การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายอรรถเป็นโจทย์ฟ้องนายนิติเป็นจำเลยต่อศาลแขวงสงขลา ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทย์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยเป็นจำนวนสามแสนบาท จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กู้ยืมเงินไปจากโจทย์ แต่เป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยร่วมกันทำธุรกิจการค้ากัน ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ และจำเลยฟ้องแย้งว่าในการทำธุรกิจการค้ากับโจทก์ โจทก์เป็นหนี้จำเลยเป็นเงินสี่แสนบาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้โจทก์ชำระหนี้จำนวนสี่แสนบาทแก่จำเลยประการหนึ่ง
นายดำเป็นโจทก์ฟ้องนายแดงเป็นจำเลยต่อศาลแขวงสงขลาว่า จำเลยยืมรถตัดฟ่อนข้าวของโจทก์ไปเพื่อตัดฟ่อนข้าวในนาของจำเลย เมื่อตัดฟ่อนข้าวเสร็จแล้วโจทก์ขอคืนรถตัดฟ่อนข้าวของโจทก์จำเลยก็ไม่ยอมคืน ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนรถตัดฟ่อนข้าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยคืนรถตัดฟ่อนข้าวให้แก่โจทก์ไม่ได้ ให้จำเลยใช้ค่ารถตัดฟ่อนข้าวแก่โจทก์เป็นเงินสองแสนเก้าหมื่นบาท ศาลแขวงพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยคืนรถตัดฟ่อนข้าวให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงินสองแสนเก้าหมื่นบาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถยนต์คันหนึ่งราคาแปดแสนบาทจากบ้านจำเลย ปรากฏว่ารถยนต์เป็นของนายเขียวเพื่อนบ้านจำเลย นายเขียวจึงมายื่นคำร้องขัดทรัพย์ต่อศาลแขวงสงขลาว่ารถยนต์เป็นของตน ขอให้ศาลปล่อยการยึด อีกประการหนึ่ง
ศาลแขวงสงขลาจะรับฟ้องแย้งของจำเลยในประการแรก และจะรับคำร้องขัดทรัพย์ของนายเขียวในประการหลังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น
วินิจฉัย
ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25 วรรคแรก (4) ประกอบมาตรา 17 คือ คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 แสนบาท
มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยคือ ประการแรก ศาลแขวงสงขลาจะรับฟ้องแย้งของจำเลยได้หรือไม่ และประการที่สอง ศาลแขวงสงขลาจะรับคำร้องขัดทรัพย์ของนายเขียวได้หรือไม่
ประการแรก กรณีเกี่ยวกับ “การฟ้องแย้ง” นั้น มีหลักว่า ถ้าจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีเดิม (ฟ้องแย้ง) และจำเลยได้ฟ้องมาในคำให้การของจำเลยตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 177 นั้น ถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่ ดังนั้นการคำนวณทุนทรัพย์จึงต้องคำนวณแยกต่างหากจากฟ้องเดิม และถ้าฟ้องแย้งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ หรือมีทุนทรัพย์เกินกว่า 300,000 บาท ศาลแขวงจะรับฟ้องแย้งไว้พิจารณาไม่ได้
และข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายอรรถเป็นโจทก์ฟ้องนายนิติเป็นจำเลยต่อศาลแขวงสงขลา ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์พร้อมดอกเบี้ยเป็นจำนวน 300,000 บาท นั้นถือว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 300,000 บาท จึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงสงขลาที่จะรับฟ้องคดีดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 วรรคแรก (4) ประกอบมาตรา 17
แต่เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ แต่เป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยร่วมกันทำธุรกิจการค้ากัน และจำเลยได้ฟ้องแย้งว่าในการทำธุรกิจการค้ากับโจทก์ โจทก์เป็นหนี้จำเลยเป็นเงิน 400,000 บาท จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้ศาลพิพากษาบังคับให้โจทก์ชำระหนี้จำนวน 400,000 บาท แก่จำเลยนั้น การฟ้องแย้งของจำเลยถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่ เมื่อคดีฟ้องแย้งเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์เกิน 300,000 บาท จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวง ดังนั้นศาลแขวงสงขลาจะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้เพื่อพิจารณาพิพากษาไม่ได้
ประการที่สอง เกี่ยวกับ “การร้องขัดทรัพย์” นั้น ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 288 ได้วางหลักไว้ว่า ในการฟ้องขัดทรัพย์ต้องร้องยังศาลที่ออกหมายบังคับคดี ถ้าคดีฟ้องร้องที่ศาลแขวง ศาลแขวงออกหมายบังคับคดีการร้องขัดทรัพย์ต้องร้องที่ศาลแขวง โดยไม่ต้องคำนึงถึงราคาของทรัพย์ที่ถูกยึด แม้ว่าราคาของทรัพย์ที่ถูกยึดจะเกิน 300,000 บาท ผู้พิพากษาศาลแขวงก็มีอำนาจสั่งยกเลิกการยึดทรัพย์ได้
และกรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อศาลแขวงสงขลาได้ออกหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดรถยนต์คันหนึ่งราคา 800,000 [ท จากบ้านจำเลย แต่ปรากฏว่ารถยนต์เป็นของนายเขียว และนายเขียวได้มายื่นคำร้องขัดทรัพย์ต่อศาลแขวงสงขลาว่ารถยนต์เป็นของตน ขอให้ศาลปล่อยการยึดนั้น ดังนี้แม้ทรัพย์ที่ถูกยึดจะมีราคาเกิน 300,000 บาท ศาลแขวงสงขลาก็มีอำนาจสั่งคำร้องขัดทรัพย์ของนายเขียวได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 288 โดยไม่ถูกจำกัดราคาของทรัพย์ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17
สรุป ศาลแขวงสงขลาจะรับฟ้องแย้งของจำเลยในประการแรกไม่ได้ แต่จะรับคำร้องขัดทรัพย์ของนายเขียวประการหลังได้
ข้อ 2 ในศาลจังหวัดมีนายเอกเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล นายโทผู้พิพากษาอาวุโส นายดำ นายแดง นายเขียว ผู้พิพากษาศาลจังหวัดตามลำดับ และนายกล้าผู้พิพากษาประจำศาล นายเอกได้จ่ายสำนวนคดีให้นายดำและนายแดงเป็นองค์คณะพิจารณาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ต่อมานายเขียวทราบว่านายแดงเป็นญาติกับฝ่ายจำเลยจึงนำความไปบอกนายเอก นายเอกเห็นว่าอาจจะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น นายเอกจึงให้นายเขียวทำความเห็นเสนอต่อตนและนายเอกได้เรียกคืนสำนวนคดีดังกล่าว
ท่านเห็นว่าการกระทำของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 33 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม การเรียกคืนสำนวนคดีหรือการโอนสำนวนคดี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์คณะผู้พิพากษาใด ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น และรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวงที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น แล้วแต่กรณีที่มิได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทำได้
ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น แล้วแต่กรณี ไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้น ให้รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้น เป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็นแทน ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น มีหนึ่งคนหรอมีหลายคนแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้นทั้งหมด ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดของศาลนั้นเป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็น
ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจในการเสนอความเห็นตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง
วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติดังกล่าว โดยหลักแล้วเมื่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาล จ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว ก็ต้องให้องค์คณะดังกล่าวนั้นพิจารณาไปจนเสร็จสำนวน จะเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนจากองค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นไม่ได้ เว้นแต่
1 เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม ในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น และ
2 ในกรณีของศาลจังหวัด ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัด ซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้นเสนอความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีนั้น หรือโอนสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น
การที่นายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัด ได้จ่ายสำนวนคดีให้นายดำและนายแดงเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ดังนี้ถ้านายเอกเห็นว่าในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีดังกล่าวอาจกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น จึงให้นายเขียวผู้พิพากษาศาลจังหวัดทำความเห็นเสนอต่อตน และนายเอกได้เรียกคืนสำนวนคดีดังกล่าว ดังนั้นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยอยู่ที่ว่า นายเขียวมีอำนาจในการทำความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีได้หรือไม่
กรณีดังกล่าว เมื่อพิจารณาจากพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 33 ประกอบกับข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เห็นว่า นายเขียวมีอำนาจในการทำความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีได้ ทั้งนี้เพราะเมื่อนายดำและนายแดง ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัดตามลำดับได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ทำการเสนอความเห็นตามมาตรา 33 วรรคแรกและวรรคสอง ดังนั้นนายเขียวซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้นจึงมีอำนาจในการเสนอความเห็นแทนตามมาตรา 33 วรรคสอง ส่วนนายโทซึ่งเป็นผู้พิพากษาอาวุโสและนายกล้าผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจเสนอความเห็นดังกล่าวตามมาตรา 33 วรรคสาม ดังนั้นการที่นายเอกได้ให้นายเขียวทำความเห็นเสนอต่อตน และได้เรียกคืนสำนวนคดีดังกล่าว จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
สรุป การกระทำของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเช่าบ้านที่ค้างชำระ 6 เดือนๆละ 50,000 บาท ต่อศาลแขวงนนทบุรี ซึ่งมีนายธรรมผู้พิพากษาศาลแขวงเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง เป็นค้างชำระค่าเช่า 7 เดือนๆละ 50,000 บาท นายธรรมอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง จากนั้นนายธรรมจึงได้ไปปรึกษาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงนนทบุรี ซึ่งต่อมาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงได้มอบหมายให้นายจักรผู้พิพากษาศาลแขวงนนทบุรีอีกคนหนึ่ง เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาร่วมกับนายธรรม เมื่อการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว นายธรรมและนายจักรจึงร่วมกันพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 7 เดือน ตามที่โจทก์ขอ
คำพิพากษาของนายธรรมและนายจักรชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
วินิจฉัย
ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ศาลแขวงซึ่งมีผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้อง) ไม่เกิน 3 แสนบาท (มาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17
การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าบ้านที่ค้างชำระ 6 เดือนๆละ 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 300,000 บาท ต่อศาลแขวงนนทบุรีนั้น นายธรรมผู้พิพากษาศาลแขวงย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ เพราะเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 300,000 บาท ตามพระธรรมนูญมาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นค้างค่าเช่า 7 เดือนๆละ 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 350,000 บาท ซึ่งนายธรรมนูญอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ดังนั้นกรณีดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกิน 300,000 บาท จึงเป็นคดีที่เกินอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ นายธรรมผู้พิพากษาศาลแขวงนนทบุรีจะต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความและคืนฟ้องให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอำนาจต่อไป การที่นายธรรมได้นำคดีไปปรึกษาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงนนทบุรี และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงนนทบุรีได้มอบหมายให้นายจักรผู้พิพากษาศาลแขวงนนทบุรีอีกคนหนึ่งเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาร่วมกับนายธรรม และเมื่อการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว นายธรรมและนายจักรจึงร่วมกันพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 7 เดือนแก่โจทก์นั้น คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรร
สรุป คำพิพากษาของนายธรรมและนายจักรไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม