POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อ

ข้อ 1 นักศึกษามีความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี (Presidential System) อย่างไร โดยอธิบายถึงขั้นตอน หลักการ และวิธีการ พร้อมยกตัวอย่าง

แนวคําตอบ

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี (Presidential System) หรือการเมืองการปกครองระบบแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาด เป็นรูปแบบของการเมืองการปกครองที่สหรัฐอเมริกา เป็นแม่แบบที่เรียกว่า “ระบบประธานาธิบดีคลาสสิก” ซึ่งเกิดมาจากความคิดของผู้เริ่มก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการจะกําหนดรูปแบบการปกครองของประเทศให้เหมาะสมกับประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อบัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญในสมัยแรกเริ่มก่อตั้งประเทศ

ขั้นตอน/กระบวนการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี มีดังนี้

1 การเลือกตั้งประธานาธิบดี

2 การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา

3 ครบวาระเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี มีดังนี้

1 อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐถูกมอบหมายให้แต่ละองค์กรนําไปปฏิบัติโดยไม่รวมอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง กล่าวคือ อํานาจบริหารจะใช้โดยฝ่ายบริหารที่เรียกว่าประธานาธิบดี หรือคณะรัฐบาล อํานาจนิติบัญญัติจะใช้โดยฝ่ายรัฐสภา และอํานาจตุลาการจะใช้โดยฝ่ายศาล

2 การแยกอํานาจแยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ องค์กรต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายอํานาจหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติจะเป็นอิสระต่อกันโดยเด็ดขาด แต่ละองค์กรจะทําหน้าที่ของแต่ละฝ่ายโดยไม่ก้าวก่าย ตรวจสอบหรือควบคุมซึ่งกันและกัน เช่น ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจในการยุบสภา ขณะเดียวกันฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่มีอํานาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร เป็นต้น และแต่ละฝ่ายก็จะมีที่มาเป็นอิสระต่อกัน เช่น ประธานาธิบดีหรือสมาชิกรัฐสภาก็จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแยกแต่ละฝ่ายกัน

3 ฝ่ายต่าง ๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่จะอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระ เช่น ประธานาธิบดีมีวาระ 4 ปี ก็จะอยู่จนครบ 4 ปี หรือฝ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 2 ปี ก็จะอยู่จนครบ 2 ปี เป็นต้น

วิธีการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี มีดังนี้

1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะเป็นบุคคลเดียวกัน และมาจากการเลือกตั้งจากประชาชนจะโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมก็ได้ โดยไม่ผ่านทางรัฐสภา ซึ่งตําแหน่งดังกล่าวนี้เรียกว่า ประธานาธิบดี

2 ประมุขฝ่ายบริหารสามารถตั้งรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ ประธานาธิบดีสามารถเลือกรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร แต่กรณีของสหรัฐอเมริกาต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาก่อน

3 ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอํานาจในเรื่องการไม่ให้ความไว้วางใจแก่ฝ่ายบริหาร กล่าวคือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีและรัฐมนตรีไม่ได้

  1. ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจรเริ่มเสนอกฎหมาย การเสนอกฎหมายเป็นอํานาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ

5 ฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีไม่มีอํานาจยุบสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ

6 ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจเรียกประชุมรัฐสภา กล่าวคือ ประธานาธิบดีไม่มีอํานาจเรียกประชุมสภา การประชุมสภาเป็นอํานาจหรือเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสภา

7 ประธานาธิบดีสามารถเสนอนโยบาย โดยสภาผู้แทนราษฎรทําหน้าที่อนุมัติงบประมาณ

8 ประธานาธิบดีเป็นผู้แทนประเทศในการทําสนธิสัญญากับต่างชาติ โดยวุฒิสภาทําหน้าที่ให้สัตยาบัน

9 ทุกฝ่ายจะอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ประธานาธิบดีมีวาระ 4 ปี ก็อยู่จนครบ 4 ปี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 2 ปี ก็อยู่จนครบ 2 ปี เป็นต้น

10 ฝ่ายตุลาการมีหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษา เพื่อมิต้องตกอยู่ภายใต้อํานาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยมีกฎหมายเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษาโดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม แม้ในหลักการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี จะไม่ก้าวก่ายและตรวจสอบควบคุมซึ่งกันและกัน แต่ในทางปฏิบัติก็อาจมีการผ่อนคลายบ้างในกรณีที่เกิดปัญหา วิกฤติในการเมืองการปกครอง เช่น การให้ประธานาธิบดีมีอํานาจยับยั้งกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาตามกลไกทางการเมืองที่ เรียกว่า Veto หรือการให้อํานาจฝ่ายนิติบัญญัติทําหน้าที่กล่าวหาประธานาธิบดีในกรณีที่มีการกระทําที่ไม่เหมาะสม ที่จะนําไปสู่ความเสื่อมเสียแก่เกียรติภูมิของประเทศหรือเสื่อมเสียกับตําแหน่งตามกลไกทางการเมืองที่เรียกว่า Impeachment

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดีจะมีเสถียรภาพหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับระบบพรรคการเมืองที่ไม่เคร่งครัดในระเบียบวินัยของพรรค เพราะถ้าประธานาธิบดีอยู่ตรงกันข้ามกับเสียงข้างมากในสภาจะได้ไม่มีปัญหา และการมีนักการเมืองที่มีวุฒิภาวะที่เห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติเป็น ส่วนรวมด้วย จึงจะทําให้การปกครองระบบประธานาธิบดีนี้ดําเนินไปได้ด้วยดี

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก บราซิล อาร์เจนตินา ชิลี อุรุกวัย เอกวาดอร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น

 

ข้อ 2 ให้นักศึกษายกประเด็นสาระสําคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มา 10 ประเด็น โดยให้ยกเป็นข้อ ๆ

แนวคําตอบ

นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทย มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น 19 ฉบับ โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ซึ่งจัดทําขึ้นหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

สาระสําคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มีทั้งสิ้น 48 มาตรา แต่ในที่นี้จะขอหยิบยกประเด็นหรือสาระสําคัญเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาเพียง 10 ประเด็น ดังนี้

1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้

2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

3 อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย

4 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนไม่เกิน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคําแนะนํา ทําหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา

5 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและรัฐมนตรีอื่นอีกจํานวนไม่เกิน 35 คน ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคําแนะนํา ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ดําเนินการให้มีการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ และส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ

6 การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตําแหน่ง ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

7 ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีในพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ให้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

8 ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความสงบ เรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอํานาจสั่งการระงับยับยั้งหรือ กระทําการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่งหรือการกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้เมื่อได้ดําเนินการดังกล่าวแล้วให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว 9 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กระทําโดยคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติร่วมกัน และเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบ

10 บรรดาการกระทําทั้งหลายของหัวหน้าและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หากการกระทํานั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทําพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

 

ข้อ 3 จงอธิบายความหมายของคําต่อไปนี้ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

3.1 Referendum

แนวคําตอบ

Referendum (ประชามติ) หมายถึง การให้ประชาชนมาออกเสียงลงคะแนนว่ารับหรือไม่รับกฎหมายฉบับนั้น ซึ่งจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด หรือพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายธรรมดาก็ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าหากเสียงประชามติไม่รับมีมากกว่ารับหรือเรียกว่า “ประชามติไม่ผ่าน” ร่างกฎหมายฉบับนั้น ก็ต้องตกไป แต่ถ้าเสียงประชามติรับมีมากกว่าไม่รับหรือเรียกว่า “ประชามติผ่าน” ร่างกฎหมายฉบับนั้นก็จะถูกนําไป ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่าผลประชามติจะออกมาอย่างไร หน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติตามมตินั้นเสมอไป เพราะมีผลทางนิตินัย

กรณีประเทศไทย เริ่มมีการจัดทําประชามติครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 โดยผลประชามติออกมาว่ารับร่างรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ แล้วได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18

สําหรับประเทศที่ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับพระราชบัญญัติหรือกฎหมาย ที่ออกโดยรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติทุกฉบับ คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นประชาธิปไตยเกือบโดยตรง

3.2 Amendment

แนวคําตอบ

Amendment (การแก้ไขรัฐธรรมนูญ) หมายถึง เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้ใช้บังคับไปในระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ก็ควรจะมีการแก้ไข หมายความว่า อาจจะยกเลิกบางมาตรา หรือใส่เพิ่มเติมเข้าไป ในมาตราที่ไม่เคยมีก็ได้ โดยหลักการทั่วไปมีอยู่ว่าอาจแก้ไขบางส่วน หรือแก้ไขทั้งฉบับก็ย่อมทําได้ นั่นคือ สามารถแก้ไขกมาตราก็ได้ ภายใต้เงื่อนไขของเวลาที่กําหนด ทั้งนี้เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีความทันสมัย เหมาะสมกับ สภาพความเป็นจริงของบ้านเมือง หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศและของโลกในเวลานั้น

การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบจารีตประเพณีไม่แตกต่างจากการแก้ไขกฎหมายธรรมดา คือ กฏข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของรัฐธรรมนูญ หากสภาออกกฎหมายยกเลิกก็เท่ากับเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษรจะแก้ไขได้ยากกว่า เพราะต้องมีกระบวนการ มีขั้นตอน เริ่มจากองค์กร ที่มีอํานาจการเสนอญัตติขอแก้ไข องค์กรที่มีอํานาจในการพิจารณาในแต่ละวาระ และต้องใช้คะแนนเสียงข้างมากด้วย

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญของไทยจะมีการจํากัดอํานาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับที่ห้ามแก้ไขในเรื่องรูปแบบรัฐซึ่งเป็นแบบรัฐเดียว (Unitary State) และรูปแบบ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยเด็ดขาด

สําหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของไทยในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2557 บัญญัติให้มติการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมาจากคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยจัดทําเป็น ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบ ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ มิได้ ซึ่งมติให้ความเห็นชอบต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

หลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายภายใน 15 วันนับแต่วันที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติ เพื่อพระมหากษัตริย์ ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนอง พระบรมราชโองการ

3.3 Public Hearing

แนวคําตอบ

Public Hearing (ประชาพิจารณ์) หมายถึง การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในเรื่องที่จะออกกฎหมายก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ซึ่งจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด หรือพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายธรรมดาก็ได้ ทั้งนี้ไม่ว่าผลประชาพิจารณ์จะออกมาอย่างไร หน่วยงานของรัฐก็ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามผลหรือข้อสรุปนั้นเสมอไป เพราะไม่มีผลทางนิตินัย

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย เช่น รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ได้กําหนด เรื่องการทําประชาพิจารณ์ไว้ 2 เรื่อง คือ

1 สิทธิชุมชน โดยกําหนดให้การดําเนินโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียก่อน

2 การทําหนังสือสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อประชาชน รัฐจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน

3.4 Uprising

แนวคําตอบ

Uprising (การจลาจลทางการเมือง) หมายถึง การที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อต้าน (Standing up against) ผู้ปกครอง/ผู้ใช้อํานาจรัฐ หรือรัฐธรรมนูญในเวลานั้น โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามา เกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์เท่านั้น ซึ่งจะนําโดยกลุ่มปัญญาชน นิสิต นักศึกษา และนักวิชาการ จากนั้น ประชาชนบางกลุ่มก็จะเข้ามาร่วมสนับสนุนในอุดมการณ์นั้น และเมื่อรัฐบาลยอมทําตามอุดมการณ์ที่กลุ่มต้องการแล้ว ก็จะยุติการจลาจลลง

ตัวอย่างเหตุการณ์การจลาจลทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมี 2 ครั้ง คือ

เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “วันมหาวิปโยค”

เหตุการณ์วันที่ 17-21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ในสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “ พฤษภาทมิฬ”

3.5 Jury

แนวคําตอบ

Jury (คณะลูกขุน) หมายถึง ประชาชนทั่วไป บุคคลธรรมดา หรือชาวบ้านธรรมดาที่ไม่จําเป็นต้องมีความรู้ทางด้านกฎหมาย แต่เป็นวิญญูชนที่มีความคิดเป็นปกติแบบคนทั่วไป ซึ่งได้รับคัดเลือกเพื่อเข้ามาเป็น คณะลูกขุนพิจารณาคดีความ โดยใช้สามัญสํานึกหรือความรู้สึกในการพิจารณา ดังนั้นคณะลูกขุนจึงอาจเป็นวิศวกร กรรมกร นักศึกษา หรือใครก็ได้ การตัดสินคดีความโดยใช้คณะลูกขุนนี้เป็นวิธีการทางศาลของกรีกโบราณที่ใช้ในนครรัฐเอเธนส์ ซึ่งในปัจจุบันมีประเทศที่ใช้คณะลูกขุนตัดสินคดี เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา สกอตแลนด์ เป็นต้น

กรณีสหรัฐอเมริกา จะมีการใช้คณะลูกขุนตัดสินคดีความทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา โดยจะมีการจัดทําบัญชีรายชื่อคณะลูกขุนจากผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อมีคดีขึ้นสู่ศาลก็จะมีการคัดเลือกคณะลูกขุนจากบัญชีรายชื่อที่จัดทําไว้ ซึ่งจํานวนของคณะลูกขุนจะถูกกําหนดตามกฎหมายของแต่ละมลรัฐ โดยส่วนใหญ่จะมีจํานวน 12 คน และเมื่อคัดเลือกคณะลูกขุนได้แล้ว คณะลูกขุนทั้งหมดก็จะถูกเก็บตัวทันที ห้ามติดต่อกับโลกภายนอก โดยรัฐบาลจะจัดสถานที่พักให้จนกว่าจะพิจารณาคดีเสร็จสิ้นหรือจนกว่าคดีจะสิ้นสุด

เมื่อได้คณะลูกขุนครบถ้วนแล้วจะมีการพิจารณาคดีสืบพยานทันที หลังจากสืบพยานทั้ง 2 ฝ่าย เรียบร้อยแล้ว คณะลูกขุนจะมีการประชุมลับเพื่อลงมติตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิดโดยไม่มีการให้เหตุผลใด ๆ ซึ่งจะใช้เสียงข้างมากเป็นเอกฉันท์ การตัดสินของคณะลูกขุนถือว่าเป็นกฎหมาย เว้นแต่เป็นกรณีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อย่างชัดเจน อาจมีการกลับคําตัดสินชี้ขาดได้โดยการร้องขออุทธรณ์

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อ

ข้อ 1 ให้นักศึกษาอธิบายความหมายของ “ประชาธิปไตย” (Democracy) และประชาธิปไตยมีหลักการสําคัญ ๆ อย่างไร ยกมาอธิบาย 5 หลักการพร้อมยกตัวอย่าง

แนวคําตอบ

คําว่า “ประชาธิปไตย” (Democracy) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คํา คือ คําว่า “Demos” แปลว่า ประชาชน (People) ราษฎร หรือพลเมือง กับคําว่า “Kratos, Kratien” แปลว่า ปกครอง (to Rule) หรืออํานาจ ดังนั้นความหมายของประชาธิปไตยจึงหมายถึง การปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรือ อํานาจอธิปไตย โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) แบบอิสรเสรี เสมอภาค และลงคะแนนลับ

หลักการสําคัญพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1 หลักอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย (อํานาจสูงสุด) เป็นของประชาชน การปกครองที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถือว่า อํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีวิธีการปกครองที่แสดงออกให้เห็นว่า ประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้ ตลอดจนสามารถเปลี่ยนแปลงและถอดถอนรัฐบาลได้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีได้ทุก 4 ปี หรือประชาชนญี่ปุ่นที่สามารถเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลในเวลาไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลักการอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนนี้ประชาชนต้องมี “อํานาจการตัดสินใจ ขั้นสุดท้าย” คือ ประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางนิติบัญญัติและบริหารของรัฐ และการตัดสินใจของประชาชนถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาด

2 หลักสิทธิ (Right) หน้าที่ (Duty) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชน เป็นหลักการที่ถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต่อมาถูกจํากัดโดยกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ของสังคมภายหลัง ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีกฎหมายเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ เช่น การบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็น ด้านความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณา การรวมกลุ่มจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการใช้สิทธิทางการเมือง ซึ่งในกรณีของสิทธิเสรีภาพนี้มีข้อสังเกตก็คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่เป็นเสรีภาพ ที่จะทําอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต แต่เป็นเสรีภาพที่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายที่บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพของตนนั้นจะต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการจลาจล ซึ่งในหลักประกัน สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ นี้จะรวมทั้งความเสมอภาคทางการเมือง เพราะเสรีภาพที่ประชาชนมีเท่าๆ กันก็จะก่อให้เกิดความเสมอภาคทางการเมือง คือ การที่แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเท่า ๆ กัน โดยในระบอบประชาธิปไตยถือว่าแต่ละคนมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้ปกครอง หรือผู้แทนประชาชน เท่ากันตามหลัก One Man One Vote และสําหรับหลักการนี้ยังจะต้องประกอบด้วย การที่ประชาชนจะต้องรู้จัก หน้าที่ของพลเมืองในการดําเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น การมีหน้าที่ในการ เสียภาษีในอัตราที่เท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งอยู่ในเกณฑ์รายได้และสถานภาพอื่นพอ ๆ กัน

3 หลักกฎหมายสูงสุด หรือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติรัฐ หรือหลัก นิติธรรม (Rule of law) การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ไม่ยึดตัวบุคคล แต่ยึดหลักการเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งหลักการอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบนี้ก็คือ การยึดถือกฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครอง ที่ถือว่าประชาชนเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน หรือเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติรัฐหรอ หลักนิติธรรมที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งหลักการสูงสุดของกฎหมายนี้ ยังรวมไปถึงการที่ศาลหรือกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีต่าง ๆ อันแสดงให้เห็นถึงว่า ศาลสามารถจะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือเป็นที่พึ่งของประชาชนภายในประเทศได้ นั่นคือ ในการตัดสินลงโทษจะใช้กระบวนการยุติธรรม มิใช่ตัดสินโดยบุคคลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ตลอดจนรวมถึงการมีหลักกฎหมายที่มีการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย โดยองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญนี้อาจจะเป็นองค์กรการเมือง ศาลยุติธรรมธรรมดาหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่แนวความคิดเห็นและประเพณีนิยมทางการเมืองของแต่ละประเทศ เพื่อให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญซึ่งวางหลักแห่งกฎหมายและหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้รับการปฏิบัติและเกิดผลอย่างจริงจัง

4 หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule) โดยคํานึงถึงเสียงข้างน้อย (Minority Right) หมายความว่า พรรคเสียงข้างมากทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาล และพรรคเสียงข้างน้อยทําหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ในระบอบประชาธิปไตยถือว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านมีความสําคัญเท่ากัน เพราะต่างก็เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประชาชนเช่นเดียวกัน และกลุ่มฝ่ายค้านก็สามารถเป็นรัฐบาลได้ในวันข้างหน้า นอกจากนี้คําว่าหลักเสียงข้างมาก ยังเป็นข้อยุติในปัญหาต่างๆ สําหรับระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย ดังนั้นการตัดสินใจทั้งหลายของรัฐบาลในระบอบ ประชาธิปไตยจึงต้องใช้หลักการเสียงข้างมาก เพราะถือว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลอยู่ในตัว และเสียงการตัดสินใจโดยคนหมู่มากนั้นย่อมถูกต้องกว่าการตัดสินใจโดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันการใช้เสียงข้างมากก็จะคํานึงถึงเสียงข้างน้อยด้วย โดยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อย รวมทั้งยังยอมรับให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการของตนด้วย

5 หลักสันติวิธี เป็นหลักการที่เชื่อว่าพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยรู้จักใช้เหตุผล ไม่ทําอะไรตามอารมณ์และความรู้สึก และไม่ทําอะไรเอาแต่ใจตนเองโดยไม่คํานึงถึงคนอื่น นอกจากนี้ยังยอมรับว่าคนเรา จะเหมือนกันไม่ได้ อาจมีการขัดแย้ง ต้องมีการเจรจา และประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงดําเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ โดยสันติวิธีด้วยการไม่ใช้กําลังความรุนแรง เช่น การเจรจา การประนีประนอม การใช้กลไกการเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในทุก ๆ กลุ่ม ป้องกันการสูญเสียเลือดเนื้อและบาดเจ็บล้มตาย

โดยสรุปแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ถือหลักการว่าประชาชน เป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยในการดําเนินการปกครองประเทศ โดยตั้งอยู่บนหลักการสําคัญพื้นฐาน อย่างน้อย 5 ประการดังกล่าว

 

ข้อ 2 การเมืองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีกระบวนการ หลักการ วิธีการ และการแก้ปัญหากรณีเกิดวิกฤติการณ์อย่างไร อธิบายพร้อมยกตัวอย่าง

แนวคําตอบ

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือ การเมืองการปกครองระบบแบ่งแยกอํานาจผ่อนคลาย เป็นรูปแบบของการเมืองการปกครองที่อังกฤษเป็นแม่แบบ ที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก” ซึ่งในการเมืองการปกครองระบบนี้จะถือว่ารัฐสภาเป็นองค์กรการเมืองการปกครอง ที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้ว รัฐบาลที่ปกครองและบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงาน ด้วยความรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั่นเอง

ขั้นตอน/กระบวนการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2 สภาผู้แทนราษฎรประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี

3 นายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะรัฐมนตรี

4 คณะรัฐมนตรีเสนอนโยบายรัฐบาลให้รัฐสภาเห็นชอบ

5 ครบวาระเลือกตั้งใหม่ หรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 อํานาจอธิปไตยแยกตามหน้าที่ กล่าวคือ อํานาจรัฐไม่ได้รวมไว้ในองค์กรเดียว แต่มีการแยกให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ ได้แก่ อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติใช้โดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล

2 การแยกอํานาจไม่แยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่ายให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3 อํานาจที่แบ่งแยกนี้จะมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้ 1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่าพระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่งประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2 ประมุขของรัฐมีลักษณะสําคัญคือ มีสถานะเป็นกลางทางการเมือง หรือไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐ ไม่อาจถูกถอดถอนออกจากตําแหน่ง จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เอง ที่ทําให้กิจกรรมใด ๆ ของประมุขของรัฐต้องมีการลงนามกํากับหรือลงนามรับสนองพระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมนั้น ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎร

3 ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) หรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้นจะต้องเสนอนโยบายเพื่อขอความไว้วางใจหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจทําให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลต้องออกจากตําแหน่งได้โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะนายกรัฐมนตรีก็ได้

5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามเพื่อควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล

6 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล

7 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการกระทําของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล

8 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการถ่วงดุลกับฝ่ายนิติบัญญัติ

9 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติได้เช่นเดียวกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

10 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ

11 ศาลและผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การแก้ปัญหาหรือทางออกของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา กรณีเกิดวิกฤติการณ์

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภานั้น ถือว่าประชาชนคือเจ้าของอํานาจอธิปไตย ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมือง รัฐบาลซึ่งเป็นตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชนให้ทําหน้าที่บริหารประเทศ จึงต้องแก้ปัญหาการเมืองด้วยวิธีการทางการเมือง ดังนี้

1 การลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรี เช่น กรณีเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก เป็นต้น

2 การเปลี่ยนตําแหน่งรัฐมนตรี กรณีนี้มักจะเกิดขึ้นในประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือกําลังพัฒนา ซึ่งนักการเมืองมักจะยึดติดกับตําแหน่งเมื่อบริหารงานผิดพลาดมักจะไม่รับผิดชอบ ด้วยการลาออกจากตําแหน่ง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องเปลี่ยนตําแหน่งรัฐมนตรี

3 การลาออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีนี้มักจะเกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่าหลาย ๆ ครั้งเมื่อรัฐบาลบริหารงานผิดพลาด นายกรัฐมนตรีมักจะรับผิดชอบด้วยการลาออกเพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

4 การปรับเปลี่ยนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล กรณีนี้มักเกิดขึ้นกับการเมืองการปกครองระบบรัฐสภาที่มีรัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม เมื่อบริหารงานไปแล้วผลงานไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เป็นที่พึงพอใจของประชาชน ก็ต้องใช้วิธีการเปลี่ยนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล เพื่อให้ รัฐบาลเข้มแข็งขึ้น

5 การยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคืนอํานาจให้ประชาชนเลือกตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ได้แก่ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี สเปน กรีซ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เป็นต้น

 

ข้อ 3 จงอธิบายความหมายของคําต่อไปนี้ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

3.1 Uprising

แนวคําตอบ

Uprising (การจลาจลทางการเมือง) หมายถึง การที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อต้าน (Standing up against) ผู้ปกครอง/ผู้ใช้อํานาจรัฐ หรือรัฐธรรมนูญในเวลานั้น โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามา เกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์เท่านั้น ซึ่งจะนําโดยกลุ่มปัญญาชน นิสิต นักศึกษา และนักวิชาการ จากนั้น ประชาชนบางกลุ่มก็จะเข้ามาร่วมสนับสนุนในอุดมการณ์นั้น และเมื่อรัฐบาลยอมทําตามอุดมการณ์ที่กลุ่มต้องการแล้ว ก็จะยุติการจลาจลลง

ตัวอย่างเหตุการณ์การจลาจลทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมี 2 ครั้ง คือ เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “วันมหาวิปโยค

เหตุการณ์วันที่ 17 – 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ในสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูรเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “ พฤษภาทมิฬ”

3.2 Revolution

แนวคําตอบ

Revolution (การปฏิวัติ) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง ทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทางการเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสังคมแบบใหม่ สร้างกฎหมายใหม่ และเพื่อสนองอุดมการณ์แบบใหม่ ซึ่งมีหลักการที่สั้นที่สุดก็คือ “สิ่งที่เคยถูกต้องและดีงามในอดีตหรือสิ่งที่ถูกต้องในวันนี้ ไม่จําเป็นเสมอไปที่จะต้องเป็นหลักสัจธรรมสําหรับปัจจุบันหรืออนาคต” แต่การปฏิวัติที่จะเกิดความชอบธรรม (Legitimacy) จะต้องมีประชาชนเข้าร่วมอยู่ด้วยพร้อมกับผู้นํา

ตัวอย่างของการปฏิวัติใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกที่อาจกล่าวได้ว่ามีความชอบธรรม ได้แก่

การปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789

การปฏิวัติในรัสเซีย ค.ศ. 1917

การปฏิวัติในจีน ค.ศ. 1949

กรณีประเทศไทย การยึดอํานาจรัฐที่พอจะอนุโลมให้เรียกว่า “การปฏิวัติ” นั้นมีเพียงครั้งเดียว คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพราะเป็นเหตุการณ์ที่คณะราษฎรได้ทําการ ยึดอํานาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองใหม่จาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (Democracy) ในระบบรัฐสภา แบบอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้มีประชาชนเข้าร่วมด้วย

สําหรับเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นี้ ไม่ใช่การทํารัฐประหาร และก็ไม่ใช่การปฏิวัติ โดยสิ้นเชิง แต่ที่ถูกต้องทางรัฐศาสตร์ควรเรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475” ซึ่ง 1 ในคณะราษฎร หรือผู้ก่อการคือ นายปรีดี พนมยงค์ เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “การอภิวัฒน์การปกครอง พ.ศ. 2475”

3.3 Coup d’e’tat

แนวคําตอบ

Coup d’etat (การรัฐประหาร) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ โดยบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งปราศจากการมีส่วนร่วมจากประชาชน เป็นการเปลี่ยนมือผู้ใช้อํานาจรัฐหรือผู้ใช้อํานาจปกครองหรือเปลี่ยน ตัวบุคคลเท่านั้น แต่ระบบเศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างทางการเมือง และอุดมการณ์ทางการเมืองยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง จึงถือว่าขาดหลักความชอบธรรม (Legitimacy)

จะเห็นได้ว่าประเทศกําลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยและประเทศด้อยพัฒนา ผู้นําของประเทศ นิยมแย่งชิงอํานาจกันเองด้วยวิธีการทํารัฐประหาร โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย ผู้ยึดอํานาจ มักเป็นทหาร และภายหลังยึดอํานาจเสร็จแล้ว ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างทางสังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทาง การเมืองก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตัวผู้ใช้อํานาจรัฐเท่านั้น

กรณีประเทศไทย นับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า มีการยึดอํานาจรัฐด้วยกําลังบ่อยครั้ง ซึ่งมีทั้งกระทําสําเร็จและไม่สําเร็จ การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จของไทยเกือบ ทุกครั้งเรียกว่า “รัฐประหาร” เพราะเป็นการแย่งชิงอํานาจกันเองในหมู่ผู้ปกครอง แต่ผู้ยึดอํานาจจะเรียกตัวเองว่า “คณะปฏิวัติ”

สําหรับการทํารัฐประหารครั้งล่าสุดของไทยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การนําของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ยึดอํานาจ รัฐบาลรักษาการของนายนิวัตน์ธํารง บุญทรงไพศาล และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550

3.4 Rebellion

แนวคําตอบ

Rebellion (กบฏ) หมายถึง การยึดอํานาจที่ไม่สําเร็จ จึงเป็นผู้แพ้ มีความผิดตามที่ผู้ชนะ (รัฐบาลเวลานั้น) จะสั่งการด้วยวิธีใดก็ย่อมทําได้ เช่น จับติดคุก ประหารชีวิต เนรเทศออกนอกประเทศ เป็นต้น กบฏถือเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายไทย

ตัวอย่างเหตุการณ์กบฏในประเทศไทย เช่น

– ในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา เกิดกบฏ 3 ครั้ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการต้องการ กลับไปใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก ได้แก่

1 “กบฏบวรเดช” นําโดยพลเอกพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช เกิดขึ้นวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476

2 “กบฎนายสิบ” นําโดยสิบเอกสวัสดิ์ มะหะหมัด เกิดขึ้นวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2478

3 “กบฎพระยาทรงสุรเดช” นําโดยพันเอกพระยาทรงสุรเดช เกิดขึ้นวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481

– ในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดกบฏ 2 ครั้ง คือ

1 “กบฏเมษาฮาวาย” หรือ “กบฎยังเตอร์ก” นําโดยพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา และกลุ่มทหารยังเตอร์ก เกิดขึ้นวันที่ 1 – 3 เมษายน พ.ศ. 2524

2 “กบฏไอ้โม่ง นัดแล้วใยไม่มา” นําโดยพันเอกมนูญ รูปขจร เกิดขึ้นวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528

3.5 Public Hearing

แนวคําตอบ

Public Hearing (ประชาพิจารณ์) หมายถึง การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในเรื่องที่จะออกกฎหมายก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ซึ่งจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด หรือพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายธรรมดาก็ได้ ทั้งนี้ไม่ว่าผลประชาพิจารณ์จะออกมาอย่างไร หน่วยงานของรัฐ ก็ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามผลหรือข้อสรุปนั้นเสมอไป เพราะไม่มีผลทางนิตินัย

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย เช่น รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ได้กําหนด เรื่องการทําประชาพิจารณ์ไว้ 2 เรื่อง คือ

1 สิทธิชุมชน โดยกําหนดให้การดําเนินโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียก่อน

2 การทําหนังสือสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อประชาชน รัฐจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อ

ข้อ 1 อธิบายความหมายของประชาธิปไตย (Democracy) และหลักการสําคัญ ๆ ของประชาธิปไตยอย่างน้อย 4 ประการ พร้อมยกตัวอย่างประกอบคําอธิบาย

แนวคําตอบ

คําว่า “ประชาธิปไตย” (Democracy) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คํา คือ คําว่า “Demos” แปลว่า ประชาชน (People) ราษฎร หรือพลเมือง กับคําว่า “Kratos, Kratien” แปลว่า ปกครอง (to Rule) หรืออํานาจ ดังนั้นความหมายของประชาธิปไตยจึงหมายถึง การปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรือ อํานาจอธิปไตย โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) แบบอิสรเสรี เสมอภาค และลงคะแนนลับ

หลักการสําคัญพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1 หลักอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย (อํานาจสูงสุด) เป็นของประชาชน การปกครองที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถือว่า อํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย เป็นของประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีวิธีการปกครองที่แสดงออกให้เห็นว่า ประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้ ตลอดจนสามารถ เปลี่ยนแปลงและถอดถอนรัฐบาลได้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือ เปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีได้ทุก 4 ปี หรือประชาชนญี่ปุ่นที่สามารถเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลใน เวลาไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลักการอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนนี้ประชาชนต้องมี “อํานาจการตัดสินใจ ขั้นสุดท้าย” คือ ประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางนิติบัญญัติและบริหารของรัฐ และการตัดสินใจของประชาชนถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาด

2 หลักสิทธิ (Right) หน้าที่ (Duty) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชนเป็นหลักการที่ถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต่อมาถูกจํากัดโดยกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ของสังคมภายหลัง ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีกฎหมายเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ เช่น การบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นด้านความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณา การรวมกลุ่มจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการใช้สิทธิ ทางการเมือง ซึ่งในกรณีของสิทธิเสรีภาพนี้มีข้อสังเกตก็คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่เป็นเสรีภาพ ที่จะทําอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต แต่เป็นเสรีภาพที่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายที่บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพ ของตนนั้นจะต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการจลาจล ซึ่งในหลักประกัน สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ นี้จะรวมทั้งความเสมอภาคทางการเมือง เพราะเสรีภาพที่ประชาชนมีเท่าๆ กันก็จะก่อให้เกิด ความเสมอภาคทางการเมือง คือ การที่แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเท่า ๆ กัน โดยในระบอบประชาธิปไตยถือว่าแต่ละคนมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้ปกครอง หรือผู้แทนประชาชน เท่ากันตามหลัก One Man One Vote และสําหรับหลักการนี้ยังจะต้องประกอบด้วย การที่ประชาชนจะต้องรู้จัก หน้าที่ของพลเมืองในการดําเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น การมีหน้าที่ในการ เสียภาษีในอัตราที่เท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งอยู่ในเกณฑ์รายได้และสถานภาพอื่นพอ ๆ กัน

3 หลักกฎหมายสูงสุด หรือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติรัฐ หรือหลัก นิติธรรม (Rule of Law) การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ไม่ยึดตัวบุคคล แต่ยึดหลักการเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งหลักการอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบนี้ก็คือ การยึดถือกฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครอง ที่ถือว่าประชาชนเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน หรือเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติรัฐหรือ หลักนิติธรรมที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งหลักการสูงสุดของกฎหมายนี้ ยังรวมไปถึงการที่ศาลหรือกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีต่าง ๆ อันแสดงให้เห็นถึงว่า ศาลสามารถจะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือเป็นที่พึ่งของประชาชนภายในประเทศได้ นั่นคือ ในการตัดสินลงโทษจะใช้กระบวนการยุติธรรม มิใช่ตัดสินโดยบุคคลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ตลอดจนรวมถึงการมีหลักกฎหมายที่มีการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย โดยองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญนี้อาจจะเป็นองค์กรการเมือง ศาลยุติธรรมธรรมดาหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่แนวความคิดเห็นและประเพณีนิยมทางการเมืองของแต่ละประเทศ เพื่อให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญซึ่งวางหลักแห่งกฎหมายและหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้รับการปฏิบัติและเกิดผลอย่างจริงจัง

4 หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule) โดยคํานึงถึงเสียงข้างน้อย (Minority Right) หมายความว่า พรรคเสียงข้างมากทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาล และพรรคเสียงข้างน้อยทําหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ในระบอบประชาธิปไตยถือว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านมีความสําคัญเท่ากัน เพราะต่างก็เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประชาชนเช่นเดียวกัน และกลุ่มฝ่ายค้านก็สามารถเป็นรัฐบาลได้ในวันข้างหน้า นอกจากนี้คําว่าหลักเสียงข้างมาก ยังเป็นข้อยุติในปัญหาต่างๆ สําหรับระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย ดังนั้นการตัดสินใจทั้งหลายของรัฐบาลในระบอบ ประชาธิปไตยจึงต้องใช้หลักการเสียงข้างมาก เพราะถือว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลอยู่ในตัว และเสียงการตัดสินใจ โดยคนหมู่มากนั้นย่อมถูกต้องกว่าการตัดสินใจโดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันการใช้เสียงข้างมากก็จะคํานึงถึง เสียงข้างน้อยด้วย โดยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อย รวมทั้งยังยอมรับให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยได้มีโอกาส แสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการของตนด้วย

5 หลักสันติวิธี เป็นหลักการที่เชื่อว่าพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยรู้จักใช้เหตุผล ไม่ทําอะไรตามอารมณ์และความรู้สึก และไม่ทําอะไรเอาแต่ใจตนเองโดยไม่คํานึงถึงคนอื่น นอกจากนี้ยังยอมรับว่าคนเรา จะเหมือนกันไม่ได้ อาจมีการขัดแย้ง ต้องมีการเจรจาและประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยจึงดําเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ โดยสันติวิธีด้วยการไม่ใช้กําลังความรุนแรง เช่น การเจรจา การประนีประนอม การใช้กลไกการเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในทุกๆ กลุ่ม ป้องกันการสูญเสียเลือดเนื้อและบาดเจ็บล้มตาย

โดยสรุปแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ถือหลักการว่าประชาชน เป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยในการดําเนินการปกครองประเทศ โดยตั้งอยู่บนหลักการสําคัญพื้นฐานอย่างน้อย 5 ประการดังกล่าว

 

ข้อ 2 การเมืองการปกครอง “ระบบรัฐสภา” (Parliamentary System) มีขั้นตอน หลักการ และวิธีการรวมทั้งการแก้ปัญหาหรือทางออกของการเมืองดังกล่าวอย่างไร อธิบายพร้อมยกตัวอย่าง

แนวคําตอบ

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือการเมืองการปกครองระบบแบ่งแยกอํานาจผ่อนคลาย เป็นรูปแบบของการเมืองการปกครองที่อังกฤษเป็นแม่แบบ ที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก” ซึ่งในการเมืองการปกครองระบบนี้จะถือว่ารัฐสภาเป็นองค์กรการเมืองการปกครองที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้ว รัฐบาลที่ปกครองและบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงาน ด้วยความรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั้นเอง

ขั้นตอนกระบวนการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2 สภาผู้แทนราษฎรประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี

3 นายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะรัฐมนตรี

4 คณะรัฐมนตรีเสนอนโยบายรัฐบาลให้รัฐสภาเห็นชอบ

5 ครบวาระเลือกตั้งใหม่ หรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 อํานาจอธิปไตยแยกตามหน้าที่ กล่าวคือ อํานาจรัฐไม่ได้รวมไว้ในองค์กรเดียว แต่มีการแยก เอกสารประกอบ ให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ ได้แก่ อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติใช้โดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล

2 การแยกอํานาจไม่แยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่ายให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3 อํานาจที่แบ่งแยกนี้จะมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้ 1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่าพระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่งประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2 ประมุขของรัฐมีลักษณะสําคัญคือ มีสถานะเป็นกลางทางการเมือง หรือไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐ ไม่อาจถูกถอดถอนออกจากตําแหน่ง จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เองที่ทําให้กิจกรรมใด ๆ ของประมุขของรัฐต้องมีการลงนามกํากับหรือลงนามรับสนอง พระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบใน กิจกรรมนั้น ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎร

3 ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) หรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้นจะต้องเสนอนโยบายเพื่อขอความไว้วางใจหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจทําให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลต้องออกจากตําแหน่งได้ โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะนายกรัฐมนตรีก็ได้

5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามเพื่อควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล

6 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน ประจายจนของรัฐบาล

7 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการกระทําของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล

8 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการถ่วงดุลกับฝ่ายนิติบัญญัติ

9 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติได้เช่นเดียวกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

10 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ

11 ศาลและผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การแก้ปัญหาหรือทางออกของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 การลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรี

2 การเปลี่ยนตําแหน่งรัฐมนตรี

3 การลาออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี

4 การปรับเปลี่ยนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล

5 การยุบสภาผู้แทนราษฎร

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาดังกล่าวนี้จะมีเสถียรภาพและดําเนินไปได้ด้วยดีก็ขึ้นอยู่กับการมีระบบพรรคการเมืองใหญ่และเป็นระบบ 2 พรรค จึงจะทําให้การเมืองของประเทศ มีเสถียรภาพ และรัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ครบวาระสมัย

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ได้แก่ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี สเปน กรีซ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เป็นต้น

 

ข้อ 3 จงอธิบายคําศัพท์ต่อไปนี้ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

3.1 Emergency Power

แนวคําตอบ

Emergency Power (มาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษ) หมายถึง การใช้อํานาจพิเศษ โดยผู้ปกครอง ซึ่งอาจเป็นตําแหน่งประธานาธิบดีหรือตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ประเทศเกิดภาวะคับขัน หรือมีความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งการใช้อํานาจดังกล่าวจะเป็นไปภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

การกําหนดมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษไว้ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะต้องบัญญัติอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้ผู้ใช้อํานาจลุแก่อํานาจ โดยจะต้องคํานึงถึงหลักการดังต่อไปนี้

1 นิยามคําว่า “สถานการณ์พิเศษ” ต้องชัดเจน ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้

2 ต้องมีองค์กรทําหน้าที่ควบคุมผู้ใช้อํานาจพิเศษ

3 เมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ ต้องยุติการใช้อํานาจพิเศษโดยพลัน 4 ต้องมีเงื่อนไขของการใช้อํานาจพิเศษ เพื่อป้องกันมิให้รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแปรสภาพเป็นระบอบอื่น

ตัวอย่างของประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่มีมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี โดยรัฐธรรมนูญของทั้ง 2 ประเทศได้ระบุนิยามของคําว่า “สถานการณ์พิเศษ” ไว้อย่างชัดเจน ระบุขอบเขตการใช้อํานาจของผู้นําไว้ชัดเจน ตลอดจนมีองค์กรที่ทําหน้าที่ ควบคุมผู้ใช้อํานาจพิเศษไว้ด้วย

สําหรับประเทศไทย การกําหนดมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษเคยมีปรากฏในรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการ เช่น มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2502 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นต้น แต่แนวความคิดเรื่องการกําหนดมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษไว้ภายใต้บทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญไทย เป็นเรื่องที่แทบจะยอมรับไม่ได้เลย เพราะได้ติดกับภาพลักษณ์เก่า ๆ ของมาตรา 17 ด้วยเหตุนี้ เมื่อเกิดภาวะคับขันหรือความวุ่นวายทางการเมืองจึงมีเพียงแต่กองทัพเท่านั้นที่จะมาแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งเป็นภาพลบของบ้านเมือง โดยเฉพาะประชาคมโลกในปัจจุบันที่ต่อต้านการใช้วิธีการรุนแรงกับฝูงชนผู้มาชุมนุมประท้วง ในรูปแบบต่าง ๆ

3.2 Sovereignty

แนวคําตอบ

Sovereignty (อํานาจอธิปไตย หรืออํานาจรัฏฐาธิปัตย์) หมายถึง อํานาจปกครองบังคับบัญชาสูงสุดภายใต้รัฐนั้น ไม่ว่าจะมีวิธีการได้มาโดยความชอบธรรมด้วยการเลือกตั้ง หรือได้มาโดยใช้กําลังในการยึดอํานาจรัฐ ได้สําเร็จด้วยการปฏิวัติหรือการทํารัฐประหารก็ตาม เพราะผู้ที่ใช้อํานาจรัฐคือกลุ่มผู้ที่แข็งแรงที่สุด เพียงแต่ต่างกัน ในเรื่องที่มาของอํานาจ

อํานาจอธิปไตยถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญองค์ประกอบหนึ่งของรัฐ โดยอํานาจอธิปไตยจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละระบอบการปกครอง เช่น ถ้าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย อํานาจ อธิปไตยจะเป็นของประชาชน กล่าวคือ ประชาชนคือผู้มีอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยผ่านตัวแทน คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อํานาจอธิปไตยจะเป็นของ พระมหากษัตริย์ กล่าวคือ กษัตริย์เป็นผู้มีอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ และเป็นผู้เดียวที่ใช้อํานาจดังกล่าว

ลักษณะสําคัญของอํานาจอธิปไตย มี 4 ประการ คือ

1 มีลักษณะเป็นการทั่วไป (Universality) หมายถึง มีอํานาจครอบคลุมทั่วทั้งรัฐ และอยู่เหนือทุก ๆ อํานาจ

2 มีความสมบูรณ์ (Absoluteness) หมายถึง อํานาจอธิปไตยเป็นอํานาจสูงสุดภายในรัฐจะไม่มีอํานาจอื่นใดภายในรัฐที่อยู่เหนือกว่าอํานาจอธิปไตย

3 มีความถาวร (Permanence) หมายถึง อํานาจอธิปไตยจะยังคงอยู่ตราบเท่าที่รัฐยังคงอยู่

4 แบ่งแยกไม่ได้ (Indivisibility) หมายถึง ในรัฐหนึ่ง ๆ จะต้องมีอํานาจอธิปไตยเพียงหนึ่งเดียว จะมีการแบ่งแยกอํานาจอธิปไตยไปให้ส่วนต่าง ๆ ภายในรัฐมิได้

อํานาจอธิปไตย แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ

1 ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา ทําหน้าที่ในการตรากฎหมายขึ้นมาใช้ภายในประเทศ

2 ฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล ทําหน้าที่ในการบริหารประเทศให้เป็นไปตามกฎหมาย

3 ฝ่ายตุลาการ คือ ศาล ทําหน้าที่ในการตัดสินคดีความต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม เพื่อรักษาสิทธิและเสรีภาพของทุก ๆ คนภายในรัฐ รวมทั้งทําหน้าที่ในการควบคุมทุก ๆ อํานาจให้อยู่ภายใต้กฎหมาย

 

3.3 Constitution

แนวคําตอบ

Constitution (รัฐธรรมนูญ) หมายถึง กฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ หรือกฎหมายหลักหรือกฎหมายแม่บทที่จัดระเบียบในการปกครองประเทศ กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่กําหนด

1 กฎเกณฑ์หรือกติกาที่เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล

2 กฏเกณฑ์หรือกติกาที่เกี่ยวกับการกําหนดขอบเขตอํานาจรัฐบาล

3 กฎเกณฑ์หรือกติกาที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

ในทางรัฐศาสตร์ถือว่าทุกประเทศมีรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ไทย ญี่ปุ่น เป็นต้น หรือมีการปกครองระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แบบอํานาจนิยมหรือเผด็จการ อย่างเช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เป็นต้น เพียงแต่เป็นรัฐธรรมนูญในรูปแบบจารีตประเพณีหรือรัฐธรรมนูญแบบ ลายลักษณ์อักษร หรือเป็นรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาแบบเสรีประชาธิปไตยหรือแบบเผด็จการ

สําหรับประเทศไทย บรรดากฏข้อบังคับการจัดระเบียบอํานาจรัฐในสมัยโบราณ (ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475) ที่อยู่ในรูปของกฎมณเฑียรบาล ประเพณีการปกครอง หลักทศพิธราชธรรม และพระบรมราชโองการต่าง ๆ ของพระเจ้าแผ่นดิน ก็คือ “รัฐธรรมนูญ” นั่นเอง เพียงแต่ในเวลานั้นยังไม่มีการ บัญญัติศัพท์คําว่ารัฐธรรมนูญ

ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แบบลายลักษณ์อักษรฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม (ชั่วคราว) พ.ศ. 2475 ต่อมาคณะราษฎรจึงได้มอบหมายให้นายกราชบัณฑิตยสภาในขณะนั้น คือ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร) เป็นผู้บัญญัติศัพท์คําว่า “รัฐธรรมนูญ” โดยแปลมาจากคําว่า “Constitution” และต่อมา ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 อันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับที่ 2 ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญถาวร ฉบับแรกของประเทศไทย ดังนั้นจึงถือว่าวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันรัฐธรรมนูญของไทย

3.4 Martial Law

แนวคําตอบ

Martial Law (กฎอัยการศึก) หมายถึง กฎหมายที่ตราขึ้นไว้สําหรับประกาศใช้เมื่อมีเหตุจําเป็น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมือง เช่น ในกรณีเกิดการจลาจลหรือเกิดสงคราม ภายใต้กฎอัยการศึกนั้น ฝ่ายปกครองจะจํากัดเสรีภาพส่วนบุคคลในบางเรื่อง เช่น ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานในยามวิกาล หรือห้าม มีการชุมนุมเกินกว่า 5 คน เป็นต้น

กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายที่มีอยู่ในเวลาปกติ แต่ไม่ได้บังคับใช้ โดยเมื่อจะบังคับใช้จะต้องประกาศและกําหนดพื้นที่ที่จะบังคับใช้ ซึ่งในประเทศไทยนั้นจะมีการตรากฎอัยการศึกเป็นกฎหมายชัดเจน ขณะที่บางประเทศจะไม่มีการตราเป็นกฎหมายชัดเจน เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เป็นต้น

กฎอัยการศึกของประเทศไทยมีศักดิ์เทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ ตราขึ้นครั้งแรกในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. 2450 ซึ่งเรียกว่า กฎอัยการศึก ร.ศ. 126 มีทั้งสิ้น 9 มาตรา โดย ถอดแบบมาจากกฎอัยการศึกของประเทศฝรั่งเศส ต่อมาในปี พ.ศ. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าอํานาจของทหารตามกฎอัยการศึก ร.ศ. 126 นั้นยึดตามแบบฝรั่งเศส แต่ไทยใช้ตําราพิชัยสงครามตาม แบบอินเดียซึ่งไม่สอดคล้องกัน จึงทรงยกเลิกกฎอัยการศึก ร.ศ. 126 และตรากฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ขึ้นใช้แทน มีทั้งสิ้น 17 มาตรา และยังคงใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมรวม 5 ครั้ง

3.5 State

แนวคําตอบ

State (รัฐ) มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า Status เดิมที่มีความหมายว่าเป็นสถานะของวัตถุ หรือลําดับชั้น ต่อมาประมาณศตวรรษที่ 15 คําว่า State ก็มีความหมายในทางการเมืองว่าเป็นรูปแบบเฉพาะ อย่างหนึ่งของชุมชนทางการเมือง

นักวิชาการได้ให้นิยามความหมายของรัฐไว้มากมาย แต่ความหมายโดยสรุป รัฐ หมายถึง ประชาคมมนุษย์ที่มีอํานาจทางการเมืองเป็นพื้นฐาน ซึ่งประชาคมมนุษย์ ได้แก่ พรรคการเมือง สมาคม ชมรม กลุ่มต่าง ๆ องค์กรต่าง ๆ ที่รวมตัวกันโดยมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์เดียวกัน และมีกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็น ข้อบังคับสมาชิก รวมทั้งอาจมีบทลงโทษสมาชิกที่ไม่ทําตามระเบียบของกลุ่มนั้น เช่น ให้พ้นจากตําแหน่ง หรือ ให้ออกจากการเป็นสมาชิก เป็นต้น โดยรัฐจะมีความแตกต่างจากกลุ่มประชาคมมนุษย์อื่น ๆ ตรงที่รัฐจะมีจักรกล แห่งการบังคับ เช่น มีกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา มีคุกตาราง มีทหาร มีตํารวจ ฯลฯ ตลอดจนมีความสมบูรณ์ ของการจัดระเบียบในทุก ๆ ด้านมากกว่า และสิ่งที่สําคัญก็คือ ทุกประชาคมมนุษย์จะต้องอยู่ภายใต้อํานาจรัฐ

รัฐแต่ละรัฐจะมีองค์ประกอบที่สําคัญอยู่ 4 ประการ คือ

1 ประชากร (Population)

2 ดินแดน (Territory)

3 รัฐบาล (Government)

4 อํานาจอธิปไตย (Sovereignty)

ในรัฐธรรมนูญของทุกประเทศได้กําหนดรูปแบบของรัฐไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งในทาง รัฐศาสตร์ได้แบ่งรูปแบบของรัฐออกเป็น 2 รูปแบบ คือ รัฐเดี่ยว (Unitary State) และรัฐรวม (Compound State) สําหรับประเทศไทยนั้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ทั้งสิ้น 19 ฉบับ ซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับกําหนดให้ใช้รูปแบบรัฐเป็นแบบรัฐเดี่ยว (Unitary State) โดย บัญญัติว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกมิได้” ยกเว้นพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครอง แผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ที่มิได้กําหนดเรื่องรูปแบบของรัฐไว้ และรัฐธรรมนูญทุกฉบับยังกําหนดห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขรูปแบบของรัฐ โดยเด็ดขาด

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อ

ข้อ 1 ให้นักศึกษาเลือกอธิบายการเมืองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือการเมืองระบบประธานาธิบดี (Presidential System) เพียง 1 ระบบการเมือง

แนวคําตอบ

การเมืองระบบรัฐสภา (Parliamentary System)

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือการเมืองการปกครองระบบแบ่งแยกอํานาจผ่อนคลาย เป็นรูปแบบของการเมืองการปกครองที่อังกฤษเป็นแม่แบบ ที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก” ซึ่งในการเมืองการปกครองระบบนี้จะถือว่ารัฐสภาเป็นองค์กรการเมืองการปกครอง ที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้ว รัฐบาลที่ปกครองและบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงาน ด้วยความรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั้นเอง

ขั้นตอน/กระบวนการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2 สภาผู้แทนราษฎรประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี

3 นายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะรัฐมนตรี

4 คณะรัฐมนตรีเสนอนโยบายรัฐบาลให้รัฐสภาเห็นชอบ

5 ครบวาระเลือกตั้งใหม่ หรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 อํานาจอธิปไตยแยกตามหน้าที่ กล่าวคือ อํานาจรัฐไม่ได้รวมไว้ในองค์กรเดียว แต่มีการแยกให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ ได้แก่ อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติใช้โดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล

2 การแยกอํานาจไม่แยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่ายให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3 อํานาจที่แบ่งแยกนี้จะมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้ มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้ 1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่าพระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่งประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2 ประมุขของรัฐมีลักษณะสําคัญคือ มีสถานะเป็นกลางทางการเมือง หรือไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐ ไม่อาจถูกถอดถอนออกจากตําแหน่ง จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เองที่ทําให้กิจกรรมใด ๆ ของประมุขของรัฐต้องมีการลงนามกํากับหรือลงนามรับสนอง พระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมนั้น ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎร

3 ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) หรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้น จะต้องเสนอนโยบายเพื่อขอความไว้วางใจหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจทําให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลต้องออกจากตําแหน่งได้ โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะนายกรัฐมนตรีก็ได้

5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามเพื่อควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล

6 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล

7 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการกระทําของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล

8 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการถ่วงดุลกับฝ่ายนิติบัญญัติ

9 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติได้เช่นเดียวกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

10 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ

11 ศาลและผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาดังกล่าวนี้จะมีเสถียรภาพและดําเนินไปได้ด้วยดีก็ขึ้นอยู่กับการมีระบบพรรคการเมืองใหญ่และเป็นระบบ 2 พรรค จึงจะทําให้การเมืองของประเทศมีเสถียรภาพ และรัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ครบวาระสมัย

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ได้แก่ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี สเปน กรีซ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เป็นต้น

การเมืองระบบประธานาธิบดี (Presidential System)

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี (Presidential System) หรือการเมืองการปกครองระบบแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาด เป็นรูปแบบของการเมืองการปกครองที่สหรัฐอเมริกา เป็นแม่แบบที่เรียกว่า “ระบบประธานาธิบดีคลาสสิก” ซึ่งเกิดมาจากความคิดของผู้เริ่มก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการจะกําหนดรูปแบบการปกครองของประเทศให้เหมาะสมกับประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อบัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญในสมัยแรกเริ่มก่อตั้งประเทศ

ขั้นตอน/กระบวนการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดีมีดังนี้

1 การเลือกตั้งประธานาธิบดี

2 การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา

3 ครบวาระเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี มีดังนี้

1 อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐถูกมอบหมายให้แต่ละองค์กรนําไปปฏิบัติโดยไม่รวมอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง กล่าวคือ อํานาจบริหารจะใช้โดยฝ่ายบริหารที่เรียกว่าประธานาธิบดี หรือคณะรัฐบาล อํานาจนิติบัญญัติจะใช้โดยฝ่ายรัฐสภา และอํานาจตุลาการจะใช้โดยฝ่ายศาล

2 การแยกอํานาจแยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ องค์กรต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายอํานาจหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติจะเป็นอิสระต่อกันโดยเด็ดขาด แต่ละองค์กรจะทําหน้าที่ของแต่ละฝ่าย โดยไม่ก้าวก่ายตรวจสอบหรือควบคุมซึ่งกันและกัน เช่น ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจใน การยุบสภา ขณะเดียวกันฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่มีอํานาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฝ่ายบริหาร เป็นต้น และแต่ละฝ่ายก็จะมีที่มาเป็นอิสระต่อกัน เช่น ประธานาธิบดีหรือสมาชิกรัฐสภาก็จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแยกแต่ละฝ่ายกัน

3 ฝ่ายต่าง ๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่จะอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระ เช่น ประธานาธิบดีมีวาระ 4 ปี ก็จะอยู่จนครบ 4 ปี หรือฝ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 2 ปี ก็จะอยู่จนครบ 2 ปี เป็นต้น

วิธีการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี มีดังนี้

1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะเป็นบุคคลเดียวกัน และมาจากการเลือกตั้งจากประชาชนจะโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมก็ได้ โดยไม่ผ่านทางรัฐสภา ซึ่งตําแหน่งดังกล่าวนี้เรียกว่าประธานาธิบดี

2 ประมุขฝ่ายบริหารสามารถตั้งรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ ประธานาธิบดีสามารถเลือกรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลได้โดยไม่ต้องขอความ เห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร แต่กรณีของสหรัฐอเมริกาต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาก่อน

3 ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอํานาจในเรื่องการไม่ให้ความไว้วางใจแก่ฝ่ายบริหาร กล่าวคือ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีและรัฐมนตรีไม่ได้

4 ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจรเริ่มเสนอกฎหมาย การเสนอกฎหมายเป็นอํานาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ

5 ฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีไม่มีอํานาจยุบสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ

6 ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจเรียกประชุมรัฐสภา กล่าวคือ ประธานาธิบดีไม่มีอํานาจเรียกประชุมสภา การประชุมสภาเป็นอํานาจหรือเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสภา

7 ประธานาธิบดีสามารถเสนอนโยบาย โดยสภาผู้แทนราษฎรทําหน้าที่อนุมัติงบประมาณ

8 ประธานาธิบดีเป็นผู้แทนประเทศในการทําสนธิสัญญากับต่างชาติ โดยวุฒิสภา ทําหน้าที่ให้สัตยาบัน

9 ทุกฝ่ายจะอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ประธานาธิบดีมีวาระ 4 ปี ก็อยู่จนครบ 4 ปี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 2 ปี ก็อยู่จนครบ 2 ปี เป็นต้น

10 ฝ่ายตุลาการมีหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษา เพื่อมิต้องตกอยู่ภายใต้อํานาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยมีกฎหมายเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษาโดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม แม้ในหลักการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี จะไม่ก้าวก่ายและตรวจสอบควบคุมซึ่งกันและกัน แต่ในทางปฏิบัติก็อาจมีการผ่อนคลายบ้างในกรณีที่เกิดปัญหา วิกฤติในการเมืองการปกครอง เช่น การให้ประธานาธิบดีมีอํานาจยับยั้งกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาตามกลไกทางการเมืองที่ เรียกว่า Veto หรือการให้อํานาจฝ่ายนิติบัญญัติทําหน้าที่กล่าวหาประธานาธิบดีในกรณีที่มีการกระทําที่ไม่เหมาะสม ที่จะนําไปสู่ความเสื่อมเสียแก่เกียรติภูมิของประเทศหรือเสื่อมเสียกับตําแหน่งตามกลไกทางการเมืองที่เรียกว่า Impeachment

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดีจะมีเสถียรภาพหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับระบบพรรคการเมืองที่ไม่เคร่งครัดในระเบียบวินัยของพรรค เพราะถ้าประธานาธิบดีอยู่ตรงกันข้ามกับเสียงข้างมากในสภาจะได้ไม่มีปัญหา และการมีนักการเมืองที่มีวุฒิภาวะที่เห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติเป็นส่วนรวมด้วย จึงจะทําให้การปกครองระบบประธานาธิบดีนี้ดําเนินไปได้ด้วยดี

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก บราซิล อาร์เจนตินา ซิลี อุรุกวัย เอกวาดอร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น

 

ข้อ 2 ให้นักศึกษายกประเด็นสําคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มา 15 ประเด็น โดยเขียนเป็นข้อ ๆ โดยสังเขป  แนวคําตอบ

นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2558 ประเทศไทย มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น 19 ฉบับ โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ซึ่งจัดทําขึ้นหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

สาระสําคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มีทั้งสิ้น 48 มาตรา แต่ในที่นี้จะขอหยิบยกประเด็นหรือสาระสําคัญเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาเพียง 15 ประเด็น ดังนี้

1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้

2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

3 อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย

4 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนไม่เกิน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคําแนะนํา ทําหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา

5 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและรัฐมนตรีอื่นอีกจํานวนไม่เกิน 35 คน ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคําแนะนํา ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ดําเนินการให้มีการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ และส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ

6 การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตําแหน่ง ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

7 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตําแหน่งปลัดกระทรวงอธิบดีและเทียบเท่า ผู้พิพากษาและตุลาการ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และข้าราชการฝ่ายอื่น ๆ และทรงให้พ้นจากตําแหน่ง

8 ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีในพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ให้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

9 ให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติมีหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้เกิดการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1) การเมือง

2) การบริหารราชการแผ่นดิน

3) กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

4) การปกครองท้องถิ่น

5) การศึกษา

6) เศรษฐกิจ

7) พลังงาน

8) สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม

9) สื่อสารมวลชน

10) สังคม

11) อื่น ๆ

10 สภาปฏิรูปแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนไม่เกิน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคําแนะนํา

11 ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคณะหนึ่งเพื่อจัดทําร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยกรรมาธิการจํานวน 36 คน ซึ่งประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติแต่งตั้ง

12 ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความสงบ เรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอํานาจสั่งการระงับยับยั้งหรือ กระทําการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่งหรือการกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้เมื่อได้ดําเนินการดังกล่าวแล้วให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว

13 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กระทําโดยคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติร่วมกัน และเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบ

14 บรรดาประกาศและคําสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคําสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติไม่ว่าจะประกาศหรือสั่งให้มีผลบังคับในทางรัฐธรรมนูญ ในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ เป็นประกาศหรือคําสั่งหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด

15 บรรดาการกระทําทั้งหลายของหัวหน้าและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หากการกระทํานั้นผิด ต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทําพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

 

ข้อ 3 เลือกอธิบายศัพท์โดยสังเขป 5 คําศัพท์

3.1 Sovereignty (อํานาจอธิปไตย)

แนวคําตอบ

Sovereignty (อํานาจอธิปไตย หรืออํานาจรัฏฐาธิปัตย์) หมายถึง อํานาจปกครองบังคับบัญชา สูงสุดภายใต้รัฐนั้น ไม่ว่าจะมีวิธีการได้มาโดยความชอบธรรมด้วยการเลือกตั้ง หรือได้มาโดยใช้กําลังในการยึดอํานาจรัฐ ได้สําเร็จด้วยการปฏิวัติหรือการทํารัฐประหารก็ตามเพราะผู้ที่ใช้อํานาจรัฐคือกลุ่มผู้ที่แข็งแรงที่สุด เพียงแต่ต่างกันในเรื่องที่มาของอํานาจ

คําว่า “อํานาจอธิปไตย” (Sovereignty) “อํานาจรัฐ” (Power of State) และ “อํานาจทาง การเมือง” (Political Power) นั้น คือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่เรียกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าต้องการเน้นในเรื่องใด กล่าวคือ อํานาจอธิปไตยเรียกเมื่อเน้นถึงความเป็นเอกราชของชาติ และเป็นอํานาจปกครองบังคับบัญชาสูงสุดภายใต้ผืนแผ่นดินของรัฐ ส่วนอํานาจรัฐเรียกเมื่อเน้นถึงจักรกลแห่งการบังคับ การมีพลังทางวัตถุ และมีกฎหมาย และอํานาจทางการเมืองเรียกเมื่อเน้นถึงผู้มาใช้อํานาจ

3.2 Constitution (รัฐธรรมนูญ)

แนวคําตอบ

Constitution (รัฐธรรมนูญ) หมายถึง กฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ หรือกฎหมายหลักหรือกฎหมายแม่บทที่จัดระเบียบในการปกครองประเทศ กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่กําหนด

1 กฎเกณฑ์หรือกติกาที่เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล

2 กฎเกณฑ์หรือกติกาที่เกี่ยวกับการกําหนดขอบเขตอํานาจรัฐบาล

3 กฏเกณฑ์หรือกติกาที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

ในทางรัฐศาสตร์ถือว่าทุกประเทศมีรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ไทย ญี่ปุ่น เป็นต้น หรือมีการปกครองระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แบบอํานาจนิยมหรือเผด็จการ อย่างเช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เป็นต้น เพียงแต่เป็นรัฐธรรมนูญในรูปแบบจารีตประเพณีหรือรัฐธรรมนูญแบบ ลายลักษณ์อักษร หรือเป็นรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาแบบเสรีประชาธิปไตยหรือแบบเผด็จการ

สําหรับประเทศไทย บรรดากฏข้อบังคับการจัดระเบียบอํานาจรัฐในสมัยโบราณ (ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475) ที่อยู่ในรูปของกฎมณเฑียรบาล ประเพณีการปกครอง หลักทศพิธราชธรรม และพระบรมราชโองการต่าง ๆ ของพระเจ้าแผ่นดิน ก็คือ “รัฐธรรมนูญ” นั่นเอง เพียงแต่ในเวลานั้นยังไม่มีการบัญญัติศัพท์คําว่ารัฐธรรมนูญ

ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษรฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม (ชั่วคราว) พ.ศ. 2475 ต่อมาคณะราษฎรจึงได้มอบหมายให้นายกราชบัณฑิตยสภาในขณะนั้น คือ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร) เป็นผู้บัญญัติศัพท์คําว่า “รัฐธรรมนูญ” โดยแปลมาจากคําว่า “Constitution” และต่อมา ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 อันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับที่ 2 ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญถาวร ฉบับแรกของประเทศไทย ดังนั้นจึงถือว่าวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันรัฐธรรมนูญของไทย

3.3 Amendment (การแก้ไขรัฐธรรมนูญ)

แนวคําตอบ

Amendment (การแก้ไขรัฐธรรมนูญ) หมายถึง เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้ใช้บังคับไปในระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ก็ควรจะมีการแก้ไข หมายความว่า อาจจะยกเลิกบางมาตรา หรือใส่เพิ่มเติมเข้าไปในมาตราที่ไม่เคยมีก็ได้ โดยหลักการทั่วไปมีอยู่ว่าอาจแก้ไขบางส่วน หรือแก้ไขทั้งฉบับก็ย่อมทําได้ นั่นคือ สามารถแก้ไขก็มาตราก็ได้ ภายใต้เงื่อนไขของเวลาที่กําหนด ทั้งนี้เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีความทันสมัย เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงของบ้านเมือง หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศและของโลกในเวลานั้น

การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบจารีตประเพณีไม่แตกต่างจากการแก้ไขกฎหมายธรรมดา คือ กฎข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของรัฐธรรมนูญ หากสภาออกกฎหมายยกเลิกก็เท่ากับเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษรจะแก้ไขได้ยากกว่า เพราะต้องมีกระบวนการ มีขั้นตอน เริ่มจากองค์กร ที่มีอํานาจการเสนอญัตติขอแก้ไข องค์กรที่มีอํานาจในการพิจารณาในแต่ละวาระ และต้องใช้คะแนนเสียงข้างมากด้วย

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญของไทยจะมีการจํากัดอํานาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับที่ห้ามแก้ไขในเรื่องรูปแบบรัฐซึ่งเป็นแบบรัฐเดียว (Unitary State) และรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยเด็ดขาด

สําหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของไทยในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2557 บัญญัติให้มติการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมาจากคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยจัดทําเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบ ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ มิได้ ซึ่งมติให้ความเห็นชอบต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

หลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายภายใน 15 วันนับแต่วันที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติ เพื่อพระมหากษัตริย์ ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนอง พระบรมราชโองการ

3.4 Emergency Power (มาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษ)

แนวคําตอบ

Emergency Power (มาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษ) หมายถึง การใช้อํานาจพิเศษ โดยผู้ปกครอง ซึ่งอาจเป็นตําแหน่งประธานาธิบดีหรือตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ประเทศเกิดภาวะคับขัน หรือมีความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งการใช้อํานาจดังกล่าวจะเป็นไปภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

การกําหนดมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษไว้ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะต้องบัญญัติอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้ผู้ใช้อํานาจลุแก่อํานาจ โดยจะต้องคํานึงถึงหลักการดังต่อไปนี้

1 นิยามคําว่า “สถานการณ์พิเศษ” ต้องชัดเจน ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้

2 ต้องมีองค์กรทําหน้าที่ควบคุมผู้ใช้อํานาจพิเศษ

3 เมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ ต้องยุติการใช้อํานาจพิเศษโดยพลัน

4 ต้องมีเงื่อนไขของการใช้อํานาจพิเศษ เพื่อป้องกันมิให้รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแปรสภาพเป็นระบอบอื่น

ตัวอย่างของประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่มีมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี โดยรัฐธรรมนูญของทั้ง 2 ประเทศได้ระบุนิยามของคําว่า “สถานการณ์พิเศษ” ไว้อย่างชัดเจน ระบุขอบเขตการใช้อํานาจของผู้นําไว้ชัดเจน ตลอดจนมีองค์กรที่ทําหน้าที่ ควบคุมผู้ใช้อํานาจพิเศษไว้ด้วย

สําหรับประเทศไทย การกําหนดมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษเคยมีปรากฏในรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการ เช่น มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2502 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นต้น แต่แนวความคิดเรื่องการกําหนดมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษไว้ภายใต้บทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญไทย เป็นเรื่องที่แทบจะยอมรับไม่ได้เลย เพราะได้ติดกับภาพลักษณ์เก่า ๆ ของมาตรา 17 ด้วยเหตุนี้ เมื่อเกิดภาวะคับขันหรือความวุ่นวายทางการเมืองจึงมีเพียงแต่กองทัพเท่านั้นที่จะมาแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งเป็นภาพลบของบ้านเมือง โดยเฉพาะประชาคมโลกในปัจจุบันที่ต่อต้านการใช้วิธีการรุนแรงกับฝูงชนผู้มาชุมนุมประท้วง ในรูปแบบต่าง ๆ

3.5 Uprising (การจลาจลทางการเมือง)

แนวคําตอบ

Uprising (การจลาจลทางการเมือง) หมายถึง การที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อต้าน (Standing up against) ผู้ปกครอง/ผู้ใช้อํานาจรัฐ หรือรัฐธรรมนูญในเวลานั้น โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามา เกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์เท่านั้น ซึ่งจะนําโดยกลุ่มปัญญาชน นิสิต นักศึกษา และนักวิชาการ จากนั้น ประชาชนบางกลุ่มก็จะเข้ามาร่วมสนับสนุนในอุดมการณ์นั้น และเมื่อรัฐบาลยอมทําตามอุดมการณ์ที่กลุ่มต้องการแล้ว ก็จะยุติการจลาจลลง

ตัวอย่างเหตุการณ์การจลาจลทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมี 2 ครั้ง คือ

เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเรียกว่า “วันมหาวิปโยค”

เหตุการณ์วันที่ 17 – 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ในสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “ พฤษภาทมิฬ”

3.6 Referendum (ประชามติ)

แนวคําตอบ

Referendum (ประชามติ) หมายถึง การให้ประชาชนมาออกเสียงลงคะแนนว่ารับหรือไม่รับ กฎหมายฉบับนั้น ซึ่งจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด หรือพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายธรรมดาก็ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าหากเสียงประชามติไม่รับมีมากกว่ารับหรือเรียกว่า “ประชามติไม่ผ่าน” ร่างกฎหมายฉบับนั้นก็ต้องตกไป แต่ถ้าเสียงประชามติรับมีมากกว่าไม่รับหรือเรียกว่า “ประชามติผ่าน” ร่างกฎหมายฉบับนั้นก็จะถูกนําไป ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่าผลประชามติจะออกมาอย่างไร หน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติตามมตินั้นเสมอไป เพราะมีผลทางนิตินัย

กรณีประเทศไทย เริ่มมีการจัดทําประชามติครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 โดยผลประชามติออกมาว่ารับร่างรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ แล้วได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18

สําหรับประเทศที่ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับพระราชบัญญัติหรือ กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติทุกฉบับ คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นประชาธิปไตย เกือบโดยตรง

FORROR

3.7 Rebellion (กบฏ)

แนวคำตอบ

Rebellion (กบฏ) หมายถึง การยึดอํานาจที่ไม่สําเร็จ จึงเป็นผู้แพ้ มีความผิดตามที่ผู้ชนะ (รัฐบาลเวลานั้น) จะสั่งการด้วยวิธีใดก็ย่อมทําได้ เช่น จับติดคุก ประหารชีวิต เนรเทศออกนอกประเทศ เป็นต้น กบฏถือเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายไทย

ตัวอย่างเหตุการณ์กบฏในประเทศไทย เช่น

– ในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา เกิดกบฎ 3 ครั้ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการต้องการกลับไปใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก ได้แก่

1 “กบฏบวรเดช” นําโดยพลเอกพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช เกิดขึ้นวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476

2 “กบฎนายสิบ” นําโดยสิบเอกสวัสดิ์ มะหะหมัด เกิดขึ้นวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2478

3 “กบฎพระยาทรงสุรเดช” นําโดยพันเอกพระยาทรงสุรเดช เกิดขึ้นวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481

ในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดกบฏ 2 ครั้ง คือ

1 “กบฏเมษาฮาวาย” หรือ “กบฏยังเตอร์ก” นําโดยพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา และกลุ่มทหารยังเตอร์ก เกิดขึ้นวันที่ 1 – 3 เมษายน พ.ศ. 2524

2 “กบฏไอ้โม่ง นัดแล้วใยไม่มา” นําโดยพันเอกมนูญ รูปขจร เกิดขึ้นวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อ (คะแนนเต็ม 100 คะแนน)

ข้อ 1 อธิบายความหมายและหลักการสําคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย พร้อมยกตัวอย่าง

แนวคําตอบ

คําว่า “ประชาธิปไตย” (Democracy) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คํา คือ คําว่า “Demos” แปลว่า ประชาชน (People) ราษฎร หรือพลเมือง กับคําว่า “Kratos, Kratien” แปลว่า ปกครอง (to Rule) หรืออํานาจ ดังนั้นความหมายของประชาธิปไตยจึงหมายถึง การปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรือ อํานาจอธิปไตย โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) แบบอิสรเสรี เสมอภาค และลงคะแนนลับ

หลักการสําคัญพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1 หลักอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย (อํานาจสูงสุด) เป็นของประชาชน การปกครองที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถือว่า อํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีวิธีการปกครองที่แสดงออกให้เห็นว่า ประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้ ตลอดจนสามารถเปลี่ยนแปลงและถอดถอนรัฐบาลได้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีได้ทุก 4 ปี หรือประชาชนญี่ปุ่นที่สามารถเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลในเวลาไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลักการอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนนี้ประชาชนต้องมี “อํานาจการตัดสินใจขั้นสุดท้าย” คือ ประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางนิติบัญญัติและบริหารของรัฐ และการตัดสินใจของประชาชนถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาด

2 หลักสิทธิ (Right) หน้าที่ (Duty) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชนเป็นหลักการที่ถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต่อมาถูกจํากัดโดยกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ของสังคมภายหลัง ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีกฎหมายเป็น หลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ เช่น การบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นด้านความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณา การรวมกลุ่มจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการใช้สิทธิทางการเมือง ซึ่งในกรณีของสิทธิเสรีภาพนี้มีข้อสังเกตก็คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่เป็นเสรีภาพ ที่จะทําอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต แต่เป็นเสรีภาพที่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายที่บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพ ของตนนั้นจะต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการจลาจล ซึ่งในหลักประกัน สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ นี้จะรวมทั้งความเสมอภาคทางการเมือง เพราะเสรีภาพที่ประชาชนมีเท่า ๆ กันก็จะก่อให้เกิดความเสมอภาคทางการเมือง คือ การที่แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเท่า ๆ กัน โดยในระบอบประชาธิปไตยถือว่าแต่ละคนมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้ปกครอง หรือผู้แทนประชาชนเท่ากันตามหลัก One Man One Vote และสําหรับหลักการนี้ยังจะต้องประกอบด้วย การที่ประชาชนจะต้องรู้จักหน้าที่ของพลเมืองในการดําเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น การมีหน้าที่ ในการเสียภาษีในอัตราที่เท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งอยู่ในเกณฑ์รายได้และสถานภาพอื่นพอ ๆ กัน

3 หลักกฎหมายสูงสุด หรือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติรัฐ หรือหลัก นิติธรรม (Rule of Law) การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ไม่ยึดตัวบุคคล แต่ยึดหลักการเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งหลักการอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบนี้ก็คือ การยึดถือกฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครอง ที่ถือว่าประชาชนเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน หรือเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติรัฐหรือ หลักนิติธรรมที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งหลักการสูงสุดของกฎหมายนี้ ยังรวมไปถึงการที่ศาลหรือกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีต่าง ๆ อันแสดงให้เห็นถึงว่า ศาลสามารถจะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือเป็นที่พึ่งของประชาชนภายในประเทศได้ นั่นคือ ในการตัดสินลงโทษจะใช้กระบวนการยุติธรรม มิใช่ตัดสินโดยบุคคลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ตลอดจนรวมถึงการ มีหลักกฎหมายที่มีการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย โดยองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญนี้อาจจะเป็นองค์กรการเมือง ศาลยุติธรรมธรรมดาหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่แนวความคิดเห็นและประเพณีนิยมทางการเมืองของแต่ละประเทศ เพื่อให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญซึ่งวางหลักแห่งกฎหมายและหลักบระกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้รับการปฏิบัติและเกิดผลอย่างจริงจัง

4 หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule) โดยคํานึงถึงเสียงข้างน้อย (Minority Right) หมายความว่า พรรคเสียงข้างมากทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาล และพรรคเสียงข้างน้อยทําหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ในระบอบประชาธิปไตยถือว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านมีความสําคัญเท่ากัน เพราะต่างก็เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประชาชนเช่นเดียวกัน และกลุ่มฝ่ายค้านก็สามารถเป็นรัฐบาลได้ในวันข้างหน้า นอกจากนี้คําว่าหลักเสียงข้างมาก ยังเป็นข้อยุติในปัญหาต่างๆ สําหรับระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย ดังนั้นการตัดสินใจทั้งหลายของรัฐบาลใน ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องใช้หลักการเสียงข้างมาก เพราะถือว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลอยู่ในตัว และเสียงการตัดสินใจ โดยคนหมู่มากนั้นย่อมถูกต้องกว่าการตัดสินใจโดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันการใช้เสียงข้างมากก็จะคํานึงถึงเสียงข้างน้อยด้วย โดยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อย รวมทั้งยังยอมรับให้ฝ่ายเสียงข้างน้อย ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการของตนด้วย

5 หลักสันติวิธี เป็นหลักการที่เชื่อว่าพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยรู้จักใช้เหตุผล ไม่ทําอะไรตามอารมณ์และความรู้สึก และไม่ทําอะไรเอาแต่ใจตนเองโดยไม่คํานึงถึงคนอื่น นอกจากนี้ยังยอมรับว่าคนเราจะเหมือนกันไม่ได้ อาจมีการขัดแย้ง ต้องมีการเจรจา และประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงดําเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ โดยสันติวิธีด้วยการไม่ใช้กําลังความรุนแรง เช่น การเจรจา การประนีประนอม การใช้กลไกการเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุก ๆ กลุ่ม ป้องกันการสูญเสียเลือดเนื้อและบาดเจ็บล้มตาย

โดยสรุปแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ถือหลักการว่าประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยในการดําเนินการปกครองประเทศ โดยตั้งอยู่บนหลักการสําคัญพื้นฐานอย่างน้อย 5 ประการดังกล่าว

 

ข้อ 2 การเมืองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีขั้นตอน หลักการ และวิธีการอย่างไร อธิบาย พร้อมยกตัวอย่าง

แนวคําตอบ

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือ การเมืองการปกครองระบบแบ่งแยกอํานาจผ่อนคลาย เป็นรูปแบบของการเมืองการปกครองที่อังกฤษเป็นแม่แบบ ที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก” ซึ่งในการเมืองการปกครองระบบนี้จะถือว่ารัฐสภาเป็นองค์กรการเมืองการปกครอง ที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้ว รัฐบาลที่ปกครองและบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงาน ด้วยความรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั่นเอง

ขั้นตอน/กระบวนการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2 สภาผู้แทนราษฎรประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี

3 นายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะรัฐมนตรี

4 คณะรัฐมนตรีเสนอนโยบายรัฐบาลให้รัฐสภาเห็นชอบ

5 ครบวาระเลือกตั้งใหม่ หรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 อํานาจอธิปไตยแยกตามหน้าที่ กล่าวคือ อํานาจรัฐไม่ได้รวมไว้ในองค์กรเดียว แต่มีการแยกให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ ได้แก่ อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติใช้โดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล

2 การแยกอํานาจไม่แยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่ายให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3 อํานาจที่แบ่งแยกนี้จะมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่าพระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่งประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2 ประมุขของรัฐมีลักษณะสําคัญคือ มีสถานะเป็นกลางทางการเมือง หรือไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐ ไม่อาจถูกถอดถอนออกจากตําแหน่ง จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เองที่ทําให้กิจกรรมใด ๆ ของประมุขของรัฐต้องมีการลงนามกํากับหรือลงนามรับสนองพระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมนั้น ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎร

3 ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) หรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้นจะต้องเสนอนโยบายเพื่อขอความไว้วางใจหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจทําให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลต้องออกจากตําแหน่งได้โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะนายกรัฐมนตรีก็ได้

5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามเพื่อควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล

6 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล

7 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการกระทําของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล

8 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการถ่วงดุลกับฝ่ายนิติบัญญัติ

9 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติได้เช่นเดียวกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

10 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ

11 ศาลและผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาดังกล่าวนี้จะมีเสถียรภาพและดําเนิน ไปได้ด้วยดีก็ขึ้นอยู่กับการมีระบบพรรคการเมืองใหญ่และเป็นระบบ 2 พรรค จึงจะทําให้การเมืองของประเทศมีเสถียรภาพ และรัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ครบวาระสมัย

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ได้แก่ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี สเปน กรีซ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เป็นต้น

 

ข้อ 3 เลือกอธิบายศัพท์โดยสังเขป 5 คําศัพท์

3.1 Sovereignty (อํานาจรัฏฐาธิปัตย์)

แนวคําตอบ

Sovereignty (อํานาจรัฏฐาธิปัตย์ หรืออํานาจอธิปไตย) หมายถึง อํานาจปกครองบังคับบัญชาสูงสุดภายใต้รัฐนั้น ไม่ว่าจะมีวิธีการได้มาโดยความชอบธรรมด้วยการเลือกตั้ง หรือได้มาโดยใช้กําลังในการยึดอํานาจรัฐ ได้สําเร็จด้วยการปฏิวัติหรือการทํารัฐประหารก็ตาม เพราะผู้ที่ใช้อํานาจรัฐคือกลุ่มผู้ที่แข็งแรงที่สุด เพียงแต่ต่างกันในเรื่องที่มาของอํานาจ

คําว่า “อํานาจรัฏฐาธิปัตย์” (Sovereignty) “อํานาจรัฐ” (Power of State) และ “อํานาจ ทางการเมือง” (Political Power) นั้น คือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่เรียกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าต้องการเน้นในเรื่องใด กล่าวคือ อํานาจรัฏฐาธิปัตย์เรียกเมื่อเน้นถึงความเป็นเอกราชของชาติ และเป็นอํานาจปกครองบังคับบัญชาสูงสุด ภายใต้ผืนแผ่นดินของรัฐ ส่วนอํานาจรัฐเรียกเมื่อเน้นถึงจักรกลแห่งการบังคับ การมีพลังทางวัตถุ และมีกฎหมาย และอํานาจทางการเมืองเรียกเมื่อเน้นถึงผู้มาใช้อํานาจ

3.2 Reformation (การปฏิรูป)

แนวคําตอบ

Reformation (การปฏิรูป) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น ด้วยวิธีการที่ไม่รุนแรง ภายใต้เงื่อนไขบางประการที่กําหนดขึ้น (Change for the better not radical with condition)

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 (ฉบับที่ 16) นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่อ้างว่า ออกแบบเพื่อปฏิรูปการเมือง ดังนั้นจึงมีหลักการใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีภายใต้รัฐธรรมนูญในอดีตที่ผ่านมาทั้ง 15 ฉบับ เช่น การมีองค์กรอิสระทางการเมือง ได้แก่ กกต. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกาสําหรับผู้ดํารง ตําแหน่งทางการเมือง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฯลฯ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองหรือที่เรียกว่าการเมืองภาคประชาชน เช่น การทําประชามติ การถอดถอนผู้ใช้อํานาจรัฐ การมีส่วนร่วมเสนอกฎหมายจากประชาชน เป็นต้น

3.3 Rebellion (กบฏ)

แนวคําตอบ

Rebellion (กบฏ) หมายถึง การยึดอํานาจที่ไม่สําเร็จ จึงเป็นผู้แพ้ มีความผิดตามที่ผู้ชนะ (รัฐบาลเวลานั้น) จะสั่งการด้วยวิธีใดก็ย่อมทําได้ เช่น จับติดคุก ประหารชีวิต เนรเทศออกนอกประเทศ เป็นต้น กบฏถือเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายไทย

ตัวอย่างเหตุการณ์กบฏในประเทศไทย เช่น

– ในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา เกิดกบฏ 3 ครั้ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการต้องการกลับไปใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก ได้แก่

1 “กบฏบวรเดช” นําโดยพลเอกพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช เกิดขึ้นวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476

2 “กบฏนายสิบ” นําโดยสิบเอกสวัสดิ์ มะหะหมัด เกิดขึ้นวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2478

3 “กบฎพระยาทรงสุรเดช” นําโดยพันเอกพระยาทรงสุรเดช เกิดขึ้นวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481

– ในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดกบฏ 2 ครั้ง คือ

1 “กบฏเมษาฮาวาย” หรือ “กบฏยังเตอร์ก” นําโดยพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา และกลุ่มทหารยังเตอร์ก เกิดขึ้นวันที่ 1 – 3 เมษายน พ.ศ. 2524

2 “กบฏไอ้โม่ง นัดแล้วไยไม่มา” นําโดยพันเอกมนูญ รูปขจร เกิดขึ้นวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528

3.4 Emergency Power (มาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษ)

แนวคําตอบ

Emergency Power (มาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษ) หมายถึง การใช้อํานาจพิเศษ โดยผู้ปกครอง ซึ่งอาจเป็นตําแหน่งประธานาธิบดีหรือตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ประเทศเกิดภาวะคับขัน หรือมีความวุ่นวายทางการเมืองซึ่งการใช้อํานาจดังกล่าวจะเป็นไปภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

การกําหนดมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษไว้ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะต้องบัญญัติอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้ผู้ใช้อํานาจลุแก่อํานาจ โดยจะต้องคํานึงถึงหลักการดังต่อไปนี้

1 นิยามคําว่า “สถานการณ์พิเศษ” ต้องชัดเจน ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้

2 ต้องมีองค์กรทําหน้าที่ควบคุมผู้ใช้อํานาจพิเศษ

3 เมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ ต้องยุติการใช้อํานาจพิเศษโดยพลัน

4 ต้องมีเงื่อนไขของการใช้อํานาจพิเศษ เพื่อป้องกันมิให้รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแปรสภาพเป็นระบอบอื่น

ตัวอย่างของประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่มีมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี โดยรัฐธรรมนูญของทั้ง 2 ประเทศได้ระบุนิยามของคําว่า “สถานการณ์พิเศษ” ไว้อย่างชัดเจน ระบุขอบเขตการใช้อํานาจของผู้นําไว้ชัดเจน ตลอดจนมีองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมผู้ใช้อํานาจพิเศษไว้ด้วย

สําหรับประเทศไทย การกําหนดมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษเคยมีปรากฏในรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการ เช่น มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2502 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นต้น แต่แนวความคิดเรื่องการกําหนดมาตราพิเศษในสถานการณ์พิเศษไว้ภายใต้บทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญไทย เป็นเรื่องที่แทบจะยอมรับไม่ได้เลย เพราะได้ติดกับภาพลักษณ์เก่า ๆ ของมาตรา 17 ด้วยเหตุนี้ เมื่อเกิดภาวะคับขันหรือความวุ่นวายทางการเมืองจึงมีเพียงแต่กองทัพเท่านั้นที่จะมาแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งเป็นภาพลบของบ้านเมือง โดยเฉพาะประชาคมโลกในปัจจุบันที่ต่อต้านการใช้วิธีการรุนแรงกับฝูงชนผู้มาชุมนุมประท้วง ในรูปแบบต่าง ๆ

3.5 Jury (คณะลูกขุน)

แนวคําตอบ

Jury (คณะลูกขุน) หมายถึง ประชาชนทั่วไป บุคคลธรรมดา หรือชาวบ้านธรรมดาที่ไม่จําเป็นต้องมีความรู้ทางด้านกฎหมาย แต่เป็นวิญญูชนที่มีความคิดเป็นปกติแบบคนทั่วไป ซึ่งได้รับคัดเลือกเพื่อเข้ามาเป็นคณะลูกขุนพิจารณาคดีความ โดยใช้สามัญสํานึกหรือความรู้สึกในการพิจารณา ดังนั้นคณะลูกขุนจึงอาจเป็นวิศวกร กรรมกร นักศึกษา หรือใครก็ได้ การตัดสินคดีความโดยใช้คณะลูกขุนนี้เป็นวิธีการทางศาลของกรีกโบราณที่ใช้ในนครรัฐเอเธนส์ ซึ่งในปัจจุบันมีประเทศที่ใช้คณะลูกขุนตัดสินคดี เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา สกอตแลนด์ เป็นต้น

กรณีสหรัฐอเมริกา จะมีการใช้คณะลูกขุนตัดสินคดีความทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา โดยจะมีการจัดทําบัญชีรายชื่อคณะลูกขุนจากผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อมีคดีขึ้นสู่ศาลก็จะมีการคัดเลือกคณะลูกขุนจากบัญชีรายชื่อที่จัดทําไว้ ซึ่งจํานวนของคณะลูกขุนจะถูกกําหนดตามกฎหมายของแต่ละมลรัฐ โดยส่วนใหญ่จะมีจํานวน 12 คน และเมื่อคัดเลือกคณะลูกขุนได้แล้ว คณะลูกขุนทั้งหมดก็จะถูกเก็บตัวทันที ห้ามติดต่อกับโลกภายนอก โดยรัฐบาลจะจัดสถานที่พักให้จนกว่าจะพิจารณาคดีเสร็จสิ้นหรือจนกว่าคดีจะสิ้นสุด

เมื่อได้คณะลูกขุนครบถ้วนแล้วจะมีการพิจารณาคดีสืบพยานทันที หลังจากสืบพยานทั้ง 2 ฝ่าย เรียบร้อยแล้ว คณะลูกขุนจะมีการประชุมลับเพื่อลงมติตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิดโดยไม่มีการให้เหตุผลใด ๆ ซึ่งจะใช้ เสียงข้างมากเป็นเอกฉันท์ การตัดสินของคณะลูกขุนถือว่าเป็นกฎหมาย เว้นแต่เป็นกรณีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายอย่างชัดเจน อาจมีการกลับคําตัดสินชี้ขาดได้โดยการร้องขออุทธรณ์

3.6 Amendment (การแก้ไขรัฐธรรมนูญ)

แนวคําตอบ

Amendment (การแก้ไขรัฐธรรมนูญ) หมายถึง เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้ใช้บังคับไปในระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ก็ควรจะมีการแก้ไข หมายความว่า อาจจะยกเลิกบางมาตรา หรือใส่เพิ่มเติมเข้าไปในมาตราที่ไม่เคยมีก็ได้ โดยหลักการทั่วไปมีอยู่ว่าอาจแก้ไขบางส่วน หรือแก้ไขทั้งฉบับก็ย่อมทําได้ นั่นคือ สามารถแก้ไขก็มาตราก็ได้ ภายใต้เงื่อนไขของเวลาที่กําหนด ทั้งนี้เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีความทันสมัย เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงของบ้านเมือง หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศและของโลกในเวลานั้น

การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบจารีตประเพณีไม่แตกต่างจากการแก้ไขกฎหมายธรรมดา คือ กฏข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของรัฐธรรมนูญ หากสภาออกกฎหมายยกเลิกก็เท่ากับเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษรจะแก้ไขได้ยากกว่า เพราะต้องมีกระบวนการ มีขั้นตอน เริ่มจากองค์กรที่มีอํานาจการเสนอญัตติขอแก้ไข องค์กรที่มีอํานาจในการพิจารณาในแต่ละวาระ และต้องใช้คะแนน เสียงข้างมากด้วย

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญของไทยจะมีการจํากัดอํานาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับที่ห้ามแก้ไขในเรื่องรูปแบบรัฐซึ่งเป็นแบบรัฐเดี่ยว (Unitary State) และรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยเด็ดขาด

สําหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของไทยในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2557 บัญญัติให้มติการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมาจากคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยจัดทําเป็น ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบ ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ มิได้ ซึ่งมติให้ความเห็นชอบต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

หลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายภายใน 15 วันนับแต่วันที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติ เพื่อพระมหากษัตริย์ ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนอง พระบรมราชโองการ

3.7 Referendum (ประชามติ)

แนวคําตอบ

Referendum (ประชามติ) หมายถึง การให้ประชาชนมาออกเสียงลงคะแนนว่ารับหรือไม่รับกฎหมายฉบับนั้น ซึ่งจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด หรือพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายธรรมดาก็ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าหากเสียงประชามติไม่รับมีมากกว่ารับหรือเรียกว่า “ประชามติไม่ผ่าน” ร่างกฎหมายฉบับนั้นก็ต้องตกไป แต่ถ้าเสียงประชามติรับมีมากกว่าไม่รับหรือเรียกว่า “ประชามติผ่าน” ร่างกฎหมายฉบับนั้นก็จะถูก นําไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่าผลประชามติจะออกมาอย่างไร หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติตามมตินั้นเสมอไป เพราะมีผลทางนิตินัย

กรณีประเทศไทย เริ่มมีการจัดทําประชามติครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 โดยผลประชามติออกมาว่ารับร่างรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ แล้วได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18

สําหรับประเทศที่ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับพระราชบัญญัติหรือกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติทุกฉบับ คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นประชาธิปไตย เกือบโดยตรง

3.8 Public Hearing (ประชาพิจารณ์)

แนวคําตอบ

Public Hearing (ประชาพิจารณ์) หมายถึง การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในเรื่องที่จะออกกฎหมายก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ซึ่งจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด หรือพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายธรรมดาก็ได้ ทั้งนี้ไม่ว่าผลประชาพิจารณ์จะออกมาอย่างไร หน่วยงานของรัฐ ก็ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามผลหรือข้อสรุปนั้นเสมอไป เพราะไม่มีผลทางนิตินัย

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย เช่น รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ได้กําหนดเรื่องการทําประชาพิจารณ์ไว้ 2 เรื่อง คือ

1 สิทธิชุมชน โดยกําหนดให้การดําเนินโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียก่อน

2 การทําหนังสือสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อประชาชน รัฐจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อ

ข้อ 1 “ประชาธิปไตย Democracy” มีหลักการสําคัญอย่างไร อธิบาย แนวคําตอบ (หน้า 48 – 50), (เอกสารหมายเลข P-2102 หน้า 9 – 12), (คําบรรยาย)

ระบอบการปกครองในปัจจุบัน มี 3 ระบอบ คือ

1 ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบอบราชาธิปไตย (Absolute Monarchy)

2 ระบอบอํานาจนิยม (Authontarianism) หรือระบอบเผด็จการ (Dictatorship) โดยแบ่งเป็น เผด็จการฝ่ายซ้าย เรียกว่า ระบอบคอมมิวนิสต์ และเผด็จการฝ่ายขวา เรียกว่า ระบอบฟาสซิสต์ (ทหาร)

3 ระบอบประชาธิปไตย (Democracy)

ในที่นี้จะอธิบายเฉพาะระบอบประชาธิปไตย

แนวคิดของระบอบประชาธิปไตย

1 ทฤษฎีอํานาจอธิปไตยของปวงชน (Popular Sovereignty) ของจอห์น ล็อค (John LOCK)

2 ทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) ของรุสโซ (Jean Jacques Roussean)

คําว่า “ประชาธิปไตย” (Democracy) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คํา คือ คําว่า “Demos” แปลว่า ประชาชน (People) ราษฎร หรือพลเมือง กับ คําว่า “Kratos, Kratien” แปลว่า ปกครอง (to Rule) หรืออํานาจ ดังนั้นความหมายของประชาธิปไตยจึงหมายถึง การปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรือ อํานาจอธิปไตย โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) แบบอิสรเสรี เสมอภาค และลงคะแนนลับ

หลักการสําคัญพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1 หลักอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย (อํานาจสูงสุด) เป็นของประชาชน การปกครอง ที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถือว่า อํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตเป็นของประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีวิธีการปกครองที่แสดงออกให้เห็นว่า ประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้ ตลอดจนสามารถ เปลี่ยนแปลงและถอดถอนรัฐบาลได้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือ เปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีได้ทุก 4 ปี หรือประชาชนญี่ปุ่นที่สามารถเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลในเวลาไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลักการอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนนี้ประชาชนต้องมี “อํานาจการตัดสินใจ ขั้นสุดท้าย” คือ ประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางนิติบัญญัติและบริหารของรัฐ และการตัดสินใจของ ประชาชนถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาด

2 หลักสิทธิ (Right) หน้าที่ (Duty) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชน เป็นหลักการที่ถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต่อมาถูกจํากัดโดยกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ของสังคมภายหลัง ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีกฎหมายเป็น หลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ เช่น การบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นด้านความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณา การรวมกลุ่มจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการใช้สิทธิ ทางการเมือง ซึ่งในกรณีของสิทธิเสรีภาพนี้มีข้อสังเกตก็คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่เป็นเสรีภาพ ที่จะทําอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต แต่เป็นเสรีภาพที่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายที่บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพ ของตนนั้นจะต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการจลาจล ซึ่งในหลักประกัน สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ นี้จะรวมทั้งความเสมอภาคทางการเมือง เพราะเสรีภาพที่ประชาชนมีเท่า ๆ กันก็จะก่อให้เกิด ความเสมอภาคทางการเมือง คือ การที่แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเท่า ๆ กัน โดยในระบอบประชาธิปไตยถือว่าแต่ละคนมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้ปกครอง หรือผู้แทน ประชาชนเท่ากันตามหลัก One Man One Vote และสําหรับหลักการนี้ยังจะต้องประกอบด้วย การที่ประชาชน จะต้องรู้จักหน้าที่ของพลเมืองในการดําเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น การมีหน้าที่ ในการเสียภาษีในอัตราที่เท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งอยู่ในเกณฑ์รายได้และสถานภาพอื่นพอ ๆ กัน

3 หลักกฎหมายสูงสุด หรือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติรัฐ หรือหลัก นิติธรรม (Rule of Law) การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ไม่ยึดตัวบุคคล แต่ยึดหลักการเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งหลักการอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบนี้ก็คือ การยึดถือกฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครอง ที่ถือว่าประชาชนเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน หรือเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติรัฐหรือ หลักนิติธรรมที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งหลักการสูงสุดของกฎหมายนี้ ยังรวมไปถึงการที่ศาลหรือกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีต่าง ๆ อันแสดงให้เห็นถึงว่า ศาลสามารถจะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือเป็นที่พึ่งของประชาชนภายในประเทศได้ นั่นคือ ในการตัดสินลงโทษจะใช้กระบวนการยุติธรรม มิใช่ตัดสินโดยบุคคลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ตลอดจนรวมถึงการมีหลักกฎหมายที่มีการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย โดยองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อ รัฐธรรมนูญนี้อาจจะเป็นองค์กรการเมือง ศาลยุติธรรมธรรมดาหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่แนวความคิดเห็นและประเพณีนิยมทางการเมืองของแต่ละประเทศ เพื่อให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญซึ่งวางหลักแห่งกฎหมายและหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้รับการปฏิบัติและเกิดผลอย่างจริงจัง

4 หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule) โดยคํานึงถึงเสียงข้างน้อย (Minority Right) หมายความว่า พรรคเสียงข้างมากทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาล และพรรคเสียงข้างน้อยทําหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ในระบอบประชาธิปไตยถือว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านมีความสําคัญเท่ากัน เพราะต่างก็เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประชาชนเช่นเดียวกัน และกลุ่มฝ่ายค้านก็สามารถเป็นรัฐบาลได้ในวันข้างหน้า นอกจากนี้คําว่าหลักเสียงข้างมาก ยังเป็นข้อยุติในปัญหาต่างๆ สําหรับระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย ดังนั้นการตัดสินใจทั้งหลายของรัฐบาลใน ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องใช้หลักการเสียงข้างมาก เพราะถือว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลอยู่ในตัว และเสียงการตัดสินใจ โดยคนหมู่มากนั้นย่อมถูกต้องกว่าการตัดสินใจโดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันการใช้เสียงข้างมากก็จะ คํานึงถึงเสียงข้างน้อยด้วย โดยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อย รวมทั้งยังยอมรับให้ฝ่ายเสียงข้างน้อย ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการของตนด้วย โดย

5 หลักสันติวิธี เป็นหลักการที่เชื่อว่าพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยรู้จักใช้เหตุผล ไม่ทําอะไรตามอารมณ์และความรู้สึก และไม่ทําอะไรเอาแต่ใจตนเองโดยไม่คํานึงถึงคนอื่น นอกจากนี้ยังยอมรับว่าคนเรา จะเหมือนกันไม่ได้ อาจมีการขัดแย้ง ต้องมีการเจรจา และประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยจึงดําเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ โดยสันติวิธีด้วยการไม่ใช้กําลังความรุนแรง เช่น การเจรจา การประนีประนอม การใช้กลไกการเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในทุก ๆ กลุ่ม ป้องกันการสูญเสียเลือดเนื้อและบาดเจ็บล้มตาย

โดยสรุปแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ถือหลักการว่าประชาชน เป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยในการดําเนินการปกครองประเทศ โดยตั้งอยู่บนหลักการสําคัญพื้นฐาน อย่างน้อย 5 ประการดังกล่าว

การปกครองดังกล่าวนี้ได้มีวิธีการปกครองที่หลายประเทศนําไปกําหนดเป็นรูปแบบการ ปกครองของประเทศตน ซึ่งรูปแบบของระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ หรือ 3 ระบบ ได้แก่

1 ระบบรัฐสภา (Parliamentarianism/Parliamentary System) โดยมีประเทศอังกฤษเป็นแม่แบบ

2 ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ

3 ระบบกึ่งประธานาธิบดี-ถึงรัฐสภา (Semi-Presidential and Semi-Parliamentary System) โดยมีประเทศฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ

กรณีประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น 18 ฉบับ โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 (ฉบับปัจจุบัน) คือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับกําหนดให้ใช้รูปแบบของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ

หมายเหตุ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 (ฉบับที่ 16) และรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 (ฉบับที่ 18) เป็นประชาธิปไตยแบบสวิตเซอร์แลนด์ คือ เป็นประชาธิปไตยการเมืองภาคพลเมือง เช่น มีประชามติ หรือมติมหาชน (Referendum) ส่วนฉบับอื่น ๆ นั้น บางฉบับอาจมีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ๆ หรือ ถึงเผด็จการ เรียกว่า Authoritarian Democracy

 

ข้อ 2 อธิบายการเมืองระบบรัฐสภา (Parliamentary System)

แนวคําตอบ

ระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ หรือ 3 ระบบ ได้แก่

1 ระบบรัฐสภา (Parliamentarianism/Parliamentary System) โดยมีประเทศอังกฤษเป็นแม่แบบ

2 ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ

3 ระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา (Semi-Presidential and Semi-Parliamentary System) โดยมีประเทศฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ

ในที่นี้จะอธิบายเฉพาะระบบรัฐสภา

การเมืองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือการเมืองระบบแบ่งแยกอํานาจผ่อนคลาย เป็นรูปแบบของการเมืองที่อังกฤษเป็นแม่แบบที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก” ซึ่งในการเมืองระบบนี้จะถือว่า รัฐสภาเป็นองค์กรการเมืองที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้วรัฐบาลที่ปกครองและบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงานด้วยความรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั่นเอง

ขั้นตอน/กระบวนการของการเมืองระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2 สภาผู้แทนราษฎรประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี

3 นายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะรัฐมนตรี

4 คณะรัฐมนตรีเสนอนโยบายรัฐบาลให้รัฐสภาเห็นชอบ

5 ครบวาระเลือกตั้งใหม่ หรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการเมืองระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 อํานาจอธิปไตยแยกตามหน้าที่ กล่าวคือ อํานาจรัฐไม่ได้รวมไว้ในองค์กรเดียว แต่มีการแยกให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ เช่น อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติใช้โดย ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล เป็นต้น

2 การแยกอํานาจไม่แยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่าย ให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3 อํานาจที่แบ่งแยกนี้จะมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้ มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการเมืองระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่า พระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่งประมุข ฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2 ประมุขของรัฐมีลักษณะสําคัญคือ มีสถานะเป็นกลางทางการเมือง หรือไม่ต้องรับผิดชอบ ทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐไม่อาจถูกถอดถอนออกจากตําแหน่ง จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เองที่ทําให้กิจกรรมใด ๆ ของประมุขของรัฐต้องมีการลงนาม กํากับหรือลงนามรับสนองพระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบใน กิจกรรมนั้น ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎร

3 ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) หรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้น จะต้องเสนอนโยบายเพื่อขอความไว้วางใจหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจทําให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลต้องออกจากตําแหน่งได้ โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะนายกรัฐมนตรีก็ได้

5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามเพื่อควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล

6 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล

7 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการกระทําของฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาล

8 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการถ่วงดุล กับฝ่ายนิติบัญญัติ

9 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติได้เช่นเดียวกันกับสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร

10 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ

11 ศาลและผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การเมืองระบบรัฐสภาดังกล่าวนี้จะมีเสถียรภาพและดําเนินไปได้ด้วยดีก็ขึ้นอยู่กับการมีระบบ พรรคการเมืองใหญ่และเป็นระบบ 2 พรรค จึงจะทําให้การเมืองของประเทศมีเสถียรภาพ และรัฐบาลสามารถบริหาร ประเทศได้ครบวาระสมัย

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองระบบรัฐสภา ได้แก่ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี สเปน กรีซ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เป็นต้น

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษายกประเด็นสําคัญในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มา 15 ประเด็น

แนวคําตอบ (หน้า 107 – 243), (เอกสารหมายเลข P-2102 หน้า 51 – 57), (คําบรรยาย)

ในทุกประเทศหรือทุกรัฐที่มีการเมืองการปกครอง จะต้องมีกติกา หลักเกณฑ์ ระเบียบ หรือข้อบังคับที่ใช้ในการปกครองประเทศ ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีการปกครองระบอบใดก็ตาม ซึ่งกติกา หลักเกณฑ์ ระเบียบ หรือข้อบังคับในการปกครองประเทศนั้น ในหลักรัฐศาสตร์จะเรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” เสมอ รัฐธรรมนูญจึงเปรียบเสมือน เป็นกฎหมายหรือกติกาข้อตกลงของผู้มีอํานาจที่ตกลงกันและยอมรับให้มีการบังคับใช้ในประเทศ เพื่อให้การดําเนินการ ทางการเมืองการปกครองเป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่เกิดการแย่งชิง หรือการจลาจลใช้กําลังตัดสินช่วงชิงอํานาจกันในการเป็นรัฐบาล และเพื่อให้การเมืองการปกครองประเทศเป็นไปโดยราบรื่น

บทบัญญัติต่าง ๆ ที่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยทั่วไปแล้วเราจะพบบทบัญญัติข้อบังคับ 2 ประเภท คือ

1 บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบอํานาจการเมืองการปกครองโดยตรง โดยกําหนดว่า อํานาจนั้นเป็นของใครมาจากไหน กําหนดวิธีการที่ผู้ปกครองจะเข้ามาปกครองประเทศรวมถึงการสิ้นสุดและการสืบต่ออํานาจ

2 บทบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการจัดระเบียบอํานาจการเมืองการปกครองโดยตรง แต่เกี่ยวกับการรับรู้สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ของราษฎร เช่น การประกาศรับรู้ในเสรีภาพด้านต่าง ๆ ประเทศที่มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยจะมีการประกาศเสรีภาพเหล่านี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ทั้งสิ้น 18 ฉบับ โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 คือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน) นับเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกที่ได้ผ่านการออกเสียงประชามติ (Referendum) จากประชาชนทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18

สาระสําคัญของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 นี้จะแบ่งออกเป็น 15 หมวด ซึ่งมีความยาวทั้งหมด 309 มาตรา และมีบทเฉพาะกาล แต่ในที่นี้จะขอหยิบยกประเด็นหรือสาระสําคัญเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว มาเพียง 15 ประเด็น ดังนี้

1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกมิได้ นั่นหมายความว่า ประเทศไทย มีรูปแบบรัฐเป็นแบบรัฐเดี่ยว (มาตรา 1)

2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (มาตรา 2)

3 อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม (มาตรา 3)

4 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ (มาตรา 6)

5 พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ (มาตรา 8) 6 ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคมมิได้ ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือ ถือหุ้นแทน หรือจะดําเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทํานองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว (มาตรา 48)

7 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่าง ทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย (มาตรา 49)

8 ผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (มาตรา 51)

9 บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (มาตรา 72)

10 รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา (มาตรา 88 และ 89)

11 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจํานวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจํานวน 125 คน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 93)

12 วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวนรวม 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน และมาจากการสรรหาเท่ากับจํานวนรวมข้างต้นหักด้วยจํานวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีการเพิ่มหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วย สมาชิกเท่าที่มีอยู่ (มาตรา 111)

13 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในหมวดสิทธิและเสรีภาพ และหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ (มาตรา 163)

14 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลผู้ใช้อํานาจรัฐซึ่งได้แก่ ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธาน ศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด ฯลฯ ออกจากตําแหน่งได้ (มาตรา 164 และ 270)

15 ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมาจาก (มาตรา 291 (1)

1) คณะรัฐมนตรี

2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา (สมาชิกรัฐสภา) จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

4) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน

การมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรของไทยตั้งแต่ฉบับแรกเรื่อยมาจนถึงฉบับปัจจุบันนั้น การกําหนดเกี่ยวกับอํานาจอธิปไตยว่า “เป็นของปวงชน” หรือ “มาจากปวงชน” ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของทฤษฎีเสียมากกว่า เพราะประชาชนไม่เคยได้รับ “อํานาจตัดสินใจสุดท้าย” ตราบใดที่ประเทศเราไม่ได้เป็นสังคมแบบ อนาธิปไตย (Anarchy) กฎหมายทุกประเภทก็ยังคงเป็นเรื่องของการบังคับใช้ฝ่ายเดียว ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติอื่น ๆ

 

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อ

ข้อ 1 อธิบายเรื่องรูปแบบของรัฐมาให้เข้าใจ กรณีประเทศไทยภายใต้รัฐธรรมนูญทุกฉบับใช้รูปแบบรัฐในแบบใด

แนวคําตอบ (หน้า 5 – 9, 12, 31), (คําบรรยาย)

รัฐธรรมนูญของทุกประเทศจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ กําหนดรูปแบบการปกครองและรูปแบบของรัฐไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ เพื่อเป็นการกําหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของการจัดโครงสร้างทางการเมืองการปกครองภายใต้อุดมการณ์ที่พึงประสงค์ และเพื่อจัดระเบียบการปกครองของจังหวัดต่าง ๆ ที่มารวมอยู่เป็นประเทศนั้น ๆ

ในทางรัฐศาสตร์ รูปแบบของรัฐแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1 รัฐเดี่ยว (Unitary State)

2 รัฐรวม (Compound State) แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบย่อย คือ

2.1 สมาพันธรัฐ (Confederation State)

2.2 สหพันธรัฐ (Federation State)

คําอธิบายถึงลักษณะของแต่ละรูปแบบของรัฐ กล่าวคือ

1 รัฐเดี่ยว (Unitary State)

หลักเกณฑ์หรือลักษณะสําคัญของรัฐเดี่ยว มีดังนี้

1 อํานาจบริหาร รัฐเดี่ยวจะมีการรวมศูนย์อํานาจ (Centralization) ทางการเมืองการปกครอง อยู่ที่ส่วนกลางหรือเมืองหลวงหรือรัฐบาลของประเทศเพียงแห่งเดียว โดยมีการรวมเอาคําสั่ง คําบังคับบัญชา และ คําวินิจฉัยไว้ที่ส่วนกลาง หรืออํานาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของหน่วยงานที่สําคัญ เช่น กระทรวงต่าง ๆ) กําลังทหาร และตํารวจจะอยู่ที่ส่วนกลาง

2 อํานาจนิติบัญญัติ รัฐเดี่ยวในการบัญญัติกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภาจะมีผลบังคับใช้กับพลเมืองหรือประชาชนทั้งประเทศ กล่าวคือ ทุกจังหวัดทั่วประเทศจะใช้กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาเหมือนกันหมด เพราะการออกกฎหมายโดยผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งไม่ใช่กฎหมายที่นํามาใช้บังคับแต่ในจังหวัดของ ผู้แทนนั้น ๆ แต่ถือว่าร่วมกันเสนอกฎหมาย และมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ

3 การปกครองส่วนภูมิภาคอันหมายถึงจังหวัดต่าง ๆ นั้น อํานาจยังขึ้นตรงต่อส่วนกลาง ดังจะเห็นได้จากตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย

4 การปกครองส่วนท้องถิ่นในยุคปัจจุบัน อาจได้รับการกระจายอํานาจจากส่วนกลางมากขึ้น แต่ก็ยังขึ้นต่อส่วนกลาง กล่าวคือ ในรัฐเดี่ยวอาจมีการกระจายอํานาจ แต่การกระจายอํานาจจะไม่มาก จนทําให้ท้องถิ่นเป็นอิสระ

ตัวอย่างประเทศที่ใช้รูปแบบรัฐเดี่ยว ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ตุรกี และสาธารณรัฐอาหรับแห่งอียิปต์ เป็นต้น

2 รัฐรวม (Compound State)

รัฐรวม เป็นการรวมรัฐต่าง ๆ มารวมกันเพื่อให้เป็นรัฐขนาดใหญ่ เพื่อจะได้มีพลังอํานาจใน การต่อรอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบย่อย คือ

1 การรวมรัฐในลักษณะสมาพันธรัฐ เป็นการรวมรัฐอย่างหลวม ๆ โดยแต่ละรัฐยังคงมีอํานาจอธิปไตยของรัฐอยู่

2 การรวมรัฐในลักษณะสหพันธรัฐที่เรียกว่า “สหรัฐ” เป็นการรวมรัฐต่าง ๆ โดยการมอบอํานาจอธิปไตยบางส่วนของรัฐสมาชิกให้กับรัฐบาลกลาง โดยรัฐบาลกลางมักจะได้รับมอบอํานาจอธิปไตย ในเรื่องที่สําคัญ ๆ ดังนี้

(1) การติดต่อต่างประเทศ

(2) กําลังทางทหารในการป้องกันประเทศ

(3) สกุลเงินตราของประเทศ

ตัวอย่างประเทศที่เคยใช้รูปแบบสมาพันธรัฐในอดีต แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบสหพันธรัฐแล้ว ได้แก่ สมาพันธรัฐอเมริกา (ค.ศ. 1776 – 1787) สมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ (ค.ศ. 1815 – 1848) และสมาพันธรัฐเยอรมนี (ค.ศ. 1815 – 1866)

ในปัจจุบันเนื่องจากรูปแบบสมาพันธรัฐได้ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงทําให้รัฐรวมคงมีแต่รูปแบบ สหพันธรัฐเท่านั้น

การรวมตัวของรัฐต่าง ๆ เพื่อเป็นรัฐรวมในรูปแบบสหพันธรัฐนั้น มักจะรวมกันโดยมีรัฐธรรมนูญ เป็นกติกาทางการเมืองที่ตกลงร่วมกันในการก่อตั้งเป็นสหพันธรัฐ สําหรับดินแดนหรือรัฐที่มารวมกันเป็นสมาชิกของ สหพันธรัฐนั้น อาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น ในประเทศแคนาดา แอฟริกาใต้ และอาร์เจนตินา เรียกว่า Province (มณฑล), ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เรียกว่า Canton (ก๊งตอง), ในอดีตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เรียกว่าLander (มลรัฐ) นอกนั้นก็เรียกกันว่า “รัฐ” (State) ทั้งสิ้น เช่น ในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย มาเลเซีย เป็นต้น

หลักเกณฑ์หรือลักษณะสําคัญของสหพันธรัฐ มีดังนี้

1 อํานาจบริหาร สหพันธรัฐจะมีการกระจายอํานาจปกครอง (Decentralization) รัฐบาลกลางจะเป็นผู้ใช้อํานาจอธิปไตยภายนอกและสงวนอํานาจที่สําคัญไว้ เช่น อํานาจในเรื่องการทหาร การต่างประเทศ และการคลัง ในขณะที่รัฐต่าง ๆ หรือจังหวัดต่าง ๆ หรือมลรัฐต่าง ๆ หรือทั้งตองต่าง ๆ (แล้วแต่จะเรา ของแต่ละประเทศเหล่านั้น) ก็มีอํานาจอธิปไตยภายในเกือบจะสมบูรณ์ โดยมีอํานาจในการปกครองตนเอง มีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐโดยตรงจากประชาชน มีอํานาจในการออกกฎหมาย อํานาจบริหาร และอํานาจตุลาการภายในรัฐของตน

2 อํานาจนิติบัญญัติ แต่ละรัฐสามารถมีกฎหมายของตนเองได้ กล่าวคือ แต่ละรัฐมีอํานาจในการออกกฎหมายขึ้นบังคับใช้ได้เอง ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกันในแต่ละรัฐ (ตัวอย่างเช่น บางรัฐอาจห้ามดื่มเหล้า ห้ามสูบบุหรี่) ทั้งนี้กฎหมายของแต่ละรัฐจะขัดกับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดไม่ได้ โดยจะมีองค์กรตรวจสอบกฎหมายไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ (ประเทศเยอรมนีให้ศาลรัฐธรรมนูญทําหน้าที่นี้ ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกาจะให้ศาลยุติธรรมมาทําหน้าที่นี้)

3 รัฐสภาจะเป็นระบบสภาคู่หรือระบบสองสภา (Bicameral System) เสมอ คือ ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา โดยสภาที่สองหรือวุฒิสภาจะทําหน้าที่เป็นสภาผู้แทนของรัฐ ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา สภาผู้แทนของรัฐคือ สภาซีเนต (Senate) มาจากการเลือกตั้งทั้ง 50 รัฐ รัฐละ 2 คน รวมเป็น 100 คน, ในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สภาผู้แทนของรัฐคือ สภาบุนเดสรัต (Bundesrat) มาจากการเลือกตั้ง ทั้ง 16 มลรัฐ แต่ละมลรัฐมีจํานวนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กของมลรัฐ โดยกําหนดว่า มลรัฐหนึ่ง มีได้ระหว่าง 3 – 6 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งทั้ง 16 มลรัฐ รวมเป็น 68 คน

4 อํานาจของส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นจะเป็นไปตามหลักที่ว่า อํานาจของรัฐสมาชิกเป็น อํานาจหลัก ส่วนอํานาจของรัฐบาลกลางเป็นอํานาจที่กําหนดให้ ซึ่งถือว่าตรงข้ามกับรูปแบบรัฐเดียว

ตัวอย่างประเทศที่ใช้รูปแบบสหพันธรัฐในปัจจุบัน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สมาพันธรัฐ สวิตเซอร์แลนด์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี แคนาดา มาเลเซีย อินเดีย เป็นต้น

การที่รัฐธรรมนูญของประเทศหนึ่งประเทศใดจะกําหนดให้ใช้รูปแบบรัฐเดียวหรือรูปแบบ สหพันธรัฐนั้น ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของภูมิประเทศที่มีขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก และความพร้อมในการถูกเก็บภาษี เพื่อนํามาเลี้ยงตัวเองภายในท้องถิ่น และความรู้ทางด้านการเมืองการปกครองของประชาชนในประเทศนั้น ๆ

กรณีประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ ลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น 18 ฉบับ ซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับกําหนดให้ใช้รูปแบบรัฐเป็นแบบรัฐเดียว (Unitary State) โดยบัญญัติว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกมิได้” ยกเว้นพระราชบัญญัติธรรมนูญ การปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ที่มิได้กําหนดเรื่องรูปแบบของรัฐไว้ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญทุกฉบับยังกําหนดรูปแบบการปกครองไว้ว่า “ให้ใช้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โดยรัฐธรรมนูญทุกฉบับห้ามเปลี่ยนแปลง แก้ไขรูปแบบของรัฐและรูปแบบการปกครองโดยเด็ดขาด

 

ข้อ 2 อธิบายหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาให้เข้าใจ กรณีประเทศไทยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันใช้รูปแบบของระบอบประชาธิปไตยในระบบใด

แนวคําตอบ (หน้า 48 – 50), (เอกสารหมายเลข P-2102 หน้า 9 – 12), (คําบรรยาย)

ระบอบการปกครองในปัจจุบัน มี 3 ระบอบ คือ

1 ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบอบราชาธิปไตย (Absolute Monarchy)

2 ระบอบอํานาจนิยม (Authoritarianism) หรือระบอบเผด็จการ (Dictatorship) โดยแบ่งเป็น เผด็จการฝ่ายซ้าย เรียกว่า ระบอบคอมมิวนิสต์ และเผด็จการฝ่ายขวา เรียกว่า ระบอบฟาสซิสต์ (ทหาร)

3 ระบอบประชาธิปไตย (Democracy)

ในที่นี้จะอธิบายเฉพาะระบอบประชาธิปไตย

แนวคิดของระบอบประชาธิปไตย

1 ทฤษฎีอํานาจอธิปไตยของปวงชน (Popular Sovereignty) ของจอห์น ล็อค (John Locke)

2 ทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) ของรุสโซ (Jean Jacques Roussean)

คําว่า “ประชาธิปไตย” (Democracy) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คํา คือ คําว่า “Demos” แปลว่า ประชาชน (People) ราษฎร หรือพลเมืองกับคําว่า “Kratos, Kratien” แปลว่า ปกครอง (to Rule) หรืออํานาจ ดังนั้นความหมายของประชาธิปไตยจึงหมายถึง การปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) แบบอิสรเสรี เสมอภาค และลงคะแนนลับ

หลักการสําคัญพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1 หลักอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย (อํานาจสูงสุด) เป็นของประชาชน การปกครองที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถือว่าอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีวิธีการปกครองที่แสดงออกให้เห็นว่าประชาชน สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้ ตลอดจนสามารถเปลี่ยนแปลง และถอดถอนรัฐบาลได้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือเปลี่ยนแปลง ประธานาธิบดีได้ทุก 4 ปี หรือประชาชนญี่ปุ่นที่สามารถเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลในเวลาไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลักการอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนนี้ประชาชนต้องมี “อํานาจการตัดสินใจขั้นสุดท้าย” คือ ประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางนิติบัญญัติและบริหารของรัฐ และการตัดสินใจของประชาชนถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาด

2 หลักสิทธิ (Right) หน้าที่ (Duty) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality)ของประชาชน

เป็นหลักการที่ถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต่อมาถูกจํากัดโดยกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ของสังคมภายหลัง ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีกฎหมายเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ เช่น การบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรืองเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็น ด้านความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณา การรวมกลุ่มจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการใช้สิทธิ ทางการเมือง ซึ่งในกรณีของสิทธิเสรีภาพนี้มีข้อสังเกตก็คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่เป็นเสรีภาพ ที่จะทําอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต แต่เป็นเสรีภาพที่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายที่บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพ ของตนนั้นจะต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการจลาจล ซึ่งในหลักประกันสิทธิ เสรีภาพต่าง ๆ นี้จะรวมทั้งความเสมอภาคทางการเมือง เพราะเสรีภาพที่ประชาชนมีเท่า ๆ กันก็จะก่อให้เกิด ความเสมอภาคทางการเมือง คือ การที่แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเท่า ๆ กัน โดยในระบอบประชาธิปไตยถือว่าแต่ละคนมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้ปกครอง หรือผู้แทน ประชาชนเท่ากันตามหลัก One Man One Vote และสําหรับหลักการนี้ยังจะต้องประกอบด้วย การที่ประชาชน จะต้องรู้จักหน้าที่ของพลเมืองในการดําเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น การมีหน้าที่ ในการเสียภาษีในอัตราที่เท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งอยู่ในเกณฑ์รายได้และสถานภาพอื่นพอ ๆ กัน

3 หลักกฎหมายสูงสุด หรือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติรัฐ หรือ หลักนิติธรรม (Rule of Law) การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ไม่ยึดตัวบุคคล แต่ยึดหลักการ เป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งหลักการอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบนี้ก็คือ การยึดถือกฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครอง ที่ถือว่าประชาชนเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน หรือเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติรัฐห อ หลักนิติธรรมที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งหลักการสูงสุดของกฎหมายนี้ ยังรวมไปถึงการที่ศาลหรือกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีต่าง ๆ อันแสดงให้เห็นถึงว่า ศาลสามารถจะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือเป็นที่พึ่งของประชาชนภายในประเทศได้ นั่นคือ ในการตัดสินลงโทษจะใช้กระบวนการยุติธรรม มิใช่ตัดสินโดยบุคคลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ตลอดจนรวมถึงการ มีหลักกฎหมายที่มีการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย โดยองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัด ต่อรัฐธรรมนูญนี้อาจจะเป็นองค์กรการเมือง ศาลยุติธรรมธรรมดาหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่แนวความคิดเห็นและประเพณีนิยมทางการเมืองของแต่ละประเทศ เพื่อให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญซึ่งวางหลักแห่งกฎหมายและหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้รับการปฏิบัติและเกิดผลอย่างจริงจัง

4 หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule) โดยคํานึงถึงเสียงข้างน้อย (Minority Right) หมายความว่า พรรคเสียงข้างมากทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาล และพรรคเสียงข้างน้อยทําหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ในระบอบประชาธิปไตยถือว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านมีความสําคัญเท่ากัน เพราะต่างก็เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนเช่นเดียวกัน และกลุ่มฝ่ายค้านก็สามารถเป็นรัฐบาลได้ในวันข้างหน้า นอกจากนี้คําว่า หลักเสียงข้างมากยังเป็นข้อยุติในปัญหาต่าง ๆ สําหรับระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย ดังนั้นการตัดสินใจทั้งหลาย ของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องใช้หลักการเสียงข้างมาก เพราะถือว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลอยู่ในตัว และเสียงการตัดสินใจโดยคนหมู่มากนั้นย่อมถูกต้องกว่าการตัดสินใจโดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันการใช้ เสียงข้างมากก็จะคํานึงถึงเสียงข้างน้อยด้วย โดยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อย รวมทั้งยังยอมรับให้ ฝ่ายเสียงข้างน้อยได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการของตนด้วย

5 หลักสันติวิธี เป็นหลักการที่เชื่อว่าพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยรู้จักใช้เหตุผล ไม่ทําอะไรตามอารมณ์และความรู้สึก และไม่ทําอะไรเอาแต่ใจตนเองโดยไม่คํานึงถึงคนอื่น นอกจากนี้ยังยอมรับว่า คนเราจะเหมือนกันไม่ได้ อาจมีการขัดแย้ง ต้องมีการเจรจา และประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงดําเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ โดยสันติวิธีด้วยการไม่ใช้กําลังความรุนแรง เช่น การเจรจา การประนีประนอม การใช้กลไกการเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในทุก ๆ กลุ่ม ป้องกันการสูญเสียเลือดเนื้อและบาดเจ็บล้มตาย

โดยสรุปแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ถือหลักการว่าประชาชน เป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยในการดําเนินการปกครองประเทศ โดยตั้งอยู่บนหลักการสําคัญพื้นฐาน อย่างน้อย 5 ประการดังกล่าว

การปกครองดังกล่าวนี้ได้มีวิธีการปกครองที่หลายประเทศนําไปกําหนดเป็นรูปแบบการปกครอง ของประเทศตน ซึ่งรูปแบบของระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ หรือ 3 ระบบ ได้แก่

1 ระบบรัฐสภา (Parliamentarianism/Parliamentary System) โดยมีประเทศอังกฤษเป็นแม่แบบ

2 ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ

3 ระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา (Semi-Presidential and Semi-Parliamentary System) โดยมีประเทศฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ

กรณีประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ ลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น 18 ฉบับ โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 (ฉบับปัจจุบัน) คือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ทั้งนี้รัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับกําหนดให้ใช้รูปแบบของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ

หมายเหตุ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 (ฉบับที่ 16) และรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 (ฉบับที่ 18) เป็นประชาธิปไตยแบบสวิตเซอร์แลนด์ คือ เป็นประชาธิปไตยการเมืองภาคพลเมือง เช่น มีประชามติหรือมติมหาชน (Referendum) ส่วนฉบับอื่น ๆ นั้น บางฉบับอาจมีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ๆ หรือกึ่งเผด็จการ เรียกว่า Authoritarian Democracy

 

ข้อ 3 อธิบายศัพท์เทคนิคทางรัฐศาสตร์ต่อไปนี้

การศึกษาวิชาหลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมืองนั้น มีศัพท์ทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับวิชานี้ที่ นักศึกษาควรทราบตามหลักวิชารัฐศาสตร์ ดังต่อไปนี้

3.1 Civil War

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Civil War สงครามกลางเมือง) หมายถึง สงครามที่เกิดจากการต่อสู้ด้วยกําลังอาวุธของกลุ่มต่าง ๆ ในรัฐเดียวกันที่มีความคิดเห็น ค่านิยม ความเชื่อ ศาสนา หรือเชื้อชาติต่างกัน หรือมีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน

ตัวอย่างสงครามกลางเมืองที่สําคัญ เช่น

– สงครามกลางเมืองกรีก (431 – 404 B.C.) ระหว่างเอเธนส์กับสปาร์ตา

– สงครามกลางเมืองอเมริกา (ค.ศ. 1861 – 1865) ระหว่างรัฐเหนือกับรัฐใต้

– สงครามกลางเมืองสเปน (ค.ศ.1936 1939) ระหว่างฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายต่อต้านสาธารณรัฐสเปนที่ 2

ฯลฯ

3.2 Uprising

แนวคําตอบ (หน้า 97), (เอกสารหมายเลข P-2102 หน้า 25), (คําบรรยาย)

Uprising (การจลาจลทางการเมือง) หมายถึง การที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อต้าน (Standing up against) ผู้ปกครอง/ผู้ใช้อํานาจรัฐ หรือรัฐธรรมนูญในเวลานั้น โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามา เกี่ยวข้องแต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์เท่านั้น ซึ่งจะนําโดยกลุ่มปัญญาชน นิสิต นักศึกษา และนักวิชาการ จากนั้น ประชาชนบางกลุ่มก็จะเข้ามาร่วมสนับสนุนในอุดมการณ์นั้น และเมื่อรัฐบาลยอมทําตามอุดมการณ์ที่กลุ่มต้องการ แล้วก็จะยุติการจลาจลลง

ตัวอย่างเหตุการณ์การจลาจลทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมี 2 ครั้ง คือ

– เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเรียกว่า “วันมหาวิปโยค”

– เหตุการณ์วันที่ 17 – 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ในสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูรเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “พฤษภาทมิฬ”

 

3.3 Coup d’e tat

แนวคําตอบ (หน้า 64), (เอกสารหมายเลข P-2102 หน้า 25), (คําบรรยาย)

Coup d’e tat (การทํารัฐประหาร) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ โดยบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งปราศจากการมีส่วนร่วมจากประชาชน เป็นการเปลี่ยนมือผู้ใช้อํานาจรัฐหรือผู้ใช้อํานาจปกครองหรือเปลี่ยน ตัวบุคคลเท่านั้น แต่ระบบเศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างทางการเมือง และอุดมการณ์ทางการเมืองยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง จึงถือว่าขาดหลักความชอบธรรม (Legitimacy)

จะเห็นได้ว่าประเทศกําลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยและประเทศด้อยพัฒนา ผู้นําของประเทศ นิยมแย่งชิงอํานาจกันเองด้วยวิธีการทํารัฐประหาร โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย ผู้ยึดอํานาจมักเป็นทหารและภายหลังยึดอํานาจเสร็จแล้ว ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างทางสังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทางการเมือง ก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตัวผู้ใช้อํานาจรัฐเท่านั้น

กรณีประเทศไทย นับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า มีการยึดอํานาจรัฐด้วยกําลังบ่อยครั้ง ซึ่งมีทั้งกระทําสําเร็จและไม่สําเร็จ การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จของไทยเกือบ ทุกครั้งเรียกว่า “รัฐประหาร” เพราะเป็นการแย่งชิงอํานาจกันเองในหมู่ผู้ปกครอง แต่ผู้ยึดอํานาจจะเรียกตัวเองว่า “คณะปฏิวัติ”

สําหรับการทํารัฐประหารครั้งล่าสุดของไทยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ภายใต้การนําของ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้ทําการยึดอํานาจจากรัฐบาลรักษาการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540

3.4 Revolution

แนวคําตอบ (หน้า 64), (เอกสารหมายเลข P-2102 หน้า 24 – 25), (คําบรรยาย)

Revolution (การปฏิวัติ) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง ทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทางการเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสังคมแบบใหม่ สร้างกฎหมายใหม่ และเพื่อสนองอุดมการณ์แบบใหม่ ซึ่งมีหลักการที่สั้นที่สุดก็คือ “สิ่งที่เคยถูกต้องและดีงามในอดีต หรือสิ่งที่ถูกต้องในวันนี้ ไม่จําเป็นเสมอไปที่จะต้องเป็นหลักสัจธรรมสําหรับปัจจุบันหรืออนาคต” แต่การปฏิวัติที่จะเกิดความชอบธรรม (Legitimacy) จะต้องมีประชาชนเข้าร่วมอยู่ด้วยพร้อมกับผู้นํา

ตัวอย่างของการปฏิวัติใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกที่อาจกล่าวได้ว่ามีความชอบธรรม ได้แก่

– การปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789

– การปฏิวัติในรัสเซีย ค.ศ. 1917

– การปฏิวัติในจีน ค.ศ. 1949

กรณีประเทศไทย การยึดอํานาจรัฐที่พอจะอนุโลมให้เรียกว่า “การปฏิวัติ” นั้นมีเพียงครั้งเดียว คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพราะเป็นเหตุการณ์ที่คณะราษฎรได้ทําการ ยึดอํานาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองใหม่จาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (Democracy) ในระบบรัฐสภา แบบอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้มีประชาชนเข้าร่วมด้วย

สําหรับเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นี้ ไม่ใช่การทํารัฐประหาร และก็ไม่ใช่การปฏิวัติโดยสิ้นเชิง แต่ที่ถูกต้องทางรัฐศาสตร์ควรเรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475” ซึ่ง 1 ในคณะราษฎร หรือผู้ก่อการคือ นายปรีดี พนมยงค์ เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “การอภิวัตน์การปกครอง พ.ศ. 2475”

3.5 Amendment

แนวคําตอบ (หน้า 30 – 31), (คําบรรยาย)

Amendment (การแก้ไขรัฐธรรมนูญ) หมายถึง เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้ใช้บังคับไปในระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ก็ควรจะมีการแก้ไข หมายความว่า อาจจะยกเลิกบางมาตรา หรือใส่เพิ่มเติมเข้าไป ในมาตราที่ไม่เคยมีก็ได้โดยหลักการทั่วไปมีอยู่ว่าอาจแก้ไขบางส่วน หรือแก้ไขทั้งฉบับก็ย่อมทําได้ นั่นคือ สามารถแก้ไขกี่มาตราก็ได้ ภายใต้เงื่อนไขของเวลาที่กําหนด ทั้งนี้เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีความทันสมัย เหมาะสมกับสภาพ ความเป็นจริงของบ้านเมือง หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศและของโลกในเวลานั้น

บางคนโดยทั่วไปแล้ว รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเกือบทุกประเทศในโลกจะมีหมวดว่าด้วยการแก้ไข บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญของไทยจะมีการจํากัดอํานาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังจะเห็น ได้จากรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับที่ห้ามแก้ไขในเรื่องรูปแบบรัฐซึ่งเป็นแบบรัฐเดียว (Unitary State) และรูปแบบ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ภายใต้รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2540 ยังได้กําหนดเงื่อนไขของเวลาการห้ามแก้ไขก่อน 5 ปี หลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ

อนึ่ง ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีปรากฏภายใต้รัฐธรรมนูญในอดีตทั้ง 17 ฉบับ เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้แก่ การบัญญัติให้ประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อขอเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดสิทธิและเสรีภาพ นอกเหนือจากญัตติการขอแก้ไขจะมาจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา (สมาชิกรัฐสภา) จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา และเมื่อผ่าน ขั้นตอนนี้แล้ว ให้เป็นอํานาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในการพิจารณา แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยแบ่งออกเป็น 3 วาระ ดังนี้

วาระที่ 1 เรียกว่าขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

วาระที่ 2 เรียกว่าขั้นพิจารณาเรียงลําดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอแก้ไขด้วย และการออกเสียงลงคะแนนในวาระนี้ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ

วาระที่ 3 เรียกว่าขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียง เห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ของไทยในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งได้มีการแก้ไขในเรื่องของ จํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการทําหนังสือสัญญากับนานาประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อ (คะแนนเต็ม 100 คะแนน)

ข้อ 1 ให้นักศึกษาอธิบายการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System)

แนวคําตอบ

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือการเมืองการปกครองระบอบแบ่งแยกอํานาจผ่อนคลาย เป็นรูปแบบของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่อังกฤษเป็นแม่แบบที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก” ซึ่งในการเมืองการปกครองระบบนี้จะถือว่ารัฐสภาเป็น องค์กรการเมืองที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้น โดยหลักการแล้วรัฐบาลที่ปกครองและบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงานด้วยความรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั่นเอง

หลักการสําคัญของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 อํานาจรัฐไม่รวมในองค์กรเดียว แต่มีการแยกให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ เช่น อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติใช้โดยรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล เป็นต้น

2 อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่ายให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3 องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่าพระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่งประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2 ประมุขของรัฐมีลักษณะสําคัญ คือ ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐไม่อาจถูกถอดถอนออกจากตําแหน่ง จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เองที่ทําให้กิจกรรมใดๆ ของประมุขของรัฐ ต้องมีการลงนามกํากับหรือลงนามรับสนองพระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมนั้น ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎร

3 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้น จะต้องเสนอนโยบายเพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจทําให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลต้องออกจากตําแหน่งได้ โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะนายกรัฐมนตรีได้

5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามเพื่อควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล

6 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล

7 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการกระทําของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล

8 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการถ่วงดุลกับฝ่ายนิติบัญญัติ

9 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติได้เช่นเดียวกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

10 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ

11 ศาลและผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภานี้จะมีเสถียรภาพและดําเนินไปได้ ด้วยดีก็ขึ้นอยู่กับการมีระบบพรรคการเมืองใหญ่และเป็นระบบ 2 พรรค จึงจะทําให้การเมืองของประเทศมีเสถียรภาพ และรัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ครบวาระสมัย

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ได้แก่ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี สเปน กรีซ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เป็นต้น

 

ข้อ 2 ให้นักศึกษายกประเด็นสาระสําคัญเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มา 15 ประเด็น

แนวคําตอบ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 (รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน) นับเป็นรัฐธรรมนูญ แบบลายลักษณ์อักษรฉบับแรกที่ได้ผ่านการออกเสียงประชามติ (Referendum) จากประชาชนทั่วประเทศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วได้มีการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18

สาระสําคัญของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 นี้จะแบ่งออกเป็น 15 หมวด ซึ่งมีความยาวทั้งหมด 309 มาตรา และมีบทเฉพาะกาล แต่ในที่นี้จะขอหยิบยกประเด็นหรือสาระสําคัญเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับดังกลาง มาเพียง 15 ประเด็น ดังนี้

1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกมิได้ นั่นหมายความว่า ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นแบบรัฐเดียว (มาตรา 1)

2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(มาตรา 2)

3 อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม (มาตรา 3)

4 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ (มาตรา 6)

5 พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ (มาตรา 8)

6 ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคมมิได้ ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่น เป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือจะดําเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือ ทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทํานองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว (มาตรา 48)

7 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย (มาตรา 49)

8 ผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (มาตรา 51)

9 บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (มาตรา 72)

10 รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา (มาตรา 88 และ 89)

11 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจํานวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบ บัญชีรายชื่อจํานวน 125 คน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 93)

12 วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวนรวม 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดจังหวัดละ 1 คน และมาจากการสรรหาเท่ากับจํานวนรวมข้างต้นหักด้วยจํานวนสมาชิก วุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีการเพิ่มหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของสมาชิก วุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่ (มาตรา 11.1)

13 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในหมวดสิทธิและเสรีภาพ และหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ (มาตรา 163)

14 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลผู้ใช้อํานาจรัฐซึ่งได้แก่ ผู้ดํารงตําแหน่งทาง การเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด ฯลฯ ออกจากตําแหน่งได้ (มาตรา 164 และ 270)

15 ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมาจาก (มาตรา 291 (1)

1) คณะรัฐมนตรี

2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา (สมาชิกรัฐสภา) จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

4) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน

 

ข้อ 3 เลือกอธิบายศัพท์ 5 คําศัพท์การศึกษาวิชาหลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมืองนั้น มีศัพท์ทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับวิชานี้ที่ นักศึกษาควรทราบตามหลักวิชารัฐศาสตร์ ดังต่อไปนี้

3.1 Revolution

แนวคําตอบ

Revolution (การปฏิวัติ) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง ทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทางการเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสังคมแบบใหม่ สร้าง กฎหมายใหม่ และเพื่อสนองอุดมการณ์แบบใหม่ ซึ่งมีหลักการที่สั้นที่สุดก็คือ “สิ่งที่เคยถูกต้องและดีงามในอดีต หรือสิ่งที่ถูกต้องในวันนี้ ไม่จําเป็นเสมอไปที่จะต้องเป็นหลักสัจธรรมสําหรับปัจจุบันหรืออนาคต” แต่การปฏิวัติที่ จะเกิดความชอบธรรม (Legitimacy) จะต้องมีประชาชนเข้าร่วมอยู่ด้วยพร้อมกับผู้นํา

ตัวอย่างของการปฏิวัติใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกที่อาจกล่าวได้ว่ามีความชอบธรรม ได้แก่

– การปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789

– การปฏิวัติในรัสเซีย ค.ศ. 1917

– การปฏิวัติในจีน ค.ศ. 1949

กรณีประเทศไทย การยึดอํานาจรัฐที่พอจะอนุโลมให้เรียกว่า “การปฏิวัติ” นั้นมีเพียงครั้งเดียว คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพราะเป็นเหตุการณ์ที่คณะราษฎรได้ทําการ ยึดอํานาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองใหม่จากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (Democracy) ในระบบรัฐสภา แบบอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้มีประชาชนเข้าร่วมด้วย

สําหรับเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นี้ ไม่ใช่การทํารัฐประหาร และก็ไม่ใช่การปฏิวัติโดยสิ้นเชิง แต่ที่ถูกต้องทางรัฐศาสตร์ควรเรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475” ซึ่ง 1 ในคณะราษฎร หรือผู้ก่อการณ์คือ นายปรีดี พนมยงค์ เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “การอภิวัตน์การปกครอง พ.ศ. 2475”

3.2 Coup d’e’tat

แนวคําตอบ

Coup d’e tat (การทํารัฐประหาร) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ โดยบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งปราศจากการมีส่วนร่วมจากประชาชน เป็นการเปลี่ยนมือผู้ใช้อํานาจรัฐหรือผู้ใช้อํานาจปกครองหรือเปลี่ยนตัวบุคคล เท่านั้น แต่ระบบเศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างทางการเมือง และอุดมการณ์ทางการเมืองยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง จึงถือว่าขาดหลักความชอบธรรม (Legitimacy)

จะเห็นได้ว่าประเทศกําลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยและประเทศด้อยพัฒนา ผู้นําของประเทศ นิยมแย่งชิงอํานาจกันเองด้วยวิธีการทํารัฐประหาร โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย ผู้ยึดอํานาจมักเป็น ทหาร และภายหลังยึดอํานาจเสร็จแล้ว ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างทางสังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทางการเมืองก็ยังคง เหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตัวผู้ใช้อํานาจรัฐเท่านั้น

กรณีประเทศไทย นับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า มีการยึดอํานาจรัฐด้วยกําลังบ่อยครั้ง ซึ่งมีทั้งกระทําสําเร็จและไม่สําเร็จ การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จของไทยเกือบทุกครั้งเรียกว่า “รัฐประหาร” เพราะเป็นการแย่งชิงอํานาจกันเองในหมู่ผู้ปกครอง แต่ผู้ยึดอํานาจจะเรียกตัวเองว่า “คณะปฏิวัติ”

สําหรับการทํารัฐประหารครั้งล่าสุดของไทยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ภายใต้การนําของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้ทําการยึดอํานาจจากรัฐบาลรักษาการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540

3.3 Referendum

แนวคําตอบ

Referendum (ประชามติ) หมายถึง การให้ประชาชนมาออกเสียงลงคะแนนว่ารับหรือไม่รับ กฎหมายฉบับนั้น ซึ่งจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด หรือพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายธรรมดาก็ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าหากเสียงประชามติไม่รับมีมากกว่ารับหรือเรียกว่า “ประชามติไม่ผ่าน” ร่างกฎหมายฉบับนั้น ก็ต้องตกไป แต่ถ้าเสียงประชามติรับมีมากกว่าไม่รับหรือเรียกว่า “ประชามติผ่าน” ร่างกฎหมายฉบับนั้นก็จะถูกนําไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่าผลประชามติจะออกมาอย่างไร หน่วยงาน ของรัฐต้องปฏิบัติตามมตินั้นเสมอไป เพราะมีผลทางนิตินัย

ในกรณีประเทศไทย เริ่มมีการจัดทําประชามติครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อวันที่ 19 เสิงหาคม พ.ศ. 2550 เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 โดยผลประชามติออกมาว่ารับร่างรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ แล้วได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 ซึ่ง มีความยาวทั้งหมด 309 มาตรา

สําหรับประเทศที่ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับพระราชบัญญัติหรือกฎหมาย ที่ออกโดยรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติทุกฉบับ คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นประชาธิปไตยเกือบโดยตรง

3.4 Amendment

แนวคําตอบ

Amendment (การแก้ไขรัฐธรรมนูญ) หมายถึง เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้ใช้บังคับไปใน ระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ก็ควรจะมีการแก้ไข หมายความว่า อาจจะยกเลิกบางมาตรา หรือใส่เพิ่มเติมเข้าไป ในมาตราที่ไม่เคยมีก็ได้ โดยหลักการทั่วไปมีอยู่ว่าอาจแก้ไขบางส่วน หรือแก้ไขทั้งฉบับก็ย่อมทําได้ นั่นคือ สามารถ แก้ไขที่มาตราก็ได้ ภายใต้เงื่อนไขของเวลาที่กําหนด ทั้งนี้เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีความทันสมัย เหมาะสมกับสภาพ ความเป็นจริงของบ้านเมือง หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศและของโลกในเวลานั้น

โดยทั่วไปแล้ว รัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษรเกือบทุกประเทศในโลกจะมีหมวดว่าด้วยการ แก้ไขบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

กรณีรัฐธรรมนูญไทย จะมีการจํากัดอํานาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังจะเห็นได้จาก รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับที่ห้ามแก้ไขในเรื่องรูปแบบรัฐซึ่งเป็นแบบรัฐเดี่ยว (Unitary State) และรูปแบบการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ยังได้กําหนดเงื่อนไขของเวลาการห้ามแก้ไขก่อน 5 ปี หลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ

อนึ่ง ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีปรากฏ ภายใต้รัฐธรรมนูญในอดีตทั้ง 17 ฉบับ เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แก่ การบัญญัติให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อขอเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดสิทธิและเสรีภาพนอกเหนือจาก ญัตติการขอแก้ไขจะมาจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา และเมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว ให้เป็นอํานาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยแบ่งออกเป็น 3 วาระ ดังนี้

วาระที่ 1 เรียกว่าขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผยและต้องมีคะแนนเสียง เห็นขอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

วาระที่ 2 เรียกว่าขั้นพิจารณาเรียงลําดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอแก้ไขด้วยและการออกเสียงลงคะแนนในวาระนี้ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ

วาระที่ 3 เรียกว่าขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียง เห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ของไทยในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งได้มีการแก้ไขในเรื่องของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการทําหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ

3.5 Organic Law

แนวคําตอบ

Organic Law กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ) โดยคําว่า “กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ” และ “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ” นั้น คือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่ ใช้ต่างกัน กล่าวคือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเป็นคําราชาศัพท์ที่ใช้กับประเทศที่มีประมุขของรัฐเป็น พระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระจักรพรรดิ ส่วนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเป็นคําที่ใช้กับประเทศที่มีประมุข ของรัฐเป็นบุคคลธรรมดา

กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมาย ธรรมดาที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา แต่มีเนื้อหาที่เกี่ยวพันกับตัวบทแห่งรัฐธรรมนูญในเรื่องของสถาบันทาง รัฐธรรมนูญ ประมุขของรัฐ รัฐสภา ฝ่ายบริหาร และศาล โดยเป็นการกําหนดรายละเอียดซึ่งเป็นเกณฑ์สําคัญเพิ่มเติม บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบางมาตราที่บัญญัติหลักการไว้อย่างกว้าง ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้มีความกระจ่างแจ้ง ชัดเจน และสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องบัญญัติไว้ในตัวบทแห่งรัฐธรรมนูญให้มีความยาวมากเกินไป และเพื่อที่จะได้ สะดวกแก่การแก้ไขเพิ่มเติม โดยไม่ต้องดําเนินการตามวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ทําได้ยากกว่าการแก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติ

ศาสตราจารย์ยอร์ช เบอร์โด (George Burdeau) นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ได้จัดให้กฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญมีลําดับชั้นกลางระหว่างกฎหมายรัฐธรรมนูญกับกฎหมายธรรมดา (ต่ำกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่สูงกว่ากฎหมายธรรมดา) ดังนี้คือ

– กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitution Law)

– กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (Organic Law)

– กฎหมายธรรมดา (Bill Law)

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนญฉบับ พ.ศ. 2540 นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไว้มากมายในหลาย ๆ มาตรา แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 นอกจากจะบัญญัติเรื่องพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไว้มากมายแล้ว ยังได้บัญญัติสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีปรากฏภายใต้ รัฐธรรมนูญในอดีตทั้ง 17 ฉบับ เกี่ยวกับเรื่องพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ได้แก่ การกําหนดเงื่อนไขของเวลา การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 1 ปี หรือ 2 ปี เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติด้วย

อนึ่ง การเรียกชื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญของไทย ต้องเรียกว่า “พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วย … พ.ศ. ….” เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 เป็นต้น

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 บังคับ ให้ตราขึ้นมี 9 ฉบับ ดังต่อไปนี้

1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

2 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง

3 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

4 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ

5 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

6 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง

7 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน

8 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

9 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

3.6 Recall

แนวคําตอบ

Recall (การถอดถอนผู้ใช้อํานาจรัฐ) หมายถึง การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการถอดถอน ผู้ใช้อํานาจรัฐ โดยจะมีรายละเอียดกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าจะต้องมีเสียงอย่างต่ำกี่เสียง

กรณีประเทศไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 และฉบับ พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติเรื่องการถอดถอนผู้ใช้อํานาจรัฐไว้ โดยรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ได้ลดจํานวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการ เข้าชื่อถอดถอนผู้ใช้อํานาจรัฐจาก 50,000 คน เหลือเพียง 20,000 คน นั่นคือ กําหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จํานวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลผู้ใช้ อํานาจรัฐซึ่งได้แก่ ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือ ผู้ดํารงตําแหน่งระดับสูงตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อันมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ สอว่ากระทําผิด ต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ออกจากตําแหน่งได้

3.7 Public Hearing

แนวคําตอบ

Public Hearing (ประชาพิจารณ์) หมายถึง การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในเรื่องที่จะออกกฎหมายก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ซึ่งจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด หรือ พระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายธรรมดาก็ได้ ทั้งนี้ไม่ว่าผลประชาพิจารณ์จะออกมาอย่างไร หน่วยงานของรัฐ ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามผลหรือข้อสรุปนั้นเสมอไป เพราะไม่มีผลทางนิตินัย

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ได้กําหนดเรื่องการทําประชาพิจารณ์ไว้ 2 เรื่อง คือ

1 สิทธิชุมชน โดยกําหนดให้การดําเนินโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียก่อน

2 การทําหนังสือสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อประชาชน รัฐจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน

3.8 Poll

แนวคําตอบ

Poll (การสํารวจประชามติ) หมายถึง การสํารวจความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปมักจะใช้แบบสอบถามหรือแบบสัมภาษณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่ม จากประชากร ซึ่งผลการสํารวจดังกล่าวจะสะท้อนความคิดเห็น ทัศนคติ และแนวโน้มของประชาชนส่วนใหญ่ต่อเรื่อง นั้น ๆ ณ ช่วงเวลาที่ทําการสํารวจเท่านั้น เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป ความคิดเห็นดังกล่าวก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

สําหรับสํานักโพลล์ในประเทศไทยนั้น ได้มีหลายสํานักที่ทําการสํารวจความคิดเห็นของประชาชน ในเรื่องต่าง ๆ เช่น การเมือง การเลือกตั้ง เศรษฐกิจ สังคม ได้แก่ เอแบคโพลล์ กรุงเทพโพลล์ สวนดุสิตโพลล์ รามคําแหงโพลล์ เป็นต้น

ตัวอย่างของสวนดุสิตโพลล์ที่ได้ทําการสํารวจการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 นั้น โดยภาพรวมของการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ก็พบว่า ประชาชนลงมติรับหรือเห็นชอบร้อยละ 67.94 และไม่รับหรือไม่เห็นชอบร้อยละ 32.06

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําแนะนํา ข้อสอบมีจํานวน 3 ข้อ ให้เลือกทําเพียง 2 ข้อ ๆ ละ 50 คะแนน (รวม 100 คะแนน)

ข้อ 1 “ประชาธิปไตย” (Democracy) มีความหมายอย่างไร และประชาธิปไตยมีหลักการสําคัญ ๆ อย่างไร อธิบาย

แนวคําตอบ

คําว่า “ประชาธิปไตย” (Democracy) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คํา คือ คําว่า “Demos” แปลว่า ประชาชน (People) กับ คําว่า “Kratos, Kratien” แปลว่า ปกครอง (to Rule) ดังนั้นความหมาย ของประชาธิปไตยจึงหมายถึง การปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) แบบอิสระเสรี เสมอภาค และลงคะแนนลับ

หลักการสําคัญพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1 หลักอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย (อํานาจสูงสุด) เป็นของประชาชน การปกครองที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถือว่าอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย เป็นของประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีวิธีการปกครองที่แสดงออกให้เห็นว่าประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้ ตลอดจนสามารถเปลี่ยนแปลงและถอดถอนรัฐบาลได้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีได้ทุก 4 ปี หรือประชาชนญี่ปุ่นที่สามารถเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลในเวลา ไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลักการอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนนี้ประชาชนต้องมี “อํานาจการตัดสินใจขั้นสุดท้าย” คือ ประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางนิติบัญญัติและบริหารของรัฐ และการตัดสินใจ ของประชาชนถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาด

2 หลักสิทธิ (Right) หน้าที่ (Duty) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชน เป็นหลักการสําคัญอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะถือว่ามนุษย์ทุกคน มีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต่อมาถูกจํากัดโดยกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของสังคมภายหลัง ด้วยเหตุนี้ประเทศ ที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีกฎหมายเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ เช่น การบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นด้านความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณา การรวมกลุ่มจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการใช้สิทธิทางการเมือง ซึ่งในกรณีของ สิทธิเสรีภาพนี้มีข้อสังเกตก็คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่เป็นเสรีภาพที่จะทําอะไรได้ทุกอย่าง โดยไม่มีขอบเขต แต่เป็นเสรีภาพที่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายที่บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพของตนนั้นจะต้องไม่ไป ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการจลาจล ซึ่งในหลักประกันสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ นี้ จะรวมทั้งความเสมอภาคทางการเมือง เพราะเสรีภาพที่ประชาชนมีเท่า ๆ กันก็จะก่อให้เกิดความเสมอภาค ทางการเมือง คือ การที่แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเท่า ๆ กัน โดยในระบอบ ประชาธิปไตยถือว่าแต่ละคนมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้ปกครอง หรือผู้แทนประชาชนเท่ากัน ตามหลัก One Man One Vote และสําหรับหลักการนี้ยังจะต้องประกอบด้วย การที่ประชาชนจะต้องรู้จักหน้าที่ของพลเมืองในการดําเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น การมีหน้าที่ในการเสียภาษี ในอัตราที่เท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งอยู่ในเกณฑ์รายได้และสถานภาพอื่นพอ ๆ กัน

3 หลักกฎหมายสูงสุด หรือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติรัฐ หรือหลักนิติธรรม (Rule of Law) การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ไม่ยึดตัวบุคคล แต่ยึดหลักการเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งหลักการอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบนี้ก็คือ การยึดถือกฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครองที่ถือว่าประชาชนเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน หรือเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติรัฐหรือหลักนิติธรรม ที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งหลักการสูงสุดของกฎหมายนี้ยังรวมไปถึงการที่ศาลหรือกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีต่าง ๆ อันแสดงให้เห็นถึงว่าศาลสามารถจะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือเป็นที่พึ่งของประชาชนภายในประเทศได้ นั่นคือ ในการตัดสิน ลงโทษจะใช้กระบวนการยุติธรรม มิใช่ตัดสินโดยบุคคลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ตลอดจนรวมถึงการมีหลักกฎหมายที่มีการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย โดยองค์กรที่จะทําหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญนี้ อาจจะเป็นองค์กรการเมือง ศาลยุติธรรมธรรมดาหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่แนวความคิดเห็นและประเพณีนิยมทางการเมืองของแต่ละประเทศ เพื่อให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญซึ่งวางหลักแห่งกฎหมายและหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับการปฏิบัติและเกิดผลอย่างจริงจัง

4 หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule) โดยคํานึงถึงเสียงข้างน้อย (Minority Right) เป็นหลักการสําคัญอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะถือว่ามนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แต่ละคนย่อมมีความคิดเห็นของตนเองและย่อมมีความแตกต่างหลากหลายเป็นธรรมดา แต่เพื่อหาข้อยุติปัญหา ต่าง ๆ การตัดสินใจทั้งหลายของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องใช้หลักการเสียงข้างมาก เพราะถือว่ามนุษย์ เป็นผู้มีเหตุผลอยู่ในตัว และเสียงการตัดสินใจโดยคนหมู่มากนั้นย่อมถูกต้องกว่าการตัดสินใจโดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันการใช้เสียงข้างมากก็จะคํานึงถึงเสียงข้างน้อยด้วย โดยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อย รวมทั้งยังยอมรับให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการของตนด้วย เพราะในวันข้างหน้าเสียงข้างน้อยอาจจะกลายมาเป็นเสียงข้างมากได้ ดังนั้นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงถือว่าฝ่ายค้าน (ฝ่ายที่มีเสียงข้างน้อย) มีความสําคัญเท่า ๆ กับฝ่ายรัฐบาล (ฝ่ายที่มีเสียงข้างมาก)

5 หลักสันติวิธี เป็นหลักการสําคัญอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะเชื่อว่าพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยรู้จักใช้เหตุผล ไม่ทําอะไรตามอารมณ์และความรู้สึกและไม่ทําอะไร เอาแต่ใจตนเองโดยไม่คํานึงถึงคนอื่นนอกจากนี้ยังยอมรับว่าคนเราจะเหมือนกันไม่ได้ อาจมีการขัดแย้ง ต้องมีการเจรจา และประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงดําเนินการแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งต่าง ๆ โดยสันติวิธีด้วยการไม่ใช้กําลังความรุนแรง เช่น การเจรจา การประนีประนอม การใช้กลไก การเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุก ๆ กลุ่มป้องกันการสูญเสียเลือดเนื้อ และบาดเจ็บล้มตาย

โดยสรุปแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ถือหลักการว่าประชาชน เป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยในการดําเนินการปกครองประเทศ โดยตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานสําคัญ อย่างน้อย 5 ประการดังกล่าว

 

ข้อ 2 อธิบายการเมืองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ถึงหลักการและวิธีการ พร้อมยกตัวอย่าง

แนวคําตอบ

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือการเมืองการปกครองระบอบแบ่งแยกอํานาจผ่อนคลาย เป็นรูปแบบของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่อังกฤษเป็นแม่แบบที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก” ซึ่งในการเมืองการปกครองระบบนี้จะถือว่ารัฐสภา เป็นองค์กรการเมืองที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่นๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้วรัฐบาลที่ปกครองและบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงานด้วยความรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั่นเอง

หลักการสําคัญของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 อํานาจรัฐไม่รวมในองค์กรเดียว แต่มีการแยกให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ เช่น อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติใช้โดยรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล เป็นต้น

2 อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่ายให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3 องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้ 1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่าพระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่งประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2 ประมุขของรัฐมีลักษณะสําคัญ คือ ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐไม่อาจถูกถอดถอนออกจากตําแหน่ง

จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เองที่ทําให้กิจกรรมใด ๆ ของประมุขของรัฐ ต้องมีการลงนามกํากับหรือลงนามรับสนองพระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมนั้น ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎร

3 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้น จะต้องเสนอนโยบายเพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจทําให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลต้องออกจากตําแหน่งได้ โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะนายกรัฐมนตรีได้

5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามเพื่อควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล

6 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล

7 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการกระทําของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล

8 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการถ่วงดุลกับฝ่ายนิติบัญญัติ

9 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติได้เช่นเดียวกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

10 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ

11 ศาลและผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภานี้จะมีเสถียรภาพและดําเนินไปได้ ด้วยดีก็ขึ้นอยู่กับการมีระบบพรรคการเมืองใหญ่และเป็นระบบ 2 พรรค จึงจะทําให้การเมืองของประเทศมีเสถียรภาพ และรัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ครบวาระสมัย

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ได้แก่ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี สเปน กรีซ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เป็นต้น

 

ข้อ 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มีสาระสําคัญอย่างไร ให้ยกมา 15 ประเด็น

แนวคําตอบ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 นับเป็นรัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษร ฉบับแรกที่ได้ผ่านการออกเสียงลงประชามติ (Referendum) จากประชาชนทั่วประเทศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วได้มีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาอันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18

สาระสําคัญของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 นี้จะแบ่งออกเป็น 15 หมวด ซึ่งมีความยาวทั้งหมด 309 มาตรา และมีบทเฉพาะกาล แต่ในที่นี้จะขอหยิบยกประเด็นหรือสาระสําคัญเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว มาเพียง 15 ประเด็น ดังนี้

1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกมิได้ นั่นหมายความว่า ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นแบบรัฐเดี่ยว (มาตรา 1)

2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(มาตรา 2)

3 อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม (มาตรา 3)

4 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ (มาตรา 6)

5 พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ (มาตรา 8)

6 ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคมมิได้ ไม่ว่าในนามของตนเองหรือ ให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือจะดําเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่า โดยทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทํานองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว (มาตรา 48)

7 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย (มาตรา 49)

8 ผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (มาตรา 51)

9 บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (มาตรา 72)

10 รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา (มาตรา 88 และ 89)

11 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจํานวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อจํานวน 125 คน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 93)

12 วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวนรวม 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน และมาจากการสรรหาเท่ากับจํานวนรวมข้างต้นหักด้วยจํานวนสมาชิก วุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีการเพิ่มหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่ (มาตรา 111)

13 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในหมวดสิทธิและเสรีภาพและหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ (มาตรา 163)

14 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิ์เข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภาถอดถอนบุคคลผู้ใช้อํานาจรัฐซึ่งได้แก่ ผู้ดํารงตําแหน่ง ทางการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ฯลฯ ออกจากตําแหน่งได้ (มาตรา 164 และ 270)

15 ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมาจาก (มาตรา 291 (1)

1) คณะรัฐมนตรี

2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา (รัฐสภา) จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

4) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน

 

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําแนะนํา ข้อสอบมีจํานวน 3 ข้อ ให้เลือกทําเพียง 2 ข้อ ๆ ละ 50 คะแนน (รวม 100 คะแนน)

ข้อ 1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้กําหนดการเมืองการปกครองของไทยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) นั้น นักศึกษามีความเข้าใจอย่างไร อธิบาย

แนวคําตอบ

การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือการปกครองระบอบแบ่งแยกอํานาจผ่อนคลาย เป็นรูปแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่อังกฤษเป็น แม่แบบที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก” ซึ่งในการปกครองระบบนี้จะถือว่ารัฐสภาเป็นองค์กรการเมืองที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้ว รัฐบาลที่ปกครองและบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงานด้วยความรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั่นเอง

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550) กําหนดให้ ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ซึ่งสามารถอธิบายรายละเอียดได้ดังนี้

1 รูปแบบรัฐสภาจะเป็นแบบสภาคู่หรือระบบสองสภา (Bicameral System) คือรัฐสภา ประกอบด้วย

1.1 สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจํานวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจํานวน 125 คน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 93)

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ 1 คน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 94)

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทําขึ้น โดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิ ออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 95)

1.2 วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนรวม 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน และมาจากการสรรหาเท่ากับจํานวนรวมข้างต้นหักด้วยจํานวนสมาชิกวุฒิสภา ที่มาจากการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีการเพิ่มหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในแต่ละจังหวัด ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเลือกตั้ง และให้มีสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดละ 1 คน โดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ 1 เสียง ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา

ทั้งนี้โดยกําหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธาน วุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา

2 สภาผู้แทนราษฎรต้องลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีโดยเปิดเผยด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร นั่นคือ นายกรัฐมนตรี จะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรี จะดํารงตําแหน่งติดต่อกันเกิน 8 ปีมิได้

3 เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีก็จะเลือกสรรบุคคลเพื่อจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งการที่นายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งบุคคลใดมาเป็นรัฐมนตรีนั้น นอกจากจะต้องคํานึงถึงความรู้ความสามารถแล้ว ยังจะต้องคํานึงถึงเสียงสนับสนุนในสภาเป็นหลักอีกด้วย โดยต้องเลือกบุคคล ที่มีกลุ่มสมาชิกให้การสนับสนุน และในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีนั้นจะต้องคํานึงถึงสัดส่วนจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคที่ร่วมรัฐบาลด้วย ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี

4 คณะรัฐมนตรีหรือฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่

5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 4 ปี ทั้งนี้เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง จะต้องมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วันนับแต่วันที่อายุของ สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง และในกรณีที่มีพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร จะต้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน

6 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจที่จะควบคุมรัฐบาลด้วยการขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติ ไม่ไว้วางใจได้ และฝ่ายบริหารโดยนายกรัฐมนตรีก็มีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้เช่นกัน

7 ฝ่ายนิติบัญญัติจะทําหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการทํางานของฝ่ายบริหาร โดย

7.1 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ญัตติดังกล่าวต้องเสนอชื่อผู้สมควรดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปด้วย และเมื่อได้มีการเสนอญัตติแล้ว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติหรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

7.2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 6 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็น รายบุคคลได้

7.3 กรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิได้อยู่ในพรรคการเมืองที่สมาชิกในสังกัดของพรรคนั้นดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีมีจํานวนไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือ รัฐมนตรีได้ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ มีสิทธิเข้าชื่อ เสนอญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีได้ หากคณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน เกินกว่า 2 ปี

7.4 สมาชิกวุฒิสภาจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด มีสิทธิเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสําคัญเกี่ยวกับ การบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ

7.5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐบาลหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ แต่รัฐบาลหรือรัฐมนตรีมีสิทธิที่จะไม่ตอบเมื่อเห็นว่า เป็นเรื่องที่ยังไม่ควรเปิดเผย เพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สําคัญของแผ่นดิน โดยการตอบกระทู้ ให้ตอบในราชกิจจานุเบกษา

7.6 รัฐสภามีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี เพื่อมิให้ฝ่ายบริหาร ใช้จ่ายเงินแผ่นดินตามใจชอบ

7.7 สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจเลือกสมาชิกตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ และมีอํานาจเลือกสมาชิกหรือบุคคลที่มิได้เป็นสมาชิกตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อกระทํากิจการ พิจารณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ได้

8 คณะรัฐมนตรีมีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติได้เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีจํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน นอกจากนี้คณะรัฐมนตรียังมีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ได้เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ จํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

9 คณะรัฐมนตรีมีสิทธิร้องขอให้เปิดประชุมสมัยวิสามัญได้เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ทั้งสองสภารวมกัน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ จํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

10 ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

 

ข้อ 2 ให้นักศึกษาอธิบายหลักการสําคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย (Democracy) มาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ

การปกครองระบอบประชาธิปไตย (Democracy) เป็นการปกครองที่ถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ปกติการปกครองในรูปแบบนี้จะเป็น ที่รู้จักกันว่าหมายถึงการปกครองที่เป็นเสรีประชาธิปไตย

หลักการสําคัญพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1 หลักอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย (อํานาจสูงสุด) เป็นของประชาชน การปกครองที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถือว่า อํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย เป็นของประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีวิธีการปกครองที่แสดงออกให้เห็นว่า ประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้ ตลอดจนสามารถ เปลี่ยนแปลงและถอดถอนรัฐบาลได้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีได้ทุก 4 ปี หรือประชาชนญี่ปุ่นที่สามารถเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลในเวลา ไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลักการอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนนี้ประชาชนต้องมี “อํานาจการตัดสินใจ ขั้นสุดท้าย” คือ ประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางนิติบัญญัติและบริหารของรัฐ และการตัดสินใจ ของประชาชนถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาด

2 หลักสิทธิ (Right) หน้าที่ (Duty) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชน เป็นหลักการสําคัญอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะถือว่ามนุษย์ทุกคนมี เสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต่อมาถูกจํากัดโดยกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของสังคมภายหลัง ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีกฎหมายเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ เช่น การบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นด้านความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณา การรวมกลุ่มจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการใช้สิทธิทางการเมือง ซึ่งในกรณีของ สิทธิเสรีภาพนี้มีข้อสังเกตก็คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่เป็นเสรีภาพที่จะทําอะไรได้ทุกอย่าง โดยไม่มีขอบเขต แต่เป็นเสรีภาพที่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายที่บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพของตนนั้นจะต้องไม่ไป ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการจลาจล ซึ่งในหลักประกันสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ นี้ จะรวมทั้งความเสมอภาคทางการเมือง เพราะเสรีภาพที่ประชาชนมีเท่า ๆ กันก็จะก่อให้เกิดความเสมอภาค ทางการเมือง คือ การที่แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเท่า ๆ กัน โดยในระบอบ ประชาธิปไตยถือว่าแต่ละคนมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้ปกครอง หรือผู้แทนประชาชนเท่ากัน ตามหลัก One Man One Vote และสําหรับหลักการนี้ยังจะต้องประกอบด้วย การที่ประชาชนจะต้องรู้จัก หน้าที่ของพลเมืองในการดําเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น การมีหน้าที่ในการ เสียภาษีในอัตราที่เท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งอยู่ในเกณฑ์รายได้และสถานภาพอื่นพอ ๆ กัน

3 หลักกฎหมายสูงสุด หรือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติรัฐ หรือหลักนิติธรรม (Rule of Law) การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ไม่ยึดตัวบุคคล แต่ยึดหลักการเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งหลักการอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบนี้ก็คือ การยึดถือกฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครองที่ถือว่า ประชาชนเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน หรือเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติรัฐที่ประชาชนทุกคน ต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งหลักการสูงสุดของกฎหมายนี้ยังรวมไปถึงการที่ศาลหรือ กระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีต่าง ๆ อันแสดงให้เห็นถึงว่าศาลสามารถจะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือเป็นที่พึ่งของประชาชนภายในประเทศได้ นั่นคือ ในการตัดสินลงโทษจะใช้กระบวนการยุติธรรม มิใช่ตัดสินโดยบุคคลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ตลอดจนรวมถึงการมีหลักกฎหมาย ที่มีการควบคุมมีให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย โดยองค์กรที่จะทําหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อ รัฐธรรมนูญนี้ อาจจะเป็นองค์กรการเมือง ศาลยุติธรรมธรรมดาหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่แนวความคิดเห็นและประเพณีนิยมทางการเมืองของแต่ละประเทศ เพื่อให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญซึ่งวางหลักแห่งกฎหมายและหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้รับการปฏิบัติและเกิดผลอย่างจริงจัง

4 หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule) โดยคํานึงถึงเสียงข้างน้อย (Minority Right) เป็นหลักการสําคัญอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะถือว่ามนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แต่ละคนย่อมมีความคิดเห็นของตนเองและย่อมมีความแตกต่างหลากหลายเป็นธรรมดา แต่เพื่อหาข้อยุติปัญหา ต่าง ๆ การตัดสินใจทั้งหลายของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องใช้หลักการเสียงข้างมาก เพราะถือว่ามนุษย์ เป็นผู้มีเหตุผลอยู่ในตัว และเสียงการตัดสินใจโดยคนหมู่มากนั้นย่อมถูกต้องกว่าการตัดสินใจโดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันการใช้เสียงข้างมากก็จะคํานึงเสียงข้างน้อยด้วย โดยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของ เสียงข้างน้อย รวมทั้งยังยอมรับให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการของตนด้วย เพราะในวันข้างหน้าเสียงข้างน้อยอาจจะกลายมาเป็นเสียงข้างมากได้ ดังนั้นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงถือว่าฝ่ายค้าน (ฝ่ายที่มีเสียงข้างน้อย) มีความสําคัญเท่า ๆ กับฝ่ายรัฐบาล (ฝ่ายที่มีเสียงข้างมาก)

5 หลักสันติวิธี เป็นหลักการสําคัญอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะเชื่อว่าพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยรู้จักใช้เหตุผล ไม่ทําอะไรตามอารมณ์และความรู้สึก และไม่ทําอะไร เอาแต่ใจตนเองโดยไม่คํานึงถึงคนอื่น นอกจากนี้ยังยอมรับว่าคนเราจะเหมือนกันไม่ได้ อาจมีการขัดแย้ง ต้องมีการเจรจา และประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงดําเนินการแก้ไข ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ โดยสันติวิธีด้วยการไม่ใช้กําลังความรุนแรง เช่น การเจรจา การประนีประนอม การใช้กลไกการเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุก ๆ กลุ่ม ป้องกันการสูญเสีย เลือดเนื้อและบาดเจ็บล้มตาย

โดยสรุปแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ถือหลักการว่าประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยในการดําเนินการปกครองประเทศ โดยตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานสําคัญอย่างน้อย 5 ประการดังกล่าว

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษายกประเด็นหรือสาระสําคัญที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มา 20 ประเด็น

แนวคําตอบ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550) นับเป็นรัฐธรรมนูญ แบบลายลักษณ์อักษรฉบับแรกที่ได้ผ่านการออกเสียงลงประชามติ (Referendum) จากประชาชนทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ แล้วได้มีการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18

รายการสาระสําคัญของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 นี้จะแบ่งออกเป็น 15 หมวด ซึ่งมีความยาวทั้งหมด 309 มาตรา และมีบทเฉพาะกาล แต่ในที่นี้จะขอหยิบยกประเด็นหรือสาระสําคัญเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ฉบับดังกล่าวมาเพียง 20 ประเด็น ดังนี้

1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกมิได้ นั่นหมายความว่า ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นแบบรัฐเดียว (มาตรา 1)

2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (มาตรา 2)

3 อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม (มาตรา 3)

4 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ (มาตรา 6)

5 พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ (มาตรา 8)

6 บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ (มาตรา 28 วรรค 2)

7 ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการ หนังสือพิมพ์วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคมมิได้ ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือจะดําเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทํานองเดียวกับการเป็น เจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว (มาตรา 48)

8 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับรองการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย (มาตรา 49)

9 ผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (มาตรา 51)

10 บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (มาตรา 72)

11 จัดให้มีแผนพัฒนาการเมือง รวมทั้งจัดให้มีสภาพัฒนาการเมืองที่มีความเป็นอิสระ(มาตรา 78(7)

12 รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (มาตรา 88) โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา (มาตรา 89)

13 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจํานวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อจํานวน 125 คน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 93)

14 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ 1 คน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 94)

15 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทําขึ้น โดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 95)

16 วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวนรวม 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน และมาจากการสรรหาเท่ากับจํานวนรวมข้างต้นหักด้วยจํานวนสมาชิก วุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีการเพิ่มหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่ (มาตรา 111)

17 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในหมวดสิทธิและเสรีภาพและหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ (มาตรา 163)

18 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภาถอดถอนบุคคลผู้ใช้อํานาจรัฐอันเป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองได้ (มาตรา 164)

19 ประชาชนมีสิทธิยื่นคําร้องฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ (มาตรา 212)

20 ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมาจาก (มาตรา 291)

1) คณะรัฐมนตรี

2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา (รัฐสภา) จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

4) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน

WordPress Ads
error: Content is protected !!