การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  โมหะกลับบ้านตอนดึก  ได้ทราบจากโมรีภริยาว่า  มอคค่าสุนัขที่เลี้ยงไว้กัด  ด.ญ.โมจิ  ลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา  โมหะโกรธมากจึงตั้งใจว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับมอคค่าอีกต่อไป  จึงยืนดักรอให้มอคค่ากลับบ้าน

หลังจากที่มอคค่าหนีออกจากบ้านไปหลังกัดโมจิ  สักครู่ใหญ่โมหะเห็นน้องหมาตัวหนึ่งวิ่งเข้าบ้านมาคุ้ยขยะหน้าบ้านกินด้วยความหิวโหย  โมหะเข้าใจว่าเป็นมอคค่า  จึงจะทุบให้ตาย  เมื่อน้องหมาก้มลงกินด้วยความอร่อย  โมหะใช้ไม้กอล์ฟทุบน้องหมาตายคากองอาหารด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ความจริงแล้วน้องหมาที่ตายนั้นคือ  ช็อกโกแลตลาวา  น้องหมาของโทโสเพื่อนบ้านที่มีรูปร่างคล้ายกัน  โมหะทุบน้องหมาตัวนั้นด้วยความรีบร้อน  ไม่ทันดูให้ดี  จึงทำให้ช็อกโกแลตลาวาตาย 

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายโมหะ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

การกระทำโดยเจตนา  ได้แก่การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้  คือจะถือว่าผู้กระทำได้กระทำโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่โมหะได้ใช้ไม้กอล์ฟทุบน้องหมา  คือ  ช็อกโกแลตลาวาตายนั้น  เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  จึงถือว่าเป็นการกระทำทางอาญาแล้ว  แต่การกระทำดังกล่าวของโมหะจะถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาหาได้ไม่  เพราะโมหะได้กระทำโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  ตามมาตรา  59  วรรคสาม  คือไม่รู้ว่าน้องหมาที่ตนใช้ไม้กอล์ฟทุบจนตายนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่นไม่ใช่มอคค่าสุนัขของตนเอง  ดังนั้นโมหะจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์  (องค์ประกอบของความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  ตาม  ป.อาญา  มาตรา  358  คือ  1  ทำให้เสียหาย  ทำลาย  ทำให้เสื่อมค่า  หรือทำให้ไร้ประโยชน์  2  ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  3  โดยเจตนา)

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของโมหะ  เนื่องจากโมหะได้ทุบช็อกโกแลตลาวาซึ่งเป็นสุนัขของโทโสตายนั้น  ได้กระทำด้วยความรีบร้อนไม่ทันดูให้ดีว่าไม่ใช่มอคค่าสุนัขของตน  แต่โมหะก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททำให้เสียทรัพย์  ทั้งนี้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทำโดยประมาททำให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใด  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  ประกอบกับมาตรา  62  วรรคสอง  ดังนั้นโมหะจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป  โมหะไม่มีความรับผิดทางอาญา

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  เมื่อนายแดงเห็นนายขาวเดินมา  คิดว่าเป็นนายดำ  นายแดงจึงใช้ปืนยิงนายขาว  นายขาวมองเห็นก่อนจึงหลบกระสุนได้ทัน  กระสุนจึงไม่ถูกที่สำคัญ  ทำให้นายขาวได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย  ในการนั้นนายเขียวที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไปได้รับกระสุนไปด้วย  แต่กระสุนถูกที่สำคัญทำให้นายเขียวถึงแก่ความตายในทันที

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดงต่อนายขาว  และต่อนายเขียว

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสาม  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายแดงต่อนายขาว

ตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงใช้ปืนยิงนายขาวนั้น  ถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาเพราะนายแดงได้กระทำโดยรู้สำนึก  และในขณะเดียวกันนายแดงได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  และนายแดงได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา  59  วรรคสาม

และแม้ว่าข้อเท็จจริงนายแดงมีเจตนาฆ่านายดำ  แต่ได้ลงมือกระทำต่อนายขาวเพราะเข้าใจผิดคิดว่านายขาวเป็นนายดำ  นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายขาวไม่ได้  ดังนั้นจึงต้องถือว่านายแดงมีเจตนาฆ่านายขาวด้วยตามมาตรา  61  และเมื่อนายขาวไม่ถึงแก่ความตายเพราะกระสุนไม่ถูกที่สำคัญ  จึงถือว่านายแดงได้ลงมือกระทำและกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำไม่บรรลุผล  นายแดงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดในตัวบุคคล  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  61  และมาตรา  80  วรรคแรก

ความรับผิดของนายแดงต่อนายเขียว

การที่นายแดงได้ใช้ปืนยิงนายขาว  แล้วกระสุนปืนได้เลยไปถูกนายเขียวที่ยืนอยู่ไกลออกไป  ทำให้นายเขียวถึงแก่ความตายนั้น  เป็นกรณีที่นายแดงได้กระทำโดยเจตนาต่อนายขาว  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่นายเขียวโดยพลาดไป  เช่นนี้ให้ถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาแก่นายเขียวบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำด้วย  ตามมาตรา  60  ดังนั้นเมื่อนายเขียวถึงแก่ความตาย  นายแดงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเขียวตายโดยเจตนาโดยพลาด  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  60

สรุป  นายแดงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดในตัวบุคคล  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  มาตรา  61  ประกอบมาตรา  80  และต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเขียวตายโดยเจตนาโดยพลาด  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  60

 

ข้อ  3  หนึ่งและสองเป็นบุตรของสาม  สามถูกฆ่าตาย  หนึ่งสืบทราบมาว่าสี่เป็นคนฆ่าสาม  หนึ่งและสองปรึกษาวางแผนฆ่าสี่เพื่อแก้แค้น  หนึ่งจึงไปขอยืมอาวุธปืนจากห้า  ห้าทราบดีว่าหนึ่งจะนำอาวุธปืนไปยิงสี่

ด้วยความเห็นใจหนึ่งที่ต้องสูญเสียบิดาจึงให้ยืม  หนึ่งได้อาวุธปืนจากห้า  แล้วได้กลับไปหาสอง  และทั้งสองได้เดินทางไปดักยิงสี่

เมื่อไปถึงจุดที่สี่ต้องผ่านมา  หนึ่งให้สองไปคอยดูต้นทางและให้สัญญาณ  พอสี่เดินมาสองได้ให้สัญญาณแก่หนึ่ง  หนึ่งยกปืนเล็งไปที่สี่  ก่อนหนึ่งลั่นไก  สองได้ร้องตะโกนบอกหนึ่งว่าอย่ายิง  และวิ่งมาปัดปืน  แต่หนึ่งยังยืนยันฆ่าสี่  และได้ลั่นไกปืน  กระสุนปืนถูกสี่ตาย

ดังนี้  สองและห้าต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของสอง

การที่หนึ่งและสองได้ร่วมกันปรึกษาวางแผนฆ่าสี่  และทั้งสองได้เดินทางไปดักยิงสี่  เมื่อไปถึงจุดที่สี่ต้องผ่านมา  หนึ่งให้สองไปคอยดูต้นทางและให้สัญญาณ  และเมื่อสี่เดินมาสองได้ให้สัญญาณแก่หนึ่ง  การกระทำของสองนับว่าเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้การฆ่าสี่บรรลุผลสำเร็จ  ดังนั้นเมื่อหนึ่งได้ใช้ปืนยิงสี่กระสุนปืนถูกสี่ตาย  จึงถือว่าสองร่วมกันกระทำความผิดกับหนึ่งฐานฆ่าสี่ตายโดยเจตนา  สองจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83 

ความรับผิดของห้า

การที่ห้าทราบดีว่าหนึ่งจะไปฆ่าสี่  จึงได้ให้หนึ่งยืมอาวุธปืนเพื่อไปฆ่าสี่  การกระทำของห้าถือเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด  เมื่อหนึ่งฆ่าสี่ตาย  ห้าจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป  สองต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

ห้าต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

 

ข้อ  4  หาญพบโหนคู่อริ  หาญชักมีดออกแทงโหนในระยะกระชั้นชิด  โหนเห็นจวนตัวไม่อาจหลีกหนี  จึงชักปืนออกยิงไปที่หาญ  กระสุนปืนถูกหาญบาดเจ็บแล้วเลยไปถูกห้อยตาย  แห้วบุตรของห้อยเห็นห้อยบิดาถูกยิงล้มลง  และโหนถือปืนวิ่งหนีไป  แห้ววิ่งไล่ตามพอทันแห้วใช้มีดแทงไปที่โหนได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  โหนและแห้วต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  62  วรรคแรก  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีของโหน

การที่โหนได้ชักปืนออกยิงไปที่หาญ  ถือว่าโหนได้กระทำต่อหาญโดยเจตนาเพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่เมื่อการกระทำของโหนนั้น  เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  จึงถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ดังนั้นโหนจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญาฐานพยายามฆ่าหาญ

และเมื่อการกระทำของโหน  เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  แม้กระสุนปืนจะเลยไปถูกห้อยตาย  ซึ่งถือเป็นกรณีที่โหนกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  และกฎหมายให้ถือว่าโหนเจตนากระทำต่อห้อยโดยพลาดไปตามมาตรา  60  ก็ตาม  แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของโหนเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผลที่เกิดโดยพลาดไปก็ถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  ด้วย  ดังนั้นโหนจึงไม่ต้องรับผิดต่อห้อย

กรณีของแห้ว

การที่แห้วใช้มีดแทงไปที่โหนจนโหนได้รับบาดเจ็บ  ถือว่าแห้วได้กระทำโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แห้วจะอ้างบันดาลโทสะเพื่อให้รับโทษน้อยลงตามมาตรา  72  ไม่ได้  เพราะการกระทำของโหนเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  จึงไม่ถือว่าโหนได้ข่มเหงแห้วด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  แห้วจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อโหนฐานพยายามฆ่าโหนตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  80

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่แห้วได้ใช้มีดแทงไปที่โหนนั้น  เป็นเพราะเข้าใจผิดว่าโหนมีเจตนาฆ่าบิดาของตน  แม้ตามข้อเท็จจริงจะไม่มีอยู่จริง  แต่แห้วสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ดังนี้แห้วย่อมสามารถอ้างความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  72  และมาตรา  62  วรรคแรก

สรุป  โหนไม่ต้องรับผิดทางอาญา

แห้วต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าโหน  แต่แห้วสามารถอ้างความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้

Advertisement