การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรสจากจำเลย 30 ล้านบาท จำเลยให้การต่อสู้คดีตามกฎหมาย ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องอุทธรณ์เห็นว่าไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามมาตรา 230 แต่โจทก์ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ ก้าวร้าว เสียดสีศาล ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ส่งคำฟ้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 232 ดังนี้ โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 223 ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 138 168 188 และ 222 และในลักษณะนี้ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ เว้นแต่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นจะได้บัญญัติว่าให้เป็นที่สุด
มาตรา 232 เมื่อได้รับอุทธรณ์แล้ว ให้ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์และมีคำสั่งให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าศาลปฏิเสธไม่ส่ง ให้ศาลแสดงเหตุที่ไม่ส่งนั้นไว้ในคำสั่งทุกเรื่องไป ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลจะวินิจฉัยอุทธรณ์ทั้งสองฉบับนั้นในคำสั่งฉบับเดียวกันก็ได้
วินิจฉัย
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว ย่อมเป็นสิทธิของคู่ความหรือบุคคลผู้ได้รับผลกระทบจากผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งในอันที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งที่กฎหมายนี้มิได้บัญญัติให้เป็นที่สุด หรือห้ามอุทธรณ์หรือจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์
กรณีตามอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ ก้าวร้าว เสียดสีศาล ศาลชั้นต้นจึงปฏิเสธไม่ส่งฟ้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ ตามมาตรา 232 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า เมื่อศาลชั้นต้น มีคำสั่งตามมาตรา 232 โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์เช่นว่านั้นได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 232 แล้ว ไม่ได้บัญญัติให้คำสั่งตามมาตรานี้เป็นที่สุด หรือห้ามอุทธรณ์หรือจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์แต่ประการใด ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีจึงชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นได้ ตามมาตรา 223
สรุป โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นได้
ข้อ 2 โจทก์นำสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้เป็นประกันค่าตอบแทนที่โจทก์จะช่วยวิ่งเต้นให้ลูกชายจำเลยไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหารมาฟ้องขอศาลบังคับจำเลยชำระหนี้ 3 แสนบาท จำเลยไม่สู้คดีแต่ขอประนีประนอมยอมความโดยชำระในวันยอมความ 100,000 บาท ที่เหลือจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 2 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว 1 เดือน จำเลยจึงทราบจากผู้รู้ว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นผิดกฎหมาย ไม่จำต้องรับผิดชอบทั้งแนะนำให้จำเลยอุทธรณ์ขอศาลอุทธรณ์เพิกถอนข้อตกลงที่ทำไว้ได้ ดังนี้ คำแนะนำนี้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 138 ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น
ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้
(1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
(2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
ถ้าคู่ความตกลงกันเพียงแต่ให้เสนอคดีต่ออนุญาโตตุลาการ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับ
มาตรา 229 การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาล เพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์ (คือฝ่ายโจทก์หรือจำเลยความเดิมซึ่งเป็นฝ่ายที่มิได้อุทธรณ์ความนั้น) ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 235 และ 236
วินิจฉัย
ในคดีที่มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของคู่ความแล้ว จะอุทธรณ์ต่อไปไม่ได้ เว้นแต่กรณีเข้าข้อยกเว้นอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 138 วรรคสอง กล่าวคือ
(1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
(2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญากู้ที่จำเลยทำไว้เป็นประกันค่าตอบแทนที่โจทก์ช่วยวิ่งเต้นให้ลูกชายจำเลยไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหาร อันถือว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยนั้นขัดต่อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร เป็นเรื่องกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น แม้ต่อมาคู่ความตกลงประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้วก็ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวก็ถือว่าละเมิดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านั้นได้ ตามมาตรา 138(2)
แต่อย่างไรก็ดี หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านั้น จำเลยก็ต้องอยู่ในบังคับที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ คำฟ้องอุทธรณ์ตามกฎหมายกำหนดให้ยื่นภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตามมาตรา 229 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เวลานับแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาได้ล่วงเลย 1 เดือนแล้ว จำเลยจึงหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์เพิกถอนข้อตกลงที่ทำไว้ คำแนะนำดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง
สรุป จำเลยหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์เพิกถอนข้อตกลงที่ทำไว้ คำแนะนำดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องขอศาลบังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายรวม 2 แสนบาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ ลายเซ็นชื่อในสัญญากู้ที่โจทก์อ้างมาในฟ้องนั้นไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลย แต่เป็นลายเซ็นปลอมที่โจทก์กับพวกจัดทำขึ้น ขอให้ศาลยกฟ้อง ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์เกรงว่าจำเลยจะยักยอก จ่ายโอนทรัพย์สิน หากโจทก์ชนะคดีก็จะไม่เหลือทรัพย์สินใดๆของจำเลยที่โจทก์จะบังคับเอาชำระหนี้ได้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอศาลยึดรถยนต์กระบะของจำเลย 1 คัน ไว้ชั่วคราวก่อนศาลพิพากษา ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าโจทก์จะร้องขอยึดเช่นว่านี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 189 คดีมโนสาเร่ คือ
(1) คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ไม่เกินสามแสนบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
(2) คดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสามหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
มาตรา 254 ในคดีอื่นๆ นอกจากคดีมโนสาเร่ โจทก์ชอบที่จะยื่นต่อศาลพร้อมกับคำฟ้องหรือในเวลาใดๆ ก่อนพิพากษา ซึ่งคำขอฝ่ายเดียว ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งภายในบังคับแห่งเงื่อนไขซึ่งจะกล่าวต่อไปเพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองใดๆดังต่อไปนี้
(1) ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดหรือบางส่วนไว้ก่อนพิพากษา รวมทั้งจำนวนเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลย
วินิจฉัย
การขอคุ้มครองประโยชน์ตามมาตรา 254 ใช้กับคดีแพ่งทุกประเภท เว้นแต่คดีต่อไปนี้จะใช้มาตรา 254 ไม่ได้ คือ
1 คดีมโนสาเร่ กล่าวคือ คดีที่โจทก์จะยื่นคำขอ ต้องไม่ใช่คดีมโนสาเร่ ความในมาตรา 254 ห้ามไว้ชัดว่า “ในคดีอื่นๆนอกจากคดีมโนสาเร่ ฯลฯ” ดังนั้น หากเป็นคดีมโนสาเร่ย่อมต้องห้ามมิให้นำบทบัญญัติมาตรา 254 มาใช้บังคับ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้บัญญัติลักษณะของคดีมโนสาเร่ไว้ในมาตรา 189 คือ
1) คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ไม่เกิน 300,000 บาท หรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
2) คดีโดยสภาพแห่งคำฟ้องไม่อาจขอได้ กล่าวคือ คดีโดยสภาพแห่งคำฟ้องไม่อาจขอได้แท้จริงแล้วไม่มีกำหนดไว้ในมาตรา 254 แต่ประการใด มาตรา 254 กำหนดแต่เพียงห้ามคดีมโนสาเร่เท่านั้นแต่คดีโดยสภาพแห่งคำฟ้องไม่อาจขอได้เป็นการพิจารณาจากคำฟ้องที่ไม่อาจมีคำขอตามมาตรา 254 ได้เลย ถ้ายื่นคำขอไป ศาลก็คงมีคำสั่งคุ้มครองใดๆไม่ได้ เช่น ฟ้องหย่า ฟ้องเพิกถอนการสมรส ฟ้องขอให้รับรองบุตร ดังนี้ โดยสภาพแห่งคำฟ้องอยู่ในลักษณะไม่อาจขอให้ยึดหรืออายัดได้เลย
กาที่โจทก์ฟ้องขอศาลบังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายรวม 2 แสนบาท ในระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี โจทก์เกรงว่าจำเลยจะยักย้ายโอนทรัพย์สิน หากโจทก์ชนะคดีก็จะไม่เหลือทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยที่โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้ โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องขอศาลยึดรถยนต์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนศาลพิพากษา คำร้องของโจทก์ดังกล่าวถือเป็นคำขอคุ้มครองประโยชน์ ตามมาตรา 254(1) ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์จะร้องขอต่อศาลเพื่อมีคำสั่งยึดเช่นว่านั้นได้หรือไม่ เห็นว่า คดีที่โจทก์นำมาฟ้องร้องจำเลยเป็นคดีมโนสาเร่ ตามมาตรา 189(1) เพราะทุนทรัพย์ในคดีไม่เกิน 3 แสนบาท ดังนั้น แม้รถยนต์ที่โจทก์จะขอยึดนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยก็ตาม โจทก์ก็จะร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งยึดไม่ได้ เพราะมาตรา 254 บัญญัติห้ามมิให้นำมาใช้บังคับกับคดีมโนสาเร่
สรุป โจทก์จะร้องขอต่อศาลให้ยึดรถยนต์ของจำเลยไม่ได้
ข้อ 4 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ ถ้าไม่คืนหรือคืนไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคา 5 แสนบาท คดีถึงที่สุด ศาลออกคำบังคับ โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ต่อมาจำเลยได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อมาคืนโจทก์ แต่รถยนต์อยู่ในสภาพเสียหายหนักใช้งานไม่ได้ ดังนี้โจทก์จะไม่ยอมรับรถยนต์คันดังกล่าวแต่เกี่ยงจะขอรับเป็นเงินตามคำบังคับโดยจำเลยไม่ยินยอมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 271 ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น
วินิจฉัย
การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังตามลำดับที่ระบุไว้ในคำพิพากษา หาใช่เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะเลือกให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ (ฎ. 5641/2540, ฎ. 788/2543)
การที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อมาคืนโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ตามคำบังคับภายในกำหนดเวลาที่คำบังคับกำหนด เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็จะปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์คันพิพาทไม่ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โจทก์จะเลือกวิธีเรียกร้องให้จำเลยชำระราคารถยนต์แก่โจทก์ โดยจำเลยไม่ยินยอมด้วยไม่ได้ เพราะการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลต้องดำเนินการบังคับก่อนหลังตามลำดับที่ระบุไว้ในคำพิพากษา เมื่อการบังคับคดีในลำดับแรก คือ การคืนรถยนต์ยังอยู่ในวิสัยที่จำเลยจะทำได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเลือกการบังคับคดีในลำดับหลัง แม้รถยนต์นั้นจะมีสภาพเสียหายไม่สามารถใช้การได้ก็ตาม โจทก์เสียหายอย่างไรก็ชอบที่จะไปเรียกร้องเอาจากจำเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ดังนั้น โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ราคาเป็นเงิน 500,000 บาท แทนการรับมอบรถยนต์โดยจำเลยไม่ตกลงยินยอมด้วยไม่ได้
สรุป โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ราคาเป็นเงิน 500,000 บาท แทนการรับมอบรถยนต์โดยจำเลยไม่ตกลงยินยอมด้วยไม่ได้