั่งทางปกครองที่สื่อความหมายในรูปแบบอื่น ต้องมีข้อความหรือความหมายที่ชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจได้

44. ข้อใดผิด
(1) คําสั่งทางปกครองที่สั่งด้วยวาจา ถ้าผู้รับคําสั่งร้องขอ และการร้องขอได้กระทําโดยมีเหตุอันควร ต้องกระทําภายใน 7 วันนับแต่วันที่ทําคําสั่ง
(2) คําสั่งทางปกครองเริ่มมีผลบังคับทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่ออกคําสั่ง
(3) คําสั่งทางปกครองที่กฎหมายกําหนดให้ทําเป็นหนังสือ หากไม่ทํา คําสั่งนั้นย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลทางกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ผิด
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 106 คําสั่งทางปกครองเริ่มมีผลบังคับเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ออกคําสั่งนั้นได้แจ้งคําสั่งทางปกครองนั้นแก่ผู้รับคําสั่งทางปาครองให้ทราบ และมีผลบังคับตราบเท่าที่ยังไม่มีการยกเลิกหรือ เพิกถอน หรือสิ้นผลโดยเงื่อนไขของระยะเวลาหรือโดยเหตุอื่น (ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ)

45. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะของประโยชน์สาธารณะ
(1)ประโยชน์สาธารณะ คือ การดําเนินการของรัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม มิใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ดําเนินการนั้นเอง
(2) เรื่องใดที่ผ่านการพิจารณาและเห็นชอบของรัฐบาลแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ของประชาชนด้วย ดังนั้นหากรัฐบาลได้ตรากฎหมายให้รัฐหรือหน่วยงานของรัฐมีอํานาจดําเนินการในเรื่องใด เรื่องนั้นก็คือความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือเป็นประโยชน์สาธารณะ
(3) ประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดําเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของ สังคม จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจเลือกว่าจะกระทําหรือไม่กระทําได้
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 144 – 145 ลักษณะของประโยชน์สาธารณะ สามารถแยกได้เป็น 3 ประการ ดังนี้
1. ประโยชน์สาธารณะ คือ การดําเนินการของรัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ ในสังคม มิใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ดําเนินการนั้นเอง
2. ในระบอบประชาธิปไตยเรื่องใดที่ผ่านการพิจารณาและเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนด้วย ดังนั้นหากรัฐสภาได้ตรากฎหมายให้รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐมีอํานาจดําเนินการในเรื่องใด เรื่องนั้นก็คือความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือเป็นประโยชน์สาธารณะ
3. ประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดําเนินการเพื่อตอบสนองความ ต้องการของสังคม จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจเลือกว่าจะกระทําหรือไม่กระทําได้

ตั้งแต่ข้อ 46. – 50. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาเหตุความไม่ชอบด้วยกฎหมายของกฎหรือคําสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและ วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา (1)
(1) ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(2) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น
(3) ไม่สุจริต
(4) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(5) การใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

46. เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอํานาจแบบ Discretionary Power ตามที่กฎหมายได้บัญญัติให้อํานาจไว้ แต่ใช้อํานาจ Discretionary Power ไปในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่มีเหตุอันสมควร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

47. กรณีของการจัดซื้อจัดจ้าง การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งอนุมัติให้ทําสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับผู้เสนอราคารายหนึ่ง มีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

48. เป็นการกระทําที่เป็นการบิดเบือนการใช้อํานาจ (Abuse of Power) โดยมีเจตนาหรือวัตถุประสงค์ นอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ที่กฎหมายให้อํานาจในเรื่องดังกล่าวไว้ ไม่ว่าจะมีเจตนากลั่นแกล้งผู้อื่น หรือเจตนาทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือของบุคคลอื่น
ตอบ 3 หน้า 111 การกระทําที่ไม่สุจริต เป็นการกระทําที่เป็นการบิดเบือนการใช้อํานาจ (Abuse of Power) โดยมีเจตนาหรือวัตถุประสงค์นอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ที่กฎหมายให้อํานาจ ในเรื่องดังกล่าวไว้ ไม่ว่าจะมีเจตนากลั่นแกล้งผู้อื่น หรือเจตนาทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือของบุคคลอื่น

49. การออกกฎหรือคําสั่งทางปกครองโดยมิได้ผ่านความเห็นชอบขององค์กรที่กฎหมายกําหนดให้ต้องให้ หรือการออกคําสั่งลงโทษหรือคําสั่งที่มีผลกระทบต่อสิทธิของคู่กรณี โดยไม่ให้โอกาสความเห็นชอบก่อนบุคคลนั้นได้ทราบถึงข้อเท็จจริงและใช้สิทธิโต้แย้งแสดงหลักฐานอย่างเพียงพอ
ตอบ 2 หน้า 111 การกระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น คือ การออกกฎ หรือคําสั่งทางปกครองโดยมิได้ผ่านความเห็นชอบขององค์กรที่ กฎหมายกําหนดให้ต้องให้ความเห็นชอบก่อน หรือการออกคําสั่งลงโทษหรือคําสั่งที่มีผลกระทบต่อ
สิทธิของคู่กรณี โดยไม่ให้โอกาสบุคคลนั้นได้ทราบถึงข้อเท็จจริงและใช้สิทธิโต้แย้งแสดงหลักฐานอย่างเพียงพอ

50. ผู้กระทํามิใช่เจ้าหน้าที่ที่กฎหมายให้อํานาจไว้ หรือกฎหมายมิได้ให้อํานาจเจ้าหน้าที่ในการกระทําเช่นนั้นไว้
ตอบ 1 หน้า 110 การกระทําที่ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้กระทํามิใช่เจ้าหน้าที่ที่กฎหมายให้อํานาจไว้ หรือกฎหมายมิได้ให้อํานาจเจ้าหน้าที่ในการกระทํา เช่นนั้นไว้ตามหลักทั่วไปของกฎหมายปกครองที่ว่า “ไม่มีอํานาจหากไม่มีกฎหมาย”

51. บริษัทประชารัฐรักสามัคคี ได้รับการอธิบายว่ามีลักษณะเป็นองค์กรประเภทใด
(1) บรรษัทภิบาล
(2) บรรษัทนิยม
(3) การบริหารงานภาครัฐ
(4) วิสาหกิจเพื่อสังคม
(5) รัฐวิสาหกิจ
ตอบ 4 หน้า 207 บริษัทประชารัฐรักสามัคคี ได้รับการอธิบายว่าเป็นการดําเนินการในรูปวิสาหกิจ เพื่อสังคม (Social Enterprise : SE)

52. อะไรคือแรงผลักดันสําคัญในทฤษฎีการยึดมั่นในหลักเหตุผล
(1) ผลประโยชน์สูงสุด
(2) ข้อมูลข่าวสาร
(3) กฎเกณฑ์ของสังคม
(4) ความเชื่อ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 หน้า 190 ทฤษฎีการยึดมั่นในหลักเหตุผล เป็นทฤษฎีที่วางอยู่บนหลักทางเลือกที่มีเหตุผล (Rational Choice) กล่าวคือ บุคคลมีเป้าหมายส่วนตัวที่จะเป็นเงื่อนไขผลักดันให้บุคคลตัดสินใจ ซึ่งจะต้องเลือกผลประโยชน์สูงสุด แต่ทฤษฎีนี้ได้ขยายความการเลือกอย่างมีเหตุผลดังกล่าวว่าบุคคลจะตัดสินใจอย่างมีเหตุผลโดยคํานึงผลประโยชน์สูงสุดแต่อยู่บนฐานข้อจํากัดในการประมวล ข้อมูลข่าวสาร การทําความเข้าใจสถานการณ์และการคิดถึงผลที่ตามมา ซึ่งเป็นผลจากศักยภาพ ของมนุษย์ ดังนั้นกระบวนการตัดสินใจของบุคคลจึงมีความซับซ้อนเพราะการคิดถึงเรื่องประโยชน์สูงสุดวางอยู่ภายใต้การประมวลข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมบูรณ์

53. ข้อใดคือความหมายของ CSR
(1) ความรับผิดชอบของบริษัทเอกชนที่จะมีต่อสังคม
(2) ความรับผิดชอบของบริษัทเอกชนที่จะมีต่อผู้ถือหุ้น
(3) ความรับผิดชอบของภาครัฐที่จะมีต่อสังคม
(4) ความรับผิดชอบของภาครัฐที่จะมีต่อภาคเอกชน
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 หน้า 209 CSR ย่อมาจาก Corporate Social Responsibility หมายถึง ความรับผิดชอบ ของบริษัทหรือองค์การภาคเอกชนที่จะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อสังคม

54. โครงสร้างการบริหารปกครองแบบใดที่ใช้กฎหมายเป็นหลักสําคัญในการบริหารปกครอง
(1) แบบตลาด
(2) แบบสายบังคับบัญชา
(3) แบบเครือข่าย
(4) แบบถือหางเสือ
(5) แบบชุมชน
ตอบ 2 หน้า 172 โครงสร้างแบบสายบังคับบัญชา เป็นโครงสร้างที่ใช้กฎหมายเป็นหลักสําคัญ ในการบริหารปกครอง โดยภาครัฐและเอกชนจะแยกบทบาทหน้าที่กันอย่างชัดเจน รัฐจะ เป็นศูนย์กลางของการดูแลผลประโยชน์สาธารณะและกําหนดให้เอกชนดําเนินการตามบทบาทที่กําหนดโดยรัฐ ในโครงสร้างแบบนี้รัฐอาจลดบทบาทในการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อให้เอกชนเข้ามาดําเนินการเพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่าภายใต้การควบคุมของรัฐแต่รัฐก็อ่อนแอกว่าภาคเอกชนทําให้ขาดประสิทธิภาพในการควบคุม ดังนั้นปัญหาสําคัญของโครงสร้างแบบนี้ก็คือ ความเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคมและความต้องการที่หลากหลายของ คนในรัฐ รวมทั้งศักยภาพของรัฐทําให้รัฐไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ รัฐจึงไม่สามารถบรรลุความสําเร็จในการพัฒนารัฐได้

55. ตัวแสดงทางเศรษฐกิจจะมีบทบาทมากในการชี้นําการแก้ปัญหาในโครงสร้างการบริหารปกครองแบบใด
(1) แบบตลาด
(2) แบบสายบังคับบัญชา
(3) แบบเครือข่าย
(4) แบบถือหางเสือ
(5) แบบชุมชน
ตอบ 1 หน้า 172, (คําบรรยาย) โครงสร้างแบบตลาด เป็นโครงสร้างที่มีตัวแสดงหลักเป็นตัวแสดง ทางเศรษฐกิจ โดยปัญหาในการพัฒนานั้นเกิดขึ้นจากธรรมชาติของตัวแสดงและตลาดซึ่งมีพลังขับเคลื่อนคือผลประโยชน์ส่วนตัว การมีกลไกให้ตัวแสดงทางเศรษฐกิจสามารถประสานความร่วมมือเพื่อจัดการปัญหาจึงเป็นลักษณะเด่นของโครงสร้างนี้ แต่ปัญหาสําคัญของโครงสร้างนี้คือ กลไกตลาดกับกลไกรัฐมีพลังขับเคลื่อนต่างกันอาจทําให้เกิดปัญหาความร่วมมือ

56. ข้อใดคือความสัมพันธ์ของอํานาจรัฐกับการบริหารปกครอง (Governance) ที่มุ่งจัดสรรบทบาทหน้าที่รัฐใหม่
(1) รัฐจะมีอํานาจมากขึ้นเมื่อตัวแสดงอื่น ๆ มีอํานาจน้อยลง
(2) ตัวแสดงภาคส่วนอื่นในสังคมมีอํานาจเหนือรัฐ
(3) ตัวแสดงภาคเศรษฐกิจมีบทบาทในนโยบายสาธารณะมากขึ้นโดยรัฐเป็นผู้ให้แนวทาง
(4) รัฐไม่ต้องรับผิดชอบดูแลเรื่องสาธารณะอีกต่อไป
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 177, (คําบรรยาย) แนวคิดการบริหารปกครอง (Governance) เป็นแนวคิดที่มุ่งจัดสรร บทบาทหน้าที่รัฐใหม่เพื่อให้ตัวแสดงภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม เช่น ภาคเอกชน ประชาสังคม ตัวแสดงภาคเศรษฐกิจ ฯลฯ เข้ามามีบทบาทในนโยบายสาธารณะมากขึ้น โดยรัฐจะทําหน้าที่ กํากับหางเสือหรือเป็นผู้ให้แนวทางในการดําเนินนโยบายสาธารณะ

57. โครงสร้างการบริหารปกครองแบบใดไม่ต้องการให้รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง
(1) แบบตลาด
(2) แบบสายบังคับบัญชา
(3) แบบเครือข่าย
(4) แบบถือหางเสือ
(5) แบบชุมชน
ตอบ 5 หน้า 172 โครงสร้างแบบชุมชน มีแนวคิดมาจากฐานความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ชุมชนสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองและรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมของชุมชนได้โดยให้รัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด ดังนั้น การบริหารปกครองในโครงสร้างแบบนี้จึงอยู่ในแนวคิดของการไม่ต้องการให้รัฐมาเกี่ยวข้องแต่ต้องให้รัฐเปิดพื้นที่ให้เกิด

58. Panchayats คืออะไร
(1) กลุ่มชาวนาไร้ที่ทํากินของบราซิล
(2) รูปแบบการปกครองท้องถิ่นของอินเดีย
(3) กลุ่มชาวนาไร้ที่ทํากินของอินเดีย
(4) รูปแบบการปกครองท้องถิ่นของบราซิล
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 หน้า 203 ปัญจาญัติ (Panchayats) หรือสภาผู้เฒ่า คือ รูปแบบการปกครองท้องถิ่น ของอินเดียที่ประชาชนจะเลือกผู้อาวุโสของชุมชนตัวเองจํานวน 5 คนมาเป็นผู้พิจารณา ประเด็นสําคัญโดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของชุมชน

59. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวิสาหกิจเพื่อชุมชน
(1) นํากําไรร้อยละ 70 ไปลงทุนในกิจการของตัวเอง
(2) มีเป้าหมายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
(3) มุ่งสร้างกําไรให้กับผู้ถือหุ้นเป็นสําคัญ
(4) มุ่งสร้างงานในท้องถิ่นเป็นสําคัญ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 213 วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือวิสาหกิจเพื่อชุมชน คือ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการขายสินค้าหรือการให้บริการโดยมุ่งส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่นที่วิสาหกิจเพื่อสังคมตั้งอยู่ หรือมีเป้าหมายในการจัดตั้ง ตั้งแต่แรกเริ่มในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม โดยมิได้มุ่งสร้าง กําไรสูงสุดต่อผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนและนําผลกําไรไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ไปลงทุนใน กิจการของตนเอง หรือใช้เพื่อประโยชน์ของเกษตรกร ผู้ยากจน คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส หรือใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกําหนด

60. สิทธิใดต่อไปนี้ที่ไม่ถูกกําหนดในหลักธรรมาภิบาล
(1) สิทธิทางเศรษฐกิจ
(2) สิทธิทางสังคม
(3) สิทธิทางวัฒนธรรม
(4) สิทธิมนุษยชน
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ธนาคารโลกมีการกําหนดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเด็น ทางการเมืองของประเทศผู้รับทุน ข้อห้ามนี้ทําให้ธนาคารโลกไม่พิจารณาเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่จะพิจารณาสิทธิทางด้านเศรษฐกิจ สิทธิทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหัวใจในการให้ ความช่วยเหลือของธนาคารโลก

61. ธนาคารโลกกําหนดหลักธรรมาภิบาลให้ประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสําเร็จในเป้าหมายข้อใด
(1) การพัฒนาเศรษฐกิจ
(2) การพัฒนารัฐบาล
(3) การพัฒนาการเมือง
(4) การพัฒนาเสรีภาพ
(5) การพัฒนากฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 171 ธนาคารโลกกําหนดหลักธรรมาภิบาลเป็นเงื่อนไขให้ประเทศต่าง ๆ ที่ขอรับการช่วยเหลือต้องปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือให้ประเทศเหล่านั้นผ่านพ้นกับดักการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเศรษฐกิจได้

62.IMF คือข้อใด
(1) ธนาคารโลก
(2) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(3) กองทุนสํารองระหว่างประเทศ
(4) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(5) สํานักงานข้าราชการพลเรือน
ตอบ 4 (คําบรรยาย) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF (International Monetary Fund) คือ องค์การระหว่างประเทศที่อยู่ภายใต้องค์การสหประชาชาติ เป็นองค์การที่มีบทบาทสําคัญในการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ประเทศต่าง ๆ ที่ประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจการเงิน

63. หลักธรรมาภิบาลสามารถเกื้อหนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้หรือไม่เพราะอะไร
(1) ได้ เพราะมีหลักการของการมีส่วนร่วม และหลักการนิติธรรม
(2) ได้ เพราะมีหลักการของการเคารพสิทธิมนุษยชน
(3) ไม่ได้ เพราะไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการปกครอง
(4) ไม่ได้ เพราะทําให้รัฐอ่อนแอลง
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) หลักธรรมาภิบาลสามารถเกื้อหนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ ทั้งนี้เพราะหลักธรรมาภิบาลมีหลักการที่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นหลักการมีส่วนร่วม “หลักการนิติธรรม หลักความโปร่งใส เป็นต้น

64. อะไรคือเหตุผลที่ทําให้หลักธรรมาภิบาลได้รับการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเมื่อธนาคารโลกประกาศใช้
(1) ทุกประเทศเห็นความสําคัญ
(2) เพราะเป็นเงื่อนไขการได้รับเงินช่วยเหลือ
(3) เป็นระเบียบปฏิบัติระหว่างประเทศ
(4) ไม่มีข้อถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 17, (คําบรรยาย) เหตุผลที่ทําให้หลักธรรมาภิบาลได้รับการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเมื่อธนาคารโลกประกาศใช้ เพราะหลักธรรมาภิบาลเป็นเงื่อนไขการได้รับเงิน ช่วยเหลือจากธนาคารโลก โดยเหตุผลที่ทําให้ธนาคารโลกต้องกําหนดหลักธรรมาภิบาลเป็น เงื่อนไขให้ประเทศต่าง ๆ ที่ขอรับการช่วยเหลือต้องปฏิบัติตามนั้น ก็เพื่อช่วยเหลือให้ประเทศ เหล่านั้นผ่านพ้นกับดักการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเศรษฐกิจได้

65. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดบทบาทของรัฐที่มีการปกครองที่ดี
(1) ความโปร่งใส
(2) ความรับผิดชอบ
(3) การมีส่วนร่วม
(4) ความมีประสิทธิภาพ
(5) ความมีอํานาจ
ตอบ 5 หน้า 176, (คําบรรยาย) คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก แห่งสหประชาชาติ (UNESCAP) ได้เสนอตัวชี้วัดในการพัฒนาบทบาทของรัฐที่มีลักษณะ การปกครองที่ดีหรือธรรมาภิบาล 8 ประการ ได้แก่
1. การมีส่วนร่วม
2. การปกครองตามหลักกฎหมาย
3. ความโปร่งใส
4. ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
5. การตอบสนอง
6. ความรับผิดชอบ
7. การดึงเป็นแนวร่วมอย่างเท่าเทียม
8. ฉันทามติ

66. บริบทการบริหารปกครองข้อใดที่เป็นข้อห้ามสําหรับธนาคารโลกในการปฏิบัติงานกับประเทศต่าง ๆ
(1) พัฒนาศักยภาพรัฐบาล
(2) การก่อรูปและปฏิบัตินโยบาย
(3) รูปแบบการปกครอง
(4) กระบวนการในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการพัฒนา
(5) การประเมินผลการปฏิบัติงาน
ตอบ 3 หน้า 180, (คําบรรยาย) บริบทการบริหารปกครองที่เป็นข้อห้ามสําหรับธนาคารโลก ในการปฏิบัติงานกับประเทศต่าง ๆ ก็คือ เรื่องของรูปแบบการปกครอง เพราะธนาคารโลก ได้มีข้อกําหนดที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของประเทศผู้ขอรับทุนหรือขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากธนาคารโลก

67. Hollowing out of the state คือข้อใด
(1) รัฐกลวงโบ๋
(2) รัฐที่มีอํานาจนำ
(3) รัฐที่ควบคุมทุกด้านเบ็ดเสร็จ
(4) รัฐที่มีประสิทธิภาพ
(5) รัฐที่ปกครองด้วยกฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 183 รัฐที่กลวงโบ๋ (Hollowing out of the state) แสดงนัยยะถึงการเปลี่ยนแปลงจาก รัฐที่มีองค์ประกอบของตัวเอง คือ องค์กร บทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบและความพร้อมรับผิด และบุคลากรของรัฐจํานวนมากที่ถักทอประสานการทํางานอย่างหนาแน่นผ่านการแบ่งหน้าที่และ ความรับผิดชอบโดยมีกฎหมายรองรับการทํางานไปสู่รัฐในแนวคิดการบริหารปกครองที่แบ่งแยกฉีกเส้นใยที่ถักทอโดยการปรับแก้กฎหมาย การแยกความรับผิดชอบออกจากความพร้อมรับผิดการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่รวมทั้งละทิ้งอํานาจขององค์กรที่จะชี้นํา สาธารณะเพื่อส่งผ่านให้หน่วยงานอื่นที่รัฐไม่มีอํานาจควบคุมกํากับโดยตรงจัดสรรทรัพยากร
ในลักษณะเช่นนี้ องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐจะถูกแบ่งแยก จัดสรรบทบาทหน้าที่ให้หน่วยงานอิสระอื่น ๆมาดําเนินการแทน

68. พลวัตการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองเดิมสู่การบริหารปกครองคือข้อใด
(1) การแยกแยะตัวแสดงที่เกี่ยวข้อง
(2) สร้างระบบให้เกิดการเจรจาระหว่างตัวแสดง
(3) วิเคราะห์เงื่อนไขของการสร้างนโยบาย
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 184, (คําบรรยาย) พลวัตการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองเดิมสู่การบริหารปกครอง สามารถดําเนินการได้ดังนี้
1. ต้องมีการแยกแยะมิติต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์รูปแบบ เครื่องมือ และเงื่อนไขของการสร้าง นโยบายและการนํานโยบายไปปฏิบัติ
2. แยกแยะความหลากหลายของตัวแสดงที่เกี่ยวข้อง
3. สร้างระบบการส่งผ่านและสะท้อนกลับของระบบการแปลงเปลี่ยนซึ่งกันและกันขององค์กรและตัวแสดงเพื่อให้เกิดการเจรจาต่อกันในการสร้างนโยบาย

69. โครงการประชารัฐของรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ต้องอาศัยความร่วมมือของภาคส่วนใด
(1) ราชการ
(2) เอกชน
(3) ประชาสังคม
(4) นักวิชาการ
(5) ประชานิยม
ตอบ 5 หน้า 217 โครงการประชารัฐของรัฐบาลชุดปัจจุบันอาศัยความร่วมมือจาก 5 ภาคส่วน คือ ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม

70. การสร้างนโยบายบนฐานทฤษฎีการจัดการเครือข่าย ตัวแสดงใดเป็นตัวแสดงนําสําคัญ
(1) รัฐ
(2) นักวิชาการ
(3) ภาคอุตสาหกรรม
(4) บรรษัท
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 5 หน้า 186 – 187, (คําบรรยาย) ในทฤษฎีการจัดการเครือข่ายนั้น เครือข่ายจะเป็นตัวแสดงนํา สําคัญในการดําเนินการตั้งแต่ระดับการสร้างนโยบาย การตัดสินใจและการนํานโยบายไปปฏิบัติส่วนภาครัฐจะเป็นตัวแสดงที่มีบทบาทสําคัญในกําหนดกรอบเครือข่ายและปฏิสัมพันธ์ของตัวแสดงต่าง ๆ

71. ลักษณะของการบริหารปกครองแบบถือหางเสือ ไม่ใช่ข้อใด
(1) รัฐมีอํานาจควบคุมมาก
(2) รัฐกําหนดทิศทางในกิจการสาธารณะได้
(3) ต้องออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงอํานาจหน้าที่
(4) ไม่มีข้อถูก
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 1 หน้า 174, (คําบรรยาย) การบริหารปกครองแบบการถือหางเสือ เชื่อว่า รัฐมีความสามารถ ที่จะกําหนดทิศทางและถือหางเสือในกิจการสาธารณะในสังคมได้ ในแง่นี้รัฐยังคงมีบทบาทสําคัญ ในการบริหารปกครองแต่มีอํานาจควบคุมน้อยลง การบริหารปกครองนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง อํานาจหน้าที่และอํานาจควบคุมจากกฎหมายของรัฐ ปัญหาสําคัญของการบริหารปกครอง แบบนี้ก็คือ เมื่อรัฐเปลี่ยนบทบาทไปทําหน้าที่เพียงการถือหางเสือ ไม่ได้เป็นผู้กําหนดเป้าหมายอาจทําให้เป้าหมายไม่ชัดเจน

72. อะไรคือความหมายของ “กลไกมือที่มองไม่เห็น”
(1) ตัวแสดงที่ไม่ปรากฏตัวชัดเจน
(2) กลไกตลาดที่ดําเนินด้วยอุปสงค์และอุปทาน
(3) ตัวแสดงทางเศรษฐกิจ
(4) กลไกปฏิสัมพันธ์ของเครือข่าย
(5) กลไกทางวัฒนธรรมของราชการ
ตอบ 2 หน้า 184 กลไกจัดการโดยตลาดและการสนับสนุนแรงจูงใจ อาศัย “กลไกมือที่มองไม่เห็น” ซึ่งก็คือ “กลไกของตลาด” ที่จะผลักดันผ่านการแข่งขันกันทั้งในแง่การบริหารและการสร้าง นวัตกรรมมาเสนอ รัฐจะเก็บบทบาทหรืออํานาจการจัดสรรทรัพยากรไว้แต่ไม่รับผิดชอบในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการสาธารณะหรือผลักภาระการผลิตให้ตัวแสดงอื่น รัฐใช้การ เลือกข้อเสนอที่ดีที่สุดแล้วใช้การกํากับดูแลติดตามผลการทํางาน ในเงื่อนไขนี้มีประเด็นสําคัญ คือ รัฐต้องสร้างเงื่อนไขสิ่งแวดล้อมงานสาธารณะให้เข้าสู่เงื่อนไขการตลาดอย่างแท้จริง

73. การมีส่วนร่วมตามแนวคิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนราก มีความหมายอย่างไร
(1) การศึกษาคือเครื่องมือสําคัญ
(2) เป้าหมายคือสร้างความ “ตระหนักรู้” ในสังคม
(3) การเรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหวทางสังคม
(4) มีแนวคิดการปลดปล่อยประชาชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 197 การมีส่วนร่วมในมุมมองการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากวางอยู่บนฐานคิดของ “การปลดปล่อยประชาชน” โดยการเพิ่มอํานาจให้ประชาชนผ่านเครื่องมือสําคัญคือการศึกษาแนวคิดนี้เชื่อว่าเมื่อประชาชนมีการศึกษาจะมีอํานาจท้าทายโครงสร้างทางอํานาจเดิมที่ครอบงํา สังคมอยู่ ทําให้เรียนรู้ที่จะสร้างสังคมใหม่ กล่าวคือ การทําให้สังคมเกิด “การตระหนักรู้” แนวคิดนี้มีความยากอยู่ที่การจัดการให้เกิดการเรียนรู้แก่ประชาชน ไม่ว่าจะจากองค์กรภายนอกที่ต้องการช่วยเหลือหรือจากรัฐเอง แนวคิดนี้จึงวางอยู่บนฐานการเคลื่อนไหวทางสังคมโดยเชื่อว่าจะเกิดการเรียนรู้และผูกพันของคนผ่านการเคลื่อนไหวทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ

74. รัฐที่ยังคงอํานาจการจัดสรรทรัพยากรแต่ผลักภาระการผลิตไปให้ตัวแสดงอื่นอยู่ในกลไกการจัดการสร้างความร่วมมือรูปแบบโค
(1) กลไกระบบราชการ
(2) กลไกตลาด
(3) กลไกเครือข่าย
(4.) กลไกแบ่งงานกันทํา
(5) กลไกการมีส่วนร่วม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 72. ประกอบ

75. กลไกความร่วมมือที่อาศัยการต่อรองผลประโยชน์มีหัวใจสําคัญคือข้อใด
(1) เครือข่ายนโยบาย
(2) การแบ่งแยกหน้าที่
(3) มือที่มองไม่เห็น
(4) ความสัมพันธ์ของตัวเอง
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 หน้า 185 กลไกความร่วมมือ ที่อาศัยการต่อรองผลประโยชน์ มีหัวใจสําคัญคือ เครือข่าย นโยบาย และเมื่อเป็นเครือข่ายย่อมหมายถึงการมีตัวแสดงจํานวนมากอันมีผลประโยชน์จํานวนมากถูกรวมเข้ามาอยู่ในกระบวนการสร้างนโยบาย การต่อรองผลประโยชน์โดยใช้ การตัดสินใจร่วมจึงต้องเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดการเข้าร่วมและสนับสนุนนโยบาย

76. รูปแบบกลไกการสร้างความร่วมมือผ่านการบริหารปกครองบนฐานระบบราชการคือข้อใด
(1) แบ่งแยกหน้าที่และระบุความรับผิดชอบ
(2) ขยายหน้าที่ไปสู่ตลาดโดยการทําข้อตกลง
(3) ใช้การตัดสินใจร่วมกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 4 หน้า 184 กลไกการสร้างความร่วมมือผ่านการบริหารปกครองบนฐานระบบราชการ เชื่อว่า ระบบราชการสามารถจัดการปัญหาได้โดยการแบ่งแยกหน้าที่และระบุความรับผิดชอบให้ละเอียด และระบุตัวผู้รับผิดชอบแต่ละงานให้มีความรับผิดชอบและความพร้อมรับผิดโดยใช้โครงสร้างเครือข่ายบังคับบัญชา นอกจากนั้นยังสามารถขยายสายการจัดแบ่งหน้าที่ ไปสู่ตลาดได้ผ่านการทําข้อตกลงกับองค์กรในตลาด ใช้การเจรจาผลประโยชน์กับตลาดและสร้างความจงรักภักดีให้เกิดขึ้น

77. การบริหารงานภาครัฐบนฐานระบบราชการมาจากแนวคิดของใคร
(1) Francis Fukuyama
(2) Max Weber
(3) Wolfensohn
(4) IMF
(5) UNESCAP
ตอบ 2 หน้า 185 การบริหารงานภาครัฐบนฐานระบบราชการซึ่งเน้นการแบ่งงานกันทําและมีสายการบังคับบัญชาที่มีกฎหมายรองรับการทําหน้าที่และความรับผิดชอบต่องานนั้น ได้รับอิทธิพลแนวคิดมาจากแม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber)

78. ความเปลี่ยนแปลงสําคัญในการบริหารงานภาครัฐเมื่อได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการบริหารปกครองไม่ใช่ข้อใด
(1) ตัวแสดงที่เข้ามามีบทบาทในงานสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
(2) การปฏิบัติงานไม่อยู่บนสายบังคับบัญชา
(3) ผลการปฏิบัติงานขึ้นกับเงื่อนไขสัญญามากกว่าความรับผิดชอบตามหน้าที่
(4) ตัวแสดงแบ่งแยกงานกันทํา
(5) มีกฎหมายรองรับการทําหน้าที่
ตอบ 5 หน้า 185, (คําบรรยาย) ความเปลี่ยนแปลงสําคัญในการบริหารงานภาครัฐ เมื่อได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการบริหารปกครอง มีดังนี้
1. มีตัวแสดงที่หลากหลายเข้ามามีบทบาทในงานสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
2. ตัวแสดงแบ่งแยกงานกันทํา
3. การปฏิบัติงานไม่อยู่บนสายบังคับบัญชา
4. ผลการปฏิบัติงานขึ้นกับเงื่อนไขสัญญามากกว่าความรับผิดชอบตามหน้าที่ ฯลฯ

79. ข้อใดคือลักษณะของการบริหารปกครองตามทฤษฎีเครือข่าย
(1) รัฐมีอิสระในการควบคุมหางเสือ
(2) ตัวแสดงถูกกําหนดเป้าหมายตามสถานะในเครือข่าย
(3) ทรัพยากรที่ตัวแสดงในเครือข่ายครอบครองอาจมีผลต่อบทบาทของตัวเอง
(4) ปฏิสัมพันธ์ของตัวแสดงไม่ใช่เงื่อนไขความสําเร็จของเครือข่าย
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 5 หน้า 186 การบริหารปกครองตามทฤษฎีเครือข่าย เชื่อว่า รัฐไม่สามารถที่จะควบคุมหางเสือได้อย่างมีอิสระและมีประสิทธิภาพจึงต้องให้ประชาคมดําเนินการเอง แนวคิดเรื่องเครือข่ายเป็นแนวคิดที่สําคัญในแนวคิดการบริหารปกครอง เพราะอยู่บนเงื่อนไขการร่วมมือของสังคมเครือข่ายไม่ได้วางอยู่บนฐานแบบตลาดหรือแบบระบบราชการที่มีสายการบังคับบัญชา หัวใจสําคัญของเครือข่าย คือ ตัวแสดงที่มีอิสระที่ไม่มีตัวแสดงอื่นสามารถมากําหนดเป้าหมายให้ พวกเขาได้ ยกเว้นพวกเขาพร้อมใจจะร่วมมือด้วยตัวเอง

80. การบริหารเครือข่ายโดยไม่เปลี่ยนแปลงตัวแสดงในเครือข่าย โดยที่รัฐยังเป็นตัวกลางประสานงานคือกลยุทธ์การจัดการเครือข่ายแบบใด
(1) แบบทฤษฎีเกม
(2) แบบโครงสร้างเครือข่าย
(3) แบบปกครองตัวเอง
(4) แบบการมีส่วนร่วม
(5) แบบใช้เรื่องเล่า
ตอบ 1 หน้า 187 กลยุทธ์การจัดการเครือข่ายแบบทฤษฎีเกม ใช้ในการบริหารเครือข่ายที่มีอยู่เดิม โดยไม่มุ่งหวังปรับเปลี่ยนเครือข่ายหรือตัวแสดงใด ๆ ในเครือข่าย วิธีการสําคัญคือ การเสนอ นโยบายที่ต้องการให้เกิดขึ้นและรวบรวมตัวแสดงที่เกี่ยวข้องเข้ามาตัดสินใจร่วม กรณีนี้รัฐยัง เป็นตัวกลางในการประสานสร้างการประนีประนอมให้ทุกตัวแสดงบรรลุผลประโยชน์ของตัวเองโดยที่เป้าหมายนโยบายยังคงอยู่ รัฐต้องเรียกร้องให้ทุกตัวแสดงยอมรับเงื่อนไขใหม่ของการบริหารปกครองและพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนทรัพยากร

81. องค์ประกอบสําคัญของการบริหารปกครองแบบตัดสินใจร่วมกัน ไม่ใช่ข้อใด
(1) การต่อรอง
(2) ส่วนรวม
(3) ผลประโยชน์หลากหลาย
(4) มีระบบที่เป็นทางการ
(5) ตัวแสดงหลากหลาย
ตอบ 4 หน้า 174 – 175, (คําบรรยาย) องค์ประกอบสําคัญของการบริหารปกครองแบบตัดสินใจร่วมกัน มีดังนี้
1. ตัวแสดงหลากหลาย
2. ผลประโยชน์หลากหลาย
3. เน้นความเป็นส่วนรวม
4. ไม่ต้องการระบบที่เป็นทางการ
5. เน้นการเจรจาต่อรอง ฯลฯ

82. ข้อใดไม่ใช่ทักษะสําคัญของผู้บริหารเครือข่าย
(1) ทักษะการสร้างแรงจูงใจ
(2) ทักษะการควบคุมวง
(3) ทักษะการเจรจา
(4) ทักษะการบังคับบัญชา
(5) ทักษะการบูรณาการ
ตอบ 4 หน้า 188 ทักษะสําคัญของผู้บริหารเครือข่าย มีดังนี้
1. ทักษะการสร้างแรงจูงใจ
2. ทักษะการควบคุมวง ซึ่งต้องอาศัยทักษะการทูต การเจรจา การต่อรองเพื่อให้เกิดความร่วมมือ
3. ทักษะการบูรณาการ

83. ข้อใดคือความหมายของตัวการ (Principle) ในทฤษฎีการมอบหมายตัวแทน
(1) หัวหน้าผู้มอบหมายงาน
(2) เจ้าของกิจการ
(3) คณะกรรมการบริหาร
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 189, 210, (คําบรรยาย) ตัวแสดงในทฤษฎีการมอบหมายตัวแทน (Theories of Delegation) ประกอบด้วย
1. ตัวการ (Principle) คือ คนที่เป็นเจ้าของกิจการ เป็นหัวหน้า เป็นผู้มีอํานาจจริงในเรื่องใด เรื่องหนึ่ง เช่น ผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริหาร เป็นต้น
2. ตัวแทน (Agent) คือ คนที่ได้รับมอบอํานาจให้เป็นผู้ดําเนินการแทนผู้มีอํานาจจริง เช่น ผู้จัดการ เป็นต้น

84. การที่ตัวแสดงที่หลากหลายได้เข้าไปมีส่วนในการดําเนินกิจกรรมตามขอบเขตกระบวนการที่มีการจัดการ ไว้แล้ว จะอยู่ในพื้นที่การบริหารปกครองแบบใด
(1) พื้นที่แบบปิด
(2) พื้นที่รับเชิญ
(3) พื้นที่สร้างสรรค์
(4) พื้นที่ประชุม
(5) พื้นที่ของทางราชการ
ตอบ 2 หน้า 201, (คําบรรยาย) พื้นที่รับเชิญ (Invited Spaces) คือ พื้นที่ที่มีตัวแสดงที่หลากหลาย ได้เข้าไปมีส่วนในการดําเนินกิจกรรมตามขอบเขตกระบวนการที่มีการจัดการไว้แล้ว พื้นที่ ลักษณะนี้ให้ความสําคัญกับกระบวนการที่ต้องมีผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อยืนยันว่าการริเริ่ม หรือดําเนินการนั้น ๆ อยู่ในกระบวนการมีส่วนร่วมหรือริเริ่มโดยประชาชน

85. หลักการทางเลือกที่มีเหตุผล คือข้อใด
(1) ทุกคนมีเหตุผลภายใต้การเข้าใจและการให้ความหมายสิ่งรอบตัว
(2) ทุกคนไม่มีอิสระแท้จริงในการเลือก
(3) การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีเหตุผลคือคํานึงถึงผลประโยชน์สูงสุด
(4) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงมีผลต่อการตัดสินใจร่วมกัน
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

86. การทํางานของเครือข่ายนโยบาย ไม่ใช่ข้อใด
(1) มีจุดมุ่งหมายเฉพาะเรื่อง
(2) ต้องการตัวแสดงที่มีความชํานาญเฉพาะด้าน
(3) ภาคชุมชนสามารถเข้าร่วมในเครือข่ายได้
(4) ไม่มีข้อถูก
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
ตอบ 4 หน้า 186 เครือข่ายนโยบาย (Policy Network) มีจุดมุ่งหมายค่อนข้างเฉพาะเจาะจง เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ มีกลุ่มตัวแสดงที่เฉพาะซึ่งมีความชํานาญเฉพาะด้านในเรื่องที่จะ กําหนดนโยบาย ปกติเครือข่ายแบบนี้จะมีความมั่นคงต่อเนื่อง ตัวแสดงอาจมาจากภาครัฐ นักวิชาการ กลุ่มผู้วิเคราะห์นโยบาย (คลังสมอง) ภาคอุตสาหกรรมและชุมชนก็ได้

87. รูปแบบทางสังคมแบบชุมชนนิยมคือข้อใด
(1) สายสัมพันธ์เกิดจากการปฏิบัติสืบต่อกันมา
(2) มองความสําคัญในเรื่องเหนือธรรมชาติ
(3) มีการแบ่งแยกหน้าที่ชัดเจน
(4) การตัดสินใจยังเป็นเรื่องส่วนบุคคล
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 หน้า 191 – 192 รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบชุมชนนิยม มีลักษณะดังนี้
1. ยึดมั่นในกลุ่มสูง
2. โครงสร้างทางสังคม : มีความรวมกลุ่มอย่างมาก สายสัมพันธ์ในสังคมใกล้ชิดและผูกมัด เป็นสายสัมพันธ์ที่เกิดจากการปฏิบัติสืบต่อกันมา การมองเฉพาะกลุ่ม และการเคารพสมาชิกของกลุ่ม
3. ค่านิยม : อยู่บนฐานการเชื่อสมาชิกที่มีประสบการณ์ สร้างกฎและกระบวนการดําเนินการ เพื่อการเรียนรู้และการตัดสินใจร่วมกัน

88. แนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยมองการมีส่วนร่วมอย่างไร
(1) ปัจเจกผูกโยงกับความสัมพันธ์ในสังคม
(2) สังคมเป็นพหุวัฒนธรรม
(3) ในพื้นที่สาธารณะมีความหลากหลายของผลประโยชน์ของปัจเจก
(4) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 หน้า 197, (คําบรรยาย) การมีส่วนร่วมในมุมมองเสรีนิยมประชาธิปไตย เชื่อในปัจเจกในฐานะหน่วยที่เป็นอิสระที่สามารถกําหนดวิถีชีวิตและความหมายในการมีชีวิตของตัวเองได้ มุมมองเสรีนิยมประชาธิปไตยอันมีแนวคิดที่มาจากประเทศทางตะวันตกมองการมีส่วนร่วมนั้นมีนัยยะของพหุวัฒนธรรมแฝงอยู่ในตัวของการมีส่วนร่วม ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงการมีส่วนร่วมในมุมมองนี้ย่อมหมายถึงปัจเจกและกลุ่มจํานวนมากที่มีความหลากหลายและมีความแตกต่างในผลประโยชน์ ที่ต้องการต่างกัน การเข้ามีส่วนในกิจกรรมสาธารณะซึ่งปัจเจกทุกคนหรือกลุ่มผลประโยชน์ได้รับผลกระทบจึงต้องมีความเป็นธรรมคือการแข่งขันที่ยุติธรรมกับทุกกลุ่ม การมีส่วนร่วมในมุมมองนี้จึงยอมรับการมีส่วนร่วมการเลือกตั้ง และเข้าไปมีส่วนร่วมในการกําหนดรัฐธรรมนูญ และการทําหน้าที่ของรัฐบาล

89. บริษัทประชารัฐรักสามัคคี จํากัด จดทะเบียนบริษัทจํานวนกี่บริษัท
(1) บริษัทเดียว
(2) เท่ากับจํานวนจังหวัด
(3) จํานวนจังหวัด + 1
(4) ไม่ได้จดทะเบียน
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 216, 220 บริษัทประชารัฐรักสามัคคี จํากัด เป็นนิติบุคคล ดําเนินงานในรูปแบบของ รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) จดทะเบียนเป็นบริษัทจํากัดให้เป็นเครือข่ายเดียวกัน ทั่วประเทศ โดยในส่วนกลางจัดตั้งเป็นบริษัทประชารัฐรักสามัคคี ( ประเทศไทย) จํากัด และ ระดับจังหวัดเป็นบริษัทประชารัฐรักสามัคคีตามด้วยชื่อของจังหวัด ดังนั้นบริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจึงจดทะเบียนบริษัทตามจํานวนจังหวัด (76 จังหวัด) + 1 บริษัทกลางนั่นเอง

90. หลักประกันว่าตัวแทนจะทํางานตามที่ตัวการมอบหมายคือข้อใดต่อไปนี้
(1) กลไกการลงโทษ
(2) อุดมการณ์ที่สอดคล้อง
(3) กลไกการควบคุม
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 หน้า 189 หลักประกันว่าตัวแทนจะทํางานตามที่ตัวการมอบหมาย มีดังนี้
1. กลไกการลงโทษ
2. อุดมการณ์หรือหลักการที่สอดคล้องกัน
3. กลไกการควบคุมที่จะทําให้ตัวแทนต้องปฏิบัติตาม เช่น กติกา วิธีการตัดสินใจ ผลที่ต้องการกลไกการตัดสินใจ เป็นต้น

91. พื้นที่ในการบริหารปกครองแบบปิดคือข้อด
(1) พื้นที่ที่มีรั้วรอบขอบชิด
(2) พื้นที่ที่มีการตรวจตราอย่างใกล้ชิด
(3) พื้นที่ที่มีจํากัด ให้การตัดสินใจอยู่ที่ภาครัฐ
(4) พื้นที่ที่มีเฉพาะ NGOs เท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 201 พื้นที่แบบปิด (Closed Spaces) คือ พื้นที่ที่มีตัวแสดงหลักจํากัด คือเฉพาะรัฐ เท่านั้น รูปแบบการบริหารยังคงรวมศูนย์การตัดสินใจไว้ที่รัฐ ด้วยกระบวนการที่เป็นทางการ

92. ประชาสังคมในการบริหารปกครองมีนัยยะสําคัญอย่างไร
(1) พื้นที่ที่มีตัวแสดงที่หลากหลายมารวมตัวกันเพื่อพิจารณาเรื่องสาธารณะ
(2) สถานที่ประชุมร่วมกันของหมู่บ้าน
(3) หน่วยทางการปกครองที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 1 หน้า 201 ประชาสังคมเป็นเงื่อนไขสําคัญอันหนึ่งของธรรมาภิบาลที่จะต้องเติบโตในฐานะ “พื้นที่เพื่อการบริหารปกครอง” ซึ่งจะอํานวยความสะดวกให้กับตัวแสดงใหม่ ๆ เข้ามาร่วมใน การพิจารณาและแก้ปัญหาของพื้นที่ตนเองแบบปราศจากลําดับการบังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็น NGOs หรือการเคลื่อนไหวทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งการที่จะดําเนินการเช่นนี้จําเป็นต้องมีกลไก การมีส่วนร่วมใหม่ ๆ และวิธีดําเนินการใหม่มาเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชน

93. ทฤษฎีการบริหารปกครองใดที่เชื่อว่าความสัมพันธ์ทางสังคมมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากกว่าเหตุผล
(1) ทฤษฎีการยึดมั่นในหลักเหตุผล
(2) ทฤษฎีการให้ความหมายทางสังคม
(3) ทฤษฎีสถาบันทางวัฒนธรรม
(4) ทฤษฎีการมอบหมายตัวแทน
(5) ทฤษฎีเครือข่าย
ตอบ 3 หน้า 191 ทฤษฎีสถาบันทางวัฒนธรรม เชื่อว่า ความสัมพันธ์ทางสังคมมีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจมากกว่าเหตุผล เพราะสถาบันทางสังคมจะกําหนดเกณฑ์ที่จะนําไปใช้ “ตัดสินคนอื่น และสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง” ในกรณีนี้ผลประโยชน์จึงไม่ใช่อะไรนอกจากเป็นผลผลิต ความสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งมีจุดตั้งต้นที่ความชอบอันเป็นส่วนผสมของความสัมพันธ์ทางสังคม ปัจจัยทางสังคม และการให้ความหมายทางสังคมต่อวิถีชีวิตในสังคมร่วมกัน กล่าวได้ว่าอิทธิพลทางสังคมเป็นส่วนสําคัญในการกําหนดทิศทางการตัดสินใจของบุคคล

94. ข้อใดไม่ใช่การมีส่วนร่วมระดับที่อํานาจเป็นของประชาชน
(1) การลงประชามติ
(2) การรับฟังข่าวสาร
(3) การยื่นถอดถอนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
(4) การออกเสียงเลือกตั้ง
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 หน้า 200, (คําบรรยาย) การมีส่วนร่วมระดับที่อํานาจเป็นของประชาชน (Degree of Citizen Power) ประกอบด้วยการมีส่วนร่วมขั้นที่ 6 – 8 เป็นระดับอํานาจการตัดสินใจเป็นของประชาชน แต่มีลักษณะการใช้อํานาจแตกต่างกัน กล่าวคือ ในขั้นที่ 6 จะเป็นการเจรจาต่อรองของอํานาจ ระหว่างรัฐกับประชาชนในฐานะหุ้นส่วนในงานนั้น ๆ ในขั้นที่ 7 ประชาชนได้มอบอํานาจให้ผู้แทน ไปตัดสินใจแทน ได้แก่ การออกเสียงเลือกตั้ง ส่วนในขั้นที่ 8 ซึ่งเป็นขั้นการมีส่วนร่วมสูงสุด ประชาชนสามารถควบคุมกระบวนการตัดสินใจได้ ได้แก่ การลงประชามติ การยื่นถอดถอน ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เป็นต้น ในระดับนี้ประชาชนมีอํานาจในการตัดสินใจ สามารถเจรจาผลได้ผลเสียกับผู้มีอํานาจเดิมได้ จึงถือเป็นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน

95. ตัวแสดงทางเศรษฐกิจได้สิทธิพิเศษในเครือข่ายนโยบาย
(1) บรรษัทภิบาล
(2) การบริหารงานภาครัฐ
(3) บรรษัทนิยม
(4) ธรรมาภิบาล
(5) วิสาหกิจเพื่อสังคม
ตอบ 3 หน้า 212 บรรษัทนิยม (Corporatism) เป็นรูปแบบการปกครองที่รัฐมีความใกล้ชิดกับองค์กร ทางธุรกิจและแรงงาน ให้ความสําคัญและสิทธิพิเศษกับองค์กรธุรกิจและแรงงานในเครือข่ายนโยบายให้ร่วมรับผิดชอบการริเริ่มและนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยรัฐยังควบคุมความต้องการ รวมทั้งอาจควบคุมองค์การเหล่านั้น ทั้งนี้สํานักราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายว่า บรรษัทนิยม คือ แนวคิดในการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐ โดยกําหนดให้บรรษัทซึ่งถือว่าเป็น องค์การตัวแทนกลุ่มอาชีพต่าง ๆ มีบทบาทในการร่วมกําหนดนโยบายสาธารณะ ตลอดจน นํานโยบายไปปฏิบัติ

ตั้งแต่ข้อ 96. – 100 ให้นักศึกษาจับคู่คําตอบต่อไปนี้ให้ตรงกับความหมายหรือเกี่ยวข้องกับข้อความที่ให้มา
(1) ยึดมั่นในกลุ่มต่ำ
(2) อาศัยประสบการณ์สมาชิกกลุ่ม
(3) ชีวิตเหนือการควบคุม
(4) ผลประโยชน์สูงสุด
(5) ควบคุมจากศูนย์กลาง

96. โชคชะตา
ตอบ 1, 3 หน้า 191 – 192 รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมตามโชคชะตา มีลักษณะดังนี้
1. ยึดมั่นในกลุ่มต่ำ
2. โครงสร้างทางสังคม : แยกตัว ไม่เป็นทางการ การผูกมัดไม่ลึกซึ้ง มีเครือข่ายเป็นครั้งคราว
3. ค่านิยม : ไม่ใส่ใจเรื่องส่วนบุคคล (จากสังคมหรืออื่น ๆ) มองว่าชีวิตเป็นเรื่องเหนือการ ควบคุมของบุคคล ที่ดีที่สุดที่ทําได้คือ พยายามหาทางเอาชีวิตรอด

97. ชุมชนนิยม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

98.Rational Choice
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

99. ลําดับการบังคับบัญชา
ตอบ 5 หน้า 191 – 192 รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมตามลําดับขั้นการบังคับบัญชา มีลักษณะดังนี้
1. ยึดมั่นในกลุ่มสูง
2. โครงสร้างทางสังคม : ควบคุมและบริหารจากศูนย์กลาง มีการแบ่งแยกบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน
3. ค่านิยม : ยืนยันการปฏิบัติตามกฎ และมีการออกแบบหน้าที่และบทบาทเพื่อให้บุคคล เข้ามามีส่วนปฏิบัติตามระเบียบโดยเคร่งครัด

100. ปัจเจกนิยม
ตอบ 1 หน้า 191 – 192 รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบปัจเจกนิยม มีลักษณะดังนี้
1. ยึดมั่นในกลุ่มต่ำ
2. โครงสร้างทางสังคม : เปิด มีการผูกมัดทางสังคมน้อย ระบบเกิดจากการตอบสนองตาม สัญชาตญาณของบุคคล
3. ค่านิยม : ยืนยันแนวคิดการริเริ่มของบุคคล การตอบสนองต่อเรื่องต่าง ๆ วางอยู่บน การตัดสินใจส่วนบุคคล

POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น s/2566

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสหลัก
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 83 – 127 แนวทางการวิเคราะห์กระแสหลัก ได้แก่
1. แนวทางระบบ
2. แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
3. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล
4. แนวทางสถาบันนิยมใหม่
5. แนวทางโครงสร้าง

2.แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสวิพากษ์
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางสถาบันนิยมใหม่
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 85 – 86, 107, 134, 140 แนวทางการวิเคราะห์กระแสวิพากษ์ ได้แก่
1. แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
2. แนวทางมาร์กซิสต์
3. แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
4. แนวทางหลังสมัยใหม่หรือแนวทางหลังโครงสร้างนิยม(ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ)

3. นักรัฐศาสตร์คนสําคัญที่นําเอาความคิดเชิงระบบมาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบคือ
(1) อีสตัน
(2) อัลมอนด์
(3) คาร์ล ดอยซ์
(4) คาร์ล มาร์กซ์
(5) ชาร์ล ทิลลี
ตอบ 1 หน้า 89 เดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์คนแรกที่นําเอาความคิดเชิงระบบ มาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบ และเป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสนอแบบจําลองของระบบการเมือง อันเป็นผลจากความพยายามในการหาทฤษฎีทั่วไปที่สามารถใช้ในการอธิบายการเมืองทั้งระบบหรือสร้างทฤษฎีมหภาคที่สามารถนําไปใช้อธิบายสังคมอื่น ๆ ได้ทั่วทั้งโลก

4. ทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) อีสตัน
(2) เมอร์เรียม
(3) อัลมอนด์
(4) ฟูโกต์
(5) พาร์สัน
ตอบ 3 หน้า 92 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) ได้พัฒนาทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โดยได้ดึงแนวคิดเรื่องบทบาทและโครงสร้างของนักสังคมวิทยา เช่น แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ทาลค็อตต์ พาร์สัน (Talcott Parsons) เข้ามาผนวกกับทฤษฎีระบบ เพื่อให้ทฤษฎีระบบเชิง โครงสร้าง-หน้าที่มีความเป็นรูปธรรม สามารถศึกษากลุ่มของการกระทําทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการได้

5. ในทฤษฎีระบบการเมือง ปัจจัยนําเข้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) รัฐบาลและรัฐสภา
(2) ข้อเรียกร้องความต้องการและการสนับสนุน
(3) นโยบายและการปฏิบัติ
(4) พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 89 – 90 ในทฤษฎีระบบการเมืองนั้น เดวิด อีสตัน (David Easton) อธิบายว่า “ระบบการเมือง” (Political System) เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ซึ่งทําหน้าที่อยู่ภายใต้ “สิ่งแวดล้อม” (Environment) โดยจะมี “ปัจจัยนําเข้า” (Inputs) ซึ่งประกอบด้วย ข้อเรียกร้อง ความต้องการ (Demands) และการสนับสนุน (Supports) จากสิ่งแวดล้อมเข้ามาสู่ระบบการเมือง แล้วระบบการเมืองก็จะทําหน้าที่ในการตัดสินใจแปลงปัจจัยนําเข้าดังกล่าวเป็น “ปัจจัยนําออก (Outputs) ในรูปของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายต่าง ๆ ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม และผลจากการทํางานของระบบการเมืองก็จะเกิดเป็น “ผลสะท้อนกลับ” (Feedback) กลับเข้าไปเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

6. ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โครงสร้างใดทําหน้าที่รวบรวมผลประโยชน์
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) รัฐบาล
(4) รัฐสภา
(5) ศาล
ตอบ 2 หน้า 93 – 94 ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่นั้น แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) อธิบายว่า โครงสร้างทางการเมืองแต่ละอย่างสามารถทํางานได้หลายหน้าที่ แม้ใน ระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วจะมีโครงสร้างหนึ่งขึ้นมาทําหน้าที่เฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นจะทําแค่หน้าที่เดียว เพราะโครงสร้างในทุกระบบการเมืองจะทําหน้าที่ หลาย ๆ อย่างเสมอ เช่น พรรคการเมืองมีหน้าที่หลักในการรวบรวมผลประโยชน์และเลือกสรร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่พรรคการเมืองก็ทําหน้าที่อื่น ๆ เช่น การเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับ ประชาชน การให้การศึกษาทางการเมือง เป็นต้น

7.วัฒนธรรมทางการเมืองแบบใดเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
(1) Parochial
(2) Subject
(3) Participant
(4) Civic Culture
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 102 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ได้แบ่งวัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็น 3 แบบ คือ แบบคับแคบ (Parochiat) แบบไพร่ฟ้า (Subject) และแบบมีส่วนร่วม (Participant) โดยมองว่า วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสม หรือเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่วัฒนธรรมแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องเป็นวัฒนธรรมทาง การเมืองที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้ง 3 แบบอย่างลงตัว ซึ่งเรียกว่า “วัฒนธรรม แบบพลเมือง” (Civic Culture) อันเป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนมีความกระตือรือร้นทางการเมือง แต่ก็ไม่มากจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

8.นักรัฐศาสตร์ท่านใดมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง
(1) Huntington
(2) Bentley
(3) Downs
(4) Powell
(5) Almond
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) โดยอัลมอนด์เสนอว่า สาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้ประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และอีกประเทศหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพราะว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย ส่วนประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นมีวัฒนธรรมไม่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย

9.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ Subject
(1) เป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง
(2) เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
(3) เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ปฏิบัติ
(4) เป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 102, (คําบรรยาย) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบรับรู้แต่ไม่เข้าร่วมทางการเมืองหรือ แบบไพร่ฟ้า (Subject) เป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจข่าวสาร มีความรู้เกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีอํานาจทางการเมือง เรื่องของ การเมืองเป็นเรื่องของผู้นํา ดังนั้นลักษณะของวัฒนธรรมแบบนี้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบ บนลงล่าง การเมืองเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและกฎเกณฑ์ปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็น การเมืองแบบใช้เหตุผล

10. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทางของยุคใด
(1) ยุคปรัชญา
(2) ยุคสถาบัน
(3) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(4) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 108 – 109 แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลมาจากสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเริ่มถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ ทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็น ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ดังนั้นแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลจึงถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทาง หรือทฤษฎีในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ในกระแสหลักที่ยังเชื่อมั่นในการสร้างความเป็นศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ในทางการเมือง

11. แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลคือ
(1) ความเสียสละ
(2) ผลประโยชน์ส่วนบุคคล
(3) ผลประโยชน์ของชาติ
(4) ความหลากหลาย
(5) ความเท่าเทียม
ตอบ 2 หน้า 109 แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลตั้งอยู่บน สมมติฐานหลัก 2 ตัว คือ ความมีเหตุมีผล (Rationality) กับผลประโยชน์ส่วนบุคคล(Self-Interest)

12. ตามแนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล คําว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผลหมายถึงข้อใด
(1) จะทําการใดต้องมีการคํานวณ
(2) คิดถึงประโยชน์ได้เสีย
(3) แสวงหาประโยชน์สูงสุด
(4) หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5หน้า 110, (คําบรรยาย) แนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) มีสมมติฐานสําคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผล ซึ่งคําว่ามีเหตุมีผลหมายถึง มนุษย์ทุกคนเวลา จะทําการใดจะต้องคํานวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไร และเสียประโยชน์ อย่างไร หรือคํานวณผลได้ผลเสียที่จะได้รับจากทางเลือกแต่ละทาง โดยมนุษย์จะตัดสินใจเลือก ทางเลือกที่ได้ประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์มากที่สุดหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์นั่นเอง

13. แนวทางสถาบันดั้งเดิมแตกต่างกับแนวทางสถาบันนิยมใหม่ในข้อใด
(1) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ
(2) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการ
(3) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 115, 118, 120 – 122 แนวทางสถาบันดั้งเดิม เน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการหรือ ศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย ส่วนแนวทางสถาบันนิยมใหม่ให้ความสําคัญกับการศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการควบคู่กันไปกับการศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ รวมถึงขยายขอบเขต ของการศึกษาไปสู่เรื่องของพฤติกรรมของตัวแสดงทางการเมือง ปัจจัยทั้งหลายที่สามารถ ส่งผลทั้งต่อตัวสถาบันและต่อพฤติกรรมทางการเมืองภายในสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนการศึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถาบันและตัวแสดงทางการเมืองต่าง ๆ

14. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นสถาบันของฮันทิงตัน
(1) ความสามารถในการปรับตัว
(2) การแบ่งโครงสร้างทําหน้าที่เฉพาะ
(3) ความรวดเร็วในการทํางาน
(4) ความเป็นอิสระในตนเอง
(5) ความเป็นปึกแผ่น
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้เสนอตัวชี้วัดความเป็น สถาบัน ซึ่งมี 4 ประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)
2. การแบ่งโครงสร้างแยกย่อยลงไปและทําหน้าที่เฉพาะ (Complexity)
3. ความเป็นอิสระในตนเอง (Autonomy)
4. ความเป็นปึกแผ่น (Coherence)

15. “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) มาร์กซ์
(2) ทิลลี
(3) ไชยวัฒน์ ค้ำชู
(4) อดอร์โน
(5) เดอร์ไคม์
ตอบ 2 หน้า 128 แนวทางโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ จะเน้นวิเคราะห์ความเป็นมาของโครงสร้าง ขนาดใหญ่ เช่น พัฒนาการของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในโลกตะวันตก พัฒนาการของระบบ ทุนนิยม พัฒนาการของยุคอุตสาหกรรม พัฒนาการของรัฐสมัยใหม่ พัฒนาการของการเข้าสู่ ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพใหญ่ของพัฒนาการ ตลอดจน ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่ศึกษาดังที่ซาร์ล ทิลลี่ (Charles Tilly) เรียกว่า “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” และ “กระบวนการใหญ่”

16. นักวิชาการผู้ใดมีอิทธิพลต่อแนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) ซี. ไรท์ มิลล์
(5) คาร์ล ป๊อปเปอร์
ตอบ 1 หน้า 129, (คําบรรยาย) นิคอส พลันต์ซาส (Nicos Poulantzas) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลต่อ แนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ อันเป็นผลมาจากกระแสการนํารัฐกลับมาเป็นแกนกลางในการศึกษาทางการเมือง

17. นักวิชาการคนใดมีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) แม็กซ์ เวเบอร์
(5) สค็อกโพล
ตอบ 5 หน้า 117, 130, 156 เธดา สค็อกโพล (Theda Skocpol) และปีเตอร์ อีแวน (Peter Evans) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
โดยทั้งสองได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Bringing the State Back In” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ถูกนํามาใช้ เป็นกระแสการเรียกร้องให้รัฐซึ่งถูกมองว่าเป็นเหมือนกล่องดํา คือเป็นที่รวมของอํานาจที่กลุ่ม ต่าง ๆ ใช้ในการต่อรอง แย่งชิง ผลักดันนโยบายสาธารณะให้สอดคล้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน กลับเข้ามาสู่การเป็นศูนย์กลางของการวิเคราะห์ทางการเมือง

18. เพราะเหตุใดแนวคิดแบบมาร์กซิสต์จึงไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคงจะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม
(1) เพราะยากที่สถาบันการเมืองจะมีความเข้มแข็ง
(2) เพราะเอกชนจะเรียกร้องให้รัฐมีบทบาทน้อย
(3) เพราะมีความเจริญทางวัตถุแต่จิตใจผู้คนตกต่ำ
(4) เพราะมีโครงสร้างที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ
(5) เพราะผู้คนไม่สนใจคุณธรรมจริยธรรมทางศาสนา
ตอบ 4 หน้า 134 – 136, (คําบรรยาย) แนวคิดแบบมาร์กซิสต์ไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคง จะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม เพราะหัวใจสําคัญของประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน แต่ใน ระบบทุนนิยมกลับมีโครงสร้างที่ทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ กล่าวคือ ในระบบทุนนิยมนั้น ชนชั้นที่ออกแรงผลิตคือชนชั้นแรงงาน แต่ชนชั้นนายทุนกลับริบเอามูลค่าที่ชนชั้นแรงงานผลิตได้ ไปเป็นของตน ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวทําให้เกิด “ชนชั้นผู้ได้เปรียบ” กับ “ชนชั้นผู้เสียเปรียบ ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

19. ปัจจัยใดที่คาร์ล มาร์กซ์ ให้ความสําคัญที่สุดเมื่อวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง
(1) อํานาจของกฎหมาย
(2) โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจ
(3) การครอบงําทางความคิดผ่านทางศาสนา
(4) แสนยานุภาพทางทหาร
(5) อํานาจของรัฐในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
ตอบ 2 หน้า 134 – 135 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist Theory) กําเนิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมอย่างถึงรากถึงโคน หรือก็คือ ปฏิเสธระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง โดยการวิเคราะห์ของมาร์กซ์นั้นในทางหนึ่งเป็นการ วิเคราะห์เชิงโครงสร้างและการวิเคราะห์พัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ แต่หัวใจหลักอยู่ที่การใช้ โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจในการวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง

20. ข้อใดเป็นความแตกต่างสําคัญที่สุดระหว่างมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมกับมาร์กซิสต์ใหม่
(1) วิเคราะห์ทางชนชั้น
(2) ปฏิเสธระบบทุนนิยม
(3) ปฏิวัติทางชนชั้น
(4) ให้ความสําคัญกับอํานาจรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 137 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากทฤษฎีมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม โดยมีจุดร่วมสําคัญ คือ การมองว่าชนชั้นที่มีอํานาจทางเศรษฐกิจมักมีแนวโน้มมีอํานาจในทาง การเมืองด้วย แต่มีจุดต่างสําคัญจากมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมคือหันไปให้น้ําหนักกับโครงสร้างส่วนบนมากขึ้นแทนที่จะเน้นวิเคราะห์โครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น โดยเฉพาะประเด็นของอํานาจรัฐ

21. แนวคิดสําคัญของอันโตนิโอ กรัม คือแนวคิดใด
(1) การปฏิวัติทางชนชั้น
(2) วาทกรรม
(3) การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์
(4) พหุวัฒนธรรม
(5) การครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรม
ตอบ 3 หน้า 137 – 138 อันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) ได้เสนอแนวคิด “การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์” (Hegemony) โดยอธิบายว่า โครงสร้างส่วนบนแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือ
สังคมการเมืองและสังคมประชา ชนชั้นที่ต้องการมีอํานาจเหนือสังคมอย่างเบ็ดเสร็จต้องสามารถครองอํานาจได้ในทั้งสองพื้นที่ในฐานะผู้ครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์ และกรัมที่ได้ให้น้ําหนัก
ไปที่การครอบงําทางความคิดอย่างมาก เนื่องจากการที่ชนชั้นหนึ่งจะมีชัยชนะขั้นเด็ดขาดและ สมบูรณ์เหนือสังคมได้ ชนชั้นนั้นต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

22.นักวิชาการคนใดเสนอแนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรม
(1) หลุยส์ อัลธูแซร์
(2) เออร์เนสโต ลาเคลา
(3) ซองทัล มูฟ
(4) ชาร์ค แดร์ริดา
(5) มิเชล ฟูโกต์
ตอบ 5 หน้า 140 – 143 แนวคิดที่สําคัญของนักวิชาการในยุคหลังสมัยใหม่ มีดังนี้
1. แนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรมของมิเซล ฟูโกต์ (Michel Foucault)
2. แนวคิดการรื้อสร้างของชาร์ค แดร์ริดา (Jacques Derrida)
3. แนวคิดมายาคติของโรลอง บาร์ต (Roland Barthes)
4. แนวคิดการครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรมและแนวคิดประชาธิปไตยเชิงลึกของเออร์เนสโต ลาเกลาและซองทัล มูฟ (Ernesto Laclau and Chantal Mouffe) ฯลฯ

23. “รัฐคือองค์การทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้” เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Andrew Heywood
(2) Joel Migdal
(3) Max Weber
(4) Gaetano Mosca
(5) Anthony Giddens
ตอบ 5 หน้า 149 แอนโทนี กิดเดนส์ (Anthony Giddens) ได้ให้นิยามคําว่ารัฐไว้ว่า “รัฐคือองค์การ ทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้ คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้”

24. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) Treaty of Ulm 1647 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(2) Treaty of Concordia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(3) Treaty of Westphalia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(4) Treaty of Zboriv 1649 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(5) Treaty of Breda 1650 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
ตอบ 3 หน้า 147 สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648 นํามาสู่การ เกิดขึ้นของ “รัฐสมัยใหม่” ในยุโรป ซึ่งมีองค์ประกอบสําคัญ 4 ประการ คือ ดินแดนที่แน่นอน (Territory) ประชากร (Population) รัฐบาล (Government) และอํานาจอธิปไตย (Sovereignty)

25. รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเอง คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 1 หน้า 148 รัฐในความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเองแยกออกมาและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจเจกบุคคล มีลักษณะเป็นสากล ซึ่งรัฐจะนําพามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ โดยที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟังรัฐ

26. รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 4 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงองค์การ หมายถึง รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย

27. รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นน่านิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 3 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่ หมายถึง รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อ บทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม

28. รัฐเป็นแหล่งรวมของชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 2 หน้า 148 – 149 รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม หมายถึง รัฐเป็นแหล่งรวมของ ชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม

29. รัฐที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 4 หน้า 151 – 152 รัฐรวม (Composite State) หรือสหพันธรัฐ (Federation) คือ รัฐที่เกิดขึ้น จากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป มีการจัดตั้งรัฐบาลกลางขึ้นโดยการมอบ อธิปไตยบางส่วนให้รัฐบาลกลางเพื่อจัดการในเรื่องสําคัญของส่วนรวมด้วยเหตุผลในเรื่องของ การป้องกันภัยรุกราน ความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ในขณะที่แต่ละรัฐที่มารวมตัวกัน ก็ยังคงมีอธิปไตยของตนเองอยู่บางส่วน ดังนั้นรัฐรวมจึงมีรัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลาง และ รัฐบาลของท้องถิ่นหรือมลรัฐ ตัวอย่างของรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น

30. รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าประธานาธิบดี คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 2 หน้า 151 สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้นําทางศาสนา รัฐแบบนี้พบได้ทั้งในระบอบประชาธิปไตย (เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย อิตาลี อินเดีย) คอมมิวนิสต์ (เช่น จีน เวียดนาม) และรัฐที่ปกครองโดยหลักศาสนา (เช่น อิหร่าน)

31. รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุดในเขตแดนของรัฐ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State.
(5) Minimal State
ตอบ 3 หน้า 15 รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุด หรืออธิปไตยสมบูรณ์ในเขตแดนของรัฐนั้น ๆ ไม่มีรัฐบาลในระดับที่รองลงมา หน่วยงานของรัฐ ในท้องที่ เช่น จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นมือไม้หรือหน่วยงานที่รับมอบหมายงานจาก รัฐบาลกลางไปดําเนินการ หรือในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่นแม้จะได้รับการกระจายอํานาจลงไปให้บ้างแต่ก็ไม่ถือว่ามีอธิปไตยเป็นของตนเอง การดําเนินงานยังคงอยู่ภายใต้การ กํากับควบคุมของรัฐบาลกลาง ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว เช่น ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น

32. รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบ ประชาธิปไตยก็ได้ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 1 หน้า 150 – 151 รัฐราชอาณาจักร (Kingdom State) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งรัฐราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดในปัจจุบันก็ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของรัฐ และมีรัฐบาลในระบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เบลเยียม ไทย เป็นต้น

33. รัฐมีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 1 หน้า 153 รัฐแบบกรรมการ (Minimal State) คือ รัฐที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบเสรีนิยมที่ให้รัฐ มีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการ ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ รัฐประเภทนี้พบในประเทศที่เป็นเสรีนิยมทุนนิยม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้น

34. แนวคิดเศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) มีความสัมพันธ์กับประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 3 หน้า 154 รัฐสังคม -ประชาธิปไตย (Social-Democratic State) คือ รัฐที่มีเป้าหมายเพื่อ ปฏิรูปสังคมให้เกิดความยุติธรรม แก้ปัญหาความยากจน เน้นให้เกิดความเท่าเทียมขึ้นในสังคม เป็นรัฐที่เน้นทําเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมากกว่าจะเน้นทําเพื่อประโยชน์ของนายทุน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวรัฐจึงต้องเข้าไปแทรกแซงสังคมในระดับสูงหรืออย่างแข็งขัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ตัวอย่างเช่น แนวคิด เศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ เป็นต้น

35. พบในสหภาพโซเวียตในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 5 หน้า 154 – 155 รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarian State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงเหนือสังคม ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ กระทั่งการใช้ชีวิตในทุกด้าน โดยไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นรัฐที่มีอํานาจ สูงที่สุด ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคําสั่งของรัฐ รัฐประเภทนี้พบในสหภาพโซเวียต ในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี และเกาหลีเหนือ

36. รัฐเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมคือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 2 หน้า 153 รัฐเพื่อการพัฒนา (Developmental State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐอาจจะประสาน ความร่วมมือกับนายทุนระดับชาติเพื่อการดังกล่าว ทั้งนี้การแทรกแซงดังกล่าวเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเอกชนในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศ มากกว่าการเข้าไปขัดขวางหรือรับเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจมาดําเนินการเอง ตัวอย่างของรัฐ ประเภทนี้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น

37. รัฐเข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดให้ เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 4 หน้า 154 รัฐรวมศูนย์ (Collectivized State) คือ รัฐที่เข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเอง ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดถูกวางแผนและจัดการโดยรัฐ จากส่วนกลาง รวมถึงมีการยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล คือ ไม่ให้เอกชนสามารถมีทรัพย์สิน ส่วนตัวได้ แต่ให้ทุกอย่างตกเป็นสมบัติของส่วนรวม รัฐประเภทนี้พบได้ในระบอบคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต จีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง เป็นต้น

38. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษารัฐนิยม (Statist Model)
(1) มีคําอธิบายรัฐนิยมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordtinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson
(2) เกิดจากการผลักดันของ Theda Skocpol และ Peter Evans
(3) รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจน้อยที่สุด
(4) รัฐในมุมมอง Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น
(5) ฐานคิดสําคัญคือรัฐจะมีบทบาทเสมอในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 156 – 158, (คําบรรยาย) อนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้อธิบายรัฐนิยมโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpot กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson ซึ่งจาก 3 กลุ่มนี้ รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจสูงที่สุด รองลงมาคือ รัฐในมุมมองของ Treda Skocpol และรัฐในมุมมองของ Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น

39. ประชาธิปไตยทางตรงเกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) Roman
(2) Athens
(3) Sparta
(4) Thebes
(5) Corinth
ตอบ 2 หน้า 165, (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบของ ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าไปใช้อํานาจในทางการเมืองอย่าง เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ในยุคกรีกโบราณ ทั้งนี้ประชาธิปไตยรูปแบบนี้สามารถทําได้ในกรณีของรัฐที่มีประชากรจํานวนน้อย ดังนั้นในโลกปัจจุบันที่มีประชากรจํานวนมหาศาล ประชาธิปไตยทางตรงจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

40. รัฐบาลเกาหลีเหนือ คือระบอบเผด็จการรูปแบบใด
(1) Totalitarianism
(2) Authoritarianism
(3) Benevolent Dictatorship
(4) Theocracy
(5) Aristocracy
ตอบ 1 หน้า 170 เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เป็นรูปแบบของระบอบเผด็จการที่เข้มข้น คือ รัฐบาลทําการควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกด้านทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมตัวอย่างของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของ สหภาพโซเวียต รัฐบาลจีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง รัฐบาลนาซีเยอรมัน รัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลี รัฐบาลเกาหลีเหนือ เป็นต้น

41. ข้อใดคือชื่อเรียกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา
(1) Parliament
(2) Assembly
(3) Congress
(4) Diet
(5) State Duma
ตอบ 3 หน้า 172 สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นสถาบันที่มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมาย โดยสถาบันนิติบัญญัตินี้มีทั้งในประเทศประชาธิปไตยและประเทศเผด็จการ และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ดังนี้
1. อังกฤษ เรียกว่า Parliament
2. ฝรั่งเศส เรียกว่า Assembly
3. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Congress
4. ญี่ปุ่น เรียกว่า Diet
5. ไทย เรียกว่า รัฐสภา

42. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรัฐสภาอังกฤษ
(1) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Common
(2) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Representative
(3) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Common
(4) ใช้ระบบ 2 สภา คือ Senate กับ House of Representative
(5) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Representative
ตอบ 3 หน้า 174 ระบบสองสภา (Bicameral System) เป็นระบบรัฐสภาที่ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาสูงและสภาล่าง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ไทย เรียกว่า วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร
2. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Senate กับ House of Representative
3. อังกฤษ เรียกว่า House of Lord กับ House of Common

43. หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 4 หน้า 176 – 177 การปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ เป็นการปกครองที่มีการแยกอํานาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แบบไม่เด็ดขาด การใช้อํานาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กันตาม หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power)

44. หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System.
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 1 หน้า 178 การปกครองระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการปกครองที่มีการแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารบนหลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) โดยฝ่ายนิติบัญญัติและ ฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นการทํางานของฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารจึงแยกอิสระจากกันค่อนข้างสูง แต่ก็มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

45. การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) ฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่ 5
(2) เยอรมนีในช่วงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
(3) โปรตุเกสในช่วงหลังการปฏิวัติคาร์เนชั่น
(4) เยอรมนีในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์
(5) รัสเซียในช่วงหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ตอบ 4 หน้า 180 การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เป็นระบบที่มีการผสมผสาน ระหว่างระบบประธานาธิบดีและระบบรัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์ (ค.ศ. 1919 – 1939) แต่เป็นที่รู้จักเมื่อประเทศฝรั่งเศสนําไปใช้

46. ข้อใดไม่ใช่สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management)
(1) นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
(2) ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
(3) จัดโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดใหญ่
(4) ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
(5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
ตอบ 3 หน้า 186 – 187 สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีดังนี้
1. นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
2. ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
3. ปรับโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดเล็ก
4. ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ฯลฯ

47. ระบบการเลือกตั้งที่เรียกกันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” คือระบบใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 3 หน้า 204 – 205 ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน (Proportional Representation : PR/Party List System) เป็นระบบที่มีการกําหนดเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่ ในแต่ละเขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน โดยการลงคะแนนเสียงจะลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง ไม่ใช่เลือกผู้สมัครรายคน แต่พรรคการเมืองจะทําบัญชีรายชื่อของผู้สมัครเรียงตามลําดับลงไป ทําให้เรียกระบบนี้กันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” (Party List System)

48. การเลือกพรรคซึ่งส่งผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุด ได้ที่นั่งทั้งหมดไป คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 4 หน้า 202 ระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเลือกเป็นพรรค หรือระบบบล็อกโหวต พรรคการเมือง (Party Block Vote : PBV) เป็นการเลือกผู้แทนโดยการเลือกพรรคซึ่งส่ง ผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ ที่นั่งทั้งหมดไป ซึ่งระบบนี้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

49. 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน แล้วแต่จํานวนผู้แทนพึงมีในเขตนั้น คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 5 หน้า 200 ระบบเสียงข้างมากธรรมดา หนึ่งเขตมีตัวแทนมากกว่าหนึ่งคน (Multi-Member District/Constituencies : MMD) หรือระบบรวมเขตเรียงเบอร์ (Block Voting : BV) เป็น ระบบเสียงข้างมากธรรมดา แต่ใน 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คนแล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนจึงมี ในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน โดยผู้เลือกตั้งสามารถ เลือกผู้สมัครได้ตามจํานวนผู้แทนในแต่ละเขต ซึ่งอาจเลือกจากพรรคเดียวกันเรียงเบอร์ไปเลย หรือจะเลือกผู้สมัครจากต่างพรรคก็ได้ หรือหากประสงค์เลือกเพียงเบอร์เดียวก็ได้ ผู้ที่ได้คะแนน สูงสุดเรียงตามลําาดับจนครบตามจํานวนผู้แทนจึงมีก็จะได้เป็นผู้แทนในเขตนั้น ๆ

50. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 1 หน้า 200 ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบพหุนิยม (Plurality Electoral System) เป็นระบบที่ใช้ในการเลือกตั้งแบบเขต โดยในแต่ละเขตผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินหนึ่งหรือไม่ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก

51. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 2 หน้า 202 ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด หรือระบบเสียงส่วนใหญ่ (Majority Electoral System) เป็นระบบที่ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือสะท้อนเจตนารมณ์ของ ประชาชนอย่างแท้จริง ระบบนี้โดยทั่วไปจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คน

52. “การเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Arend Lijphart
(2) Giovanni Sartori
(3) Maurice Duverger
(4) Barnard Grofman
(5) Barbara Geddes
ตอบ 3 หน้า 209 – 210 เมารีส ดูแวร์แจร์ (Maurice Duverger) อธิบายว่า การเลือกตั้งระบบ เสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง โดยที่ระบบ 2 พรรคเด่นมักนําไปสู่รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ในขณะที่ระบบหลายพรรคก่อให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ

53. ระบบใดคือระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 3 หน้า 220 ระบบ 2 พรรค (Two-Party System) คือ การมีพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ ที่ต่อสู้แข่งขันและได้รับคะแนนเสียงสลับกันขึ้นเป็นรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

54. ระบบพรรคการเมืองกรณีพรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น และพรรคคองเกรสในอินเดีย คือ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 2 หน้า 219 – 220 ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (One Dominant Party System) เป็นระบบ ที่มีพรรคการเมืองได้มากกว่า 1 พรรค หรือกฎหมายเปิดให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งขึ้นได้ แต่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มักได้รับเลือกตั้งคะแนนสูงสุดและครองอํานาจในการปกครอง ตัวอย่างเช่น พรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น พรรคคองเกรสในอินเดีย เป็นต้น

55. ระบบพรรคการเมืองแบบใดมักนําไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสม
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 5 หน้า 220 ระบบหลายพรรค (Multiparty System) คือ การมีพรรคการเมืองหลายพรรค ต่อสู้แข่งขันกันโดยไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งครองเสียงข้างมาก และอาจต้อง จัดตั้งรัฐบาลผสม ระบบเช่นนี้อาจมีข้อดีคือเกิดความหลากหลายในทางอํานาจ แต่มีข้อเสียคือ การขาดเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้งและหาข้อตกลงกันไม่ได้

56. พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นไปตามระบบพรรคแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 1 หน้า 219 ระบบพรรคเดียว (One-Party System) คือ การมีพรรคการเมืองพรรคเดียว เท่านั้นในระบบการเมือง พบในประเทศเผด็จการทั้งในรูปแบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ ในระบบพรรคเดียวนี้อาจมีการเลือกตั้งด้วย แต่มีผู้สมัครลงแข่งขันจากพรรคการเมืองเดียว เท่านั้น ตัวอย่างเช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นต้น

57.2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาล เป็นลักษณะ ของระบบพรรคการเมืองแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 4 หน้า 221, (คําบรรยาย) ระบบกึ่ง 2 พรรค (Two-and-a-Half-Party System) คือ การมี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วนมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอ จะจัดตั้งรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในโปรตุเกส สเปน กรีซ เยอรมนี ออสเตรีย เป็นต้น

58. พรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิก มากกว่าปริมาณ และเน้นการเลือกตั้ง คือโครงสร้างพรรคการเมืองรูปแบบใด
(1) พรรคแบบคณะกรรมาธิการ
(2) พรรคแบบมีสาขาพรรค
(3) พรรคแบบแบ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ในรูปเซลล์
(4) พรรคแบบพลพรรค
(5) พรรคแบบเสรีนิยม
ตอบ 1 หน้า 222 – 223 พรรคแบบคณะกรรมาธิการ เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้น การเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญแต่จะไม่ค่อยเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองอื่น ๆ พรรคแบบนี้ มักตั้งขึ้นโดยกลุ่มชนชั้นนําเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าสู่อํานาจทางการเมือง ไม่ได้ขยายฐานสู่ประชาชน

59. กลุ่มผลประโยชน์ในระบบใด ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระ ของตนเองโดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น
(1) Democratic Corporatist Interest Group System
(2) Controlled Interest Group System
(3) Pluralist Interest Group System
(4) Institutional Group System
(5) Public Interest Group System
ตอบ 3 หน้า 232 ระบบพหุนิยม (Pluralist Interest Group System) กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระของตนเอง
โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของกลุ่มตนแต่จะหมุนเวียนกันไปมีบทบาทหลักในประเด็นที่ เมื่อเป็นประเด็นอื่นก็จะมีกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นเข้าไปมีบทบาทหลักแทน ระบบกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าวนี้พบมากในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

60. การทําให้เป็นอุตสาหกรรม คือ “ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 2 หน้า 238 – 250 แนวคิดหรือทฤษฎีการพัฒนาในแต่ละยุค มีดังนี้
1. ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา เน้นการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองคลาสสิก
2. การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 เน้นการทําให้เป็น
อุตสาหกรรม
3. การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980 เน้นการทําให้ทันสมัย ซึ่งคือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
4. การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000 เน้นแนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน
5. การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องของวิกฤติความชอบธรรมของ แนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน การพัฒนาทางเลือกหรือความหลากหลายของการพัฒนา

61. เสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน เป็นการพัฒนาในช่วงใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ

62. การทําให้ทันสมัย คือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ

63. Beijing Consensus คือ ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 3 หน้า 250 การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่แนวคิดเสรีนิยมใหม่ หรือแนวนโยบายของฉันทามติวอชิงตันถูกตั้งคําถามอย่างหนักภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2008 ในสหรัฐอเมริกา จนมีนักวิชาการบางคนกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าว
ส่งผลต่อจุดจบของเสรีนิยมใหม่ นําไปสู่การนําเสนอฉันทามติอื่น ๆ เช่น ฉันทามติโคเปนเฮเกน (Copenhagen Cor sensus) ฉันทามติเม็กซิโก (Mexico Consensus) ฉันทามติปักกิ่ง (Beijing Consensus) หรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ (State-Directed Capitalism) เป็นต้น

64. “การพัฒนาทางการเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความ ทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Pye
(2) Lipset
(3) Huntington
(4) Almond
(5) Coleman
ตอบ 3 หน้า 245 – 246 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) อธิบายว่า การพัฒนาทาง การเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะและส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

65. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย
(1) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการคนสําคัญ คือ Lipset
(2) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Shedler
(3) วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย คือ วัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม
(4) The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations เป็นผลงาน ชิ้นสําคัญของ Easton
(5) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Marx
ตอบ 1 หน้า 252 – 253 นักวิชาการที่เสนอเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย สามารถแบ่งออก ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการ คนสําคัญ คือ ลิบเซ็ต (Lipset)
2. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ซึ่งเป็น เจ้าของผลงานเรื่อง “The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations”
3. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) (ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ)

66. ข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย 10 ประการ เป็นคําอธิบาย การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 ดังค์วาร์ด รัสเทาว์ (Dankwart Rustow) ได้อธิบายข้อกําหนดเบื้องต้น สําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไว้ 10 ประการ ตัวอย่างเช่น

1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยไม่จําเป็นต้องเป็นตัวเดียวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย
2. การศึกษาประชาธิปไตยต้องตระหนักว่าสหสัมพันธ์อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล
3. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคม ส่งผลต่อการเมือง
4. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยเชิงแนวคิดวัฒนธรรม ส่งผลต่อการกระทำของตัวแสดงเสมอไป ฯลฯ

67. การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuet Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 1 หน้า 257 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไว้ในหนังสือเรื่อง “คลื่นลูกที่สาม” ทั้งในส่วนของปัจจัยเชิงโครงสร้างและในส่วนของปัจจัยของตัวแสดงซึ่งก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนําทั้งที่อยู่ในอํานาจและที่ไม่อยู่ในอํานาจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลต่อเส้นทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน

68. “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการ ปกครองนอกจากประชาธิปไตย และไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงาน ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียว ในเมือง (The Only Game in Town)” ข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายของนักวิชาการท่านใด
(1) David Easton
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 ฮวน ลินซ์ (Juan Linz) ได้กําหนดนิยามของการสร้างความมั่นคงยั่งยืน ให้กับประชาธิปไตยว่า “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมือง ที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตยและไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียวในเมือง (The Only Game in Town)”

69. การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่การปฏิวัติในอียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Color Revolutions
(2) Arab Spring
(3) Rose Revolution
(4) Asian Spring
(5) Tulip Revolution
ตอบ 2 หน้า 273, (คําบรรยาย) การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เป็นการลุกฮือของ ประชาชนเพื่อต่อต้านอํานาจรัฐและระบบที่เป็นอยู่ ซึ่งการปฏิวัตินี้ได้ทําให้เกิดแรงกระเพื่อม ไปสู่การปฏิวัติในกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แก่ อียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย หรือที่ เรียกกันว่า “การปฏิวัติในฤดูใบไม้ผลิในอาหรับ” หรือ “อาหรับสปริง” (Arab Spring)

70. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
(1) เป็นโลกที่รัฐมีบทบาทมากขึ้น
(2) เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
(3) เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน
(4) มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 281 – 285 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร อธิบายว่า สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์มีลักษณะ สําคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
2. เป็นโลกที่เส้นแบ่งต่าง ๆ ที่เคยมั่นคงชัดเจนเกิดความไม่ชัดเจน นําไปสู่การลากเส้นแบ่งใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
3. เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
5. มีการก่อการร้ายและการทําสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเป็นความจริงชุดใหม่
6. เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน

71. “ความตื่นตัวของประชาชนในตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริงไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ในคลื่นลูกที่ 4” จากข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedter
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 2 หน้า 293 ลาร์รี่ ไดมอนด์ (Larry Diamond) อธิบายว่า ความตื่นตัวของประชาชนใน ตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ ประชาธิปไตยในคลื่นลูกที่ 4

72. งานเขียนของใครถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ
(1) แมคคิอาเวลลี
(2) อริสโตเติ้ล
(3) เพลโต
(4) ล็อค
(5) อีสตัน
ตอบ 2หน้า 3 – 4, (คําบรรยาย) หนังสือปรัชญาการเมืองเรื่อง “Politics” ของอริสโตเติ้ล (Aristotle) สะท้อนให้เห็นการใช้วิธีการเปรียบเทียบเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้ทางการเมือง ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการได้มาขององค์ความรู้ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากการนําเอา กฎหมายปกครองของรัฐต่าง ๆ จํานวนมากถึง 158 รัฐมาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าในโลกนี้มีรูปแบบ การปกครอง รูปแบบ และแบ่งว่ารูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบที่ดีและรูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบ ที่เลว ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ

73. อริสโตเติ้ลเห็นว่าระบอบการปกครองใดที่ถือเป็นการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ที่ดี
(1) โพลิตี้
(2) คณาธิปไตย
(3) ทรราช
(4) ประชาธิปไตย
(5) อภิชนาธิปไตย
ตอบ 1 หน้า 4 อริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

74. เป้าหมายของการศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมืองคือข้อใด
(1) หาเกณฑ์เชิงปทัสถาน
(2) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(3) สร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 3, (คําบรรยาย) การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมือง เน้นการศึกษาสิ่งที่ควร จะเป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การค้นหาเกณฑ์เชิงปทัสถานหรือสิ่งที่ พึงประสงค์หรือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เหมาะสมในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือระบอบ การปกครองที่ดี ผู้ปกครองที่ดี รัฐที่ดี กฎหมายที่ดี เพื่อเสนอแนะหลักปฏิบัติทางการเมือง ที่ถูกต้องชอบธรรม มีจรรยาบรรณ อุดมคติ หรือค่านิยมคอยกํากับ ทําให้การศึกษาในยุคนี้ เชื่อมโยงอยู่กับเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และไม่ได้แยกเรื่องค่านิยมออกจากองค์ความรู้ทางการเมือง

75. การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
(1) การเมืองเปรียบเทียบ
(2) ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ
(3) ปรัชญาเปรียบเทียบ
(4) ทฤษฎีเปรียบเทียบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 4 – 5, 8 การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า“การปกครองเปรียบเทียบ”

76. การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันเป็นไปเพื่อเป้าหมายใด
(1) สร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง
(2) สร้างรัฐสมัยใหม่
(3) พัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบพาณิชย์นิยม
(4) สร้างความทันสมัย
(5) ข้อ 1 และ 4 ถูก
ตอบ 1 หน้า 6 – 7 การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันมุ่งศึกษารัฐและสถาบันทาง การเมืองที่เป็นทางการ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ รูปแบบรัฐ รัฐสภา รัฐบาล ตลอดจนกลไก และกระบวนการทางการเมืองต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ ถ่วงดุล การแบ่งแยกอํานาจระหว่าง สถาบันทางการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง เป็นไป ตามกรอบของกฎหมาย รองรับค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ ของคนส่วนใหญ่ โดยมีความเชื่อว่า หากมีการสร้างสถาบันทางการเมืองได้เป็นอย่างดีแล้ว ระบอบการเมืองก็จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ

77. Large-Ns มีความหมายถึงสิ่งใด
(1) จํานวนศึกษาหลายกรณี
(2) การศึกษาเชิงคุณภาพ
(3) มีจุดแข็งในการสร้างสมมติฐาน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 46 – 47, 64 Large-Ns หมายถึง จํานวนศึกษาหลายกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ ในการศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) ซึ่งข้อดีของการศึกษาหลายกรณี มีดังนี้
1. มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐานให้เข้มแข็งมากขึ้น
2. สามารถนําข้อสรุปจากการศึกษาไปใช้กับกรณีศึกษานอกกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
3. ช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
4. ช่วยให้ผลการวิเคราะห์มีลักษณะกลมกลืนกัน ฯลฯ

78. สาขาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในยุคใด
(1) ยุคสถาบัน
(2) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(3) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(4) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังสมัยใหม่
ตอบ 3 หน้า 11, 22, 33 – 34 วิชาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ ภายหลังจากความพยายามในการแสวงหา เอกลักษณ์ให้กับสาขารัฐศาสตร์และการสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์โดยการผลักดันของประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น โดยเป้าหมายหรือหัวใจหลัก สําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือการสร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเหตุเป็นผล มีความน่าเชื่อถือ สามารถนําไปใช้ในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

79. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงการเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
(1) ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการเมืองที่สอดคล้องกับคุณธรรมจริยธรรม
(2) ผลักดันโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้แนวคิดแบบพฤติกรรมศาสตร์
(3) มีเป้าหมายในการสร้างคุณภาพของประชาธิปไตย
(4) เรียกร้องให้เกิดการยอมรับความจริงอันหลากหลาย
(5) ผลักดันโดยสหภาพโซเวียตภายใต้บริบทสงครามเย็น
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80. เป้าหมายสําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือข้อใด
(1) สร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย
(2) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(3) สร้างกฎหมายปกครองที่ยอดเยี่ยม
(4) ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

81. “ไม่มีชนชั้นนายทุน ไม่มีประชาธิปไตย” เป็นคํากล่าวของนักวิชาการคนใด
(1) แกเบรียล อัลมอนด์
(2) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(3) เธดา สค็อกโพล
(4) แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์
(5) โรเบิร์ต ดาห์ล
ตอบ 4 หน้า 72 งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของแบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการศึกษาน้อยกรณี (Small-NS) ซึ่งงานชิ้นนี้มัวร์ได้สร้างคําอธิบายใหม่ที่แตกต่างจากคําอธิบายเดิมที่มักบอกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยมีการอธิบายที่ซับซ้อนมากขึ้น พิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรต้นจํานวนมากขึ้นทั้งในส่วนของชนชั้นทางสังคม โครงสร้างทาง เศรษฐกิจ อํานาจรัฐ ตลอดจนพิจารณาถึงปฏิสัมพันธ์กันเองของตัวแปรต้นต่าง ๆ ควบคู่กันไป กับการพิจารณาอิทธิพลที่มีต่อตัวแปรตาม ซึ่งนําไปสู่ข้อสรุปที่โด่งดังที่ว่า “ไม่มีชนชั้นนายทุนไม่มีประชาธิปไตย”

82. ข้อใดไม่ใช่หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง
(1) ระบบการเมือง
(2) สถาบันทางการเมือง
(3) รัฐ
(4) กฎหมาย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 38, (คําบรรยาย) หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง เป็นหน่วยวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างต่าง ๆ ในสังคม เช่น ระบบการเมือง รัฐ ชนชั้น สถาบันทางการเมือง กฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ความสัมพันธ์เชิงอํานาจ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ในระดับนี้จะมี ความเชื่อว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นมีอิทธิพลต่อการกระทําของมนุษย์และการเกิดปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ในสังคม พฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้มีเสรีภาพมากนัก แต่จะแสดงออกมาภายใต้กรอบ ของโครงสร้างดังกล่าว

83. กรณีศึกษาแบบใดช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
(1) Small-Ns
(2) การศึกษากรณีประเทศเดียว
(3) Large-Ns
(4) กรณีศึกษาเชิงลึก
(5) กรณีศึกษาตามรายประเด็น
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

84. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบ
(1) ต้องเปรียบเทียบกรณีมากกว่า 1 ประเทศเท่านั้น
(2) การเปรียบเทียบกรณีศึกษาเดียวทําให้ได้ข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียด
(3) การเปรียบเทียบระดับโลกเป็นการศึกษาที่ได้ข้อมูลกว้างแต่ไม่ลึก
(4) ศึกษาประเทศเดียวก็ได้
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 40 – 41 การเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบสามารถเลือกศึกษาประเทศเดียวก็ได้ซึ่งการเปรียบเทียบอาจจะเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ภายในประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ศึกษาเฉพาะสถาบันทางการเมืองหนึ่ง ๆ เช่น พรรคการเมือง สถาบันทหาร รัฐสภา กลุ่มผลประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งการเลือกศึกษาประเทศเดียวนี้จะง่ายต่อ ผู้ศึกษารุ่นใหม่ที่ประสบการณ์ยังไม่เยอะมาก

85. นักวิชาการผู้ใดเป็นผู้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยม
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น ล็อค
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(5) เดวิด อีสตัน
ตอบ 3 หน้า 50 – 57, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยมไว้ 4 วิธีการ คือ
1. วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement)
2. วิธีการพิจารณาความแตกต่าง (Method of Difference)
3. วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่ (Method of Residues)
4. วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน (Method of Concomitant Variations)

86. วิธีการเปรียบเทียบในวิชาการเมืองเปรียบเทียบถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป้าหมายใด
(1) การแข่งขันระหว่างประเทศ
(2) หาสิ่งที่พึงประสงค์
(3) สร้างความได้เปรียบ
(4) สร้างจริยธรรมทางการปกครอง
(5) สกัดหาตัวแปรที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา
ตอบ 5 หน้า 50 วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการที่ต้องเลือกมาใช้ในการเปรียบเทียบเพื่อสร้างคําอธิบาย ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเงื่อนไขหรือปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ กับผลลัพธ์ที่ศึกษา หรือ กล่าวอีกนัยคือ วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการสําหรับนํามาใช้เพื่อสกัดหาตัวแปรหรือเงื่อนไข ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา

87. มองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างในกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 51 วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement) เป็นการมองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ในกรณีศึกษาต่าง ๆที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์

88. ค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่า ตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(3) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
(4) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) เป็นการค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์

89. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 59 – 60 วิธีการเปรียบเทียบของเชวอร์สกีและเทิร์น (Przeworski and Teune) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มี 2 วิธี คือ
1. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความแตกต่างของมิลล์
2. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด (Most Different Systems : MDS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความเหมือนของมิลล์

90. วิธีการเปรียบเทียบแบบ MSS และ MDS พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) Przeworski and Teune
(2) John Stuart Mill
(3) Antonio Gramsci
(4) Ragin and Rubinson
(5) Anthony Giddens
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

91. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

92. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงวิชาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบัน
(1) มีวิธีการที่หลากหลาย
(2) เน้นระเบียบวิธีวิจัยที่เคร่งครัด
(3) รวมเรียกว่าการปกครองเปรียบเทียบ
(4) เน้นปัจจัยสร้างประชาธิปไตย
(5) เชื่อมั่นในศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การศึกษาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบันนั้นมีขอบเขตกว้างขวาง ครอบคลุม ประเด็นต่าง ๆ ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ การเมืองใน ชีวิตประจําวัน ตลอดจนคุณภาพของประชาธิปไตย ดังนั้นการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ ในปัจจุบันจึงไม่ได้ใช้ศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น แต่ใช้แนวทางและวิธีการอันหลากหลาย ที่สอดคล้องกับประเด็นการศึกษา เพื่อให้เกิดองค์ความรู้สําหรับการอธิบายทางการเมือง ตลอดจนเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองต่าง ๆ อย่างรอบด้าน

93. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระเบียบวิธีการศึกษาเปรียบเทียบแบบ Small-Ns
(1) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ
(2) เน้นศึกษาน้อยกรณี
(3) เน้นตีความหรือทําความเข้าใจความหมาย
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 1 หน้า 70 Small-Ns คือ การศึกษาน้อยกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) ซึ่งเป็นการศึกษาที่เน้นเรื่องของ การตีความหรือทําความเข้าใจความหมายอย่างรอบด้านหรือในลักษณะองค์รวม เพื่อทําความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นที่ศึกษาในกรณีนั้น ๆ

94. งานการเมืองเปรียบเทียบเรื่อง “Political Man” เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) มาร์กซ์
(2) ลิปเซ็ต
(3) เชวอร์สกี
(4) อีสตัน
(5) มัวร์ จูเนียร์
ตอบ 2 หน้า 64, 67 – 68 งานการเมืองเปรียบเทียบเรื่อง “Political Man” ของลิปเซ็ต (Lipset) เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับความเป็นประชาธิปไตยโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการศึกษาหลายกรณี (Large-Ns) ซึ่งผลจากการศึกษา พบว่า กลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยมั่นคง ประชาชนจะมีรายได้สูงกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตย ไม่มั่นคงหรือเป็นเผด็จการ จากงานชิ้นนี้ของลิปเซ็ตได้นํามาสู่ข้อสรุปเป็นคําอธิบายทั่วไป อันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”

95. คําอธิบายอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”เป็นของนักวิชาการผู้ใด
(1) ไดมอนด์
(2) กิดเดนส์
(3) ลิปเซ็ต
(4) ลาสเวลล์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 94. ประกอบ

96. งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) ลิปเซ็ต
(2) อีสตัน
(3) ฮันทิงตัน
(4) มัวร์ จูเนียร์
(5) ไดมอนด์
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

97.งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” เป็นของนักวิชาการท่านใด (1) ลิปเซ็ต
(2) เชวอร์สกี
(3) ลาสเวลล์
(4) มัวร์ จูเนียร์
(5) พุตนัม
ตอบ 5 หน้า 74 งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy ของ โรเบิร์ต พุตนัม (Robert Putnum) เป็นการศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมแบบพลเมืองที่ส่งผลต่อ การทํางานของระบอบประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคในภาคเหนือ และภาคใต้ของอิตาลี ซึ่งพุตนัมได้ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้ วิธีการเชิงปริมาณเพื่อสํารวจทัศนคติของพลเมือง และใช้วิธีการเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นข้อมูลความเป็นมาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคในอิตาลี

98. “พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา” (Methodological Pluralism) สอดคล้องกับข้อใด
(1) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(2) ยุคหลังสมัยใหม่
(3) Nest Analysis
(4) Mixed Method
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 74 – 75, 140 พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา (Methodological Pluralism) เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์หรือยุคหลังสมัยใหม่ เป็นการศึกษาที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงระเบียบวิธีวิจัยซึ่งอาจใช้วิธีการแบบผสม (Mixed Method) หรือ “การวิเคราะห์ ประสานกันแบบรังนก” (Nest Analysis) และมีการขยายขอบเขตของการศึกษาครอบคลุม ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ ตลอดจนการเมืองในชีวิตประจําวัน เช่น เรื่องของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมภาคประชาสังคม รวมถึง เรื่องปฏิสัมพันธ์ของการเมืองภายในและภายนอกประเทศ

99. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงแนวทางการวิเคราะห์ (Approach)
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ระบุความสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงผลเป็นรูปธรรม
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 80 – 81, 143 แนวทางการศึกษาหรือแนวทางการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบเค้าโครงในการศึกษาที่จะเป็นตัวกําหนดระดับของการอธิบาย วิธีการในการศึกษาตลอดจนทฤษฎีที่จะใช้ในการศึกษา โดยแนวทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่จะเป็นกรอบเค้าโครง กว้าง ๆ โดยไม่มีการลงลึกในส่วนของตัวแบบในการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม และในแต่ละ แนวทางการศึกษาจะประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ๆ อยู่ด้วย

100. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงทฤษฎีในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 82 ทฤษฎี (Theory) คือ ชุดของคําอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล (Causal Relations) ของปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษา หรือเรียกอีกอย่างว่าชุดของคําอธิบายความสัมพันธ์เชิงปัจจยาการ

 

POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น 1/2566

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. “ไม่มีชนชั้นนายทุน ไม่มีประชาธิปไตย” เป็นคํากล่าวของนักวิชาการคนใด
(1) แกเบรียล อัลมอนด์
(2) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(3) เธดา สค็อกโพล
(4) แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์
(5) โรเบิร์ต ดาห์ล
ตอบ 4 หน้า 72 งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของแบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการศึกษาน้อยกรณี (Small-NS) ซึ่งงานชิ้นนี้มัวร์ได้สร้างคําอธิบายใหม่ที่แตกต่างจากคําอธิบายเดิมที่มักบอกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยมีการอธิบายที่ซับซ้อนมากขึ้น พิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรต้นจํานวนมากขึ้นทั้งในส่วนของชนชั้นทางสังคม โครงสร้างทาง เศรษฐกิจ อํานาจรัฐ ตลอดจนพิจารณาถึงปฏิสัมพันธ์กันเองของตัวแปรต้นต่าง ๆ ควบคู่กันไป กับการพิจารณาอิทธิพลที่มีต่อตัวแปรตาม ซึ่งนําไปสู่ข้อสรุปที่โด่งดังที่ว่า “ไม่มีชนชั้นนายทุนไม่มีประชาธิปไตย”

2.วิธีการเปรียบเทียบแบบ MSS และ MDS พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) Przeworski and Teune
(2) John Stuart Mill
(3) Antonio Gramsci
(4) Ragin and Rubinson
(5) Anthony Giddens
ตอบ 1 หน้า 59 – 60 วิธีการเปรียบเทียบของเชวอร์สกีและเทิร์น (Przeworski and Teune) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มี 2 วิธี คือ
1. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความแตกต่างของมิลล์
2. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด (Most Different Systems : MDS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความเหมือนของมิลล์

3. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระเบียบวิธีการศึกษาเปรียบเทียบแบบ Small-Ns
(1) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ
(2) เน้นศึกษาน้อยกรณี
(3) เน้นตีความหรือทําความเข้าใจความหมาย
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 1 หน้า 70 Small-Ns คือ การศึกษาน้อยกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) ซึ่งเป็นการศึกษาที่เน้นเรื่องของ การตีความหรือทําความเข้าใจความหมายอย่างรอบด้านหรือในลักษณะองค์รวม เพื่อทําความ เข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นที่ศึกษาในกรณีนั้น ๆ

4.งานของลิปเซ็ตเรื่อง “Political Man” ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Small-Ns
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 5 หน้า 64, 67 – 68 งานของลิปเซ็ต (Lipset) เรื่อง “Political Man” เป็นการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับความเป็นประชาธิปไตย โดยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการศึกษาหลายกรณี (Large-Ns) ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่ากลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยมั่นคงประชาชนจะมีรายได้สูงกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตยไม่มั่นคงหรือเป็นเผด็จการ จากงานชิ้นนี้ของลิปเซ็ตได้นํามาสู่ข้อสรุปเป็นคําอธิบายทั่วไปอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”

5.คําอธิบายอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”เป็นของนักวิชาการผู้ใด
(1) ไดมอนด์
(2) กิดเดนส์
(3) ลิปเซ็ต
(4) ลาสเวลล์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6.งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของมัวร์ จูเนียร์ ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

7. งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของโรเบิร์ต พุตนัม ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 4หน้า 74 งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของ โรเบิร์ต พุตนัม (Robert Putnum) เป็นการศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมแบบพลเมืองที่ส่งผลต่อ การทํางานของระบอบประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคในภาคเหนือ และภาคใต้ของอิตาลี ซึ่งพุตนัมได้ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้ วิธีการเชิงปริมาณเพื่อสํารวจทัศนคติของพลเมือง และใช้วิธีการเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นข้อมูลความเป็นมาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคในอิตาลี

8.“พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา” (Methodological Pluralism) สอดคล้องกับข้อใด
(1) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(2) ยุคหลังสมัยใหม่
(3) Nest Analysis
(4) Mixed Method
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 74 – 75, 140 พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา (Methodological Pluralism) เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์หรือยุคหลังสมัยใหม่ เป็นการศึกษาที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงระเบียบวิธีวิจัยซึ่งอาจใช้วิธีการแบบผสม (Mixed Method) หรือ “การวิเคราะห์ ประสานกันแบบรังนก” (Nest Analysis) และมีการขยายขอบเขตของการศึกษาครอบคลุม ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ ตลอดจนการเมืองในชีวิตประจําวัน เช่น เรื่องของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมภาคประชาสังคม รวมถึง เรื่องปฏิสัมพันธ์ของการเมืองภายในและภายนอกประเทศ

9. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงแนวทางการวิเคราะห์ (Approach)
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ระบุความสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงผลเป็นรูปธรรม
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 80 – 81, 143 แนวทางการศึกษาหรือแนวทางการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบเค้าโครงในการศึกษาที่จะเป็นตัวกําหนดระดับของการอธิบาย วิธีการในการศึกษาตลอดจนทฤษฎีที่จะใช้ในการศึกษา โดยแนวทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่จะเป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ โดยไม่มีการลงลึกในส่วนของตัวแบบในการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม และในแต่ละ แนวทางการศึกษาจะประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ๆ อยู่ด้วย

10. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงทฤษฎีในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 82 ทฤษฎี (Theory) คือ ชุดของคําอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล (Causal Relations) ของปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษา หรือเรียกอีกอย่างว่า ชุดของคําอธิบายความสัมพันธ์เชิงปัจจยาการ

11. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสหลัก
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 83 – 127 แนวทางการวิเคราะห์กระแสหลัก ได้แก่
1. แนวทางระบบ
2. แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
3. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล
4. แนวทางสถาบันนิยมใหม่
5. แนวทางโครงสร้าง

12. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสวิพากษ์
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางสถาบันนิยมใหม่
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 85 – 86, 107, 134, 140 แนวทางการวิเคราะห์กระแสวิพากษ์ ได้แก่
1. แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
2. แนวทางมาร์กซิสต์
3. แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
4. แนวทางหลังสมัยใหม่หรือแนวทางหลังโครงสร้างนิยม (ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ)

13. นักรัฐศาสตร์คนสําคัญที่นําเอาความคิดเชิงระบบมาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบคือ
(1) อีสตัน
(2) อัลมอนด์
(3) คาร์ล ดอยซ์
(4) คาร์ล มาร์กซ์
(5) ชาร์ล ทิลลี่
ตอบ 1 หน้า 89 เดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์คนแรกที่นําเอาความคิดเชิงระบบ มาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบ และเป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสนอแบบจําลองของระบบการเมือง อันเป็นผลจากความพยายามในการหาทฤษฎีทั่วไปที่สามารถใช้ในการอธิบายการเมืองทั้งระบบหรือสร้างทฤษฎีมหภาคที่สามารถนําไปใช้อธิบายสังคมอื่น ๆ ได้ทั่วทั้งโลก

14. ในทฤษฎีระบบการเมือง ปัจจัยนําเข้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) ข้อเรียกร้องความต้องการและการสนับสนุน
(2) รัฐบาลและรัฐสภา
(3) พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
(4) นโยบายและการปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 89 – 90 ในทฤษฎีระบบการเมืองนั้น เดวิด อีสตัน (David Easton) อธิบายว่า“ระบบการเมือง” (Political System) เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ซึ่งทําหน้าที่อยู่ภายใต้ “สิ่งแวดล้อม” (Environment) โดยจะมี “ปัจจัยนําเข้า (Inputs) ซึ่งประกอบด้วย ข้อเรียกร้อง
ความต้องการ (Demands) และการสนับสนุน (Supports) จากสิ่งแวดล้อมเข้ามาสู่ระบบการเมือง แล้วระบบการเมืองก็จะทําหน้าที่ในการตัดสินใจแปลงปัจจัยนําเข้าดังกล่าวเป็น “ปัจจัยนําออก (Outputs) ในรูปของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายต่าง ๆ ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม และผลจากการทํางานของระบบการเมืองก็จะเกิดเป็น “ผลสะท้อนกลับ” (Feedback) กลับเข้าไปเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

15. ทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) อีสตัน
(2) เมอร์เรียม
(3) อัลมอนด์
(4) ฟูโกต์
(5) พาร์สัน
ตอบ 3 หน้า 92 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) ได้พัฒนาทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โดยได้ดึงแนวคิดเรื่องบทบาทและโครงสร้างของนักสังคมวิทยา เช่น แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ทาลค็อตต์ พาร์สัน (Talcott Parsons) เข้ามาผนวกกับทฤษฎีระบบ เพื่อให้ทฤษฎีระบบเชิง โครงสร้าง-หน้าที่มีความเป็นรูปธรรม สามารถศึกษากลุ่มของการกระทําทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการได้

16. ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โครงสร้างใดทําหน้าที่รวบรวมผลประโยชน์
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) รัฐบาล
(4) รัฐสภา
(5) ศาล
ตอบ 2 หน้า 93 – 94 ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่นั้น แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Atmond) อธิบายว่า โครงสร้างทางการเมืองแต่ละอย่างสามารถทํางานได้หลายหน้าที่ แม้ใน ระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วจะมีโครงสร้างหนึ่งขึ้นมาทําหน้าที่เฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นจะทําแค่หน้าที่เดียว เพราะโครงสร้างในทุกระบบการเมืองจะทําหน้าที่ หลาย ๆ อย่างเสมอ เช่น พรรคการเมืองมีหน้าที่หลักในการรวบรวมผลประโยชน์และเลือกสรร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่พรรคการเมืองก็ทําหน้าที่อื่น ๆ เช่น การเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับ ประชาชน การให้การศึกษาทางการเมือง เป็นต้น

17. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบใดเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
(1) Parochial
(2) Subject
(3) Participant
(4) Civic Culture
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 102 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ได้แบ่งวัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็น 3 แบบ คือ แบบคับแคบ (Parochial) แบบไพร่ฟ้า (Subject) และแบบมีส่วนร่วม (Participant) โดยมองว่า วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสม หรือเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่วัฒนธรรมแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องเป็นวัฒนธรรมทาง การเมืองที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้ง 3 แบบอย่างลงตัว ซึ่งเรียกว่า “วัฒนธรรม แบบพลเมือง” (Civic Culture) อันเป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนมีความกระตือรือร้นทางการเมือง แต่ก็ไม่มากจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

18. นักรัฐศาสตร์ท่านใดมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง
(1) Huntington
(2) Bentley
(3) Downs
(4) Powell
(5) Atmond
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) โดยอัลมอนด์เสนอว่า สาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้ประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และอีกประเทศหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพราะว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย ส่วนประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นมีวัฒนธรรมไม่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย

19. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ Subject
(1) เป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง
(2) เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
(3) เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ปฏิบัติ
(4) เป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 102, (คําบรรยาย) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบรับรู้แต่ไม่เข้าร่วมทางการเมืองหรือแบบ ไพร่ฟ้า (Subject) เป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจข่าวสาร มีความรู้เกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เข้าไป มีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีอํานาจทางการเมือง เรื่องของการเมืองเป็น เรื่องของผู้นํา ดังนั้นลักษณะของวัฒนธรรมแบบนี้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง การเมือง เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและกฎเกณฑ์ปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล

20. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทางของยุคใด
(1) ยุคปรัชญา
(2) ยุคสถาบัน
(3) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(4) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 108 – 109 แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลมาจากสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเริ่มถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ ทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็น ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ดังนั้นแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลจึงถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทาง หรือทฤษฎีในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ในกระแสหลักที่ยังเชื่อมั่นในการสร้างความเป็นศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ในทางการเมือง

21. แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลคือ
(1) ความเสียสละ
(2) ผลประโยชน์ส่วนบุคคล
(3) ผลประโยชน์ของชาติ
(4) ความหลากหลาย
(5) ความเท่าเทียม
ตอบ 2 หน้า 109 แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลตั้งอยู่บนสมมติฐาน หลัก 2 ตัว คือ ความมีเหตุมีผล (Rationality) กับผลประโยชน์ส่วนบุคคล (Self-Interest)

22. ตามแนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล คําว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผลหมายถึงข้อใด
(1) จะทําการใดต้องมีการคํานวณ
(2) คิดถึงประโยชน์ได้เสีย
(3) แสวงหาประโยชน์สูงสุด
(4) หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 110, (คําบรรยาย) แนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) มีสมมติฐานสําคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผล ซึ่งคําว่ามีเหตุมีผลหมายถึง มนุษย์ทุกคนเวลา จะทําการใดจะต้องคํานวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไร และเสียประโยชน์ อย่างไร หรือคํานวณผลได้ผลเสียที่จะได้รับจากทางเลือกแต่ละทาง โดยมนุษย์จะตัดสินใจเลือก ทางเลือกที่ได้ประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์มากที่สุดหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์นั่นเอง

23. แนวทางสถาบันดั้งเดิมแตกต่างกับแนวทางสถาบันนิยมใหม่ในข้อใด
(1) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ
(2) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการ
(3) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 115, 118, 120 – 122 แนวทางสถาบันดั้งเดิม เน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการหรือ ศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย ส่วนแนวทางสถาบันนิยมใหม่ให้ความสําคัญกับการศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการควบคู่กันไปกับการศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ รวมถึงขยายขอบเขต ของการศึกษาไปสู่เรื่องของพฤติกรรมของตัวแสดงทางการเมือง ปัจจัยทั้งหลายที่สามารถ ส่งผลทั้งต่อตัวสถาบันและต่อพฤติกรรมทางการเมืองภายในสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนการศึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถาบันและตัวแสดงทางการเมืองต่าง ๆ

24. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นสถาบันของฮันทิงตัน
(1) ความสามารถในการปรับตัว
(2) การแบ่งโครงสร้างทําหน้าที่เฉพาะ
(3) ความรวดเร็วในการทํางาน
(4) ความเป็นอิสระในตนเอง
(5) ความเป็นปึกแผ่น
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้เสนอตัวชี้วัดความเป็น สถาบัน ซึ่งมี 4 ประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)
2. การแบ่งโครงสร้างแยกย่อยลงไปและทําหน้าที่เฉพาะ (Complexity)
3. ความเป็นอิสระในตนเอง (Autonomy)
4. ความเป็นปึกแผ่น (Coherence)

25. “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) มาร์กซ์
(2) ทิลลี่
(3) ไชยวัฒน์ ค้ําชู
(4) อดอร์โน
(5) เดอร์ไคม์
ตอบ 2 หน้า 128 แนวทางโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ จะเน้นวิเคราะห์ความเป็นมาของโครงสร้าง ขนาดใหญ่ เช่น พัฒนาการของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในโลกตะวันตก พัฒนาการของระบบ ทุนนิยม พัฒนาการของยุคอุตสาหกรรม พัฒนาการของรัฐสมัยใหม่ พัฒนาการของการเข้าสู่ ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพใหญ่ของพัฒนาการ ตลอดจน ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่ศึกษาดังที่ชาร์ล ทิลลี่ (Charles Tilly) เรียกว่า “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” และ “กระบวนการใหญ่”

26. นักวิชาการผู้ใดมีอิทธิพลต่อแนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) ซี. ไรท์ มิลล์
(5) คาร์ล ป๊อปเปอร์
ตอบ 1 หน้า 129, (คําบรรยาย) นิคอส พลันต์ซาส (Nicos Poulantzas) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลต่อ แนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ อันเป็นผลมาจากกระแสการนํารัฐกลับมาเป็นแกนกลางในการศึกษาทางการเมือง

27. นักวิชาการคนใดมีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) แม็กซ์ เวเบอร์
(5) สค็อกโพล
ตอบ 5 หน้า 117, 130, 156 เธดา สค็อกโพล (Theda Skocpol) และปีเตอร์ อีแวน (Peter Evans) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง โดยทั้งสองได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Bringing the State Back In” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ถูกนํามาใช้ เป็นกระแสการเรียกร้องให้รัฐซึ่งถูกมองว่าเป็นเหมือนกล่องดํา คือเป็นที่รวมของอํานาจที่กลุ่ม ต่าง ๆ ใช้ในการต่อรอง แย่งชิง ผลักดันนโยบายสาธารณะให้สอดคล้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน กลับเข้ามาสู่การเป็นศูนย์กลางของการวิเคราะห์ทางการเมือง

28. เพราะเหตุใดแนวคิดแบบมาร์กซิสต์จึงไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคงจะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม
(1) เพราะยากที่สถาบันการเมืองจะมีความเข้มแข็ง
(2) เพราะเอกชนจะเรียกร้องให้รัฐมีบทบาทน้อย
(3) เพราะมีความเจริญทางวัตถุแต่จิตใจผู้คนตกต่ำ
(4) เพราะมีโครงสร้างที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ
(5) เพราะผู้คนไม่สนใจคุณธรรมจริยธรรมทางศาสนา
ตอบ 4 หน้า 134 – 136, (คําบรรยาย) แนวคิดแบบมาร์กซิสต์ไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคง จะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม เพราะหัวใจสําคัญของประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน แต่ใน ระบบทุนนิยมกลับมีโครงสร้างที่ทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ กล่าวคือ ในระบบทุนนิยมนั้น ชนชั้นที่ออกแรงผลิตคือชนชั้นแรงงาน แต่ชนชั้นนายทุนกลับรีบเอามูลค่าที่ชนชั้นแรงงานผลิตได้ ไปเป็นของตน ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวทําให้เกิด “ชนชั้นผู้ได้เปรียบ” กับ “ชนชั้นผู้เสียเปรียบ” ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

29. ปัจจัยใดที่คาร์ล มาร์กซ์ ให้ความสําคัญที่สุดเมื่อวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง
(1) อํานาจของกฎหมาย
(2) โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจ
(3) การครอบงําทางความคิดผ่านทางศาสนา
(4) แสนยานุภาพทางทหาร
(5) อํานาจของรัฐในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
ตอบ 2 หน้า 134 – 135 “ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist Theory) กําเนิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมอย่างถึงรากถึงโคน หรือก็คือ ปฏิเสธระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง โดยการวิเคราะห์ของมาร์กซ์นั้นในทางหนึ่งเป็นการ วิเคราะห์เชิงโครงสร้างและการวิเคราะห์พัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ แต่หัวใจหลักอยู่ที่การใช้ โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจในการวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง

30. ข้อใดเป็นความแตกต่างสําคัญที่สุดระหว่างมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมกับมาร์กซิสต์ใหม่
(1) วิเคราะห์ทางชนชั้น
(2) ปฏิเสธระบบทุนนิยม
(3) ปฏิวัติทางชนชั้น
(4) ให้ความสําคัญกับอํานาจรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 137 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากทฤษฎีมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม โดยมีจุดร่วมสําคัญ คือ การมองว่าชนชั้นที่มีอํานาจทางเศรษฐกิจมักมีแนวโน้มมีอํานาจในทาง การเมืองด้วย แต่มีจุดต่างสําคัญจากมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมคือหันไปให้น้ําหนักกับโครงสร้างส่วนบนมากขึ้นแทนที่จะเน้นวิเคราะห์โครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น โดยเฉพาะประเด็นของอํานาจรัฐ

31. แนวคิดสําคัญของอันโตนิโอ กรัม คือแนวคิดใด
(1) การปฏิวัติทางชนชั้น
(2) วาทกรรม
(3) การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์
(4) พหุวัฒนธรรม
(5) การครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรม
ตอบ 3 หน้า 137 – 138 อันโตนิโอ กรัมซี (Antonio Gramsci) ได้เสนอแนวคิด “การครองความเป็น จ้าวทางอุดมการณ์” (Hegemony) โดยอธิบายว่า โครงสร้างส่วนบนแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือ สังคมการเมืองและสังคมประชา ชนชั้นที่ต้องการมีอํานาจเหนือสังคมอย่างเบ็ดเสร็จต้องสามารถครองอํานาจได้ในทั้งสองพื้นที่ในฐานะผู้ครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์ และกรัมที่ได้ให้น้ำหนักไปที่การครอบงําทางความคิดอย่างมาก เนื่องจากการที่ชนชั้นหนึ่งจะมีชัยชนะขั้นเด็ดขาดและ สมบูรณ์เหนือสังคมได้ ชนชั้นนั้นต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

32. นักวิชาการคนใดเสนอแนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรม
(1) หลุยส์ อัลธูแชร์
(2) เออร์เนสโต ลาเคลา
(3) ของทัล มูฟ
(4) ชาร์ค แดร์ริดา
(5) มิเชล ฟูโกต์
ตอบ 5 หน้า 140 – 143 แนวคิดที่สําคัญของนักวิชาการในยุคหลังสมัยใหม่ มีดังนี้
1. แนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรมของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault)
2. แนวคิดการรื้อสร้างของชาร์ค แคร์ริดา (Jacques Derrida)
3. แนวคิดมายาคติของโรลอง บาร์ต (Roland Barthes)
4. แนวคิดการครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรมและแนวคิดประชาธิปไตยเชิงลึกของเออร์เนสโต ลาเวลาและของทัล มูฟ (Ernesto Laclau and Chantal Mouffe) ฯลฯ

33. “รัฐคือองค์การทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้” เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Andrew Heywood
(2) Joel Migdal
(3) Max Weber
(4) Gaetano Mosca
(5) Anthony Giddens
ตอบ 5 หน้า 149 แอนโทนี กิดเดนส์ (Anthony Giddens) ได้ให้นิยามคําว่ารัฐไว้ว่า “รัฐคือองค์การ ทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้ คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้

34. รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเอง คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 1 หน้า 148 รัฐในความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานง และเป้าหมายของตนเองแยกออกมาและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจเจกบุคคล มีลักษณะเป็นสากล ซึ่งรัฐจะนําพามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ โดยที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟังรัฐ

35. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) Treaty of Ulm 1647 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(2) Treaty of Concordia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(3) Treaty of Westphalia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(4) Treaty of Zboriv 1649 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(5) Treaty of Breda 1650 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
ตอบ 3 หน้า 147 สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648 นํามาสู่การ เกิดขึ้นของ “รัฐสมัยใหม่” ในยุโรป ซึ่งมีองค์ประกอบสําคัญ 4 ประการ คือ ดินแดนที่แน่นอน (Territory) ประชากร(Population) รัฐบาล (Government) และอํานาจอธิปไตย (Sovereignty)

36. รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทาง การปกครองทั้งหลาย คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 4 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงองค์การ หมายถึง รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย

37. รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 3 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่ หมายถึง รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบ และหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม

38. รัฐเป็นแหล่งรวมของชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นน่านิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 2 หน้า 148 – 149 รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม หมายถึง รัฐเป็นแหล่งรวมของ ชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม

39. รัฐที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State.
(5) Minimal State
ตอบ 4หน้า 151 – 152 รัฐรวม (Composite State) หรือสหพันธรัฐ (Federation) คือ รัฐที่เกิดขึ้น จากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป มีการจัดตั้งรัฐบาลกลางขึ้นโดยการมอบ อธิปไตยบางส่วนให้รัฐบาลกลางเพื่อจัดการในเรื่องสําคัญของส่วนรวมด้วยเหตุผลในเรื่องของ การป้องกันภัยรุกราน ความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ในขณะที่แต่ละรัฐที่มารวมตัวกัน ก็ยังคงมีอธิปไตยของตนเองอยู่บางส่วน ดังนั้นรัฐรวมจึงมีรัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลาง และ รัฐบาลของท้องถิ่นหรือมลรัฐ ตัวอย่างของรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น

40. รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าประธานาธิบดี คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 2 หน้า 151 สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้นําทางศาสนา รัฐแบบนี้พบได้ทั้งในระบอบประชาธิปไตย (เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย อิตาลี อินเดีย) คอมมิวนิสต์ (เช่น จีน เวียดนาม) และรัฐที่ปกครองโดยหลักศาสนา (เช่น อิหร่าน)

41. รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุดในเขตแดนของรัฐ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary Stateฃ
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 3 หน้า 151 รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุด หรืออธิปไตยสมบูรณ์ในเขตแดนของรัฐนั้น ๆ ไม่มีรัฐบาลในระดับที่รองลงมา หน่วยงานของรัฐ ในท้องที่ เช่น จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นมือไม้หรือหน่วยงานที่รับมอบหมายงานจาก รัฐบาลกลางไปดําเนินการ หรือในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่นแม้จะได้รับการกระจายอํานาจลงไปให้บ้างแต่ก็ไม่ถือว่ามีอธิปไตยเป็นของตนเอง การดําเนินงานยังคงอยู่ภายใต้การ กํากับควบคุมของรัฐบาลกลาง ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว เช่น ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น

42. รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 1 หน้า 150 – 151 รัฐราชอาณาจักร (Kingdom State) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งรัฐราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดในปัจจุบันก็ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของรัฐ และมีรัฐบาลในระบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เบลเยียม ไทย เป็นต้น

43. รัฐมีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการดําเนิน กิจกรรมต่าง ๆ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 1 หน้า 153 รัฐแบบกรรมการ (Minimal State) คือ รัฐที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบเสรีนิยมที่ให้รัฐ มีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการ ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ รัฐประเภทนี้พบในประเทศที่เป็นเสรีนิยมทุนนิยม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้น

44. รัฐเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมคือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 2 หน้า 153 รัฐเพื่อการพัฒนา (Developmental State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐอาจจะประสาน ความร่วมมือกับนายทุนระดับชาติเพื่อการดังกล่าว ทั้งนี้การแทรกแซงดังกล่าวเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเอกชนในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศ มากกว่าการเข้าไปขัดขวางหรือรับเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจมาดําเนินการเอง ตัวอย่างของรัฐประเภทนี้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น

45. แนวคิดเศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) มีความสัมพันธ์กับประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 3 หน้า 154 รัฐสังคม-ประชาธิปไตย (Social-Democratic State) คือ รัฐที่มีเป้าหมายเพื่อ ปฏิรูปสังคมให้เกิดความยุติธรรม แก้ปัญหาความยากจน เน้นให้เกิดความเท่าเทียมขึ้นในสังคม เป็นรัฐที่เน้นทําเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมากกว่าจะเน้นทําเพื่อประโยชน์ของนายทุน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวรัฐจึงต้องเข้าไปแทรกแซงสังคมในระดับสูงหรืออย่างแข็งขัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ตัวอย่างเช่น แนวคิด เศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ เป็นต้น

46. พบในสหภาพโซเวียตในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 5 หน้า 154 – 155 รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarian State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงเหนือสังคม ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ กระทั่งการใช้ชีวิตในทุกด้าน โดยไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นรัฐที่มีอํานาจ สูงที่สุด ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคําสั่งของรัฐ รัฐประเภทนี้พบในสหภาพโซเวียต ในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี และเกาหลีเหนือ

47. รัฐเข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดให้ เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 4หน้า 154 รัฐรวมศูนย์ (Collectivized State) คือ รัฐที่เข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเอง ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดถูกวางแผนและจัดการโดยรัฐ จากส่วนกลาง รวมถึงมีการยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล คือ ไม่ให้เอกชนสามารถมีทรัพย์สิน ส่วนตัวได้ แต่ให้ทุกอย่างตกเป็นสมบัติของส่วนรวม รัฐประเภทนี้พบได้ในระบอบคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต จีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง เป็นต้น

48. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษารัฐนิยม (Statist Model)
(1) มีคําอธิบายรัฐนิยมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson
(2) เกิดจากการผลักดันของ Theda Skocpol และ Peter Evans
(3) รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจน้อยที่สุด
(4) รัฐในมุมมอง Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น
(5) ฐานคิดสําคัญคือรัฐจะมีบทบาทเสมอในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 156 – 158, (คําบรรยาย) อนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้อธิบายรัฐนิยมโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson ซึ่งจาก 3 กลุ่มนี้ รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจสูงที่สุด รองลงมาคือ รัฐในมุมมองของ Theda Skocpol และรัฐในมุมมองของ Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น

49. ประชาธิปไตยทางตรงเกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) Roman
(2) Athens
(3) Sparta
(4) Thebes
(5) Corinth
ตอบ 2หน้า 165, (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบของ ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าไปใช้อํานาจในทางการเมืองอย่าง เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ในยุคกรีกโบราณ ทั้งนี้ประชาธิปไตยรูปแบบนี้สามารถทําได้ในกรณีของรัฐที่มีประชากรจํานวนน้อย ดังนั้นในโลกปัจจุบันที่มีประชากรจํานวนมหาศาล ประชาธิปไตยทางตรงจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

50. รัฐบาลเกาหลีเหนือ คือระบอบเผด็จการรูปแบบใด
(1) Totalitarianism
(2) Authoritarianism
(3) Benevolent Dictatorship
(4) Theocracy
(5) Aristocracy
ตอบ 1 หน้า 170 เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เป็นรูปแบบของระบอบเผด็จการที่เข้มข้น คือ รัฐบาลทําการควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกด้านทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมตัวอย่างของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของ สหภาพโซเวียต รัฐบาลจีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง รัฐบาลนาซีเยอรมัน รัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลี รัฐบาลเกาหลีเหนือ เป็นต้น

51. ข้อใดคือชื่อเรียกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา
(1) Parliament
(2) Assembly
(3) Congress
(4) Diet
(5) State Duma
ตอบ 3หน้า 172 สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นสถาบันที่มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมาย โดยสถาบันนิติบัญญัตินี้มีทั้งในประเทศประชาธิปไตยและประเทศเผด็จการ และมีชื่อเรียก แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ดังนี้
1. อังกฤษ เรียกว่า Parliament
2. ฝรั่งเศส เรียกว่า Assembly
3. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Congress
4. ญี่ปุ่น เรียกว่า Diet
5. ไทย เรียกว่า รัฐสภา

52. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรัฐสภาอังกฤษ
(1) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Common
(2) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Representative
(3) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Common
(4) ใช้ระบบ 2 สภา คือ Senate กับ House of Representative
(5) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Representative
ตอบ 3 หน้า 174 ระบบสองสภา (Bicameral System) เป็นระบบรัฐสภาที่ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาสูงและสภาล่าง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ไทย เรียกว่า วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร
2. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Senate กับ House of Representative
3. อังกฤษ เรียกว่า House of Lord กับ House of Common

53. หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 4 หน้า 176 – 177 การปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ เป็นการปกครองที่มีการแยกอํานาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แบบไม่เด็ดขาด การใช้อํานาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กันตาม หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power)

54. หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 1 หน้า 178 การปกครองระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการปกครองที่มีการแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารบนหลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) โดยฝ่ายนิติบัญญัติและ ฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นการทํางานของฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารจึงแยกอิสระจากกันค่อนข้างสูง แต่ก็มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

55. การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) ฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่ 5
(2) เยอรมนีในช่วงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
(3) โปรตุเกสในช่วงหลังการปฏิวัติคาร์เนชัน
(4) เยอรมนีในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์
(5) รัสเซียในช่วงหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ตอบ 4 หน้า 180 การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เป็นระบบที่มีการผสมผสาน ระหว่างระบบประธานาธิบดีและระบบรัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์ (ค.ศ. 1919 – 1939) แต่เป็นที่รู้จักเมื่อประเทศฝรั่งเศสนําไปใช้

56. ข้อใดไม่ใช่สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management)
(1) นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
(2) ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
(3) จัดโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดใหญ่
(4) ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
(5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
ตอบ 3 หน้า 186 – 187 สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีดังนี้
1. นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
2. ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
3. ปรับโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดเล็ก
4. ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ฯลฯ

57. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 1 หน้า 200 ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบพหุนิยม (Plurality Electoral System) เป็นระบบที่ใช้ในการเลือกตั้งแบบเขต โดยในแต่ละเขตผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินหนึ่งหรือไม่ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก

58.1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน แล้วแต่จํานวนผู้แทนพึงมีในเขตนั้น คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 5 หน้า 200 ระบบเสียงข้างมากธรรมดา หนึ่งเขตมีตัวแทนมากกว่าหนึ่งคน (Multi-Member District/Constituencies : MMD) หรือระบบรวมเขตเรียงเบอร์ (Block Voting : BV) เป็น ระบบเสียงข้างมากธรรมดา แต่ใน 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คนแล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนจึงมี ในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน โดยผู้เลือกตั้งสามารถ เลือกผู้สมัครได้ตามจํานวนผู้แทนในแต่ละเขต ซึ่งอาจเลือกจากพรรคเดียวกันเรียงเบอร์ไปเลย หรือจะเลือกผู้สมัครจากต่างพรรคก็ได้ หรือหากประสงค์เลือกเพียงเบอร์เดียวก็ได้ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดเรียงตามลําดับจนครบตามจํานวนผู้แทนจึงมีก็จะได้เป็นผู้แทนในเขตนั้น

59. การเลือกพรรคซึ่งส่งผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดได้ที่นั่งทั้งหมดไป คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 4 หน้า 202 ระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเลือกเป็นพรรค หรือระบบบล็อกโหวต พรรคการเมือง (Party Block Vote : PBV) เป็นการเลือกผู้แทนโดยการเลือกพรรคซึ่งส่ง ผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ ที่นั่งทั้งหมดไป ซึ่งระบบนี้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

60. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 2 หน้า 202 ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด หรือระบบเสียงส่วนใหญ่ (Majority Electoral System) เป็นระบบที่ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือสะท้อนเจตนารมณ์ของ ประชาชนอย่างแท้จริง ระบบนี้โดยทั่วไปจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คน

61. ระบบการเลือกตั้งที่เรียกกันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” คือระบบใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 3 หน้า 204 – 205 ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน (Proportional Representation : PR/Party List System) เป็นระบบที่มีการกําหนดเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่ ในแต่ละเขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน โดยการลงคะแนนเสียงจะลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง ไม่ใช่เลือกผู้สมัครรายคน แต่พรรคการเมืองจะทําบัญชีรายชื่อของผู้สมัครเรียงตามลําดับลงไป ทําให้เรียกระบบนี้กันทั่วไป ว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” (Party List System)

62. “การเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Arend Lijphart
(2) Giovanni Sartori
(3) Maurice Duverger
(4) Barnard Grofman
(5) Barbara Geddes
ตอบ 3 หน้า 209 – 210 เมารีส ดูแวร์แจร์ (Maurice Duverger) อธิบายว่า การเลือกตั้งระบบ เสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง โดยที่ระบบ 2 พรรคเด่นมักนําไปสู่รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ในขณะที่ระบบหลายพรรคก่อให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ

63. ระบบใดคือระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 3 หน้า 220 ระบบ 2 พรรค (Two-Party System) คือ การมีพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ ที่ต่อสู้แข่งขันและได้รับคะแนนเสียงสลับกันขึ้นเป็นรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

64. ระบบพรรคการเมืองกรณีพรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น และพรรคคองเกรสในอินเดีย คือ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 2 หน้า 219 – 220 ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (One Dominant-Party System) เป็นระบบ ที่มีพรรคการเมืองได้มากกว่า 1 พรรค หรือกฎหมายเปิดให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งขึ้นได้ แต่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มักได้รับเลือกตั้งคะแนนสูงสุดและครองอํานาจในการปกครอง ตัวอย่างเช่น พรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น พรรคคองเกรสในอินเดีย เป็นต้น

65. ระบบพรรคการเมืองแบบใดมักนําไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสม
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty Systern
ตอบ 5 หน้า 220 ระบบหลายพรรค (Multiparty System) คือ การมีพรรคการเมืองหลายพรรค ต่อสู้แข่งขันกันโดยไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งครองเสียงข้างมาก และอาจต้อง จัดตั้งรัฐบาลผสม ระบบเช่นนี้อาจมีข้อดีคือเกิดความหลากหลายในทางอํานาจ แต่มีข้อเสียคือ การขาดเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้งและหาข้อตกลงกันไม่ได้

66. พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นไปตามระบบพรรคแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and–a-Half-Party System
(5) Multiparty Systern
ตอบ 1 หน้า 219 ระบบพรรคเดียว (One-Party System) คือ การมีพรรคการเมืองพรรคเดียว เท่านั้นในระบบการเมือง พบในประเทศเผด็จการทั้งในรูปแบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ ในระบบพรรคเดียวนี้อาจมีการเลือกตั้งด้วย แต่มีผู้สมัครลงแข่งขันจากพรรคการเมืองเดียว เท่านั้น ตัวอย่างเช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นต้น

67.2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาล เป็นลักษณะของระบบพรรคการเมืองแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 4 หน้า 221, (คําบรรยาย) ระบบถึง 2 พรรค (Two-and-a-Half-Party System) คือ การมี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วนมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอ จะจัดตั้งรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในโปรตุเกส สเปน กรีซ เยอรมนี ออสเตรีย เป็นต้น

68. พรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิก มากกว่าปริมาณ และเน้นการเลือกตั้ง คือโครงสร้างพรรคการเมืองรูปแบบใด
(1) พรรคแบบคณะกรรมาธิการ
(2) พรรคแบบมีสาขาพรรค
(3) พรรคแบบแบ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ในรูปเซลล์
(4) พรรคแบบพลพรรค
(5) พรรคแบบเสรีนิยม
ตอบ 1 หน้า 222 – 223 พรรคแบบคณะกรรมาธิการ เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้น การเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญแต่จะไม่ค่อยเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองอื่น ๆ พรรคแบบนี้ มักตั้งขึ้นโดยกลุ่มชนชั้นนําเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าสู่อํานาจทางการเมือง ไม่ได้ขยายฐานสู่ประชาชน

69. กลุ่มผลประโยชน์ในระบบใด ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระ ของตนเองโดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น
(1) Democratic Corporatist Interest Group System
(2) Controlled Interest Group System
(3) Pluralist Interest Group System
(4) Institutional Group System
(5) Public Interest Group System
ตอบ 3 หน้า 232 ระบบพหุนิยม (Pluralist Interest Group System) กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระของตนเอง โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น แต่จะหมุนเวียนกันไปมีบทบาทหลักในประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน เมื่อเป็นประเด็นอื่นก็จะมีกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นเข้าไป มีบทบาทหลักแทน ระบบกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าวนี้พบมากในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

70. การทําให้เป็นอุตสาหกรรม คือ ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 2 หน้า 238 – 250 แนวคิดหรือทฤษฎีการพัฒนาในแต่ละยุค มีดังนี้
1. ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา เน้นการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองคลาสสิก
2. การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 เน้นการทําให้เป็นอุตสาหกรรม
3. การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980 เน้นการทําให้ทันสมัย ซึ่งคือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
4. การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000 เน้นแนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน
5. การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องของวิกฤติความชอบธรรมของ แนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน การพัฒนาทางเลือกหรือความหลากหลายของการพัฒนา

71. เสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน เป็นการพัฒนาในช่วงใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

72 Beijing Consensus คือ ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 3 หน้า 250 การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่แนวคิดเสรีนิยมใหม่ หรือแนวนโยบายของฉันทามติวอชิงตันถูกตั้งคําถามอย่างหนักภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2008 ในสหรัฐอเมริกา จนมีนักวิชาการบางคนกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลต่อจุดจบของเสรีนิยมใหม่ นําไปสู่การนําเสนอฉันทามติอื่น ๆ เช่น ฉันทามติโคเปนเฮเกน (Copenhagen Consensus) ฉันทามติเม็กซิโก (Mexico Consensus) ฉันทามติปักกิ่ง (Beijing Consensus) หรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ(State-Directed Capitalism) เป็นต้น

73. การทําให้ทันสมัย คือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

74. “การพัฒนาทางการเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความ ทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Pye
(2) Lipset
(3) Huntington
(4) Atmond
(5) Coleman
ตอบ 3 หน้า 245 – 246 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) อธิบายว่า การพัฒนาทาง การเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะและส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

75. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย
(1) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการคนสําคัญ คือ Lipset
(2) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Shedler
(3) วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย คือ วัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม
(4) The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations เป็นผลงาน ชิ้นสําคัญของ Easton
(5) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Marx
ตอบ 1 หน้า 252 – 253 นักวิชาการที่เสนอเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการ คนสําคัญ คือ ลิปเซ็ต (Lipset)
2. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ซึ่งเป็น เจ้าของผลงานเรื่อง “The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations”
3. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) (ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ)

76. ข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย 10 ประการ เป็นคําอธิบาย การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 ดังค์วาร์ด รัสเทาว์ (Dankwart Rustow) ได้อธิบายข้อกําหนดเบื้องต้น สําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไว้ 10 ประการ ตัวอย่างเช่น
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยไม่จําเป็นต้องเป็นตัวเดียวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย
2. การศึกษาประชาธิปไตยต้องตระหนักว่าสหสัมพันธ์อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความสัมพันธ์ เชิงเหตุ-ผล
3. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคมส่งผลต่อการเมือง
4. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยเชิงแนวคิดวัฒนธรรม ส่งผลต่อการกระทําของตัวแสดงเสมอไป ฯลฯ

77. การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 1 หน้า 257 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไว้ในหนังสือ
เรื่อง “คลื่นลูกที่สาม” ทั้งในส่วนของปัจจัยเชิงโครงสร้างและในส่วนของปัจจัยของตัวแสดงซึ่งก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนําทั้งที่อยู่ในอํานาจและที่ไม่อยู่ในอํานาจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลต่อเส้นทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน

78. “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการ ปกครองนอกจากประชาธิปไตย และไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงาน ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียว ในเมือง (The Only Game in Town)” ข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายของนักวิชาการท่านใด
(1) David Easton
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 ฮวน ลินซ์ (Juan Linz) ได้กําหนดนิยามของการสร้างความมั่นคงยั่งยืน ให้กับประชาธิปไตยว่า “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมือง ที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตยและไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียวในเมือง (The Onty Game in Town)”

79. การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่การปฏิวัติในอียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบียและซีเรีย มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Color Revolutions
(2) Arab Spring
(3) Rose Revolution
(4) Asian Spring
(5) Tulip Revolution
ตอบ 2 หน้า 273, (คําบรรยาย) การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เป็นการลุกฮือของ ประชาชนเพื่อต่อต้านอํานาจรัฐและระบบที่เป็นอยู่ ซึ่งการปฏิวัตินี้ได้ทําให้เกิดแรงกระเพื่อม ไปสู่การปฏิวัติในกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แก่ อียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย หรือที่ เรียกกันว่า “การปฏิวัติในฤดูใบไม้ผลิในอาหรับ” หรือ “อาหรับสปริง” (Arab Spring)

80. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
(1) เป็นโลกที่รัฐมีบทบาทมากขึ้น
(2) เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
(3) เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน
(4) มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 281 – 285 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร อธิบายว่า สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์มีลักษณะ สําคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
2. เป็นโลกที่เส้นแบ่งต่าง ๆ ที่เคยมั่นคงชัดเจนเกิดความไม่ชัดเจน นําไปสู่การลากเส้นแบ่ง ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
3. เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
5. มีการก่อการร้ายและการทําสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเป็นความจริงชุดใหม่
6. เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน

81. “ความตื่นตัวของประชาชนในตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริงไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ในคลื่นลูกที่ 4” จากข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedler
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 2 หน้า 293 ลาร์รี่ ไดมอนด์ (Larry Diamond) อธิบายว่า ความตื่นตัวของประชาชนใน ตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนิเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ ประชาธิปไตยในคลื่นลูกที่ 4

82. งานเขียนของใครถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ
(1) แมคคิอาเวลลี
(2) อริสโตเติ้ล
(3) เพลโต
(4) ล็อค
(5) อีสตัน
ตอบ 2หน้า 3 – 4 (คําบรรยาย) หนังสือปรัชญาการเมืองเรื่อง “Politics” ของอริสโตเติ้ล (Aristotle) สะท้อนให้เห็นการใช้วิธีการเปรียบเทียบเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้ทางการเมือง ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการได้มาขององค์ความรู้ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากการนําเอา กฎหมายปกครองของรัฐต่าง ๆ จํานวนมากถึง 158 รัฐมาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าในโลกนี้มีรูปแบบ การปกครองกี่รูปแบบ และแบ่งว่ารูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบที่ดีและรูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบ ที่เลว ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ

83. อริสโตเติ้ลเห็นว่าระบอบการปกครองใดที่ถือเป็นการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ที่ดี
(1) โพลิตี้
(2) คณาธิปไตย
(3) ทรราช
(4) ประชาธิปไตย
(5) อภิชนาธิปไตย
ตอบ 1 หน้า 4 อริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

84. เป้าหมายของการศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมืองคือข้อใด
(1) หาเกณฑ์เชิงปทัสถาน
(2) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(3) สร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 3, (คําบรรยาย) การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมือง เน้นการศึกษาสิ่งที่ควร จะเป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การค้นหาเกณฑ์เชิงปทัสถานหรือสิ่งที่ พึงประสงค์หรือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เหมาะสมในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือระบอบ

การปกครองที่ดี ผู้ปกครองที่ดี รัฐที่ดี กฎหมายที่ดี เพื่อเสนอแนะหลักปฏิบัติทางการเมือง ที่ถูกต้องชอบธรรม มีจรรยาบรรณ อุดมคติ หรือค่านิยมคอยกํากับ ทําให้การศึกษาในยุคนี้ เชื่อมโยงอยู่กับเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และไม่ได้แยกเรื่องค่านิยมออกจากองค์ความรู้ทางการเมือง

85. การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
(1) การเมืองเปรียบเทียบ
(2) ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ
(3) ปรัชญาเปรียบเทียบ
(4) ทฤษฎีเปรียบเทียบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 4 – 5, 8 การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า“การปกครองเปรียบเทียบ”

86. การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันเป็นไปเพื่อเป้าหมายใด
(1) สร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง
(2) สร้างรัฐสมัยใหม่
(3) พัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบพาณิชย์นิยม
(4) สร้างความทันสมัย
(5) ข้อ 1 และ 4 ถูก
ตอบ 1 หน้า 6 – 7 การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันมุ่งศึกษารัฐและสถาบันทาง การเมืองที่เป็นทางการ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ รูปแบบรัฐ รัฐสภา รัฐบาล ตลอดจนกลไก และกระบวนการทางการเมืองต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ ถ่วงดุล การแบ่งแยกอํานาจระหว่าง สถาบันทางการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง เป็นไป ตามกรอบของกฎหมาย รองรับค้ําประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ ของคนส่วนใหญ่ โดยมีความเชื่อว่า หากมีการสร้างสถาบันทางการเมืองได้เป็นอย่างดีแล้ว ระบอบการเมืองก็จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ

87. Large-Ns มีความหมายถึงสิ่งใด
(1) จํานวนศึกษาหลายกรณี
(2) การศึกษาเชิงคุณภาพ
(3) มีจุดแข็งในการสร้างสมมติฐาน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ
ตอบ 1 หน้า 46 – 47, 64 Large-Ns หมายถึง จํานวนศึกษาหลายกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ ในการศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) ซึ่งข้อดีของการศึกษาหลายกรณี มีดังนี้
1. มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐานให้เข้มแข็งมากขึ้น
2. สามารถนําข้อสรุปจากการศึกษาไปใช้กับกรณีศึกษานอกกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
3. ช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
4. ช่วยให้ผลการวิเคราะห์มีลักษณะกลมกลืนกัน ฯลฯ

88. สาขาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในยุคใด
(1) ยุคสถาบัน
(2) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(3) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(4) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังสมัยใหม่
ตอบ 3 หน้า 11, 22, 33 – 34 วิชาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ ภายหลังจากความพยายามในการแสวงหา เอกลักษณ์ให้กับสาขารัฐศาสตร์และการสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์โดยการผลักดันของประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น โดยเป้าหมายหรือหัวใจหลัก สําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือการสร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเหตุเป็นผล มีความน่าเชื่อถือ สามารถนําไปใช้ในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

89. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงการเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
(1) ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการเมืองที่สอดคล้องกับคุณธรรมจริยธรรม
(2) ผลักดันโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้แนวคิดแบบพฤติกรรมศาสตร์
(3) มีเป้าหมายในการสร้างคุณภาพของประชาธิปไตย
(4) เรียกร้องให้เกิดการยอมรับความจริงอันหลากหลาย
(5) ผลักดันโดยสหภาพโซเวียตภายใต้บริบทสงครามเย็น
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 88. ประกอบ

90. เป้าหมายสําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือข้อใด
(1) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(2) สร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย
(3) สร้างกฎหมายปกครองที่ยอดเยี่ยม
(4) ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 88. ประกอบ

91. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงวิชาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบัน
(1) มีวิธีการที่หลากหลาย
(2) เน้นเนื้อหามากกว่าวิธีการ
(3) รวมเรียกว่าการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ
(4) เน้นคุณภาพประชาธิปไตย
(5) เชื่อมั่นในศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การศึกษาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบันนั้นมีขอบเขตกว้างขวาง ครอบคลุม ประเด็นต่าง ๆ ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ การเมืองใน ชีวิตประจําวัน ตลอดจนคุณภาพของประชาธิปไตย ดังนั้นการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ ในปัจจุบันจึงไม่ได้ใช้ศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น แต่ใช้แนวทางและวิธีการอันหลากหลาย ที่สอดคล้องกับประเด็นการศึกษา เพื่อให้เกิดองค์ความรู้สําหรับการอธิบายทางการเมือง ตลอดจนเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองต่าง ๆ อย่างรอบด้าน

92. กรณีศึกษาแบบใดช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
(1) Small-Ns
(2) การศึกษากรณีประเทศเดียว
(3) Large-Ns
(4) กรณีศึกษาตามรายประเด็น
(5) กรณีศึกษาเชิงลึก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

93. วิธีการเปรียบเทียบในวิชาการเมืองเปรียบเทียบถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป้าหมายใด
(1) สกัดหาตัวแปรที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา
(2) การแข่งขันระหว่างประเทศ
(3) หาสิ่งที่พึงประสงค์
(4) สร้างความได้เปรียบ
(5) สร้างจริยธรรมทางการปกครอง
ตอบ 1 หน้า 50 วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการที่ต้องเลือกมาใช้ในการเปรียบเทียบเพื่อสร้างคําอธิบาย
ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเงื่อนไขหรือปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ กับผลลัพธ์ที่ศึกษา หรือ กล่าวอีกนัยคือ วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการสําหรับนํามาใช้เพื่อสกัดหาตัวแปรหรือเงื่อนไข ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา

94. ข้อใดไม่ใช่หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง
(1) ระบบการเมือง
(2) สถาบันทางการเมือง
(3) รัฐ
(4) กฎหมาย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 38, (คําบรรยาย) หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง เป็นหน่วยวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างต่าง ๆ ในสังคม เช่น ระบบการเมือง รัฐ ชนชั้น สถาบันทางการเมือง กฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ความสัมพันธ์เชิงอํานาจ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ในระดับนี้จะมี ความเชื่อว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นมีอิทธิพลต่อการกระทําของมนุษย์และการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม พฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้มีเสรีภาพมากนัก แต่จะแสดงออกมาภายใต้กรอบ ของโครงสร้างดังกล่าว

95. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบ
(1) ต้องเปรียบเทียบกรณีมากกว่า 1 ประเทศเท่านั้น
(2) ศึกษาประเทศเดียวก็ได้
(3) การเปรียบเทียบระดับโลกเป็นการศึกษาที่ได้ข้อมูลกว้างแต่ไม่ลึก
(4) การเปรียบเทียบกรณีศึกษาเดียวทําให้ได้ข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 40 – 41 การเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบสามารถเลือกศึกษาประเทศเดียวก็ได้ซึ่งการเปรียบเทียบอาจจะเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ภายในประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ศึกษาเฉพาะสถาบันทางการเมืองหนึ่ง ๆ เช่น พรรคการเมือง สถาบันทหาร รัฐสภา กลุ่มผลประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งการเลือกศึกษาประเทศเดียวนี้จะง่ายต่อ ผู้ศึกษารุ่นใหม่ที่ประสบการณ์ยังไม่เยอะมาก

96. นักวิชาการผู้ใดเป็นผู้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยม
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น ล็อค
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(5) เดวิด อีสตัน
ตอบ 3 หน้า 50 – 57, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยมไว้ 4 วิธีการ คือ
1. วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement)
2. วิธีการพิจารณาความแตกต่าง (Method of Difference)
3. วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่ (Method of Residues)
4. วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน (Method of Concomitant Variations)

97. มองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างในกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 51 วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement) เป็นการมองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ในกรณีศึกษาต่าง ๆที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์

98. ค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่า ตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(3) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
(4) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) เป็นการค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์

99. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

100. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

WordPress Ads
error: Content is protected !!