POL3314 การบริหารชุมชนเมือง 1/2566

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3314 การบริหารชุมชนเมือง
คําสั่ง ข้อสอบมี 9 ข้อ แต่ให้เลือกทําเพียง 4 ข้อ

ข้อ 1. จงอภิปรายในหัวข้อ “เมืองในอุดมคติของข้าพเจ้า” มาพอสังเขป ?

แนวคําตอบ

เมืองในอุดมคติของข้าพเจ้า มีลักษณะที่สําคัญดังนี้

1. เมืองจะต้องมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ไม่มีความเหลื่อมล้ํา ของประชาชนในการเข้าถึงบริการพื้นฐานทางเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ บริการโทรคมนาคม ฯลฯ

2. เมืองจะต้องมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาสภาพแวดล้อมในพื้นที่เมืองให้มีความน่าอยู่ ปลอดภัย และมีการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม

3. เมืองจะต้องมีการจัดโครงสร้างพื้นฐานที่สอดคล้องกับศักยภาพทางเศรษฐกิจและ โครงสร้างทางสังคมและประชากรในพื้นที่ โดยเฉพาะรองรับประชากรผู้สูงอายุที่มีจํานวนมากขึ้นในอนาคต

4. เมืองจะต้องมีการเฝ้าระวังและบูรณาการในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน น้ํา ไฟฟ้า รวมถึง ถนนหนทาง สะพาน อุโมงค์ รถไฟ รถไฟฟ้าใต้ดิน ท่าเรือ ท่าอากาศยาน การสื่อสาร ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อใช้ทรัพยากร เหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

5. เมืองจะต้องมีการวางแผนกิจกรรมการบํารุงรักษาเชิงป้องกันและเฝ้าระวังในมิติด้าน ความปลอดภัยขณะที่ให้บริการอย่างดีที่สุดแก่ประชาชน

6. เมืองจะต้องมีระบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณขยะ และจัดหมวดหมู่ประเภทของขยะที่แหล่งกําเนิดขยะ ให้ประชาชนชาวเมืองเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด โดยภาคการศึกษาจะต้องมีบทบาทสําคัญในการปลูกจิตสํานึกในเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนอย่างแท้จริงซึ่งขณะเดียวกันในส่วนของภาคกฎหมายจะต้องออกกฎที่เข้มงวด และเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้ละเมิดหรือฝ่าฝืน

7. เมืองจะต้องมีการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น การติดตามเฝ้าระวังเรื่องมลพิษ สร้างสังคมคาร์บอนต่ำส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการนําวัตถุดิบกลับมาใช้ซ้ำ ฯลฯ มีระบบการจัดการ ทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา น้ำเสีย การระบายน้ำตามธรรมชาติ น้ำท่วมจากฝนตกหนัก รวมไปถึงการอนุรักษ์น้ำ และลดปริมาณการใช้น้ำโดยไม่จําเป็น

8. เมืองจะต้องมีการจัดระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ชาญฉลาด มีความปลอดภัยและยั่งยืน โดยระบบขนส่งแบบความเร็วสูง เช่น รถไฟใต้ดิน รถไฟรางเบา รถไฟฟ้ารางเดี่ยว ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการเข้าถึงของประชาชนได้อย่างทั่วถึง ซึ่งในระยะยาวต้องพัฒนาให้เกิดความเชื่อมโยงการบริการ
ของระบบขนส่งและเครือข่ายของโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็นระหว่างเมืองศูนย์กลางทั่วประเทศ เพื่อยกระดับ คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นต้น

ข้อ 2. “เมือง” และ “ชุมชนเมือง” คืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร จงอธิบายโดยทําให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ
และสร้างกรอบจินตนาการที่ชัดเจน ?

แนวคําตอบ

เมือง (City/Urban) มีความหมายที่สําคัญดังนี้

-การตั้งถิ่นฐานถาวรขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างถาวร (เช่น บ้านเรือน) มีสิ่งอํานวยความสะดวกด้านการสาธารณูปโภค (เช่น ประปา ไฟฟ้า ถนน)

-เมืองจะเป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองจํานวนมาก มีความหนาแน่นของประชากรอยู่ใน ระดับสูง ประชากรของแต่ละเมืองจะประกอบไปด้วยคนต่างเพศ ต่างสถานภาพ ซึ่ง
ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรกรรม

– เมืองจะมีระบบการบริหารและการปกครองเป็นของตนเอง

– เมืองจะประกอบด้วยองค์กรทางสังคมต่าง ๆ มากมาย

– เมืองจะเป็นศูนย์รวมของขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เช่น ในเชิงทางประวัติศาสตร์ เมืองจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และการศึกษา การตลาดและการพาณิชยกรรม การบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารขององค์กรเอกชนต่าง ๆ การศาสนาและประเพณี

– เมืองบางแห่งอาจเกิดขึ้นเพื่อทําหน้าที่พิเศษเฉพาะด้าน เช่น เมืองหน้าด่านและ ป้อมปราการทําหน้าที่ป้องกันตนเองและป้องกันเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบเมืองเดียวกัน

– เมืองกลายเป็นผู้ใช้และผู้ผลิตที่เพิ่มค่าทางเศรษฐกิจของวัตถุดิบและการบริโภคอุปโภค อย่างมากมาย จนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศ เช่น การค้า การธนาคาร การบริหารอุตสาหกรรม การขนส่งคมนาคม แหล่งขายปลีก ตลอดจน เป้นศูนย์กลางของรัฐบาล

ชุมชนเมือง (Urban Community) หมายถึง ชุมชนที่ประกอบไปด้วยคนทุกสถานะ ไม่ว่า จะเป็นคนรวยหรือคนจนรวมกันอยู่อย่างแออัดในพื้นที่ ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนแตกต่างจากสังคมในชนบท ทั้งนี้เพราะการที่ชุมชนเมืองจะประกอบไปด้วยผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีจํานวนจํากัด คนในชุมชนเมือง จึงมักจะมีความเป็นอยู่หนาแน่น จนกระทั่งเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมักจะมีปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น

สาเหตุของการเกิด

1. ในแง่การผลิตและการพัฒนาอุตสาหกรรม เมืองหลายเมืองได้กลายมาเป็นเมืองมหานคร โดยมีจุดเริ่มและก่อกําเนิดมาจากบทบาทในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจหรือเป็นเมืองหลวง (เช่น กรุงเทพฯ, จากาตาร์, เม็กซิโก ซิตี้ ฯลฯ) หรือเป็นเมืองใหญ่ริมชายฝั่งทะเล (เช่น กัลกัตตา, เซาเปาโล, เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ) ซึ่งการ รวมตัวเป็นชุมชนหนาแน่นเป็นกลุ่มก้อนดังกล่าวจะช่วยเอื้อให้เกิดความประหยัดหรือการขาดแคลนในด้านแรงงาน วิทยาการความรู้ การบริการธุรกิจการเงิน การติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการขนส่ง

2. ในแง่ทางสังคมวิทยา จะพบว่าการรวมกันเข้าเป็นชุมชนเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ และ สิ่งแวดล้อมในสังคมเป็นตัวกําหนด ซึ่งแนวโน้มการตั้งถิ่นฐานหรือที่อยู่อาศัยที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หมู่บ้าน เมือง นคร ตามลําดับ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความต้องการและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การบริการ การค้า การลงทุน ประกอบการ การดําเนินกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ ที่มีทั้งแรงผลักแรงดันระหว่างชุมชนเมืองกับชุมชนชนบท ดังนั้นความต้องการเข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนเมืองจึงเป็นความคาดหวังว่า จะมีชีวิตที่ดีกว่าของมนุษย์

3. ในแง่ความเป็นชุมชนเมือง มักไม่มีหลักเกณฑ์ของจํานวนเลขที่แน่ชัดมากําหนดว่า ควรมีจํานวนเท่าใด ซึ่งสิ่งนี้จะแปรตามหรือขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศจะกําหนดขึ้น เช่น การพิจารณาเปรียบเทียบ ระหว่าง 2 ชุมชน หากชุมชนหนึ่งมีประชากรเป็น 50 เท่าของอีกชุมชนหนึ่ง ก็จะถือว่าชุมชนนั้นเป็นชุมชนเมือง ส่วนอีกชุมชนหนึ่งเป็นชุมชนชนบท เป็นต้น

ข้อ 3. จงอธิบายสาระสําคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง และชุมชนอย่างยั่งยืน รวมทั้งสาระสําคัญที่เกี่ยวข้องจากที่ประชุม UNGA ในปีนี้ มาโดยละเอียด ?

แนวคําตอบ

การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) เป็นแนวทางของการพัฒนาที่ตอบสนอง ความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ลิดรอนความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นหลัง ซึ่ง การบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนจะมีองค์ประกอบที่สําคัญ ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ความครอบคลุมทางสังคม
และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญครั้งที่ 70 เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2015 ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาติ ประเทศไทยและประเทศสมาชิกสหประชาชาติรวม 193 ประเทศ ร่วมลงนาม รับรองวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (2030 Agenda for Sustainable Development) ซึ่งเป็นกรอบการ พัฒนาของโลกเพื่อร่วมกันบรรลุการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยกําหนดให้มีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) เป็นแนวทางให้แต่ละประเทศดําเนินการร่วมกัน

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) มี 17 เป้าหมาย คือ

1. การขจัดความยากจนทุกรูปแบบ
2. การขจัดความหิวโหย การบรรลุความมั่นคงทางอาหารและเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
3. การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
4. การได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียมและทั่วถึง และมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. การบรรลุความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ การเพิ่มพลังสตรีและเด็กหญิง
6. การเข้าถึงการใช้น้ําสะอาดและสุขาภิบาลที่ดี
7. การเข้าถึงพลังงานที่มั่นคงและสะอาด
8. การมีงานที่มีคุณค่าเพื่อเพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
9. การส่งเสริมอุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
10. การลดความเหลื่อมล้ําทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
11. การตั้งถิ่นฐานและชุมชนอย่างยั่งยืน
12. การส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
13. การเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
14. การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน
15. การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรบนบกและรักษาระบบนิเวศ
16. การสร้างสังคมสันติสุข ยุติธรรม และมีสถาบันทางสังคมที่มีความเข้มแข็ง
17. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในทุกระดับในการบรรลุถึงเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน ของโลก

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเมืองและชุมชนนั้นจะปรากฏอยู่ในเป้าหมายที่ 11 คือ การพัฒนาเมือง และชุมชนอย่างยั่งยืน นั่นก็คือ การทําให้เมืองมีความครอบคลุมปลอดภัย เข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งมีเป้าหมายโดยรวม ในการยกระดับที่อยู่อาศัยชุมชนแออัด การขนส่งอย่างยั่งยืน การวางแผนการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ มรดกทาง วัฒนธรรม การสร้างความเข้มแข็งเพื่อรองรับประเด็นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของเมือง รวมไปถึงการบรรเทาทุกข์ จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัว ตลอดจนการสร้างอาคารที่ยั่งยืน เป็นต้น ดังนั้น การทําให้เมืองปลอดภัยและยั่งยืนจึงหมายถึง การสร้างหลักประกันในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและราคา ที่เหมาะสม รวมทั้งการยกระดับที่อยู่อาศัยชุมชนแออัด การลงทุนเรื่องการขนส่งสาธารณะ การสร้างพื้นที่สีเขียว สาธารณะ การปรับปรุง การวางผังเมืองและการจัดการโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนนั่นเอง

นอกเหนือจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 เป้าหมาย ยังประกอบไปด้วย 169 เป้าหมายย่อย (SDG Targets) ที่มีความเป็นสากล เชื่อมโยงและเกื้อหนุนกัน และกําหนดให้มี 247 ตัวชี้วัด เพื่อใช้ติ เพื่อใช้ติดตามและ ประเมินความก้าวหน้าของการพัฒนา โดยสามารถจัดกลุ่ม SDGs ตามปัจจัยที่เชื่อมโยงกันใน 5 มิติ ซึ่งได้แก่

1. การพัฒนาคน โดยให้ความสําคัญกับการขจัดปัญหาความยากจนและความหิวโหย และลดความเหลื่อมล้ำ

2. สิ่งแวดล้อม โดยจะให้ความสําคัญกับการปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสภาพภูมิอากาศเพื่อพลเมืองโลกรุ่นต่อไป

3. เศรษฐกิจและความมั่งคั่ง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและสอดคล้องกับธรรมชาติ

4. สันติภาพและความยุติธรรม โดยยึดหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีสังคมที่สงบสุขและไม่แบ่งแยก

5. ความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนวาระ การพัฒนาที่ยั่งยืน

สาระสําคัญจากเวทีประชุมสมัชชาสหประชาชาติ หรือ UN General Assembly (UNGA) ครั้งที่ 78 ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 18 – 26 กันยายน ค.ศ. 2023 จะมีวาระสําคัญหลายประเด็น โดยสามารถสรุป ประเด็นสําคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางการวางนโยบายการพัฒนาของประเทศต่าง ๆ และการใช้ชีวิตประจําวันของ พวกเราทุกคน แบ่งได้เป็น 3 ประเด็นหลักดังนี้

1. ปรับแผน SDGs กันใหม่ เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี ค.ศ. 2030 เนื่องจาก วิกฤติต่าง ๆ ที่กําลังเกิดขึ้นในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผนวกกับภัยพิบัติธรรมชาติ ปัญหาความขัดแย้ง และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้ความคืบหน้าของเป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืนมีแนวโน้มที่จะถดถอยลง นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 ที่ทุกประเทศสมาชิกประกาศรับรอง SDGs เป็นเป้าหมาย การพัฒนาระดับโลก พบว่ามีการดําเนินการเพียง 12% เท่านั้นที่เป็นไปตามเป้าหมาย

สําหรับประเทศไทยนั้นมีรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะแสดงจุดยืนตามนโยบายรัฐบาลในการเชื่อมโยงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) กับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ในหัวข้อหลักที่สําคัญคือ การลดความเหลื่อมล้ํา การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการมี สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

2. ทุกภาคส่วนทั่วโลกร่วมเดินหน้า จัดการวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจากผลวิจัยของ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC ได้แสดงถึงความน่าเป็นห่วง ของปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งในปัจจุบันพบว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) ทั่วโลกยังคงอยู่ ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับจากวันนี้และตลอด 30 ปีข้างหน้า ทั่วโลกต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลงอย่างจริงจัง เพื่อจํากัดอุณหภูมิโลกไม่ให้ร้อนไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส การที่จะแก้ปัญหาที่เร่งด่วนเช่นนี้ได้ จําเป็นจะต้องใช้ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และภาคการเงินของแต่ละประเทศ

การประชุมดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์สําคัญทางการเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ทั่วโลกจะร่วมกันรับมือกับภาวะโลกร้อน เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของพลังงานหมุนเวียนที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม และเป็นที่สังเกตได้จากการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา โดยมีการพูดถึงการส่งเสริม การผลิต การใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของโลก

3. เตรียมความพร้อมสําหรับงาน Summit of the Future 2024 เพื่อเสริมพลัง ความร่วมมือระดับพหุภาคี เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น การระบาดใหญ่ของโควิด-19 การเกิดขึ้นของสงครามยูเครน และวิกฤติหลัก 3 ประการ (Triple Planetary Crisis) ที่กําลังคุกคามโลก ซึ่งได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหามลพิษ และวิกฤติการสูญเสียความหลากหลาย
ทางชีวภาพ

โดยประเด็นที่กล่าวมาในข้างต้นนั้นถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความท้าทายที่นานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศที่จะต้องเดินหน้าจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนั้นสมัชชาสหประชาชาติจึงตัดสินใจที่จะจัด เวทีการประชุมดังกล่าวนี้โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้แทนในประเทศต่าง ๆ และผู้มีอํานาจตัดสินใจได้มาร่วมประชุม กําหนดวาระสําคัญก็เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ การยึดถือธรรมาภิบาลโลก ความมุ่งมั่นในการไปสู่ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และกฎบัตรสหประชาชาตินั่นเอง

ข้อ 4. จงวิเคราะห์สถานการณ์ของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกพร้อมกับอธิบายถึงผลกระทบที่จะเกิดและ
เสนอแนวทางบรรเทาผลกระทบดังกล่าวมาพอสังเขป ?

แนวคําตอบ

สถานการณ์ของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก

จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่าในปี พ.ศ. 2561 ประชากรในเขตเมืองนั้น มีมากกว่าในชนบท โดยมีผู้คนอาศัยอยู่ในเขตเมืองประมาณร้อยละ 55 ของประชากรโลก ซึ่งในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2493 พบว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในเขตเมืองเพียงร้อยละ 30 ของประชากรโลกเท่านั้น นอกจากนี้สหประชาชาติยังคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี พ.ศ. 2593 จะมีคนอาศัยอยู่ในเมืองเพิ่มสูงถึงร้อยละ 68 ของประชากรโลกอีกด้วย

ในแง่ประชากรในชนบท (Rural Population) ของโลก พบว่าเติบโตอย่างช้า ๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งในปัจจุบันในชนบททั่วโลกมีจํานวนเกือบ 3.4 พันล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจะลดลงเหลือประมาณ 3.1 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2593 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแอฟริกาและเอเชียซึ่งมีประชากรชนบทเกือบร้อยละ 90 ของประชากรชนบทของโลก

ในแง่ประชากรในเมือง (Urban Population) ของโลก พบว่าเติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 โดยเพิ่มขึ้นจาก 751 ล้านคน เป็น 4.2 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2561 แม้ว่าเอเชียจะมีการขยายตัว น้อยกว่าภูมิภาคอื่น ๆ แต่กลับพบว่ามีประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองสูงถึงร้อยละ 54 ของทั่วโลก ในขณะที่แอฟริกา มีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้น

ดังนั้นสถานการณ์ในปัจจุบันของการอยู่อาศัยของมนุษย์ในโลก จึงเป็นลักษณะการอยู่อาศัย ในโลกแห่งชุมชนเมือง นั่นคือ ปัจจุบันประชากรโลกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และประชากรโลกมากกว่า ครึ่งหนึ่งนั้นได้เข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนเมือง โดยเฉพาะเมืองในประเทศกําลังพัฒนานั้นจะมีอัตราการเข้ามาอยู่ อาศัยของประชากรเพิ่มมากขึ้นมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว จนกระทั่งบางประเทศได้กลายเป็นชุมชนเมืองไป ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ปัจจุบันนี้เราอยู่ในโลกแห่งชุมชนเมืองอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้กําหนดให้วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เป็นวันที่ประชากรโลก มีจํานวนครบ 7 พันล้านคน ซึ่งเรียกว่า “Day of 7 Billion” และในปัจจุบันนี้จํานวนประชากรโลกที่มีแนวโน้ม เพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็มีความปรารถนาที่ต้องการอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี มีอากาศบริสุทธิ์ อาหารและน้ําสะอาด มีบ้านอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่สะอาด และทํางานในสถานที่ที่ปลอดภัย มีการควบคุม ป้องกันมลพิษตลอดจนพิษภัยอันตรายจากโรคต่าง ๆ มีการดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนแต่เนื่องจากความต้องการ ในการอยู่อาศัยของประชาชนในชุมชนเมืองมีมาก และประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรม การค้า การท่องเที่ยว ย่อมส่งผลกระทบต่อการพัฒนาความเป็นเมืองหรือการสร้างบ้านแปลงเมือง ชุมชนเมืองและ การอยู่อาศัยของมนุษย์บนโลกโดยรวม ซึ่งจะทําให้เกิดปัญหาความต้องการในด้านการบริโภค อุปโภค การขาดแคลน และทรัพยากรสิ่งจําเป็นพื้นฐานตามมา เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย พลังงาน ทรัพยากรประเภทอื่น ๆ เป็นต้น

ผลกระทบอันเกิดจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก

1. ปริมาณความต้องการน้ำจืด (Fresh Water) เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นก็จะส่งผล กระทบต่อปริมาณน้ำจืดที่จําเป็นต่อการอุปโภคบริโภค ทั้งนี้เพราะมนุษย์จะพยายามขยายพื้นที่อยู่อาศัยออกไปเรื่อย ๆ อาจจะถมที่ดินหรือสร้างบ้านจัดสรรก็ทําให้เกิดการบุกรุกเบียดเบียนแหล่งน้ําจืด ส่งผลให้ระบบวงจร
ของน้ําที่ระเหยจากแหล่งน้ำเป็นไอน้ำขึ้นไปกลายเป็นเมฆแล้วก็กลั้นตัวลงมาเป็นฝนมีปริมาณลดลงถึงร้อยละ 75 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ถึงปี ค.ศ. 2050 โดยมีการคาดการณ์ว่าเมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 จะมีน้ำจืดเหลือเพียง 1 ใน 4 ของ ปริมาณน้ําจืดในปี ค.ศ. 1950 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ําต่าง ๆ เช่น เขื่อน แม่น้ำ ฯลฯ ในหลาย ๆ ประเทศ ก็จะประสบกับปริมาณน้ำลดน้อยถอยลงและแห้งแล้ง หรือบางภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกในบางฤดูกาลก็จะเกิดปัญหา น้ำท่วม ซึ่งเป็นผลมาจากการบุกรุกแหล่งกักเก็บน้ำต่าง ๆ และทําลายป่าไม้นั่นเอง

แนวทางบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ การรีไซเคิลน้ำกลับมาใช้ใหม่ การทําฝนเทียม การแยกเกลือออกจากน้ำเค็ม การอนุรักษ์แหล่งน้ำบาดาลแห่งใหม่ ลดการทําปศุสัตว์ลง รวมไปถึงแนวคิดในเรื่อง การทําเกษตรแนวใหม่ หรือการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยลง โดยนําวิธีที่จะใช้น้ำให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การใช้ระบบน้ำหยด เป็นต้น

2. ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์มักจะมีระบบนิเวศ ที่อุดมสมบูรณ์ด้วย เช่น มีแม่น้ำ ลําธาร ป่าไม้ ภูเขา สัตว์ป่า พืชพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอาหารของปลาและสัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบห่วงโซ่อาหาร เมื่อเกิดภาวะโลกร้อนเกิดความแห้งแล้ง พื้นที่ชุ่มน้ำหรือพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้ ก็เกิดปัญหาความเหือดแห้งส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อประมาณ 65 ล้านกว่าปีที่ผ่านมานี้ สิ่งมีชีวิตได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ 100 ถึง 1,000 เท่าของอัตราปกติ โดยที่มนุษย์มิใช่เป็นเพียงพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นเหตุของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตดังกล่าว

แนวทางบรรเทาผลกระทบดังกล่าวนั้นจําเป็นต้องมีการจัดทําแนวทางและวิธีดําเนินการในการป้องกัน การแก้ไขฟื้นฟู และการอนุรักษ์ ซึ่งได้แก่ การใช้กฎหมาย การประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ความรู้และ ความเข้าใจแก่ประชาชนในการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม การบําบัดฟื้นฟูสภาพของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นและเหมาะสมสําหรับการใช้ประโยชน์ต่อไป รวมไปถึงมีการแบ่งเขต/ พื้นที่ควบคุมเพื่อให้มีสภาวะที่เหมาะสมสําหรับการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากร เช่น การจัดพื้นที่เป็นป่าอนุรักษ์ หรืออุทยาน ซึ่งจะทําให้สภาพดิน พืช สัตว์ และป่าไม้ มีสภาพเหมาะสมในการขยายพันธุ์ ดํารงพันธุ์ และเจริญเติบโตเป็นต้น

3. การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) ภาวะโลกร้อนหรือภูมิอากาศ เปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากการกระทําของมนุษย์ และปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสังคมเมืองและภาคอุตสาหกรรม ที่ปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จนเกิดการสะสมและทําลายชั้นโอโซน (Ozone Layer) ซึ่ง เรียกว่า “ภาวะเรือนกระจก” ก็มีแนวโน้มทําให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบให้น้ําแข็งขั้วโลกละลาย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อแหล่งอาหาร สภาวะทางธรรมชาติ และตัวมนุษย์เองด้วย

แนวทางบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ ลดการใช้พลังงานที่มีส่วนทําให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้สารเคมีในการเกษตร ลดการใช้พลาสติก เลือกใช้กระดาษรีไซเคิล หันมาใช้พลังงานไบโอดีเซล และสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานทดแทนอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ํา พลังงานลมเป็นต้น

4. การประมงหรือการจับปลาในมหาสมุทร (Oceanic Fish Catch) การจับสัตว์น้ํา ทางทะเลส่งผลต่อการลดลงของปริมาณกุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 – 1988 อัตราการจับสัตว์น้ําเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 19 ล้านตัน มาเป็น 88 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าการเพิ่มขึ้นของจํานวนประชากรเสียอีก แต่หลังปี ค.ศ. 1988 เป็นต้นมา อัตราการจับปลาก็ลดลง ซึ่งในปี ค.ศ. 1996 ลดลงเหลือ 16 กิโลกรัมต่อคน อย่างไรก็ตามการจับสัตว์น้ําก็ยังมีมากอยู่ เพราะว่าคนนิยมบริโภคอาหารทะเลกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งอัตราการจับ สัตว์น้ําลดลงนั้น เป็นผลมาจากสัตว์น้ําเริ่มลดจํานวนลงและสูญพันธุ์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นและ
ยังมีการใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างฟุ่มเฟือย นักชีววิทยาทางทะเลได้กล่าวไว้ว่า อัตราการจับสัตว์น้ําในปัจจุบันนี้ มีประมาณปี 93 ล้านตัน ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อจํานวนประชากรโลก และอีกไม่นานมนุษย์เราก็อาจจะมีอาหาร เหล่านี้รับประทานกันได้น้อยลงและยากขึ้น

แนวทางบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ การปลูกป่าชายเลนเพื่อให้มีแหล่งอาหารของ สัตว์ เป็นที่วางไข่และเป็นที่อยู่ของตัวอ่อนของสัตว์ทะเลหลายชนิด หยุดการทําไม้ป่าชายเลนและการทําเหมืองแร่ ในพื้นที่ป่าชายเลน งดการใช้อวนรุน อวนลาก ไม่ทิ้งสมอเพื่อจอดเรือในแนวปะการัง เพราะจะทําให้ปะการัง หักเสียหาย งดการจับปลาในช่วงฤดูวางไข่ ไม่ใช้ระเบิดจับปลา ไม่สร้างโรงแรมและที่พักติดทะเลเพราะจะทําให้เกิด น้ําเสียอันเป็นเหตุให้ปะการังตาย เป็นต้น

5. งานหรือการมีงานทํา (Jobs) ประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อภาวะ การจ้างงานและตําแหน่งงาน ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โลกมีจํานวนแรงงานเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า คือ จาก 1.2 พันล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 2.7 พันล้านคน จากข้อมูลขององค์การแรงงานสากล (The United Nations International Labor Organization : ILO) ได้คาดการณ์ว่าจะมีคนตกงานกว่า 1 พันล้านคน หรือ 30% ของ คนในวัยแรงงาน และในช่วงอีกครึ่งศตวรรษต่อไปจะมีคนตกงานประมาณเกือบ 2 พันล้านคน ซึ่งมากกว่าตําแหน่งงาน ที่มีอยู่ประมาณ 1.9 พันล้านตําแหน่ง โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นปัญหาในประเทศกําลังพัฒนา ทั้งนี้เพราะประเทศ เหล่านั้นมีอัตราการเกิดและจํานวนประชากรมาก และเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นจํานวนมากด้วย ในขณะที่ตําแหน่งงาน ที่มีอยู่ มีจํานวนอัตราตําแหน่งเติบโตน้อยกว่าแรงงาน เป็นต้น

แนวทางบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ ลดช่องว่างระหว่างรายได้ของประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชนมีมาตรฐานการศึกษาสูงขึ้น พัฒนาและยกระดับฝีมือแรงงาน มีการอบรมการประกอบอาชีพ ให้แก่ประชาชน จัดหาตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม เพิ่มคุณภาพของสินค้าและบริการ กระจายอุตสาหกรรมไปสู่ภูมิภาค มีการใช้นโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดต่างประเทศให้มาลงทุนในประเทศ มากขึ้น เป็นต้น

ข้อ 5. จงอธิบายมุมมองต่อ “เมือง” ในทางทฤษฎีของศาสตร์สาขาต่าง ๆ มา 3 ทฤษฎี พร้อมทั้งอธิบาย ขยายความโดยละเอียดในแต่ละทฤษฎี ?

แนวคําตอบ

มุมมองต่อ “เมือง” ในทางทฤษฎีของศาสตร์สาขาต่าง ๆ มีดังนี้

1. แนวความคิดในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์

กระบวนการในการเกิดขึ้นของเมืองในทางเศรษฐศาสตร์จะเกี่ยวโยงกับกระบวนการทางโครงสร้างของสังคมที่ก่อให้เกิดพลวัต หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจชนบทไปเป็นเศรษฐกิจเมือง ในแง่ของการแปลงสภาพ ประชากร กระบวนการผลิต และสภาพแวดล้อมทางสังคมการเมือง และเศรษฐกิจชนบท ไปสู่ฐานะของเศรษฐกิจเมือง เช่น

1) การใช้แรงงานเข้มแข็งขึ้นและมีความเป็นปัจเจกภาพสูง
2) มีการกระจุกตัวของแรงงานมากขึ้น
3) มีความชํานาญในการผลิตสินค้าและบริการค่อนข้างสูง
4) มีการพึ่งพาต่อกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐบาลอย่างใกล้ชิด
5) มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และลักษณะของการประกอบการในระดับสูง
6) ความหนาแน่นของประชากรทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสําคัญที่จะเกิดขึ้นในแง่ความเป็นเมือง คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมเนื่องจากการเกิดความชํานาญ การแบ่งงานกันทําตามความสามารถเฉพาะ การใช้ทุนเข้มข้นในการผลิตและใช้เทคโนโลยี ตลอดจน ประดิษฐกรรมที่ทันสมัย ทําให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมและกระบวนการเกิดเป็นเมืองซึ่งเป็นกระบวนการที่ ควบคู่กัน

2. แนวความคิดในทางทฤษฎีของนักสังคมวิทยา

ในทางสังคมวิทยา มองว่าระบบชุมชนเป็นระบบของปัจจัย 3 ประการที่เกี่ยวข้องกัน คือ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Areas) การปะทะสังสรรค์กันทางสังคม (Social Interaction) และ ความผูกพันร่วมกัน (Common Ties) กล่าวคือ ในสังคมนั้นจะประกอบด้วยบุคคลที่มีการปะทะสังสรรค์กัน ทางสังคมในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ และมีความผูกพันร่วมกันในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่ง

ผลผลิตของชุมชนหรือสังคม ซึ่งได้แก่

– การกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization)
– การควบคุมทางสังคม (Social Control)
– การมีส่วนร่วมในสังคม (Social Participation)
– การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (Mutual Support)
การผลิต การบริโภค และการกระจายสินค้าและบริการภายในชุมชน(Production-Consumption-Distribution)

ในแง่ของจิตใจและวัฒนธรรมนั้น คนจะมีความรู้สึกในความเป็นคนถิ่นนั้นถิ่นนี้ ทั้งนี้ เพราะเกิดความรู้สึกมั่นคงในการมีที่ยึดเหนี่ยวด้านจิตใจ (Community Sentiment) ที่เกิดจากการหล่อหลอม ทางค่านิยมของกฎเกณฑ์และเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งกระบวนการของคนในสังคมหรือชุมชนโดยลักษณะธรรมชาติ ดังกล่าวก็คือ ความเป็นเมืองนั่นเอง

3. แนวความคิดในทางทฤษฎีของนักมานุษยวิทยา

นักมานุษยวิทยา มองว่ากระบวนการสร้างความเป็นเมือง (Urbanization) เป็นรูปหนึ่งของกระบวนการปรับตัวของมนุษย์ ทั้งนี้เนื่องจากชุมชนเมืองเป็นรูปแบบที่สําคัญที่มนุษย์ได้พัฒนาขึ้น การปรับตัวจึงเป็นความสําเร็จอย่างหนึ่งของกลุ่ม และความสําเร็จนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมนั้น ๆ ว่าจะเป็นไปได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องอาศัยความกลมกลืนกันระหว่างปัจจัยในด้านต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า “ปมในเชิงนิเวศวิทยา” (Ecological Complex) ซึ่งจะประกอบด้วย

1) ปัจจัยด้านประชากร (Population) โดยมีปัจจัยด้านโครงสร้างของประชากรที่มีผลต่อกระบวนการเป็นเมือง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้จะชี้ให้เห็นมิติของประชากรทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพตลอดจนการกระจายตัวหรือโครงสร้างซึ่งประกอบด้วยลักษณะของคนในแต่ละช่วงอายุ เช่น คุณภาพการศึกษา ทักษะการทํางาน อาชีพ จํานวน การพัฒนา และแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของคนในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งจะส่งผลถึง ปัจจัยด้านอื่น ๆ

2) ปัจจัยด้านการจัดองค์กร (Organization) โดยมีมิติที่จะพิจารณาได้ในเรื่องนี้ ได้แก่ แบบขององค์กร สภาพแวดล้อม จํานวนสมาชิก ความสามารถ ผู้นํา เทคโนโลยีที่ใช้ ตลอดจนความร่วมมือ ร่วมใจตามแนวคิดของประชาสังคม (Civil Society) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อสภาพของชุมชนและสังคมนั้น ๆ

3) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องและมีผลต่อสังคม และชุมชนในแง่ของพฤติกรรม วิถีชีวิต วัฒนธรรมในแต่ละระดับนั้นอาจพิจารณาปัจจัยแวดล้อมทางด้านธรรมชาติ และปัจจัยแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือพิจารณาในแง่ปัจจัยเอื้อหรือไม่เอื้อต่อชุมชนหรือสังคมนั้น ๆ

4) ปัจจัยด้านเทคนิควิทยาการ (Technology) เป็นปัจจัยสําคัญที่มนุษย์จะสามารถ เอาชนะธรรมชาติได้ และสามารถแข่งขันท่ามกลางภาวะที่จํากัดในด้านต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการเรียนรู้ ประดิษฐกรรม และนวัตกรรมของสังคม

ข้อ 6. หลักการบริหารหรือจัดการชุมชนเมืองตั้งแต่เริ่มมีแนวคิด อุดมการณ์ ไปสู่การปฏิบัติ ว่ามีหลักการและวิธีการอะไรอย่างไร พร้อมตัวอย่างโดยสังเขป ?

แนวคําตอบ

การบริหารชุมชนเมืองหรือการจัดการชุมชนเมืองมุ่งที่จะเสนอแนวคิดและวิธีการปฏิบัติใน การบริหารชุมชนเมือง โดยมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการบริหารเพื่อตอบสนองต่อผู้อยู่อาศัยในชุมชนนั้น ๆ เป็นหลัก จึงจําเป็นต้องศึกษาในแง่ของประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาทั้งในระดับภูมิภาค ระดับชาติ และ ระดับสากล ตลอดจนแนวทางในการพัฒนาชุมชนเมือง เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษาในเชิงระบบทั้งใน ด้านปัญหาและข้อเรียกร้องของชุมชนเมืองในฐานะปัจจัยนําเข้า (Input) ตลอดจนความจําเป็นและแนวทางของ กิจกรรมในฐานะปัจจัยนําออก (Output) และศึกษาผลกระทบของการบริหารชุมชนเมือง โดยจะศึกษาทั้งตัวองค์กร หรือสถาบันหลักที่เกี่ยวข้องหรือมีหน้าที่ในการบริหารชุมชนเมือง หรือศึกษาแยกย่อยไปที่ประเด็นรายละเอียดหรือเนื้อหาสาระในชุมชนเมือง ดังนั้นการบริหารชุมชนเมืองจึงมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่การกําหนดเป้าหมายการวางแผน การบริหารและลงมือปฏิบัติจนบังเกิดผล ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้

การบรรลุภารกิจและความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมือง

การบริหารชุมชนเมืองสมัยใหม่ไม่ใช่เป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้เพราะการตระหนักในความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมือง โดยชาวชุมชนเองเท่านั้นที่จะนําไปสู่ความสําเร็จในการบริหาร ชุมชนเมือง กล่าวคือ เมืองที่ประชาชนมีความสนใจและให้ความร่วมมือในกิจกรรมของส่วนรวม รวมไปถึงการ ตรวจสอบติดตามการทํางานของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในลักษณะการบริหารจัดการที่ดี (Good Governance)

ระบบการเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนสําคัญในการกําหนดแนวทางและวิธีการ ซึ่งอาจได้รับการ สนับสนุนจากภายนอกจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมเพราะได้สร้างให้เกิดความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมือง ของชาวชุมชนเมืองโดยแท้จริง โดยจะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่สําคัญหลายด้าน เช่น

1. ด้านเกียรติภูมิและสิทธิของประชาชน (Right and Dignity) คือ การให้สาธารณชน ได้ตัดสินใจบริหารงานอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ ปราศจากอคติและความลําเอียง ตลอดจนบริหารงานโดยยึดหลัก กฎหมาย และต้องพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบคอบผ่านกระบวนการกลไกการปกครอง ทั้งนี้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และเกียรติภูมิของชาวเมืองโดยสามารถตรวจสอบการบริหารนั้นได้ซึ่งเป็นการให้สิทธิและคํานึงถึงศักดิ์ศรี

2. ด้านความรับผิดชอบที่สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) คือ การบริหารงานนั้น ต้องอยู่ภายใต้อาณัติของประชาชนในทุกขั้นตอนของการดําเนินงาน ทั้งการอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือบริหารงานบนพื้นฐานความต้องการของประชาชน ซึ่งการบริหารงานนั้นจะต้องเป็นไปโดยเปิดเผย ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ในขณะที่ทุกฝ่ายต่างก็มีความรับผิดชอบที่สามารถตรวจสอบได้

3. ด้านความมีประสิทธิผล (Effectiveness) คือ การบริหารงานให้บรรลุเป้าหมาย หรือ สามารถบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาและเสนอทางออกให้กับประชาชนได้ รวมทั้งต้องบริหารงานด้วยความคุ้มค่าคือ การใช้ทุนน้อยแต่สามารถบรรลุมาตรฐานด้านต่าง ๆ ตามที่ประชาชนชาวเมืองต้องการ โดยมุ่งสร้างหรือยกระดับ มาตรฐานชีวิตของประชาชน หรือตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของคนในด้านต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนและ เพียงพอ เช่น ความต้องการอาหารที่เพียงพอ อากาศที่บริสุทธิ์ น้ําสะอาดเพื่อการบริโภค ที่อยู่อาศัยและเครื่องนุ่งห่ม ที่น่าพอใจ ความต้องการมีสุขภาพอนามัยที่ดี เป็นต้น

จุดเริ่มต้นในการบริหารชุมชนเมือง

การบริหารชุมชนเมืองจะเริ่มต้นที่การวางแผน และการมีแผนเพื่อให้เป้าหมายที่มนุษย์ต้องการอยู่ในสังคมชุมชนเมืองได้รับการตอบสนอง ซึ่งในการบริหารชุมชนเมืองนิยมเรียกโดยรวมว่า “แผนหรือ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง” ภายใต้ชื่อที่หลากหลาย เช่น แผนพัฒนา (Development Plan), แผนเมือง (Urban Plan), แผนแม่บท (Master Plan), แผนทั่วไป (General Plan) เป็นต้น แต่การบริหารชุมชนเมืองมักจะเน้นหนัก แผนกายภาพที่เรียกว่า ผังเมือง (City Plan) และแผนจัดการการเจริญเติบโต (Growth Management Plan)

การบริหารชุมชนเมืองที่ดีจะมีแผนภารกิจ (Action Plan) หรือแนวทางที่ชัดเจนเพื่อมารองรับ กิจกรรมการบริหารชุมชนเมืองให้ได้ผล เช่น

1. การออกแบบเมือง (Urban Design) เป็นการสร้างวิสัยทัศน์ของเมืองหรือสร้างสรรค์ ให้เกิดสภาพเมืองที่พึงปรารถนา โดยคํานึงถึงปัจจัยที่สําคัญในด้านความสวยงามน่าชวนมอง คุณค่าด้านจิตใจ เอกลักษณ์ที่โดดเด่น และศักยภาพดั้งเดิมเป็นสําคัญ ซึ่งถือเป็นขั้นการผลักดันให้เกิดแนวคิดและวิสัยทัศน์ของคน ในชุมชน

การทําให้เป้าหมายหรือแนวคิดของการออกแบบเมือง ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรม ที่สวยงามให้คนภายนอกมองเห็นได้นั้น ต้องมีการวางภูมิทัศน์ของเมือง (Cityscape) ด้วยการสร้างรูปลักษณ์ ของเมืองตามที่ได้รับเอาแนวคิดต่าง ๆ มาใช้กําหนดเป็นทิศทางและลักษณะของเมือง ซึ่งจะปรากฏออกมาเป็น แนวทางในการก่อสร้างแหล่งที่อยู่อาศัย ที่สาธารณะ ถนนหนทาง และที่ตั้งของสิ่งอํานวยความสะดวกในเมือง เป็นต้น

2. แผนเมือง (City Plan) จะชี้ให้เห็นถึงแนวคิดพื้นฐานและวัตถุประสงค์ของเมืองนั้น ๆไปสู่ทิศทางที่ต้องการ โดยส่วนร่วมก็จะมีแนวคิดพื้นฐานเพื่อสร้างให้เมืองนั้นมีความสะดวกสบายน่าอยู่อาศัยหรือสร้างให้ผู้คนมีความหวังและสามารถมองไปในอนาคตได้ ซึ่งแผนเมืองนี้อาจจะกําหนดเป็นแผนแม่บทหรือ แผนหลัก (Master Plan) ที่จะเป็นกรอบหรือแนวทางไปสู่การวางแผนปฏิบัติ หรือนโยบายในการวางแผนเมือง (City Planning Politics) ต่อไป ซึ่งได้แก่

1) แผนในภาพรวม อาจจะต้องอาศัยทิศทางและความสอดคล้องในระดับกว้าง เช่น แผนภูมิภาคหรือแผนระดับประเทศที่ต้องอาศัยความเกี่ยวพันและการตัดสินใจ และความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นไม่เฉพาะเมืองนั้นเมืองเดียว

2) การผังเมืองและการวางแผนการใช้พื้นที่ ดําเนินการโดยอาศัยกฎหมายการผังเมือง และการบริหารงานในเชิงนโยบาย จนกลายเป็นผังเมืองรวม (Comprehensive Plan) หรือผังเมืองเฉพาะ (Specific Plan)

– ผังเมืองรวม คือ แผนที่แสดงการใช้ที่ดินประเภทต่าง ๆ ที่ต้องการให้ เกิดขึ้นบนพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของท้องถิ่นในอนาคต

– ผังเมืองเฉพาะ เป็นผังที่จัดทําขึ้นหลังจากมีผังเมืองรวม มีความละเอียด มากกว่าผังเมืองรวม และจะจัดทําในพื้นที่บางส่วนของผังเมืองรวม ซึ่งเป็น พื้นที่ที่มีความสําคัญสูง หรือมีความจําเป็นสูงที่จะต้องสงวนรักษา เช่น พื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ พื้นที่ที่มีคุณค่าทางสภาพแวดล้อม หรือพื้นที่ธุรกิจการค้า เป็นต้น

3. การวางแผนด้านอื่น ๆ เป็นการวางแผนที่อาจผสมผสานการวางแผนในเชิงกายภาพ และในเชิงการบริหาร เช่น การวางแผนในการพัฒนาเศรษฐกิจ, การวางแผนทิศทางการเจริญเติบโตของเมือง การวางแผนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ข้อ 7. การจัดการภัยพิบัติมีความสําคัญอย่างไรต่อการบริหารชุมชนเมือง จงอธิบายกรอบการจัดการ ภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย หรือสาธารณภัยใด ๆ ในชุมชน เช่น ในห้างสรรพสินค้า มาพอสังเขป ?

แนวคําตอบ

ความสําคัญของการจัดการภัยพิบัติต่อการบริหารชุมชนเมืองการจัดการภัยพิบัติเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ตั้งแต่การเตรียมการก่อนเกิดเหตุ การรับมือ ในภาวะฉุกเฉิน การบรรเทาทุกข์ ช่วยชีวิตและฟื้นฟูบูรณะหลังเหตุการณ์ ซึ่งในอดีตการจัดการภัยพิบัติมักเน้น เรื่องการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เป็นหลัก แต่ในปัจจุบันแนวโน้มของการจัดการภัยพิบัตินั้นจะมีลักษณะของ การเตรียมการเชิงรุกมากขึ้น โดยดําเนินการด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่จะ เกิดขึ้นจากภัยพิบัติ รวมทั้งมีมาตรการที่ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นการวางแผน เพื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ ระหว่างเกิดภัยพิบัติ และหลังจากที่เกิดภัยพิบัติแล้ว

กรอบการจัดการภัยพิบัติ มีดังนี้

1. เข้าถึงข้อมูลรายละเอียดที่เป็นจริง
2. พึ่งออกแบบการจัดการให้สามารถรับสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปจากการวางแผนไว้
3. บูรณาการแผนการจัดการน้ำท่วมให้สอดคล้องเข้ากับแผน/โครงการของการบริหารชุมชน
4. มีกลยุทธ์/มาตรการที่หลากหลายที่เกื้อกูลกันและจัดการอย่างสมดุล
5. คํานึงถึงความเหมาะสมทุกพื้นที่ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ
6. มาตรการทางวิศวกรรมที่ออกแบบมาอาจสําเร็จหรือล้มเหลว หรือไม่ได้ผลทั้งหมด แต่ก็ ย่อมดีกว่าไม่มีมาตรการใด ๆ
7. มาตรการจัดการอุทกภัยต้องใช้เป็นเครื่องมือที่มาเสริมแผนบริหารเมือง
8. คํานึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ/สังคมในวงกว้าง
9. ระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน
10. ขั้นตอนการปฏิบัติจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
11. การทํางานจําเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสารและการกระตุ้นเตือนอย่างต่อเนื่อง
12. ควรมีแผนในการฟื้นฟูและสร้างความเข้มแข็งในระยะยาว

แนวทางการจัดการภัยพิบัติสําหรับปัญหาอุทกภัย ได้แก่

1. การวางแผนบริหารจัดการอุทกภัย

ชุมชนเมืองมักจะประสบปัญหาน้ําท่วมเป็นประจําทุก ๆ ปี เนื่องจากชุมชนเมืองส่วนใหญ่ มีสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นทางผ่านของแม่น้ําและลําคลองจํานวนมาก และได้รับอิทธิพลจากการขยายตัวเมือง ทําให้กลายเป็นแหล่งธุรกิจและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการไหลและการระบายน้ําออกจากพื้นที่ แม้ปริมาณน้ําที่เกิดจากฝนตกหนักในเขตพื้นที่ตัวเมืองจะมีการท่วมขังอยู่บ่อยครั้งก็ตาม ด้วยสรรพกําลังและ ความสามารถในการระบายน้ําของหน่วยงานที่มีอยู่ก็ย่อมจะทําให้คลี่คลายไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากเป็นลักษณะ ของมวลน้ํามหาศาลที่ไหลบ่ามาจากนอกพื้นที่โดยเฉพาะผ่านทางลําคลองที่มีอยู่รอบด้าน ก็จะเป็นการยากที่จะ
สามารถรับมือกับปัญหาดังกล่าวได้ จึงจําเป็นต้องนําไปสู่การกําหนดนโยบายและการวางแผนการจัดการปัญหา อุทกภัยและภัยพิบัติในด้านต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ แนวทางการป้องกันและลดผลกระทบ การเตรียมความพร้อมในการ รับมือ การเตรียมความพร้อมสําหรับการจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงแผนการจัดการหลังจากเกิดภัยพิบัติ ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว เช่น การดําเนินการลอกท่อระบายน้ําในเขตชุมชน ขุดลอกคูคลอง แหล่งน้ํา สาธารณะ รวมทั้งกําจัดวัชพืชสิ่งกีดขวางทางน้ําเพื่อให้สามารถระบายน้ําออกจากพื้นที่อุทกภัยได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในช่วงฤดูฝน เป็นต้น

2. การสร้างคันกั้นน้ำถาวร

พื้นที่ที่ติดแม่น้ําส่วนใหญ่ยังไม่มีแนวคันกั้นน้ําที่ได้มาตรฐาน ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยง สําคัญที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ดํารงชีวิตและอาศัยอยู่ริมแม่น้ํา อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวถือว่าเป็น โครงการที่มีงบประมาณมหาศาลและยังส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นจํานวนมาก ซึ่งจะต้องมีการสํารวจผลกระทบที่จะเกิดต่อชุมชน รวมถึงจะต้องเป็นกระบวนการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจผ่านทางการทําประชาพิจารณ์
และการตรวจสอบความโปร่งใสในการดําเนินการทุกขั้นตอนเสียก่อน เพราะอาจกลายเป็นปัญหากับท้องถิ่นที่อยู่ใกล้เคียงได้

3. การสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน

การแก้ไขปัญหากับภัยน้ําท่วมนั้นมีความจําเป็นในการสร้างความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อผนึกกําลังต่อสู้กับมวลน้ำที่มีปริมาณมหาศาลที่พร้อมจะเข้าโจมตีเมือง นั่นคือ การขอความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนราชการในจังหวัด เพื่อดําเนินการ ฝึกซ้อมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการเตรียมรับมือกับสาธารณภัยในเขตพื้นที่จังหวัด รวมไปถึงการขอ ความช่วยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เครื่องสูบน้ำ อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภคที่สําคัญ

นอกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ภาคเอกชนนับเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาท สําคัญในการสนับสนุนยุทธปัจจัยในการต่อสู้กับมวลน้ําที่มีปริมาณมหาศาลนี้ ด้วยการสนับสนุนหลายช่องทาง เช่น บริจาคทราย ถุงบรรจุกระสอบทราย เป็นต้น รวมไปถึงสื่อมวลชนที่มีการติดตามและรายงานสถานการณ์ ช่วงเกิดภัยน้ําท่วมอย่างต่อเนื่อง มีการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

การสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชนในการบริหารจัดการน้ํานั้น แม้จะมีระบบ บริหารจัดการที่ดีเพียงใด ย่อมบรรลุผลได้ยาก หากไม่สามารถจัดการคนได้ โดยเฉพาะเรื่องการจัดการความขัดแย้ง และการเฝ้าระวังการพังคันกั้นน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างมากในการสร้างความเข้าใจระหว่างพื้นที่ประสบภัยกับ พื้นที่เหนือแนวคันกั้นน้ำ รวมถึงการมีมิตรไมตรีที่ดีของผู้อยู่เหนือแนวคันกั้นน้ำในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย มีการสร้างสิ่งอํานวยความสะดวก เช่น สะพาน การจัดส่งอาหาร ยาและเวชภัณฑ์ กรณีที่ประชาชนไม่ย้ายเข้าศูนย์อพยพ

นอกจากนี้ ยังมีอาสาสมัครหรือกลุ่มจิตอาสาจํานวนมากที่จะเข้าร่วมช่วยเหลือ ทั้งใน เรื่องการกรอกกระสอบทราย การทําอาหาร หรือการจัดกิจกรรมคลายเครียดในศูนย์พักพิงนั้นด้วย

4. การจัดเตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราว

การจัดเตรียมศูนย์พักพิงเพื่อรองรับกับผู้ประสบภัยจะต้องคํานึงถึงวิถีชีวิตความรู้สึกที่มีต่อชุมชน และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ด้วยเป็นสําคัญ โดยมีแนวทางปฏิบัติที่สําคัญ คือ การตั้ง ศูนย์พักพิงขนาดเล็กในพื้นที่ขึ้น นอกจากจะทําให้การบริหารจัดการมีความคล่องตัวสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังทําให้ การบริการมีความใกล้ชิด เป็นกันเอง สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของคนในแต่ละพื้นที่เป็นสําคัญ โดยอาจจะอาศัย สถานที่ที่มีความเป็นสาธารณะและผูกพันกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ เช่น โรงเรียน วัด มัสยิด อาคารหน่วยงานราชการในพื้นที่ เป็นต้น

ปัญหาสาธารณภัยใด ๆ ในห้างสรรพสินค้า

ภัยพิบัติในห้างสรรพสินค้า ถือว่าเป็นปัญหาสาธารณภัยในชุมชนอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ประชาชนมักมีการพูดถึงอย่างมากในเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยที่เกิดจาก “อัคคีภัย”

การป้องกันอัคคีภัยในอาคาร เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันและลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น จากเหตุเพลิงไหม้ที่เป็นผลมาจากความประมาท ไฟฟ้าลัดวงจร หรือเหตุอื่นใดที่ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ในอาคาร ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างอาคารจะต้องคํานึงถึงกฎหมายควบคุมอาคาร และข้อบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ที่ให้ความสําคัญกับการออกแบบและการก่อสร้างอาคารที่คํานึงถึงเรื่องความปลอดภัยโดยเฉพาะอัคคีภัย ในขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ทําการกําหนดมาตรฐานการก่อสร้างอาคารที่เน้นไปที่การลดความเสี่ยงจากอัคคีภัย โดยกําหนดให้อาคารแต่ละลักษณะจัดให้มีอุปกรณ์ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยภายในอาคาร

ในปัจจุบันนั้นพบว่า การจัดการสาธารณภัยได้ให้ความสําคัญกับช่วงเวลาในการเข้าถึงพื้นที่ประสบเหตุ หากหน่วยงานด้านการกู้ชีพกู้ภัยสามารถเข้าถึงที่เกิดเหตุได้เร็ว ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการจัดการ สาธารณภัยได้อย่างทันท่วงที ทําให้ปัจจุบันให้ความสําคัญกับการเข้าถึงพื้นที่ประสบเหตุให้เร็วที่สุด เพื่อลด ผลกระทบ ลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ทั้งนี้การเข้าถึงพื้นที่ประสบเหตุนั้นขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของ กิจกรรม การจราจร ความเสี่ยงของพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว เป็นต้น ซึ่งทําให้การเข้าถึงพื้นที่ประสบเหตุอาจเกิด ความล่าช้า ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้การเตรียมความพร้อมในการรับมือหรือการออกแบบห้างสรรพสินค้าจึงเป็นสิ่ง ที่ควรคํานึงถึง กล่าวคือ ความเสี่ยงและความปลอดภัยของอาคารจะช่วยลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น และช่วยให้ การดําเนินภารกิจของเจ้าหน้าที่ในกรณีที่เกิดอัคคีภัย สามารถรับมือและจัดการได้ทันท่วงทีมากขึ้นนั่นเอง

สําหรับรายละเอียดในส่วนนี้จะให้ความสําคัญกับลักษณะการใช้งานของอาคารในแต่ละประเภท ที่ควรมีการจัดเตรียมระบบการป้องกันอัคคีภัยและเป็นส่วนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนําไปใช้ประกอบ ควบคู่กับมาตรฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและกฎหมายในการควบคุมอาคาร ทั้งนี้เพื่อใช้ในการตรวจสอบอาคารใน เขตพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงจากอัคคีภัย และเป็นการป้องกันและลดผลกระทบ ดังนั้นห้างสรรพสินค้าควรจัดให้มี บันไดหนีไฟและระยะห่างให้เหมาะสม ช่องลิฟต์ และระบบต่าง ๆ ภายในอาคาร พร้อมทั้งคําแนะนําในการปฏิบัติ ของผู้ที่อยู่ในอาคารจากเจ้าหน้าที่ของห้างสรรพสินค้า เนื่องจากผู้ที่อยู่ภายในอาคารอาจไม่คุ้นชินหากเกิดอัคคีภัย ขณะเดียวกันควรมีการติดตั้งระบบแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ หรือสัญญาณเตือนเหตุเพลิงไหม้ด้วย

นอกจากนี้ เรายังพบว่ามีภัยพิบัติอีกอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งในห้างสรรพสินค้า นั่นคือ ภัยจาก “การก่อวินาศกรรม” ซึ่งถือเป็นภัยที่เกิดจากการกระทําใด ๆ อันเป็นการมุ่งทําลายทรัพย์สินของประชาชน หรือของรัฐ หรือสิ่งอันเป็นสาธารณูปโภค หรือการรบกวน ขัดขวาง หน่วงเหนี่ยว ระบบการปฏิบัติงานใด ๆ ตลอดจนการประทุษร้ายต่อบุคคลอันเป็นการก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยมุ่งหมาย ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของรัฐ โดยภัยจากการก่อวินาศกรรมนั้นยังมีความหมายรวมไปถึง ภัยจากการก่อการร้าย และภัยจากการก่อการร้ายสากล โดยภัยจากการก่อการร้ายนั้นจะเกิดขึ้นจากการกระทําใด ๆ ที่สร้างความปั่นป่วนให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเพื่อขู่เข็ญหรือบีบบังคับรัฐบาล หรือองค์การระหว่างประเทศให้กระทําหรือละเว้นกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินที่สําคัญส่วนภัยจากการก่อการร้ายสากลนั้นเป็นภัยที่เกิดจากการปฏิบัติการของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มุ่งหวังผลตาม เงื่อนไขข้อเรียกร้องทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งส่วนใหญ่จะปฏิบัติการล่วงล้ําเขตแดน หรือเกี่ยวพันกับ ชาติอื่น การกระทํานั้นอาจเป็นไปโดยเอกเทศ โดยปราศจากการสนับสนุนจากรัฐใด ๆ หรือมีรัฐใดรัฐหนึ่ง สนับสนุนรู้เห็นก็ได้ เมื่อเกิดขึ้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของชาติ พันธกรณีระหว่างประเทศนโยบายของชาติทั้งด้านการเมืองและการป้องกันประเทศ การเศรษฐกิจและสังคมจิตวิทยาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของชาติ

ดังนั้นจึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นใน ส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ควรต้องร่วมมือกันหาแนวทางป้องกันและแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมา

ข้อ 8. การเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ใช่ยานยนต์ (Non-Motorized Vehicle) ซึ่งกําลังเป็นที่นิยมในเมือง ต่าง ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว คืออะไร ทําได้อย่างไร และมีเป้าหมายเพื่อการใด จงอธิบายโดยละเอียด ?

แนวคําตอบ

การเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ใช่ยานยนต์ (Non-Motorized Vehicle) เป็นวิธีการเดินทาง ด้วยพาหนะหรืออุปกรณ์ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ไม่มีเครื่องยนต์ระบบไฟฟ้าขับเคลื่อนติดไว้ถาวรหรือชั่วคราวในตัว โดยที่บุคคลหรือสิ่งของจะถูกเคลื่อนย้ายไปโดยการขับเคลื่อนด้วยพลังกล้ามเนื้อของมนุษย์ ซึ่งการเดินทางในรูปแบบดังกล่าวนี้กําลังเป็นที่นิยมในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว ตัวอย่างเช่น การเดิน การวิ่ง การปั่นจักรยาน การใช้สเก็ตบอร์ด การใช้รองเท้าติดล้อ การใช้รถเข็น เป็นต้น

แนวทางการปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ใช่ยานยนต์

1. แนวทางหรือมาตรการสําหรับการดําเนินการด้านการให้ความรู้หรือการศึกษา (Education) ตัวอย่างเช่น โครงการอบรมการขี่จักรยานโดยชมรมจักรยาน การจัดทําวารสารที่เกี่ยวข้องกับ จักรยานให้ผู้ใช้จักรยานได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับจักรยาน เว็บบอร์ดสําหรับแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการใช้จักรยาน โดยกิจกรรมทั้งหมดนี้จะช่วยให้ความรู้และเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการ ใช้จักรยานระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการปรับทัศนคติในแง่ลบที่มีต่อการใช้จักรยานได้เป็นอย่างดี เป็นต้น

2. แนวทางหรือมาตรการสําหรับการดําเนินการด้านการส่งเสริมและรณรงค์ (Encouragement) จากการทบทวนตัวอย่างในเมืองต่าง ๆ พบว่ามีแนวทางที่หลากหลายและแตกต่างกัน ออกไป ทั้งในแง่ของการโฆษณา และในแง่ของกิจกรรมที่แสดงจุดยืนของความต้องการในการใช้จักรยานต่อที่ สาธารณะ ตัวอย่างเช่น หลักการ 4 E ซึ่งประกอบด้วย Engineering (การดําเนินการที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้าน วิศวกรรมทั้งการวางแผนและการก่อสร้าง), Education (การดําเนินการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ใช้ทาง) Enforcement (การดําเนินการทางด้านกฎหมาย และการควบคุมผู้ใช้ถนนให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้) และ Encouragement (การรณรงค์ให้คนในพื้นที่และผู้ใช้ทางเห็นถึงความสําคัญ และร่วมแรงร่วมใจในการ ปฏิบัติ) เป็นต้น

3. การพัฒนาโครงข่ายจักรยานและโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมความต้องการ (Engineering) จากการทบทวนเมืองต่าง ๆ ในต่างประเทศที่ประสบความสําเร็จในการส่งเสริมวัฒนธรรม จักรยานพบว่า การพัฒนาโครงข่ายทางจักรยานและโครงสร้างพื้นฐานเป็นงานเริ่มต้นงานแรกที่สําคัญที่ทุกเมือง ดําเนินการ ซึ่งมีข้อสังเกตว่า ไม่ว่าแต่ละเมืองจะมีปัจจัยทางภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพจราจร และวัฒนธรรม ที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม เมืองที่สามารถพัฒนาโครงข่ายจักรยานที่สมบูรณ์เชื่อมโยงการเดินทางทั้งเมืองพร้อมกับมีปัจจัยอํานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้จักรยาน ย่อมมีความเป็นไปได้สูงในการผลักดันวัฒนธรรมจักรยาน

4. การบังคับใช้มาตรการทางด้านกฎหมาย (Enforcement) จากการทบทวน มาตรการ บังคับทางกฎหมายพบว่า เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยคืนพื้นที่ให้แก่ทางจักรยาน รวมถึงช่วยเพิ่มความ ปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้จักรยานบนท้องถนน ทั้งนี้จากการทบทวนมาตรการบังคับทางกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันบางมาตรการประสบความสําเร็จในการช่วยเพิ่มจํานวนผู้ใช้จักรยาน แต่ในขณะที่บางมาตรการส่งผลกระทบน้อยมาก
ต่อการพัฒนาวัฒนธรรมจักรยาน โดยมาตรการทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาวัฒนธรรมจักรยานที่พบใน ปัจจุบัน เช่น มาตรการจํากัดความเร็วในการเดินทาง การห้ามรถเข้าพื้นที่หรือการเก็บค่าธรรมเนียม การเข้า พื้นที่หรือใช้ถนน (Road Pricing) เป็นต้น

เป้าหมายของการเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ใช่ยานยนต์
1. เพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2. เพื่อแก้ปัญหาความแออัดของรถบนท้องถนน และความล่าช้าของจราจรโดยยานยนต์
3. เพื่อลดการใช้พลังงานหรือปริมาณน้ํามัน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
4. เพื่อลดมลภาวะมลพิษทางอากาศ ทําให้ออกซิเจนในอากาศสูงขึ้น
5. เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่กําลังจะหมดไป โดยเฉพาะน้ํามันและถ่านหิน
6. เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) อันเป็นสาเหตุทําให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
7. เพื่อส่งเสริมการใช้พื้นผิวจราจรได้หลากหลายกว่าการเดินทางโดยยานยนต์
8. เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหันมาออกกําลังกายโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน และทําให้จิตใจเบิกบานแจ่มใส เป็นต้น

ข้อ 9. การจัดการจราจรและการขนส่งในเมือง มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่สําคัญอย่างไร จงอธิบายให้ละเอียดตามหลักวิชาการ ?

แนวคําตอบ

การจัดการจราจรและการขนส่งในเมือง ถือเป็นกระบวนการที่นําไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายและแผนงานการขนส่ง ซึ่งในกระบวนการนี้ผู้วางแผนจะพัฒนาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของแนวทาง การกระทําที่เกี่ยวข้องกับการบริการขนส่ง การเปิดตัวรูปแบบใหม่ของการขนส่งสาธารณะ หรือการพิจารณา เงื่อนไขข้อจํากัดที่มีอยู่ เช่น พื้นที่เมือง ที่จอดรถ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์พื้นฐานของการขนส่งซึ่งก็คือ การจัดวางระบบเคลื่อนรถและคนที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ซึ่งจําเป็นต่อการรองรับความ
ต้องการของมนุษย์ในวงกว้างสําหรับกลุ่มสังคมที่หลากหลาย

วัตถุประสงค์ของการจัดการจราจรและการขนส่งในเมือง

1. เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการเร่งระบายการจราจร
2. เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
3. เพื่อความปลอดภัยและประหยัด
4. เพื่ออํานวยความสะดวกในการขนส่ง
5. เพื่อควบคุมทิศทางการระบายรถและคน
6. เพื่อกําหนดแนวทางการจัดการจราจรเพื่อการขับขี่ปลอดภัย

เป้าหมายของการจัดการจราจรและการขนส่งในเมือง

1. เพื่อกําหนดพื้นที่ (Zone) ของเมืองว่ามีกิจกรรมอะไร จะเชื่อมโยงกันโดยวิธีใดระหว่างหรือภายในพื้นที่ และมีจุดเชื่อมต่อระหว่างเส้นทางหลักไปที่อื่นอย่างไร
2. เพื่อทําการศึกษาเฉพาะภายในแต่ละพื้นที่ที่มีกิจกรรมต่างกันไป ทั้งนี้เพื่อทราบประเภท ของผู้คน การเดินทาง จํานวน ขนาด และเวลาในการเดินทาง
3. เพื่อทําการศึกษาระยะเวลาในการเดินทาง ซึ่งเป้าหมายหนึ่งของการเดินทางที่สําคัญก็คือความรวดเร็ว ดังนั้นหากการจัดการจราจรและการขนส่งในเมืองโดยขาดเป้าหมาย ด้านนี้หรือด้านอื่น ๆ แล้วก็อาจจะไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน
4. เพื่อพยากรณ์สภาพการจราจรและการขนส่งในอนาคต โดยศึกษาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่จะ เป็นตัวกําหนดการจราจรและการขนส่ง
5. เพื่อวิเคราะห์ลักษณะพฤติกรรมการเดินทางของผู้คน ต้องมีการสํารวจโดยละเอียด จําแนกออกไปตามเพศ อายุ อาชีพ การศึกษา การทํางาน เป็นต้น
6. เพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของการเดินทางของผู้คนในเมือง รวมไปถึงการกระจายตัวของการขนส่งในเมือง
7. เพื่อวิเคราะห์โครงข่ายโดยรวมของเมือง
8. เพื่อสร้างแบบจําลองการเดินทางและการขนส่ง โดยคํานึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 9. เพื่อประเมินผลและเปรียบเทียบทางเลือกในแต่ละวิธีถึงผลได้ผลเสีย

POL3314 การบริหารชุมชนเมือง 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3314 การบริหารชุมชนเมือง
คําสั่ง ข้อสอบมี 10 ข้อ แต่ให้เลือกทําเพียง 4 ข้อ

ข้อ 1. จงอธิบายมุมมองต่อ “เมือง” ในทางทฤษฎีของศาสตร์สาขาต่าง ๆ มา 3 ทฤษฎี พร้อมทั้งอธิบาย ขยายความโดยละเอียดในแต่ละทฤษฎี ?

แนวคําตอบ

มุมมองต่อ “เมือง” ในทางทฤษฎีของศาสตร์สาขาต่าง ๆ

1. แนวความคิดในทางเศรษฐศาสตร์

กระบวนการในการเกิดขึ้นของเมืองในทางเศรษฐศาสตร์จะเกี่ยวโยงกับกระบวนการ หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจชนบทไปเป็นเศรษฐกิจเมืองทางโครงสร้างของสังคมที่ก่อให้เกิดพลวัต
ในแง่ของการแปลงสภาพ ประชากร กระบวนการผลิต และสภาพแวดล้อมทางสังคมการเมือง และเศรษฐกิจชนบท ไปสู่ฐานะของเศรษฐกิจเมือง เช่น

1) การใช้แรงงานเข้มแข็งขึ้นและมีความเป็นปัจเจกภาพสูง
2) มีการกระจุกตัวของแรงงานมากขึ้น
3) มีความชํานาญในการผลิตสินค้าและบริการค่อนข้างสูง
4) มีการพึ่งพาต่อกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐบาลอย่างใกล้ชิด
5) มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และลักษณะของการประกอบการใน ระดับสูง
6) ความหนาแน่นของประชากรทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสําคัญที่จะเกิดขึ้นในแง่ความเป็นเมือง คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมเนื่องจากการเกิดความชํานาญ การแบ่งงานกันทําตามความสามารถเฉพาะ การใช้ทุนเข้มข้นในการผลิตและใช้เทคโนโลยี ตลอดจน ประดิษฐกรรมที่ทันสมัย ทําให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมและกระบวนการเกิดเป็นเมืองซึ่งเป็นกระบวนการที่ ควบคู่กัน

2. แนวความคิดของนักสังคมวิทยา

ในทางสังคมวิทยา มองว่าระบบชุมชนเป็นระบบของปัจจัย 3 ประการที่เกี่ยวข้องกัน คือ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Areas) การปะทะสังสรรค์กันทางสังคม (Social Interaction) และ ความผูกพันร่วมกัน (Common Ties) กล่าวคือ ในสังคมนั้นจะประกอบด้วยบุคคลที่มีการปะทะสังสรรค์กันทาง สังคมในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ และมีความผูกพันร่วมกันในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่ง

ผลผลิตของชุมชนหรือสังคม ซึ่งได้แก่

– การกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization)
– การควบคุมทางสังคม (Social Control)
– การมีส่วนร่วมในสังคม (Social Participation)
– การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (Mutual Support)
– การผลิต การบริโภค และการกระจายสินค้าและบริการภายในชุมชน (Production Consumption-Distribution)

ในแง่ของจิตใจและวัฒนธรรมนั้น คนจะมีความรู้สึกในความเป็นคนถิ่นนั้นถิ่นนี้ ทั้งนี้เพราะเกิดความรู้สึกมั่นคงในการมีที่ยึดเหนี่ยวด้านจิตใจ (Community Sentiment) ที่เกิดจากการหล่อหลอม ทางค่านิยมของกฎเกณฑ์และเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งกระบวนการของคนในสังคมหรือชุมชนโดยลักษณะธรรมชาติ ดังกล่าวก็คือ ความเป็นเมืองนั่นเอง

3. แนวความคิดของนักมานุษยวิทยา

นักมานุษยวิทยา มองว่ากระบวนการสร้างความเป็นเมือง (Urbanization) เป็นรูปหนึ่งของกระบวนการปรับตัวของมนุษย์ ทั้งนี้เนื่องจากชุมชนเมืองเป็นรูปแบบที่สําคัญที่มนุษย์ได้พัฒนาขึ้น การปรับตัวจึงเป็นความสําเร็จอย่างหนึ่งของกลุ่ม และความสําเร็จนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมนั้น ๆ ว่าจะเป็นไปได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องอาศัยความกลมกลืนกันระหว่างปัจจัยในด้านต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า “ปมในเชิงนิเวศวิทยา” (Ecological Complex) ซึ่งจะประกอบด้วย

1) ปัจจัยด้านประชากร (Population) โดยมีปัจจัยด้านโครงสร้างของประชากรที่มีผลต่อกระบวนการเป็นเมือง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้จะชี้ให้เห็นมิติของประชากรทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพตลอดจนการกระจายตัวหรือโครงสร้างซึ่งประกอบด้วยลักษณะของคนในแต่ละช่วงอายุ เช่น คุณภาพการศึกษา ทักษะการทํางาน อาชีพ จํานวน การพัฒนา และแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของคนในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งจะส่งผลถึง ปัจจัยด้านอื่น ๆ

2) ปัจจัยด้านการจัดองค์กร (Organization) โดยมีมิติที่จะพิจารณาได้ในเรื่องนี้ ได้แก่ แบบขององค์กรสภาพแวดล้อม จํานวนสมาชิก ความสามารถ ผู้นํา เทคโนโลยีที่ใช้ ตลอดจนความร่วมมือ ร่วมใจตามแนวคิดของประชาสังคม (Civil Society) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อสภาพของชุมชนและสังคมนั้น ๆ

3) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องและมีผลต่อสังคม และชุมชนในแง่ของพฤติกรรม วิถีชีวิต วัฒนธรรมในแต่ละระดับนั้นอาจพิจารณาปัจจัยแวดล้อมทางด้านธรรมชาติ และปัจจัยแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือพิจารณาในแง่ปัจจัยเอื้อหรือไม่เอื้อต่อชุมชนหรือสังคมนั้น ๆ

4) ปัจจัยด้านเทคนิควิทยาการ (Technology) เป็นปัจจัยสําคัญที่มนุษย์จะสามารถ เอาชนะธรรมชาติได้ และสามารถแข่งขันท่ามกลางภาวะที่จํากัดในด้านต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการเรียนรู้ ประดิษฐกรรมและนวัตกรรมของสังคม

ข้อ 2. จงอภิปรายในหัวข้อ “เมือง ในอุดมคติของข้าพเจ้า” ?

แนวคําตอบ

เมืองในอุดมคติของข้าพเจ้า มีลักษณะที่สําคัญดังนี้

1. มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ไม่มีความเหลื่อมล้ําของประชาชน ในการเข้าถึงบริการพื้นฐานทางเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ บริการโทรคมนาคม ฯลฯ

2. มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาสภาพแวดล้อมในพื้นที่เมืองให้มีความน่าอยู่ปลอดภัย และมีการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม

3. มีการจัดโครงสร้างพื้นฐานที่สอดคล้องกับศักยภาพทางเศรษฐกิจและโครงสร้างทาง สังคมและประชากรในพื้นที่ โดยเฉพาะรองรับประชากรผู้สูงอายุที่มีจํานวนมากขึ้นในอนาคต

4. มีการเฝ้าระวังและบูรณาการในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน น้ํา ไฟฟ้า รวมถึงถนนหนทาง สะพาน อุโมงค์ รถไฟ รถไฟฟ้าใต้ดิน ท่าเรือ ท่าอากาศยาน การสื่อสาร ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อใช้ทรัพยากรเหล่านี้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุด

5. มีการวางแผนกิจกรรมการบํารุงรักษาเชิงป้องกันและเฝ้าระวังในมิติด้านความปลอดภัย ขณะที่ให้บริการอย่างดีที่สุดแก่ประชาชน

6. มีการจัดระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ชาญฉลาด ปลอดภัย และยั่งยืน โดยการเคลื่อนย้ายแบบความเร็วสูง เช่น รถไฟใต้ดิน รถไฟรางเบา รถไฟฟ้ารางเดี่ยว ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อ ให้เกิดการเข้าถึงของประชาชนได้อย่างทั่วถึง และในระยะยาวต้องพัฒนาให้เกิดความเชื่อมโยงการบริการของระบบขนส่งและเครือข่ายของโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็นระหว่างเมืองศูนย์กลางทั่วประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพ ชีวิตที่ดีของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ

7. มีการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น การติดตามเฝ้าระวังเรื่องมลพิษ สร้างสังคม คาร์บอนต่ํา ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการนําวัตถุดิบกลับมาใช้ซ้ำ ฯลฯ มีระบบการจัดการทรัพยากรน้ำ ที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา น้ำเสีย การระบายน้ำตามธรรมชาติ น้ำท่วม รวมไปถึงการอนุรักษ์น้ำ และลดปริมาณการใช้น้ำโดยไม่จําเป็น

8. มีระบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณขยะ และจัด หมวดหมู่ประเภทของขยะที่แหล่งกําเนิดขยะ ให้ประชาชนชาวเมืองเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด โดยภาคการศึกษา จะต้องมีบทบาทสําคัญในการปลูกจิตสํานึกในเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งขณะเดียวกัน ในส่วนของภาคกฎหมายจะต้องออกกฏที่เข้มงวด และเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อลงโทษผู้ละเมิด
หรือฝ่าฝืน

9. ประชาชนชาวเมืองสามารถเข้าถึงการบริการทางสุขภาพคุณภาพดี รวมถึงการติดตามสุขภาพประชาชนในระยะไกล และมีการจัดการเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์

10. มีการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรม วิถีการดํารงชีวิต มีเอกลักลักษณ์

11. มีชุมชน องค์กรชุมชนที่เข้มแข็ง และเกื้อกูลกัน

12. มีกลไกเพื่อระดมความคิดเห็น ประสบการณ์ และทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ เป็นต้น

ข้อ 3. “เมือง” และ “ชุมชนเมือง” คืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร จงอธิบายโดยทําให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ และจินตนาการที่ชัดเจนได้ ?

แนวคําตอบ

เมือง (City/Urban) มีความหมายดังนี้

– การตั้งถิ่นฐานถาวรขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างถาวร (เช่น บ้านเรือน) มีสิ่งอํานวยความสะดวกด้านการสาธารณูปโภค (เช่น ประปา ไฟฟ้า ถนน)
– เมืองจะเป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองจํานวนมาก มีความหนาแน่นของประชากรอยู่ใน ระดับสูง ประชากรของแต่ละเมืองจะประกอบไปด้วยคนต่างเพศ ต่างสถานภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรกรรม
– เมืองจะมีระบบการบริหารและการปกครองเป็นของตนเอง
– เมืองจะประกอบด้วยองค์กรทางสังคมต่าง ๆ มากมาย
– เมืองจะเป็นศูนย์รวมของขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เช่น ในเชิงทางประวัติศาสตร์ เมืองจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และการศึกษา การตลาดและการพาณิชยกรรม การบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารขององค์กรเอกชนต่าง ๆ การศาสนาและประเพณี
– เมืองบางแห่งอาจเกิดขึ้นเพื่อทําหน้าที่พิเศษเฉพาะด้าน เช่น เมืองหน้าด่านและ ป้อมปราการทําหน้าที่ป้องกันตนเองและป้องกันเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบเมืองเดียวกัน
– เมืองกลายเป็นผู้ใช้และผู้ผลิตที่เพิ่มค่าทางเศรษฐกิจของวัตถุดิบและการบริโภคอุปโภค อย่างมากมาย จนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศ เช่น การค้า การธนาคาร การบริหารอุตสาหกรรม การขนส่งคมนาคม แหล่งขายปลีก ตลอดจน เป็นศูนย์กลางของรัฐบาล

ชุมชนเมือง (Urban Community) หมายถึง ชุมชนที่ประกอบไปด้วยคนทุกสถานะ ทั้งคนรวยและคนจนรวมกันอยู่อย่างแออัดในพื้นที่ มีความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนแตกต่างจากสังคมในชนบท
และเนื่องจากการที่ชุมชนเมืองจะประกอบไปด้วยผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีจํานวนจํากัด คนในชุมชนเมือง จึงมักจะมีความเป็นอยู่หนาแน่น จนกระทั่งเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมักจะมีปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น

สาเหตุของการเกิด.

1. ในแง่การผลิตและการพัฒนาอุตสาหกรรม เมืองหลายเมืองได้กลายมาเป็นเมืองมหานคร โดยมีจุดเริ่มและก่อกําเนิดมาจากบทบาทในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจหรือเป็นเมืองหลวง (เช่น กรุงเทพฯ, จากาตาร์, เม็กซิโก ซิตี้ ฯลฯ) หรือเป็นเมืองใหญ่ริมชายฝั่งทะเล (เช่น กัลกัตตา, เซาเปาโล, เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ) ซึ่งการ รวมตัวเป็นชุมชนหนาแน่นเป็นกลุ่มก้อนดังกล่าวจะช่วยเอื้อให้เกิดความประหยัดหรือการขาดแคลนในด้านแรงงาน วิทยาการความรู้ การบริการธุรกิจการเงิน การติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการขนส่ง

2. ในทางสังคมวิทยานั้น พบว่าการรวมกันเข้าเป็นชุมชนเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ และ สิ่งแวดล้อมในสังคมเป็นตัวกําหนด ซึ่งแนวโน้มการตั้งถิ่นฐานหรือที่อยู่อาศัยที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หมู่บ้าน เมือง นคร ตามลําดับ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความต้องการและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การบริการ การค้า การลงทุน ประกอบการ การดําเนินกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ ที่มีทั้งแรงผลักแรงดันระหว่างชุมชนเมืองกับชุมชนชนบท ดังนั้นความต้องการเข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนเมืองจึงเป็นความคาดหวังว่า จะมีชีวิตที่ดีกว่าของมนุษย์

3. ความเป็นชุมชนเมืองไม่มีหลักเกณฑ์ของจํานวนเลขที่แน่ชัดมากําหนดว่ามีจํานวนเท่าใด สิ่งนี้จะแปรตามหรือขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศจะกําหนดขึ้น เช่น การพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างสองชุมชน หากชุมชนหนึ่งมีประชากรเป็น 50 เท่าของอีกชุมชนหนึ่ง จะถือว่าชุมชนนั้นเป็นชุมชนเมือง ส่วนอีกชุมชนหนึ่ง เป็นชุมชนชนบท เป็นต้น

ข้อ 4. จงอธิบายสาระสําคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา เมืองและชุมชนอย่างยั่งยืน มาโดยละเอียด ?

แนวคําตอบ

การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) เป็นแนวทางของการพัฒนาที่ตอบสนอง ความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ลิดรอนความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นหลัง ซึ่ง การบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนจะมีองค์ประกอบที่สําคัญ ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ความครอบคลุมทางสังคม
และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญครั้งที่ 70 เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2015 ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาติ ประเทศไทยและประเทศสมาชิกสหประชาชาติรวม 193 ประเทศ ร่วมลงนาม รับรองวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (2030 Agenda for Sustainable Development) ซึ่งเป็นกรอบการ พัฒนาของโลกเพื่อร่วมกันบรรลุการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยกําหนดให้มีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) เป็นแนวทางให้แต่ละประเทศดําเนินการร่วมกัน

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) มี 17 เป้าหมาย คือ

1. การขจัดความยากจนทุกรูปแบบ
2. การขจัดความหิวโหย การบรรลุความมั่นคงทางอาหารและเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
3. การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
4. การได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียมและทั่วถึง และมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. การบรรลุความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ การเพิ่มพลังสตรีและเด็กหญิง
6. การเข้าถึงการใช้น้ําสะอาดและสุขาภิบาลที่ดี
7. การเข้าถึงพลังงานที่มั่นคงและสะอาด
8. การมีงานที่มีคุณค่าเพื่อเพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
9. การส่งเสริมอุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
10. การลดความเหลื่อมล้ำทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
11. การตั้งถิ่นฐานและชุมชนอย่างยั่งยืน
12. การส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
13. การเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
14. การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน
15. การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรบนบกและรักษาระบบนิเวศ
16. การสร้างสังคมสันติสุข ยุติธรรม และมีสถาบันทางสังคมที่มีความเข้มแข็ง
17. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในทุกระดับในการบรรลุถึงเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน ของโลก

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเมืองและชุมชนนั้นจะปรากฏอยู่ในเป้าหมายที่ 11 คือ การพัฒนาเมืองและชุมชนอย่างยั่งยืน นั่นก็คือ การทําให้เมืองมีความครอบคลุมปลอดภัย เข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งมีเป้าหมายโดยรวม ในการยกระดับที่อยู่อาศัยชุมชนแออัด การขนส่งอย่างยั่งยืน การวางแผนการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ มรดกทาง วัฒนธรรม การสร้างความเข้มแข็งเพื่อรองรับประเด็นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของเมือง รวมไปถึงการบรรเทาทุกข์ จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัว ตลอดจนการสร้างอาคารที่ยั่งยืน เป็นต้น ดังนั้น การทําให้เมืองปลอดภัยและยั่งยืนจึงหมายถึง การสร้างหลักประกันในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและราคา ที่เหมาะสม รวมทั้งการยกระดับที่อยู่อาศัยชุมชนแออัด การลงทุนเรื่องการขนส่งสาธารณะ การสร้างพื้นที่สีเขียว สาธารณะ การปรับปรุง การวางผังเมืองและการจัดการโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนนั่นเอง

นอกเหนือจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 เป้าหมาย ยังประกอบไปด้วย 169 เป้าหมายย่อย (SDG Targets) ที่มีความเป็นสากล เชื่อมโยงและเกื้อหนุนกัน และกําหนดให้มี 247 ตัวชี้วัด เพื่อใช้ติดตามและ ประเมินความก้าวหน้าของการพัฒนา โดยสามารถจัดกลุ่ม SDGs ตามปัจจัยที่เชื่อมโยงกันใน 5 มิติ ซึ่งได้แก่

1. การพัฒนาคน โดยให้ความสําคัญกับการขจัดปัญหาความยากจนและความหิวโหย และลดความเหลื่อมล้ํา
2. สิ่งแวดล้อม โดยจะให้ความสําคัญกับการปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสภาพภูมิอากาศเพื่อพลเมืองโลกรุ่นต่อไป
3. เศรษฐกิจและความมั่งคั่ง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและสอดคล้องกับธรรมชาติ
4. สันติภาพและความยุติธรรม โดยยึดหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีสังคมที่สงบสุข และไม่แบ่งแยก
5. ความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนวาระ การพัฒนาที่ยั่งยืน

ข้อ 5. จงวิเคราะห์สถานการณ์ของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกพร้อมกับอธิบายถึงผลกระทบตลอดจนแนวทางแก้ไข ประกอบกับตัวอย่างไม่น้อยกว่า 5 ข้อ ?

แนวคําตอบ

สถานการณ์ของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก

จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่าในปี พ.ศ. 2561 ประชากรในเขตเมืองนั้น มีมากกว่าในชนบท โดยมีผู้คนอาศัยอยู่ในเขตเมืองประมาณร้อยละ 55 ของประชากรโลก ซึ่งในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2493 พบว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในเขตเมืองเพียงร้อยละ 30 ของประชากรโลกเท่านั้น นอกจากนี้สหประชาชาติยังคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี พ.ศ. 2593 จะมีคนอาศัยอยู่ในเมืองเพิ่มสูงถึงร้อยละ 68 ของประชากรโลกอีกด้วย

ในแง่ประชากรในชนบท (Rural Population) ของโลก พบว่าเติบโตอย่างช้า ๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งในปัจจุบันในชนบททั่วโลกมีจํานวนเกือบ 3.4 พันล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจะลดลงเหลือประมาณ 3.1 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2593 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแอฟริกาและเอเชียซึ่งมีประชากรชนบทเกือบร้อยละ 90 ของประชากรชนบทของโลก

ในแง่ประชากรในเมือง (Urban Population) ของโลก พบว่าเติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 โดยเพิ่มขึ้นจาก 751 ล้านคน เป็น 4.2 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2561 แม้ว่าเอเชียจะมีการขยายตัว น้อยกว่าภูมิภาคอื่น ๆ แต่กลับพบว่ามีประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองสูงถึงร้อยละ 54 ของทั่วโลก ในขณะที่แอฟริกา มีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้น

ดังนั้นสถานการณ์ในปัจจุบันของการอยู่อาศัยของมนุษย์ในโลก จึงเป็นลักษณะการอยู่อาศัย ในโลกแห่งชุมชนเมือง นั่นคือ ปัจจุบันประชากรโลกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และประชากรโลกมากกว่า ครึ่งหนึ่งนั้นได้เข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนเมือง โดยเฉพาะเมืองในประเทศกําลังพัฒนานั้นจะมีอัตราการเข้ามาอยู่ อาศัยของประชากรเพิ่มมากขึ้นมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว จนกระทั่งบางประเทศได้กลายเป็นชุมชนเมืองไป ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ปัจจุบันนี้เราอยู่ในโลกแห่งชุมชนเมืองอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้กําหนดให้วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เป็นวันที่ประชากรโลก มีจํานวนครบ 7 พันล้านคน ซึ่งเรียกว่า “Day of 7 Billion” และในปัจจุบันนี้จํานวนประชากรโลกที่มีแนวโน้ม เพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็มีความปรารถนาที่ต้องการอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี มีอากาศบริสุทธิ์ อาหารและน้ำสะอาด มีบ้านอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่สะอาด และทํางานในสถานที่ที่ปลอดภัย มีการควบคุม ป้องกันมลพิษตลอดจนพิษภัยอันตรายจากโรคต่าง ๆ มีการดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนแต่เนื่องจากความต้องการ ในการอยู่อาศัยของประชาชนในชุมชนเมืองมีมาก และประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรม การค้า การท่องเที่ยว ย่อมส่งผลกระทบต่อการพัฒนาความเป็นเมืองหรือการสร้างบ้านแปลงเมือง ชุมชนเมืองและ การอยู่อาศัยของมนุษย์บนโลกโดยรวม ซึ่งจะทําให้เกิดปัญหาความต้องการในด้านการบริโภค อุปโภค การขาดแคลน และทรัพยากรสิ่งจําเป็นพื้นฐานตามมา เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย พลังงาน ทรัพยากรประเภทอื่น ๆ เป็นต้น

ผลกระทบอันเกิดจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก

1. ปริมาณความต้องการน้ำจืด (Fresh Water) เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นก็จะส่งผล กระทบต่อปริมาณน้ำจืดที่จําเป็นต่อการอุปโภคบริโภค ทั้งนี้เพราะมนุษย์จะพยายามขยายพื้นที่อยู่อาศัยออกไปเรื่อย ๆ อาจจะถมที่ดินหรือสร้างบ้านจัดสรรก็ทําให้เกิดการบุกรุกเบียดเบียนแหล่งน้ําจืด ส่งผลให้ระบบวงจรของน้ำที่ระเหยจากแหล่งน้ำเป็นไอน้ำขึ้นไปกลายเป็นเมฆแล้วก็กลั้นตัวลงมาเป็นฝนมีปริมาณลดลงถึงร้อยละ 75

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ถึงปี ค.ศ. 2050 โดยมีการคาดการณ์ว่าเมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 จะมีน้ําจืดเหลือเพียง 1 ใน 4 ของ ปริมาณน้ําจืดในปี ค.ศ. 1950 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น เขื่อน แม่น้ำ ฯลฯ ในหลาย ๆ ประเทศ ก็จะประสบกับปริมาณน้ำลดน้อยถอยลงและแห้งแล้ง หรือบางภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกในบางฤดูกาลก็จะเกิดปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นผลมาจากการบุกรุกแหล่งกักเก็บน้ำต่าง ๆ และทําลายป่าไม้นั่นเอง

แนวทางแก้ไขผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ การรีไซเคิลน้ำกลับมาใช้ใหม่ การทําฝนเทียมการแยกเกลือออกจากน้ำเค็ม การอนุรักษ์แหล่งน้ำบาดาลแห่งใหม่ ลดการทําปศุสัตว์ลง รวมไปถึงแนวคิดในเรื่อง การทําเกษตรแนวใหม่ หรือการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยลง โดยนําวิธีที่จะใช้น้ำให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด
เช่น การใช้ระบบน้ำหยด เป็นต้น

2. ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์มักจะมีระบบนิเวศ ที่อุดมสมบูรณ์ด้วย เช่น มีแม่น้ำ ลําธาร ป่าไม้ ภูเขา สัตว์ป่า พืชพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอาหารของปลาและสัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบห่วงโซ่อาหาร เมื่อเกิดภาวะโลกร้อนเกิดความแห้งแล้ง พื้นที่ชุ่มน้ำหรือพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้ ก็เกิดปัญหาความเหือดแห้งส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อประมาณ 65 ล้านกว่าปีที่ผ่านมานี้ สิ่งมีชีวิตได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ 100 ถึง 1,000 เท่าของอัตราปกติ โดยที่มนุษย์มิใช่เป็นเพียงพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นเหตุของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตดังกล่าว

แนวทางแก้ไขผลกระทบดังกล่าวนั้นจําเป็นต้องมีการจัดทําแนวทางและวิธีดําเนินการในการป้องกัน การแก้ไขฟื้นฟู และการอนุรักษ์ ซึ่งได้แก่ การใช้กฎหมาย การประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ความรู้และ ความเข้าใจแก่ประชาชนในการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม การบําบัดฟื้นฟูสภาพของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นและเหมาะสมสําหรับการใช้ประโยชน์ต่อไป รวมไปถึงมีการแบ่งเขต/ พื้นที่ควบคุมเพื่อให้มีสภาวะที่เหมาะสมสําหรับการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากร เช่น การจัดพื้นที่เป็นป่าอนุรักษ์ หรืออุทยาน ซึ่งจะทําให้สภาพดิน พืช สัตว์ และป่าไม้ มีสภาพเหมาะสมในการขยายพันธุ์ ดํารงพันธุ์ และเจริญเติบโตเป็นต้น

3. การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) ภาวะโลกร้อนหรือภูมิอากาศ เปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากการกระทําของมนุษย์ และปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสังคมเมืองและภาคอุตสาหกรรม ที่ปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จนเกิดการสะสมและทําลายชั้นโอโซน (Ozone Layer) ซึ่ง เรียกว่า “ภาวะเรือนกระจก” ก็มีแนวโน้มทําให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบให้น้ําแข็งขั้วโลกละลาย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อแหล่งอาหาร สภาวะทางธรรมชาติ และตัวมนุษย์เองด้วย

แนวทางแก้ไขผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ ลดการใช้พลังงานที่มีส่วนทําให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้สารเคมีในการเกษตร ลดการใช้พลาสติก เลือกใช้กระดาษรีไซเคิล หันมาใช้พลังงานไบโอดีเซล และสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานทดแทนอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ํา พลังงานลม เป็นต้น

4. การประมงหรือการจับปลาในมหาสมุทร (Oceanic Fish Catch) การจับสัตว์น้ำ ทางทะเลส่งผลต่อการลดลงของปริมาณกุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 – 1988 อัตราการจับสัตว์น้ำ เหล่านี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 19 ล้านตัน มาเป็น 88 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าการเพิ่มขึ้นของจํานวนประชากรเสียอีก แต่หลังปี ค.ศ. 1988 เป็นต้นมา อัตราการจับปลาก็ลดลง ซึ่งในปี ค.ศ. 1996 ลดลงเหลือ 16 กิโลกรัมต่อคน อย่างไรก็ตามการจับสัตว์น้ำก็ยังมีมากอยู่ เพราะว่าคนนิยมบริโภคอาหารทะเลกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งอัตราการจับ สัตว์น้ำลดลงนั้น เป็นผลมาจากสัตว์น้ำเริ่มลดจํานวนลงและสูญพันธุ์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นและ ยังมีการใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างฟุ่มเฟือย นักชีววิทยาทางทะเลได้กล่าวไว้ว่า อัตราการจับสัตว์น้ําในปัจจุบันนี้
มีประมาณปี 93 ล้านตัน ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อจํานวนประชากรโลก และอีกไม่นานมนุษย์เราก็อาจจะมีอาหาร เหล่านี้รับประทานกันได้น้อยลงและยากขึ้น

แนวทางแก้ไขผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ การปลูกป่าชายเลนเพื่อให้มีแหล่งอาหารของ สัตว์ เป็นที่วางไข่และเป็นที่อยู่ของตัวอ่อนของสัตว์ทะเลหลายชนิด หยุดการทําไม้ป่าชายเลนและการทําเหมืองแร่ ในพื้นที่ป่าชายเลน งดการใช้อวนรุน อวนลาก ไม่ทิ้งสมอเพื่อจอดเรือในแนวปะการัง เพราะจะทําให้ปะการัง หักเสียหาย งดการจับปลาในช่วงฤดูวางไข่ ไม่ใช้ระเบิดจับปลา ไม่สร้างโรงแรมและที่พักติดทะเลเพราะจะทําให้เกิด น้ําเสียอันเป็นเหตุให้ปะการังตาย เป็นต้น

5. งานหรือการมีงานทํา (Jobs) ประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อภาวะ การจ้างงานและตําแหน่งงาน ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โลกมีจํานวนแรงงานเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า คือ จาก 1.2 พันล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 2.7 พันล้านคน จากข้อมูลขององค์การแรงงานสากล (The United Nations International Labor Organization : ILO) ได้คาดการณ์ว่าจะมีคนตกงานกว่า 1 พันล้านคน หรือ 30% ของ คนในวัยแรงงาน และในช่วงอีกครึ่งศตวรรษต่อไปจะมีคนตกงานประมาณเกือบ 2 พันล้านคน ซึ่งมากกว่าตําแหน่งงาน ที่มีอยู่ประมาณ 1.9 พันล้านตําแหน่ง โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นปัญหาในประเทศกําลังพัฒนา ทั้งนี้เพราะประเทศ เหล่านั้นมีอัตราการเกิดและจํานวนประชากรมาก และเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นจํานวนมากด้วย ในขณะที่ตําแหน่งงาน ที่มีอยู่ มีจํานวนอัตราตําแหน่งเติบโตน้อยกว่าแรงงาน เป็นต้น

แนวทางแก้ไขผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ ลดช่องว่างระหว่างรายได้ของประชาชนส่งเสริมให้ประชาชนมีมาตรฐานการศึกษาสูงขึ้น พัฒนาและยกระดับฝีมือแรงงาน มีการอบรมการประกอบอาชีพ ให้แก่ประชาชน จัดหาตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม เพิ่มคุณภาพของสินค้าและบริการ กระจายอุตสาหกรรมไปสู่ภูมิภาค มีการใช้นโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดต่างประเทศให้มาลงทุนในประเทศ มากขึ้น เป็นต้น

ข้อ 6. หลักการบริหารหรือจัดการชุมชนเมืองตั้งแต่เริ่มมีแนวคิด อุดมการณ์ ไปสู่การปฏิบัติ ว่ามีหลักการและวิธีการอะไรอย่างไร พร้อมตัวอย่างโดยสังเขป ?

แนวคําตอบ

การบริหารชุมชนเมืองหรือการจัดการชุมชนเมืองมุ่งที่จะเสนอแนวคิดและวิธีการปฏิบัติใน การบริหารชุมชนเมือง โดยมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการบริหารเพื่อตอบสนองต่อผู้อยู่อาศัยในชุมชนนั้น ๆ เป็นหลัก จึงจําเป็นต้องศึกษาในแง่ของประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาทั้งในระดับภูมิภาค ระดับชาติ และ ระดับสากล ตลอดจนแนวทางในการพัฒนาชุมชนเมือง เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษาในเชิงระบบทั้งใน ด้านปัญหาและข้อเรียกร้องของชุมชนเมืองในฐานะปัจจัยนําเข้า (Input) ตลอดจนความจําเป็นและแนวทางของ กิจกรรมในฐานะปัจจัยนําออก (Output) และศึกษาผลกระทบของการบริหารชุมชนเมือง โดยจะศึกษาทั้งตัวองค์กร หรือสถาบันหลักที่เกี่ยวข้องหรือมีหน้าที่ในการบริหารชุมชนเมือง หรือศึกษาแยกย่อยไปที่ประเด็นรายละเอียดหรือเนื้อหาสาระในชุมชนเมือง ดังนั้นการบริหารชุมชนเมืองจึงมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่การกําหนดเป้าหมายการวางแผน การบริหารและลงมือปฏิบัติจนบังเกิดผล ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้

การบรรลุภารกิจและความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมือง

การบริหารชุมชนเมืองสมัยใหม่ไม่ใช่เป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้เพราะการตระหนักในความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมือง โดยชาวชุมชนเองเท่านั้นที่จะนําไปสู่ความสําเร็จในการบริหาร ชุมชนเมือง กล่าวคือ เมืองที่ประชาชนมีความสนใจและให้ความร่วมมือในกิจกรรมของส่วนรวม รวมไปถึงการ ตรวจสอบติดตามการทํางานของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในลักษณะการบริหารจัดการที่ดี (Good Governance) ระบบการเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนสําคัญในการกําหนดแนวทางและวิธีการ ซึ่งอาจได้รับการ สนับสนุนจากภายนอกจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมเพราะได้สร้างให้เกิดความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมืองของชาวชุมชนเมืองโดยแท้จริง โดยจะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่สําคัญหลายด้าน เช่น

1. ด้านเกียรติภูมิและสิทธิของประชาชน (Right and Dignity) คือ การให้สาธารณชน ได้ตัดสินใจบริหารงานอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ ปราศจากอคติและความลําเอียง ตลอดจนบริหารงานโดยยึดหลัก กฎหมาย และต้องพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบคอบผ่านกระบวนการกลไกการปกครอง ทั้งนี้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยสามารถตรวจสอบการบริหารนั้นได้ซึ่งเป็นการให้สิทธิและคํานึงถึงศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของชาวเมือง

2. ด้านความรับผิดชอบที่สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) คือ การบริหารงานนั้น ต้องอยู่ภายใต้อาณัติของประชาชนในทุกขั้นตอนของการดําเนินงาน ทั้งการอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือบริหารงานบนพื้นฐานความต้องการของประชาชน ซึ่งการบริหารงานนั้นจะต้องเป็นไปโดยเปิดเผย ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ในขณะที่ทุกฝ่ายต่างก็มีความรับผิดชอบที่สามารถตรวจสอบได้

3. ด้านความมีประสิทธิผล (Effectiveness) คือ การบริหารงานให้บรรลุเป้าหมาย หรือ สามารถบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาและเสนอทางออกให้กับประชาชนได้ รวมทั้งต้องบริหารงานด้วยความคุ้มค่าคือ การใช้ทุนน้อยแต่สามารถบรรลุมาตรฐานด้านต่าง ๆ ตามที่ประชาชนชาวเมืองต้องการ โดยมุ่งสร้างหรือยกระดับ มาตรฐานชีวิตของประชาชน หรือตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของคนในด้านต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนและ เพียงพอ เช่น ความต้องการอาหารที่เพียงพอ อากาศที่บริสุทธิ์ น้ําสะอาดเพื่อการบริโภค ที่อยู่อาศัยและเครื่องนุ่งห่ม ที่น่าพอใจ ความต้องการมีสุขภาพอนามัยที่ดี เป็นต้น

จุดเริ่มต้นในการบริหารชุมชนเมือง

การบริหารชุมชนเมืองจะเริ่มต้นที่การวางแผน และการมีแผนเพื่อให้เป้าหมายที่มนุษย์ต้องการอยู่ในสังคมชุมชนเมืองได้รับการตอบสนอง ซึ่งในการบริหารชุมชนเมืองนิยมเรียกโดยรวมว่า “แผนหรือ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง” ภายใต้ชื่อที่หลากหลาย เช่น แผนพัฒนา (Development Plan), แผนเมือง (Urban Plan), แผนแม่บท (Master Plan), แผนทั่วไป (General Plan) เป็นต้น แต่การบริหารชุมชนเมืองมักจะเน้นหนัก แผนกายภาพที่เรียกว่า ผังเมือง (City Plan) และแผนจัดการการเจริญเติบโต (Growth Management Plan)

การบริหารชุมชนเมืองที่ดีจะมีแผนภารกิจ (Action Plan) หรือแนวทางที่ชัดเจนเพื่อมารองรับ กิจกรรมการบริหารชุมชนเมืองให้ได้ผล เช่น

1. การออกแบบเมือง (Urban Design) เป็นการสร้างวิสัยทัศน์ของเมืองหรือสร้างสรรค์ ให้เกิดสภาพเมืองที่พึงปรารถนา โดยคํานึงถึงปัจจัยที่สําคัญในด้านความสวยงามน่าชวนมอง คุณค่าด้านจิตใจ เอกลักษณ์ที่โดดเด่น และศักยภาพดั้งเดิมเป็นสําคัญ ซึ่งถือเป็นขั้นการผลักดันให้เกิดแนวคิดและวิสัยทัศน์ของคน ในชุมชน

การทําให้เป้าหมายหรือแนวคิดของการออกแบบเมือง ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมที่สวยงามให้คนภายนอกมองเห็นได้นั้น ต้องมีการวางภูมิทัศน์ของเมือง (Cityscape) ด้วยการสร้างรูปลักษณ์ ของเมืองตามที่ได้รับเอาแนวคิดต่าง ๆ มาใช้กําหนดเป็นทิศทางและลักษณะของเมือง ซึ่งจะปรากฏออกมาเป็น แนวทางในการก่อสร้างแหล่งที่อยู่อาศัย ที่สาธารณะ ถนนหนทาง และที่ตั้งของสิ่งอํานวยความสะดวกในเมือง เป็นต้น

2. แผนเมือง (City Plan) จะชี้ให้เห็นถึงแนวคิดพื้นฐานและวัตถุประสงค์ของเมืองนั้นๆไปสู่ทิศทางที่ต้องการ โดยส่วนร่วมก็จะมีแนวคิดพื้นฐานเพื่อสร้างให้เมืองนั้นมีความสะดวกสบายน่าอยู่อาศัยหรือสร้างให้ผู้คนมีความหวังและสามารถมองไปในอนาคตได้ ซึ่งแผนเมืองนี้อาจจะกําหนดเป็นแผนแม่บทหรือ แผนหลัก (Master Plan) ที่จะเป็นกรอบหรือแนวทางไปสู่การวางแผนปฏิบัติ หรือนโยบายในการวางแผนเมือง (City Planning Politics) ต่อไป ซึ่งได้แก่

1) แผนในภาพรวม อาจจะต้องอาศัยทิศทางและความสอดคล้องในระดับกว้าง เช่น แผนภูมิภาคหรือแผนระดับประเทศที่ต้องอาศัยความเกี่ยวพันและการตัดสินใจ และความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นไม่เฉพาะเมืองนั้นเมืองเดียว

2) การผังเมืองและการวางแผนการใช้พื้นที่ ดําเนินการโดยอาศัยกฎหมายการผังเมือง และการบริหารงานในเชิงนโยบาย จนกลายเป็นผังเมืองรวม (Comprehensive Plan) หรือผังเมืองเฉพาะ (Specific Plan)

-ผังเมืองรวม คือ แผนที่แสดงการใช้ที่ดินประเภทต่าง ๆ ที่ต้องการให้ เกิดขึ้นบนพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของท้องถิ่นในอนาคต

-ผังเมืองเฉพาะ เป็นผังที่จัดทําขึ้นหลังจากมีผังเมืองรวม มีความละเอียด มากกว่าผังเมืองรวม และจะจัดทําในพื้นที่บางส่วนของผังเมืองรวม ซึ่งเป็น พื้นที่ที่มีความสําคัญสูง หรือมีความจําเป็นสูงที่จะต้องสงวนรักษา เช่น พื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ พื้นที่ที่มีคุณค่าทางสภาพแวดล้อม หรือพื้นที่ธุรกิจการค้า เป็นต้น

3. การวางแผนด้านอื่น ๆ เป็นการวางแผนที่อาจผสมผสานการวางแผนในเชิงกายภาพ และในเชิงการบริหาร เช่น การวางแผนในการพัฒนาเศรษฐกิจ, การวางแผนทิศทางการเจริญเติบโตของเมือง, การวางแผนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ข้อ 7. การจัดการภัยพิบัติมีความสําคัญอย่างไรต่อการบริหารชุมชนเมือง จงอธิบายกรอบการจัดการ ภัยพิบัติโดยเฉพาะอุทกภัยที่หลายประเทศกําลังเผชิญ พร้อมทั้งเสนอแนวทางการจัดการปัญหาอย่างยั่งยืน ?

แนวคําตอบ

ความสําคัญของการจัดการภัยพิบัติต่อการบริหารชุมชนเมือง

การจัดการภัยพิบัติเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ตั้งแต่การเตรียมการก่อนเกิดเหตุ การรับมือในภาวะฉุกเฉิน การบรรเทาทุกข์ ช่วยชีวิตและฟื้นฟูบูรณะหลังเหตุการณ์ ซึ่งในอดีตการจัดการภัยพิบัติมักเน้น เรื่องการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เป็นหลัก แต่ในปัจจุบันแนวโน้มของการจัดการภัยพิบัตินั้นจะมีลักษณะของ การเตรียมการเชิงรุกมากขึ้น โดยดําเนินการด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่จะ เกิดขึ้นจากภัยพิบัติ รวมทั้งมีมาตรการที่ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นการวางแผน เพื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ ระหว่างเกิดภัยพิบัติ และหลังจากที่เกิดภัยพิบัติแล้ว

กรอบการจัดการภัยพิบัติโดยเฉพาะอุทกภัย

1. เข้าถึงข้อมูลรายละเอียดที่เป็นจริง
2. พึ่งออกแบบการจัดการให้สามารถรับสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปจากการวางแผนไว้
3. บูรณาการแผนการจัดการน้ําท่วมให้สอดคล้องเข้ากับแผน/โครงการของการบริหารชุมชน
4. มีกลยุทธ์/มาตรการที่หลากหลายที่เกื้อกูลกันและจัดการอย่างสมดุล
5. คํานึงถึงความเหมาะสมทุกพื้นที่ทั้งต้นน้ําและปลายน้ํา
6. มาตรการทางวิศวกรรมที่ออกแบบมาอาจสําเร็จหรือล้มเหลว หรือไม่ได้ผลทั้งหมด แต่ก็ ย่อมดีกว่าไม่มีมาตรการใด ๆ
7. มาตรการจัดการอุทกภัยต้องใช้เป็นเครื่องมือที่มาเสริมแผนบริหารเมือง
8. คํานึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ/สังคมในวงกว้าง
9. ระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน
10. ขั้นตอนการปฏิบัติจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
11. การทํางานจําเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสารและการกระตุ้นเตือนอย่างต่อเนื่อง
12. ควรมีแผนในการฟื้นฟูและสร้างความเข้มแข็งในระยะยาว

แนวทางการจัดการปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน สรุปได้ดังนี้

1. การวางแผนบริหารจัดการอุทกภัย

ชุมชนเมืองมักจะประสบปัญหาน้ำท่วมเป็นประจําทุก ๆ ปี เนื่องจากชุมชนเมืองส่วนใหญ่ มีสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นทางผ่านของแม่น้ำและลําคลองจํานวนมาก และได้รับอิทธิพลจากการขยายตัวเมือง ทําให้กลายเป็นแหล่งธุรกิจและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการไหลและการระบายน้ําออกจากพื้นที่ แม้ปริมาณน้ำที่เกิดจากฝนตกหนักในเขตพื้นที่ตัวเมืองจะมีการท่วมขังอยู่บ่อยครั้งก็ตาม ด้วยสรรพกําลังและความสามารถในการระบายน้ำของหน่วยงานที่มีอยู่ก็ย่อมจะทําให้คลี่คลายไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากเป็นลักษณะ ของมวลน้ำมหาศาลที่ไหลบ่ามาจากนอกพื้นที่โดยเฉพาะผ่านทางลําคลองที่มีอยู่รอบด้าน ก็จะเป็นการยากที่จะสามารถรับมือกับปัญหาดังกล่าวได้ จึงจําเป็นต้องนําไปสู่การกําหนดนโยบายและการวางแผนการจัดการปัญหา อุทกภัยและภัยพิบัติในด้านต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ แนวทางการป้องกันและลดผลกระทบ การเตรียมความพร้อมในการ รับมือ การเตรียมความพร้อมสําหรับการจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงแผนการจัดการหลังจากเกิดภัยพิบัติ ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว เช่น การดําเนินการลอกท่อระบายน้ำในเขตชุมชน ขุดลอกคูคลอง แหล่งน้ำ สาธารณะ รวมทั้งกําจัดวัชพืชสิ่งกีดขวางทางน้ำเพื่อให้สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่อุทกภัยได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในช่วงฤดูฝน เป็นต้น

2. การสร้างคันกั้นน้ำถาวร

พื้นที่ที่ติดแม่น้ําส่วนใหญ่ยังไม่มีแนวคันกั้นน้ำที่ได้มาตรฐาน ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ดํารงชีวิตและอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวถือว่าเป็น โครงการที่มีงบประมาณมหาศาลและยังส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นจํานวนมาก ซึ่งจะต้องมีการสํารวจผลกระทบ
ที่จะเกิดต่อชุมชน รวมถึงจะต้องเป็นกระบวนการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจผ่านทางการทําประชาพิจารณ์และการตรวจสอบความโปร่งใสในการดําเนินการทุกขั้นตอนเสียก่อน เพราะอาจกลายเป็นปัญหากับท้องถิ่นที่อยู่ใกล้เคียงได้

3. การสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน

การแก้ไขปัญหากับภัยน้ําท่วมนั้นมีความจําเป็นในการสร้างความร่วมมือกับองค์กร ภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อผนึกกําลังต่อสู้กับมวลน้ําที่มีปริมาณมหาศาลที่พร้อมจะเข้า โจมตีเมือง นั่นคือ การขอความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนราชการในจังหวัด เพื่อดําเนินการ ฝึกซ้อมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการเตรียมรับมือกับสาธารณภัยในเขตพื้นที่จังหวัด รวมไปถึงการขอ ความช่วยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภคที่สําคัญ เช่น เครื่องสูบน้ำ อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

นอกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ภาคเอกชนนับเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาท สําคัญในการสนับสนุนยุทธปัจจัยในการต่อสู้กับมวลน้ำที่มีปริมาณมหาศาลนี้ ด้วยการสนับสนุนหลายช่องทาง เช่น บริจาคทราย ถุงบรรจุกระสอบทราย เป็นต้น รวมไปถึงสื่อมวลชนที่มีการติดตามและรายงานสถานการณ์ ช่วงเกิดภัยน้ําท่วมอย่างต่อเนื่อง มีการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

การสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชนในการบริหารจัดการน้ำนั้น แม้จะมีระบบ บริหารจัดการที่ดีเพียงใด ย่อมบรรลุผลได้ยาก หากไม่สามารถจัดการคนได้ โดยเฉพาะเรื่องการจัดการความขัดแย้ง และการเฝ้าระวังการพังคันกั้นน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างมากในการสร้างความเข้าใจระหว่างพื้นที่ประสบภัยกับ พื้นที่เหนือแนวคันกั้นน้ำ รวมถึงการมีมิตรไมตรีที่ดีของผู้อยู่เหนือแนวคันกั้นน้ำในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย มีการ สร้างสิ่งอํานวยความสะดวก เช่น สะพาน การจัดส่งอาหาร ยาและเวชภัณฑ์ กรณีที่ประชาชนไม่ย้ายเข้าศูนย์อพยพ

นอกจากนี้ ยังมีอาสาสมัครหรือกลุ่มจิตอาสาจํานวนมากที่จะเข้าร่วมช่วยเหลือ ทั้งใน เรื่องการกรอกกระสอบทราย การทําอาหาร หรือการจัดกิจกรรมคลายเครียดในศูนย์พักพิงนั้นด้วย

4. การจัดเตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราว

การจัดเตรียมศูนย์พักพิงเพื่อรองรับกับผู้ประสบภัยจะต้องคํานึงถึงวิถีชีวิตความรู้สึกที่มีต่อชุมชน และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ด้วยเป็นสําคัญ โดยมีแนวทางปฏิบัติที่สําคัญ คือ การตั้ง ศูนย์พักพิงขนาดเล็กในพื้นที่ขึ้น นอกจากจะทําให้การบริหารจัดการมีความคล่องตัวสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังทําให้ การบริการมีความใกล้ชิด เป็นกันเอง สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของคนในแต่ละพื้นที่เป็นสําคัญ โดยอาจจะอาศัย สถานที่ที่มีความเป็นสาธารณะและผูกพันกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ เช่น โรงเรียน วัด มัสยิด อาคารหน่วยงานราชการในพื้นที่ เป็นต้น

ข้อ 8. การเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ใช่ยานยนต์ (Non-Motorized Vehicle) ซึ่งกําลังเป็นที่นิยมในเมือง ต่าง ๆ ทั่วโลก คืออะไร ทําได้อย่างไร และมีเป้าหมายเพื่อการใด จงอธิบายโดยละเอียด ?

แนวคําตอบ

การเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ใช่ยานยนต์ (Non-Motorized Vehicle) เป็นวิธีการเดินทาง ด้วยพาหนะหรืออุปกรณ์ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ไม่มีเครื่องยนต์ระบบไฟฟ้าขับเคลื่อนติดไว้ถาวรหรือชั่วคราวในตัว โดยที่บุคคลหรือสิ่งของจะถูกเคลื่อนย้ายไปโดยการขับเคลื่อนด้วยพลังกล้ามเนื้อของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การเดิน การขี่จักรยาน การพายเรือ การใช้สเก็ตบอร์ด การใช้รถเข็น หรือการเดินทางด้วยพาหนะ ที่ใช้สัตว์ลากจูง เป็นต้น

ความสําคัญของการเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ใช่ยานยนต์

1. แก้ปัญหารถติด/ปัญหาความแออัด และความล่าช้าของจราจรโดยยานยนต์ได้
2. สามารถใช้พื้นผิวจราจรได้หลากหลายกว่าการเดินทางโดยยานยนต์
3. สามารถเดินทางไปได้ทุกหนทุกแห่งที่มีถนนรองรับอยู่แล้ว ไม่จําเป็นต้องขยายถนนหรือก่อสร้างผิวจราจรใหม่
4. ประหยัดเงินลงทุนมหาศาล ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อที่ดินหรือเวนคืนที่ดินจํานวนมาก
5. สามารถทําได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว เป็นต้น

เป้าหมายของการเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ใช่ยานยนต์

1. เพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. เพื่อลดปริมาณน้ํามันและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
3. เพื่อลดอันตรายจากการสัญจรของรถยนต์และรถบรรทุก
4. เพื่อลดมลภาวะมลพิษทางอากาศ ทําให้ออกซิเจนในอากาศสูงขึ้น
5. เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่กําลังจะหมดไปโดยเฉพาะน้ํามันและถ่านหิน
6. เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์อันเป็นสาเหตุทําให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
7. เพื่อส่งเสริมให้คนหันมาออกกําลังกายเพื่อประโยชน์ของสุขภาพทั้งทางตรงและทางอ้อม
8. เพื่อเป็นวิธีการออกกําลังอย่างหนึ่งซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน และ ทําให้จิตใจเบิกบานแจ่มใส เป็นต้น

ข้อ 9. การจัดการจราจรและการขนส่งในเมือง มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่สําคัญอย่างไร จงอธิบาย ให้รายละเอียดตามหลักวิชาการ ?

แนวคําตอบ

การจัดการจราจรและการขนส่งในเมือง ถือเป็นกระบวนการที่นําไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายและแผนงานการขนส่ง ซึ่งในกระบวนการนี้ผู้วางแผนจะพัฒนาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของแนวทาง การกระทําที่เกี่ยวข้องกับการบริการขนส่งการเปิดตัวรูปแบบใหม่ของการขนส่งสาธารณะ หรือการพิจารณาเงื่อนไขข้อจํากัดที่มีอยู่ เช่น พื้นที่เมือง ที่จอดรถ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์พื้นฐานของการขนส่งซึ่งก็คือ การจัดวางระบบเคลื่อนรถและคนที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ซึ่งจําเป็นต่อการรองรับความต้องการของมนุษย์ในวงกว้างสําหรับกลุ่มสังคมที่หลากหลาย

วัตถุประสงค์ของการจัดการจราจรและการขนส่งในเมือง

1. เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการเร่งระบายการจราจร
2. เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
3. เพื่อความปลอดภัยและประหยัด
4. เพื่ออํานวยความสะดวกในการขนส่ง
5. เพื่อควบคุมทิศทางการระบายรถและคน
6. เพื่อกําหนดแนวทางการจัดการจราจรเพื่อการขับขี่ปลอดภัย

เป้าหมายของการจัดการจราจรและการขนส่งในเมือง

1. เพื่อกําหนดพื้นที่ (Zone) ของเมืองว่ามีกิจกรรมอะไร จะเชื่อมโยงกันโดยวิธีใดระหว่าง หรือภายในพื้นที่ และมีจุดเชื่อมต่อระหว่างเส้นทางหลักไปที่อื่นอย่างไร

2. เพื่อทําการศึกษาเฉพาะภายในแต่ละพื้นที่ที่มีกิจกรรมต่างกันไป ทั้งนี้เพื่อทราบประเภท ของผู้คน การเดินทาง จํานวน ขนาด และเวลาในการเดินทาง

3. เพื่อทําการศึกษาระยะเวลาในการเดินทาง ซึ่งเป้าหมายหนึ่งของการเดินทางที่สําคัญก็คือความรวดเร็ว ดังนั้นหากการจัดการจราจรและการขนส่งในเมืองโดยขาดเป้าหมาย ด้านนี้หรือด้านอื่น ๆ แล้วก็อาจจะไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน

4. เพื่อพยากรณ์สภาพการจราจรและการขนส่งในอนาคต โดยศึกษาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่จะ เป็นตัวกําหนดการจราจรและการขนส่ง

5. เพื่อวิเคราะห์ลักษณะพฤติกรรมการเดินทางของผู้คน ต้องมีการสํารวจโดยละเอียด จําแนกออกไปตามเพศ อายุ อาชีพ การศึกษา การทํางาน เป็นต้น

6. เพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของการเดินทางของผู้คนในเมือง รวมไปถึงการกระจายตัวของการขนส่งในเมือง

7. เพื่อวิเคราะห์โครงข่ายโดยรวมของเมือง

8. เพื่อสร้างแบบจําลองการเดินทางและการขนส่ง โดยคํานึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

9. เพื่อประเมินผลและเปรียบเทียบทางเลือกในแต่ละวิธีถึงผลได้ผลเสีย

ข้อ 10. จงอภิปรายปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาเมืองในสังคมที่กําลังพัฒนาให้เห็นเป็นรูปธรรม 3 – 5 ประเด็นปัญหา ?

แนวคําตอบ

ปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาเมืองในสังคมที่กําลังพัฒนา

1. ปัญหาการจราจร มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้

-สร้างข้อจํากัดในการจราจร หรือลดปริมาณรถโดยสร้างข้อจํากัด เช่น การขึ้น ภาษีรถให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อการซื้อรถคันต่อไปนั้นทําได้ยากขึ้น

– ใช้มาตรการด้านเวลากับการขนส่ง นั่นคือ การเหลื่อมล้ําของเวลาการทํางาน เพื่อเป็นการระบายรถในช่วงเวลาเร่งรีบ

– การร่วมเดินทาง เช่น มีการจัดรถรับส่งพนักงาน เป็นต้น

– จัดสถานที่จอดรถให้เพียงพอ เพื่อให้บริการกับประชาชนที่ต้องการใช้บริการ เชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้า สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เรือโดยสาร สถานีรถไฟ

– ใช้มาตรการการใช้ที่ดินในการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ในกรณีที่มีการจราจรแออัด อยู่แล้ว

– ขุดลอกแม่น้ำลําคลองที่ตื้นเขิน เพื่อเพิ่มเส้นทางของเรือโดยสาร พร้อมทั้ง ขยายเส้นทางให้เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ

– เพิ่มเส้นทางลัดมากขึ้นและให้เชื่อมต่อกันให้มากที่สุด

– ปรับปรุงระบบการขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบ ให้มีความทันสมัย รวดเร็ว สะดวกสบายและปลอดภัย

2. ปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม มลพิษทางสิ่งแวดล้อม ได้แก่ มลพิษทางน้ํา มลพิษทาง อากาศ และมลพิษทางเสียง

ปัญหามลพิษทางน้ำ มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้

– การบําบัดน้ำเสีย
– การจํากัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล
– การให้การศึกษาและความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาทางน้ําแก่ประชาชน
– การใช้กฎหมาย มาตรการ และข้อบังคับ
– การศึกษาวิจัยคุณภาพน้ําและสํารวจแหล่งที่ระบายน้ําเสียลงสู่แม่น้ำ

ปัญหามลพิษทางอากาศ มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้

– กําหนดให้มีและบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพอากาศ

– สํารวจและตรวจสอบคุณภาพอากาศจากแหล่งกําเนิดต่าง ๆ เป็นประจํา ๆ

– ลดปริมาณมลพิษทางอากาศจากแหล่งกําเนิด ทําได้โดยการเปลี่ยนชนิดของ เชื้อเพลิงที่ใช้ การปรับปรุงกระบวนการผลิต การลดมลพิษจากยานพาหนะ

– เผยแพร่ความรู้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนได้รับทราบและเข้าใจเกี่ยวกับความสําคัญของอากาศบริสุทธิ์ และอันตรายที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ

– เผยแพร่ความรู้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนให้ทราบถึงระเบียบ กฎเกณฑ์ มาตรฐานต่าง ๆ ที่ทางราชการกําหนดขึ้นเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ และ เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

ปัญหามลพิษทางเสียง มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้

– การให้การศึกษาและประชาสัมพันธ์
– การใช้มาตรการทางกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ บังคับ
– การกําหนดเขตการใช้ที่ดินหรือกําหนดผังเมือง
– การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต หรือใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์ที่ทันสมัย
– การใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียง

3. ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย/ชุมชนแออัด มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้

– ย้ายไปอยู่ชานเมืองโดยการเช่าซื้อที่ดินหรืออาคารของรัฐบาล

– มีการควบคุมความหนาแน่นของประชากร

– ส่งเสริมหรือขยายความเจริญออกไปสู่จุดอื่น ๆ ของประเทศ อย่างที่เรียกกันว่า “สร้างเมืองใหม่” หรือ “ชุมชนใหม่”

– มีการกําหนดผังเมืองและควบคุมการใช้ที่ดิน เช่น ไม่ให้มีการสร้างอาคารพาณิชย์ หรือตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในย่านที่อยู่อาศัย

– รัฐควรส่งเสริมโครงการสร้างอาคารเช่าซื้อสําหรับประชากรที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง

– ควบคุมการจัดสรรที่ดินของเอกชนให้สอดคล้องกับผังเมือง

4. ปัญหาด้านความปลอดภัยของประชาชน มีแนวทางแก้ไขปัญหาดังนี้

– ให้มีอาสาสมัคร โดยให้มีชมรมต่าง ๆ เช่น ชมรมวิทยุสมัครเล่น ชมรมอาสาจราจร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจในการช่วยเหลือเบื้องต้นในการรายงานเหตุด่วนเหตุร้าย
เข้าเครือข่ายชุมชน

– มีหน่วยคุ้มครองบริเวณสะพานลอยคนข้าม โดยอาสาสมัครต่าง ๆ เช่น อาสาจราจร อาสาตํารวจบ้าน และจัดจ้างคนเพิ่มเพื่อออกตระเวนพื้นที่ร่วมกับตํารวจ

– ส่งเสริมอาชีพของประชาชนให้มีรายได้พอเพียง เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการลักทรัพย์ เป็นต้น

5. ปัญหาเรื่องการสาธารณูปโภคไม่เพียงพอ มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้

– ใช้นโยบายสาธารณูปโภคเป็นเครื่องมือควบคุมทางผังเมือง เช่น ลดอัตราสาธารณูปโภคในเขตที่กําหนด หรือกําหนดเขตที่ไม่จ่ายสาธารณูปโภค

– ให้มีการวางนโยบายระบบบริการสาธารณูปโภคในเมือง ให้เข้าถึงประชาชน อย่างกว้างขวางโดยลงทุนค่าบริการให้น้อยที่สุด แต่ให้ทั่วถึงประชาชนมากที่สุด

POL3314 การบริหารชุมชนเมือง s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL3314 การบริหารชุมชนเมือง
คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทุกข้อและตอบให้ครบถ้วนทุกคําถามในแต่ละข้อ

ข้อ 1. จงอธิบายคําว่า “เมือง”, “ชุมชนเมือง” และ “การสร้างบ้านแปงเมือง” (Urbanization) หรือ ปรากฏการณ์ของการเกิดและเป็นเมืองในเชิงทฤษฎีของศาสตร์สาขาต่าง ๆ มาสัก 3 ทฤษฎี พร้อมทั้งอธิบายเชิงขยายความโดยละเอียดในแต่ละทฤษฎี ?

แนวคําตอบ

เมือง (City/Urban) มีความหมายดังนี้

-การตั้งถิ่นฐานถาวรขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างถาวร (เช่น บ้านเรือน) มีสิ่งอํานวยความสะดวกด้านการสาธารณูปโภค (เช่น ประปา ไฟฟ้า ถนน)
– เมืองจะเป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองจํานวนมาก มีความหนาแน่นของประชากรอยู่ใน ระดับสูง ประชากรของแต่ละเมืองจะประกอบไปด้วยคนต่างเพศ ต่างสถานภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรกรรม
-เมืองจะมีระบบการบริหารและการปกครองเป็นของตนเอง
– เมืองจะประกอบด้วยองค์กรทางสังคมต่าง ๆ มากมาย
– เมืองจะเป็นศูนย์รวมของขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เช่น ในเชิงทางประวัติศาสตร์ เมืองจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และการศึกษา การตลาดและการพาณิชยกรรม การบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารขององค์กรเอกชนต่าง ๆ การศาสนาและประเพณี
– เมืองบางแห่งอาจเกิดขึ้นเพื่อทําหน้าที่พิเศษเฉพาะด้าน เช่น เมืองหน้าด่านและ ป้อมปราการทําหน้าที่ป้องกันตนเองและป้องกันเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบเมืองเดียวกัน
-เมืองกลายเป็นผู้ใช้และผู้ผลิตที่เพิ่มค่าทางเศรษฐกิจของวัตถุดิบและการบริโภค/อุปโภค อย่างมากมาย จนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศ เช่น การค้า การธนาคาร การบริหารอุตสาหกรรม การขนส่งคมนาคม แหล่งขายปลีก ตลอดจน เป็นศูนย์กลางของรัฐบาล

ชุมชนเมือง (Urban Community) หมายถึง ชุมชนที่ประกอบไปด้วยคนทุกสถานะทั้ง คนรวยและคนจนรวมกันอยู่อย่างแออัดในพื้นที่ มีความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนแตกต่างจากสังคมในชนบทและเนื่องจากการที่ชุมชนเมืองจะประกอบไปด้วยผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีจํานวนจํากัด คนในชุมชนเมืองจึงมัก จะมีความเป็นอยู่หนาแน่น จนกระทั่งเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมักจะมีปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น

การสร้างบ้านแปงเมือง (Urbanization) หมายถึง การอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนของมนุษย์ เนื่องจากมีมิติไม่เพียงเฉพาะด้านการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพเท่านั้น แต่จะเป็นมิติที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ โครงสร้างทางสังคม (Social Structure) ทั้งกายภาพและนามธรรม เช่น ในด้านจิตสํานึกด้านพื้นที่และขอบเขต (Sense of Territory) จิตสํานึกในความเป็นชุมชน (Sense of Communities) จิตสํานึกในความเป็นเจ้าของ (Sense of Belonging) อันเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ทางสังคมที่ยาวนาน ตัวอย่างเช่น การมีกลุ่มคนที่หลากหลาย หรือต่างตระกูล ต่างชาติ ต่างศาสนาเข้าอยู่ร่วมกันในพื้นที่เดียวกันอย่างน้อยถึงชั่วอายุ จนเกิดความสัมพันธ์ทาง สังคมและวัฒนธรรมระหว่างกัน มิใช่เกิดจากปัจจัยภายนอกมากําหนด อย่างเช่นรัฐ เอกชน หรือบริษัทจัดสร้างบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมที่สร้างแล้วขายให้คนมาอยู่รวมกัน

ปรากฏการณ์ของการเกิดและเป็นเมืองในเชิงทฤษฎีของศาสตร์สาขาต่าง ๆ

1. ทฤษฎีในทางเศรษฐศาสตร์

กระบวนการในการเกิดขึ้นของเมืองในทางเศรษฐศาสตร์จะเกี่ยวโยงกับกระบวนการ หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจชนบทไปเป็นเศรษฐกิจเมืองทางโครงสร้างของสังคมที่ก่อให้เกิดพลวัตในแง่ของการแปลงสภาพ ประชากร กระบวนการผลิต และสภาพแวดล้อมทางสังคมการเมือง และเศรษฐกิจชนบท ไปสู่ฐานะของเศรษฐกิจเมือง เช่น
1. การใช้แรงงานเข้มแข็งขึ้นและมีความเป็นปัจเจกภาพสูง
2. มีการกระจุกตัวของแรงงานมากขึ้น
3. มีความชํานาญในการผลิตสินค้าและบริการค่อนข้างสูง
4. มีการพึ่งพาต่อกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐบาลอย่างใกล้ชิด
5. มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และลักษณะของการประกอบการในระดับสูง
6. ความหนาแน่นของประชากรทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสําคัญที่จะเกิดขึ้นในแง่ความเป็นเมือง คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมเนื่องจากการเกิดความชํานาญ การแบ่งงานกันทําตามความสามารถเฉพาะ การใช้ทุนเข้มข้นในการผลิตและใช้เทคโนโลยี ตลอดจน ประดิษฐกรรมที่ทันสมัย ทําให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมและกระบวนการเกิดเป็นเมืองซึ่งเป็นกระบวนการที่ ควบคู่กัน

2. ทฤษฎีของนักสังคมวิทยา

ในทางสังคมวิทยา มองว่าระบบชุมชนเป็นระบบของปัจจัย 3 ประการที่เกี่ยวข้องกัน คือ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Areas) การปะทะสังสรรค์กันทางสังคม (Social Interaction) และ ความผูกพันร่วมกัน (Common Ties) กล่าวคือ ในสังคมนั้นจะประกอบด้วยบุคคลที่มีการปะทะสังสรรค์กัน ทางสังคมในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ และมีความผูกพันร่วมกันในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่ง

ผลผลิตของชุมชนหรือสังคม ซึ่งได้แก่

– การกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization) – การควบคุมทางสังคม (Social Control)
– การมีส่วนร่วมในสังคม (Social Participation)
– การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (Mutual Support)
– การผลิต การบริโภค และการกระจายสินค้าและบริการภายในชุมชน (Production Consumption-Distribution)

ในแง่ของจิตใจและวัฒนธรรมนั้น คนจะมีความรู้สึกในความเป็นคนถิ่นนั้นถิ่นนี้ ทั้งนี้ เพราะเกิดความรู้สึกมั่นคงในการมีที่ยึดเหนี่ยวด้านจิตใจ (Community Sentiment) ที่เกิดจากการหล่อหลอม ทางค่านิยมของกฎเกณฑ์และเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งกระบวนการของคนในสังคมหรือชุมชนโดยลักษณะธรรมชาติ ดังกล่าวก็คือ ความเป็นเมืองนั่นเอง

3. ทฤษฎีของนักมานุษยวิทยา

นักมานุษยวิทยา มองว่ากระบวนการสร้างความเป็นเมือง (Urbanization) เป็นรูปหนึ่งของกระบวนการปรับตัวของมนุษย์ ทั้งนี้เนื่องจากชุมชนเมืองเป็นรูปแบบที่สําคัญที่มนุษย์ได้พัฒนาขึ้น การปรับตัวจึงเป็นความสําเร็จอย่างหนึ่งของกลุ่ม และความสําเร็จนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมนั้น ๆ ว่าจะเป็นไปได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องอาศัยความกลมกลืนกันระหว่างปัจจัยในด้านต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า “ปมในเชิงนิเวศวิทยา” (Ecological Complex) ซึ่งจะประกอบด้วย

1. ปัจจัยด้านประชากร (Population) โดยมีปัจจัยด้านโครงสร้างของประชากร ที่มีผลต่อกระบวนการเป็นเมือง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้จะชี้ให้เห็นมิติของประชากรทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพตลอดจนการกระจายตัวหรือโครงสร้างซึ่งประกอบด้วยลักษณะของคนในแต่ละช่วงอายุ เช่น คุณภาพการศึกษา ทักษะการทํางาน อาชีพ จํานวน การพัฒนา และแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของคนในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งจะส่งผลถึง ปัจจัยด้านอื่น ๆ

2. ปัจจัยด้านการจัดองค์กร (Organization) โดยมีมิติที่จะพิจารณาได้ในเรื่องนี้ ได้แก่ แบบขององค์กร สภาพแวดล้อม จํานวนสมาชิก ความสามารถ ผู้นํา เทคโนโลยีที่ใช้ ตลอดจนความร่วมมือ ร่วมใจตามแนวคิดของประชาสังคม (Civil Society) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อสภาพของชุมชนและสังคมนั้น ๆ

3. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องและมีผลต่อสังคม และชุมชนในแง่ของพฤติกรรม วิถีชีวิต วัฒนธรรมในแต่ละระดับนั้นอาจพิจารณาปัจจัยแวดล้อมทางด้านธรรมชาติ และปัจจัยแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือพิจารณาในแง่ปัจจัยเอื้อหรือไม่เอื้อต่อชุมชนหรือสังคมนั้น ๆ

4. ปัจจัยด้านเทคนิควิทยาการ (Technology) เป็นปัจจัยสําคัญที่มนุษย์จะสามารถ เอาชนะธรรมชาติได้ และสามารถแข่งขันท่ามกลางภาวะที่จํากัดในด้านต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการเรียนรู้ ประดิษฐกรรมและนวัตกรรมของสังคม

ข้อ 2. ปัจจุบันกรอบความคิด “การพัฒนาที่ยั่งยืน” แพร่หลายและกล่าวขวัญกันมากในวงวิชาการสังคมศาสตร์ ขอให้ น.ศ. อธิบายในบริบทของวิชาการบริหารชุมชนเมืองว่า “การพัฒนาชุมชนเมือง อย่างยั่งยืน” คืออะไร มีความสําคัญอย่างไรต่อการบริหารเมืองในโลกยุคปัจจุบัน ?

แนวคําตอบ

การพัฒนาชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน

“การพัฒนาชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน” (Sustainable Urban Development) ในบริบท ของวิชาการบริหารชุมชนเมืองนั้น เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นความเป็นสังคมเมืองถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และปรากฏการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าเมืองก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นและการขยาย ขอบเขตพื้นที่เมืองออกไป ซึ่งเป็นที่ตระหนักโดยทั่วไปถึงผลกระทบของการเติบโตของสังคม ดังนั้นการ เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนจึงมีความจําเป็นในแง่ที่ว่า ต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นเขตเมืองดังกล่าว ว่าสิ่งที่ จําเป็นและจะตามมาจากกิจกรรมของเมือง อย่างเช่นทรัพยากรที่จะต้องใช้ในการเคลื่อนที่ของผู้คนและสินค้า ทั้งในแง่โครงสร้างทางกายภาพต่าง ๆ และกระบวนการทางเศรษฐกิจและสังคมนั้นเป็นปัจจัยที่สําคัญที่จะต้อง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงหรือความท้าทายของการเจริญเติบโตดังกล่าว การพัฒนาที่ยั่งยืนจึงได้รับการ
นิยามว่าเป็น “การพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในปัจจุบันโดยไม่ลดทอนความสามารถของคนรุ่นอนาคตเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง”

นิยามดังกล่าวของการพัฒนาชุมชนเมืองอย่างยั่งยืนได้แสดงถึงกระบวนการที่จะสามารถบรรลุถึงความยั่งยืนโดยเน้นการปรับปรุงความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกโดยผสมผสานทั้งมิติ ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม อีกทั้งการพัฒนาอย่างยั่งยืนยังได้เน้นย้ําถึงความจําเป็นในการปฏิรูปกลไกตลาด เพื่อให้ บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมการบรรลุความสมดุลกับการพิจารณาทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งจําเป็นต้อง คํานึงถึงมิติต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน อันได้แก่ การเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณภาพของการเจริญเติบโต, การอนุรักษ์กับ การชะลอการใช้ทรัพยากรที่ค่อย ๆ หมดสิ้นไปอันไม่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อีก, การตัดสินใจในทาง เศรษฐกิจภายใต้สภาวะแวดล้อมที่จํากัด ตลอดจนการคํานึงถึงความยั่งยืนและความต้องการของคนรุ่นต่อไป เป็นต้น

ความสําคัญที่มีต่อการบริหารเมืองในโลกยุคปัจจุบัน

ในขณะที่การพัฒนาชุมชนเมืองของโลกเป็นไปอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาชุมชนเมืองอย่าง ยั่งยืนถือเป็นกรอบความคิดเป้าหมายที่ในประชาคมการพัฒนาขานรับ ซึ่งได้แก่ ความสําเร็จในการจัดการต่อ การเจริญเติบโตของเมือง (Urban Growth) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีรายได้ต่ําและรายได้ปานกลางถึง ระดับต่ําสุด ที่คาดว่าจะมีอัตราการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเมืองอย่างรวดเร็วที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งจําเป็นต้องอาศัย ผู้คนทั้งในเมืองและในชนบท เสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเมืองและชนบทและสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่

นอกจากนี้การเติบโตของเมืองยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับมิติของการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 ประการ ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางด้านสังคม และปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังพบว่า ความเป็นเมืองที่มีการจัดการที่ดีซึ่งหมายถึงการตระหนักและมีความเข้าใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มและ ทิศทางของประชาชนในระยะยาว สามารถช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการกําหนดทิศทางของการตั้งถิ่นฐาน และการรวมตัวกัน ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและผลกระทบอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ๆ ซึ่งข้อมูลข้อเท็จจริงและแนวโน้มดังกล่าวจะสามารถช่วยในการวางแผน และเพื่อให้แน่ใจว่ามีการแบ่งผลประโยชน์ของการเป็นเมืองและไม่มีใครถูกทอดทิ้ง ดังนั้นนโยบายในการจัดการการเจริญเติบโตของเมืองจึงจําเป็นต้องสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสังคมสําหรับทุกคน โดยจะมุ่งเน้นที่ความต้องการของ คนจนในเมือง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการศึกษา การดูแลสุขภาพ ตลอดจนการทํางานที่ดีและสภาพแวดล้อมที่ ปลอดภัย เป็นต้น

ข้อ 3. จงอธิบายปรากฏการณ์ “โลกของความเป็นเมือง” (Urban World ; World Urbanization) ทั้งในภาพรวมทั้งโลกและระดับพื้นที่เฉพาะเพื่อสร้างความเข้าใจในมิติต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหา และแนวทางการแก้ไข เช่น ภาวะโลกร้อน, สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานรองรับไม่ทัน, มลภาวะความแออัดสําคัญต้องเสนอแนะวิธีการที่เหมาะสมหรือที่คิดว่าได้ผลในเชิงการป้องกันและแก้ไขประกอบการตอบให้ชัดเจน ?

แนวคำตอบ

ปรากฏการณ์ “โลกของความเป็นเมือง” (Urban World ; World Urbanization) เป็นลักษณะ ของการอยู่อาศัยในโลกแห่งชุมชนเมือง ซึ่งปัจจุบันประชากรโลกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และประชากรโลก มากกว่าครึ่งหนึ่งนั้นได้เข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนเมือง โดยเฉพาะเมืองในประเทศกําลังพัฒนานั้นจะมีอัตราการเข้า

มาอยู่อาศัยของประชากรเพิ่มมากขึ้นมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว จนกระทั่งบางประเทศได้กลายเป็นชุมชนเมืองไปร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว อาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันนี้เราอยู่ในโลกแห่งชุมชนเมืองอย่างแท้จริง

จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่าในปี พ.ศ. 2561 ประชากรในเขตเมืองนั้น มีมากกว่าในชนบท โดยมีผู้คนอาศัยอยู่ในเขตเมืองประมาณร้อยละ 55 ของประชากรโลก ซึ่งในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2493 พบว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในเขตเมืองเพียงร้อยละ 30 ของประชากรโลกเท่านั้น นอกจากนี้สหประชาชาติยังคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี พ.ศ. 2593 จะมีคนอาศัยอยู่ในเมืองเพิ่มสูงถึงร้อยละ 68 ของประชากรโลกอีกด้วย

ในแง่ประชากรในชนบทของโลก พบว่าเติบโตอย่างช้า ๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และคาดว่า จะถึงจุดสูงสุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งในปัจจุบันในชนบททั่วโลกมีจํานวนเกือบ 3.4 พันล้านคน และคาดว่าจะ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจะลดลงเหลือประมาณ 3.1 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2593 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกา และเอเชียซึ่งมีประชากรชนบทเกือบร้อยละ 90 ของประชากรชนบทของโลก

ในแง่ประชากรในเมืองของโลก พบว่าเติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 โดยเพิ่มขึ้น จาก 751 ล้านคน เป็น 4.2 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2561 แม้ว่าเอเชียจะมีการขยายตัวน้อยกว่าภูมิภาคอื่น ๆ แต่กลับพบว่ามีประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองสูงถึงร้อยละ 54 ของทั่วโลก ในขณะที่แอฟริกามีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้น

การจะให้คําจํากัดความและระบุว่าบริเวณใดเป็นเมืองนั้นทําได้หลายวิธี เพราะคําว่าเมืองนั้น ต่างถูกให้ความหมายตามแต่ละพื้นที่หรือแต่ละหน่วยงานที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามความหมายของ ความเป็นเมืองที่ถูกนิยามในด้านต่าง ๆ ก็มีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่ โดยมีหลักเกณฑ์การจําแนกความเป็นเมือง แบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ คือ

1. เกณฑ์ทางด้านพื้นที่การปกครอง ซึ่งเป็นเกณฑ์การแบ่งที่รัฐบาลได้กําหนดขึ้น ตามกฎหมาย เช่น ในขอบเขตเทศบาลเป็นเมือง และนอกขอบเขตเทศบาลเป็นชนบท เป็นต้น

2. เกณฑ์จํานวนประชากร ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้วิธีการกําหนดขั้นต่ําไว้ว่าจะต้องมี จํานวนประชากรไม่น้อยกว่าเท่าใดในพื้นที่นั้น ๆ จึงจะเรียกว่ามีความเป็นเมือง หรือบางครั้งอาจจะใช้เกณฑ์ของ ความหนาแน่นของประชากรต่อหน่วยพื้นที่เป็นฐานประกอบการพิจารณาด้วย

3. เกณฑ์การกําหนดคุณสมบัติขั้นต่ําของความเป็นเมืองไว้ก่อน หากเข้าข่ายที่ กําหนดไว้จึงจะถือว่าเป็นเมือง เช่น เมืองจะต้องมีความสมบูรณ์พร้อมทางด้านไฟฟ้า ประปา ถนน สถานศึกษา โรงพยาบาล สถานีตํารวจ เป็นต้น

4. เกณฑ์การกําหนดโดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งในบางประเทศจะนิยามโดยอาศัย สัดส่วนของประชากรที่ทํางานเชิงเศรษฐกิจในสาขาเกษตรกรรม เช่น เมืองจะต้องมีประชากรทํางานเชิงเศรษฐกิจ ในสาขาเกษตรกรรมไม่เกิน 25% เป็นเมืองอุตสาหกรรม เป็นต้น

ผลกระทบอันเกิดจากโลกของความเป็นเมือง

1. ภาวะโลกร้อน ซึ่งเกิดจากการที่มีก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศมากเกินไป นั่นคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยมนุษย์เองที่เป็นสาเหตุทําให้เกิดแก๊สนี้เป็นจํานวนมาก จากการเผาไหม้ เชื้อเพลิงต่าง ๆ การขนส่ง และการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม อีกทั้งมนุษย์ยังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโรคาร์บอน (CFC) เข้าไปอีกด้วย รวมไปถึงการตัดและทําลายป่าไม้จํานวนมหาศาล เพื่อสร้าง สิ่งอํานวยความสะดวกให้แก่มนุษย์เอง ทําให้กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศ ถูกลดทอนประสิทธิภาพลง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้นํามาสู่การเกิดภาวะโลกร้อนทั้งสิ้น

ผลกระทบของภาวะโลกร้อน ได้แก่

1. ระดับน้ําทะเลเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากธารน้ำแข็งที่กําลังละลาย และอุณหภูมิทั่วโลก ที่กําลังสูงขึ้นจากการขยายตัวทางความร้อนของน้ำในมหาสมุทร

2. มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดสภาพอากาศรุนแรง เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และความแห้งแล้ง ซึ่งในปัจจุบันพบว่าความแห้งแล้งทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าใน 30 ปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า

3. ผลกระทบรุนแรงในระดับภูมิภาค เช่น ในยุโรปจะเกิดน้ําท่วมจากแม่น้ำเพิ่มขึ้น ในพื้นที่ส่วนมากของทวีป และตามพื้นที่ชายฝั่งจะเสี่ยงต่อน้ำท่วม การกัดเซาะ และ การสูญเสียพื้นที่ในทะเล เพิ่มขึ้นอย่างมาก

4. ระบบทางธรรมชาติ เช่น ธารน้ําแข็ง ปะการัง ป่าชายเลน ระบบนิเวศของ ทวีปอาร์กติก ระบบนิเวศของเทือกเขาสูง ป่าสนแถบหนาว ป่าเขตร้อน เขตลุ่มน้ําในทุ่งหญ้า และเขตทุ่งหญ้า ในท้องถิ่น จะถูกคุกคามอย่างรุนแรง

5. สัตว์สายพันธุ์ต่าง ๆ เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากขึ้น และเกิดความสูญเสียด้าน ความหลากหลายทางชีวภาพ, ภาวะโลกร้อนจะสร้างสภาวะที่พอเหมาะพอควรให้เชื้อโรคเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โลกร้อนขึ้นจะก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การฟักตัวของเชื้อโรคและศัตรูพืชที่เป็นแหล่งอาหารของมนุษย์

6. เด็กในประเทศกําลังพัฒนา เช่น ในประเทศแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับการแพร่ขยายของโรคท้องร่วง และโรคมาเลเรีย ท่ามกลางอุณหภูมิโลกร้อนขึ้น น้ำท่วม และภัยแล้ง เป็นต้น

แนวทางการป้องกันและแก้ไขสภาวะโลกร้อน ได้แก่

1. ลดระดับการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าลง เช่น เพิ่มอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศในสํานักงานหรือที่พักอาศัยสัก 1 องศา หรือปิดไฟขณะไม่ใช้งาน

2. ลดการใช้น้ํามันจากการขับขี่ยวดยานพาหนะ หรือลดการเดินทางที่ไม่มีความจําเป็น รวมถึงลดการใช้พาหนะส่วนตัว หันไปใช้บริการขนส่งสาธารณะเมื่อมีโอกาส

3. รักษาป่าไม้ให้ได้มากที่สุด และลดหรืองดการจัดซื้อสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆที่ทําจากไม้ที่ตัดเอามาจากป่า ทั้งนี้เพื่อปล่อยให้ต้นไม้และป่าไม้เหล่านี้ได้ทําหน้าที่ในการเป็นปอดของโลกสืบไป

4. นํากระดาษหรือภาชนะบรรจุอื่นๆ กลับไปใช้ใหม่ โดยพยายามซื้อสิ่งของที่มี อายุการใช้งานนาน ๆ ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานของโลกอย่างมากมาย เป็นต้น

2. สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานรองรับไม่ทัน ซึ่งถือเป็นปัญหาของการจัดการบริการ สิ่งอํานวยความสะดวกไปยังเคหะสถาน ได้แก่ การไฟฟ้า การประปา การบําบัดน้ําเสีย การระบายน้ํา การสื่อสาร และโทรคมนาคม การกําจัดขยะ การดับเพลิง ฯลฯ ดังนั้นจะเห็นได้ว่ากิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจะเกี่ยวข้องกับ การออกแบบเชิงระบบในด้านเทคนิคที่จําเป็นต้องใช้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ดําเนินการโดย กรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อการปรับปรุงหรือขยายกิจการที่มีอยู่เดิม โดยมีลักษณะของการแก้ปัญหาความ ขาดแคลน บกพร่อง ไม่เพียงพอ และยังถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้เหมาะสมกับความจําเป็นในอนาคต

การไฟฟ้า เป็นสาธารณูปโภคที่สําคัญของเมือง และเป็นแหล่งพลังงานสําหรับการผลิต อุตสาหกรรม สิ่งอํานวยความสะดวกในเคหะสถานและการดํารงชีวิตประจําวัน โดยผลกระทบที่มักจะเกิดขึ้น เช่น โรงผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งอยู่ห่างจากเขตอุตสาหกรรม เขตที่อยู่อาศัย เขตโรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

การประปา เป็นการจัดหาแหล่งน้ําดิบ การทําให้น้ำสะอาด การลําเลียงน้ำ และการแจกจ่ายน้ำ สําหรับการอุปโภคและบริโภคในชุมชนให้มีปริมาณน้ำที่เพียงพอและทั่วถึง ทั้งในครัวเรือนและเพื่อ กิจการต่าง ๆ ในชุมชน โดยผลกระทบที่มักจะเกิดขึ้น เช่น ขาดแหล่งน้ำดิบที่อยู่ใกล้ชุมชน ปริมาณน้ําไม่เพียงพอ กับความต้องการ มีของเสียเจือปนยากแก่การบําบัด คุณภาพน้ำไม่ดี ขาดแหล่งเก็บน้ําธรรมชาติหรืออ่างเก็บน้ํา ที่สร้างขึ้นรองรับ ฯลฯ นอกจากนี้ยังพบว่าแหล่งน้ำที่นํามาใช้ทําประปาที่ได้จากการกลั่นน้ำทะเลและน้ำเสียที่ผ่าน การบําบัดมาแล้วนั้นมีต้นทุนค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ดังนั้นการจัดหาด้วยวิธีนี้มักใช้กรณีมีความจําเป็นไม่สามารถ จัดหาแหล่งน้ำดิบที่มีต้นทุนถูกกว่าได้เท่านั้น

การบําบัดน้ำเสีย เป็นการทําให้ของเสียต่าง ๆ ที่มีอยู่ในน้ำทั้งส่วนที่เป็นของเหลว ของแข็ง สิ่งแขวนลอย ตะกอนจากการบําบัด ซึ่งจะต้องทําให้อยู่ตัวสําหรับการกําจัด โดยทั่วไปน้ําเสีย มักเป็นน้ําที่เกิดจากการใช้ประโยชน์จากชุมชนทั้งการอยู่อาศัย อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม เกษตรกรรม ฯลฯ ซึ่งเป็นน้ำที่มีสารพิษเจือปน หากปล่อยลงแหล่งน้ำผิวดินหรือบนพื้นดินจะทําให้ไหลปนเปื้อนไปกับแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือตกค้างในเนื้อดิน ส่งผลกระทบและความเสียหายแก่ระบบนิเวศ ดังนั้นการบําบัดน้ำเสียอาจใช้กระบวนการ ทางกายภาพ กระบวนการทางเคมี และกระบวนการทางชีวภาพ ซึ่งการเลือกใช้วิธีการใดนั้นขึ้นอยู่กับคุณลักษณะ ของสิ่งเจือปนที่มีอยู่ในน้ําเสีย ค่าใช้จ่าย และการควบคุมดูแลระบบ

การระบายน้ำ สําหรับในพื้นที่เมือง ประกอบด้วย การระบายน้ำฝน การระบายน้ำเสียจากกิจกรรมต่าง ๆ ให้ไหลลงสู่เส้นท่อสองฟากถนน โดยจะผ่านระบบท่อรวมและระบบท่อแยก

-ระบบท่อรวม เป็นระบบรวบรวมน้ําที่ใช้แล้วจากอาคารสถานที่ต่าง ๆ และ น้ำฝนที่ไหลผ่านพื้นที่ลงสู่เส้นท่อเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อส่งไปยังโรงบําบัดน้ำเสีย ซึ่งจะมีข้อดีคือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และน้ำเสียจากอาคารสถานที่ต่าง ๆ จะถูกทําให้เจือจางโดยน้ำฝน แต่จะมีข้อเสียคือ การออกแบบเส้นท่อต้องมี ขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับทั้งน้ำฝนและน้ำเสีย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่อาจมีน้ำมากจนทําให้ไหลล้น ก่อให้เกิดน้ำท่วมขังได้ ในขณะที่ช่วงฤดูแล้งมักมีน้ำน้อยและเกิดการตกตะกอนของเสีย

-ระบบท่อแยก เป็นระบบที่มีการแยกการระบายน้ำทั้งสองชนิด โดยท่อระบาย น้ำเสียจะแยกน้ำเสียไปยังโรงบําบัดน้ำเสีย ส่วนท่อระบายน้ำฝนจะแยกระบายไปยังแหล่งน้ำทิ้ง ซึ่งจะมีข้อดีคือ ปริมาณน้ำเสียที่ต้องการบําบัดมีน้อย และไม่มีปัญหาน้ำล้นท่อ แต่จะมีข้อเสียคือ ต้องต่อท่อระบบเส้นท่อเป็น สองท่อ เสียค่าใช้จ่ายสูง และการบํารุงรักษายุ่งยากกว่าระบบท่อรวม

การสื่อสารและโทรคมนาคม ถือว่าเป็นสิ่งจําเป็นอย่างมากสําหรับการดําเนินชีวิต ในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้การดําเนินกิจการทางธุรกิจมีความคล่องตัวและรวดเร็ว สามารถลดปัญหาการจราจรได้ โดยทั่วไปปัญหาที่เกิดขึ้นในด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม ได้แก่ พื้นที่บริการไม่ทั่วถึง ระบบสัญญาณไม่ครอบคลุม ค่าใช้บริการค่อนข้างสูงหากเทียบกับคุณภาพของสัญญาณเครือข่ายที่ให้บริการ เป็นต้น

การกําจัดขยะ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดหาสถานที่ การรวบรวมจัดเก็บ และการนําไป กําจัด ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับจํานวนประชากร และการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นแหล่งขยะแต่ละประเภท โดยจะแบ่ง ชนิดของขยะออกเป็นขยะมูลฝอยจากชุมชน ขยะมูลฝอยจากอุตสาหกรรม และขยะมูลฝอยที่มีอันตรายสูง และ จําแนกเป็นขยะเปียกสุด ขยะแห้ง เศษสิ่งก่อสร้าง เศษพลาสติก ซากสัตว์ ใบไม้ เป็นต้น

การดับเพลิง หากเกิดเพลิงไหม้จะต้องมีความรวดเร็วในการให้บริการ ครอบคลุม พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยในเมือง ทั้งนี้เพราะการเกิดเพลิงไหม้มักก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนบุคคล และระบบเศรษฐกิจของเมืองได้ ซึ่งปัญหาที่มักพบเสมอ ๆ เมื่อเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมา คือ เส้นทางและ
สภาพการจราจรในการเข้าถึงและเวลาในการเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ นอกจากนี้ยังพบว่าจํานวนและที่ตั้งสถานี ดับเพลิงไม่ครอบคลุม ขนาดและชนิดของรถดับเพลิงไม่สอดคล้องกับการใช้งาน ระบบท่อน้ําดับเพลิงไม่ทั่วถึง อีกทั้งยังมีพื้นที่ที่เสี่ยงต่อเพลิงไหม้ เช่น มีบริเวณบ้านไม้หนาแน่นในหลายชุมชน มีคลังเก็บสารเคมีและวัตถุไวไฟ ในหลายพื้นที่ เป็นต้น

แนวทางการป้องกันและแก้ไขสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานรองรับไม่ทัน ได้แก่

1. สํารวจและจัดเก็บข้อมูลในส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพพื้นที่ภูมิประเทศ การใช้ประโยชน์ที่ดิน การใช้อาคาร จํานวนประชากรและการกระจายบนพื้นที่ เป็นต้น

2. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคําตอบเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน เช่น กิจการสาธารณูปโภค ความต้องการบริการ ขนาดการให้บริการ ปัญหาการดําเนินงาน การพัฒนาเพื่ออนาคต เป็นต้น

3. จัดทําแผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค ซึ่งได้แก่ กิจการที่ต้องจัดทํา ขึ้นใหม่ การปรับปรุงและขยายบริการกิจการเดิม ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงกิจการสาธารณูปโภคให้ได้มาตรฐานทั้งในส่วนปริมาณและคุณภาพ

4. ศึกษาความเหมาะสมและจัดทําโครงการพัฒนา ทั้งนี้เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติ อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับการลงทุนทางเศรษฐกิจและทิศทางการขยายตัวของชุมชน ไม่จัดทําระบบ สาธารณูปโภคที่ใหญ่เกินจํานวนผู้รับบริการ เพราะจะทําให้สิ้นเปลืองมาก หรือเล็กเกินไปจนไม่เพียงพอ

3. มลภาวะ เป็นภาวะอากาศที่มีสารเจือปนอยู่ในปริมาณที่สูงกว่าระดับปกติเป็นเวลานาน พอที่จะทําให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ สิ่งมีชีวิต หรือทรัพย์สินต่าง ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ฝุ่นละออง จากลมพายุ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ไฟไหม้ป่า ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น และกรณีที่เกิดขึ้นจากการกระทําของ มนุษย์ เช่น มลพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ รถจักรยานยนต์ โรงงาน อุตสาหกรรม กิจกรรมด้านการเกษตร การระเหย ของก๊าซบางชนิดจากขยะมูลฝอยและของเสีย เป็นต้น

ผลกระทบของมลภาวะ ได้แก่

1. เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ ซึ่งจะมีผลต่อร่างกายมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณของสาร และความเป็นพิษว่าร้ายแรงเพียงใด รวมไปถึงระยะเวลาที่ร่างกายสัมผัสกับสารนั้น ๆ

2. เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต พืชและสัตว์ต่าง ๆ

3. สร้างความเสียหายให้แก่ทรัพย์สิน โดยก่อให้เกิดการกัดกร่อนต่อสิ่งปลูกสร้าง วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ทําให้เสื่อมสภาพเร็ว และสิ่งของเครื่องใช้สกปรกง่าย

4. ทําให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นแย่ลง ทั้งนี้เนื่องจากควันหรือฝุ่นละอองหากปูน อยู่ในอากาศมากจะทําให้แสงสว่างผ่านได้น้อยกว่าปกติ ซึ่งทําให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ง่าย

5. ทําให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ทั้งค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงวิธีการหรือจัดการ ปัญหาเพื่อลดมลพิษทางอากาศ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการวิจัยต่าง ๆ เป็นต้น

แนวทางการป้องกันและแก้ไขมลภาวะ ได้แก่

1. พยายามใช้เครื่องยนต์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษจากยานพาหนะ
2. ลดการใช้พาหนะส่วนตัวลง หันมาใช้รถขนส่งมวลชน รถเมล์ รถไฟฟ้าให้มากขึ้น
3. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีการเกษตร โดยนําวัสดุที่เหลือใช้มาใช้เป็นพลังงาน
4. ช่วยกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนเข้าใจและตระหนักถึงอันตรายที่เกิดขึ้นจากภาวะมลพิษ
5. เลือกวิธีการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเดิน การวิ่ง การขี่จักรยาน การพายเรือ การใช้รถเข็นหรือพาหนะที่ใช้สัตว์ลากจูง เป็นต้น

4. ความแออัด เป็นปัญหาที่เมืองจะต้องเผชิญโดยเฉพาะในประเทศกําลังพัฒนา ซึ่งมักมี การพัฒนาในลักษณะเอกนครหรือเมืองโตเดี่ยว เช่น กรุงเทพมหานคร เป็นต้น ทําให้เกิดช่องว่างระหว่างเมืองกับ ชนบท ต้องเผชิญกับภาวะของการกลายเป็นเมืองเกินระดับ นั่นคือ การมีประชากรจํานวนมากเกินกว่าที่จะอยู่ได้ อย่างมีประสิทธิภาพในระบบสังคมและเศรษฐกิจของเมือง ส่งผลให้เกิดกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ําเป็นจํานวนมากในเมือง รวมไปถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาที่อยู่อาศัย ปัญหาการขาดแคลนสาธารณูปโภค ปัญหาจราจร ฯลฯ

ผลกระทบของความแออัด ได้แก่

1. ปัญหาที่อยู่อาศัย เป็นปัญหาของคนจนในเมืองหรือชุมชนแออัด ทั้งปัญหาในด้าน การครอบครองที่ดิน การถูกไล่ที่ และปัญหาด้านสาธารณูปโภคที่ขาดการจัดการ การที่ผู้ที่อยู่ในชุมชนบุกรุกหรือ บุกเบิกนั้นทําให้สถานภาพทางกฎหมายไม่เป็นที่ยอมรับ การขอต่อมิเตอร์น้ําประปาและไฟฟ้าไม่สามารถทําได้เหมือนชุมชนทั่วไป ทําให้ต้องขอต่อจากบ้านคนอื่นหรือใช้มิเตอร์รวมของชุมชนที่อาศัย และเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า คนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่ยังคงต้องใช้น้ําคลองซึ่งมีคุณภาพน้ำต่ำ

2. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าในเมืองจะมีโอกาสในการจ้างงานสูงกว่าในชนบท แต่ด้วยสถานะทางด้านการศึกษาต่ํา เป็นแรงงานไร้ฝีมือ และขาดแคลนเงินลงทุน ทําให้คนจนในชนบทที่อพยพ เข้าเมืองเพื่อมาหางานทํานั้นไม่สามารถหางานที่มีความมั่นคงและรายได้สูงได้ นอกจากนี้ยังพบว่าคนจนในชุมชน แออัดบางส่วนยังคงต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง บางครอบครัวมีคนทํางานเพียงคนเดียว แต่ต้องเลี้ยงผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ หรือหัวหน้าครอบครัวที่เจ็บป่วย ว่างงาน ติดคุก ซึ่งทําให้ประสบปัญหาความ เดือดร้อนมากขึ้น

3. ปัญหาด้านสังคม เนื่องด้วยสภาพด้านกายภาพที่อยู่กันอย่างแออัด และฐานะ ทางเศรษฐกิจที่ยากจน รวมไปถึงการขาดการยอมรับจากคนทั่วไปและกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหา ด้านสังคมตามมา เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาครอบครัว ปัญหาการศึกษา ปัญหาสุขภาพ โรคติดต่อ การมั่วสุม ของเยาวชน ฯลฯ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาโครงสร้างสังคมโดยรวมทั้งสิ้น

4. ปัญหาอาชญากรรม เนื่องจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดเป็นผู้ที่อพยพ โยกย้ายมาจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อการประกอบอาชีพและมีอาชีพไม่แน่นอน เมื่อเกิดความจําเป็นขาดอาชีพ ขาดรายได้ และมีภาระทางครอบครัวต้องเลี้ยงดู ทําให้อาจประกอบอาชีพในทางผิดกฎหมายได้ เป็นต้น

แนวทางการป้องกันและแก้ไขความแออัด ได้แก่

1. มาตรการด้านการใช้ประโยชน์ที่ดินและที่อยู่อาศัย โดยจัดให้มีการทําแผนการ พัฒนาและจัดหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมของชุมชนแออัด แรงงานอุตสาหกรรม และคนจนในเมือง ร่วมกับเจ้าของ ที่ดิน หน่วยงานของรัฐ และจัดทําแผนการรื้อย้ายชุมชนแออัดที่เหมาะสมล่วงหน้า มีการจัดระบบพื้นฐานและ บริการสังคมที่จําเป็นของรัฐ ให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนเร่ร่อนในเมือง มีที่พักอาศัยชั่วคราว โดยเฉพาะกลุ่มสตรีและเด็ก

2. มาตรการด้านอาชีพและการเงิน มีการจัดการทางการเงินของชาวชุมชนและกลุ่มออมทรัพย์ในชุมชนให้มีความเข้มแข็ง และสร้างโอกาสระดมเงินเพื่อพัฒนาชุมชน อาชีพ ที่อยู่อาศัย รวมทั้ง การจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนเมืองในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ควรจัดให้มีการพัฒนาความสามารถ ในการประกอบอาชีพ รวมทั้งมีการฝึกอบรมที่เน้นการจัดการธุรกิจในชุมชนนั้น ๆ

3. มาตรการด้านองค์กรและกลไก มีการส่งเสริมจัดตั้งและพัฒนาองค์กรชุมชน เพื่อเป็นแกนกลางในการปรับปรุงพัฒนาชุมชน โดยมีคณะกรรมการประสานการพัฒนาชุมชนเมืองระดับชาติ เพื่อกําหนดนโยบาย ประสานงาน ดูแลการดําเนินงานการพัฒนาชุมชนแออัด และผลักดันกฎหมายชุมชนแออัด รวมถึงจัดให้มีองค์กรและหน่วยงานที่สามารถเอื้ออํานวยในการเจรจาตกลงเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างเจ้าของที่ดินและชุมชนอย่างสันติวิธี

4. มาตรการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยจะให้ความสําคัญต่อการพัฒนาฝึกอบรม ผู้นําชุมชนและผู้นํากลุ่มเยาวชน เพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมของชุมชน และจัดให้มีการบริการสังคม ให้เข้าถึงชุมชนแบบเชิงรุกทั้งในด้านการศึกษา สาธารณสุข และนันทนาการ โดยองค์กรชุมชนเองจะต้องเข้าร่วม
ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง

ข้อ 4. จงวิเคราะห์และอภิปรายอย่างเป็นขั้นตอนและมีเหตุผลถึงหลักการ แนวคิด ทฤษฎี ตลอดจน การจัดการเมือง ? (โดยข้อนี้มีวัตถุประสงค์ในการวัดนักศึกษาที่เรียนวิชานี้ว่ารู้และเข้าใจ จนมี ศักยภาพที่จะปฏิบัติทั้งในฐานะผู้บริหารเมือง หรือในฐานะพลเมืองในชุมชนการเมืองอารยะอย่างถูกต้องได้)

แนวคําตอบ

การบริหารชุมชนเมืองให้บรรลุความสําเร็จนั้นเป็นเรื่องที่สําคัญและจําเป็นในเรื่องปัจจุบันเพราะมีปัญหาของชุมชนเมืองได้กลายเป็นหาของสังคมโลกไปแล้ว ซึ่งความสําเร็จดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการและสิ่งหนึ่งในนั้นจะต้องอาศัยความพยายามและภาคีความร่วมมือของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนเมืองเป็นสําคัญ ในขณะที่ความรู้และวิชาการที่เกี่ยวข้องและประสบการณ์และบทเรียน ในด้านต่าง ๆ ก็มีความสําคัญอย่างยิ่งในการจัดการชุมชนเมืองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

การบริหารชุมชนเมืองจะมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่การกําหนดเป้าหมาย การวางแผนบริหารงานและลงมือปฏิบัติจนบังเกิดผล ซึ่งจะมีหลักการดังต่อไปนี้

1. การบรรลุภารกิจและความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมือง ซึ่งการบริหาร ชุมชนเมืองสมัยใหม่นั้นจะไม่ใช่ภาระหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการตระหนักในความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมืองโดยชาวชุมชนเองเท่านั้น จึงจะนําไปสู่ความสําเร็จในการบริหารชุมชนเมืองดังกล่าว รวมไปถึงการตรวจสอบติดตามการทํางานของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ โดยตรงในลักษณะการบริหารจัดการที่ดี

1) การบรรลุเป้าหมายทางด้านเกียรติภูมิและสิทธิของประชาชน ซึ่งเป็นการให้ สาธารณชนได้ตัดสินใจบริหารงานอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ ปราศจากอคติและความลําเอียง ตลอดจนบริหารงาน โดยยึดหลักกฎหมาย และต้องพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบคอบผ่านกระบวนการ กลไกการปกครองเพื่ออํานวยประโยชน์แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวม

2) การบรรลุเป้าหมายในด้านความรับผิดชอบที่สามารถตรวจสอบได้ โดยการบริหารงานนั้นจะต้องตกอยู่ภายใต้อาณัติของประชาชนในทุกขั้นตอนของการดําเนินงานทั้งการอาศัยประชาชนให้มีส่วนร่วมหรือบริหารงานบนพื้นฐานความต้องการของประชาชน ซึ่งจะเริ่มต้นจากการค้นหาความต้องการของประชาชนโดยผู้บริหารเอง การบริหารงานจะต้องเป็นไปโดยเปิดเผยและประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ อีกทั้งยังเป็นเรื่องง่ายที่ประชาชนจะต้องถอดถอนผู้ที่ไม่สามารถทําหน้าที่ได้ตามหลักการนี้

3) การบรรลุเป้าหมายด้านความมีประสิทธิผล โดยจะมุ่งสร้างให้เมืองสามารถตอบสนองความเป็นอยู่ของชาวเมืองและเป็นเมืองที่น่าอยู่น่าอาศัย เน้นการสร้างหรือยกระดับมาตรฐานชีวิตของ ประชาชน หรือการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของคนในด้านต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนและเพียงพอ เช่น ความต้องการอาหารที่เพียงพอ อากาศที่บริสุทธิ์ น้ําที่สะอาดเพื่อการบริโภค ที่อยู่อาศัยและเครื่องนุ่งห่มที่น่าพอใจ การมีสุขภาพอนามัยที่ดี โอกาสในการมีงานทํา เป็นต้น

2. จุดเริ่มต้นในการบริหารชุมชนเมือง โดยจะเริ่มต้นที่การวางแผน และการมีแผน เพื่อให้เป้าหมายที่มนุษย์ต้องการอยู่ในสังคมชุมชนเมืองได้รับการตอบสนอง ดังนั้นการบริหารชุมชนเมืองที่ดี จะต้องมีแผนภารกิจหรือแนวทางที่ชัดเจนเพื่อมารองรับกิจกรรมการบริหารชุมชนเมืองให้ได้ผล

1) การออกแบบเมือง เป็นการสร้างวิสัยทัศน์ของเมืองหรือสร้างสรรค์ให้เกิดสภาพเมืองที่พึงปรารถนา เช่น เป็นเมืองที่สวยงามน่าชวนมองและแสดงถึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่เหมาะสมของเมืองนั้น ๆ กิจกรรมการออกแบบเมืองจึงต้องมีการประสานและประสมกลมกลืนสิ่งต่าง ๆ ทั้งในด้านของสิ่งอํานวยความสะดวก ผู้ที่อยู่อาศัย ความต้องการและการมีส่วนร่วมจากกลุ่มต่าง ๆ ที่หลากหลายของเมือง ดังนั้นการออกแบบเมืองจึง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดโดยรวมของเมืองทั้งของเอกชนและของสาธารณะ นอกจากนี้การออกแบบเมืองไม่เฉพาะ แต่เป็นการสร้างหลักการ เป้าหมาย และนิยามที่ชัดเจนของเมืองที่ง่ายในการประสานโครงการต่าง ๆ เท่านั้น แต่การออกแบบเมืองเป็นทั้งการตอบคําถาม และแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการออกแบบกับพื้นที่ที่จะ ปรากฏให้เห็นเป็นการเฉพาะอีกด้วย

2) แผนของเมือง โดยจะชี้ให้เห็นแนวคิดพื้นฐานตลอดจนวัตถุประสงค์ของเมือง นั้น ๆ นําไปสู่ทิศทางที่ต้องการ โดยจะมีแนวคิดพื้นฐานเพื่อสร้างให้เมืองนั้นมีความสะดวกสบายน่าอยู่น่าอาศัย หรือสร้างให้ผู้คนมีความหวังและสามารถมองไปในอนาคตได้ ดังนั้นแผนของเมืองอาจเป็นแผนแม่บท/แผนหลัก
ที่จะเป็นกรอบหรือแนวทางไปสู่การวางแผนปฏิบัติหรือแนวนโยบายในการวางผังเมืองต่อไป

-แผนโดยภาพรวม จําเป็นต้องอาศัยทิศทางและความสอดคล้องในระดับกว้าง ซึ่งลักษณะของแผนภาพรวม ได้แก่ แผนที่สอดคล้องกับแผนภูมิภาคหรือแผนระดับประเทศที่อาจต้องอาศัย ความเกี่ยวพันและการตัดสินใจ ตลอดจนความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นไม่เฉพาะเมืองนั้นเมืองเดียว

-การผังเมืองและการวางแผนการใช้พื้นที่ มีการดําเนินการโดยอาศัย กฎหมายการผังเมืองและการบริหารงานในเชิงนโยบายจนกลายเป็น “ผังเมืองรวม” หรือ “ผังเมืองเฉพาะ” โดยผังเมืองรวม (Comprehensive Plan) คือ แผนที่แสดงการใช้ที่ดินประเภทต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นบนพื้นที่ ส่วนต่าง ๆ ของท้องถิ่นในอนาคต ส่วนผังเมืองเฉพาะ (Specific Plan) คือ ผังที่จัดทําขึ้นหลังจากมีผังเมืองรวม ซึ่งเป็นผังที่มีความละเอียดมากกว่าผังเมืองรวม โดยจะจัดทําในพื้นที่บางส่วนของผังเมืองรวม เป็นพื้นที่ที่มี ความสําคัญสูงหรือมีความจําเป็นสูงที่จะต้องสงวนรักษา เช่น พื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ พื้นที่ที่มีคุณค่า ทางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ พื้นที่ธุรกิจการค้า เป็นต้น

จากการวางแผนในลักษณะของกายภาพที่จําเป็นต้องมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และสะท้อนความต้องการของสาธารณะที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งสื่อถึงโครงการในการพัฒนาในขอบเขตพื้นที่ ที่กําหนดอันเป็นวิธีการในการพัฒนาเมืองให้บรรลุเป้าหมายในด้านต่าง ๆ อีกด้วย ได้แก่ แผนการใช้ประโยชน์ ในที่ดิน (Land Utilization Plans), การสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกของชุมชนเมือง (Urban Facilities) เช่น การก่อสร้างถนน สวนสาธารณะ โครงข่ายการจราจรและการขนส่ง ระบบการจัดการสิ่งปฏิกูล เตาเผาขยะ การมี ตลาด ฯลฯ, โครงการพัฒนาเมือง (Urban Development Project) เช่น การซ่อมแซมปรับปรุงเมือง โครงการ พัฒนาเมือง โครงการปรับปรุงและพัฒนาเมือง ฯลฯ และการวางแผนด้านอื่น ๆ เช่น การวางแผนในการพัฒนา เศรษฐกิจ การวางแผนทิศทางการเจริญเติบโตของเมือง การวางแผนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

3. การผังเมือง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งเสริมการพัฒนาเมืองไปในทิศทางที่ถูกต้อง และเป็นระเบียบ โดยการกระตุ้นให้มีการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม การปรับปรุงสาธารณูปโภค ตลอดจนการปฏิบัติตามโครงการพัฒนาที่ถูกต้องสอดคล้องกัน

1) ประวัติศาสตร์การผังเมือง ได้แก่ การจัดความสําคัญและลําดับของการจัดถนน หนทางและพื้นที่สาธารณะ (Public Space) ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะศึกษาวิชาการวางผังเมืองจากตัวแบบเมือง ของประเทศในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเมืองที่มีมาอย่างยาวนาน

2) วัตถุประสงค์ของการผังเมือง โดยถือว่าการวางแผนกายภาพหรือการผังเมืองนั้น เป็นส่วนหนึ่งหรือลักษณะอย่างหนึ่งของการวางแผนการใช้ที่ดินบนพื้นที่เมือง ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์ที่สําคัญคือ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้องมีระเบียบ เพื่อสร้างให้เกิดความสมดุลในการพัฒนาเมือง และเสริมสร้างให้เกิดประโยชน์สาธารณะโดยรวมในชุมชนเมือง

3) กลไกของการผังเมือง โดยจะอาศัยกลไกการควบคุมการใช้ประโยชน์ในที่ดิน การกําหนดย่านกิจกรรม (Zoning) การปรับปรุงสิ่งอํานวยความสะดวกของเมือง ตลอดจนการมีโครงการในเชิง ปฏิบัติต่าง ๆ

4) การกําหนดย่านกิจกรรม โดยพบว่าการผังเมืองนั้นจะอาศัยกลไกอย่างหนึ่ง ที่สําคัญก็คือ การกําหนดย่านกิจกรรมบนพื้นที่ ซึ่งเป็นการนําไปสู่การปฏิบัติของแผนของเมือง เพื่อประกันให้เกิด สภาพแวดล้อมของเมืองและการพัฒนาเมืองที่เหมาะสม มีระเบียบเรียบร้อยในการปรับปรุงพัฒนาเมืองภายใต้ กฎเกณฑ์ที่บังคับใช้ตามที่ปรากฏในผังเมือง

5) ปัจจัยในการพัฒนาการวางผังเมือง ได้แก่ ปัจจัยทางอุดมการณ์ในเรื่องของ เศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยของการมีส่วนร่วมของประชาชน ปัจจัยทางด้านเทคนิควิชาการ ปัจจัยด้านการเงิน เป็นต้น ดังนั้นการวางแผนของแต่ละเมืองจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณะสูงสุดและสามารถปรับเปลี่ยนได้ หากไม่เหมาะสม ซึ่งทําให้ลักษณะของแผนหรือผังเมืองที่ได้จะปรากฏในลักษณะต่าง ๆ เช่น มีหลากหลายมิติ และคิดคํานึงในหลายแง่มุมและมีความครอบคลุม โดยจะเป็นแผนที่มีทิศทางที่ถูกต้องหรือสามารถรองรับกับ ปัญหาในอนาคตได้ อีกทั้งยังเป็นแผนที่ปฏิบัติได้ เป็นที่ยอมรับจากประชาชน ทั้งนี้เพราะอาศัยการมีส่วนร่วมจาก ประชาชนในการวางแผนตั้งแต่แรกนั่นเอง

6) ระดับของการวางผังของเมืองและหน่วยการปกครอง อาจดําเนินการได้ในหลายระดับ เช่น ชนบท (Countries) เมืองเล็ก (Towns) เมือง (Cities) องค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบอื่น ๆ เป็นต้น

7) การผังเมืองและการจัดการในพื้นที่ของเมืองในสังคมประชาธิปไตย จําเป็นจะต้องได้รับความยินยอมพร้อมใจหรือสร้างการยอมรับในความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่จากผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น กระบวนการประชุมชี้แจงและตกลงอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจึงเป็นสิ่งที่จําเป็น

ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ระบบของการผังเมืองและการใช้ที่ดินถือว่ามีส่วนสําคัญอย่างยิ่งในการ บริหารเมืองและชุมชนเมือง ในแง่ที่จะต้องมีนโยบายที่มีความกลมกลืนและสอดคล้องอย่างครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ เป็นนโยบายเชิงผสมกลมกลืน โดยจําเป็นจะต้องเชื่อมโยงและสร้างความแข็งแกร่งระหว่างลักษณะทางกายภาพ ที่มีอยู่ เช่น วิถีชีวิตของผู้คนในเมือง ประวัติศาสตร์ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ความเชื่อ ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจน สิ่งที่เอื้ออํานวยที่มีอยู่เดิม ซึ่งได้แก่ ธรรมชาติของการขนส่งแบบต่าง ๆ ความสอดคล้องกับพื้นที่ที่การจราจร และการขนส่งนั้น ๆ ไปถึง นอกจากนี้ในแง่ของความเป็นสังคมและชุมชนทําให้การวางแผนเมืองและสิ่งอํานวย ความสะดวกต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นใหม่นั้นต้องคํานึงถึงการบูรณาการ คุณค่าด้านศิลปะ เป้าหมายของชาติ วิสัยทัศน์ ในอนาคต วิถีชีวิต วัฒนธรรม รวมถึงลักษณะทางสุนทรียศาสตร์และความรู้สึกนึกของชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน

POL3314 การบริหารชุมชนเมือง 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL3314 การบริหารชุมชนเมือง
คําสั่ง ข้อสอบมี 10 ข้อ ให้เลือกทําเพียง 4 ข้อ โดยระบุข้อที่ทําให้ชัดเจน

ข้อ 1. จงให้นิยามหรือความหมายของคําว่า “เมือง” และ “ชุมชนเมือง” พร้อมทั้งระบุเหตุผลของการเกิด ชุมชนเมืองมาพอสังเขป ?

แนวคําตอบ

เมือง (City/Urban) มีความหมายดังนี้
-การตั้งถิ่นฐานถาวรขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างถาวร (เช่น บ้านเรือน) มีสิ่ง อํานวยความสะดวกด้านการสาธารณูปโภค (เช่น ประปา ไฟฟ้า ถนน)

-เมืองจะเป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองจํานวนมาก มีความหนาแน่นของประชากรอยู่ใน ระดับสูง ประชากรของแต่ละเมืองจะประกอบไปด้วยคนต่างเพศ ต่างสถานภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรกรรม

-เมืองจะมีระบบการบริหารและการปกครองเป็นของตนเอง

-เมืองจะประกอบด้วยองค์กรทางสังคมต่าง ๆ มากมาย

-เมืองจะเป็นศูนย์รวมของขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เช่น ในเชิงทางประวัติศาสตร์ เมืองจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และการศึกษา การตลาดและการพาณิชยกรรม การบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารขององค์กรเอกชนต่าง ๆ การศาสนาและประเพณี

-เมืองบางแห่งอาจเกิดขึ้นเพื่อทําหน้าที่พิเศษเฉพาะด้าน เช่น -เมืองหน้าด่านและ ป้อมปราการทําหน้าที่ป้องกันตนเองและป้องกันเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบเมืองเดียวกัน

– เมืองกลายเป็นผู้ใช้และผู้ผลิตที่เพิ่มค่าทางเศรษฐกิจของวัตถุดิบและการบริโภค/ อุปโภคอย่างมากมาย จนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศ เช่น การค้า การธนาคาร การบริหารอุตสาหกรรม การขนส่งคมนาคม แหล่งขายปลีก ตลอดจน เป็นศูนย์กลางของรัฐบาล

ชุมชนเมือง (Urban Community) หมายถึง ชุมชนที่ประกอบไปด้วยคนทุกสถานะทั้ง คนรวยและคนจนรวมกันอยู่อย่างแออัดในพื้นที่ มีความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนแตกต่างจากสังคมในชนบท และ เนื่องจากการที่ชุมชนเมืองจะประกอบไปด้วยผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีจํานวนจํากัด คนในชุมชนเมืองจึงมักจะ มีความเป็นอยู่หนาแน่น จนกระทั่งเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมักจะมีปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น

เหตุผลของการเกิดชุมชนเมือง
1. ในแง่การผลิตและการพัฒนาอุตสาหกรรม เมืองหลายเมืองได้กลายมาเป็นเมืองมหานคร โดยมีจุดเริ่มและก่อกําเนิดมาจากบทบาทในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจหรือเป็นเมืองหลวง (เช่น กรุงเทพฯ, จากาตาร์, เม็กซิโก ซิตี้ ฯลฯ) หรือเป็นเมืองใหญ่ริมชายฝั่งทะเล (เช่น กัลกัตตา, เซาเปาโล, เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ) ซึ่งการ รวมตัวเป็นชุมชนหนาแน่นเป็นกลุ่มก้อนดังกล่าวจะช่วยเอื้อให้เกิดความประหยัดหรือการขาดแคลนในด้านแรงงาน วิทยาการความรู้ การบริการธุรกิจการเงิน การติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
และการขนส่ง
2. ในทางสังคมวิทยานั้น พบว่าการรวมกันเข้าเป็นชุมชนเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ และสิ่งแวดล้อมในสังคมเป็นตัวกําหนด ซึ่งแนวโน้มการตั้งถิ่นฐานหรือที่อยู่อาศัยที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หมู่บ้าน เมือง นคร ตามลําดับ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความต้องการและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การบริการ การค้า การลงทุน ประกอบการ การดําเนินกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ ที่มีทั้งแรงผลักแรงดันระหว่างชุมชนเมืองกับชุมชน ชนบท ดังนั้นความต้องการเข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนเมืองจึงเป็นความคาดหวังว่า จะมีชีวิตที่ดีกว่าของมนุษย์

3. ความเป็นชุมชนเมืองไม่มีหลักเกณฑ์ของจํานวนเลขที่แน่ชัดมากําหนดว่ามีจํานวนเท่าใด สิ่งนี้จะแปรตามหรือขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศจะกําหนดขึ้น เช่น การพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างสองชุมชน หากชุมชนหนึ่งมีประชากรเป็น 50 เท่าของอีกชุมชนหนึ่ง จะถือว่าชุมชนนั้นเป็นชุมชนเมือง ส่วนอีกชุมชนหนึ่ง เป็นชุมชนชนบท เป็นต้น

ข้อ 2. จงวิเคราะห์สถานการณ์ของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ตลอดจนแนวโน้มที่สําคัญ ๆ มาพอสังเขป ?

แนวคําตอบ

สถานการณ์ของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก

จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่าในปี พ.ศ. 2561 ประชากรในเขตเมืองนั้น มีมากกว่าในชนบท โดยมีผู้คนอาศัยอยู่ในเขตเมืองประมาณร้อยละ 55 ของประชากรโลก ซึ่งในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2493 พบว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในเขตเมืองเพียงร้อยละ 30 ของประชากรโลกเท่านั้น นอกจากนี้สหประชาชาติยังคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี พ.ศ. 2593 จะมีคนอาศัยอยู่ในเมืองเพิ่มสูงถึงร้อยละ 68 ของประชากรโลกอีกด้วย

ในแง่ประชากรในชนบท (Rural Population) ของโลก พบว่าเติบโตอย่างช้า ๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งในปัจจุบันในชนบททั่วโลกมีจํานวนเกือบ 3.4 พันล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจะลดลงเหลือประมาณ 3.1 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2593 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแอฟริกาและเอเชียซึ่งมีประชากรชนบทเกือบร้อยละ 90 ของประชากรชนบทของโลก

ในแง่ประชากรในเมือง (Urban Population) ของโลก พบว่าเติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 โดยเพิ่มขึ้นจาก 751 ล้านคน เป็น 4.2 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2561 แม้ว่าเอเชียจะมีการขยายตัว น้อยกว่าภูมิภาคอื่น ๆ แต่กลับพบว่ามีประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองสูงถึงร้อยละ 54 ของทั่วโลก ในขณะที่แอฟริกา มีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้น

ดังนั้นสถานการณ์ในปัจจุบันของการอยู่อาศัยของมนุษย์ในโลก จึงเป็นลักษณะการอยู่อาศัย ในโลกแห่งชุมชนเมือง นั่นคือ ปัจจุบันประชากรโลกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และประชากรโลกมากกว่า ครึ่งหนึ่งนั้นได้เข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนเมือง โดยเฉพาะเมืองในประเทศกําลังพัฒนานั้นจะมีอัตราการเข้ามาอยู่ อาศัยของประชากรเพิ่มมากขึ้นมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว จนกระทั่งบางประเทศได้กลายเป็นชุมชนเมืองไป ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ปัจจุบันนี้เราอยู่ในโลกแห่งชุมชนเมืองอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้กําหนดให้วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เป็นวันที่ประชากรโลก มีจํานวนครบ 7 พันล้านคน ซึ่งเรียกว่า “Day of 7 Billion” และในปัจจุบันนี้จํานวนประชากรโลกที่มีแนวโน้ม เพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็มีความปรารถนาที่ต้องการอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี มีอากาศบริสุทธิ์ อาหารและน้ำสะอาด มีบ้านอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่สะอาด และทํางานในสถานที่ที่ปลอดภัย มีการควบคุม ป้องกันมลพิษตลอดจนพิษภัยอันตรายจากโรคต่าง ๆ มีการดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนแต่เนื่องจากความต้องการ

ในการอยู่อาศัยของประชาชนในชุมชนเมืองมีมาก และประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรม การค้า การท่องเที่ยว ย่อมส่งผลกระทบต่อการพัฒนาความเป็นเมืองหรือการสร้างบ้านแปลงเมือง ชุมชนเมืองและ การอยู่อาศัยของมนุษย์บนโลกโดยรวม ซึ่งจะทําให้เกิดปัญหาความต้องการในด้านการบริโภค อุปโภค การขาดแคลน และทรัพยากรสิ่งจําเป็นพื้นฐานตามมา เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย พลังงาน ทรัพยากรประเภทอื่น ๆ เป็นต้น

ข้อ 3. จงอธิบายถึงผลกระทบอันเกิดจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกมีอะไรบ้าง โดยยกตัวอย่าง 5 ข้อ พร้อมทั้งเสนอแนวทางการบรรเทาผลกระทบในแง่ลบดังกล่าว ?

แนวคําตอบ

ผลกระทบอันเกิดจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก

1. ปริมาณความต้องการน้ําจืด (Fresh Water) เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นก็จะส่งผล กระทบต่อปริมาณน้ําจืดที่จําเป็นต่อการอุปโภคบริโภค ทั้งนี้เพราะมนุษย์จะพยายามขยายพื้นที่อยู่อาศัยออกไปเรื่อย ๆ อาจจะถมที่ดินหรือสร้างบ้านจัดสรรก็ทําให้เกิดการบุกรุกเบียดเบียนแหล่งน้ําจืด ส่งผลให้ระบบวงจร ของน้ำที่ระเหยจากแหล่งน้ำเป็นไอน้ำขึ้นไปกลายเป็นเมฆแล้วก็กลั้นตัวลงมาเป็นฝนมีปริมาณลดลงถึงร้อยละ 75 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ถึงปี ค.ศ. 2050 โดยมีการคาดการณ์ว่าเมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 จะมีน้ําจืดเหลือเพียง 1 ใน 4 ของ ปริมาณน้ําจืดในปี ค.ศ. 1950 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ําต่าง ๆ เช่น เขื่อน แม่น้ำ ฯลฯ ในหลาย ๆ ประเทศ ก็จะประสบกับปริมาณน้ําลดน้อยถอยลงและแห้งแล้ง หรือบางภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกในบางฤดูกาลก็จะเกิดปัญหา น้ำท่วม ซึ่งเป็นผลมาจากการบุกรุกแหล่งกักเก็บน้ําต่าง ๆ และทําลายป่าไม้นั่นเอง

แนวทางในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ การรีไซเคิลน้ํากลับมาใช้ใหม่ การทํา ฝนเทียม การแยกเกลือออกจากน้ําเค็ม การอนุรักษ์แหล่งน้ําบาดาลแห่งใหม่ ลดการทําปศุสัตว์ลง รวมไป ถึงแนวคิดในเรื่องการทําเกษตรแนวใหม่ หรือการปลูกพืชที่ใช้น้ําน้อยลง โดยนําวิธีที่จะใช้น้ําให้เกิดประโยชน์ และประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การใช้ระบบน้ําหยด เป็นต้น

2. ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์มักจะมีระบบนิเวศ ที่อุดมสมบูรณ์ด้วย เช่น มีแม่น้ํา ลําธาร ป่าไม้ ภูเขา สัตว์ป่า พืชพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอาหารของปลาและสัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบห่วงโซ่อาหาร เมื่อเกิดภาวะโลกร้อนเกิดความแห้งแล้ง พื้นที่ชุ่มน้ําหรือพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้ ก็เกิดปัญหาความเหือดแห้งส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อประมาณ 65 ล้านกว่าปีที่ผ่านมานี้ สิ่งมีชีวิตได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ 100 ถึง 1,000 เท่าของอัตราปกติ โดยที่มนุษย์มิใช่เป็นเพียงพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นเหตุของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตดังกล่าว

แนวทางในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าวนั้นจําเป็นต้องมีการจัดทําแนวทางและวิธี ดําเนินการในการป้องกัน การแก้ไขฟื้นฟู และการอนุรักษ์ ซึ่งได้แก่ การใช้กฎหมาย การประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ความรู้ และความเข้าใจแก่ประชาชนในการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม การบําบัดฟื้นฟูสภาพของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นและเหมาะสมสําหรับการใช้ประโยชน์ต่อไป รวมไปถึงมีการแบ่งเขต/ พื้นที่ควบคุมเพื่อให้มีสภาวะที่เหมาะสมสําหรับการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากร เช่น การจัดพื้นที่เป็นป่าอนุรักษ์ หรืออุทยาน ซึ่งจะทําให้สภาพดิน พืช สัตว์ และป่าไม้ มีสภาพเหมาะสมในการขยายพันธุ์ ดํารงพันธุ์ และเจริญเติบโตเป็นต้น

3. การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) ภาวะโลกร้อนหรือภูมิอากาศ เปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากการกระทําของมนุษย์ และปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสังคมเมืองและภาคอุตสาหกรรม ที่ปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จนเกิดการสะสมและทําลายชั้นโอโซน (Ozone Layer) ซึ่ง เรียกว่า “ภาวะเรือนกระจก” ก็มีแนวโน้มทําให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบให้น้ําแข็งขั้วโลกละลาย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อแหล่งอาหาร สภาวะทางธรรมชาติ และตัวมนุษย์เองด้วย

แนวทางในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ ลดการใช้พลังงานที่มีส่วนทําให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้สารเคมีในการเกษตร ลดการใช้พลาสติก เลือกใช้กระดาษรีไซเคิล หันมาใช้พลังงาน ไบโอดีเซล และสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานทดแทนอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ํา พลังงานลม เป็นต้น

4. การประมงหรือการจับปลาในมหาสมุทร (Oceanic Fish Catch) การจับสัตว์น้ํา ทางทะเลส่งผลต่อการลดลงของปริมาณกุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 – 1988 อัตราการจับสัตว์น้ํา เหล่านี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 19 ล้านตัน มาเป็น 88 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าการเพิ่มขึ้นของจํานวนประชากรเสียอีก แต่หลังปี ค.ศ. 1988 เป็นต้นมา อัตราการจับปลาก็ลดลง ซึ่งในปี ค.ศ. 1996 ลดลงเหลือ 16 กิโลกรัมต่อคน อย่างไรก็ตามการจับสัตว์น้ําก็ยังมีมากอยู่ เพราะว่าคนนิยมบริโภคอาหารทะเลกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งอัตราการจับสัตว์น้ำลดลงนั้น เป็นผลมาจากสัตว์น้ําเริ่มลดจํานวนลงและสูญพันธุ์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นและ ยังมีการใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างฟุ่มเฟือย นักชีววิทยาทางทะเลได้กล่าวไว้ว่า อัตราการจับสัตว์น้ําในปัจจุบันนี้ มีประมาณปี 93 ล้านตัน ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อจํานวนประชากรโลก และอีกไม่นานมนุษย์เราก็อาจจะมีอาหาร เหล่านี้รับประทานกันได้น้อยลงและยากขึ้น

แนวทางในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ การปลูกป่าชายเลนเพื่อให้มีแหล่งอาหาร ของสัตว์ เป็นที่วางไข่และเป็นที่อยู่ของตัวอ่อนของสัตว์ทะเลหลายชนิด หยุดการทําไม้ป่าชายเลนและการทําเหมืองแร่ ในพื้นที่ป่าชายเลน งดการใช้อวนรุน อวนลาก ไม่ทิ้งสมอเพื่อจอดเรือในแนวปะการัง เพราะจะทําให้ปะการัง หักเสียหาย งดการจับปลาในช่วงฤดูวางไข่ ไม่ใช้ระเบิดจับปลา ไม่สร้างโรงแรมและที่พักติดทะเลเพราะจะทําให้เกิดน้ำเสียอันเป็นเหตุให้ปะการังตาย เป็นต้น

5. งานหรือการมีงานทํา (Jobs) ประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อภาวะ การจ้างงานและตําแหน่งงาน ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โลกมีจํานวนแรงงานเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า คือ จาก 1.2 พันล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 2.7 พันล้านคน จากข้อมูลขององค์การแรงงานสากล (The United Nations International Labor Organization : ILO) ได้คาดการณ์ว่าจะมีคนตกงานกว่า 1 พันล้านคน หรือ 30% ของ คนในวัยแรงงาน และในช่วงอีกครึ่งศตวรรษต่อไปจะมีคนตกงานประมาณเกือบ 2 พันล้านคน ซึ่งมากกว่าตําแหน่งงาน ที่มีอยู่ประมาณ 1.9 พันล้านตําแหน่ง โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นปัญหาในประเทศกําลังพัฒนา ทั้งนี้เพราะประเทศ เหล่านั้นมีอัตราการเกิดและจํานวนประชากรมาก และเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นจํานวนมากด้วย ในขณะที่ตําแหน่งงาน ที่มีอยู่ มีจํานวนอัตราตําแหน่งเติบโตน้อยกว่าแรงงาน เป็นต้น

แนวทางในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ได้แก่ ลดช่องว่างระหว่างรายได้ของประชาชนส่งเสริมให้ประชาชนมีมาตรฐานการศึกษาสูงขึ้น พัฒนาและยกระดับฝีมือแรงงาน มีการอบรมการประกอบอาชีพ ให้แก่ประชาชน จัดหาตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม เพิ่มคุณภาพของสินค้าและบริการ กระจายอุตสาหกรรมไปสู่ภูมิภาค มีการใช้นโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดต่างประเทศให้มาลงทุนในประเทศ มากขึ้น เป็นต้น

ข้อ 4. จงอธิบาย “เมือง” ในทางทฤษฎีของศาสตร์สาขาต่าง ๆ มา 3 ทฤษฎี พร้อมทั้งอธิบายขยายความ โดยละเอียดในแต่ละทฤษฎี ?

แนวคําตอบ

ทฤษฎีและแนวความคิดของศาสตร์สาขาต่าง ๆ

1. แนวความคิดในทางเศรษฐศาสตร์
กระบวนการในการเกิดขึ้นของเมืองในทางเศรษฐศาสตร์จะเกี่ยวโยงกับกระบวนการทางโครงสร้างของสังคมที่ก่อให้เกิดพลวัต หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจชนบทไปเป็นเศรษฐกิจเมืองในแง่ของการแปลงสภาพ ประชากร กระบวนการผลิต และสภาพแวดล้อมทางสังคมการเมือง และเศรษฐกิจชนบท ไปสู่ฐานะของเศรษฐกิจเมือง เช่น

1. การใช้แรงงานเข้มแข็งขึ้นและมีความเป็นปัจเจกภาพสูง
2. มีการกระจุกตัวของแรงงานมากขึ้น
3. มีความชํานาญในการผลิตสินค้าและบริการค่อนข้างสูง
4. มีการพึ่งพาต่อกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐบาลอย่างใกล้ชิด
5. มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และลักษณะของการประกอบการใน ระดับสูง
6. ความหนาแน่นของประชากรทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสําคัญที่จะเกิดขึ้นในแง่ความเป็นเมือง คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมเนื่องจากการเกิดความชํานาญ การแบ่งงานกันทําตามความสามารถเฉพาะ การใช้ทุนเข้มข้นในการผลิตและใช้เทคโนโลยี ตลอดจน ประดิษฐกรรมที่ทันสมัย ทําให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมและกระบวนการเกิดเป็นเมืองซึ่งเป็นกระบวนการที่ ควบคู่กัน

2. แนวความคิดของนักสังคมวิทยา

ในทางสังคมวิทยา มองว่าระบบชุมชนเป็นระบบของปัจจัย 3 ประการที่เกี่ยวข้องกัน คือ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Areas) การปะทะสังสรรค์กันทางสังคม (Social Interaction) และ ความผูกพันร่วมกัน (Common Ties) กล่าวคือ ในสังคมนั้นจะประกอบด้วยบุคคลที่มีการปะทะสังสรรค์กันทาง สังคมในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ และมีความผูกพันร่วมกันในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่ง

ผลผลิตของชุมชนหรือสังคม ซึ่งได้แก่

-การกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization)
-การควบคุมทางสังคม (Social Control)
-การมีส่วนร่วมในสังคม (Social Participation)
-การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (Mutual Support)
-การผลิต การบริโภค และการกระจายสินค้าและบริการภายในชุมชน (Production-Consumption-Distribution)

ในแง่ของจิตใจและวัฒนธรรมนั้น คนจะมีความรู้สึกในความเป็นคนถิ่นนั้นถิ่นนี้ ทั้งนี้เพราะเกิดความรู้สึกมั่นคงในการมีที่ยึดเหนี่ยวด้านจิตใจ (Community Sentiment) ที่เกิดจากการหล่อหลอม ทางค่านิยมของกฎเกณฑ์และเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งกระบวนการของคนในสังคมหรือชุมชนโดยลักษณะธรรมชาติ ดังกล่าวก็คือ ความเป็นเมืองนั่นเอง

3. แนวความคิดของนักมานุษยวิทยา

นักมานุษยวิทยา มองว่ากระบวนการสร้างความเป็นเมือง (Urbanization) เป็นรูปหนึ่งของกระบวนการปรับตัวของมนุษย์ ทั้งนี้เนื่องจากชุมชนเมืองเป็นรูปแบบที่สําคัญที่มนุษย์ได้พัฒนาขึ้น การปรับตัวจึงเป็นความสําเร็จอย่างหนึ่งของกลุ่ม และความสําเร็จนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมนั้น ๆ ว่าจะเป็นไปได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องอาศัยความกลมกลืนกันระหว่างปัจจัยในด้านต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า “ปมในเชิงนิเวศวิทยา” (Ecological Complex) ซึ่งจะประกอบด้วย

1. ปัจจัยด้านประชากร (Population) โดยมีปัจจัยด้านโครงสร้างของประชากร ที่มีผลต่อกระบวนการเป็นเมือง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้จะชี้ให้เห็นมิติของประชากรทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ตลอดจนการกระจายตัวหรือโครงสร้างซึ่งประกอบด้วยลักษณะของคนในแต่ละช่วงอายุ เช่น คุณภาพการศึกษา ทักษะการทํางาน อาชีพ จํานวน การพัฒนา และแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของคนในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งจะส่งผลถึง ปัจจัยด้านอื่นๆ

2. ปัจจัยด้านการจัดองค์กร (Organization) โดยมีมิติที่จะพิจารณาได้ในเรื่องนี้ ได้แก่ แบบขององค์กร สภาพแวดล้อม จํานวนสมาชิก ความสามารถ ผู้นํา เทคโนโลยีที่ใช้ ตลอดจนความร่วมมือ ร่วมใจตามแนวคิดของประชาสังคม (Civil Society) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อสภาพของชุมชนและสังคมนั้น ๆ

3. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องและมีผลต่อสังคม และชุมชนในแง่ของพฤติกรรม วิถีชีวิต วัฒนธรรมในแต่ละระดับนั้นอาจพิจารณาปัจจัยแวดล้อมทางด้านธรรมชาติ และปัจจัยแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือพิจารณาในแง่ปัจจัยเอื้อหรือไม่เอื้อต่อชุมชนหรือสังคมนั้น ๆ

4. ปัจจัยด้านเทคนิควิทยาการ (Technology) เป็นปัจจัยสําคัญที่มนุษย์จะสามารถ เอาชนะธรรมชาติได้ และสามารถแข่งขันท่ามกลางภาวะที่จํากัดในด้านต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการเรียนรู้ ประดิษฐกรรมและนวัตกรรมของสังคม

ข้อ 5. จงอธิบายการบริหารหรือจัดการชุมชนเมืองตั้งแต่เริ่มมีแนวคิด อุดมการณ์ ไปสู่การปฏิบัติ ว่ามีหลักการ และวิธีการอะไรอย่างไร พร้อมตัวอย่างโดยสังเขป ?

แนวคําตอบ

การบริหารชุมชนเมืองมุ่งที่จะเสนอแนวคิดและวิธีการปฏิบัติในการบริหารชุมชนเมือง โดยมี วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการบริหารเพื่อตอบสนองต่อผู้อยู่อาศัยในชุมชนนั้น ๆ เป็นหลัก จึงจําเป็นต้องศึกษา ในแง่ของประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาทั้งในระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับสากล ตลอดจนแนวทาง ในการพัฒนาชุมชนเมือง เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษาในเชิงระบบทั้งในด้านปัญหาและข้อเรียกร้อง ของชุมชนเมืองในฐานะปัจจัยนําเข้า (Input) ตลอดจนความจําเป็นและแนวทางของกิจกรรมในฐานะปัจจัยนําออก

(Output) และศึกษาผลกระทบของการบริหารชุมชนเมือง โดยจะศึกษาทั้งตัวองค์กรหรือสถาบันหลักที่เกี่ยวข้อง หรือมีหน้าที่ในการบริหารชุมชนเมือง หรือศึกษาแยกย่อยไปที่ประเด็นรายละเอียดหรือเนื้อหาสาระในชุมชนเมือง ดังนั้นการบริหารชุมชนเมืองจึงมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่การกําหนดเป้าหมายการวางแผน การบริหารและลงมือปฏิบัติจนบังเกิดผล ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้

การบรรลุภารกิจและความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมือง

การบริหารชุมชนเมืองสมัยใหม่ไม่ใช่เป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้เพราะการตระหนักในความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมือง โดยชาวชุมชนเองเท่านั้นที่จะนําไปสู่ความสําเร็จในการบริหารชุมชนเมือง กล่าวคือ เมืองที่ประชาชนมีความสนใจและให้ความร่วมมือในกิจกรรมของส่วนรวม รวมไปถึงการตรวจสอบติดตาม การทํางานของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในลักษณะการบริหารจัดการที่ดี (Good Governance) ระบบการเมือง ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนสําคัญในการกําหนดแนวทางและวิธีการ ซึ่งอาจได้รับการสนับสนุนจากภายนอกจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมเพราะได้สร้างให้เกิดความรับผิดชอบในการบริหารชุมชนเมืองของชาวชุมชนเมือง โดยแท้จริง โดยจะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่สําคัญหลายด้าน เช่น

1. ด้านเกียรติภูมิและสิทธิของประชาชน (Right and Dignity) คือ การให้สาธารณชน ได้ตัดสินใจบริหารงานอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ ปราศจากอคติและความลําเอียง ตลอดจนบริหารงานโดยยึดหลัก กฎหมาย และต้องพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบคอบผ่านกระบวนการกลไกการปกครอง ทั้งนี้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยสามารถตรวจสอบการบริหารนั้นได้ซึ่งเป็นการให้สิทธิและคํานึงถึงศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของชาวเมือง

2. ด้านความรับผิดชอบที่สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) คือ การบริหารงานนั้น ต้องอยู่ภายใต้อาณัติของประชาชนในทุกขั้นตอนของการดําเนินงาน ทั้งการอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือบริหารงานบนพื้นฐานความต้องการของประชาชน ซึ่งการบริหารงานนั้นจะต้องเป็นไปโดยเปิดเผย ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ในขณะที่ทุกฝ่ายต่างก็มีความรับผิดชอบที่สามารถตรวจสอบได้

3. ด้านความมีประสิทธิผล (Effectiveness) คือ การบริหารงานให้บรรลุเป้าหมาย หรือ สามารถบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาและเสนอทางออกให้กับประชาชนได้ รวมทั้งต้องบริหารงานด้วยความคุ้มค่าคือ การใช้ทุนน้อยแต่สามารถบรรลุมาตรฐานด้านต่าง ๆ ตามที่ประชาชนชาวเมืองต้องการ โดยมุ่งสร้างหรือยกระดับ มาตรฐานชีวิตของประชาชน หรือตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของคนในด้านต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนและ เพียงพอ เช่น ความต้องการอาหารที่เพียงพอ อากาศที่บริสุทธิ์ น้ําสะอาดเพื่อการบริโภค ที่อยู่อาศัยและเครื่องนุ่งห่ม ที่น่าพอใจ ความต้องการมีสุขภาพอนามัยที่ดี เป็นต้น

จุดเริ่มต้นในการบริหารชุมชนเมือง

การบริหารชุมชนเมืองจะเริ่มต้นที่การวางแผน และการมีแผนเพื่อให้เป้าหมายที่มนุษย์ต้องการอยู่ในสังคมชุมชนเมืองได้รับการตอบสนอง ซึ่งในการบริหารชุมชนเมืองนิยมเรียกโดยรวมว่า “แผนหรือ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง” ภายใต้ชื่อที่หลากหลาย เช่น แผนพัฒนา (Development Plan), แผนเมือง (Urban Plan), แผนแม่บท (Master Plan), แผนทั่วไป (General Plan) เป็นต้น แต่การบริหารชุมชนเมืองมักจะเน้นหนัก แผนกายภาพที่เรียกว่า ผังเมือง (City Plan) และแผนจัดการการเจริญเติบโต (Growth Management Plan)

การบริหารชุมชนเมืองที่ดีจะมีแผนภารกิจ (Action Plan) หรือแนวทางที่ชัดเจนเพื่อมารองรับกิจกรรมการบริหารชุมชนเมืองให้ได้ผล เช่น

1. การออกแบบเมือง (Urban Design) เป็นการสร้างวิสัยทัศน์ของเมืองหรือสร้างสรรค์ ให้เกิดสภาพเมืองที่พึงปรารถนา โดยคํานึงถึงปัจจัยที่สําคัญในด้านความสวยงามน่าชวนมอง คุณค่าด้านจิตใจ เอกลักษณ์ที่โดดเด่น และศักยภาพดั้งเดิมเป็นสําคัญ ซึ่งถือเป็นขั้นการผลักดันให้เกิดแนวคิดและวิสัยทัศน์ของคนในชุมชน

การทําให้เป้าหมายหรือแนวคิดของการออกแบบเมือง ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมที่ สวยงามให้คนภายนอกมองเห็นได้นั้น ต้องมีการวางภูมิทัศน์ของเมือง (Cityscape) ด้วยการสร้างรูปลักษณ์ของเมือง ตามที่ได้รับเอาแนวคิดต่าง ๆ มาใช้กําหนดเป็นทิศทางและลักษณะของเมือง ซึ่งจะปรากฏออกมาเป็นแนวทาง ในการก่อสร้างแหล่งที่อยู่อาศัย ที่สาธารณะ ถนนหนทาง และที่ตั้งของสิ่งอํานวยความสะดวกในเมือง เป็นต้น

2. แผนเมือง (City Plan) จะชี้ให้เห็นถึงแนวคิดพื้นฐานและวัตถุประสงค์ของเมืองนั้นๆไปสู่ทิศทางที่ต้องการ โดยส่วนร่วมก็จะมีแนวคิดพื้นฐานเพื่อสร้างให้เมืองนั้นมีความสะดวกสบายน่าอยู่อาศัย หรือสร้างให้ผู้คนมีความหวังและสามารถมองไปในอนาคตได้ ซึ่งแผนเมืองนี้อาจจะกําหนดเป็นแผนแม่บทหรือ แผนหลัก (Master Plan) ที่จะเป็นกรอบหรือแนวทางไปสู่การวางแผนปฏิบัติ หรือนโยบายในการวางแผนเมือง (City Planning Politics) ต่อไป ซึ่งได้แก่

1) แผนในภาพรวม อาจจะต้องอาศัยทิศทางและความสอดคล้องในระดับกว้าง เช่น แผนภูมิภาคหรือแผนระดับประเทศที่ต้องอาศัยความเกี่ยวพันและการตัดสินใจ และความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นไม่เฉพาะเมืองนั้นเมืองเดียว

2) การผังเมืองและการวางแผนการใช้พื้นที่ ดําเนินการโดยอาศัยกฎหมายการผังเมือง และการบริหารงานในเชิงนโยบาย จนกลายเป็นผังเมืองรวม (Comprehensive Plan) หรือผังเมืองเฉพาะ (Specific Plan)

-ผังเมืองรวม คือ แผนที่แสดงการใช้ที่ดินประเภทต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้น บนพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของท้องถิ่นในอนาคต
-ผังเมืองเฉพาะ เป็นผังที่จัดทําขึ้นหลังจากมีผังเมืองรวม มีความละเอียด มากกว่าผังเมืองรวม และจะจัดทําในพื้นที่บางส่วนของผังเมืองรวม ซึ่งเป็น พื้นที่ที่มีความสําคัญสูง หรือมีความจําเป็นสูงที่จะต้องสงวนรักษา เช่น พื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ พื้นที่ที่มีคุณค่าทางสภาพแวดล้อม หรือพื้นที่ธุรกิจการค้า เป็นต้น

3. การวางแผนด้านอื่น ๆ เป็นการวางแผนที่อาจผสมผสานการวางแผนในเชิงกายภาพและในเชิงการบริหาร เช่น การวางแผนในการพัฒนาเศรษฐกิจ, การวางแผนทิศทางการเจริญเติบโตของเมืองการวางแผนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ข้อ 6. จงอภิปรายปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาเมืองในสังคมที่กําลังพัฒนาให้เห็นเป็นรูปธรรม สัก 3 – 5 ประเด็นปัญหา ?

แนวคำตอบ
ปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาเมือง

1. ปัญหาการจราจร มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้

– สร้างข้อจํากัดในการจราจร หรือลดปริมาณรถโดยสร้างข้อจํากัด เช่น การขึ้น ภาษีรถให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อการซื้อรถคันต่อไปนั้นทําได้ยากขึ้น
– ใช้มาตรการด้านเวลากับการขนส่ง นั่นคือ การเหลื่อมล้ําของเวลาการทํางาน เพื่อเป็นการระบายรถในช่วงเวลาเร่งรีบ
– การร่วมเดินทาง เช่น มีการจัดรถรับส่งพนักงาน เป็นต้น
– จัดสถานที่จอดรถให้เพียงพอ เพื่อให้บริการกับประชาชนที่ต้องการใช้บริการ เชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้า สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เรือโดยสาร สถานีรถไฟ
– ใช้มาตรการการใช้ที่ดินในการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ในกรณีที่มีการจราจรแออัด อยู่แล้ว
– ขุดลอกแม่น้ำลําคลองที่ตื้นเขิน เพื่อเพิ่มเส้นทางของเรือโดยสาร พร้อมทั้ง ขยายเส้นทางให้เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ
– เพิ่มเส้นทางลัดมากขึ้นและให้เชื่อมต่อกันให้มากที่สุด
– ปรับปรุงระบบการขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบ ให้มีความทันสมัย รวดเร็วสะดวกสบายและปลอดภัย

2. ปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม มลพิษทางสิ่งแวดล้อม ได้แก่ มลพิษทางน้ํา มลพิษทางอากาศ และมลพิษทางเสียง

ปัญหามลพิษทางน้ำ มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้

– การบําบัดน้ำเสีย
– การจํากัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล
– การให้การศึกษาและความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาทางน้ําแก่ประชาชน
– การใช้กฎหมาย มาตรการ และข้อบังคับ
– การศึกษาวิจัยคุณภาพน้ำและสํารวจแหล่งที่ระบายน้ําเสียลงสู่แม่น้ำ

ปัญหามลพิษทางอากาศ มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้

– กําหนดให้มีและบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพอากาศ
– สํารวจและตรวจสอบคุณภาพอากาศจากแหล่งกําเนิดต่าง ๆ เป็นประจํา
– ลดปริมาณมลพิษทางอากาศจากแหล่งกําเนิด ทําได้โดยการเปลี่ยนชนิดของ เชื้อเพลิงที่ใช้ การปรับปรุงกระบวนการผลิต การลดมลพิษจากยานพาหนะ
– เผยแพร่ความรู้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนได้รับทราบและเข้าใจเกี่ยวกับความสําคัญของอากาศบริสุทธิ์ และอันตรายที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ
-เผยแพร่ความรู้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนให้ทราบถึงระเบียบ กฎเกณฑ์ มาตรฐานต่าง ๆ ที่ทางราชการกําหนดขึ้นเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ และ เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

ปัญหามลพิษทางเสียง มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้
-การให้การศึกษาและประชาสัมพันธ์
-การใช้มาตรการทางกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ บังคับ
-การกําหนดเขตการใช้ที่ดินหรือกําหนดผังเมือง
-การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต หรือใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์ที่ทันสมัย
-การใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียง

3. ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย/ชุมชนแออัด มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้
– ย้ายไปอยู่ชานเมืองโดยการเช่าซื้อที่ดินหรืออาคารของรัฐบาล
– มีการควบคุมความหนาแน่นของประชากร
– ส่งเสริมหรือขยายความเจริญออกไปสู่จุดอื่น ๆ ของประเทศ อย่างที่เรียกกันว่า “สร้างเมืองใหม่” หรือ “ชุมชนใหม่”
– มีการกําหนดผังเมืองและควบคุมการใช้ที่ดิน เช่น ไม่ให้มีการสร้างอาคารพาณิชย์ หรือตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในย่านที่อยู่อาศัย
– รัฐควรส่งเสริมโครงการสร้างอาคารเช่าซื้อสําหรับประชากรที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง
– ควบคุมการจัดสรรที่ดินของเอกชนให้สอดคล้องกับผังเมือง

4. ปัญหาด้านความปลอดภัยของประชาชน มีแนวทางแก้ไขปัญหาดังนี้
-ให้มีอาสาสมัคร โดยให้มีชมรมต่าง ๆ เช่น ชมรมวิทยุสมัครเล่น ชมรมอาสาจราจร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจในการช่วยเหลือเบื้องต้นในการรายงานเหตุด่วนเหตุร้ายเข้าเครือข่ายชุมชน
– มีหน่วยคุ้มครองบริเวณสะพานลอยคนข้าม โดยอาสาสมัครต่าง ๆ เช่น อาสาจราจร อาสาตํารวจบ้าน และจัดจ้างคนเพิ่มเพื่อออกตระเวนพื้นที่ร่วมกับตํารวจ
– ส่งเสริมอาชีพของประชาชนให้มีรายได้พอเพียง เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการลักทรัพย์ เป็นต้น

5. ปัญหาเรื่องการสาธารณูปโภคไม่เพียงพอ มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้
– ใช้นโยบายสาธารณูปโภคเป็นเครื่องมือควบคุมทางผังเมือง เช่น ลดอัตราสาธารณูปโภคในเขตที่กําหนด หรือกําหนดเขตที่ไม่จ่ายสาธารณูปโภค
– ให้มีการวางนโยบายระบบบริการสาธารณูปโภคในเมือง ให้เข้าถึงประชาชนอย่าง กว้างขวางโดยลงทุนค่าบริการให้น้อยที่สุด แต่ให้ทั่วถึงประชาชนมากที่สุด

ข้อ 7. การจัดการภัยพิบัติมีความสําคัญอย่างไร จงอธิบายกรอบความคิดการจัดการอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นกับเมืองมาพอสังเขป ?

แนวคําตอบ

ความสําคัญของการจัดการภัยพิบัติ

การจัดการภัยพิบัติเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ตั้งแต่การเตรียมการก่อนเกิดเหตุ การรับมือในภาวะฉุกเฉิน การบรรเทาทุกข์ ช่วยชีวิตและฟื้นฟูบูรณะหลังเหตุการณ์ ซึ่งในอดีตการจัดการภัยพิบัติมักเน้นเรื่อง การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เป็นหลัก แต่ในปัจจุบันแนวโน้มของการจัดการภัยพิบัตินั้นจะมีลักษณะของการเตรียมการ เชิงรุกมากขึ้น โดยดําเนินการด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่จะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติ รวมทั้งมีมาตรการที่ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นการวางแผนเพื่อเผชิญหน้ากับ
สถานการณ์ตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ ระหว่างเกิดภัยพิบัติ และหลังจากที่เกิดภัยพิบัติแล้ว

กรอบความคิดการจัดการอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นกับเมือง ได้แก่

1. เข้าถึงข้อมูลรายละเอียดที่เป็นจริง
2. พึ่งออกแบบการจัดการให้สามารถรับสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปจากการวางแผนไว้
3. บูรณาการแผนการจัดการน้ําท่วมให้สอดคล้องเข้ากับแผน/โครงการของการบริหารชุมชน
4. มีกลยุทธ์/มาตรการที่หลากหลายที่เกื้อกูลกันและจัดการอย่างสมดุล
5. คํานึงถึงความเหมาะสมทุกพื้นที่ทั้งต้นน้ําและปลายน้ํา
6. มาตรการทางวิศวกรรมที่ออกแบบมาอาจสําเร็จหรือล้มเหลว หรือไม่ได้ผลทั้งหมด ก็ย่อมดีกว่าไม่มีมาตรการใด ๆ
7. มาตรการจัดการอุทกภัยต้องใช้เป็นเครื่องมือที่มาเสริมแผนบริหารเมือง
8. คํานึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ/สังคมในวงกว้าง
9. ระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน
10. ขั้นตอนการปฏิบัติจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
11. การทํางานจําเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสารและการกระตุ้นเตือนอย่างต่อเนื่อง
12. ควรมีแผนในการฟื้นฟูและสร้างความเข้มแข็งในระยะยาว

ข้อ 8. การผังเมืองคืออะไร มีความสําคัญอย่างไรต่อการบริหารชุมชนเมือง หากไม่มีจะเกิดอะไร อย่างไร ?

แนวคําตอบ

การผังเมือง (City Planning) คือ

1. การวางแผนการเจริญเติบโตล่วงหน้าระยะยาว เพื่อให้เมืองนั้นสามารถดํารงอยู่อย่างยั่งยืน ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุข มีความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ มีความสมดุลในระบบนิเวศของเมือง

2. การวางแผนการใช้ที่ดินอย่างมีเหตุผลโดยการวางกฎระเบียบที่เหมาะสมเพื่อสร้าง ความมั่นใจให้คนในชุมชนเมืองมีชีวิตที่ดี มีคุณค่าในการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตในชุมชนเมืองนั้น และเพื่อให้เมืองและการดําเนินกิจกรรมของเมืองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ความสําคัญของการผังเมืองต่อการบริหารชุมชนเมือง

1. เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง มีระเบียบ ทั้งนี้เนื่องจาก การบริหารชุมชนเมืองจะมีหลักแนวคิด ปรัชญาที่ได้นํามาใช้ในการวางแผน เช่น เรื่องการตอบสนองความเป็นอยู่ ที่ดี เรื่องการพัฒนาอย่างสมดุล หรือแผนการดําเนินงานในด้านต่าง ๆ ที่ตอบสนองต่อผู้ที่อยู่อาศัยในเมือง ซึ่งในขั้น ที่จําเป็นที่ต้องขับเคลื่อนเมืองไปสู่อนาคตก็จําเป็นที่จะต้องอาศัยแผนเป็นเครื่องกําหนดทิศทาง ดังนั้นก็ต้องอาศัย หลักการแนวคิดต่าง ๆ ในเชิงวิชาการด้วยเช่นกัน เช่น การออกแบบเมือง จัดการทางด้านสถาปัตยกรรมหรือ ภูมิสถาปัตย์ จัดการทางด้านวิศวกรรมโยธา วิชาการทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ตลอดจนมิติทางด้าน รัฐศาสตร์ก็ตาม ก็ควรนับเข้ารวมอยู่ในด้านการวางแผนด้วยก็จะทําให้เกิดความครอบคลุมรอบด้าน

2. เพื่อสร้างให้เกิดความสมดุลในการพัฒนาเมือง การพัฒนาที่ยั่งยืนก็ควรที่จะมีความ สมดุล กล่าวคือ ในเมืองควรจะมีความสมดุลทั้งในด้านของการพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาสังคม รวมตลอดทั้งพัฒนาทางด้านศีลธรรมและจริยธรรมด้วย

3. เพื่อเสริมสร้างให้เกิดประโยชน์สาธารณะโดยรวมในชุมชนเมือง ประโยชน์สาธารณะนั้น ก็จะได้จากการวางแผนที่ดี ซึ่งก็หมายถึง ในรายละเอียดของแผนนั้นจะมีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์กับการเดินทาง การศึกษา สําหรับประชาชนที่ต้องการศึกษา สําหรับประชาชนที่ทํางาน ทําธุรกิจ ถ้าเมืองมีการวางแผนไปในทิศทางที่ ถูกต้องทุกฝ่ายก็จะได้ประโยชน์จากการบริหารเหล่านั้นร่วมกัน

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากไม่มี

1. ลดพื้นที่ทําการเกษตร ทําลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ พืชพันธุ์ธัญญาหาร ป่าไม้ และความหลากหลายทางชีวภาพ
2. นําไปสู่การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว (Private Transport) และเพิ่มจํานวนรถยนต์ ส่วนตัวโดยไม่จําเป็น ซึ่งจะนํามาสู่ความแออัดของการจราจร ปัญหามลพิษทางอากาศ เสียง และทัศนียภาพ
3. เกิดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม
4. นําไปสู่ปัญหาการขาดสายใยทางสังคม (Social Fabric)
5. พื้นที่ชายเมืองที่เคยเป็นปอดของเมืองและแหล่งทัศนียภาพของเมืองที่สร้างความรื่นรมย์จะหดหายไป เป็นต้น

ข้อ 9. การเดินทางโดยไม่ใช้ยานยนต์ (Non-Motorized Vehicle) คืออะไร มีคุณค่า ความสําคัญอย่างไร ต่อการจัดการเมือง จงวิเคราะห์ อภิปราย ?

แนวคําตอบ

การเดินทางโดยไม่ใช้ยานยนต์ (Non-Motorized Vehicle) หรือ “การเดินทางด้วยพาหนะ ที่ไม่ใช้เครื่องยนต์” เป็นวิธีการเดินทางด้วยพาหนะหรืออุปกรณ์ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ไม่มีเครื่องยนต์ระบบไฟฟ้าขับเคลื่อนติดไว้ถาวรหรือชั่วคราวในตัว โดยที่บุคคลหรือสิ่งของจะถูกเคลื่อนย้ายไปโดยการขับเคลื่อน ด้วยพลังกล้ามเนื้อของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การเดิน การขี่จักรยาน การพายเรือ การใช้สเก็ตบอร์ด การใช้รถเข็น หรือการเดินทางด้วยพาหนะที่ใช้สัตว์ลากจูง เป็นต้น

คุณค่าของการเดินทางโดยไม่ใช้ยานยนต์

1. เป็นวิธีการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. ลดปริมาณน้ำมันและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
3. ลดอันตรายจากการสัญจรของรถยนต์และรถบรรทุก
4. ลดมลภาวะมลพิษทางอากาศ ทําให้ออกซิเจนในอากาศสูงขึ้น
5. ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่กําลังจะหมดไปโดยเฉพาะน้ํามันและถ่านหิน
6. ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์อันเป็นสาเหตุทําให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
7. ส่งเสริมให้คนหันมาออกกําลังกายเพื่อประโยชน์ของสุขภาพทั้งทางตรงและทางอ้อม
8. เป็นวิธีการออกกําลังอย่างหนึ่งซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน และทําให้ จิตใจเบิกบานแจ่มใส เป็นต้น

ความสําคัญของการเดินทางโดยไม่ใช้ยานยนต์ต่อการจัดการเมือง

1. แก้ปัญหารถติด/ปัญหาความแออัด และความล่าช้าของจราจรโดยยานยนต์ได้
2. สามารถใช้พื้นผิวจราจรได้หลากหลายกว่าการเดินทางโดยยานยนต์
3. สามารถเดินทางไปได้ทุกหนทุกแห่งที่มีถนนรองรับอยู่แล้ว ไม่จําเป็นต้องขยายถนนหรือก่อสร้างผิวจราจรใหม่
4. ประหยัดเงินลงทุนมหาศาล ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อที่ดินหรือเวนคืนที่ดินจํานวนมาก
5. สามารถทําได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว เป็นต้น

ข้อ 10. การจัดการการเดินทางและการขนส่งเพื่อบรรลุไปสู่ความยั่งยืนคืออะไร อย่างไร ?

แนวคําตอบ

หลักการพื้นฐานของการจัดการการเดินทางและการขนส่งนั้นจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคํานึงถึงทุกกลุ่มผู้เดินทาง เช่น คนเดินเท้า คนเดินทางโดยรถจักรยาน รถจักรยานยนต์ รถขนส่งสาธารณะ รถยนต์ ส่วนบุคคล เป็นต้น รวมไปถึงคนทุกกลุ่มทุกระดับ เช่น เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ คนพิการ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อ นําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมและสังคม นั่นหมายถึงการส่งเสริมให้นําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนนั่นเอง

ในอดีตมักมีความเข้าใจว่าการจราจรติดขัดนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากมีรถยนต์มากเกินกว่าระบบ จะรองรับได้ ทําให้การเดินทางและการขนส่งไม่สะดวก เกิดปัญหามลพิษและอุบัติเหตุตามมา เป็นเหตุให้คุณภาพชีวิต แย่ลง เป็นผลให้มีแนวทางการแก้ไขปัญหาคือการขยายความจุถนน โดยการสร้างถนนเพิ่มและขยายความกว้าง ของถนน เพื่อให้รองรับปริมาณจราจรได้มากขึ้น แต่กลับพบว่าวิธีการดังกล่าวนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากยิ่งสร้างยิ่งขยายถนนมากขึ้น ปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลก็ยิ่งมากขึ้น และอัตราการเพิ่มขึ้นของ การใช้รถยนต์ก็สูงขึ้นเร็วกว่าที่จะสร้างหรือขยายถนนได้ทัน นอกจากนี้ความน่าอยู่ของเมืองจะยิ่งลดลง เพราะ พื้นที่สาธารณะลดลง ลดลง สภาพภูมิทัศน์เสียไป ขาดความร่มรื่น ขาดพื้นที่ในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม และ เกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น

ตัวอย่างของมาตรการในการจัดการการเดินทางและการขนส่ง เช่น
1. การสร้างข้อจํากัดในการเดินทาง
2. การปรับปรุงระบบการขนส่งสาธารณะ
3. การใช้มาตรการด้านเวลากับการขนส่ง
4. การร่วมเดินทางไปด้วยกัน
5. มาตรการควบคุมการจอดรถ
6. มาตรการควบคุมการใช้ที่ดิน
7. มาตรการเดินทางด้วยพาหนะที่ไม่ใช้ยานยนต์

ในกระบวนการจัดการข้างต้น ควรให้ความสําคัญในเรื่อง “การมีส่วนร่วมของประชาชน”ซึ่งเป็นสิ่งที่กฎหมายควรกําหนดให้ต้องมีเพราะจะทําให้วัตถุประสงค์ได้รับการพิจารณาโดยครอบคลุมทุกด้าน เข้าใจปัญหาดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้เกิดการสนับสนุนและการยอมรับยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา และยังช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนการดําเนินการ ทั้งนี้เนื่องจากวัตถุประสงค์มีจํานวนตามความต้องการอย่างแท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั่นเอง

การวางแผนสําหรับผู้เดินทางโดยรถขนส่งสาธารณะ ผู้ใช้จักรยาน และผู้เดินเท้า ควรมีการ วางแผนการจัดการที่จอดรถไปพร้อมกันด้วย โดยมีการควบคุมอย่างเข้มงวดในศูนย์กลางเมือง มีการควบคุม ปริมาณที่จอดรถและค่าจอดรถ ทั้งที่จอดรถสาธารณะริมถนนและที่จอดรถที่เป็นของส่วนบุคคลและเอกชน เพราะมาตรการควบคุมที่จอดรถดังกล่าวนี้ จะทําให้การใช้รถยนต์ลดความสะดวกลงและมีค่าใช้จ่ายสูง เป็นผลให้ ผู้ที่มีรถยนต์จะใช้รถยนต์เท่าที่จําเป็น หันไปใช้รถขนส่งสาธารณะมากขึ้น ทําให้ปัญหาการจราจรลดน้อยลง นอกจากนี้ควรมีการจัดการปรับปรุงทางเดินที่เหมาะสมสําหรับการเข้า-ออกสถานีรถไฟฟ้า BTS และ MRT เพื่อ ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางจากรถยนต์มาใช้รถไฟฟ้าได้ ซึ่งจะส่งผลให้การเดินทางและการขนส่งนั้นมีประสิทธิภาพและบรรลุผลมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า “การเดินทางและการขนส่งที่ยั่งยืน” เป็นการพัฒนาการจราจรและ ขนส่งที่หลีกเลี่ยงการทําลายสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศในระยะยาว และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ ให้น้อยที่สุด สามารถตอบสนองความต้องการได้ทั้ง 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไปพร้อม ๆ กัน ทั้งนี้เพราะการเดินทางและการขนส่งที่ยั่งยืนเป็นองค์ประกอบย่อยของการพัฒนาที่ยั่งยืนนั่นเอง

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ s/2566

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว
1. ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติจะมีผลต่อความสําเร็จของนโยบายมากในกรณีใด
(1) ทรัพยากรไม่เพียงพอ
(2) สังคมไม่สนับสนุนนโยบาย
(3) เวลาไม่เอื้ออํานวย
(4) วัตถุประสงค์ของนโยบายไม่ชัดเจน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติจะมีผลต่อความสําเร็จของนโยบายมากในกรณีวัตถุประสงค์ของนโยบายไม่ชัดเจน

2. ความเป็นไปได้ทางการเมืองของนโยบายขึ้นอยู่กับสิ่งใด
(1) อัตราส่วนของ ส.ส. ในสภา
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและข้าราชการ
(3) การสนับสนุนจากสาธารณชน
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 19, 74, (คําบรรยาย) ความเป็นไปได้ทางการเมืองของนโยบายขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
1. เสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อัตราส่วนของ ส.ส. ในสภา เป็นต้น
2. ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ (ข้าราชการ) และเอกชน
3. การสนับสนุนจากสาธารณชน

3.องค์การลักษณะใดมีโอกาสนํานโยบายไปปฏิบัติได้สําเร็จสูง
(1) องค์การแบบยึดกฎระเบียบ
(2) องค์การแบบกระจายอํานาจ
(3) องค์การแบบแนวดิ่ง
(4) องค์การแบบแนวราบ
(5) ขึ้นอยู่กับลักษณะของนโยบาย
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะขององค์การที่มีโอกาสนํานโยบายไปปฏิบัติได้สําเร็จสูงนั้นขึ้นอยู่กับ ลักษณะของนโยบายเป็นสําคัญ บางนโยบายอาจจะต้องใช้องค์การแบบยึดกฎระเบียบจึงจะสําเร็จ บางนโยบายอาจจะต้องใช้องค์การแบบกระจายอํานาจจึงจะสําเร็จ ดังนั้นการนํา นโยบายไปปฏิบัติจะสําเร็จหรือล้มเหลวจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์การแบบใดแบบหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะของนโยบายที่จะต้องมีความเหมาะสมกับองค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ

4. ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติหมายถึงอะไร
(1) วัฒนธรรม
(2) การจัดองค์การ
(3) ความรู้สึกต่อนโยบาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 78 ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
1. ความสามารถ ลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ
2. วัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ
3. ประสบการณ์
4. ความรู้สึกต่อนโยบาย

5.ข้าราชการเกียร์ว่าง เป็นปัญหาด้านใด
(1) ทรัพยากร
(2) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(3) ความถูกต้องทางทฤษฎี
(4) วัตถุประสงค์ของนโยบาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ข้าราชการเกียร์ว่าง เป็นปัญหาด้านความเป็นไปได้ทางการเมือง ซึ่งก็คือเรื่องของ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับข้าราชการ ทําให้ข้าราชการปฏิบัติตามนโยบายอย่างไม่เต็มที่ ซึ่งส่งผลให้การนํานโยบายไปปฏิบัติอาจไม่ประสบความสําเร็จ

6. ศรีธนนชัยนําข้าวของในบ้านไปทิ้งเพราะรู้สึกขี้เกียจ เมื่อแม่บอกให้ทําความสะอาดบ้านให้เตียนโล่ง
แสดงให้เห็นถึงปัญหาอะไร
(1) ความขัดแย้งในตัวเองของนโยบาย
(2) วัตถุประสงค์ของนโยบาย
(3) ทัศนคติของศรีธนนชัย
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การที่ศรีธนนชัยนําข้าวของในบ้านไปทิ้งเพราะรู้สึกขี้เกียจ เมื่อแม่บอกให้ ทําความสะอาดบ้านให้เตียนโล่งนั้น แสดงให้เห็นถึงปัญหาด้านทัศนคติของศรีธนนชัยและ วัตถุประสงค์ของนโยบายที่ไม่ชัดเจน ทําให้เกิดการตีความนโยบายหรือเข้าใจในนโยบาย ไม่ตรงกับที่ผู้กําหนดนโยบายกําหนดไว้

7. โรงเรียนยังคงเก็บค่าบํารุงกิจกรรม แม้มีนโยบายเรียนฟรี เป็นปัญหาด้านใด
(1) ทรัพยากร
(2) ตัวชี้วัด
(3) เป้าหมายของนโยบาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 19, 76, (คําบรรยาย) โรงเรียนยังคงเก็บค่าบํารุงกิจกรรม แม้มีนโยบายเรียนฟรี เป็นปัญหาด้านทรัพยากรซึ่งก็คือเรื่องของเงินทุนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งทรัพยากรนี้ถือเป็นปัจจัยสําคัญของการนํานโยบายไปปฏิบัติ หากทรัพยากรมีไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการปฏิบัติตามนโยบาย

8. มีการฉีดน้ำใส่เครื่องวัดละอองฝุ่น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาด้านใด
(1) เป้าหมายของนโยบาย
(2) ความถูกต้องทางทฤษฎี
(3) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(4) ตัวชี้วัด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การฉีดน้ําใส่เครื่องวัดละอองฝุ่น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาเรื่อง ตัวชี้วัด ดังนั้นการกําหนดตัวชี้วัดจะต้องครอบคลุมและรัดกุม จึงจะทําให้นํานโยบายไปปฏิบัติ
เป็นไปตามเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้

9.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของแผน
(1) ข้อเสนอกว้าง ๆ เพื่อปัจจุบัน
(2) มีการปฏิบัติ
(3) เกี่ยวข้องกับบุคคลและองค์การ
(4) มีการแก้ปัญหา
(5) มีมาตรฐานและถือหลักประหยัด
ตอบ 1 หน้า 21, 81 ลักษณะทั่วไปของแผน มีดังนี้
1. ความเป็นอนาคต (Future Oriented)
2. มีการปฏิบัติ (Action Oriented)
3. เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือองค์การ (Organization Oriented)
4. มีการแก้ปัญหาหรือข้อขัดแย้ง (Problem Solving Oriented)
5. มีมาตรฐาน (Standardized Oriented)
6. ถือหลักประหยัด (Economical Oriented)

10. การวางแผนต้องการจัดเตรียมสิ่งใดเพื่ออนาคต
(1) ปัญหา
(2) แนวทางการปฏิบัติ
(3) ข้อจํากัด
(4) กิจกรรม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 25, (คําบรรยาย) การวางแผน (Planning) เป็นการเสนอแนะแนวทางในการทํางาน หรือแนวทางการปฏิบัติ โดยการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่จะเสนอข้อเสนอแนะในการทํางาน
ในอนาคตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้วยวิธีที่ดีที่สุด และถือว่ากระบวนการวางแผนเป็นเรื่องที่ต้อง ใช้เหตุผลและต้องใช้ความคิดเชิงประยุกต์อย่างมาก

11. ข้อใดคือลักษณะของแผนที่ดี
(1) มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
(2) ยืดหยุ่นได้
(3) ปฏิบัติได้จริง
(4) มีความต่อเนื่อง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 21 – 22, 81 ลักษณะของแผนที่ดี มีดังนี้
1. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน (Clear Objective)
2. ยืดหยุ่นได้ (Flexible)
3. ปฏิบัติได้จริง (Applicable)
4. มีความต่อเนื่อง (Continuous)

ตั้งแต่ข้อ 12. – 14. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ป้องกัน
(2) แก้ไข
(3) พัฒนา
(4) การรบ
(5) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3

12. ข้อใดเป็นการวางแผนเชิงรุก
ตอบ 5 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาของแผน อาจจําแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. ปัญหาแก้ไข คือ ปัญหาที่ปรากฏผลเสียหายให้เห็นอยู่แล้ว จึงต้องรีบวางแผนหาทางแก้ไข ปัญหาชนิดนี้แก้ไขได้ง่ายที่สุดและมักทําให้เกิดแผนเร่งด่วนซึ่งนับเป็นแผนเชิงรับ
2. ปัญหาป้องกัน คือ ปัญหาที่ยังไม่ปรากฏผลเสียหายขึ้นในขณะวางแผน แต่สามารถรู้ได้ว่า หากไม่รีบวางแผนแก้ไขก็จะปรากฏผลเสียหายในอนาคตได้ ซึ่งปัญหาชนิดนี้มักทําให้เกิดแผนเชิงรุก
3. ปัญหาพัฒนา คือ ปัญหาที่ไม่ปรากฏผลเสียหายทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่ต้องมี การวางแผนเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งนักวางแผนต้องใช้ความสามารถ ในการมองการณ์ไกลมากเป็นพิเศษ ปัญหาชนิดนี้จึงมักทําให้เกิดแผนเชิงรุก

13.ข้อใดเป็นการวางแผนเชิงรับ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

14. ปัญหาข้อใดแก้ไขได้ง่ายที่สุด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

15. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการวางแผน
(1) ควรเป็นงานของผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น
(2) ควรเป็นงานระดับกลุ่ม
(3) ควรเป็นงานของผู้ที่จะต้องนําแผนไปดําเนินการ
(4) เป็นการคาดคะเนอนาคต
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 26, 84 – 85 สิ่งที่ต้องเข้าใจสําหรับการวางแผน มีดังนี้
1. ควรเป็นงานของผู้ชํานาญการ
2. ควรเป็นงานของผู้ที่จะต้องนําแผนไปดําเนินการ
3. ควรเป็นงานระดับกลุ่ม
4. องค์การต้องมีโครงสร้างเหมาะสมให้เกิดการวางแผน
5. เป็นการคาดคะเนอนาคต การคัดเลือกภารกิจ วัตถุประสงค์ และแนวทางกลยุทธ์
6. ต้องจูงใจให้ผู้จัดการวางแผนเห็นความสําคัญ
7. ความถูกต้องของการวางแผนต้องตั้งอยู่บนความถูกต้องเพียงพอของฐานข้อมูล ฯลฯ

16. ข้อใดเป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงในการวางแผน
(1) จัดโครงสร้างเหมาะสมต่อการวางแผน
(2) จูงใจให้ผู้จัดการวางแผนเห็นความสําคัญ
(3) กําหนดแผนงานหลัก
(4) คัดเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 26, (คําบรรยาย) หน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงในการวางแผน มีดังนี้
1. การพัฒนาวัฒนธรรมกลยุทธ์ในองค์การ
2. การคัดเลือกทางเลือกกลยุทธ์สุดท้าย
3. การกําหนดแผนงานหลัก
4. การจัดโครงสร้างให้เหมาะสมต่อการวางแผน
5. การจูงใจให้ผู้จัดการวางแผนเห็นความสําคัญของการกําหนดกลยุทธ์การวางแผน ฯลฯ

17. ข้อใดสําคัญที่สุดต่อความถูกต้องของการวางแผน
(1) เวลา
(2) งบประมาณ
(3) ข้อมูล
(4) การจูงใจ
(5) องค์การ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 15. ประกอบ

18. ข้อใดเป็นทักษะของนักวางแผนที่ดี
(1) มีจินตนาการที่กว้างไกล
(2) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
(3) มีความรู้ในหลายสาขา
(4) มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 27, 35, (คําบรรยาย) การวางแผนเป็นการใช้สติปัญญาเพื่อกําหนดแนวทางสําหรับ การดําเนินงานขององค์การในอนาคต ดังนั้นนักวางแผนที่ดีจะต้องอาศัยทักษะหลาย ๆ ด้าน ประกอบกัน เช่น ต้องใช้ทั้งจินตนาการที่กว้างไกล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดี ต้องมีความรู้ ในหลักวิชาการหลาย ๆ สาขาหรือนําหลักสหวิทยาการมาใช้ ต้องรู้จักใช้เทคนิค ทฤษฎี การพยากรณ์ให้เหมาะสม เป็นต้น จึงจะช่วยให้การวางแผนสมบูรณ์ได้มากขึ้น

19. การวางแผนโดยปกติเป็นหน้าที่ของใคร
(1) นักบริหารระดับสูง
(2) นักบริหารระดับกลาง
(3) นักบริหารระดับล่าง
(4) ประชาชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 27, 35, (คําบรรยาย) นักวางแผน (Planner) หมายถึง บุคคลหรือคณะบุคคลซึ่งได้รับ มอบหมายให้มีหน้าที่วางแผนเพื่อสร้างสรรค์แผนงานตามแนวทางที่องค์การต้องการ โดยปกติ หน้าที่ในการวางแผนในระดับองค์การนั้นจะถือเป็นหน้าที่ของนักบริหารระดับกลาง (Middle Level Administrator)

20. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับโครงการ
(1) มีความยืดหยุ่นมากกว่าแผน
(2) มุ่งหมายให้เกิดผลิตผล
(3) เป็นหน่วยเล็กที่สุดในกระบวนการ
(4) ระบุวิธี เวลา และสถานที่
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 36, 88 – 89, (คําบรรยาย) โครงการมีความแตกต่างจากแผน ดังนี้
1. โครงการไม่มีความยืดหยุ่นอย่างแผน เพราะโครงการมีการระบุวิธี เวลา และสถานที่อย่างเจาะจงและชัดเจน
2. โครงการมีความมุ่งหมายให้เกิดผลิตผลมากกว่าแผน
3. โครงการเป็นหน่วยเล็กที่สุดในโครงสร้าง

21. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับกระบวนการวางโครงการ
(1) ใช้หลักการวางแผนทั่วไป
(2) ต้องสัมพันธ์กับโครงการอื่นเสมอ
(3) มีเป้าหมายกว้าง ๆ
(4) ระบุรายละเอียดในการปฏิบัติ
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 36 – 39, (คําบรรยาย) กระบวนการวางโครงการ (Program Planning Processes) เป็นขั้นตอนการก่อตัวของโครงการ ซึ่งโดยทั่วไปมีแนวคิดและขั้นตอนที่สําคัญ ดังนี้
1. ใช้หลักการวางแผนทั่วไป
2. โครงการทั้งหลายจะต้องสัมพันธ์กับโครงการอื่นเสมอ
3. การวางโครงการต้องมีรายละเอียดซึ่งสามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมได้เพื่อฝ่ายปฏิบัติและฝ่ายติดตามประเมินผลจะได้ปฏิบัติตามได้โดยสะดวก
4. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการต้องมีความชัดเจนและกระทัดรัด ตอบสนองปัญหาและความต้องการได้ และปฏิบัติได้จริง ฯลฯ

22. ข้อใดคือลักษณะของโครงการที่ดี
(1) มีความเป็นอุดมคติ
(2) มีความยืดหยุ่น
(3) มีความเจาะจง
(4) มีความเป็นนามธรรม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 20. และ 21. ประกอบ

23. รายละเอียดของโครงการต้องประกอบด้วยอะไร
(1) ใคร
(2) ทําอะไร
(3) ที่ไหน
(4) อย่างไร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) โครงการเป็นการมุ่งดําเนินกิจกรรมเพื่อให้เกิดผลิตผลตามแนวทางที่แผนวางไว้ดังนั้นรายละเอียดของโครงการจึงต้องมีความเจาะจง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจและสามารถปฏิบัติ ตามได้ รายละเอียดของโครงการจึงต้องประกอบไปด้วย ใคร ทําอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

ตั้งแต่ข้อ 24 – 27. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การศึกษาว่าโครงการมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติหรือไม่
(2) การก่อตัวของโครงการ
(3) การดําเนินงานเพื่อให้เกิดผลตามต้องการ
(4) การตรวจสอบผลการดําเนินโครงการที่ผ่านไปแล้ว
(5) การปรับปรุงและพัฒนาความสามารถในการดําเนินงาน

24. การวางโครงการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

25. การวิเคราะห์โครงการ
ตอบ 1 หน้า 39, 91 การวิเคราะห์และประเมินโครงการ (Program Analysis and Appraisal) มีความหมาย 2 ลักษณะ คือ
1. การศึกษาว่าโครงการมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติหรือไม่
2. การจําแนกแยกแยะ “ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น” หากมีการนําโครงการไปปฏิบัติจริงว่าสมควรแก่การดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่

26. การประเมินผลโครงการ
ตอบ 4 หน้า 45, (คําบรรยาย) การประเมินผลโครงการ หมายถึง การตรวจสอบผลการดําเนิน โครงการที่ผ่านไปแล้ว โดยการเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจริง (Exact Results) จากการ ดําเนินการกับผลที่คาดว่าจะได้รับ (Expected Results) จากโครงการ หรือหมายถึง การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับเป้าหมายหลังสิ้นสุดการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่ ดังนั้นการประเมินผลโครงการจึงทําให้ทราบว่าโครงการที่ได้ดําเนินการไปแล้วนั้นประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงไร

27. การนําโครงการไปปฏิบัติ
ตอบ 3 หน้า 42, 94 การนําโครงการไปปฏิบัติ (Program Implementation) มีความหมายดังนี้
1. การจัดเตรียม จัดหา วิธีการต่าง ๆ ที่จะดําเนินการให้สิ่งที่ต้องการเกิดผลขึ้นมา ซึ่งรวมถึง ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะปรับปรุง และพัฒนาความสามารถที่จะดําเนินงานตามโครงการ
2. การดําเนินงานเพื่อให้เกิดผลตามต้องการซึ่งอาจเป็นความพยายามเฉพาะเรื่องในการทําให้การตัดสินใจขององค์การเป็นไปตามแผนหรือนโยบาย

28. ข้อใดไม่ใช่ภารกิจที่สําคัญในการวิเคราะห์และประเมินโครงการ
(1) การวิเคราะห์ด้านการบริหาร
(2) การวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ
(3) การวิเคราะห์ด้านการเมือง
(4) การวิเคราะห์ด้านสังคม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 40 – 42, (คําบรรยาย) ภารกิจที่สําคัญในการวิเคราะห์และประเมินโครงการ มีดังนี้
1. การวิเคราะห์ด้านการเงิน
2. การวิเคราะห์ด้านการบริหาร
3. การวิเคราะห์ทางเทคนิค
4. การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของวิชาการ
5. การวิเคราะห์ด้านสังคม
6. การวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ
7. การการวิเคราะห์ด้านการตลาด

29. การควบคุมโครงการครอบคลุมถึงอะไร
(1) เวลา
(2) ค่าใช้จ่าย
(3) คุณภาพ
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 44, (คําบรรยาย) การควบคุมโครงการโดยทั่วไปมักจะกระทําใน 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control) คือ ควบคุมให้เสร็จตรงตามเวลาที่ได้วางโครงการไว้ โดยใช้เทคนิค PERT
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control) เป็นการควบคุมรายจ่ายของโครงการให้อยู่ใน กรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยใช้เทคนิค PPBS
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control) เป็นการควบคุมให้เกิดผลงาน ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด เทคนิคที่ใช้อาจกระทําได้ โดยการกําหนดมาตรฐาน (Standard) ของงาน

30. การวิเคราะห์ทางด้านการบริหารโครงการคืออะไร
(1) วิเคราะห์ความคุ้มทุน
(2) วิเคราะห์ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์
(3) วิเคราะห์เศรษฐกิจ
(4) วิเคราะห์ความเหมาะสมกับสภาพสังคม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 41, 92 การวิเคราะห์ทางด้านการบริหารโครงการ คือ การวิเคราะห์ความสามารถในการนําทรัพยากรที่มีอยู่จํากัดมาผสมผสานกันอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ที่ต้องการ ดังนั้นการวิเคราะห์ทางด้านการบริหารจึงต้องวิเคราะห์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ตัวผู้บริหาร
2. ลักษณะการจัดหน่วยงาน
3. ระเบียบวิธี และกระบวนการในการปฏิบัติงาน
4. พฤติกรรมการบริหาร

31. การวิเคราะห์ทางด้านการบริหารโครงการไม่ได้วิเคราะห์อะไร
(1) ตัวผู้บริหาร
(2) ลักษณะการจัดหน่วยงาน
(3) กระบวนการในการปฏิบัติ
(4) สังคมในภาพรวม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

32. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
(1) มักใช้ในกรณีที่มีเวลาและทรัพยากรมาก
(2) มักประเมินสภาพแวดล้อม
(3) มักประเมินด้านเทคนิค
(4) มักประเมินด้านการบริหาร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 42, 93 การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) เป็นการศึกษา โอกาสสําเร็จของโครงการ เพื่อตัดสินใจว่าจะดําเนินโครงการหรือไม่ การศึกษาความเป็นไปได้ ของโครงการนี้มักใช้ในกรณีที่เป็นโครงการเร่งด่วน มีเวลาประเมินจํากัด โดยมักจะประเมินเพียง ตัวแปรหลัก ๆ ดังนี้
1. ประเมินด้านการบริหาร
2. ประเมินด้านความคุ้มทุนของโครงการ
3. ประเมินด้านเทคนิคของโครงการ .
4. ประเมินด้านสภาพแวดล้อมของโครงการ

33. เมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติงานโครงการแล้วต้องทําสิ่งใด
(1) บํารุงขวัญผู้ร่วมงาน
(2) ส่งรายงาน
(3) เก็บหลักฐาน
(4) ส่งคืนสิ่งต่าง ๆ ที่จําเป็น
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 45 การสิ้นสุดการปฏิบัติงาน เมื่อใกล้จะเสร็จสิ้นขั้นตอนการปฏิบัติ ผู้รับผิดชอบโครงการ ต้องบํารุงขวัญผู้ร่วมงานแต่เนิ่น ๆ เมื่อที่จะลดปริมาณคนทํางานลงตามงานที่เริ่มลดน้อยลง นอกจากนี้ยังจะต้องเตรียมการปิดโครงการ หรืองาน “เก็บกวาด” เช่น ส่งรายงานครั้งสุดท้าย เก็บหลักฐานข้อมูลต่าง ๆ ที่จําเป็น ส่งคืนสิ่งต่าง ๆ เช่น เครื่องมือ บุคลากร สถานที่ เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 34 – 36. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ผลโดยตรง
(2) ผลโดยอ้อม
(3) ผลทางกายภาพ
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ

34. ผลที่เกิดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ตอบ 1 หน้า 45, (คําบรรยาย) ผลที่เกิดขึ้นจริงจากโครงการ (Exact Results) หมายถึง ผลที่เกิดขึ้น จากการนําโครงการไปปฏิบัติ ซึ่งจําแนกอย่างกว้าง ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
1. ผลโดยตรง (Direct Results) คือ ผลที่เกิดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
2. ผลโดยอ้อม (Indirect Results) คือ ผลพลอยได้จากวัตถุประสงค์ของโครงการ

35. ผลพลอยได้จากวัตถุประสงค์ของโครงการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

36. ผลที่มักจะได้จากการประเมินโครงการทันทีหลังเสร็จสิ้น
ตอบ 4 หน้า 46, 99 การประเมินผลโครงการทันทีหลังเสร็จสิ้น มักเป็นการประเมินผลโดยตรง (Direct Results) ของโครงการและมีลักษณะผลทางกายภาพ (Physical Results) เป็นส่วนใหญ่ เช่น เมื่อสร้างถนนเสร็จจะวัดความยาว ความแข็งแรงของถนนได้ทันที เป็นต้น

37. การประเมินผลโครงการมีประโยชน์อย่างไร
(1) ทราบว่าโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
(2) ทราบสาเหตุที่ทําให้โครงการสําเร็จ
(3) ทราบสาเหตุที่ทําให้โครงการล้มเหลว
(4) เป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในอนาคต
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 50, 101, (คําบรรยาย) การประเมินผลโครงการมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทําให้ทราบว่าการดําเนินโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
2. ทําให้ทราบสาเหตุที่ทําให้โครงการประสบความสําเร็จหรือล้มเหลว
3. เป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในอนาคต

38. การประเมินผลโครงการทําเมื่อใด
(1) ก่อนวางโครงการ
(2) ขณะดําเนินโครงการ
(3) เมื่อโครงการสําเร็จแล้ว
(4) เมื่อถึงปีงบประมาณ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 46, 98 – 99, (คําบรรยาย) การประเมินผลโครงการตามลักษณะเวลาในการประเมินผลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การประเมินผลก่อนวางโครงการ (Intrinsic/Ext-ante Evaluation)
2. การประเมินผลเมื่อมีการปฏิบัติแล้ว (Pay-off Evaluation) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การประเมินผลขณะดําเนินโครงการ และการประเมินผลเมื่อโครงการสําเร็จแล้ว

ตั้งแต่ข้อ 39 – 43. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การประเมินทรัพยากรที่ใช้ไป
(2) การประเมินผลผลิตที่ได้
(3) การประเมินประสิทธิภาพ
(4) การประเมินประสิทธิผล
(5) การประเมินกระบวนการ

39. แยกแยะสาเหตุของความสําเร็จหรือล้มเหลวของโครงการ
ตอบ 5 หน้า 47, 99, (คําบรรยาย) Suchman ได้แบ่งประเภทของการประเมินผลโครงการ ออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1. Effort Evaluation เป็นการประเมิน Input หรือทรัพยากรที่ใช้ไปในโครงการ เช่น คน เงิน วัสดุ อุปกรณ์ เวลา เป็นต้น
2. Performance Evaluation เป็นการประเมิน Output หรือผลผลิตที่ได้ของโครงการ
3. Adequacy of Performance เป็นการประเมินประสิทธิผลของโครงการ โดยการ เปรียบเทียบเป้าหมายกับผลที่ได้ของโครงการ
4. Efficiency Evaluation เป็นการประเมินประสิทธิภาพของโครงการ โดยดูอัตราส่วน ระหว่าง Input : Output ซึ่งอาจออกมาในรูป Benefit Cost Ratio เป็นต้น
5. Process Evaluation เป็นการประเมินกระบวนการปฏิบัติงานของโครงการ เพื่อแยกแยะให้เห็นสาเหตุของความสําเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการ

40.ประเมิน Input ของโครงการ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. ประเมิน Output ของโครงการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

42. เปรียบเทียบเป้าหมายและผลที่ได้ของโครงการ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

43. ประเมินอัตราส่วน Input : Output ของโครงการ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

44.คน วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ไปในโครงการ คืออะไร
(1) Input
(2) Output
(3) Outcome
(4) ผลกระทบข้างเคียง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

45. ตัวบ่งชี้ความสําเร็จในการดําเนินงาน คืออะไร
(1) ผลผลิต
(2) ความนิยม
(3) ตัวชี้วัด
(4) กลุ่มเป้าหมาย
(5) ต้นทุน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ตัวชี้วัด คือ ตัวบ่งชี้ความสําเร็จในการดําเนินงาน ซึ่งคุณสมบัติของตัวชี้วัดที่ดีมีดังนี้
1. Validity คือ สมเหตุสมผล อธิบายได้
2. Availability คือ ความมีอยู่ของข้อมูล
3. Reliability คือ ความเชื่อถือได้
4. Sensitivity คือ ความไวต่อการเปลี่ยนแปลง

ตั้งแต่ข้อ 46. – 50. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) จํานวนผู้มาใช้สิทธิในการรับบริการ
(2) งบประมาณที่รัฐบาลใช้ไปในโครงการ
(3) ความเสมอภาคในการได้รับบริการทางสาธารณสุขของคนไทย
(4) ความยากจนและความเหลื่อมล้ําของรายได้ในประเทศไทย
(5) อัตราการลาออกของบุคลากรทางการแพทย์ที่สูงขึ้น

46. ข้อใดเป็น Input ของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ตัวอย่างการวิเคราะห์โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
1. สภาพปัญหาที่ทําให้เกิดการก่อตัวขึ้นของโครงการ ได้แก่ ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทย
2. Input ของโครงการ ได้แก่ งบประมาณที่รัฐบาลใช้ไปในโครงการ
3. Output ของโครงการ ได้แก่ จํานวนผู้มาใช้สิทธิในการรับบริการ
4. ประสิทธิผลของโครงการ ได้แก่ ความเสมอภาคในการได้รับบริการทางสาธารณสุขของคนไทย
5. ผลกระทบข้างเคียงของโครงการ ได้แก่ อัตราการลาออกของบุคลากรทางการแพทย์ที่สูงขึ้น

47. ข้อใดเป็น Output ของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ

48. ข้อใดเป็นผลกระทบข้างเคียงของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ

49. ข้อใดเป็นประสิทธิผลของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ

50. ข้อใดเป็นสภาพปัญหาที่ทําให้เกิดการก่อตัวขึ้นของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 51. – 57. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) แผน
(2) นโยบาย
(3) โครงการ
(4) กลยุทธ์
(5) Job

51. สิ่งที่รัฐเลือกจะกระทําหรือไม่กระทํา
ตอบ 2 หน้า 1 Thomas R. Dye กล่าวว่า นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว
หรือกิจกรรมที่รัฐบาลเลือกจะกระทําหรือไม่กระทํา และเกี่ยวข้องกับเหตุผลว่าทําไมจึงเลือกเช่นนั้น

52. วิถีทางของการดําเนินการซึ่งได้กําหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
ตอบ 1 หน้า 21 Le Breton กล่าวว่า แผน คือ วิถีทางของการดําเนินการซึ่งได้กําหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
(Plan is a predetermined course of action)

53. รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรม
ตอบ 3 หน้า 36, 38 สหประชาชาติ (UN) ได้นิยามความหมายของโครงการว่าหมายถึง รูปแบบ อันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ซึ่งได้มีการจัดเตรียมไว้แล้ว โดยมีวัตถุประสงค์ ที่เจาะจง มีการจํากัดในด้านสถานที่และเวลา

54. ข้อเสนอกว้าง ๆ ไม่เจาะจง
ตอบ 2 หน้า 1, 60, (คําบรรยาย) ลักษณะทั่วไปของนโยบาย มีดังนี้
1. เป็นข้อเสนอหรือแนวทางกว้าง ๆ ในการปฏิบัติงาน คือ ไม่เจาะจงและยืดหยุ่นสูง
2. มีจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจเป็นวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดที่สําคัญมาก ๆ เช่น เป็นประโยชน์ขององค์การ เป็นต้น
3. เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติ คือ นโยบายจะเป็นเครื่องชี้นําให้มีการปฏิบัติตาม นโยบาย ต้องเสนอแนะแนวทางที่สามารถปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ด้วย

55. มีความชัดเจนในด้านวิธีการ เวลา สถานที่
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

56. การกระทําที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
ตอบ 1 หน้า 25 Jose Villamit กล่าวว่า การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด

57. เป็นหน้าที่ของนักบริหารระดับกลาง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

58. ข้อใดมีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดนโยบายสาธารณะตามกฎหมาย
(1) รัฐบาล
(2) กลุ่มผลประโยชน์
(3) พรรคการเมือง
(4) ศาลยุติธรรม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 54, (คําบรรยาย) รัฐบาลมีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดนโยบายสาธารณะตามกฎหมายส่วนระบบราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ในการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนดไว้

59. ข้อใดถือว่าเป็นนโยบายสาธารณะ
(1) นโยบายการจ้างพนักงานของบริษัทซีพี
(2) นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย
(3) เจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริตของนายกรัฐมนตรี
(4) ทุกข้อเป็นนโยบายสาธารณะ
(5) ทุกข้อไม่ใช่นโยบายสาธารณะ

ตอบ 5 หน้า 59 ลักษณะของนโยบายสาธารณะ (Public Policy) มีดังนี้
1. เป็นกิจกรรมที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา ไม่ใช่การแสดงเจตนารมณ์
2. เป็นชุดของการกระทําที่มีแบบแผน ระบบและกระบวนการอย่างชัดเจน มีความสม่ําเสมอ และต่อเนื่อง
3. มีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะ

60. ลักษณะทั่วไปของนโยบายข้อใดกล่าวผิด
(1) ไม่เจาะจง และยืดหยุ่นได้มาก
(2) มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่สําคัญ
(3) เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติ
(4) เป็นวิธีปฏิบัติที่กําหนดไว้ล่วงหน้า
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

61. ข้อใดไม่ใช่รูปร่างของนโยบาย
(1) กฎหมาย
(2) แผน
(3) โครงการ
(4) พระราชบัญญัติ
(5) คําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาขึ้นไป
ตอบ 5 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

62. กระบวนการของนโยบายเรียงลําดับได้อย่างไร
(1) กําหนด วิเคราะห์ ปฏิบัติ ประเมิน
(2) วิเคราะห์ กําหนด ปฏิบัติ ประเมิน
(3) ประเมิน วิเคราะห์ กําหนด ปฏิบัติ
(4) กําหนด ปฏิบัติ วิเคราะห์ ประเมิน
(5) กําหนด วิเคราะห์ ประเมิน ปฏิบัติ
ตอบ 1 หน้า 3 กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) ประกอบด้วยขั้นตอนที่สําคัญ ดังนี้
1. การกําหนดนโยบาย (Policy Formulation)
2. การวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
3. การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation)
4. การติดตามประเมินผลการปฏิบัตินโยบาย (Policy Evaluation)

63. ใครมีบทบาทมากที่สุดในการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ
(1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(2) สมาชิกวุฒิสภา
(3) ระบบราชการ
(4) กลุ่มทุน
(5) ประชาชน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 64 – 70. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ตัวแบบผู้นํา
(2) ตัวแบบกลุ่ม
(3) ตัวแบบสถาบัน
(4) ตัวแบบระบบ
(5) ตัวแบบเกม

64. หน่วยงานของรัฐและประชาชนมีบทบาทในการกําหนดนโยบายน้อย
ตอบ 1 หน้า 3 – 4, 66, (คําบรรยาย) ตัวแบบผู้นํา (Elite Model) เชื่อว่า
1. กลุ่มผู้นํา (นายกรัฐมนตรี) มีบทบาทในการกําหนดนโยบายมาก ในขณะที่หน่วยงานของรัฐและประชาชนมีบทบาทในการกําหนดนโยบายน้อย
2. นโยบายสาธารณะเป็นการสะท้อนค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา จึงมักไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
3. สถานการณ์ที่จะเกิดนโยบายตามตัวแบบนี้ต้องเป็นสถานการณ์ที่ผู้นํามีอํานาจสูงมาก ในทางการเมืองหรือทางสังคม เช่น ในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร ฯลฯ

65. นายกรัฐมนตรีมีบทบาทมากในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

66. นโยบายมักไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

67. หน้าที่ของรัฐคือการเป็นเหมือนกับกรรมการ
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 66 – 67, (คําบรรยาย) ตัวแบบกลุ่ม (Group Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ คือจุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ หรือเป็นผลผลิตที่เกิดจากดุลยภาพของ การแข่งขันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ อ้านาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ ดังนั้นรัฐหรือระบบการเมืองจึงมีหน้าที่ 4 ประการ ได้แก่
1. สร้างกติกาการแข่งขันและเป็นกรรมการหรือผู้ควบคุมการแข่งขันให้เกิดความ ยุติธรรม
2. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอม เพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
3. จัดสรรผลประโยชน์หรือกําหนดนโยบาย
4. นํานโยบายไปปฏิบัติ

68. นโยบาย คือ จุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ

69. ระบบการเมืองทําหน้าที่ภายใต้แรงกดดันของระบบอื่น ๆ
ตอบ 4 หน้า 6, 67 ตัวแบบระบบ (System Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลของปฏิกิริยา ที่ระบบการเมืองมีต่อแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมภายนอก หรือกล่าวอีกนัย ระบบการเมือง ทําหน้าที่กําหนดนโยบายสาธารณะภายใต้แรงกดดันของระบบอื่น ๆ ที่มิใช่ระบบการเมืองหรือ เรียกว่าสภาพแวดล้อมภายนอก ดังนั้นตัวระบบการเมืองจะทําหน้าที่เป็นตัวกระทําของระบบ (Conversion Process) ขณะที่สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ข้อเรียกร้องความต้องการ หรือ การสนับสนุนของประชาชนจะเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบ (Inputs) และนโยบายสาธารณะ จะเป็นปัจจัยนําออกของระบบ (Outputs) ซึ่งถูกส่งออกสู่สภาพแวดล้อมภายนอกและกลายเป็น ปัจจัยนําเข้าสู่ระบบการเมืองเป็นวงจร ดังนั้นสภาพแวดล้อมภายนอกและระบบการเมืองจึงเป็นปัจจัยสําคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของนโยบายสาธารณะ

70. สภาพแวดล้อม คือ ปัจจัยที่จะส่งผลต่อนโยบายสาธารณะ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

71. ปัจจัยใดส่งผลต่อนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบผู้นํา
(1) คุณสมบัติของผู้นํา
(2) เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
(3) ค่านิยมและผลประโยชน์ของประชาชน
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 4, 66 ปัจจัยที่ส่งผลต่อนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบผู้นํา (Elite Model) ได้แก่
1. ค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา
2. เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
3. คุณสมบัติของผู้นํา

72. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของกลไกรัฐในตัวแบบกลุ่ม
(1) สร้างกติกา
(2) ริเริ่มนโยบาย
(3) หาลู่ทางประนีประนอม
(4) จัดสรรผลประโยชน์
(5) นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ

73. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบกลุ่ม
(1) การประนีประนอม
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม
(3) ดุลยภาพของผลประโยชน์
(4) เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 4 – 5, 66 – 67 ปัจจัยที่ส่งผลต่อนโยบายสาธารณะที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบกลุ่ม (Group Model) ได้แก่
1. จุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ
3. ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม ฯลฯ
2. การประนีประนอม

74. ปัจจัยใดส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่ม
(1) จํานวนสมาชิก
(2) ฐานะทางเศรษฐกิจ
(3) ลักษณะของผู้นํากลุ่ม
(4) ความสามัคคีของกลุ่ม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่ม มีดังนี้
1. จํานวนสมาชิกของกลุ่ม
2. ฐานะทางเศรษฐกิจของกลุ่ม
3. ความเข้มแข็งในการจัดองค์การของกลุ่ม
4. ลักษณะของผู้นํากลุ่ม
5. ความใกล้ชิดกับผู้มีอํานาจในการกําหนดนโยบายของกลุ่มหรืออยู่ใกล้ศูนย์กลางของอํานาจ
6. ความสามัคคีของกลุ่ม

75. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ประชาชน
(2) หน่วยงานของรัฐ
(3) นายทุน
(4) ภูมิภาค
(5) พรรคการเมือง
ตอบ 2 หน้า 5, (คําบรรยาย) ตัวแบบสถาบัน (Institution Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตามจะได้ชื่อว่าเป็น นโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไป ตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบัน การปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ (หน่วยงานของรัฐ) สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

76. ปัจจัยนําเข้าในตัวแบบระบบคือข้อใด
(1) นโยบายสาธารณะ
(3) การสนับสนุนของประชาชน
(2) ข้อเรียกร้องของประชาชน
(4) สภาพแวดล้อม
(5) ถูกทั้งข้อ 2, 3 และ 4
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

77. ปัจจัยนําออกในตัวแบบระบบคือข้อใด
(1) นโยบายสาธารณะ
(2) ข้อเรียกร้องของประชาชน
(3) การสนับสนุนของประชาชน
(4) สภาพแวดล้อม
(5) ถูกทั้งข้อ 2, 3 และ 4
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

78. สิ่งแวดล้อมแบบใดควบคุมไม่ได้
(1) จํานวนคน
(2) ค่านิยม
(3) เทคโนโลยี
(4) ลักษณะทางภูมิศาสตร์
(5) งบประมาณ
ตอบ 2 หน้า 12, (คําบรรยาย) สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย งบประมาณ/เงิน การจัดการ สถานที่ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

79. สิ่งแวดล้อมแบบใดควบคุมได้
(1) เงิน
(2) จํานวนคน
(3) การจัดการ
(4) สถานที่
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80. ศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริง หรือข้อมูลภาคสนามเพื่อจะทราบปัญหา คือขั้นตอนใดในการกําหนดนโยบาย
(1) การระบุปัญหา
(2) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย
(3) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(4) ออกแบบทางเลือกนโยบาย
(5) การตัดสินใจทางเลือก
ตอบ 1 หน้า 12, (คําบรรยาย) การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหาหรือความจริงของปัญหา คืออะไร โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูลทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใด เร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นการระบุปัญหาจึงเป็นขั้นตอน ที่มีความสําคัญที่สุดในกระบวนการกําหนดนโยบาย เพราะการระบุปัญหาที่ถูกต้องจะนําไปสู่ การกําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป

81. ขั้นตอนใดมีความสําคัญที่สุดในกระบวนการนโยบาย
(1) การระบุปัญหาที่ถูกต้อง
(2) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบายที่รัดกุม
(3) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบายอย่างครบถ้วน
(4) ออกแบบทางเลือกนโยบายที่หลากหลาย
(5) การตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

82. ข้อมูลประเภทใดที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
(1) ข้อมูลทุกประเภท
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(4) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการเดิม
ตอบ 4 หน้า 11 การระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบายต้องอาศัย “ข้อมูล”เป็นสําคัญ โดยข้อมูลในการระบุสาเหตุของปัญหาต้องประกอบด้วย
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

83. ข้อใดคือปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน
(1) การสร้างที่ทําการขององค์การ
(2) ความยากจนในสังคมไทย
(3) ความแตกต่างทางความคิดเห็น
(4) การแพร่ระบาดของโควิด-19
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 10, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน (Well-Structured Problem) คือ ปัญหา ที่มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนน้อย และมีทางออกในการแก้ไขปัญหาเพียงไม่กี่ทางเลือก ซึ่งแต่ละทางเลือก สามารถมองเห็นผลประโยชน์ของทางเลือกได้ชัดเจนไม่เป็นที่ถกเถียงได้แต่อย่างใด เช่น ปัญหา
ในการจัดสร้างที่ทําการขององค์การ ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องคือผู้ที่อยู่ในองค์การนั้น ทางออกคือสร้าง หรือไม่สร้าง และประโยชน์จากการสร้างคือได้ที่ทําการใหม่ เป็นต้น ดังนั้นในการวางแผน ที่ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจนจึงสามารถคาดผลที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

84. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการระบุปัญหา
(1) สาเหตุของปัญหา
(2) อาการของปัญหา
(3) การประเมินผลนโยบาย
(4) ความเร่งด่วน
(5) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ตอบ 3 หน้า 11, 70 ขั้นตอนการระบุปัญหา ประกอบด้วย
1. การระบุสาเหตุของปัญหา เป็นการระบุต้นตอของปัญหา เพราะการแก้ปัญหาใด ๆ นั้นต้อง รู้ถึงต้นตอของปัญหาจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้หมดสิ้น ทั้งนี้การระบุสาเหตุของปัญหา ต้องอาศัย “ข้อมูล” เป็นสําคัญ
2. การระบุอาการของปัญหา เป็นการนิยามหรืออธิบายว่าอะไรคือปัญหา ผลกระทบของปัญหา คืออะไร ใครคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และปัญหามีความรุนแรงหรือเร่งด่วนเพียงไร

85. อะไรคือสิ่งสําคัญในขั้นตอนการระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบาย
(1) เป้าหมาย
(2) วัตถุประสงค์
(3) การนําไปปฏิบัติ
(4) ข้อมูล
(5) การประเมินผล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 82. และ 34. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 86 – 88. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
(2) มีความเป็นพลวัต
(3) มีความเป็นปรนัย
(4) อาจไม่มีตัวตนที่แท้จริง
(5) กล่าวถูกทุกข้อ

86. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับลักษณะของปัญหาในกระบวนการนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 3 – 9, 69 ลักษณะของปัญหาในกระบวนการนโยบายมี 4 ลักษณะ ดังนี้
1. มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน (Integration)
2. มีความเป็นพลวัต (Dynamic)
3. มีความเป็นอัตนัย (Subjective)
4. อาจไม่มีตัวตนที่แท้จริง (Artificiality)

87. ปัญหามักเปลี่ยนแปลงไปตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม คือลักษณะใดของปัญหา
ตอบ 2 หน้า 9 ปัญหาที่มีความเป็นพลวัต (Dynamic) หมายถึง การที่ปัญหามักแปรเปลี่ยน ลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจนําไปสู่การแปรเปลี่ยนให้เกิด ปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกได้ ดังนั้นการกําหนดปัญหาของนโยบายจึงไม่มีข้อสรุปที่ถาวร

88. ปัญหาถูกรับรู้ไม่เหมือนกัน
ตอบ ไม่มีข้อถูก หน้า 9 ปัญหาที่มีลักษณะเป็นอัตนัย (Subjectivity) หมายถึง การมีความหมาย ในตัวของปัญหาเอง ซึ่งผู้รับรู้ความเป็นปัญหาจะรับรู้ได้หรือไม่อยู่ที่ความสามารถในการ “ตระหนักได้” ของผู้กําหนดนโยบาย ดังนั้นปัญหาในลักษณะนี้จึงถูกรับรู้ไม่เหมือนกันแต่การรับรู้ปัญหาได้เร็วหรือรับรู้ปัญหาได้ก่อนก็เป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้กําหนดนโยบายเพราะจะทําให้สามารถกําหนดนโยบายได้ทันการณ์

89. การกําหนดเป้าหมายของนโยบายควรมีลักษณะแบบใด
(1) เที่ยงตรง
(2) เปิดช่องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตีความได้
(3) ครอบคลุมประเด็นปัญหา
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 70 การกําหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความเที่ยงตรง
2. มีความชัดเจน เข้าใจตรงกันไม่ต้องตีความ
3. มีความเป็นไปได้
4. ครอบคลุมประเด็นปัญหา
5. วัดผลได้

90. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์
(1) เป็นวิธีการ
(2) เจาะจง
(3) เป็นรูปธรรม
(4) สิ่งสุดท้ายที่ต้องการบรรลุ
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 70 เป้าหมาย (Goal) และวัตถุประสงค์ (Objective) มีความแตกต่างกันดังนี้

ตั้งแต่ข้อ 91 – 95. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การระบุปัญหา
(2) การพัฒนาทางเลือกนโยบาย
(3) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย
(4) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(5) ทดสอบทางเลือก

91. ขั้นตอนศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริงหรือข้อมูลภาคสนาม คือขั้นตอนใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

92. ขั้นตอนการกําหนดว่าจะเริ่มที่ใด สิ้นสุด ณ จุดใด
ตอบ 3 หน้า 13 การกําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย เป็นการกําหนดว่านโยบายจะมีขอบเขต กว้างไกลแค่ไหน จะเริ่มที่ใด สิ้นสุด ณ จุดใด จะแก้ไขปัญหาในส่วนใดได้บ้าง โดยพิจารณา ความเหมาะสมให้สอดคล้องกับอํานาจหน้าที่และความสามารถของหน่วยงาน ตลอดจน ความสมบูรณ์ของทรัพยากรที่สามารถระดมมาใช้ในการปฏิบัติได้

93. ศึกษาความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย รวมทั้งการยอมรับต่อนโยบาย คือขั้นตอนใด
ตอบ 4 หน้า 13 การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย คือการศึกษาข้อจํากัดด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ข้อมูล
2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย
3. การรับรู้และการยอมรับต่อนโยบาย
4. สิ่งแวดล้อมทั่วไป

94. การพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดของนโยบาย คือขั้นตอนใด
ตอบ 2 หน้า 13, 71 การออกแบบทางเลือกนโยบายหรือการพัฒนาทางเลือกนโยบาย คือ การใช้ความรู้ ประสบการณ์ของผู้กําหนดนโยบายร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือกซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใดที่สามารถปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นนี้ต้องพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดของนโยบายให้ครบถ้วน

95.การตรวจสอบทางความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิเคราะห์และการประยุกต์ทั้งหลายคือขั้นตอนใด
ตอบ 5 หน้า 14 การทดสอบทางเลือก คือ การทบทวนความเหมาะสมของขั้นตอนและข้อมูลที่ใช้ ทั้งทางด้านหลักการเหตุผล ทางเลือกของนโยบาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลว่ายังพอเพียง และดีอยู่ ตลอดจนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิธีวิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายว่าเป็นระบบและสอดคล้องต้องกันอย่างแท้จริง

96. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์นโยบาย
(1) วิเคราะห์ปัญหา
(2) วิเคราะห์เป้าหมาย
(3) วิเคราะห์ทางเลือก
(4) วิเคราะห์วัตถุประสงค์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 16, 72 การวิเคราะห์นโยบาย มีหลายลักษณะดังนี้
1. วิเคราะห์สภาพปัญหาของนโยบาย
2. วิเคราะห์เป้าหมายของนโยบาย
3. วิเคราะห์ทางเลือกของนโยบาย
4. วิเคราะห์แนวปฏิบัติของนโยบาย
5. วิเคราะห์ผลลัพธ์ของนโยบาย

97. การส่งมอบงานตึก 12 ชั้น คณะรัฐศาสตร์ เป็นขั้นตอนใดของนโยบาย
(1) การกําหนดนโยบาย
(2) การวิเคราะห์นโยบาย
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) การประเมินผลนโยบาย
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอน ของการแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของ คณะรัฐมนตรีให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา การตระเตรียมวิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ ที่กําหนดไว้

98. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมาก
(2) ความต้องการต่อนโยบายหลากหลายและแตกต่างกัน
(3) นโยบายมักจะรวบรัดและมีรายละเอียดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
(4) ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 17 – 18, 72 Randall Ripley และ Grace Franklin กล่าวว่า ในการนํานโยบาย ไปปฏิบัตินั้นมีประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติต้องทําความเข้าใจอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1. มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมาก
2. ความต้องการต่อนโยบายหลากหลายและแตกต่างกัน
3. นโยบายมักมีขนาดใหญ่โตขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
4. ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
5. มีปัจจัยจํานวนมากที่ไม่สามารถควบคุมได้

99. เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐมักจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดใหญ่โต หน้าเวลา
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดเล็กลง
(5) มีขนาดเล็กลงหรือโตขึ้นตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ

100. ลักษณะของนโยบายแบบใดที่มีโอกาสนําไปปฏิบัติได้สําเร็จสูง
(1) สร้างการเปลี่ยนแปลงมาก
(2) เห็นผลชัดเจน
(3) มีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 18 อาจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า ลักษณะของนโยบายที่มีแนวโน้มจะ ประสบความสําเร็จหรือมีโอกาสนําไปปฏิบัติได้สําเร็จสูงมีลักษณะดังนี้
1. เป็นนโยบายที่ไม่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป
2. เห็นผลได้ชัดเจน
3. มีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.ข้อใดไม่ใช่วิธีการวิเคราะห์การวางแผน
(1) การควบคุม
(2) การพรรณนา
(3) การประเมินผล
(4) การชี้แนะแนวทาง
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 15, (คําบรรยาย) วิธีการวิเคราะห์การวางนโยบายหรือแผน มีดังนี้
1. การพยากรณ์ (Prediction)
2. การพรรณนา (Description)
3. การประเมินผล (Evaluation)
4. การชี้แนะแนวทาง (Prescription)

2. วัตถุประสงค์ชนิดใดของการวางแผนเป็นอุปสรรคต่อความสําเร็จของแผนมากที่สุด
(1) วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนมาก ๆ
(2) วัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกัน
(3) วัตถุประสงค์ที่เข้าใจยาก
(4) วัตถุประสงค์ที่อ่านเข้าใจได้ง่าย
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ลักษณะวัตถุประสงค์ของการวางแผนที่จะช่วยให้การปฏิบัติประสบผลสําเร็จ ได้ดีนั้นจะต้องมีความชัดเจน มีความสอดคล้องกัน และสามารถรับรู้หรือเข้าใจได้ง่าย ดังนั้น ในทางตรงกันข้ามถ้าวัตถุประสงค์ของการวางแผนขาดความชัดเจน มีความขัดแย้งกัน หรือ เข้าใจยากก็จะเป็นอุปสรรคต่อความสําเร็จของแผนได้

3. การกล่าวว่าปัญหาของการวางแผนมีความเป็นอัตนัยสูง หมายความว่าอย่างไร
(1) การรับรู้ปัญหาได้ไม่เท่าเทียมกันในหมู่ประชาชน
(2) ไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาวิธีใดที่จะใช้ได้ในทุกกรณีปัญหา
(3) ปัญหาของนโยบายจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
(4) ปัญหาของนโยบายจะเปลี่ยนแปลงไปตามบุคคลผู้กําหนด
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 9, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีความเป็นอัตนัย (Subjectivity) สูง หมายถึง ในปัญหาหนึ่ง ๆ นั้น ต่างก็มีความหมายในตัวของปัญหาเอง ขึ้นอยู่กับผู้วางแผนว่าจะสามารถรับรู้หรือตระหนักได้ถึง ความเป็นปัญหาหรือไม่ การตระหนักปัญหาได้เร็วหรือรับรู้ปัญหาได้ก่อนจึงเป็นคุณสมบัติที่ดี ของผู้วางแผน เพราะจะทําให้สามารถวางแผนได้ทันการณ์

4. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะแนวคิดในการวิเคราะห์
(1) คําตอบซ้ำ
(2) ต้องใช้หลายวิธี
(3) ต้องใช้หลักเหตุผล
(4) เป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 15 – 16 แนวคิดในการวิเคราะห์นโยบาย มีลักษณะสําคัญดังนี้
1. เป็นสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ประยุกต์
2. ใช้วิธีการหลายวิธี
3. เป็นการใช้เหตุผล
4. มุ่งผลิตและแปรสภาพข่าวสาร
5. ข่าวสารที่ได้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในสภาพความเป็นจริงทางการเมือง

5. การจัดทําโครงการจะต้องสอดคล้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) งานและกิจกรรม
(2) นโยบายและแผน
(3) โครงงาน
(4) กิจกรรม
(5) ผิดทุกข้อ ๆ
ตอบ 2 หน้า 45, (คําบรรยาย) ในนโยบายหนึ่ง ๆ จะประกอบไปด้วยแผนหลายแผน เพื่อทําให้ ตัวนโยบายมีความชัดเจนขึ้น และในแต่ละแผนก็จะประกอบไปด้วยโครงการหลายโครงการ เพื่อทําให้ตัวแผนมีความชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นในการจัดทํานโยบาย แผน และโครงการ ต่าง ๆ จะต้องกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจนสอดคล้องกันเป็นลําดับ ซึ่งจะ ส่งผลให้การปฏิบัติตามนโยบาย แผน และโครงการ มีความเป็นเอกภาพและมีโอกาสที่จะ ประสบผลสําเร็จมากขึ้น

6.การวางแผนที่ดีควรใช้หลักการใดในการวางแผน
(1) หลักการที่เป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา
(2) หลักการที่เกิดจากกรณีศึกษา
(3) หลักการนําหลักสหวิทยาการมาใช้
(4) หลักการที่เป็นที่นิยมใช้ในหมู่นักรัฐศาสตร์
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 27, (คําบรรยาย) การวางแผนเป็นการใช้สติปัญญาเพื่อกําหนดแนวทางสําหรับ การดําเนินงานขององค์การในอนาคต ดังนั้นการวางแผนต้องอาศัยลักษณะหลายด้าน ประกอบกัน เช่น ต้องใช้ทั้งจินตนาการที่กว้างไกล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดี ต้องมี ความรู้ในหลักวิชาการหลาย ๆ สาขาหรือนําหลักสหวิทยาการมาใช้ ต้องรู้จักใช้เทคนิค ทฤษฎีการพยากรณ์ให้เหมาะสม เป็นต้น จึงจะช่วยให้การวางแผนสมบูรณ์ได้มากขึ้น

7. ใครคือผู้มีหน้าที่กําหนดการวางแผนน้อยที่สุด
(1) ปลัดกระทรวง
(2) อธิบดี
(3) ผู้อํานวยการกองวิชาการ
(4) ผู้อํานวยการสํานัก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอน 1 หน้า 27 (คําบรรยาย) โดยปกติหน้าที่ในการวางแผนในระดับองค์การนั้นจะถือเป็นหน้าที่ ของนักบริหารระดับกลาง (Middle Level Administrator) เช่น อธิบดี ผู้อํานวยการสํานัก ผู้อํานวยการกอง ส่วนนักบริหารระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง จะทําหน้าที่ในการวางนโยบาย ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่ในการกําหนดการวางแผนน้อยที่สุดก็คือ ปลัดกระทรวง นั่นเอง

8. การวางแผนในรูปใดที่มีลักษณะบังคับใช้ในทางปฏิบัติที่น้อยที่สุด
(1) กฎหมาย
(2) แผนงาน
(3) ประกาศ
(4) คําแถลงนโยบาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ประกาศ คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการประกาศหรือชี้แจงให้ทราบหรือแนะแนวทางให้ปฏิบัติ จึงมีลักษณะบังคับใช้ในทางปฏิบัติน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ กฎหมาย คําแถลงนโยบาย และแผนงาน

9.การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ของแผนจะคุมอย่างไร
(1) คุมให้เสร็จตรงตามเวลา
(2) คุมให้เกิดผลงานตรงตามวัตถุประสงค์ของแผน
(3) คุมให้บุคลากรทุกคนทํางานอย่างเต็มความสามารถ
(4) คุมให้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่ตั้งไว้
(5) คุมให้ใกล้ชิดทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ
ตอบ 2 หน้า 44, (คําบรรยาย) การควบคุมแผน/โครงการโดยทั่วไปมักจะกระทําใน 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Tirne Control) คือ ควบคุมให้เสร็จตรงตามเวลาที่ได้วางแผน/โครงการไว้ โดยใช้เทคนิค PERT
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control) เป็นการควบคุมรายจ่ายของแผน/โครงการให้อยู่ใน กรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยใช้เทคนิค PPBS
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control) เป็นการควบคุมให้เกิดผลงานตรงตาม วัตถุประสงค์ของแผน/โครงการอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด เทคนิคที่ใช้อาจกระทําได้ โดยการกําหนดมาตรฐาน (Standard) ของงาน

10. เมื่อเวลาเปลี่ยนไปการวางแผนโครงการควรมีลักษณะอย่างไร
(1) ลดขนาดลง
(2) เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) ใหญ่โตล้าหน้าเวลา
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 18, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้นมักจะมีขนาดใหญ่โตขึ้น ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป กล่าวคือ เมื่อองค์การมีอายุยาวนานขึ้น มีหน้าที่มากขึ้น มีสมาชิก เพิ่มขึ้น ก็จะมีความต้องการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น จึงทําให้นโยบาย แผน หรือโครงการมีขนาดใหญ่ขึ้น เรื่อย ๆ และมีความซับซ้อนมากขึ้นด้วย

11. การวางแผนและการประเมินผลควรเป็นหน้าที่ของใคร
(1) ผู้บริหารโครงการ
(2) ผู้ร่างโครงการ
(3) ผู้บริหารองค์กรของโครงการ
(4) ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ผู้บริหารโครงการ (Project Manager) มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการ วางแผนงาน มอบหมายงาน ควบคุม ติดตามประเมินผลและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโครงการ รวมถึงเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลงานทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการดําเนินงานในโครงการ

12. ข้อใดเป็นนิยามของการประเมินผลที่ดี
(1) การวัดความสําเร็จของผลการดําเนินการ
(2) การเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจริงจากการดําเนินการกับผลที่คาดหวังไว้
(3) การวิเคราะห์ระดับความสําเร็จของการปฏิบัติตามแผน
(4) การหาความพึงพอใจจากผลของการปฏิบัติตามแผน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 45, (คําบรรยาย) การประเมินผลแผน/โครงการ หมายถึง การเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจริง (Exact Results) จากการดําเนินการกับผลที่คาดว่าจะได้รับ (Expected Results) จากแผน/ โครงการ หรือหมายถึงการเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับเป้าหมายหลังสิ้นสุดการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่ ดังนั้นการประเมินผลแผน/โครงการจึงทําให้ทราบว่าแผน/โครงการที่ได้ดําเนินการไปแล้วนั้นประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงไร

13. การวางแผนโครงการอาจจะสําเร็จหรือล้มเหลวส่วนมากแล้วขึ้นอยู่กับขั้นตอนใดมากเป็นพิเศษ
(1) ขั้นร่างโครงการ
(2) ขั้นประเมินโครงการ
(3) ขั้นจัดการโครงการ
(4) ขั้นประเมินผล
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) โดยทั่วไปแล้วการวางแผนโครงการจะประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวนั้นจะขึ้นอยู่กับขั้นตอนการวางโครงการหรือการร่างโครงการเป็นสําคัญ กล่าวคือ ถ้าวางโครงการ ได้ดีมีรายละเอียดครอบคลุม มีการเก็บข้อมูลอย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้ โครงการมีประสิทธิภาพ การนําไปปฏิบัติ ตลอดจนการประเมินผลสามารถทําได้โดยง่าย และโอกาสที่โครงการนั้นจะประสบความสําเร็จก็จะมีสูง

14. โครงการให้ประโยชน์อย่างมากที่สุดกับงานชนิดใด
(1) งานพัฒนา
(2) งานประจําวัน
(3) งานที่ไม่มีการแข่งขัน
(4) งานทั่วไป
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) เนื่องจากโครงการมีลักษณะเป็นงานชั่วคราวที่มุ่งดําเนินกิจกรรมเพื่อให้เกิด ผลิตผลตามแนวทางที่แผนได้วางไว้ ดังนั้นโครงการจึงให้ประโยชน์อย่างมากที่สุดกับงานพัฒนาเพราะงานพัฒนาเป็นงานที่เน้นให้มีการเปลี่ยนแปลงตามที่กําหนดไว้ในแผนนั่นเอง

15. กระบวนการใดมิใช่กระบวนการในการประเมินผลโครงการ
(1) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(2) การวางแผนการประเมินผล
(3) การกําหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินผล
(4) การวิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูล
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) กระบวนการในการประเมินผลโครงการ มีดังนี้
1. การกําหนดวัตถุประสงค์ในการประเมินผลโครงการ
2. การพิจารณารายละเอียดในตัวโครงการ โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ของโครงการ
3. การคัดเลือกเครื่องมือหรือเกณฑ์ที่จะใช้ในการประเมินผลโครงการ
4. การเก็บ วิเคราะห์ และแปลความหมายของข้อมูล
5. การสรุปผลการประเมินผลโครงการและทํารายงานการประเมินผล

16. ข้อใดมิใช่เกณฑ์ในการประเมินผลของการวางแผน
(1) ด้านประสิทธิภาพ
(2) ด้านคุณภาพ
(3) การมีส่วนร่วมในโครงการ
(4) การบรรลุผลตามเป้าหมาย
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 49, (คําบรรยาย) เกณฑ์ในการประเมินผลการวางแผนโครงการ อาจพิจารณาได้จาก ปัจจัย 5 ประการ ดังนี้
1. ด้านประสิทธิภาพ (Efficiency)
2. ด้านคุณภาพ (Quality)
3. ด้านเศรษฐกิจและการเงิน (Economic and Financial)
4. ด้านการบรรลุผลตามเป้าหมาย (Goat Attainment)
5. ด้านความสําคัญของโครงการ (Significance)

17. เมื่อเสร็จสิ้นการวางแผนโครงการแล้ว โครงการจะเข้าสู่กระบวนการใดต่อไป
(1) การวางโครงการ
(2) การบริหารโครงการ
(3) การวิเคราะห์โครงการ
(4) การศึกษาความเป็นไปได้
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 36 กระบวนการของโครงการ ประกอบด้วย 4 กระบวนการ ดังนี้
1. การวางแผนโครงการ (Program Planning)
2. การวิเคราะห์และประเมินโครงการ (Program Analysis and Appraisal)
3. การนําโครงการไปปฏิบัติ (Program Implementation)
4. การติดตามประเมินผลโครงการ (Program Evaluation)

18. การประเมินผลของการวางแผนควรพิจารณาจากสิ่งใด
(1) ทําให้รู้ความสําเร็จของโครงการ
(2) เพื่อความมั่นใจของนักบริหาร
(3) เพื่อกําหนดทิศทางของโครงการได้
(4) เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริหารตัดสินใจต่อไป
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

19. ความเป็นธรรมของการวางแผนสามารถพิจารณาจากอะไร
(1) ความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
(2) การกระจายรายได้สู่ประชาชน
(3) ความเท่าเทียมกันของผลประโยชน์
(4) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การพิจารณาด้านความเป็นธรรมของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้น อาจพิจารณา หรือวัดได้จากประโยชน์ของนโยบาย แผน หรือโครงการว่าประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ จากนโยบาย แผน หรือโครงการอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะนโยบาย แผน หรือโครงการ ที่ดีนั้นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

20. การศึกษาปัญหาต้องอาศัยองค์ประกอบอะไรของผู้วางแผน
(1) ความอดทน
(2) ความพากเพียร
(3) ภาวะผู้นํา
(4) ความคิดริเริ่ม
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 11 – 12, (คําบรรยาย) การศึกษาปัญหาเป็นการศึกษาวิเคราะห์เพื่อกําหนดปัญหา ที่ถูกต้อง และศึกษาค่านิยมที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับปัญหาเพื่อกําหนดแนวทางของแผน ที่เหมาะสมกับความเป็นจริง ดังนั้นการศึกษาปัญหาจึงจําเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบ หลายประการของผู้วางแผน เช่น ความรู้ ความชํานาญ ประสบการณ์ และความคิดริเริ่ม จึงจะทําให้การวางแผนสมบูรณ์ได้

21. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในการวางแผน คืออะไร
(1) อัตราการว่างงาน
(2) อัตราเงินเฟ้อ
(3) ความหนาแน่นของประชากร
(4) สภาวะโลกร้อน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 12, (คําบรรยาย) สิ่งแวดล้อมในการวางนโยบายหรือแผน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย งบประมาณ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ความเชื่อ ค่านิยมของคน ในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ สภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ ความหนาแน่นของประชากร เป็นต้น

22. ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจนจะมีผลอย่างไรต่อการวางแผน
(1) ผลประโยชน์เป็นที่ถกเถียงได้
(2) มีประชาชนจํานวนมากได้รับประโยชน์
(3) ผลที่คาดว่าจะเกิดมีความเป็นรูปธรรม
(4) มีแนวทางดําเนินการให้เลือกได้หลายวิธี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 10, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน (Well-Structured Problem) คือ ปัญหา ที่มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนน้อย และมีทางออกในการแก้ไขปัญหาเพียงไม่กี่ทางเลือก ซึ่งแต่ละทางเลือก สามารถมองเห็นผลประโยชน์ของทางเลือกได้ชัดเจนไม่เป็นที่ถกเถียงได้แต่อย่างใด ดังนั้น ในการวางแผนที่ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจนจึงสามารถคาดผลที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

23. หน่วยงานที่ร่วมกันวางแผนควรมีลักษณะอย่างไร
(1) มีจุดตัดสินใจน้อย
(2) มีความสัมพันธ์กันมาแต่เดิม
(3) ได้รับอิสระในการตัดสินใจ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 26 (คําบรรยาย) หน่วยงานที่ร่วมกันวางแผนต้องมีโครงสร้างเหมาะสมกับแผนงาน ที่จะวาง ซึ่งต้องเหมาะสมทั้งบรรยากาศและกลไก และต้องเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีอิสระในการตัดสินใจและมีส่วนร่วมในการกําหนดอนาคตขององค์การได้อย่างเต็มที่

24. ข้อใดเรียงลําดับที่ถูกต้อง
(1) นโยบาย แผน โครงการ โครงงาน
(2) แผน นโยบาย โครงการ โครงงาน
(3) โครงการ โครงงาน แผน นโยบาย
(4) โครงงาน โครงการ นโยบาย แผน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) รูปแบบของกิจกรรมที่ใช้ในการบริหารโดยทั่วไปมี 5 รูปแบบ ซึ่งสามารถ เรียงลําดับได้ดังนี้
1. นโยบาย (Policy)
2. แผนหรือแผนงาน (Plan)
3. โครงการ (Program)
4. โครงงาน (Project)
5. งาน (Job)

25. การระบุปัญหาเป็นการอธิบายถึงปัญหาเพื่อแสดงให้เห็นอะไรต่อการนําไปใช้เพื่อการวางแผน
(1) แหล่งกําเนิดของปัญหา
(2) ความจริงของปัญหา
(3) จุดเด่นของปัญหา
(4) ความไม่มีอยู่จริงของปัญหา
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 12, (คําบรรยาย) การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหาหรือความจริงของปัญหา คืออะไร โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูลทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใด เร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นการระบุปัญหาจึงเป็นขั้นตอน ที่มีความสําคัญที่สุดในกระบวนการกําหนดนโยบาย เพราะการระบุปัญหาที่ถูกต้องจะนําไปสู่ การกําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป

26. สภาพแวดล้อมของการวางแผนที่ไม่สามารถควบคุมได้ คือ
(1) เงินเดือน
(2) เวลาทํางาน
(3) เศรษฐกิจ
(4) กําลังการผลิต
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

27. ข้อใดคือวิธีการวัดประสิทธิผลของการวางแผน
(1) แผนการรายงาน
(2) แผนตรวจงาน
(3) แผนประเมินผลงาน
(4) แบบวิธีทดลอง
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของ การวางนโยบายหรือแผน คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการดําเนินการตามนโยบายหรือแผนนั้นตรงกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1. แบบธรรมดาหรือแบบที่ไม่ใช่วิธีการทดลอง
2. แบบวิธีกึ่งทดลอง
3. แบบวิธีทดลอง

28. การวางแผนเชิงกลยุทธ์มักจะใช้การวิเคราะห์แบบ SWOT ซึ่ง SWOT หมายถึงอะไร
(1) หน่วยงานในการวางนโยบายที่มีชื่อเสียง
(2) องค์กรที่มักจะถูกอ้างอิงเสมอในการวางนโยบาย
(3) เทคนิคที่ใช้ในการประเมินผลความสําเร็จ
(4) เทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การวางแผนเชิงกลยุทธ์มักจะใช้การวิเคราะห์แบบ SWOT โดย SWOT นั้น ถือเป็นเทคนิคสําคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ ซึ่งประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) ขององค์การ ซึ่งเป็น การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การ
2. การวิเคราะห์โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Treats) ขององค์การ ซึ่งเป็น การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ

29. การกําหนดเป้าหมายของนโยบายควรมีลักษณะแบบใด
(1) เที่ยงตรง
(2) เปิดช่องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตีความได้
(3) ครอบคลุมประเด็นปัญหา
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 70 การกําหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความเที่ยงตรง
2. มีความชัดเจน เข้าใจตรงกันไม่ต้องตีความ
3. มีความเป็นไปได้
4. ครอบคลุมประเด็นปัญหา
5. วัดผลได้

30. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับความจําเป็นในการวางแผน
(1) เพื่อสร้างความยอมรับการดําเนินงาน
(2) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของนโยบาย
(3) เพื่อเรียนรู้ถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
(4) เพื่อประหยัดงบประมาณ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ความจําเป็นในการวางแผน มีดังนี้
1. เพื่อสร้างความยอมรับการดําเนินงาน
2. เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาและความผิดพลาด หรือลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในการปฏิบัติงานในอนาคต
3. เพื่อเรียนรู้ถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
4. เพื่อให้เกิดการประหยัดทรัพยากรทางการบริหาร เช่น บุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ เวลา เป็นต้น
5. เพื่อให้การปฏิบัติงานรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมติดตามการปฏิบัติงานตาม นโยบายได้ง่าย ฯลฯ

31. ข้อใดเป็นสิ่งที่ทําให้บุคลากรรู้รายละเอียดของแต่ละคนว่ามีบทบาทหน้าที่เป็นอย่างไร
(1) ระบบสายงาน
(2) ความยืดหยุ่น
(3) การจัดแบ่งลักษณะพิเศษ
(4) การรวมศูนย์อํานาจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย ) ระบบสายงาน (Configuration) เป็นโครงสร้างที่ทําให้รู้รายละเอียดของแต่ละคน ว่ามีบทบาทหน้าที่และการสังกัดส่วนงานเป็นอย่างไร มีความเชื่อมโยงกับผู้บังคับบัญชาและ ส่วนงานต่าง ๆ อย่างไร ระบบสายงานนี้สามารถแสดงให้เห็นได้ด้วยแผนภูมิขององค์การ

32. สิ่งที่องค์การคาดหวังให้เกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าคือข้อใด
(1) ภารกิจ
(2) วิสัยทัศน์
(3) เป้าหมาย
(4) กลยุทธ์ธุรกิจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) วิสัยทัศน์ (Vision) คือ สิ่งที่องค์การต้องการจะเป็น หรือเป็นสิ่งที่องค์การคาดหวัง ให้เกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า เช่น วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ เป็นสถาบันหลัก ที่มุ่งขยายโอกาสทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เป็นต้น

33. ข้อใดเป็นการทําให้มีกฎระเบียบ และคําสั่งที่ออกมานั้นมีผลบังคับใช้จึงต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
(1) การรวมศูนย์อํานาจ
(2) ระบบสายงาน
(3) การทําให้เป็นทางการ
(4) การจัดแบ่งลักษณะพิเศษ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การทําให้เป็นทางการ (Formalization) คือ การทําให้กฎระเบียบ และคําสั่ง ที่ออกมานั้นมีผลบังคับใช้โดยการเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร

34. การร่วมมือกันในการจัดวางโครงการต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องทําอะไรบ้างและทําอย่างไร เพื่อให้งาน บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หมายถึงข้อใด
(1) การวางแผน
(2) การจัดองค์กร
(3) การจัดคนเข้าทํางาน
(4) การควบคุม
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การวางแผน (Planning) หมายถึง การร่วมมือกันในการจัดวางโครงการต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องทําอะไรบ้างและทําอย่างไร เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

35. ข้อใดเป็นผลลัพธ์ที่คาดหวังที่ต้องการให้เกิดขึ้นจากการวางแผน
(1) เป้าหมาย
(2) ภารกิจ
(3) วิสัยทัศน์
(4) วัตถุประสงค์
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) เป้าหมาย (Goal) เป็นผลลัพธ์ (Outcomes) ที่คาดหวังที่ต้องการให้เกิดขึ้น ในอนาคตจากการวางนโยบาย แผน หรือโครงการ

36. ข้อใดไม่ใช่ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ
(1) พรรคการเมือง
(2) นักวิชาการ
(3) กลุ่มผลประโยชน์
(4) สื่อมวลชน
(5) รัฐสภา
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างเป็นทางการ เช่น รัฐสภา รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ศาล เป็นต้น
2. ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ เช่น พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มนักวิชาการ สื่อมวลชน เป็นต้น

37.Bazi จําแนกกิจกรรมการนําโครงการไปปฏิบัติเป็น 3 กระบวนการ ข้อใดไม่ใช่กระบวนการทั้ง 3 นั้น
(1) เขียนโครงการอีกครั้ง
(2) วิเคราะห์โครงการอีกครั้ง
(3) เริ่มต้นการทํางาน
(4) กําหนดรูปแบบการทํางาน
(5) ผิดทุกข้อ ตอบ 1 หน้า 42 – 43 Bazzi ได้จําแนกกิจกรรมการนําโครงการไปปฏิบัติออกเป็น 3 กระบวนการ ได้แก่
1. การวิเคราะห์โครงการอีกครั้งหนึ่ง (Project Reappraisal)
2. การเริ่มต้นการทํางาน (Action Initiation)
3. การกําหนดรูปแบบการทํางาน

38. จุดมุ่งหมายของการประเมินผลโครงการคืออะไร
(1) เพื่อทราบถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานตามโครงการ
(2) เพื่อปรับปรุงงาน
(3) เพื่อสนับสนุน ขยายโครงการ หรือยกเลิกโครงการ
(4) เพื่อศึกษาทางเลือก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) จุดมุ่งหมายของการประเมินผลโครงการ มีดังนี้
1. เพื่อทราบถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานตามโครงการ
2. เพื่อปรับปรุงงาน
3. เพื่อสนับสนุน ขยายโครงการ หรือยกเลิกโครงการ
4. เพื่อศึกษาทางเลือก

39. ความหมายของการประเมินผลโครงการ หมายถึง
(1) การติดตามผลการปฏิบัติงาน
(2) การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับเป้าหมายหลังสิ้นสุดการปฏิบัติงาน
(3) การรายงานความก้าวหน้า หรือความล้มเหลวของโครงการ
(4) การประเมินสมรรถนะของผู้รับผิดชอบโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

40. ขั้นตอนแรกในการวางแผนโครงการในการปฏิบัติงานคืออะไร
(1) ขั้นการกําหนดโครงการ
(2) ขั้นการจัดทํารายละเอียดของโครงการ
(3) ขั้นการดําเนินงานตามโครงการ
(4) การติดตามประเมินผลโครงการ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขั้นตอนของการวางแผนโครงการ มีดังนี้
1. การรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ทําให้รับรู้ถึงปัญหาและความต้องการต่าง ๆ และสามารถประเมินสถานการณ์ที่แท้จริงได้อย่างถูกต้อง
2. การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ
3. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย คือ การระบุสภาพของผลลัพธ์ที่ต้องการจะให้เกิดขึ้น
4. การเสนอเพื่อพิจารณา จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
5. การคิดค้นทางเลือก เป็นขั้นตอนที่ต้องทํารายละเอียด 6W 2H
6. การวิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือก โดยการใช้ข้อมูลจากผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการมาพิจารณา
7. การเสนอเพื่อพิจารณาอีกรอบหนึ่ง จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
8. การจัดทําข้อเสนอโครงการ

41. องค์ประกอบของแผนปฏิบัติการมีอะไรบ้าง
(1) วัตถุประสงค์ เป้าหมาย กิจกรรม ขั้นตอนการปฏิบัติ งบประมาณ ผู้รับผิดชอบ
(2) คํานํา วัตถุประสงค์ ขั้นตอน ตารางการทํางาน งบประมาณ
(3) การกําหนดปัญหา วัตถุประสงค์ นิยามศัพท์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
(4) การกําหนดปัญหา วัตถุประสงค์ ขอบเขตของโครงการ ระยะเวลาที่ใช้
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) แผนปฏิบัติการหรือแผนการดําเนินงาน (Operation Plan) เป็นการวางแผนที่ กําหนดจุดมุ่งหมายระยะสั้น ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ซึ่งถ่ายทอดมาจากแผนกลยุทธ์ องค์ประกอบ ของแผนปฏิบัติการจะประกอบด้วย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย กิจกรรม ขั้นตอนการปฏิบัติ งบประมาณ และผู้รับผิดชอบในการดําเนินงาน โดยแผนปฏิบัติการนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แผนประจํา (Standing Plan) และแผนใช้เฉพาะครั้ง (Single-Use Plan)

42. แผนปฏิบัติการได้แก่อะไรบ้าง
(1) แผนประจําวัน และแผนตามระยะเวลา
(2) แผนปฏิบัติการประจําวัน และแผนฉุกเฉิน
(3) แผนประจํา และแผนใช้เฉพาะครั้ง
(4) แผนตามระยะเวลา และแผนปฏิบัติการรายเดือน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43. แผนปฏิบัติการแบ่งออกเป็นกี่ประเภท
(1) 1 ประเภท
(2) 2 ประเภท
(3) 3 ประเภท
(4) 4 ประเภท
(5) 5 ประเภท
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

44. แนวทางกว้าง ๆ ไม่เจาะจง ยืดหยุ่นสูง เป็นลักษณะของอะไร
(1) วัตถุประสงค์
(2) โครงการ
(3) แผน
(4) นโยบาย
(5) ยุทธวิธี
ตอบ 4 หน้า 1, 60 ลักษณะทั่วไปของนโยบาย มีดังนี้
1. เป็นแนวทางกว้าง ๆ ในการปฏิบัติงาน คือ ไม่เจาะจงและยืดหยุ่นสูง
2. มีจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจเป็นวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดที่สําคัญมาก ๆ เช่น เป็นประโยชน์ขององค์การ เป็นต้น
3. เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติ คือ นโยบายจะเป็นเครื่องชี้นําให้มีการปฏิบัติตาม นโยบายต้องเสนอแนะแนวทางที่สามารถปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ด้วย

45. แผนโครงการ หมายถึง
(1) แผนงานย่อยที่ประกอบด้วยกิจกรรมหลายกิจกรรม ระบุรายละเอียดชัดเจน
(2) แผนงานเพื่อการแก้ไขปัญหาสังคม
(3) แผนงานเพื่อการแก้ไขปัญหาองค์การ
(4) แผนงานเพื่อการกําหนดผู้รับผิดชอบ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) แผนโครงการ หมายถึง แผนงานย่อยที่ประกอบด้วยกิจกรรมหลายกิจกรรมระบุรายละเอียดชัดเจน

46. การวางแผนแบบใดเป็นการวางแผนที่กําหนดจุดมุ่งหมายระยะสั้น ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี
(1) แผนปฏิบัติการ
(2) การวางแผนโครงการ
(3) การวางแผนฉุกเฉิน
(4) การวางแผนงานด่วน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

47. การวางแผนแบบใดเป็นการวางแผนครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์การ
(1) การวางแผนประจําปี
(2) การวางแผนการประเมินผล
(3) การวางแผนโครงการ
(4) การวางแผนกลยุทธ์
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นการวางแผนที่ครอบคลุม กิจกรรมทั้งหมดขององค์การ ซึ่งมักจะเป็นแผนระยะยาว 5 – 10 ปี โดยแผนกลยุทธ์นี้ จะต้องสอดคล้องกับแผนระดับนโยบาย

48. การแบ่งระดับของการวางแผนตามลักษณะของการบริหารงานในองค์การได้แก่อะไรบ้าง
(1) การวางแผนนโยบาย การวางแผนกําหนดเป้าหมาย และการประเมินผล
(2) การวางแผนกําหนดเป้าหมาย การวางแผนกําหนดวิธีการ และการวางแผนกระบวนการ
(3) การวางแผนนโยบาย การวางแผนกลยุทธ์ และแผนการดําเนินงาน
(4) การวางแผนกําหนดกระบวนการ การวางแผนกําหนดทรัพยากร และการวางแผนเพื่อนําไปปฏิบัติ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การแบ่งระดับของการวางแผนตามลักษณะของการบริหารงานในองค์การ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1. การวางแผนนโยบาย (Policy Planning)
2. การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning)
3. การวางแผนปฏิบัติการหรือแผนการดําเนินงาน (Operation Planning)

49. การแบ่งระดับของการวางแผนตามลักษณะของการบริหารงานในองค์การ สามารถแบ่งออกเป็นกี่ระดับ
(1) 2 ระดับ
(2) 3 ระดับ
(3) 4 ระดับ
(4) 5 ระดับ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

50.การวางแผน หมายถึงอะไร
(1) การกําหนดจุดหมายหรือเป้าหมาย
(2) วิธีการและกระบวนการ
(3) ทรัพยากรและงบประมาณ
(4) การนําแผนไปปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) องค์ประกอบของการวางแผน มีดังนี้
1. การกําหนดจุดหมายหรือเป้าหมาย
2. วิธีการและกระบวนการ
3. ทรัพยากรและงบประมาณ
4. การนําแผนไปปฏิบัติ
5. การประเมินผลแผน

51. ข้อใดไม่ใช่รูปร่างของนโยบายสาธารณะ
(1) เป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มติ ครม
(3) แผน โครงการ
(4) ประกาศของธนาคารกรุงเทพ
(5) ผิดทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 4 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

52. การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบายได้มีจุดเริ่มต้นที่ใด
(1) เมื่อ Max Weber ได้ศึกษาระบบราชการ
(2) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
(3) เมื่อ Mayo ได้ทดลองค้นคว้าที่เรียกว่า Hawthorne Study
(4) เมื่อมีกลุ่มนักทฤษฎีสมัยใหม่
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 6 – 7 การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบาย ถือเป็นแนวทางที่นักรัฐประศาสนศาสตร์ นิยมใช้กันมาก โดยเป็นการศึกษาที่เน้นการวิเคราะห์โดยทั่วไป (ในภาพรวม) มิใช่เป็น การศึกษารายกรณี และมีเทคนิควิธีการศึกษาที่ใช้หลักสหวิทยาการหรือหลักการของวิชาการหลายสาขามาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งการศึกษาตามแนวนี้ได้มีจุดเริ่มต้นระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม

53. ข้อมูลที่ต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก คือ
(1) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(4) ข้อมูลทุกประเภท
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการของดิน
ตอบ 3 หน้า 11 การระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบายต้องอาศัย “ข้อมูล” เป็นสําคัญ โดยข้อมูลในการระบุสาเหตุของปัญหาต้องประกอบด้วย
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

54. ผู้มีหน้าที่หลักในการกําหนดนโยบายสาธารณะ
(1) ฝ่ายการเมือง
(2) ข้าราชการประจํา
(3) เอกชน
(4) นักธุรกิจ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ฝ่ายการเมืองมีหน้าที่หลักในการกําหนดนโยบายสาธารณะ ส่วนข้าราชการประจํา มีหน้าที่ในการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนดไว้

55. ข้อใดเป็นคํากล่าวที่ถูกต้องในเรื่องประเภทของแผน
(1) แผนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
(2) แผนระยะสั้น 3 ปี
(3) แผนระยะปานกลาง 6 ปี
(4) แผนระยะสั้น 4 ปี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 23 (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทของแผนหรือแผนงาน (Plan) โดยใช้เกณฑ์ ระยะเวลา (Time Scan) อาจจําแนกได้ดังนี้
1. แผนระยะสั้น เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 2 ปี ซึ่งสามารถวางแผนได้ง่าย เนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
2. แผนระยะปานกลาง เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 2 – 5 ปี ซึ่งนิยมใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศ
3. แผนระยะยาว เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

56.TP. หมายถึง
(1) เวลาที่ผ่านไป
(2) Target Planning
(3) Team Planning
(4) การทํางานเป็นทีม
(5) ทฤษฎีการวางแผน
ตอบ 3 หน้า 33 – 34, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบทีมวางแผน (Team Planning : TP.) คือ การวางแผนเป็นทีมที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมและการระดมสมอง (Brain Storm) ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ร่วมกันกําหนดเป้าหมาย (Targets) ของหน่วยงานให้ชัดเจนตรงกัน
2. ร่วมกันกําหนดอนาคต (Scenario) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ต้องการโดยคิดล่วงหน้า 3 – 5 ปี
3. ร่วมกันหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือข้อจํากัด (Obstructions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. ร่วมกันกําหนดแผน (Plan) หรือกลยุทธ์ (Strategies) โดยใช้การวิเคราะห์ SWOT เข้าช่วย
5. ร่วมกันกําหนดกลวิธี (Tactics) หรือโครงการให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้
6. ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ (Action Plan) ของโครงการ โดยเน้นให้เกิดผลภายใน 90 วัน หรือที่เรียกว่า 90 Day Implementation Plan

57. วิธีการวางแผนทั้งหลายจําแนกเป็นขั้นตอนในการวางแผนได้ 2 ระยะ คือ การวางแผนกลยุทธ์กับอะไร
(1) การวางแผนรวม
(2) การวางแผนบริหาร
(3) การวางแผนดําเนินการ
(4) การวางแผนสังคม
(5) การวางแผนพัฒนา
ตอบ 3 หน้า 37, (คําบรรยาย) กระบวนการวางแผน/โครงการ อาจจําแนกได้เป็น 2 ระยะ คือ
1. การวางแผน/โครงการกลยุทธ์ (Strategic Planning) มีเป้าหมายที่สําคัญที่สุด คือ การกําหนดกรอบเค้าโครง ทิศทางและแนวทางสําคัญของแผน/โครงการอย่างกว้าง หรือคร่าว ๆ ซึ่งประกอบด้วยงานที่ต้องทําหลายอย่าง เช่น การคัดเลือกข้อมูล วัตถุประสงค์ ภารกิจ และแนวทางกลยุทธ์ รวมทั้งการคาดคะเนแนวโน้ม เพื่อนําไปสู่ การวิเคราะห์หาทางเลือกหรือแนวทางที่เหมาะสมที่สุด (The Best Alternative)
2. การวางแผน/โครงการดําเนินการ (Operational Planning) เป็นการนําเอาทางเลือกที่ เหมาะสมที่สุดมากําหนดรายละเอียดในวิธีการปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติจําเป็นต้องรู้ให้ครบถ้วน

58. การส่งมอบงานตึกการกีฬาแห่งประเทศไทย
(1) Policy Formulation
(2) Policy Analysis
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Implementation
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนของ การแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา/การตระเตรียม วิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

59. สถาบันที่มีหน้าที่ริเริ่มกําหนดนโยบายและมีอํานาจอิทธิพลต่อนโยบายมาก คือ
(1) สถาบันทหาร
(2) สถาบันศาล
(3) สถาบันทางรัฐสภา
(4) สถาบันการปกครอง
(5) สถาบันการปกครองท้องถิ่น
ตอบ 4 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบสถาบัน (Institution Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตามจะได้ชื่อว่าเป็น นโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไป ตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบัน การปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ (หน่วยงานของรัฐ) สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

60. คํากล่าวที่ว่า “การวางแผน คือ Set of Temporally Linked Actions” เป็นของใคร
(1) Jose Villamil
(2) ดร.อมร รักษาสัตย์
(3) Albert Waterston
(4) William Dunn
(5) Gulick and Urwick
ตอบ 1 หน้า 25 Jose Vittamil กล่าวว่า “การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด”

ตั้งแต่ข้อ 61 – 65. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Lasswell
(2) Yehezkel Dror
(3) David Easton
(4) Well-Structured
(5) Uncontrolled Environment

61. สิ่งแวดล้อมของนโยบายซึ่งควบคุมไม่ได้
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

62. โครงสร้างปัญหาที่มองได้ชัดเจน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

63. นโยบายต้องเป็นศาสตร์ที่นําไปสู่การปฏิบัติได้จริง
ตอบ 1 หน้า 7 Harrold Lasswell ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” เห็นว่า นโยบายไม่ใช่เพียงต้องการความเป็นศาสตร์เท่านั้น แต่ต้องสามารถเป็นศาสตร์ที่นําไปสู่การปฏิบัติได้จริง โดยหนทางสู่ความเป็นศาสตร์นั้นต้องเริ่มต้นด้วยการมีนโยบายสาธารณะที่ดี ซึ่งต้องพัฒนามาจากระบวนการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสม มีหลักการ เต็มเปี่ยมด้วยเหตุผล และยึดมั่นในหลักการของวิชาการในเรื่องนั้น ๆ

64. เสนอตัวแบบประโยชน์สูงสุด
ตอบ 2 หน้า 7 Yehezket Dror นักวิชาการแนวนโยบายศาสตร์ ได้เสนอตัวแบบที่เรียกว่า “ตัวแบบประโยชน์สูงสุด” (Optimal Model)

65. ผู้คิดค้นและเสนอ System Model
ตอบ 3 หน้า 7, (คําบรรยาย) David Easton เป็นผู้คิดค้นและเสนอ “ตัวแบบหรือทฤษฎีระบบ” (System Model Theory) ซึ่งตัวแบบนี้เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลของปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งแวดล้อมภายนอกกับระบบการเมือง โดยตัวระบบการเมืองจะทําหน้าที่เป็น ตัวกระทําของระบบ (Conversion Process) ขณะที่สิ่งแวดล้อมนอกระบบการเมือง เช่น ข้อเรียกร้อง/ความต้องการ หรือการสนับสนุนของประชาชนจะเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบ (Inputs) และนโยบายสาธารณะจะเป็นผลผลิต (Outputs) ของระบบ ดังนั้นประสิทธิภาพ ของนโยบายสาธารณะจึงขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอกและระบบการเมือง

ตั้งแต่ข้อ 66. – 70. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
หากสรุปว่ากระบวนการของแผนประกอบด้วยกระบวนการ ได้แก่
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล

66. กระบวนการใดทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
ตอบ ไม่มีข้อถูก (คําบรรยาย) อาจสรุปได้ว่ากระบวนการของแผน ประกอบด้วย 7 กระบวนการ ดังนี้
1. กําหนดปัญหา
2. การตั้งเป้าหมาย/วัตถุประสงค์
3. การศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
4. ลงมือวางแผน เป็นการลงมือเขียนแผนให้ถูกต้อง โดยหน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการนี้
5. การประเมินแผน เป็นกระบวนการที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์ โดยการศึกษาวิเคราะห์แผนว่ามีความสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะนําไป ปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จากนั้นจึงน่าเสนอแผนให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอนุมัติ เพื่อนําแผนไปปฏิบัติ
6. การนําแผนไปปฏิบัติ เป็นกระบวนการที่ทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
7. การประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการที่ทําให้ทราบถึงผลสําเร็จและเก็บเป็น ข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป

67. กระบวนการใดต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญหลายสาขามากที่สุด
ตอบ 4 หน้า 27 งานวางแผนเป็นงานระดับกลุ่ม ดังนั้นการลงมือวางแผนจึงต้องประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขามาร่วมกันสร้างแผน โดยมีนักวางแผนเป็นผู้ประสานให้การวางแผน ไปสู่จุดหมายร่วมกันขององค์การได้

68. กระบวนการใดทําให้ได้รับข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

69. ขั้นตอนใดที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์
ตอบ ไม่มีข้อถูก ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

70. หน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 71 – 75. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Authorization
(2) Formality
(3) Specificity
(4) Completeness
(5) Efficiency

71. แผนต้องถือหลักประสิทธิภาพ
ตอบ 5 หน้า 21 – 23 ลักษณะของแผน มีดังนี้
1. Efficiency คือ แผนต้องถือหลักประสิทธิภาพ
2. Specificity คือ การวางแผนต้องมีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ
3. Completeness คือ ทรัพยากรในการวางแผนต้องพร้อม
4. Formality คือ กระบวนการของแผนต้องใช้เป็นทางการเป็นหลัก
5. Authorization คือ การกระจายอํานาจให้หน่วยวางแผนมีอิสระในการวางแผน ฯลฯ

72. ทรัพยากรในการวางแผนต้องพร้อม
ตอบ 4 : ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

73. การกระจายอํานาจให้หน่วยวางแผนมีอิสระ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

74. กระบวนการของแผนต้องใช้เป็นทางการเป็นหลัก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

75. การวางแผนต้องไม่คลุมเครือ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 76 – 80. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Elite Model
(2) Group Model
(3) Institution Model
(4) System Model
(5) Game Theory

76. เป็นผลผลิตของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร เป็นต้น
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

77. นโยบายสาธารณะที่กําหนดขึ้นมาตามความต้องการของผู้มีอํานาจ
ตอบ 1 หน้า 3 – 4 ตัวแบบผู้นํา (Elite Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเกิดขึ้นจากความต้องการ ของผู้นําหรือผู้มีอํานาจ หรือเป็นแนวทางที่สะท้อนค่านิยมที่เลือกสรรแล้วของผู้นํา โดยไม่จําเป็นต้องสนใจว่าสาธารณชนจะสนใจหรือพึงพอใจหรือไม่ ซึ่งนโยบายที่ออกมาก็มักจะให้ประโยชน์แก่ผู้นําและผู้ใกล้ชิดเอง ดังนั้นสถานการณ์ที่จะเกิดนโยบายตามตัวแบบนี้ได้จึงต้องเป็นสถานการณ์ ที่ผู้นํามีอํานาจสูงมากในทางการเมืองหรือทางสังคม เช่น การปกครองในระบอบสมบูรณาญา สิทธิราชย์ หรือในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นต้น

78. ในการกําหนดนโยบายรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตัวแบบทฤษฎีเกม (Game Theory) เชื่อว่า การกําหนดนโยบายเป็นการตัดสินใจ ภายใต้ภาวะของการต่อสู้และแข่งขัน โดยมีแนวคิดพื้นฐานว่า “รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”จึงเป็นตัวแบบที่เหมาะสมกับการกําหนดนโยบายในภาวะสงคราม

79. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอมเพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 66 – 67, (คําบรรยาย) ตัวแบบกลุ่ม (Group Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตที่เกิดจากดุลยภาพของการแข่งขันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งแต่ละกลุ่ม ต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอํานาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ ดังนั้น รัฐหรือระบบการเมืองจึงมีหน้าที่ 4 ประการ ได้แก่
1. สร้างกติกาการแข่งขันและเป็นกรรมการหรือผู้ควบคุมการแข่งขันให้เกิดความยุติธรรม
2. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอมเพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
3. จัดสรรผลประโยชน์หรือกําหนดนโยบาย
4. นํานโยบายไปปฏิบัติ

80. ประสิทธิภาพของนโยบายสาธารณะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 65. ประกอบ

81. ข้อใดมิใช่ภารกิจที่สําคัญในการประเมินโครงการ
(1) การวิเคราะห์ความอยู่รอดของโครงการ
(2) การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ
(3) การคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ
(4) การทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้
(5) การวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นว่าโครงการเหมาะสมที่สุดหรือยัง
ตอบ 1 หน้า 39 – 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ มีความหมาย 2 ลักษณะ คือ
1. เป็นการศึกษาถึงโอกาสความสําเร็จในการดําเนินโครงการ โดยการวิเคราะห์และประเมินหาความเชื่อมั่นว่าตัวโครงการที่ร่างเสร็จแล้วนั้นมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติ ได้จริงหรือไม่ เช่น การวิเคราะห์หรือการคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ เป็นต้น
2. เป็นการศึกษาทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้ โดยการวิเคราะห์จําแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยและผลที่คาดว่าจะได้รับ หากมีการนําโครงการไปดําเนินการหรือนําไปปฏิบัติจริง พร้อมกับศึกษาว่าผลที่คาดว่าจะได้รับหรือผลที่จะเกิดขึ้นนั้นเหมาะสม มีคุณค่า มีประโยชน์ สมควรแก่การลงทุนดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่

82. ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูลทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษาอิทธิพลของธรรมชาติ และอะไร
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) ศาสนาและความเชื่อ
(4) กลไกราคา
(5) ความร่วมมือระหว่างองค์การที่เกี่ยวข้อง
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูลทาง ด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา อิทธิพลของธรรมชาติ ศาสนาและความเชื่อ เป็นต้น

83.การวางแผนแบบรายโครงการถือเป็นการวางแผนในกระสวน (Pattern) ชนิดใด
(1) Bottom-up Process
(2) Top-down Process
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอน 1 หน้า 28 (คําบรรยาย) การวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เป็นเทคนิคการวางแผนพัฒนารูปแบบแรก โดยเป็นการวางแผนในกระสวน
ที่เรียกว่า “Bottom-up Process” กล่าวคือ รัฐบาลจะเป็นผู้กําหนดให้หน่วยปฏิบัติการใน ระดับล่างร่างโครงการของตนเสนอขึ้นมา โดยที่ไม่ได้มีการกําหนดรายรับรายจ่ายก่อนว่าเป็นเท่าไร แต่จะมากําหนดหลังจากหน่วยงานย่อยต่าง ๆ เสนอโครงการขึ้นมาแล้ว เพื่อรวบรวมโครงการ เหล่านั้นรวมเป็นแผนเดียวกัน (แผนรวมของชาติ) ซึ่งวิธีการวางแผนในรูปแบบนี้จะไม่กล่าวถึง บทบาทของภาคเอกชนไว้เลย และใช้หลักการมีส่วนร่วมน้อยที่สุด แต่จะเหมาะสําหรับการวางแผน ในภาวะขาดแคลนข้อมูลหรือขาดความชํานาญในการวางแผน เช่น การวางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 เพราะหน่วยงานวางแผนยังมีข้อมูลไม่เพียงพอและเป็นการวางแผนที่สะดวกที่สุด การวางแผนจัดทําไร่นาสวนผสม เป็นต้น

84. การวางแผนอาจทําได้ 3 วิธี วิธีที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ที่หน่วยวางแผนเริ่มมีการสะสมข้อมูลได้พอประมาณ คือวิธีใด
(1) Project-by-Project Planning
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอบ 2 หน้า 28, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบประสานการลงทุนภาคสาธารณะ (Integrated Public Investment Planning) เป็นการวางแผนที่เริ่มต้นด้วยการประมาณการรายได้หรือรายรับ ของประเทศก่อน โดยคํานึงถึงการลงทุนของภาครัฐเป็นหลักว่าการลงทุนไปนั้นจะมีรายรับเท่าไร แล้วจึงไปกําหนดรายจ่ายทีหลัง โดยที่การลงทุนนั้นจะต้องคํานึงถึงภาวะเศรษฐกิจทั้งปัจจัย ภายในและภายนอกประเทศด้วย ซึ่งการวางแผนในรูปแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง (ความไม่พอดี) ของการวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เช่น การกําหนดงบประมาณของแต่ละโครงการที่มักกําหนดสูงเกินกว่า ความเป็นจริง ความขัดแย้งกันของโครงการทั้งหลายโดยเฉพาะในเรื่องของความไม่ลงตัวของวงเงิน งบประมาณ รวมถึงความไม่มีเอกภาพและการขาดทิศทางที่ชัดเจนในการกําหนดเป้าหมายของแผน ซึ่งเป็นการวางแผนที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่หน่วยงานเริ่มมีการสะสมข้อมูลได้พอประมาณแล้ว

85. กล่าวโดยสรุปขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ได้แก่ การเก็บรวบรวมประมวลข้อมูล การลงมือวางแผน และอะไร
(1) การวิเคราะห์ข้อมูล
(2) การปฏิบัติตามแผน
(3) การประเมินผลแผน
(4) การขออนุมัติใช้แผน
(5) การตระเตรียมที่จะวางแผน
ตอบ 5 หน้า 29 – 30 ขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ดังนี้
1. การตระเตรียมการที่จะวางแผน เป็นการกําหนดเค้าโครงกลยุทธ์ของแผน โดยการกําหนด วัตถุประสงค์และแนวทางของแผน
2. การศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ความถูกต้อง ของงานในขั้นตระเตรียมการ
3. การลงมือวางแผน เป็นการเขียนแผนให้ถูกต้องตามรูปแบบที่ควรจะเป็นของแผน

86. ปัญหาชนิดใดที่ต้องใช้ทักษะในการมองการณ์ไกลเป็นพิเศษ จึงจะวางแผนได้
(1) ปัญหาแก้ไข
(2) ปัญหาพัฒนา
(3) ปัญหาป้องกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาของแผน อาจจําแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. ปัญหาแก้ไข คือ ปัญหาที่ปรากฏผลเสียหายให้เห็นอยู่แล้ว จึงต้องรีบวางแผนหาทางแก้ไข ซึ่งปัญหาชนิดนี้มักจะแก้ไขได้ง่ายที่สุด
2. ปัญหาป้องกัน คือ ปัญหาที่ยังไม่ปรากฏผลเสียหายขึ้นในขณะวางแผน แต่สามารถรู้ได้ว่าหากไม่รีบวางแผนแก้ไขก็จะปรากฏผลเสียหายในอนาคตได้
3.ปัญหาพัฒนา คือ ปัญหาที่ไม่ปรากฏผลเสียหายทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่ต้องมี การวางแผนเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งนักวางแผนต้องใช้ความสามารถ ในการมองการณ์ไกลมากเป็นพิเศษ

87.แผนที่มีลักษณะ Ease of Control จะแสดงให้เห็นได้อย่างไร
(1) เห็นได้จากการผ่านขั้นตอนของแผนอย่างครบถ้วนไม่ข้ามขั้นตอน
(2) เห็นได้จากการกําหนดที่มีเหตุผลและเป็นจริงในทางปฏิบัติ
(3) เห็นได้จากการมีมาตรฐานสําหรับการปฏิบัติอย่างชัดเจน
(4) เห็นได้จากการจัดทีมผู้วางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
(5) เห็นได้จากการจัดทีมผู้ปฏิบัติตามแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
ตอบ 3 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนที่มีลักษณะง่ายในการควบคุม (Ease of Control) หมายถึง แผน ที่มีมาตรฐานสําหรับการวัดและการปฏิบัติอย่างชัดเจน และโดยทั่วไปหากเป็นแผนที่มีลักษณะ ง่ายในการดําเนินการ (Ease of Implementation) ก็จะมีลักษณะง่ายในการควบคุมด้วย

88. การวางแผนแบบใดที่เป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
(1) ทุกแบบของการวางแผน
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Project-by-Project Planning
(5) ข้อ 3 และ 4 ถูก
ตอบ 3 หน้า 29, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบสมบูรณ์แบบหรือประสมประสานหรือแผนรวม (Comprehensive Planning) เป็นการวางแผนที่กล่าวถึงเป้าหมายที่ต้องการก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากการสร้างแบบจําลองการเจริญเติบโต (Growth Model) ของแผนก่อน ซึ่งเป็น การคํานวณอัตราการเจริญเติบโตที่คาดหวังไว้ในรูปของการบริโภค เงินออม การลงทุน การนําเข้า-ส่งออก การจ้างงาน ความต้องการ (Demand) และความสามารถในการตอบสนอง (Supply) ของภาครัฐและภาคเอกชนรวมกัน โดยการวางแผนในรูปแบบนี้จะมีการวางแผน ทั้งแบบ Forward และ Backward และมีการกล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนไว้อย่างครบถ้วน จึงนับว่าเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเหมาะสมสําหรับการวางแผนภาครัฐด้านเศรษฐกิจ และในสถานการณ์ที่หน่วยงานวางแผนมีความชํานาญแล้ว

89. หน่วยงานใดมีหน้าที่กําหนดนโยบายสาธารณะและวางแผนพัฒนาประเทศไทยในปัจจุบัน
(1) กรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท
(2) กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม
(3) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
(4) สํานักงาน ก.พ.
(5) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นหน่วยงาน ที่จัดตั้งขึ้นตาม ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มีหน้าที่หลัก ในการกําหนดนโยบายสาธารณะและวางแผนแม่บทในการพัฒนาประเทศของไทยในปัจจุบันหรือที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”

90. นักวิชาการที่กล่าวว่า การวางแผนจะมีลักษณะร่วมกันหลายประการ เช่น ต้องมองล่วงหน้า มีการเลือกสรรต้องเตรียมวิธีการกระทํา คือใคร
(1) เนรู
(2) วิลลามิล
(3) วอเตอร์สตัน
(4) ดรอ
(5) เลอ เบรอตัน
ตอบ 3 หน้า 25 Albert Waterston กล่าวว่า “การวางแผนทุกชนิดจะต้องมีลักษณะร่วมกัน หลายประการ เช่น ต้องประกอบด้วยการมองล่วงหน้า (Looking Ahead) ต้องมีทางเลือก (Making Choices) และหากเป็นไปได้ต้องจัดเตรียมวิธีการกระทํา (Actions) ที่แน่นอน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรืออย่างน้อยที่สุดต้องกําหนดข้อจํากัด (Setting Limits)
ที่อาจจะเกิดจากการกระทําดังกล่าวไว้ด้วย”

91. ใครกล่าวว่านโยบายคือ “สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา
(1) Thomas R. Dye
(2) David Easton
(3) Woodrow Wilson
(4) William Dunn
(5) ดร.อมร รักษาสัตย์
ตอบ 1 หน้า 1 Thomas R. Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือกิจกรรมหรือสิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา และเกี่ยวข้องกับเหตุผลว่าทําไมจึงเลือกเช่นนั้น”

92. ข้อใดเป็นลักษณะเด่นของนโยบายสาธารณะในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ที่แตกต่างจากแผนอื่น
(1) เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยแยกจากกันให้ชัดเจน
(2) เน้นการกระจายรายได้และการถือครองทรัพย์สิน
(3) เน้นการพัฒนาจิตใจ วัฒนธรรม และสังคม
(4) เน้นการพัฒนาการบริหารและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
(5) เน้นการพัฒนาคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและเศรษฐกิจพอเพียง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) เป็นการวางแผนที่ยังคงน้อมนํา และประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างมี ส่วนร่วม การพัฒนาที่ยึดหลักสมดุล ยั่งยืน โดยให้ความสําคัญกับการกําหนดทิศทางการพัฒนา ที่มุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

93. ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับแผนระยะยาว
(1) มีระยะเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
(2) วางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
(3) มีระยะเวลาไม่จํากัด
(4) ความเชื่อมั่นจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน
(5) ใช้แก้ปัญหาได้เพียงผิวเผิน
ตอบ 4 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนระยะยาว คือ แผนที่มีระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่มี ความเชื่อมั่นได้น้อยและจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน กล่าวคือ ความเชื่อมั่นจะลดต่ําลง ตามระยะเวลาที่ยาวออกไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (แผนนั้นเริ่มเห็นผล คือ สามารถ แก้ปัญหาได้ ความเชื่อมั่นที่มีต่อแผนก็จะเพิ่มมากขึ้น) และแผนระยะยาวนับว่าเป็นแผนที่ แก้ปัญหาได้ลึกซึ้งที่สุด แต่เห็นผลช้า (ดูคําอธิบายข้อ 55. ประกอบ)

94. ความเป็นธรรมของนโยบายวัดได้อย่างไร
(1) วัดจากความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
(2) วัดจากการกระจายรายได้ของนโยบายสู่ประชาชน
(3) วัดจากประโยชน์ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
(4) วัดจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบาย
(5) วัดจากการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกระบวนการของนโยบายให้มากที่สุด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

95. แผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น จัดเป็นแผนประเภทใด
(1) แผนรายปี
(2) แผนงบประมาณ
(3) แผนการเงิน
(4) แผนโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สําหรับแผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นแผนประเภทแผนรายปี แผนงบประมาณ แผนการเงิน แผนระยะสั้น หรือแผนโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจําแนก

96. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ให้ประโยชน์กับสังคม
(2) ให้คํานึงถึงรัฐสภา
(3) ประโยชน์โดยทั่วไป
(4) ผู้นําและผู้ใกล้ชิด
(5) ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

97.Controlled Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

98. ในแนวคิดการศึกษานโยบายศาสตร์ในแนววิเคราะห์นโยบายนิยมใช้ในนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักรัฐศาสตร์
(2) นักสังคมวิทยา
(3) นักรัฐประศาสนศาสตร์
(4) นักวิทยาศาสตร์
(5) นักเศรษฐศาสตร์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประอบ

99. ในเรื่องเกี่ยวกับรูปร่างและรูปแบบของนโยบาย ข้อความในข้อใดกล่าวผิด
(1) มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มีรูปเป็นแบบแผน โครงการ
(3) มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ
(4) มีรูปแบบเป็นสัญญา
(5) เป็นคําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นไป
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

100. เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดเล็กลง
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดใหญ่โตหน้าเวลา
(5) มีขนาดจะเล็กลงหรือจะโตขึ้นเป็นไปตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. การวางแผนเชิง “ยุทธศาสตร์” มีที่มาจากวงการใด
(1) วิทยาศาสตร์
(2) การทหาร
(3) การแพทย์
(4) การวิจัย
(5) การเมือง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ที่มาของการวางแผนกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ มีดังนี้
1. ข้อเสนอของธนาคารโลก (World Bank) และองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ แห่งสหรัฐอเมริกา (USAID)
2. การวางแผนทางการทหาร
3. เครื่องมือทางการบริหารจัดการของภาคเอกชน
4. แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่(New Public Management : NPM)

2.ข้อใดคือที่มาของการวางแผนกลยุทธ์
(1) ข้อเสนอของ World Bank
(2) ข้อเสนอของ USAID
(3) แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3. “ปัจจุบัน” (ปี 2565) หน่วยงานใดมีบทบาทในการกําหนดตัวชี้วัดตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ
(1) สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
(2) สํานักงานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ
(3) สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(4) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(5) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งมีฐานะเป็น เลขานุการของคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการกําหนด ตัวชี้วัดตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติในปัจจุบัน

4.ท่านจะหาแผนหลักในการพัฒนาประเทศ “ระยะยาว” ได้จากที่ใด
(1) แผนระดับ 2
(2) แผนระดับ 3
(3) คําแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
(4) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(5) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) เป็นแผนหลักในการพัฒนาประเทศ ระยะยาวให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมียุทธศาสตร์ที่สําคัญ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เป็นต้น

5. แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมีทั้งหมดที่ด้าน
(1) 10 ด้าน
(2) 22 ด้าน
(3) 23 ด้าน
(4) 25 ด้าน
(5) 30 ด้าน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นแผนแม่บทเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งประกอบด้วยแผนแม่บททั้งหมด 23 ด้าน เช่น ความมั่นคง การต่างประเทศ การเกษตร อุตสาหกรรรมและบริการแห่งอนาคต การท่องเที่ยว พื้นที่และ เมืองน่าอยู่อัจฉริยะ โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์และดิจิทัล ผู้ประกอบการและวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมยุคใหม่ เขตเศรษฐกิจพิเศษ การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต การพัฒนาการเรียนรู้ เป็นต้น

6.การวางแผนกลยุทธ์สัมพันธ์กับระบบงบประมาณแบบใด
(1) ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ
(2) ระบบงบประมาณแบบแผนงานโครงการ
(3) ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน
(4) ระบบงบประมาณแบบฐานศูนย์
(5) ระบบงบประมาณแบบสะสม
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การวางแผนกลยุทธ์สัมพันธ์กับระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน(Performance-Based Budgeting) ซึ่งเป็นระบบงบประมาณที่ให้ความสําคัญกับ ความสําเร็จตามเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของแผนงาน รวมทั้งการบ่งชี้หรือ การวัดผลที่เกิดจากการทํางาน ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

7. ข้อใดตรงที่สุดเกี่ยวกับการวางแผนเชิงกลยุทธ์
(1) รัฐที่ชี้นํามากกว่าลงมือทําเอง
(2) การมุ่งเน้นแสวงหากําไร
(3) รัฐที่เน้นกลไกการตลาด
(4) การมีมาตรฐานและระบบการวัดผลการทํางานที่ชัดเจน
(5) การแบ่งหน่วยงานย่อยเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การมีมาตรฐานและระบบการวัดผลการทํางานที่ชัดเจน ถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญของการวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพราะเป็นสิ่งที่บอกว่าหน่วยงานปฏิบัติงานเป็นไปตาม เป้าประสงค์ที่วางไว้ในแผนหรือไม่

8.ข้อใดตรงกับ Mission-Driven Government รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ
(1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(2) การกําหนดวิสัยทัศน์
(4) การกําหนดตัวชี้วัด
(3) การกําาหนดพันธกิจ
(5) การประเมินผล
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ (Mission-Driven Government) เป็นการกําหนด ภารกิจหรือพันธกิจให้ชัดเจน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนอง ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

9. ภาพที่องค์การฝันหรืออยากจะเป็น คืออะไร
(1) วัตถุประสงค์
(2) พันธกิจ
(3) วิสัยทัศน์
(4) ยุทธศาสตร์
(5) ตัวชี้วัด
ตอบ 3 (คําบรรยาย) วิสัยทัศน์ (Vision) คือ ภาพที่องค์การหวังหรือฝันหรืออยากจะเป็น เป็นการกําหนดทิศทางขององค์การในอนาคต เช่น เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพในการควบคุม แก้ไข และพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเพื่อคืนคนดีมีคุณค่าสู่สังคม, เป็นองค์กรป้องกันควบคุมโรคและ ภัยสุขภาพระดับมาตรฐานสากล, เป็นองค์กรแห่งความยุติธรรมของสังคมเพื่อความมั่นคง ของชาติและความผาสุกของประชาชน เป็นต้น

10. ข้อใดตรงกับ Result-Oriented Government รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน
(1) มุ่งเน้นเฉพาะผลผลิต (Output)
(2) มุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome)
(3) การคํานึงถึงว่าผู้รับบริการจะได้อะไร
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1
(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน (Result-Oriented Government) หมายถึง การมุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome) หรือการคํานึงถึงว่าผู้รับบริการ/ประชาชนจะได้ประโยชน์ อะไร

ตั้งแต่ข้อ 11. – 21. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การกําหนดวิสัยทัศน์
(2) การกําหนดพันธกิจ
(3) การกําหนดเป้าประสงค์
(4) การกําหนดกลยุทธ์
(5) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(6) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
(7) การควบคุมกลยุทธ์

11. ข้อใดเรียงลําดับกระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่ถูกต้อง
(1) 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7
(2) 4, 1, 2, 3, 5, 6, 7
(3) 4, 1, 2, 5, 3, 6, 7
(4) 5, 4, 1, 2, 3, 6, 7
(5) 5, 1, 2, 3, 4, 6, 7
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ มี 7 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (วิเคราะห์ SWOT)
2. การกําหนดวิสัยทัศน์
3. การกําหนดพันธกิจ
4. การกําหนดเป้าประสงค์
5. การกําหนดกลยุทธ์
6. การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
7. การควบคุมกลยุทธ์

12.PEST Analysis คือเครื่องมือในข้อใด
(1) 4
(2) 5
(3) 6
(4) 7
(5) 1
ตอบ 2 (คําบรรยาย) เครื่องมือวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ มีดังนี้
1. 2’S 4’M
2. 7’S
3. PMQA
4. PEST Analysis
5. STEPP Model
6. Five-Forces Model
7. SWOT Analysis

13. ข้อใดคือขั้นตอนที่บอกถึงกิจกรรมที่องค์การจะต้องทํา
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การกําหนดพันธกิจหรือภารกิจ (Mission) คือ การบอกถึงกิจกรรมที่องค์การ จะต้องทํา เช่น จัดเก็บภาษีให้ได้ตามประมาณการ, การพัฒนานโยบาย มาตรการ และบริการ ด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ, เตรียมความพร้อมในการจัดการภาวะคุกคาม และภัยสุขภาพใหม่ ๆ ได้ทันการณ์, อํานวยความยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส พึ่งพิงได้ บนพื้นฐานของความเสมอภาค เป็นต้น

14. “อํานวยความยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส พึ่งพิงได้ บนพื้นฐานของความเสมอภาค” ประโยค ดังกล่าวเป็นการกําหนดอะไร
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

15. ข้อใดเป็นสิ่งที่บอกว่า “ใคร” ได้ประโยชน์จากการกระทําขององค์การ
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การกําหนดเป้าประสงค์ (Goal) คือ การบอกว่า “ใคร” ได้ประโยชน์จาก การกระทําหรือการดําเนินตามพันธกิจขององค์การ เช่น ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ ชายแดนและพื้นที่เฉพาะอื่น ๆ มีโอกาสได้รับการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต, ผู้ต้องขัง เป็นคนดีพร้อมกลับคืนสู่สังคม, ประชาชนมีความปลอดภัยและได้รับคนดีคืนสู่สังคม, ประชาชนมีความปลอดภัยจากภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ, ประชาชนเข้าถึง และได้รับความยุติธรรมบนฐานของความเสมอภาค เป็นต้น

16. “เป็นองค์กรแห่งความยุติธรรมของสังคมเพื่อความมั่นคงของชาติและความผาสุกของประชาชน” ประโยค
ดังกล่าวคือการกําหนดอะไร
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

17. “ประชาชนเข้าถึงและได้รับความยุติธรรมบนฐานของความเสมอภาค” ประโยคดังกล่าวคือการกําหนดอะไร
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 15. ประกอบ

18. การกําหนดทิศทางขององค์การ อยู่ในขั้นตอนใด
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

19. “การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและอัตราการเกิดของประชากรลดลง ส่งผลให้มหาวิทยาลัยมีจํานวน นักศึกษาลดลง” ประโยคดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในขั้นตอนใด
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม คือ การประเมินสถานภาพขององค์การ โดยการ พิจารณาสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้ทราบจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ เพื่อนําไปประกอบในการกําหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับองค์การต่อไป

20.การกําหนดรายละเอียด/กิจกรรม หรือโครงการ คือขั้นตอนใด
(1) 3
(2) 4
(3) 5
(4) 6
(5) 7
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ คือ กระบวนการแปลงกลยุทธ์ไปสู่แผนการดําเนินงาน กําหนดรายละเอียด/กิจกรรม หรือโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดําเนินการตามกลยุทธ์ได้ อย่างเป็นรูปธรรม

21. การติดตามประเมินผล คือขั้นตอนใด
(1) 1
(2) 3
(3) 5
(4) 6
(5) 7
ตอน 5 (คําบรรยาย) การควบคุมกลยุทธ์ คือ การติดตามประเมินผลการดําเนินงานทั้งหมดตาม แผนกลยุทธ์ที่กําหนดไว้ว่าการดําเนินงานบรรลุผลสําเร็จตามแผนมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องอาศัย การเปรียบเทียบผลที่ได้จากการปฏิบัติจริงกับผลการดําเนินงานที่ตั้งเป้าหมายไว้ หากปรากฏ ผลที่ได้จากการดําเนินงานจริงต่ํากว่าเป้าหมายที่กําหนดไว้ในแผน ผู้บริหารก็จะต้องหาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป

22. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(1) 7’S
(2) OOCT
(3) SWOT Analysis
(4) STEPP Model
(5) PEST Analysis
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

23. ข้อใดคือปัจจัยในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน
(1) Strengths, Weaknesses
(2) Strengths, Social
(3) Strengths, Politics
(4) Opportunities, Treats
(5) Opportunities, Technology
ตอบ 1 (คําบรรยาย) SWOT Analysis เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ ซึ่งประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) ขององค์การ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การ
2. การวิเคราะห์โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Treats) ขององค์การ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายนอกองค์การ

24. ข้อใดคือปัจจัยในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
(1) Strengths, Weaknesses
(2) Strengths, Social
(3) Strengths, Politics
(4) Opportunities, Treats
(5) Opportunities, Technology
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

25. โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง วิเคราะห์สภาพแวดล้อมว่า
1. การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจึงมีแนวโน้มผู้เข้ารับบริการมากขึ้นส่งผลให้หน่วยงานได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น
2. การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจึงมีแนวโน้มผู้เข้ารับบริการมากขึ้นส่งผลให้บริการได้ไม่ทั่วถึง
การวิเคราะห์ดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด
(1) ถูกต้อง เพราะสมเหตุสมผล
(2) ถูกต้อง เพราะสถานการณ์เป็นเช่นนั้น
(3) ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐมีงบประมาณจํากัด
(4) ไม่ถูกต้อง เพราะขัดแย้งกันเอง กําหนดทิศทางกลยุทธ์ได้ยาก
(5) ถูกทั้งข้อ 3 และ 4
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะขัดแย้งกันเองทําให้กําหนดทิศทางกลยุทธ์ขององค์การได้ยาก

26. ตัวบ่งชี้ความสําเร็จในการดําเนินงาน หมายถึงอะไร
(1) ผลผลิต
(2) ผลลัพธ์
(3) ตัวชี้วัด
(4) กลุ่มเป้าหมาย
(5) ต้นทุน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ตัวชี้วัด คือ ตัวบ่งชี้ความสําเร็จในการดําเนินงาน ซึ่งคุณสมบัติของตัวชี้วัดที่ดี มีดังนี้
1. Validity คือ สมเหตุสมผล อธิบายได้
2. Availability คือ ความมีอยู่ของข้อมูล
3. Reliability คือ ความเชื่อถือได้
4. Sensitivity คือ ความไวต่อการเปลี่ยนแปลง

27. ข้อใดคือคุณสมบัติของตัวชี้วัดที่ดี
(1) Validity
(2) Availability
(3) Reliability
(4) Sensitivity
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

28. กรมควบคุมมลพิษกําหนดตัวชี้วัดว่า “รสและกลิ่นของน้ำบริโภค ค่ามาตรฐานไม่เป็นที่รังเกียจ” การกําหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานใด
(1) มาตรฐานเชิงนโยบาย
(2) เกณฑ์สัมบูรณ์
(3) มาตรฐานเชิงวิทยาศาสตร์
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การกําหนดตัวชี้วัดตามมาตรฐานเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) เป็น การกําหนดเกณฑ์ตัวชี้วัดโดยใช้ค่ามาตรฐานกลางซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เช่น กรมควบคุมมลพิษกําหนดตัวชี้วัดว่า “ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีค่าเฉลี่ยไม่เกิน 0.025 มก./ลบ.ม. ใน 24 ซม.”, “รสและกลิ่นของน้ําบริโภคมีค่ามาตรฐาน ไม่เป็นที่รังเกียจ” เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 29 – 34. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Impact
(2) Output
(3) Outcome
(4) QQCT
(5) 2Q2T1P

29. ข้อใดเรียงลําดับระดับของตัวชี้วัดจากใหญ่ไปเล็กได้ถูกต้อง
(1) 1, 2, 3
(2) 1, 3, 2
(3) 2, 3, 1
(4) 3, 2, 1
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ระดับของตัวชี้วัดเรียงลําดับจาก “ใหญ่ไปเล็ก” ได้ดังนี้
1. ผลกระทบ (Impact) เป็นตัวชี้วัดระดับกระทรวงและรัฐบาล
2. ผลลัพธ์ (Outcorne) เป็นตัวชี้วัดระดับกรม
3. ผลผลิต (Output) เป็นตัวชี้วัดระดับสํานัก (หน่วยปฏิบัติ)

30. ข้อใดคือตัวชี้วัดระดับกรม
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

31. ข้อใดคือตัวชี้วัดระดับกระทรวง
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

32. ข้อใดคือเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับกระทรวง
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 5 (คําบรรยาย) 2Q2T1P เป็นเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับรัฐบาล กระทรวง และกรม ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
1. Quantity (ปริมาณ)
2. Quality (คุณลักษณะ)
3. Time (เวลา)
4. Target Group (กลุ่มเป้าหมาย)
5. Place (สถานที่)

33. ข้อใดคือเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับกรม
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34.ข้อใดคือเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับสํานัก (หน่วยปฏิบัติ)
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 4 (คําบรรยาย) QQCT เป็นเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับสํานัก (หน่วยปฏิบัติ) ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
1. Quantity (ปริมาณ)
2. Quality (คุณลักษณะ)
3. Cost (ต้นทุน)
4. Time (เวลา)

35. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของโครงการ
(1) งานสร้างสรรค์
(2) งานประจํา
(3) งานทําซ้ำ
(4) งานซับซ้อนเชี่ยวชาญเฉพาะ
(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะของโครงการ มีดังนี้
1. เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง และความท้าทายบางอย่าง
2. มีข้อจํากัดด้านเวลา มีระยะเวลาที่แน่นอน
3. เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
4. มีความซับซ้อน
5. ต้องใช้ความร่วมมือหลากหลายสาขาเพื่อการเปลี่ยนแปลง
6. ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ
7. มีความชัดเจนแน่นอนสูง
8. มีความสําคัญเร่งด่วน
9. ต้องการความเป็นองค์การในการขับเคลื่อน ฯลฯ

36. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะของโครงการ
(1) งานที่ท้าทาย ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ เป็นเรื่องใหม่ ๆ มีระยะเวลาที่แน่นอน
(2) งานสร้างสรรค์ ต้องใช้ความร่วมมือหลากหลายสาขาเพื่อการเปลี่ยนแปลง มีระยะเวลาที่แน่นอน
(3) งานที่มีความซับซ้อน มีการลงทุนสูง ใช้ความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ไม่กําหนดระยะเวลา
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 35. ประกอบ

37. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของโครงการภาครัฐ
(1) รัฐเป็นเจ้าของโครงการ
(2) มาจากสภาพปัญหาของสังคม
(3) มีผลกระทบต่อสังคมสูง
(4) ได้รับผลตอบแทนสูง
(5) ใช้เงินภาษี
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ลักษณะของโครงการภาครัฐ มีดังนี้
1. รัฐเป็นเจ้าของโครงการ
2. มาจากปัญหาข้อเรียกร้องของประชาชนหรือสภาพปัญหาของสังคม
3. เป็นประโยชน์สาธารณะ
4. มีระยะเวลาแน่นอน งบประมาณสาธารณะ
5. ใช้เงินภาษีหรือ
6. ประเมินผลตอบแทนยาก
7. มีผลกระทบต่อสังคมสูง

38. ข้อใดคือขอบเขตและคุณภาพของการบริหารโครงการ
(1) เวลา ต้นทุน แผนงาน
(2) เวลา ต้นทุน นโยบาย
(3) เวลา ต้นทุน หนี้ ความเสี่ยง
(4) เวลา ต้นทุน กําไร ความเสี่ยง
(5) เวลา ต้นทุน ความพร้อมของทรัพยากร ความเสี่ยง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขอบเขตและคุณภาพของการบริหารโครงการ มีองค์ประกอบดังนี้
1. เวลา (Time)
2. ต้นทุน (Cost)
3. ความพร้อมของทรัพยากร (Resource Availability)
4. ความเสี่ยง (Risk)

39. ข้อใดถูกต้อง
(1) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมีเสถียรภาพสูงและคล่องตัว
(2) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการประหยัด มีประสิทธิภาพ
(3) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมักขาดการประสานงาน ไม่คล่องตัว
(4) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการประสานงานได้รวดเร็วคล่องตัว
(5) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมีต้นทุนสูง
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบดั้งเดิม (Traditional Bureaucracy) เป็นการจัดโครงสร้าง โครงการที่อยู่ในโครงสร้างเดิมแบบราชการ ข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ ประหยัด ไม่ต้องปรับโครงสร้างใหม่ และมีผู้รับผิดชอบหรือเจ้าของผลงานชัดเจน ส่วนข้อจํากัดคือ ขาดการประสานงาน ไม่คล่องตัว และไม่เหมาะกับโครงการขนาดใหญ่หรือซับซ้อน

40. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างแบบโครงการ
(1) จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะหรือแยกออกมาจากโครงสร้างเดิม
(2) โครงสร้างเป็นแบบแนวราบ มีความคล่องตัว
(3) มีทรัพยากรเป็นของตัวเอง
(4) ประหยัด มีประสิทธิภาพ
(5) สนับสนุนการทํางานเป็นทีม
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบโครงการ (Project Organization) เป็นการจัดโครงสร้าง ขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะหรือแยกออกมาจากโครงสร้างเดิม โดยเน้นโครงสร้างแบบแนวราบและ เน้นการทํางานเป็นทีม ซึ่งข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ มีความคล่องตัวและสะดวก ในการบริหารจัดการ มุ่งเน้นผลลัพธ์ และมีทรัพยากรเป็นของตัวเอง ส่วนข้อจํากัดคือ สิ้นเปลืองทรัพยากรหากมีโครงการจํานวนมาก

41. ประยุทธ์มีตําแหน่งวิศวกร ประจําสํานักสํารวจวิศวกรรมและธรณีวิทยา, ประวิตรตําแหน่งนักบัญชี ประจํากองการเงินและบัญชี, อนุพงษ์ ประจําสํานักกฎหมายและที่ดิน สังกัดกรมชลประทาน ทั้งสามคน เป็นคณะทํางานในโครงการออกแบบเรือดําน้ํา… ลักษณะที่กล่าวมาเป็นการจัดโครงสร้างโครงการแบบใด
(1) โครงสร้างแบบราชการ
(2) โครงสร้างตามแนวตั้ง
(3) โครงสร้างแบบโครงการ
(4) โครงสร้างแบบราบ
(5) โครงสร้างแบบแมทริกซ์
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบแมทริกซ์ (Matrix Organization) เป็นการจัดโครงสร้าง ที่ผสมระหว่างโครงสร้างแบบเดิมกับโครงสร้างแบบโครงการ โดยใช้กําลังคนในโครงสร้างเดิมมาร่วมในโครงการโดยไม่ละทิ้งหน้าที่เดิม ซึ่งในภาครัฐของไทยมักใช้วิธีการตั้งเป็นคณะกรรมการ โดยมีองค์ประกอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ ประสานงาน ได้รวดเร็วและประหยัด ส่วนข้อจํากัดคือ ขาดความเป็นเจ้าของผลงาน

42.ข้อใดคือข้อจํากัดของการจัดโครงสร้างการบริหารโครงการแบบแมทริกซ์
(1) ประสานงานล่าช้า
(2) สิ้นเปลือง
(3) ไม่เหมาะกับโครงการขนาดใหญ่
(4) ลําดับขั้นการบังคับบัญชาสูง
(5) ขาดความเป็นเจ้าของผลงาน
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43. ข้อใดเรียงลําดับวงจรชีวิตโครงการได้ถูกต้อง
(1) วางแผนกําลังคน สํารวจสถานะ ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(2) สํารวจสถานะ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(3) กําหนดโครงการ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(4) รายงานสถานะโครงการ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 (คําบรรยาย) วงจรชีวิตโครงการ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกําหนดโครงการ
2. การวางแผน
3. การดําเนินการ ซึ่งเป็นขั้นที่มีระดับความพยายามสูงสุด
4. การสิ้นสุดโครงการ

44. วงจรชีวิตโครงการขั้นใดมีระดับความพยายามสูงสุด
(1) สํารวจสภาพแวดล้อม
(2) กําหนดโครงการ
(3) วางแผน
(4) ดําเนินการ
(5) สิ้นสุดโครงการ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45. ผลสําเร็จจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการเป็นผลสําเร็จในระดับใด
(1) Input
(2) Impact
(3) Outcome
(4) Output
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ผลสําเร็จจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการ เป็นผลสําเร็จในระดับ ผลผลิต (Output)

46. ชุดรวมของบรรดาโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน คืออะไร
(1) Mega Project
(2) Program
(3) Policy
(4) Indicator
(5) Planning
ตอบ 2 (คําบรรยาย) แผนงาน (Program) คือ ชุดรวมของบรรดาโครงการ (Project) ต่าง ๆที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน

47. ข้อใดคือหัวข้อแรกในการเขียนโครงการ
(1) ความเป็นมาและความสําคัญ
(2) ชื่อโครงการ
(3) วัตถุประสงค์ของโครงการ
(4) เป้าหมาย
(5) วิธีดําเนินการ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การเขียนโครงการแบบบรรยาย เป็นการเขียนบรรยายรายละเอียดและ องค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในโครงการไล่เรียงไปตามลําดับ ดังนี้
1. ชื่อโครงการ
2. ความเป็นมาและความสําคัญ
3. วัตถุประสงค์
4. เป้าหมาย
5. กิจกรรม/วิธีดําเนินการ
6. ทรัพยากร/งบประมาณที่ใช้ดําเนินโครงการ
7. ระยะเวลาดําเนินการ
8. หน่วยงาน/ผู้รับผิดชอบ
9. อื่น ๆ

48. ข้อใดไม่ใช่หลักในการเขียนวัตถุประสงค์โครงการ
(1) สัน กระชับ
(2) เขียนเป็นรายข้อ
(3) ไม่ควรเกิน 3 ข้อ
(4) เรียงตามความสําคัญมากไปน้อย
(5) เรียงตามความสําคัญน้อยไปมาก
ตอบ 5 (คําบรรยาย) หลักในการเขียนวัตถุประสงค์โครงการ มีดังนี้
1. เขียนเป็นรายข้อว่าทําเพื่ออะไร
2. เรียงลําดับตามความสําคัญจากมากไปน้อย
3. เขียนสั้นกระชับได้ใจความ
4. ไม่ควรมีมากเกินไป ส่วนใหญ่ไม่เกิน 3 ข้อ

49. การเขียนแผนผัง/ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในโครงการกับระยะเวลามักเขียนในรูปแบบใด
(1) Grand Chart
(2) Growth Chart
(3) Gantt Chart
(4) Great Chart
(5) Grace Chart
ตอบ 3 (คําบรรยาย) Gantt Chart คือ แผนผัง/ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในโครงการ กับระยะเวลาดําเนินการ ซึ่งจะทําให้ทราบจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานในแต่ละขั้นตอน

50. ข้อใดคือการประเมินเพื่อหาความจําเป็นหรือความต้องการของโครงการ
(1) Pre-evaluation
(2) Post-evaluation
(3) Ongoing-evaluation
(4) Monitoring
(5) Strategic Assessment
ตอบ 1(คําบรรยาย) การประเมินผลก่อนเริ่มโครงการ (Pre-evaluation) เป็นการประเมิน เพื่อหาความจําเป็นหรือความต้องการของโครงการ (Need Assessment) และการประเมิน ความเป็นไปได้ของโครงการ (Project Appraisal/Project Feasibility Study)

57. ใครมีบทบาทมากที่สุดในการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ
(1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(2) สมาชิกวุฒิสภา
(3) ระบบราชการ
(4) กลุ่มทุน
(5) ประชาชน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 58 – 59. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ตัวแบบผู้นํา
(2) ตัวแบบสถาบัน
(3) ตัวแบบระบบ
(4) ตัวแบบเผด็จการ
(5) ถูกทุกข้อ

58. ตัวแบบการกําหนดนโยบายใดเห็นว่าหน่วยงานของรัฐและประชาชนมีบทบาทในการกําหนดนโยบายน้อย
ตอบ 1 หน้า 3 – 4, 66, (คําบรรยาย) ตัวแบบผู้นํา (Elite Model) เชื่อว่า
1.กลุ่มผู้นํา (นายกรัฐมนตรี) มีบทบาทในการกําหนดนโยบายมาก ในขณะที่หน่วยงานของรัฐ และประชาชนมีบทบาทในการกําหนดนโยบายน้อย
2. นโยบายสาธารณะเป็นการสะท้อนค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา จึงมักไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
3. สถานการณ์ที่จะเกิดนโยบายตามตัวแบบนี้ต้องเป็นสถานการณ์ที่ผู้นํามีอํานาจสูงมาก ในทางการเมืองหรือทางสังคม เช่น ในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร ฯลฯ

59. นายกรัฐมนตรีจะมีบทบาทในการกําหนดนโยบายมากในตัวแบบใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

60. ปัจจัยใดส่งผลต่อนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบผู้นํา
(1) คุณสมบัติของผู้นํา
(2) เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
(3) ค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 4, 66 ปัจจัยที่ส่งผลต่อนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบผู้นํา (Elite Model) ได้แก่
1. ค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา
2. เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
3. คุณสมบัติของผู้นํา

ตั้งแต่ข้อ 61. – 65. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ตัวแบบผู้นํา
(2) ตัวแบบกลุ่ม
(3) ตัวแบบสถาบัน
(4) ตัวแบบระบบ
(5) ตัวแบบเกมส์

61. นโยบายจากตัวแบบใดมักไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

62. ตัวแบบการกําหนดนโยบายใดเห็นว่าหน้าที่ของรัฐคือการเป็นเหมือนกับกรรมการ
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 66 – 67, (คําบรรยาย) ตัวแบบกลุ่ม (Group Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตที่เกิดจากดุลยภาพของการแข่งขันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งแต่ละกลุ่ม ต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอํานาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ ดังนั้น รัฐหรือระบบการเมืองจึงมีหน้าที่ 4 ประการ ได้แก่
1. สร้างกติกาการแข่งขันและเป็นกรรมการหรือผู้ควบคุมการแข่งขันให้เกิดความยุติธรรม
2. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอม เพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
3. จัดสรรผลประโยชน์หรือกําหนดนโยบาย
4. นํานโยบายไปปฏิบัติ

63. จุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ จะส่งผลต่อนโยบายสาธารณะในตัวแบบใด
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 66 – 67 ปัจจัยที่ส่งผลต่อนโยบายสาธารณะที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบกลุ่ม (Group Model) ได้แก่
1. จุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ
2. การประนีประนอม
3. ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม ฯลฯ

64. ระบบการเมืองทําหน้าที่ภายใต้แรงกดดันของระบบอื่น ๆ
ตอบ 4 หน้า 6, 67 ตัวแบบระบบ (System Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลของปฏิกิริยา ที่ระบบการเมืองมีต่อแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมภายนอก หรือกล่าวอีกนัย ระบบการเมือง ทําหน้าที่กําหนดนโยบายสาธารณะภายใต้แรงกดดันของระบบอื่น ๆ ที่มิใช่ระบบการเมืองหรือ เรียกว่าสภาพแวดล้อมภายนอก ดังนั้นตัวระบบการเมืองจะทําหน้าที่เป็นตัวกระทําของระบบ (Conversion Process) ขณะที่สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ข้อเรียกร้องความต้องการ หรือ การสนับสนุนของประชาชนจะเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบ (Inputs) และนโยบายสาธารณะ จะเป็นปัจจัยนําออกของระบบ (Outputs) ซึ่งถูกส่งออกสู่สภาพแวดล้อมภายนอกและกลายเป็น ปัจจัยนําเข้าสู่ระบบการเมืองเป็นวงจร ดังนั้นสภาพแวดล้อมภายนอกและระบบการเมืองจึงเป็นปัจจัยสําคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของนโยบายสาธารณะ

65. ตัวแบบใดมองว่าสภาพแวดล้อม คือ ปัจจัยที่จะส่งผลต่อนโยบายสาธารณะ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

66. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของกลไกรัฐในตัวแบบกลุ่ม
(1) สร้างกติกา
(2) ริเริ่มนโยบาย
(3) หาลู่ทางประนีประนอม
(4) จัดสรรผลประโยชน์
(5) นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

67. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบกลุ่ม
(1) การประนีประนอม
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม
(3) ดุลยภาพของผลประโยชน์
(4) เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 63. ประกอบ

68. ปัจจัยใดส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่ม
(1) จํานวนสมาชิก
(2) ฐานะทางเศรษฐกิจ
(3) ลักษณะของผู้นํากลุ่ม
(4) ความสามัคคีของกลุ่ม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่ม มีดังนี้
1. จํานวนสมาชิกของกลุ่ม
2. ฐานะทางเศรษฐกิจของกลุ่ม
3. ความเข้มแข็งในการจัดองค์การของกลุ่ม
4. ลักษณะของผู้นํากลุ่ม
5. ความใกล้ชิดกับผู้มีอํานาจในการกําหนดนโยบายของกลุ่มหรืออยู่ใกล้ศูนย์กลางของอํานาจ
6. ความสามัคคีของกลุ่ม

69. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ประชาชน
(2) หน่วยงานของรัฐ
(3) นายทุน
(4) ภูมิภาค
(5) พรรคการเมือง
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบสถาบัน (Institution Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตามจะได้ชื่อว่าเป็น
นโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไป ตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบัน การปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ (หน่วยงานของรัฐ) สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 70 – 71. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) นโยบายสาธารณะ
(2) ข้อเรียกร้องของประชาชน
(3) การสนับสนุนของประชาชน
(4) สภาพแวดล้อม
(5) ถูกทั้งข้อ 2, 3 และ 4

70. ตัวแบบระบบมองว่าอะไรคือปัจจัยนําเข้า
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

71. ตัวแบบระบบมองว่าอะไรคือปัจจัยนําออก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

72. สิ่งแวดล้อมแบบใดควบคุมไม่ได้
(1) จํานวนคน
(2) ค่านิยม
(3) เทคโนโลยี
(4) ลักษณะทางภูมิศาสตร์
(5) งบประมาณ
ตอบ 2 หน้า 12, (คําบรรยาย) สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย งบประมาณ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

73.Controlled Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคอีสาน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 72. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 74 – 75. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การระบุปัญหาที่ถูกต้อง
(2) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบายที่รัดกุม
(3) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบายอย่างครบถ้วน
(4) ออกแบบทางเลือกนโยบายที่หลากหลาย
(5) การตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด

74. ขั้นตอนใดมีความสําคัญที่สุดในกระบวนการนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 12 (คําบรรยาย) การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหา โดยการเก็บรวบรวม ข้อมูลจากสถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูลทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใดเร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นการระบุปัญหาจึงเป็นขั้นตอนที่มีความสําคัญที่สุดในกระบวนการ กําหนดนโยบาย เพราะการระบุปัญหาที่ถูกต้องจะนําไปสู่การกําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป

75. ศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริง หรือข้อมูลภาคสนามเพื่อจะทราบปัญหา คือขั้นตอนใดในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

76. ข้อมูลประเภทใดที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
(1) ข้อมูลทุกประเภท
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(4) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการเดิม
ตอบ 4 หน้า 11 การระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบายต้องอาศัย “ข้อมูล” เป็นสําคัญ โดยข้อมูลในการระบุสาเหตุของปัญหาต้องประกอบด้วย
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

ตั้งแต่ข้อ 77 – 78. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
(2) มีความเป็นพลวัต
(3) มีความเป็นปรนัย
(4) อาจไม่มีตัวตนที่แท้จริง
(5) กล่าวถูกทุกข้อ

77. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับลักษณะของปัญหาในกระบวนการนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 8 – 9, 69 ลักษณะของปัญหาในกระบวนการนโยบายมี 4 ลักษณะ ดังนี้
1. มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน (Integration)
2. มีความเป็นพลวัต (Dynamic)
3. มีความเป็นอัตนัย (Subjective)
4. อาจไม่มีตัวตนที่แท้จริง (Artificiality)

78. ปัญหามักเปลี่ยนแปลงไปตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม คือลักษณะใดของปัญหา
ตอบ 2 หน้า 9 ปัญหาที่มีความเป็นพลวัต (Dynamic) หมายถึง การที่ปัญหามักแปรเปลี่ยน ลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจนําไปสู่การแปรเปลี่ยนให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกได้ ดังนั้นการกําหนดปัญหาของนโยบายจึงไม่มีข้อสรุปที่ถาวร

79. ข้อใดคือปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน
(1) การสร้างที่ทําการขององค์การ
(2) ความยากจนในสังคมไทย
(3) ความแตกต่างทางความคิดเห็น
(4) การแพร่ระบาดของโควิด-19
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 10 ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน (Well-Structured Problem) คือ ปัญหาที่มีผู้เกี่ยวข้อง จํานวนน้อย และมีทางออกในการแก้ไขปัญหาเพียงไม่กี่ทางเลือก ซึ่งแต่ละทางเลือกสามารถ มองเห็นผลประโยชน์ของทางเลือกได้ชัดเจน เช่น ปัญหาในการจัดสร้างที่ทําการขององค์การ ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องคือผู้ที่อยู่ในองค์การนั้น ทางออกคือสร้างหรือไม่สร้าง และประโยชน์จาก การสร้างคือได้ที่ทําการใหม่ เป็นต้น

80. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการระบุปัญหา
(1) สาเหตุ
(2) อาการ
(3) การประเมินผลนโยบาย
(4) ความเร่งด่วน
(5) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ตอบ 3 หน้า 11, 70 ขั้นตอนการระบุปัญหา ประกอบด้วย
1. การระบุสาเหตุของปัญหา เป็นการระบุต้นตอของปัญหา เพราะการแก้ปัญหาใด ๆ นั้นต้อง รู้ถึงต้นตอของปัญหาจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้หมดสิ้น ทั้งนี้การระบุสาเหตุของปัญหา ต้องอาศัย “ข้อมูล” เป็นสําคัญ
2. การระบุอาการของปัญหา เป็นการนิยามหรืออธิบายว่าอะไรคือปัญหา ผลกระทบของปัญหา คืออะไร ใครคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และปัญหามีความรุนแรงหรือเร่งด่วนเพียงไร

81. อะไรคือสิ่งสําคัญในขั้นตอนการระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบาย
(1) เป้าหมาย
(2) วัตถุประสงค์
(3) การนําไปปฏิบัติ
(4) ข้อมูล
(5) การประเมินผล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

82. การกําหนดเป้าหมายของนโยบายควรมีลักษณะแบบใด
(1) เที่ยงตรง
(2) เปิดช่องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตีความได้
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(3) ครอบคลุมประเด็นปัญหา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 70 การกําหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความเที่ยงตรง
2. มีความชัดเจน เข้าใจตรงกันไม่ต้องตีความ
3. มีความเป็นไปได้
4. ครอบคลุมประเด็นปัญหา
5. วัดผลได้

83. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์
(1) เป็นวิธีการ
(2) เจาะจง
(3) สิ่งสุดท้ายที่ต้องการบรรลุ
(4) เป็นรูปธรรม
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 70 เป้าหมาย (Goal) และวัตถุประสงค์ (Objective) มีความแตกต่างกันดังนี้

ตั้งแต่ข้อ 84 – 87. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การระบุปัญหา
(2) ทดสอบทางเลือก
(3) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย
(4) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(5) การพัฒนาทางเลือกนโยบาย

84. ขั้นตอนการกําหนดว่าจะเริ่มที่ใด สิ้นสุด ณ จุดใด
ตอบ 3 หน้า 13 การกําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย เป็นการกําหนดว่านโยบายจะมีขอบเขตกว้างไกลแค่ไหน จะเริ่มที่ใด สิ้นสุด ณ จุดใด จะแก้ไขปัญหาในส่วนใดได้บ้าง โดยพิจารณา ความเหมาะสมให้สอดคล้องกับอํานาจหน้าที่และความสามารถของหน่วยงาน ตลอดจน ความสมบูรณ์ของทรัพยากรที่สามารถระดมมาใช้ในการปฏิบัติได้

85. ศึกษาความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย รวมทั้งการยอมรับต่อนโยบาย คือขั้นตอนใด
ตอบ 4 หน้า 13 การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย คือการศึกษาข้อจํากัดด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ข้อมูล
2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย
3. การรับรู้และการยอมรับต่อนโยบาย
4. สิ่งแวดล้อมทั่วไป

86. การพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดของนโยบาย คือขั้นตอนใด
ตอบ 5 หน้า 13, 71 การออกแบบทางเลือกนโยบายหรือการพัฒนาทางเลือกนโยบาย คือ การใช้ ความรู้ ประสบการณ์ของผู้กําหนดนโยบายร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือกซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใดที่สามารถปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นนี้ต้องพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดของนโยบายให้ครบถ้วน

87.การตรวจสอบทางความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิเคราะห์และการประยุกต์ทั้งหลายคือขั้นตอนใด
ตอบ 2 หน้า 14 การทดสอบทางเลือก คือ การทบทวนความเหมาะสมของขั้นตอนและข้อมูลที่ใช้ ทั้งทางด้านหลักการเหตุผล ทางเลือกของนโยบาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลว่ายังพอเพียง และดีอยู่ ตลอดจนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิธีวิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายว่าเป็นระบบและสอดคล้องต้องกันอย่างแท้จริง

88. ข้อใดเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์นโยบาย
(1) วิเคราะห์ปัญหา
(2) วิเคราะห์เป้าหมาย
(3) วิเคราะห์ทางเลือก
(4) วิเคราะห์แนวปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 16, 72 การวิเคราะห์นโยบาย มีหลายลักษณะดังนี้
1. วิเคราะห์สภาพปัญหาของนโยบาย
2. วิเคราะห์เป้าหมายของนโยบาย
3. วิเคราะห์ทางเลือกของนโยบาย
4. วิเคราะห์แนวปฏิบัติของนโยบาย
5. วิเคราะห์ผลลัพธ์ของนโยบาย

89.การส่งมอบงานตึก 12 ชั้น คณะรัฐศาสตร์ เป็นขั้นตอนใดของนโยบาย
(1) Policy Formulation
(2) Policy Analysis
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Implementation
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนของ การแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา/การตระเตรียม วิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

90. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมาก
(2) ความต้องการต่อนโยบายหลากหลายและแตกต่างกัน
(3) นโยบายมักจะรวบรัดและมีรายละเอียดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
(4) ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 17 – 18, 72 Randall Ripley และ Grace Franklin กล่าวว่า ในการนํานโยบาย ไปปฏิบัตินั้นมีประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติต้องทําความเข้าใจอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1. มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมาก
2. ความต้องการต่อนโยบายหลากหลายและแตกต่างกัน
3. นโยบายมักมีขนาดใหญ่โตขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
4. ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
5. มีปัจจัยจํานวนมากที่ไม่สามารถควบคุมได้

91. เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดใหญ่โตหน้าเวลา
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดเล็กลง
(5) มีขนาดเล็กลงหรือโตขึ้นตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90. ประกอบ

92. ลักษณะของนโยบายแบบใดที่มีโอกาสนําไปปฏิบัติได้สําเร็จสูง
(1) สร้างการเปลี่ยนแปลงมาก
(2) เห็นผลชัดเจน
(3) มีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 18 อาจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า ลักษณะของนโยบายที่มีแนวโน้มจะ ประสบความสําเร็จหรือมีโอกาสนําไปปฏิบัติได้สําเร็จสูงมีลักษณะดังนี้
1. เป็นนโยบายที่ไม่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป
2. เห็นผลได้ชัดเจน
3. มีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน

93. ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติจะมีผลต่อความสําเร็จของนโยบายมากในกรณีใด
(1) ทรัพยากรไม่เพียงพอ
(2) สังคมไม่สนับสนุนนโยบาย
(3) เวลาไม่เอื้ออํานวย
(4) วัตถุประสงค์ของนโยบายไม่ชัดเจน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติจะมีผลต่อความสําเร็จของนโยบายมากในกรณีวัตถุประสงค์ของนโยบายไม่ชัดเจน

94. ความเป็นไปได้ทางการเมืองของนโยบายขึ้นอยู่กับสิ่งใด
(1) อัตราส่วนของ ส.ส. ในสภา
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและข้าราชการ
(3) การสนับสนุนจากสาธารณชน
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 19, 74, (คําบรรยาย) ความเป็นไปได้ทางการเมืองของนโยบายขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
1. เสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อัตราส่วนของ ส.ส. ในสภา เป็นต้น
2. ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ (ข้าราชการ) และเอกชน
3. การสนับสนุนจากสาธารณชน

95. องค์การลักษณะใดมีโอกาสนํานโยบายไปปฏิบัติได้สําเร็จสูง
(1) องค์การแบบยึดกฎระเบียบ
(2) องค์การแบบกระจายอํานาจ
(3) องค์การแบบแนวดิ่ง
(4) องค์การแบบแนวราบ
(5) ขึ้นอยู่กับลักษณะของนโยบาย
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะขององค์การที่มีโอกาสนํานโยบายไปปฏิบัติได้สําเร็จสูงนั้นขึ้นอยู่กับ ลักษณะของนโยบายเป็นสําคัญ บางนโยบายอาจจะต้องใช้องค์การแบบยึดกฎระเบียบจึงจะสําเร็จ บางนโยบายอาจจะต้องใช้องค์การแบบกระจายอํานาจจึงจะสําเร็จ ดังนั้นการนํา นโยบายไปปฏิบัติจะสําเร็จหรือล้มเหลวจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์การแบบใดแบบหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะของนโยบายที่จะต้องมีความเหมาะสมกับองค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ

96. ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติหมายถึงอะไร
(1) วัฒนธรรม
(2) การจัดองค์การ
(3) ความรู้สึกต่อนโยบาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 78 ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
1. ความสามารถ ลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ
2. วัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ
3. ประสบการณ์
4. ความรู้สึกต่อนโยบาย

97. ข้าราชการเกียร์ว่าง เป็นปัญหาด้านใด
(1) ทรัพยากร
(2) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(3) ความถูกต้องทางทฤษฎี
(4) วัตถุประสงค์ของนโยบาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ข้าราชการเกียร์ว่าง เป็นปัญหาด้านความเป็นไปได้ทางการเมือง ซึ่งก็คือเรื่องของ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับข้าราชการ ทําให้ข้าราชการปฏิบัติตามนโยบายอย่างไม่เต็มที่ ซึ่งส่งผลให้การนํานโยบายไปปฏิบัติอาจไม่ประสบความสําเร็จ

98. ศรีธนนชัยนําข้าวของในบ้านไปทิ้งเพราะรู้สึกขี้เกียจ เมื่อแม่บอกให้ทําความสะอาดบ้านให้เตียนโล่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาอะไร
(1) ความขัดแย้งในตัวเองของนโยบาย
(2) วัตถุประสงค์ของนโยบาย
(3) ทัศนคติของศรีธนนชัย
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การที่ศรีธนนชัยนําข้าวของในบ้านไปทิ้งเพราะรู้สึกขี้เกียจ เมื่อแม่บอกให้ ทําความสะอาดบ้านให้เตียนโล่งนั้น แสดงให้เห็นถึงปัญหาด้านทัศนคติของศรีธนนชัยและ วัตถุประสงค์ของนโยบายที่ไม่ชัดเจน ทําให้เกิดการตีความนโยบายหรือเข้าใจในนโยบาย ไม่ตรงกับที่ผู้กําหนดนโยบายกําหนดไว้

99. โรงเรียนยังคงเก็บค่าบํารุงกิจกรรม แม้มีนโยบายเรียนฟรี เป็นปัญหาด้านใด
(1) ทรัพยากร
(2) ตัวชี้วัด
(3) เป้าหมายของนโยบาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 19, 76, (คําบรรยาย) โรงเรียนยังคงเก็บค่าบํารุงกิจกรรม แม้มีนโยบายเรียนฟรี เป็นปัญหาด้านทรัพยากรซึ่งก็คือเรื่องของเงินทุนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งทรัพยากรนี้ถือเป็นปัจจัยสําคัญของการนํานโยบายไปปฏิบัติ หากทรัพยากรมีไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการปฏิบัติตามนโยบาย

100. มีการฉีดน้ําใส่เครื่องวัดละอองฝุ่น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาด้านใด
(1) เป้าหมายของนโยบาย
(2) ความถูกต้องทางทฤษฎี
(3) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(4) ตัวชี้วัด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การฉีดน้ําใส่เครื่องวัดละอองฝุ่น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาเรื่อง ตัวชี้วัด ดังนั้นการกําหนดตัวชี้วัดจะต้องครอบคลุมและรัดกุม จึงจะทําให้นํานโยบายไปปฏิบัติเป็นไปตามเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. การกําหนดวัตถุประสงค์ในการวางแผนโครงการคือข้อใด
(1) การกําหนดบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน
(2) การระบุสภาพของผลลัพธ์ที่ต้องการจะให้เกิดขึ้น
(3) การกําหนดตัวชี้วัดของผลการปฏิบัติงาน
(4) การกําหนดระยะเวลาการดําเนินงานโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ขั้นตอนของการวางแผนโครงการ มีดังนี้
1. การรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ทําให้รับรู้ถึงปัญหาและความต้องการต่าง ๆ และสามารถประเมินสถานการณ์ที่แท้จริงได้อย่างถูกต้อง
2. การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ
3. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย คือ การระบุสภาพของผลลัพธ์ที่ต้องการจะให้เกิดขึ้น
4. การเสนอเพื่อพิจารณา จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
5. การคิดค้นทางเลือก เป็นขั้นตอนที่ต้องทํารายละเอียด 6W 2H
6. การวิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือก โดยการใช้ข้อมูลจากผลการศึกษาความเป็นไปได้ของ
โครงการมาพิจารณา
7. การเสนอเพื่อพิจารณาอีกรอบหนึ่ง จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
8. การจัดทําข้อเสนอโครงการ

2. ข้อใดเป็นคํากล่าวที่ถูกต้องในเรื่องประเภทของแผน
(1) แผนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
(2) แผนระยะสั้น 3 ปี
(3) แผนระยะปานกลาง 6 ปี
(4) แผนระยะสั้น 4 ปี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 23, (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทของแผนหรือแผนงาน (Plan) โดยใช้เกณฑ์
ระยะเวลา (Time Span) อาจจําแนกได้ดังนี้
1. แผนระยะสั้น เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 2 ปี ซึ่งสามารถวางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
2. แผนระยะปานกลาง เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 2 – 5 ปี ซึ่งนิยมใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศ
3. แผนระยะยาว เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

3.คํากล่าวที่ว่านโยบายหมายถึง “การตัดสินใจขั้นต้นที่กําหนดแนวทางทั่วไปอย่างกว้าง ๆ เพื่อนําไปสู่ การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้” เป็นของผู้ใด
(1) ดร.กระมล ทองธรรมชาติ
(2) Gulick and Urwick
(3) William T. Greenwood
(4) William Dunn
(5) Thomas R. Dye
ตอบ 3 หน้า 1 William T. Greenwood กล่าวว่า นโยบาย (Policy) หมายถึง การตัดสินใจขั้นต้นที่กําหนดแนวทางทั่วไปอย่างกว้าง ๆ เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

4.แผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น จัดเป็นแผนประเภทใด
(1) แผนรายปี
(2) แผนงบประมาณ
(3) แผนการเงิน
(4) แผนโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สําหรับแผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นแผนประเภทแผนรายปี แผนงบประมาณ แผนการเงิน แผนระยะสั้น หรือแผนโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจําแนก

5. ทรัพยากรในการบริหารงานภาครัฐมีลักษณะอย่างไรในปัจจุบัน
(1) ทรัพยากรมีมูลค่าสูงขึ้นมาก
(2) การใช้ทรัพยากรควรคํานึงถึงมูลค่า
(3) ทรัพยากรมีลักษณะคงที่เหมือนเช่นในอดีต
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 2 และข้อ 3
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สถานการณ์ที่ผู้บริหารองค์การภาครัฐต้องเผชิญอยู่เสมอ ได้แก่
1. ปัญหาทางการบริหารมีความสลับซับซ้อน ซึ่งหน่วยงานเดียวไม่สามารถจัดการกับปัญหาทางการบริหารได้ การละเลยการแก้ไขปัญหาจะนําความเสียหายมาสู่องค์การ และควรมีการจัดหน่วยงานโครงการเข้ามารับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา
2. ความต้องการของลูกค้าและผู้รับบริการมีความหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บางครั้งความต้องการเกินกว่าความสามารถในการตอบสนองของภาครัฐ
3. ทรัพยากรมีมูลค่าสูงขึ้น การใช้ทรัพยากรควรคํานึงถึงมูลค่าด้วย
4. การใช้เทคโนโลยีก้าวหน้ามีความจําเป็นและสําคัญมากขึ้น ควรคํานึงถึงเรื่องความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่จะใช้ และผลกระทบที่จะได้รับจากการใช้เทคโนโลยี
5. การเพิ่มความรวดเร็วและความถูกต้องในการให้บริการลูกค้า
6. การแข่งขันระหว่างกิจการต่าง ๆ มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
7. การพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์
8. การเผชิญกับภาวะวิกฤติและความเสี่ยงต่าง ๆ

6.ลักษณะของตัวแบบในแนวการอธิบายนโยบาย “ใช้ในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร”
(1) Group Model
(2) Institution Model
(3) System Model
(4) Elite Model
(5) Incremental Model
ตอบ 4 หน้า 3 – 4 ตัวแบบหรือทฤษฎีผู้นํา (Elite Model Theory) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เกิดขึ้นจากความต้องการของผู้นําหรือผู้มีอํานาจ หรือเป็นแนวทางที่สะท้อนค่านิยมที่เลือกสรรแล้วของผู้นํา โดยไม่จําเป็นต้องสนใจว่าสาธารณชนจะสนใจหรือพึงพอใจหรือไม่ ซึ่งนโยบายที่ออกมาก็มักจะให้ประโยชน์แก่ผู้นําและผู้ใกล้ชิดเอง ดังนั้นสถานการณ์ที่จะเกิดนโยบายตามตัวแบบนี้ได้ จึงต้องเป็นสถานการณ์ที่ผู้นํามีอํานาจสูงมากในทางการเมืองหรือทางสังคม เช่น การปกครอง ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นต้น

7. การมีความหมายในตัวของปัญหาเอง
(1) Dynamic
(2) Artificiality
(3) Subjectivity
(4) Integration
(5) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
ตอบ 3 หน้า 9 ปัญหาที่มีลักษณะเป็นอัตนัย (Subjectivity) หมายถึง ในปัญหาหนึ่ง ๆ นั้น ต่างก็มีความหมายในตัวของปัญหาเอง ขึ้นอยู่กับผู้รับรู้หรือผู้กําหนดนโยบายว่าจะสามารถรับรู้หรือ ตระหนักได้ถึงความเป็นปัญหาหรือไม่ การตระหนักปัญหาได้เร็วหรือรับรู้ปัญหาได้ก่อนจึงเป็น คุณสมบัติที่ดีของผู้กําหนดนโยบาย เพราะจะทําให้สามารถกําหนดนโยบายได้ทันการณ์

8.Controlled Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนในภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 12 สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

9. ขั้นตอนสุดท้ายของวงจรโครงการของภาครัฐ คือ
(1) การจัดทําข้อเสนอโครงการ
(2) การประเมินผลและปรับปรุงแก้ไข
(3) การส่งมอบงานโครงการ
(4) การอนุมัติโครงการ
(5) การลงทุนในโครงการ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) วงจรโครงการขององค์การภาครัฐ มี 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวางแผน การประเมิน และการจัดทําข้อเสนอโครงการ ประกอบด้วย
1.1 การกําหนดแนวคิดโครงการ เช่น การกําหนดเงื่อนไขของโครงการ (Terms of Reference : TOR)
1.2 การศึกษาความเป็นไปได้และประเมินโครงการ ซึ่งมีประโยชน์เพื่ออนุมัติโครงการ ให้มีการดําเนินการต่อไปได้หรือไม่
1.3 การจัดทําข้อเสนออันเป็นรายละเอียด หรือการออกแบบโครงการ
2. การคัดเลือก การอนุมัติ และการเตรียมความพร้อม
3. การปฏิบัติการ การควบคุม การยุติและส่งมอบ เช่น การนําโครงการขององค์การภาครัฐ ไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นการทํางานของผู้จัดโครงการและผู้ร่วมงาน
4. การประเมินผลและปรับปรุงแก้ไข เช่น การวัดความสําเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการ

10.การวางแผนแบบประสมประสาน มีขั้นตอนสําคัญอยู่ที่ใด
(1) การวิเคราะห์สถานการณ์แบบก้าวหน้า
(2) การทําแบบจําลอง (Model) ของแผน
(3) การเก็บข้อมูลที่กว้างขวาง
(4) การสร้างเศรษฐกิจของแผน
(5) การขออนุมัติหลักการของแผนก่อนเขียนแผนขั้นตอนสุดท้าย
ตอบ 2 หน้า 29 (คําบรรยาย) การวางแผนแบบสมบูรณ์แบบหรือประสมประสานหรือแผนรวม(Comprehensive Planning) เป็นการวางแผนที่กล่าวถึงเป้าหมายที่ต้องการก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากการสร้างแบบจําลองการเจริญเติบโต (Growth Model) ของแผนก่อน ซึ่งเป็น การคํานวณอัตราการเจริญเติบโตที่คาดหวังไว้ในรูปของการบริโภค เงินออม การลงทุน การนําเข้า-ส่งออก การจ้างงาน ความต้องการ (Demand) และความสามารถในการตอบสนอง (Supply) ของภาครัฐและภาคเอกชนรวมกัน โดยการวางแผนในรูปแบบนี้จะมีการวางแผน ทั้งแบบ Forward และ Backward และมีการกล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนไว้อย่างครบถ้วน จึงนับว่าเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเหมาะสมสําหรับการวางแผนภาครัฐด้านเศรษฐกิจ และในสถานการณ์ที่หน่วยงานวางแผนมีความชํานาญแล้ว

11.ดร.สมพร แสงชัย กล่าวว่า การพิจารณาสภาพแวดล้อมนั้นต้องพิจารณาอะไรบ้าง
(1) พิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ
(2) พิจารณาปัญหา
(3) พิจารณาความต้องการของประชาชน
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 37 – 39 ดร.สมพร แสงชัย กล่าวว่า กระบวนการวางโครงการมีขั้นตอนสําคัญ ๆ 8 ขั้นตอน ดังนี้
1. การพิจารณาสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อศึกษาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน
2. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
3. การหาวิธีการแก้ไข
4. การจัดทําโครงการตามวิธีการที่ดีที่สุด ซึ่งประกอบด้วย การกําหนดเป้าหมายให้ละเอียด การระบุชื่อผู้รับผิดชอบโครงการ (Project Manager) และ การจัดทําโครงการปฏิบัติหรือการจัดทํา “Project Programming
5. การเสนอโครงการเพื่อพิจารณาอนุมัติ
6. การเสนอของบประมาณ
7. การนําโครงการไปปฏิบัติ
8. การประเมินผลโครงการ

12. สถานการณ์ที่ผู้บริหารองค์การภาครัฐต้องเผชิญอยู่เสมอ ได้แก่
(1) หน่วยงานเดียวไม่สามารถจัดการกับปัญหาทางการบริหารได้
(2) ควรจัดหน่วยงานโครงการเข้ามารับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา
(3) การละเลยการแก้ไขปัญหาจะนําความเสียหายมาสู่องค์การ
(4) ปัญหาทางการบริหารมีความสลับซับซ้อน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

13. แนวล่าสุดในการศึกษานโยบายสาธารณะคือแนวใด
(1) การวิเคราะห์นโยบาย
(2) กระบวนการทางนโยบาย
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) เนื้อหาสาระของนโยบาย
(5) การประเมินนโยบาย
ตอบ 1 (คําบรรยาย) แนวทางการศึกษานโยบายสาธารณะตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีวิวัฒนาการ ตามลําดับ ดังนี้
1. การศึกษาเนื้อหาทางด้านนโยบายสาธารณะ (Policy-Issue Knowledge)
2. การศึกษากระบวนการทางนโยบายสาธารณะ (Policy Process)
3. การศึกษาแนวทางการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ (Policy Analysis)

14.การตอบคําถาม “ทําไม” ในกระบวนการวางแผนโครงการรวมถึงขั้นตอนใด
(1) การอธิบายถึงหลักการและเหตุผลของโครงการ
(2) การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ
(3) การระบุตัวชี้วัดด้านปริมาณงานและคุณภาพของงาน
(4) การระบุตัวชีวัดด้านเวลา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) 6W 2H คือ การจัดวางรายละเอียดของวิธีการวางแผนโครงการ ซึ่งเป็นการตอบคําถามต่าง ๆ ดังนี้
1. Why (จะทําทําไม) คือ การอธิบายถึงหลักการและเหตุผลของโครงการ การกําหนด วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ (ได้แก่ SMART Principle) การระบุตัวชี้วัด ด้านเวลา ด้านปริมาณงานและคุณภาพของงาน
2. What (จะทําอะไร) คือ การระบุกิจกรรมหลักที่ต้องทํา
3. When (จะทําเมื่อไหร่) คือ การกําหนดกรอบเวลาในการดําเนินโครงการ
4. Where (จะทําที่ไหน) คือ การพิจารณาสถานที่ดําเนินโครงการ
5. Who (จะทําโดยใคร) คือ การคาดการณ์กําลังคนที่ต้องการ
6. Whom (จะทําเพื่อใคร) คือ กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผล
7. How (จะทําอย่างไร) คือ กฎระเบียบ เทคโนโลยีและมาตรการปฏิบัติงาน
8. How Much (จะจ่ายเท่าไหร่) คือ งบประมาณ ค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อม

15. “การพิจารณาแหล่งที่มาของงบประมาณ” เป็นการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการในด้านใด
(1) ด้านสิ่งแวดล้อม
(2) ด้านการเงิน
(3) ด้านเทคนิค
(4) ด้านเศรษฐกิจ
(5) ด้านการตลาด
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการในด้านการเงิน มีดังนี้
1. การพิจารณาแหล่งที่มาของงบประมาณ
2. การวิเคราะห์การใช้จ่ายทางการเงินล่วงหน้า ฯลฯ

16. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การระดมสมอง/เทคนิคพยากรณ์”
(1) การสิ้นสุดของนโยบาย
(2) การประเมินผลนโยบาย
(3) การก่อตัวของนโยบาย
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) การกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 (คําบรรยาย) เทคนิควิธีการวิเคราะห์นโยบายที่ควรนํามาใช้วิเคราะห์นโยบายในช่วงต่าง ๆ อาจแยกพิจารณาได้ดังนี้
1. ในช่วงการก่อตัวของนโยบาย เทคนิคที่ใช้คือ การระดมสมอง เทคนิคพยากรณ์ และ การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติและเนื้อหา
2. ในช่วงการกําหนดนโยบาย เทคนิคที่ใช้คือ การวิเคราะห์ความเสี่ยงในการตัดสินใจ และ การวิเคราะห์ต้นทุนผลประโยชน์
3. ในช่วงการนํานโยบายไปปฏิบัติ เทคนิคที่ใช้คือ การวิเคราะห์ข่ายงาน การบริหารคุณภาพ เช่น การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์/ผลสําเร็จ
4. ในช่วงการประเมินผลนโยบาย เทคนิคที่ใช้คือ การวิจัยประเมินผล
5. ในช่วงการสิ้นสุดของนโยบาย เทคนิคที่ใช้คือ การจัดสร้างองค์การใหม่ เป็นต้น

17. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การวิเคราะห์และประเมินความเป็นไปได้”
(1) Output Monitoring
(2) Feasibility Study
(3) Process Monitoring
(4) Effectiveness Evaluation
(5) Efficiency Measurement
ตอบ 2(คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ของนโยบาย คือ การศึกษาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของนโยบาย โดยมุ่งศึกษาหาคําตอบว่านโยบาย มีโอกาสประสบผลสําเร็จมากน้อยเพียงใด

18. โครงการประเภท “ริเริ่มหรือนวัตกรรม” ได้แก่ข้อใด
(1) การให้บริการทางอินเทอร์เน็ต
(2) การเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่
(3) การก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่
(4) การใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรใหม่
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ประเภทของโครงการ จําแนกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. โครงการปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหา เช่น โครงการ One Stop Service เป็นการให้บริการ แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว และการจัดหน่วยบริการประชาชนนอกสถานที่ทํางาน
2. โครงการริเริ่มหรือนวัตกรรม เช่น การเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ การก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ การสร้างอาคารสํานักงานใหม่ การให้บริการทางอินเทอร์เน็ต และการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรใหม่
3. โครงการวิจัยและพัฒนา มีลักษณะเป็นโครงการใหม่หรือโครงการบุกเบิก อาจใช้ชื่อเรียกว่า โครงการนําร่อง (Pitot Project) หรือเป็นโครงการค้นคว้าทดลอง

19. เหตุใดรัฐสภาเป็นผู้กําหนดนโยบายสาธารณะ
(1) เฉพาะประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
(2) รัฐสภามีหน้าที่ออกกฎหมาย
(3) ผู้แทนราษฎรในรัฐสภามาจากประชาชน
(4) รัฐสภาไม่ใช่ผู้กําหนดนโยบาย
(5) เป็นอํานาจของรัฐสภาในการบริหารประเทศ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) นโยบายสาธารณะ หมายถึง แนวทางที่รัฐกระทําเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อประโยชน์สุขของสังคม โดยนโยบายสาธารณะจะมีรูปร่างที่แตกต่างกัน เช่น เป็นกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับประกาศ สัญญา แผนงาน เป็นต้น ดังนั้นนโยบายสาธารณะจึงอาจ มีที่มาจากสถาบันที่มีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน เช่น นโยบายสาธารณะอาจจะถูกกําหนด มาจากรัฐสภา เนื่องจากรัฐสภามีหน้าที่ออกกฎหมาย เป็นต้น

20. การกลั่นกรองข้อเสนอโครงการภาครัฐ ต้องตรวจสอบประเด็นอะไรบ้าง
(1) เหตุผลความจําเป็นของโครงการ
(2) ความสอดคล้องของโครงการกับแผนพัฒนาประเทศ
(3) วัตถุประสงค์ของโครงการ
(4) ความเหมาะสมของการศึกษาความเป็นไปได้
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การกลั่นกรองข้อเสนอโครงการภาครัฐ ต้องตรวจสอบประเด็น ดังนี้
1. เหตุผลความจําเป็นของโครงการ
2. วัตถุประสงค์ของโครงการ
3. ความสอดคล้อง ของโครงการกับแผนพัฒนาประเทศ
4. ความเหมาะสมของการศึกษาความเป็นไปได้

21. ความเห็นพ้องต้องกันระหว่างรัฐบาลกับเอกชน นโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายเอกชนด้วยดีจะได้รับความสําเร็จได้ดีกว่า
(1) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(4) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(5) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
ตอบ 4 หน้า 19 นโยบายที่มีความเป็นไปได้ทางการเมือง ควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความเห็นพ้องต้องกันระหว่างรัฐบาลกับเอกชน ซึ่งนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจาก ฝ่ายเอกชนด้วยดีจะได้รับความสําเร็จได้ดีกว่า
2. ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชน เช่น ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง สื่อมวลชน กลุ่มชนชั้นนํา และกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ในสังคม เป็นต้น

22. ข้อใดเป็นวิธีการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาสังคม
(1) การจัดทําประชาพิจารณ์
(2) การประชาสัมพันธ์โครงการในชุมชน
(3) การสํารวจความต้องการของคนในชุมชน
(4) การจัดให้มีกล่องรับความคิดเห็นจากประชาชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาสังคม อาจทําได้โดยวิธีดังนี้
1. การประชาสัมพันธ์โครงการในชุมชน
2. การสํารวจความต้องการของคนในชุมชน
3. การจัดให้มีกล่องรับความคิดเห็นจากประชาชน
4. การจัดทําประชาพิจารณ์

23. คํากล่าวที่ว่า “การวางแผน คือ Set of Temporally Linked Actions” เป็นของใคร
(1) Jose Villamil
(2) Albert Waterston
(3) William Dunn
(4) Gulick and Urwick
(5) ดร.อมร รักษาสัตย์
ตอบ 1 หน้า 25 Jose Villamit กล่าวว่า “การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด”

24. ใครได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์”
(1) Herbert Simon
(2) Harold Lasswell
(3) Thomas R. Dye
(4) Dwight Waldo
(5) Woodrow Wilson
ตอบ 2 หน้า 7 Harrold Lasswell ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” เห็นว่า นโยบายไม่ใช่เพียงต้องการความเป็นศาสตร์เท่านั้น แต่ต้องสามารถเป็นศาสตร์ที่นําไปสู่การปฏิบัติได้จริง โดยหนทางสู่ความเป็นศาสตร์นั้นต้องเริ่มต้นด้วยการมีนโยบายสาธารณะที่ดี ซึ่งต้องพัฒนามาจากระบวนการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสม มีหลักการ เต็มเปี่ยมด้วยเหตุผล และยึดมั่นในหลักการของวิชาการในเรื่องนั้น ๆ

25. ขั้นตอนกระบวนการนโยบายประกอบด้วยอะไร
(1) วิเคราะห์นโยบาย กําหนดนโยบาย ติดตามประเมินผลการปฏิบัตินโยบาย การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การติดตามประเมินผลการปฏิบัตินโยบาย การนํานโยบายไปปฏิบัติ การวิเคราะห์นโยบายการกําหนดนโยบาย
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติ การวิเคราะห์นโยบาย การกําหนดนโยบาย การติดตามประเมินผล การปฏิบัตินโยบาย
(4) การกําหนดนโยบาย การวิเคราะห์นโยบาย การนํานโยบายไปปฏิบัติ การติดตามประเมินผล การปฏิบัตินโยบาย
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติ การติดตามประเมินผลนโยบาย การกําหนดนโยบาย การวิเคราะห์นโยบาย
ตอบ 4 หน้า 8 กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) ประกอบด้วยขั้นตอนที่สําคัญดังนี้
1. การกําหนดนโยบาย (Policy Formulation)
2. การวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
3. การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation)
4. การติดตามประเมินผลการปฏิบัติ นโยบาย (Policy Evaluation)

26. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การวิจัยประเมินผล
(1) การสิ้นสุดของนโยบาย
(2) การก่อตัวของนโยบาย
(3) การกําหนดนโยบาย
(4) การประเมินผลนโยบาย
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

27. เป็นปัญหาที่ไม่มีรูปร่างหรือลักษณะใด ๆ อย่างแน่ชัดว่าคือปัญหา ทั้ง ๆ ที่ความจริงมีปัญหาแล้ว
(1) Dynamic
(2) Artificiality
(3) Integration
(4) Subjectivity
(5) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
ตอบ 2 หน้า 9 ปัญหาที่มีลักษณะไม่มีตัวตนที่แท้จริง (Artificiality) หมายถึง ปัญหาเป็นสิ่งที่ไม่มี รูปร่างหรือลักษณะใด ๆ อย่างแน่ชัดว่าคือปัญหา ทั้ง ๆ ที่ความจริงมีปัญหาแล้ว ซึ่งปัญหานั้น อาจเป็นที่ยอมรับหรือตระหนักได้ของคนบางกลุ่มในขณะที่คนบางกลุ่มอาจไม่ยอมรับก็ได้

28. เหตุผลที่จําเป็นต้องศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ คือ
(1) เพื่อประเมินว่าควรลงทุนในโครงการหรือไม่
(2) เพื่อกําหนดจุดเริ่มต้นโครงการ
(3) เพื่อกําหนดรายละเอียดในการวางแผนดําเนินงาน
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 1 และข้อ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) เหตุผลที่จําเป็นต้องศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ มีดังนี้
1. เพื่อตรวจสอบว่าสิ่งต่าง ๆ ที่กําหนดไว้ในโครงการมีความเป็นไปได้ที่จะประสบผลสําเร็จ ตามวัตถุประสงค์หรือไม่
2. เพื่อประเมินว่าควรลงทุนในโครงการหรือไม่
3. เพื่อกําหนดรายละเอียดในการวางแผนดําเนินงาน

29. อาจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า ลักษณะของนโยบายที่มีแนวโน้มจะประสบความสําเร็จเป็นอย่างไร
(1) ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
(2) มีข้อมูลยืนยันชัดเจน
(3) เห็นผลได้ในระยะยาว
(4) เห็นผลได้ในระยะสั้น
(5) มีข้อมูลจํานวนมาก
ตอบ 2 หน้า 18 อาจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า ลักษณะของนโยบายที่มีแนวโน้มจะ ประสบความสําเร็จ ควรมีลักษณะดังนี้
1. เป็นนโยบายที่ไม่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป
2. การเห็นผลได้ชัดเจนของนโยบาย
3. การมีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน

30.TP. หมายถึง
(1) ทฤษฎีการวางแผน
(2) Team Planning
(3) การทํางานเป็นทีม
(4) เวลาที่ผ่านไป
(5) Target Planning
ตอบ 2 หน้า 33 – 34, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบทีมวางแผน (Team Planning : TP.) คือ การวางแผนเป็นทีมที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมและการระดมสมอง (Brain Storm) ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ร่วมกันกําหนดเป้าหมาย (Targets) ของหน่วยงานให้ชัดเจนตรงกัน
2. ร่วมกันกําหนดอนาคต (Scenario) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ต้องการโดยคิดล่วงหน้า 3 – 5 ปี
3. ร่วมกันหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือข้อจํากัด (Obstructions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. ร่วมกันกําหนดแผน (Plan) หรือกลยุทธ์ (Strategies) โดยใช้การวิเคราะห์ SWOT เข้าช่วย
5. ร่วมกันกําหนดกลวิธี (Tactics) หรือโครงการให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้
6. ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ (Action Plan) ของโครงการ โดยเน้นให้เกิดผลภายใน 90 วัน หรือที่เรียกว่า 90 Day Implementation Plan

31. สิ่งที่จําเป็นสําหรับข้อเสนอโครงการด้านการก่อสร้างที่แตกต่างจากโครงการชนิดอื่น คือ
(1) การจัดทําพิมพ์เขียวการก่อสร้าง
(2) การประมวลสถานการณ์แวดล้อม
(3) การกําหนดคุณลักษณะเฉพาะของงาน มาตรฐานของอุปกรณ์
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 1 และข้อ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สิ่งจําเป็นสําหรับข้อเสนอโครงการด้านการก่อสร้างที่แตกต่างจากโครงการชนิดอื่น คือ การจัดทําพิมพ์เขียวการก่อสร้าง และการกําหนดคุณลักษณะเฉพาะของงาน มาตรฐาน ของอุปกรณ์ไว้อย่างชัดเจน

32. การกําหนดแนวคิดโครงการของภาคเอกชน กําหนดโดยผู้ใด
(1) เจ้าของกิจการ
(2) ผู้บริหารสูงสุด
(3) ผู้บริหารระดับกลาง
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การกําหนดแนวคิดโครงการของภาคเอกชน จะถูกกําหนดโดยเจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง ซึ่งการกําหนดแนวคิดโครงการจะเป็นจุดศูนย์กลางของวงจรโครงการ ของภาคเอกชน รวมถึงข้อกําหนดเงื่อนไขโครงการ (Terms of Reference : TOR) ก็พัฒนา มาจากแนวคิดโครงการ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของกิจการ

33. ข้อใด “ไม่ใช่” ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ
(1) พรรคการเมือง
(2) นักวิชาการ
(3) กลุ่มผลประโยชน์
(4) สื่อมวลชน
(5) รัฐสภา
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างเป็นทางการ เช่น รัฐสภา รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ศาล เป็นต้น
2. ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ เช่น พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มนักวิชาการ สื่อมวลชน เป็นต้น

34. ใครคือผู้มีหน้าที่กําาหนดนโยบายมากที่สุด
(1) ปลัดกระทรวง
(2) หัวหน้างาน
(3) อธิบดี
(4) ผู้อํานวยการกองวิชาการ
(5) ผู้อํานวยการสํานัก
ตอบ 1 หน้า 2, (คําบรรยาย) นโยบายสาธารณะเป็นเรื่องในระดับองค์การ ดังนั้นผู้มีหน้าที่กําหนด นโยบายสาธารณะจึงต้องเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์การ (Top-Level Administrator)เท่านั้น ซึ่งผู้มีตําแหน่งสูงกว่าย่อมมีอํานาจในการกําหนดนโยบายมากกว่าผู้มีตําแหน่งน้อยกว่า ทั้งนี้หากมีตําแหน่งเท่ากัน ตําแหน่งที่จะกําหนดนโยบายมากกว่าย่อมเป็นตําแหน่งที่เกี่ยวกับ นโยบาย แผน และโครงการ

35. ลักษณะของตัวแบบในแนวการอธิบายนโยบาย “ไม่จําเป็นต้องสนใจว่าสาธารณชนจะพึงพอใจหรือไม่”
(1) Institution Model
(2) Incremental Model
(3) Group Model
(4) Elite Model
(5) System Model
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

36. การตอบคําถาม “ใคร” ในกระบวนการวางแผนโครงการรวมถึงขั้นตอนใด
(1) การคาดการณ์กําลังคนที่ต้องการ
(2) การอธิบายหลักการและเหตุผลของโครงการ
(3) การพิจารณาสถานที่ดําเนินโครงการ
(4) การกําหนดกรอบเวลาในการดําเนินโครงการ
(5) การระบุกิจกรรมตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดสุดท้าย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 14. ประกอบ

37. การตอบคําถาม “อะไร” ในกระบวนการวางแผนโครงการรวมถึงขั้นตอนใด
(1) การคาดการณ์กําลังคนที่ต้องการ
(2) การอธิบายหลักการและเหตุผลของโครงการ
(3) การพิจารณาสถานที่ดําเนินโครงการ
(4) การกําหนดกรอบเวลาในการดําเนินโครงการ
(5) การระบุกิจกรรมตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดสุดท้าย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 14. ประกอบ

38. ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับแผนระยะยาว
(1) มีระยะเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
(2) ใช้แก้ปัญหาได้เพียงผิวเผิน
(3) วางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
(4) มีระยะเวลาไม่จํากัด
(5) ความเชื่อมั่นจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน
ตอบ 5 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนระยะยาว คือ แผนที่มีระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่มี ความเชื่อมั่นได้น้อยและจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน กล่าวคือ ความเชื่อมั่นจะลดต่ําลง ตามระยะเวลาที่ยาวออกไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (แผนนั้นเริ่มเห็นผล คือ สามารถ แก้ปัญหาได้ ความเชื่อมั่นที่มีต่อแผนก็จะเพิ่มมากขึ้น) และแผนระยะยาวนับว่าเป็นแผนที่ แก้ปัญหาได้ลึกซึ้งที่สุด แต่เห็นผลช้า

39.วงจรโครงการของภาคเอกชน แบ่งออกเป็นงานสําคัญที่ขั้นตอน
(1) 3 ขั้นตอน
(2) 4 ขั้นตอน
(3) 5 ขั้นตอน
(4) 6 ขั้นตอน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) วงจรโครงการของภาคเอกชน มี 4 ขั้นตอน คือ
1. การกําหนดแนวคิดโครงการ
2. การวางแผนโครงการ ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกที่มีผลต่อความสําเร็จของโครงการ
3. การดําเนินงานโครงการ
4. การยุติและส่งมอบโครงการ

40. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะแนวคิดในการวิเคราะห์
(1) คําตอบซ้ำ
(2) ต้องใช้หลายวิธี
(3) ต้องใช้หลักเหตุผล
(4) เป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 15 – 16 แนวคิดในการวิเคราะห์นโยบาย มีลักษณะสําคัญดังนี้
1. เป็นสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ประยุกต์
2. ใช้วิธีการหลายวิธี
3. เป็นการใช้เหตุผล
4. มุ่งผลิตและแปรสภาพข่าวสาร
5. ข่าวสารที่ได้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในสภาพความเป็นจริงทางการเมือง

41. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การสร้างองค์การใหม่”
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การกําหนดนโยบาย
(3) การประเมินผลนโยบาย
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) การสิ้นสุดของนโยบาย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

42. โครงการประเภท “ปรับปรุงและแก้ไขปัญหา” ได้แก่ข้อใด
(1) การสร้างอาคารสํานักงานใหม่
(2) การใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น
(3) การแก้ไขปัญหาครอบครัว
(4) การจัดหน่วยบริการประชาชนนอกสถานที่ทํางาน
(5) การแก้ไขปัญหาส่วนตัว
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

43. การที่ปัญหาอาจแปรเปลี่ยนลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม
(1) Subjectivity
(2) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
(3) Dynamic
(4) Artificiality
(5) Integration
ตอบ 3 หน้า 9 ปัญหาที่มีความเป็นพลวัต (Dynamic) หมายถึง การที่ปัญหาอาจแปรเปลี่ยน ลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจนําไปสู่การแปรเปลี่ยนให้เกิด ปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกได้ ดังนั้นการกําหนดปัญหาของนโยบายจึงไม่มีข้อสรุปที่ถาวร

44. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การวิเคราะห์ต้นทุนผลประโยชน์”
(1) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การสิ้นสุดของนโยบาย
(3) การกําหนดนโยบาย
(4) การประเมินผลนโยบาย
(5) การก่อตัวของนโยบาย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

45. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “มุ่งเน้นในการเปรียบเทียบต้นทุนค่าใช้จ่ายและผลผลิตที่ได้รับ”
(1) Feasibility Study
(2) Process Monitoring
(3) Efficiency Measurement
(4) Output Monitoring
(5) Effectiveness Evaluation
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิภาพ (Efficiency Measurement) ของนโยบาย คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าเมื่อดําเนินการตามนโยบายเสร็จแล้ว ได้ผลคุ้มค่าหรือไม่ ประหยัดหรือไม่ มีต้นทุนต่อหน่วยเท่าใด ซึ่งกระทําได้โดยการเปรียบเทียบ ต้นทุนค่าใช้จ่าย (Cost) ทั้งหมดกับผลผลิตหรือผลตอบแทน (Benefit) ที่ได้รับ

46. ข้อใดไม่ใช่ปัญหาอุปสรรคในการประเมินนโยบายสาธารณะ
(1) กลัวว่าการประเมินอาจจะนําไปสู่การยกเลิกสิ้นสุดนโยบาย
(2) เกิดการต่อต้านจากบุคคลต่าง ๆ
(3) เป็นสิ่งที่ไม่จําเป็นและไม่มีประโยชน์
(4) ไม่มีระเบียบทางราชการให้ประเมินได้
(5) กลัวว่าข้อมูลบางอย่างที่ได้รับจากการประเมินผลอาจจะถูกบิดเบือนและปรุงแต่ง
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ปัญหาและอุปสรรคในการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ได้แก่
1. คิดว่าการประเมินผลเป็นสิ่งที่ไม่จําเป็นและไม่มีประโยชน์
2. มองว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ
3. กลัวว่าการประเมินผลอาจจะนําไปสู่การยกเลิกสิ้นสุดนโยบาย
4. กลัวว่าข้อมูลบางอย่างที่ได้รับจากการประเมินผลอาจจะถูกบิดเบือนและปรุงแต่ง
5. เกิดการต่อต้านจากบุคคลต่าง ๆ ฯลฯ

47. ลักษณะของตัวแบบในแนวการอธิบายนโยบาย “แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอมเพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน”
(1) Incremental Model
(2) Elite Model
(3) Institution Modet
(4) System Model
(5) Group Model
ตอบ 5 หน้า 4 – 5 ตัวแบบหรือทฤษฎีกลุ่ม (Group Mode Theory) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตที่เกิดจากดุลยภาพของการแข่งขันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งแต่ละกลุ่ม ต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอํานาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ ดังนั้น ระบบการเมืองจึงมีหน้าที่ 4 ประการ ได้แก่
1. ตั้งกติกาการแข่งขันระหว่างกลุ่มทั้งหลายให้เกิดการแข่งขันที่ยุติธรรมบนพื้นฐานที่ยอมรับ
2. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอมเพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
3. เมื่อระบบการเมืองแสวงหาดุลยภาพได้แล้ว จึงนําดุลยภาพนั้นมากําหนดนโยบาย
4. นํานโยบายไปปฏิบัติ

48. ข้อมูลที่ต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก คือ
(1) ข้อมูลทุกประเภท
(2) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(3) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการของดิน
(4) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(5) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
ตอบ 2 หน้า 11 ข้อมูลในการวางนโยบายหรือแผน อาจจําแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ และภูมิศาสตร์
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

49. “การพิจารณาสภาพความต้องการสินค้าหรือบริการโดยรวม” เป็นการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการในด้านใด
(1) ด้านการเงิน
(2) ด้านเศรษฐกิจ
(3) ด้านการตลาด
(4) ด้านสิ่งแวดล้อม
(5) ด้านเทคนิค
ตอบ 3(คําบรรยาย) การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการในด้านการตลาด มีดังนี้
1. การพิจารณาสภาพความต้องการสินค้าหรือบริการโดยรวม
2. ศึกษาสภาพความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ

50. ลักษณะเฉพาะที่สําคัญของโครงการ คือ
(1) ผลลัพธ์ของโครงการตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
(2) ขอบข่ายของงานมีลักษณะเป็นเอกเทศ แตกต่างจากงานประจํา
(3) มีองค์การรับผิดชอบโดยเฉพาะ
(4) องค์การที่รับผิดชอบทําหน้าที่เป็นการชั่วคราว
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะเฉพาะของโครงการ มีดังนี้
1. ขอบข่ายของงานมีลักษณะเป็นเอกเทศ หรือมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากงานประจํา
2. มีองค์การรับผิดชอบในการบริหารโดยเฉพาะ และทําหน้าที่เป็นการชั่วคราว
3. ผลลัพธ์ของโครงการตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
4. ในการบริหารโครงการ ผู้บริหารโครงการต้องคํานึงถึงข้อจํากัดด้านเวลา ค่าใช้จ่ายและคุณภาพตามที่กําหนดไว้ในเงื่อนไขของโครงการ
5. ในการบริหารโครงการ จําเป็นต้องเน้นความสําคัญของการบูรณาการกับองค์การหลักหรือหน่วยงานหลักของเจ้าของโครงการ ฯลฯ

51. ปัญหา “การจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน” เป็นปัญหาประเภทใด
(1) ปัญหาทั่วไป
(2) ปัญหาที่ต้องปรับปรุงแก้ไข
(3) ปัญหาในเชิงป้องกัน
(4) ปัญหาที่ต้องการสร้างโอกาสในการพัฒนา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาที่ต้องปรับปรุงแก้ไข (Solved Problem) เป็นปัญหาที่ปรากฏ ผลเสียหายให้เห็นอยู่แล้วจึงต้องรีบวางแผนหาแนวทางขจัดปัดเป่าเพื่อให้มีผลเสียหายน้อยที่สุดปัญหาชนิดนี้มักทําให้เกิดแผนเร่งด่วนซึ่งนับเป็นแผนในเชิงรับ เช่น ปัญหาการจราจรติดขัด ในชั่วโมงเร่งด่วน ปัญหาน้ําท่วม เป็นต้น

52. ในเรื่องเกี่ยวกับรูปร่างและรูปแบบของนโยบาย ข้อความในข้อใด “กล่าวผิด”
(1) มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ
(3) มีรูปแบบเป็นสัญญา
(4) เป็นคําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นไป
(5) มีรูปเป็นแบบแผน โครงการ
ตอบ 4 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

53. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “ผลลัพธ์ตรงกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่”
(1) Effectiveness Evaluation
(2) Efficiency Measurement
(3) Output Monitoring
(4) Feasibility Study
(5) Process Monitoring
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบาย คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการดําเนินการตามนโยบายนั้นตรงกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่

54. การประเมินโครงการมีประโยชน์อย่างไร
(1) เป็นภาพสะท้อนให้ผู้บริหารโครงการปรับปรุงการบริหารได้
(2) เป็นข้อมูลเพื่อแก้ไขโครงการนั้นได้
(3) เป็นข้อมูลเพื่อการวางโครงการในโอกาสต่อไป
(4) เป็นข้อมูลเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
(5) เป็นการวางแผนขั้นสุดท้ายที่โครงการต้องทํา
ตอบ 3 หน้า 50, (คําบรรยาย) การประเมินโครงการมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทําให้ทราบว่าการดําเนินโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
2. ทําให้ทราบถึงเหตุผลสําคัญที่ทําให้โครงการประสบความสําเร็จหรือล้มเหลว
3. ช่วยปรับปรุงการดําเนินงานให้ดีขึ้น
4. เก็บเป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในโอกาสต่อ ๆ ไป ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ของผู้ร่างหรือผู้วางโครงการให้สูงขึ้นด้วย

55. ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ในองค์การ ได้แก่อะไร
(1) การฝึกอบรม
(2) การสอนงาน
(3) การให้คําแนะนํา
(4) การสาธิต
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ในองค์การ ได้แก่ การสอนงาน การให้คําแนะนําการสาธิต การฝึกอบรม การวิจัยและการพัฒนาในองค์การ เป็นต้น

56. การนําโครงการขององค์การภาครัฐไปปฏิบัติเป็นการทํางานของผู้ใด
(1) ปลัดกระทรวง
(2) อธิบดี
(3) ผู้จัดการโครงการ
(4) ข้าราชการระดับล่าง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

57. ลักษณะของผู้ปฏิบัติงานในงานประจํา คือ
(1) มีทักษะเก่งงานด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว
(2) มีทักษะในการตัดสินใจ
(3) มีทักษะรอบด้านในการทํางานให้สําเร็จ
(4) ไม่จําเป็นต้องมีทักษะใด ๆ
(5) มีทักษะในด้านการใช้ภาษาในการสื่อสาร
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การบริหารงานประจํามักมีสภาพแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากนัก และไม่สลับซับซ้อนจนเกินไป และลักษณะของผู้ปฏิบัติงานในงานประจําก็มักจะมีทักษะเก่งงาน ด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว

58. “ความคิดสร้างสรรค์” จําเป็นสําหรับขั้นตอนใด
(1) การประเมินผลโครงการ
(2) การริเริ่มโครงการ
(3) การคิดทางเลือกในการแก้ไขปัญหา
(4) การดําเนินโครงการ
(5) การวิเคราะห์โครงการ
ตอบ 3(คําบรรยาย) การคิดทางเลือกในการแก้ไขปัญหา คือ การใช้ความรู้ ประสบการณ์ และ ความคิดสร้างสรรค์ร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือก ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใด ที่สามารถปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นตอนนี้ต้องรวบรวม ทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกที่เป็นไปได้ให้ครบถ้วน

59. ในการบริหารโครงการ ผู้บริหารควรคํานึงถึงเรื่องอะไร
(1) ข้อจํากัดด้านเวลา
(2) ค่าใช้จ่าย
(3) คุณภาพของงาน
(4) ข้อ 1 – 3
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 50. ประกอบ

60. ในแนวคิดการศึกษานโยบายศาสตร์ในแนววิเคราะห์นโยบายนิยมใช้ในนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักวิทยาศาสตร์
(2) นักรัฐศาสตร์
(3) นักสังคมวิทยา
(4) นักเศรษฐศาสตร์
(5) นักรัฐประศาสนศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 6 – 7 การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบาย ถือเป็นแนวทางที่นักรัฐประศาสนศาสตร์ นิยมใช้กันมาก โดยเป็นการศึกษาที่เน้นการวิเคราะห์โดยทั่วไป (ในภาพรวม) มิใช่เป็น การศึกษารายกรณี และมีเทคนิควิธีการศึกษาที่ใช้หลักสหวิทยาการหรือหลักการของ วิชาการหลายสาขามาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งการศึกษาตามแนวนี้ได้มีจุดเริ่มต้นระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม

61.Bazi จําแนกกิจกรรมการนําโครงการไปปฏิบัติเป็น 3 กระบวนการ ข้อใด “ไม่ใช่” กระบวนการทั้ง 3 นั้น
(1) เขียนโครงการอีกครั้ง
(2) วิเคราะห์โครงการอีกครั้ง
(3) เริ่มต้นการทํางาน
(4) กําหนดรูปแบบการทํางาน
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 42 – 43 Bazi ได้จําแนกกิจกรรมการนําโครงการไปปฏิบัติออกเป็น 3 กระบวนการ ได้แก่
1. การวิเคราะห์โครงการอีกครั้งหนึ่ง (Project Reappraisal)
2. การเริ่มต้นการทํางาน (Action Initiation)
3. การกําหนดรูปแบบการทํางาน

62. การระบุอาการของปัญหาเป็นการอธิบายถึงปรากฏการณ์ของปัญหา พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงประจักษ์พยานเพื่อยืนยันอะไร
(1) จุดเด่นของปัญหา
(2) ความมีอยู่จริงของปัญหา
(3) วิธีแก้ไขปัญหา
(4) ความไม่มีอยู่จริงของปัญหา
(5) ลักษณะของปัญหา
ตอบ 2 หน้า 11 การระบุอาการของปัญหา เป็นการอธิบายถึงปรากฏการณ์ของปัญหา พร้อมทั้ง แสดงให้เห็นถึงประจักษ์พยานเพื่อยืนยันถึง “ความมีอยู่จริงของปัญหา” โดยปัญหาที่มีอาการ อยู่มากก็จะแสดงว่าเป็นปัญหาที่มีความรุนแรง หรือมีความเร่งด่วนที่จะต้องได้รับการแก้ไขก่อน

63. ความเป็นธรรมของนโยบายวัดได้อย่างไร
(1) วัดจากการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกระบวนการของนโยบายให้มากที่สุด
(2) วัดจากการกระจายรายได้ของนโยบายสู่ประชาชน
(3) วัดจากความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
(4) วัดจากประโยชน์ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
(5) วัดจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบาย
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การพิจารณาด้านความเป็นธรรมของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้น อาจพิจารณา หรือวัดได้จากประโยชน์ของนโยบาย แผน หรือโครงการว่าประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ จากนโยบาย แผน หรือโครงการอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะนโยบาย แผน หรือโครงการ ที่ดีนั้นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

64. กระบวนการใดเป็นกระบวนการที่นับว่ามีอิทธิพลต่อทุกกระบวนการมากที่สุด
(1) การวิเคราะห์โครงการ
(2) การนําโครงการไปปฏิบัติ
(3) การประเมินโครงการ
(4) การประเมินผลโครงการ
(5) การวางโครงการ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ในกระบวนการของแผน/โครงการนั้น กระบวนการหรือขั้นตอนที่ใช้ข้อมูลมากที่สุด และมีอิทธิพลต่อทุก ๆ กระบวนการมากที่สุดก็คือ การวางแผน/โครงการ เพราะโดยทั่วไปแล้ว การที่แผน/โครงการจะประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวนั้นจะขึ้นอยู่กับกระบวนการหรือขั้นตอน ที่ว่านี้เป็นสําคัญ กล่าวคือ ถ้าวางแผน/โครงการได้ดีมีรายละเอียดครอบคลุม มีการเก็บข้อมูล อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้การวางโครงการมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และ ประเมิน การนําไปปฏิบัติ ตลอดจนการประเมินผลสามารถทําได้โดยง่าย และโอกาสที่แผน/ โครงการนั้นจะประสบความสําเร็จก็จะมีสูง

65. ความต้องการของผู้รับบริการจากองค์การภาครัฐในปัจจุบันเป็นอย่างไร
(1) ความต้องการเกินกว่าความสามารถในการตอบสนองของภาครัฐ
(2) ความต้องการมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
(3) ความต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
(4) บางครั้งความต้องการลดลงอย่างรวดเร็ว
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

66. สภาพแวดล้อมของการบริหารงานประจํา คือ
(1) สภาพแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากนัก
(2) สภาพแวดล้อมไม่สลับซับซ้อนจนเกินไป
(3) สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงมาก
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 2 และข้อ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ

67. ความเป็น Dynamic ของปัญหาคืออะไร
(1) การเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันของปัญหา
(2) การที่ปัญหามีความหมายในตัวของปัญหาเอง
(3) การที่ปัญหาไม่มีตัวตนของปัญหาเอง
(4) การมีปัญหาหลายปัญหาในเวลาเดียวกัน
(5) การที่ปัญหาอาจแปรเปลี่ยนลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

68. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การตรวจสอบการดําเนินกิจกรรมว่าเป็นไปตามแผนการดําเนินงานหรือไม่”
(1) Output Monitoring
(2) Effectiveness Evaluation
(3) Process Monitoring
(5) Feasibility Study
(4) Efficiency Measurement
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การกํากับติดตามการดําเนินกิจกรรมหรือกระบวนงาน (Activity/Process Monitoring) คือ การตรวจสอบการดําเนินกิจกรรมของนโยบายในแต่ละขั้นตอนว่าเป็นไป ตามแผนการดําเนินงานหรือไม่

69. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การตรวจสอบผลการดําเนินงานว่าได้รับผลผลิต ซึ่งแสดงออกมา ในรูปของหน่วยวัดต่าง ๆ ตรงตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่”
(1) Output Monitoring
(2) Process Monitoring
(3) Efficiency Measurement
(4) Feasibility Study
(5) Effectiveness Evaluation
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การกํากับติดตามผลผลิต (Output Monitoring) ของนโยบาย คือ การตรวจสอบผลการดําเนินงานของนโยบายว่าได้รับผลผลิต ซึ่งแสดงออกมาในรูปของ หน่วยวัดต่าง ๆ ตรงตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่

70. ข้อใดเป็นลักษณะเด่นของนโยบายสาธารณะในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ที่แตกต่างจากแผนอื่น
(1) เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยแยกจากกันให้ชัดเจน
(2) เน้นการกระจายรายได้และการถือครองทรัพย์สิน
(3) เน้นการพัฒนาจิตใจ วัฒนธรรม และสังคม
(4) เน้นการพัฒนาการบริหารและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) เป็นการวางแผนที่ยังคงน้อมนําและ ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม การพัฒนาที่ยึดหลักสมดุล ยั่งยืน โดยให้ความสําคัญกับการกําหนดทิศทางการพัฒนาที่มุ่งสู่ การเปลี่ยนผ่านจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

71. การนํานโยบายไปปฏิบัติต้องใช้หน่วยงานหลายหน่วย หลายระดับ หลายสังกัด ดังนั้นกลไกหน่วยงานจะเกี่ยวข้องกัน
(1) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(4) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(5) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 3 หน้า 20 ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกันนํานโยบายไปปฏิบัติ คือ ในการนํา นโยบายไปปฏิบัตินั้นจะต้องใช้หน่วยงานหลายหน่วย หลายระดับ และหลายสังกัด ดังนั้นกลไก ความสัมพันธ์เหล่านี้ เช่น จํานวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวนจุดตัดสินใจ ความสัมพันธ์ดั้งเดิม ของหน่วยงานทั้งหลาย รวมถึงการเข้าแทรกแซงของหน่วยงานระดับบน ล้วนมีผลต่อความสําเร็จ ของนโยบายทั้งสิ้น

72. การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ของแผนจะคุมอย่างไร
(1) คุมให้เสร็จตรงตามเวลา
(2) คุณให้เกิดผลงานตรงตามวัตถุประสงค์ของแผน
(3) คุมให้บุคลากรทุกคนทํางานอย่างเต็มความสามารถ
(4) คุมให้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่ตั้งไว้
(5) คุมให้ใกล้ชิดทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ
ตอบ 2 หน้า 44, (คําบรรยาย) การควบคุมแผน/โครงการโดยทั่วไปมักจะกระทําใน 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control) คือ ควบคุมให้เสร็จตรงตามเวลาที่ได้วางแผน/โครงการไว้ โดยใช้เทคนิค PERT
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control) เป็นการควบคุมรายจ่ายของแผน/โครงการให้อยู่ใน กรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยใช้เทคนิค PPBS
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control) เป็นการควบคุมให้เกิดผลงานตรงตาม วัตถุประสงค์ของแผน/โครงการอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด เทคนิคที่ใช้อาจกระทําได้ โดยการกําหนดมาตรฐาน (Standard) ของงาน

73. กติกาใหม่ในการแข่งขันระหว่างประเทศได้แก่เรื่องใด
(1) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(2) ทรัพย์สินทางปัญญา
(3) สิทธิมนุษยชน
(4) ธรรมาภิบาล
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กติกาใหม่ในการแข่งขันระหว่างประเทศ ได้แก่
1. ทรัพย์สินทางปัญญา
2. สิทธิมนุษยชน
3. ธรรมาภิบาล
4. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

74. การพิจารณาความเหมาะสมในการประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการ ควรครอบคลุมเรื่องใด
(1) อัตราเงินเฟ้อ
(2) ค่าดอกเบี้ยระหว่างการดําเนินโครงการ
(3) ค่าภาษีนําเข้าอุปกรณ์ต่าง ๆ
(4) เงินทุนหมุนเวียนในการดําเนินโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การพิจารณาความเหมาะสมในการประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการควรครอบคลุมถึงเรื่องค่าดอกเบี้ยระหว่างการดําเนินโครงการ ค่าภาษีนําเข้าอุปกรณ์ต่าง ๆ อัตราเงินเฟ้อ และเงินทุนหมุนเวียนในการดําเนินโครงการ เพราะงบประมาณโครงการ มีจํากัดตามวงเงินที่กําหนดไว้

75. ลักษณะของตัวแบบในการอธิบายนโยบาย “ต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอํานาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ
(1) Elite Model
(2) Incremental Model
(3) Institution Modet
(4) System Model
(5) Group Model
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

76. ข้อใดเป็นขั้นตอนการยุติและส่งมอบโครงการที่เรียงลําดับถูกต้อง
(1) การตรวจการจ้าง การส่งผลงาน การตรวจรับงาน การปิดโครงการ
(2) การปิดโครงการ การส่งผลงาน การตรวจรับงาน การตรวจการจ้าง
(3) การปิดโครงการ การตรวจการจ้าง การตรวจรับงาน การส่งผลงาน
(4) การส่งผลงาน การตรวจการจ้าง การตรวจรับงาน การปิดโครงการ
(5) การตรวจรับงาน การปิดโครงการ การตรวจการจ้าง การส่งผลงาน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขั้นตอนการยุติและส่งมอบโครงการ เรียงลําดับได้ดังนี้
1. การตรวจรับงาน
2. การปิดโครงการ
3. การตรวจการจ้าง
4. การส่งผลงาน

77. “การเปรียบเทียบความเหมาะสมของโครงการกับโครงการอื่น ๆ ประเภทเดียวกัน” เป็นการประเมินโครงการในด้านใด
(1) การประเมินโครงการในภาพรวม
(2) การประเมินด้านการเงิน
(3) การประเมินด้านการจัดการ
(4) การประเมินด้านสิ่งแวดล้อม
(5) การประเมินด้านการตลาด
ตอบ 1(คําบรรยาย) การประเมินโครงการในภาพรวม (Project Appraisal) คือ
1. การเปรียบเทียบความเหมาะสมของโครงการกับโครงการอื่น ๆ ประเภทเดียวกันโครงการนี้เหมาะสมกว่าหรือไม่
2. โครงการที่เสนอจะสามารถดําเนินการให้สําเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้หรือไม่ รวมทั้งจะบรรลุจุดมุ่งหมายของแผนงาน ตลอดจนนโยบายของหน่วยงานระดับสูงมากน้อยเพียงใด

78. ลักษณะของตัวแบบในแนวการอธิบายนโยบาย “เป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง”
(1) Group Model
(2) System Model
(3) Incremental Model
(4) Institution Model
(5) Elite Model
ตอบ 4 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบหรือทฤษฎีสถาบัน (Institution Model Theory) เชื่อว่านโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตาม จะได้ชื่อว่าเป็นนโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบาย ก็มักจะเป็นไปตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบันการปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

79. การเตรียมความพร้อมที่สําคัญของโครงการขององค์การภาครัฐ คือ
(1) การจัดทําแนวทางการประเมินผล
(2) การจัดทําแผนการดําเนินงานล่วงหน้า
(3) การจัดทําแผนกําลังคน
(4) การจัดทําแผนการเงิน
(5) การจัดทําแผนดําเนินงาน แผนเงิน และแผนกําลังคน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การเตรียมความพร้อมที่สําคัญของโครงการขององค์การภาครัฐ คือ การจัดทําแผนดําเนินงาน แผนเงิน และแผนกําลังคน

80. การมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และจํานวนเพียงพอ รวมทั้งมีงบประมาณและสถานที่พร้อม
(1) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(2) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(3) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
(5) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 4 หน้า 19 การมีทรัพยากรที่เพียงพอ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ เช่น การมีบุคลากรที่มี ความรู้ ความสามารถ และจํานวนเพียงพอ รวมทั้งมีงบประมาณและสถานที่พร้อม ถือเป็น อีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความสําเร็จของนโยบาย อีกทั้งยังเป็นดัชนีวัดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของการปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดีด้วย

81. ทางราชการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ ไม่มีที่ทําการต้องเช่าอาคารเอกชนเป็นที่ทําการชั่วคราว
(1) Integration
(2) Dynamic
(3) Artificiality
(4) Subjectivity
(5) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
ตอบ 5 หน้า 10 ปัญหาที่มีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจนแน่นอน (Well-Structured Problem) หมายถึง ปัญหาที่มีผลลัพธ์แน่นอน มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนน้อย มีทางออกในการแก้ไขปัญหา เพียงไม่กี่ทางเลือก (1 – 3 ทาง) ซึ่งแต่ละทางเลือกสามารถมองเห็นผลประโยชน์ของทางเลือก ได้ชัดเจน ไม่เป็นที่ถกเถียงกันได้แต่อย่างใด เช่น ปัญหาในการจัดสร้างที่ทําการของหน่วยงาน หรือองค์การ เป็นต้น

82. การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับความรู้และวิทยาการของขั้นตอนต่าง ๆ เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในด้านใด
(1) ด้านการจัดการ
(2) ด้านเทคนิค
(3) ด้านการตลาด
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 1 – 3
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในด้านเทคนิค คือ การศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับความรู้และวิทยาการของขั้นตอนต่าง ๆ อันจําเป็นต่อการทํางานในแต่ละกิจกรรมให้สมบูรณ์

83. ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติที่ไม่มีผลประโยชน์ทั้งทางบวกหรือทางลบกับนโยบาย เช่น ไม่กระทบต่อค่านิยม ศักดิ์ศรี อํานาจ และพฤติกรรมของตนเอง
(1) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
(2) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(4) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(5) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 5 หน้า 20 ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติที่ไม่มีผลประโยชน์ทั้งทางบวกหรือทางลบกับนโยบาย เช่น ไม่กระทบต่อค่านิยม ศักดิ์ศรี อํานาจ และพฤติกรรมของตนเอง ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผล ต่อความสําเร็จของนโยบาย เนื่องจากผู้นํานโยบายไปปฏิบัติที่มีทัศนคติดังกล่าวจะจริงใจและ ตั้งใจปฏิบัติตามนโยบายอย่างเคร่งครัด โดยไม่ต้องกังวลกับผลประโยชน์และสถานะความต้องการของตนเองแต่อย่างใด

84. การวัดความสําเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
(2) การประเมินผลและปรับปรุงแก้ไข
(3) การปรับปรุงนโยบายและแผนงาน
(4) การบริหารโครงการ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

85. โครงการประเภท “วิจัยและพัฒนา” มีลักษณะอย่างไร
(1) เป็นโครงการบุกเบิก
(2) เป็นโครงการนําร่อง
(3) เป็นโครงการค้นคว้าทดลอง
(4) ข้อ 1 – 3
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

86. ขั้นตอนแรกของการวางแผนโครงการ คือ
(1) การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ
(2) การจัดทําข้อเสนอโครงการ
(4) การรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ
(3) การคิดค้นทางเลือก
(5) การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

87. ขั้นตอนสําคัญในการดําเนินโครงการของภาคเอกชน คือ
(1) การจัดการโครงการของสํานักงานโครงการ
(2) การจัดทําแผนดําเนินงาน
(3) การจัดตั้งองค์กรโครงการ
(4) การควบคุมงาน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขั้นตอนสําคัญในการดําเนินโครงการของภาคเอกชน คือ การจัดทําแผน ดําเนินงาน (Operation Plan) มีการจัดตั้งองค์กรโครงการ มีการจัดการโครงการของ สํานักงานโครงการ และมีผู้จัดการโครงการ (Project Manager) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก รวมถึงการควบคุมงาน เป็นต้น

88. จุดศูนย์กลางของวงจรโครงการของภาคเอกชน คือ
(1) การกําหนดแนวคิดโครงการ
(2) การส่งมอบโครงการ
(3) การควบคุมงาน
(4) การดําเนินโครงการ
(5) การวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

89. การศึกษาเพื่อรู้อาการของปัญหาต้องอาศัยองค์ประกอบอะไรของผู้กําหนดนโยบาย
(1) ความอดทน
(2) ความคิดริเริ่ม
(3) ความละเอียดรอบคอบ
(4) ความพากเพียร
(5) ภาวะผู้นํา
ตอบ 2 หน้า 11 การกําหนดสาเหตุและอาการของปัญหานั้นจําเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการ เช่น ความรู้ ความชํานาญ ประสบการณ์ และความคิดริเริ่มของผู้กําหนดนโยบายอย่างมากจึงจะ ทําให้นโยบายสมบูรณ์ที่สุดได้ และหากสามารถกําหนดสาเหตุและอาการของปัญหาได้ชัดเจนแล้วก็จะทําให้การกําหนดนโยบายเป็นไปได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย

90. ประเด็นที่ควรศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ได้แก่
(1) ด้านเทคนิค การจัดการ
(2) ด้านการตลาด การเงิน
(3) ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
(4) ด้านสิ่งแวดล้อม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5(คําบรรยาย) ประเด็นที่ควรศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ได้แก่
1. การศึกษาด้านเทคนิคหรือด้านวิชาการ
2. การศึกษาด้านการจัดการ
3. การศึกษาด้านการตลาด
4. การศึกษาด้านการเงิน
5. การศึกษาด้านเศรษฐกิจ
6. การศึกษาด้านสังคมและการเมือง
7. การศึกษาด้านสภาพแวดล้อมและสภาวะนิเวศ

91. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์/ผลสําเร็จ”
(1) การประเมินผลนโยบาย
(2) การก่อตัวของนโยบาย
(3) การกําหนดนโยบาย
(4) การสิ้นสุดของนโยบาย
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

92. เราสามารถรับรู้นโยบายสาธารณะได้จากสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ ยกเว้น
(1) กฎหมาย
(2) แผนงานและโครงการ
(3) ระเบียบข้อบังคับขององค์การ
(4) คําสั่งของผู้บังคับบัญชา
(5) การตรวจงานของสํานักงบประมาณ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

93. นโยบายตามตัวแบบผู้นําจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ผู้นําและผู้ใกล้ชิด
(2) ผู้ใต้บังคับบัญชา
(3) ให้ประโยชน์กับสังคม
(4) ประชาชนโดยทั่วไป
(5) ให้กับผู้ด้อยโอกาส
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

94. ความสามารถของผู้นํา ผู้นําที่เข้มแข็งจะเป็นปัจจัยผลักดันให้นโยบายประสบความสําเร็จได้มากกว่า เพราะสามารถระดมความสนับสนุนจากฝ่ายต่าง ๆ ได้มากกว่า
(1) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(2) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(4) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 4 หน้า 19 ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่กําหนดความสําเร็จ ของนโยบาย ซึ่งลักษณะดังกล่าวได้แก่
1. มีการจัดองค์การของหน่วยงานโดยมีระดับชั้นการบังคับบัญชาน้อย และแต่ละชั้นมีผู้ใต้บังคับบัญชามาก
2. ความสามารถของผู้นํา คือ ผู้นําที่เข้มแข็งจะเป็นปัจจัยผลักดันให้นโยบายประสบความสําเร็จ ได้มากกว่า เพราะสามารถระดมความสนับสนุนจากฝ่ายต่าง ๆ ได้มากกว่า

95. ผลประโยชน์ของโครงการจะพิจารณาอย่างไร
(1) พิจารณาว่าผลประโยชน์เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายใด
(2) พิจารณาเฉพาะสิ่งที่เป็นตัวเงิน
(3) พิจารณาเฉพาะสิ่งที่จับต้องได้
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 1 และข้อ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผลประโยชน์ของโครงการ จะพิจารณาในเรื่องดังนี้
1. พิจารณาว่าผลประโยชน์เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายใด
2. พิจารณาเฉพาะสิ่งที่จับต้องได้

96. จะกําหนดนโยบายเศรษฐกิจจะต้องพิจารณาผลกระทบด้านเทคนิค การเมือง สังคม
(1) Dynamic
(2) Integration
(3) Subjectivity
(4) Artificiality
(5) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
ตอบ 2 หน้า 9 ปัญหาทั้งหลายมักมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน (Integration) อยู่เสมอ ดังนั้น ในการพิจารณาปัญหาของนโยบายจึงพิจารณาเพียงด้านหนึ่งด้านใดเป็นเอกเทศไม่ได้ เช่น ในการกําหนดนโยบายทางเศรษฐกิจจะพิจารณาเพียงปัจจัยทางเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ได้ จะต้อง พิจารณาถึงปัจจัยทางด้านเทคนิคการเมือง สังคม หรืออื่น ๆ อีกตามแต่สถานการณ์ที่เผชิญอยู่

97.การถาม What เพื่อหาคําตอบอะไร
(1) ค้นหาปัญหา
(2) ค้นหาวิธีแก้ปัญหา
(3) ค้นหาทางเลือกในการแก้ปัญหา
(4) ผิดทุกข้อ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 39 การวางโครงการตามแนวดั้งเดิมหรือประเพณีนิยม (Traditional Model) จะประกอบด้วยการตอบคําถามต่าง ๆ ดังนี้
1. What – การค้นหาปัญหาหรือวิธีแก้ปัญหา จนเกิดทางเลือกต่าง ๆ
2. When – การระบุเวลาที่ควรแก้ไขปัญหา
3. Where – การกําหนดสถานที่และขอบเขตของโครงการ
4. Why – การระบุถึงความต้องการ
5. How – การกําหนดวิธีแก้ไขปัญหาหรือวิธีการดําเนินงาน
6. Who – บุคคลหรือองค์การที่ต้องรับผิดชอบในกระบวนการของโครงการ

98. ความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงในการบริหารโครงการ ได้แก่ข้อใด
(1) การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
(2) การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
(3) การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
(4) การต่อต้านและคัดค้านโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงในการบริหารโครงการ ได้แก่
1. การต่อต้านและคัดค้านโครงการ
2. การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
3. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
4. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม

99. คํากล่าวที่กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบายเป็นสาขาทางสังคมศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งใช้วิธีการมากมาย หลายวิธีในการค้นหา แสดงเหตุผลเพื่อที่จะผลิตและเปลี่ยนสภาพของข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย”
(1) William Dunn
(2) James Wilde
(3) Duncan Macrae
(4) Mel Dubnick
(5) ของทุกคนที่กล่าวมา
ตอบ 1 หน้า 15 William Dunn กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นสาขาทางสังคมศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งใช้วิธีการมากมายหลายวิธีในการค้นหา แสดงเหตุผลเพื่อที่จะผลิตและเปลี่ยนสภาพของ ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย

100. นักวิชาการที่กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ คือ
(1) Thomas R. Dye
(2) Walter
(3) Harry Harty
(4) Theodore Poister
(5) William Dunn
ตอบ 4 หน้า 16 Theodore Poister กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ ดังนั้นจําเป็นต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังถึงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาของนโยบายกับผลกระทบทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับแผนระยะยาว
(1) ความเชื่อมั่นจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน
(2) มีระยะเวลาไม่จํากัด
(3) มีระยะเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
(4) ใช้แก้ปัญหาได้เพียงผิวเผิน
(5) วางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
ตอบ 1 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนระยะยาว คือ แผนที่มีระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่มี ความเชื่อมั่นได้น้อยและจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน กล่าวคือ ความเชื่อมั่นจะลดต่ําลง ตามระยะเวลาที่ยาวออกไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (แผนนั้นเริ่มเห็นผล คือ สามารถ แก้ปัญหาได้ ความเชื่อมั่นที่มีต่อแผนก็จะเพิ่มมากขึ้น) และแผนระยะยาวนับว่าเป็นแผนที่ แก้ปัญหาได้ลึกซึ้งที่สุด แต่เห็นผลช้า

2. ขั้นตอนใดที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์
(1) ตั้งเป้าหมาย
(2) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(3) ลงมือวางแผน
(4) กําหนดปัญหา
(5) ประเมินผล
ตอบ ไม่มีข้อถูก (คําบรรยาย) อาจสรุปได้ว่ากระบวนการของแผน ประกอบด้วย 7 กระบวนการ ดังนี้
1. กําหนดปัญหา
2. การตั้งเป้าหมาย/วัตถุประสงค์
3. การศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
4. ลงมือวางแผน เป็นการลงมือเขียนแผนให้ถูกต้อง โดยหน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการนี้
5. การประเมินแผน เป็นกระบวนการ ที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์ โดยการศึกษาวิเคราะห์แผนว่ามีความสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะนําไป ปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จากนั้นจึงนําเสนอแผนให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอนุมัติ เพื่อนำแผนไปปฏิบัติ
6. การนําแผนไปปฏิบัติ เป็นกระบวนการที่ทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
7. การประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการที่ทําให้ทราบถึงผลสําเร็จและเก็บเป็น ข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป

3.การประเมินโครงการมีประโยชน์อย่างไร
(1) เป็นภาพสะท้อนให้ผู้บริหารโครงการปรับปรุงการบริหารได้
(2) เป็นข้อมูลเพื่อแก้ไขโครงการนั้นได้
(3) เป็นข้อมูลเพื่อการวางโครงการในโอกาสต่อไป
(4) เป็นข้อมูลเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
(5) เป็นการวางแผนขั้นสุดท้ายที่โครงการต้องทํา
ตอบ 3 หน้า 50, (คําบรรยาย) การประเมินโครงการมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทําให้ทราบว่าการดําเนินโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
2. ทําให้ทราบถึงเหตุผลสําคัญที่ทําให้โครงการประสบความสําเร็จหรือล้มเหลว
3. ช่วยปรับปรุงการดําเนินงานให้ดีขึ้น
4. เก็บเป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในโอกาสต่อ ๆ ไป ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ของผู้ร่างหรือผู้วางโครงการให้สูงขึ้นด้วย

4.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของโครงการ
(1) งานออกแบบสิ่งใหม่
(2) งานตามหน้าที่ประจํา
(3) งานความรู้เฉพาะทาง
(4) งานทําซ้ำ
(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 4
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะของโครงการ มีดังนี้
1. เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง และความท้าทายบางอย่าง
2. มีข้อจํากัดด้านเวลา มีระยะเวลาที่แน่นอน
3. เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
4. มีความซับซ้อน
5. ต้องใช้ความร่วมมือหลากหลายสาขาเพื่อการเปลี่ยนแปลง
6. ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ
7. มีความชัดเจนแน่นอนสูง
8. มีความสําคัญเร่งด่วน
9. ต้องการความเป็นองค์การในการขับเคลื่อน ฯลฯ

5. ข้อใดคือขั้นตอนที่บอกถึงกิจกรรมที่องค์การจะต้องทํา
(1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การกําหนดวิสัยทัศน์
(4) การกําหนดกลยุทธ์
(5) การกําหนดพันธกิจ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การกําหนดพันธกิจหรือภารกิจ (Mission) คือ การบอกถึงกิจกรรมที่องค์การ จะต้องทํา เช่น จัดเก็บภาษีให้ได้ตามประมาณการ, บําบัดฟื้นฟูและแก้ไขพฤตินิสัยของผู้ต้องขังอย่างมีประสิทธิภาพ, การพัฒนานโยบาย มาตรการ และบริการด้านการป้องกันควบคุมโรค และภัยสุขภาพ, เตรียมความพร้อมในการจัดการภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ ได้ ทันการณ์ เป็นต้น

6.การวิเคราะห์โครงการกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่
(1) วิเคราะห์ทั่วไป กับวิเคราะห์แบบเจาะจง
(2) วิเคราะห์ผลลัพธ์ กับผลที่คาดหวังไว้
(3) วิเคราะห์ต้นทุน กับวิเคราะห์กําไร
(4) วิเคราะห์ปัจจุบัน กับวิเคราะห์อนาคต
(5) วิเคราะห์เชิงคุณภาพ กับวิเคราะห์เชิงปริมาณ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์โครงการสามารถกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่ การวิเคราะห์ต้นทุน (Cost) และการวิเคราะห์กําไรหรือผลตอบแทน (Benefit)

7. ข้อใดเป็นคํากล่าวที่ถูกต้องในเรื่องประเภทของแผน
(1) แผนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
(2) แผนระยะสั้น 3 ปี
(3) แผนระยะปานกลาง 6 ปี
(4) แผนระยะสั้น 4 ปี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 23 (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทของแผนหรือแผนงาน (Plan) โดยใช้เกณฑ์ระยะเวลา (Time Span) อาจจําแนกได้ดังนี้
1. แผนระยะสั้น เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 2 ปี ซึ่งสามารถวางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
2. แผนระยะปานกลาง เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 2 – 5 ปี ซึ่งนิยมใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศ
3. แผนระยะยาว เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

8.การกําหนดรายละเอียด/กิจกรรม หรือโครงการ คือขั้นตอนใด
(1) การกําหนดกลยุทธ์
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(4) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
(5) การควบคุมกลยุทธ์
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ คือ กระบวนการแปลงกลยุทธ์ไปสู่แผนการดําเนินงาน กําหนดรายละเอียด/กิจกรรม หรือโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดําเนินการตามกลยุทธ์ได้ อย่างเป็นรูปธรรม

9. ข้อใดถูกต้อง
(1) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมีต้นทุนสูง
(2) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการประหยัด มีประสิทธิภาพ
(3) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมักขาดการประสานงาน ไม่คล่องตัว
(4) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการประสานงานได้รวดเร็วคล่องตัว
(5) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมีเสถียรภาพสูงและคล่องตัว
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบดั้งเดิม (Traditional Bureaucracy) เป็นการจัดโครงสร้าง โครงการที่อยู่ในโครงสร้างเดิมแบบราชการ ข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ ประหยัด ไม่ต้องปรับโครงสร้างใหม่ และมีผู้รับผิดชอบหรือเจ้าของผลงานชัดเจน ส่วนข้อจํากัดคือ ขาดการประสานงาน ไม่คล่องตัว และไม่เหมาะกับโครงการขนาดใหญ่หรือซับซ้อน

10. ผลสําเร็จจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการเป็นผลสําเร็จในระดับใด
(1) Input
(2) Impact
(3) Output
(4) Outcome
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ผลสําเร็จจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการ เป็นผลสําเร็จในระดับ ผลผลิต (Output)

11. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะของโครงการ
(1) งานที่ท้าทาย ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ เป็นเรื่องใหม่ ๆ มีระยะเวลาที่แน่นอน
(2) งานสร้างสรรค์ ต้องใช้ความร่วมมือหลากหลายสาขาเพื่อการเปลี่ยนแปลง มีระยะเวลาที่แน่นอน
(3) งานที่มีความซับซ้อน มีการลงทุนสูง ใช้ความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ไม่กําหนดระยะเวลา
(4) งานประจํา ทําซ้ํา ซับซ้อน มีต้นทุนสูง ใช้เวลานาน
(5) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

12. ท่านจะหาแผนหลักในการพัฒนาประเทศ “ระยะยาว” ได้จากที่ใด
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) คําแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
(3) แผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(4) ยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2560 – 2564
(5) แผนยุทธศาสตร์กระทรวง
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) เป็นแผนหลักในการพัฒนาประเทศ ระยะยาวให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมียุทธศาสตร์ที่สําคัญ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เป็นต้น

13.เทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดแบบ 2Q2T1P เหมาะกับการกําหนดตัวชี้วัดหน่วยงานใด
(1) กองสุขภาพจิตสังคม กรมสุขภาพจิต
(2) สํานักโภชนาการ กรมอนามัย
(3) กระทรวงสาธารณสุข
(4) สํานักกฎหมายการแพทย์ กรมการแพทย์
(5) สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด
ตอบ 3 (คําบรรยาย) 2Q2T1P เป็นเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับรัฐบาล กระทรวง และกรม ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
1. Quantity (ปริมาณ)
2. Quality (คุณลักษณะ)
3. Time (เวลา)
4. Target Group (กลุ่มเป้าหมาย)
5. Place (สถานที่)

14. เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดใหญ่โตหน้าเวลา
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดเล็กลง
(5) มีขนาดจะเล็กลงหรือจะโตขึ้นเป็นไปตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 หน้า 17 – 18 Randall Ripley และ Grace Franklin กล่าวว่า ในการนํานโยบายไปปฏิบัตินั้น มีประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติต้องทําความเข้าใจอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1.มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมากมาย
2. มีความต้องการหลากหลายต่อนโยบาย
3. ธรรมชาติของนโยบายมักจะมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
4. ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในหลายระดับ หลายสังกัด และหลายหน่วยเสมอ
5. มีปัจจัยมากมายที่นโยบายไม่สามารถควบคุมได้

15. ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริง หรือข้อมูลภาคสนาม หรือข้อมูลปฐมภูมิ ข้อมูลทุติยภูมิเพื่อจะทราบปัญหา
(1) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การวิเคราะห์ทางเลือก
(4) การระบุปัญหา
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 4 หน้า 12 การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหา โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก สถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูล ทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใดเร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และ ประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นโดยสรุปการระบุปัญหาก็คือ การศึกษาวิเคราะห์เพื่อกําหนด ปัญหาที่ถูกต้องและศึกษาค่านิยมที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับปัญหาเพื่อกําหนดแนวทางของนโยบายที่เหมาะสมกับความเป็นจริงต่อไป

16. ข้อใดสอดคล้องเหมาะสมกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม
(1) Social Analysis
(2) Financial Analysis
(3) Alternative
(4) Process
(5) Feasibility Study
ตอบ 1 หน้า 41, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านสังคม (Social Analysis) จะพิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้
1. ความเหมาะสมสอดคล้องต้องกันระหว่างแนวทางของโครงการกับปัจจัยทางสังคม เช่น ศาสนา การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม กฎหมาย การเมืองและการปกครอง เป็นต้น
2. โอกาสที่สังคมจะยอมรับ/สนับสนุน หรือต่อต้านคัดค้านโครงการ

17. วงจรชีวิตโครงการขั้นใดมีระดับความพยายามสูงสุด
(1) วางแผน
(2) ดําเนินการ
(3) สิ้นสุดโครงการ
(4) กําหนดโครงการ
(5) สํารวจสภาพแวดล้อม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) วงจรชีวิตโครงการ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกําหนดโครงการ
2. การวางแผน
3. การดําเนินการ ซึ่งเป็นขั้นที่มีระดับความพยายามสูงสุด
4. การสิ้นสุดโครงการ

18. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างแบบโครงการ
(1) โครงสร้างเป็นแบบแนวราบ มีความคล่องตัว
(2) มีทรัพยากรเป็นของตัวเอง
(3) ประหยัด มีประสิทธิภาพ
(4) สนับสนุนการทํางานเป็นทีม
(5) จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะหรือแยกออกมาจากโครงสร้างเดิม
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบโครงการ (Project Organization) เป็นการจัดโครงสร้าง ขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะหรือแยกออกมาจากโครงสร้างเดิม โดยเน้นโครงสร้างแบบแนวราบและ เน้นการทํางานเป็นทีม ซึ่งข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ มีความคล่องตัวและสะดวก ในการบริหารจัดการ มุ่งเน้นผลลัพธ์ และมีทรัพยากรเป็นของตัวเอง ส่วนข้อจํากัดคือ สิ้นเปลืองทรัพยากรหากมีโครงการจํานวนมาก

19. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสถานะของวิชาการวางแผนภาครัฐ
(1) การวางแผนเป็นแนวคิดและทฤษฎีทางการบริหาร
(2) การวางแผนเป็นตัวแบบทางการบริหาร
(3) การวางแผนเป็นเครื่องมือในการอธิบายปรากฏการณ์
(4) การวางแผนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้
(5) การวางแผนเป็นเครื่องมือทางการบริหาร
ตอบ 5 (คําบรรยาย) วิชาการวางแผนภาครัฐในทางรัฐประศาสนศาสตร์มีสถานะเป็นเครื่องมือทางการบริหาร

20.“ร้อยละ 90 ของผู้รับบริการมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” ประโยคดังกล่าวแสดงถึงปัญหาของ การใช้ตัวชี้วัดอย่างไร
(1) ขาดความน่าเชื่อถือ
(2) เป็นอุดมคติมากเกินไป
(3) ค่าเป้าหมายต่ำเกินไป
(4) ค่าเป้าหมายสูงเกินไป
(5) เป็นนามธรรม
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประโยคดังกล่าวเป็นค่าเป้าหมายที่สูงเกินไป ถือเป็นค่าเป้าหมายในระดับท้าทาย ซึ่งมีความยากค่อนข้างมาก ทั้งนี้การกําหนดค่าเป้าหมายที่ดีควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสามารถทําให้สําเร็จได้

21. “ประชาชนมีความปลอดภัยจากภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ” ประโยคดังกล่าวเป็นการกําหนดอะไร
(1) การกําหนดวิสัยทัศน์
(2) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(3) การกําหนดกลยุทธ์
(4) การกําหนดเป้าประสงค์
(5) การกําหนดพันธกิจ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การกําหนดเป้าประสงค์ (Goal) คือ การบอกว่า “ใคร” ได้ประโยชน์จากการกระทําหรือการดําเนินตามพันธกิจขององค์การ เช่น ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ ชายแดนและพื้นที่เฉพาะอื่น ๆ มีโอกาสได้รับการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต, ผู้ต้องขัง เป็นคนดีพร้อมกลับคืนสู่สังคม, ประชาชนมีความปลอดภัยและได้รับคนดีคืนสู่สังคม, ประชาชนมีความปลอดภัยจากภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ เป็นต้น

22. ข้อใดคือการประเมินเพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการ
(1) Strategic Assessment
(2) Ongoing-evaluation
(3) Monitoring
(4) Pre-evaluation
(5) Post-evaluation
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การประเมินผลระหว่างดําเนินโครงการ (Ongoing-evaluation) เป็นการประเมินในระหว่างที่ทําโครงการเพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการว่าเป็นไปตามแผน หรือกําหนดการหรือไม่ มีอุปสรรคอะไร และควรแก้ไขอย่างไร เพื่อให้บรรดากิจกรรมที่ทํา สอดคล้องและมุ่งสู่เป้าหมาย วัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้

23. การเขียนแผนผัง/ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในโครงการกับระยะเวลามักเขียนในรูปแบบใด
(1) Grant Chart
(2) Great Chart
(3) Grand Chart
(4) Growth Chart
(5) Gantt Chart
ตอบ 5 (คําบรรยาย) Gantt Chart คือ แผนผัง/ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในโครงการ กับระยะเวลาดําเนินการ ซึ่งจะทําให้ทราบจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานในแต่ละขั้นตอน

24. แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมีทั้งหมดกี่ด้าน
(1) 21 ด้าน
(2) 10 ด้าน
(3) 23 ด้าน
(4) 20 ด้าน
(5) 15 ด้าน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นแผนแม่บทเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งประกอบด้วยแผนแม่บททั้งหมด 23 ด้าน เช่น ความมั่นคง การต่างประเทศ การเกษตร อุตสาหกรรรมและบริการแห่งอนาคต การท่องเที่ยว พื้นที่และ เมืองน่าอยู่อัจฉริยะ โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์และดิจิทัล ผู้ประกอบการและวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมยุคใหม่ เขตเศรษฐกิจพิเศษ การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต การพัฒนาการเรียนรู้ เป็นต้น

25. ข้อใดเป็นการวิเคราะห์ประเมินโครงการไม่ใช่ราชการ
(1) Process
(2) Feasibility Study
(3) Alternative
(4) Social Analysis
(5) Financial Analysis
ตอบ 5 หน้า 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านการเงิน (Financial Analysis) เป็นแนวทางการประเมินโครงการทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย กับผลประโยชน์ที่ได้รับ (Cost-Benefit) เพื่อดูว่าโครงการที่จัดทําขึ้นมานั้นมีลักษณะคุ้มทุนหรือไม่

26. ข้อใดเรียงลําดับวงจรชีวิตโครงการได้ถูกต้อง
(1) วางแผนกําลังคน สํารวจสถานะ ดําเนินการ ยกเลิกโครงการ
(2) สํารวจสถานะ วางแผน ดําเนินการ ปิดโครงการ
(3) รายงานสถานะโครงการ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(4) กําหนดโครงการ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

27. นายอนุทินมีตําแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข นายประยุทธ์ตําแหน่งนายแพทย์ นายประวิตรตําแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ ทั้งสามคนสังกัดกรมควบคุมโรค นายพริษฐ์ตําแหน่งเภสัชกร นายธนาธรตําแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ ทั้งสองสังกัดองค์การเภสัชกรรม และ น.ส.ธิติมา ตําแหน่งนักพยาธิวิทยา สังกัดโรงพยาบาล รามาธิบดี ทั้งหมดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะทํางานในโครงการศึกษาวัคซีนรักษาไวรัสโคโรนา……
ลักษณะที่กล่าวมาเป็นการจัดโครงสร้างโครงการแบบใด
(1) โครงสร้างตามวิชาชีพ
(2) โครงสร้างแบบสาขา
(3) โครงสร้างแบบราชการ
(4) โครงสร้างแบบแมทริกซ์
(5) โครงสร้างแบบโครงการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบแมทริกซ์ (Matrix Organization) เป็นการจัดโครงสร้าง ที่ผสมระหว่างโครงสร้างแบบเดิมกับโครงสร้างแบบโครงการ โดยใช้กําลังคนในโครงสร้างเดิมมาร่วมในโครงการโดยไม่ละทิ้งหน้าที่เดิม ซึ่งในภาครัฐของไทยมักใช้วิธีการตั้งเป็นคณะกรรมการ โดยมีองค์ประกอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ ประสานงาน ได้รวดเร็วและประหยัด ส่วนข้อจํากัดคือ ความเป็นเจ้าของผลงานไม่ชัดเจน

28. การติดตามประเมินผล คือขั้นตอนใด
(1) การควบคุมกลยุทธ์
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(4) การกําหนดกลยุทธ์
(5) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การควบคุมกลยุทธ์ คือ การติดตามประเมินผลการดําเนินงานทั้งหมดตาม แผนกลยุทธ์ที่กําหนดไว้ว่าการดําเนินงานบรรลุผลสําเร็จตามแผนมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องอาศัย การเปรียบเทียบผลที่ได้จากการปฏิบัติจริงกับผลการดําเนินงานที่ตั้งเป้าหมายไว้ หากปรากฏ ผลที่ได้จากการดําเนินงานจริงต่ำกว่าเป้าหมายที่กําหนดไว้ในแผน ผู้บริหารก็จะต้องหาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป

29. ข้อใดเรียงลําดับระดับของตัวชี้วัดจากเล็กไปใหญ่ได้ถูกต้อง
(1) Impact, Output, Outcome
(2) Impact, Outcome, Output
(3) Output, Outcome, Impact
(4) Outcome, Output, Impact
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระดับของตัวชี้วัดเรียงลําดับจากเล็กไปใหญ่ได้ดังนี้
1. ผลผลิต (Output) เป็นตัวชี้วัดระดับสํานัก หน่วยปฏิบัติ)
2. ผลลัพธ์ (Outcome) เป็นตัวชี้วัดระดับกรม
3. ผลกระทบ (Impact) เป็นตัวชี้วัดระดับกระทรวงและรัฐบาล

30. “การพัฒนานโยบาย มาตรการ และบริการด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ” ประโยคดังกล่าวเป็นการกำหนดอะไร
(1) การกําหนดวิสัยทัศน์
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(4) การกําหนดพันธกิจ
(5) การกําหนดกลยุทธ์
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

31. ข้อใดคือที่มาของการวางแผนกลยุทธ์
(1) ข้อเสนอของ World Bank
(2) ข้อเสนอของ USAID
(3) คําสั่งของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ
(4) เครื่องมือทางการบริหารของเอกชน
(5) ถูกทุกข้อยกเว้นข้อ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ที่มาของการวางแผนกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ มีดังนี้
1. ข้อเสนอของธนาคารโลก (World Bank) และองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ แห่งสหรัฐอเมริกา (USAID)
2. การวางแผนทางการทหาร
3. เครื่องมือทางการบริหารจัดการของภาคเอกชน

32. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของโครงการภาครัฐ
(1) มาจากสภาพปัญหาของสังคม
(2) มีผลกระทบต่อสังคมสูง
(3) ใช้งบประมาณสาธารณะ
(4) รัฐเป็นเจ้าของโครงการ
(5) คุ้มค่า ให้ผลตอบแทนสูง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะของโครงการภาครัฐ มีดังนี้
1. รัฐเป็นเจ้าของโครงการ
2. มาจากปัญหาข้อเรียกร้องของประชาชนหรือสภาพปัญหาของสังคม
3. เป็นประโยชน์สาธารณะ
4. มีระยะเวลาแน่นอน
5. ใช้เงินภาษีหรืองบประมาณสาธารณะ
6. ประเมินผลตอบแทนยาก
7. มีผลกระทบต่อสังคมสูง

33. กําหนดทางเลือกซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกให้ครบถ้วน
(1) การวิเคราะห์ทางเลือก
(2) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(3) การระบุปัญหา
(4) การทดสอบทางเลือก
(5) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 13 การออกแบบทางเลือกนโยบาย คือ การใช้ความรู้ ประสบการณ์ของผู้กําหนดนโยบาย ร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือกซึ่งเป็นแนวทาง ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใดที่สามารถ ปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นนี้ต้องรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกที่เป็นไปได้ให้ครบถ้วน

34.การส่งมอบงานตึก 12 ชั้น คณะรัฐศาสตร์
(1) Policy Formulation
(2) Policy Analysis
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Implementation
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนของ การแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา/การตระเตรียม วิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

35. การวางแผนกลยุทธ์ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทางการบริหารแนวคิดใด
(1) New Public Administration
(2) New Public Service
(3) New Prime Minister
(4) New Public Management
(5) Neo-Classic Administration
ตอบ 4 (คําบรรยาย) แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการวางแผนกลยุทธ์ มีดังนี้
1. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management : NPM)
2. Reinventing Government 10 David Osborne & Ted Gaebler
3. การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management)
4. ทฤษฎีระบบ (System Theory)

36. ในแนวคิดการศึกษานโยบายศาสตร์ในแนววิเคราะห์นโยบายนิยมใช้ในนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักวิทยาศาสตร์
(2) นักเศรษฐศาสตร์
(3) นักรัฐศาสตร์
(4) นักสังคมวิทยา
(5) นักรัฐประศาสนศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 6 – 7 การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบาย ถือเป็นแนวทางที่นักรัฐประศาสนศาสตร์ นิยมใช้กันมาก โดยเป็นการศึกษาที่เน้นการวิเคราะห์โดยทั่วไป (ในภาพรวม) มิใช่เป็น การศึกษารายกรณี และมีเทคนิควิธีการศึกษาที่ใช้หลักสหวิทยาการหรือหลักการของ วิชาการหลายสาขามาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งการศึกษาตามแนวนี้ได้มีจุดเริ่มต้นระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม

37. ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับปัจจัยใดมากที่สุด
(1) เวลาดําเนินการที่เหมาะสม
(2) ความถูกต้องของตัวโครงการ
(3) สถานที่ดําเนินการที่เหมาะสม
(4) ผู้ร่วมงานในโครงการ
(5) ผู้บริหารโครงการ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับความถูกต้องของตัวโครงการมากที่สุด ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหารโครงการแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นการ วางโครงการให้ประสบความสําเร็จต้องอาศัยความถูกต้องของข้อมูลเป็นสําคัญที่สุด

38. การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบายได้มีจุดเริ่มต้นที่ใด
(1) เมื่อ Max Weber ได้ศึกษาระบบราชการ
(2) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
(3) เมื่อ Mayo ได้ทดลองค้นคว้าที่เรียกว่า Hawthorne Study
(4) เมื่อมีกลุ่มนักทฤษฎีสมัยใหม่
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

39. หลักการบริหารใดที่ต้องใช้มากที่สุดในการจัดการโครงการ
(1) การจัดทีมงาน (Team Building)
(2) การรายงาน (Reporting)
(3) การจัดองค์การ (Organizing)
(4) การควบคุม (Controlling)
(5) การวางแผน (Planning)
ตอบ 4 หน้า 44, (คําบรรยาย) ในการบริหารหรือการจัดการโครงการนั้น หลักการบริหารที่จะต้องใช้ มากที่สุดก็คือ การควบคุม (Controlling) ซึ่งโดยทั่วไปการควบคุมโครงการจะเน้นการควบคุม
3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control)
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control)
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control)

40. ข้อใดตรงกับ Result-Oriented Government รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน
(1) มุ่งเน้นเฉพาะผลผลิต (Output)
(2) มุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome)
(3) การคํานึงถึงว่าผู้รับบริการจะได้ประโยชน์อะไร
(4) ลูกเฉพาะข้อ 1
(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน (Result-Oriented Government) หมายถึง การมุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome) หรือการคํานึงถึงว่าผู้รับบริการ/ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร

41.นักวิชาการที่กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ คือ
(1) Thomas R. Dye
(2) Walter
(3) Harry Harty
(4) Theodore Poister
(5) William Durin
ตอบ 4 หน้า 16 Theodore Poister กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ ดังนั้นจําเป็นต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังถึงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาของนโยบายกับผลกระทบทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น”

42. ชุดรวมของบรรดาโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน คืออะไร
(1) Policy
(2) Micro Project
(3) Planning
(4) Program
(5) Process
ตอบ 4 (คําบรรยาย) แผนงาน (Program) คือ ชุดรวมของบรรดาโครงการ (Project) ต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน

43. สถาบันที่มีหน้าที่ริเริ่มกําหนดนโยบายและมีอํานาจอิทธิพลต่อนโยบายมาก คือ
(1) สถาบันการปกครองท้องถิ่น
(2) สถาบันศาล
(3) สถาบันการปกครอง
(4) สถาบันทหาร
(5) สถาบันทางรัฐสภา
ตอบ 3 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบหรือทฤษฎีสถาบัน (Institution Model Theory) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตาม ๆ จะได้ชื่อว่าเป็นนโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไปตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบันการปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

44. ข้อใดเป็นกระบวนการต่าง ๆ ทางวิชาการ
(1) Social Analysis
(2) Alternative
(3) Feasibility Study
(4) Process
(5) Financial Analysis
ตอบ 4 (คําบรรยาย) กระบวนการ (Process) หมายถึง ขั้นตอนวิธีปฏิบัติ หรือกิจกรรมการดําเนินงาน ที่กระทําอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย

45. การกําหนดโครงการ หมายถึงอะไร
(1) การศึกษาความสมบูรณ์ของโครงการที่ร่างเสร็จแล้ว
(2) การตรวจสอบความสามารถของผู้ร่างโครงการซ้ําอีกครั้ง
(3) การตรวจสอบผลของการดําเนินโครงการที่ผ่านไปแล้ว
(4) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
(5) การตรวจสอบข้อมูลของโครงการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การกําหนดโครงการ หมายถึง การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ หรือ การเสาะหาลู่ทางการลงทุนที่ดีและมีความเป็นไปได้ เช่น โครงการลงทุนของภาคเอกชน ที่มีแววว่าจะสามารถทํากําไร หรือให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่า และถ้าเป็นโครงการลงทุน ของภาครัฐก็เป็นโครงการลงทุนที่มีศักยภาพและความสําคัญสูงต่อการแก้ไขปัญหาหรือตอบสนอง ความต้องการและโอกาสในการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ ของประเทศ เป็นต้น

46. การวางโครงการให้ประสบผลสําเร็จต้องอาศัยองค์ประกอบตัวใดเป็นสําคัญที่สุด
(1) เวลาที่เหมาะสม
(2) เครื่องมือที่เพียบพร้อม
(3) ข้อมูล
(4) การสนับสนุนจากผู้มีอํานาจ
(5) คนวางโครงการ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ในกระบวนการของแผน/โครงการนั้น กระบวนการหรือขั้นตอนที่ใช้ข้อมูลมากที่สุด และมีอิทธิพลต่อทุก ๆ กระบวนการมากที่สุดก็คือ การวางแผน/โครงการ เพราะโดยทั่วไปแล้ว การที่แผน/โครงการจะประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวนั้นจะขึ้นอยู่กับกระบวนการหรือขั้นตอน ที่ว่านี้เป็นสําคัญ กล่าวคือ ถ้าวางแผน/โครงการได้ดีมีรายละเอียดครอบคลุม มีการเก็บข้อมูล อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้การวางโครงการมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และ ประเมิน การนําไปปฏิบัติ ตลอดจนการประเมินผลสามารถทําได้โดยง่าย และโอกาสที่แผน โครงการนั้นจะประสบความสําเร็จก็จะมีสูง

47. หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้รูปแบบใดในการบริหาร
(1) การตัดสินใจเฉพาะหน้า
(2) โครงการ
(3) นโยบาย
(4) แผน
(5) การใช้ประสบการณ์ที่ยาวนาน
ตอบ 2 (คําบรรยาย) หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้โครงการเป็นรูปแบบ ในการบริหาร โดยโครงการมีขึ้นเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นหลักพื้นฐานของการวางโครงการด้วย กล่าวคือ ถ้าไม่มีปัญหาก็จะไม่มีการวางโครงการ เพื่อทําหน้าที่ค้นหาวิธีแก้ปัญหานั้น ๆ

48. ใครกล่าวว่านโยบายคือ “สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา
(1) David Easton
(2) ดร.อมร รักษาสัตย์
(3) William Dunn
(4) Woodrow Wilson
(5) Thomas R. Dye
ตอบ 5 หน้า 1 Thomas R. Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือ กิจกรรมหรือสิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา และเกี่ยวข้องกับเหตุผลว่าทําไมจึงเลือกเช่นนั้น”

49. หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐแห่งหนึ่ง วิเคราะห์ SWOT ว่า
1. คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยให้ได้ 100% ของกําลังการผลิต ทําให้สามารถแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้สําเร็จมากขึ้น
2. คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยให้ได้ 100% ของกําลังการผลิต ทําให้ประชาชนมีภาระต้นทุนในการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
การวิเคราะห์ดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ เพราะเหตุใด
(1) ควรปรับปรุงเพราะไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นโอกาสหรือภัยคุกคาม
(2) เหมาะสมถูกต้องแล้วเพราะเป็นเรื่องเดียวกัน
(3) เหมาะสมถูกต้องแล้วเพราะเป็นไปได้ทั้ง 2 แบบ
(4) ควรปรับปรุงเพราะไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อน
(5) ควรปรับปรุงเพราะไม่เป็นธรรมกับประชาชน
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมดังกล่าวควรปรับปรุง เพราะไม่สามารถประเมินได้ว่า เป็นโอกาสหรือภัยคุกคาม ทําให้นําไปกําหนดทิศทางกลยุทธ์ขององค์การได้ยาก

50. เทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดแบบ QQCT เหมาะกับการกําหนดตัวชี้วัดหน่วยงานใด
(1) สํานักงานเลขานุการ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
(2) กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค
(3) สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด
(4) กระทรวงสาธารณสุข
(5) ถูกทุกข้อยกเว้นข้อ 4
ตอบ 5 (คําบรรยาย) QQCT เป็นเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับสํานัก (หน่วยปฏิบัติ) ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
1. Quantity (ปริมาณ)
2. Quality (คุณลักษณะ)
3. Cost (ต้นทุน)
4. Time (เวลา)

51. การวางแผนเชิงกลยุทธ์สอดคล้องกับ Reinventing Government ข้อใด
(1) รัฐที่ชี้นํามากกว่าลงมือทําเอง
(2) รัฐประกอบการ
(3) รัฐที่เน้นกลไกการตลาด
(4) รัฐที่คาดการณ์ล่วงหน้า เน้นป้องกันมากกว่าแก้ปัญหา
(5) การแบ่งหน่วยงานย่อยเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) แนวคิด Reinventing Government ของ David Osborne & Ted Gaebler ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนเชิงกลยุทธ์โดยตรง ได้แก่
1. รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ (Mission-Driven Government)
2. รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน (Result-Oriented Government)
3. รัฐที่คาดการณ์ล่วงหน้า เน้นป้องกันมากกว่าแก้ปัญหา (Anticipatory Government)

52. การวางแผนแตกต่างจากการวางโครงการ เพราะการวางแผนไม่มีกิจกรรมใดต่อไปนี้ แต่โครงการมี
(1) การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(2) การวิเคราะห์ปัญหา
(3) การจัดทํา Project Programming
(4) การจัดทํา Feasibility Study
(5) การเก็บรวบรวมข้อมูล
ตอบ 3 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ในกระบวนการวางโครงการจําเป็นต้องมีการจัดทําโครงการปฏิบัติ (Operation Plan) เป็นการกําหนดรายละเอียดของวิธีดําเนินการโครงการ หรือที่เรียกว่า การจัดทํา “Project Programming” ซึ่งไม่มีในการวางแผน ดังนี้
1. กําหนดบุคลากร (Man Power) คือ การจัดคนที่ต้องรับผิดชอบงานต่าง ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งถือเป็นงานที่จําเป็นมากที่สุด
2. วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ (Materials/Equipments and Facilities)
3. ตารางเวลาการปฏิบัติงาน (Work Scheduling) คือ การกําหนดขั้นตอนของงานประกอบกับช่วงเวลาที่ต้องปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนสิ้นสุดกระบวนการ
4. งบประมาณ (Budgeting)
5. สถานที่ (Location)
6. องค์การที่จะต้องดูแลผลของโครงการเมื่อดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว(Future Organization)
7. การประเมินผลโครงการ (Evaluation)

53. องค์การสหประชาชาตินิยามโครงการว่าหมายถึง
(1) รูปแบบที่สําคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหา
(2) รูปแบบทั่ว ๆ ไปในการดําเนินงานในองค์กร
(3) รูปแบบการดําเนินการชนิดหนึ่ง
(5) รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม
(4) รูปแบบการบริหารกิจกรรมอันสลับซับซ้อน
ตอบ 5 หน้า 36 องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้นิยามความหมายของโครงการ ว่าหมายถึง รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ซึ่งได้มีการจัดเตรียมไว้แล้ว (Organized Social Activities) โดยมีวัตถุประสงค์ที่เจาะจง (Specific Objectives) มีการ จํากัดในด้านสถานที่และเวลา (Limited in Space and Time) โครงการมักประกอบด้วย โครงงานย่อย (Project) ที่เกี่ยวข้องกันหลาย ๆ โครงงาน (Group of Projects)

54. ข้อใดคือปัจจัยในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน
(1) Strengths, Weaknesses
(2) Strengths, Weekend
(3) Strengths, Wellness
(4) Opportunities, Technology
(5) STEPP, Treats
ตอบ 1 (คําบรรยาย) SWOT Analysis เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ ซึ่งประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) ขององค์การ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การ
2. การวิเคราะห์โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Treats) ขององค์การ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายนอกองค์การ

55. หน่วยงานระดับ “กระทรวง” ใช้ตัวชี้วัดระดับใด
(1) Impact
(2) Output
(3) Outcome
(4) QQCT
(5) 2Q2T1P
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

56. การทํา Feasibility ของโครงการมีจุดมุ่งหมายสําคัญเพื่อสิ่งใด
(1) เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการ
(2) เพื่อประเมินผลที่เกิดจากโครงการ
(3) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของโครงการ
(4) เพื่อดูความพร้อมของโครงการ
(5) เพื่อตระเตรียมการแก้ปัญหาแต่เนิ่น ๆ
ตอบ 1 หน้า 40 – 42, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การวิเคราะห์เปรียบเทียบโครงการ (Program/Project Analysis) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับปัจจัยภายในองค์การ/โครงการเป็นหลักโดยจะนําเอาโครงการที่มีอยู่ทั้งหมดมาทําการวิเคราะห์เปรียบเทียบถึงข้อดีข้อด้อยของแต่ละโครงการ เพื่อเลือกเอาโครงการที่ดีที่สุด ซึ่งเหมาะสําหรับโครงการที่ไม่เร่งด่วน
2. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบเปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่มากระทบโครงการโดยจะนําเอาโครงการที่ได้เลือกสรรไว้แล้วเพียงโครงการเดียวมาทําการศึกษาถึง ความเป็นไปได้ เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการว่ามีโอกาสที่จะ ประสบผลสําเร็จมากน้อยเพียงใด ซึ่งมักจะใช้ในกรณีที่เป็นโครงการเร่งด่วน

57. ปัญหาชนิดใดวางโครงการง่ายที่สุด
(1) ปัญหาการเมืองของชาติ
(2) ปัญหาประมงนอกน่านน้ำไทย
(3) ปัญหาความแห้งแล้งในทุ่งนา
(4) ปัญหาจราจรใน กทม.
(5) ปัญหาความแตกแยกในสังคมหมู่บ้าน
ตอบ 4 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาแก้ไข (Solvec Problem) เป็นปัญหาที่ปรากฏผลเสียหาย ให้เห็นอยู่แล้ว เห็นตัวตนของปัญหามีรูปธรรมชัดเจน และสังคมเห็นพ้องต้องกันว่านี้คือปัญหา ที่ต้องแก้ไข ซึ่งจะนํามาเป็นแนวคิดในการวางโครงการได้ง่ายที่สุดเพื่อแก้ปัญหา เช่น ปัญหา จราจรใน กทม. แก้ไขปัญหาโดยการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ปัญหาน้ําท่วมเมื่อปี 2554 เป็นต้น

58. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(1) SWOT Analysis
(2) QQCT
(3) STEPP
(4) 7’S
(5) Five-Forces Model
ตอบ 2 (คําบรรยาย) เครื่องมือวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ มีดังนี้
1. 2’S 4’M
2. 7’S
3. PMQA
4. PEST Analysis
5. STEPP Model
6. Five-Forces Model
7. SWOT Analysis

59. ข้อใดคือปัจจัยในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
(1) STEPP, Weaknesses
(2) STEPP, Weakishness
(3) Opportunities, Treats
(4) Opportunism, Theater
(5) Optimistic, Treats
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

60. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ให้ประโยชน์กับสังคม
(2) ให้คํานึงถึงรัฐสภา
(3) ประโยชน์โดยทั่วไป
(4) ผู้นําและผู้ใกล้ชิด
(5) ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

61. “ปัจจุบัน” (ปี 2564) หน่วยงานใดมีบทบาทในการกําหนดตัวชี้วัดตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ
(1) สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
(2) สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(3) สํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
(4) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
(5) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งมีฐานะเป็น เลขานุการของคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการกําหนด ตัวชี้วัดตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติในปัจจุบัน

62.Controtted Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนในภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 12 สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

63. “การระบาดมีความรุนแรงจากเชื้อกลายพันธุ์ ข้อมูลการศึกษายังก้าวตามไม่ทัน ทําให้ขาดข้อมูลในการกําหนด มาตรการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ประโยคดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก
(2) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(3) การกําหนดพันธกิจ
(4) การกําหนดเป้าประสงค์
(5) การกําหนดวิสัยทัศน์
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม คือ การประเมินสถานภาพขององค์การ โดยการ พิจารณาสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้ทราบจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ เพื่อนําไปประกอบในการกําหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับองค์การต่อไป

64. การวางแผนกลยุทธ์สัมพันธ์กับระบบงบประมาณแบบใด
(1) ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ
(2) ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลกระทบ
(3) ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน
(4) ระบบงบประมาณแบบแผนงานโครงการ
(5) ระบบงบประมาณแบบฐานศูนย์
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การวางแผนกลยุทธ์สัมพันธ์กับระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน(Performance-Based Budgeting) ซึ่งเป็นระบบงบประมาณที่ให้ความสําคัญกับ ความสําเร็จตามเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของแผนงาน รวมทั้งการบ่งชี้หรือ การวัดผลที่เกิดจากการทํางาน ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

65. แบบอะไรที่ถูกต้องในการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบายหรือแผน
(1) แบบการวัดประสิทธิภาพ
(2) แผนประเมินผลงาน
(3) แผนการรายงาน
(4) แผนตรวจงาน
(5) แบบวิธีทดลอง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบาย คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการดําเนินการตามนโยบายนั้นตรงกับ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1. แบบธรรมดา หรือแบบที่ไม่ใช่วิธีการทดลอง
2. แบบวิธีกึ่งทดลอง
3. แบบวิธีทดลอง

66. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ OKR
(1) ระบบการวัดผลที่มีความยืดหยุ่นกว่า KPI
(2) ระบบการวัดผลที่เน้นการสร้างตัวชี้วัดจํานวนมาก
(3) ระบบการวัดผลที่กําหนดวัตถุประสงค์หลากหลาย
(4) ระบบการวัดผลที่เปลี่ยนตัวชี้วัดปีละครั้ง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) OKR (Objective Key Result) เป็นระบบการวัดผลที่นํามาใช้แทนระบบ KPI (Key Performance Indicator) เพราะมีความยืดหยุ่นมากกว่า โดยลักษณะสําคัญของระบบนี้ คือ มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มีตัวชี้วัดจํานวนน้อยและจะเปลี่ยนทุก ๆ 3 เดือน ทําให้สามารถปรับเปลี่ยนองค์การได้ตามสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

67. หน่วยงานระดับ “กรม” ใช้ตัวชี้วัดระดับใด
(1) QQCT
(2) Output
(3) Impact
(4) Outcome
(5) 2Q2T1P
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

68. หน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการใด
(1) กําหนดปัญหา
(2) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(3) ลงมือวางแผน
(4) ประเมินผล
(5) ตั้งเป้าหมาย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

69. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย รวมทั้งการยอมรับต่อนโยบาย
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การทดสอบทางเลือก
(5) การวิเคราะห์ทางเลือก
ตอบ 2 หน้า 13 การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย คือการศึกษาข้อจํากัดด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ข้อมูล
2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย
3. การรับรู้และการยอมรับต่อนโยบาย
4. สิ่งแวดล้อมทั่วไป

70. “จํานวนผู้รับบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 80” ประโยคดังกล่าวแสดงถึงปัญหาของการใช้ตัวชี้วัดอย่างไร
(1) วัดได้เฉพาะ Output
(2) ขาดความยืดหยุ่น
(3) ขาดความน่าเชื่อถือ
(4) วัดได้เฉพาะ Outcome
(5) วัดได้เฉพาะ Impact
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ประโยคดังกล่าวนั้นวัดได้เฉพาะผลผลิต หรือ Output ซึ่งหมายถึง ผลที่เกิดขึ้น ทันที เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการเสร็จสิ้น

71.TP. หมายถึง
(1) ทฤษฎีการวางแผน
(2) Team Planning
(3) Target Planning
(4) เวลาที่ผ่านไป
(5) การทํางานเป็นทีม
ตอบ 2 หน้า 33 – 34, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบทีมวางแผน (Team Planning : TP.) คือ การวางแผนเป็นทีมที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมและการระดมสมอง (Brain Storm) ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ร่วมกันกําหนดเป้าหมาย (Targets) ของหน่วยงานให้ชัดเจนตรงกัน
2. ร่วมกันกําหนดอนาคต (Scenario) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ต้องการโดยคิดล่วงหน้า 3 – 5 ปี
3. ร่วมกันหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือข้อจํากัด (Obstructions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. ร่วมกันกําหนดแผน (Plan) หรือกลยุทธ์ (Strategies) โดยใช้การวิเคราะห์ SWOT เข้าช่วย
5. ร่วมกันกําหนดกลวิธี (Tactics) หรือโครงการให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้
6. ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ (Action Plan) ของโครงการ โดยเน้นให้เกิดผลภายใน 90 วัน หรือที่เรียกว่า 90 Day Implementation Plan

72. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเน้นหลักในด้านใดบ้าง
(1) ผลตอบแทน สิ่งแวดล้อม การเมือง
(2) สังคม เศรษฐกิจ การเมือง
(3) การเงิน การคลัง เทคโนโลยี และการจัดการ
(4) เศรษฐกิจ การจัดการ เทคโนโลยี
(5) เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การเมือง
ตอบ 4 หน้า 42 การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) มักจะประเมินเพียง ตัวแปรหลัก ๆ ดังนี้
1. ด้านเศรษฐกิจ ความคุ้มทุนหรือผลตอบแทนของโครงการ (นิยมประเมิน ในด้านนี้เป็นประจํา)
2. ด้านการบริหารหรือการจัดการ
3. ด้านเทคนิค เช่น สถานที่ตั้ง วัตถุดิบ และเทคโนโลยีของโครงการ
4. ด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ

73. กระบวนการใดทําให้ได้รับข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป
(1) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(2) ประเมินผล
(3) ลงมือวางแผน
(4) ตั้งเป้าหมาย
(5) กําหนดปัญหา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

74. ข้อใดคือการกําหนดตัวชี้วัดตามมาตรฐานวิทยาศาสตร์
(1) ผู้รับบริการมีความพึงพอใจไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของผู้มาใช้บริการทั้งหมดในรอบปี
(2) ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนในเมืองหลวงเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ภายใน 1 ปี
(3) ร้อยละ 90 ของข้อเสนอโครงการได้รับการอนุมัติภายในระยะเวลาที่กําหนด
(4) รสและกลิ่นของน้ำบริโภค ค่ามาตรฐานไม่เป็นที่รังเกียจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การกําหนดตัวชี้วัดตามมาตรฐานวิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) เป็น การกําหนดเกณฑ์ตัวชี้วัดโดยใช้ค่ามาตรฐานกลางซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการว่าอยู่ในระดับที่ ยอมรับได้ เช่น กรมควบคุมมลพิษกําหนดตัวชี้วัดว่า “ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีค่าเฉลี่ยไม่เกิน 0.025 มก./ลบ.ม. ใน 24 ชม.”, “รสและกลิ่นของน้ําบริโภคมีค่ามาตรฐาน ไม่เป็นที่รังเกียจ” เป็นต้น

75. การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายเป็นระบบ
(1) การทดสอบทางเลือก
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การวิเคราะห์ทางเลือก
(4) การระบุปัญหา
(5) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 14 การทดสอบทางเลือก คือ การทบทวนความเหมาะสมของขั้นตอนและข้อมูลที่ใช้ ทั้งทางด้านหลักการเหตุผล ทางเลือกของนโยบาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลว่ายังพอเพียง และดีอยู่ ตลอดจนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิธีวิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายว่าเป็นระบบและสอดคล้องต้องกันอย่างแท้จริง

76. การจัดการโครงการ (Program Management) มีเป้าหมายสําคัญอย่างไร
(1) เพื่อให้ได้ผลงานตามที่วางโครงการไว้
(2) เพื่อให้ครบกระบวนการของโครงการ
(3) เพื่อจัดองค์การให้เหมาะสมกับโครงการที่วางไว้
(4) เพื่อพัฒนาประเทศ
(5) เพื่อรวบรวมปัญหาและอุปสรรคไว้เป็นแนวทางในภายหน้า
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การบริหารหรือการจัดการโครงการหรือการปฏิบัติตามโครงการ (Program Management) เป็นขั้นตอนของการนําโครงการไปปฏิบัติ ซึ่งมีเป้าหมายสําคัญเพื่อนําเอา โครงการที่วิเคราะห์และประเมินแล้วมาดําเนินการให้เกิดผลงานตามที่วางโครงการไว้

77. คํากล่าวที่ว่า “การวางแผน คือ Set of Temporally Linked Actions” เป็นของใคร
(1) Gulick and Urwick
(2) Albert Waterston
(3) ดร.อมร รักษาสัตย์
(4) William Dunn
(5) Jose Villamil
ตอบ 5 หน้า 25 Jose Villamil กล่าวว่า “การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด”

78. ข้อมูลที่ต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก คือ
(1) ข้อมูลทุกประเภท
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(4) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการของดิน
ตอบ 4 หน้า 11 ข้อมูลในการวางนโยบายหรือแผน อาจจําแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ และภูมิศาสตร์
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

79. การกําหนดทิศทางขององค์การ อยู่ในขั้นตอนใด
(1) การกําหนดพันธกิจ
(2) การกําหนดกลยุทธ์
(3) การกําหนดวิสัยทัศน์
(4) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(5) การกําหนดเป้าประสงค์
ตอบ 3 (คําบรรยาย) วิสัยทัศน์ (Vision) คือ ภาพที่องค์การหวังหรือฝันจะเป็น เป็นการกําหนด ทิศทางขององค์การในอนาคต เช่น เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ที่มี สมรรถนะสูง (High Performance Organization) มุ่งผลิตบัณฑิตในอุดมคติไทยที่มีความรู้ คู่คุณธรรม เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง,เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพในการควบคุม แก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเพื่อคืนคนดีมีคุณค่าสู่สังคม, เป็นองค์กรป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพระดับมาตรฐานสากล เป็นต้น

80. ข้อใดประเมินดู Cost-Benefit
(1) Process
(2) Social Analysis
(3) Alternative
(4) Financial Analysis
(5) Feasibility Study
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

81. “เตรียมความพร้อมในการจัดการภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ ได้ทันการณ์” ประโยคดังกล่าวเป็นการกําหนดอะไร
(1) การกําหนดกลยุทธ์
(2) การกําหนดวิสัยทัศน์
(3) การกําหนดพันธกิจ
(4) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(5) การกําหนดเป้าประสงค์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

82. ข้อใดมิใช่ภารกิจที่สําคัญในการประเมินโครงการ
(1) การวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นว่าโครงการเหมาะสมที่สุดหรือยัง
(2) การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ
(3) การทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้
(4) การคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ
(5) การวิเคราะห์ความอยู่รอดของโครงการ
ตอบ 5 หน้า 39 – 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ มีความหมาย 2 ลักษณะ คือ
1. เป็นการศึกษาถึงโอกาสความสําเร็จในการดําเนินโครงการ โดยการวิเคราะห์และประเมินหาความเชื่อมั่นว่าตัวโครงการที่ร่างเสร็จแล้วนั้นมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติ ได้จริงหรือไม่ เช่น การวิเคราะห์หรือการคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ เป็นต้น
2. เป็นการศึกษาทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้ โดยการวิเคราะห์จําแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยและผลที่คาดว่าจะได้รับ หากมีการนําโครงการไปดําเนินการหรือนําไปปฏิบัติจริง พร้อมกับศึกษาว่าผลที่คาดว่าจะได้รับหรือผลที่จะเกิดขึ้นนั้นเหมาะสม มีคุณค่า มีประโยชน์ สมควรแก่การลงทุนดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่

83. กระบวนการใดต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญหลายสาขามากที่สุด
(1) ประเมินผล
(2) กําหนดปัญหา
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ตั้งเป้าหมาย
ตอบ 4 หน้า 27 งานวางแผนเป็นงานระดับกลุ่ม ดังนั้นการลงมือวางแผนจึงต้องประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขามาร่วมกันสร้างแผน โดยมีนักวางแผนเป็นผู้ประสานให้การวางแผน ไปสู่จุดหมายร่วมกันขององค์การได้

84. ข้อใดเป็นทางเลือกในการวางแผน โครงการ
(1) Feasibility Study
(2) Process
(3) Financial Analysis
(4) Alternative
(5) Social Analysis
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทางเลือก (Alternative) หมายถึง มาตรการหรือแนวทางการดําเนินงานที่สามารถ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ซึ่งอาจมีหลายทางเลือกในการบรรลุวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ

85. ข้อใดตรงกับ Mission-Driven Government รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ
(1) การกําหนดตัวชี้วัด
(2) การกําหนดพันธกิจ
(3) การประเมินผล
(4) การกําหนดวิสัยทัศน์
(5) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ (Mission-Driven Government) เป็นการกําหนดภารกิจหรือพันธกิจให้ชัดเจน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนอง ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

86. ข้อใดไม่ใช่หลักในการเขียนวัตถุประสงค์โครงการ
(1) ไม่ควรเกิน 3 ข้อ
(2) เรียงตามความสําคัญน้อยไปมาก
(3) เรียงตามความสําคัญมากไปน้อย
(4) เขียนเป็นรายข้อ
(5) สั้น กระชับ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) หลักในการเขียนวัตถุประสงค์โครงการ มีดังนี้
1. เขียนเป็นรายข้อว่าทําเพื่ออะไร
2. เรียงลําดับตามความสําคัญจากมากไปน้อย
3. เขียนสั้นกระชับได้ใจความ
4. ไม่ควรมีมากเกินไป ส่วนใหญ่ไม่เกิน 3 ข้อ

87. ความเป็นธรรมของนโยบายสามารถวัดได้อย่างไร
(1) วัดจากการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกระบวนการของนโยบายให้มากที่สุด
(2) วัดจากการกระจายรายได้ของนโยบายสู่ประชาชน
(3) วัดจากประโยชน์ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
(4) วัดจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบาย
(5) วัดจากความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การพิจารณาด้านความเป็นธรรมของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้น อาจพิจารณาหรือวัดได้จากประโยชน์ของนโยบาย แผน หรือโครงการว่าประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ จากนโยบาย แผน หรือโครงการอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะนโยบาย แผน หรือโครงการ ที่ดีนั้นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

88. กระบวนการใดทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
(1) ลงมือวางแผน
(2) ประเมินผล
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) กําหนดปัญหา
(5) ตั้งเป้าหมาย
ตอบ ไม่มีข้อถูก ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

89. ข้อใดคือขอบเขตและคุณภาพของการบริหารโครงการ
(1) เวลา ต้นทุน นโยบาย ความเสี่ยง
(2) เวลา ต้นทุน แผนงาน กําลังคน
(3) เวลา ต้นทุน กําไร ความเสี่ยง
(4) เวลา ต้นทุน ทรัพยากรมนุษย์ ความเสี่ยง
(5) เวลา ต้นทุน ความพร้อมของทรัพยากร ความเสี่ยง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขอบเขตและคุณภาพของการบริหารโครงการ มีองค์ประกอบดังนี้
1. เวลา (Time)
2. ต้นทุน (Cost)
3. ความพร้อมของทรัพยากร (Resource Availability)
4. ความเสี่ยง (Risk)

90. แผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น จัดเป็นแผนประเภทใด
(1) แผนรายปี
(2) แผนงบประมาณ
(3) แผนการเงิน
(4) แผนโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สําหรับแผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นแผนประเภทแผนรายปี แผนงบประมาณ แผนการเงิน แผนระยะสั้น หรือแผนโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจําแนก

91. ข้อใดคือข้อจํากัดของการจัดโครงสร้างการบริหารโครงการแบบราชการ
(1) ขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของผลงาน
(2) ต้นทุนสูง
(3) ไม่เหมาะกับโครงการขนาดใหญ่
(4) มีลําดับขั้นตอนมาก
(5) มีลําดับชั้นการบังคับบัญชาน้อย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

92. ในเรื่องเกี่ยวกับรูปร่างและรูปแบบของนโยบาย ข้อความในข้อใดกล่าวผิด
(1) มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มีรูปแบบเป็นสัญญา
(3) มีรูปเป็นแบบแผน โครงการ
(4) มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ
(5) เป็นคําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นไป
ตอบ 5 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

93. “เป็นองค์กรป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพระดับมาตรฐานสากล” ประโยคดังกล่าวคือการกําหนดอะไร
(1) การกําหนดพันธกิจ
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(4) การกําหนดวิสัยทัศน์
(5) การกําหนดกลยุทธ์
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 79. ประกอบ

94. โครงการต้องเจาะจงอะไรให้ชัดเจนกว่าแผน
(1) เวลาที่จะเกิดผลสําเร็จ
(2) ความต้องการของประชาชน
(3) คู่แข่งขัน
(4) เวลาดําเนินการ
(5) รูปร่าง (Form)
ตอบ 4 หน้า 36, (คําบรรยาย) รูปแบบอันเฉพาะเจาะจงที่ทําให้โครงการมีความแตกต่างจากแผน มีดังนี้
1. โครงการมีความชัดเจนและเจาะจงกว่า ทั้งรูปแบบ/รายละเอียดของวิธีดําเนินการ สถานที่
และระยะเวลาในการดําเนินการ
2. โครงการมีความมุ่งหมายให้เกิดผลิตผล (Products) มากกว่าแผน
3. โครงการเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในโครงสร้างของการกําหนดแนวทางในการบริหาร

95. ข้อใดเรียงลําดับกระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่ถูกต้อง
(1) วิเคราะห์สภาพแวดล้อม, กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, กําหนดเป้าประสงค์, กําหนดกลยุทธ์, นํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
(2) กําหนดกลยุทธ์, กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, วิเคราะห์ SWOT, กําหนดเป้าประสงค์, นํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
(3) กําหนดกลยุทธ์, กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, กําหนดเป้าประสงค์, วิเคราะห์ SWOT, นํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
(4) กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, กําหนดเป้าประสงค์, กําหนดกลยุทธ์, วิเคราะห์ SWOT, นำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
(5) วิเคราะห์สภาพแวดล้อม, กําหนดกลยุทธ์, กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, กําหนดเป้าประสงค์, นํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
ตอบ 1 (คําบรรยาย) กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ มี 7 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (วิเคราะห์ SWOT)
2. การกําหนดวิสัยทัศน์
3. การกําหนดพันธกิจ
4. การกําหนดเป้าประสงค์
5. การกําหนดกลยุทธ์
6. การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
7. การควบคุมกลยุทธ์

96. ข้อใดคือหัวข้อแรกในการเขียนโครงการ
(1) ความเป็นมาและความสําคัญ
(2) วัตถุประสงค์ของโครงการ
(3) เป้าหมาย
(4) ชื่อโครงการ
(5) วิธีดําเนินการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การเขียนโครงการแบบบรรยาย เป็นการเขียนบรรยายรายละเอียดและ องค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในโครงการไล่เรียงไปตามลําดับ ดังนี้
1. ชื่อโครงการ
2. ความเป็นมาและความสําคัญ
3. วัตถุประสงค์
4. เป้าหมาย
5. กิจกรรม/วิธีดําเนินการ
6. ทรัพยากร งบประมาณที่ใช้ดําเนินโครงการ
7. ระยะเวลาดําเนินการ
8. หน่วยงาน/ผู้รับผิดชอบ
9. อื่น ๆ

97. ข้อใดคือการประเมินเพื่อหาความจําเป็นหรือความต้องการของโครงการ
(1) Monitoring
(2) Pre-evaluation
(3) Post-evaluation
(4) Ongoing-evaluation
(5) Strategic Assessment
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การประเมินผลก่อนเริ่มโครงการ (Pre-evaluation) เป็นการประเมิน เพื่อหาความจําเป็นหรือความต้องการของโครงการ (Need Assessment) และการประเมิน ความเป็นไปได้ของโครงการ (Project Appraisal/Project Feasibility Study)

98. มิติ Complexity ของแผน หมายถึงอะไร
(1) ความยากของแผน
(2) ความลับของแผน
(3) ความจําเพาะเจาะจงของแผน
(4) ความครอบคลุมของแผน
(5) ความสําคัญของแผน
ตอบ 1 หน้า 22, (คําบรรยาย) ความสลับซับซ้อนหรือความยาก (Complexity) ของแผนพิจารณา ได้จากตัวแปรต่าง ๆ ดังนี้ ๆ
1. ระดับของแผน
2. จํานวนองค์ประกอบของแผน เช่น ตัวแปร หน่วยงาน บุคลากร
3. วัตถุประสงค์ของแผน
4. ระดับทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง

99. ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามใดได้เสมอ
(1) What
(2) When
(3) Where
(4) Why
(5) How
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามคําว่า Why (ทําไม) ให้ได้เสมอว่าทําไมต้องทําเช่นนั้นในแต่ละขั้นตอน ซึ่งเป็นการทําให้นักวางโครงการได้ตระหนักว่าทุกขั้นตอนของการวางโครงการนั้นต้องกระทําอย่างมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์แม่นยํา และยืนยันได้ว่าถูกต้องมีเหตุมีผล

100. ข้อใดมิใช่ขอบเขตของโครงการ
(1) เวลา
(2) คู่แข่งขัน
(3) ภูมิศาสตร์
(4) การปฏิบัติ
(5) เทคโนโลยี
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ขอบเขตของโครงการ มีดังนี้
1. ขอบเขตเรื่องเวลา
2. ขอบเขตทางภูมิศาสตร์
3. ขอบเขตในทางปฏิบัติ
4. ขอบเขตในลักษณะอื่นๆ เช่น ขอบเขตที่สืบเนื่องมาจากความรู้ทางวิชาการ หรือเทคโนโลยี ที่มีอยู่ในประเทศ เป็นต้น

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.กระบวนการใดทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ ไม่มีข้อถูก (คําบรรยาย) อาจสรุปได้ว่ากระบวนการของแผน ประกอบด้วย 7 กระบวนการ ดังนี้
1. กําหนดปัญหา
2. การตั้งเป้าหมาย/วัตถุประสงค์
3. การศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
4. ลงมือวางแผน เป็นการลงมือเขียนแผนให้ถูกต้อง โดยหน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการนี้
5. การประเมินแผน เป็นกระบวนการที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์ โดยการศึกษาวิเคราะห์แผนว่ามีความสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะนําไป ปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จากนั้นจึงนําเสนอแผนให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอนุมัติ เพื่อนําแผนไปปฏิบัติ
6. การนําแผนไปปฏิบัติ เป็นกระบวนการที่ทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
7. การประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการที่ทําให้ทราบถึงผลสําเร็จและเก็บเป็น ข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป

2.คํากล่าวที่ว่า “การวางแผน คือ Set of Temporally Linked Actions” เป็นของใคร
(1) José Villamil
(2) ดร.อมร รักษาสัตย์
(3) Albert Waterston
(4) William Dunn
(5) Gulick and Urwick
ตอบ 1 หน้า 25 José Villamit กล่าวว่า “การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด”

3. การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบายได้มีจุดเริ่มต้นที่ใด
(1) เมื่อ Mayo ได้ทดลองค้นคว้าที่เรียกว่า Hawthorne Study
(2) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
(3) เมื่อ Max Weber ได้ศึกษาระบบราชการ
(4) เมื่อมีกลุ่มนักทฤษฎีสมัยใหม่
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 6 – 7 การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบาย ถือเป็นแนวทางที่นักรัฐประศาสนศาสตร์ นิยมใช้กันมาก โดยเป็นการศึกษาที่เน้นการวิเคราะห์โดยทั่วไป (ในภาพรวม) มิใช่เป็น การศึกษารายกรณี และมีเทคนิควิธีการศึกษาที่ใช้หลักสหวิทยาการหรือหลักการของวิชาการหลายสาขามาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งการศึกษาตามแนวนี้ได้มีจุดเริ่มต้นระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม

4.เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดเล็กลง
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดใหญ่โตหน้าเวลา
(5) มีขนาดจะเล็กลงหรือจะโตขึ้นเป็นไปตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 หน้า 17 – 18 Randall Ripley และ Grace Franklin กล่าวว่า ในการนํานโยบายไปปฏิบัตินั้น มีประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติต้องทําความเข้าใจอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1. มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมากมาย
2. มีความต้องการหลากหลายต่อนโยบาย
3. ธรรมชาติของนโยบายมักจะมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
4. ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในหลายระดับ หลายสังกัด และหลายหน่วยเสมอ
5. มีปัจจัยมากมายที่นโยบายไม่สามารถควบคุมได้

5. หน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการใด
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

6. ใครกล่าวว่านโยบายคือ “สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา”
(1) Thomas R. Dye
(2) David Easton
(3) Woodrow Wilson
(4) William Dunn
(5) ดร.อมร รักษาสัตย์
ตอบ 1 หน้า 1 Thomas R. Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือ กิจกรรมหรือสิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา และเกี่ยวข้องกับเหตุผลว่าทําไมจึงเลือกเช่นนั้น”

7.แผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น จัดเป็นแผนประเภทใด
(1) แผนรายปี
(2) แผนงบประมาณ
(3) แผนการเงิน
(4) แผนโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สําหรับแผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นแผนประเภทแผนรายปี แผนงบประมาณ แผนการเงิน แผนระยะสั้น หรือแผนโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจําแนก

8.TP. หมายถึง
(1) เวลาที่ผ่านไป
(2) Target Planning
(3) Team Planning
(4) การทํางานเป็นทีม
(5) ทฤษฎีการวางแผน
ตอบ 3 หน้า 33 – 34, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบทีมวางแผน (Team Planning : TP.) คือ การวางแผนเป็นทีมที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมและการระดมสมอง (Brain Storm) มากที่สุด ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ร่วมกันกําหนดเป้าหมาย (Targets) ของหน่วยงานให้ชัดเจนตรงกัน
2. ร่วมกันกําหนดอนาคต (Scenario) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ต้องการโดยคิดล่วงหน้า 3 – 5 ปี
3. ร่วมกันหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือข้อจํากัด (Obstructions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. ร่วมกันกําหนดแผน (Plan) หรือกลยุทธ์ (Strategies) โดยใช้การวิเคราะห์ SWOT เข้าช่วย
5. ร่วมกันกําหนดกลวิธี (Tactics) หรือโครงการให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้ เช่น การจัดตั้ง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติของมหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็นต้น
6. ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ (Action Plan) ของโครงการ โดยเน้นให้เกิดผลภายใน 90 วัน หรือที่เรียกว่า 90 Day Implementation Plan

9.การกําหนดโครงการ หมายถึงอะไร
(1) การศึกษาความสมบูรณ์ของโครงการที่ร่างเสร็จแล้ว
(2) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
(3) การตรวจสอบข้อมูลของโครงการ
(4) การตรวจสอบผลของการดําเนินโครงการที่ผ่านไปแล้ว
(5) การตรวจสอบความสามารถของผู้ร่างโครงการซ้ําอีกครั้ง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การกําหนดโครงการ หมายถึง การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ หรือ การเสาะหาลู่ทางการลงทุนที่ดีและมีความเป็นไปได้ เช่น โครงการลงทุนของภาคเอกชน ที่มีแววว่าจะสามารถทํากําไร หรือให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่า และถ้าเป็นโครงการลงทุน ของภาครัฐก็เป็นโครงการลงทุนที่มีศักยภาพและความสําคัญสูงต่อการแก้ไขปัญหาหรือตอบสนอง ความต้องการและโอกาสในการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ ของประเทศ เป็นต้น

10. ข้อใดเป็นคํากล่าวที่ถูกต้องในเรื่องประเภทของแผน
(1) แผนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
(2) แผนระยะสั้น 3 ปี
(3) แผนระยะปานกลาง 6 ปี
(4) แผนระยะสั้น 4 ปี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 23, (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทของแผนหรือแผนงาน (Plan) โดยใช้เกณฑ์ระยะเวลา (Time Span) อาจจําแนกได้ดังนี้
1. แผนระยะสั้น เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 2 ปี ซึ่งสามารถวางแผนได้ง่าย เนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
2. แผนระยะปานกลาง เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 2 – 5 ปี ซึ่งนิยมใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศ
3. แผนระยะยาว เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

11. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ให้ประโยชน์กับสังคม
(2) ให้คํานึงถึงรัฐสภา
(3) ประโยชน์โดยทั่วไป
(4) ผู้นําและผู้ใกล้ชิด
(5) ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบหรือทฤษฎีสถาบัน (Institution Model Theory) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตาม จะได้ชื่อว่าเป็นนโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไปตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบันการปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

12. ในแนวคิดการศึกษานโยบายศาสตร์ในแนววิเคราะห์นโยบายนิยมใช้ในนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักรัฐศาสตร์
(2) นักสังคมวิทยา
(3) นักรัฐประศาสนศาสตร์
(4) นักวิทยาศาสตร์
(5) นักเศรษฐศาสตร์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

13. กระบวนการใดทําให้ได้รับข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

14. สถาบันที่มีหน้าที่ริเริ่มกําหนดนโยบายและมีอํานาจอิทธิพลต่อนโยบายมาก คือ
(1) สถาบันทหาร
(2) สถาบันศาล
(3) สถาบันทางรัฐสภา
(4) สถาบันการปกครอง
(5) สถาบันการปกครองท้องถิ่น
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

15. ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับแผนระยะยาว
(1) มีระยะเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
(2) วางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
(3) มีระยะเวลาไม่จํากัด
(4) ความเชื่อมั่นจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน
(5) ใช้แก้ปัญหาได้เพียงผิวเผิน
ตอบ 4 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนระยะยาว คือ แผนที่มีระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่มี ความเชื่อมั่นได้น้อยและจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน กล่าวคือ ความเชื่อมั่นจะลดต่ําลง ตามระยะเวลาที่ยาวออกไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (แผนนั้นเริ่มเห็นผล คือ สามารถ แก้ปัญหาได้ ความเชื่อมั่นที่มีต่อแผนก็จะเพิ่มมากขึ้น) และแผนระยะยาวนับว่าเป็นแผนที่ แก้ปัญหาได้ลึกซึ้งที่สุด แต่เห็นผลช้า (ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ)

16. ขั้นตอนใดที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ ไม่มีข้อถูก ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

17.Controlled Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนในภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 12 สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

18.การส่งมอบงานตึก 12 ชั้น คณะรัฐศาสตร์
(1) Policy Formulation
(2) Policy Analysis
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Implementation
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนของ การแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา/การตระเตรียม วิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

19. ความเป็นธรรมของนโยบายสามารถวัดได้อย่างไร
(1) วัดจากความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
(2) วัดจากการกระจายรายได้ของนโยบายสู่ประชาชน
(3) วัดจากประโยชน์ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
(4) วัดจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบาย
(5) วัดจากการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกระบวนการของนโยบายให้มากที่สุด
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การพิจารณาด้านความเป็นธรรมของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้น อาจพิจารณา หรือวัดได้จากประโยชน์ของนโยบาย แผน หรือโครงการว่าประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ จากนโยบาย แผน หรือโครงการอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะนโยบาย แผน หรือโครงการ ที่ดีนั้นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

20. แบบอะไรที่ถูกต้องในการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบายหรือแผน
(1) แผนการรายงาน
(2) แผนตรวจงาน
(3) แผนประเมินผลงาน
(4) แบบวิธีทดลอง
(5) แบบการวัดประสิทธิภาพ
ตอบ 4(คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบาย คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการดําเนินการตามนโยบายนั้นตรงกับ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1. แบบธรรมดา หรือแบบที่ไม่ใช่วิธีการทดลอง
2. แบบวิธีกึ่งทดลอง
3. แบบวิธีทดลอง

21. ข้อมูลที่ต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก คือ
(1) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(4) ข้อมูลทุกประเภท
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการของดิน
ตอบ 3 หน้า 11 ข้อมูลในการวางนโยบายหรือแผน อาจจําแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ และภูมิศาสตร์
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

22.นักวิชาการที่กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ คือ
(1) Harry Harty
(2) Walter
(3) Thomas R. Dye
(4) William Dunn
(5) Theodore Poister
ตอบ 5 หน้า 16 Theodore Poister กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ ดังนั้นจําเป็นต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังถึงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาของนโยบายกับผลกระทบทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น”

23. กระบวนการใดต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญหลายสาขามากที่สุด
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ 4 หน้า 27 งานวางแผนเป็นงานระดับกลุ่ม ดังนั้นการลงมือวางแผนจึงต้องประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขามาร่วมกันสร้างแผน โดยมีนักวางแผนเป็นผู้ประสานให้การวางแผน ไปสู่จุดหมายร่วมกันขององค์การได้

24. ในเรื่องเกี่ยวกับรูปร่างและรูปแบบของนโยบาย ข้อความในข้อใดกล่าวผิด
(1) มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มีรูปเป็นแบบแผน โครงการ
(3) มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ
(4) มีรูปแบบเป็นสัญญา
(5) เป็นคําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นไป
ตอบ 5 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

25. กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) เรียงตามลําดับได้อย่างไร
(1) กําหนด-วิเคราะห์-ปฏิบัติ-ประเมิน
(2) กําหนด-ปฏิบัติ-วิเคราะห์ ประเมิน
(3) ประเมิน-ปฏิบัติ-วิเคราะห์-กําหนด
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 8 – 20 กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) ประกอบด้วยกระบวนการ ที่สําคัญเรียงตามลําดับ ดังนี้
1. การกําหนดนโยบาย (Policy Formulation)
2. การวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
3. การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation)
4. การติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบาย (Policy Evaluation)

26. กําหนดทางเลือกซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกให้ครบถ้วน
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 3 หน้า 13 การออกแบบทางเลือกนโยบาย คือ การใช้ความรู้ ประสบการณ์ของผู้กําหนดนโยบาย ร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือกซึ่งเป็นแนวทาง ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใดที่สามารถ ปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นนี้ต้องรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกที่เป็นไปได้ให้ครบถ้วน

27. ข้อใดเป็นทางเลือกในการวางแผน โครงการ
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ทางเลือก (Alternative) หมายถึง มาตรการหรือแนวทางการดําเนินงานที่สามารถ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ซึ่งอาจมีหลายทางเลือกในการบรรลุวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ

28. การวางโครงการให้ประสบผลสําเร็จต้องอาศัยองค์ประกอบตัวใดเป็นสําคัญที่สุด
(1) คนวางโครงการ
(2) ข้อมูล
(3) การสนับสนุนจากผู้มีอํานาจ
(4) เวลาที่เหมาะสม
(5) เครื่องมือที่เพียบพร้อม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ในกระบวนการของแผน/โครงการนั้น กระบวนการหรือขั้นตอนที่ใช้ข้อมูลมากที่สุด และมีอิทธิพลต่อทุก ๆ กระบวนการมากที่สุดก็คือ การวางแผน/โครงการ เพราะโดยทั่วไปแล้ว การที่แผน/โครงการจะประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวนั้นจะขึ้นอยู่กับกระบวนการหรือขั้นตอน ที่ว่านี้เป็นสําคัญ กล่าวคือ ถ้าวางแผน/โครงการได้ดีมีรายละเอียดครอบคลุม มีการเก็บข้อมูล อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้การวางโครงการมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และ ประเมิน การนําไปปฏิบัติ ตลอดจนการประเมินผลสามารถทําได้โดยง่าย และโอกาสที่แผน/ โครงการนั้นจะประสบความสําเร็จก็จะมีสูง

29. ปัญหาชนิดใดวางโครงการง่ายที่สุด
(1) ปัญหาการเมืองของชาติ
(2) ปัญหาความแตกแยกในสังคมหมู่บ้าน
(3) ปัญหาประมงนอกน่านน้ําไทย
(4) ปัญหาความแห้งแล้งในทุ่งนา
(5) ปัญหาจราจรใน กทม.
ตอบ 5 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาแก้ไข (Solved Problem) เป็นปัญหาที่ปรากฏผลเสียหาย ให้เห็นอยู่แล้ว เห็นตัวตนของปัญหามีรูปธรรมชัดเจน และสังคมเห็นพ้องต้องกันว่านี้คือปัญหา ที่ต้องแก้ไข ซึ่งจะนํามาเป็นแนวคิดในการวางโครงการได้ง่ายที่สุดเพื่อแก้ปัญหา เช่น ปัญหา จราจรใน กทม. แก้ไขปัญหาโดยการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ปัญหาน้ําท่วมเมื่อปี 2554 เป็นต้น

30. การจัดการโครงการ (Program Management) มีเป้าหมายสําคัญอย่างไร
(1) เพื่อพัฒนาประเทศ
(2) เพื่อให้ได้ผลงานตามที่วางโครงการไว้
(3) เพื่อให้ครบกระบวนการของโครงการ
(4) เพื่อจัดองค์การให้เหมาะสมกับโครงการที่วางไว้
(5) เพื่อรวบรวมปัญหาและอุปสรรคไว้เป็นแนวทางในภายหน้า
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การบริหารหรือการจัดการโครงการหรือการปฏิบัติตามโครงการ (Program Management) เป็นขั้นตอนของการนําโครงการไปปฏิบัติ ซึ่งมีเป้าหมายสําคัญเพื่อนําเอา โครงการที่วิเคราะห์และประเมินแล้วมาดําเนินการให้เกิดผลงานตามที่วางโครงการไว้

31. ศึกษาถึงความเหมาะสมระหว่างทางเลือกกับสภาพแวดล้อม รวมทั้งศึกษาถึงประโยชน์ ข้อดี ข้อเสีย
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 4 หน้า 14 การวิเคราะห์ทางเลือก คือ การนําเอาทางเลือกที่มีทั้งหมดมาทําการศึกษาถึงปัจจัย ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ในแต่ละทางเลือกทีละทางเลือก เช่น ศึกษาความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ศึกษาถึงความเหมาะสมระหว่างทางเลือกกับสถานการณ์แวดล้อม ศึกษาถึงผลประโยชน์ข้อดี ข้อเสียของแต่ละทางเลือก ทั้งนี้เพื่อให้ได้รับทางเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุด

32. การกําหนดกิจกรรมที่โครงสร้างต้องดําเนินการไว้ให้ชัดเจน ถือเป็นการกําหนดขอบเขตของโครงการด้านใด
(1) ขอบเขตด้านเวลา
(2) ด้านปฏิบัติการ
(3) ด้านเทคนิค
(4) ด้านวิชาการ
(5) ด้านภูมิศาสตร์
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การกําหนดกิจกรรมที่โครงสร้างต้องดําเนินการไว้ให้ชัดเจน ถือเป็นการกําหนด ขอบเขตของโครงการด้านปฏิบัติการ เพื่อให้โครงการนั้น ๆ สะท้อนถึงความเป็นจริงในทางปฏิบัติอย่างแท้จริงมากขึ้น

33. ข้อใดประเมินดู Cost-Benefit
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 4 หน้า 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านการเงิน (Financial Analysis) เป็นแนวทางการประเมินโครงการทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย กับผลประโยชน์ที่ได้รับ (Cost-Benefit) เพื่อดูว่าโครงการที่จัดทําขึ้นมานั้นมีลักษณะคุ้มทุนหรือไม่

34.การทํา Feasibility ของโครงการมีจุดมุ่งหมายสําคัญเพื่อสิ่งใด
(1) เพื่อดูความพร้อมของโครงการ
(2) เพื่อประเมินผลที่เกิดจากโครงการ
(3) เพื่อตระเตรียมการแก้ปัญหาแต่เนิ่น ๆ
(4) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของโครงการ
(5) เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการ
ตอบ 5 หน้า 40 – 42, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การวิเคราะห์เปรียบเทียบโครงการ (Program/Project Analysis) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับปัจจัยภายในองค์การ/โครงการเป็นหลักโดยจะนําเอาโครงการที่มีอยู่ทั้งหมดมาทําการวิเคราะห์เปรียบเทียบถึงข้อดีข้อด้อยของแต่ละโครงการ เพื่อเลือกเอาโครงการที่ดีที่สุด ซึ่งเหมาะสําหรับโครงการที่ไม่เร่งด่วน
2. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบเปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่มากระทบโครงการโดยจะนําเอาโครงการที่ได้เลือกสรรไว้แล้วเพียงโครงการเดียวมาทําการศึกษาถึง ความเป็นไปได้ เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการว่ามีโอกาสที่จะ ประสบผลสําเร็จมากน้อยเพียงใด ซึ่งมักจะใช้ในกรณีที่เป็นโครงการเร่งด่วน

35. หลักการบริหารใดที่ต้องใช้มากที่สุดในการจัดการโครงการ
(1) การวางแผน (Planning)
(2) การจัดองค์การ (Organizing)
(3) การจัดทีมงาน (Team Building)
(4) การรายงาน (Reporting)
(5) การควบคุม (Controlling)
ตอบ 5 หน้า 44, (คําบรรยาย) ในการบริหารหรือการจัดการโครงการนั้น หลักการบริหารที่จะต้องใช้ มากที่สุดก็คือ การควบคุม (Controlling) ซึ่งโดยทั่วไปการควบคุมโครงการจะเน้นการควบคุม 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control)
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control)
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control)

36. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเน้นหลักในด้านใดบ้าง
(1) เศรษฐกิจ การจัดการ เทคโนโลยี
(2) สังคม เศรษฐกิจ การเมือง
(3) เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การเมือง
(4) ผลตอบแทน สิ่งแวดล้อม การเมือง
(5) การเงิน การคลัง เทคโนโลยี และการจัดการ
ตอบ 1 หน้า 42 การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) มักจะประเมินเพียง ตัวแปรหลัก ๆ ดังนี้
1. ด้านเศรษฐกิจ ความคุ้มทุนหรือผลตอบแทนของโครงการ (นิยมประเมิน ในด้านนี้เป็นประจํา)
2. ด้านการบริหารหรือการจัดการ
3. ด้านเทคนิค เช่น สถานที่ตั้ง วัตถุดิบ และเทคโนโลยีของโครงการ
4. ด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ

37.การวางแผนแตกต่างจากการวางโครงการ เพราะการวางแผนไม่มีกิจกรรมใดต่อไปนี้ แต่โครงการมี
(1) การวิเคราะห์ปัญหา
(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(3) การจัดทํา Project Programming
(4) การจัดทํา Feasibility Study
(5) การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
ตอบ 3 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ในกระบวนการวางโครงการจําเป็นต้องมีการจัดทําโครงการปฏิบัติ (Operation Plan) เป็นการกําหนดรายละเอียดของวิธีดําเนินการโครงการ หรือที่เรียกว่า การจัดทํา “Project Programming” ซึ่งไม่มีในการวางแผน ดังนี้
1. กําหนดบุคลากร (Man Power) คือ การจัดคนที่ต้องรับผิดชอบงานต่าง ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งถือเป็นงานที่จําเป็นมากที่สุด
2. วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ (Materials/Equipments and Facilities)
3. ตารางเวลาการปฏิบัติงาน (Work Scheduling) คือ การกําหนดขั้นตอนของงานประกอบกับช่วงเวลาที่ต้องปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนสิ้นสุดกระบวนการ
4. งบประมาณ (Budgeting)
5. สถานที่ (Location)
6. องค์การที่จะต้องดูแลผลของโครงการเมื่อดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว (Future Organization)
7. การประเมินผลโครงการ (Evaluation)

38. โครงการต้องเจาะจงอะไรให้ชัดเจนกว่าแผน
(1) รูปร่าง (Form)
(2) ความต้องการของประชาชน
(3) คู่แข่งขัน
(4) เวลาดําเนินการ
(5) เวลาที่จะเกิดผลสําเร็จ
ตอบ 4 หน้า 36, (คําบรรยาย) รูปแบบอันเฉพาะเจาะจงที่ทําให้โครงการมีความแตกต่างจากแผน มีดังนี้
1. โครงการมีความชัดเจนและเจาะจงกว่า ทั้งรูปแบบ/รายละเอียดของวิธีดําเนินการ สถานที่และระยะเวลาในการดําเนินการ
2. โครงการมีความมุ่งหมายให้เกิดผลิตผล (Products) มากกว่าแผน
3. โครงการเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในโครงสร้างของการกําหนดแนวทางในการบริหาร

39. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย รวมทั้งการยอมรับต่อนโยบาย
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 2 หน้า 13 การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย คือการศึกษาข้อจํากัดด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ข้อมูล
2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย
3. การรับรู้และการยอมรับต่อนโยบาย
4. สิ่งแวดล้อมทั่วไป

40. ข้อใดเป็นการวิเคราะห์ประเมินโครงการไม่ใช่ราชการ
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

41. การประเมินโครงการมีประโยชน์อย่างไร
(1) เป็นข้อมูลเพื่อแก้ไขโครงการนั้นได้
(2) เป็นข้อมูลเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
(3) เป็นข้อมูลเพื่อการวางโครงการในโอกาสต่อไป
(4) เป็นภาพสะท้อนให้ผู้บริหารโครงการปรับปรุงการบริหารได้
(5) เป็นการวางแผนขั้นสุดท้ายที่โครงการต้องทํา
ตอบ 3 หน้า 50, (คําบรรยาย) การประเมินโครงการมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทําให้ทราบว่าการดําเนินโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
2. ทําให้ทราบถึงเหตุผลสําคัญที่ทําให้โครงการประสบความสําเร็จหรือล้มเหลว
3. ช่วยปรับปรุงการดําเนินงานให้ดีขึ้น
4. เก็บเป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในโอกาสต่อ ๆ ไป ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ของผู้ร่างหรือผู้วางโครงการให้สูงขึ้นด้วย

42. ข้อใดสอดคล้องเหมาะสมกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 2 หน้า 41, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านสังคม (Social Analysis) จะพิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้
1. ความเหมาะสมสอดคล้องต้องกันระหว่างแนวทางของโครงการกับปัจจัยทางสังคม เช่น ศาสนา การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม กฎหมาย การเมืองและการปกครอง เป็นต้น
2. โอกาสที่สังคมจะยอมรับ/สนับสนุน หรือต่อต้าน/คัดค้านโครงการ

43. องค์การสหประชาชาตินิยามโครงการว่าหมายถึง
(1) รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม
(2) รูปแบบทั่ว ๆ ไปในการดําเนินงานในองค์กร
(3) รูปแบบที่สําคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหา
(4) รูปแบบการดําเนินการชนิดหนึ่ง
(5) รูปแบบการบริหารกิจกรรมอันสลับซับซ้อน
ตอบ 1 หน้า 36 องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้นิยามความหมายของโครงการ ว่าหมายถึง รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ซึ่งได้มีการจัดเตรียมไว้แล้ว (Organized Social Activities) โดยมีวัตถุประสงค์ที่เจาะจง (Specific Objectives) มีการ จํากัดในด้านสถานที่และเวลา (Limited in Space and Time) โครงการมักประกอบด้วย โครงงานย่อย (Project) ที่เกี่ยวข้องกันหลาย ๆ โครงงาน (Group of Projects)

44. ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริง หรือข้อมูลภาคสนาม หรือข้อมูลปฐมภูมิ ข้อมูลทุติยภูมิเพื่อจะทราบปัญหา
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 1 หน้า 12 การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหา โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก สถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูล ทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใดเร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และ ประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นโดยสรุปการระบุปัญหาก็คือ การศึกษาวิเคราะห์เพื่อกําหนด ปัญหาที่ถูกต้องและศึกษาค่านิยมที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับปัญหาเพื่อกําหนดแนวทางของนโยบายที่เหมาะสมกับความเป็นจริงต่อไป

45. การวิเคราะห์โครงการกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่
(1) วิเคราะห์ปัจจุบัน กับวิเคราะห์อนาคต
(2) วิเคราะห์ผลลัพธ์ กับผลที่คาดหวังไว้
(3) วิเคราะห์เชิงคุณภาพ กับวิเคราะห์เชิงปริมาณ
(4) วิเคราะห์ต้นทุน กับวิเคราะห์กําไร
(5) วิเคราะห์ทั่วไป กับวิเคราะห์แบบเจาะจง
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์โครงการสามารถกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่ การวิเคราะห์ต้นทุน (Cost) และการวิเคราะห์กําไรหรือผลตอบแทน (Benefit)

46. หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้รูปแบบใดในการบริหาร
(1) นโยบาย
(2) แผน
(3) โครงการ
(4) การตัดสินใจเฉพาะหน้า
(5) การใช้ประสบการณ์ที่ยาวนาน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้โครงการเป็นรูปแบบ ในการบริหาร โดยโครงการมีขึ้นเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นหลักพื้นฐานของการวางโครงการด้วย กล่าวคือ ถ้าไม่มีปัญหาก็จะไม่มีการวางโครงการ เพื่อทําหน้าที่ค้นหาวิธีแก้ปัญหานั้น ๆ

47. ข้อใดมิใช่ภารกิจที่สําคัญในการประเมินโครงการ
(1) การวิเคราะห์ความอยู่รอดของโครงการ
(2) การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ
(3) การคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ
(4) การทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้
(5) การวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นว่าโครงการเหมาะสมที่สุดหรือยัง
ตอบ 1 หน้า 39 – 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ มีความหมาย 2 ลักษณะ คือ
1. เป็นการศึกษาถึงโอกาสความสําเร็จในการดําเนินโครงการ โดยการวิเคราะห์และประเมินหาความเชื่อมั่นว่าตัวโครงการที่ร่างเสร็จแล้วนั้นมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติ ได้จริงหรือไม่ เช่น การวิเคราะห์หรือการคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ เป็นต้น
2. เป็นการศึกษาทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้ โดยการวิเคราะห์จําแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยและผลที่คาดว่าจะได้รับ หากมีการนําโครงการไปดําเนินการหรือนําไปปฏิบัติจริง พร้อมกับศึกษาว่าผลที่คาดว่าจะได้รับหรือผลที่จะเกิดขึ้นนั้นเหมาะสม มีคุณค่า มีประโยชน์ สมควรแก่การลงทุนดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่

48. ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับปัจจัยใดมากที่สุด
(1) ความถูกต้องของตัวโครงการ
(2) ผู้บริหารโครงการ
(3) ผู้ร่วมงานในโครงการ
(4) เวลาดําเนินการที่เหมาะสม
(5) สถานที่ดําเนินการที่เหมาะสม
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับความถูกต้องของตัวโครงการ มากที่สุด ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหารโครงการแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นการ วางโครงการให้ประสบความสําเร็จต้องอาศัยความถูกต้องของข้อมูลเป็นสําคัญที่สุด(ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ)

49. ข้อใดเป็นกระบวนการต่าง ๆ ทางวิชาการ
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กระบวนการ (Process) หมายถึง ขั้นตอนวิธีปฏิบัติ หรือกิจกรรมการดําเนินงาน ที่กระทําอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย

50.การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายเป็นระบบ
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 5 หน้า 14 การทดสอบทางเลือก คือ การทบทวนความเหมาะสมของขั้นตอนและข้อมูลที่ใช้ ทั้งทางด้านหลักการเหตุผล ทางเลือกของนโยบาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลว่ายังพอเพียง และดีอยู่ ตลอดจนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิธีวิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายว่าเป็นระบบและสอดคล้องต้องกันอย่างแท้จริง

51. การควบคุมคุณภาพของโครงการนั้นมีความหมายครอบคลุมเพียงใด
(1) ทํางานให้ตรงเวลาที่วางโครงการไว้
(2) ทํางานให้มากกว่าที่วางโครงการไว้
(3) ทํางานให้น้อยกว่าที่วางโครงการไว้
(4) ทํางานตามวัตถุประสงค์ให้ครบถ้วน
(5) ทํางานตามขั้นตอนที่มีในโครงการให้ครบถ้วน
ตอบ 4 หน้า 44, (คําบรรยาย) การควบคุมแผน/โครงการโดยทั่วไปมักจะกระทําใน 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control) คือ ควบคุมให้เสร็จตรงตามเวลาที่ได้วางแผน/โครงการไว้ โดยใช้เทคนิค PERT
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control) เป็นการควบคุมรายจ่ายของแผน/โครงการให้อยู่ใน กรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยใช้เทคนิค PPBS
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control) เป็นการควบคุมให้เกิดผลงานตรงตาม วัตถุประสงค์ของแผน/โครงการอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด เทคนิคที่ใช้อาจกระทําได้ โดยการกําหนดมาตรฐาน (Standard) ของงาน

52.Suchman จําแนกการประเมินผลโครงการเป็น 5 ประเภท ได้แก่ Effort, Performance, Adequacy of Performance, Efficiency Evaluation และอีก 1 ด้าน ได้แก่อะไร
(1) Materials Evaluation
(2) Personal Evaluation
(3) Process Evaluation
(4) Side-Effect Evaluation
(5) Outcomes Evaluation
ตอบ 3 หน้า 47 Suchman ได้จําแนกประเภทการประเมินผลโครงการไว้ 5 ประเภท คือ
1. Effort Evaluation เป็นการประเมินดู Input ของโครงการ
2. Performance Evaluation เป็นการศึกษาดูผลผลิต (Output) ของโครงการ
3. Adequacy of Performance เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการ (Effectiveness)
4. Efficiency Evaluation เป็นการประเมินดูอัตราส่วนระหว่าง Output : Input
5. Process Evaluation เป็นการวิเคราะห์กระบวนการปฏิบัติงานของโครงการ

53. ในงานการบริหารงานในโครงการนั้นต้องใช้เทคนิคการบริหารแบบใดเป็นสําคัญ
(1) การตรวจสอบ
(2) การประสานงาน
(3) การประชาสัมพันธ์
(4) การประเมินผลงาน
(5) การจูงใจผู้ร่วมงาน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) เนื่องจากการบริหารหรือการจัดการโครงการ (Program Management) มีลักษณะเป็นงานชั่วคราวที่ใช้หลักความร่วมมือหรือหลักการทํางานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งจําเป็นต้องมีการปรึกษาหารือกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นอํานาจการบริหารจึงควรเน้นไปที่การจูงใจผู้ร่วมงาน ให้เกิดความรู้สึกกระตือรือร้น ตื่นตัว และการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในการทํางานเพื่อให้ ทุกคนพร้อมที่จะใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ มากกว่าที่จะเน้นไปที่การบังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด หรือการให้คุณให้โทษพนักงาน หรืออาจกล่าวได้ว่า การจัดการโครงการมักจะไม่คํานึงถึงรูปแบบ องค์การอย่างเป็นทางการมากนักเหมือนอย่างการบริหารงานองค์การทั่ว ๆ ไป (Traditional Management) ทั้งนี้นอกจากงานดังกล่าวแล้วก็ยังมีงานอย่างอื่นที่ต้องทําอีก เช่น การควบคุม โครงการ การประสานงานในโครงการ การประชาสัมพันธ์โครงการ การประเมินผลโครงการ เป็นต้น

54. ต้องระบุถึงที่ตั้งและระยะเวลาอย่างเจาะจงแน่นอน
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 3 หน้า 36, (คําบรรยาย) โครงการ (Program) ถือเป็นเครื่องมือที่สําคัญสําหรับการปฏิบัติงาน ตามแผน เนื่องจากโครงการเป็นรูปแบบอันจําเพาะเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ที่ได้มีการจัดเตรียมไว้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่เจาะจงเกี่ยวกับสถานที่ เวลา และมีรายละเอียด ของวิธีการดําเนินงานที่ชัดเจน ซึ่งไม่มีความยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้ยาก

55. นักวิชาการที่กล่าวว่า การวางแผนจะมีลักษณะร่วมกันหลายประการ เช่น ต้องมองล่วงหน้า มีการเลือกสรร ต้องเตรียมวิธีการกระทํา คือใคร
(1) เนรู
(2) วิลลามิล
(3) วอเตอร์สตัน
(4) ดรอ
(5) เลอ เบรอตัน
ตอบ 3 หน้า 25 Albert Waterston กล่าวว่า “การวางแผนทุกชนิดจะต้องมีลักษณะร่วมกัน หลายประการ เช่น ต้องประกอบด้วยการมองล่วงหน้า (Looking Ahead) ต้องมีทางเลือก (Making Choices) และหากเป็นไปได้ต้องจัดเตรียมวิธีการกระทํา (Actions) ที่แน่นอน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรืออย่างน้อยที่สุดต้องกําหนดข้อจํากัด (Setting Limits)ที่อาจจะเกิดจากการกระทําดังกล่าวไว้ด้วย”

56. เป็นภารกิจระดับระบุกิจกรรม
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รูปแบบของกิจกรรมที่ใช้ในการบริหารโดยทั่วไป มี 5 รูปแบบ คือ
1. นโยบาย (Policy) เป็นข้อเสนอสําหรับแนวทางการดําเนินงานเพื่อสนองตอบต่อปัญหาต่าง ๆ
2. แผนหรือแผนงาน (Plan) หมายถึง วิถีทางของการดําเนินการซึ่งได้กําหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว กล่าวคือ จุดเน้นหลักของแผน คือ เพื่อแสดงแนวทางของการบรรลุเป้าหมาย
3. โครงการ (Program) เป็นกิจกรรมที่ระบุถึงวิธีดําเนินการของแผนเพื่อผลักดันให้เป้าหมาย ของแผนประสบผลสําเร็จ
4. โครงงาน (Project) เป็นส่วนย่อย ๆ ของโครงการ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลผลิต 1 ผลผลิต
5. งาน (Job) เป็นส่วนย่อยของโครงงานที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุกิจกรรมหรือขั้นตอน การปฏิบัติงานเป็นสําคัญ ทั้งนี้รายละเอียดในการดําเนินการของแต่ละกิจกรรมนั้น จะมีเพิ่มขึ้นตามลําดับ คือ จากนโยบาย (ส่วนที่อยู่บนสุด) ซึ่งมีรายละเอียดน้อยที่สุด ไล่ลงไปจนถึงงาน ซึ่งมีรายละเอียดมากที่สุด

57. ในการพัฒนาประเทศส่วนมากนิยมระยะปานกลาง
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

58. เป้าหมายคือแสดงแนวทางการบรรลุเป้าหมาย
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

59. กล่าวโดยสรุปว่าการวางแผนต้องจัดเตรียมนําเสนอสิ่งใดเพื่ออนาคต
(1) ปัญหา (Problem)
(2) แนวทางดําเนินการ (Alternatives)
(3) ข้อจํากัด (Constraints)
(4) ผล (Result)
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 25, (คําบรรยาย) การวางแผน (Planning) เป็นการเสนอแนะแนวทางดําเนินการ (Alternatives) โดยการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่จะเสนอข้อเสนอแนะ (Proporsals) ในการทํางานในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้วยวิธีที่ดีที่สุด และถือว่ากระบวนการวางแผน เป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลและต้องใช้ความคิดเชิงประยุกต์อย่างมาก

60. มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลผลิต 1 ผลผลิต
(1) Policy
(2) Ptan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

61. การประเมินโครงการต่างจากการวิเคราะห์โครงการที่ใด
(1) ไม่แตกต่าง
(2) มีวิธีการคิด/เทคนิคที่แตกต่าง
(3) เป็นการนําผลการวิเคราะห์ไปกําหนดคุณค่า
(4) ผู้รับผิดชอบคนละคนกัน
(5) ใช้ข้อมูลต่างประเภทกันอย่างชัดเจน
ตอบ 3 หน้า 40 การประเมินโครงการอาจถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าการวิเคราะห์โครงการ ทั้งนี้เพราะ การประเมินโครงการนั้นต้องใช้เทคนิคการวิเคราะห์ (Analysis Technique) เป็นสําคัญ อย่างไรก็ตามการประเมินโครงการจะมีความหมายมากกว่าการวิเคราะห์ทั่ว ๆ ไป เพราะในขณะที่ การวิเคราะห์เป็นวิธีการจําแนกแยกแยะโดยอาศัยหลักทฤษฎีเป็นเครื่องมือในการจําแนกนั้น การประเมินโครงการยังหมายรวมไปถึงการกําหนดคุณค่า (Value) ของสิ่งที่วิเคราะห์ว่ามีคุณค่ามากน้อยเพียงใดอีกด้วย

62. ผลของโครงการในช่องใดที่แสดงว่าโครงการประสบความสําเร็จแล้ว
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 50, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 1 คือ เป็นผลที่ต้องการและคาดว่า จะเกิดขึ้น ถือเป็นผลสําเร็จโดยตรง (Outputs) หรือความสําเร็จปกติของโครงการ และถือเป็น ผลที่โครงการต้องการมากที่สุด เนื่องจากเป็นผลที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ดังนั้นเมื่อมีผลในช่องนี้เกิดขึ้นจึงถือเป็นความสําเร็จที่น่าภาคภูมิใจของโครงการที่สามารถบริหารโครงการได้ประสบผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้

63. เครื่องมือที่ควรใช้ในการควบคุมโครงการมีหลายอย่าง เครื่องมือในการบริหารใดต่อไปนี้ทําให้ได้ข้อมูลละเอียดที่สุด
(1) การประชุม
(2) การรายงาน
(3) การอํานวยการ
(4) การกระจายอํานาจการบังคับบัญชา
(5) การตรวจสอบผล
ตอบ 1 หน้า 44, (คําบรรยาย) เครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมการปฏิบัติตามแผน/โครงการ ประกอบด้วย
1. การประชุม (Meeting) ถือเป็นเครื่องมือที่ทําให้ได้ข้อมูลละเอียดที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทําให้สิ้นเปลืองเวลาและเสียค่าใช้จ่ายมากที่สุดเช่นกันด้วย
2. การอํานวยการ (Directing)
3. การตรวจสอบงาน (Inspecting)
4. การรายงาน (Reporting) ฯลฯ

64. ผลของโครงการในช่องใดที่แสดงว่ามาตรฐานโครงการต่ํากว่าที่ควรจะเป็น
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 50, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 2 คือ เป็นผลที่ต้องการและไม่คาดว่า จะเกิดขึ้น ถือเป็นผลที่โครงการต้องการแต่ไม่ได้วางไว้ในโครงการ ผลชนิดนี้นับว่าเป็นผลพลอยได้ หรือผลโดยอ้อม (Outcomes) ของโครงการ ซึ่งเป็นผลทางสังคมหรือผลทางจิตวิทยา หากมีผล ลักษณะนี้มากเกินไป แสดงว่าวางมาตรฐานโครงการต่ํากว่าที่ควรจะเป็นเพราะผลที่ออกมา ไม่ตรงตามที่วางโครงการเอาไว้ ถึงแม้ผลนั้นจะเป็นผลที่ต้องการก็ตาม

65. หลักการสําคัญในการจัดการ (Management) โครงการ ได้แก่หลักการใด
(1) ใช้หลักผู้นําอย่างเคร่งครัด
(2) การลงโทษเป็นหลักที่จําเป็นกับโครงการมาก
(3) ต้องใช้หลักขององค์การอย่างเป็นทางการมาก
(4) ใช้หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม
(5) ผู้ร่วมงานทั้งหลายต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาที่เคร่งครัด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

66. กระบวนการใดเป็นกระบวนการแรกของการบริหารโครงการ
(1) การมอบหมายอํานาจหน้าที่
(2) การปิดโครงการ
(3) การประชาสัมพันธ์
(4) การส่งคืนบุคลากรในโครงการคืนสังกัดเดิม
(5) การวางแผนการดําเนินงาน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กระบวนการแรกของการบริหารหรือการจัดการโครงการก็คือ การจัดเตรียมแผนหรือการวางแผนการดําเนินงาน ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รับผิดชอบโครงการหรือผู้บริหาร โครงการ (Project Manager) กล่าวคือ ผู้บริหารโครงการต้องลงมือจัดเตรียมแผนปฏิบัติงาน หรือแผนการบริหารโครงการ โดยกําหนดวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ตามขั้นตอน และอาจใช้เทคนิค การควบคุมต่าง ๆ เช่น PERT, CPM, MAP ฯลฯ มาเป็นเครื่องมือในการควบคุมให้ผู้ปฏิบัติงาน แต่ละฝ่ายดําเนินงานไปตามแนวทางหรือวิธีปฏิบัติของแผนหรือโครงการอย่างเป็นระบบ

67. แผนการศึกษาของชาติเป็นแผนชนิดใด
(1) Social Plan
(2) Physical Plan
(3) Economic Plan
(4) Community Plan
(5) Comprehensive Plan
ตอบ 1 (คําบรรยาย) แผนแบ่งตามรูปแบบทางราชการหรือการใช้ทรัพยากรได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. Physical Plan คือ แผนเกี่ยวกับการก่อสร้างและการพัฒนาเมือง
2. Social Plan หรือ Socio-Economic Plan คือ แผนด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น แผนการด้านแรงงาน แผนการศึกษาแห่งชาติ แผนอบรมความรู้เรื่องเอดส์ เป็นต้น

68. ผลของโครงการในช่องใดที่แสดงว่าแนวทางโครงการผิดพลาด
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 3 คือ เป็นผลที่ไม่ต้องการ และคาดว่าจะเกิดขึ้น ถือเป็นผลที่โครงการได้วางเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีผลที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นโดยผลที่ไม่ต้องการนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อันแสดงถึงปัญหาและอุปสรรคตามปกติของ โครงการ ดังนั้นเมื่อมีผลในช่องนี้เกิดขึ้นก็ถือได้ว่าเป็นผลที่เกิดจากเหตุบกพร่องธรรมดาของ โครงการ ซึ่งผู้บริหารโครงการ (Project Manager) ต้องพยายามหลีกเลี่ยง โดยให้เกิดขึ้น น้อยที่สุด แต่ถ้าหากผลในช่องนี้เกิดมากเกินไปก็แสดงว่าวางแนวทางโครงการผิดพลาด

69. การควบคุมโครงการโดยทั่วไปเน้นการควบคุมด้านใดเป็นพิเศษ
(1) ด้านเวลา คุณภาพ ค่าใช้จ่าย
(2) ด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
(3) ด้านคน เงิน วัสดุอุปกรณ์
(4) ด้านเวลา ค่าใช้จ่าย ประสิทธิภาพ
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 35. และ 51. ประกอบ

70. ผลของโครงการในช่องใดที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยในการดําเนินโครงการ
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 51, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 4 คือ เป็นผลที่ไม่ต้องการและ ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น ถือเป็นผลที่โครงการไม่ได้วางเอาไว้และเป็นผลที่ผู้บริหารโครงการ (Project Manager) ต้องไม่ทําให้เกิดขึ้นเด็ดขาด แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็ถือเป็นความล้มเหลวของโครงการ มากที่สุด เพราะเกิดความผิดพลาดขึ้นทั้งการบริหารโครงการและการวางมาตรฐานโครงการ ที่สูงกว่าความเป็นจริง

71. การวางแผนแบบใดที่เป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
(1) ทุกแบบของการวางแผน
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Project-by-Project Planning
(5) ข้อ 3 และ 4 ถูก
ตอบ 3 หน้า 29, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบสมบูรณ์แบบหรือประสมประสานหรือแผนรวม(Comprehensive Planning) เป็นการวางแผนที่กล่าวถึงเป้าหมายที่ต้องการก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากการสร้างแบบจําลองการเจริญเติบโต (Growth Model) ของแผนก่อน ซึ่งเป็นการคํานวณอัตราการเจริญเติบโตที่คาดหวังไว้ในรูปของการบริโภค เงินออม การลงทุน การนําเข้า-ส่งออก การจ้างงาน ความต้องการ (Demand) และความสามารถในการตอบสนอง (Supply) ของภาครัฐและภาคเอกชนรวมกัน โดยการวางแผนในรูปแบบนี้จะมีการวางแผน ทั้งแบบ Forward และ Backward และมีการกล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนไว้อย่างครบถ้วน จึงนับว่าเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเหมาะสมสําหรับการวางแผนภาครัฐด้านเศรษฐกิจ และในสถานการณ์ที่หน่วยงานวางแผนมีความชํานาญแล้ว

72. คําใดต่อไปนี้มีความหมายถึงการวางแผน
(1) Plan
(2) Planning
(3) Project Manager
(4) Project Purpose
(5) Program Goal
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

73. การวิเคราะห์โครงการมีลักษณะอย่างไร
(1) วิเคราะห์ว่าโครงการจะสําเร็จเมื่อใด
(2) วิเคราะห์ถึงข้อดี ข้อด้อยของโครงการ
(3) เป็นวิธีร่วมกันคิด
(4) เป็นวิธีการในการหาข้อมูลชนิดหนึ่ง
(5) เป็นวิธีคิดแบบต้องอาศัยหลักการเชิงปริมาณ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

74. มิติ Complexity ของแผน หมายถึงอะไร
(1) ความยากของแผน
(2) ความลับของแผน
(3) ความจําเพาะเจาะจงของแผน
(4) ความครอบคลุมของแผน
(5) ความสําคัญของแผน
ตอบ 1 หน้า 22 (คําบรรยาย) ความสลับซับซ้อนหรือความยาก (Complexity) ของแผนพิจารณา ได้จากตัวแปรต่าง ๆ ดังนี้
1. ระดับของแผน
2. จํานวนองค์ประกอบของแผน เช่น ตัวแปร หน่วยงาน บุคลากร
3. วัตถุประสงค์ของแผน
4. ระดับทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง

75. การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปปัญหาในการวางแผนนั้น ข้อมูลที่ได้จะทําประโยชน์อย่างไรบ้าง
(1) ใช้กําหนดแนวทางแก้ไขปัญหา
(2) ใช้กําหนดแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนจะยอมรับ
(3) ใช้ระบุระดับการให้ความร่วมมือของประชาชนต่อแผน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 31 การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปปัญหาในการวางแผนนั้น ข้อมูลที่ได้จะนําไปใช้ ประโยชน์ ดังนี้
1. กําหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา
2. กําหนดแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนพอจะยอมรับได้
3. ระบุระดับการให้ความร่วมมือของประชาชน

76. ปัญหาชนิดใดของแผนที่น่าจะแก้ไขได้ง่ายที่สุด เพราะมองเห็นอาการได้ง่ายกว่า
(1) ปัญหาแก้ไข
(2) ปัญหาพัฒนา
(3) ปัญหาป้องกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 25 (คําบรรยาย) ปัญหาของแผน อาจจําแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. ปัญหาแก้ไข คือ ปัญหาที่ปรากฏผลเสียหายให้เห็นอยู่แล้ว จึงต้องรีบวางแผนหาทางแก้ไข ซึ่งปัญหาชนิดนี้มักจะแก้ไขได้ง่ายที่สุด
2. ปัญหาป้องกัน คือ ปัญหาที่ยังไม่ปรากฏผลเสียหายขึ้นในขณะวางแผน แต่สามารถรู้ได้ว่าหากไม่รีบวางแผนแก้ไขก็จะปรากฏผลเสียหายในอนาคตได้
3. ปัญหาพัฒนา คือ ปัญหาที่ไม่ปรากฏผลเสียหายทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่ต้องมี การวางแผนเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งนักวางแผนต้องใช้ความสามารถ ในการมองการณ์ไกลมากเป็นพิเศษ

77.Cleland และ King กล่าวว่า กระบวนการวางแผนควรเป็นหน้าที่ของใคร
(1) นักวิชาการที่ชํานาญการ
(2) ผู้เชี่ยวชาญเรื่ององค์การ
(3) ผู้นําในการบริหาร
(4) ผู้ชํานาญการในการวางแผนโดยเฉพาะ
(5) ผู้ที่จะเป็นผู้นําแผนไปปฏิบัติเอง
ตอบ 4 หน้า 26 Cleland และ King ได้สรุปหลักสําคัญของการวางแผนไว้ ดังนี้
1. กระบวนการวางแผนควรเป็นหน้าที่ของผู้ชํานาญการในการวางแผนโดยเฉพาะ
2. งานวางแผนควรเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะต้องนําแผนไปดําเนินการ
3. การวางแผนกลยุทธ์ต้องประกอบด้วยการคาดคะเนแนวโน้ม การคัดเลือกภารกิจ การคัดเลือกวัตถุประสงค์ และการคัดเลือกแนวทางกลยุทธ์
4. ความถูกต้องของกระบวนการวางแผนขึ้นอยู่กับความถูกต้องเพียงพอของฐานข้อมูล ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ฯลฯ

78. ปัญหาโครงสร้างของปัญหาไม่ชัดเจน หมายถึง
(1) จํานวนบุคลากรที่เข้ามาบริหารนโยบาย
(2) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(3) ลักษณะในทางภูมิศาสตร์
(4) ค่านิยมของคนในสังคม
(5) วัสดุอุปกรณ์ที่จะนํามาใช้กับนโยบาย
ตอบ 4 หน้า 10, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน (Ill-Structured Problem) หมายถึง ปัญหาที่เป็นค่านิยมของคนในสังคม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับผู้คนจํานวนมาก เป็นปัญหาที่มีทางออกได้ หลายหนทาง โดยแต่ละหนทางไม่สามารถมองเห็นผลประโยชน์ได้ชัดเจน จึงเป็นที่ถกเถียงกันได้ และมีผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน

79.การวางแผนแบบประสมประสาน มีขั้นตอนสําคัญอยู่ที่ใด
(1) การเก็บข้อมูลที่กว้างขวาง
(2) การวิเคราะห์สถานการณ์แบบก้าวหน้า
(3) การทําแบบจําลอง (Model) ของแผน
(4) การสร้างเศรษฐกิจของแผน
(5) การขออนุมัติหลักการของแผนก่อนเขียนแผนขั้นตอนสุดท้าย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

80. ในการวางโครงการนั้นคําว่า Where ทําหน้าที่อะไร
(1) ค้นหาคนปฏิบัติ
(2) ค้นหาเวลา
(3) ค้นหาสถานที่
(4) ค้นหาวิธีแก้ปัญหา
(5) ค้นหาปัญหา
ตอบ 3 หน้า 39 การวางโครงการตามแนวดั้งเดิมหรือประเพณีนิยม (Traditional Model) จะประกอบด้วยการตอบคําถามต่าง ๆ ดังนี้
1. What – การค้นหาปัญหาหรือวิธีแก้ปัญหา จนเกิดทางเลือกต่าง ๆ
2. When – การระบุเวลาที่ควรแก้ไขปัญหา
3. Where – การกําหนดสถานที่และขอบเขตของโครงการ
4. Why – การระบุถึงความต้องการ
5. How – การกําหนดวิธีแก้ไขปัญหาหรือวิธีการดําเนินงาน
6. Who – บุคคลหรือองค์การที่ต้องรับผิดชอบในกระบวนการของโครงการ

81. การจัดทําโครงการตามวิธีการที่ดีที่สุด เป็นขั้นตอนใดในกระบวนการของ ดร.สมพร แสงชัย
(1) ขั้นวางโครงการ
(2) ขั้นประเมินโครงการ
(3) ขั้นวิเคราะห์โครงการ
(4) ขั้นบริหารโครงการ
(5) ขั้นประเมินผลโครงการ
ตอบ 1 หน้า 37 – 39 ดร.สมพร แสงชัย กล่าวว่า กระบวนการวางโครงการมีขั้นตอนสําคัญ ๆ 8 ขั้นตอน ดังนี้
1. การพิจารณาสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่าง ๆ
2. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
3. การหาวิธีการแก้ไข
4. การจัดทําโครงการตามวิธีการที่ดีที่สุด ซึ่งประกอบด้วย การกําหนดเป้าหมายให้ละเอียด การระบุชื่อผู้รับผิดชอบโครงการ (Project Manager) และการจัดทําโครงการปฏิบัติหรือ การจัดทํา “Project Programming”
5. การเสนอโครงการเพื่อพิจารณาอนุมัติ
6. การเสนอของบประมาณ
7. การนําโครงการไปปฏิบัติ
8. การประเมินผลโครงการ

82. เป้าหมายสําคัญที่สุดของการวางแผนกลยุทธ์ของแผนคือสิ่งใด
(1) กําหนดกรอบเค้าโครงของแผน
(2) กําหนดขอบเขตของแผน
(3) กําหนดปัญหาของแผน
(4) กําหนดทรัพยากรในแผน
(5) กําหนดโครงการของแผน
ตอบ 1 หน้า 37, (คําบรรยาย) กระบวนการวางแผน/โครงการ อาจจําแนกได้เป็น 2 ระยะ คือ
1. การวางแผน/โครงการกลยุทธ์ (Strategic Planning) มีเป้าหมายที่สําคัญที่สุด คือ การกําหนดกรอบเค้าโครง ทิศทางและแนวทางสําคัญของแผน/โครงการอย่างกว้าง หรือคร่าว ๆ ซึ่งประกอบด้วยงานที่ต้องทําหลายอย่าง เช่น การคัดเลือกข้อมูล วัตถุประสงค์ ภารกิจ และแนวทางกลยุทธ์ รวมทั้งการคาดคะเนแนวโน้ม เพื่อนําไปสู่ การวิเคราะห์หาทางเลือกหรือแนวทางที่เหมาะสมที่สุด (The Best Alternative)
2. การวางแผน/โครงการดําเนินการ (Operational Planning) เป็นการนําเอาทางเลือกที่ เหมาะสมที่สุดมากําหนดรายละเอียดในวิธีการปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติจําเป็นต้องรู้ให้ครบถ้วน

83. ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามใดได้เสมอ
(1) What
(2) When
(3) Where
(4) Why
(5) How
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามคําว่า Why (ทําไม) ให้ได้เสมอว่าทําไมต้องทําเช่นนั้นในแต่ละขั้นตอน ซึ่งเป็นการทําให้นักวางโครงการได้ตระหนักว่าทุกขั้นตอนของการวางโครงการนั้นต้องกระทําอย่างมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์แม่นยํา และยืนยันได้ว่าถูกต้องมีเหตุมีผล

84.การจัดทํา Project Programming อยู่ในภารกิจใด
(1) การวางแผน
(2) การนําแผนไปปฏิบัติ
(3) การประเมินแผน
(4) การวางโครงการ
(5) การประเมินผลโครงการ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 37. และ 81. ประกอบ

85.ดร.สมพร แสงชัย เสนอว่าการระบุว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบโครงการจะอยู่ในขั้นตอนใดของกระบวนการโครงการ
(1) ขั้นวางโครงการ
(2) ขั้นประเมินโครงการ
(3) ขั้นวิเคราะห์โครงการ
(4) ขั้นบริหารโครงการ
(5) ขั้นประเมินผลโครงการ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

86. การวางแผนแบบประสานการลงทุนภาคสาธารณะมีจุดประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาอะไรของวิธีการวางแผนแบบรายโครงการ
(1) แก้ความขัดแย้งของแผนงานย่อย
(2) แก้ความขัดแย้งของหน่วยงานวางแผน
(3) แก้ความขัดแย้งในเรื่องงบประมาณ
(4) แก้ปัญหาเรื่องความไม่ลงตัวของวงเงินงบประมาณ
(5) แก้ปัญหาเรื่องขอบเขตของแผน
ตอบ 4 หน้า 28, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบประสานการลงทุนภาคสาธารณะ (Integrated Public Investment Planning) เป็นการวางแผนที่เริ่มต้นด้วยการประมาณการรายได้หรือรายรับ ของประเทศก่อน โดยคํานึงถึงการลงทุนของภาครัฐเป็นหลักว่าการลงทุนไปนั้นจะมีรายรับเท่าไร แล้วจึงไปกําหนดรายจ่ายทีหลัง โดยที่การลงทุนนั้นจะต้องคํานึงถึงภาวะเศรษฐกิจทั้งปัจจัย ภายในและภายนอกประเทศด้วย ซึ่งการวางแผนในรูปแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง (ความไม่พอดี) ของการวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เช่น การกําหนดงบประมาณของแต่ละโครงการที่มักกําหนดสูงเกินกว่า ความเป็นจริง ความขัดแย้งกันของโครงการทั้งหลายโดยเฉพาะในเรื่องของความไม่ลงตัวของวงเงิน งบประมาณ รวมถึงความไม่มีเอกภาพและการขาดทิศทางที่ชัดเจนในการกําหนดเป้าหมายของแผน ซึ่งเป็นการวางแผนที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่หน่วยงานเริ่มมีการสะสมข้อมูลได้พอประมาณแล้ว

87. ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูลทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษาอิทธิพลของธรรมชาติ และอะไร
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) ความร่วมมือระหว่างองค์การที่เกี่ยวข้อง
(4) ศาสนาและความเชื่อ
(5) กลไกราคา
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูล ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา อิทธิพลของธรรมชาติ ศาสนาและความเชื่อ เป็นต้น

88. ในกระบวนการวางแผนของ Le Breton นั้น ถือได้ว่าขั้นการวางกลยุทธ์ของแผนนั้นอยู่ในขั้นตอนที่เท่าใด
(1) ขั้นที่ 1
(2) ขั้นที่ 1 – 2
(3) ขั้นที่ 1 – 3
(4) ขั้นที่ 1 – 4
(5) ขั้นที่ 1 – 5
ตอบ 3 หน้า 30 (คําบรรยาย) ในขั้นการวางกลยุทธ์ของแผนนั้น ถือเป็นการกําหนดวัตถุประสงค์และ กําหนดกรอบเค้าโครงของแผนอย่างกว้าง ๆ ซึ่งตามกระบวนการวางแผนของ Le Breton นั้น จะปรากฏอยู่ในขั้นตอนที่ 1 – 3 คือ การพิจารณาความจําเป็น การกําหนดวัตถุประสงค์ และการกําหนดกรอบเค้าโครงเบื้องต้นของแผน

89. ถ้าต้องการค้นหาปัญหา คําใดคือคําถามที่ต้องใช้ในการวางโครงการ
(1) What
(2) When
(3) Where
(4) Why
(5) How
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

90. การวางแผนแบบรายโครงการถือเป็นการวางแผนในกระสวน (Pattern) ชนิดใด
(1) Bottom-up Process
(2) Top-down Process
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอบ 1 หน้า 28 (คําบรรยาย) การวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เป็นเทคนิคการวางแผนพัฒนารูปแบบแรก โดยเป็นการวางแผนในกระสวน ที่เรียกว่า “Bottom-up Process” กล่าวคือ รัฐบาลจะเป็นผู้กําหนดให้หน่วยปฏิบัติการใน ระดับล่างร่างโครงการของตนเสนอขึ้นมา โดยที่ไม่ได้มีการกําหนดรายรับรายจ่ายก่อนว่าเป็นเท่าไร แต่จะมากําหนดหลังจากหน่วยงานย่อยต่าง ๆ เสนอโครงการขึ้นมาแล้ว เพื่อรวบรวมโครงการ เหล่านั้นรวมเป็นแผนเดียวกัน (แผนรวมของชาติ) ซึ่งวิธีการวางแผนในรูปแบบนี้จะไม่กล่าวถึง บทบาทของภาคเอกชนไว้เลย และใช้หลักการมีส่วนร่วมน้อยที่สุด แต่จะเหมาะสําหรับการวางแผน ในภาวะขาดแคลนข้อมูลหรือขาดความชํานาญในการวางแผน เช่น การวางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 เพราะหน่วยงานวางแผนยังมีข้อมูลไม่เพียงพอและเป็นการวางแผนที่สะดวกที่สุด การวางแผนจัดทําไร่นาสวนผสม เป็นต้น

91. ปัญหาชนิดใดที่ต้องใช้ทักษะในการมองการณ์ไกลเป็นพิเศษ จึงจะวางแผนได้
(1) ปัญหาแก้ไข
(2) ปัญหาพัฒนา
(3) ปัญหาป้องกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

92. ข้อใดมิใช่ขอบเขตของโครงการ
(1) เวลา
(2) คู่แข่งขัน
(3) ภูมิศาสตร์
(4) การปฏิบัติ
(5) เทคโนโลยี
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ขอบเขตของโครงการ มีดังนี้
1. ขอบเขตเรื่องเวลา
2. ขอบเขตทางภูมิศาสตร์
3. ขอบเขตในทางปฏิบัติ
4. ขอบเขตในลักษณะอื่นๆ เช่น ขอบเขตที่สืบเนื่องมาจากความรู้ทางวิชาการ หรือเทคโนโลยี ที่มีอยู่ในประเทศ เป็นต้น

93.แผนที่มีลักษณะ Ease of Control จะแสดงให้เห็นได้อย่างไร
(1) เห็นได้จากการผ่านขั้นตอนของแผนอย่างครบถ้วนไม่ข้ามขั้นตอน
(2) เห็นได้จากการกําหนดที่มีเหตุผลและเป็นจริงในทางปฏิบัติ
(3) เห็นได้จากการมีมาตรฐานสําหรับการปฏิบัติอย่างชัดเจน
(4) เห็นได้จากการจัดทีมผู้วางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
(5) เห็นได้จากการจัดทีมผู้ปฏิบัติตามแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
ตอบ 3 หน้า 23, (คําบรรยาย) แผนที่มีลักษณะง่ายในการควบคุม (Ease of Control) หมายถึง แผน ที่มีมาตรฐานสําหรับการวัดและการปฏิบัติอย่างชัดเจน และโดยทั่วไปหากเป็นแผนที่มีลักษณะ ง่ายในการดําเนินการ (Ease of Implementation) ก็จะมีลักษณะง่ายในการควบคุมด้วย

94. วิธีการวางแผนทั้งหลายจําแนกเป็นขั้นตอนในการวางแผนได้ 2 ระยะ คือ การวางแผนกลยุทธ์กับอะไร
(1) การวางแผนรวม
(2) การวางแผนบริหาร
(3) การวางแผนดําเนินการ
(4) การวางแผนสังคม
(5) การวางแผนพัฒนา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ

95. Cleland และ King เห็นว่า ความถูกต้องของกระบวนการวางแผนขึ้นอยู่กับอะไร
(1) ระยะเวลาที่เหมาะสม
(2) ทรัพยากรที่สมบูรณ์
(3) การจูงใจผู้จัดการวางแผน
(4) ความถูกต้องเพียงพอของฐานข้อมูล
(5) องค์การเพื่อการวางแผน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

96. การวางแผนอาจทําได้ 3 วิธี วิธีที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ที่หน่วยวางแผนเริ่มมีการสะสมข้อมูล ได้พอประมาณ คือวิธีใด
(1) Project-by-Project Planning
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ

97. กล่าวโดยสรุปขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ได้แก่ การเก็บรวบรวมประมวลข้อมูลการลงมือวางแผน และอะไร
(1) การวิเคราะห์ข้อมูล
(2) การปฏิบัติตามแผน
(3) การประเมินผลแผน
(4) การขออนุมัติใช้แผน
(5) การตระเตรียมที่จะวางแผน
ตอบ 5 หน้า 29 – 30 ขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ดังนี้
1. การตระเตรียมการที่จะวางแผน เป็นการกําหนดเค้าโครงกลยุทธ์ของแผน โดยการกําหนด วัตถุประสงค์และแนวทางของแผน
2.การศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ความถูกต้อง ของงานในขั้นตระเตรียมการ
3. การลงมือวางแผน เป็นการเขียนแผนให้ถูกต้องตามรูปแบบที่ควรจะเป็นของแผน

98. อะไรไม่ใช่งานในการทํา Project Programming
(1) Scheduling
(2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์
(3) Opening
(4) แนวทางประเมินผล
(5) Future Organization
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 37. ประกอบ

99. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของโครงการ
(1) ความสําคัญและที่มาของโครงการ
(2) Budgeting
(3) วิธีดําเนินการ
(4) Man Power Planning
(5) แนวทางการวิเคราะห์โครงการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย), องค์ประกอบของโครงการ มีดังนี้
1. ความสําคัญและที่มาของโครงการ
2. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการ
3. ขอบเขตของโครงการ
4. วิธีดําเนินงานตามโครงการ
5. ความสัมพันธ์กับโครงการอื่น
6. ขั้นตอนการดําเนินงาน
7. ทรัพยากรที่ต้องใช้ในโครงการ
8. งบประมาณของโครงการ
9. แนวทางการวิเคราะห์โครงการ

100. การกําหนดกลยุทธ์ของโครงการต้องทําหลายอย่าง สิ่งใดมิใช่งานกําหนดกลยุทธ์ดังกล่าว
(1) การคาดคะเนแนวโน้ม
(2) การคัดเลือกโครงการ
(3) การคัดเลือกภารกิจ
(4) การคัดเลือกวัตถุประสงค์
(5) การคัดเลือกข้อมูล
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ

WordPress Ads
error: Content is protected !!