การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

Advertisement

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายต๋อยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด ในคืนวันที่ฝนตกถนนลื่น ขณะ นายต๋อยขับรถเลี้ยวในทางโค้ง นายต่อยไม่ได้ชะลอความเร็ว ยังคงขับรถเกินอัตราที่กฎหมาย กําหนดไว้ นายต๋อยเห็นนายต๋องกําลังหาบเต้าหู้ขายและกําลังเดินข้ามถนนจะพ้นอยู่แล้ว นายต๋อย จึงรีบห้ามล้อทันทีแต่ไม่ทันเพราะรถได้ลื่นไปชนหาบเต้าหู้ของนายต๋อง หาบเต้าหู้ของนายต๋อง เสียหายทั้งหมด แต่ตัวนายต้องไม่เป็นอะไรเลย

จงวินิจฉัยความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาของนายต่อย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้
แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายต๋อยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด ในคืน วันที่ฝนตกถนนลื่น และขณะที่นายต้อยขับรถเลี้ยวในทางโค้งก็ไม่ได้ชะลอความเร็ว ยังคงขับรถเกินอัตราที่ กฎหมายกําหนดไว้ เป็นเหตุให้ห้ามล้อไม่ทันจนทําให้ชนหาบเต้าหู้ของนายต้องเสียหายทั้งหมดนั้น ถือว่านายต่อย
มิได้มีเจตนากระทําให้ทรัพย์ของนายต้องเสียหาย เนื่องจากนายต๋อยไม่ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่ เกิดขึ้นนั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ดี การกระทําของนายต่อยดังกล่าวนั้น ถือเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ตามภาวะวิสัยของคนขับรถในพฤติการณ์เช่นนั้น ซึ่งนายต๋อยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้ เพียงพอไม่ การกระทําของนายต่อยจึงเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี เป็นเหตุให้ทรัพย์สิน คือหาบเต้าหู้ของนายต้องเสียหาย แต่เนื่องจากการกระทําโดยประมาททําให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายนั้น กฎหมาย อาญามิได้บัญญัติเป็นความผิด ดังนั้น นายต๋อยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

สรุป นายต่อยไม่ต้องรับผิดในทางอาญาต่อนายต้อง

ข้อ 2 นายเดชารู้สึกรําคาญนายเดโชที่นั่งดื่มสุราอยู่ที่โต๊ะอาหารข้าง ๆ เพราะเมาสุราพูดจาเอะอะโวยวาย จึงชักปืนลูกซองออกมาเล็งยิ่งไปที่ขวดสุราบนโต๊ะอาหารที่นายเตโชนั่งอยู่ ลูกกระสุนปืนถูก ขวดสุราของนายเดโซแตกและกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดโชได้รับอันตรายสาหัส นอกจากนี้ ลูกกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดชชาติที่อุ้มลูกสุนัขของนายเดชชัยที่เดินเข้ามาในร้านอาหารพอดี เป็นเหตุให้นายเดชชาติถึงแก่ความตาย และลูกสุนัขของนายเดชชัยที่อุ้มมาตกพื้นตายเช่นกัน นายเดชามีความผิดฐานใดบ้าง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชักให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนา แก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมาย บัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย
มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเดชา มีความผิดฐานใดบ้างนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 การที่นายเดชาชักปืนลูกซองออกมาเล็งยิงไปที่ขวดสุราบนโต๊ะอาหารที่นายเดโชนั่งอยู่ ลูกกระสุนปืนถูกขวดสุราของนายเดโชแตกนั้น การกระทําของนายเดชาเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายเดชาจึงเป็นการกระทําโดย เจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น นายเดชาจึงมีความผิดฐานเจตนาทําให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายตาม มาตรา 358 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

2 การกระทําของนายเดชาที่ใช้ปืนลูกซองยิงไปที่ขวดสุราดังกล่าวนั้น นอกจากลูกกระสุนปืน จะถูกขวดสุราของนายเดโชแตกแล้ว ลูกกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดโชได้รับอันตรายสาหัสอีกด้วยนั้น

กรณีนี้ถือว่า นายเตชาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทําของตนอยู่แล้วว่า กระสุนปืนอาจถูกนายเดโชได้ ดังนั้น เมื่อกระสุนปืนที่นายเดชาได้ยิงไปนั้นถูกนายเดโช การกระทําของนายเดชาต่อนายเดโชดังกล่าวจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น และเมื่อนายเดโชได้รับอันตรายสาหัสไม่ถึงแก่ความตาย การกระทํา ของนายเดชาจึงเป็นการกระทําที่ได้กระทํา ปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล นายเดชาจึงมีความผิด ฐานพยายามฆ่านายเดโชตามมาตรา 288 และมาตรา 80 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

3 การที่นายเดชาได้ใช้ปืนยิงขวดสุราของนายเดโชนั้น นอกจากกระสุนปืนจะถูกนายเดโชแล้ว ลูกกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดชชาติที่อุ้มลูกสุนัขของนายเดชชัยที่เดินเข้ามาในร้านอาหารพอดีเป็นเหตุให้ นายเดชชาติถึงแก่ความตายนั้น ถือว่าผลของการกระทําที่เกิดกับนายเดชชาตินั้น เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปจึง ต้องถือว่านายเดชาได้กระทําโดยเจตนาต่อนายเดชชาติบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น นายเดชาจึงต้องรับผิดฐานฆ่านายเดชชาติตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60

4 การที่กระสุนปืนที่นายเดชามีเจตนาที่จะยิงไปที่ขวดสุรานั้น นอกจากจะถูกขวดสุราแตก แล้วยังกระจายไปถูกนายเดชชาติที่อุ้มลูกสุนัขของนายเดชชัย ทําให้ลูกสุนัขตกพื้นตายนั้น ผลของการกระทําที่ เกิดกับลูกสุนัขดังกล่าวเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงต้องถือว่านายเดชากระทําโดยเจตนาต่อลูกสุนัขของนาย เดชชัย ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น นายเดชาจึงมีความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ โดยพลาดต่อนายเดชชัยตามมาตรา 358 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60

สรุป นายเดชามีความผิดฐานเจตนาทําให้ทรัพย์ของนายเดโชเสียหายโดยเจตนาประสงค์ต่อผล มีความผิดฐานพยายามฆ่านายเดโชโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล มีความผิดฐานฆ่านายเดชชาติโดยพลาด และมี ความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์โดยพลาดต่อนายเดชชัย

หมายเหตุ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 บัญญัติว่า “ผู้ใดทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้ เสื่อมค่า หรือทําให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทําความผิดฐานทําให้ เสียทรัพย์…”

ข้อ 3 นายโยธินเป็นคู่อริกับนายนาวิน นายโยธินจึงลอบเข้าไปในบ้านของนายนาวินและเล็งปืนไปยัง นายนาวิน ขณะเดียวกันนายนาวินได้หยิบปืนขึ้นมาทําความสะอาดอยู่พอดี เห็นนายโยธินกําลัง เล็งปืนมาที่ตน นายนาวินเลยใช้ปืนกระบอกนั้นยิงไปที่นายโยธิน นายโยธินถึงแก่ความตายทันที

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายนาวิน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด
และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย

(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น

(4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนาวินใช้ปืนยิงไปที่นายโยธินจนนายโยธินถึงแก่ความตายทันทีนั้น ถือว่านายนาวินได้กระทําต่อนายโยธินโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึก ในการกระทํา และในขณะเดียวกันนายนาวินก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ซึ่งโดยหลักแล้วนายนาวิน
จะต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโยธินตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายนาวินใช้ปืนยิงนายโยธินนั้น เป็นเพราะนายโยธินได้ลอบเข้าไปในบ้าน ของนายนาวินและเล็งปืนไปยังนายนาวิน ซึ่งลักษณะการกระทําของนายโยธินนั้นย่อมถือได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจาก การประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นกับนายนาวินแล้ว และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง นายนาวินจึงต้อง กระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนคือการใช้ปืนยิงไปที่นายโยธิน และเมื่อเป็นการกระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทํา ดังกล่าวของนายนาวินจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ของการกระทําอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68

ดังนั้น นายนาวินจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป นายนาวินไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ข้อ 4 นายมาเฟียเป็นศัตรูกับนายเจ้าพ่อ นายมาเฟียจ้างนายมือปืนไปฆ่านายเจ้าพ่อ นายมือปืนได้ สมคบกันกับนายลูกปืนจะไปฆ่านายเจ้าพ่อ โดยให้นายมือปืนเป็นผู้ยิง นายลูกปืนจะช่วยดูต้นทางให้ ระหว่างที่รอนายเจ้าพ่อ นายระเบิดเดินผ่านมาทางนี้พอดี นายลูกปืนสนิทกับนายระเบิดจึงเล่าเรื่อง ให้นายระเบิดฟัง และให้ช่วยดูต้นทางอีกคน นายระเบิดตกลงกับนายลูกปืนสองคน ระหว่างรอนั้น มีคนจะเดินไปทางที่นายมือปืนซุ่มรอนายเจ้าพ่อพอดี นายระเบิดจึงเดินไปบอกคนนั้นให้เดินไป ทางอื่นเพราะถนนไม่ดี เมื่อนายเจ้าพ่อมาถึงจุดดักยิง นายมือปืนจึงยิงนายเจ้าพ่อสําเร็จ นายเจ้าพ่อ ถึงแก่ความตายทันทีในที่เกิดเหตุ

จงวินิจฉัยความรับผิดของนายมาเฟีย นายลูกปืน และนายระเบิด พร้อมอัตราโทษตามกฎหมาย สําหรับการเป็นผู้ร่วมกระทําความผิดด้วย

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

ธงคําตอบ

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ
เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ….”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมือปืนยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายนั้น ถือเป็นการกระทําโดย รู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายมือปืน จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น นายมือปืนจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

สําหรับ นายมาเฟีย นายลูกปืน และนายระเบิด จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายมือปืน ยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายอย่างไรหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายมาเฟีย

การที่นายมาเฟียจ้างนายมือปืนให้ไปฆ่านายเจ้าพ่อนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้ว
ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง นายมาเฟียจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ และเมื่อนายมือปืนได้ลงมือกระทําความผิดนั้น จนเป็นผลสําเร็จตามที่ถูกใช้แล้ว นายมาเฟียจึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา 84 วรรคสาม

กรณีของนายลูกปืน

การที่นายลูกปืนได้สมคบกันกับนายมือปืนเพื่อไปฆ่านายเจ้าพ่อ โดยให้นายมือปืนเป็นผู้ยิงและ นายลูกปืนจะช่วยดูต้นทางให้นั้น ถือว่านายลูกปืนและนายมือปืนได้ร่วมกันเพื่อกระทําความผิดตั้งแต่แรกจนถึง ขั้นลงมือกระทําความผิดแล้วโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น เมื่อนายมือปืนยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตาย นายลูกปืนจึงต้องรับผิดทางอาญาร่วมกับนายมือปืนในฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 ในความผิดฐานฆ่าคนตาย
โดยเจตนา

กรณีของนายระเบิด

การที่นายระเบิดเดินผ่านมาในทางที่นายลูกปืนและนายมือปืนดักยิงนายเจ้าพ่อ นายลูกปืนซึ่งสนิทกับ นายระเบิดจึงเล่าเรื่องให้นายระเบิดฟังและให้นายระเบิดช่วยดูต้นทางให้อีกคนนั้น แม้นายระเบิดจะได้ตกลงกับ นายลูกปืนสองคน โดยนายมือปืนผู้ลงมือกระทําความผิดจะไม่รู้ถึงเจตนาของนายระเบิดก็ตาม แต่เนื่องจากนายระเบิดมีเจตนาร่วมกับนายลูกปืนและมีการกระทําร่วมกับนายลูกปืน โดยนายระเบิดจะคอยบอกให้คนที่จะเดินทาง ไปในทางที่นายมือปืนซุ่มรอนายเจ้าพ่อให้เดินไปทางอื่น และเมื่อนายเจ้าพ่อเดินมาถึงจุดดักยิงนายมือปืนจึงยิ่ง นายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายสําเร็จนั้น การกระทําของนายระเบิดมิใช่เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก

ในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิดอันเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 แต่ถือว่านายระเบิดมีเจตนาร่วมกันกับนายลูกปืนและมีการกระทําร่วมกันกับนายลูกปืนแล้ว และเมื่อนายมือปืนยิง นายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายสําเร็จ จึงถือว่านายระเบิด นายลูกปืน และนายมือปืนได้ร่วมกันเพื่อกระทําความผิด ตั้งแต่แรกจนถึงขั้นลงมือกระทําความผิดโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น นายระเบิดจึงเป็นตัวการร่วมกัน กับนายลูกปืนและนายมือปืนในการกระทําความผิดฐานฆ่านายเจ้าพ่อตายโดยเจตนาตามมาตรา 83

สรุป นายมาเฟียต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม

นายลูกปืนและนายระเบิดต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 และต้องรับโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเช่นเดียวกับนายมือปืน

Advertisement