THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.ข้อใดไม่มีคําบอกกาล
(1) เขาซื้อขนมอยู่
(2) เขากําลังนอนอยู่
(3) เขานอนกลางวันอยู่
(4) เขาร้องเพลงได้อยู่
ตอบ 4หน้า 2, 121 123 (56256), 7 – 8, 100 – 101 (H) การแสดงกาล คือ การบอกให้รู้ว่ากริยา กระทําเมื่อไร ซึ่งนอกจากจะต้องอาศัยกริยาช่วยเพื่อแสดงกาลเวลาที่แตกต่างกันแล้ว เช่น คําว่า “จะกําลังจะ” (บอกอนาคต), “กําลัง/อยู่” (บอกปัจจุบัน), “ได้แล้ว” (บอกอดีต) ฯลฯ ก็ยังมี คํากริยาวิเศษณ์หรือกริยาบางคําที่ช่วยแสดงกาล โดยอาศัยเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมเป็น เครื่องชี้ ดังนี้
1. บอกปัจจุบัน ได้แก่ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตอนนี้ วันนี้ ฯลฯ
2. บอกอนาคต ได้แก่ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีหน้า เดือนหน้า ฯลฯ
3. บอกอดีต ได้แก่ เมื่อวานนี้ เมื่อก่อนนี้ เมื่อปีก่อน เพิ่งมา ฯลฯ
(ประโยค “เขาร้องเพลงได้อยู่” ไม่ได้บอกกาล แต่หมายถึง เขาสามารถร้องเพลงได้)

2.ข้อใดมีคําบอกเพศมากที่สุด
(1) หลานสาวยายไปอยู่กับพ่อเลี้ยงแล้ว
(2) ป้าหอมเดินตามลุงมิ่งไปตลาด
(3) ตาเนยกําลังตัดอ้อยกลางทุ่ง
(4) ยายใจอยู่บ้านน้าอ้อยมานานแล้ว
ตอบ 1 หน้า 2, 109 – 110, 112 (56256), 6 – 7, 97 – 98 (H) คํานามในภาษาไทยบางคําก็แสดง เพศได้ชัดเจนในตัวของมันเอง เช่น คําที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เณร ทิด เขย ชาย หนุ่ม บ่าว ปู่ ตา ผม นาย ถึง ลูกเสือ พลาย (ช้างตัวผู้) ฯลฯ และคําที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ สะใภ้ หญิง สาว นาง ชี ป้า ย่า ยาย ดิฉัน พัง (ช้างตัวเมีย) ฯลฯ แต่คําบางคําที่เป็นคํารวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า อา ลูก หลาน เพื่อน ฯลฯ เมื่อต้องการแสดงเพศให้ชัดเจนตามแบบภาษา คําโดดก็จะต้องใช้คําบ่งเพศมาประกอบเข้าข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรืออาจนํามาประสมกัน ตามแบบคําประสมบ้าง เช่น พี่ชาย น้องสาว เด็กผู้หญิง น้าชาย อาหญิง หลานสาว ฯลฯ

3.“ถ้าก้างปลาหมอติดคอ ยายต้องรีบไปหาหมอทันทีนะ” จากข้อความไม่ปรากฏภาพสะท้อนลักษณะของภาษาไทยประเภทใด
(1) คําคําเดียวมีหลายความหมาย
(2) บอกเพศ
(3) มีระบบเสียงสูงต่ํา
(4) บอกมาลา
ตอบ 3 หน้า 2, 123 – 125 (56256), 2 – 10 (H) ข้อความข้างต้นปรากฏลักษณะของภาษาไทย ดังนี้
1. คําคําเดียวมีหลายความหมาย เช่น หมอ (ในคําว่า “ปลาหมอ”) = ชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ส่วน “หมอ” คําที่ 2 = ผู้ตรวจรักษาโรค
2 บอกเพศ เช่น ยาย (ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ)
3. บอกมาล” (ภาวะหรืออารมณ์) เช่น ต้องรีบไปหาหมอทันทีนะ (ใช้เป็นคําสั่ง)

4.ข้อใดเป็นสระเดี่ยวเสียงยาว
(1) ศิลป์
(2) เลิศ
(3) ซึม
(4) ล้ำ
ตอบ 2 หน้า 8, 13 – 14 (56256), 17, 24 – 30 (H) เสียงสระในภาษาไทยมี 28 เสียง ดังนี้
1. สระเดี่ยว 18 เสียง แบ่งเป็นเสียงสั้น 9 เสียง ได้แก่ อะ อิ อี อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ และเสียงยาว 9 เสียง ได้แก่ อา อี คือ อู เอ แอ เออ โอ ออ
2. สระผสม 10 เสียง แบ่งเป็นเสียงสั้น 5 เสียง ได้แก่ เอียะ เอีอะ อัวะ เอา ไอ
และเสียงยาว 5 เสียง ได้แก่ เอ๊ย เอื้อ อัว อาว อาย
(ยกเว้นคําใดที่ลงท้ายด้วย ยาว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ อาจเป็นได้ทั้งตัวสะกด ยาว หรือเป็น สระผสม 2 เสียง หรือ 3 เสียงก็ได้)

5. ข้อใดเป็นสระหน้า
(1) แหน
(2) คลั่ง
(3) โจทย์
(4) ทาส
ตอบ 1 หน้า 9 – 10 (56256), 18 – 19 (H) สระเดี่ยวที่จําแนกตามส่วนต่าง ๆ ของลิ้นที่ทําหน้าที่ ซึ่งต้องมีสภาพของริมฝีปากประกอบด้วย ได้แก่
1. สระกลาง ได้แก่ อา คือ เออ อะ อี เออะ
2. สระหน้า ได้แก่ อี เอ แอ อิ เอะ แอะ
3. สระหลัง ได้แก่ อู โอ ออ อ โอะ เอาะ

6. ข้อใดเป็นสระเดี่ยว
(1) อ่าว
(2) เสือ
(3) เปลี่ยว
(4) รัก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

7.“คิดถึงเธอแทบขาดใจ” จากข้อความไม่มีสระเดี่ยวเสียงใด (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) อา
(2) เออ
(3) อี
(4) แอ
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ) ข้อความข้างต้นปรากฏสระเดี่ยว ดังนี้
1. สระอิ = คิด
2. สระอึ = ถึง
3. สระเออ – เธอ
4. สระแอ = แทบ
5. สระอา = ขาด

8.ข้อใดเป็นสระผสม
(1) เธอ
(2) เฝ้า
(3) ฟ้า
(4) เช็ค
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

9. ข้อใดไม่มีเสียงสระอู
(1) ลวก
(2) ทัวร์
(3) ไทย
(4) ลูบ
ตอบ 3 หน้า 13 – 14 (56256), 23, 27 (H) คําว่า “ไทย” ประกอบด้วย อะ + ย (อะ + อิ) = ไอ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นปรากฏเสียงสระอู ได้แก่ คําว่า “ลวก/ทัวร์” ประกอบด้วย อู + อา = อัว, “ลูบ” = สระอู)

10. รูปพยัญชนะในภาษาไทยลําดับที่ 20 ตรงกับข้อใด
(1) ด
(2) ฑ
(3) ท
(4) ถ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ด = รูปพยัญชนะในภาษาไทยลําดับที่ 20 นับเป็นพวกอักษรกลาง และใช้เป็นตัวสะกดในแม่กด

11. ข้อใดประกอบด้วยเสียงสระอือ + อา + อี
(1) เขี้ยว
(2) เลื่อน
(3) เปลี่ยน
(4) เลื่อย
ตอบ 4 หน้า 14 (56256), 28 (H) คําว่า “เลื้อย” ประกอบด้วย เอือ + ย หรือเป็นสระผสม 3 เสียง คือ อือ + อา + อี = เอือย

12. ข้อใดเป็นสระผสมสองเสียง
(1) ห้อย
(2) จริง
(3) กรวย
(4) เชิด
ตอบ 1 หน้า 14 (56256), 29 – 30 (H) คําว่า “ห้อย” ประกอบด้วย ออ + ย หรือเป็นสระผสม 2 เสียง คือ ออ + อี = ออย (ส่วนคําว่า “จริง/เชิด” เป็นสระเดี่ยว (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ), “กรวย” ประกอบด้วย ตัว + ย หรือเป็นสระผสม 3 เสียง คือ อู + อา + อี = อวย)

13. พยัญชนะต้นในข้อใดเป็นประเภทนาฬิก
(1) สอน
(2) ทุก
(3) วัน
(4) นะ
ตอบ 4 หน้า 19 – 21 (56256), 39 – 43 (H), (คําบรรยาย) พยัญชนะต้นที่จําแนกตามรูปลักษณะ ของเสียง แบ่งออกได้ดังนี้
1. พยัญชนะระเบิด หรือพยัญชนะกัก ได้แก่ ก ค (ข ฆ) จ ด (ฎ) ต (ฏ) ท (ถ ฐ ฑ ฒ ธ) บ ป พ (ผ ภ) อ
2. พยัญชนะนาสิก ได้แก่ ง น (ณ) ม
3. พยัญชนะเสียดแทรก ได้แก่ ส (ซ.ศ ๒) ฟ (ฝ)
4. พยัญชนะกึ่งเสียดแทรก ได้แก่ ช (ฉ ฌ )
5. พยัญชนะกึ่งสระ ได้แก่ ย ว
6. พยัญชนะเหลว ได้แก่ ร ล
7. พยัญชนะเสียงหนัก ได้แก่ ห (ฮ) รวมทั้ง
พยัญชนะที่มีเสียง ห ผสมอยู่ด้วย ได้แก่ ค (ข) ช (ฉ) ท (ถ) พ (ผ)

14. พยัญชนะต้นในข้อใดเกิดที่ฐานริมฝีปาก
(1) คิด
(2) มาก
(3) นะ
(4) เธอ
ตอบ 2 หน้า 17 – 18 (56256), 37 – 38 (H) พยัญชนะต้นที่จําแนกตามฐานกรณ์ (ที่เกิดหรือที่ตั้ง ของเสียง) สามารถแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
1. ฐานคอ (คอหอย) มี 2 เสียง คือ ห (ฮ) อ
2. ฐานเพดานอ่อน มี 3 เสียง คือ ก ค (ข ฆ) ง
3. ฐานเพดานแข็ง มี 5 เสียง คือ จ ช (ฉ ฌ ) ส (ซ. ศ ษ) ย (ญ) ร
4. ฐานฟัน มี 5 เสียง คือ ด (ฏ) ต (ฏ) ท (ถ ฐ ฑ ฒ ธ) น (ณ) ล (ฬ)
5. ฐานริมฝีปาก ได้แก่ ริมฝีปากบนกับล่างประกบกัน มี 5 เสียง คือ บ ป พ (ผ ภ) ม ว และริมฝีปากล่างประกบกับฟันบน มี 1 เสียง คือ ฟ (ฝ)

15. ข้อใดเป็นพยัญชนะเคียงกันมา
(1) กระทิง
(2) บาตรพระ
(3) ยุพราช
(4) ไถล
ตอบ 3 หน้า 22 (56256), 44 (H), (คําบรรยาย) การออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ พยัญชนะคู่ที่ออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียง ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน นอกจากนี้ถ้าหากคําใดที่มีเสียงสระอะ อา อิ อี อุ อู อยู่ตรงกลางคํา และพยางค์หน้าออกเสียงเต็มเสียงทุกคําก็ให้ถือว่า เป็นพยัญชนะคู่แบบ เคียงกันมา เช่น ยุพราช (ยุบพะราด), พัฒนา (พัดทะนา), ศิลปิน (สีนละปืน) ฯลฯ

16. ข้อใดเป็นพยัญชนะนํากันมา
(1) กว้าง
(2) จิตร
(3) แสดง
(4) หมี
ตอบ 4 หน้า 22 (56256), 44 (H) การออกเสียงแบบนํากันมา (อักษรนํา) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะ ตัวหน้ามีอํานาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็เปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี “ห” นํา เช่น หมี, หรือ ไถล (ถะไหล), หล่อน, แสวง (สะแหวง), แสลง (สะแหลง) ฯลฯ

17. ข้อใดเป็นพยัญชนะควบกันมา
(1) หล่อน
(2) สร้อย
(3) บุตร
(4) แสวง
ตอบ 2 หน้า 22 – 26 (56256), 44 – 49 (H) การออกเสียงแบบควบกันมา หรืออักษรควบ คือ พยัญชนะคู่ที่ออกเสียง 2 เสียงควบกล้ำไปพร้อมกัน แบ่งออกเป็น
1. อักษรควบกล้ำแท้ หรือเสียงกล้ํากันสนิท โดยเสียงทั้งสองจะร่วมเสียงสระและวรรณยุกต์ เดียวกัน เช่น กว้าง, ความ ฯลฯ
2. อักษรควบกล้ำไม่แท้ หรือเสียงกล้ำกันไม่สนิท เช่น สร้อย (ส้อย), จริง (จิง), สร้าง (ส้าง) ฯลฯ

18. ข้อใดมีพยัญชนะคู่ประเภทเคียงกันมา ควบกันมา และนํากันมา เรียงตามลําดับ
(1) เธอยังไม่พัฒนาความรู้อีกหรือ
(2) สัจจะความจริงมีเพียงสิ่งเดียว
(3) ศิลปินช่างสร้างภาพอันวิจิตรยิ่งนัก
(4) คําสแลง คือ ของแสลงทางภาษาสําหรับนักศึกษา
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 15, 16. และ 17. ประกอบ

19. ข้อใดมีเสียงพยัญชนะสะกดครบทุกคํา
(1) หมาใน
(2) กระทะ
(3) ล้ำเลิศ
(4) รถเมล์
ตอบ 3 หน้า 27 – 29 (56256), 50 – 53 (H) พยัญชนะสะกดของไทยจะมีเพียง 8 เสียงเท่านั้น คือ
1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
2. แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส
3. แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ
4. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ห ญ ณ ร ล ญ
5. แม่กง ได้แก่ ง
6. แม่กม ได้แก่ ม
7. แม่เกย ได้แก่ ย
8. แม่เกอว ได้แก่ ว
นอกจากนี้สระอํา (อัม) = แม่กม, สระไอ/ไอ (อัย) = แม่เกย และสระเอา (อาว) = แม่เกอว (คําว่า “ล้ำเลิศ” = แม่กม แม่กด ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําที่ไม่มีเสียงพยัญชนะสะกด ได้แก่ หมา, กระทะ, เมล์)

20. ข้อใดมีคําที่ไม่มีเสียงพยัญชนะสะกด
(1) ทองคํา
(2) เบาหวาน
(3) ปั้นเหน่ง
(4) บัวไหล
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ) คําที่ไม่มีเสียงพยัญชนะสะกด ได้แก่ บัว

21. “โจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ คือ ตัวคุณเท่านั้น”
จากข้อความข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับเสียงพยัญชนะสะกด (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) มีเสียงทั้งหมดจํานวน 5 เสียง
(2) มีคําเป็นน้อยกว่าคําตาย
(3) ไม่มีพยัญชนะสะกดเสียง ว
(4) มีคําเป็นจํานวน 2 เสียง
ตอบ 1 หน้า 28 (56256), 51 (H), (ดูคําอธิบายข้อ 4. และ 19. ประกอบ) การพิจารณาลักษณะของ คําเป็นกับคําตาย มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1. คําเป็น คือ คําที่สะกดด้วยแม่กง กน กม เกย เกอว และคําที่ไม่มีตัวสะกด ใช้สระเสียงยาว รวมทั้งสระอํา ใอ ไอ เอา (เพราะออกเสียงเหมือนมีตัวสะกดเป็นแม่กม เกย เกอว)
2. คําตาย คือ คําที่สะกดด้วยแม่กก กด กบ และคําที่ไม่มีตัวสะกด ใช้สระเสียงสั้น (จากข้อความมีเสียงพยัญชนะสะกดทั้งหมด 5 เสียง ได้แก่ แม่กด (โจทย์), แม่กก (ทุก), แม่เกย (ไลฟ์/ไตล์), แม่กน (คุณ/นั้น) และแม่เกอว (เท่า) โดยแบ่งออกเป็นคําเป็น 3 เสียง ได้แก่ แม่เกย
แม่กน และแม่เกอว ส่วนคําตายมี 2 เสียง ได้แก่ แม่กด และแม่กก)

22. ข้อใดมีเสียงพยัญชนะสะกดที่เป็นคําเป็นเท่ากับคําตาย (ไม่นับเสียงซ้ํา)
(1) คนรักผมชอบของลดราคา
(2) กระทงทองเป็นอาหารสัญชาติไทย
(3) น้ำส้มคั้นสดอยู่ในตู้แช่หน้าร้านครับ
(4) นักเรียนกําลังเดินข้ามทางม้าลายหน้าโรงเรียน
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ) จากข้อความในตัวเลือกข้อ 1 มีเสียงพยัญชนะสะกดที่เป็น คําเป็น 3 เสียง ได้แก่ แม่กน (คน), แม่กม (ผม) และแม่กง (ของ) ส่วนคําตายมี 3 เสียงเท่ากัน ได้แก่ แม่กก (รัก), แม่กบ (ชอบ) และแม่กด (ลด)

23. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์เอก
(1) ร่อน
(2) ก่อน
(3) ท่อน
(4) ซ่อน
ตอน 2 หน้า 33 – 37 (56256), 55 – 60 (H) เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยจะมี 5 เสียง 4 รูป ได้แก่ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กํากับ), เสียงเอก ( ่ ), เสียงโท ( ้ ), เสียงตรี ( ๊ ) และเสียง จัตวา ( ๋ ) ซึ่งในคําบางคํา รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ ให้ถูกต้อง เช่น คําว่า “ก่อน” มีรูปและเสียงวรรณยุกต์เอกตรงกัน (ส่วนคําว่า “ร่อน/ท่อน/ ซ่อน” มีเสียงวรรณยุกต์โท แต่ใช้ไม้เอก)

24. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์ต่างจากข้ออื่น
(1) ลม
(2) ไป
(3) หมด
(4) นาน
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ) คําว่า “หมด” มีเสียงวรรณยุกต์เอก แต่ไม่มีรูปวรรณยุกต์กํากับ (ส่วนคําว่า “ลม/ไป/นาน” มีเสียงวรรณยุกต์สามัญ)

25. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์โท
(1) ไม่
(2) โกรธ
(3) ย้าย
(4) ดิม
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ) คําว่า “ไม่” มีเสียงวรรณยุกต์โท แต่ใช้ไม้เอก (ส่วนคําว่า
“โกรธ/ย้าย/ดื่ม” = เอก/ตรี/เอก)

26. “ลูกเกดเอาใจใส่ต่อลูกค้าเป็นอย่างดี จนได้รับรางวัลใหญ่แห่งปีของบริษัท” จากข้อความมีพยัญชนะสะกดกี่เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) 5 เสียง
(2) 6 เสียง
(3) 7 เสียง
(4) 8 เสียง
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ) จากข้อความมีเสียงพยัญชนะสะกดทั้งหมด 7 เสียง ดังนี้
1. แม่กก = ลูก
2. แม่กด = เกด, ษัท
3. แม่เกอว = เอา
4. แม่เกย = ใจ, ใส่, ได้, ใหญ่
5. แม่กน – เป็น, จน, วัล
6. แม่กง = อย่าง, ราง, แห่ง, ของ
7. แม่กบ = รับ

27. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์เหมือนกัน
(1) พูด ดี
(2) ซด เหล้า
(3) เมา รถ
(4) เป็น ใจ
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ) คําว่า “เป็นใจ” มีเสียงวรรณยุกต์สามัญ (ส่วนคําว่า “พูด/ดี”
= โท/สามัญ, “ซด/เหล้า” = ตรี/โท, “เมา/รถ” = สามัญ/ตรี)

28. “เขาเดินจับมือกันกลางสนามบิน” จากข้อความไม่ปรากฏวรรณยุกต์เสียงใด
(1) โท
(2) สามัญ
(3) จัตวา
(4) เอก
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ) ข้อความข้างต้นมีเสียงวรรณยุกต์ ดังนี้
1. เสียงสามัญ = เดิน/มือ/กัน/กลาง/บิน
2. เสียงเอก = จับ/สะ
3. เสียงจัตวา = เขา/หนาม

29. “นักศึกษาตั้งใจทําข้อสอบเป็นอย่างยิ่ง เพื่ออนาคตอันสดใสในภายหน้า” จากข้อความมีวรรณยุกต์ที่เสียง
(ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) 4 เสียง
(2) 5 เสียง
(3) 10 เสียง
(4) 24 เสียง
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ) ข้อความข้างต้นมีเสียงวรรณยุกต์ ดังนี้
1. เสียงสามัญ = ใจ/ทําเป็น/นา/อัน/ใน/ภาย
2. เสียงเอก = ศึก/สอบ/อย่าง/อะ/สด
3. เสียงโท = ตั้ง/ข้อ/ยิ่ง/ เพื่อ/หน้า
4. เสียงตรี = นัก/คต
5. เสียงจัตวา = ษา/ใส

30. “ใครทําข้อสอบไม่ได้บ้างนะ” จากข้อความมีเสียงวรรณยุกต์โทกเสียง (ไม่นับเสียงซ้ํา)
(1) 2 เสียง
(2) 3 เสียง
(3) 4 เสียง
(4) 5 เสียง
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ) ข้อความข้างต้นมีเสียงวรรณยุกต์ ดังนี้
1. เสียงสามัญ = ใคร/ทํา
2. เสียงเอก = สอบ
3. เสียงโท = ข้อ/ไม่ได้บ้าง
4. เสียงตรี = นะ

31. คําที่ขีดเส้นใต้ในข้อใดเป็นความหมายแฝง
(1) ป้ากระซิบบอกลุง
(2) ตาร้องเพลงเพื่อชีวิต
(3) น้าชอบตุ๊กตามาก
(4) ยายนั่งบนโขดหิน
ตอบ 1 หน้า 44, 47 – 48 (56256), 62 – 63 (H) ความหมายแฝงบอกคุณสมบัติบางอย่างของคํากริยาที่ใช้กับเสียง ได้แก่ คําว่า “แผด” = ออกเสียงดัง, “ตะโกน” = เรียกด้วยเสียงดัง, “กระซิบ” = พูดเบา ๆ, “บ่น” = พูดพร่ำอย่างไม่พอใจ ฯลฯ

32. คําที่ขีดเส้นใต้ในข้อใดเป็นความหมายอุปมา
(1) น้องไข่มุกชอบมากค่ะ
(2) ไข่มุกแห่งเอเชียเดินมานั้น
(3) ไข่มุกเม็ดนี้แพงจัง
(4) ไข่มุกทําขนมไข่ตั้งแต่เช้า
ตอบ 2 หน้า 48 – 49 (56256), 64 (H) คําอุปมา คือ คําที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะ ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่ง มีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. คําอุปมาที่ได้มาจากคําที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น ไข่มุก (สตรีที่งดงาม บริสุทธิ์ และสูงค่า), เทวดา/ นางฟ้า (ดี สวย), หิน (ยากมาก) ฯลฯ
2. คําอุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ ส่วนมากเป็นคําประสม เช่น แมวนอนหวด (ซื่อจนเซ่อ), เพชรในตม (สิ่งมีค่าที่ซ่อนอยู่ แต่คนยังไม่เห็นความสําคัญ) ฯลฯ

33. ข้อใดปรากฏการแยกเสียงแยกความหมายแบบเสียงสั้นยาวต่างกัน
(1) เดียว – เดี่ยว
(2) บาด – ปาด
(3) วับ – วาบ
(4) เบะปาก – แบะปาก
ตอบ 3 หน้า 51 – 52 (56256), 65 (H) การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียง ในคําบางคําที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคํานั้น มีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกันบ้าง ได้แก่ “วับ – วาบ” (เสียงสระสั้นยาวต่างกัน) ต่างก็เป็นอาการที่หายไปทันทีเช่นกัน มักใช้กับแสง แต่ “วับ” จะหายไปรวดเร็วกว่า ส่วน “วาบ” อาจมีแสงสว่างอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยดับหายไป

34. ข้อใดเป็นคําซ้ําไม่ได้
(1) รถติดยาวเป็นกิโล ๆ เลย
(2) จะคบใครต้องดูดี ๆ นะ
(3) ที่พูด ๆ มาก็มีส่วนถูกอยู่
(4) ไป ๆ มา ๆ ก็เดาทางเธอออก
ตอบ 3 หน้า 76 – 80 (56256), 76 – 78 (H) คําซ้ํา คือ คําคําเดียวกันที่นํามากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้ มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายแตกต่างจากคําเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคําซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคําซ้อนแต่ใช้คําคําเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมก (ๆ) กํากับ เช่น รถติดยาวเป็นกิโล ๆ เลย (คําซ้ำคำบอกจํานวนนับที่แยกความหมายออกเป็นส่วน ๆ เมื่อมี คําว่า “เป็น” มาข้างหน้า), จะคบใครต้องดูดี ๆ นะ (คําซ้ําคําขยาย ใช้ขยายกริยาบอกความเน้น เมื่อเป็นคําสั่ง), ไป ๆ มา ๆ (คําซ้ำคำซ้อน 2 คู่ หมายถึง ในที่สุด) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้อ 3 ไม่ใช่คำซ้ำ เป็นเพียงพูดให้รู้ว่าคํากริยานั้นทําอาการติดต่อกันไป จึงไม่ควรใช้ไม้ยมก

35. ข้อใดเป็นคําซ้อน
(1) กัดฟัน
(2) ได้เสีย
(3) นัดพบ
(4) มองผ่าน
ตอบ 2 หน้า 62 – 76 (56256), 67 – 76 (H) คําซ้อน คือ คําเดี่ยว 2, 4 หรือ 6 คํา ที่มีความหมาย หรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทํานองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทําให้เกิดคําใหม่ ที่มีความหมายใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
1. คําซ้อนเพื่อความหมาย (มุ่งที่ความหมายเป็นสําคัญ) ซึ่งอาจเป็นคําไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น ได้เสีย, ร้องเรียก, ลูกหลาน, ถูกผิด, เสื้อผ้า, แข็งแรง, บอกกล่าว, ใคร่ครวญ, อดทน ฯลฯ หรืออาจเป็นคําไทยซ้อนกับคําภาษาอื่น เช่น สาปแช่ง (บาลีสันสกฤต + ไทย), เขียวขจี (ไทย + เขมร) ฯลฯ
2. คําซ้อนเพื่อเสียง (มุ่งที่เสียงเป็นสําคัญ) เช่น ลวนลาม, ทัดทาน, ปัดป้อง ฯลฯ

36. ข้อใดมีคําประสม 1 คํา
(1) ร้องเรียก ลูกหลาน
(2) สาปแช่ง ลวนลาม
(3) เกาะเต่า ถูกผิด
(4) การเรียน พี่ชาย
ตอบ 3 หน้า 80 – 89 (56256), 78 – 82 (H) คําประสม คือ คําตั้งแต่ 2 คําขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้คําใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสําคัญจะอยู่ที่คําต้น (คําตัวตั้ง ส่วนที่ตามมาเป็นคําขยาย ซึ่งไม่ใช่คําที่ขยายคําต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คําทั้งคํามีความหมาย ที่จํากัดเป็นนัยเดียว เช่น กัดฟัน, นัดพบ, มองผ่าน, เกาะเต่า, การเรียน, พี่ชาย, น้ําชา, เข้าใจ, แกงหอย, หลอดไฟ, วันพระ, หวยใต้ดิน, ข้าวแกง, ขนมถ้วย ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําซ้อน) (ดูคําอธิบายข้อ 35. ประกอบ)

37. ข้อใดไม่เป็นคําซ้อน
(1) น้ำชา
(2) เสื้อผ้า
(3) แข็งแรง
(4) ทัดทาน
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 35. และ 36. ประกอบ

38. ข้อใดเป็นคําประสม
(1) บอกกล่าว
(2) เขียวขจี
(3) ปัดป้อง
(4) เข้าใจ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 35. และ 36. ประกอบ

39. ข้อใดไม่เป็นคําประสม
(1) แกงหอย
(2) ใคร่ครวญ
(3) หลอดไฟ
(4) วันพระ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 35. และ 36. ประกอบ

40. ข้อใดเป็นคําซ้อน
(1) หวยใต้ดิน
(2) ข้าวแกง
(3) อดทน
(4) ขนมถ้วย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 35. และ 36. ประกอบ

ข้อ 41 – 45. ให้นักศึกษาเลือกคําราชาศัพท์ที่ถูกต้องเติมในช่องว่างต่อไปนี้
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ___41___ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว___42.___ที่ตําหนักในพระบรมมหาราชวัง เมื่อคืนวันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2506 เวลา เที่ยงคืนล่วงแล้วกับ 30 นาที หม่อมเจ้าหญิงพรรณราย พระธิดาของกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์___43.___เมื่อ___44.___ครบเดือน ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีสมโภชตามพระราชประเพณี และมีพระราชหัตถเลขา___45.___พระนามว่า พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจิตรเจริญ

41.
(1) ทรงเป็นพระโอรส
(2) ทรงเป็นพระราชโอรส
(3) เป็นพระโอรส
(4) เป็นพระราชโอรส
ตอน 4 หน้า 117 (H) เป็นพระราชโอรส = เป็นลูกชายของพระมหากษัตริย์ (ถ้าหากคําที่ตามหลัง “มีเป็น” เป็นนามราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ต้องเติม “ทรง” หน้าคํากริยา “มีเป็น” อีก)

42.
(1) ทรงประสูติ
(2) ทรงเสด็จพระราชสมภพ
(3) เสด็จพระราชสมภพ
(4) ประสูติ
ตอบ 4 หน้า 113 (H) ประสูติ = เกิด ใช้กับพระบรมวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า (ส่วนคําว่า “เสด็จพระราชสมภพ” = เกิด ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลําดับที่ 2 นอกจากนี้ห้ามเติม “ทรง” ซ้อนคํากริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว)

43.
(1) ทรงเป็นพระมารดา
(2) เป็นพระมารดา
(3) เป็นพระราชชนนี
(4) เป็นพระราชมารดา
ตอบ 2 หน้า 113 (H) เป็นพระมารดา = เป็นแม่ ใช้กับพระบรมวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า (ส่วนราชาศัพท์ที่มีคําว่า “ราช” จะใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลําดับ ที่ 2 เท่านั้น)

44.
(1) พระชนมพรรษา
(2) พระชันษา
(3) ‘พระชนมายุ
(4) พระชนม์
ตอบ 2 พระชันษา = อายุ ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า (ส่วนคําว่า “พระชนมพรรษา” = อายุ ใช้กับพระมหากษัตริย์และพระราชินี, “พระชนมายุ” = อายุ ใช้กับพระราชวงศ์ลําดับที่ 2)

45.
(1) พระราชทาน
(2) ทรงพระราชทาน
(3) ประทาน
(4) ทรงประทาน
ตอบ 1 พระราชทาน = ให้ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลําดับที่ 2 (ซึ่งในที่นี้ พระมหากษัตริย์เป็นผู้ตั้งชื่อให้ จึงควรใช้ราชาศัพท์ให้ตรงตามพระยศ ส่วนคําว่า “ประทาน” = ให้ใช้กับพระบรมวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า)

46. สรรพนามบุรุษที่ 2 ที่ใช้ในการกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือข้อใด
(1) ฝ่าพระบาท
(2) ใต้ฝ่าพระบาท
(3) ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
(4) ใต้ฝ่าละอองพระบาท
ตอบ 3 หน้า 174 (56256) ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท = คําสรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้ในการกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ (ส่วนคําว่า “ฝ่าพระบาท” จะใช้ เรียกแทนหม่อมเจ้า “ใต้ฝ่าพระบาท” จะใช้เรียกแทนเจ้านายในชั้นพระองค์เจ้าและเจ้าฟ้า “ใต้ฝ่าละอองพระบาท” จะใช้เรียกแทนพระอัครมเหสีที่ไม่ได้ดํารงตําแหน่งสมเด็จพระราชินีลงมา จนถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชและสมเด็จพระบรมราชกุมารี)

47. คําลงท้ายที่ใช้ในการกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรงกับข้อใด
(1) ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
(2) ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
(3) ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
(4) แล้วแต่จะโปรด
ตอบ 1 หน้า 176 (56256) การกราบบังคมทูลพระเจ้าแผ่นดิน ควรใช้คําขึ้นต้นว่า “ขอเดชะฝ่าละออง ธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม” และลงท้ายว่า “ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

48.“…พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ… เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า…” จากข้อความดังกล่าวควรใช้คําใดเติมในช่องว่าง
(1) ถึงแก่พิราลัย
(2) ถึงแก่อสัญกรรม
(3) ถึงแก่อนิจกรรม
(4) ถึงแก่กรรม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) คําว่า “ตาย” ใช้กับบุคคลฐานะต่าง ๆ ดังนี้
1. ถึงแก่พิราลัย ใช้กับสมเด็จเจ้าพระยาและเจ้าประเทศราช
2. ถึงแก่อสัญกรรม ใช้กับเจ้าพระยา นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี ประธานองคมนตรี องคมนตรี ประธานรัฐสภา ฯลฯ
3. ถึงแก่อนิจกรรม ใช้กับพระยา
4. ถึงแก่กรรม ใช้กับสุภาพชนทั่วไป ฯลฯ

49. ข้อใดใช้คําราชาศัพท์ผิด
(1) โรงงานยาสูบน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายที่ดินสร้างสวนป่าเบญจกิติ
(2) สภากาชาดไทยทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล
(3) บริษัทรถยนต์น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถยนต์ตู้จํานวน 1 คัน
(4)อธิบดีกรมศิลปากรน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายสูจิบัตรและของที่ระลึก
ตอบ 4 หน้า 176 (56256), 116 (H) ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ทูลเกล้าฯ ถวาย) = ถวายสิ่งของขนาดเล็ก (ของที่ยกได้) หรือถวายสิ่งที่เป็นรูปธรรม เช่น ทูลเกล้าฯ ถวายเงิน, ทูลเกล้าฯ ถวาย สูจิบัตรและของที่ระลึก ฯลฯ ส่วนคําว่า “น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย” (น้อมเกล้าฯ ถวาย) = ถวายสิ่งของขนาดใหญ่ (ของที่ยกขึ้นไม่ได้) หรือถวายสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น น้อมเกล้าฯ ถวาย ที่ดิน, น้อมเกล้าฯ ถวายรถยนต์, น้อมเกล้าฯ ถวายพระพร ฯลฯ

50. ข้อใดใช้คําราชาศัพท์ถูก
(1) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จไปวางพวงมาลา
(2) ประธานาธิบดีเป็นอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
(3) โขนของกรมศิลปากรแสดงหน้าที่นั่งเพื่อถวายทอดพระเนตร
(4) หม่อมเจ้าทรงพระประชวรด้วยโรคหทัย
ตอบ 3 หน้า 114 – 115 (H) ข้อความในตัวเลือกข้อ 3 ใช้คําราชาศัพท์ถูก หรืออาจจะใช้ว่าโขนของกรมศิลปากรแสดงเฉพาะพระพักตร์เพื่อถวายทอดพระเนตร ก็ได้เช่นเดียวกัน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยใช้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯไปทรงวางพวงมาลา, ประธานาธิบดีเป็นราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว,หม่อมเจ้าประชวรด้วยโรคหทัย)

51. ข้อใดเป็นคําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียงทุกคํา
(1) กระเดือก กระจิบ คะนึง
(2) ตะม่อ มะขาม กระสา
(3) ฉะฉาด มะยม ตะราง
(4) กระตั้ว กระสุน ตะโก
ตอบ 3 หน้า 93 – 95 (56256), 83 – 84 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง มักเป็นคําที่ กร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสียง “อะ” ได้แก่
1. “มะ” ที่นําหน้าชื่อไม้ผล ไม่ใช่ไม้ผล และหน้าคําบอกกําหนดวัน เช่น หมากม่วง – มะม่วง, หมากขาม – มะขาม, หมากยม – มะยม, เมื่อรื่น – มะรืน
2. “ตะ” นําหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคําที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น ตัวขาบ – ตะขาบ, ตอม่อ – ตะม่อ ตาราง – ตะราง, ต้นโก – ตะโก, ต้นเคียน – ตะเคียน
3. “สะ” เช่น สายดือ – สะดือ, สาวใภ้ → สะใภ้, สายดึง – สะดึง
4. “ฉะ” เช่น ฉันนั้น – ฉะนั้น ฉันนี้ – ฉะนี้ เฉื่อย ๆ – ฉะเฉื่อย, ฉาด ๆ – ฉะฉาด
5. “ยะ/ระ/ละ” เช่น ยิบ ๆ ยับ ๆ – ยะยิบยะยับ, รัว ๆ – ระรัว, ลิบ ๆ – ละลิบ
6. “อะ” เช่น อันไร/อันใด – อะไร, อันหนึ่ง – อนึ่ง
7. “จะ” เช่น เจื้อยเจื้อย – จะเจื้อย, แจ้วแจ้ว – จะแจ้ว, จ้อจ้อ – จะจ้อ
สําหรับคําอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ ได้แก่ ผู้ญาณ – พยาน, ชาตา – ชะตา, ช้าพลู – ชะพลู, เฌอเอม – ชะเอม, ชีผ้าขาว – ชีปะขาว, คํานึง – คะนึง เป็นต้น

52. “กระเสือกกระสน” เป็นคําอุปสรรคเทียมชนิดใด
(1) แบ่งคําผิด
(2) กร่อนเสียง
(3) เทียบแนวเทียบผิด
(4) เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน
ตอบ 4 หน้า 95 (56256), 85 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ว่า “กระ”) เข้าไป 2 เสียงในคําซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้น และหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและเป็นคําที่สะกดด้วย “ก” เหมือนกัน ได้แก่
1. ดุกดิก – กระดุกกระดิก
2. ยึกยัก – กระยึกกระยัก
3. เสือกสน – กระเสือกกระสน
4. โตกตาก – กระโตกกระตาก
5. โชกชาก – กระโชกกระชาก
6. อักอ่วน – กระอักกระอ่วน
7.ชึกชัก – กระชักกระชัก
8. หลุกหลิก – กะหลุกกะหลิก
9. ปลูกเปลี้ย – กะปลกกะเปลี้ย
10. โดกเดก – กระโดกกระเดก ฯลฯ

53. ข้อใดมีคําอุปสรรคเทียมที่ได้จากการแบ่งคําผิด
(1) เปล้าจับเปล้าแยกหมู่ กระสาสู่กระสัง รังเรียงรังรังนาน
(2) แล้วปู่เป่าตะเคียนใหญ่ เก้าอ้อมใช่สามานย์
(3) สองคะนึงนัยใคร่รู้ ลูกหลานปู่ฤาผู้อื่นโอ้ไปงาม
(4) ตกใจสั่นระรัว กลัวฤทธิ์พระปู่ ผู้มีเดชเกรียงไกร
ตอบ 1 หน้า 94 (56256), 84 – 85 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคําผิด เกิดจากการพูด เพื่อให้เสียงต่อเนื่องกัน โดยการเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ว่า “กระ”) เข้าไป 1 เสียงใน คําที่พยางค์แรกสะกดด้วยเสียง “ก” เช่น นกจอก – นกกระจอก, นกตัว – นกกระตั้ว นกจิบ – นกกระจิบ, นกสา – นกกระสา, ลูกสุน – ลูกกระสุน, ลูกดุม – ลูกกระดุม ลูกเดือก – ลูกกระเดือก, ผักสัง – ผักกระสัง, ผักเฉด – ผักกระเฉด ฯลฯ

54. ข้อใดเป็นคําอุปสรรคเทียมที่เรียงตามลําดับต่อไปนี้
“…กร่อนเสียง เทียบแนวเทียบผิด เพิ่มเสียงไม่ให้เสียงคอนกัน แบ่งคําผิด…”
(1) มะม่วง กระดุกกระดิก กระอักกระอ่วน กระดุม
(2) คะนึง กระแอมกระไอ กระโดกกระเดก กระเฉด
(3) ตะราง กระเจิดกระเจิง กระโตกกระตาก ฉะฉาน
(4) พยาน ขโมยขโจร กะปลกกะเปลี้ย กระมิดกระเมี้ยน
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 51., 52. และ 53. ประกอบ) กลุ่มคําในตัวเลือกข้อ 2 เป็นคําอุปสรรคเทียม ที่เรียงลําดับตามโจทย์ได้อย่างถูกต้อง ดังนี้
1. ชนิดกร่อนเสียง ได้แก่ คํานึง – คะนึง
2. ชนิดเทียบแนวเทียบผิด ได้แก่ แอมไอ – กระแอมกระไอ
3. ชนิดเพิ่มเสียงไม่ให้เสียงคอนกัน ได้แก่ โดกเดก – กระโดกกระเดก
4. ชนิดแบ่งคําผิด ได้แก่ ผักเฉด – ผักกระเฉด

55. ข้อใดคือคุณลักษณะของคําอุปสรรคเทียมที่ได้จากการ “เทียบแนวเทียบผิด
(1) เติมเสียงยาว ต่อมากร่อนเสียงให้สั้นลง
(2) เกิดจากคําที่สะกดด้วย ก แล้วเพิ่มเสียง กะ 1 เสียง
(3) เกิดจากคําที่สะกดด้วย ก แล้วเพิ่มเสียง กะ 2 เสียง
(4) เกิดจากคําที่ไม่ได้สะกดด้วย ก แล้วเพิ่มเสียง กะ 2 เสียง
ตอบ 4 หน้า 94 – 96 (56256), 85 – 86 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ว่า “กระ”) เข้าไป 2 เสียง ในคําซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้น และหน้าพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “ก” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงไม่ให้ เสียงคอนกันมาเป็นแนวเทียบ แต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น แอมไอ – กระแอมกระไอ เจิดเจิง – กระเจิดกระเจิง, มิดเพี้ยน – กระมิดกระเมี้ยน ฯลฯ สําหรับคําอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไป ตามนี้ ได้แก่ จมูกปาก – จมูกจปาก, ขโมยโจร – ขโมยขโจร ฯลฯ

ข้อ 56. – 60. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม
(1) ประโยคบอกเล่า
(2) ประโยคคําถาม
(3) ประโยคคําสั่ง
(4) ประโยคขอร้อง

56. “หลังสอบเสร็จเธอไปดูหนังกับฉันหน่อยนะ” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 4 หน้า 102 (56256), 92 – 93 (H) ประโยคขอร้องหรือชักชวน คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการ ขอร้องหรือชักชวนให้ผู้ฟังทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ตามที่ตนต้องการ ซึ่งการใช้คําพูดนั้นจะคล้ายกับ ประโยคคําสั่งแต่นุ่มนวลกว่า โดยในภาษาเขียนมักจะมีคําว่า “โปรดกรุณา” อยู่หน้าประโยค ส่วนในภาษาพูดนั้นอาจมีคําลงท้ายประโยค ได้แก่ เถอะ เถิด น่ะ นะ หน่อย ซิ ซี ฯลฯ

57. “ห้ามคุยกันในห้องสอบ” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 3 หน้า 102 (56256), 91 – 92 (H) ประโยคคําสั่ง คือ ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทําตามคําสั่ง มักละประธานและขึ้นต้นด้วยคํากริยา เช่น ไปได้แล้ว แต่ถ้าหากจะมีประธานก็จะระบุชื่อหรือ เน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ตัว เช่น แดงออกไป นอกจากนี้ประโยคคําสั่งอาจมีกริยาช่วย “อย่า/ห้าม/จง/ต้อง” เพื่อสั่งให้ทําหรือไม่ให้ทําก็ได้

58. “วันนี้ใครมาสอบวิชาลักษณะภาษาไทยที่รามคําแหงทันเวลาบ้าง” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 2 หน้า 102 – 103 (56256), 93 – 94 (H) ประโยคคําถาม คือ ประโยคที่ต้องการคําตอบ อาจมี คําแสดงคําถาม ได้แก่ ใคร อะไร ที่ไหน ทําไม เมื่อไร อย่างไร หรือเปล่า หรือไม่ ไหม บ้าง ฯลฯ

59. “วันนี้ใครจะไปสอบทันล่ะ รถติดจะตาย” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 1 หน้า 103 – 104 (56256), 90 – 91, 93 – 94 (H) ประโยคบอกเล่า คือ ประโยคที่บอกเล่า เรื่องราวตามธรรมดา ซึ่งอาจใช้ในทางตอบรับหรือตอบปฏิเสธก็ได้ เช่น ไปแล้วจ้า, ไม่ได้ไปค่ะ ฯลฯ แต่บางครั้งประโยคที่มีคําแสดงคําถามว่า “ใคร/อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร” อาจใช้ ในประโยคบอกเล่าก็ได้ หากไม่ได้แสดงความสงสัยหรือไม่ได้ต้องการคําตอบ แต่จะเป็นการ กล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ โดยทั่วไป ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง

60. “กรุณาตรวจทานกระดาษคําตอบทุกครั้งก่อนส่งกรรมการในห้องสอบ” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

61. ข้อใดเป็นคํากริยาที่ทําหน้าที่อย่างคํานาม
(1) ดําเป็นตอตะโก
(2) ช้าเป็นเต่าคลาน
(3) แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร
(4) ดีเป็นศรีแก่ตัว ชั่วพาตัวมัวหมอง
ตอบ 3 หน้า 108 – 109 (56256), 98 (H) คํากริยาที่ทําหน้าที่เป็นคํานาม เช่น นอนหลับทับสิทธิ์ หาบดีกว่าคอน, นอนดีกว่านั่ง, แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร, ความรักสีดํา, กินอยู่กับปาก ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําวิเศษณ์ที่ทําหน้าที่อย่างนาม)

62. คํานามในข้อใดแสดงเพศไม่ชัดเจนทุกคํา
(1) ลุงกับหลานไปหาหลวงตาที่วัด
(2) พ่อกับอาไปกินข้าวบ้านคุณลุง
(3) น้องไปบอกน้าให้พาพี่ไปหาหมอ
(4) อาพาลูกสะใภ้คนสวยไปกราบคุณยาย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

63.“เธอ” ในข้อใดเป็นสรรพนามบุรุษที่ 3
(1) เธอไปแล้ว
(2) เธอเข้าใจนะ
(3) เธอฟังให้ดีนะ
(4) เธอมาใกล้ ๆ หน่อย
ตอบ 1หน้า 112 – 113 (56256), 99 (H) สรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่พูดถึง ได้แก่ เขา มัน ท่าน แก นอกจากนั้นมักใช้เอ่ยชื่อเสียส่วนมาก ถ้าอยู่ในที่ที่จําเป็นต้องกล่าวคําดีงามหรือต่อหน้าผู้ใหญ่ มักมีคําว่า “คุณ/นาย/นาง/นางสาว” นําหน้าชื่อให้เหมาะสมแก่โอกาสด้วย เช่น คุณแม่ออกไป ทํางานแล้ว เป็นต้น (คําว่า “ท่าน/เธอ/คุณ” อาจเป็นได้ทั้งสรรพนามบุรุษที่ 2 (ผู้ที่พูดด้วย) และสรรพนามบุรุษที่ 3 โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงด้วยความยกย่อง เช่น เธอไปแล้ว, ท่านมาไม่ได้ ติดธุระด่วน ฯลฯ) (ส่วนคําว่า “เธอ” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นสรรพนามบุรุษที่ 2

64. ข้อใดใช้คําสรรพนามแสดงความไม่เฉพาะเจาะจง
(1) วันนี้เธอเป็นอะไร
(2) อะไรบ้างที่อยากได้
(3) อะไรที่ไม่ใช่ของตัวเอง
(4) อะไรกันเอาแต่ใจตัวเอง
ตอบ 4 หน้า 111, 116 – 118 (56256), 99 (H) คําสรรพนามที่บอกความไม่เฉพาะเจาะจง ได้แก่ “ใคร/อะไร/ใด/ไหน” ซึ่งเป็นคํากลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่บอกคําถาม แต่สรรพนามที่บอก ความไม่เฉพาะเจาะจงจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่แบบลอย ๆ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่า เป็นใคร อะไรหรือที่ไหน และไม่ได้เป็นการถาม เช่น อะไรกันเอาแต่ใจตัวเอง ฯลฯ (ส่วนตัวเลือก ข้ออื่นเป็นสรรพนามที่บอกคําถาม)

65.“13 หมูป่าต่างติดอยู่ในถ้ำหลวง” ประโยคนี้ใช้คําสรรพนามชนิดใด
(1) เฉพาะเจาะจง
(2) ไม่เฉพาะเจาะจง
(3) บอกความแบ่งแยกเป็นส่วน ๆ
(4) ใช้แทนนามและเชื่อมประโยค
ตอบ 3 หน้า 111, 118 – 119 (56256), 99 – 100 (H) สรรพนามที่บอกความแบ่งแยกเป็นส่วน ๆ ได้แก่ คําว่า “ต่าง” (ใช้แทนผู้ทําหลายคนทํากริยาเดียวกัน แต่ไม่ได้ทําพร้อมกัน เช่น ต่างติด อยู่ในถ้ำหลวง), “บ้าง” (ใช้แทนผู้ทําหลายคนแยกกันทํากริยาคนละอย่าง เช่น บ้างยืนบ้างนั่ง) “กัน” (ใช้แทนนามที่ต่างก็ทํากริยาเดียวกัน เกี่ยวข้องกัน เช่น มาด้วยกันไปด้วยกัน)

66. การใช้คําสรรพนามในข้อใดที่แสดงออกชัดเจนที่สุดว่า ผู้พูดอยู่ในฐานะอาวุโสกว่าผู้ที่พูดถึง
(1) ยายส้มแกเป็นเด็กดีมาก
(2) ไอ้น้อยมันเป็นเพื่อนรักของฉัน
(3) ย่าช้อยมีฝีมือในการทํากับข้าวมาก
(4) คุณบุญปลูกเป็นที่เคารพรักของคนในหมู่บ้าน
ตอบ 1 หน้า 115 (56256), 99 (H) คําว่า “แก” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 ซึ่งแสดงว่าไม่เคารพนับถือ มากนัก มักหมายถึงบุคคลน่าเวทนา น่าสมเพชมากกว่าน่านับถือ เช่น ยายแก่แก่ตาบอด ฯลฯ แต่ถ้าผู้ที่อาวุโสกว่าใช้พูดกับเด็กเล็ก ๆ กลับเป็นการแสดงความเอ็นดูรักใคร่ เช่น ยายส้มแก เป็นเด็กดีมาก ฯลฯ

67. ข้อใดใช้คํากริยาที่ไม่ต้องการกรรมทั้ง 2 ประโยค
(1) ฝนตกพรํา ๆ ทั้งคืน นกบินสูง
(2) ขาวชอบขับรถเร็ว แดงวิ่งเร็วมาก
(3) อาจารย์ตรวจข้อสอบ นักศึกษาตั้งใจเรียนดี
(4) พยาบาลดูแลคนไข้ คนไข้กําลังหายใจรวยริน
ตอบ 1 หน้า 105 (56256), 95 (H) ภาคแสดงหรือกริยา เป็นส่วนที่แสดงกิริยาอาการหรือการกระทํา ของภาคประธาน ซึ่งตามธรรมดากริยาจะมีตําแหน่งอยู่หลังประธาน และอยู่หน้ากรรม (กริยา ที่มีกรรมมารับ) เช่น ขาวชอบขับรถเร็ว, อาจารย์ตรวจข้อสอบ, พยาบาลดูแลคนไข้ ฯลฯ แต่ว่า คํากริยานั้นจะไม่มีกรรมก็ได้ (ประธาน + กริยา + ส่วนขยายกริยา) เช่น ฝนตกพรำๆทั้งคืน, นกบินสูง, แดงวิ่งเร็วมาก, นักศึกษาตั้งใจเรียนดี, คนไข้กําลังหายใจรวยริน ฯลฯ

68. ประโยคในข้อใดมีคํากริยาช่วย
(1) น้องโบว์เต้นเก่ง
(2) น้องขวัญร้องเพลงเพราะ
(3) น้องฝ้ายไปออกกําลังกาย
(4) น้องมายด์กําลังซ้อมเต้นรํา
ตอบ 4 หน้า 120 – 124 (56256), 100 – 101 (H) คํากริยาช่วย คือ คําที่ช่วยบอกเนื้อความของกริยา
ต่าง ๆ ให้แจ่มแจ้งชัดเจน ได้แก่ คง อาจ น่าจะ กําลัง ควร ต้อง ได้ จะ แล้ว อยู่ ชอบ มา ฯลฯ ซึ่งแต่ละคํามีความหมายต่างกันไปและบอกให้รู้ถึงกาล (เวลา) เช่น น้องมายด์กําลังซ้อมเต้นรํา (บอกปัจจุบัน) เป็นต้น และบอกมาลา (ภาวะหรืออารมณ์) เช่น เขียวชอบร้องเพลงเร็ว เป็นต้น

69. ข้อใดใช้คํากริยาการีต
(1) ฉันจะไปห้องสมุด
(2) ฉันจะไปซื้อของ
(3) ฉันจะไปว่ายน้ำ
(4) ฉันจะไปทําฟัน
ตอบ 4 หน้า 128 (56256), (คําบรรยาย) คํากริยาธรรมดาที่มีความหมายเป็นการีต (ทําให้) เป็นคําที่กําหนดขึ้นเป็นพิเศษ และมีความหมายเฉพาะเป็นที่รู้กัน ซึ่งดูเหมือนว่าประธานเป็นผู้กระทํา กริยานั้นเอง แต่ที่จริงแล้วประธานเป็นผู้ถูกกระทํา เช่น ไปดูหมอ (ที่จริงคือ ให้หมอดูโชคชะตา ให้ตน), ไปตรวจโรค (ที่จริงคือ ให้หมอยาตรวจโรคให้ตน), ไปตัดเสื้อทําผม (ที่จริงคือ ให้ช่าง ตัดเสื้อและทําผมให้ตน), ไปทําฟัน (ที่จริงคือ ให้หมอฟันทําฟันให้ตน) ฯลฯ

70. “เลิกคุยทั้งอําเภอเพื่อเธอคนเดียว” ทั้งอําเภอ เป็นคํากริยาวิเศษณ์ชนิดใด
(1) บอกประมาณ
(2) บอกภาวะ
(3) บอกความไม่เฉพาะเจาะจง
(4) บอกความแบ่งแยกเป็นส่วน ๆ
ตอบ 1 หน้า 139 (56256), 103 (H) คํากริยาวิเศษณ์บอกประมาณ ได้แก่ มาก น้อย ทั้ง นิดหน่อย มากมาย เหลือเกิน พอ ครบ ขาด หมด สิ้น แทบ เกือบ จวน เสมอ บ่อย ฯลฯ ซึ่งคําเหล่านี้ ต้องวางอยู่หลังคํากริยา เช่น เลิกคุยทั้งอําเภอ ฯลฯ

71. “น้ําน้อยย่อมแพ้ไฟ” ประโยคนี้ใช้คําคุณศัพท์ชนิดใด
(1) บอกความแบ่งแยก
(2) บอกจํานวนนับไม่ได้
(3) บอกลักษณะหรือภาวะ
(4) บอกความไม่เฉพาะเจาะจง
ตอบ 2 หน้า 132 – 133 (56256), 102 (H) คําคุณศัพท์บอกจํานวนนับไม่ได้ (ประมาณคุณศัพท์) หรือคําคุณศัพท์บอกจํานวนประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิด หน่อย ครบ พอ เกิน เหลือ ขาด ถ้วน ครบถ้วน หมด หลาย ทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งนั้น ทั้ง ฯลฯ ซึ่งตามปกติมักจะอยู่หลัง คํานามที่ตนเองไปขยาย เช่น น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เป็นต้น

72. ข้อใดเป็นคําคุณศัพท์ชนิดที่เป็นคําถาม
(1) เพื่อนฉันไปไหน
(2) คนไหนเพื่อนฉัน
(3) ทําอะไรกับเพื่อนฉัน
(4) ไหน ๆ เราก็เป็นเพื่อนกันนะ
ตอบ 2 หน้า 135 – 137 (56256), 102 (H) คุณศัพท์ที่เป็นคําถาม ได้แก่ ใด อะไร ไหน ไร ซึ่งเป็น คํากลุ่มเดียวกันกับคุณศัพท์ที่บอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจง แต่คุณศัพท์ที่เป็นคําถามจะใช้ถาม คําถาม และต้องมีนามมาข้างหน้า เช่น คนไหนเพื่อนฉัน ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นไม่มีคํานาม นําหน้า)

73. “ผู้พูดควรให้เกียรติแก่ผู้ฟัง” ข้อความนี้ใช้คําบุรพบทชนิดใด
(1) คําบอกทิศทางที่มุ่งไป
(2) คําแสดงความเป็นเจ้าของ
(3) คําเกี่ยวกับการให้หรือการรับ
(4) คําที่เป็นเครื่องประกอบหรือเกี่ยวเนื่องกัน
ตอบ 3 หน้า 145 – 147 (56256), 105 (H) คําบุรพบทที่นําหน้าคําที่เกี่ยวกับการให้หรือการรับ ได้แก่ แก่, แก่, ต่อ, เพื่อ, สําหรับ, เฉพาะ เช่น ผู้พูดควรให้เกียรติแก่ผู้ฟัง ฯลฯ

74. “เสียงและน้ําเสียงเป็นปัจจัยสําคัญของการพูด เพราะการเปล่งเสียงพูดเป็นการแสดงออกของมนุษย์ เพื่อสื่อความคิดของตนให้ผู้อื่นทราบ” ข้อความที่ยกมานี้มีคําบุรพบทที่คํา
(1) 3 คำ
(2) 4 คํา
(3) 5 คํา
(4) 6 คำ
ตอบ 2 หน้า 142 – 152 (56256), 104 – 106 (H) ข้อความข้างต้นมีคําบุรพบททั้งหมด 4 คํา ได้แก่ เสียงและน้ําเสียงเป็นปัจจัยสําคัญของการพูด เพราะการเปล่งเสียงพูดเป็นการแสดงออกของ มนุษย์เพื่อสื่อความคิดของตนให้ผู้อื่นทราบ

75. “การวิจารณ์มิได้มีประโยชน์แก่ผู้พูดเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์แก่ผู้ติชมอีกด้วย” ข้อความที่ยกมานี้ใช้คําสันธานชนิดใด
(1) ขัดแย้งกัน
(2) เปรียบเทียบกัน
(3) เป็นเหตุเป็นผลกัน
(4) รวมเข้าด้วยกัน
ตอบ 1 หน้า 155 – 156 (56256), 106 (H) คําสันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่, แต่ว่า แต่ทว่า, จริงอยู่….แต่ ถึง…ก็, กว่า….ก็, ทั้งที่ ทั้ง ๆ ที่

76. “ชายหนุ่มคิดเพียงแต่ว่าหากไม่เลือกงาน เขาคงหางานได้ไม่ยาก” ข้อความนี้ใช้คําสันธานชนิดใด
(1) เปรียบเทียบกัน
(2) เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
(3) คาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้
(4) ให้ได้ความไพเราะสละสลวย
ตอบ 3 หน้า 156 – 157 (56256), 107 (H) คําสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า, หาก, ถ้า…ก็, ถ้า…จึง, ถ้าหากว่า แม้แต่ แม้ว่า, เว้นแต่, นอกจาก

77. “นั่นแน่อยู่ตรงนี้นี่เอง” ข้อความนี้เป็นคําอุทานที่มาจากคําสรรพนามชนิดใด
(1) บอกความเฉพาะเจาะจง
(2) บอกความไม่เฉพาะเจาะจง
(3) ใช้แทนนามและเชื่อมประโยค
(4) บอกความแบ่งแยกเป็นส่วน ๆ
ตอบ 1 หน้า 111, 115 – 116 (56256), 99 (H) สรรพนามที่แสดงความเฉพาะเจาะจง ได้แก่ “นี้ นั้น โน้น นี่ นั่น โน่น” ซึ่งคําทั้งหมดนี้ใช้แทนสิ่งที่พูดถึง อะไรก็ได้เพราะไม่ได้ระบุชื่อ ในขณะนั้น และคําว่า “นั่นนี่” ยังใช้สร้างคําขึ้นใหม่ โดยมากจะเป็นคําอุทานที่แต่ละคํา ก็มีความหมายเฉพาะอย่างหนึ่ง ๆ ต่างกันไป ได้แก่ “นั่นแน่ นั่นแน่ะ นั่นซี นั่นแหละ นี่ซิ นี่แหละ นั่นไง นั่นเป็นไง”

78. คําใดคือลักษณนามของ “กริช”
(1) เล่ม
(2) ด้าม
(3) อัน
(4) กริช
ตอบ 1 หน้า 160 – 165 (56256), 109 – 110 (H) คําลักษณนาม คือ คําที่ตามหลังคําบอกจํานวนนับ เพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดคํานามที่อยู่ข้างหน้าคําบอกจํานวนนับ มักจะเป็นคําพยางค์เดียว แต่เป็นคําที่สร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยการอุปมาเปรียบเทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ การเทียบ แนวเทียบ และการใช้คําซ้ำกับคํานามนั้นเอง (กรณีที่ไม่มีลักษณนามโดยเฉพาะ) เช่น กริซ (เล่ม), ไหล่ถนน หรือไหล่ทาง (ข้าง), หูโทรศัพท์ (อัน) ฯลฯ

79. คําใดคือลักษณนามของ “ไหล่ถนน หรือไหล่ทาง”
(1) ไหล่
(2) ข้าง
(3) เส้น
(4) ทาง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80. คําใดคือลักษณนามของ “หูโทรศัพท์”
(1) ชุด
(2) ข้าง
(3) อัน
(4) หู
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

ข้อ 81 – 90. อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม โดยให้สัมพันธ์กับข้อความที่ให้อ่าน

จากความใกล้ชิดกับบรรดาพ่อแม่ที่มีลูกโต (7 ปีขึ้นไปถึงวัยรุ่น) นิตยสาร Life & family บ่อยครั้งก็ได้รับเสียงสะท้อนจากพ่อแม่ว่า ลูกยิ่งโตยิ่งได้รับอิทธิพลจากสื่อทั้งทีวี เพลง มิวสิกวิดีโอ นิตยสาร และอื่น ๆ ทําให้ค่านิยมเปลี่ยนไปในทางที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะลูกสาววัยรุ่น

เราจึงได้นําเสนอประเด็นนี้ในคอลัมน์รู้จักใจลูกวัย 13 ปีขึ้นไปถึงวัยรุ่น เพื่อสะกิดเตือนพ่อแม่ และผู้ใหญ่ให้เห็นอิทธิพลของสื่อและทางป้องกัน และนํามาส่งสัญญาณเตือนกันอีกครั้ง ณ ที่นี้ค่ะ

สังคมทุกวันนี้ผสมผสานคลุกเคล้าทั้งวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมต่างชาติ จนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ก็สับสนกันพอสมควร โดยเฉพาะค่านิยมทางเพศ ผู้หญิงกล้าแสดงออกมากขึ้น เปิดเผยมากขึ้น และก็มีเซ็กซ์กันง่ายขึ้นด้วย

มีงานวิจัยออกมามากว่า….วัยรุ่นมากกว่าครึ่งยอมรับว่า การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนเป็น เรื่องธรรมดา หรือค่านิยมใหม่นักศึกษาสาวชอบหลอกฟันหนุ่มบําเรอกาม

ค่านิยมเหล่านี้เข้ามาในสังคมบ้านเราในยุคที่เปิดกว้างรับทุกอย่าง โดยไหลผ่านสื่อเข้ามา และความสามารถในการกรองสื่อของเด็กก็เป็นไปแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

เรื่องนี้คุณหมอสุกมล วิภาวิพลกุล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเพศศึกษาได้กล่าวว่า ที่น่าห่วงคือ สื่อต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อเด็กและวัยรุ่นในเรื่องของทัศนคติทางเพศ โดยเฉพาะในรูปแบบของโฆษณา ซึ่งสมัยก่อนหญิงชายจะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ในโฆษณามีภาพการเล้าโลมสัมผัสหรือ ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นจีบผู้ชาย ซึ่งตรงนี้เองจะทําให้ทัศนคติของวัยรุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนไป ค่อย ๆ ซึมซับ มองเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา

แล้วในขณะที่สื่อพวกนี้มาแรง สื่อทางวัฒนธรรมไทยก็อ่อนกําลังลง คําพูดที่กล่าวว่า อย่าชิงสุก ก่อนห่าม ให้อดเปรี้ยวไว้กินหวาน หมดความหมายไปแล้ว

ที่น่าห่วงคือ เด็กยังคิดไปไม่ได้ไกล คิดแค่…โป๊อีกนิดสิอินเทรนด์หรือแค่จีบเล่น ๆ ไม่เห็นเป็นไร แต่ยังไม่ทันคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

คุณหมอแนะว่า ต้องสอนลูกวัยรุ่นให้มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง และ มีวุฒิภาวะ ซึ่งเป็นความสามารถของสมองส่วนคิดที่มีเหนือกว่าสมองส่วนหยาบ เด็กต้องได้รับการพัฒนา ความสามารถของสมองส่วนคิด ซึ่งเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ การศึกษาที่โรงเรียน วัฒนธรรม และ สื่อมวลชน เพราะสิ่งเร้าอารมณ์ทั้งหลายมันกระตุ้นสมองส่วนหยาบ

ดังนั้นพ่อแม่ต้องเลี้ยงดูลูกให้รู้จักควบคุมสมองส่วนหยาบ ถ้าเด็กอยากได้อะไรแล้วได้ทันที รอไม่เป็น จะสอนให้เขาควบคุมในเรื่องเพศได้อย่างไร ฝึกลูกให้มีวิจารณญาณต่อเรื่องต่าง ๆ รอบตัว โดยเฉพาะที่มากับสื่อ

และต้องเลี้ยงลูกให้ตระหนักในคุณค่าของตัวเอง ไม่ให้ลูกรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าเพราะเพื่อน ๆ มีแฟนกันหมดแล้วตัวเองไม่มี หรือต้องให้มีผู้ชายมารับ เพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าหรือเกิดผู้ชายทิ้ง ไปแล้วรู้สึกคุณค่าในตัวเองลดลงจนต้องฆ่าตัวตาย

ความรักความอบอุ่นของพ่อแม่จะทําให้ลูกรู้สึกตัวเองมีคุณค่า และยิ่งพ่อแม่ทําตัวเป็นเพื่อน กับลูก ลูกก็จะกล้าคุยปรึกษาหารือปัญหาต่าง ๆ กับพ่อแม่ โดยเฉพาะเรื่องเพศ พ่อแม่อาจบอกลูกสาวว่า “ลูก คือ เด็กผู้หญิงที่พ่อแม่รักที่สุดในโลก พ่อแม่จึงอยากให้ลูกรักษาเนื้อรักษาตัว โดยการไม่พาตัวเอง เข้าไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง เพราะถ้าลูกเป็นอะไรไปคุณพ่อคุณแม่หัวใจแตกสลาย”

และกับลูกชายอาจบอกว่า “ลูก คือ เด็กหนุ่มที่พ่อแม่ภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ลูก ตั้งใจเรียนเพื่อรับผิดชอบตัวเอง และสามารถรับผิดชอบคนที่จะมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันกับเราได้ รักพี่สาว รักคุณแม่อย่างไร เราต้องให้เกียรติสุภาพสตรีคนอื่นเช่นเดียวกัน”

เราสามารถใช้สื่อต่าง ๆ เป็นตัวจุดชนวนเปิดประเด็นที่จะคุยกับลูก แล้วฟังเขา หรืออาจ ฉวยโอกาสสอน เช่น เมื่อมีฉากกอดจูบ เราอาจบอกลูกสาวว่า การกอดจูบเป็นวัฒนธรรมต่างประเทศ เราไม่กอดกันเพราะว่าเราเป็นเมืองร้อน แล้วเราก็ไม่จูบกันเพราะว่าคนไทยกินอาหารรสจัด แล้วก็แลกเปลี่ยนความคิดกัน

หากลูกมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และมีวิจารณญาณกับเรื่องต่าง ๆ รอบตัวแล้ว….แม้สิ่งเร้า ภายนอกจะแรงแค่ไหนก็ไหวได้แค่กิ่งใบ ไม่สามารถหักกลางลําได้แน่ค่ะ

81. สังคมที่คลุกเคล้าวัฒนธรรมมีผลเชิงลบต่อกลุ่มใด
(1) เด็ก
(2) เยาวชน
(3) ผู้ใหญ่
(4) ทุกกลุ่ม
ตอบ 4 จากข้อความ… สังคมทุกวันนี้ผสมผสานคลุกเคล้าทั้งวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมต่างชาติ จนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ก็สับสนกันพอสมควร โดยเฉพาะค่านิยมทางเพศ ผู้หญิงกล้าแสดงออก มากขึ้น เปิดเผยมากขึ้น และก็มีเซ็กซ์กันง่ายขึ้นด้วย

82. สิ่งใดมีผลต่อค่านิยมที่เปลี่ยนไปของวัยรุ่น
(1) การศึกษาขั้นพื้นฐาน
(2) สังคมวัตถุนิยม
(3) การศึกษาในระดับอุดมศึกษา
(4) ความสามารถในการกรองสื่อ
ตอบ 4 จากข้อความ… ลูกยิ่งโตยิ่งได้รับอิทธิพลจากสื่อทั้งทีวี เพลง มิวสิกวิดีโอ นิตยสาร และอื่น ๆ ทําให้ค่านิยมเปลี่ยนไปในทางที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะลูกสาววัยรุ่น…ค่านิยมเหล่านี้เข้ามาใน สังคมบ้านเราในยุคที่เปิดกว้างรับทุกอย่าง โดยไหลผ่านสื่อเข้ามา และความสามารถในการ กรองสื่อของเด็กก็เป็นไปแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

83. ความสามารถในการกรองสื่อ หมายถึงลักษณะใด
(1) การวิจารณ์
(2) การวิเคราะห์
(3) การประเมิน
(4) การประมาณ
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ) ความสามารถในการกรองสื่อ หมายถึง การรู้จักวิเคราะห์ ใคร่ครวญ กลั่นกรองเนื้อหาของสื่อต่าง ๆ เพื่อแยกแยะค่านิยมที่ดี ไม่ดีให้ถ่องแท้

84. สิ่งใดมีผลต่อพฤติกรรมที่สมควรของวัยรุ่น
(1) ความรู้
(2) สติ
(3) การคิดเป็น
(4) ความสามารถในการรับรู้
ตอบ 3 จากข้อความ… เด็กต้องได้รับการพัฒนาความสามารถของสมองส่วนคิด ซึ่งเกิดจากการเลี้ยงดู
ของพ่อแม่ การศึกษาที่โรงเรียน วัฒนธรรม และสื่อมวลชน เพราะสิ่งเร้าอารมณ์ทั้งหลายมัน กระตุ้นสมองส่วนหยาบ (สมองส่วนคิดในที่นี้ก็คือ การคิดเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีผลต่อพฤติกรรมที่ สมควรของวัยรุ่น)

85. ผู้ที่ทําร้ายจนถึงขั้นทําลายตนเองได้เกิดจากอะไร
(1) สังคมกดดัน
(2) พ่อแม่บีบคั้น
(3) การไม่รักตนเอง
(4) ความรู้สึกว่าตนด้อยค่า
ตอบ 4 จากข้อความ…. และต้องเลี้ยงลูกให้ตระหนักในคุณค่าของตัวเอง ไม่ให้ลูกรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า เพราะเพื่อน ๆ มีแฟนกันหมดแล้วตัวเองไม่มี หรือต้องให้มีผู้ชายมารับ เพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเอง มีคุณค่าหรือเกิดผู้ชายทิ้งไปแล้วรู้สึกคุณค่าในตัวเองลดลงจนต้องฆ่าตัวตาย

86. เราควรทําอย่างไรกับสมองส่วนหยาบ
(1) กําจัด
(2) จํากัด
(3) พัฒนา
(4) ฝึกทักษะ
ตอบ 2 จากข้อความ…. ดังนั้นพ่อแม่ต้องเลี้ยงดูลูกให้รู้จักควบคุมสมองส่วนหยาบ ถ้าเด็กอยากได้อะไร แล้วได้ทันที รอไม่เป็น จะสอนให้เขาควบคุมในเรื่องเพศได้อย่างไร ฝึกลูกให้มีวิจารณญาณต่อ เรื่องต่าง ๆ รอบตัว โดยเฉพาะที่มากับสื่อ (การควบคุมสมองส่วนหยาบในที่นี้ก็คือ การกํากับ ดูแลหรือจํากัดความสามารถของสมองส่วนหยาบไม่ให้เหนือกว่าสมองส่วนคิด)

87. ข้อใดตรงกับข้อสรุปของข้อความที่ให้อ่าน
(1) เลี้ยงลูกให้ถูกวิธีจะปิดกั้นอิทธิพลลบจากสื่อได้เด็ดขาด
(2) การแก้ไขพฤติกรรมวัยรุ่นเป็นเรื่องสายเกินแก้เสียแล้ว
(3) วัยรุ่นอาจหวั่นไหวด้วยอิทธิพลจากสื่อได้บ้าง แต่การเลี้ยงดูที่ถูกต้องจะป้องกันได้
(4) สื่อในทางผิด ๆ และวัฒนธรรมไทยที่อ่อนแอลงมีผลต่อพฤติกรรมวัยรุ่นอย่างไม่มีทางป้องกัน
ตอบ 3 จากข้อความ… หากลูกมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และมีวิจารณญาณกับเรื่องต่าง ๆ รอบตัวแล้ว …แม้สิ่งเร้าภายนอกจะแรงแค่ไหนก็ไหวได้แค่กิ่งใบ ไม่สามารถหักกลางลําได้แน่ค่ะ

88. โวหารการเขียนเป็นแบบใด
(1) อธิบาย
(2) พรรณนา
(3) บรรยาย
(4) อภิปราย
ตอบ 1 หน้า 72 (54351), (คําบรรยาย) โวหารเชิงอธิบาย คือ โวหารที่ใช้ในการชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่าน เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งเป็นการให้ความรู้หรือข้อมูลแต่เพียงด้านเดียว อาจจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบก็ได้ โดยมีการชี้แจงแสดงเหตุและผล การยกตัวอย่างประกอบ การเปรียบเทียบ และการจําแนกแจกแจง เช่น การอธิบายความหมายของคํา กฎเกณฑ์ ทฤษฎี และวิธีการต่าง ๆ

89. แนวเรื่องเป็นไปในลักษณะใด
(1) ให้ข้อมูล
(2) แสดงทัศนะ
(3) วิพากษ์วิจารณ์
(4) ให้ข้อมูลและแสดงทัศนะ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) แนวเรื่อง คือ จุดประสงค์ของผู้เขียนในเรื่องนี้จะเป็นไปในลักษณะของ การให้ข้อมูลและแสดงทัศนะหรือความคิดเห็นไปพร้อม ๆ กัน

90. ท่วงทํานองเขียนเป็นแบบใด
(1) กระชับรัดกุม
(2) เรียบง่าย ใช้ภาษาพูดปะปน
(3) สละสลวย สื่อภาพพจน์
(4) มีภาษาต่างประเทศปนอยู่
ตอบ 2 หน้า 58 (54351) ผู้เขียนใช้ท่วงทํานองเขียนแบบเรียบง่าย คือ ท่วงทํานองเขียนที่ใช้คําง่าย ชัดเจน การผูกประโยคไม่ซับซ้อน ทําให้อ่านง่ายและเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาในการ ขบคิดมากนัก แต่จะมีการใช้ภาษาพูดปะปนบ้างในบางย่อหน้า

ข้อ 91 – 94. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) จมไม่ลง ทอดสะพาน ชื่อเหมือนแมวนอนหวด
(2) สาวไส้ให้กากิน ดีดลูกคิดรางแก้ว ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
(3) ทองไม่รู้ร้อน สีซอให้ควายฟัง น้ำอุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก
(4) เรียนผูกต้องเรียนแก้ น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่

91. ข้อใดเป็นสํานวนทั้งหมด
ตอบ 1 หน้า 119 – 121 (H) ข้อแตกต่างของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้
1. สํานวน หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คําน้อยแต่กินความหมายมาก และ เป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น จมไม่ลง (เคยทําตัวยิ่งใหญ่มาแล้วทําให้ เล็กลงไม่ได้), ทอดสะพาน (แสดงกิริยาท่าทางเป็นทํานองว่าอยากจะติดต่อด้วย), ชื่อเหมือน แมวนอนหวด (ทําเป็นชื่อ), ทองไม่รู้ร้อน (เฉยเมย ไม่กระตือรือร้น) เป็นต้น

2. คําพังเพย หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิก และอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้ นําไปปฏิบัติหรือไม่ให้นําไปปฏิบัติ เช่น สาวไส้ให้กากิน (นําความลับของฝ่ายตนไปเปิดเผย ให้คนอื่นรู้), ดีดลูกคิดรางแก้ว (คิดถึงผลที่จะได้อยู่ทางเดียว), ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น (ลูกย่อม ไม่ต่างจากพ่อแม่มากนัก), สีซอให้ควายฟัง (สั่งสอนคนโง่มักไม่ได้ผล เสียเวลาเปล่า) เป็นต้น

3. สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คําจูงใจ หรือคําห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น น้ําอุ่นไว้ใน น้ําใสไว้นอก (แม้จะไม่พอใจก็ควรแสดงสีหน้าที่ยิ้มแย้ม), เรียนผูกต้องเรียนแก้ (เมื่อรู้วิธีทํา ก็ต้องรู้วิธีแก้ไข), น้ําเชี่ยวอย่าขวางเรือ (อย่าขัดขวางผู้ที่มีอํานาจหรือผู้ที่กําลัง โกรธจัด), ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ (ให้รู้จักพิจารณาลักษณะบุคคลหรือผู้หญิงที่จะเลือก เป็นคู่ครอง) เป็นต้น

92. ข้อใดเป็นคําพังเพยทั้งหมด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93. ข้อใดเป็นสุภาษิตทั้งหมด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

94. ข้อใดเรียงลําดับถูกต้องตั้งแต่สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

95. ข้อใดมีความหมายว่า “ดีแต่พูดแต่ทําไม่ได้”
(1) เนื้อเต่ายําเต่า
(2) ลางเนื้อชอบลางยา
(3) ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก
(4) บนข้าวผี ที่ข้าวพระ
ตอบ 3 ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก = ดีแต่พูดแต่ทําไม่ได้ (ส่วนเนื้อเต่ายําเต่า – นําเอาทรัพย์สินในส่วน ที่เป็นกำไรหรือดอกเบี้ยกลับไปลงทุนต่อไปอีก โดยที่ไม่ต้องใช้ทุนเดิม, ลางเนื้อชอบลางยา = ของสิ่งเดียวกัน ถูกกับคนหนึ่ง แต่ไม่ถูกกับอีกคนหนึ่ง, บนข้าวผี ที่ข้าวพระ = ขอร้องให้ผีสาง เทวดาช่วยเหลือโดยจะแก้บนเมื่อประสบผลสําเร็จแล้ว)

96. “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” มีความหมายตรงกับข้อใด
(1) ยกเรื่องต่าง ๆ มาอ้างเพื่อป้องกันตัวเอง
(2) ปล่อยไปตามเรื่องตามราว ไม่เอาเป็นธุระ
(3) คนที่กันท่าคนอื่นในสิ่งที่ตนใช้ประโยชน์ไม่ได้
(4) ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทํา จึงจะประสบความสําเร็จ
ตอบ 2 ชั่วช่างซี ดีช่างสงฆ์ – ปล่อยไปตามเรื่องตามราว ไม่เอาเป็นธุระ

97. เสียงพูดข้อใดเขียนวรรณยุกต์ไม่ถูกต้อง
(1) ฉันช๊อบชอบ เด็กคนนี้ซ้นชน
(2) กินจนอิ่มอิ่ม ช้างตัวโต๊โต
(3) ไปเที่ยวบ๊อยบ่อย เขามีชีวิตดี๊ดี
(4) เสื้อผ้าเก๊าเก่า ชาวบ้านจ๊นจน
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ) คําที่เขียนรูปวรรณยุกต์ผิด ได้แก่ ฉันช๊อบชอบ เด็กคนนี้ซ๊นชน ซึ่งที่ถูกต้องคือ ฉันช้อบชอบ เด็กคนนี้ซ้นชน

98. ข้อใดมีคําผิดอยู่ในประโยค
(1) น้องชอบกินอินทผลัม
(2) ฉันไปซื้อของที่อนุเสารีย์ชัย
(3) ช่างแกะสลักทํางานประณีตมาก
(4) หมู่บ้านนี้มีคนเป็นโรคไหลตาย
ตอบ 2 คําที่สะกดผิด ได้แก่ ฉันไปซื้อของที่อนุเสารีย์ชัย
ซึ่งที่ถูกต้องคือ ฉันไปซื้อของที่อนุสาวรีย์ชัย

99. ข้อใดสะกดถูกทุกค่า
(1) จตุรัส รื่นรมณ์ เบญจเพศ
(2) บังสุกุล บิณฑบาต โลกาภิวัตน์
(3) เหลวไหล กระทันหัน แมลงสาป
(4) กะทัดรัด กระเพรา ไอศกรีม
ตอบ 2 คําที่สะกดผิด ได้แก่ จตุรัส รื่นรมณ์ เบญจเพศ กระทันหัน แมลงสาป กระเพรา
ซึ่งที่ถูกต้องคือ จัตุรัส รื่นรมย์ เบญจเพส กะทันหัน แมลงสาบ กะเพรา

100. ข้อใดมีค่าที่สะกดถูกขนาบคําที่สะกดผิด
(1) รสชาติ สัมมนา กระทะ
(2) กงสุล ลําไย สีสัน
(3) กระเพาะ จัดสรร เซ็นชื่อ
(4) มาตรฐาน ผาสุข อนุญาต
ตอบ 4 คําที่สะกดผิด ได้แก่ ผาสุข ซึ่งที่ถูกต้องคือ ผาสุก

101. ข้อใดสะกดผิดทุกคํา
(1) ขนมเค้ก สัมมนา อิ่มแปล้
(2) ร่ำลือ ลายเซ็น สําอาง
(3) คุ้กกี้ นะค่ะ โน๊ตเพลง
(4) พังทลาย อาเพศ ผุดลุกผุดนั่ง
ตอบ 3 คําที่สะกดผิด ได้แก่ คุ้กกี้ ซึ่งที่ถูกต้องคือ

102. การเรียนใน…..นี้ ต้องค้นคว้าคำที่…..ไว้ในหนังสือให้หมดทุกคํา
(1) ขั้น คั่น
(2) คั่น ขั้น
(3) ขั้น ขั้น
(4) คั่น คั่น
ตอบ 1 คําว่า “ขั้น” = ลําดับ ตอน เช่น ในขั้นนี้ “คน” = แทรกหรือกั้นอยู่ในระหว่าง

103. ข้อใดมีคําที่สะกดผิดสลับกับคําที่สะกดถูก
(1) ผลัดวันประกันพรุ่ง ใบไม้ผลัดใบ ผลัดแป้งแต่งหน้า ผัดผ่อน
(2) ผัดวันประกันพรุ่ง ใบไม้ผลัดใบ ผลัดแป้งแต่งหน้า ผัดผ่อน
(3) ผลัดวันประกันพรุ่ง ใบไม้ ผัดใบ ผัดแป้งแต่งหน้า ผลัดผ่อน
(4) ผัดวันประกันพรุ่ง ใบไม้ผัดใบ ผัดแป้งแต่งหน้า ผลัดผ่อน
ตอบ 1 คําที่สะกดผิด ได้แก่ ผลัดวันประกันพรุ่ง ใบไม้ผัดใบ ผลัดแป้งแต่งหน้า ผลัดผ่อน ซึ่งที่ถูกต้องคือ ผัดวันประกันพรุ่ง ใบไม้ผลัดใบ ผัดแป้งแต่งหน้า ผัดผ่อน

104. นักเรียนช่วย…………………..กิ่งไม้นี้ให้เป็นรอยโดยรอบ ทําเสร็จแล้วจะให้กินอ้อย………..
(1) ขวั่น ควั่น
(2) ควัน ขวั่น
(3) ฃวั่น ขวั่น
(4) ควั่น ควั่น
ตอบ 4 คําว่า “ควัน” – ทําให้เป็นรอยด้วยคมมีดโดยรอบ, เรียกอ้อยที่ควั่นให้ขาดออกเป็นข้อ ๆ ว่า อ้อยควั่น (ส่วนคําว่า “ขวั่น” เป็นคําที่เขียนผิด)

105. อย่าไปห่วง……นักเลย เขาไม่ ……ดีต่อเธอเลยสักนิด
(1) ไย ใย
(2) ใย ไย
(3) ไย ไย
(4) ใย ใย
ตอบ 2 คําว่า “ห่วงใย” = มีใจพะวงอยู่, “ไยดี” – พอใจ ยินดี เอื้อ มักใช้ในความปฏิเสธ เช่น ไม่ไยดี

106. ผู้หญิงคนที่ร่างสูง………เธอมีคุณสมบัติ…….
(1) เพียว เพียบพร้อม
(2) เพียว เพรียบพร้อม
(3) เพรียว เพรียบพร้อม
(4) เพรียว เพียบพร้อม
ตอบ 4 คําว่า “เพรียว” = เปรียว ฉลวย เรียว เช่น รูปร่างสูงเพรียว, “เพียบพร้อม” = เต็มเปี่ยม ครบทุกอย่าง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

107. เจ้าหน้าที่กําลังทําถนน……………………………
(1) ลาด ลาด
(2) ราด ราด
(3) ลาด ราด
(4) ราด สาด
ตอบ 1 คําว่า “ถนนลาดยาง” = ใช้เรียกถนนที่ปูผิวจราจรด้วยยางมะตอยผสมกับหินหรือทราย, “ทางลาดชัน” = ทางที่เป็นเนินขึ้นเขาหรือลงเขา (ส่วนคําว่า “ราด” = เทของเหลว ๆ เช่น น้ำให้กระจายหรือแผ่ไป)

108. ข้อใดใช้ภาษาพูด
(1) เมื่อไรเขาจะมา
(2) เขามาตั้งแต่เมื่อใด
(3) ขนมชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่
(4) เธอเดินทางไปอย่างไร
ตอบ 3 หน้า 6 – 7 (54351) ระดับของคําในภาษาไทยมีศักดิ์ต่างกัน เวลานําไปใช้ก็ใช้ในที่ต่างกัน ดังนั้นจึงต้องพิจารณาใช้คําให้เหมาะสม กล่าวคือ
1. คําที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คําที่ใช้ในภาษาแบบแผน หรือภาษาเขียนของทาง ราชการ เช่น เมื่อใด เหตุใด อย่างไร เท่าไร เมื่อไร ฯลฯ
2. คําที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่ คําที่ใช้ในภาษาพูด หรือการเขียนจดหมายส่วนตัว ถึงบุคคลที่สนิทสนมกัน ซึ่งในบางครั้งก็มักจะตัดคําให้สั้นลง เช่น เมื่อไหร่ เท่าไหร่ มหาลัยคณะวิศวะ นายก ฯลฯ

109……………………ถูกต่อย ………………..เมื่อวานนี้
(1) กรบเกลื่อน กบ
(2) กลบเกลื่อน กบ
(3) กรบเกลื่อน กลบ
(4) กลบเกลื่อน กลบ
ตอบ 2 คําว่า “กลบเกลื่อน” = ทําให้เรื่องเลือนหายไป, “กบ” = เต็มมาก เต็มแน่น เช่น ข้าวกับหม้อ เลือดกบปาก (ส่วนคําว่า “กรบเกลื่อน” เป็นคําที่เขียนผิด, “กลบ” – กิริยาที่เอาสิ่งซึ่งเป็นผง โรยทับไว้ข้างบนเพื่อปิดบัง)

110. เรียนผู้มี…….ทุกท่าน ห้างสรรพสินค้าขอ………….เงินจากทุกท่าน เพื่อนําไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม
(1) อุปการคุณ เรี่ยไร
(2) อุปการะคุณ เรี่ยไร
(3) อุปการคุณ เรี่ยราย
(4) อุปการะคุณ เรี่ยราย
ตอบ 1 คําว่า “อุปการคุณ” = ความช่วยเหลือเกื้อกูล ให้การอุดหนุน, “เรี่ยไร” = ขอร้องให้ช่วย ออกเงินทําบุญตามสมัครใจ (ส่วนคําว่า “อุปการะคุณ” เป็นคําที่เขียนผิด, “เรี่ยราย” = กระจายเกลื่อนไป)

111. ใต้ถุนเรือนมีแต่น้ำ…….ที่……ไปด้วยยุง
(1) คร่ำ คราคร่ำ
(2) คล่ำ คลาคล่ำ
(3) คร่ำ คลาคล่ำ
(4) คล่ำ คราคร่ำ
ตอบ 3 คําว่า “ครำ” = ใช้เรียกน้ําเสียที่ขังอยู่ในพื้นดินที่เป็นแอ่ง เช่น ใต้ถุนเรือน หรือในท่อระบาย น้ำเสียว่า น้ำครำ, “คลาคล่ำ” = ไปหรือมาเป็นจํานวนมาก (ส่วนคําว่า “คราคร่ำ” เป็นคําที่เขียนผิด, “คลำ” = กิริยาที่ใช้อวัยวะ เช่น มือทําการแตะ ลูบ หรือควานอย่างช้า ๆ เพื่อให้ รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน)

ข้อ 112 – 114. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม
(1) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(2) ใช้คําไม่มีเอกภาพ
(3) ใช้คํากํากวม
(4) ใช้คําผิดความหมาย

112. “เขาเดินสะดุดรองเท้าขาด” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 3 หน้า 11 (54351) การใช้คําที่มีความหมายหลายอย่างจะต้องคํานึงถึงถ้อยคําแวดล้อมด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความแจ่มชัด ไม่กํากวม เพราะคําชนิดนี้จะต้องอาศัยถ้อยคําที่แวดล้อมอยู่เป็น เครื่องช่วยในการกําหนดความหมาย เช่น เขาเดินสะดุดรองเท้าขาด (ใช้คํากํากวม) จึงควรแก้ไข ให้มีความหมายที่แน่ชัดลงไปเป็น เขาเดินสะดุดจนรองเท้าที่เขาใส่มาขาด

113. “มีกระบวนการค้ายาเสพติดอยู่ในชุมชนนี้” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 4 หน้า 10 – 11 (54351) การใช้คําในการพูดและเขียนต้องรู้จักเลือกคํามาใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม คือ จะต้องมีความรู้ว่าคําที่จะนํามาใช้นั้นมีความหมายว่าอย่างไร ใช้แล้วเหมาะสม ไม่ผิดความหมาย และจะเป็นที่เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งเพียงไร เช่น มีกระบวนการค้ายาเสพติด อยู่ในชุมชนนี้ (ใช้คําไม่ถูกต้อง หรือใช้คําผิดความหมาย) ดังนั้นจึงควรแก้ไขเป็น มีขบวนการ ค้ายาเสพติดอยู่ในชุมชนนี้ (คําว่า “ขบวนการ” = กลุ่มบุคคลที่รวมกันเพื่อดําเนินการอย่างใด อย่างหนึ่ง ส่วนคําว่า “กระบวนการ” = ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงอย่าง มีระเบียบไปสู่ผลอย่างหนึ่ง)

114. “ขอแจ้งให้ทราบว่าสินค้าหมดแล้วไม่มีเหลือเลย” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 1 หน้า 18 – 19, 39 (54351) การใช้คําฟุ่มเฟือยหรือการใช้คําที่ไม่จําเป็นจะทําให้คําโดยรวม ไม่มีน้ําหนักและข้อความขาดความหนักแน่น ไม่กระชับรัดกุม เพราะเป็นคําที่ไม่มีความหมาย อะไร แม้จะตัดออกไปก็ไม่ได้ทําให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทําให้ ดูรุงรังยิ่งขึ้น เช่น ขอแจ้งให้ทราบว่าสินค้าหมดแล้วไม่มีเหลือเลย (ใช้คําฟุ่มเฟือย) ดังนั้นจึงควรแก้ไขเป็น ขอแจ้งให้ทราบว่าสินค้าหมดแล้ว

ข้อ 115 – 117. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม
(1) ใช้คําไม่ชัดเจน
(2) ใช้คําขัดแย้งกัน
(3) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(4) วางส่วนขยายผิดที่

115. “ฝนค่อย ๆ ตกลงมาอย่างหนัก” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 2 หน้า 41 (54351) การใช้คําขัดแย้งกัน หมายถึง การใช้คําที่ทําให้เนื้อความขัดกัน หรือใช้คํา ที่มีความหมายตรงกันข้าม เช่น ฝนค่อย ๆ ตกลงมาอย่างหนัก (ใช้คําขัดแย้งกัน) ดังนั้นจึงควร แก้ไขเป็น ฝนค่อย ๆ ตกลงมาอย่างช้า ๆ (คําว่า “ค่อย ๆ” = ไม่รีบร้อน ไม่ไว ช้า ๆ ส่วนคําว่า “หนัก” – แรง เช่น ฝนตกหนัก)

116. “เพลงเต่างอยถูกขอมามากในรายการ” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 3 หน้า 126 (56256), 38 (54351) การใช้คําตามแบบภาษาไทย หมายถึง การทําให้ข้อความ ที่ผูกขึ้นมีลักษณะเป็นภาษาไทย ไม่เลียนแบบภาษาต่างประเทศ ซึ่งจะทําให้ข้อความกะทัดรัด เข้าใจง่าย และไม่เคอะเขิน เช่น เพลงเต่างอยถูกขอมามากในรายการ (ใช้สํานวนต่างประเทศ) ดังนั้นจึงควรแก้ไขเป็น เพลงเต่างอยมีผู้ขอมามากในรายการ (คําว่า “ถูก” ในภาษาไทยมักใช้ ในความหมายที่ไม่น่ายินดี เช่น เขาถูกลูกน้องทําร้าย น้องถูกหมากัด เธอถูกไล่ออก ฯลฯ)

117. “นักศึกษาขอกู้เงินเพื่อการศึกษาจํานวนมาก” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 4 หน้า 37 (54351) การเรียงลําดับประโยคให้ถูกที่ หมายถึง การวางประธาน กริยา กรรม และส่วนขยายให้ตรงตามตําแหน่ง เพราะถ้าหากวางไม่ถูกที่จะทําให้ข้อความนั้นไม่ชัดเจน หรืออาจมีความหมายไม่ตรงตามต้องการ เช่น นักศึกษาขอกู้เงินเพื่อการศึกษาจํานวนมาก (วางส่วนขยายผิดที่ หรือใช้คําขยายไม่ถูกต้อง) ดังนั้นจึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น นักศึกษา ขอกู้เงินจํานวนมากเพื่อการศึกษา

118. ประโยคใดไม่ใช่สํานวนต่างประเทศ
(1) ห้องน้ำเต็มไปด้วยฝุ่น
(2) เขาถูกลูกน้องทําร้าย
(3) เขาเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่
(4) ลูกน้องภายใต้การนําของเขา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 116. ประกอบ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้สํานวนต่างประเทศ จึงควรแก้ไขเป็น ห้องน้ำมีฝุ่นมาก, เขาถือกระเป๋าใบใหญ่เข้ามา, ลูกน้องที่มีเขาเป็นผู้นํา)

119. คําว่า “ล็อกเกต สปาเกตตี” เป็นคําประเภทใด
(1) คําทับศัพท์
(2) คําศัพท์แปลกใหม่
(3) คําศัพท์บัญญัติ
(4) คําที่เขียนรูปวรรณยุกต์ผิด
ตอบ 1 หน้า 123 หน้า 123 – 125 (H), (คําบรรยาย) คําทับศัพท์ คือ คําภาษาต่างประเทศที่นํามาใช้ใน ภาษาไทย โดยมีการถ่ายเสียงให้ใกล้เคียงภาษาเดิมมากที่สุด และถอดอักษรในภาษาเดิมพอควรแก่การแสดงที่มาของรูปศัพท์ แล้วเขียนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศใช้ของ ราชบัณฑิตยสถาน เช่น คลินิก (Clinic), ล็อกเกต (Locket), สปาเกตตี (Spaghetti) ฯลฯ

120. คําว่า “หวงแหน จอกแหน” เป็นคําประเภทใด
(1) คําพ้องรูป
(2) คําพ้องเสียง
(3) คําพ้องความหมาย
(4) คําพ้องรูปและคําพ้องเสียง
ตอบ 1 หน้า 14 (54351) คําพ้องรูป คือ คําที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียง จะต่างกัน ดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะถ้าหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิด ไปด้วย เช่น คําว่า “แทน” อ่านว่า “แหน” (ใช้เข้าคู่กับคําอื่นในคําว่า “หวงแหน แห่แหน เฝ้าแหน”) หรืออาจอ่านว่า “แหน” (ชื่อไม้น้ำหลายชนิดในวงศ์ Lemnaceae ใบกลมเล็ก ๆ ลอยอยู่ตามน้ำนิ่ง เช่น แหนเล็ก แหนใหญ่ จอกแหน) เป็นต้น

POL3301 นโยบายสาธารณะ 1/2566

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3301 นโยบายสาธารณะ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

ตั้งแต่ข้อ 1. – 5. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Thomas R. Dye
(2) Ira Sharkansky
(3) David Easton
(4) James Anderson
(5) Theodore Lowi

1.ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะ คือ สิ่งที่รัฐเลือกที่จะทําหรือไม่ทํา
ตอบ 1 หน้า 3 โทมัส อาร์ ดาย (Thomas R. Dye) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง สิ่งใด
ก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา

2. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตอบ 3 หน้า 3 เดวิด อีสตัน (David Easton) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและ แจกแจงคุณค่า (Values) ต่าง ๆ ของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ สังคมส่วนรวม

3. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการจัดการบริการสาธารณะ
ตอบ 2 หน้า 3 ไอรา ซาร์แคนสกี้ (Ira Sharkansky) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรม ต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระทํา เช่น การบริการสาธารณะ การควบคุมกิจกรรมของบุคคลหรือธุรกิจ ของเอกชน เป็นต้น

4.ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
ตอบ 4 หน้า 3 เจมส์ แอนเดอร์สัน (Jarnes Anderson) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทําเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเจตนาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ความยากจน การผูกขาด เป็นต้น

5. ใครเกี่ยวข้องกับการจําแนกประเภทของนโยบายสาธารณะ
ตอบ 5 หน้า 5 – 6, (คําบรรยาย) ธีโอดอร์ โลวาย (Theodore Lowi) ได้เสนอให้จําแนกประเภท ของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy)
2. นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy)
3. นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรรทรัพยากรเสียใหม่(Re-Distributive Policy)

6. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Harold Lasswell กล่าวว่า นโยบายเกี่ยวข้องกับแผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น
(2) Thomas R. Dye นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจว่าจะทําหรือไม่ทํา
(3) Theodore Lowi เป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
(4) David Easton เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 3, 58 – 59 ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่เน้นการสร้างภาพรวมและได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” ได้ให้ความหมาย นโยบายสาธารณะร่วมกับอับราแฮม แคปแพลน (Abraham Kaplan) ว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง แผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น อันประกอบด้วยเป้าหมาย คุณค่า และแนวการ ปฏิบัติงานต่าง ๆ” (ดูคําอธิบายข้อ 1. และ 2. ประกอบ)

7. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Dunn ศึกษาการวิเคราะห์นโยบาย
(2) Nagel ศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) Anderson ศึกษากระบวนการนโยบาย
(4) Dinnock อธิบายความคิดสร้างสรรค์
(5) Quade เสนอจุดมุ่งหมายในการวิเคราะห์นโยบาย
ตอบ 2 หน้า 61 – 68, 72, 154 – 171 นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
ได้แก่
1. เควด (E..S. Quade)
2. วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn)
3. สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Naget)
4. โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ฯลฯ
– ส่วนนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) ได้แก่
1. กรอส (Gross)
2. ไจแอคควินทา (Giacquinta)
3. เบิร์นสไตล์ (Bernstein)
4. กรีนวูด (Greenwood)
5. แมน (Mann)
6. แมคลัฟลิน (McLaughlin)
7. เบอร์แมน (Berman)
8. เดล อี. ริชาร์ด (Dale E. Richards)
9. เพรสแมน (Pressman)
10. วิลดัฟสกี (Wildavsky)
11 มองจอย (Montjoy)
12. โอทูเล (O’Toole)
13. โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith)
14. พอล เอ. ซาบาเตียร์ (Paul A. Sabatier)
15. ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน (Daniel A. Mazmanian)
16. อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizencine) ฯลฯ

8.ข้อใดไม่ใช่กระบวนการที่ Stuart S. Nagel เสนอ
(1) การกําหนดเป้าหมายเพื่อบรรลุผล
(2) การกําหนดแผนงาน
(3) การกําหนดคน สถานที่ อุปกรณ์
(4) การวิเคราะห์ผลตอบแทนสูงสุด
(5) การกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 239 – 240 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) ได้เสนอแนวคิดในการวิเคราะห์ ข้อมูลแบบง่ายสําหรับการวิเคราะห์หรือการประเมินนโยบาย ซึ่งมีหลักการหรือกระบวนการ ที่สําคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. กําหนดเป้าหมายเพื่อการบรรลุผล หรือการให้ผลประโยชน์ ตอบแทนสูงสุด
2. กําหนดเป้าหมายสัมพันธ์
3. กําหนดคน สถานที่ หรือวัสดุอุปกรณ์ ให้สอดคล้องกับนโยบายนั้น ๆ
4. กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
5. ปรับความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย

9.ใครสนใจในการวิเคราะห์นโยบาย
(1) E.S. Quade
(2) Stuart S. Nagel
(3) William Dunn
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

10. การรับรู้ถึงปัญหาสาธารณะเกี่ยวข้องกับนโยบายในด้านใด
(1) Policy Analysis
(2) Policy Implementation
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Impacts
(5) เกี่ยวข้องกับนโยบายทุกด้าน
ตอบ 1 หน้า 73 เควด (E.S. Quade) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายที่สําคัญของการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis) มีดังนี้
1. เพื่อให้ผู้กําหนดนโยบายได้รับรู้ถึงปัญหาสาธารณะโดยแจ้งชัด
2. เพื่อปรับปรุงคุณภาพการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบายที่สามารถแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของประชาชนได้
3. เพื่อสร้างกระบวนการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมและเป็นระบบ

11. การเปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตนโยบายมาสู่การศึกษากระบวนการนโยบายอยู่ในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้น
(2) ยุคพัฒนาให้เป็นศาสตร์
(3) ยุคการนําไปปฏิบัติให้บรรลุผล
(4) ยุคกึ่งกลางระหว่างเริ่มต้นและพัฒนา
(5) ในทุกยุค
ตอบ 3 หน้า 60 – 61 ยุคการนําไปปฏิบัติให้บรรลุผล เป็นยุคที่แนวคิดในการวิเคราะห์นโยบาย มีการเปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตของนโยบาย (Policy Outputs) มาสู่การศึกษากระบวนการ นโยบาย (Policy Process) และมีการเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์จากวิธีการเชิงปริมาณไปสู่วิธีการ ที่ผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพมากขึ้น

12. ใครให้เหตุผลในการกําหนดนโยบายไว้ 3 ประการ คือ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลทางวิชาชีพ
และเหตุผลทางการเมือง
(1) Harold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) Date E. Richards
ตอบ 2 หน้า 57, (คําบรรยาย) โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผล (ความสําคัญ)
ของการศึกษาและการกําหนดนโยบายสาธารณะไว้ 3 ประการ คือ
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons) คือ การทําความเข้าใจเหตุและผลของ การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย เพื่อให้ได้นโยบายที่มีเหตุผลมากที่สุด
2. เหตุผลทางวิชาชีพ (Professional Reasons) คือ การนําความรู้เชิงนโยบายไปใช้แก้ปัญหา ทางด้านการปฏิบัติ โดยวิชาชีพที่แตกต่างกันจะทําให้การกําหนดนโยบายและการนํานโยบาย
ไปปฏิบัติของแต่ละวิชาชีพมีความแตกต่างกัน
3. เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons) คือ การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสม ทางการเมืองมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง โดยการใช้เหตุผลทางการเมือง มักจะทําให้การกําหนดนโยบายเป็นไปอย่างไม่มีเหตุผลแต่เป็นที่ยอมรับของประชาชน เช่น นโยบายประชานิยมต่าง ๆ) เป็นต้น

13. ใครให้ความหมายของการวิเคราะห์นโยบายไว้ว่า เป็นการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในชุดของเป้าหมายที่กําหนดไว้
(1) Farold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) Date E. Richards
ตอบ 3 หน้า 72 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นการกําหนดและตัดสินทางเลือกของนโยบาย โดยการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุด ในชุดของเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยเปรียบเทียบทางเลือกเหล่านั้นกับการบรรลุเป้าหมาย

14. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดเป็นแผนในเรื่องใด
(1) การวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
(2) การวางแผนที่เน้นลักษณะผู้นํา
(3) การวางแผนที่เน้นบุคลิกภาพ
(4) การวางแผนที่เน้นเนื้อหา
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 109 ทฤษฎีการวางแผนที่เน้นเนื้อหา (Object-Centred Planning Theory) เป็น
โดยมุ่งทฤษฎีที่ให้ความสําคัญกับเนื้อหาสาระเฉพาะเรื่องที่จะนํามาวางแผนเป็นอย่างมาก อธิบายรายละเอียดของปัญหาและการแก้ปัญหาที่เจาะลึกในแต่ละเรื่อง แต่ไม่สนใจเรื่องวิธีการ เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น

15. ข้อใดไม่ใช่สิ่งสําคัญที่อยู่ในตัวแบบ SWOT
(1) จุดอ่อน
(2) จุดแข็ง
(3) สิ่งแวดล้อม
(4) โอกาส
(5) ภัยคุกคาม
ตอบ 3 หน้า 117, (คําบรรยาย) ตัวแบบ SWOT เป็นตัวแบบใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เพื่อให้ทราบ จุดแข็ง (Strengths) จุดอ่อน (Weaknesses) โอกาส (Opportunities) และภัยคุกคาม (Threats)

ตั้งแต่ข้อ 16. – 20. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ทฤษฎีกลุ่ม
(2) ทฤษฎีผู้นํา
(3) ทฤษฎีระบบ
(4) ทฤษฎีสถาบันนิยม
(5) ทฤษฎีการตัดสินใจ

16. สังคมถูกแบ่งเป็นคนกลุ่มน้อยที่มีอํานาจกับกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีอํานาจ คนกลุ่มน้อยเป็นผู้กําหนดนโยบาย
ตามความต้องการหรือค่านิยมของตน เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 2 หน้า 106 – 107, (คําบรรยาย) ทฤษฎีผู้นํา (Elite Theory) อธิบายว่า
1. สังคมถูกแบ่งเป็นคนกลุ่มน้อยที่มีอํานาจกับคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีอํานาจ โดยผู้นําซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม แต่มีอํานาจเป็นผู้ตัดสินหรือจัดสรรคุณค่าของสังคมและกําหนดนโยบายสาธารณะให้เป็นไปตามความต้องการหรือค่านิยมของตน ขณะที่ประชาชนหรือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนตัดสินใจในนโยบายสาธารณะด้วย
2. ผู้นําจะแสดงความสมานฉันท์กับค่านิยมพื้นฐานของระบบสังคมและพยายามสงวนรักษาระบบไว้
3. นโยบายสาธารณะไม่ได้สะท้อนถึงความต้องการของมวลชน แต่เป็นการสะท้อนให้เห็น
ค่านิยมของผู้นํามากกว่า
4. ผู้นํามีอิทธิพลต่อมวลชนมากกว่ามวลชนมีอิทธิพลต่อผู้นํา ฯลฯ

17. นโยบายสาธารณะได้มาจากการเจรจาต่อรอง เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 1 หน้า 107, (คําบรรยาย) ทฤษฎีกลุ่ม (Group Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะเป็น ผลผลิตของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มผลประโยชน์กับนโยบายสาธารณะ โดยชี้ให้เห็นว่านโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตที่ได้มาจาก การเจรจาต่อรอง การประนีประนอม และการถ่วงดุลผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ

18. ตัวแบบเหตุผลนิยม เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 5 หน้า 108 ตัวแบบเหตุผลนิยม (Rational Comprehensive Model) เป็นตัวแบบที่อยู่ใน ทฤษฎีการตัดสินใจ (Decision Making Theory) อธิบายว่า นโยบายเกิดจากการตัดสินใจ ภายใต้หลักการของเหตุและผล โดยอาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง ประกอบกับการคํานึงถึงคุณค่า ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อให้ได้มาซึ่งนโยบายที่ดีที่สุดและนําไปสู่การ บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ หรือเป็นนโยบายที่รัฐบาลจัดทําขึ้นเพื่อให้สังคมได้รับ ประโยชน์สูงสุด ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องเกิดความพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลตอบแทน ที่ได้รับมากกว่าค่าใช้จ่ายที่เสียไป

19.กิจกรรมต่าง ๆ ทางการเมืองเกิดขึ้นจากบทบาทของรัฐ เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 4 หน้า 108 ทฤษฎีสถาบันนิยม (Institutional Theory) อธิบายว่า กิจกรรมต่าง ๆ ทางการเมือง เกิดขึ้นจากบทบาทของสถาบันของรัฐ ดังนั้นการกําหนดนโยบายสาธารณะซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่ง ทางการเมืองย่อมมาจากสถาบันของรัฐด้วย ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลมีความชอบธรรม มีความเป็นสากล และมีการผูกขาดอํานาจบังคับ

20. สิ่งแวดล้อม เป็นตัวแปรที่สําคัญในทฤษฎีใด
ตอบ 3 หน้า 108, (คําบรรยาย) ทฤษฎีระบบ (System Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตของระบบ โดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สําคัญ 5 ตัวแปร คือ
1. ปัจจัยนําเข้า (Inputs)
2. กระบวนการ (Process)
3. ปัจจัยนําออกหรือผลผลิต(Outputs)
4. ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback)
5. สิ่งแวดล้อม (Environment)

21.Stuart S. Nagel สนใจการศึกษานโยบายเรื่องใด
(1) Policy Analysis
(2) F’olicy Process
(3) Policy Irnpacts
(4) Policy Implementation
(5) Policy Evaluation
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 22 – 24. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ความเหมาะสม
(4) ความพอเพียง
(5) ความสามารถในการตอบสนอง

22. ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ําสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 2 หน้า 99, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายโดยใช้ต้นทุนต่ําสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ําสุด

23. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 5 หน้า 101 ความสามารถในการตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ความสามารถ ของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบ และค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่สามารถทําให้กลุ่มที่มี ความจําเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกนั้นด้วย

24. ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของ
ทรัพยากรที่มีอยู่ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 4 หน้า 100 ความพอเพียง (Adequacy) หมายถึง ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทั่วไปเงื่อนไข ของทรัพยากรมักจะวัดในรูปของงบประมาณที่มีอยู่

ตั้งแต่ข้อ 25 – 29. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย

25. การที่หน่วยงานนํานโยบายมาแปลงเป็นแผนงานและโครงการเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 2 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่แสดงให้เห็นถึงการนําทรัพยากรต่าง ๆ ไปจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดผลตามนโยบายซึ่งประกอบด้วย
1. การส่งต่อนโยบาย (Policy Delivery)
2. การตีความหรือแปลงนโยบายออกมาเป็นแผนงานและโครงการ
3. การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย
4. การดําเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ(Street-Level Bureaucracy)
5. การจัดระบบสนับสนุน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร การมอบหมายอํานาจหน้าที่ และการติดต่อสื่อสาร
6. การติดตามและควบคุมผลการปฏิบัติงาน

26. การพิจารณาปัญหานโยบายเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 1 หน้า 23 – 25 ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย
1. การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน
2. การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา
3. ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ
4. การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา

27. การกําหนดทางเลือก และการกําหนดวัตถุประสงค์เป็นขั้นตอนใด
ตอบ 3 หน้า 25 – 26, (คําบรรยาย) การเตรียมและเสนอนโยบาย (Policy Formulation) เป็นขั้นตอนที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเรื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การกําหนดวัตถุประสงค์
2. การกําหนดทางเลือก
3. การจัดทําร่างนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ แนวทางและมาตรการ การจัดลําดับทางเลือก และการหาข้อมูลประกอบการพิจารณา

28. การจัดวาระในการพิจารณานโยบายเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 4 หน้า 49 – 50 ขั้นตอนการอนุมัติและประกาศนโยบาย (Policy Adoption) ประกอบด้วย
1. การจัดวาระในการพิจารณานโยบาย
2. การพิจารณาร่างนโยบาย
3. การอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
4. การประกาศนโยบาย

29. การสรุปผลของนโยบายทั้งหมดไปใช้ในการกําหนดนโยบายอื่นเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 5 หน้า 52 – 53 ขั้นตอนการปรับปรุง แก้ไข และยกเลิกนโยบาย (Policy Termination) ประกอบด้วย
1. การนําผลหรือข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลนโยบายมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจในการปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกนโยบาย
2. การนําผลสรุปของการประเมินผลนโยบายทั้งหมดไปใช้ในการกําหนดนโยบายอื่น ๆ ต่อไป

30. การนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เป็นแนวโน้มในเรื่องใด
(1) แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า
(2) แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ
(3) แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย
(4) แนวโน้มเกี่ยวกับรูปแบบ
(5) แนวโน้มเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน
ตอบ 3 หน้า 74 แนวโน้มการวิเคราะห์นโยบายในอนาคต มี 3 แนวโน้มใหญ่ คือ
1. แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า จะมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายโดยหาทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ทําให้ประชาชนพอใจ และสนองต่อคุณค่าต่าง ๆ ของสังคม โดยการเน้นให้ประชาชน กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น เพื่อให้นโยบายที่เกิดขึ้นสนองตอบต่อสังคมโดยส่วนรวมอย่างแท้จริง
2. แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย จะมุ่งเน้นการหาวิธีการที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณามิติทางการเมืองและการบริหาร และมีการนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขาวิชา มาใช้ในการวิเคราะห์นโยบายในลักษณะสหวิทยาการ
3. แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ จะมุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงธุรกิจที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน (Cost-Benefit) รวมทั้งการคํานึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะเกิดขึ้นด้วย

ตั้งแต่ข้อ 31 – 35. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Economic Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Administrative Policy

31. นโยบายปฏิรูประบบราชการ เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 5 หน้า 7, (คําบรรยาย) นโยบายทางการบริหาร (Administrative Policy) เป็นนโยบายรอง ที่กําหนดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานหรือองค์การนั้น ๆ เช่น นโยบายธรรมาภิบาล นโยบายการปฏิรูประบบราชการ นโยบายเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชน มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง นโยบายการบริหารงานบุคคล นโยบายการบริหารงานคลัง โครงการประเทศไทยใสสะอาด เป็นต้น

32. นโยบายการมีถนนแยกเล่นไปสู่ทุกจังหวัด เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 2 หน้า 5, (คําบรรยาย) นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy) เป็น นโยบายที่รัฐบาลต้องจัดบริการพื้นฐานให้ประชาชนทุกคนได้ใช้หรือเพื่อให้ประชาชนทั่วไป โดยส่วนรวมมีโอกาสได้รับบริการสาธารณะที่เป็นของรัฐบาลอย่างทั่วถึงและพอเพียง เช่น นโยบายการมีถนนแยกเล่นไปสู่ทุกจังหวัด นโยบายการลดราคาน้ำมันเบนซิน โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน การขยายช่องทางจราจรหรือการสร้างถนน นโยบายให้มีสถานพยาบาล ให้ครบทุกอําเภอ การจัดให้มีบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค การจัดให้มีไฟฟ้าและน้ําประปา ใช้ทุกหมู่บ้าน เป็นต้น

33. นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 3 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายทางด้านเศรษฐกิจ (Econornic Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างรายได้และการกินดีอยู่ดีของประชาชน โดยให้ประชาชนได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน อะไรที่ได้มาซึ่งรายได้หรือรายจ่าย และเมื่อจ่ายไปแล้วก็จะมีการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ทําให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบายจ่ายเงินให้ชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท การส่งเสริมอาชีพให้ประชาชน โครงการธงฟ้าราคาประหยัด โครงการธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การพักชําระหนี้ให้เกษตรกร การดูแล ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่
ผู้บริโภคและผู้ผลิต เป็นต้น

34. นโยบายจัดระเบียบสังคม เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 1 หน้า 5, (คําบรรยาย) นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy) เป็นนโยบายที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐบาลกําหนดขึ้นเพื่อให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามถือว่าผิดกฎหมายต้องถูกลงโทษ หรือเป็นกติกาในการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคมอย่างเสมอภาค และเป็นธรรม เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายจราจร (เช่น โครงการเมาไม่ขับ การขับรถยนต์ต้องมีใบขับขี่) นโยบายจัดระเบียบสังคม เป็นต้น

35. นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 4 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายเพื่อการลงทุน (Capitalization Policy) เป็นนโยบายที่รัฐบาล กําหนดขึ้นเพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ หรือเพื่อแสวงหาทรัพยากรใหม่ ๆ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา แล้วก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ หรือการสร้างสิ่งก่อสร้างบางอย่างเพื่อเป็น พื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป เช่น นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและภาคใต้ การสร้างสนามบิน การสร้างนิคมอุตสาหกรรม การสร้างท่าเรือน้ําลึก การวางท่อก๊าซ เป็นต้น

36. ยูยีน บาร์แดช ให้ความหมายของกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูก
(1) กระบวนการการบริหารงานบุคคล
(2) กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์
(3) ความสัมพันธ์เกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กร
(4) ขั้นตอนในการดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายของนโยบาย
(5) การจัดหาตระเตรียมวิธีการทั้งหลายที่จะให้ดําเนินงานสําเร็จลุล่วง
ตอบ 2 หน้า 142 ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) กล่าวว่า กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายก็ได้

37. แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน ข้อใดถูก
(1) ภาครัฐดําเนินงานร่วมกับเอาชน
(2) นโยบายและโครงการมักเป็นกิจกรรมเล็ก ๆ แยกส่วนความรับผิดชอบ
(3) หน่วยงานมีหลายระดับ จากกระทรวง ทบวง กรม
(4) กระทรวงเป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินงาน
(5) ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน
ตอบ 3 หน้า 144 แรนดาล ริบเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน (Randall Ripley and Grace Franklin) ได้พิจารณาลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติว่ามีลักษณะสําคัญ 5 ประการ คือ
1. มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญ ๆ มากมาย
2. ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายและมักแตกต่างกัน
3. นโยบายและโครงการของรัฐบาลมักขยายใหญ่โตขึ้นทุกวัน
4. หน่วยงานในหลายระดับ จากหลายกระทรวง ทบวง กรม มีส่วนร่วมในการดําเนินกิจการ
5. มีปัจจัยหลายประการที่สําคัญมากและอยู่นอกเหนือการควบคุม

38.พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แมซมาเนียน ข้อใดถูก
(1) การตัดสินพิพากษาอรรถคดีคําสั่งของฝ่ายตุลาการ
(2) กฤษฎีกาที่ออกมาจากพรรคการเมืองเสนอ
(3) กระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย
(4) รัฐจะกระทําสิ่งต่าง ๆ เพื่อประชาชน
(5) แนวการทํางานของรัฐที่เน้นการบริการสาธารณะ
ตอบ 3 หน้า 142 พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แม่ชม เนียน (Paul A. Sabatier and Daniel A. Mazmanian) กล่าวว่า การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการตัดสินใจ เชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย การตัดสินพิพากษาอรรถคดีคําสั่งของฝ่ายบริหาร หรือ กฤษฎีกาที่ออกมาจากสถาบันต่าง ๆ

39. สากล จริยวิทยานนท์ ข้อใดถูก
(1) บทบาทของสถาบันอุดมศึกษา
(2) แรงจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย
(3) การจัดสรรทรัพยากร
(4) เป้าหมายของนโยบาย
(5) การบังคับใช้กฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 149 – 150 สากล จริยวิทยานนท์ ได้ศึกษาเรื่อง “บทบาทของสถาบันอุดมศึกษา ส่วนภูมิภาคในการพัฒนาชนบท : ศึกษากรณีวิทยาลัยครูภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์โครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของวิทยาลัยครู ในส่วนภูมิภาคที่มีบทบาทในการช่วยเหลือและสนับสนุนการพัฒนาชนบท

40.เพรสแมนและวิลด์ฟสกี ตีพิมพ์งานวิจัยครั้งแรก ค.ศ. 1973 พบปัญหาเรื่องใด
(1) ระยะเวลาในการดําเนินงานนานเกิน
(2) งบประมาณไม่เพียงพอ
(3) มีจํานวนหน่วยงานน้อยเกินไป
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) ขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ
ตอบ 4 หน้า 145 เพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) ได้เสนอผลงานการวิจัย การนํานโยบายไปปฏิบัติโดยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1973 ภายใต้ชื่อ “Implementation” โดยเป็นการศึกษานโยบายการจ้างงานชนกลุ่มน้อยในนครโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งพบว่า ในเบื้องต้นนโยบายดังกล่าวได้รับการขานรับที่ดี แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับปัญหาและความ ล้มเหลวในด้านการนํานโยบายไปปฏิบัติ กล่าวคือ วัตถุประสงค์ของนโยบายเพื่อการจ้างงาน คนผิวดําหรือชนกลุ่มน้อยในนครโอคแลนด์จํานวน 3,000 งาน แต่เมื่อโครงการดําเนินไปได้ 3 ปี สามารถจ้างงานได้เพียง 50 งานเท่านั้น

41. “การนํานโยบายไปปฏิบัติ คือ การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์” แนวคิด นักวิชาการท่านใด
(1) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
(2) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน
(3) ยูยีน บาร์แดช
(4) พอล เอ. ซาบาเตียร์
(5) เพรสแมนและวิลดัฟสกี
ตอบ 5 หน้า 142 – 143 เพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า การนํานโยบาย ไปปฏิบัติ คือ การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์ และการนํานโยบายไป ปฏิบัติให้เกิดผลสําเร็จนั้นต้องกําหนดรูปแบบของนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนํานโยบายไปปฏิบัติ

42.Webster’s Dictionary ให้ความหมายการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูก
(1) กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์
(2) การจัดหาวิธีในการดําเนินการ หรือทําให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
(3) กระบวนการเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากฝ่ายบริหาร
(4) นโยบายเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ
(5) ภารกิจหลักของภาครัฐในการดําเนินงานต่าง ๆ
ตอบ 2 หน้า 142 Webster’s Dictionary ให้ความหมาย “การนําไปปฏิบัติ” (to implement) ว่าหมายถึง การจัดหาวิธีในการดําเนินการ หรือทําให้เกิดผลในทางปฏิบัติ

43. บทความเรื่อง “Policy Implementation” เป็นการศึกษาความเป็นมาของการนํานโยบายไปปฏิบัติของนักวิชาการท่านใด
(1) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน
(2) ยูยีน บาร์แดช
(3) แมคลัฟลิน
(4) โทมัส บี. สมิท
(5) พอล เอ. ซาบาเตียร์
ตอบ 1, 5 หน้า 61 พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แมชมาเนียน (Paul A. Sabatier and Daniel A. Mazmanian) ได้เขียนบทความเรื่อง “Policy Implementation” เมื่อปี 1982 ซึ่งเป็นการศึกษาถึงความเป็นมาของการนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยแสดงทัศนะว่าการศึกษา สาขาการนํานโยบายไปปฏิบัติปรากฏเป็นรูปร่างที่ชัดเจนในต้นศตวรรษ 1970 โดยเฉพาะ นับจากผลงานเรื่อง “Implementation (1973)” ของเพรสแมนและวิลดัฟสกีเป็นต้นมา

44. การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
(1) กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบวยใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนด
(2) กระบวนการขององค์การที่ต่อเนื่องเป็นพลวัต
(3) การดําเนินงานให้สําเร็จลุล่วงตามเป้าหมายของกลุ่มผู้ปฏิบัติ
(4) การดําเนินงานให้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
(5) ขั้นตอนการดําเนินงานของภาครัฐ
ตอบ 1 หน้า 143 กล่าวโดยสรุป การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการในทางปฏิบัติ ที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนดไว้

45.แนวคิด “กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามลักษณะของนโยบาย” เป็นของนักคิดใด
(1) โทมัส บี. สมิท
(2) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(3) แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น
(4) มอลคอม กอกจิน
(5) อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์
ตอบ 2 หน้า 169 เออร์วิน ฮาร์โกรฟ (Erwin Hargrove) ได้พัฒนาวิธีการจากแนวคิดฮิล (Hill) เพื่อสร้างเป็นทฤษฎีระดับกลาง (Middle Range Theory) สําหรับการวิเคราะห์โปรแกรม ประเภทต่าง ๆ โดยมีหลักการที่สําคัญ 3 ประการ คือ
1. ปัญหาทางนโยบายที่ต่างประเภทกันจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มของผู้เข้าไปมีส่วนร่วมที่ต่างกันและระดับของการปฏิบัติการที่ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของนโยบายที่นําเสนอ
2. กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามลักษณะของนโยบายและนโยบายนั้น ๆ ยังสามารถจําแนกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการทํานายกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ
3. ภาษาที่ใช้ในกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งจะใช้เป็นพื้นฐานในการจําแนกประเภทของโปรแกรม

46. ยอร์ค เสนอบทความที่กําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การ โดยกล่าวถึง
(1) การปฏิบัติ (Practice) กับความสําเร็จ (Achievement)
(2) ความรับผิดชอบ (Responsibility) กับความสําเร็จ (Achievement)
(3) ประสิทธิผล (Effectiveness) กับความสําเร็จ (Achievement)
(4) ประสิทธิผล (Effectiveness) กับความรับผิดชอบ (Responsibility)
(5) นโยบาย (Policy) กับความสําเร็จ (Achievement)
ตอบ 3 หน้า 177 ยอร์ค (Yorke) ได้เสนอบทความที่กําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การภายใต้”Indicators of Institutional Achievement: Some Theoretical and Empirical Considerations” เมื่อปี ค.ศ. 1986 โดยเขากล่าวว่า ประสิทธิผลขององค์การเป็นกรอบ การวิเคราะห์ถึงความสําเร็จที่สําคัญของการอุดมศึกษา และเขาใช้คําว่า “ประสิทธิผล” (Effectiveness) กับ “ความสําเร็จ” (Achievement) ในความหมายเดียวกัน

47.มอลคอม กอกจิน กล่าวถึงตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่
(1) นโยบาย ขั้นตอน และการประเมิน
(2) นโยบาย บุคคล และผู้ปฏิบัติงาน
(3) องค์การ นโยบาย และการประเมิน
(4) นโยบาย องค์การ และผู้ปฏิบัติงาน
(5) นโยบาย ผู้ปฏิบัติ และการควบคุม
ตอบ 4 หน้า 156 มอลคอม กอกจิน (Malcom Goggin) ได้เสนอผลจากการศึกษาเพิ่มเติม โดยพบว่า ตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่ นโยบาย องค์การ และ ผู้ปฏิบัติงาน โดยมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม มาเกี่ยวข้องด้วย

48.“The Policy Implementation Process” เป็นผลงานของนักวิชาการท่านใด
(1) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(2) โทมัส บี. สมิท
(3) เพรสแมนและวิลดัฟสกี
(4) เบอร์แมน
(5) แมซมาเนียน
ตอบ 2 หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) ได้เขียนบทความเรื่อง “The Policy Implementation Process” เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อเสนอตัวแบบของกระบวนการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม และได้ประยุกต์แนวความคิดเชิงระบบสําหรับใช้ในการศึกษา การนํานโยบายไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม โดยเรียกตัวแบบนี้ว่า “A Model of the Policy Implementation Process”

49.วรเดช จันทรศร ได้เสนอบทความเรื่องใด
(1) ความสําเร็จของการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า
(3) ตัวแบบของนโยบายสาธารณะ
(4) อุปสรรคของการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) สาระสําคัญการนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 2 หน้า 182 – 183 วรเดช จันทรศร ได้เสนอบทความเรื่อง “การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า” เมื่อปี ค.ศ. 1984 ซึ่งในบทความนี้ได้นําเสนอตัวแบบการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ 6 ตัวแบบ คือ
1. ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
2. ตัวแบบทางด้านการจัดการ
3. ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
4. ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ
5. ตัวแบบกระบวนการทางการเมือง
6. ตัวแบบทั่วไป

50.วรเดช จันทรศร เสนอตัวแบบในการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ตัวแบบด้านการจัดการ
(2) ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
(3) ตัวแบบทางการ
(4) ตัวแบบระบบราชการ
(5) ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

51.มอลคอม กอกจิน มีรูปแบบของนโยบายใด
(1) รูปแบบราชการ รูปแบบการบริหาร รูปแบบทางการ
(2) รูปแบบการเมือง รูปแบบการปกครอง รูปแบบราชการ
(3) รูปแบบการเมือง รูปแบบการบริหาร รูปแบบบริหารการเมือง
(4) รูปแบบการเมือง รูปแบบประสานงาน รูปแบบราชการ
(5) รูปแบบการเมือง รูปแบบการปกครอง รูปแบบความร่วมมือ
ตอบ 3 หน้า 156, 159 มอลคอม กอกจีน (Malcom Goggin) ได้เสนอรูปแบบของนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย 3 รูปแบบ คือ
1. รูปแบบการเมือง (Political)
2. รูปแบบการบริหาร (Administration)
3. รูปแบบผสมหรือการบริหารการเมือง (Political Administrative)

52. “นโยบาย ตัวเชื่อม และสมรรถนะจะมีผลต่อพฤติกรรมในการนํานโยบายไปปฏิบัติ” ของนักวิชาการท่านใด
(1) แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น
(2) ยูยีน บาร์แดช
(3) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน
(4) แมคลัฟลิน
(5) มอลคอม กอกจิน
ตอบ 1 หน้า 152 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter & Van Horn) ได้กําหนดถึงผลต่อพฤติกรรมในการนํานโยบายไปปฏิบัติว่าต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งจะเชื่อมโยงระหว่าง นโยบายและผลปฏิบัติการ ได้แก่
1. นโยบาย (Policy)
2. ตัวเชื่อม (Linkage)
3. สมรรถนะในการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Performance)

53. วิลเลียมส์ กล่าวถึง นําไปปฏิบัติ ข้อใดถูกต้อง
(1) กระบวนการขององค์การที่ต่อเนื่องเป็นพลวัต
(2) มีการวางแผนและนําไปปฏิบัติ
(3) การดําเนินงานให้สําเร็จลุล่วงตามเป้าหมายของกลุ่มผู้ปฏิบัติ
(4) การจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการ และการดําเนินการให้สําเร็จลุล่วง
(5) กระบวนการในทางปฏิบัติภาครัฐ
ตอบ 4 หน้า 143 วิลเลียมส์ ชี้ว่า กิริยาที่เรียกว่า นําไปปฏิบัติ (Implement) มีความหมายหลักอยู่ 2 ประการ คือ
1. การจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการทั้งหลายทั้งปวงที่จะทําให้ดําเนินการสําเร็จลุล่วงให้พรักพร้อม
2. การดําเนินการให้สําเร็จลุล่วง

54.“California Educational Policy Implementation : The Case of Stull Act” ศึกษามุ่งเน้นเรื่องใด
(1) กฎหมาย
(2) สภาพแวดล้อมภายนอกโรงเรียน
(3) คุณภาพการศึกษา
(4) การบริหารงานโรงเรียน
(5) คุณภาพชีวิตของครูในโรงเรียน
ตอบ 1 หน้า 145 – 146 อีมิลี ไซมี โลว์ ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ได้เสนอ วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่อง “California Educational Policy Implementation : The Case of Stul, Act” เมื่อปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเป็นการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติของ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเน้นเรื่องกฎหมาย “Stull Act” ซึ่งเป็นกฎหมายที่กําหนดมาต าตรการ ในการปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นที่การประเมินครูเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อความสําเร็จทางการศึกษาของโรงเรียน

55. ผลงานของอีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์ ข้อใดถูกต้อง
(1) การสํารวจโรงเรียนในเมืองแอลเอ
(2) เน้นศึกษานักเรียน
(3) การสัมภาษณ์อย่างเดียวในการเก็บข้อมูล
(4) ศึกษาแบ่งเป็น 3 ระยะ
(5) ศึกษาเมื่อปี ค.ศ. 1980
ตอบ 4 หน้า 146 อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ได้แบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ระยะ คือ
1. การสํารวจโรงเรียนในเขตพื้นที่
2. การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง
3. การสัมภาษณ์และใช้แบบสอบถาม (ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ)

56. นักวิชาการใดกล่าวถึงกรอบการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ 2 ระดับ (มหภาคและจุลภาค)
(1) โทมัส บี. สมิท
(2) เบอร์แมน
(3) พอล เอ. ซาบาเตียร์
(4) ยูยีน บาร์แดช
(5) กอกจินและคณะ
ตอบ 2 หน้า 175 พอล เบอร์แมน (Paul Berman) ได้เสนอกรอบการวิเคราะห์การนํานโยบาย ไปปฏิบัติ 2 ระดับ คือ
1. การนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับมหภาค (Macro-Implementation)
2. การนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับจุลภาค (Micro-Implementation)

57. มองจอยและโอทูเล จําแนกประเภทนโยบายที่ประเภท
(1) 2 ประเภท
(2) 3 ประเภท
(3) 4 ประเภท
(4) 5 ประเภท
(5) 6 ประเภท
ตอบ 3 หน้า 165 – 166 มองจอย (Montjoy) และโอทูเล (O’Toole) ได้เสนอปัจจัยที่นํามาสร้าง เป็นกรอบทฤษฎีในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
1. ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของคําสั่งหรือนโยบาย
2. ความต้องการทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย

58. โทมัส บี. สมิท เสนอขั้นตอนการนํานโยบายไปปฏิบัติ มี 4 ตัวแปร ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม
(2) นโยบายที่เป็นอุดมคติ
(3) องค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) กลุ่มเป้าหมาย
(5) การจัดสรรทรัพยากร
ตอบ 5 หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) เสนอขั้นตอนของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรที่สําคัญ 4 ตัวแปร คือ
1. นโยบายที่เป็นอุดมคติ
2. องค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
3. กลุ่มเป้าหมาย
4. ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม

59. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องสําหรับแวน มิเตอร์ และ แวน ฮอร์น
(1) บทความเรื่อง “The Policy Implementation Process : A Conceptual Framework
(2) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติในองค์การที่รับผิดชอบต่อนโยบายโดยตรง
(3) สํารวจกระบวนการของการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) ให้ความสําคัญกับการบริหารงานบุคคล
(5) เสนอตัวแบบในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 4 หน้า 171 – 172 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter and Van Horn) ร่วมกันเขียน บทความเรื่อง “The Policy Implementation Process : A Conceptual Frarnework” เมื่อปี ค.ศ. 1975 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสํารวจกระบวนการของการนํานโยบายไปปฏิบัติพร้อมกับนําเสนอตัวแบบในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับผู้ปฏิบัติในองค์การที่รับผิดชอบต่อนโยบายโดยตรง และองค์การอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

60. ข้อใดไม่ใช่ทฤษฎีของมองจอย (Montjoy) และโอทูเล (O’Toole)
(1) มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบายหลากหลาย
(2) การจัดสรรทรัพยากร
(3) ลักษณะของกิจกรรม/นโยบาย
(4) ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของคําสั่งหรือนโยบาย
(5) ความต้องการทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ

61. เพรสแมนและวิลด์ฟสกีกล่าวถึง X คือ ณ เวลาที่ 11 ส่วน Y คือ 2 ความหมายของ t2 คือ
(1) ห่างจากกันไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง
(2) การนําไปปฏิบัติต่อเนื่อง
(3) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลาถัดไป
(4) ผลผลิตที่เกิดขึ้น
(5) การดําเนินงานตามวัตถุประสงค์
ตอบ 3 หน้า 164 เพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า นโยบายโดยทั่วไป จะต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เงื่อนไขแรกเริ่มและผลที่มุ่งหวัง ดังนั้นถ้ามีเงื่อนไข X เกิดขึ้น ณ เวลาที่ t1 จะเกิดผลลัพธ์ Y ขึ้น ณ เวลาถัดไปคือ t2

62.วรเดช จันทรศร กล่าวถึง 3 ปัจจัย ข้อใดถูก
(1) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านขั้นตอนการดําเนินงาน และปัจจัยต่อผู้ปฏิบัติงาน
(2) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านการลงทุน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
(3) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ
(4) ปัจจัยด้านการลงทุน ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติงาน
(5) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทรัพยากร และปัจจัยด้านวัตถุประสงค์
ตอบ 3 หน้า 183 – 184 วรเดช จันทรศร ได้กล่าวถึงสาระสําคัญของตัวแบบทั่วไปว่าประกอบด้วย ปัจจัยหลัก 3 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยด้านการสื่อสาร
2. ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ
3. ปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ

63. นาคามูระ และสมอลวูด เสนอเกณฑ์การประเมินความสําเร็จหรือล้มเหลวของนโยบาย ข้อใดถูกต้อง
(1) เกณฑ์ในการบรรลุเป้าหมายของนโยบาย เห็นรูปธรรม
(2) ประสิทธิภาพของหน่วยงาน
(3) ความพึงพอใจของบุคคลภายใน
(4) ขั้นตอนมีมากมาย
(5) การสนองตอบต่อบุคลากร
ตอบ 1หน้า 180 โรเบิร์ต นาคามูระ และแฟรงค์ สมอลวูด ได้เสนอเกณฑ์การประเมินความสําเร็จ หรือล้มเหลวของนโยบายไว้ 5 เกณฑ์ ดังนี้
1. การบรรลุเป้าหมายของนโยบาย เห็นผลเป็นรูปธรรม
2. ประสิทธิภาพ คุณภาพงานที่สัมพันธ์กับต้นทุน
3. ความพึงพอใจของบุคคลภายนอก
4. การสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้า
5. การดํารงอยู่ของระบบ

64. ข้อใดไม่ใช่มาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร
(1) มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปี
(2) มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปรัง
(3) โครงการแทรกแซงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
(4) โครงการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ
(5) โครงการแทรกแซงราคาอ้อย
ตอบ 5 หน้า 195, 198 นโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร มีดังนี้
1. มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปีและนาปรัง
2. มาตรการแก้ไขปัญหาลําไย
3. โครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
4. โครงการแทรกแซงตลาดมันสําปะหลัง
5. โครงการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ

65. รัฐบาลเศรษฐา 1 มีนโยบายฟรี ซ่าระหว่าง 25 ก.ย. 56 – 29 ก.พ. 67 ให้กับ 2 ประเทศใด
(1) จีนกับไต้หวัน
(2) จีนกับอินเดีย
(3) จีนกับคาซัคสถาน
(4) จีนกับสหภาพยุโรป
(5) จีนกับมาเลเซีย
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐบาลเศรษฐา 1 มีนโยบายฟรีวีซ่าระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 ให้กับนักท่องเที่ยว 2 ประเทศ คือ จีนและคาซัคสถาน ซึ่งเป็นนโยบาย กระตุ้นการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วนของรัฐบาล

ตั้งแต่ข้อ 66 – 75. จงเลือกคําตอบที่ถูกต้องตามเนื้อหาของหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

66. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 71
(5) มาตรา 73
(4) มาตรา 75
(5) มาตรา 77
ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 68 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร
2. รัฐจึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงําใด ๆ
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จําเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้

67. รัฐจึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 66
(2) มาตรา 67
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 67 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
2. รัฐจึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา
3. รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่ารูปแบบใด และพึ่งส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

68. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 65
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 70
(5) มาตรา 71
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 71 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม
2. รัฐจึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถสูงขึ้น

3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
4. ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐจึงคํานึงถึงความจําเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของ เพศ วัย และสภาพของบุคคล

69. รัฐจึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชนให้เกิด ความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 72
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 78
ตอบ 4 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 76 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และงานของรัฐอย่างอื่นให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
2. รัฐพึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชน ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม
4. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนด ประมวลจริยธรรมสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ

70. รัฐจึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนดประมวลจริยธรรม สําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

71. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 70
(3) มาตรา 72
(4) มาตรา 74
(5) มาตรา 76
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 72 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
3. จัดให้มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทํากินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ฯลฯ

72. รัฐจึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มี ปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 73
(3) มาตรา 74
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 73 บัญญัติให้ รัฐจึงจัดให้มีมาตรการหรือ กลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและ คุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือ เกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทํากินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด

73. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจ ขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 73
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 75 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. ในการพัฒนาประเทศ รัฐจึงคํานึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนา ด้านจิตใจ และความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน
3. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ฯลฯ

74. รัฐจึงดําเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบ
คุณธรรม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

75. รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซง กิจการภายในของกันและกัน ตรงตามมาตราด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 66
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76 (5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 66 บัญญัติให้ รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับ นานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายใน ของกันและกัน ให้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ และคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติ
และของคนไทยในต่างประเทศ

ตั้งแต่ข้อ 76 – 80. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามข้อมูลยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี Thailand 4.0 และเอกสารอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13

76. ประเทศไทยมี New Engines of Growth ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลาย
เชิงวัฒนธรรม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) Thailand 4.0 มีสาระสําคัญดังนี้
1. เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”
2. เป็น “Reform in Action” ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัย และการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อม ๆ กัน

3. เป็นแนวคิดที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ทุนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ ทุนมนุษย์
4. เป็นการพัฒนา “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth) ซึ่งประเทศไทยมีอยู่ 2 ด้าน ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายเชิงวัฒนธรรมให้เป็นความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน โดยการเติมเต็มด้วย วิทยาการทั้ง 5 ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัย และพัฒนา ฯลฯ

77. มุ่งเน้นพลิกโฉมประเทศไทยสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน”
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 เป็นแผนที่มีเป้าหมายหลัก เพื่อพลิกโฉมประเทศไทยไปสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” โดยมุ่งเน้น การพัฒนาดังนี้
1. มุ่งเน้นจากเศรษฐกิจฐานทรัพยากรสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและองค์ความรู้
2. มุ่งเน้นจากการผลิตและบริโภคที่ทําลายสิ่งแวดล้อมสู่วิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย
3. มุ่งเน้นจากโอกาสที่กระจุกตัวสู่โอกาสสําหรับทุกกลุ่มคนและทุกพื้นที่
4. มุ่งเน้นจากกําลังคนทักษะต่ําและภาครัฐล้าสมัยสู่กําลังคนและภาครัฐสมรรถนะสูง

78. มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ Value-Based Economy
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

79. Reform in Action ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

80. มุ่งเน้นวิทยาการทั้ง 5 เพื่อความได้เปรียบ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และการวิจัยและพัฒนา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 81 – 85. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามเนื้อหาของการประเมินผลนโยบาย
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ

81. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ในทุกขั้นตอนนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 229 เจมส์ อี. แอนเดอร์สัน (James E. Anderson) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติ กับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอน ของนโยบาย

82. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะตกลงใจว่านโยบาย ที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่ มุ่งหวังไว้หรือไม่
ตอบ 1 หน้า 228 อีมิล เจ. โพชาวัค และเรย์มอนด์ จี. แครี (Emil J. Posavac & Raymond G. Carey) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีการหลายวิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะ ตกลงใจว่านโยบายที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้ หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่

83. ใครกล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่าของผลการดําเนินการตามนโยบาย
เพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
ตอบ 5 หน้า 230 ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่า ของผลการดําเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ที่กําหนดไว้ ซึ่งการประเมินผลนี้ไม่ได้แยกเป็นเอกเทศจากขั้นตอนนโยบายอื่น แต่เกี่ยวข้องกันตลอดเวลา

84. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอน ที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการ
ของสังคม สนองคุณค่าของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่
ตอบ 4 หน้า 229 วิลเลียม เอ็น, ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอนที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่า ของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่

85. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบาย โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของ
สังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข
ตอบ 3 หน้า 229 ชาร์ลส์ โอ. โจนส์ (Charles O. Jones) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบายโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของสังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข

ตั้งแต่ข้อ 86. – 90. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามเนื้อหาของวิธีการประเมินผลนโยบาย
(1) Experimental Design
(2) Quasi-Experimental Design
(3) Pre-Experimental Design
(4) Post-Experimental Design
(5) ผิดทุกข้อ

86. มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากโครงการ มีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นความล้มเหลวของโครงการ
ตอบ 2 หน้า 235 – 236 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Design) มีลักษณะสําคัญดังนี้

1. ในกรณีที่เงื่อนไขไม่เอื้ออํานวยที่จะใช้การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง วิธีการนี้จะทําให้
ได้เปรียบในการนําไปปฏิบัติ โดยผู้ใช้จะต้องยอมรับเบื้องต้นก่อนว่าวิธีการที่จะนําไปใช้มีความสนใจที่ปัจจัยใดบ้างและปล่อยให้ปัจจัยใดบ้างปราศจากการควบคุม
2. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) ได้แก่ การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลองที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
3. วิธีการนี้มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากโครงการ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็น ความล้มเหลวของโครงการ ฯลฯ

87. แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการ สุ่มตัวอย่าง ข้อดี ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้ เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
ตอบ 3 หน้า 236 – 237 การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี เตรียมทดลอง (Pre–Experimental Design) แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบศึกษาก่อนและหลังจากที่ได้นําโครงการหนึ่ง ๆ เข้ามาใช้ แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการ เข้ามาใช้แล้วเพียงอย่างเดียว และแบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้ โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการสุ่มตัวอย่าง ซึ่งข้อดีของการประเมินผลด้วยวิธีการนี้ คือ
1. ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย
2. ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
3. ทําให้ผู้ประเมินได้รับข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังและเป็นระบบ

88. ไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้เฉพาะในเรื่องของ Input และ
Product เท่านั้น
ตอบ 1 หน้า 234 – 235 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง (Experimental Design) มีข้อจํากัดดังนี้
1. วิธีการที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมักมีปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัด ในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
2. วิธีการทดลองไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้ เฉพาะในเรื่องของ Input และ Product เท่านั้น
3. วิธีการทดลองไม่สามารถควบคุมความเที่ยงตรงภายนอกได้ จึงทําให้ผลที่ได้มาจาก การทดลองอาจจะไม่เหมือนกับผลที่ได้มาจากการดําเนินการจริง ฯลฯ

89. การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัดในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

90. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลอง ที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 91. – 100. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามในเนื้อหาของเทคนิค
ในการประเมินผลนโยบาย
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis

91. เป็นเทคนิคที่เน้นประเมินผลนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ โดยเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
ตอบ 1 หน้า 251 – 252 การประเมินผลแบบเป็นทางการ (Formal Evaluation) เป็นเทคนิคที่ใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบาย โดยประเมินผลของนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้ อย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว

92. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบายไปปฏิบัติในรูปของ ตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ
ตอบ 4 หน้า 264 – 265 การวิเคราะห์อนุกรมเวลาแบบขาดตอน (Interrupted Time Series Analysis) เป็นวิธีการที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในรูปของตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการ ดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว จุดเด่นของวิธีการนี้ คือ ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถแยกแยะผลของนโยบาย
ที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น

93. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถ แยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94. เป็นเทคนิคที่มีหลักการ 5 ประการ คือ Selective Anonymity, Informed Multiple Advocacy, Polarized Statistical Response, Structured Conflict, Computer Conferencing
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) มีหลักการสําคัญ 5 ประการ คือ
1. ความเป็นนิรนามเฉพาะระยะแรก (Selective Anonymity)
2. ผู้เชี่ยวชาญต่างสํานัก (Informed Multiple Advocacy)
3. การวิเคราะห์ทางสถิติแบบแยกกลุ่ม (Polarized Statistical Response)
4. การจัดโครงสร้างความขัดแย้ง (Structured Conflict)
5. การประชุมโดยคอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing)

95. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 92. ประกอบ

96. เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา
ตอบ 5 หน้า 265 การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบไม่ต่อเนื่อง (Regression-Discontinuity Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถ คํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา เทคนิคนี้เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้ เรียบร้อยแล้ว

97. เป็นเทคนิคที่นําเอาข้อคิดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราว ของนโยบายที่กําลังประเมินมาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 259 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) เป็นวิธีการที่นําเอาข้อคิดและความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราวของนโยบายที่กําลังประเมิน มาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย

98. เป็นเทคนิคที่ประกอบไปด้วย การประเมินความสามารถที่จะประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์ แบบพหุลักษณ์
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 การประเมินผลแบบพิจารณาความเหมาะสม (Decision Theoretical Evaluation) เป็นเทคนิคการประเมินผลที่มุ่งสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบายโดยใช้คุณค่าหรือผลประโยชน์ที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับเป็นเกณฑ์ประเมิน ซึ่งรูปแบบของการประเมินผลแบบนี้มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ การประเมินความสามารถที่จะ ประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์

99. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลอง ที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

100. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย เป็นประโยชน์ต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ
ตอบ 3 หน้า 264 ประโยชน์ของวิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) คือ สามารถให้ข้อมูลเหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ในนโยบาย การประเมินจึงครอบคลุมกว้างขวางรวมทุกประเด็นไว้หมด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ

 

POL3301 นโยบายสาธารณะ s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3301 นโยบายสาธารณะ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.Pressman & Wildavsky กล่าวถึง การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์ ให้เกิดผลสําเร็จนั้นต้องกําหนดเรื่องอะไร
(1) กําหนดภารกิจหลักของภาครัฐ ภารกิจรอง
(2) กําหนดโดยฝ่ายบริหารเป็นผู้ดําเนินงานต่าง ๆ ไปพร้อมกับนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) กําหนดยุทธศาสตร์ที่สามารถเป็นกรอบในการดําเนินงานได้ในระยะยาว
(4) กําหนดรูปแบบนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) กําหนดการจัดหาวิธีในการดําเนินการ
ตอบ 4 หน้า 142 – 143 เพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า การนํานโยบาย ไปปฏิบัติ คือ การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์ และการนํานโยบาย ไปปฏิบัติให้เกิดผลสําเร็จนั้นต้องกําหนดรูปแบบของนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนํานโยบายไปปฏิบัติ

2. กล่าวโดยสรุป การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
(1) การตัดสินใจของรัฐในการกําหนดแนวทางดําเนินนโยบาย
(2) กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์
(3) การดําเนินงานของฝ่ายบริหารเพื่อบริการสาธารณะแก่ประชาชน
(4) รัฐจะกําหนดนโยบาย ดําเนินงานต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้
(5) ยุทธศาสตร์การทํางานของรัฐที่จะบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน
ตอบ 2 หน้า 143 กล่าวโดยสรุป การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการในทางปฏิบัติ ที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนดไว้

3.ในทรรศนะของวิลเลียมส์ เขามักเน้นความหมายประการที่สอง ข้อใดถูกต้อง
(1) กระบวนการขององค์การที่ต่อเนื่องเป็นพลวัต
(2) การดําเนินการเพื่อให้นโยบายสําเร็จลุล่วง
(3) กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์
(4) การจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการ และการดําเนินการ
(5) มีการวางแผนและเตรียมงานให้พร้อม
ตอบ 2 หน้า 143 วิลเลียมส์ ชี้ว่า กิริยาที่เรียกว่า นําไปปฏิบัติ (Implement) มีความหมายหลักอยู่ 2 ประการ คือ
1. การจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการทั้งหลายทั้งปวงที่จะทําให้ดําเนินการ สําเร็จลุล่วงให้พรักพร้อม
2. การดําเนินการให้สําเร็จลุล่วง ซึ่งในทรรศนะของวิลเลียมส์ เขามักเน้นความหมายประการที่สองมากกว่าความหมายแรก นั่นคือ ในทรรศนะของวิลเลียมส์ การนํานโยบายไปปฏิบัติ คือ การดําเนินการเพื่อให้นโยบายสําเร็จลุล่วงซึ่งเป็นความหมายที่ คล้ายคลึงกับความหมายที่เพรสแมนและวิลดัฟสกี และซาบาเตียร์และแม่ชมาเนียนยึดถือนั่นเอง

4.ความหมายการนํานโยบายไปปฏิบัติของวิลเลียมส์มีความคล้ายคลึงกับนักวิชาการท่านใด
(1) พอล เอ. ซาบาเตียร์
(2) เพรสแมนและวิลดัฟสกี
(3) ยูยีน บาร์แดช
(4) โทมัส บี. สมิท
(5) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
ตอบ 1. 2 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

5.การศึกษา “การนํานโยบายไปปฏิบัติ” นักวิชาการรุ่นบุกเบิกคือท่านใด
(1) พอล เอ. ซาบาเตียร์
(2) เพรสแมนและวิลด์ฟสกี
(3) ยูยีน บาร์แดช
(4) โทมัส บี. สมิท
(5) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
ตอบ 2 หน้า 144 – 145 เพรสแมน (Pressman) และวิลด์ฟสกี (Wildavsky) นักวิชาการรุ่นบุกเบิก
ของการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้เสนอผลงานการวิจัยการนํานโยบายไปปฏิบัติภายใต้ ชื่อ “Implementation” เมื่อปี ค.ศ. 1973 ซึ่งผลงานฉบับนี้ถือว่าเป็นก้าวหน้าสําคัญชิ้นหนึ่ง ที่ทําให้เกิดวิชาการนํานโยบายไปปฏิบัติขึ้นในการศึกษานโยบายสาธารณะ

6.แนวคิดของแรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน กล่าวถึงลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูก (1) มีปัจจัยหลายประการที่สําคัญมากและอยู่นอกเหนือการควบคุม
(2) มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญ ๆ เป็นชนชั้นนํา
(3) นโยบายเป็นของรัฐและเอกชนร่วมมือกัน
(4) รัฐและเอกชนมีส่วนรับผิดชอบ
(5) หน่วยงานในทุกระดับ หลายระดับที่กําหนดนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 144 แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน (Randell Ripley and Grace Franklin) ได้พิจารณาลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติว่ามีลักษณะสําคัญ 5 ประการ คือ
1. มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญ ๆ มากมาย
2. ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายและมักแตกต่างกัน
3. นโยบายและโครงการของรัฐบาลมักขยายใหญ่โตขึ้นทุกวัน
4. หน่วยงานในหลายระดับ จากหลายกระทรวง ทบวง กรม มีส่วนร่วมในการดําเนินกิจการ
5. มีปัจจัยหลายประการที่สําคัญมากและอยู่นอกเหนือการควบคุม

7.ผลงานเรื่อง “Implementation (1973)” ท่านใดเป็นผู้แต่ง
(1) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน (Milbrey McLaughlin)
(2) ยูยืน บาร์แดช (Eugene Bardach)
(3) เพรสแมน (Pressman) และวิลดัฟสกี (Wildavsky)
(4) พอล เอ. ซาบาเตียร์ (Paul A. Sabatier)
(5) ดาเนียล เอ. แมชมาเนียน (Daniel A. Mazmanian)
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

8.กฎหมาย Stull Act ของ Brizendine ศึกษาเกี่ยวกับ ข้อใดถูกต้อง
(1) แบ่งการศึกษาเป็น 4 ระยะ
(2) เป็นการศึกษาระดับปริญญาโท
(3) ศึกษาเมื่อปี ค.ศ. 1988
(4) ศึกษาชนกลุ่มน้อยในนครโอคแลนด์
(5) กําหนดมาตรการในการปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตอบ 5 หน้า 145 – 146 อีมิลี ไซมี โลว์ ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ได้เสนอ วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่อง “California Educational Policy Implementation : The Case of Stutt Act” เมื่อปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเป็นการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติของ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเน้นเรื่องกฎหมาย “Stull Act” ซึ่งเป็นกฎหมายที่กําหนดมาตรการ ในการปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นที่การประเมินครูเพื่อให้เกิด ความรับผิดชอบต่อความสําเร็จทางการศึกษาของโรงเรียน

9.ข้อใดกล่าวถึงวิธีการศึกษาของอาคม ใจแก้ว เกี่ยวกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) ความชัดเจนของนโยบายเป็นเป้าหมายแรกของนโยบาย
(2) การจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอและเหมาะสม
(3) ปัจจัยด้านนโยบายมีความสัมพันธ์กับปัจจัยด้านองค์การ
(4) แรงจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย คือ ค่าตอบแทน เงินเดือน และสวัสดิการ
(5) การแสวงหาผลประโยชน์ภายในองค์การ
ตอบ 3 หน้า 148 – 149 อาคม ใจแก้ว ได้ศึกษาเรื่อง “การนํานโยบายไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ : ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความสําเร็จ” ซึ่งพบว่า ในการทดสอบ เชิงปริมาณตัวแบบที่ 2 ปัจจัยด้านข้าราชการและปัจจัยด้านงบประมาณมีความสัมพันธ์ทางตรงกับความสําเร็จของการนํานโยบายไปปฏิบัติเชิงทัศนคติ ส่วนปัจจัยด้านนโยบาย มีความสัมพันธ์กับปัจจัยด้านองค์การ และปัจจัยด้านข้าราชการ ปัจจัยด้านการใช้ข้อมูลและกระบวนการติดต่อไม่มีความสัมพันธ์กับความสําเร็จเชิงทัศนคติ

10.Van Meter & Van Horn เชื่อมโยงระหว่างนโยบายและผลปฏิบัติการ ได้แก่อะไรบ้าง
(1) การตัดสินใจเลือกนโยบาย ตัวเชื่อม และการประเมินผล
(2) นโยบาย ตัวเชื่อม และสมรรถนะ
(3) ปัจจัยนําเข้า ตัวเชื่อม และนโยบาย
(4) สมรรถนะ ตัวเชื่อม และผลสําเร็จ
(5) กําหนด ปฏิบัติ และการประเมินผลนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 152 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter & Van Horn) ได้กําหนดถึงผลต่อ พฤติกรรมในการนํานโยบายไปปฏิบัติว่าต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งจะเชื่อมโยงระหว่าง นโยบายและผลปฏิบัติการ ได้แก่ 1. นโยบาย (Policy)
2. ตัวเชื่อม (Linkage)
3. สมรรถนะในการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Performance)

11. การศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติเหมือนเป็น………….ระหว่างการกําหนดนโยบายและการประเมินผลนโยบาย ตรงที่……………….ใดถูกต้อง
(1) การสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก
(2) เป้าหมายชัดเจน
(3) พฤติกรรมของบุคคลในองค์การ
(4) ช่องว่างที่ขาดหายไป
(5) ได้มาตรฐานเดียวกัน
ตอบ 4 หน้า 152 ความรู้ของนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติมีไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับความรู้เกี่ยวกับการกําหนดนโยบายที่เป็นเช่นนี้เพราะที่ผ่านมาในการศึกษา วิเคราะห์นโยบายสาธารณะนั้นจะมุ่งเน้นหนักไปที่กระบวนการของการกําหนดนโยบายและการศึกษาการประเมินผลนโยบายเป็นส่วนใหญ่ การศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติจึงเหมือนเป็นช่องว่างที่ขาดหายไประหว่างการกําหนดนโยบายและการประเมินผลนโยบาย

12.Van Meter & Van Horn กล่าวถึงตัวเชื่อมมีความสําคัญคือ
(1) พฤติกรรมของบุคคลในองค์การและภายนอกองค์การ
(2) การสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก เช่น ภาคเอกชนและประชาชน
(3) มีเป้าหมายที่แน่นอนสามารถดําเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์
(4) การสื่อสารภายในองค์การ
(5) นโยบายต้องได้มาตรฐานเดียวกัน
ตอบ 4 หน้า 152 – 153 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter & Van Horn) กล่าวว่าตัวเชื่อม (Linkage) นั้น ความสําคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเรื่องการสื่อสารภายในองค์การ
และกิจกรรมสนับสนุนภายใน โดยอาจจัดให้มีการสัมมนาอบรม และมีการบรรยายพิเศษ โดยสม่ําเสมอ เพื่อเพิ่มพูนทักษะและความเข้าใจของผู้ที่มีหน้าที่นํานโยบายไปปฏิบัติเพื่อจะให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

13.Malcom Goggin กล่าวถึงตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่
(1) นโยบาย เวลา และทรัพยากร
(2) นโยบาย ขั้นตอน และการประเมิน
(3) นโยบาย ผู้ปฏิบัติ และการประเมิน
(4) นโยบาย องค์การ และผู้ปฏิบัติงาน
(5) องค์การ กระบวนการ และการควบคุม
ตอบ 4 หน้า 156 มอลคอม กอกจิน (Malcom Goggin) ได้เสนอผลจากการศึกษาเพิ่มเติม โดยพบว่า ตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่ นโยบาย องค์การ และ ผู้ปฏิบัติงาน โดยมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม มาเกี่ยวข้องด้วย

14. ยูยีน บาร์แดช กล่าวถึงการใช้เส้นสายทางสังคม ข้อใดถูกต้อง
(1) ปัญหาการประสานงานระหว่างหน่วยงาน
(2) ความเห็นพ้องระหว่างผู้ปฏิบัติฝ่ายต่าง ๆ
(3) สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
(4) ปัจจัยที่เข้ามาแทรกแซงการดําเนินงานของรัฐ
(5) ความไม่ต่อเนื่องของการดําเนินงาน
ตอบ 4 หน้า 157 ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) ได้ทําการศึกษาการปฏิรูปนโยบายด้าน สุขภาพจิตในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งพบปัญหาในการนํานโยบายไปปฏิบัติ ล้มเหลวเพราะเกิดจากความไม่เห็นพ้องระหว่างผู้ปฏิบัติฝ่ายต่าง ๆ หรือมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ปฏิบัติในลักษณะที่ซับซ้อนจนเกินไป หรือเมื่อรัฐเข้ามาแทรกแซงกิจการทางสังคม เนื่องจาก การใช้เส้นสายทางสังคมได้ ที่สําคัญคือ ปัจจัยที่เข้ามาแทรกแซงการดําเนินงานของหน่วยงาน ของรัฐ ซึ่งเป็นเกมส์ที่ทางผู้บริหารหรือผู้มีอํานาจกําหนดขึ้นเพื่อก่อให้เกิดการต่อรองจากฝ่ายต่าง ๆ

15.เพรสแมน (Pressman) และวิลด์ฟสกี (Wildavsky) กล่าวถึง นโยบายโดยทั่วไปจะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบาย
(2) เงื่อนไขแรกเริ่มและผลที่มุ่งหวัง
(3) ความยากและง่ายของปัญหา
(4) ความสามารถและทรัพยากรของนโยบาย
(5) ปัจจัยจากกลุ่มการเมืองและฝ่ายบริหารสนับสนุน
ตอบ 2 หน้า 164 เพรสแมน (Pressman) และวิลดัฟสกี (Wildavsky) กล่าวว่า นโยบายโดยทั่วไป จะต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เงื่อนไขแรกเริ่มและผลที่มุ่งหวัง ดังนั้นถ้ามีเงื่อนไข X เกิดขึ้น ณ เวลาที่ 11 จะเกิดผลลัพธ์ Y ขึ้น ณ เวลาถัดไปคือ t2

16. กรอบทฤษฎี คือ 1. ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของคําสั่งหรือนโยบาย 2. ความต้องการ ทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) โทมัส บี. สมิท
(2) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
(3) ดาเนียล เอ. แมชมาเนียน
(4) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(5) มองจอยและโอทูเล
ตอบ 5 หน้า 165 – 166 มองจอยและโอทูเล (Montjoy and O’Toole) ได้เสนอปัจจัยที่นํามาสร้างเป็นกรอบทฤษฎีในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
1. ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของคําสั่งหรือนโยบาย
2. ความต้องการทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย

17.นโยบายประเภท C (Type C) ของมองจอยและโอทูเล ข้อใดถูกต้อง
(1) นโยบายมีความชัดเจนและทรัพยากรเพียงพอ
(2) นโยบายมีความชัดเจนและทรัพยากรไม่เพียงพอ
(3) นโยบายขาดทั้งความชัดเจนและทรัพยากรทําให้มีข้อจํากัด
(4) นโยบายขาดความชัดเจนแต่ทรัพยากรเพียงพอ
(5) นโยบายดําเนินการได้ตามเป้าหมาย
ตอบ 3 หน้า 167 นโยบายประเภท C (Type C) ของมองจอยและโอทูเล (Montjoy and O’Toole) เป็นนโยบายที่ขาดทั้งความชัดเจนและทรัพยากร ทําให้มีข้อจํากัด และเปิดช่องให้องค์การสามารถ ตีความนโยบายได้มาก แต่ก็มีข้อจํากัดที่องค์การจะต้องรับผิดชอบงานประจําการขาดทรัพยากรจึงทําให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่นโยบายต้องการ ซึ่งอาจจะทําให้องค์การถูกลงโทษจากหน่วยเหนือได้ แต่อย่างไรก็ตามจัดเป็นนโยบายที่มักจะไม่นําไปสู่การปฏิบัติ

18. “กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามลักษณะของนโยบาย” ของนักวิชาการท่านใด
(1) โทมัส บี. สมิท
(2) แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น
(3) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(4) กอกจินและคณะ
(5) มองจอยและโอทูเล ตอบ 3 หน้า 169 เออร์วิน ฮาร์โกรฟ (Erwin Hargrove) ได้พัฒนาวิธีการจากแนวคิดฮิล (Hill) เพื่อสร้างเป็นทฤษฎีระดับกลาง (Middle Range Theory) สําหรับการวิเคราะห์โปรแกรม ประเภทต่าง ๆ โดยมีหลักการที่สําคัญ 3 ประการ คือ
1. ปัญหาทางนโยบายที่ต่างประเภทกันจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มของผู้เข้าไปมีส่วนร่วมที่ต่างกันและระดับของการปฏิบัติการที่ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของนโยบายที่นําเสนอ
2. กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามลักษณะของนโยบายและนโยบายนั้นๆ ยังสามารถจําแนกเป็นประเภทต่างๆเพื่อประโยชน์ในการทํานายกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ
3. ภาษาที่ใช้ในกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งจะใช้เป็นพื้นฐานในการจําแนกประเภทของโปรแกรม

19. เออร์วิน ฮาร์โกรฟ ประยุกต์เพื่อตั้งสมมติการนํานโยบายประเภทต่าง ๆ ไปปฏิบัติ ข้อใดถูกต้อง
(1) ความสามารถของรัฐ
(2) การชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลกลาง
(3) การชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลส่วนท้องถิ่น
(4) ความสามารถของเอกชน
(5) การนํานโยบายการจัดสรรทรัพยากรไปปฏิบัติ
ตอบ 5 หน้า 169 – 170 เออร์วิน ฮาร์โกรฟ (Erwin Hargrove) ได้นําแนวคิดมาประยุกต์ เพื่อตั้งสมมติการนํานโยบายประเภทต่าง ๆ ไปปฏิบัติไว้ 2 ประการ คือ
1. การนํานโยบายการจัดสรรทรัพยากรไปปฏิบัติ (Distributive Policy)
2. การนํานโยบายที่มีบทบัญญัติในการบังคับไปปฏิบัติ (Regulatory Policy)

20. เออร์วิน ฮาร์โกรฟ พัฒนาวิธีการจากแนวคิดฮิลเพื่อสร้างเป็นทฤษฎีระดับกลาง ข้อใดถูกต้อง
(1) ทุกภาคส่วนล้วนมีความสําคัญในนโยบาย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน
(2) ภาษาที่ใช้ในกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งจะใช้เป็นพื้นฐานในการจําแนกประเภทโปรแกรม
(3) ไม่มีการกําหนดว่าใครได้อะไร เมื่อไร และอย่างไร
(4) ผู้ปฏิบัติจะมีความสัมพันธ์ต่อกันในองค์การ
(5) ปัจจัยภายนอกและภายในองค์การจะมีผลต่อความสําเร็จ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

21. นักวิชาการที่ประยุกต์แนวคิดเชิงระบบ และมองว่านโยบายสาธารณะเป็นพลังที่ทําให้เกิดความตึงเครียด
(1) โทมัส บี. สมิท
(2) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(3) เพรสแมนและวิลดัฟสกี
(4) แมชมาเนียน
(5) เบอร์แมน
ตอบ 1หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) ได้ประยุกต์แนวคิดเชิงระบบสําหรับใช้ใน การศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม โดยเรียกตัวแบบนี้ว่า “A Model of the Policy Implementation Process” โดยมองว่านโยบายสาธารณะเป็นพลังที่ทําให้เกิด ความตึงเครียดในสังคม และขั้นตอนของการนํานโยบายไปปฏิบัติประกอบด้วยตัวแปรที่สําคัญ 4 ตัวแปร คือ
1. นโยบายที่เป็นอุดมคติ 2. องค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ 3. กลุ่มเป้าหมาย 4. ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม

22. โทมัส บี. สมิท ศึกษา 4 ตัวแปร ข้อใดถูกต้อง
(1) องค์กรที่กําหนดนโยบาย
(2) นโยบายไม่เป็นอุดมคติ
(3) ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม
(4) กลุ่มตัวอย่างที่สําคัญในการศึกษานโยบาย
(5) กําลังศึกษาโลกที่สาม
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23. เบอร์แมน ศึกษานโยบายทางสังคมเกี่ยวข้องกับสิ่งใด
(1) ผู้กําหนดนโยบายจะมีความสัมพันธ์ต่อกันในองค์การ
(2) การส่งเสริมต่อบริการของรัฐไปยังประชาชน
(3) สวัสดิการของแรงงาน
(4) ภาครัฐจะกําหนดนโยบายเป็นภารกิจหลัก
(5) รายได้จะมีส่วนสัมพันธ์กับรัฐบาลท้องถิ่น
ตอบ 2 หน้า 174 – 175 พอล เบอร์แมน (Paul Berman) ได้นําเสนอบทความเรื่อง “The Dugy of Macro and Micro Implementation” เมื่อปี ค.ศ. 1978 เพื่อใช้เป็นกรอบการศึกษา การนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยมีฐานคติที่สําคัญว่าปัญหาการนํานโยบายไปปฏิบัติส่วนมากจะ เกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์จากสถาบันต่าง ๆ ที่รับผิดชอบต่อการนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยเฉพาะ นโยบายทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมต่อบริการของรัฐไปยังประชาชนนั้นสามารถจะแยกปัญหาทางการนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับมหภาคที่อยู่ในส่วนรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง ออกจากปัญหาการนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับจุลภาคซึ่งอยู่ในส่วนรับผิดชอบของรัฐบาล ส่วนท้องถิ่น กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติในแต่ละระดับจะสร้างปฏิสัมพันธ์ในการจะกําหนดว่าใครได้อะไร เมื่อไร และอย่างไร และส่งผลต่อระดับของความสําเร็จในขั้นปฏิบัติการได้ นอกจากนี้เบอร์แมน ยังได้ชี้ให้เห็นว่าอํานาจอันทรงอิทธิพลในอันที่จะกําหนดผลสําเร็จของนโยบายอยู่ในมือของ ผู้ปฏิบัติในระดับท้องถิ่น หาใช่ผู้บริหารจากส่วนกลางแต่อย่างใด

24. ขั้นตอนใดของเบอร์แมนกล่าวถูกต้อง
(1) ขั้นการยอมรับเป็นระดับมหภาค
(2) ขั้นการนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นระดับมหภาค
(3) ขั้นความเที่ยงตรงทางวิชาเป็นระดับมหภาค
(4) ขั้นการบริหารเป็นระดับมหภาค
(5) ขั้นการบริการเป็นระดับมหภาค
ตอบ 4 หน้า 176 – 177 พอล เบอร์แมน (Paul Berman) ได้เสนอขั้นตอนการนํานโยบายไปปฏิบัติ จากระดับมหภาคไปสู่ระดับจุลภาค ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นการบริหาร
2. ขั้นการยอมรับ
3. ขั้นการนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับจุลภาค
4 ขั้นความเที่ยงตรงทางวิชา
โดยขั้นตอนที่ 1 จะเกี่ยวข้องกับระดับมหภาคโดยตรง ส่วนขั้นตอนที่ 2 – 4 จะเกี่ยวข้องกับ การปฏิบัติในระดับจุลภาค

25. โรเบิร์ต นาคามูระ และแฟรงค์ สมอลวูด กล่าวถึงการประเมินความสําเร็จหรือล้มเหลวของนโยบาย
ข้อใดถูกต้อง
(1) ประสิทธิผลและประสิทธิภาพของหน่วยงาน
(2) ความพึงพอใจของผู้รับบริการมีส่วนสําคัญต่อนโยบาย
(3) เกณฑ์ในการบรรลุเป้าหมายของนโยบาย เห็นรูปธรรม
(4) ขั้นตอนมีมากมายรวมถึงบุคลากรมีหลายระดับ
(5) การสนองตอบต่อบุคลากรภายในองค์กร
ตอบ 3 หน้า 180 โรเบิร์ต นาคามูระ และแฟรงค์ สมอลวูด ได้เสนอเกณฑ์การประเมินความสําเร็จ หรือล้มเหลวของนโยบายไว้ 5 เกณฑ์ ดังนี้
1. การบรรลุเป้าหมายของนโยบาย เห็นผล เป็นรูปธรรม
2. ประสิทธิภาพ คุณภาพงานที่สัมพันธ์กับต้นทุน
3. ความพึงพอใจของ บุคคลภายนอก
4. การสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้า
5. การดํารงอยู่ของระบบ

26.วรเดช จันทรศร ได้เสนอ “การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า” มีตัวแบบในการนํานโยบาย ไปปฏิบัติ 6 ตัวแบบ ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ
(2) ตัวแบบทางด้านการจัดการ
(3) ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
(4) ตัวแบบทางด้านเหตุและปัจจัย
(5) ตัวแบบกระบวนการทางการเมือง
ตอบ 4 หน้า 182 – 183 วรเดช จันทรศร ได้เสนอบทความเรื่อง “การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า” เมื่อปี ค.ศ. 1984 ซึ่งในบทความนี้ได้นําเสนอตัวแบบการศึกษา การนํานโยบายไปปฏิบัติ 6 ตัวแบบ คือ
1. ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
2. ตัวแบบทางด้านการจัดการ
3. ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
4. ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ
5. ตัวแบบกระบวนการทางการเมือง
6. ตัวแบบทั่วไป

27. ตัวแบบทั่วไปของวรเดช จันทรศร ได้ปรับปรุงจากผลงานของนักวิชาการท่านใด
(1) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน
(2) แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น
(3) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(4) โทมัส บี. สมิท
(5) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
ตอบ 2 หน้า 183 ตัวแบบทั่วไปของวรเดช จันทรศร ได้ปรับปรุงจากผลงานของแวน มิเตอร์ และ แวน ฮอร์น (Van Meter & Van Horn) ซึ่งพัฒนามาจากตัวแบบการวิเคราะห์ระบบการเมืองของเดวิด อีสตัน (David Easton) ประยุกต์กับผลการศึกษาด้านทฤษฎีองค์การเข้าด้วยกัน

28.วรเดช จันทรศร กล่าวถึงสาระสําคัญของตัวแบบทั่วไปว่าประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ
(1) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านขั้นตอนการดําเนินงาน และปัจจัยต่อผู้ปฏิบัติงาน
(2) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ
(3) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านการลงทุน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
(4) ปัจจัยด้านการลงทุน ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติงาน
(5) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยการสื่อสาร และปัจจัยองค์การ
ตอบ 2 หน้า 183 – 184 วรเดช จันทรศร ได้กล่าวถึงสาระสําคัญของตัวแบบทั่วไปว่าประกอบด้วย ปัจจัยหลัก 3 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยด้านการสื่อสาร
2. ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ
3. ปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ

29. ข้อใดไม่ใช่มาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร
(1) มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปี
(2) มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปรัง
(3) โครงการแทรกแซงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
(4) โครงการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ
(5) โครงการแทรกแซงราคาอ้อย
ตอบ 5 หน้า 195, 198 นโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร มีดังนี้
1. มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปีและนาปรัง
2. มาตรการแก้ไขปัญหาลําไย
3. โครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
4. โครงการแทรกแซงตลาดมันสําปะหลัง
5. โครงการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ

30. ข้อใดกล่าวถูกต้องของ “นโยบายข้อปที่มีคืน 2566
(1) ใช้ลดเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ
(2) ใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุด 40,000 บาทเท่านั้น
(3) ใช้ลดสําหรับกลุ่มนิติบุคคล
(4) ใช้ลดเฉพาะผู้ที่มีรายได้เกิน 500,000 บาทเท่านั้น
(5) ใช้ระยะเวลา 1 – 31 มกราคม 2566
ตอบ 2 (คําบรรยาย) นโยบายช้อปที่มีคืน 2566 เป็นนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยบุคคลที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนําค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าหรือบริการ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566 มาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 40,000 บาท

ตั้งแต่ข้อ 31. – 35. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Thomas R. Dye
(2) Ira Sharkansky
(3) David Easton
(4) James Anderson
(5) Theodore Lowi

31. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะ คือ สิ่งที่รัฐเลือกที่จะทําหรือไม่ทํา
ตอบ 1 หน้า 3 โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง สิ่งใด ก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา

32. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตอบ 3 หน้า 3 เดวิด อีสตัน (David Easton) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและ แจกแจงคุณค่า (Values) ต่าง ๆ ของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ สังคมส่วนรวม

33. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการจัดการบริการสาธารณะ
ตอบ 2 หน้า 3 ไอรา ซาร์แคนสกี้ (Ira Sharkansky) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรม ต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระทํา เช่น การบริการสาธารณะ การควบคุมกิจกรรมของบุคคลหรือธุรกิจ ของเอกชน เป็นต้น

34. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
ตอบ 4 หน้า 3 เจมส์ แอนเดอร์สัน (James Anderson) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทําเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเจตนาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
เช่น ความยากจน การผูกขาด เป็นต้น

35. ใครเกี่ยวข้องกับการจําแนกประเภทของนโยบายสาธารณะ
ตอบ 5 หน้า 5 – 6, (คําบรรยาย) ธีโอดอร์ โลวาย (Theodore Lowi) ได้เสนอให้จําแนกประเภท ของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regutative Policy)
2. นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy)
3. นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรรทรัพยากรเสียใหม่ (Re-Distributive Policy)

36. ใครสนใจในการวิเคราะห์นโยบาย
(1) E.S. Quade
(2) Stuart S. Nagel
(3) William Dunn
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 72, (คําบรรยาย) นักวิชาการที่สนใจศึกษาการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)ได้แก่
1. เควด (E.S. Quade)
2. วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn)
3. สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel)
4. โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ฯลฯ

37. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Dunn ศึกษาการวิเคราะห์นโยบาย
(2) Nagel ศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) Anderson ศึกษากระบวนการนโยบาย
(4) Dimock อธิบายความคิดสร้างสรรค์
(5) Quade เสนอจุดมุ่งหมายในการวิเคราะห์นโยบาย
ตอบ 2 หน้า 61 – 68, 164 – 171 นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy
Implementation) ได้แก่
1. กรอส (Gross)
2. ไจแอคควินทา (Giacquinta)
3. เบิร์นสไตล์ (Bernstein)
4. กรีนวูด (Greenwood)
5. แมน (Mann)
6. แมคลัฟลิน (McLaughlin)
7. เบอร์แมน (Berman)
8. เดล อี. ริชาร์ด (Dale E. Richards)
9. เพรสแมน (Pressman)
10. วิลดัฟสกี (Wildavsky)
11. มองจอย (Montjoy)
12. โอทูเล (O’Toole)
13. โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith)
14. พอล เอ. ซาบาเดียร์ (Paul A. Sabatier)
15. ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน (Daniel A. Mazmanian)
16. อิมิลี ไซมี โลว์ ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ฯลฯ (ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ)

38. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Harold Lasswell กล่าวว่า นโยบายเกี่ยวข้องกับแผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น
(2) Thomas R. Dye นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจว่าจะทําหรือไม่ทํา
(3) Theodore Lowi เป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
(4) David Easton เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 3, 58 – 59 ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่เน้น การสร้างภาพรวมและได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” ได้ให้ความหมาย นโยบายสาธารณะร่วมกับอับราแฮม แคปแพลน (Abraham Kaplan) ว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง แผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น อันประกอบด้วยเป้าหมาย คุณค่า และแนวการ ปฏิบัติงานต่าง ๆ” (ดูคําอธิบายข้อ 31. และ 32. ประกอบ)

39. Emily Chi-Mei Lowe Brizendine ศึกษาเรื่องอะไร
(1) การปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
(2) การจ้างงานของชนกลุ่มน้อย
(3) โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาล
(4) Catalytic Role Model
(5) การพัฒนาวิทยาลัยครูให้มาเป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์
ตอบ 1 หน้า 62 – 67, 145 – 146, (คําบรรยาย) นักวิชาการต่างประเทศที่ศึกษาเกี่ยวกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) มีดังนี้
1. กรอสและคณะ (Gross, Giacquinta & Bernstein) ศึกษานวัตกรรมทางการสอนแบบใหม่ สําหรับครู โดยเน้นที่กระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาสาระของบทเรียน ซึ่งเรียกตัวแบบ การศึกษานี้ว่า “Catalytic Role Model”
2. กรีนวูดและคณะ (Greenwood, Mann & McLaughlin) ศึกษาโครงการของรัฐบาลกลาง ในการให้การสนับสนุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา โดยเน้นศึกษาโครงการ ให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลในระดับท้องถิ่น
3. เบอร์แมนและแมคลัฟลิน (Berman & McLaughlin) ศึกษาโครงการของรัฐบาลกลาง ในการให้การสนับสนุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา โดยเน้นศึกษาความต่อเนื่อง
ของนโยบายนวัตกรรมหลังจากที่ความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาลกลางสิ้นสุดลง
4. อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ศึกษาการปฏิรูป โรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. เดล อี. ริชาร์ด (Cale E. Richards) ศึกษาการพัฒนาวิทยาลัยครูให้มาเป็นมหาวิทยาลัย ที่สมบูรณ์
6. เพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) ศึกษานโยบายการจ้างงานของ ชนกลุ่มน้อยที่เมืองโอคแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ภายใต้ชื่อ “Implementation” ฯลฯ

40.เพรสแมนและวิลด์ฟสกีสนใจการศึกษานโยบายเรื่องใด
(1) Policy Analysis
(2) Policy Process
(3) Policy Impacts
(4) Policy Evaluation
(5) Policy Implementation
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 37. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 41. – 45. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Harold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) Dale E. Richards.

41. ใครศึกษาการพัฒนาวิทยาลัยครูจนเป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

42. ใครได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

43. ใครให้เห็นเหตุผลในการกําหนดนโยบายไว้ 3 ประการ คือ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลทางวิชาชีพ และเหตุผลทางการเมือง
ตอบ 2 หน้า 57, (คําบรรยาย) โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผล (ความสําคัญ) ของการศึกษาและการกําหนดนโยบายสาธารณะไว้ 3 ประการ คือ
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons) คือ การทําความเข้าใจเหตุและผลของ การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย เพื่อให้ได้นโยบายที่มีเหตุผลมากที่สุด
2. เหตุผลทางวิชาชีพ (Professional Reasons) คือ การนําความรู้เชิงนโยบายไปใช้แก้ปัญหา ทางด้านการปฏิบัติ โดยวิชาชีพที่แตกต่างกันจะทําให้การกําหนดนโยบายและการนํานโยบายไปปฏิบัติของแต่ละวิชาชีพมีความแตกต่างกัน
3. เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons) คือ การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสม ทางการเมืองมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง โดยการใช้เหตุผลทางการเมือง มักจะทําให้การกําหนดนโยบายเป็นไปอย่างไม่มีเหตุผลแต่เป็นที่ยอมรับของประชาชน เช่น นโยบายประชานิยมต่าง ๆ เป็นต้น

44. ใครให้ความหมายของการวิเคราะห์นโยบายไว้ว่า เป็นการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในชุดของเป้าหมายที่กําหนดไว้
ตอบ 3 หน้า 72 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็น การกําหนดและตัดสินทางเลือกของนโยบาย โดยการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุด ในชุดของเป้าหมายที่กําหนดไว้
โดยเปรียบเทียบทางเลือกเหล่านั้นกับการบรรลุเป้าหมาย

45. ใครกล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นการใช้วิธีการที่หลากหลายในการนําเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผล
มาแปรรูปในการกําหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองที่มีสภาวการณ์ที่แตกต่างกัน
ตอบ 4 หน้า 72 วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นสาขาหนึ่ง ของสังคมศาสตร์ประยุกต์ที่ใช้วิธีการหลากหลายในการนําเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผลมาแปรรูป ในการกําหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาในทางการเมืองที่มีสภาวการณ์แตกต่างกัน

ตั้งแต่ข้อ 46. – 50. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) Theodore Low:
(2) Ira Sharkansky
(3) Carl J. Friedrich
(4) William Greenwood
(5) David Easton

46. ใครเสนอว่า อุปสรรคจะเป็นแรงผลักดันให้มีการเสนอนโยบายเพื่อไปใช้ประโยชน์
ตอบ 3 หน้า 3 คาร์ล เจ. ฟรีดริช (Carl J. Friedrich) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง ข้อเสนอ สําหรับแนวทางการดําเนินงานของบุคคล กลุ่มบุคคล หรือรัฐบาล ภายในสภาพแวดล้อมแบบหนึ่ง ซึ่งอาจมีทั้งอุปสรรคและโอกาสบางประการ โดยอุปสรรคและโอกาสนี้จะเป็นแรงผลักดันให้มี การเสนอนโยบายขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ และเอาชนะสภาพการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อนําไปสู่ เป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง

47. ใครเสนอว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทํา เช่น การบริการสาธารณะ ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

48. ใครเสนอให้จําแนกประเภทของนโยบายตามเนื้อหาสาระของนโยบาย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 35. ประกอบ

49. ใครเสนอว่า นโยบายสาธารณะเป็นแนวทางที่เป็นบรรทัดฐานในการดําเนินงานของหน่วยงาน
ตอบ 4 หน้า 3 วิลเลียม กรีนวูด (William Greenwood) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การตัดสินใจขั้นต้นของรัฐบาลเพื่อเป็นแนวทางที่เป็นบรรทัดฐานในการดําเนินงานของหน่วยงานไปสู่วัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

50. ใครเสนอว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและแจกแจงคุณค่าของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

51. ข้อใดถูกต้อง
(1) กรอสและคณะ ศึกษาการพัฒนาวิทยาลัยครูจนเป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์
(2) กรีนวูดและคณะ ศึกษาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลในระดับท้องถิ่น
(3) เบอร์แมนและแมคลัฟลิน ศึกษานวัตกรรมทางการสอนแบบใหม่
(4) อีมิลี ไซมี โลว์ ไบรเซนไดน์ เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าสาระ
(5) เดล อี. ริชาร์ด ศึกษาความต่อเนื่องของนโยบายนวัตกรรมหลังสิ้นสุดการช่วยเหลือ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

52.Stuart S. Nagel สนใจการศึกษานโยบายเรื่องใด
(1) Policy Analysis
(2) Policy Process
(3) Policy Impacts
(4) Policy Evaluation
(5) Policy Implementation
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

53. การรับรู้ถึงปัญหาสาธารณะเกี่ยวข้องกับนโยบายในด้านใด
(1) Policy Analysis
(2) Policy Evaluation
(3) Policy Impacts
(4) Policy Implementation
(5) เกี่ยวข้องกับนโยบายทุกด้าน
ตอบ 1 หน้า 73 เควด (E.S. Quade) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายที่สําคัญของการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis) มีดังนี้
1. เพื่อให้ผู้กําหนดนโยบายได้รับรู้ถึงปัญหาสาธารณะโดยแจ้งชัด
2. เพื่อปรับปรุงคุณภาพการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบายที่สามารถแก้ปัญหาหรือตอบสนอง
ความต้องการของประชาชนได้
3. เพื่อสร้างกระบวนการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมและเป็นระบบ

54. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการที่ Stuar: S. Nagel เสนอ
(1) การกําหนดแผนงาน
(2) การกําหนดเป้าหมายเพื่อบรรลุผล
(3) การกําหนดคน สถานที่ อุปกรณ์
(4) การกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
(5) การวิเคราะห์ผลตอบแทนสูงสุด
ตอบ 1 หน้า 239 – 240 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) ได้เสนอแนวคิดในการวิเคราะห์ ข้อมูลแบบง่ายสําหรับการวิเคราะห์หรือการประเมินนโยบาย ซึ่งมีหลักการหรือกระบวนการ ที่สําคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. กําหนดเป้าหมายเพื่อการบรรลุผล หรือการให้ผลประโยชน์ ตอบแทนสูงสุด
2. กําหนดเป้าหมายสัมพันธ์
3. กําหนดคน สถานที่ หรือวัสดุอุปกรณ์ ให้สอดคล้องกับนโยบายนั้น ๆ
4. กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
5. ปรับความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย

55. การเปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตนโยบายมาสู่การศึกษากระบวนการนโยบายอยู่ในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้น
(2) ยุคพัฒนาให้เป็นศาสตร์
(3) ยุคการนําไปปฏิบัติให้บรรลุผล
(4) ยุคกึ่งกลางระหว่างเริ่มต้นและพัฒนา
(5) ในทุกยุค
ตอบ 3 หน้า 60 – 61 ยุคการนําไปปฏิบัติให้บรรลุผล เป็นยุคที่แนวคิดในการวิเคราะห์นโยบาย มีการเปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตของนโยบาย (Policy Outputs) มาสู่การศึกษากระบวนการนโยบาย (Policy Prccess) และมีการเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์จากวิธีการเชิงปริมาณไปสู่วิธีการ ที่ผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพมากขึ้น

56. การนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เป็นแนวโน้มในเรื่องใด
(1) แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า
(2) แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ
(3) แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย
(4) แนวโน้มเกี่ยวกับรูปแบบ
(5) แนวโน้มเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน
ตอบ 3 หน้า 74 แนวโน้มการวิเคราะห์นโยบายในอนาคต มี 3 แนวโน้มใหญ่ คือ
1. แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า จะมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายโดยหาทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ทําให้ประชาชนพอใจ และสนองต่อคุณค่าต่าง ๆ ของสังคม โดยการเน้นให้ประชาชน กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น เพื่อให้นโยบายที่เกิดขึ้นสนองตอบต่อสังคมโดยส่วนรวมอย่างแท้จริง
2. แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย จะมุ่งเน้นการหาวิธีการที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณามิติทางการเมืองและการบริหาร และมีการนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขาวิชา มาใช้ในการวิเคราะห์นโยบายในลักษณะสหวิทยาการ
3. แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ จะมุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงธุรกิจที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน (Cost-Benefit) รวมทั้งการคํานึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะเกิดขึ้นด้วย

ตั้งแต่ข้อ 57. – 59. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย

57. การที่หน่วยงานนํานโยบายมาแปลงเป็นแผนงานและโครงการเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 2 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่แสดงให้เห็นถึงการนําทรัพยากรต่าง ๆ ไปจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดผลตามนโยบาย
1. การส่งต่อนโยบาย (Policy Delivery)ซึ่งประกอบด้วย
2. การตีความหรือแปลงนโยบายออกมาเป็นแผนงานและโครงการ
3. การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย
4. การดําเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ(Street-Level Bureaucracy)
5. การจัดระบบสนับสนุน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร การมอบหมาย อํานาจหน้าที่ และการติดต่อสื่อสาร
6. การติดตามและควบคุมผลการปฏิบัติงาน

58. การจัดทําร่างนโยบายอยู่ในขั้นตอนใด
ตอบ 3 หน้า 25 – 26, (คําบรรยาย) การเตรียมและเสนอนโยบาย (Policy Formulation) เป็นขั้นตอนที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเรื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การกําหนดวัตถุประสงค์
2. การกําาหนดทางเลือก
3. การจัดทําร่างนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ แนวทางและมาตรการ การจัดลําดับทางเลือก และการหาข้อมูลประกอบ การพิจารณา

59. การพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อนํามาหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอยู่ในขั้นตอนใด
ตอบ 1 หน้า 23 – 25 ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย
1. การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน
2. การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา
3. ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ
4. การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา

60. นโยบายปฏิรูประบบราชการ เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Economic Policy
(2) Education Policy
(3) Social Policy
(4) Administrative Policy
(5) Politic & Defence Policy
ตอบ 4 หน้า 7, (คําบรรยาย) นโยบายทางการบริหาร (Administrative Policy) เป็นนโยบายรอง ที่กําหนดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานหรือองค์การนั้น ๆ เช่น นโยบายธรรมาภิบาล นโยบายการปฏิรูประบบราชการ นโยบายเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชน มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง นโยบายการบริหารงานบุคคล นโยบายการบริหารงานคลัง โครงการประเทศไทยใสสะอาด เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 61 – 65. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ความเหมาะสม
(4) ความพอเพียง
(5) ความสามารถในการตอบสนอง

61. ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 2 หน้า 99, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายโดยใช้ต้นทุนต่ำสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด

62. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 5 หน้า 101 ความสามารถในการตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ความสามารถ ของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบ และค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่สามารถทําให้กลุ่มที่มี ความจําเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกนั้นด้วย

63. ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของ
ทรัพยากรที่มีอยู่ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 4 หน้า 100 ความพอเพียง (Adequacy) หมายถึง ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทั่วไปเงื่อนไข ของทรัพยากรมักจะวัดในรูปของงบประมาณที่มีอยู่

64. การนําเกณฑ์อื่น ๆ มาพิจารณาพร้อม ๆ กัน เกี่ยวข้องกับเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 3 หน้า 101 ความเหมาะสม (Appropriateness) หมายถึง การพิจารณาคุณค่าและ ความเหมาะสมของเป้าหมายของทางเลือกที่กําหนดไว้ โดยการนําเกณฑ์อื่น ๆ หลายเกณฑ์ มาพิจารณาพร้อม ๆ กัน

65. ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 1 หน้า 98, (คําบรรยาย) ประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการได้ครบถ้วนตรงตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้

ตั้งแต่ข้อ 66 – 75. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามในเนื้อหาของเทคนิคในการประเมินผลนโยบาย
(1) Format Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis.

66. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถ แยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น
ตอบ 4 หน้า 264 – 265 การวิเคราะห์อนุกรมเวลาแบบขาดตอน (Interrupted Time Series Analysis) เป็นวิธีการที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในรูปของตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการ ดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว จุดเด่นของวิธีการนี้ คือ ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบาย สามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถแยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น

67. เป็นเทคนิคที่มีหลักการ 5 ประการ คือ Selective Anonymity, Informed Multiple Advocacy, Polarized Statistical Resporse, Structured Conflict, Computer Conferencing
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) มีหลักการสําคัญ 5 ประการ คือ
1. ความเป็นนิรนามเฉพาะระยะแรก (Selective Anonymity)
2. ผู้เชี่ยวชาญต่างสํานัก (Informed Multiple Advocacy)
3. การวิเคราะห์ทางสถิติแบบแยกกลุ่ม (Polarized Statistical Response)
4. การจัดโครงสร้างความขัดแย้ง (Structured Conflict)
5. การประชุมโดยคอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing)

68. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

69. เป็นเทคนิคที่ประกอบไปด้วย การประเมินความสามารถที่จะประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์ แบบพหุลักษณ์
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 การประเมินผลแบบพิจารณาความเหมาะสม (Decision Theoretical Evaluation) เป็นเทคนิคการประเมินผลที่มุ่งสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบายโดยใช้คุณค่าหรือผลประโยชน์ที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับเป็นเกณฑ์ประเมิน ซึ่งรูปแบบของการประเมินผลแบบนี้มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ การประเมินความสามารถที่จะ ประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์

70. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลอง ที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ตอบ 5 หน้า 265 การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบไม่ต่อเนื่อง (Regression-Discontinuity Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา เทคนิคนี้เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลอง ทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้ เรียบร้อยแล้ว

71. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย เป็นประโยชน์ต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ
ตอบ 3 หน้า 264 ประโยชน์ของวิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) คือ สามารถให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ในนโยบาย การประเมินจึงครอบคลุมกว้างขวางรวมทุกประเด็นไว้หมด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ

72. เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

73. เป็นเทคนิคที่นําเอาข้อคิดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราว ของนโยบายที่กําลังประเมินมาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 259 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) เป็นวิธีการที่นําเอาข้อคิดและความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราวของนโยบายที่กําลังประเมิน มาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย

74. เป็นเทคนิคที่เน้นประเมินผลนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ โดยเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
ตอบ 1 หน้า 251 – 252 การประเมินผลแบบเป็นทางการ (Format Evaluation) เป็นเทคนิคที่ใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบาย โดยประเมินผลของนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้ อย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําาหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว

75. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบายไปปฏิบัติในรูปของ ตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 76 – 85. จงเลือกคําตอบที่ถูกต้องตามเนื้อหาของหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

76. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 70
(3) มาตรา 72
(4) มาตรา 74
(5) มาตรา 76
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 72 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดิน ของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
3. จัดให้มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทํากินได้อย่างทั่วถึง และเป็นธรรม ฯลฯ

77. รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มี ปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ำและสามารถแข่งขันในตลาดได้ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 73
(3) มาตรา 74
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 73 บัญญัติให้ รัฐจึงจัดให้มีมาตรการหรือ กลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและ คุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือ เกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทํากินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด

78. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจ ขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 73
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 75 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. ในการพัฒนาประเทศ รัฐจึงคํานึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนา ด้านจิตใจ และความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน
3. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ฯลฯ

79. รัฐจึงดําเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบ
คุณธรรม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 76 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และงานของรัฐอย่างอื่นให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
2. รัฐจึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชน ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รัฐจึงดําเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไป
ตามระบบคุณธรรม
4. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนด ประมวลจริยธรรมสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ

80. รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซง กิจการภายในของกันและกัน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 66
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 66 บัญญัติให้ รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับ นานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายใน ของกันและกัน ให้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ และคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติและของคนไทยในต่างประเทศ

81. รัฐจึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 71
(3) มาตรา 73
(4) มาตรา 75
(5) มาตรา 77
ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 68 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร
2. รัฐจึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงําใด ๆ
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จําเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้

82. รัฐจึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 66
(2) มาตรา 67
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 67 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
2. รัฐจึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท
เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา
3. รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่ารูปแบบใด และพึ่งส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

83. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 65
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 70
(5) มาตรา 71
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 71 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม
2. รัฐจึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถสูงขึ้น
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
4. ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐจึงคํานึงถึงความจําเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของ เพศ วัย และสภาพของบุคคล

84. รัฐจึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชนให้เกิด ความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 72
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 78
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 79. ประกอบ

85. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนดประมวลจริยธรรม สําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 79. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 86. – 90. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามเนื้อหาของการประเมินผลนโยบาย
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ

86. ใครกล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่าของผลการดําเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
ตอบ 5 หน้า 230 ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่า ของผลการดําเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ซึ่งการประเมินผลนี้ไม่ได้แยกเป็นเอกเทศจากขั้นตอนนโยบายอื่น แต่เกี่ยวข้องกันตลอดเวลา

87. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอน ที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่าของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่
ตอบ 4 หน้า 229 วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอนที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่า ของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่

88. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบาย โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของ
สังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข
ตอบ 3 หน้า 229 ชาร์ลส์ อ. โจนส์ (Charles O. Jones) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบายโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของสังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข

89. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของ
การนํานโยบายไปปฏิบัติกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ในทุกขั้นตอนนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 229 เจมส์ อี. แอนเดอร์สัน (James E. Anderson) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติ กับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอนของนโยบาย

90. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะตกลงใจว่านโยบาย ที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่
ตอบ 1 หน้า 228 อีมิล เจ. โพซาวัค และเรย์มอนด์ จี. แครี (Emil J. Posavac & Raymond G. Carey) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีการหลายวิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะ ตกลงใจว่านโยบายที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้ หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่

ตั้งแต่ข้อ 91 – 95. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามเนื้อหาของวิธีการประเมินผลนโยบาย
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ผิดทุกข้อ

91. ไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้เฉพาะในเรื่องของ Input และ
Product เท่านั้น
ตอบ 1 หน้า 234 – 235 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง (Experimental Design) มีข้อจํากัดดังนี้
1. วิธีการที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมักมีปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัด ในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
2. วิธีการทดลองไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้ เฉพาะในเรื่องของ Input และ Product เท่านั้น
3. วิธีการทดลองไม่สามารถควบคุมความเที่ยงตรงภายนอกได้ จึงทําให้ผลที่ได้มาจาก การทดลองอาจจะไม่เหมือนกับผลที่ได้มาจากการดําเนินการจริง ฯลฯ

92. การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัดในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลอง ที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
ตอบ 2 หน้า 235 – 236 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Design) มีลักษณะสําคัญดังนี้
1. ในกรณีที่เงื่อนไขไม่เอื้ออํานวยที่จะใช้การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง วิธีการนี้จะทําให้ได้เปรียบในการนําไปปฏิบัติ โดยผู้ใช้จะต้องยอมรับเบื้องต้นก่อนว่าวิธีการที่จะนําไปใช้มีความสนใจที่ปัจจัยใดบ้างและปล่อยให้ปัจจัยใดบ้างปราศจากการควบคุม
2. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) ได้แก่ การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลองที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
3.วิธีการนี้มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากโครงการ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็น ความล้มเหลวของโครงการ ฯลฯ

94. มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากโครงการ มีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นความล้มเหลวของโครงการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ

95. แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการ สุ่มตัวอย่าง ข้อดี ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้ เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
ตอบ 3 หน้า 236 – 237 การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง (Pre-Experimental Design) แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบศึกษาก่อนและ หลังจากที่ได้นําโครงการหนึ่ง ๆ เข้ามาใช้ แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการ

เข้ามาใช้แล้วเพียงอย่างเดียว และแบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้ โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการสุ่มตัวอย่าง ซึ่งข้อดีของการประเมินผลด้วยวิธีการนี้ คือ
1. ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย
2. ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
3. ทําให้ผู้ประเมินได้รับข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังและเป็นระบบ

ตั้งแต่ข้อ 96. – 100.
จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามข้อมูลยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี Thailand 4.0 และเอกสารอื่น ๆ
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย

96. มุ่งเน้นเศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เป็นแผนที่มีเป้าหมายหลักเพื่อพลิกโฉมประเทศไทย ไปสู่ “เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” หรือ “Hi-Value and Sustainable Thailand” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาดังนี้
1. มุ่งเน้นจากเศรษฐกิจฐานทรัพยากรสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและองค์ความรู้
2. มุ่งเน้นจากการผลิตและบริโภคที่ทําลายสิ่งแวดล้อมสู่วิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย
3. มุ่งเน้นจากโอกาสที่กระจุกตัวสู่โอกาสสําหรับทุกกลุ่มคนและทุกพื้นที่
4. มุ่งเน้นจากกําลังคนทักษะต่ําและภาครัฐล้าสมัยสู่กําลังคนและภาครัฐสมรรถนะสูง

97. มุ่งเน้นจากเศรษฐกิจฐานทรัพยากรสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและองค์ความรู้
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

98. มุ่งเน้นจากการผลิตและบริโภคที่ทําลายสิ่งแวดล้อมสู่วิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

99. มุ่งเน้นจากโอกาสที่กระจุกตัว โอกาส าหรับทุกกลุ่มคนและทุกพื้นที่
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

100. มุ่งเน้นจากกําลังคนทักษะต่ําาและภาครัฐล้าสมัยสู่กําลังคนและภาครัฐสมรรถนะสูง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

 

POL3301 นโยบายสาธารณะ 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3301 นโยบายสาธารณะ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว
ตั้งแต่ข้อ 1. – 5. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) Thomas R. Dye
(2) Stuart S. Nagel
(3) David Easton
(4) Carl J. Friedrich
(5) Theodore Lowi

1.ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะ คือ สิ่งที่รัฐเลือกที่จะทําหรือไม่ทํา
ตอบ 1 หน้า 3 โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง สิ่งใด
ก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา

2.ใครกล่าวว่านโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตอบ 3 หน้า 3 เดวิด อีสตัน (David Easton) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและ แจกแจงคุณค่า (Values) ต่าง ๆ ของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม

3. ใครเสนอว่า อุปสรรคจะเป็นแรงผลักดันให้มีการเสนอนโยบายเพื่อไปใช้ประโยชน์
ตอบ 4 หน้า 3 คาร์ล เจ. หรีดริช (Carl J. Friedrich) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง ข้อเสนอ สําหรับแนวทางการดําเนินงานของบุคคล กลุ่มบุคคล หรือรัฐบาล ภายในสภาพแวดล้อมแบบหนึ่ง ซึ่งอาจมีทั้งอุปสรรคและโอกาสบางประการ โดยอุปสรรคและโอกาสนี้จะเป็นแรงผลักดันให้มี การเสนอนโยบายขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ และเอาชนะสภาพการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อนําไปสู่ เป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง

4. ใครเกี่ยวข้องกับการจําแนกประเภทของนโยบายสาธารณะ
ตอบ 5 หน้า 5 – 6, (คําบรรยาย) ธีโอดอร์ โลวาย (Theodore Lowi) ได้เสนอให้จําแนกประเภท ของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy)
2. นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy)
3. นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรรทรัพยากรเสียใหม่ (Re-Distributive Policy)

5.ใครสนใจในการวิเคราะห์นโยบาย
ตอบ 1, 2 หน้า 72, (คําบรรยาย) นักวิชาการที่สนใจศึกษาการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
ได้แก่
1. เควด (E..S. Ouade)
2. วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn)
3. สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel)
4. โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ฯลฯ

6.Stuart S. Nagel สนใจการศึกษานโยบายเรื่องใด
(1) Policy Analysis
(2) Policy Process
(3) Policy Impacts
(4) Policy Implementation
(5) Policy Evaluation
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

7. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Harold Lasswett กล่าวว่า นโยบายเกี่ยวข้องกับแผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น
(2) Thomas R. Dye นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจว่าจะทําหรือไม่ทํา
(3) Theodore Lowi เป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
(4) David Easton เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 3, 58 – 59 ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่เน้น การสร้างภาพรวมและได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” ได้ให้ความหมาย นโยบายสาธารณะร่วมกับอับราแฮม แคปแพลน (Abraham Kaplan) ว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง แผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น อันประกอบด้วยเป้าหมาย คุณค่า และแนวการ ปฏิบัติงานต่าง ๆ” (ดูคําอธิบายข้อ 1. และ 2. ประกอบ)

8. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการที่ Stuar: S. Nagel เสนอ
(1) การกําหนดเป้าหมายเพื่อบรรลุผล
(2) การกําหนดแผนงาน
(3) การกําหนดคน สถานที่ อุปกรณ์
(4) การวิเคราะห์ผลตอบแทนสูงสุด
(5) การกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 239 – 240 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) ได้เสนอแนวคิดในการวิเคราะห์ ข้อมูลแบบง่ายสําหรับการวิเคราะห์หรือการประเมินนโยบาย ซึ่งมีหลักการหรือกระบวนการ
ที่สําคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. กําหนดเป้าหมายเพื่อการบรรลุผล หรือการให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด
2. กําหนดเป้าหมายสัมพันธ์
3. กําหนดคน สถานที่ หรือวัสดุอุปกรณ์ ให้สอดคล้องกับนโยบายนั้น ๆ
4. กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย 5. ปรับความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย

9.การที่หน่วยงานนํานโยบายมาแปลงเป็นแผนงานและโครงการเป็นขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่แสดงให้เห็นถึงการนําทรัพยากรต่าง ๆ ไปจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดผลตามนโยบายซึ่งประกอบด้วย
1. การส่งต่อนโยบาย (Policy Delivery)
2. การตีความหรือแปลงนโยบายออกมาเป็นแผนงานและโครงการ
3. การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย
4. การดําเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ (Street-Level Bureaucracy)
5. การจัดระบบสนับสนุน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร การมอบหมายอํานาจหน้าที่ และการติดต่อสื่อสาร
6. การติดตามและควบคุมผลการปฏิบัติงาน

10. การเปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตนโยบายมาสู่การศึกษากระบวนการนโยบายอยู่ในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้น
(2) ยุคพัฒนาให้เป็นศาสตร์
(3) ยุคการนําไปปฏิบัติให้บรรลุผล
(4) ยุคกึ่งกลางระหว่างเริ่มต้นและพัฒนา
(5) ในทุกยุค
ตอบ 3 หน้า 60 – 61 ยุคการนําไปปฏิบัติให้บรรลุผล เป็นยุคที่แนวคิดในการวิเคราะห์นโยบาย มีการเปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตของนโยบาย (Policy Outputs) มาสู่การศึกษากระบวนการนโยบาย (Policy Process) และมีการเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์จากวิธีการเชิงปริมาณไปสู่วิธีการ ที่ผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพมากขึ้น

ตั้งแต่ข้อ 11. – 15. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ความเหมาะสม
(4) ความพอเพียง
(5) ความสามารถในการตอบสนอง

11. ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ําสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด ตอบ 2 หน้า 99, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายโดยใช้ต้นทุนต่ําสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ําสุด

12. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด ตอบ 5 หน้า 101 ความสามารถในการตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ความสามารถ ของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบ และค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่สามารถทําให้กลุ่มที่มี ความจําเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกนั้นด้วย

13. ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของ
ทรัพยากรที่มีอยู่ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 4 หน้า 100 ความพอเพียง (Adequacy) หมายถึง ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทั่วไปเงื่อนไข ของทรัพยากรมักจะวัดในรูปของงบประมาณที่มีอยู่

14. การนําเกณฑ์อื่น ๆ มาพิจารณาพร้อม ๆ กัน เกี่ยวข้องกับเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 3 หน้า 101 ความเหมาะสม (Appropriateness) หมายถึง การพิจารณาคุณค่าและ ความเหมาะสมของเป้าหมายของทางเลือกที่กําหนดไว้ โดยการนําเกณฑ์อื่น ๆ หลายเกณฑ์ มาพิจารณาพร้อม ๆ กัน

15. ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 1 หน้า 98, (คําบรรยาย) ประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการได้ครบถ้วนตรงตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้

16.Harold Lassweil เป็นบุคคลสําคัญที่เกิดขึ้นในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้น
(2) ยุคพัฒนาให้เป็นศาสตร์
(3) ยุคการนําไปปฏิบัติให้บรรลุผล
(4) ยุคกึ่งกลางระหว่างเริ่มต้นและพัฒนา
(5) ในทุกยุค
ตอบ 2 หน้า 58 – 59 ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) เป็นนักวิชาการที่เกิดขึ้นในยุคพัฒนา ให้เป็นศาสตร์ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” เพราะเป็นผู้ที่ผสมผสาน แนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญาและสังคมศาสตร์เข้าด้วยกัน เนื่องจากเชื่อว่าวิธีการนี้ จะสามารถสร้างสังคมศาสตร์แบบใหม่ขึ้นมาได้

17. การศึกษาปัญหาที่สําคัญจะเกิดขึ้นในขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ 1หน้า 23 – 25 ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย
1. การศึกษาหรือพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน
2. การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา
3. ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ
4. การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา

18. การนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เป็นแนวโน้มในเรื่องใด
(1) แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า
(2) แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ
(3) แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย
(4) แนวโน้มเกี่ยวกับรูปแบบ
(5) แนวโน้มเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน
ตอบ 3 หน้า 74 แนวโน้มการวิเคราะห์นโยบายในอนาคต มี 3 แนวโน้มใหญ่ คือ
1. แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า จะมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายโดยหาทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ทําให้ประชาชนพอใจ และสนองต่อคุณค่าต่าง ๆ ของสังคม โดยการเน้นให้ประชาชน กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น เพื่อให้นโยบายที่เกิดขึ้นสนองตอบต่อสังคมโดยส่วนรวมอย่างแท้จริง
2. แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย จะมุ่งเน้นการหาวิธีการที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณามิติทางการเมืองและการบริหาร และมีการนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขาวิชา มาใช้ในการวิเคราะห์นโยบายในลักษณะสหวิทยาการ
3. แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ จะมุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงธุรกิจที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน (Cost-Benefit) รวมทั้งการคํานึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะเกิดขึ้นด้วย

19. การจัดทําร่างนโยบายอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ 3หน้า 25 – 26, (คําบรรยาย) ขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย (Policy Formulation) เป็นขั้นตอนที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเรื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การกําหนดวัตถุประสงค์
2. การกําหนดทางเลือก
3. การจัดทําร่างนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ แนวทางและ มาตรการ การจัดลําดับทางเลือก และการหาข้อมูลประกอบการพิจารณา

20. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) การนํานโยบายไปปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต้องการความสามารถทางการบริหารสูง
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติจะง่ายในประเทศที่มีขนาดใหญ่
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติจะเหมาะกับประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติจะง่ายขึ้นในประเทศที่ปกครองแบบรวมศูนย์อํานาจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 61 – 62 การนํานโยบายไปปฏิบัติในประเทศต่าง ๆ อาจจะให้ผลแตกต่างกัน ดังนี้
1. การนํานโยบายไปปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต้องการความสามารถทางการบริหารสูงจะกลายเป็นข้อจํากัดที่สําคัญของประเทศในโลกที่ 3 และในยุโรปบางประเทศ
2. การนํานโยบายไปปฏิบัติจะง่ายในประเทศที่มีขนาดกลางหรือขนาดเล็ก
3. การนํานโยบายไปปฏิบัติจะเหมาะสมกับประเทศที่ยึดถือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
4. การนํานโยบายไปปฏิบัติจะง่ายในประเทศที่มีการปกครองแบบรวมศูนย์อํานาจ
5. การนํานโยบายไปปฏิบัติจะมีประสิทธิผลมากในประเทศที่รัฐบาลมีเสถียรภาพสูง

ตั้งแต่ข้อ 21. – 23. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ปัญหาที่มีโครงสร้างแน่นอน
(2) ปัญหาที่มีโครงสร้างปานกลาง
(3) ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน
(4) ปัญหาที่ไม่มีตัวตนแท้จริง
(5) ปัญหาที่เชื่อถือไม่ได้

21. เมื่อผู้กําหนดนโยบายเปลี่ยน ทําให้การมองปัญหาเปลี่ยน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 91 ปัญหาที่ไม่มีตัวตนแท้จริง (Artificiality Problem) คือ ปัญหาของนโยบาย จะขึ้นอยู่กับการรับรู้และการนิยามของแต่ละกลุ่มบุคคล และจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ตามอัตวิสัยของผู้กําหนดนโยบาย ไม่มีตัวตนที่แท้จริงหรือไม่ได้มีปัญหานั้นอยู่จริง ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้กําหนดนโยบาย ปัญหานโยบายก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

22. ปัญหาในการพัฒนาชนบท เป็นปัญหาประเภทใด
ตอบ 3 หน้า 92 ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน (Ill-Structured Problem) ถือเป็นปัญหาที่ยุ่งยาก และสลับซับซ้อนที่สุด เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องในการกําหนดประเด็นปัญหาจํานวนมาก ทางออก ในการแก้ปัญหามีหลายวิธีจนไม่จํากัด อรรถประโยชน์ไม่เป็นที่ยอมรับทั่วกัน นอกจากนี้ผลลัพธ์ ก็ไม่มีทางทราบได้ และการคํานวณหาความน่าจะเป็นของผลลัพธ์ก็ทําไม่ได้ด้วย เช่น ปัญหา ในการพัฒนาชนบท เป็นต้น

23. ปัญหาในการจัดซื้อยานพาหนะของหน่วยงาน เป็นปัญหาประเภทใด
ตอบ 1 หน้า 91, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีโครงสร้างแน่นอน (Well-Structured Problem) เป็นปัญหาที่มีผู้เกี่ยวข้องในการกําหนดประเด็นปัญหาจํานวนน้อย ทางออกในการแก้ปัญหา ค่อนข้างชัดเจนและมีเพียง 1 – 3 ทางเท่านั้น นอกจากนี้อรรถประโยชน์ก็เป็นที่ยอมรับกัน ของสาธารณชน และผลที่จะได้รับก็ค่อนข้างแน่นอนด้วย เช่น ปัญหาการจัดซื้อยานพาหนะ ปัญหาการจัดซื้อเครื่องบินรุ่นใหม่ ปัญหาการจัดซื้อเรือตาน้ําของกองทัพเรือ ปัญหาการสร้าง ตึกทําการใหม่ เป็นต้น

24.จากตําราในผลการวิจัยเรื่องการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร พืชผลใดที่ไม่ได้ศึกษา
(1) ข้าว
(2) ลําไย
(3) กาแฟ
(4) มันสําปะหลัง
(5) ศึกษาทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 5 หน้า 189, 195 การวิจัยเรื่องการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร เป็นการวิจัยเพื่อหา แนวทางในการแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร โดยพืชผลที่ทําการศึกษาวิจัย ได้แก่ ข้าว ลําไย ข้าวโพด มันสําปะหลัง และกาแฟ

25. ข้อใดไม่ใช่วิธีการศึกษานโยบายสาธารณะ
(1) ศึกษาในแง่ขอบเขตของนโยบาย
(2) ศึกษาในแง่กระบวนการของนโยบาย
(3) ศึกษาในแง่ผลผลิตของนโยบาย
(4) ศึกษาในแง่ตัวแบบหรือทฤษฎี
(5) เป็นวิธีการศึกษานโยบายทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 8 แนวทางหรือวิธีการศึกษานโยบายสาธารณะ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1. การศึกษาในแง่ตัวแบบหรือทฤษฎี (Theory or Model of Study)
2. การศึกษาในแง่ขอบเขตของนโยบาย (Policy Area Study)
3. การศึกษาในแง่กระบวนการของนโยบาย (Policy Process Study)

ตั้งแต่ข้อ 26 – 30. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) การวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์
(2) การวิจัยสะสมทางสังคม
(3) เดลฟีเชิงนโยบาย
(4) การวิเคราะห์อนุกรมเวลาแบบขาดตอน
(5) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผล

26. วิธีการใดที่เน้นการรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลการดําเนินนโยบายที่ผ่านมา
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การวิจัยสะสมทางสังคม เป็นวิธีการที่เน้นการรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ
ผลการดําเนินนโยบายที่ผ่านมาแล้วนํามาเปรียบเทียบและประเมินเก็บสะสมไว้ประกอบ การประเมินผลนโยบายในครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมมานั้นมักเป็นข้อมูลที่มีบุคคลอื่น ได้จัดทําไว้แล้วในรูปของกรณีตัวอย่างและรายงานวิจัย

27. วิธีการใดที่พิจารณาสาเหตุของปัญหาว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอะไรบ้างและปัจจัยเหล่านั้นก่อให้เกิดผลอย่างไร
ตอบ 5 หน้า 113, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผล (Cause-Effect Model) เป็นวิธีการที่พิจารณาสาเหตุของปัญหาว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง และปัจจัยเหล่านั้นก่อให้เกิดผลอย่างไร นั่นคือ เป็นการวิเคราะห์ที่เน้นศึกษาสาเหตุหรือปัจจัยสําคัญที่เป็นตัวกําหนด นโยบายและทําให้นโยบายเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งศึกษาว่าเมื่อมีนโยบายนั้น ๆ แล้วก่อให้เกิด ผลกระทบอะไรบ้าง เพื่อนําไปสู่การวัดประสิทธิผลของนโยบาย ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้นักวิเคราะห์ นโยบายคิดอย่าสมเหตุสมผล อธิบายถึงสาเหตุของปัญหา และตั้งสมมุติฐานอย่างเป็นระบบ

28. วิธีการใดที่พิจารณาความรู้สึกและทัศนะที่เป็นอัตวิสัยของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 257 การวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์ เป็นวิธีการที่ออกแบบมาเพื่อพิจารณา ความรู้สึกและทัศนะที่เป็นอัตวิสัยของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย ซึ่งจุดเด่นของ วิธีการนี้อยู่ที่การพยายามดึงคุณค่าและความเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่แอบแฝงอยู่ไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนออกมาให้เห็นชัดเจน

29. ในกรณีที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวและต้องการทราบการเปลี่ยนแปลงภายหลังมีนโยบาย
ควรใช้วิธีการใด
ตอบ 4 หน้า 264 – 265 การวิเคราะห์อนุกรมเวลาแบบขาดตอน (Interrupted Time Series Analysis) เป็นวิธีการที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในรูปของตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการ ดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว จุดเด่นของวิธีการนี้ คือ ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบาย สามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถแยกแยะผลของนโยบาย ที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น

30. วิธีการใดที่เน้นเอาข้อคิดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุป
ตอบ 3 หน้า 259 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) เป็นวิธีการที่นําเอาข้อคิดและความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราวของนโยบายที่กําลังประเมิน มาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย

ตั้งแต่ข้อ 31. – 35. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ทฤษฎีกลุ่ม
(2) ทฤษฎีผู้นํา
(3) ทฤษฎีสถาบันนิยม
(4) ทฤษฎีการตัดสินใจ
(5) ทฤษฎีระบบ

31. นโยบายสาธารณะได้มาจากการเจรจาต่อรอง เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 1 หน้า 107, (คําบรรยาย) ทฤษฎีกลุ่ม (Group Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะเป็น ผลผลิตของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มผลประโยชน์กับนโยบายสาธารณะ โดยชี้ให้เห็นว่านโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตที่ได้มาจาก การเจรจาต่อรอง การประนีประนอม และการถ่วงดุลผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ

32. สถาบันของรัฐเป็นผู้กําหนดนโยบายสาธารณะเนื่องจากมีความชอบธรรม เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 3 หน้า 108, (คําบรรยาย) ทฤษฎีสถาบันนิยม (Institutional Theory) อธิบายว่า นโยบาย สาธารณะเป็นผลผลิตของสถาบัน โดยสถาบันหรือหน่วยงานของรัฐจะเป็นผู้กําหนดนโยบาย สาธารณะเนื่องจากมีความชอบธรรม มีความเป็นสากล และมีการผูกขาดอํานาจบังคับ นั่นคือ เป็นการพยายามเชื่อมโยงโครงสร้างหน้าที่ของสถาบันรัฐบาลกับการกําหนดนโยบายสาธารณะ เข้าด้วยกัน โดยชี้ให้เห็นว่าสถาบันรัฐบาลเป็นผู้กําหนดนโยบายสาธารณะเพราะเป็นอํานาจหน้าที่ อันชอบธรรม ซึ่งทฤษฎีนี้จะสะท้อนให้เห็นว่านโยบายสาธารณะก็คือนโยบายของรัฐบาลนั่นเอง

33. ตัวแบบเหตุผลนิยมอยู่ในทฤษฎีใด
ตอบ 4 หน้า 108 ตัวแบบเหตุผลนิยม (Rational Comprehensive Model) เป็นตัวแบบที่อยู่ใน ทฤษฎีการตัดสินใจ (Decision Making Theory) อธิบายว่า นโยบายเกิดจากการตัดสินใจ ภายใต้หลักการของเหตุและผล โดยอาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง ประกอบกับการคํานึงถึงคุณค่า ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อให้ได้มาซึ่งนโยบายที่ดีที่สุดและนําไปสู่การ บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ หรือเป็นนโยบายที่รัฐบาลจัดทําขึ้นเพื่อให้สังคมได้รับ ประโยชน์สูงสุด ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องเกิดความพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลตอบแทน ที่ได้รับมากกว่าค่าใช้จ่ายที่เสียไป

34. สังคมถูกแบ่งเป็นคนกลุ่มน้อยที่มีอํานาจกับกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีอํานาจ คนกลุ่มน้อยเป็นผู้กําหนดนโยบาย
ตามความต้องการหรือค่านิยมของตน เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 2 หน้า 106 – 107, (คําบรรยาย) ทฤษฎีผู้นํา (Elite Theory) อธิบายว่า
1. สังคมถูกแบ่งเป็นคนกลุ่มน้อยที่มีอํานาจกับคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีอํานาจ โดยผู้นําซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมแต่มีอํานาจเป็นผู้ตัดสินหรือจัดสรรคุณค่าของสังคมและกําหนดนโยบายสาธารณะให้เป็นไปตามความต้องการหรือค่านิยมของตน ขณะที่ประชาชนหรือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนตัดสินใจในนโยบายสาธารณะด้วย
2. ผู้นําจะแสดงความสมานฉันท์กับค่านิยมพื้นฐานของระบบสังคมและพยายามสงวนรักษาระบบไว้
3. นโยบายสาธารณะไม่ได้สะท้อนถึงความต้องการของมวลชน แต่เป็นการสะท้อนให้เห็น
ค่านิยมของผู้นํามากกว่า
4. ผู้นํามีอิทธิพลต่อมวลชนมากกว่ามวลชนมีอิทธิพลต่อผู้นํา ฯลฯ

35. สิ่งแวดล้อม เป็นตัวแปรที่สําคัญของทฤษฎีอะไร
ตอบ 5 หน้า 108, (คําบรรยาย) ทฤษฎีระบบ (System Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตของระบบ โดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สําคัญ 5 ตัวแปร คือ
1. ปัจจัยนําเข้า (Inputs)
2. กระบวนการ (Process)
3. ปัจจัยนําออกหรือผลผลิต (Outputs)
4. ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback)
5. สิ่งแวดล้อม (Environment)

36. เพรสแมนและวิลดัฟสก็ให้ความหมายของการนํานโยบายไปปฏิบัติอย่างไร
(1) กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงนโยบาย
(2) การจัดหาวิธีในการดําเนินการให้สอดคล้องกับเป้าหมาย
(3) ฝ่ายบริหารเป็นผู้ออกนโยบาย ข้าราชการเป็นฝ่ายปฏิบัติ
(4) การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์
(5) ภารกิจหลักของภาครัฐในการดําเนินงานต่าง ๆ
ตอบ 4 หน้า 142 – 143 เพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า การนํานโยบาย ไปปฏิบัติ คือ การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์ และการนํานโยบาย ไปปฏิบัติให้เกิดผลสําเร็จนั้นต้องกําหนดรูปแบบของนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนํานโยบายไปปฏิบัติ

37.พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แมซมาเนียน ให้ความหมายของการนํานโยบายไปปฏิบัติอย่างไร
(1) กระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย
(2) กฤษฎีกาที่ออกมาจากพรรคการเมืองเสนอเข้าสภา
(3) แนวการทํางานของรัฐที่เน้นการบริการสาธารณะ
(4) รัฐจะกระทําสิ่งต่าง ๆ บริการประชาชน
(5) การตัดสินพิพากษาอรรถคดีคําสั่งของฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ
ตอบ 1 หน้า 142 พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แมชมาเนียน (Paul A. Sabatier and Daniel A. Mazmanian) กล่าวว่า การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการตัดสินใจ เชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย การตัดสินพิพากษาอรรถคดีคําสั่งของฝ่ายบริหาร หรือ กฤษฎีกาที่ออกมาจากสถาบันต่าง ๆ

38. นักวิชาการท่านใดมองการนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นกระบวนการขององค์การที่ต่อเนื่องเป็นพลวัต ปรับแต่ง โดยปฏิสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายและกลยุทธ์ของนโยบายกับสภาพขององค์การที่รับผิดชอบ
(1) โทมัส สมิท
(2) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
(3) แวน มิเตอร์และแวน ฮอร์น
(4) มอลคอม กอกจิน
(5) อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์
ตอบ 2 หน้า 143 มิลบรีย์ แมคลัฟลิน (Milbrey McLaughlin) มองว่า การนํานโยบายไปปฏิบัติ เป็นกระบวนการขององค์การที่ต่อเนื่องเป็นพลวัต ซึ่งได้รับการปรับแต่งและหล่อหลอมโดยปฏิสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายและกลยุทธ์ของนโยบายกับสภาพขององค์การที่รับผิดชอบในการดําเนินการให้สําเร็จลุล่วง

39.ผลงาน Implementation (1973) เกิดขึ้นมาจากองค์ความรู้เชิงทฤษฎีและการวิจัยเชิงประจักษ์
2 สาขาวิชา คือ
(1) วิชารัฐศาสตร์และวิชารัฐประศาสนศาสตร์
(2) วิชารัฐศาสตร์และวิชาการบริหารรัฐกิจ
(3) วิชารัฐศาสตร์และวิชาการปกครอง
(4) วิชารัฐประศาสนศาสตร์และการวิเคราะห์ระบบ
(5) วิชารัฐประศาสนศาสตร์และวิชาการบริหารรัฐกิจ
ตอบ 4 หน้า 61 ผลงาน Implementation (1973) ของเพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) เกิดขึ้นมาจากองค์ความรู้เชิงทฤษฎีและการวิจัยเชิงประจักษ์ 2 สาขาวิชา คือ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) และการวิเคราะห์ระบบ (Systems Approach)

40. สรุปการนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
(1) กระบวนการขององค์การที่ต่อเนื่องเป็นพลวัต
(2) การดําเนินงานให้สําเร็จลุล่วงตามเป้าหมายของกลุ่มผู้ปฏิบัติ
(3) การดําเนินงานให้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
(4) กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 143 กล่าวโดยสรุป การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) หมายถึง กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนดไว้

41. วิทยานิพนธ์ “California Educational Policy Implementation : The Case of Stull Act” เป็นการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ มุ่งเน้นเรื่อง
(1) การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา
(2) คุณภาพชีวิตของครูและนักศึกษาในโรงเรียน
(3) กฎหมาย
(4) สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา
(5) ประกันคุณภาพการศึกษา
ตอบ 3 หน้า 145 – 146 อีมิลี ไซมี โลว์ ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ได้เสนอ วิทยานิพนธ์เรื่อง “California Educational Policy Implementation : The Case of Stull Act” เมื่อปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเป็นการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเน้นเรื่องกฎหมาย “Stull Act” ซึ่งเป็นกฎหมายที่กําหนดมาตรการในการปฏิรูปโรงเรียน รัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นที่การประเมินครูเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อ ความสําเร็จทางการศึกษาของโรงเรียน

42. ข้อใดถูกสําหรับแนวคิดของแรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน เกี่ยวกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) กระทรวงเป็นหน่วยงานหลัก กรมเป็นหน่วยงานในสังกัด
(2) มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญ ๆ มากมาย
(3) หน่วยงานมีหลายระดับทั้งรัฐและเอกชน
(4) ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน
(5) นโยบายและโครงการมักเป็นของรัฐและเอกชนรับผิดชอบ
ตอบ 2 หน้า 144 แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน (Randell Ripley and Grace Franklin) ได้พิจารณาลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติว่ามีลักษณะสําคัญ 5 ประการ คือ
1. มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญ ๆ มากมาย
2. ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายและมักแตกต่างกัน
3. นโยบายและโครงการของรัฐบาลมักขยายใหญ่โตขึ้นทุกวัน
4. หน่วยงานในหลายระดับ จากหลายกระทรวง ทบวง กรม มีส่วนร่วมในการดําเนินกิจการ
5. มีปัจจัยหลายประการที่สําคัญมากและอยู่นอกเหนือการควบคุม

43. การศึกษาของเจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์ ได้ค้นพบปัจจัยตัวที่ 7 คือข้อใด
(1) เป้าหมายของนโยบาย
(2) แรงจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย
(3) การจัดสรรทรัพยากร
(4) การแสวงหาผลประโยชน์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 147 – 148 การศึกษาของเจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์ ในเรื่องการปฏิบัตินโยบายของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้จังหวัดนราธิวาสเป็นกรณีศึกษานั้น ได้ค้นพบปัจจัยตัวที่ 7 คือ การแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งมีส่วนสําคัญในการกําหนดความล้มเหลวหรือความสําเร็จของ การปฏิบัตินโยบาย

44. นักวิชาการท่านใดกล่าวว่า นโยบาย ตัวเชื่อม และสมรรถนะจะมีผลต่อพฤติกรรมในการนํานโยบาย ไปปฏิบัติ เชื่อมโยงระหว่างนโยบายและผลปฏิบัติการ
(1) แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น
(2) มอลคอม กอกจิน
(3) ยูยีน บาร์แดช
(4) ดาเนียล เอ. แมชมาเนียน
(5) แมคลัฟลิน
ตอบ 1 หน้า 152 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter & Van Horn) ได้กําหนดถึงผลต่อ พฤติกรรมในการนํานโยบายไปปฏิบัติว่าต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งจะเชื่อมโยงระหว่าง นโยบายและผลปฏิบัติการ ได้แก่ 1. นโยบาย (Policy)
2. ตัวเชื่อม (Linkage)
3. สมรรถนะในการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Performance)

45.มอลคอม กอกจิน ได้ศึกษาเพิ่มเติมตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูกต้อง
(1) องค์การ กระบวนการ และการดําเนินงาน
(2) นโยบาย องค์การ และผู้ปฏิบัติงาน
(3) นโยบาย ขั้นตอน และการประเมิน
(4) นโยบาย ผู้ปฏิบัติ และการควบคุม
(5) นโยบาย เป้าหมาย และผู้ปฏิบัติงาน
ตอบ 2 หน้า 156 มอลคอม กอกจิน (Malcom Goggin) ได้เสนอผลจากการศึกษาเพิ่มเติม โดยพบว่า ตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่ นโยบาย องค์การ และ ผู้ปฏิบัติงาน โดยมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อมมาเกี่ยวข้องด้วย

46.มอลคอม กอกจิน เสนอรูปแบบของนโยบาย ประกอบด้วย
(1) รูปแบบการเมือง รูปแบบการปกครอง รูปแบบความร่วมมือ
(2) รูปแบบราชการ รูปแบบการบริหาร รูปแบบบูรณาการ
(3) รูปแบบการเมือง รูปแบบประสานงาน รูปแบบราชการ
(4) รูปแบบการเมือง รูปแบบการบริหาร รูปแบบผสม (การบริหารการเมือง)
(5) รูปแบบการเมือง รูปแบบการปกครอง รูปแบบราชการ
ตอบ 4 หน้า 156, 159 มอลคอม กอกจิน (Malcom Goggin) ได้เสนอรูปแบบของนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย 3 รูปแบบ คือ
1. รูปแบบการเมือง (Political)
2. รูปแบบการบริหาร (Administration)
3. รูปแบบผสมหรือการบริหารการเมือง (Political Administrative)

47. ยูยืน บาร์แดช พบว่าปัญหาในการนํานโยบายไปปฏิบัติล้มเหลวเพราะเหตุใด
(1) สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ปฏิบัติแตกต่างกัน
(2) ความไม่ต่อเนื่องของการดําเนินงาน
(3) ความไม่เห็นพ้องระหว่างผู้ปฏิบัติฝ่ายต่าง ๆ
(4) ปัญหาการเมืองท้องถิ่นแทรกแซงการเมืองระดับชาติ
(5) ปัญหาการประสานงานระหว่างหน่วยงาน
ตอบ 3 หน้า 157 ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) ได้ทําการศึกษาการปฏิรูปนโยบายด้าน สุขภาพจิตในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งพบปัญหาในการนํานโยบายไปปฏิบัติ ล้มเหลวเพราะเกิดจากความไม่เห็นพ้องระหว่างผู้ปฏิบัติฝ่ายต่าง ๆ หรือมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ปฏิบัติในลักษณะที่ซับซ้อนจนเกินไป รวมทั้งมีการแทรกแซงการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นเกมส์ที่ทางผู้บริหารหรือผู้มีอํานาจกําหนดขึ้นเพื่อก่อให้เกิดการต่อรองจาก ฝ่ายต่าง ๆ

48. ทฤษฎีของเพรสแมนและวิลด์ฟสกีกล่าวถึง X คือ ณ เวลาที่ 11 ส่วน Y คือ 2 ความหมายของ t2 คือ
(1) ห่างจากกันไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง
(2) การนําไปปฏิบัติต่อเนื่อง
(3) การดําเนินงานตามวัตถุประสงค์
(4) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลาถัดไป
(5) ผลผลิตที่เกิดขึ้น
ตอบ 4 หน้า 164 เพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า นโยบายโดยทั่วไป จะต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เงื่อนไขแรกเริ่มและผลที่มุ่งหวัง ดังนั้นถ้ามีเงื่อนไข X เกิดขึ้น ณ เวลาที่ 11 จะเกิดผลลัพธ์ Y ขึ้น ณ เวลาถัดไปคือ t2

49. แนวคิดเชิงระบบของเดวิด อีสตัน ประกอบด้วยข้อใดบ้าง
(1) สภาพแวดล้อม อุปสงค์ กระบวนการ นโยบาย การปฏิบัติ ข้อมูลย้อนกลับ
(2) สภาพแวดล้อมภายใน สภาพแวดล้อมภายนอก นโยบาย การปฏิบัติ ผลกระทบ
(3) ทรัพยากร อุปสงค์ กระบวนการ นโยบาย การปฏิบัติ ข้อมูลย้อนกลับ
(4) ทรัพยากร กระบวนการ นโยบาย การปฏิบัติ ข้อมูลย้อนกลับ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 172, (คําบรรยาย) เดวิด อีสตัน (David Easton) ได้เสนอแนวคิดเชิงระบบ โดยมี ตัวแปรสําคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้อง 6 ตัวแปร คือ 1. สภาพแวดล้อม 2. อุปสงค์และทรัพยากร 3. กระบวนการทางการเมือง 4. นโยบาย 5. การปฏิบัติ 6. ข้อมูลย้อนกลับ

50. ข้อใดไม่ใช่ตามทฤษฎีของมองจอย (Montjoy) และโอทูเล (O’Toole)
(1) ลักษณะของกิจกรรม/นโยบาย
(2) การจัดสรรทรัพยากร
(3) ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของคําสั่งหรือนโยบาย
(4) ความต้องการทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย
(5) มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบายหลากหลาย
ตอบ 5 หน้า 165 – 166 มองจอย (Montjoy) และโอทูเล (O’Toole) ได้เสนอปัจจัยที่นํามาสร้าง เป็นกรอบทฤษฎีในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
1.ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของคําสั่งหรือนโยบาย
2. ความต้องการทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย

51. เออร์วิน ฮาร์โกรฟ เขียนบทความเรื่องอะไรที่เสนอข้อสมมติเพื่อการทดสอบการนํานโยบายจากรัฐบาลกลางแห่งสหรัฐอเมริกาไปปฏิบัติในระดับหน่วยงานปฏิบัติ
(1) The Search for Implementation Theory (1983)
(2) Implementation (1973)
(3) The Policy Implementation Process (1973)
(4) The Policy Implementation Process : A Conceptual Framework (1975)
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 168 เออร์วิน ฮาร์โกรฟ (Erwin Hargrove) ได้เสนอข้อสมมติเพื่อการทดสอบการนํา นโยบายที่กําหนดโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาไปปฏิบัติในระดับหน่วยงานปฏิบัติไว้ใน บทความเรื่อง “The Search for Implementation Theory” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1983 โดยเขาได้ให้ความหมายของการนํานโยบายไปปฏิบัติว่าประกอบด้วย 2 นัย คือ
1. การดําเนินการตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
2. การดําเนินการซึ่งหมายรวมถึงการยินยอมปฏิบัติตามกฎหมายและการปฏิบัติงานประจําขององค์การอย่างคงเส้นคงวา

52. โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Srnith) เสนอตัวแบบการนํานโยบายไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม โดยเรียกตัวแบบนี้ว่า
(1) The Policy Implementation
(2) Distributive Policy
(3) Implementation Organization
(4) Policy Implementation
(5) A Model of the Policy Implementation Process
ตอบ 5 หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) ได้เขียนบทความเรื่อง “The Policy
Implementation Process” เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อเสนอตัวแบบของกระบวนการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม และได้ประยุกต์แนวความคิดเชิงระบบสําหรับใช้ในการศึกษา การนํานโยบายไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม โดยเรียกตัวแบบนี้ว่า “A Model of the Policy Implementation Process”

53. เบอร์แมน เสนอกรอบการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ 2 ระดับ คือ
(1) ระดับบน และระดับล่าง
(2) ระดับผู้บังคับบัญชา และระดับผู้ปฏิบัติงาน
(3) ระดับกลาง และระดับภูมิภาค
(4) ระดับมหภาค และระดับจุลภาค
(5) ระดับหน่วยงาน และระดับผู้ปฏิบัติงาน
ตอบ 4 หน้า 175 พอล เบอร์แมน (Paul Berman) ได้เสนอกรอบการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ 2 ระดับ คือ
1. การนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับมหภาค (Macro-Implementation)
2. การนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับจุลภาค (Micro-Implementation)

54. ตัวแบบของแวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ตัวแบบ “A Model of the Policy Implementation Process”
(2) ประกอบด้วย 6 ตัวแปรอิสระ
(3) มาตรฐานและวัตถุประสงค์ของนโยบายเป็นตัวแปรอิสระ
(4) การสื่อสารระหว่างองค์การและกิจกรรมการนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นตัวแปรอิสระ
(5) ผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นตัวแปรตาม
ตอบ 2 หน้า 171 – 173 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter and Van Horn) ได้เสนอตัวแบบ ในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยตั้งชื่อตัวแบบว่า “A Model of the Policy Implementation Process” ซึ่งประกอบด้วยตัวแปร 6 ตัวแปร ได้แก่
1. มาตรฐานและวัตถุประสงค์ของนโยบาย
2. ทรัพยากร
3. การสื่อสารระหว่างองค์การและกิจกรรมการนํานโยบายไปปฏิบัติ
4. ลักษณะองค์กรในการนํานโยบายไปปฏิบัติ
5. เงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
6. ผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยตัวแปรที่ 1 – 5 นั้นเป็นตัวแปรอิสระ และตัวแปรที่ 6 เป็นตัวแปรตาม

55. ข้อใดถูกต้องตามแนวคิดของกอาจีนและคณะ
(1) ฐานคติ “การนํานโยบายไปปฏิบัติขึ้นอยู่กับตัวแปรทั้งระดับ “Top-Down” และ “Bottom-Up
(2) ตัวแบบที่นําเสนอได้รับอิทธิพลแนวความคิดการวิเคราะห์ระบบการเมืองของเดวิด อีสตัน
(3) พบ 4 ตัวแปรอิสระ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 173 – 174 กอกจินและคณะ ได้เสนอตัวแบบการนํานโยบายไปปฏิบัติภายใต้ฐานคติ ที่ว่าการนํานโยบายไปปฏิบัติขึ้นอยู่กับตัวแปรทั้งระดับ “Top-Down” และ “Bottom-up โดยตัวแบบของกอกจีนและคณะได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดการวิเคราะห์ระบบการเมืองของเดวิด อีสตัน ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรอิสระ 4 ตัวแปร ดังนี้
1. การชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลกลาง
2. การชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลส่วนท้องถิ่น
3. ความสามารถของรัฐ
4. การตัดสินใจของรัฐ

56. ข้อใดไม่ใช่ประสิทธิผลขององค์การ ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล 11 ตัวแปรตามแนวคิดของยอร์ค (Yorke)
(1) ความสําเร็จในเป้าหมายที่เป็นทางการ
(2) ทรัพยากร
(3) คุณภาพและการพัฒนาบุคลากร
(4) ทุนการศึกษา
(5) คุณภาพและการพัฒนานักศึกษา
ตอบ 4 หน้า 178 ยอร์ค (Yorke) ได้เสนอตัวแปรที่แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุผล 11 ตัวแปร ดังนี้
1. ความสําเร็จในเป้าหมายที่เป็นทางการ
2. ทรัพยากร
3. คุณภาพและการพัฒนาบุคลากร
4. หลักสูตร
5. คุณภาพและการพัฒนานักศึกษา
6. บรรยากาศในสถาบัน
7. การวิจัยและ การให้คําปรึกษา
8. การบริหารสถาบัน โครงสร้างและกระบวนการ
9. ความสัมพันธ์กับ ภายนอก
10. ความสามารถในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
11. ชื่อเสียงของสถาบัน

57. โรเบิร์ต นาคามูระ และแฟรงค์ (สมอลวูด เสนอเกณฑ์การประเมินความสําเร็จหรือล้มเหลวของนโยบาย ข้อใดถูกต้อง
(1) ประสิทธิภาพ คุณภาพงานสัมพันธ์กับต้นทุน
(2) หน่วยงานภาครัฐต้องปฏิบัติหลายภารกิจ
(3) ความพึงพอใจของบุคคลภายใน
(4) การสนองตอบต่อบุคลากร
(5) ขั้นตอนมีมากมาย
ตอบ 1 หน้า 180 โรเบิร์ต นาคามูระ และแฟรงค์ สมอลวูด ได้เสนอเกณฑ์การประเมินความสําเร็จ หรือล้มเหลวของนโยบายไว้ 5 เกณฑ์ ดังนี้
1. การบรรลุเป้าหมายของนโยบาย เห็นผลเป็นรูปธรรม
2. ประสิทธิภาพ คุณภาพงานที่สัมพันธ์กับต้นทุน
3. ความพึงพอใจของบุคคลภายนอก
4. การสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้า
5. การดํารงอยู่ของระบบ

58. ข้อใดไม่ใช่ตัวแบบการนํานโยบายไปปฏิบัติของวรเดช จันทรศร
(1) ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
(2) ตัวแบบด้านองค์การและการจัดการ
(3) ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
(4) ตัวแบบกระบวนการทางการเมือง
(5) ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ
ตอบ 2 หน้า 182 – 183 วรเดช จันทรศร ได้เสนอบทความเรื่อง “การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า” เมื่อปี ค.ศ. 1984 ซึ่งในบทความนี้ได้นําเสนอตัวแบบการศึกษา
การนํานโยบายไปปฏิบัติ 6 ตัวแบบ คือ
1. ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
2. ตัวแบบทางด้านการจัดการ
3. ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
4. ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ
5. ตัวแบบกระบวนการทางการเมือง
6. ตัวแบบทั่วไป

59.วรเดช จันทรศร กล่าวถึงสาระสําคัญของตัวแบบทั่วไปว่าประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ
(1) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านขั้นตอนการดําเนินงาน และปัจจัยต่อผู้ปฏิบัติงาน
(2) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ
(3) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านการลงทุน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
(4) ปัจจัยด้านการลงทุน ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติงาน
(5) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยการสื่อสาร และปัจจัยองค์การ
ตอบ 2 หน้า 183 – 184 วรเดช จันทรศร ได้กล่าวถึงสาระสําคัญของตัวแบบทั่วไปว่าประกอบด้วย ปัจจัยหลัก 3 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยด้านการสื่อสาร
2. ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ
3. ปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ

60. จากนโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร จากตํารา POL 3301 นั้น ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) มาตรการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ
(2) มาตรการแก้ไขปัญหาทุเรียน
(3) มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
(4) มาตรการแทรกแซงตลาดมันสําปะหลัง
(5) มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปีและนาปรัง
ตอบ 2 หน้า 195 นโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร มีดังนี้
1. มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปีและนาปรัง
2. มาตรการแก้ไขปัญหาลําไย
3. มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
5. มาตรการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ
4. มาตรการแทรกแซงตลาดมันสําปะหลัง

61. ข้อใดไม่ใช่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร
(1) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(2) กระทรวงพาณิชย์
(3) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(4) กรมการค้าภายใน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 218 หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับ ราคาสินค้าเกษตร มีดังนี้
1. กรมการค้าภายใน
2. องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
3. องค์การคลังสินค้า
4. กระทรวงพาณิชย์
5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
6. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

62. บทวิเคราะห์นโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร ข้อใดถูกต้อง
(1) รัฐควรเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมช่วยเหลือเกษตรกร
(2) รัฐควรมุ่งให้เกษตรกรมีส่วนรวมในการบริหารจัดการผลผลิตของตัวเองมากขึ้น
(3) รัฐไม่มีความต่อเนื่องในการช่วยเหลือเกษตรกร
(4) นอกจากสินค้าจากเกษตรกร ควรช่วยผลิตภัณฑ์ชุมชน
(5) รัฐและเอกชนร่วมมือช่วยเหลือเกษตรกร
ตอบ 2 หน้า 222 – 223 ในบทวิเคราะห์นโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตรได้มีการเสนอมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกร ดังนี้
1. รัฐควรมุ่งให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการผลผลิตของตัวเองมากขึ้น
2. มีมาตรการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรโดยตรง ในกรณีที่ราคาผลผลิตตกต่ํากว่า
ราคาเป้าหมายที่รัฐกําหนด
3. ให้เกษตรกรบริหารจัดการความเสี่ยงจากราคาผลผลิตด้วยตัวเอง โดยการซื้อประกัน
ราคาพืชผลจากหน่วยงานที่รัฐเป็นผู้จัดหาให้

63. โครงการ U2T เป็นนโยบายของกระทรวงใด
(1) กระทรวงศึกษาธิการ
(2) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(3) กระทรวงแรงงาน
(4) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(5) กระทรวงพลังงาน
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) โครงการ U2T หรือโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตําบล เป็นโครงการจ้างงาน บัณฑิตจบใหม่และประชาชนให้เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ระดับตําบลทั่วประเทศ เพื่อให้เกิด การสร้างงานและพัฒนาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของตําบล โดยโครงการนี้เป็นนโยบายของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

64.“คนละครึ่งเฟส 5” ประชาชนที่ลงทะเบียนได้รับเงินคนละเท่าไร
(1) 600 บาท
(2) 800 บาท
(3) 1,000 บาท
(4) 1,500 บาท
(5) 2,000 บาท
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) โครงการ “คนละครึ่งเฟส 5” เป็นโครงการเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ภายในประเทศ และบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดยประชาชนที่ลงทะเบียนจะ ได้รับเงินคนละ 800 บาท โดยสามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน – 31 ตุลาคม 2565

65. ข้อใดไม่ใช่นโยบายมุ่งเน้นของกระทรวงสาธารณสุขประจําปีงบประมาณ 2565
(1) สมุนไพร กัญชา กัญชง
(2) สุขภาพดีวิถีใหม่
(3) เศรษฐกิจสุขภาพ
(4) โรงเรียนผู้สูงอายุ
(5) ธรรมาภิบาล
ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) นโยบายมุ่งเน้นของกระทรวงสาธารณสุขประจําปีงบประมาณ 2565 มีดังนี้
1. ระบบสุขภาพปฐมภูมิเข้มแข็ง
2. เศรษฐกิจสุขภาพ
3. สมุนไพร กัญชา กัญชง
4. สุขภาพดีวิถีใหม่
5. COVID-19
6. ระบบบริการก้าวหน้า
7. ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
8. ธรรมาภิบาล
9. องค์กรแห่งความสุข

ตั้งแต่ข้อ 66 – 70. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามข้อมูลยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
Thailand 4.0 และเอกสารอื่น ๆ
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) นโยบายของกระทรวงพาณิชย์
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) แนวนโยบายแห่งรัฐ

66. มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ Value-Based Economy
ตอบ 2 (คําบรรยาย) Thailand 4.0 มีสาระสําคัญดังนี้
1. เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”
2. เป็น “Reform in Action” ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการ วิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อม ๆ กัน
3. เป็นแนวคิดที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ทุนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ ทุนมนุษย์
4. เป็นการพัฒนา “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth) ซึ่งประเทศไทยมี 2 ด้าน คือ ความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลาย เชิงวัฒนธรรม ให้เป็นความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน โดยการเติมเต็มด้วยวิทยาการทั้ง 5 ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยและพัฒนา ฯลฯ

67.Reform in Action ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

68. มุ่งเน้นวิทยาการทั้ง 5 เพื่อความได้เปรียบ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และการวิจัยและพัฒนา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

69. ประเทศไทยมี New Engines of Growth ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

70. มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ทุนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทุนมนุษย์
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 71, – 80. จงเลือกคําตอบที่ถูกต้องตามเนื้อหาของหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

71. รัฐจึงส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 70
(3) มาตรา 72
(4) มาตรา 74
(5) มาตรา 78
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 78 บัญญัติให้ รัฐจึงส่งเสริมให้ประชาชนและ ชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ การจัดทําบริการสาธารณะ ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ การต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ รวมตลอดทั้งการตัดสินใจทางการเมือง และการอื่นใดบรรดาที่อาจมีผลกระทบต่อ ประชาชนหรือชุมชน

72. รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จําเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจําเป็นหรือไม่สอดคล้อง กับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดํารงชีวิตหรือการประกอบอาชีพ โดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็น ภาระแก่ประชาชน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 73
(3) มาตรา 74
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 77 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จําเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจําเป็น หรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดํารงชีวิตหรือการประกอบอาชีพ โดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน
2. ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ
3. รัฐจึงใช้ระบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จําเป็น

73. รัฐจึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และงาน ของรัฐอย่างอื่นให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 73
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 4 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 76 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และงานของรัฐอย่างอื่นให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
2. รัฐจึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชน ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รัฐจึงดําเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม
4. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนด ประมวลจริยธรรมสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ

74. รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกัน อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 75 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. ในการพัฒนาประเทศ รัฐจึงคํานึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนา ด้านจิตใจ และความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน
3. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ฯลฯ

75. รัฐจึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทํางานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพและวัยและให้มีงานทําและพึ่งคุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดีในการทํางาน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 66
(3) มาตรา 74
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 74 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทํางานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพและวัย และให้มีงานทํา และจึงคุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดี ในการทํางาน ได้รับรายได้ สวัสดิการ การประกันสังคม และสิทธิประโยชน์อื่นที่เหมาะสม แก่การดํารงชีพ
2. รัฐพึงจัดให้มีระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดําเนินการ

76. รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิต ที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ํา ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 71
(3) มาตรา 73
(4) มาตรา 75
(5) มาตรา 77
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 73 บัญญัติให้ รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือ กลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและ คุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือ เกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทํากินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด

77. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสให้สามารถ ดํารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 66
(2) มาตรา 67
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 71
(5) มาตรา 76
ตอบ 4(คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 71 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม
2. รัฐจึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถสูงขึ้น
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
4. ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐจึงคํานึงถึงความจําเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของ เพศ วัย และสภาพของบุคคล

78. รัฐจึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดํารงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 65
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 70
(5) มาตรา 71
ตอบ 4 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 70 บัญญัติให้ รัฐจึงส่งเสริมและให้ความ คุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดํารงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี ะวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ทั้งนี้เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐหรือสุขภาพอนามัย

79. รัฐพึงจัดให้มีและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 69
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 78
ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 69 บัญญัติให้ รัฐพึงจัดให้มีและส่งเสริมการวิจัย และพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม เพื่อความเข้มแข็งของสังคม และเสริมสร้างความสามารถของคนในชาติ

80. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ
ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 68 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร
2. รัฐจึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงําใด ๆ
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จําเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้

ตั้งแต่ข้อ 81 – 90. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามในเนื้อหาของเทคนิค
ในการประเมินผลนโยบาย
(1) Format Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis

81. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถ แยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

82. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขต
การดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

83.เป็นเทคนิคที่มีหลักการ 5 ประการ คือ Selective Anonymity, Informed Multiple Advocacy, Polarized Statistical Response, Structured Conflict, Computer Conferencing
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) มีหลักการสําคัญ 5 ประการ คือ
1. ความเป็นนิรนามเฉพาะระยะแรก (Selective Anonymity)
2. ผู้เชี่ยวชาญต่างสํานัก (Informed Multiple Advocacy)
3. การวิเคราะห์ทางสถิติแบบแยกกลุ่ม (Polarized Statistical Response)
4. การจัดโครงสร้างความขัดแย้ง (Structured Conflict)
5. การประชุมโดยคอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing)

84. เป็นเทคนิคที่ประกอบไปด้วย การประเมินความสามารถที่จะประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์
แบบพหุลักษณ์
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 การประเมินผลแบบพิจารณาความเหมาะสม (Decision Theoretical Evaluation) เป็นเทคนิคการประเมินผลที่มุ่งสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบายโดยใช้คุณค่าหรือผลประโยชน์ที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับเป็นเกณฑ์ประเมิน ซึ่งรูปแบบของการประเมินผลแบบนี้มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ การประเมินความสามารถที่จะ ประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์

85. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลอง ที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ตอบ 5 หน้า 265 การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบไม่ต่อเนื่อง (Regression-Discontinuity Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา เทคนิคนี้เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้ เรียบร้อยแล้ว

86. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย เป็นประโยชน์ต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ
ตอบ 3 หน้า 264 ประโยชน์ของวิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) คือ สามารถให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย การประเมินจึงครอบคลุมกว้างขวางรวมทุกประเด็นไว้หมด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ

87. เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 85. ประกอบ

88. เป็นเทคนิคที่นําเอาข้อคิดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราว ของนโยบายที่กําลังประเมินมาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

89. เป็นเทคนิคที่เน้นประเมินผลนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ โดยเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
ตอบ 1 หน้า 251 – 252 การประเมินผลแบบเป็นทางการ (Formal Evaluation) เป็นเทคนิค ที่ใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบาย โดยประเมินผลของนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้ อย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว

90. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบายไปปฏิบัติในรูปของ ตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 91 – 95. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามเนื้อหาของการประเมินผลนโยบาย

(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ

91. ใครกล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่าของผลการดําเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
ตอบ 5 หน้า 230 ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่า ของผลการดําเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ที่กําหนดไว้ ซึ่งการประเมินผลนี้ไม่ได้แยกเป็นเอกเทศจากขั้นตอนนโยบายอื่น แต่เกี่ยวข้องกันตลอดเวลา

92. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอน ที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่าของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่
ตอบ 4 หน้า 229 วิลเลียม เอ็น, ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอนที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่า ของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่

93. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบายโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของ
สังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข
ตอบ 3 หน้า 229 ชาร์ลส์ โอ. โจนส์ (Charles O. Jones) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบายโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของสังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข

94. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของ
การนํานโยบายไปปฏิบัติกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ในทุกขั้นตอนนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 229 เจมส์ อี. แอนเดอร์สัน (James E. Anderson) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติ กับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอนของนโยบาย

95. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะตกลงใจว่านโยบาย ที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่ มุ่งหวังไว้หรือไม่
ตอบ 1 หน้า 228 อีมิล เจ. โพซาวัค และเรย์มอนด์ จี. แครี (Emit J. Posavac & Raymond G. Carey) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีการหลายวิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะตกลงใจว่านโยบายที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้ หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่

ตั้งแต่ข้อ 96. – 100. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามเนื้อหาของวิธีการประเมินผล นโยบาย
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินแบบทดสอบความต่าง
(5) ผิดทุกข้อ

96. ไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้เฉพาะในเรื่องของ Input และProduct เท่านั้น
ตอบ 1 หน้า 234 – 235 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง (Experirnental Design) มีข้อจํากัดดังนี้
1. วิธีการที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมักมีปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัด ในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
2. วิธีการทดลองไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้ เฉพาะในเรื่องของ Input และ Product เท่านั้น
3. วิธีการทดลองไม่สามารถควบคุมความเที่ยงตรงภายนอกได้ จึงทําให้ผลที่ได้มาจาก การทดลองอาจจะไม่เหมือนกับผลที่ได้มาจากการดําเนินการจริง ฯลฯ

97. การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัดในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

98. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลอง ที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
ตอบ 2 หน้า 235 – 236 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Design) มีลักษณะสําคัญดังนี้
1. ในกรณีที่เงื่อนไขไม่เอื้ออํานวยที่จะใช้การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง วิธีการนี้จะทําให้ได้เปรียบในการนําไปปฏิบัติ โดยผู้ใช้จะต้องยอมรับเบื้องต้นก่อนว่าวิธีการที่จะนําไปใช้มีความสนใจที่ปัจจัยใดบ้างและปล่อยให้ปัจจัยใดบ้างปราศจากการควบคุม
2. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) ได้แก่ การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลองที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
3. วิธีการนี้มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากโครงการ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็น ความล้มเหลวของโครงการ ฯลฯ

99. มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากโครงการ มีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นความล้มเหลวของโครงการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ

100. แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการ สุ่มตัวอย่าง ข้อดี ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้ เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
ตอบ 3 หน้า 236 – 237 การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง (Pre–Experimental Design) แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบศึกษาก่อนและ หลังจากที่ได้นําโครงการหนึ่ง ๆ เข้ามาใช้ แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการ เข้ามาใช้แล้วเพียงอย่างเดียว และแบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้ โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการสุ่มตัวอย่าง ซึ่งข้อดีของการประเมินผลด้วยวิธีการนี้ คือ
1. ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย
2. ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
3. ทําให้ผู้ประเมินได้รับข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังและเป็นระบบ

POL3301 นโยบายสาธารณะ s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3301 นโยบายสาธารณะ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน กล่าวถึงลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูกต้อง
(1) หน่วยงานมีหลายระดับทั้งรัฐและเอกชน
(2) มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญ ๆ มากมาย
(3) ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน
(4) กระทรวง ทบวง กรม เป็นหน่วยงานหลัก
(5) นโยบายและโครงการมักเป็นของรัฐและเอกชนร่วมกัน
ตอบ 2 หน้า 144 แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน (Randell Ripley and Grace Franklin) ได้พิจารณาลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติว่ามีลักษณะสําคัญ 5 ประการ คือ
1. มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญ ๆ มากมาย
2. ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายและมักแตกต่างกัน
3. นโยบายและโครงการของรัฐบาลมักขยายใหญ่โตขึ้นทุกวัน
4. หน่วยงานในหลายระดับ จากหลายกระทรวง ทบวง กรม มีส่วนร่วมในการดําเนินกิจการ
5. มีปัจจัยหลายประการที่สําคัญมากและอยู่นอกเหนือการควบคุม

2. มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากโครงการ มีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นความล้มเหลวของโครงการ
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 235 – 236 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Design) มีลักษณะสําคัญดังนี้
1. ในกรณีที่เงื่อนไขไม่เอื้ออํานวยที่จะใช้การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง วิธีการนี้จะทําให้ได้เปรียบในการนําไปปฏิบัติ โดยผู้ใช้จะต้องยอมรับเบื้องต้นก่อนว่าวิธีการที่จะนําไปใช้มีความสนใจที่ปัจจัยใดบ้างและปล่อยให้ปัจจัยใดบ้างปราศจากการควบคุม
2. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) ได้แก่ การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลองที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
3.วิธีการนี้มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่างๆถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากโครงการ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นความล้มเหลวของโครงการ ฯลฯ

3. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลอง
ที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 5 หน้า 265 การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบไม่ต่อเนื่อง (Regression-Discontinuity
Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา เทคนิคนี้เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้ เรียบร้อยแล้ว

4.เป็นเทคนิคที่ประกอบไปด้วย การประเมินความสามารถที่จะประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์
แบบพหุลักษณ์
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 การประเมินผลแบบพิจารณาความเหมาะสม (Decision Theoretical Evaluation) เป็นเทคนิคการประเมินผลที่มุ่งสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบายโดยใช้คุณค่าหรือผลประโยชน์ที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับเป็นเกณฑ์ประเมิน ซึ่งรูปแบบของการประเมินผลแบบนี้มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ การประเมินความสามารถที่จะ ประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์

5.รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มี ปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 73
(3) มาตรา 74
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 73 บัญญัติให้ รัฐจึงจัดให้มีมาตรการหรือ กลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือ เกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทํากินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด

6.Pressman & Wildavsky ให้ความหมายของการนํานโยบายไปปฏิบัติอย่างไร
(1) การจัดหาวิธีในการดําเนินการ หรือทําให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
(2) ฝ่ายบริหารเป็นผู้ดําเนินงานต่าง ๆ
(3) การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์
(4) ถือเป็นภารกิจหลักของภาครัฐในการดําเนินงานต่าง ๆ
(5) กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์
ตอบ 3 หน้า 142 – 143 เพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า การนํานโยบาย ไปปฏิบัติ คือ การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์ และการนํานโยบาย ไปปฏิบัติให้เกิดผลสําเร็จนั้นต้องกําหนดรูปแบบของนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนํานโยบายไปปฏิบัติ

7. การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัดในการเลือกกลุ่ม
ในทางปฏิบัติจะมีน้อย
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 234 – 235 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง (Experimental Design) มีข้อจํากัดดังนี้
1. วิธีการที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมักมีปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัด ในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
2. วิธีการทดลองไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้ เฉพาะในเรื่องของ Input และ Product เท่านั้น
3. วิธีการทดลองไม่สามารถควบคุมความเที่ยงตรงภายนอกได้ จึงทําให้ผลที่ได้มาจาก การทดลองอาจจะไม่เหมือนกับผลที่ได้มาจากการดําเนินการจริง ฯลฯ

8. โครงการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Re-Distributive Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Ethical Policy
ตอบ 3หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรร ทรัพยากรเสียใหม่ (Re-Distributive Policy) เป็นนโยบายที่กําหนดขึ้นเพื่อประชาชนบางอาชีพ ผู้ประกอบการบางสาขาการผลิต พื้นที่บางพื้นที่ตามความจําเป็น เช่น การออกบัตรประกันสังคม การออกบัตรสุขภาพ นโยบายการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ นโยบายการจํานําข้าว นโยบาย เพิ่มค่าแรง 300 บาทต่อวัน โครงการช่วยเหลือชาวสลัม โครงการสงเคราะห์คนชรา โครงการ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โครงการอาหารกลางวันแก่เด็กยากจน กองทุนพัฒนาสตรี เป็นต้น หรือ เป็นนโยบายที่ดึงเอาทรัพยากรจากประชาชนกลุ่มหนึ่งมาจัดสรรใหม่ให้เกิดประโยชน์แก่ ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ด้อยโอกาส เช่น นโยบายภาษี (เช่น นโยบายเก็บภาษีทรัพย์สิน อัตราก้าวหน้า) นโยบายการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร เป็นต้น

9.เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถ แยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 4 หน้า 264 – 265 การวิเคราะห์อนุกรมเวลาแบบขาดตอน (Interrupted Time Series Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบายไปปฏิบัติ ในรูปของตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับ การประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการดําเนินงาน ที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว จุดเด่นของเทคนิคนี้ คือ ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณา ผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถแยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จาก ผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น

10. รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซง กิจการภายในของกันและกัน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 66
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 66 บัญญัติให้ รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับ นานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายใน ของกันและกัน ให้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ และคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติและของคนไทยในต่างประเทศ

11. เป็นเทคนิคที่นําเอาข้อคิดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราว ของนโยบายที่กําลังประเมินมาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 3 หน้า 259 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) เป็นเทคนิคที่นําเอาข้อคิดและความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราวของนโยบายที่กําลังประเมิน มาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย

12.เดวิด อีสตัน เสนอแนวคิดเชิงระบบ ประกอบด้วยข้อใดบ้าง
(1) ทรัพยากร กระบวนการ นโยบาย การปฏิบัติ ข้อมูลย้อนกลับ การสื่อสาร
(2) สภาพแวดล้อม อุปสงค์ กระบวนการ นโยบาย การปฏิบัติ ข้อมูลย้อนกลับ
(3) สภาพแวดล้อมภายใน สภาพแวดล้อมภายนอก นโยบาย การปฏิบัติ ผลกระทบ
(4) ทรัพยากร อุปสงค์ กระบวนการ นโยบาย การปฏิบัติ สภาพแวดล้อมภายนอก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 172, (คําบรรยาย) เดวิด อีสตัน (David Easton) ได้เสนอแนวคิดเชิงระบบ โดยมี ตัวแปรสําคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้อง 6 ตัวแปร คือ 1. สภาพแวดล้อม 2. อุปสงค์และทรัพยากร 3. กระบวนการทางการเมือง 4. นโยบาย 5. การปฏิบัติ 6. ข้อมูลย้อนกลับ

13.มอลคอม กอกจิน ศึกษาเพิ่มเติมตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่
(1) นโยบาย เวลา และผู้ปฏิบัติงาน
(2) นโยบาย ขั้นตอน และการประเมิน
(3) นโยบาย องค์การ และผู้ปฏิบัติงาน
(4) องค์การ กระบวนการ และการประเมิน
(5) นโยบาย ผู้ปฏิบัติ และการประเมิน
ตอบ 3 หน้า 156 มอลคอม กอกจิน (Malcom Goggin) ได้เสนอผลจากการศึกษาเพิ่มเติม โดยพบว่า ตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่ นโยบาย องค์การ และ ผู้ปฏิบัติงาน โดยมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม มาเกี่ยวข้องด้วย

14. กล่าวโดยสรุป การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
(1) กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนดไว้
(2) การดําเนินงานของฝ่ายรัฐบาลเพื่อประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ
(3) การตัดสินใจของรัฐในการดําเนินนโยบายทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
(4) แนวการทํางานของรัฐที่จะบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน
(5) รัฐจะกระทําสิ่งต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้
ตอบ 1 หน้า 143 กล่าวโดยสรุป การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) หมายถึง
กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนดไว้

15.วรเดช จันทรศร กล่าวถึงสาระสําคัญของตัวแบบทั่วไปว่าประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ
(1) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านขั้นตอนการดําเนินงาน และปัจจัยต่อผู้ปฏิบัติงาน
(2) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านการลงทุน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
(3) ปัจจัยด้านการลงทุน ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติงาน
(4) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ
(5) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านขั้นตอนการดําเนินงาน และปัจจัยต่อองค์การ
ตอบ 4 หน้า 183 – 184 วรเดช จันทรศร ได้กล่าวถึงสาระสําคัญของตัวแบบทั่วไปว่าประกอบด้วยปัจจัยหลัก 3 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยด้านการสื่อสาร
2. ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ
3. ปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ

16. ใครกล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่าของผลการดําเนินการตามนโยบาย
เพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 5 หน้า 230 ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่า ของผลการดําเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ที่กําหนดไว้ ซึ่งการประเมินผลนี้ไม่ได้แยกเป็นเอกเทศจากขั้นตอนนโยบายอื่น แต่เกี่ยวข้องกันตลอดเวลา

17. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Harold Lasswell กล่าวว่า นโยบายเกี่ยวข้องกับแผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น
(2) Thomas R. Dye นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจว่าจะทําหรือไม่ทํา
(3) Theodore Lovi เป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
(4) David Easton เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 3, 58 – 59 ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่เน้นการสร้างภาพรวมและได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” ได้ให้ความหมาย นโยบายสาธารณะร่วมกันอับราแฮม แคปแพลน (Abraham Kaplan) ว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง แผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น อันประกอบด้วยเป้าหมาย คุณค่า และแนวการ ปฏิบัติงานต่าง ๆ”

18.Reform in Action ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษา
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 (คําบรรยาย) Thailand 4.0 มีสาระสําคัญดังนี้
1. เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”
2. เป็น “Reform in Action” ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัย และการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อม ๆ กัน
3. เป็นแนวคิดที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ทุนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ ทุนมนุษย์
4. เป็นการพัฒนา “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth) ซึ่งประเทศไทยมีอยู่ 2 ด้าน ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายเชิงวัฒนธรรมให้เป็นความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน โดยการเติมเต็มด้วยวิทยาการ ทั้ง 5 ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยและ พัฒนา ฯลฯ

19. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 71
(3) มาตรา 73
(4) มาตรา 75
(5) มาตรา 77
ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 68 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร
2. รัฐจึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงําใด ๆ
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จําเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้

20. วิลเลียมส์ เรียก นําไปปฏิบัติ ข้อใดถูกต้อง
(1) กระบวนการขององค์การที่ต่อเนื่องเป็นพลวัต
(2) การดําเนินงานให้สําเร็จลุล่วงตามเป้าหมายของกลุ่มผู้ปฏิบัติ
(3) กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์
(4) การจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการ และการดําเนินการให้สําเร็จลุล่วง
(5) มีการวางแผนและเตรียมงานให้พร้อม
ตอบ 4 หน้า 143 วิลเลียมส์ ชี้ว่า กิริยาที่เรียกว่า นําไปปฏิบัติ (Implement) มีความหมายหลักอยู่ 2 ประการ คือ
1. การจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการทั้งหลายทั้งปวงที่จะทําให้ดําเนินการสําเร็จลุล่วงให้พรักพร้อม
2. การดําเนินการให้สําเร็จลุล่วง

21. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะ คือ สิ่งที่รัฐเลือกที่จะทําหรือไม่ทํา
(1) Thomas R. Dye
(2) Ira Sharkansky
(3) David Easton
(4) James Anderson
(5) Theodore Lowi
ตอบ 1 หน้า 3 โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึงสิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา”

22. ตัวแปรอิสระตามตัวแบบของกอกจีนและคณะ ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) การชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลกลาง
(2) การชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลส่วนท้องถิ่น
(3) ความสามารถและการตัดสินใจของรัฐ
(4) ความสามารถและการตัดสินใจของผู้ปฏิบัติงาน
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 173 – 174 กอกจินและคณะ ได้เสนอตัวแบบการนํานโยบายไปปฏิบัติซึ่งได้รับอิทธิพล
จากแนวความคิดการวิเคราะห์ระบบการเมืองของเดวิด อีสตัน โดยตัวแบบของกอกจินและคณะ
มีตัวแปรอิสระซึ่งประกอบด้วย
1. การชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลกลาง
2. การชี้น่าและข้อจํากัดของรัฐบาลส่วนท้องถิ่น
3. ความสามารถของรัฐ
4. การตัดสินใจของรัฐ

23. ข้อใดไม่ใช่นักวิชาการในกลุ่มของตัวแบบในการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) ตัวแบบของแวน มิเตอร์และแวน ฮอร์น
(2) ตัวแบบของกอกจินและคณะ
(3) ตัวแบบของพอล เบอร์แมน
(4) ตัวแบบของมองจอยและโอทูเล
(5) ตัวแบบของวรเดช จันทรศร
ตอบ 4 หน้า 161, 171 – 188 นักวิชาการในกลุ่มของตัวแบบในการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่
1. แวน มิเตอร์และแวน ฮอร์น
2. กอกจินและคณะ
3. พอล เบอร์แมน
4. ยอร์ค
5. โรเบิร์ต นาคามูระและแฟรงค์ สมอลวูด
6. วรเดช จันทรศร

24. สิ่งที่ทําให้ผลงานวิจัยของเพรสแมนและวิลดัฟสกีไม่ประสบความสําเร็จเกิดจาก
(1) ขั้นตอนการตัดสินใจมากและการดําเนินการไม่มีความต่อเนื่อง
(2) บุคลากรไม่มีความรู้ ความเข้าใจนโยบาย
(3) ขาดการทํางานเป็นทีม
(4) ผู้นําหน่วยงานไม่สามารถบริหารงานให้ประสบความสําเร็จได้
(5) ขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ตอบ 1 หน้า 145 งานวิจัยของเพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman & Wildavsky) พบว่า การนํา นโยบายการจ้างงานชนกลุ่มน้อยไปปฏิบัติไม่ประสบความสําเร็จ เพราะสาเหตุจากผู้ริเริ่ม และรับผิดชอบไม่ได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง มีประเด็นการตัดสินใจมากจนเกินไป มีจํานวน หน่วยงานเข้าไปมีส่วนร่วมมากและต่างก็มีวัตถุประสงค์และวิธีปฏิบัติที่ต่างกัน ตัวโครงการ ไม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย การควบคุมกับการอนุมัติงบประมาณขัดแย้งกัน ลักษณะ การดําเนินงานกระทําด้วยความเร่งรีบมีความสลับซับซ้อนสูง และขาดการประสานงานที่ดี

25. การศึกษาของเจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์ ได้ค้นพบปัจจัยตัวที่ 7 คือข้อใด
(1) แรงจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย
(2) การแสวงหาผลประโยชน์
(3) ความชัดเจนของนโยบาย
(4) การจัดสรรทรัพยากร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 147 – 148 การศึกษาของเจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์ ในเรื่องการปฏิบัตินโยบายของจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้จังหวัดนราธิวาสเป็นกรณีศึกษานั้น ได้ค้นพบปัจจัยตัวที่ 7 คือ การแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งมีส่วนสําคัญในการกําหนดความล้มเหลวหรือความสําเร็จของ การปฏิบัตินโยบาย

26. เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา
(1) Format Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

27. นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องกันในประเด็นที่สําคัญ 2 ประการ คือ
(1) ผู้ปฏิบัติและความสัมพันธ์ในองค์การ
(2) นโยบายมี 2 ระดับ คือ ระดับมหภาค และระดับจุลภาค
(3) การกําหนดว่าใครได้อะไรและเมื่อไร
(4) ภาครัฐจะกําหนดนโยบายเป็นภารกิจหลักและภารกิจรอง
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นกระบวนการและดําเนินการให้สําเร็จ
ตอบ 5 หน้า 144 นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องกันในประเด็นที่สําคัญ 2 ประการ คือ
1. การนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นกระบวนการ
2. การนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นการดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามเป้าหมายของนโยบาย

28. โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) เสนอตัวแบบของกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม โดยเรียกตัวแบบนี้ว่า
(1) The Policy Implementation
(2) Implementation Organization
(3) A Model of the Policy Implementation Process
(5) Policy Implementation
(4) Distributive Policy
ตอบ 3 หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) ได้เขียนบทความเรื่อง “The Policy Implementation Process” เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อเสนอตัวแบบของกระบวนการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม และได้ประยุกต์แนวความคิดเชิงระบบสําหรับใช้ในการศึกษา การนํานโยบายไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม โดยเรียกตัวแบบนี้ว่า “A Model of the Policy Implementation Process”

29. ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของ
ทรัพยากรที่มีอยู่ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
(1) ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ความเหมาะสม
(4) ความพอเพียง
(5) ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ 4 หน้า 100 ความพอเพียง (Adequacy) หมายถึง ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทั่วไปเงื่อนไขของทรัพยากรมักจะวัดในรูปของงบประมาณที่มีอยู่

30. นโยบายการมีถนนแยกเล่นไปสู่ทุกจังหวัด เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Re-Distributive Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Ethical Policy
ตอบ 2 หน้า 5, (คําบรรยาย) นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy) เป็น นโยบายที่รัฐบาลต้องจัดบริการพื้นฐานให้ประชาชนทุกคนได้ใช้หรือเพื่อให้ประชาชนทั่วไป โดยส่วนรวมมีโอกาสได้รับบริการสาธารณะที่เป็นของรัฐบาลอย่างทั่วถึงและพอเพียง เช่น นโยบายการมีถนนแยกเล่นไปสู่ทุกจังหวัด นโยบายการลดราคาน้ํามันเบนซิน โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน การขยายช่องทางจราจรหรือการสร้างถนน นโยบายให้มีสถานพยาบาล ให้ครบทุกอําเภอ การจัดให้มีบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค การจัดให้มีไฟฟ้าและน้ําประปา ใช้ทุกหมู่บ้าน เป็นต้น

31. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขต
การดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว
(1) Format Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

32. แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการ สุ่มตัวอย่าง ข้อดี ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้ เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 236 – 237 การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี เตรียมทดลอง (Pre-Experimental Design) แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบศึกษาก่อนและ หลังจากที่ได้นําโครงการหนึ่ง ๆ เข้ามาใช้ แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการ เข้ามาใช้แล้วเพียงอย่างเดียว และแบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้ โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการสุ่มตัวอย่าง ซึ่งข้อดีของการประเมินผลด้วยวิธีการนี้ คือ
1. ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย
2. ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
3. ทําให้ผู้ประเมินได้รับข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังและเป็นระบบ

33. รัฐจึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 66
(2) มาตรา 67
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 67 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
2. รัฐจึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท
เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา
3. รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่ารูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

34. การตั้งหมู่บ้านอาสาพัฒนาป้องกันตน เกี่ยวข้องกับนโยบายใด
(1) Economic Policy
(2) Education Policy
(3) Social Policy
(4) Administrative Policy
(5) Politic & Defence Policy
ตอบ 5 หน้า 7, (คําบรรยาย) นโยบายทางด้านการเมืองและการป้องกันประเทศ (Politic & Defence Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สิทธิและหน้าที่ของพลเมืองของแต่ละประเทศ
รวมทั้งวิธีการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพและระบบป้องกันประเทศ ในด้านการทูตหรือการทหาร เช่น การเพิ่มอาวุธให้กับทหาร การจัดเรือบรรทุกเครื่องบินรบ การควบคุมแรงงานต่างด้าวให้อยู่เฉพาะพื้นที่ การแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ด้วยการตั้งหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง เป็นต้น

35. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มีนโยบายของกรุงเทพมหานครที่นโยบาย
(1) 210 นโยบาย
(2) 211 นโยบาย
(3) 212 นโยบาย
(4) 214 นโยบาย
(5) 215 นโยบาย
ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เสนอนโยบายสําหรับ กรุงเทพมหานครไว้ 214 นโยบาย ภายใต้หมวดหมู่นโยบาย 9 ดี คือ ปลอดภัยดี สร้างสรรค์ดี สิ่งแวดล้อมดี เศรษฐกิจดี เดินทางดี สุขภาพดี โครงสร้างดี เรียนดี และบริหารจัดการดี

36. ใครให้ความหมายของการวิเคราะห์นโยบายไว้ว่า เป็นการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในชุดของ
เป้าหมายที่กําหนดไว้
(1) Harold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) James Anderson
ตอบ 3 หน้า 72 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบาย เป็นการกําหนดและตัดสินทางเลือกของนโยบาย โดยการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุด ในชุดของเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยเปรียบเทียบทางเลือกเหล่านั้นกับการบรรลุเป้าหมาย”

37. เออร์วิน ฮาร์โกรฟ เขียนบทความเรื่องอะไรที่เสนอข้อสมมติเพื่อการทดสอบการนํานโยบายจากรัฐบาลกลางแห่งสหรัฐอเมริกาไปปฏิบัติในระดับหน่วยงานปฏิบัติ
(1) The Search for Implementation Theory (1983)
(2) Implementation (1973)
(3) The Policy Implementation Process (1973)
(4) The Policy Implementation Process : A Conceptual Framework (1975)
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 168 เออร์วิน ฮาร์โกรฟ (Erwin Hargrove) ได้เสนอข้อสมมติเพื่อการทดสอบการนํา นโยบายที่กําหนดโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาไปปฏิบัติในระดับหน่วยงานปฏิบัติไว้ใน บทความเรื่อง “The Search for Implementation Theory” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1983 โดยเขาได้ให้ความหมายของการนํานโยบายไปปฏิบัติว่าประกอบด้วย 2 นัย คือ
1. การดําเนินการตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
2. การดําเนินการซึ่งหมายรวมถึงการยินยอมปฏิบัติตามกฎหมายและการปฏิบัติงานประจําขององค์การอย่างคงเส้นคงวา

38. มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ Value-Based Economy
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

39. การสร้างโรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดาร เกี่ยวข้องกับนโยบายใด
(1) Economic Policy
(2) Education Policy
(3) Social Policy
(4) Administrative Policy
(5) Politic & Defence Policy
ตอบ 2 หน้า 7, (คําบรรยาย) นโยบายทางด้านการศึกษา (Education Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การวางแนวทางและการจัดการศึกษาให้กับประชาชน ทั้งการศึกษาในและนอกระบบโรงเรียน เช่น การสร้างโรงเรียน โครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา นโยบายกําหนดให้ทุกคนต้องเรียนหนังสือ การแจกอุปกรณ์การเรียนแก่นักเรียน การจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน เป็นต้น

40.Van Meter & Van Horn กําหนดถึงผลต่อพฤติกรรมในการนํานโยบายไปปฏิบัติ เชื่อมโยงระหว่างนโยบาย และผลปฏิบัติการ ได้แก่อะไรบ้าง
(1) ปัจจัยนําเข้า ตัวเชื่อม และนโยบาย
(2) สมรรถนะ ตัวเชื่อม และผลสําเร็จ
(3) นโยบาย ตัวเชื่อม และสมรรถนะ
(4) กําหนด ปฏิบัติ และการประเมินผลนโยบาย
(5) การตัดสินใจเลือกนโยบาย ตัวเชื่อม และการประเมินผล
ตอบ 3 หน้า 152 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter & Van Horn) ได้กําหนดถึงผลต่อ พฤติกรรมในการนํานโยบายไปปฏิบัติว่าต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งจะเชื่อมโยงระหว่าง นโยบายและผลปฏิบัติการ ได้แก่
1. นโยบาย (Policy)
2. ตัวเชื่อม (Linkage)
3. สมรรถนะในการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Performance)

41. แนวคิดของเบอร์แมน เสนอกรอบการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ 2 ระดับ คือ
(1) ระดับบน และระดับล่าง
(2) ระดับมหภาค และระดับจุลภาค
(3) ระดับผู้บังคับบัญชา และระดับผู้ปฏิบัติงาน
(4) ระดับกลาง และระดับภูมิภาค
(5) ระดับหน่วยงาน และระดับผู้ปฏิบัติงาน
ตอบ 2 หน้า 175 พอล เบอร์แมน (Paul Berman) ได้เสนอกรอบการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ 2 ระดับ คือ
1. การนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับมหภาค (Macro-Implementation)
2. การนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับจุลภาค (Micro-Implementation)

42.Stuart S. Nagel สนใจการศึกษานโยบายเรื่องใด
(1) Policy Analysis
(2) Policy Process
(3) Policy Impacts
(4) Policy Implementation
(5) Policy Evaluation
ตอบ 1 หน้า 61 – 68, 72, 164 – 171 นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
ได้แก่ 1. เควด (E.S. Quade) 2. วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn) 3. สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) 4. โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ฯลฯ
ส่วนนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) ได้แก่
1. กรอส (Gross)
2. ไจแอคควินทา (Giacquinta)
3. เบิร์นสไตล์ (Bernstein)
4. กรีนวูด (Greenwood)
5. แมน (Mann)
6. แมคลัฟลิน (McLaughlin)
7. เบอร์แมน (Berman)
8. เดล อี. ริชาร์ด (Dale E. Richards)
9. เพรสแมน (Pressman)
10. วิลดัฟสกี (Wildavsky)
11. มองจอย (Montjoy)
12. โอทูเล (O’Toole)
13. โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith)
14. พอล เอ. ซาบาเตียร์ (Paul A. Sabatier)
15. ดาเนียล เอ. แมชมาเนียน (Daniel A. Mazmanian)
16. อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์(Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ฯลฯ

43. ใครเสนอว่า อุปสรรคจะเป็นแรงผลักดันให้มีการเสนอนโยบายเพื่อไปใช้ประโยชน์
(1) Theodore Lowi
(2) Ira Sharkansky
(3) Carl J. Friedrich
(4) William Greenwood
(5) David Easton
ตอบ 3 หน้า 3 คาร์ล เจ. ฟรีดริช (Carl J. Friedrich) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง ข้อเสนอ สําหรับแนวทางการดําเนินงานของบุคคล กลุ่มบุคคล หรือรัฐบาล ภายในสภาพแวดล้อมแบบหนึ่ง ซึ่งอาจมีทั้งอุปสรรคและโอกาสบางประการ โดยอุปสรรคและโอกาสนี้จะเป็นแรงผลักดันให้มี การเสนอนโยบายขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ และเอาชนะสภาพการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อนําไปสู่ เป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง”

44. การศึกษา 2 ปัจจัยที่ได้นํามาสร้างเป็นกรอบทฤษฎี คือ 1. ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของ คําสั่งหรือนโยบาย 2. ความต้องการทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย
(1) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(2) ดาเนียล เอ. แมชมาเนียน
(3) มองจอยและโอทูเล
(4) โทมัส บี. สมิท
(5) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
ตอบ 3 หน้า 165 – 166 มองจอยและโอทูเล (Montjoy and O’Toole) ได้เสนอปัจจัยที่นํามาสร้าง เป็นกรอบทฤษฎี ซึ่งประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
1. ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของคําสั่งหรือนโยบาย
2. ความต้องการทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย

45.วรเดช จันทรศร ได้เสนอบทความ “การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า” โดยได้เสนอตัวแบบ ในการนํานโยบายไปปฏิบัติ 6 ตัวแบบ ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
(2) ตัวแบบด้านบุคลิกภาพ
(3) ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
(4) ตัวแบบด้านการจัดการ
(5) ตัวแบบระบบราชการ
ตอบ 2 หน้า 182 – 183 วรเดช จันทรศร ได้เสนอบทความเรื่อง “การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า” เมื่อปี ค.ศ. 1984 ซึ่งในบทความนี้ได้นําเสนอตัวแบบการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ 6 ตัวแบบ คือ
1. ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
2. ตัวแบบทางด้านการจัดการ
3. ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
4. ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ
5. ตัวแบบกระบวนการทางการเมือง
6. ตัวแบบทั่วไป

46. ข้อใดถูกต้องที่ Webster’s Dictionary ให้ความหมายการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) นโยบายเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ
(2) เป็นภารกิจหลักของภาครัฐในการดําเนินงานต่าง ๆ
(3) กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์
(4) กระบวนการเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากฝ่ายบริหาร
(5) การจัดหาวิธีในการดําเนินการ หรือทําให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
ตอบ 5 หน้า 142 Webster’s Dictionary ให้ความหมาย “การนําไปปฏิบัติ” (to implement) ว่าหมายถึง การจัดหาวิธีในการดําเนินการ หรือทําให้เกิดผลในทางปฏิบัติ

47. นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Economic Policy
(2) Education Policy
(3) Sociat Policy
(4) Administrative Policy
(5) Politic & Defence Policy
ตอบ 1 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายทางด้านเศรษฐกิจ (Economic Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างรายได้และการกินดีอยู่ดีของประชาชน โดยให้ประชาชนได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน อะไรที่ได้มาซึ่งรายได้หรือรายจ่าย และเมื่อจ่ายไปแล้วก็จะมีการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ทําให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบายจ่ายเงินให้ชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท การส่งเสริมอาชีพให้ประชาชน โครงการธงฟ้าราคาประหยัด โครงการ ธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การพักชําระหนี้ให้เกษตรกร การดูแล ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่
ผู้บริโภคและผู้ผลิต เป็นต้น

48. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 65
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 70
(5) มาตรา 71
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 71 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม
2. รัฐจึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถสูงขึ้น
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
4. ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐจึงคํานึงถึงความจําเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของ เพศ วัย และสภาพของบุคคล

49. ใครกล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นการใช้วิธีการที่หลากหลายในการนําเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผล
มาแปรรูปในการกําหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองที่มีสภาวการณ์ที่แตกต่างกัน
(1) Harold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) Date E. Richards
ตอบ 4 หน้า 72 วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบาย เป็นสาขาหนึ่งของสังคมศาสตร์ประยุกต์ที่ใช้วิธีการหลากหลายในการนําเสนอข้อเท็จจริง และเหตุผลมาแปรรูปในการกําหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาในทางการเมืองที่มีสภาวการณ์แตกต่างกัน”

50. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบายไปปฏิบัติในรูปของ ตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

51. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมาย
(1) Thomas R. Dye
(2) Ira Sharkansky
(3) David Easton
(4) James Anderson
(5) Theodore Lowi
ตอบ 3 หน้า 3 เดวิด อีสตัน (David Easton) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรร
และแจกแจงคุณค่า (Values) ต่าง ๆ ของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปเพื่อประโยชน์
ของสังคมส่วนรวม”

52. บทความเรื่อง “Policy Implementation” เป็นการศึกษาความเป็นมาของการนํานโยบายไปปฏิบัติของ
นักวิชาการท่านใด
(1) พอล เอ. ซาบาเดียร์
(2) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน
(3) ยูยืน บาร์แดช
(4) โทมัส บี. สมิท
(5) แมคลัฟลิน
ตอบ 1.2 หน้า 61 พอล เอ. ซาบาเตียร์ และดาเนียล เอ. แมซมาเนียน (Paul A. Sabatier and Daniel A. Mazmanian) ได้เขียนบทความเรื่อง “Policy Implementation” เมื่อปี 1982 ซึ่งเป็นการศึกษาถึงความเป็นมาของการนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยแสดงทัศนะว่าการศึกษา สาขาการนํานโยบายไปปฏิบัติปรากฏเป็นรูปร่างที่ชัดเจนในต้นศตวรรษ 1970 โดยเฉพาะ นับจากผลงานเรื่อง “Implementation (1973)” ของเพรสแมนและวิลดัฟสกีเป็นต้นมา

53. นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Re-Distributive Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Ethical Policy
ตอบ 4 หน้า 6) (คําบรรยาย) นโยบายเพื่อการลงทุน (Capitalization Policy) เป็นนโยบายที่รัฐบาล กําหนดขึ้นเพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ หรือเพื่อแสวงหาทรัพยากรใหม่ ๆ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา แล้วก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ หรือการสร้างสิ่งก่อสร้างบางอย่างเพื่อเป็น พื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป เช่น นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและภาคใต้ การสร้างสนามบิน การสร้างนิคมอุตสาหกรรม การสร้างท่าเรือน้ําลึก การวางท่อก๊าซ เป็นต้น

54. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย เป็นประโยชน์ต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผล
ของนโยบายนั้น ๆ
(1) Format Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 3 หน้า 264 ประโยชน์ของวิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) คือ สามารถให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ในนโยบาย การประเมินจึงครอบคลุมกว้างขวางรวมทุกประเด็นไว้หมด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ

55. มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ทุนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทุนมนุษย์
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

56. ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ําสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
(1) ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ความเหมาะสม
(4) ความพอเพียง
(5) ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ 2 หน้า 99. (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายโดยใช้ต้นทุนต่ําสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ําสุด

57. มุ่งเน้นวิทยาการทั้ง 5 เพื่อความได้เปรียบ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และการวิจัยและพัฒนา
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

58. ข้อใดไม่ใช่ 4 ตัวแปรที่ สมิท เสนอขั้นตอนการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) นโยบายที่เป็นอุดมคติ
(2) องค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) กลุ่มตัวอย่าง
(4) ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม
(5) กลุ่มเป้าหมาย
ตอบ 3 หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) เสนอขั้นตอนของการนํานโยบายไปปฏิบัติ
ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรที่สําคัญ 4 ตัวแปร คือ
1. นโยบายที่เป็นอุดมคติ
2. องค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
3. กลุ่มเป้าหมาย
4. ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม

59. พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แมซมาเนียน ให้ความหมายของการนํานโยบายไปปฏิบัติอย่างไร
(1) แนวการทํางานของรัฐที่เน้นการบริการสาธารณะ
(2) การตัดสินพิพากษาอรรถคดีคําสั่งของฝ่ายตุลาการ
(3) กระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย
(4) กฤษฎีกาที่ออกมาจากพรรคการเมืองเสนอ
(5) รัฐจะกระทําสิ่งต่าง ๆ เพื่อประชาชน
ตอบ 3 หน้า 142 พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แมชมาเนียน (Paul A. Sabatier and Daniel A. Mazmanian) กล่าวว่า การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการตัดสินใจ เชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย การตัดสินพิพากษาอรรถคดีคําสั่งของฝ่ายบริหาร หรือ กฤษฎีกาที่ออกมาจากสถาบันต่าง ๆ

60. รัฐจึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชนให้เกิด ความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 72
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 78
ตอบ 4 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 76 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และงานของรัฐอย่างอื่นให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
2. รัฐจึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชน ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รัฐจึงดําเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไป
ตามระบบคุณธรรม
4. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนด ประมวลจริยธรรมสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ

61. นโยบายหน้าบ้านน่ามอง เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Re-Distributive Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Ethical Policy
ตอบ 5 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายเพื่อจริยธรรม (Ethical Policy) เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่มีการบังคับให้ผู้ใดปฏิบัติตาม แต่ต้องการจูงใจและสนับสนุนหรือส่งเสริมให้ประชาชน มีความรู้สึกสํานึกที่ดี และมีจิตสํานึกในทางที่ถูกที่ควรที่จะปฏิบัติตาม เช่น โครงการพลังแผ่นดิน โครงการเมืองน่าอยู่ โครงการถนนสีขาว นโยบายหน้าบ้านน่ามอง นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ในประเทศ นโยบายส่งเสริมให้มีน้ําใจกับนักท่องเที่ยว และการรณรงค์ต่าง ๆ เป็นต้น

62. นโยบายข้อใดถูกต้อง
(1) กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายสุขภาพดีวิถีใหม่
(2) กระทรวงแรงงานมีนโยบายบริหารแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ
(3) ครม. อัดฉีด-ลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดคันละ 150,000 บาท
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตัวอย่างของนโยบายในปัจจุบัน ได้แก่
1. กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายสุขภาพดีวิถีใหม่ ประชาชนคนไทยมีหมอประจําตัว 3 คน พัฒนาพืชสมุนไพร กัญชา กัญชง กระท่อม และภูมิปัญญาท้องถิ่น
2. กระทรวงแรงงาน มีนโยบายบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ เร่งรัด ปรับปรุง แก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคมให้สอดคล้องกับบริบทสถานการณ์ปัจจุบันและรองรับ
การเปลี่ยนแปลงในอนาคต ยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อปลดล็อค Tier 2 Watch List
3. ครม. อัดฉีด-ลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดคันละ 150,000 บาท ฯลฯ

63. ใครเสนอว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและแจกแจงคุณค่าของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมาย
(1) Theodore Lowi
(2) Ira Sharkansky
(3) Carl J. Friedrich
(4) David Easton
(5) William Greenwood
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

64. การช่วยชาวเขาให้มีอาชีพ เกี่ยวข้องกับนโยบายใด
(1) Economic Policy
(2) Education Policy
(3) Social Policy
(4) Administrative Policy
(5) Politic & Defence Policy
ตอบ 3 หน้า 7, (คําบรรยาย) นโยบายทางด้านสังคม (Social Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างความมั่นคงให้แก่สังคม เช่น โครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การประชาสงเคราะห์ (เช่น การช่วยเหลือชาวเขา คนชรา หรือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก) การประกันสังคม การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยกําหนดให้มีโรงพยาบาล สถานีอนามัย และสุขศาลาในทุกอําเภอ การพัฒนาขีดความสามารถ ของอาสาสมัครสาธารณสุขให้เป็นนักจัดการสุขภาพชุมชน เป็นต้น

65. รัฐจึงดําเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ

66. ใครให้เหตุผลในการกําหนดนโยบายไว้ 3 ประการ คือ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลทางวิชาชีพ
และเหตุผลทางการเมือง
(1) Harold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) Dale E. Richards
ตอบ 2 หน้า 57, (คําบรรยาย) โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผล (ความสําคัญ)
ของการศึกษาและการกําหนดนโยบายสาธารณะไว้ 3 ประการ คือ
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons) คือ การทําความเข้าใจเหตุและผลของ การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย เพื่อให้ได้นโยบายที่มีเหตุผลมากที่สุด
2. เหตุผลทางวิชาชีพ (Professional Reasons) คือ การนําความรู้เชิงนโยบายไปใช้แก้ปัญหา ทางด้านการปฏิบัติ โดยวิชาชีพที่แตกต่างกันจะทําให้การกําหนดนโยบายและการนํานโยบาย
ไปปฏิบัติของแต่ละวิชาชีพมีความแตกต่างกัน
3. เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons) คือ การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสม ทางการเมืองมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง โดยการใช้เหตุผลทางการเมือง มักจะทําให้การกําหนดนโยบายเป็นไปอย่างไม่มีเหตุผลแต่เป็นที่ยอมรับของประชาชน เช่น นโยบายประชานิยมต่าง ๆ เป็นต้น

67. การจัดทําร่างนโยบายอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 25 – 26, (คําบรรยาย) ขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย (Policy Formulation) เป็นขั้นตอนที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเรื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การกําหนดวัตถุประสงค์
2. การกําหนดทางเลือก
3. การจัดทําร่างนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ แนวทางและ มาตรการ การจัดลําดับทางเลือก และการหาข้อมูลประกอบการพิจารณา

68. ใครเกี่ยวข้องกับการจําแนกประเภทของนโยบายสาธารณะ
(1) Thomas R. Dye
(2) Ira Sharkansky
(3) David Easton
(4) James Anderson
(5) Theodore Lowi
ตอบ 5 หน้า 5 – 6 (คําบรรยาย) ธีโอดอร์ โลวาย (Theodore towi) ได้เสนอให้จําแนกประเภท ของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy)
2. นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy)
3. นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรรทรัพยากรเสียใหม่ (Re-Distributive Policy)

69. ใครเสนอให้จําแนกประเภทของนโยบายตามเนื้อหาสาระของนโยบาย
(1) Theodore Lowi
(2) Ira Sharkansky
(3) Carl J. Friedrich
(4) William Greenwood
(5) David Easton
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 68. ประกอบ

70. ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) ให้ความหมายของกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติไว้อย่างไร
(1) ขั้นตอนในการดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายของนโยบาย
(2) ความสัมพันธ์เกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กร
(3) การจัดหาตระเตรียมวิธีการทั้งหลายที่จะให้ดําเนินงานสําเร็จลุล่วง
(4) กระบวนการดําเนินงานของภาครัฐ
(5) กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 142 ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) กล่าวว่า กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายก็ได้

71. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะตกลงใจว่านโยบาย ที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่ มุ่งหวังไว้หรือไม่
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 1 หน้า 228 อีมิล เจ. โพซาวัค และเรย์มอนด์ จี. แครี (Emil J. Posavac & Raymond G. Carey) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีการหลายวิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะ ตกลงใจว่านโยบายที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้ หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่

72. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
(1) ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ความเหมาะสม
(4) ความพอเพียง
(5) ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ 5 หน้า 101 ความสามารถในการตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ความสามารถ ของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบ และค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่สามารถทําให้กลุ่มที่มี ความจําเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกนั้นด้วย

73. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการที่ Stuart S. Nagel เสนอ
(1) การกําหนดเป้าหมายเพื่อบรรลุผล
(2) การกําหนดแผนงาน
(3) การกําหนดคน สถานที่ อุปกรณ์
(4) การวิเคราะห์ผลตอบแทนสูงสุด
(5) การกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 239 – 240 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) ได้เสนอแนวคิดในการวิเคราะห์ ข้อมูลแบบง่ายสําหรับการวิเคราะห์หรือการประเมินนโยบาย ซึ่งมีหลักการหรือกระบวนการ ที่สําคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. กําหนดเป้าหมายเพื่อการบรรลุผล หรือการให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด
2. กําหนดเป้าหมายสัมพันธ์
3. กําหนดคน สถานที่ หรือวัสดุอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับนโยบายนั้น ๆ
4. กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
5. ปรับความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย

74. ใครสนใจในการวิเคราะห์นโยบาย
(1) E.S. Quade
(2) Stuart S. Nagel
(3) William Dunn
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

75. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนดประมวลจริยธรรม สําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ

76. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของ
การนํานโยบายไปปฏิบัติกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ในทุกขั้นตอนนโยบาย
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 2 หน้า 229 เจมส์ อี. แอนเดอร์สัน (James E. Anderson) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติ กับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอน
ของนโยบาย

77. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
(1) Thomas R. Dye
(2) Ira Sharkansky
(3) David Easton
(4) James Anderson
(5) Theodore Lowi
ตอบ 4 หน้า 3 เจมส์ แอนเดอร์สัน (James Anderson) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทําเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเจตนาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
เช่น ความยากจน การผูกขาด เป็นต้น”

78. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Dunn ศึกษาการวิเคราะห์นโยบาย
(2) Nagel ศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) Anderson ศึกษากระบวนการนโยบาย
(4) Dimock อธิบายความคิดสร้างสรรค์
(5) Quade เสนอจุดมุ่งหมายในการวิเคราะห์นโยบาย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

79. การที่หน่วยงานนํานโยบายมาแปลงเป็นแผนงานและโครงการเป็นขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ 4 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่แสดงให้เห็นถึงการนําทรัพยากรต่าง ๆ ไปจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดผลตามนโยบาย
ซึ่งประกอบด้วย
1. การส่งต่อนโยบาย (Policy Delivery)
2. การตีความหรือแปลงนโยบายออกมาเป็นแผนงานและโครงการ
3. การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย
4. การดําเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ(Street-Level Bureaucracy)
5. การจัดระบบสนับสนุน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร การมอบหมายอํานาจหน้าที่ และการติดต่อสื่อสาร
6. การติดตามและควบคุมผลการปฏิบัติงาน

80. งานวิจัยใดของเพรสแมนและวิลดัฟสกีที่ทําให้เกิดวิชาการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) Implementation, 1937
(2) The Case of Stull Act, 1986
(3) The Case of Stull Act, 1987
(4) Implementation, 1978
(5) Implementation, 1973
ตอบ 5 หน้า 145 เพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman & Wildavsky) ได้เสนอผลงานการวิจัย การนํานโยบายไปปฏิบัติภายใต้ชื่อ “Implementation” เมื่อปี ค.ศ. 1973 ซึ่งผลงานฉบับนี้ ถือว่าเป็นก้าวหน้าสําคัญชิ้นหนึ่งที่ทําให้เกิดวิชาการนํานโยบายไปปฏิบัติขึ้นในการศึกษานโยบายสาธารณะ

81. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอน ที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่าของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
(4) William N. Dunn
ตอบ 4 หน้า 229 วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอนที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่า ของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่

82. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบาย โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของ
สังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข
(1) Emit J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 3 หน้า 229 ชาร์ลส์ โอ. โจนส์ (Charites O. Jones) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบายโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของสังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข

83. เป็นเทคนิคที่เน้นประเมินผลนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ โดยเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 1 หน้า 251 – 252 การประเมินผลแบบเป็นทางการ (Formal Evaluation) เป็นเทคนิคที่ใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของ นโยบาย โดยประเมินผลของนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้ อย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว

84. ใครได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
(1) Harold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) Date E. Richards
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

85. ตัวแบบของยอร์ค เสนอบทความที่กําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การ โดยกล่าวถึง
(1) การปฏิบัติ (Practice) กับความสําเร็จ (Achievement)
(2) ประสิทธิผล (Effectiveness) กับความสําเร็จ (Achievement)
(3) ความรับผิดชอบ (Responsibility) กับความสําเร็จ (Achievement)
(4) ประสิทธิผล (Effectiveness) กับความรับผิดชอบ (Responsibility)
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 177 ยอร์ค (Yorke) ได้เสนอบทความที่กําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การภายใต้ go “Indicators of Institutional Achievement: Some Theoretical and Empirical Considerations” เมื่อปี ค.ศ. 1986 โดยเขากล่าวว่า ประสิทธิผลขององค์การเป็นกรอบ การวิเคราะห์ถึงความสําเร็จที่สําคัญของการอุดมศึกษา และเขาใช้คําว่า “ประสิทธิผล” (Effectiveness) กับ “ความสําเร็จ” (Achievement) ในความหมายเดียวกัน

86. เป็นเทคนิคที่มีหลักการ 5 ประการ คือ Selective Anonymity, Informed Multiple Advocacy, Polarized Statistical Response, Structured Conflict, Computer Conferencing
(1) Format Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) มีหลักการสําคัญ 5 ประการ คือ
1. ความเป็นนิรนามเฉพาะระยะแรก (Selective Anonymity)
2. ผู้เชี่ยวชาญต่างสํานัก (Informed Multiple Advocacy)
3. การวิเคราะห์ทางสถิติแบบแยกกลุ่ม (Polarized Statistical Response)
4. การจัดโครงสร้างความขัดแย้ง (Structured Conflict)
5. การประชุมโดยคอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing)

87. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลอง ที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

88. ข้อใดไม่ใช่ตัวแบบของวรเดช จันทรศร การนํานโยบายไปปฏิบัติทั้ง 6 ตัวแบบ
(1) ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ
(2) ตัวแบบด้านหลักการพื้นฐาน
(3) ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
(4) ตัวแบบด้านการจัดการ
(5) ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

89. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 70
(3) มาตรา 72
(4) มาตรา 74
(5) มาตรา 76
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 72 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
3. จัดให้มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทํากินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ฯลฯ

90. นโยบายจัดระเบียบสังคม เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Re-Distributive Policy
(4) Capitalization Policy.
(5) Ethical Policy
ตอบ 1 หน้า 5, (คําบรรยาย) นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy) เป็นนโยบาย ที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐบาลกําหนดขึ้นเพื่อให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามถือว่าผิดกฎหมายต้องถูกลงโทษ หรือเป็นกติกาในการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคมอย่างเสมอภาค และเป็นธรรม เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายจราจร (เช่น โครงการเมาไม่ขับ การขับรถยนต์ต้องมีใบขับขี่) นโยบายจัดระเบียบสังคม เป็นต้น

91. ใครเสนอว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทํา เช่น การบริการสาธารณะ
(1) Theodore Lowi
(2) Ira Sharkansky
(3) Cart J. Friedrich
(4) William Greenwood
(5) David Easton
ตอบ 2 หน้า 3 ไอรา ซาร์แคนสกี้ (Ira Sharkansky) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรม ต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระทํา เช่น การบริการสาธารณะ การควบคุมกิจกรรมของบุคคลหรือธุรกิจ ของเอกชน เป็นต้น”

92. การนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เป็นแนวโน้มในเรื่องใด
(1) แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า
(2) แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ
(3) แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย
(4) แนวโน้มเกี่ยวกับรูปแบบ
(5) แนวโน้มเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน
ตอบ 3หน้า 74 แนวโน้มการวิเคราะห์นโยบายในอนาคต มี 3 แนวโน้มใหญ่ คือ
1. แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า จะมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายโดยหาทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ทําให้ประชาชนพอใจ และสนองต่อคุณค่าต่าง ๆ ของสังคม โดยการเน้นให้ประชาชน กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น เพื่อให้นโยบายที่เกิดขึ้นสนองตอบต่อสังคมโดยส่วนรวมอย่างแท้จริง
2. แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย จะมุ่งเน้นการหาวิธีการที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณามิติทางการเมืองและการบริหาร และมีการนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขาวิชา มาใช้ในการวิเคราะห์นโยบายในลักษณะสหวิทยาการ
3. แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ จะมุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงธุรกิจที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน (Cost-Benefit) รวมทั้งการคํานึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะเกิดขึ้นด้วย

93. วิทยานิพนธ์ “California Educational Policy Implementation : The Case of Stull Act” เป็นการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ มุ่งเน้นเรื่อง
(1) กฎหมาย
(2) สภาพแวดล้อมภายนอกโรงเรียน
(3) คุณภาพการศึกษา
(4) การบริหารงานโรงเรียน
(5) คุณภาพชีวิตของครูในโรงเรียน
ตอบ 1 หน้า 145 – 146 อีมิลี่ ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ได้เสนอ วิทยานิพนธ์เรื่อง “California Educational Policy Implementation : The Case of Stull Act” เมื่อปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเป็นการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเน้นเรื่องกฎหมาย “Stull Act” ซึ่งเป็นกฎหมายที่กําหนดมาตรการในการปฏิรูปโรงเรียน รัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นที่การประเมินครูเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อ ความสําเร็จทางการศึกษาของโรงเรียน

94. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจ ขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 73
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 75 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน
2. ในการพัฒนาประเทศ รัฐจึงคํานึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนา ด้านจิตใจ และความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน
3. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ฯลฯ

95. ประเทศไทยมี New Engines of Growth ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลาย
เชิงวัฒนธรรม
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

96. นโยบายปฏิรูประบบราชการ เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Economic Policy
(2) Education Policy
(3) Social Policy
(4) Administrative Policy
(5) Politic & Defence Policy
ตอบ 4 หน้า 7, (คําบรรยาย) นโยบายทางการบริหาร (Administrative Policy) เป็นนโยบายรอง ที่กําหนดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานหรือองค์การนั้น ๆ เช่น นโยบายธรรมาภิบาล นโยบายการปฏิรูประบบราชการ นโยบายเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชน มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง นโยบายการบริหารงานบุคคล นโยบายการบริหารงานคลัง โครงการประเทศไทยใสสะอาด เป็นต้น

97. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการจัดการบริการสาธารณะ
(1) Thomas R. Dye
(2) Ira Sharkansky
(3) David Easton
(4) James Anderson
(5) Theodore Lowi
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

98. ไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้เฉพาะในเรื่องของ Input
และ Product เท่านั้น
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

99. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องสําหรับแวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น
(1) ให้ความสําคัญกับการบริหารงานบุคคล
(2) บทความเรื่อง “The Policy Implementation Process : A Conceptual Framework”
(3) สํารวจกระบวนการของการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) เสนอตัวแบบในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติในองค์การที่รับผิดชอบต่อนโยบายโดยตรง
ตอบ 1 หน้า 171 – 172 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter and Van Horn) ร่วมกันเขียน บทความเรื่อง “The Policy Implementation Process : A Conceptual Framework” เมื่อปี ค.ศ. 1975 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสํารวจกระบวนการของการนํานโยบายไปปฏิบัติพร้อมกับนําเสนอตัวแบบในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับผู้ปฏิบัติในองค์การที่รับผิดชอบต่อนโยบายโดยตรง และองค์การอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

100. ใครเสนอว่า นโยบายสาธารณะเป็นแนวทางที่เป็นบรรทัดฐานในการดําเนินงานของหน่วยงาน
(1) Theodore Lowi
(2) Ira Sharkansky
(3) Carl J. Friedrich
(4) William Greenwood
(5) David Easton
ตอบ 4 หน้า 3 วิลเลียม กรีนวูด (William Greenwood) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง
การตัดสินใจขั้นต้นของรัฐบาลเพื่อเป็นแนวทางที่เป็นบรรทัดฐานในการดําเนินงานของหน่วยงาน
ไปสู่วัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

POL3301 นโยบายสาธารณะ 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3301 นโยบายสาธารณะ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. รัฐจึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 66
(2) มาตรา 67
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 67 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
2. รัฐจึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท
เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา
3. รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่ารูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

2.กอกจิน เสนอตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่
(1) นโยบาย การบริหารและการจัดการ
(2) นโยบาย การบริหารและเป้าหมาย
(3) นโยบาย องค์การ และเป้าหมาย
(4) นโยบาย องค์การ และผู้ปฏิบัติงาน
(5) นโยบาย องค์การ และการบริหาร
ตอบ 4 หน้า 156 มอลคอม กอกจีน (Malcom Goggin) ได้เสนอผลจากการศึกษาเพิ่มเติม โดยพบว่า ตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่ นโยบาย องค์การ และ ผู้ปฏิบัติงาน โดยมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม มาเกี่ยวข้องด้วย

3.การรับรู้ถึงปัญหาสาธารณะเกี่ยวข้องกับนโยบายในด้านใด
(1) Policy Analysis
(2) Policy Implementation
(3) Policy Impacts
(4) Policy Evaluation
(5) เกี่ยวข้องกับนโยบายทุกด้าน
ตอบ 1 หน้า 73 เควด (E.S. Quade) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายที่สําคัญของการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis) มีดังนี้
1. เพื่อให้ผู้กําหนดนโยบายได้รับรู้ถึงปัญหาสาธารณะโดยแจ้งชัด
2. เพื่อปรับปรุงคุณภาพการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบายที่สามารถแก้ปัญหาหรือ
ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้
3. เพื่อสร้างกระบวนการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมและเป็นระบบ

4.โทมัส บี. สมิท เสนอขั้นตอนการนํานโยบายไปปฏิบัติประกอบด้วยตัวแปร 4 ตัวแปร ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) นโยบายที่เป็นอุดมคติ
(2) องค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) เป้าหมายขององค์การ
(4) กลุ่มเป้าหมาย
(5) ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม
ตอบ 3หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) เสนอขั้นตอนของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรที่สําคัญ 4 ตัวแปร คือ
1. นโยบายที่เป็นอุดมคติ
2. องค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
3. กลุ่มเป้าหมาย
4. ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม

5. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 65
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 70
(5) มาตรา 71
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 71 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม
2. รัฐจึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถสูงขึ้น
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
4. ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐจึงคํานึงถึงความจําเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของ เพศ วัย และสภาพของบุคคล

6. การจัดทําร่างนโยบายอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
(2) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การก่อตัวของนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 25 – 26, (คําบรรยาย) ขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย (Policy Formulation) เป็นขั้นตอนที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเรื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การกําหนดวัตถุประสงค์
2. การกําหนดทางเลือก
3. การจัดทําร่างนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ แนวทางและ มาตรการ การจัดลําดับทางเลือก และการหาข้อมูลประกอบการพิจารณา

7. การศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นสาขาวิชาที่เกิดขึ้นใหม่เมื่อไร
(1) ค.ศ. 1988
(2) ค.ศ. 1989
(3) ค.ศ. 1970
(4) ค.ศ. 1969
(5) ค.ศ. 1960
ตอบ 3 หน้า 151 – 152 การศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นสาขาวิชาที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ราว ค.ศ. 1970 โดยการนํานโยบายไปปฏิบัตินั้นถือเป็นขั้นตอนที่สําคัญ แต่มักจะไม่ได้รับความสนใจ อย่างจริงจัง ทั้งนี้เพราะแต่เดิมนั้นนักวิเคราะห์นโยบายมักจะแยกการนํานโยบายไปปฏิบัติ ออกจากการวางนโยบาย และศึกษาเฉพาะเป้าหมาย ผลที่ได้รับหรือผลกระทบจากนโยบาย เหตุผลสนับสนุนนโยบายและเสนอทางเลือกนโยบายเท่านั้น โดยละเลยขั้นตอนการนํานโยบายไปปฏิบัติทั้งที่ความล้มเหลวของนโยบายส่วนมากมักเกิดขึ้นเนื่องจากไม่ได้คํานึงถึงความเป็นไปได้ของการนํานโยบายไปปฏิบัติ

8.วรเดช จันทรศร เสนอตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผลประกอบด้วย
(1) การกําหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงาน
(2) ความชัดเจนในการกําหนดวัตถุประสงค์และภารกิจ
(3) ระบบการวัดและประเมินผล
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 183 วรเดช จันทรศร ได้เสนอตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล ซึ่งมีตัวแปรอิสระที่สําคัญ คือ ความชัดเจนในการกําหนดวัตถุประสงค์และภารกิจ การมอบหมายงาน การกําหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงาน ระบบการวัดและประเมินผล และระบบการให้คุณให้โทษแก่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ

9.ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอน ที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่าของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่
(1) Emit J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 4 หน้า 229 วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอนที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่า ของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่

10. ไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้เฉพาะในเรื่องของ Input และ Product เท่านั้น
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 234 – 235 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง (Experimental Design) มีข้อจํากัดดังนี้
1. วิธีการที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมักมีปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัด ในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
2. วิธีการทดลองไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้ เฉพาะในเรื่องของ Input และ Product เท่านั้น
3. วิธีการทดลองไม่สามารถควบคุมความเที่ยงตรงภายนอกได้ จึงทําให้ผลที่ได้มาจาก การทดลองอาจจะไม่เหมือนกับผลที่ได้มาจากการดําเนินการจริง ฯลฯ

11. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย เป็นประโยชน์ต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 3 หน้า 264 ประโยชน์ของวิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) คือ สามารถให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ในนโยบาย การประเมินจึงครอบคลุมกว้างขวางรวมทุกประเด็นไว้หมด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ

12. โครงการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Ethical Policy
(2) Re-Distributive Policy
(3) Regulative Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Distributive Policy
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรร ทรัพยากรเสียใหม่ (Re-Distributive Policy) เป็นนโยบายที่กําหนดขึ้นเพื่อประชาชนบางอาชีพ
ผู้ประกอบการบางสาขาการผลิต พื้นที่บางพื้นที่ตามความจําเป็น เช่น การออกบัตรประกันสังคม การออกบัตรสุขภาพ นโยบายการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ นโยบายการจํานําข้าว นโยบาย เพิ่มค่าแรง 300 บาทต่อวัน โครงการช่วยเหลือชาวสลัม โครงการสงเคราะห์คนชรา โครงการ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โครงการอาหารกลางวันแก่เด็กยากจน กองทุนพัฒนาสตรี เป็นต้น หรือ เป็นนโยบายที่ดึงเอาทรัพยากรจากประชาชนกลุ่มหนึ่งมาจัดสรรใหม่ให้เกิดประโยชน์แก่ ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ด้อยโอกาส เช่น นโยบายภาษี (เช่น นโยบายเก็บภาษีทรัพย์สิน อัตราก้าวหน้า) นโยบายการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร เป็นต้น

13. เป็นเทคนิคที่นําเอาข้อคิดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราว ของนโยบายที่กําลังประเมินมาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 3 หน้า 259 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) เป็นเทคนิคที่นําเอาข้อคิดและความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราวของนโยบายที่กําลังประเมิน มาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย

14. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Harold Lasswell กล่าวว่า นโยบายเกี่ยวข้องกับแผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น
(2) Thomas R. Dye นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจว่าจะทําหรือไม่ทํา
(3) Theodore Lowi เป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
(4) David Easton เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 3, 58 – 59 ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่เน้นการสร้างภาพรวมและได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” ได้ให้ความหมาย นโยบายสาธารณะร่วมกับอับราแฮม แคปแพลน (Abraham Kaplan) ว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง แผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น อันประกอบด้วยเป้าหมาย คุณค่า และแนวการ ปฏิบัติงานต่าง ๆ”

15. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะตกลงใจว่านโยบาย ที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่ มุ่งหวังไว้หรือไม่
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 1 หน้า 228 อีมิล เจ. โพซาร์ค และเรย์มอนด์ จี. แครี (Emil J. Posavac & Raymond G. Carey) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีการหลายวิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะ ตกลงใจว่านโยบายที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้ หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่

16. ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ําสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
(1) ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ความเหมาะสม
(4) ความพอเพียง
(5) ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ 2 หน้า 99, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายโดยใช้ต้นทุนต่ำสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด

17. เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 5 หน้า 265 การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบไม่ต่อเนื่อง (Regression-Discontinuity Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา
เทคนิคนี้เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้ เรียบร้อยแล้ว

18. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถ แยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 4 หน้า 264 – 265 การวิเคราะห์อนุกรมเวลาแบบขาดตอน (Interrupted Time Series Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบายไปปฏิบัติ ในรูปของตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับ การประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการดําเนินงาน ที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว จุดเด่นของเทคนิคนี้ คือ ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณา ผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถแยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จาก ผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น

19. นโยบายจัดระเบียบสังคม เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Capitalization Policy
(2) Re-Distributive Policy
(3) Regulative Policy
(4) Ethical Policy
(5) Distributive Policy
ตอบ 3 หน้า 5, (คําบรรยาย) นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy) เป็นนโยบาย ที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐบาลกําหนดขึ้นเพื่อให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามถือว่าผิดกฎหมายต้องถูกลงโทษ หรือเป็นกติกาในการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคมอย่างเสมอภาค และเป็นธรรม เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายจราจร (เช่น โครงการเมาไม่ขับ การขับรถยนต์ต้องมีใบขับขี่) นโยบายจัดระเบียบสังคม เป็นต้น

20. การยกเลิกนโยบายที่ไม่เหมาะสมอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
(2) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(3) การประเมินนโยบาย
(4) การก่อตัวของนโยบาย
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 1 หน้า 52 – 53 ขั้นตอนการปรับปรุง แก้ไข และยกเลิกนโยบาย (Policy Termination) ประกอบด้วย
1. การนําผลหรือข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลนโยบายมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจ ในการปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกนโยบาย
2. การนําผลสรุปของการประเมินผลนโยบายทั้งหมด ไปใช้ในการกําหนดนโยบายอื่น ๆ ต่อไป

21. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขต
การดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว
(1) Format Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

22. มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ Value-Based Economy
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 (คําบรรยาย) Thailand 4.0 มีสาระสําคัญดังนี้
1. เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยน โครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย นวัตกรรม”
2. เป็น “Reform in Action” ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อม ๆ กัน
3. เป็นแนวคิดที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ทุนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ ทุนมนุษย์
4. เป็นการพัฒนา “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth) ซึ่งประเทศไทยมีอยู่ 2 ด้าน ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายเชิงวัฒนธรรมให้เป็นความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน โดยการเติมเต็มด้วย วิทยาการทั้ง 5 ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัย และพัฒนา ฯลฯ

23. เป็นเทคนิคที่มีหลักการ 5 ประการ คือ Selective Anonymity, Informed Multiple Advocacy, Polarized Statistical Response, Structured Conflict, Computer Conferencing
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 3หน้า 260 – 261 วิธีเดลฟ์เชิงนโยบาย (Policy Delphi) มีหลักการสําคัญ 5 ประการ คือ
1. ความเป็นนิรนามเฉพาะระยะแรก (Selective Anonymity)
2. ผู้เชี่ยวชาญต่างสํานัก (Informed Multiple Advocacy)
3. การวิเคราะห์ทางสถิติแบบแยกกลุ่ม (Polarized Statistical Response)
4. การจัดโครงสร้างความขัดแย้ง (Structured Conflict)
5. การประชุมโดยคอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing)

24. ทฤษฎีการนํานโยบายไปปฏิบัติ นักวิชาการท่านใดเสนอวิธีการที่ดีในการบริหารโปรแกรมใหม่คือการตั้งหน่วยขึ้นมารับผิดชอบโดยตรง
(1) เพรสแมนและวิลด์ฟสกี
(2) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(3) โทมัส บี. สมิท
(4) มองจอยและโอทูเล
(5) แวน มิเตอร์
ตอบ 4 หน้า 167 ตามทฤษฎีการนํานโยบายไปปฏิบัติของมองจอยและโอทูเล (Montijoy and O’Toole) มองว่า เมื่อนักบริหารต้องเผชิญกับข้อจํากัดทั้งในแง่ทรัพยากรและกฎหมายย่อมนําไปสู่การใช้ ดุลพินิจในที่สุด ดังนั้นการที่หน่วยงานจะใช้ดุลพินิจมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแกร่งและทิศทางของพลังผลักดันในองค์การ วิธีการที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการนํานโยบายไปปฏิบัติขององค์การจะต้องกําหนดความชัดเจนของกฎหมายและจัดสรรทรัพยากรให้แก่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติเพียงพอ รับผิดชอบโดยตรง
วิธีการที่ดีที่สุดในการบริหารโปรแกรมใหม่คือการตั้งหน่วยขึ้นมา

25. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลอง ที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 235 – 236 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Design) มีลักษณะสําคัญดังนี้
1. ในกรณีที่เงื่อนไขไม่เอื้ออํานวยที่จะใช้การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง วิธีการนี้จะทําให้ได้เปรียบในการนําไปปฏิบัติ โดยผู้ใช้จะต้องยอมรับเบื้องต้นก่อนว่าวิธีการที่จะนําไปใช้มีความสนใจที่ปัจจัยใดบ้างและปล่อยให้ปัจจัยใดบ้างปราศจากการควบคุม
2. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) ได้แก่ การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลองที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
3.วิธีการนี้มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากโครงการ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็น ความล้มเหลวของโครงการ ฯลฯ

26. รัฐจึงดําเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบ
คุณธรรม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 76 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และงานของรัฐอย่างอื่นให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
2. รัฐจึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชน ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รัฐจึงดําเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม
4. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนด ประมวลจริยธรรมสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ

27. งานวิจัยของธงชัย สมครุฑ ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) งานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก
(2) กลุ่มตัวอย่างเป็นข้าราชการในกระทรวงแรงงาน
(3) ศึกษาวิทยาลัยครู 36 แห่ง
(4) มีปัญหาสําคัญ 5 ประการ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 151 ธงชัย สมครุฑ ได้เสนอวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเมื่อปี ค.ศ. 1986 So “An Analysis of Selected Issues in Teacher Education as Perceived by the Presidents and Vice-Presidents of Teacher Colleges in Thailand” โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อจําแนก วิเคราะห์และเปรียบเทียบการรับรู้ของอธิการและรองอธิการของ วิทยาลัยครู 36 แห่งในปัญหาที่สําคัญ 5 ประการ คือ
1. ปัญหาทางการบริหาร
2. ปัญหาทางด้านวิชาการ
3. ปัญหาด้านการรับนักศึกษา
4. ปัญหาด้านการเงิน
5. ปัญหาด้านการร่วมมือ

28. นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Re-Distributive Policy
(2) Ethical Policy
(3) Capitalization Policy
(4) Distributive Policy
(5) Regulative Policy
ตอบ 3 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายเพื่อการลงทุน (Capitalization Policy) เป็นนโยบายที่รัฐบาล กําหนดขึ้นเพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ หรือเพื่อแสวงหาทรัพยากรใหม่ ๆ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา แล้วก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ หรือการสร้างสิ่งก่อสร้างบางอย่างเพื่อเป็น พื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป เช่น นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและภาคใต้ การสร้างสนามบิน การสร้างนิคมอุตสาหกรรม การสร้างท่าเรือน้ําลึก การวางท่อก๊าซ เป็นต้น

29. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบายไปปฏิบัติในรูปของ ตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

30. นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Administrative Policy
(2) Social Policy
(3) Politic & Defence Policy
(4) Economic Policy
(5) Education Policy
ตอบ 4 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายทางด้านเศรษฐกิจ (Economic Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างรายได้และการกินดีอยู่ดีของประชาชน โดยให้ประชาชนได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน อะไรที่ได้มาซึ่งรายได้หรือรายจ่าย และเมื่อจ่ายไปแล้วก็จะมีการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ทําให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบายจ่ายเงินให้ชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท การส่งเสริมอาชีพให้ประชาชน โครงการธงฟ้าราคาประหยัด โครงการ ธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การพักชําระหนี้ให้เกษตรกร การดูแล ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่
ผู้บริโภคและผู้ผลิต เป็นต้น

31.ใครเสนอว่า นโยบายสาธารณะเป็นแนวทางที่เป็นบรรทัดฐานในการดําเนินงานของหน่วยงาน
(1) Theodore Lowi
(2) David Easton
(3) William Greenwood
(4) Carl J. Friedrich
(5) Ira Sharkansky
ตอบ 3 หน้า 3 วิลเลียม กรีนวูด (William Greenwood) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึงการตัดสินใจขั้นต้นของรัฐบาลเพื่อเป็นแนวทางที่เป็นบรรทัดฐานในการดําเนินงานของหน่วยงานไปสู่วัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้”

32. นโยบายต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เงื่อนไขแรกเริ่มและผลที่มุ่งหวัง
(1) ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach)
(2) เพรสแมน (Pressman) และวิลดัฟสกี (Wildavsky)
(3) พอล เอ. ซาบาเตียร์ (Paul A. Sakiatier)
(4) มองจอย (Montjoy) และโอทูเล (O’Toole)
(5) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน (Daniel A. Mazmanian)
ตอบ 2 หน้า 164 เพรสแมน (Pressman) และวิลดัฟสกี (Wildavsky) กล่าวว่า การนํานโยบาย ไปปฏิบัติ คือ การผลิตผลลัพธ์ออกมา และการทําให้สําเร็จ โดยการนํานโยบายไปปฏิบัติ จะต้องมีนโยบายเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการนํานโยบายไปปฏิบัติ และนโยบายโดยทั่วไปจะต้อง ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เงื่อนไขแรกเริ่มและผลที่มุ่งหวัง

33. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบาย โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของ
สังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn.
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 3 หน้า 229 ชาร์ลส์ โอ. โจนส์ (Chartes O. Jones) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบายโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของสังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข

34. นโยบายการมีถนนแยกเล่นไปสู่ทุกจังหวัด เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Re-Distributive Policy
(4) Ethical Policy
(5) Capitalization Policy
ตอบ 2 หน้า 5, (คําบรรยาย) นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy) เป็นนโยบายที่รัฐบาลต้องจัดบริการพื้นฐานให้ประชาชนทุกคนได้ใช้หรือเพื่อให้ประชาชนทั่วไป โดยส่วนรวมมีโอกาสได้รับบริการสาธารณะที่เป็นของรัฐบาลอย่างทั่วถึงและพอเพียง เช่น นโยบายการมีถนนแยกเล่นไปสู่ทุกจังหวัดนโยบายการลดราคาน้ำมันเบนซิน โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน การขยายช่องทางจราจรหรือการสร้างถนน นโยบายให้มีสถานพยาบาลให้ครบทุกอําเภอ การจัดให้มีบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค การจัดให้มีไฟฟ้าและน้ําประปา ใช้ทุกหมู่บ้าน เป็นต้น

35. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการที่ Stuart S. Nagel เสนอ
(1) การวิเคราะห์ผลตอบแทนสูงสุด
(2) การกําหนดคน สถานที่ อุปกรณ์
(3) การกําหนดเป้าหมายเพื่อบรรลุผล
(4) การกําหนดแผนงาน
(5) การกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
ตอบ 4 หน้า 239 – 240 สจ๊วตท เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) ได้เสนอแนวคิดในการวิเคราะห์ ข้อมูลแบบง่ายสําหรับการวิเคราะห์หรือการประเมินนโยบาย ซึ่งมีหลักการหรือกระบวนการ ที่สําคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. กําหนดเป้าหมายเพื่อการบรรลุผล หรือการให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด
2. กําหนดเป้าหมายสัมพันธ์
3. กําหนดคน สถานที่ หรือวัสดุอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับนโยบายนั้น
4. กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
5. ปรับความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย

36. ใครกล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่าของผลการดําเนินการตามนโยบาย
เพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Chartes O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 5 หน้า 230 ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่า ของผลการดําเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ซึ่งการประเมินผลนี้ไม่ได้แยกเป็นเอกเทศจากขั้นตอนนโยบายอื่น แต่เกี่ยวข้องกันตลอดเวลา

37. นโยบายหน้าบ้านน่ามอง เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Regulative Policy
(2) Re-Distributive Policy
(3) Ethical Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Distributive Policy
ตอบ 3 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายเพื่อจริยธรรม (Ethical Policy) เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่มีการบังคับให้ผู้ใดปฏิบัติตาม แต่ต้องการจูงใจและสนับสนุนหรือส่งเสริมให้ประชาชน มีความรู้สึกสํานึกที่ดี และมีจิตสํานึกในทางที่ถูกที่ควรที่จะปฏิบัติตาม เช่น โครงการพลังแผ่นดิน โครงการเมืองน่าอยู่ โครงการถนนสีขาว นโยบายหน้าบ้านน่ามอง นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ในประเทศ นโยบายส่งเสริมให้มีน้ําใจกับนักท่องเที่ยว และการรณรงค์ต่าง ๆ เป็นต้น

38. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวคิดของยอร์ค
(1) บทความที่กําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การเมื่อปี ค.ศ. 1986
(2) 13 ตัวแปรที่แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล
(3) 4 ตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การ
(4) ความสําเร็จของการอุดมศึกษา คือ “ประสิทธิผล” กับ “ความสําเร็จ”
(5) ทบทวนวรรณกรรมวิชาการ 3 ท่าน ลินเซย์ แอนนิตา และแคมเมอรา
ตอบ 2 หน้า 177 – 178 ยอร์ค (Yorke) ได้เสนอบทความที่กําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การ ภายใต้ชื่อ “Indicators of Institutional Achievement : Some Theoretical and Empirical Considerations” เมื่อปี ค.ศ. 1986 โดยเขากล่าวว่า ประสิทธิผลขององค์การ เป็นกรอบการวิเคราะห์ถึงความสําเร็จที่สําคัญของการอุดมศึกษา และเขาใช้คําว่า “ประสิทธิผล” (Effectiveness) กับ “ความสําเร็จ” (Achievement) ในความหมายเดียวกัน นอกจากนี้ ยอร์คยังได้ทบทวนวรรณกรรมทางวิชาการที่ได้เสนอแนวการศึกษาประสิทธิผลของสถาบัน อุดมศึกษาของ 3 ท่าน คือ ลินเซย์ แอนนิตา และแคมเมอรา และนํามาสร้างเป็นตัวแปรที่ แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลทั้งสิ้น 11 ตัวแปร

39. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนดประมวลจริยธรรม สําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

40. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจ ขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 73
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 75 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน
2. ในการพัฒนาประเทศ รัฐจึงคํานึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนา ด้านจิตใจ และความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน
3. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ฯลฯ

41. การศึกษาปัญหาของประชาชนเป็นขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
(5) การเตรียมและเสนอนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 23 – 25 ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย
1. การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน
2. การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา
3. ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ
4. การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา

42. สรุปการนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
(1) การดําเนินงานของภาครัฐที่มีเป้าหมายให้สําเร็จลุล่วงตามเป้าหมายของกลุ่มผู้ปฏิบัติ
(2) การดําเนินงานให้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
(3) กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนด
(4) กระบวนการขององค์การภาครัฐนําไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
(5) ขั้นตอนการดําเนินงานของภาครัฐให้บริการต่อประชาชน
ตอบ 3 หน้า 143 การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) หมายถึง กระบวนการ ในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนดไว้

43. นโยบายปฏิรูประบบราชการ เกี่ยวข้องกับนโยบายใด
(1) Education Policy
(2) Social Policy
(3) Economic Policy
(4) Politic & Defence Policy
(5) Administrative Policy
ตอบ 5 หน้า 7, (คําบรรยาย) นโยบายทางการบริหาร (Administrative Policy) เป็นนโยบายรอง ที่กําหนดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานหรือองค์การนั้น ๆ เช่น นโยบายธรรมาภิบาล นโยบายการปฏิรูประบบราชการ นโยบายเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชน มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง นโยบายการบริหารงานบุคคล นโยบายการบริหารงานคลัง โครงการประเทศไทยใสสะอาด เป็นต้น

44. ข้อใดไม่ถูกต้องตามแนวคิดของกอกจีนและคณะ
(1) ได้รับอิทธิพลจากแนวการวิเคราะห์ระบบการเมืองของเดวิด อีสตัน
(2) ตัวแปรอิสระมีการชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลกลาง
(3) ตัวแปรอิสระมีความสามารถของรัฐ
(4) ตัวแปรอิสระมีการตัดสินใจของรัฐ
(5) ตัวแปรอิสระมีความร่วมมือกับภาคเอกชน
ตอบ 5 หน้า 173 – 174 กอกจีนและคณะ ได้เสนอตัวแบบการนํานโยบายไปปฏิบัติซึ่งได้รับอิทธิพล
จากแนวความคิดการวิเคราะห์ระบบการเมืองของเดวิด อีสตัน โดยตัวแบบของกอกจินและคณะ
มีตัวแปรอิสระซึ่งประกอบด้วย
1. การชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลกลาง
2. การชี้นําและข้อจํากัดของรัฐบาลส่วนท้องถิ่น
3. ความสามารถของรัฐ
4. การตัดสินใจของรัฐ

45.เลนเธอแมน เป็นผู้ริเริ่มคิดค้นออกกฎหมาย The Lanterman Petris Short (L-P-S) Act ซึ่งมี
ความเกี่ยวข้องกับนโยบายใด
(1) การปฏิรูปนโยบายด้านการคลัง
(2) การปฏิรูปนโยบายด้านสุขภาพจิต
(3) การปฏิรูปนโยบายด้านการศึกษา
(4) การปฏิรูปนโยบายด้านแรงงาน
(5) การปฏิรูปนโยบายด้านเศรษฐกิจ
ตอบ 2 หน้า 157 เล่นเธอแมน (Lanterman) เป็นผู้ริเริ่มคิดค้นออกกฎหมาย “The Lanterman Petris Short (L-P-S) Act” โดยกฎหมายนี้ได้แสดงแนวทางการปฏิรูปนโยบายด้านสุขภาพจิต ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ
1. การให้เสรีภาพแก่บุคคลที่ป่วยทางจิตให้มากขึ้น
2. การผลักดันให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขในระดับชุมชนและระดับประเทศนําหลักการบําบัดทางจิตในรัฐมาใช้

46. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 70
(3) มาตรา 72
(4) มาตรา 74
(5) มาตรา 76
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 72 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
3. จัดให้มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทํากินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ฯลฯ

47. แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการ สุ่มตัวอย่าง ข้อดี ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้ เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 236 – 237 การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี เตรียมทดลอง (Pre-Experimental Design) แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบศึกษาก่อนและ
หลังจากที่ได้นําโครงการหนึ่ง ๆ เข้ามาใช้ แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการ เข้ามาใช้แล้วเพียงอย่างเดียว และแบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้ โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการสุ่มตัวอย่าง ซึ่งข้อดีของการประเมินผลด้วยวิธีการนี้ คือ
1. ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย
2. ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
3. ทําให้ผู้ประเมินได้รับข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังและเป็นระบบ

48. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
(1) ความเหมาะสม
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ประสิทธิผล
(4) ความสามารถในการตอบสนอง
(5) ความพอเพียง
ตอบ 4 หน้า 101 ความสามารถในการตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ความสามารถ ของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบ และค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่สามารถทําให้กลุ่มที่มี ความจําเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกนั้นด้วย

49. การจัดวาระในการพิจารณานโยบายอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(3) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(4) การก่อตัวของนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ 3หน้า 49 – 50 ขั้นตอนการอนุมัติและประกาศนโยบาย (Policy Adoption) ประกอบด้วย
1. การจัดวาระในการพิจารณานโยบาย
2. การพิจารณาร่างนโยบาย
3. การอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
4. การประกาศนโยบาย

50. ใครเสนอให้จําแนกประเภทของนโยบายตามเนื้อหาสาระของนโยบาย
(1) William Greenwood
(2) Theodore Lowi
(3) Carl J. Friedrich
(4) David Easton
(5) Ira Sharkansky
ตอบ 2 หน้า 5 – 6 (คําบรรยาย) ธีโอดอร์ โควาย (Theodore Lowi) ได้เสนอให้จําแนกประเภท ของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy)
2. นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy)
3. นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรรทรัพยากรเสียใหม่ (Re-Distributive Policy)

51.Stuart S. Nagel สนใจการศึกษานโยบายเรื่องใด
(1) Policy Analysis
(2) Policy Process
(3) Policy Implementation
(4) Policy Impacts
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 61 – 68, 72, 164 – 171 นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
ได้แก่
1. เควด (E.S. Quade)
2. วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn)
3. สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Naget)
4. โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ฯลฯ
ส่วนนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) ได้แก่
1. กรอส (Gross)
2. ไจแอคควินทา (Giacquinta)
3. เบิร์นสไตล์ (Bernstein)
4. กรีนวูด (Greenwood)
5. แมน (Mann)
6. แมคลัฟลิน (McLaughlin)
7. เบอร์แมน (Berman)
8. เดล อี. ริชาร์ด (Dale E. Richards)
9. เพรสแมน (Pressman)
10. วิลดัฟสกี (Wildavsky)
11. มองจอย (Montjoy)
12. โอทูเล (O’Toole)
13. โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith)
14. พอล เอ. ซาบาเตียร์ (Paut A. Sabatier)
15. ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน (Daniel A. Mazmanian)
16. อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ฯลฯ

52. ข้อใดไม่ถูกต้องตามแนวคิดของเบอร์แมน
(1) บทความ “The Dugy of Macro and Micro Implementation”
(2) ฐานคติสําคัญคือปัญหาการนํานโยบายไปปฏิบัติส่วนมากจะเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์จากสถาบันต่าง ๆ
(3) นโยบายทางสังคมจะเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมต่อบริการของรัฐ
(4) ผู้ปฏิบัติในแต่ละระดับจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
(5) ผลสําเร็จของนโยบายอยู่ในมือของผู้ปฏิบัติ
ตอบ 4 หน้า 174 – 175 เบอร์แมน (Berman) ได้นําเสนอบทความเรื่อง “The Dugy of Macro and Micro Implementation” เมื่อปี ค.ศ. 1978 เพื่อใช้เป็นกรอบการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยมีฐานคติที่สําคัญว่าปัญหาการนํานโยบายไปปฏิบัติส่วนมากจะเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์จาก สถาบันต่าง ๆ ที่รับผิดชอบต่อการนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยเฉพาะนโยบายทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมต่อบริการของรัฐไปยังประชาชนนั้นสามารถจะแยกปัญหาทางการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในระดับมหภาคที่อยู่ในส่วนรับผิดชอบของรัฐบาลกลางออกจากปัญหาการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในระดับจุลภาคซึ่งอยู่ในส่วนรับผิดชอบของรัฐบาลส่วนท้องถิ่น กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติ ในแต่ละระดับจะสร้างปฏิสัมพันธ์ในการจะกําหนดว่าใครได้อะไร เมื่อไร และอย่างไร และ ส่งผลต่อระดับของความสําเร็จในขั้นปฏิบัติการได้ นอกจากนี้เบอร์แมนยังได้ชี้ให้เห็นว่าอํานาจ
อันทรงอิทธิพลในอันที่จะกําหนดผลสําเร็จของนโยบายอยู่ในมือของผู้ปฏิบัติในระดับท้องถิ่นหาใช่ผู้บริหารจากส่วนกลางแต่อย่างใด

53. ตามทฤษฎีเกี่ยวกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ เพรสแมนและวิลด์ฟสกี กล่าวถึง การนํานโยบายไปปฏิบัติ คือ
(1) การผลิตผลลัพธ์ออกมา การทําให้สําเร็จ
(2) การดําเนินงานภาครัฐให้ตรงตามเป้าหมาย
(3) กิจกรรมของภาครัฐที่แก้ไขปัญหาของประเทศ
(4) กระบวนการทํางานของภาครัฐ
(5) การทํางานตามที่ได้รับมอบหมายจากภาครัฐ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

54. ใครให้เหตุผลในการกําหนดนโยบายไว้ 3 ประการ คือ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลทางวิชาชีพและเหตุผลทางการเมือง
(1) Harold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) Date E. Richards
ตอบ 2 หน้า 57, (คําบรรยาย) โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผล (ความสําคัญ)
ของการศึกษาและการกําหนดนโยบายสาธารณะไว้ 3 ประการ คือ
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons) คือ การทําความเข้าใจเหตุและผลของ การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย เพื่อให้ได้นโยบายที่มีเหตุผลมากที่สุด
2. เหตุผลทางวิชาชีพ (Professional Reasons) คือ การนําความรู้เชิงนโยบายไปใช้แก้ปัญหา ทางด้านการปฏิบัติ โดยวิชาชีพที่แตกต่างกันจะทําให้การกําหนดนโยบายและการนํานโยบายไปปฏิบัติของแต่ละวิชาชีพมีความแตกต่างกัน
3. เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons) คือ การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสม ทางการเมืองมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง โดยการใช้เหตุผลทางการเมือง มักจะทําให้การกําหนดนโยบายเป็นไปอย่างไม่มีเหตุผลแต่เป็นที่ยอมรับของประชาชน เช่น นโยบายประชานิยมต่าง ๆ เป็นต้น

55. การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัดในการเลือกกลุ่ม
ในทางปฏิบัติจะมีน้อย
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

56. ทฤษฎีการนํานโยบายไปปฏิบัติของเออร์วิน ฮาร์โกรฟ ได้พัฒนาวิธีการจากแนวคิดฮิล (Hill) เพื่อสร้างเป็นทฤษฎีอะไร
(1) ทฤษฎีระดับต้น
(2) ทฤษฎีระดับกลาง
(3) ทฤษฎีระดับสูง
(4) ทฤษฎีระดับบริหาร
(5) ทฤษฎีระดับองค์การ
ตอบ 2 หน้า 169 เออร์วิน ฮาร์โกรฟ (Erwin Hargrove) ได้พัฒนาวิธีการจากแนวคิดฮิล (Hill เพื่อสร้างเป็นทฤษฎีระดับกลาง (Middle Range Theory) สําหรับการวิเคราะห์โปรแกรม ประเภทต่าง ๆ โดยมีหลักการที่สําคัญ 3 ประการ คือ
1. ปัญหาทางนโยบายที่ต่างประเภทกันจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มของผู้เข้าไปมีส่วนร่วมที่ต่างกันและระดับของการปฏิบัติการที่ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของนโยบายที่นําเสนอ
2. กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามลักษณะของนโยบายและนโยบายนั้น ๆ ยังสามารถจําแนกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการทํานายกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ
3. ภาษาที่ใช้ในกฎหมายใด กฎหมายหนึ่งจะใช้เป็นพื้นฐานในการจําแนกประเภทของโปรแกรม

57. การที่หน่วยงานนํานโยบายมาแปลงเป็นแผนงานและโครงการเป็นขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
(3) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) การเตรียมและเสนอนโยบาย
ตอบ 4 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่แสดงให้เห็นถึงการนําทรัพยากรต่าง ๆ ไปจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดผลตามนโยบายซึ่งประกอบด้วย
1. การส่งต่อนโยบาย (Policy Delivery)
2. การตีความหรือแปลงนโยบายออกมาเป็นแผนงานและโครงการ
3. การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย
4. การดําเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ (Street-Level Bureaucracy)
5. การจัดระบบสนับสนุน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร การมอบหมายอํานาจหน้าที่ และการติดต่อสื่อสาร
6. การติดตามและควบคุมผลการปฏิบัติงาน

58. สิ่งแวดล้อม เป็นตัวแปรที่สําคัญของทฤษฎีอะไร
(1) ทฤษฎีกลุ่ม
(2) ทฤษฎีระบบ
(3) ทฤษฎีการตัดสินใจ
(4) ทฤษฎีสถาบันนิยม
(5) ทฤษฎีผู้นํา
ตอบ 2 หน้า 108, (คําบรรยาย) ทฤษฎีระบบ (System Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตของระบบ โดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สําคัญ 5 ตัวแปร คือ
1. ปัจจัยนําเข้า (Inputs) (Outputs)
2. กระบวนการ (Process)
3. ปัจจัยนําออกหรือผลผลิต
4. ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback)
5. สิ่งแวดล้อม (Environment)

59. ลักษณะที่สําคัญของการนํานโยบายไปปฏิบัติ วิลเลียม เน้นการพิจารณาในฐานะนักทฤษฎีองค์การ กล่าวคือ
(1) มองโดยใช้องค์การเป็นกรอบอ้างอิง
(2) มององค์การเป็นกลไกขับเคลื่อน
(3) มององค์การเป็นปัจจัยแห่งความสําเร็จ
(4) มององค์การต้องการผู้นํา
(5) มององค์การที่เน้นการบริหาร
ตอบ 1 หน้า 144 ลักษณะสําคัญของการนํานโยบายไปปฏิบัติอาจมีแตกต่างกันขึ้นอยู่กับจุดเน้นหรือความสนใจของนักวิชาการแต่ละคน เช่น แมชมาเนียนและซาบาเตียร์มองการนํานโยบาย ไปปฏิบัติจากทรรศนะทางกฎหมายและมองจากระดับมหภาค ในขณะที่วิลเลียมเน้นการพิจารณา ในฐานะของนักทฤษฎีองค์การ กล่าวคือ มองโดยใช้องค์การเป็นกรอบอ้างอิง

60. ใครสนใจในการวิเคราะห์นโยบาย
(1) E.S. Quade
(2) Stuart S. Nagel
(3) Thomas B. Smith
(4) E.S. Quade และ Stuart S. Nagel
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

61. งานวิจัย ปิยวดี ภูศรี มีการศึกษา 3 ตัวแบบ ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ตัวแบบระบบราชการ
(2) ตัวแบบการตัดสินใจโดยเพื่อนร่วมงาน
(3) ตัวแบบทางการเมือง
(4) ตัวแบบชนชั้นนํา
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 150 ปิยวดี ภูศรี ได้เสนอวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่อง “An Examination of Models of Decision Making in Six Thai Teachers Colleges” เมื่อปี ค.ศ. 1985 โดยมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบตัวแบบการตัดสินใจของวิทยาลัยครูในประเทศไทย 6 แห่งใน 3 ตัวแบบ คือ 1. ตัวแบบระบบราชการ 2. ตัวแบบการตัดสินใจโดยเพื่อนร่วมงาน 3. ตัวแบบทางการเมือง

62. วิจัยของเจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์ มีปัจจัย 6 ด้านที่ใช้เป็นกรอบการปฏิบัตินโยบาย ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) จุดกําเนิดนโยบาย
(2) ความชัดเจนของนโยบาย
(3) เป้าหมายของนโยบาย
(4) การสนับสนุนของนโยบาย
(5) ความซับซ้อนของการบริหารนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 147 เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์ ได้ศึกษาเรื่อง “การปฏิบัตินโยบายสําหรับจังหวัดชายแดน ภาคใต้ : ศึกษาเฉพาะกรณีจังหวัดนราธิวาส” โดยกรอบทฤษฎีที่นํามาใช้ในการศึกษาใช้กรอบ การปฏิบัตินโยบายซึ่งประกอบด้วยปัจจัย 6 ด้าน คือ
1. จุดกําเนิดนโยบาย
2. ความชัดเจนของนโยบาย
3. การสนับสนุนของนโยบาย
4. ความซับซ้อนของการบริหารนโยบาย
5. แรงจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย
6. การจัดสรรทรัพยากร และกระบวนการทางสังคม

63.งานวิจัย Implementation (1973) ถือเป็นผลงานชิ้นสําคัญที่ทําให้เกิดวิชาใด
(1) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การศึกษานโยบายสาธารณะ
(3) ปัจจัยความสําเร็จของนโยบาย
(4) การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสําเร็จขององค์การ
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติขึ้นในการศึกษานโยบายสาธารณะ
ตอบ 5 หน้า 145 เพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman and Wildavsky) ได้เสนอผลงานการวิจัย การนํานโยบายไปปฏิบัติภายใต้ชื่อ “Implementation” เมื่อปี ค.ศ. 1973 ซึ่งผลงานฉบับนี้ ถือว่าเป็นก้าวหน้าสําคัญชิ้นหนึ่งที่ทําให้เกิดวิชาการนํานโยบายไปปฏิบัติขึ้นในการศึกษานโยบายสาธารณะ

64. ลักษณะ 5 ประการที่แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน พิจารณาว่าเป็นลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดผิด
(1) มีปัจจัยหลายประการที่สําคัญและอยู่นอกเหนือการควบคุม
(2) มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญมากมาย
(3) นโยบายและโครงการของรัฐบาลมักขยายใหญ่โตขึ้นทุกวัน
(4) เกี่ยวข้องกับหน่วยงานในระดับมหภาคเท่านั้น
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 144 แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน (Randell Ripley and Grace Franklin) ได้พิจารณาลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติว่ามีลักษณะสําคัญ 5 ประการ คือ
1. มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญ ๆ มากมาย
2. ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายและมักแตกต่างกัน
3. นโยบายและโครงการของรัฐบาลมักขยายใหญ่โตขึ้นทุกวัน
4. หน่วยงานในหลายระดับ จากหลายกระทรวง ทบวง กรม มีส่วนร่วมในการดําเนินกิจการ
5. มีปัจจัยหลายประการที่สําคัญมากและอยู่นอกเหนือการควบคุม

65. งานวิจัย อาคม ใจแก้ว ใช้วิธีทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และได้ทดสอบที่ตัวแบบ
(1) 2 ตัวแบบ
(2) 3 ตัวแบบ
(3) 4 ตัวแบบ
(4) 5 ตัวแบบ
(5) 6 ตัวแบบ
ตอบ 1 หน้า 148 – 149 อาคม ใจแก้ว ได้ศึกษาเรื่อง “การนํานโยบายไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ : ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความสําเร็จ” โดยใช้ทั้งวิธีการเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ และได้ทดสอบตัวแบบ 2 ตัวแบบ คือ ตัวแบบที่ 1 เป็นการศึกษาความสําเร็จ ของการนํานโยบายไปปฏิบัติโดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นเยาวชนไทยมุสลิม และตัวแบบที่ 2 เป็น การศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติโดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นข้าราชการระดับล่าง

66. นักวิชาการใดมองการนํานโยบายไปปฏิบัติจากทรรศนะทางกฎหมายและมองจากระดับมหภาค
(1) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน
(2) แมซมาเนียนและซาบาเตียร์
(3) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(4) โทมัส บี. สมิท
(5) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

67.เพรสแมน (Pressman) และวิลดัฟสกี (Wildavsky) กล่าวถึงการนํานโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลสําเร็จนั้น ต้องกําหนดสิ่งใด
(1) มีงบประมาณที่แน่นอน
(2) บุคลากรให้ความสําคัญ
(3) เป้าหมายมีความชัดเจน สามารถนําไปปฏิบัติได้จริง
(4) รูปแบบของนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) สภาพแวดล้อมที่เอื้ออํานวยต่อนโยบาย
ตอบ 4 หน้า 142 – 143 เพรสแมน (Pressman) และวิลดัฟสกี (Wildavsky) กล่าวว่า การนํานโยบาย ไปปฏิบัติ คือ การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์ และการนํานโยบาย ไปปฏิบัติให้เกิดผลสําเร็จนั้นต้องกําหนดรูปแบบของนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนํานโยบายไปปฏิบัติ

68. รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซง กิจการภายในของกันและกัน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 66
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 66 บัญญัติให้ รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับ นานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายใน ของกันและกัน ให้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ และคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติและของคนไทยในต่างประเทศ

69. การนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เป็นแนวโน้มในเรื่องใด
(1) แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย
(2) แนวโน้มเกี่ยวกับรูปแบบ
(3) แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ
(4) แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า
(5) แนวโน้มเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน
ตอบ 1 หน้า 74 แนวโน้มการวิเคราะห์นโยบายในอนาคต มี 3 แนวโน้มใหญ่ คือ
1. แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า จะมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายโดยหาทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ทําให้ประชาชนพอใจ และสนองต่อคุณค่าต่าง ๆ ของสังคม โดยการเน้นให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น เพื่อให้นโยบายที่เกิดขึ้นสนองตอบต่อสังคมโดยส่วนรวมอย่างแท้จริง
2. แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย จะมุ่งเน้นการหาวิธีการที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณามิติทางการเมืองและการบริหาร และมีการนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขาวิชา มาใช้ในการวิเคราะห์นโยบายในลักษณะสหวิทยาการ
3. แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ จะมุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงธุรกิจที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน(Cost-Benefit) รวมทั้งการคํานึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะเกิดขึ้นด้วย

70. รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มี ปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 73
(3) มาตรา 74
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 73 บัญญัติให้ รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือ กลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและ คุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือ เกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทํากินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด

71. แนวคิดของวรเดช จันทรศร ข้อใดถูกต้อง
(1) ค.ศ. 1984 มีบทความที่สําคัญ
(2) บทความเรื่อง “การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) ตัวแบบพิเศษ
(4) 6 ตัวแบบการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) ตัวแบบด้านการบริหารจัดการ
ตอบ 3 หน้า 182 – 183 วรเดช จันทรศร ได้เสนอบทความเรื่อง “การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า” เมื่อปี ค.ศ. 1984 ซึ่งในบทความนี้ได้นําเสนอตัวแบบการศึกษา การนํานโยบายไปปฏิบัติ 6 ตัวแบบ คือ
1. ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
2. ตัวแบบทางด้านการจัดการ
3. ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
4. ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ
5. ตัวแบบกระบวนการทางการเมือง
6. ตัวแบบทั่วไป

72. ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
(1) ประสิทธิผล
(2) ความพอเพียง
(3) ประสิทธิภาพ
(4) ความเหมาะสม
(5) ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ 2 หน้า 100 ความพอเพียง (Adequacy) หมายถึง ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทั่วไปเงื่อนไข ของทรัพยากรมักจะวัดในรูปของงบประมาณที่มีอยู่

73. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Nagel ศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) Dunn ศึกษาการวิเคราะห์นโยบาย
(3) Quade เสนอจุดมุ่งหมายในการวิเคราะห์นโยบาย
(4) Anderson ศึกษากระบวนการนโยบาย
(5) Dimock อธิบายความคิดสร้างสรรค์
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

74. ความหมายของกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติของยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) คือ
(1) กระบวนการ ขั้นตอนการดําเนินงานของภาครัฐ
(2) ขั้นตอนที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนของนโยบาย
(3) กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์
(4) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรกับองค์การ
(5) การจัดหาตระเตรียมวิธีการทั้งหลายที่จะให้ดําเนินงานสําเร็จลุล่วง
ตอบ 3 หน้า 142 ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) กล่าวว่า กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ เป็นกระบวนการทํางานทรงปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายก็ได้

75. ประเทศไทยมี New Engines of Growth ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลาย
เชิงวัฒนธรรม
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

76. มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ทุนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทุนมนุษย์
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

77. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลอง ที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
(1) Format Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

78.แรนดาล ริบเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน มีแนวคิดลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติคือข้อใด
(1) ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์และหลักการเหมือนกัน
(2) หน่วยงานในหลายระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
(3) มีปัจจัยหลายประการที่สําคัญมากอยู่นอกเหนือการควบคุม
(4) นโยบายและโครงการมักเป็นของรัฐและเอกชนลงทุนร่วมมือกัน
(5) รัฐจะเป็นฝ่ายกําหนดให้ภาคเอกชนดําเนินการก่อนเสมอ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

79. ใครเสนอว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทํา เช่น การบริการสาธารณะ
(1) Carl J. Friedrich
(2) Ira Sharkansky
(3) David Easton
(4) Theodore Lowi
(5) William Greenwood
ตอบ 2 หน้า 3 ไอรา ซาร์แคนสกี้ (Ira Sharkansky) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรม ต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระทํา เช่น การบริการสาธารณะ การควบคุมกิจกรรมของบุคคลหรือธุรกิจ ของเอกชน เป็นต้น”

80. มุ่งเน้นวิทยาการทั้ง 5 เพื่อความได้เปรียบ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการวิจัยและพัฒนา
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

81. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 71
(3) มาตรา 73
(4) มาตรา 75
(5) มาตรา 77
ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 68 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร
2. รัฐจึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงําใด ๆ
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จําเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้

82. รัฐจึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชนให้เกิด ความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 72
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 78
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

83. เหตุใดการนํานโยบายการจ้างงานชนกลุ่มน้อยแห่งนครโอคแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ไปปฏิบัติจึงประสบความล้มเหลว
(1) ผู้ริเริ่มและรับผิดชอบไม่ได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง
(2) มีประเด็นการตัดสินใจมากจนเกินไป
(3) ตัวโครงการเองไม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย
(4) มีจํานวนหน่วยงานเข้าไปมีส่วนร่วมมาก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 145 เพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman and Wildavsky) ได้ศึกษานโยบายการจ้างงาน ชนกลุ่มน้อยแห่งนครโอคแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย พบว่า การนํานโยบายการจ้างงานชนกลุ่มน้อย ไปปฏิบัติประสบความล้มเหลว เพราะสาเหตุจากผู้ริเริ่มและรับผิดชอบไม่ได้ดําเนินการอย่าง ต่อเนื่อง มีประเด็นการตัดสินใจมากจนเกินไป มีจํานวนหน่วยงานเข้าไปมีส่วนร่วมมากและต่างก็ มีวัตถุประสงค์และวิธีปฏิบัติที่ต่างกัน ตัวโครงการไม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย การควบคุม กับการอนุมัติงบประมาณขัดแย้งกัน ลักษณะการดําเนินงานกระทําด้วยความเร่งรีบมีความสลับซับซ้อนสูง และขาดการประสานงานที่ดี

84. เป็นเทคนิคที่ประกอบไปด้วย การประเมินความสามารถที่จะประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์
แบบพหุลักษณ์
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 การประเมินผลแบบพิจารณาความเหมาะสม (Decision Theoretical Evaluation) เป็นเทคนิคการประเมินผลที่มุ่งสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบายโดยใช้คุณค่าหรือผลประโยชน์ที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับเป็นเกณฑ์ประเมิน ซึ่งรูปแบบของการประเมินผลแบบนี้มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ การประเมินความสามารถที่จะ ประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์

85. ใครเสนอว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและแจกแจงคุณค่าของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมาย
(1) Theodore Lowi
(2) Ira Sharkansky
(3) Carl J. Friedrich
(4) William Greenwood
(5) David Easton
ตอบ 5 หน้า 3 เดวิด อีสตัน (David Easton) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรร และแจกแจงคุณค่า (Values) ต่าง ๆ ของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปเพื่อประโยชน์ ของสังคมส่วนรวม”

86.แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น เขียนบทความใดเมื่อปี ค.ศ. 1975
(1) The Policy Implementation Process: A Conceptual Framework
(2) Implementation
(3) The Case of Stull Act
(4) The Lanterman Petris Short Act
(5) Theory Constuction and Testing in Implementation Research: A Comparative State Diachronic Analysis
ตอบ 1 หน้า 171 – 172 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter and Van Horn) ร่วมกันเขียน บทความเรื่อง “The Policy Implementation Process : A Conceptual Framework” เมื่อปี ค.ศ. 1975 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสํารวจกระบวนการของการนํานโยบายไปปฏิบัติพร้อมกับนําเสนอตัวแบบในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับผู้ปฏิบัติในองค์การที่รับผิดชอบต่อนโยบายโดยตรง และองค์การอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

87. เป็นเทคนิคที่เน้นประเมินผลนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ โดยเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis
ตอบ 1หน้า 251 – 252 การประเมินผลแบบเป็นทางการ (Formal Evaluation) เป็นเทคนิค ที่ใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของ นโยบาย โดยประเมินผลของนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้ อย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว

88. นโยบายสาธารณะที่ได้มาจากการเจรจาต่อรอง เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
(1) ทฤษฎีการตัดสินใจ
(2) ทฤษฎีกลุ่ม
(3) ทฤษฎีผู้นํา
(4) ทฤษฎีระบบ
(5) ทฤษฎีสถาบันนิยม
ตอบ 2 หน้า 107, (คําบรรยาย) ทฤษฎีกลุ่ม (Group Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะเป็น ผลผลิตของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มผลประโยชน์กับนโยบายสาธารณะ โดยชี้ให้เห็นว่านโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตที่ได้มาจาก การเจรจาต่อรอง การประนีประนอม และการถ่วงดุลผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ

89.Reform in Action ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษา
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) ไม่ตรงกับข้อใดเลย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

90. นักวิชาการท่านใดศึกษาความเป็นมาของการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน (Milbrey Mclaughlin)
(2) เพรสแมน (Pressman) และวิลดัฟสกี (Wildavsky)
(3) พอล เอ. ซาบาเตียร์ (Paul A. Sabatier)
(4) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน (Daniel A. Mazmanian)
(5) ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach)
ตอบ 3, 4 หน้า 61 พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แมซมาเนียน (Paul A. Sabatier and Daniel A. Mazmanian) ได้เขียนบทความเรื่อง “Policy Implementation” เมื่อปี 1982 ซึ่งเป็นการศึกษาถึงความเป็นมาของการนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยแสดงทัศนะว่าการศึกษา สาขาการนํานโยบายไปปฏิบัติปรากฏเป็นรูปร่างที่ชัดเจนในต้นศตวรรษ 1970 โดยเฉพาะ นับจากผลงานเรื่อง “Implementation (1973)” ของเพรสแมนและวิลดัฟสกีเป็นต้นมา

91. การจัดทําเกณฑ์ชี้วัดในการศึกษานโยบายอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(2) การก่อตัวของนโยบาย
(3) การประเมินผลนโยบาย
(4) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 3หน้า 51 – 52 ขั้นตอนการประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation) ประกอบด้วย
1. การกําหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน
2. การกําหนดเกณฑ์วัดและวิธีการตรวจสอบสิ่งที่ต้องการประเมิน
3. การกําหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลและวิธีการรายงาน
4. การนําผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนโยบาย

92. ข้อใดไม่ใช่การวิเคราะห์โปรแกรมประเภทต่าง ๆ ของเออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(1) ปัญหาทางนโยบายที่ต่างประเภทกัน
(2) กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) ภาษาที่ใช้ในกฎหมายใดกฎหมายหนึ่ง
(4) ผู้ปฏิบัติงานมีจํานวนมาก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

93. ใครกล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นการใช้วิธีการที่หลากหลายในการนําเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผล
มาแปรรูปในการกําหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองที่มีสภาวการณ์ที่แตกต่างกัน
(1) Thomas R. Dye
(2) Harold Lasswell
(3) William Dunn
(4) Stuart S. Nagel
(5) James Anderson
ตอบ 3 หน้า 72 วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบายเป็นสาขาหนึ่งของสังคมศาสตร์ประยุกต์ที่ใช้วิธีการหลากหลายในการนําเสนอข้อเท็จจริง และเหตุผลมาแปรรูปในการกําหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาในทางการเมืองที่มีสภาวการณ์แตกต่างกัน”

94. มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากโครงการ มีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นความล้มเหลวของโครงการ
(1) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง
(2) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง
(3) การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลองและกึ่งทดลอง
(4) การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

95. ใครให้ความหมายของการวิเคราะห์นโยบายไว้ว่า เป็นการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในชุดของ
เป้าหมายที่กําหนดไว้
(1) William Dunn
(2) Harold Lasswell
(3) Thomas R. Dye
(4) Stuart S. Nagel
(5) James Anderson
ตอบ 4 หน้า 72 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบาย เป็นการกําหนดและตัดสินทางเลือกของนโยบาย โดยการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุด ในชุดของเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยเปรียบเทียบทางเลือกเหล่านั้นกับการบรรลุเป้าหมาย”

96. มองจอยและโอทูเล เสนอลักษณะของนโยบายไว้ที่ประเภท
(1) 3 ประเภท
(2) 4 ประเภท
(3) 5 ประเภท
(4) 6 ประเภท
(5) 7 ประเภท
ตอบ 2

97. ใครเสนอว่า อุปสรรคจะเป็นแรงผลักดันให้มีการเสนอนโยบายเพื่อไปใช้ประโยชน์
(1) David Easton
(2) Ira Sharkansky
(3) Carl J. Friedrich
(4) Theodore Lowi
(5) William Greenwood
ตอบ 3 หน้า 3 คาร์ล เจ. ฟรีดริช (Carl J. Friedrich) กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง ข้อเสนอ สําหรับแนวทางการดําเนินงานของบุคคล กลุ่มบุคคล หรือรัฐบาล ภายในสภาพแวดล้อมแบบหนึ่ง ซึ่งอาจมีทั้งอุปสรรคและโอกาสบางประการ โดยอุปสรรคและโอกาสนี้จะเป็นแรงผลักดันให้มี การเสนอนโยบายขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ และเอาชนะสภาพการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อนําไปสู่ เป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง”

98. ปัญหาในการจัดซื้อเรือดําน้ําของกองทัพเรือ เป็นปัญหาประเภทใด
(1) ปัญหาที่มีโครงสร้างแน่นอน
(2) ปัญหาที่มีโครงสร้างปานกลาง
(3) ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน
(4) ปัญหาที่ไม่มีตัวตนแท้จริง
(5) ปัญหาที่สร้างความแตกแยก
ตอบ 1 หน้า 91, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีโครงสร้างแน่นอน (Well-Structured Problem) เป็นปัญหาที่มีผู้เกี่ยวข้องในการกําหนดประเด็นปัญหาจํานวนน้อย ทางออกในการแก้ปัญหา ค่อนข้างชัดเจนและมีเพียง 1 – 3 ทางเท่านั้น นอกจากนี้อรรถประโยชน์ก็เป็นที่ยอมรับกันของสาธารณชน และผลที่จะได้รับก็ค่อนข้างแน่นอนด้วย เช่น ปัญหาการจัดซื้อยานพาหนะ ปัญหาการจัดซื้อเครื่องบินรุ่นใหม่ ปัญหาการจัดซื้อเรือดําน้ำของกองทัพเรือ ปัญหาการสร้างตึกทําการใหม่ เป็นต้น

99. การนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นขั้นตอนที่สําคัญ แต่มักจะไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง เพราะเหตุใด
(1) แต่เดิมนักวิเคราะห์นโยบายมักจะแยกการนํานโยบายไปปฏิบัติออกจากการวางนโยบาย
(2) นักวิเคราะห์จะศึกษาเฉพาะเป้าหมาย
(3) นักวิเคราะห์ไม่เข้าใจนโยบาย
(4) นักวิเคราะห์นโยบายมักจะแยกการนํานโยบายไปปฏิบัติออกจากการวางนโยบายและศึกษา
เฉพาะเป้าหมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

100. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอนนโยบาย
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn.
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ
ตอบ 2หน้า 229 เจมส์ อี. แอนเดอร์สัน (James E. Anderson) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติ กับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอนของนโยบาย

POL3300 การบริหารการคลัง 1/2566

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3300 การบริหารการคลัง
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะดังนี้
(1) เป็นบัญชีแสดงรายรับรายจ่าย
(2) เป็นกฎหมาย
(3) มีกระบวนการจัดทําที่มีลักษณะกระจายอํานาจ
(4) ทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 15 – 20, 63 – 66, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดิน มีลักษณะดังนี้
1. เป็นบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายเงินแผ่นดิน
2. เป็นกฎหมายทางการเงิน กล่าวคือ มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งกําหนดว่าให้ใช้จ่ายเงินได้ ไม่เกินจํานวนที่กําหนด แต่ในทางปฏิบัติรายจ่ายจริงอาจมีน้อยกว่ารายจ่ายที่กฎหมาย งบประมาณกําหนดไว้ก็ได้
3. เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ
4. มีรายได้ (รายรับ) มาจากการจัดเก็บภาษีอากร การก่อหนี้สาธารณะ การขายสิ่งของและ บริการ และรัฐพาณิชย์
5. คํานึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทํางบประมาณ
6. มีรายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ
7. มีกระบวนการจัดทํางบประมาณที่มีลักษณะกระจายอํานาจ
8. มีประชาชนเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง
9. มีการอนุมัติงบประมาณโดยรัฐสภา
10. การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณจะถูกควบคุมร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

2. ในยุคที่มีความเชื่อว่า… “งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือในการควบคุมความซื่อสัตย์ในการใช้จ่าย ของรัฐบาล…” งบประมาณแผ่นดินจะให้ความสําคัญไปที่
(1) แผนของรัฐในรูปตัวเงินที่แสดงประสิทธิผลของการใช้เงินตามแผนนั้น ๆ
(2) เอกสารที่ประกอบด้วยโครงการต่าง ๆ ซึ่งเสนอขอรายจ่ายเพื่อให้เกิดการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ ของโครงการนั้น
(3) บัญชีแสดงรายรับรายจ่ายเงินแผ่นดิน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 63, 90 – 91, (คําบรรยาย) ในยุคที่มีความเชื่อว่า งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือ ของฝ่ายนิติบัญญัติในการติดตามควบคุมการใช้ทรัพยากร หรือควบคุมตรวจสอบความถูกต้อง และความซื่อสัตย์สุจริตในการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลนั้น งบประมาณแผ่นดินตามความเชื่อนี้ จะหมายถึง บัญชีแสดงรายรับรายจ่ายเงินแผ่นดิน หรือรายละเอียดของบัญชีที่แสดงประเภท ของการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล หรือรายละเอียดของทรัพยากรที่หน่วยงานเสนอของบประมาณ จากรัฐบาล

3.การวิเคราะห์งบประมาณเป็นกิจกรรมที่อยู่ในขั้นตอนใดของกระบวนการงบประมาณ
(1) การควบคุม
(2) การประเมินผล
(3) การอนุมัติ
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 115 – 116 ในการจัดเตรียมงบประมาณนั้น จะมีการจัดทํารายละเอียดของงบประมาณ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่สําคัญ 3 ขั้นตอน คือ
1. เจ้าหน้าที่สํานักงบประมาณพิจารณาวิเคราะห์งบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. สํานักงบประมาณเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ พร้อมด้วยเอกสารงบประมาณต่อ คณะรัฐมนตรี
3. นายกรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจําปี พร้อมด้วยเอกสารงบประมาณ ต่อรัฐสภา

4.ที่ว่า “งบประมาณแผ่นดินต้องทําเป็นพระราชบัญญัติ” หมายความว่า
(1) งบประมาณแผ่นดินต้องได้รับการประเมินก่อนนําไปใช้
(2) งบประมาณต้องได้รับการวิเคราะห์ก่อนนําไปใช้
(3) งบประมาณต้องผ่านการทําประชามติก่อนนําไปใช้
(4) ต้องร่างเป็นกฎหมายให้รัฐสภารับรอง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 64, 82, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินเป็นเงินของประชาชนที่มอบให้กับรัฐบาลในรูปของภาษีอากรและการกู้ยืมเพื่อนําไปใช้ในการบริหารประเทศ ดังนั้นการใช้จ่ายงบประมาณ จึงต้องได้รับการอนุมัติหรือยินยอมจากประชาชนเสียก่อน แต่เนื่องจากการบริหารราชการในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประชาชนได้มอบอํานาจการตัดสินใจให้กับรัฐสภา (สภานิติบัญญัติ) ไปแล้ว งบประมาณแผ่นดินซึ่งการจัดทําเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะจึงจําเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาโดยต้องทําเป็นกฎหมายหรือพระราชบัญญัติก่อนที่จะนําไปใช้ เพราะถ้างบประมาณไม่ได้รับการรับรองจากสภา รัฐบาลก็จะบริหารประเทศต่อไป ไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่างบประมาณเป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือ การจัดตั้งรัฐบาลในประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

5.ตัวอย่างของ “สินค้าเอกชน” ได้แก่
(1) การจัดแสงสว่างในทางเดินสาธารณะ
(2) บริการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
(3) ทางหลวง
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) น้ำมัน
ตอบ 5 หน้า 13, (คําบรรยาย) สินค้าเอกชน (Private Goods) หรือสินค้าเอกชนแท้ (Pure Private Goods) เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค สามารถแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ และ มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า ซึ่งได้แก่สินค้าหรือบริการทั่วไปที่ซื้อขายกันตามท้องตลาด เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อาหาร น้ำมัน เป็นต้น

6.หลักที่ว่างบประมาณต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน หมายความว่าอย่างไร
(1) งบประมาณอาจกําหนดให้ 1 ปีงบประมาณมีระยะเวลา 24 เดือนก็ได้
(2) ปีงบประมาณอาจเริ่มต้นในเดือนใดของปีปฏิทินก็ได้ แต่ต้องมีระยะเวลาแน่นอน
(3) ปีงบประมาณต้องเท่ากันกับปีปฏิทินเสมอ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 68, (คําบรรยาย) ระยะเวลาของการบริหารหรือการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณ เรียกว่า “ปีงบประมาณ” หรือ “ปีคลัง” (Fiscal Year) ซึ่งปกติแล้วจะต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน โดยอาจเป็น 6 เดือน 1 ปี (12 เดือน) หรือ 2 ปี (24 เดือน) ก็ได้ แต่จะต้องเป็นเช่นนั้นทุก ๆ ปี และจะเริ่มต้นในเดือนใดของปีปฏิทินก็ได้ เช่น ปีงบประมาณของไทยมีระยะเวลา 12 เดือน เริ่มต้นจากวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี และไปสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป โดยใช้ ชื่อปีถัดไปเป็นชื่อปีงบประมาณ (เช่น ปีงบประมาณ 2567 จะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2566 และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567)

7.ลักษณะในการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินโดยหลักการแล้ว
(1) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขายสินค้าและบริการ
(2) รายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย
(3) สามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ
(4) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดเก็บภาษีอากร
(5) ทั้งข้อ 2 และ 4 4
ตอบ 3 หน้า 65, (คําบรรยาย) ลักษณะการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินนั้นโดยหลักการแล้วสามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับได้ เนื่องจากรัฐบาลมีแหล่งของรายรับที่กว้างขวาง และมีอํานาจในการออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีอากรจากประชาชน และก่อหนี้สาธารณะ ในขณะที่เอกชนจะมีรายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย เพราะเอกชน มีแหล่งรายรับที่จํากัด และขึ้นอยู่กับความสามารถในการหารายได้จากการขายสินค้าและ บริการของตนเป็นสําคัญ

8. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) หลักประสิทธิภาพอาจไม่ไปด้วยกันกับหลักความพึงพอใจ
(2) หลักประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความคุ้มค่าของเงิน
(3) ในสังคมที่มีความแตกต่างทางความคิดมาก ๆ หลักความพึงพอใจจะประสบปัญหามาก
(4) ศูนย์รวมเงินจะต้องให้การบริหารงบประมาณเป็นไปภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน
(5) หลักความพึงพอใจของประชาชนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร
ตอบ 5 หน้า 69, (คําบรรยาย) การจัดทํางบประมาณแผ่นดินนั้นจะต้องคํานึงถึงผลประโยชน์และ ความพึงพอใจของประชาชน เพราะเงินงบประมาณแผ่นดินเป็นเงินของประชาชน ดังนั้น ประชาชนจึงควรจะได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการจัดทํางบประมาณแผ่นดิน ทั้งนี้ประโยชน์ และความพึงพอใจของประชาชนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ของการจัดทํางบประมาณแผ่นดินจึงไม่เกี่ยวข้องกับหลักประสิทธิภาพหรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร

9.สภาวะ “เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด ประชาชนว่างงาน” รัฐบาลควรใช้นโยบายงบประมาณแบบใด
(1) สมดุล
(2) เกินดุล
(3) ขาดดุล
(4) ขาดดุลควบคู่กับนโยบายอัตราดอกเบี้ยสูง
(5) ขาดดุลควบคู่กับนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สภาวะเงินฝืด หมายถึง สภาวะที่อุปสงค์ด้านสินค้าและบริการน้อยกว่าอุปทาน ด้านสินค้าและบริการ หรือเป็นสภาวะที่มีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยเกินไป ทําให้เศรษฐกิจตกต่ํา สินค้าล้นตลาด และประชาชนว่างงาน ดังนั้นรัฐบาลควรจะแก้ปัญหา ด้วยการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยการนํานโยบายงบประมาณแบบขาดดุล และการลดอัตราภาษีอากรมาใช้ควบคู่กับนโยบายการเงินดังต่อไปนี้
1. ซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากประชาชน
2. ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์
3. ลดอัตราเงินสดสํารองของธนาคารพาณิชย์
4. ลดอัตราส่วนลดเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้มากขึ้น ฯลฯ

10. ข้อใดถูกต้องตามหลักทฤษฎีการคลัง
(1) เศรษฐกิจที่รัฐบาลจะมีรายได้มาก
(2) เศรษฐกิจ รัฐบาลจะมีภาระรายจ่ายสูงขึ้น
(3) เศรษฐกิจดีคนในสังคมจะมีชีวิตที่เป็นสุข
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ตามหลักทฤษฎีการคลัง หากเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะมีรายได้มากและจะมีภาระ
รายจ่ายน้อยลง ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจตกต่ํารัฐบาลจะมีรายได้น้อยลงและมีภาระรายจ่ายมากขึ้น

11.สภาวะ “เศรษฐกิจตกต่ํา สินค้าล้นตลาด ประชาชนว่างงาน” เรียกสภาวะดังกล่าวว่าอะไร
(1) สภาวะเงินฝืด
(2) สภาวะเงินเฟ้อ
(3) สภาวะการขาดอุปทาน
(4) สภาวะอุปสงค์ล้นตลาด
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

12. งบประมาณใดต่อไปนี้ที่ใช้หลักของ “ศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน”
(1) งบประมาณราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
(2) เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
(3) เงินทุนหมุนเวียน
(4) งบประมาณของสํานักงบประมาณ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 67, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน หมายความว่า ในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ จะต้องมีการบูรณาการแผนทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็น แผนเดียวกัน มีการจัดเตรียมและอนุมัติงบประมาณเพียงครั้งเดียว มีการใช้จ่ายตามที่กําหนดไว้ใน งบประมาณรายจ่ายประจําปี หากไม่มีความจําเป็นจะไม่มีการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม รวมทั้งกระบวนการงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องดําเนินไปภายใต้กฎข้อบังคับ เดียวกัน ใช้บทบัญญัติเดียวกัน และมีสถาบันหรือหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบในขั้นตอนต่าง ๆ ของการบริหารงบประมาณเดียวกัน โดยงบประมาณที่ใช้หลักศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน ได้แก่ งบประมาณประจําปีของส่วนราชการทั่ว ๆ ไป เช่น งบประมาณของสํานักงบประมาณ กรมการปกครอง กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เป็นต้น

13. Budget Documents หมายถึงอะไร
(1) วงเงินงบประมาณ
(2) เพดานเงินจัดสรร
(3) เงินประจํางวด
(4) เงินที่ไม่ได้รับอนุมัติ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 81 – 82 Budget Documents หมายถึง เอกสารงบประมาณประจําปี ซึ่งเอกสาร งบประมาณประจําปีของไทยมีส่วนประกอบดังนี้
1. คําแถลงประกอบงบประมาณแสดงฐานะและนโยบายทางการคลังและการเงินของประเทศ
2. ตารางแสดงรายรับรายจ่ายเปรียบเทียบ
3. รายละเอียดของหน่วยงาน โครงการ และงาน ต่าง ๆ ของราชการและรัฐวิสาหกิจ
4. รายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ
5. รายละเอียดเกี่ยวกับหนี้สินของรัฐบาล
6. ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี

14. ตัวอย่างของบริการที่ถ้าให้เอกชนจัดทําแล้วประชาชนอาจเสียประโยชน์
(1) กิจการไปรษณีย์
(2) บริการด้านการศึกษา
(3) โรงงานผลิตรถถัง
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 2 หน้า 71 – 72 ตามแนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรแบบเสรีนิยมนั้น กิจกรรมที่เอกชนจัดทําแล้ว ประชาชนอาจเสียประโยชน์ ได้แก่ บริการด้านการศึกษา (การจัดการศึกษาภาคบังคับ) บริการด้านสาธารณสุข (การรักษาพยาบาล การป้องกันโรคติดต่อ การให้ความรู้เกี่ยวกับสาธารณสุข ขั้นมูลฐาน) เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมประเภทนี้รัฐจะต้องเข้าไปควบคุมมาตรฐานเพื่อความถูกต้องเหมาะสม

15. การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมของสังคม สามารถวัดได้โดย
(1) เปรียบเทียบรายได้ของคนแยกตามกลุ่มอาชีพ
(2) เปรียบเทียบรายได้ของคนในเมืองกับในชนบท
(3) ดูอัตราการว่างงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 73 – 74, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินจะต้องเป็นไปเพื่อ
1. สร้างความเจริญเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจหรือความมั่งคั่งของชาติ ซึ่งสามารถวัดได้
โดยการดูอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตมวลรวม
2. สร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการว่างงานอัตราเงินฝืด และอัตราเงินเฟ้อ
3. สร้างประสิทธิภาพในการทํางาน ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูผลผลิตต่อหน่วย
4. สร้างความเสมอภาคหรือการกระจายทางเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ให้กับสังคม ซึ่งสามารถวัดได้โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างของรายได้ อัตราการใช้จ่าย และทรัพย์สินที่มี

16.ลักษณะของระบบงบประมาณแบบ PPBS
(1) มีการวัดผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัดที่กําหนด
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามประเภทการใช้จ่าย
(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 93 – 94, 97, 101 – 102, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS) เป็นระบบงบประมาณที่ ในด้านการวางแผนวางโครงการโดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ระยะยาว ระบบงบประมาณแบบนี้จะมีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายและตั้งวงเงินงบประมาณตามแต่ละแผนงาน มีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจผสมกับหลักเหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning) มีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงสร้างแผนงาน หรือโครงการ (Program Structure) มีการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในการวิเคราะห์โครงการเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างแผนงานหรือโครงการที่จัดทําว่ามีความสัมพันธ์กับ โครงการใด ๆ บ้าง มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างนโยบายสาธารณะ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการวางแผนวางโครงการของหน่วยงานมีการกําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ของแผนงานหรือโครงการเพื่อการติดตามประเมินผล รวมทั้งมีการจัดทําบันทึกโครงการ แผนงานและแผนทางการเงินระยะยาว (อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี) เพื่อประกอบการจัดทําโครงการด้วย

17. ลักษณะของงบประมาณแบบโครงการ
(1) มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมประสิทธิภาพของการใช้จ่าย
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามประเภทการใช้จ่าย
(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 92 – 93, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบโครงการ (Program Budget) หรืองบประมาณ แบบแสดงผลงาน (Performance Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในหลักประสิทธิภาพ กล่าวคือ เป็นระบบงบประมาณที่เน้นการควบคุมประสิทธิภาพของการใช้จ่าย หรือให้ความสําคัญกับ ประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร ทั้งนี้ก็เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์อย่างประหยัด นอกจากนี้ ยังให้ความสําคัญกับผลผลิต (Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ของงานหรือโครงการในแต่ละปี มีการจัดทํางบประมาณเป็นรายโครงการและมีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงการหรือ ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล (Objectives Classification) หรือตามหน้าที่ของรัฐ (Functional Classification) มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) หรือวิเคราะห์ประสิทธิภาพ ของโครงการหรือประสิทธิภาพของการใช้เงินโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ เช่น Cost and Effectiveness Analysis, Cost and Benefit Analysis และมีการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณ โดยอาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) เป็นสําคัญ

18. ลักษณะของระบบ PPBS
(1) มีการจัดทําบันทึกโครงการ
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

19. ลักษณะของ Performance Budget
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบแสดงรายการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

20. ลักษณะของ Program Budget
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบ PPBS
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

21. ลักษณะของระบบงบประมาณแบบที่ในการควบคุม
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบแสดงรายการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 87 – 88, 90 – 92, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line-Item Budget) หรืองบประมาณแบบเก่า (Conventional Budget) หรืองบประมาณแบบประเพณี (Traditional Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการควบคุมเพื่อมุ่งตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริตของการใช้จ่ายเงินของรัฐ หรือให้ความสําคัญกับความถูกต้องของ “ปัจจัย นําเข้า” (Inputs) หรือการจัดสรร “ทรัพยากร” ของงานหรือโครงการ โดยเน้นกฎ ระเบียบ และการควบคุมให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบนั้น หรือให้ความสําคัญกับมาตรฐานของทรัพยากร ที่หน่วยราชการได้ใช้ไป ดังนั้นงบประมาณจึงถูกแบ่งออกตามหน่วยราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ (Agencies Classification หรือ Organizations Classification) โดยเฉพาะในระดับกรม และมีการแบ่งตามประเภทและชนิดของการใช้จ่าย (Objects of Expenditure Classification) โดยพิจารณาจากคู่มือการจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่ายซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนี้ในการจัดเตรียม งบประมาณก็จะต้องมีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจ (Muddling Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism) เป็นเกณฑ์ด้วย

22. ข้อใดที่จัดเป็นลักษณะของ Traditional Budget
(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Muddling Through
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(3) Objectives Classification
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23.Line-Item Budget ตรงกับข้อใด
(1) Muddling Through
(2) คู่มือจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย
(3) แบ่งเงินงบประมาณออกตามจังหวัด
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

24. ลักษณะของ Zero-Base Budget
(1) Muddling Through
(2) Political Bargaining
(3) Incrementalism
(4) Pure Rationality
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 96, 99 – 100, (คําบรรยาย) งบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Base Budget : ZBB) เป็นระบบ งบประมาณที่อาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) ในการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งกําหนดให้ โครงการหรืองานที่เสนอของบประมาณในทุก ๆ ปีงบประมาณจะต้องได้รับการตรวจสอบวิเคราะห์ ทั้งระบบ ทั้งงานหรือโครงการเดิมที่เคยทํามาแล้ว และงานหรือโครงการใหม่ ๆ ที่กําลังจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อต้องการให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีเหตุผล แต่วิธีการนี้มักจะก่อให้เกิดความล่าช้าหรืออาจทําไม่ได้ในทางปฏิบัติ

25. สถาบันที่ทําหน้าที่ “ตรวจสอบบัญชีการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ”
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
(3) สํานักงบประมาณ
(4) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 34, 129 สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นสถาบันที่ทําหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดของการใช้จ่ายเงินและตรวจสอบบัญชีทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ โดยแยก การตรวจสอบออกเป็น 2 ระดับ คือ การตรวจสอบระดับหน่วยงานและการตรวจสอบระดับรัฐบาล

26. สถาบันที่ทําหน้าที่ “วิเคราะห์งบประมาณ” ได้แก่
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
(3) สํานักงบประมาณ
(4) DSI
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

27. ระยะเวลาในการดําเนินการ “อนุมัติ” งบประมาณ มีระยะประมาณกี่เดือน
(1) 3 เดือน
(2) 5 เดือน
(3) 9 เดือน
(4) 12 เดือน
(5) ไม่แน่นอนกําหนดตายตัวไม่ได้
ตอบ 1 หน้า 79 ระยะเวลาของการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน เรียกว่า วงจรงบประมาณ (Budget Cycle) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด โดยวงจรงบประมาณ ของประเทศไทยนั้นจะใช้เวลาประมาณ 22 เดือน ประกอบด้วยกิจกรรมหรือการกระทํา 3 ขั้นตอน คือ การจัดเตรียมประมาณ 6 – 7 เดือน การอนุมัติประมาณ 3 – 4 เดือน และ 7 – การควบคุมหรือการบริหารเป็นเวลา 12 เดือน

28. ระยะเวลาในการดําเนินการ “บริหาร” งบประมาณ มีระยะประมาณกี่เดือน
(1) 3 เดือน
(2) 5 เดือน
(3) 9 เดือน
(4) 12 เดือน
(5) ไม่แน่นอนกําหนดตายตัวไม่ได้
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

29. ระยะเวลาของการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณ เรียกว่า
(1) ปีงบประมาณ
(2) วงจรงบประมาณ
(3) เงินประจํางวด
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

30.พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 กําหนดวงเงินไว้ประมาณเท่าใด
(1) 3.05 ล้านล้านบาท
(2) 3.18 ล้านล้านบาท
(3) 3.35 ล้านล้านบาท
(4) 3.50 ล้านล้านบาท
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2556 ได้กําหนดวงเงินงบประมาณ รายจ่ายไว้ประมาณ 3.18 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.09 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และกําหนดวงเงินขาดดุลไว้ประมาณ 6.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 3.73 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

31.พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2556 กําหนดวงเงินขาดดุลไว้ประมาณเท่าใด
(1) 6.9 แสนล้านบาท
(2) 9.9 แสนล้านบาท
(3) 1.5 ล้านล้านบาท
(4) 2.2 ล้านล้านบาท
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

32.ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะคิดเป็นร้อยละเท่าไรของ GDP (ประมาณ)
(1) 48
(2) 55
(3) 61
(4) 79
(5) 88
ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะคงค้างจํานวน 10,797,505.46 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 61.23 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)

33.พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2556 กําหนดวงเงินไว้คิดเป็นร้อยละเท่าไรของ GDP
(1) 7
(2) 17
(3) 27
(4) 35
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

34. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของสินค้าหรือบริการสาธารณะ
(1) ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้
(2) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่ม
(3) เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(4) มีลักษณะ Non-Rival Consumption
(5) ไม่สามารถใช้ราคาเป็นเครื่องกีดกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงสินค้าหรือบริการนั้น
ตอบ 3 หน้า 11 – 12, 14, (คําบรรยาย) สินค้าหรือบริการสาธารณะ (Public Goods) หรือเรียกว่า
สินค้าสาธารณะแท้หรือสินค้าสาธารณะที่สมบูรณ์ (Pure Public Goods) มีคุณสมบัติดังนี้
1. ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค (Non-Rival Consumption) หรือกีดกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึง สินค้าหรือบริการนั้นไม่ได้
2. ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้ (Non-Excludable) หรือไม่สามารถใช้ราคาเป็นเครื่องมือกีดกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงสินค้าหรือบริการนั้นได้
3. ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้าหรือบริการ คือ ต้นทุนส่วนเพิ่มเมื่อมีผู้ซื้อสินค้า หรือบริการเพิ่มขึ้นนั้นมีค่าเท่ากับศูนย์ (Zero-Marginal Cost)
ตัวอย่างเช่น ไฟฟ้าหรือไฟส่องสว่างบนถนนสาธารณะ แสงไฟจากประภาคารสาธารณะ แม่น้ำ ลําน้ำสาธารณะ การดําเนินนโยบายต่างประเทศ การดําเนินนโยบายความมั่นคง การทํา ความสะอาดถนนสาธารณะ การควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายหลักสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการ ชิมช้อปใช้ นโยบายป้องกันประเทศจาก COVID เป็นต้น

35. ข้อใดถูกต้อง
(1) ดอกเบี้ยเป็นเงินได้ประเภทที่ 3
(2) เงินเดือนเป็นเงินได้ประเภทที่ 2
(3) ค่านายหน้าเป็นเงินได้ประเภทที่ 1
(4) ค่ารับเหมาเป็นเงินได้ประเภทที่ 6
(5) เงินค่าเช่าคอนโดมิเนียมที่จัดเก็บจากผู้เช่าเป็นเงินได้ประเภทที่ 5
ตอบ 5 หน้า 33 เงินได้ประเภทที่ 5 ได้แก่ เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจาก
1. การให้เช่าทรัพย์สิน เช่น เช่าบ้าน เช่าคอนโดมิเนียม
2. การผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน
3. การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อนซึ่งผู้ขายได้รับคืนทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้นโดยไม่ต้องคืนเงินหรือประโยชน์ที่ได้รับไว้แล้ว

36. สินค้าที่เมื่อมีการบริโภคแล้วระบุไม่ได้ว่าเกิดประโยชน์กับใคร เท่าใด เรียกว่าเป็นสินค้าที่มีลักษณะอย่างไร
(1) แบ่งแยกการบริโภคจากกันได้
(2) แบ่งแยกการบริโภคจากกันไม่ได้
(3) เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(4) ไม่เป็นเป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 12, (คําบรรยาย) สินค้าที่เมื่อมีการบริโภคแล้วระบุไม่ได้ว่าเกิดประโยชน์กับใคร เท่าใดหรือไม่สามารถวัดการใช้ประโยชน์หรือการได้รับประโยชน์จากสินค้านั้นได้ เรียกว่าเป็น “สินค้า ที่แบ่งแยกการบริโภคจากกันไม่ได้” (Non-Excludable) ในทางตรงกันข้ามหากสินค้าที่เมื่อมี การบริโภคแล้วระบุได้ว่าเกิดประโยชน์กับใคร เท่าใด หรือสามารถวัดการใช้ประโยชน์หรือ การได้รับประโยชน์จากสินค้านั้นได้ เรียกว่าเป็น “สินค้าที่แบ่งแยกการบริโภคจากกันได้” (Excludable)

37. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ค่าปรับเป็นรายได้ของรัฐ
(2) ภาษีเป็นรายได้ของรัฐ
(3) เงินกู้เป็นรายรับของรัฐ
(4) เงินคงคลังเป็นรายได้ของรัฐ
(5) ค่าธรรมเนียมเป็นรายรับของรัฐ
ตอบ 4 หน้า 15 – 20, (คําบรรยาย) แหล่งรายรับของรัฐบาลไทย มาจาก 2 ส่วน คือ 1. รายรับที่เป็นรายได้ ได้แก่ ภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ (เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าสัมปทาน ค่าบริการ ค่าเช่าทรัพย์สินของรัฐ ค่าขายของกลางที่ยึด มาจากคดี) รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าแสตมป์ฤชากร ค่าปรับ เป็นต้น 2. รายรับที่ไม่เป็นรายได้ ได้แก่ การกู้เงิน การใช้เงินคงคลัง การขายหุ้น เป็นต้น

38. ข้อใดเป็นลักษณะพื้นฐานของสินค้าสาธารณะแบบแท้
(1) Non-Rival Consumption a≈ Excludable
(2) Non-Rival Consumption a Non-Excludable
(3) Non-Rival Consumption a Price-Excludable
(4) Rival Consumption a Price-Excludable
(5) Rival Consumption และ Non-Excludable
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

39. กลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะจะใช้ในการจัดบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานคืออะไร
(1) ค่าบริการ
(2) ค่าธรรมเนียม
(3) ภาษี
(4) ค่าปรับ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 21 “ภาษี” เป็นกลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะสําหรับใช้จัดบริการหรือผลิตสินค้าสาธารณะ ขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่มีความจําเป็นต่อประชาชนทุกคนภายในประเทศ เช่น การรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในสังคม การศึกษาขั้นพื้นฐาน การควบคุมดูแล ด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

40. ภาษีประเภทใดไม่ได้จัดเก็บโดยใช้ฐานการบริโภค
(1) ภาษีขาย
(2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(3) ภาษีสรรพสามิต
(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(5) ภาษีศุลกากร
ตอบ 4 หน้า 5 – 6, 23, 38 ฐานการบริโภค (Consumption Base) เป็นฐานภาษีที่เก็บจาก การใช้จ่ายเพื่อบริโภคของประชาชน รวมถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ ตัวอย่างภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานการบริโภค เช่น ภาษีการขาย ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษี สรรพสามิต (เช่น ภาษีสุรา ภาษียาสูบ ภาษีน้ํามัน ภาษีเครื่องดื่ม ภาษีไฟ ภาษีน้ําหอม) ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีศุลกากร (ภาษีสินค้าขาเข้า เช่น ภาษีรถยนต์นําเข้า) เป็นต้น

41. การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นการจัดเก็บภาษีโดยใช้ฐานภาษีแบบใด
(1) ฐานรายได้
(2) ฐานการบริโภค
(3) ฐานความมั่นคง
(4) ฐานความมั่งคั่ง
(5) ฐานความยั่งยืน
ตอบ 4 หน้า 6, 23, (คําบรรยาย) ฐานความมั่งคั่ง (Wealth Base) เป็นฐานภาษีที่พิจารณาจาก รายได้หรือผลประโยชน์ที่เกิดจากทรัพย์สินที่บุคคลได้ครอบครองอยู่ ตัวอย่างภาษีที่จัดเก็บ โดยใช้ฐานความมั่งคั่ง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีโรงแรม ภาษีโรงงาน ภาษีป้าย ภาษีรถยนต์ ภาษีมรดก ภาษีดอกเบี้ย เป็นต้น

42. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของสินค้าหรือบริการสาธารณะที่ควรจัดเก็บค่าธรรมเนียม/ค่าบริการ
(1) Price-Excludable
(2) Zero-Marginal Cost
(3) Rival Consumption
(4) Non-Zero-Marginal Cost
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 40 สินค้าหรือบริการสาธารณะที่รัฐควรจัดเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ มีลักษณะดังนี้
1. Price-Excludable คือ เลือกซื้อได้ตามความต้องการของแต่ละคน
2. Rival Consumption คือ ประโยชน์จากการบริโภคเกิดขึ้นเฉพาะตัวและการบริโภค ส่งผลให้ประโยชน์ของสินค้าลดลง
3. Non-Zero-Marginal Cost คือ ต้นทุนการจัดบริการเพิ่มขึ้นเมื่อมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น

43. สินค้าที่มีขีดจํากัดในการให้บริการ คือสินค้าประเภทใด
(1) Congestible Goods
(2) Private Goods
(3) Club Goods
(4) Public Goods
(5) Luxury Goods
ตอบ 1 หน้า 13, 40, (คําบรรยาย) สินค้าทั่วไป (Common Goods) หรือสินค้ากึ่งสาธารณะ ประเภท Congestible Public Goods เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคแต่แบ่งแยก การบริโภคออกจากกันไม่ได้ หรือการเข้ามาของผู้บริโภครายใหม่อาจทําให้ความพึงพอใจของ ผู้บริโภครายเดิมลดน้อยลง แต่ไม่สามารถกีดกันให้บุคคลอื่นไม่สามารถเข้ามาเป็นผู้บริโภคได้ ดังนั้นสินค้าประเภทนี้จึงมีขีดจํากัดในการให้บริการ เช่น สนามหลวง สนามกีฬาแห่งชาติ สนามกีฬากลางของเทศบาล ห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดมหาวิทยาลัย ถนนสาธารณะ (เช่น ถนนพระราม 9) ทางด่วน เป็นต้น

44. “กลไกตลาดภาครัฐ” เป็นกลไกที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนกันระหว่างตัวแสดงใดบ้างในสังคม
(1) ภาคธุรกิจ – ภาคประชาสังคม
(2) ภาคธุรกิจ – ประชาชน
(3) รัฐบาล – ประชาชน
(4) รัฐบาล – รัฐสภา
(5) รัฐบาล – ศาล
ตอบ 3 หน้า 21, (คําบรรยาย) กลไกตลาดภาครัฐ คือ กลไกการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ระหว่าง “ภาครัฐ” (รัฐบาล) ในฐานะผู้ประกอบการ ผู้ผลิต หรือผู้ขายกับ “ประชาชน” ในฐานะ ผู้บริโภค ผู้ซื้อ หรือผู้รับบริการ

45. ใครเป็นผู้ผลิตหรือผู้ขายในตลาดภาครัฐ
(1) ภาคธุรกิจ
(2) รัฐบาล
(3) ประชาชน
(4) รัฐสภา
(5) ศาล
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 44. ประกอบ

46. ข้อใดเป็นหลักในการหารายได้ของภาครัฐ
(1) หารายได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้
(2) หารายได้เท่าที่จําเป็นต้องใช้
(3) หารายได้อย่างจํากัดและไม่สร้างภาระกับประชาชน
(4) หารายได้จากธุรกิจในเชิงพาณิชย์เท่านั้น
(5) หารายได้ให้เกินดุล
ตอบ 2 (คําบรรยาย) หลักการหารายได้ของภาครัฐจะมีความแตกต่างกับภาคเอกชน กล่าวคือ ภาคเอกชนจะเน้นการหารายได้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ส่วนภาครัฐจะหารายได้ เท่าที่จําเป็นต้องใช้เพื่อไม่ให้เป็นภาระประชาชนมากเกินไป

47. บุคคลใดต่อไปนี้ไม่ต้องยื่นคําขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน
(1) นิติบุคคลมีรายได้ 1.18 ล้านบาทต่อปี
(2) นิติบุคคลมีรายได้ 18.1 ล้านบาทต่อปี
(3) นิติบุคคลมีรายได้ 11.8 ล้านบาทต่อปี
(4) บุคคลธรรมดามีรายได้ 1.81 ล้านบาทต่อปี
(5) บุคคลธรรมดามีรายได้ 8.1 ล้านบาทต่อปี
ตอบ 1 หน้า 36 ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ที่ขายสินค้าหรือบริการเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล ซึ่งมีรายได้หรือยอดขายเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี (150,000 บาทต่อเดือน) โดยต้องยื่นคําขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และคํานวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ และต้องชําระภาษีเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

48. ปัญหา Free Rider หมายถึงอะไร
(1) ปัญหาการแย่งกันใช้สินค้าสาธารณะ
(2) ปัญหาการทําหน้าที่ผิดพลาด
(3) ปัญหาการร่วมรับประโยชน์แต่ไม่ร่วมจ่าย
(4) ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น
(5) ปัญหาการใช้บริการสาธารณะ
ตอบ 3 หน้า 12 ปัญหาการร่วมรับประโยชน์แต่ไม่ร่วมจ่าย (Free Rider Problem) หมายถึง การที่คนร่วมรับประโยชน์จากสินค้าสาธารณะ แต่ไม่ยอมร่วมจ่ายค่าบริการ ซึ่งมักเป็นปัญหา ของสินค้าหรือบริการสาธารณะแท้

49. “กิจกรรมหรือสิ่งที่เป็นเหตุให้ต้องเสียภาษี” หมายถึงอะไร
(1) ฐานภาษี
(2) อัตราภาษี
(3) ภาระภาษี
(4) งานบริหารภาษี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 22 ฐานภาษี (Tax Base) หมายถึง สิ่งที่เป็นมูลเหตุขั้นต้นที่ทําให้บุคคลต้องเสียภาษีอากร หรือสิ่งที่ใช้เป็นฐานในการประเมินภาษีอากร โดยในการจัดเก็บภาษีรัฐต้องมีการบริหารจัดเก็บ ว่าจะใช้ฐานภาษีอย่างไรเพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายต่าง ๆ ของรัฐ

50. บุคคลใดต่อไปนี้ไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
(1) บริษัทจํากัด
(2) บริษัทต่างชาติที่มีรายได้จากประเทศไทย
(3) กิจการร่วมค้า
(4) บริษัทต่างชาติที่ประกอบกิจการในประเทศไทย
(5) มูลนิธิสาธารณกุศล
ตอบ 5 หน้า 34 – 36 บุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร มีดังนี้
1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เช่น บริษัทจํากัด ห้างหุ้นส่วนจํากัด
2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทย หรือมีรายได้จากประเทศไทย
3. กิจการซึ่งดําเนินการเป็นทางค้าหรือหากําไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาล ต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
4. กิจการร่วมค้า
5. มูลนิธิหรือสมาคม ที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรี ประกาศกําหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล
6. นิติบุคคลที่อธิบดีกําหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี

51. บริการสาธารณะที่ดี ควรมีลักษณะอย่างไร
(1) ทําให้เกิด Over Supplies
(2) ทําให้เกิด Under Supplies
(3) ทําให้เกิด Over Consumptions
(4) ทําให้เกิด Under Consumptions
(5) ทําให้เกิด Resource Maximization

ตอบ 5 หน้า 10 คุณลักษณะของสินค้าหรือบริการสาธารณะที่ดี มีคุณภาพและประสิทธิภาพ มีดังนี้
1. มีปริมาณและคุณภาพตรงกับความต้องการของประชาชนทั่วไปในสังคมไม่มากหรือ น้อยเกินไป (No Over or Under Supplies)
2. ประชาชนทั่วไปในสังคมไม่บริโภคหรือใช้บริการสาธารณะนั้นมากเกินความจําเป็น หรือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น (No Over or Under Consumptions)
3. ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า (Resource Maximization)

52. “สินค้าที่ถูกใช้โดยคนหนึ่งแล้วเป็นเหตุให้คนอื่นไม่สามารถใช้สินค้านั้นได้” เป็นสินค้าที่มีลักษณะใดต่อไปนี้
(1) เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(2) มีต้นทุนส่วนเพิ่ม
(3) แบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้
(4) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(5) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่ม
ตอบ 1 หน้า 11 สินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค (Rival Consumption) คือ สินค้าที่ถูกใช้ โดยคนหนึ่งแล้วเป็นเหตุให้คนอื่นไม่สามารถใช้สินค้านั้นได้ หรือทําให้ผู้อื่นได้รับความพึงพอใจน้อยลงจากการใช้สินค้านั้น

53. หน่วยงานใดต่อไปนี้ทําหน้าที่หลักในการจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐบาล
(1) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
(2) สํานักงบประมาณ
(3) กรมศุลกากร
(4) กรมบัญชีกลาง
(5) ธนาคารแห่งประเทศไทย
ตอบ 3 หน้า 15 หน่วยงานที่ทําหน้าที่หลักในการจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐบาลมี 3 หน่วยงาน คือ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร

54. ภาษีเงินได้จัดเป็นภาษีประเภทใด
(1) ภาษีขั้นพื้นฐาน
(2) ภาษีทางอ้อม
(3) ภาษีทางตรง
(4) ภาษีจากฐานความมั่งคั่ง
(5) ภาษีจากฐานการบริโภค
ตอบ 3 หน้า 15, 19 ภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ภาษีทางตรง คือ ภาษีที่ผู้เสียภาษีจะต้องรับภาระภาษีไว้เองไม่สามารถผลักภาระภาษี ไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก เป็นต้น
2. ภาษีทางอ้อม คือ ภาษีที่ไม่มีผลต่อผู้ชําระภาษีโดยตรง ซึ่งผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระภาษี ไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีน้ํามัน และผลิตภัณฑ์น้ํามัน เป็นต้น

55. สินค้าในข้อใดไม่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต
(1) น้ำมันเบนซิน
(2) น้ำอัดลม
(3) น้ำผลไม้ที่ไม่ได้หมัก
(4) น้ำปลา
(5) รถมอเตอร์ไซค์
ตอบ 4 หน้า 38, (คําบรรยาย) ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผล สมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ขัดต่อ ศีลธรรมอันดีงาม มีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษ จากกิจการของรัฐ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจึงไม่เป็นกลางตามหลักการภาษีที่ดี ทั้งนี้ เพราะเป็นการจัดเก็บภาษีที่ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนหรือจํากัดการบริโภคของประชาชนให้น้อยลง ตัวอย่างสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต เช่น สุรา
เบียร์ ยาสูบ ไพ่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดื่ม (เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่ไม่ได้หมัก) เรือ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ (รถมอเตอร์ไซค์) น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน น้ำหอม เจลแอลกอฮอล์ สนามกอล์ฟ สนามแข่งม้า ไนต์คลับ ดิสโก้เธค ผับ บาร์ และคาราโอเกะ เป็นต้น

56. พฤติกรรมการเสียภาษีในข้อใดที่ทําให้รัฐจัดเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
(1) เสียภาษีด้วยความเต็มใจ
(2) หลบเลี่ยงภาษี
(3) เสียภาษีเพราะเกรงกลัวกฎหมาย
(4) ต่อต้านภาษี
(5) หนีภาษี
ตอบ 2 หน้า 27 พฤติกรรมการเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance) คือ การที่พลเมืองผู้มีหน้าที่เสียภาษี ใช้วิธีการใด ๆ ตามกฎหมายที่มุ่งสร้างให้เกิดผลต่อภาระภาษีของผู้เสียภาษี เพื่อที่จะได้มี ภาระภาษีที่จะต้องเสียต่ำกว่าเดิม หรือใช้วิธีการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่ง การเลี่ยงภาษีนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และ ส่งผลโดยตรงให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

57. ข้อใดเป็นเหตุให้ภาษีมีความซับซ้อน
(1) มีโครงสร้างภาษีทางตรงในสัดส่วนที่สูง
(2) มีการจัดเก็บภาษีอัตราเดียวกันทั้งหมด
(3) มีข้อยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีจํานวนมาก
(4) มีการจัดเก็บภาษีน้อยประเภท
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 26 Buchanan ได้ระบุไว้ว่า การจัดเก็บภาษีที่มีความซับซ้อนนั้น อาจทําให้เกิดปรากฏการณ์ภาพลวงตาทางการคลัง (Fiscal Illusion) ขึ้นได้ ซึ่งความซับซ้อนของ ระบบภาษีและการหารายได้ของรัฐอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
1. รัฐบาลจัดเก็บภาษีหลายประเภท หลายอัตรา
2. การมีข้อลดหย่อนยกเว้นที่ซับซ้อนหรือมีรายการลดหย่อนภาษีจํานวนมาก
3. มีโครงสร้างภาษีทางอ้อมในสัดส่วนที่สูง
4. มีการจัดเก็บภาษีร่วมกัน (Shared Taxes)

58. เงินได้ประเภทใดที่ไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้
(1) เงินเดือน ค่าจ้าง
(2) ดอกเบี้ย
(3) ค่านายหน้า
(4) ค่าเช่าบ้าน
(5) ลิขสิทธิ์
ตอบ 2 หน้า 32 – 33, (คําบรรยาย) เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 4 ตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกําไร เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้จาก การโอนหุ้น ฯลฯ เป็นเงินได้ที่กฎหมายไม่ยอมให้หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

ตั้งแต่ข้อ 59 – 63. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Tax Compliance
(2) Tax Evasion
(3) Tax Revolt
(4) Tax Invoice
(5) Tax Avoidance

59. พฤติกรรมในข้อใดเป็นสิ่งที่รัฐทุกรัฐต้องการให้ประชาชนมีมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 27 พฤติกรรมการยินยอมเสียภาษีโดยสมัครใจ (Tax Compliance) คือ การที่พลเมือง ยินยอมเสียภาษีให้รัฐเนื่องจากรับรู้ว่าเป็นหน้าที่ของพลเมือง และมีความต้องการเสียภาษีเพื่อให้ รัฐบาลนําไปจัดบริการสาธารณะที่ดีและมีคุณภาพให้กับประชาชน พฤติกรรมการเสียภาษี โดยสมัครใจเป็นพฤติกรรมที่รัฐทุกรัฐต้องการให้ประชาชนมีมากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเป็นสภาพที่พึงประสงค์ที่สุดของรัฐทั่วโลกก็ว่าได้

60. พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

61. พฤติกรรมในข้อใดส่งผลให้รัฐอาจมีค่าใช้จ่ายในการขจัดปัญหาที่เกิดจากพฤติกรรมนั้น
ตอบ 3 หน้า 28, (คําบรรยาย) พฤติกรรมการต่อต้านภาษี (Tax Revolt) คือ การใช้สิทธิขัดขืนของ พลเมืองโดยการไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาล หรืออาจประท้วงรัฐบาลด้วยการต่อต้านภาษี ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลให้รัฐอาจมีค่าใช้จ่ายในการขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมดังกล่าว

62. ข้อใดหมายถึงใบกํากับภาษี
ตอบ 4 หน้า 36 ใบกํากับภาษี (Tax Invoice) คือ เอกสารที่ใช้เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้า/บริการ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อ

63. พฤติกรรมในข้อใดทําให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ภาษีได้
ตอบ 2 หน้า 28, (คําบรรยาย) พฤติกรรมการหนีภาษี (Tax Evasion) คือ การไม่ยินยอมเสียภาษี ให้กับรัฐ เป็นการกระทําที่มีเจตนาจงใจละเมิดหรือฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและทําให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ภาษีได้

64. ข้อใดเรียงลําดับความยินยอมเสียภาษีจากน้อยที่สุดไปมากที่สุดได้ถูกต้อง
(1) Tax Evasion – Tax Avoidance – Tax Revolt – Tax Compliance
(2) Tax Revolt – Tax Evasion – Tax Avoidance – Tax Compliance
(3) Tax Compliance – Tax Avoidance -Tax Revolt -Tax Evasion
(4) Tax Avoidance – Tax Compliance – Tax Evasion – Tax Revolt
(5) Tax Evasion – Tax Revolt – Tax Compliance – Tax Avoidance
ตอบ 2 หน้า 27 – 28 พฤติกรรมการยินยอมเสียภาษีของประชาชนสามารถเรียงลําดับจากน้อยที่สุด ไปมากที่สุดได้ดังนี้
1. การต่อต้านภาษี (Tax Revolt)
2. การหนีภาษี (Tax Evasion)
3. การเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance)
4. การยินยอมเสียภาษีโดยสมัครใจ (Tax Compliance)

65. ข้อใดไม่ใช่วิชาชีพอิสระตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40 (6)
(1) แพทย์
(2) นักบัญชี
(3) วิศวกร
(4) เปิดท้ายขายของ
(5) ช่างปั้นรูปปั้น
ตอบ 4หน้า 33 (คําบรรยาย) วิชาชีพอิสระตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40 (6) ได้แก่บุคคล ซึ่งมีอาชีพในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. กฎหมาย เช่น ทนายความ
2. การประกอบโรคศิลป เช่น แพทย์ พยาบาล
3. วิศวกรรม เช่น วิศวกร
4. สถาปัตยกรรม เช่น สถาปนิก
5. การบัญชี เช่น นักบัญชี
6. ประณีตศิลปกรรม เช่น ช่างปั้น ช่างเขียน ช่างแกะ

66. ภาษีมูลค่าเพิ่มคํานวณได้จากส่วนต่างมูลค่าของสิ่งใด
(1) ราคาขาย – ราคาซื้อ
(2) ต้นทุนสินค้า – กําไรจากการขายสินค้า
(3) ปริมาณสินค้าที่ขาย – ปริมาณสินค้าที่ซื้อ
(4) จํานวนสินค้าที่ขาย – จํานวนสินค้าที่ซื้อ
(5) ภาษีขาย – ภาษีซื้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

67. นักเศรษฐศาสตร์สํานักใดไม่ยอมรับการก่อหนี้สาธารณะ
(1) เคนส์เซียน
(2) นีโอลิเบอรัล
(3) พาณิชย์นิยม
(4) เสรีนิยม
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 46 นักเศรษฐศาสตร์สํานักคลาสสิก (Classical Economist) หรือสํานักเสรีนิยม (Liberalist) มองว่า บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด (Minimalist State) คือ รัฐบาลควรใช้จ่ายงบประมาณอย่างจํากัด ดังนั้นการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลซึ่งนําไปสู่การก่อหนี้สาธารณะจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์สํานักนี้

68. ภาระภาษีของประชาชนสามารถคํานวณได้จากสิ่งใด
(1) โครงสร้างภาษี x ฐานภาษี
(2) จํานวนภาษี x ฐานภาษี
(3) จํานวนผู้เสียภาษี x อัตราภาษี
(4) ฐานภาษี x อัตราภาษี
(5) อัตราภาษี x โครงสร้างภาษี
ตอบ 4 หน้า 23 (คําบรรยาย) รายได้ภาษีของรัฐหรือภาระภาษีของประชาชนสามารถคํานวณได้จาก ฐานภาษี × อัตราภาษี

69. ในทฤษฎีของเคนส์การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลเป็นการทํางานของกลไกในข้อใด
(1) การบริโภค
(2) การออม
(3) การลงทุน
(4) อุปสงค์มวลรวม
(5) การจับจ่ายใช้สอย
ตอบ 4 หน้า 46 – 47 (คําบรรยาย) ในช่วงทศวรรษ 1930 เกิดปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก หรือที่เรียกว่า The Great Depression ซึ่งทฤษฎีของเคนส์ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหานี้ โดยการเสนอให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ คือการให้รัฐบาลใช้จ่ายเกินกว่ารายได้ที่มีอยู่เพื่อเป็นการ ยกระดับอุปสงค์มวลรวม (Aggregate Demand)

70. กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่าอะไร
(1) วินัยทางการคลัง
(2) กฎเหล็กทางการคลัง
(3) ความยั่งยืนทางการคลัง
(4) กฎกระทรวงการคลัง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1(คําบรรยาย) กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้ สาธารณะ เรียกว่า วินัยทางการคลัง

71. บทบัญญัติของกฎหมายมาตราใดในพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ที่กําหนดขีดจํากัด
ของการก่อหนี้สาธารณะสําหรับประเทศไทย
(1) มาตรา 8
(2) มาตรา 8 ทวิ
(3) มาตรา 9
(4) มาตรา 9 ทวี
(5) มาตรา 9 ตรี
ตอบ 4 หน้า 48 บทบัญญัติในมาตรา 9 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ได้กําหนดขีดจํากัดของการก่อหนี้สาธารณะสําหรับประเทศไทยไว้ว่า การกู้เงินในปีงบประมาณจะต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของจํานวนเงินงบประมาณรายจ่ายและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมหรือของจํานวนเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้วกับอีกร้อยละ 80ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สําหรับชําระคืนต้นเงินกู้

72. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะอยู่ภายใต้สังกัดของหน่วยงานใด
(1) สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
(2) กรมบัญชีกลาง
(3) สํานักงบประมาณ
(4) กรมธนารักษ์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 48 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2542 อยู่ภายใต้สังกัดของสํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดําเนินการเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การผูกพันหนี้ การบริหารหนี้ และการชําระหนี้ ในประเทศและต่างประเทศของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งที่ค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน

73. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) ปี พ.ศ. 2540
(2) ปี พ.ศ. 2541
(3) ปี พ.ศ. 2542
(4) ปี พ.ศ. 2543
(5) ปี พ.ศ. 2544
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 72. ประกอบ

74. ข้อใดไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ
(1) หนี้ของรัฐบาล
(2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
(4) หนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์
(3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 45, 50, (คําบรรยาย) หนี้สาธารณะ ได้แก่
1. หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงทั้งหนี้ในประเทศและต่างประเทศ
2. หนี้ของรัฐวิสาหกิจ (ไม่เป็นสถาบันการเงิน) ที่รัฐบาลค้ําประกันและไม่ค้ำประกัน
3. หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ําประกัน
4. หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
5. หนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่น หนี้ของกระทรวงการคลัง เป็นต้น

75. บทบาทของรัฐบาลในลักษณะที่เป็น Minimalist State ตรงกับข้อใด
(1) รัฐบาลไม่มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ
(2) บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด
(3) รัฐบาลไม่ควรมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ
(4) บาทบาทของรัฐบาลเป็นไปตามนโยบายของพรรคการเมือง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ

76.ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละเท่าไร
(1) 10
(2) 15
(3) 20
(4) 40
(5) 60
ตอบ 4 หน้า 51 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน เมษายน 2560 มีจํานวน 6,267,920.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.64 ของผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

77. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละเท่าไร
(1) 7.12
(2) 15.26
(3) 15.28
(4) 18.25
(5) 25.74
ตอบ 1 หน้า 52 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 7.12

78. ข้อใดคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ
(1) วงเงิน
(2) ระยะเวลาชําระคืน
(3) อัตราดอกเบี้ย
(4) ผู้ที่รับภาระหนี้
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การก่อหนี้สาธารณะต้องคํานึงถึงผู้ที่รับภาระหนี้ วงเงิน ระยะเวลาชําระคืน และ อัตราดอกเบี้ย โดยที่อัตราดอกเบี้ยคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับต่างประเทศ เนื่องจากต้องใช้คืนทั้งต้นเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวนตามค่าเงิน

79. กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะคือข้อใด
(1) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2545
(2) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2546
(3) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2547
(4) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548
(5) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2550
ตอบ 4 (คําบรรยาย) กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหาร หนี้สาธารณะ คือ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งประกาศ บังคับใช้ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

80. ข้อใดไม่ใช่ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ
(1) ตั๋วเงินคลัง
(2) ตั๋วสัญญาใช้เงิน
(3) พันธบัตร
(4) บัตรเงินฝาก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่
1. ตั๋วเงินคลัง
2. ตั๋วสัญญาใช้เงิน
3. พันธบัตร

81. ข้อใดเป็นคํานิยามของพันธบัตรที่ถูกต้อง
(1) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินหกเดือน
(2) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน
(3) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป
(4) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบแปดเดือนขึ้นไป
(5) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่ยี่สิบสี่เดือนขึ้นไป
ตอบ 3 (คําบรรยาย) พันธบัตร คือ เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออก ตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป

82. ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังไม่อาจกู้เงินเพื่อการใด
(1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
(2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
(3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
(4) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
(5) พัฒนาตลาดทุนในประเทศ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังกู้เงินได้ เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
1. ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
2. พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
3. ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
4. ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
5. พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ

83. งบการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศต้องได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานใด
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
(3) กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
(4) สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
(5) สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นหน่วยงานที่ทําหน้าที่ตรวจสอบงบการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ

84.ECB เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ
(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย
ตอบ 3 หน้า 55 ในปัจจุบันธนาคารกลางที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ได้แก่ ธนาคารกลางแห่งยุโรป (European Centra, Bank : ECB) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve Bank : FED) เป็นต้น

85. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงิน
(1) การควบคุมปริมาณเงิน
(2) การกําหนดอัตราดอกเบี้ย
(3) การควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ
(4) การเก็บภาษีศุลกากร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 55 – 56 เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ประกอบด้วย 3 เครื่องมือ คือ การควบคุมปริมาณเงิน การกําหนดอัตราดอกเบี้ย และการควบคุมเงิน ที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

86. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ
(1) การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
(2) การเป็นเครื่องชี้วัดสถานภาพทางสังคม
(3) การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
(4) การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 54, (คําบรรยาย) บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
2. การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
3. การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า
4. การเป็นมาตรฐานการชําระหนี้ในภายหน้า

87. ข้อใดไม่นับว่าเป็นเงิน
(1) เหรียญกษาปณ์
(2) เช็ค
(3) ตั๋วแลกเงิน
(4) บัตรเครดิต
(5) ศิลปวัตถุ
ตอบ 5 หน้า 54 เงิน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ เช็ค ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต เป็นต้น

88. คําในข้อใดหมายถึงนโยบายการเงิน
(1) Fiscal Policy
(2) Monetary Policy
(3) Financial Policy
(4) Public Policy
(5) Money Policy
ตอบ 2 หน้า 8, 54, 57, (คําบรรยาย) นโยบายการเงิน (Monetary Policy) หมายถึง นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทางเศรษฐกิจ เช่น การควบคุมกํากับอัตราดอกเบี้ย การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท การควบคุม กํากับดูแลสินเชื่อ การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล การออกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ทางการเงิน เป็นต้น โดยหน่วยงานที่ทําหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย

89. การดําเนินนโยบายการเงินไม่มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเรื่องใด
(1) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
(2) การจ้างงาน
(3) ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
(4) เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 54 – 55, (คําบรรยาย) การดําเนินนโยบายการเงินมีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเสถียรภาพ ของระบบเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการจ้างงาน แต่จะไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

90.FED เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ
(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 84. ประกอบ

91. หน่วยงานใดเป็นผู้กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย
(1) กระทรวงพาณิชย์
(2) กระทรวงการคลัง
(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(4) ธนาคารกรุงไทย
(5) คณะกรรมการนโยบายการเงิน
ตอบ 3 หน้า 57 – 58 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้
1. ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร
2. กําหนดและดําเนินนโยบายการเงิน เช่น กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย
3. บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย
4. เป็นนายธนาคารและนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล
5. เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน
6. กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
7. บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ในทุนสํารองเงินตรา ฯลฯ

92. ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) ปี พ.ศ. 2480
(2) ปี พ.ศ. 2485
(3) ปี พ.ศ. 2490
(4) ปี พ.ศ. 2495
(5) ปี พ.ศ. 2498
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93. ข้อใดคือลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน
(1) มุ่งหากําไรสูงสุด
(2) หลีกเลี่ยงการแทรกแซงตลาดการเงิน
(3) มีอิสระจากฝ่ายการเมือง
(4) มีอํานาจเด็ดขาด
(5) รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสีย
ตอบ 3 หน้า 55 ลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน คือ มีอิสระ จากฝ่ายการเมือง เนื่องจากการดําเนินนโยบายทางการเงินนั้นมีเป้าหมายที่จะรักษาเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจเป็นสําคัญ ดังนั้นการดําเนินนโยบายโดยหน่วยงานที่มีอิสระจากฝ่ายการเมืองย่อมจะเป็นผลดีต่อการบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินมากกว่าการดําเนินนโยบายโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

94. ในปัจจุบันบุคคลใดดํารงตําแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล
(2) นายประทิน สันติประภพ
(3) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
(4) นายวิรไท สันติประภพ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน คือ นายเศรษฐวุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563

95. ความต้องการถือเงินของภาคครัวเรือนเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากข้อใด
(1) ความต้องการจับจ่ายใช้สอย
(2) การสร้างความมั่นคง
(3) การสร้างหลักประกันในการดําเนินชีวิต
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 54 เงินเป็นสิ่งสําคัญและมีบทบาทอย่างสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจา ลักษณะของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนของเงินนั่นเอง ซึ่งทําให้ภาคครัวเรือน เกิดความต้องการถือเงินเมื่อมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย

96. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) ออกธนบัตร
(2) บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย
(3) ผลิตเหรียญกษาปณ์
(4) กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

97. ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับเท่าไร
(1) ร้อยละ 1.0 ต่อปี
(2) ร้อยละ 1.5 ต่อปี
(3) ร้อยละ 2.0 ต่อปี
(4) ร้อยละ 2.5 ต่อปี
(5) ร้อยละ 3.0 ต่อปี
ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 2.5 ต่อปี

98. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
(1) เสถียรภาพและความมั่นคง
(2) การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
(4) ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน
(3) การบริหารความเสี่ยงที่ดี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 60 เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่
1. ระบบการเงินมีเสถียรภาพและความมั่นคง
2. การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
3. การบริหารความเสี่ยงที่ดี
4. ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันของระบบ สถาบันการเงิน
5. การเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

99. ส่วนขาดดุลทางการคลังเกิดจากข้อใด
(1) รัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้
(2) รัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่าย
(3) รัฐบาลมีรายจ่ายเท่ากับรายได้
(4) รายจ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 45 ส่วนขาดดุลทางการคลัง (Fiscal Deficit) เกิดจากรัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ซึ่งรัฐบาลสามารถชดเชยการขาดดุลได้โดยใช้วิธีการก่อหนี้สาธารณะ

100. ภาระหนี้ต่างประเทศภาครัฐต่อรายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการ เรียกว่าอะไร
(1) Burden
(2) Deficit
(3) Debt Service Ratio
(4) Debt to GDP
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3หน้า 48 เพื่อไม่ให้การก่อหนี้สาธารณะเป็นข้อจํากัดของการพัฒนาประเทศ รัฐบาลควร คํานึงถึงความยั่งยืนทางการคลัง (Fiscal Sustainability) โดยต้องคอยติดตามและระมัดระวัง ให้การก่อหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งมีเครื่องชี้วัดที่สําคัญ เช่น สัดส่วนระหว่าง หนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (Debt to GDP) หนี้ต่องบประมาณรายจ่ายประจําปี และ ภาระหนี้ต่างประเทศภาครัฐต่อรายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการ (Debt Service Ratio) เป็นต้น

POL3300 การบริหารการคลัง s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3300 การบริหารการคลัง
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะดังนี้
(1) รายรับมาจากรัฐพาณิชย์
(2) มีกระบวนการจัดทําที่มีลักษณะรวมอํานาจ
(3) เป็นกฎหมาย
(4) ทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 15 – 20, 63 – 66, (คําบรรยาย) คุณสมบัติหรือลักษณะสําคัญของงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งแตกต่างจากงบประมาณเอกชน มีดังนี้
1. เป็นกฎหมายทางการเงิน กล่าวคือ มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งกําหนดว่าให้ใช้จ่ายเงินได้ ไม่เกินจํานวนที่กําหนด แต่ในทางปฏิบัติรายจ่ายจริงอาจมีน้อยกว่ารายจ่ายที่กฎหมายงบประมาณกําหนดไว้ก็ได้
2. เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ
3. วิธีการจัดหารายได้ (รายรับ) โดยมีรายได้มาจากการจัดเก็บภาษีอากร การก่อหนี้สาธารณะ การขายสิ่งของและบริการ และรัฐพาณิชย์
4. คํานึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทํางบประมาณ
5. การกําหนดรายรับ มีรายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ
6. มีกระบวนการจัดทํางบประมาณที่มีลักษณะกระจายอํานาจ
7. ลักษณะการเป็นเจ้าของ โดยมีประชาชนเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง
8. มีการอนุมัติงบประมาณโดยรัฐสภา
9. การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณจะถูกควบคุมร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

2. ในยุคที่มีความเชื่อว่า… “งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือในการควบคุมความซื่อสัตย์ในการใช้จ่าย ของรัฐบาล…” งบประมาณแผ่นดินจะให้ความสําคัญไปที่
(1) แผนของรัฐในรูปตัวเงินที่แสดงประสิทธิผลของการใช้เงินตามแผนนั้น ๆ
(2) เอกสารที่ประกอบด้วยโครงการต่าง ๆ ซึ่งเสนอขอรายจ่ายเพื่อให้เกิดการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ ของโครงการนั้น ๆ
(3)แผนของรัฐในรูปตัวเงินที่แสดงประสิทธิภาพของการใช้เงินตามแผนนั้น ๆ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 63, 90 – 91 ในยุคที่มีความเชื่อว่า งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือของฝ่ายนิติบัญญัติ ในการติดตามควบคุมการใช้ทรัพยากร หรือควบคุมตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์ สุจริตในการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลนั้น งบประมาณแผ่นดินตามความเชื่อนี้จะหมายถึง รายละเอียด ของบัญชีที่แสดงประเภทของการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล หรือรายละเอียดของทรัพยากรที่ หน่วยงานเสนอของบประมาณจากรัฐบาล

3. การวิเคราะห์งบประมาณเป็นกิจกรรมที่อยู่ในขั้นตอนใดของกระบวนการงบประมาณ
(1) การควบคุม
(2) การประเมินผล
(3) การอนุมัติ
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 115 – 116 ในการจัดเตรียมงบประมาณนั้น จะมีการจัดทํารายละเอียดของงบประมาณ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่สําคัญ 3 ขั้นตอน คือ
1. เจ้าหน้าที่สํานักงบประมาณพิจารณาวิเคราะห์งบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. สํานักงบประมาณเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ พร้อมด้วยเอกสารงบประมาณต่อ คณะรัฐมนตรี
3. นายกรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจําปี พร้อมด้วยเอกสารงบประมาณ ต่อรัฐสภา

4. ที่ว่า “งบประมาณแผ่นดินต้องทําเป็นพระราชบัญญัติ” หมายความว่า
(1) งบประมาณแผ่นดินต้องได้รับการประเมินก่อนนําไปใช้
(2) งบประมาณต้องได้รับการวิเคราะห์ก่อนนําไปใช้
(3) งบประมาณต้องผ่านการทําประชามติก่อนนําไปใช้
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 64, 82, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินเป็นเงินของประชาชนที่มอบให้กับรัฐบาลในรูปของภาษีอากรและการกู้ยืมเพื่อนําไปใช้ในการบริหารประเทศ ดังนั้นการใช้จ่ายงบประมาณ จึงต้องได้รับการอนุมัติหรือยินยอมจากประชาชนเสียก่อน แต่เนื่องจากการบริหารราชการในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประชาชนได้มอบอํานาจการตัดสินใจให้กับรัฐสภา (สภานิติบัญญัติ) ไปแล้ว งบประมาณแผ่นดินซึ่งการจัดทําเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะจึงจําเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาโดยต้องทําเป็นกฎหมายหรือพระราชบัญญัติก่อนที่จะนําไปใช้ เพราะถ้างบประมาณไม่ได้รับการรับรองจากสภา รัฐบาลก็จะบริหารประเทศต่อไป ไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่างบประมาณเป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือ การจัดตั้งรัฐบาลในประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

5.ตัวอย่างของ “สินค้าเอกชน” ได้แก่
(1) การจัดแสงสว่างในทางเดินสาธารณะ
(2) บริการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
(3) ไฟฟ้า
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 13, (คําบรรยาย) สินค้าเอกชน (Private Goods) หรือสินค้าเอกชนแท้ (Pure Private Goods) เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค สามารถแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ และ มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า ซึ่งได้แก่สินค้าหรือบริการทั่วไปที่ซื้อขายกันตามท้องตลาด เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อาหาร เป็นต้น

6.หลักที่ว่างบประมาณต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน หมายความว่าอย่างไร
(1) งบประมาณอาจกําหนดให้ 1 ปีงบประมาณมีระยะเวลา 24 เดือนก็ได้
(2) ปีงบประมาณอาจเริ่มต้นในเดือนใดของปีปฏิทินก็ได้ แต่ต้องมีระยะเวลาแน่นอน
(3) ปีงบประมาณต้องเท่ากันกับปีปฏิทินเสมอ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอน 4 หน้า 68, (คําบรรยาย) ระยะเวลาของการบริหารหรือการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณ เรียกว่า “ปีงบประมาณ” หรือ “ปีคลัง” (Fiscal Year) ซึ่งปกติแล้วจะต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน โดยอาจเป็น 6 เดือน 1 ปี (12 เดือน) หรือ 2 ปี (24 เดือน) ก็ได้ แต่จะต้องเป็นเช่นนั้นทุก ๆ ปี และจะเริ่มต้นในเดือนใดของปีปฏิทินก็ได้ เช่น ปีงบประมาณของไทยมีระยะเวลา 12 เดือนเริ่มต้นจากวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี และไปสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป โดยใช้ ชื่อปีถัดไปเป็นชื่อปีงบประมาณ (เช่น ปีงบประมาณ 2566 จะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2565 และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566)

7.ลักษณะในการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินโดยหลักการแล้ว
(1) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขายสินค้าและบริการ
(2) รายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย
(3) สามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ
(4) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดเก็บภาษีอากร
(5) ทั้งข้อ 2 และ 4
ตอบ 3 หน้า 65, (คําบรรยาย) ลักษณะการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินนั้นโดยหลักการแล้วสามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับได้ เนื่องจากรัฐบาลมีแหล่งของรายรับที่กว้างขวาง และมีอํานาจในการออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีอากรจากประชาชน และก่อหนี้สาธารณะ ในขณะที่เอกชนจะมีรายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย เพราะเอกชน มีแหล่งรายรับที่จํากัด และขึ้นอยู่กับความสามารถในการหารายได้จากการขายสินค้าและ บริการของตนเป็นสําคัญ

8. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) หลักประสิทธิภาพอาจไม่ไปด้วยกันกับหลักความพึงพอใจ
(2) หลักประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความคุ้มค่าของเงิน
(3) ในสังคมที่มีความแตกต่างทางความคิดมาก ๆ หลักความพึงพอใจจะประสบปัญหามาก
(4) ศูนย์รวมเงินจะต้องให้การบริหารงบประมาณเป็นไปภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน
(5) หลักความชัดเจนถูกต้องเชื่อถือได้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร
ตอบ 5 หน้า 68, (คําบรรยาย) หลักของความชัดเจนถูกต้องและเชื่อถือได้ของงบประมาณแผ่นดินนั้นเป็นหลักการที่ทําให้เข้าใจวัตถุประสงค์และรายละเอียดของการดําเนินงานอย่างชัดเจนเป็นหลักมากกว่าที่จะคํานึงถึงเรื่องประสิทธิภาพ เพราะงบประมาณที่มีความถูกต้องชัดเจนและเชื่อถือได้ เมื่อนําไปปฏิบัติอาจจะไม่เป็นไปตามหลักประสิทธิภาพก็ได้

9.สภาวะ “เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด ประชาชนว่างงาน” รัฐบาลควรใช้นโยบายงบประมาณแบบใด
(1) สมดุล
(2) ขาดดุลควบคู่กับนโยบายอัตราดอกเบี้ยสูง
(3) เกินดุล
(4) ขาดดุล
(5) ขาดดุลควบคู่กับนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สภาวะเงินฝืด หมายถึง สภาวะที่อุปสงค์ด้านสินค้าและบริการน้อยกว่าอุปทาน ด้านสินค้าและบริการ หรือเป็นสภาวะที่มีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยเกินไป ทําให้เศรษฐกิจตกต่ํา สินค้าล้นตลาด และประชาชนว่างงาน ดังนั้นรัฐบาลควรจะแก้ปัญหา ด้วยการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยการนํานโยบายงบประมาณแบบขาดดุล และการลดอัตราภาษีอากรมาใช้ควบคู่กับนโยบายการเงินดังต่อไปนี้
1. ซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากประชาชน
2. ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์
3. ลดอัตราเงินสดสํารองของธนาคารพาณิชย์
4. ลดอัตราส่วนลดเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้มากขึ้น ฯลฯ

10. ข้อใดถูกต้องตามหลักทฤษฎีการคลัง
(1) เศรษฐกิจที่รัฐบาลจะมีรายได้มาก
(2) เศรษฐกิจ รัฐบาลจะมีภาระรายจ่ายสูงขึ้น
(3) เศรษฐกิจดีคนในสังคมจะมีชีวิตที่เป็นสุข
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ตามหลักทฤษฎีการคลัง หากเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะมีรายได้มากและจะมีภาระ รายจ่ายน้อยลง รายจ่ายมากขึ้นในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจตกต่ํารัฐบาลจะมีรายได้น้อยลงและมีภาระ

11.สภาวะ “เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด ประชาชนว่างงาน” เรียกสภาวะดังกล่าวว่าอะไร
(1) สภาวะเงินฝืด
(2) สภาวะเงินเฟ้อ
(3) สภาวะการขาดอุปทาน
(4) สภาวะอุปสงค์ล้นตลาด
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

12. งบประมาณใดต่อไปนี้ที่ใช้หลักของ “ศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน”
(1) งบประมาณราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
(2) เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
(3) เงินทุนหมุนเวียน
(4) งบรายได้ของมหาวิทยาลัย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 67, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน หมายความว่า ในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ จะต้องมีการบูรณาการแผนทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็น แผนเดียวกัน มีการจัดเตรียมและอนุมัติงบประมาณเพียงครั้งเดียว มีการใช้จ่ายตามที่กําหนดไว้ใน งบประมาณรายจ่ายประจําปี หากไม่มีความจําเป็นจะไม่มีการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม รวมทั้งกระบวนการงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องดําเนินไปภายใต้กฎข้อบังคับ เดียวกัน ใช้บทบัญญัติเดียวกัน และมีสถาบันหรือหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบในขั้นตอนต่าง ของการบริหารงบประมาณเดียวกัน โดยงบประมาณที่ใช้หลักศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน ได้แก่ งบประมาณประจําปีของส่วนราชการทั่ว ๆ ไป เช่น งบประมาณของสํานักงบประมาณ กรมการปกครอง กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เป็นต้น

13. Budget Ceiling หมายถึงอะไร
(1) วงเงินงบประมาณ
(2) เพดานเงินจัดสรร
(3) เงินประจํางวด
(4) เงินที่ไม่ได้รับอนุมัติ
(5) งบผูกพัน
ตอบ 1 หน้า 91, (คําบรรยาย) การกําหนดยอด “วงเงินงบประมาณ (Budget Ceiling) เป็นการ จัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีที่ตั้งไว้เพื่อใช้ในโครงการและงานที่จะต้องจัดทําในปีต่อไปของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการจัดเตรียมงบประมาณ

14. ตัวอย่างของบริการที่ถ้าให้เอกชนจัดทําแล้วประชาชนอาจเสียประโยชน์
(1) กิจการไปรษณีย์
(2) บริการด้านสาธารณสุข
(3) โรงงานผลิตรถถัง
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 2 หน้า 71 – 72 ตามแนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรแบบเสรีนิยมนั้น กิจกรรมที่เอกชนจัดทําแล้ว ประชาชนอาจเสียประโยชน์ ได้แก่ บริการด้านการศึกษา (การจัดการศึกษาภาคบังคับ) บริการ
ด้านสาธารณสุข (การรักษาพยาบาล การป้องกันโรคติดต่อ การให้ความรู้เกี่ยวกับสาธารณสุข ขั้นมูลฐาน) เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมประเภทนี้รัฐจะต้องเข้าไปควบคุมมาตรฐานเพื่อความถูกต้องเหมาะสม

15. การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมของสังคม สามารถวัดได้โดย
(1) เปรียบเทียบรายได้ของคนแยกตามกลุ่มอาชีพ
(2) ดูการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตมวลรวม
(3) ดูอัตราการว่างงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 73 – 74, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินจะต้องเป็นไปเพื่อ
1. สร้างความเจริญเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจหรือความมั่งคั่งของชาติ ซึ่งสามารถวัดได้
โดยการดูอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตมวลรวม
2. สร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการว่างงาน อัตราเงินฝืด และอัตราเงินเฟ้อ
3. สร้างประสิทธิภาพในการทํางาน ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูผลผลิตต่อหน่วย
4. สร้างความเสมอภาคหรือการกระจายทางเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ให้กับสังคม และทรัพย์สินที่มีซึ่งสามารถวัดได้โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างของรายได้ อัตราการใช้จ่าย

16.ลักษณะของระบบงบประมาณแบบ PPBS
(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Incremental Analysis
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 3 หน้า 93 – 94, 97, 101 – 102, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS) เป็นระบบงบประมาณที่ ในด้านการวางแผนวางโครงการโดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ระยะยาว ระบบงบประมาณแบบนี้จะมีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายและตั้งวงเงินงบประมาณตามแต่ละแผนงาน มีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจผสมกับหลักเหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning) มีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงสร้างแผนงาน หรือโครงการ (Program Structure) มีการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในการวิเคราะห์โครงการเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างแผนงานหรือโครงการที่จัดทําว่ามีความสัมพันธ์กับ โครงการใด ๆ บ้าง มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างนโยบายสาธารณะ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการวางแผนวางโครงการของหน่วยงานมีการกําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ของแผนงานหรือโครงการเพื่อการติดตามประเมินผล รวมทั้งมีการจัดทําบันทึกโครงการ แผนงานและแผนทางการเงินระยะยาว (อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี) เพื่อประกอบการจัดทําโครงการด้วย

17. ลักษณะของระบบงบประมาณแบบโครงการ
(1) มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมประสิทธิภาพของการใช้จ่าย
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงการ
(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 92 – 93, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบโครงการ (Program Budget) หรืองบประมาณ แบบแสดงผลงาน (Performance Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในหลักประสิทธิภาพ กล่าวคือ เป็นระบบงบประมาณที่เน้นการควบคุมประสิทธิภาพของการใช้จ่าย หรือให้ความสําคัญกับ ประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร ทั้งนี้ก็เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์อย่างประหยัด นอกจากนี้ ยังให้ความสําคัญกับผลผลิต (Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ของงานหรือโครงการในแต่ละปี มีการจัดทํางบประมาณเป็นรายโครงการและมีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงการหรือตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล (Objectives Classification) หรือตามหน้าที่ของรัฐ (Functional Classification) มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) หรือวิเคราะห์ประสิทธิภาพ
ของโครงการหรือประสิทธิภาพของการใช้เงินโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ เช่น Cost and Effectiveness Analysis, Cost and Benefit Analysis และมีการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณ โดยอาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) เป็นสําคัญ

18. ลักษณะของระบบ PPBS
(1) มีการจัดทําบันทึกโครงการ
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

19. ลักษณะของ Performance Budget
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบแสดงรายการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

20. ลักษณะของ Program Budget
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบ PPBS
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

21. ลักษณะของระบบงบประมาณแบบที่ในการควบคุม
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบแสดงรายการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 87 – 88, 90 – 92, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line-Item Budget) หรืองบประมาณแบบเก่า (Conventional Budget) หรืองบประมาณแบบประเพณี (Traditional Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการควบคุมเพื่อมุ่งตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริตของการใช้จ่ายเงินของรัฐ หรือให้ความสําคัญกับความถูกต้องของ “ปัจจัย นําเข้า” (Inputs) หรือการจัดสรร “ทรัพยากร” ของงานหรือโครงการ โดยเน้นกฎ ระเบียบ และการควบคุมให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบนั้น หรือให้ความสําคัญกับมาตรฐานของทรัพยากร ที่หน่วยราชการได้ใช้ไป ดังนั้นงบประมาณจึงถูกแบ่งออกตามหน่วยราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ (Agencies Classification หรือ Organizations Classification) โดยเฉพาะในระดับกรม และมีการแบ่งตามประเภทและชนิดของการใช้จ่าย (Objects of Expenditure Classification) โดยพิจารณาจากคู่มือการจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่ายซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนี้ในการจัดเตรียม งบประมาณก็จะต้องมีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจ (Muddling Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism) เป็นเกณฑ์ด้วย

22. ข้อใดที่จัดเป็นลักษณะของ Traditional Budget
(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Muddling Through
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(3) Objectives Classification
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23.Line-Item Budget ตรงกับข้อใด
(1) Muddling Through
(2) คู่มือจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย
(3) แบ่งเงินงบประมาณออกตามจังหวัด
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

24. ลักษณะของ Zero-Base Budget
(1) Muddling Through
(2) Political Bargaining
(3) Incrementalism
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 96, 99 – 100, (คําบรรยาย) งบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Base Budget : ZBB) เป็นระบบ งบประมาณที่อาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) ในการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งกําหนดให้ โครงการหรืองานที่เสนอของบประมาณในทุก ๆ ปีงบประมาณจะต้องได้รับการตรวจสอบวิเคราะห์ ทั้งระบบ ทั้งงานหรือโครงการเดิมที่เคยทํามาแล้ว และงานหรือโครงการใหม่ ๆ ที่กําลังจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อต้องการให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีเหตุผล แต่วิธีการนี้มักจะก่อให้เกิดความล่าช้าหรืออาจทําไม่ได้ในทางปฏิบัติ

25. สถาบันที่ทําหน้าที่ “ตรวจสอบบัญชีการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ”
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) DSI
(3) สํานักงบประมาณ
(4) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 84, 129 สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทําหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดของ การใช้จ่ายเงินและตรวจสอบบัญชีทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ โดยแยกการตรวจสอบออกเป็น 2 ระดับ คือ การตรวจสอบระดับหน่วยงานและการตรวจสอบระดับรัฐบาล

26. สถาบันที่ทําหน้าที่ “วิเคราะห์งบประมาณ” ได้แก่
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) DSI
(3) สํานักงบประมาณ
(4) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

27. ระยะเวลาในการดําเนินการ “อนุมัติ” งบประมาณ มีระยะประมาณกี่เดือน
(1) 3 เดือน
(2) 5 เดือน
(3) 9 เดือน
(4) 12 เดือน
(5) ไม่แน่นอนกําหนดตายตัวไม่ได้
ตอบ 1 หน้า 79 ระยะเวลาของการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน เรียกว่า วงจรงบประมาณ (Budget Cycle) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด โดยวงจรงบประมาณ ของประเทศไทยนั้นจะใช้เวลาประมาณ 22 เดือน ประกอบด้วยกิจกรรมหรือการกระทํา 3 ขั้นตอน คือ การจัดเตรียมประมาณ 6 – 7 เดือน การอนุมัติประมาณ 3 – 4 เดือน และ การควบคุมหรือการบริหารเป็นเวลา 12 เดือน

28. ระยะเวลาในการดําเนินการ “ควบคุม” งบประมาณ มีระยะประมาณกี่เดือน
(1) 3 เดือน
(2) 5 เดือน
(3) 9 เดือน
(4) 12 เดือน
(5) ไม่แน่นอนกําหนดตายตัวไม่ได้
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

29.ระยะเวลาของการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณ เรียกว่า
(1) ปีปฏิทิน
(2) วงจรงบประมาณ
(3) เงินประจํางวด
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

30.พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 กําหนดวงเงินไว้ประมาณเท่าใด
(1) 3.05 ล้านล้านบาท
(2) 3.18 ล้านล้านบาท
(3) 3.35 ล้านล้านบาท
(4) 3.50 ล้านล้านบาท
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2556 ได้กําหนดวงเงินงบประมาณ รายจ่ายไว้ประมาณ 3.18 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.09 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (GDP) และกําหนดวงเงินขาดดุลไว้ประมาณ 6.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 3.73 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

31.พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 กําหนดวงเงินขาดดุลไว้ประมาณเท่าใด
(1) 6.9 แสนล้านบาท
(2) 9.9 แสนล้านบาท
(3) 1.5 ล้านล้านบาท
(4) 2.2 ล้านล้านบาท
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

32.ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะคิดเป็นร้อยละเท่าไรของ GDP
(1) 48
(2) 55
(3) 60
(4) 79
(5) 88
ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะคงค้างจํานวน 9,951,962.73 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60.58% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

33. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงิน
(1) การควบคุมปริมาณเงิน
(2) การกําหนดอัตราดอกเบี้ย
(3) การควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ
(4) การเก็บภาษีศุลกากร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 55 – 56 เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ประกอบด้วย 3 เครื่องมือ คือ การควบคุมปริมาณเงิน การกําหนดอัตราดอกเบี้ย และการควบคุมเงิน ที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

34. งบการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้
ในประเทศต้องได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานใด
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
(3) กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
(4) สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
(5) สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นหน่วยงานที่ทําหน้าที่ตรวจสอบงบการเงิน
ของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้
ในประเทศตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ

35.ECB เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ
(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย
ตอบ 3 หน้า 55 ในปัจจุบันธนาคารกลางที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ได้แก่ ธนาคารกลางแห่งยุโรป (European Central Bank : ECB) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve Bank : FED) เป็นต้น

36.พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2556 กําหนดวงเงินไว้คิดเป็นร้อยละเท่าไรของ GDP
(1) 7
(2) 17
(3) 27
(4) 35
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

37. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ
(1) การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
(2) การเป็นเครื่องชี้วัดสถานภาพทางสังคม
(3) การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
(4) การเป็นมาตรฐานในการก้าหนดมูลค่า
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 54, (คําบรรยาย) บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
2. การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
3. การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า
4. การเป็นมาตรฐานการชําาระหนี้ในภายหน้า

38. ข้อใดไม่นับว่าเป็นเงิน
(1) เหรียญกษาปณ์
(2) เช็ค
(3) ตั๋วแลกเงิน
(4) บัตรเครดิต
(5) ศิลปวัตถุ
ตอบ 5 หน้า 54 เงิน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ เช็ค ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต เป็นต้น

39. คําในข้อใดหมายถึงนโยบายการเงิน
(1) Fiscal Policy
(2) Monetary Policy
(3) Financial Policy
(4) Public Policy
(5) Money Policy
ตอบ 2. หน้า 8, 54, 57, (คําบรรยาย) นโยบายการเงิน (Monetary Policy) หมายถึง นโยบายที่ เกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทางเศรษฐกิจ เช่น การควบคุม/กํากับอัตราดอกเบี้ย การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท การควบคุม กํากับดูแลสินเชื่อ การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล การออกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ทางการเงิน เป็นต้น โดยหน่วยงานที่ทําหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย

40. การดําเนินนโยบายการเงินไม่มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเรื่องใด
(1) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
(2) การจ้างงาน
(3) ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
(4) เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 54 – 55, (คําบรรยาย) การดําเนินนโยบายการเงินมีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเสถียรภาพ ของระบบเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการจ้างงาน แต่จะไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

41.FED เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ
(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 35. ประกอบ

42. หน่วยงานใดเป็นผู้กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย
(1) กระทรวงพาณิชย์
(2) กระทรวงการคลัง
(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(4) ธนาคารกรุงไทย
(5) คณะกรรมการนโยบายการเงิน
ตอบ 3 หน้า 57 – 58 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้

1. ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร
2. กําหนดและดําเนินนโยบายการเงิน เช่น กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย
3. บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย
4. เป็นนายธนาคารและนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล
5. เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน
6. กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
7. บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ในทุนสํารองเงินตรา ฯลฯ

43. ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) ปี พ.ศ. 2480
(2) ปี พ.ศ. 2485
(3) ปี พ.ศ. 2490
(4) ปี พ.ศ. 2495
(5) ปี พ.ศ. 2500
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

44. ข้อใดคือลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน
(1) มุ่งหากําไรสูงสุด
(2) หลีกเลี่ยงการแทรกแซงตลาดการเงิน
(3) มีอิสระจากฝ่ายการเมือง
(4) มีอํานาจเด็ดขาด
(5) รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสีย
ตอบ 3 หน้า 55 ลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน คือ มีอิสระ จากฝ่ายการเมือง เนื่องจากการดําเนินนโยบายทางการเงินนั้นมีเป้าหมายที่จะรักษาเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจเป็นสําคัญ ดังนั้นการดําเนินนโยบายโดยหน่วยงานที่มีอิสระจากฝ่ายการเมืองย่อมจะเป็นผลดีต่อการบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินมากกว่าการดําเนินนโยบายโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

45. ในปัจจุบันบุคคลใดดํารงตําแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล
(2) นายประทิน สันติประภพ
(3) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
(4) นายวิรไท สันติประภพ
(5) นายเศรษฐวุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน คือ นายเศรษฐวุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563

46. ความต้องการถือเงินของภาคครัวเรือนเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากข้อใด
(1) ความต้องการจับจ่ายใช้สอย
(3) การสร้างหลักประกันในการดําเนินชีวิต
(2) การสร้างความมั่นคง
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 54 เงินเป็นสิ่งสําคัญและมีบทบาทอย่างสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก
ลักษณะของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนของเงินนั่นเอง ซึ่งทําให้ภาคครัวเรือน เกิดความต้องการถือเงินเมื่อมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย

47.ข้อใดไม่ใช่บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) ออกธนบัตร
(2) บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย
(3) ผลิตเหรียญกษาปณ์
(4) กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

48. ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับเท่าไร
(1) ร้อยละ 1.0 ต่อปี
(2) ร้อยละ 1.25 ต่อปี
(3) ร้อยละ 2.0 ต่อปี
(4) ร้อยละ 2.5 ต่อปี
(5) ร้อยละ 3.0 ต่อปี
ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 2.0 ต่อปี

49. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
(1) เสถียรภาพและความมั่นคง
(2) การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
(3) การบริหารความเสี่ยงที่ดี
(4) ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 60 เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่
1. ระบบการเงินมีเสถียรภาพและความมั่นคง
2. การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
3. การบริหารความเสี่ยงที่ดี
4. ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน
5. การเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

50. ส่วนขาดดุลทางการคลังเกิดจากข้อใด
(1) รัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้
(2) รัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่าย
(3) รัฐบาลมีรายจ่ายเท่ากับรายได้
(4) รายจ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 45 ส่วนขาดดุลทางการคลัง (Fiscal Deficit) เกิดจากรัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้
ซึ่งรัฐบาลสามารถชดเชยการขาดดุลได้โดยใช้วิธีการก่อหนี้สาธารณะ

51. ภาระหนี้ต่างประเทศภาครัฐต่อรายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการ เรียกว่าอะไร
(1) Burden
(2) Deficit
(3) Debt Service Ratio
(4) Debt to GDP
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 48 เพื่อไม่ให้การก่อหนี้สาธารณะเป็นข้อจํากัดของการพัฒนาประเทศ รัฐบาลควร คํานึงถึงความยั่งยืนทางการคลัง (Fiscal Sustainability) โดยต้องคอยติดตามและระมัดระวัง ให้การก่อหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งมีเครื่องชี้วัดที่สําคัญ เช่น สัดส่วนระหว่าง หนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (Debt to GDP) หนี้ต่องบประมาณรายจ่ายประจําปี และ ภาระหนี้ต่างประเทศภาครัฐต่อรายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการ (Debt Service Ratio) เป็นต้น

52. นักเศรษฐศาสตร์สํานักใดไม่ยอมรับการก่อหนี้สาธารณะ
(1) เคนส์เซียน
(2) นีโอลิเบอรัล
(3) พาณิชย์นิยม
(4) เสรีนิยม
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 46 นักเศรษฐศาสตร์สํานักคลาสสิก (Classical Economist) หรือสํานักเสรีนิยม (Liberalist) มองว่า บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด (Minimalist State) คือ รัฐบาลควรใช้จ่ายงบประมาณอย่างจํากัด ดังนั้นการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลซึ่งนําไปสู่การก่อหนี้สาธารณะจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์สํานักนี้

53. ในทฤษฎีของเคนส์การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลเป็นการทํางานของกลไกในข้อใด
(1) การบริโภค
(2) การออม
(3) การลงทุน
(4) อุปสงค์มวลรวม
(5) การจับจ่ายใช้สอย
ตอบ 4 หน้า 46 – 47 (คําบรรยาย) ในช่วงทศวรรษ 1930 เกิดปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลก หรือที่เรียกว่า The Great Depression ซึ่งทฤษฎีของเคนส์ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหานี้ โดยการเสนอให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ คือการให้รัฐบาลใช้จ่ายเกินกว่ารายได้ที่มีอยู่เพื่อเป็นการ ยกระดับอุปสงค์มวลรวม (Aggregate Demand)

54. กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่าอะไร
(1) วินัยทางการคลัง
(2) กฎเหล็กทางการคลัง
(3) ความยั่งยืนทางการคลัง
(4) กฎกระทรวงการคลัง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้
สาธารณะ เรียกว่า วินัยทางการคลัง

55. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) ปี พ.ศ. 2540
(2) ปี พ.ศ. 2541
(3) ปี พ.ศ. 2542
(4) ปี พ.ศ. 2543
(5) ปี พ.ศ. 2544
ตอบ 3 หน้า 48 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2542 อยู่ภายใต้สังกัดของ สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดําเนินการเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การผูกพันหนี้ การบริหารหนี้ และการชําระหนี้ ในประเทศและต่างประเทศของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งที่ค้ําประกันและไม่ค้ําประกัน

56. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะอยู่ภายใต้สังกัดของหน่วยงานใด
(1) สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
(2) กรมบัญชีกลาง
(3) สํานักงบประมาณ
(4) กรมธนารักษ์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 55. ประกอบ

57. ปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930 เรียกว่าอะไร
(1) Liquidity Crisis
(2) The Great Depression
(3) The Great Storm
(4) Hamburger Crisis
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

58. ข้อใดไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ
(1) หนี้ของรัฐบาล
(2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
(3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน
(4) หนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 45, 50, (คําบรรยาย) หนี้สาธารณะ ได้แก่
1. หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงทั้งหนี้ในประเทศและต่างประเทศ
2. หนี้ของรัฐวิสาหกิจ (ไม่เป็นสถาบันการเงิน) ที่รัฐบาลค้ําประกันและไม่ค้ําประกัน
3. หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ําประกัน
4. หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
5. หนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่น หนี้ของกระทรวงการคลัง เป็นต้น

59. บทบาทของรัฐบาลในลักษณะที่เป็น Minimalist State ตรงกับข้อใด
(1) รัฐบาลไม่มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ
(2) บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด
(3) รัฐบาลไม่ควรมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ
(4) บาทบาทของรัฐบาลเป็นไปตามนโยบายของพรรคการเมือง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

60.ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละเท่าไร
(1) 10
(2) 15
(3) 20
(4) 40
(5) 60
ตอบ 4 หน้า 51 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน เมษายน 2560 มีจํานวน 6,267,920.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.64 ของผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

61. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละเท่าไร
(1) 7.12
(2) 15.26
(3) 15.28
(4) 18.25
(5) 25.74
ตอบ 1 หน้า 52 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 7.12

62. ข้อใดคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับ
การก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ
(1) วงเงิน
(2) ระยะเวลาชําระคืน
(3) อัตราดอกเบี้ย
(4) ผู้ที่รับภาระหนี้
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3(คําบรรยาย) การก่อหนี้สาธารณะต้องคํานึงถึงผู้ที่รับภาระหนี้ วงเงิน ระยะเวลาชําระคืน และ อัตราดอกเบี้ย โดยที่อัตราดอกเบี้ยคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับต่างประเทศ เนื่องจากต้องใช้คืนทั้งต้นเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวนตามค่าเงิน

63. กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะคือข้อใด
(1) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2545
(2) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้ส หนี้สาธารณะ พ.ศ. 2546
(3) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2547
(4) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548
(5) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2550
ตอบ 4 (คําบรรยาย) กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหาร หนี้สาธารณะ คือ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งประกาศ บังคับใช้ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

64. ข้อใดไม่ใช่ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ
(1) ตั๋วเงินคลัง
(2) ตั๋วสัญญาใช้เงิน
(3) พันธบัตร
(4) บัตรเงินฝาก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่
1. ตั๋วเงินคลัง 2. ตั๋วสัญญาใช้เงิน 3. พันธบัตร

65. ข้อใดเป็นคํานิยามของพันธบัตรที่ถูกต้อง
(1) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินหกเดือน
(2) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน
(3) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป
(4) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบแปดเดือนขึ้นไป
(5) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่ยี่สิบสี่เดือนขึ้นไป
ตอบ 3 (คําบรรยาย) พันธบัตร คือ เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออก ตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป

66. ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังไม่อาจกู้เงินเพื่อการใด
(1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
(2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
(3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
(4) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
(5) พัฒนาตลาดทุนในประเทศ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังกู้เงินได้ เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
1. ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
2. พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
3. ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
4. ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
5. พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ

67. กระแสเงินไหลเข้าที่มีผลในการเพิ่มฐานะทางการคลังหมายถึงสิ่งใด
(1) กระแสเงินสด
(2) รายจ่าย
(3) รายได้
(4) รายรับ
(5) กําไร
ตอบ 3 หน้า 15 – 20, (คําบรรยาย) รายได้ หมายถึง กระแสเงินไหลเข้าที่มีผลในการเพิ่มฐานะ ทางการคลัง โดยแหล่งรายได้ของรัฐบาลจําแนกออกเป็น 2 แหล่งใหญ่ คือ
1. รายได้จากภาษีอากร
2. รายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร ได้แก่ รายได้จากการขายสิ่งของ และบริการ (เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าสัมปทาน ค่าบริการ ค่าเช่าทรัพย์สินของรัฐ ค่าขายของกลางที่ยึดมาจากคดีต่าง ๆ) รายได้จากรัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น ๆ (เช่น ค่าแสตมป์ฤชากร ค่าปรับ)

68. ข้อใดคือหลักการหารายได้ของรัฐ
(1) หารายได้ให้ได้มากที่สุด
(2) หารายได้เท่าที่จําเป็นต้องใช้
(3) หารายได้ให้เกินดุล
(4) หารายได้จากการพาณิชย์เป็นหลัก
(5) หารายได้น้อย ๆ ไม่ให้เป็นภาระประชาชน
ตอบ 2 (คําบรรยาย) หลักการหารายได้ของรัฐจะมีความแตกต่างกับเอกชน กล่าวคือ เอกชนจะเน้น การหารายได้ให้ได้มากที่สุด ส่วนภาครัฐจะหารายได้เท่าที่จําเป็นต้องใช้เพื่อไม่ให้เป็นภาระ ประชาชนมากเกินไป

69. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของสินค้าหรือบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ
(1) ตรงความต้องการของประชาชน
(2) ใช้ทรัพยากรคุ้มค่า
(3) ประชาชนบริโภคน้อยกว่าที่จําเป็น
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 4 หน้า 10 คุณลักษณะของสินค้าหรือบริการสาธารณะที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ มีดังนี้
1. มีปริมาณและคุณภาพตรงกับความต้องการของประชาชนทั่วไปในสังคมไม่มากหรือ น้อยเกินไป (Not over or under supplies)

2. ประชาชนทั่วไปในสังคมไม่บริโภคหรือใช้บริการสาธารณะนั้นมากเกินความจําเป็น หรือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น (No over or under consumptions)
3. ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า (Resource maximization)

70. สินค้าที่ไม่สามารถวัดการใช้ประโยชน์หรือการได้รับประโยชน์จากสินค้านั้นได้เรียกว่าเป็นสินค้า
ที่มีลักษณะอย่างไร
(1) เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(2) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(3) Rival Consumption
(4) แบ่งแยกการบริโภคจากกันได้
(5) แบ่งแยกการบริโภคจากกันไม่ได้
ตอบ 5 หน้า 12, (คําบรรยาย) สินค้าที่แบ่งแยกการบริโภคจากกันไม่ได้ (Non-Excludable) คือ สินค้าที่ไม่สามารถวัดการใช้ประโยชน์หรือการได้รับประโยชน์จากสินค้านั้นได้ หรือไม่สามารถ ใช้ราคาหรือมาตรการอื่นเป็นเครื่องมือในการกีดกันไม่ให้ผู้ใดได้ใช้สินค้านั้นได้

71. คุณสมบัติของสินค้าประเภท Congestible Public Goods คือข้อใด
(1) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(2) มีขีดจํากัดในการให้บริการ
(3) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า
(4) แบ่งแยกการบริโภคจากกันได้
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 13, 40, (คําบรรยาย) สินค้าทั่วไป (Common Goods) หรือสินค้ากึ่งสาธารณะ ประเภท Congestible Public Goods เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคแต่แบ่งแยก การบริโภคออกจากกันไม่ได้ หรือการเข้ามาของผู้บริโภครายใหม่อาจทําให้ความพึงพอใจของ ผู้บริโภครายเดิมลดน้อยลง แต่ไม่สามารถกีดกันให้บุคคลอื่นไม่สามารถเข้ามาเป็นผู้บริโภคได้ ดังนั้นสินค้าประเภทนี้จึงมีขีดจํากัดในการให้บริการ เช่น สนามหลวง สนามกีฬาแห่งชาติ สนามกีฬากลางของเทศบาล ห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดมหาวิทยาลัย ถนนสาธารณะ (เช่น ถนนพระราม 9) ทางด่วน เป็นต้น

72. คุณสมบัติของสินค้าเอกชนแท้ (Pure Private Goods) คือข้อใด
(1) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(2) เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(3) แบ่งแยกการบริโภคออกจากกันไม่ได้
(4) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

73. สินค้าประเภทใดมักประสบปัญหาการมี Free Rider
(1) สินค้าเอกชนแท้
(2) สินค้าสโมสร
(3) สินค้าสาธารณะแท้
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 3 หน้า 12 ปัญหาการร่วมรับประโยชน์แต่ไม่ร่วมจ่าย (Free Rider Problem) หมายถึง การที่คนร่วมรับประโยชน์จากสินค้าสาธารณะ แต่ไม่ยอมร่วมจ่ายค่าบริการ ซึ่งมักเป็นปัญหา ของสินค้าหรือบริการสาธารณะแท้

74. กลไกตลาดที่รัฐควรใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการสาธารณะแท้คือกลไกใด
(1) ค่าธรรมเนียม
(2) ค่าใช้บริการ
(3) ภาษี
(4) ค่าปรับ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 21, 40, (คําบรรยาย) “ภาษี” เป็นกลไกตลาดที่ภาครัฐนํามาใช้ในการผลิตสินค้าหรือ บริการสาธารณะแท้ หรือสินค้าหรือบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่มี
ความจําเป็นต่อประชาชนทุกคนภายในประเทศ เช่น การรักษาความปลอดภัยและความสงบ เรียบร้อยในสังคม การศึกษาขั้นพื้นฐาน การควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ส่วน “ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ” เป็นกลไกตลาดที่ภาครัฐนํามาใช้ในการจัดบริการสาธารณะ ในเชิงธุรกิจ เช่น การบริการขนส่ง การบริการด้านการเงินการธนาคาร เป็นต้น

75. ใครคือผู้ผลิตในกลไกตลาดภาครัฐ
(1) ประชาชน
(2) ภาคประชาสังคม
(3) บริษัท
(4) รัฐบาล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 21, (คําบรรยาย) กลไกตลาดภาครัฐ คือ กลไกการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ระหว่างภาครัฐ (รัฐบาล) ในฐานะผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตกับประชาชนในฐานะผู้บริโภค

76. ใครมีหน้าที่ยื่นชําระภาษีมูลค่าเพิ่ม
(1) บุคคลธรรมดาผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขาย 154,000 บาทต่อเดือน
(2) นิติบุคคลผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขาย 100,000 บาทต่อเดือน
(3) บุคคลธรรมดาผู้ให้บริการเป็นอาชีพ มีรายได้ 180,000 บาทต่อปี
(4) นิติบุคคลผู้ให้บริการเป็นอาชีพ มีรายได้ 1,500,000 บาทต่อปี
(5) บุคคลธรรมดาที่ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขาย 1,500,000 บาทต่อปี
ตอบ 1 หน้า 36 ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ที่ขายสินค้าหรือบริการเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล ซึ่งมีรายได้หรือยอดขายเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี (150,000 บาทต่อเดือน) โดยต้องยื่นคําขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และคํานวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ และต้องชําระภาษีเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

77. เงินได้พึงประเมิน หมายถึงเงินได้ของบุคคลที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใด
(1) ในปีปฏิทิน
(2) ในปีอธิกสุรทิน
(3) ในปีงบประมาณ
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 1 หน้า 31, (คําบรรยาย) เงินได้พึงประเมิน หมายถึง เงินได้ของบุคคลใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่าง วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคมของปีใด ๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี (ปีปฏิทิน) ได้แก่
1. เงิน
2. ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน
3. ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน
4. เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้
5. เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกําหนด

78. ภาษีชนิดใดที่มีรอบชําระรายเดือน
(1) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(2) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(3) ภาษีป้าย
(4) ภาษีศุลกากร
(5) ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

79. ภาษีชนิดใดที่ไม่เป็นกลาง
(1) ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(2) ภาษีสุรา
(3) ภาษีศุลกากร
(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(5) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ตอบ 2 หน้า 38, (คําบรรยาย) ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผล สมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ขัดต่อ ศีลธรรมอันดีงาม มีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษ จากกิจการของรัฐ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจึงไม่เป็นกลางตามหลักการภาษีที่ดี ทั้งนี้ เพราะเป็นการจัดเก็บภาษีที่ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนหรือจํากัด
การบริโภคของประชาชนให้น้อยลง ตัวอย่างสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต เช่น สุรา เบียร์ ยาสูบ ไพ่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดื่ม เรือ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน น้ำหอม เจลแอลกอฮอล์ สนามกอล์ฟ สนามแข่งม้า ไนต์คลับ ดิสโก้เธค ผับ บาร์ และคาราโอเกะ เป็นต้น

80. การจัดบริการสาธารณะที่จัดบริการในเชิงธุรกิจ สามารถเลือกซื้อได้ตามความต้องการ รัฐควรเลือกใช้
กลไกตลาดชนิดใด
(1) ค่าใช้บริการ
(2) ภาษี
(3) การก่อหนี้สาธารณะ
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

81. กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ต้องเสียภาษีชนิดใด
(1) ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(2) ภาษีการค้า
(3) ภาษีศุลกากร
(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(5) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ตอบ 5 หน้า 30 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมา
โดยมีสถานะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
1. บุคคลธรรมดา
3. ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี
2. ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล
4. กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

82. ฐานภาษี x อัตราภาษี เป็นสูตรที่ใช้ในการคํานวณหาสิ่งใด
(1) รายได้ภาษีของรัฐ
(2) ภาระงบประมาณของรัฐ
(3) ภาระภาษีของประชาชน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 5 หน้า 23, (คําบรรยาย) รายได้ภาษีของรัฐหรือภาระภาษีของประชาชนสามารถคํานวณได้จาก
ฐานภาษี x อัตราภาษี

83. “กิจกรรมหรือสิ่งที่เป็นเหตุให้ต้องเสียภาษี” หมายถึงอะไร
(1) ฐานภาษี
(2) อัตราภาษี
(3) ภาระภาษี
(4) งานบริหารภาษี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 22 ฐานภาษี (Tax Base) หมายถึง สิ่งที่เป็นมูลเหตุขั้นต้นที่ทําให้บุคคลต้องเสียภาษีอากร หรือสิ่งที่ใช้เป็นฐานในการประเมินภาษีอากร โดยในการจัดเก็บภาษีรัฐต้องมีการบริหารจัดเก็บ ว่าจะใช้ฐานภาษีอย่างไรเพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายต่าง ๆ ของรัฐ

84. พฤติกรรมการเสียภาษีแบใดที่ทําให้รัฐจัดเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
(1) ประท้วงภาษี
(2) เลี่ยงภาษี
(3) หนีภาษี
(4) ยอมจํานนเสียภาษี
(5) ต่อต้านภาษี
ตอบ 2 หน้า 27 พฤติกรรมการเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance) คือ การที่พลเมืองผู้มีหน้าที่เสียภาษี ใช้วิธีการใด ๆ ตามกฎหมายที่มุ่งสร้างให้เกิดผลต่อภาระภาษีของผู้เสียภาษี เพื่อที่จะได้มี ภาระภาษีที่จะต้องเสียต่ํากว่าเดิม หรือใช้วิธีการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่ง การเลี่ยงภาษีนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และ ส่งผลโดยตรงให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

85. หลักการบริหารความเสี่ยงในการจัดเก็บภาษีเรียกว่าอะไร
(1) CHR
(2) BRV
(3) BYD
(4) CRM
(5) CRV
ตอบ 4 หน้า 28 การบริหารจัดเก็บภาษีอากรในปัจจุบันโดยเฉพาะในส่วนของภาษีเงินได้ ใช้หลักการบริหารความเสี่ยง หรือ Compliance Risk Management (CRM) ซึ่งหมายถึง การมีกระบวนการบริหารการจัดเก็บภาษี โดยเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับคุณลักษณะของ ผู้เสียภาษีแต่ละประเภทและทรัพยากรที่มีอยู่ ให้ถูกต้องและป้องกันการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ทางภาษี เพื่อส่งเสริมให้ผู้เสียภาษีปฏิบัติหน้าที่ทางภาษี

86. หากนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และมีสิ่งของที่ต้องสําแดงแก่ศุลกากร นักศึกษาต้องเลือก เดินเข้าประเทศผ่านช่องทางใด
(1) White Line
(2) Blue Line
(3) Green Line
(4) Red Line
(5) Black Line
ตอบ 4 (คําบรรยาย) กรณีนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ
1. หากมีสิ่งของที่ต้องสําแดงแก่ศุลกากร ให้เดินเข้าประเทศผ่านช่อง Red Line
2. หากไม่มีสิ่งของที่ต้องสําแดงแก่ศุลกากร ให้เดินเข้าประเทศผ่านช่อง Green Line

87. ข้อใดไม่ใช่หลักในการจัดเก็บภาษีที่ดีในระบอบประชาธิปไตย
(1) หลักความเป็นธรรม
(2) หลักความไม่ซับซ้อน
(3) หลักความโปร่งใส
(4) หลักความคงเส้นคงวา
(5) หลักสวัสดิการสังคม
ตอบ 3หน้า 24 – 26 หลักในการจัดเก็บภาษีที่ดีในระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้
1. หลักการทํารายได้ที่พอเพียง
2. หลักความยินยอมของประชาชน
3. หลักความเสมอภาค เป็นธรรม
4. หลักความไม่ซับซ้อน
5. หลักความแน่นอน คงเส้นคงวา
6. หลักสวัสดิการสังคม

88. หลักการที่ว่า “ผู้ที่มีความสามารถในการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ควรเสียภาษีแตกต่างกัน”
เป็นหลักความเสมอภาคในรูปแบบใด
(1) ความเสมอภาคเชิงสัมพัทธ์
(2) ความเสมอภาคแนวตั้ง
(3) ความเสมอภาคแนวนอน
(4) ความเสมอภาคเชิงสัมบูรณ์
(5) ความเสมอภาคเชิงเปรียบเทียบ
ตอบ 2 หน้า 26 หลักความเสมอภาคในแนวตั้งหรือแนวดิ่ง (Vertical Equity) มีสาระสําคัญว่า
ผู้มีความสามารถในการเสียภาษีหรืออยู่ในสภาวการณ์ในการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ควรจะเสียภาษีในลักษณะที่แตกต่างกัน ในลักษณะที่ว่า “Unequal Should Be Treated Unequally”

89. ข้อใดไม่ใช่สินค้าสรรพสามิต
(1) เบียร์
(2) น้ำหอม
(3) รถยนต์
(4) น้ําปลา
(5) ไพ่
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 79. ประกอบ

90. ข้อใดจัดเป็นวิชาชีพอิสระ
(1) เปิดท้ายขายของ
(2) ช่างปั้นรูปปั้นบุคคลขนาดใหญ่
(3) กิจการร้านกาแฟ
(4) กิจการคาเฟ่แมว
(5) ออกแบบตกแต่งภายใน
ตอบ 2 หน้า 33, (คําบรรยาย) วิชาชีพอิสระตามประมวลรัษฎากร ได้แก่บุคคลซึ่งมีอาชีพในด้านต่าง ๆ
ดังนี้
1. กฎหมาย เช่น ทนายความ
2. การประกอบโรคศิลป เช่น หมอ พยาบาล
3. วิศวกรรม เช่น วิศวกร
4. สถาปัตยกรรม เช่น สถาปนิก
5. การบัญชี เช่น นักบัญชี
6. ประณีตศิลปกรรม เช่น ช่างปั้น ช่างเขียน ช่างแกะ

91. ข้อใดไม่ใช่เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามประมวลรัษฎากร
(1) เงินเดือน
(2) เงินบํานาญ
(3) เงินค่าจ้าง
(4) เบี้ยประชุม
(5) เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง
ตอบ 4 หน้า 31 เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 ตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินได้เนื่องจาก
การจ้างแรงงาน ดังนี้
1. เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ
2. เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง
3. เงินที่คํานวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านซึ่งนายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า ฯลฯ

92. ใครเป็นผู้แบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง
(1) ผู้นําเข้าสินค้า
(2) ผู้ขายสินค้า
(3) ผู้บริโภคสินค้า
(4) ผู้โกงสินค้า
(5) ผู้จัดจําหน่ายสินค้า
ตอบ 3 หน้า 19, (คําบรรยาย) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) จัดเป็นภาษีสรรพากร และเป็นภาษีทางอ้อมที่ผู้ขายสินค้าหรือบริการสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคได้โดยการ บวกเพิ่มเข้าไปในสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ดังนั้นผู้แบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงก็คือ ผู้บริโภคสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7%

93. ฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ใช้ในการคํานวณภาระภาษีคืออะไร
(1) กําไรสุทธิ
(2) เงินได้สุทธิ
(3) เงินได้พึงประเมิน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 2 (คําบรรยาย) เงินได้สุทธิ เป็นฐานภาษีสําหรับคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งมีสูตร ในการคํานวณ คือ (เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน

94. ภาษีศุลกากรจัดเก็บจากกิจกรรมใด
(1) การนําเข้าสินค้า
(2) การส่งออกสินค้า
(3) การผลิตสินค้า
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 4 หน้า 37, (คําบรรยาย) ภาษีศุลกากร คือ ภาษีที่จัดเก็บจากการนําสินค้าเข้าจากต่างประเทศ หรือส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร หรือจัดเก็บจากสินค้าที่ข้ามผ่านเขตแดนประเทศไทย โดยจะจัดเก็บตามราคาหรือร้อยละของมูลค่าสินค้า และจัดเก็บตามสภาพของสินค้า ตามปริมาณ น้ําหนัก ความยาว หรือปริมาตร เป็นต้น

95. “แอมซื้อเหล้าขาวมาดื่มเพื่อคลายทุกข์” แอมต้องแบกรับภาระภาษีชนิดใด
(1) ภาษีสรรพสามิต
(2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(3) ภาษีศุลกากร
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) จากข้อมูลข้างต้น แอมต้องแบกรับภาระภาษี 2 ชนิด คือ ภาษีสรรพสามิต และภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นภาษีทางอ้อมที่ผู้ขายสินค้าสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคได้ โดยการบวกเพิ่มเข้าไปในสินค้า

96. การจัดเก็บค่าบริการการใช้ไฟฟ้า รัฐควรใช้วิธีใดในการพิจารณาค่าบริการที่เหมาะสม
(1) พิจารณาจากกลไกตลาด
(2) พิจารณาจากต้นทุนการผลิต
(3) พิจารณาจากต้นทุนการลงทุน
(4) พิจารณาจากสิทธิพลเมือง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 41 – 42 การจัดเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการโดยพิจารณาจากต้นทุนการผลิต จะใช้กับกิจการที่รัฐให้บริการแบบผูกขาด โดยรัฐต้องมีกระบวนการกําหนดราคาที่มีหลักประกันคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและกําหนดค่าบริการที่คํานึงถึงความคุ้มทุนของ บริการนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การจัดเก็บค่าบริการการใช้ไฟฟ้า ค่าบริการไปรษณีย์ เป็นต้น

97. ภาษีมูลค่าเพิ่มคํานวณได้จากส่วนต่างมูลค่าของสิ่งใด
(1) ราคาขาย – ราคาซื้อ
(2) ยอดขายสินค้า – ต้นทุนสินค้า
(3) ปริมาณสินค้าที่ขาย – ปริมาณสินค้าที่ซื้อ
(4) ภาษีขาย – ภาษีซื้อ
(5) จํานวนสินค้าที่ขาย – จํานวนสินค้าที่ซื้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

98. ภาษีสรรพสามิตจัดเป็นภาษีประเภทใด
(1) ภาษีทางตรง
(2) ภาษีทางอ้อม
(3) ภาษีทางขนาน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 15, 19 ภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ภาษีทางตรง คือ ภาษีที่ผู้เสียภาษีจะต้องรับภาระภาษีไว้เองไม่สามารถผลักภาระภาษี ไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก เป็นต้น
2. ภาษีทางอ้อม คือ ภาษีที่ไม่มีผลต่อผู้ชําระภาษีโดยตรง ซึ่งผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระภาษี ไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ํามัน เป็นต้น

99. ปัญหา Free Rider หมายถึงอะไร
(1) ปัญหาการแย่งกันใช้สินค้าสาธารณะ
(2) ปัญหาการทําหน้าที่ผิดพลาด
(3) ปัญหาการร่วมรับประโยชน์แต่ไม่ร่วมจ่าย
(4) ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น
(5) ปัญหาการใช้บริการสาธารณะ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

100. โครงสร้างอัตราภาษีที่เมื่อฐานภาษีขยายตัว อัตราภาษีจะขยายตัวตามไปด้วย เรียกว่าโครงสร้างอัตราภาษีแบบใด
(1) แบบถดถอย
(2) แบบก้าวหน้า
(3) แบบสัดส่วน
(4) แบบทางเลือก
(5) แบบเรียงลําดับ
ตอบ 2 หน้า 23 – 24, (คําบรรยาย) โครงสร้างอัตราภาษี แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะดังนี้
1. ถ้าฐานภาษีขยายตัว และอัตราภาษีขยายตัวตามไปด้วย เรียกว่า โครงสร้างอัตราภาษี แบบก้าวหน้า
2. ถ้าฐานภาษีเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่อัตราภาษียังคงเท่าเดิม เรียกว่า โครงสร้างอัตราภาษีแบบสัดส่วน
3. ถ้าฐานภาษีขยายตัว แต่อัตราภาษีลดลง เรียกว่า โครงสร้างอัตราภาษีแบบถดถอย

 

POL3300 การบริหารการคลัง 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565 ข้อสอบกระบวนวิชา
POL 3300 การบริหารการคลัง
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.หลักที่ว่า “งบประมาณต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน” หมายความว่าอย่างไร
(1) งบประมาณอาจกําหนดให้ 1 ปีงบประมาณมีระยะเวลา 24 เดือนก็ได้
(2) ปีงบประมาณอาจเริ่มต้นในเดือนใดของปีปฏิทินก็ได้ แต่ต้องมีระยะเวลาแน่นอน
(3) ปีงบประมาณต้องเท่ากันกับปีปฏิทินเสมอ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 68, (คําบรรยาย) ระยะเวลาของการบริหารหรือการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณ เรียกว่า “ปีงบประมาณ” หรือ “ปีคลัง” (Fiscal Year) ซึ่งปกติแล้วจะต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน โดยอาจเป็น 6 เดือน 1 ปี (12 เดือน) หรือ 2 ปี (24 เดือน) ก็ได้ แต่จะต้องเป็นเช่นนั้นทุก ๆ ปี และจะเริ่มต้นในเดือนใดของปีปฏิทินก็ได้ เช่น ปีงบประมาณของไทยมีระยะเวลา 12 เดือน เริ่มต้นจากวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี และไปสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป โดยใช้ ชื่อปีถัดไปเป็นชื่อปีงบประมาณ (เช่น ปีงบประมาณ 2566 จะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2565 และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2556)

2.ลักษณะในการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินโดยหลักการแล้ว
(1) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขายสินค้าและบริการ
(2) รายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย
(3) สามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ
(4) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดเก็บภาษีอากร
(5) ทั้งข้อ 2 และ 4
ตอบ 3 หน้า 65, (คําบรรยาย) ลักษณะการกําหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินนั้นโดยหลักการแล้วสามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับได้ เนื่องจากรัฐบาลมีแหล่งของรายรับที่กว้างขวาง และมีอํานาจในการออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีอากรจากประชาชน และก่อหนี้สาธารณะ ในขณะที่เอกชนจะมีรายรับเป็นตัวกําหนดรายจ่าย เพราะเอกชน มีแหล่งรายรับที่จํากัด และขึ้นอยู่กับความสามารถในการหารายได้จากการขายสินค้าและ บริการของตนเป็นสําคัญ

3. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) หลักประสิทธิภาพอาจไม่ไปด้วยกันกับหลักความพึงพอใจ
(2) หลักประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความคุ้มค่าของเงิน
(3) ในสังคมที่มีความแตกต่างทางความคิดมาก ๆ หลักความพึงพอใจจะประสบปัญหามาก
(4) ศูนย์รวมเงินจะต้องให้การบริหารงบประมาณเป็นไปภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน
(5) หลักความชัดเจนถูกต้องเชื่อถือได้จะสร้างเสริมประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากร
ตอบ 5 หน้า 68, (คําบรรยาย) หลักของความชัดเจนถูกต้องและเชื่อถือได้ของงบประมาณแผ่นดินนั้น เป็นหลักการที่ทําให้เข้าใจวัตถุประสงค์และรายละเอียดของการดําเนินงานอย่างชัดเจนเป็นหลักมากกว่าที่จะคํานึงถึงเรื่องประสิทธิภาพ เพราะงบประมาณที่มีความถูกต้องชัดเจนและเชื่อถือได้ เมื่อนําไปปฏิบัติอาจจะไม่เป็นไปตามหลักประสิทธิภาพก็ได้

4. ข้อใดถูกต้องตามหลักทฤษฎีการคลัง
(1) เศรษฐกิจที่รัฐบาลจะมีรายได้มาก
(2) เศรษฐกิจที่รัฐบาลจะมีภาระรายจ่ายน้อยลง
(3) เศรษฐกิจดีคนในสังคมจะมีชีวิตที่เป็นสุข
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตามหลักทฤษฎีการคลัง หากเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะมีรายได้มากและจะมีภาระ
รายจ่ายน้อยลง ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจตกต่ำรัฐบาลจะมีรายได้น้อยลงและมีภาระรายจ่ายมากขึ้น

5.งบประมาณใดต่อไปนี้ที่ใช้หลักของ “ศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน”
(1) เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
(2) งบประมาณราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
(3) เงินทุนหมุนเวียน
(4) งบรายได้ของมหาวิทยาลัย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 67, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน หมายความว่า ในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ จะต้องมีการบูรณาการแผนทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็น แผนเดียวกัน มีการจัดเตรียมและอนุมัติงบประมาณเพียงครั้งเดียว มีการใช้จ่ายตามที่กําหนดไว้ใน งบประมาณรายจ่ายประจําปี หากไม่มีความจําเป็นจะไม่มีการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม รวมทั้งกระบวนการงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องดําเนินไปภายใต้กฎข้อบังคับ เดียวกัน ใช้บทบัญญัติเดียวกัน และมีสถาบันหรือหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบในขั้นตอนต่าง ๆ ของการบริหารงบประมาณเดียวกัน โดยงบประมาณที่ใช้หลักศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน ได้แก่ งบประมาณประจําปีของส่วนราชการทั่ว ๆ ไป เช่น งบประมาณของสํานักงบประมาณ กรมการปกครอง กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เป็นต้น

6. ขณะที่ท่านทําข้อสอบ รัฐบาลกําลังทําหน้าที่ใดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี
(1) เตรียม
(2) อนุมัติ
(3) ควบคุม
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) ขณะที่นักศึกษาทําข้อสอบคือวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565 นั้น รัฐบาลกําลังควบคุมหรือบริหารงบประมาณให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี ซึ่งการควบคุมหรือการบริหารงบประมาณประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของไทยนั้น จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 – 30 กันยายน พ.ศ. 2566

7.Budget Ceiling หมายถึงอะไร
(1) วงเงินงบประมาณ
(2) เพดานเงินจัดสรร
(3) เงินประจํางวด
(4) เงินที่ไม่ได้รับอนุมัติ
(5) งบผูกพัน
ตอบ 1 หน้า 91, (คําบรรยาย) การกําหนดยอด “วงเงินงบประมาณ (Budget Ceiling) เป็นการ จัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีที่ตั้งไว้เพื่อใช้ในโครงการและงานที่จะต้องจัดทําในปีต่อไปของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการจัดเตรียมงบประมาณ

8.ตัวอย่างของบริการที่ถ้าให้เอกชนจัดทําแล้วประชาชนอาจเสียประโยชน์
(1) กิจการไปรษณีย์
(2) บริการการศึกษาภาคบังคับ
(3) โรงงานผลิตรถถัง
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 2 หน้า 71 – 72 ตามแนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรแบบเสรีนิยมนั้น กิจกรรมที่เอกชนจัดทําแล้ว ประชาชนอาจเสียประโยชน์ ได้แก่ บริการด้านการศึกษา (การจัดการศึกษาภาคบังคับ) บริการด้านสาธารณสุข (การรักษาพยาบาล การป้องกันโรคติดต่อ การให้ความรู้เกี่ยวกับสาธารณสุขขั้น มูลฐาน) ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมประเภทนี้รัฐจะต้องเข้าไปควบคุมมาตรฐานเพื่อความถูกต้องเหมาะสม

9. การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมของสังคม สามารถวัดได้โดย
(1) เปรียบเทียบรายได้ของคนในชุมชนเมืองกับในชุมชนชนบท
(2) ดูการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตมวลรวม
(3) ดูอัตราการว่างงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 73 – 74, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินจะต้องเป็นไปเพื่อ
1. สร้างความเจริญเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจหรือความมั่งคั่งของชาติ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตมวลรวม
2. สร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการว่างงานอัตราเงินฝืด และอัตราเงินเฟ้อ
3. สร้างประสิทธิภาพในการทํางาน ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูผลผลิตต่อหน่วย
4. สร้างความเสมอภาคหรือการกระจายทางเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ให้กับสังคม ซึ่งสามารถวัดได้โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างของรายได้ อัตราการใช้จ่าย และทรัพย์สินที่มี

10. นักทฤษฎีการคลังยุคคลาสสิก เชื่อว่า
(1) งบประมาณสมดุลดีที่สุด
(2) งบประมาณขาดดุลดีที่สุด
(3) งบประมาณเกินดุลดีที่สุด
(4) งบประมาณเกินดุล ขาดดุล หรือสมดุลต่างมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 74, (คําบรรยาย) อดัม สมิธ (Adam Smith) เป็นนักทฤษฎีการคลังสมัยเก่าหรือ ยุคคลาสสิก (Classical Theory of Public Finance) ที่มีความเชื่อว่า นโยบายงบประมาณสมดุล เป็นนโยบายที่ดีที่สุด โดยรัฐบาลควรจะใช้จ่ายเงินตามความสามารถในการหารายได้ของตน ไม่ควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีบ่อย ๆ และไม่ควรก่อหนี้สาธารณะ

11. ลักษณะของระบบงบประมาณที่ในด้านการวางแผนวางโครงการ
(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Incremental Analysis
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 3 หน้า 93 – 94, 97, 101 – 102, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS) เป็นระบบงบประมาณที่ ในด้านการวางแผนวางโครงการโดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ระยะยาว ระบบงบประมาณแบบนี้จะมีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายและตั้งวงเงินงบประมาณตามแต่ละแผนงาน มีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจผสมกับหลักเหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning) มีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงสร้างแผนงาน หรือโครงการ (Program Structure) มีการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในการวิเคราะห์โครงการเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างแผนงานหรือโครงการที่จัดทําว่ามีความสัมพันธ์กับ โครงการใด ๆ บ้าง มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างนโยบายสาธารณะ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการวางแผนวางโครงการของหน่วยงานมีการกําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ของแผนงานหรือโครงการเพื่อการติดตามประเมินผล และที่สําคัญระบบนี้จะต้องมีการจัดทําแผนงานและแผนทางการเงินระยะยาว (อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี) เพื่อประกอบการจัดทําโครงการด้วย

12. ลักษณะของ Program Budget
(1) มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมประสิทธิภาพของการใช้จ่าย
(2) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(3) แบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 92 – 93, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบโครงการ (Program Budget) หรืองบประมาณ แบบแสดงผลงาน (Performance Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในหลักประสิทธิภาพ กล่าวคือ เป็นระบบงบประมาณที่เน้นการควบคุมประสิทธิภาพของการใช้จ่าย หรือให้ความสําคัญกับ ประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร ทั้งนี้ก็เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์อย่างประหยัด นอกจากนี้ ยังให้ความสําคัญกับผลผลิต (Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ของงานหรือโครงการในแต่ละปี มีการจัดทํางบประมาณเป็นรายโครงการและมีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงการหรือ ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล (Objectives Classification) หรือตามหน้าที่ของรัฐ (Functional Classification) มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) หรือวิเคราะห์ประสิทธิภาพ ของโครงการหรือประสิทธิภาพของการใช้เงินโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ เช่น Cost and Effectiveness Analysis, Cost and Benefit Analysis และมีการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณ โดยอาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) เป็นสําคัญ

13. ข้อใดที่จัดเป็นลักษณะของ Traditional Budget
(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Muddling Through
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(3) Objects of Expenditure Classification
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 87 – 88, 90 – 92, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line-Item Budget) หรืองบประมาณแบบเก่า (Conventional Budget) หรืองบประมาณแบบประเพณี (Traditional Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการควบคุมเพื่อมุ่งตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริตของการใช้จ่ายเงินของรัฐ หรือให้ความสําคัญกับความถูกต้องของ “ปัจจัย นําเข้า” (Inputs) หรือการจัดสรร “ทรัพยากร” ของงานหรือโครงการ โดยเน้นกฎ ระเบียบ และการควบคุมให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบนั้น หรือให้ความสําคัญกับมาตรฐานของทรัพยากร ที่หน่วยราชการได้ใช้ไป ดังนั้นงบประมาณจึงถูกแบ่งออกตามหน่วยราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ (Agencies Classification หรือ Organizations Classification) โดยเฉพาะในระดับกรม และมีการแบ่งตามประเภทและชนิดของการใช้จ่าย (Objects of Expenditure Classification) โดยพิจารณาจากคู่มือการจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่ายซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนี้ในการจัดเตรียม งบประมาณก็จะต้องมีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจ (Muddling Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism) เป็นเกณฑ์ด้วย

14. ลักษณะของ Zero-Base Budget
(1) Pure Rationality
(2) Political Bargaining
(3) Incrementalism
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 96, 99 – 100, คําบรรยาย) งบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Base Budget : Z8B) เป็นระบบ งบประมาณที่อาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) ในการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งกําหนดให้ โครงการหรืองานที่เสนอของบประมาณในทุก ๆ ปีงบประมาณจะต้องได้รับการตรวจสอบวิเคราะห์ ทั้งระบบ ทั้งงานหรือโครงการเดิมที่เคยทํามาแล้ว และงานหรือโครงการใหม่ ๆ ที่กําลังจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อต้องการให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีเหตุผล แต่วิธีการนี้มักจะก่อให้เกิดความล่าช้าหรืออาจทําไม่ได้ในทางปฏิบัติ

15. ลักษณะของระบบ PPBS
(1) ให้ความสําคัญกับการวางแผนระยะยาว
(2) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(3) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

16. ลักษณะของระบบ Performance Budget
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบแสดงรายงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

17. สถาบันที่ทําหน้าที่ “จ่ายเงินตามงบประมาณให้กับส่วนราชการต่าง ๆ”
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน
(3) สํานักงบประมาณ
(4) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 128 เมื่อส่วนราชการต้องการรับเงินงบประมาณของตนเพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน
ส่วนราชการจะต้องทําฎีกาขอเบิกเงินตามงบประมาณยื่นต่อกรมบัญชีกลางในกรณีของราชการ ส่วนกลาง และยื่นต่อสํานักงานคลังจังหวัดในกรณีของราชการส่วนภูมิภาค โดยกรมบัญชีกลาง และสํานักงานคลังจังหวัดจะเป็นผู้อนุมัติฎีกาและสั่งจ่ายเงินประจํางวดที่ได้รับอนุมัติแล้วที่เรียกว่าเงินจัดสรร (Budget Allotment) ให้กับส่วนราชการนั้น ๆ เป็นคราว ๆ ไป

18. สถาบันที่ทําหน้าที่ “วิเคราะห์งบประมาณ” ได้แก่
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน
(3) สํานักงบประมาณ
(4) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 115 – 116 ในการจัดเตรียมงบประมาณนั้น จะมีการจัดทํารายละเอียดของงบประมาณ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่สําคัญ 3 ขั้นตอน คือ
1. เจ้าหน้าที่สํานักงบประมาณพิจารณาวิเคราะห์งบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. สํานักงบประมาณเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ พร้อมด้วยเอกสารงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี
3. นายกรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจําปีพร้อมด้วยเอกสารงบประมาณต่อรัฐสภา

19. ระยะเวลาในการดําเนินการ “อนุมัติ” งบประมาณ มีระยะเวลาประมาณกี่เดือน
(1) 3 เดือน
(2) 5 เดือน
(3) 9 เดือน
(4) 12 เดือน
(5) ไม่แน่นอนกําหนดตายตัวไม่ได้
ตอบ 1 หน้า 79 ระยะเวลาของการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน เรียกว่า วงจรงบประมาณ (Budget Cycle) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด โดยวงจรงบประมาณ ของประเทศไทยนั้นจะใช้เวลาประมาณ 22 เดือน ประกอบด้วยกิจกรรมหรือการกระทํา 3 ขั้นตอน คือ การจัดเตรียมประมาณ 6 – 7 เดือน การอนุมัติประมาณ 3 – 4 เดือน และ การควบคุมหรือการบริหารเป็นเวลา 12 เดือน

20. ระยะเวลาในการดําเนินการ “บริหาร” งบประมาณ มีระยะเวลาประมาณกี่เดือน
(1) 3 เดือน
(2) 5 เดือน
(3) 9 เดือน
(4) 12 เดือน
(5) ไม่แน่นอนกําหนดตายตัวไม่ได้
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

21. ระยะเวลาของการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณ เรียกว่า
(1) ปีงบประมาณ
(2) วงจรงบประมาณ
(3) เงินประจํางวด
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

22. ในช่วงการสอบปลายภาคมักมีผู้ใช้บริการห้องสมุดเป็นจํานวนมาก ห้องสมุดในช่วงเวลาดังกล่าว
จัดเป็นสินค้าประเภทใด
(1) Common Goods
(2) Pure Public Goods
(3) Club Goods
(4) Price-Excludable Public Goods
(5) Pure Private Goods
ตอบ 1 หน้า 13, 40, (คําบรรยาย) สินค้าทั่วไป (Common Goods) หรือสินค้ากึ่งสาธารณะประเภท Congestible Public Goods เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคแต่แบ่งแยกการบริโภค ออกจากกันไม่ได้ หรือการเข้ามาของผู้บริโภครายใหม่อาจทําให้ความพึงพอใจของผู้บริโภครายเดิม ลดน้อยลง แต่ไม่สามารถกีดกันให้บุคคลอื่นไม่สามารถเข้ามาเป็นผู้บริโภคได้ เช่น สนามหลวง สนามกีฬาแห่งชาติ สนามกีฬากลางของเทศบาล ห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดมหาวิทยาลัย ถนนสาธารณะ (เช่น ถนนพระราม 9) ทางด่วน เป็นต้น

23.พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 กําหนดวงเงินไว้ประมาณเท่าใด
(1) 8.1 แสนล้านบาท
(2) 2.6 ล้านล้านบาท
(3) 3.1 ล้านล้านบาท
(4) 4.2 ล้านล้านบาท
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2556 ได้กําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายไว้ประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.09 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (GDP) และกําหนดวงเงินขาดดุลไว้ประมาณ 6.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 3.73 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

24. พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2556 กําหนดวงเงินขาดดุลไว้ประมาณเท่าใด
(1) 6.9 แสนล้านบาท
(2) 9.9 แสนล้านบาท
(3) 1.5 ล้านล้านบาท
(4) 2.2 ล้านล้านบาท
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

25.ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะคิดเป็นร้อยละเท่าไรของ GDP
(1) 27
(2) 35
(3) 48
(4) 60
(5) 79
ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะคงค้างจํานวนทั้งหมด 9,951,962.73 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60.58% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

26. ข้อใดไม่ใช่รายได้ของรัฐบาลไทย
(1) ภาษีเงินได้
(2) ค่าสัมปทาน
(3) ค่าบริการ
(4) ค่าปรับ
(5) การขายหุ้น
ตอบ 5หน้า 15 – 20, (คําบรรยาย) แหล่งรายรับของรัฐบาลไทย มาจาก 2 ส่วน คือ
1. รายรับที่เป็นรายได้ ได้แก่ ภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ (เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าสัมปทาน ค่าบริการ ค่าเช่าทรัพย์สินของรัฐ ค่าขายของกลางที่ยึด มาจากคดี) รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าแสตมป์ฤชากร ค่าปรับ เป็นต้น
2. รายรับที่ไม่เป็นรายได้ ได้แก่ การกู้เงิน การใช้เงินคงคลัง การขายหุ้น เป็นต้น

27. ภาษีเป็นกลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะสําหรับใช้จัดบริการหรือผลิตสินค้าประเภทใด
(1) สินค้าสโมสร
(2) สินค้าผสม
(3) สินค้ากึ่งสาธารณะ
(4) สินค้าสาธารณะขั้นพื้นฐาน
(5) สินค้าเอกชน
ตอบ 4 หน้า 21 ภาษีเป็นกลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะสําหรับใช้จัดบริการหรือผลิตสินค้าสาธารณะ
ขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่มีความจําเป็นต่อประชาชนทุกคนภายในประเทศ เช่น การรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในสังคม การศึกษาขั้นพื้นฐาน การควบคุมดูแล ด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

28.สภาวะ “เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด ประชาชนว่างงาน” รัฐบาลควรใช้นโยบายงบประมาณแบบใด
(1) สมดุล
(2) เกินดุล
(3) ขาดดุล
(4) ขาดดุลควบคู่กับนโยบายอัตราดอกเบี้ยสูง
(5) เกินดุลควบคู่กับนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ภาวะเงินฝืด หมายถึง ภาวะที่อุปสงค์ด้านสินค้าและบริการน้อยกว่าอุปทาน ด้านสินค้าและบริการ หรือเป็นภาวะที่มีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยเกินไป ทําให้เศรษฐกิจตกต่ํา สินค้าล้นตลาด และประชาชนว่างงาน ดังนั้นรัฐบาลควรจะแก้ปัญหา ด้วยการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยการนํานโยบายงบประมาณแบบขาดดุล และการลดอัตราภาษีอากรมาใช้ควบคู่กับนโยบายการเงินดังต่อไปนี้
1. ซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากประชาชน
2. ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์
3. ลดอัตราเงินสดสํารองของธนาคารพาณิชย์
4. ลดอัตราส่วนลดเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้มากขึ้น ฯลฯ

29. สินค้าที่ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคและแยกการบริโภคออกจากกันได้ จัดเป็นสินค้าประเภทใด
(1) สินค้าสาธารณะ
(2) สินค้าอุปโภคบริโภค
(3) สินค้าเอกชน
(4) สินค้าสโมสร
(5) สินค้าอุตสาหกรรม
ตอบ 4

30. ไฟฟ้าบนถนนสาธารณะจัดเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับสินค้าชนิดใด
(1) การไฟฟ้านครหลวง
(2) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
(3) นโยบายป้องกันประเทศจาก COVID
(4) วิทยุกระจายเสียง
(5) รถยนต์ส่วนบุคคล
ตอบ 3 หน้า 11 – 12, 14, (คําบรรยาย) สินค้าหรือบริการสาธารณะ (Public Goods) หรือเรียกว่าสินค้าสาธารณะแท้หรือสินค้าสาธารณะที่สมบูรณ์ (Pure Public Goods) มีคุณสมบัติดังนี้
1. ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค (Non-Rival Consumption) หรือกีดกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงสินค้าหรือบริการนั้นไม่ได้
2. ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้ (Non-Excludable) หรือไม่สามารถใช้ราคา เป็นเครื่องมือกีดกันผู้อื่นไม่ให้ใช้สินค้าหรือบริการนั้นได้
3. ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้าหรือบริการ คือ ต้นทุนส่วนเพิ่มเมื่อมีผู้ซื้อสินค้า หรือบริการเพิ่มขึ้นนั้นมีค่าเท่ากับศูนย์ (Zero-Marginal Cost)
ตัวอย่างเช่น ไฟฟ้าหรือไฟส่องสว่างบนถนนสาธารณะ แสงไฟจากประภาคารสาธารณะ แม่น้ำ ลําน้ำสาธารณะ การดําเนินนโยบายต่างประเทศ การดําเนินนโยบายความมั่นคง การทํา ความสะอาดถนนสาธารณะ การควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายหลักสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการ ชิมช้อปใช้ นโยบายป้องกันประเทศจาก COVID เป็นต้น

31. “ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย” เป็นฐานภาษีของภาษีชนิดใด
(1) ภาษีสรรพสามิต
(2) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(3) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(4) ภาษีศุลกากร
(5) ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตอบ 2 หน้า 34 ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีที่จัดเก็บจากเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยทั่วไปฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ กําไรสุทธิ แต่เพื่อความเป็นธรรมแก่นิติบุคคล และอุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษี จึงได้มีการบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลแตกต่างกัน ออกไปตามลักษณะของรายได้ เช่น จากกําไรสุทธิ จากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย จากเงินได้ ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย จากการจําหน่ายเงินกําไรออกไปจากประเทศไทย เป็นต้น

32. ข้อใดเป็นโครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทย
(1) โครงสร้างแบบพื้นฐาน
(2) โครงสร้างแบบถดถอย
(3) โครงสร้างแบบก้าวหน้า
(4) โครงสร้างแบบสัดส่วน
(5) โครงสร้างแบบเร่งรัด
ตอบ 3 หน้า 30, (คําบรรยาย) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษตามกฎหมายและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กําหนด โดยปกติประเทศไทยจะมีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นรายปีโดยใช้อัตราภาษี แบบก้าวหน้า (Progressive Tax Rate)

33. นักศึกษาทํางานเป็นพนักงานประจําที่บริษัทแห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือน 12,400 บาท นักศึกษาต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่
(1) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 20%
(2) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 15%
(3) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 10%
(4) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 5%
(5) ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษี
ตอบ 5

34. พฤติกรรมในข้อใดผิดกฎหมาย
(1) Tax Compliance
(2) Tax Avoidance
(3) Tax Evasion
(4) Tax Audit
(5) Tax Refund
ตอบ 3 หน้า 28 พฤติกรรมการหนีภาษี (Tax Evasion) คือ การไม่ยินยอมเสียภาษีให้กับรัฐ เป็นการกระทําที่มีเจตนาจงใจละเมิดหรือฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียภาษี ให้น้อยลงโดยวิธีการต่าง ๆ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย

35. พฤติกรรมในข้อใดเป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย
(1) การเลี่ยงภาษี
(2) การหนีภาษี
(3) การเสียภาษีโดยสมัครใจ
(4) การเสียภาษีอย่างจํายอม
(5) การต่อต้านภาษี
ตอบ 1 หน้า 27 พฤติกรรมการเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance) คือ การที่พลเมืองผู้มีหน้าที่เสียภาษี ใช้วิธีการใด ๆ ตามกฎหมายที่มุ่งสร้างให้เกิดผลต่อภาระภาษีของผู้เสียภาษี เพื่อที่จะได้มี ภาระภาษีที่จะต้องเสียต่ำกว่าเดิม หรือใช้วิธีการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่ง การเลี่ยงภาษีนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และ ส่งผลโดยตรงให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

36. คํากล่าว “Taxes are the price of democracy” สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งใด
(1) การใช้จ่ายในระบอบประชาธิปไตย
(2) การใช้จ่ายกับภาระภาษี
(3) ภาษีกับกลไกราคา
(4) ภาษีกับการใช้จ่าย
(5) ภาษีกับประชาธิปไตย
ตอบ 5 หน้า 24 คํากล่าว “Taxes are the price of democracy” สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ ระหว่างภาษีกับประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี ซึ่งคํากล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนมีหน้าที่จ่ายภาษีให้กับรัฐเพื่อแลกเปลี่ยนกับการมีรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยซึ่งทําหน้าที่จัดบริการสาธารณะให้กับประชาชน

37. คุณสมบัติของสินค้าเอกชนแท้ (Pure Private Goods) คือข้อใด
(1) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(2) ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้
(3) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า
(4) ไม่มีข้อใดถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 13, (คําบรรยาย) สินค้าเอกชน (Private Goods) หรือสินค้าเอกชนแท้ (Pure Private Goods) เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค สามารถแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ และ มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า ซึ่งได้แก่สินค้าหรือบริการทั่วไปที่ซื้อขายกันตามท้องตลาด เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อาหาร เป็นต้น

38. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทําให้เกิดภาพลวงตาทางการคลัง (Fiscal Illusion)
(1) รัฐบาลจัดเก็บภาษีหลากหลายประเภท
(2) มีโครงสร้างภาษีทางอ้อมในสัดส่วนที่สูง
(3) มีการจัดเก็บภาษีในฐานร่วม (Shared Taxes)
(4) การมีข้อลดหย่อนยกเว้นที่ซับซ้อน
(5) มีอัตราการจัดเก็บภาษีรูปแบบเดียวกันอัตราเดียว
ตอบ 5หน้า 26 Buchanan ได้ระบุไว้ว่า การจัดเก็บภาษีที่มีความซับซ้อนนั้น อาจทําให้เกิดปรากฏการณ์ภาพลวงตาทางการคลัง (Fiscal Illusion) ขึ้นได้ ซึ่งความซับซ้อนของ ระบบภาษีและการหารายได้ของรัฐอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
1. รัฐบาลจัดเก็บภาษีหลายประเภท หลายอัตรา
2. การมีข้อลดหย่อนยกเว้นที่ซับซ้อนหรือมีรายการลดหย่อนจํานวนมาก
3. มีโครงสร้างภาษีทางอ้อมในสัดส่วนที่สูง
4. มีการจัดเก็บภาษีในฐานร่วม (Shared Taxes)

39. หลักการที่ว่า “ผู้ที่มีความสามารถในการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ควรเสียภาษีแตกต่างกัน”
เป็นหลักความเสมอภาคในรูปแบบใด
(1) ความเสมอภาคในแนวระนาบ
(2) ความเสมอภาคในแนวนอน
(3) ความเสมอภาคในแนวตั้ง
(4) ความเสมอภาคในเชิงเปรียบเทียบ
(5) ความเสมอภาคระหว่างบุคคล
ตอบ 3 หน้า 26 หลักความเสมอภาคในแนวตั้งหรือแนวดิ่ง (Vertical Equity) มีสาระสําคัญว่า ผู้มีความสามารถในการเสียภาษีหรืออยู่ในสภาวการณ์ในการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ควรจะ เสียภาษีในลักษณะที่แตกต่างกัน ในลักษณะที่ว่า “Unequal Should Be Treated Unequally”

40. ใครเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นคําขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน
(1) บุคคลธรรมดาผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 150,000 บาทต่อเดือน
(2) นิติบุคคลผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 100,000 บาทต่อเดือน
(3) บุคคลธรรมดาให้บริการเป็นอาชีพ มีรายได้เกินกว่า 80,000 บาทต่อเดือน
(4) นิติบุคคลผู้ให้บริการเป็นอาชีพ มีรายได้เกินกว่า 100,000 บาทต่อเดือน
(5) บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ขายสินค้าเป็นอาชีพ และมีรายได้ค่านายหน้าจากการขายสินค้าเกินกว่า 150,000 บาทต่อเดือน
ตอบ 1 หน้า 36 ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ที่ขายสินค้าหรือบริการเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล ซึ่งมีรายได้หรือยอดขายเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี (150,000 บาทต่อเดือน) โดยต้องยื่นคําขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และคํานวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ และต้องชําระภาษีเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

41. หากนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และมีสิ่งของที่ต้องสําแดงแก่ศุลกากร นักศึกษาต้องเลือก เดินเข้าประเทศผ่านช่องทางใด
(1) Red Line
(2) Blue Line
(3) Pink Line
(4) Green Line
(5) Black Line
ตอบ 1 (คําบรรยาย) กรณีนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ
1. หากมีสิ่งของที่ต้องสําแดงแก่ศุลกากร ให้เดินเข้าประเทศผ่านช่อง Red Line
2. หากไม่มีสิ่งของที่ต้องสําแดงแก่ศุลกากร ให้เดินเข้าประเทศผ่านช่อง Green Line

42. ข้อใดเป็นลักษณะของภาษีที่ดีตามหลักสวัสดิการสังคม
(1) ประชาชนแบกรับภาระภาษีอย่างเท่าเทียม
(2) จัดเก็บภาษีน้อยที่สุดเพื่อนําไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
(3) ภาษีได้รับการเห็นชอบจากประชาชน
(4) เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีบ่อยครั้ง
(5) จัดเก็บตามความสามารถในการจ่าย (Ability to Pay)
ตอบ 2 หน้า 26 – 27 ภาษีที่ดีตามหลักสวัสดิการสังคม คือ ภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บจากประชาชน น้อยที่สุดเพื่อนําไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยรัฐบาลต้องเปรียบเทียบกัน ระหว่างภาระภาษีกับผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับคืนมาจากการเสียภาษี ลดความสูญเสีย จากการจัดเก็บภาษี (Deadweight Loss) หรือลดภาระภาษีส่วนเกินให้เหลือน้อยที่สุดหรือไม่มีภาระภาษีส่วนเกิน (Excess Burden)

43. เงินได้พึงประเมินหมายถึงเงินได้ของบุคคลที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใด
(1) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม
(2) ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 มีนาคม
(3) ระหว่างวันที่ 14 เมษายน – 31 ธันวาคม
(4) ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 31 พฤษภาคม
(5) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 30 กันยายน
ตอบ 1 หน้า 31 เงินได้พึงประเมิน หมายถึง เงินได้ของบุคคลใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคมของปีใด ๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี ได้แก่
1. เงิน
2. ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน
3. ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน
4. เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้
5. เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกําหนด

44. ข้อใดไม่ใช่เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามประมวลรัษฎากร
(1) เงินเดือน
(2) เงินบํานาญ
(3) เงินค่าจ้าง
(4) เบี้ยประชุม
(5) เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง
ตอบ 4 หน้า 31 เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 ตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินได้เนื่องจาก การจ้างแรงงาน ดังนี้
1. เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ
2. เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง
3. เงินที่คํานวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้าน ซึ่งนายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า ฯลฯ

45. ภาษีสรรพสามิตเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการที่มีลักษณะอย่างไร
(1) ขัดต่อศีลธรรมอันดี
(2) มีความฟุ่มเฟือย
(3) เกิดผลเสียต่อสุขภาพ
(4)ทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 38, (คําบรรยาย) ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผล สมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ขัดต่อ ศีลธรรมอันดีงาม มีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษ จากกิจการของรัฐ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจึงไม่เป็นกลางตามหลักการภาษีที่ดี ทั้งนี้ เพราะเป็นการจัดเก็บภาษีที่ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนหรือจํากัด การบริโภคของประชาชนให้น้อยลง ตัวอย่างสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต เช่น สุรา เบียร์ ไฟ ยาสูบ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดื่ม เรือ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน น้ำหอม เจลแอลกอฮอล์ สนามกอล์ฟ สนามแข่งม้า ไนต์คลับ ดิสโก้เธค ผับ บาร์ และคาราโอเกะ เป็นต้น

46. คุณสมบัติของสินค้าสาธารณะแท้ (Pure Public Goods) คือข้อใด
(1) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(2) ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้
(3) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า
(4) ไม่มีข้อใดถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

47. ภาษีมูลค่าเพิ่มมีรอบการชําระภาษีอย่างไร
(1) รายวัน
(2) รายเดือน
(3) รายสัปดาห์
(4) รายปี
(5) รายไตรมาส
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

48. ใครเป็นผู้แบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง
(1) ผู้ผลิตสินค้า
(2) ผู้ขายสินค้า
(3) ผู้บริโภคสินค้า
(4) ผู้โกงสินค้า
(5) ผู้จัดจําหน่ายสินค้า
ตอบ 3 หน้า 19, (คําบรรยาย) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) จัดเป็นภาษีสรรพากร และเป็นภาษีทางอ้อมที่ผู้ขายสินค้าหรือบริการสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคได้โดยการ บวกเพิ่มเข้าไปในสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ดังนั้นผู้แบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง ผู้บริโภคสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7%

49. พลเมืองมีสิทธิปฏิเสธการทํางานของรัฐบาลได้หลายวิธี ยกเว้นข้อใด
(1) การไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
(2) การทําลายทรัพย์สินของทางราชการ
(3) การเดินขบวนประท้วง
(4) การไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาล
(5) การทําอารยะขัดขืน
ตอน 2 หน้า 28 ในทางรัฐศาสตร์ รัฐบาลและพลเมืองจะต้องมีจริยธรรมด้วยกันทั้งคู่จึงจะทําให้ การบริหารประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น หากรัฐบาลไม่คํานึงถึงผลประโยชน์ของพลเมืองโดยส่วนรวม พลเมืองย่อมมีสิทธิปฏิเสธการทํางานของรัฐบาล ซึ่งสามารถทําได้หลายวิธี เช่น การไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาล การเดินขบวนประท้วง การทําอารยะขัดขืน เป็นต้น

50. กลไกตลาดภาครัฐคืออะไร
(1) กลไกการทํางานระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(2) กลไกความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(3) กลไกการบริหารจัดการระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(4) กลไกการประสานงานระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(5) กลไกการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างภาครัฐกับประชาชน
ตอบ 5 หน้า 21 กลไกตลาดภาครัฐ คือ กลไกการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่าง ภาครัฐในฐานะผู้ประกอบการกับประชาชนในฐานะผู้บริโภค

51. ส่วนขาดดุลทางการคลังเกิดจากข้อใด
(1) รัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้
(2) รัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่าย
(3) รัฐบาลมีรายจ่ายเท่ากับรายได้
(4) รายจ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 45 ส่วนขาดดุลทางการคลัง (Fiscal Deficit) เกิดจากรัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ซึ่งรัฐบาลสามารถชดเชยการขาดดุลได้โดยใช้วิธีการก่อหนี้สาธารณะ

52. ปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930 เรียกว่าอะไร
(1) Crisis
(2) The Great Depression
(3) The Great Storm
(4) Hamburger Crisis.
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 46 – 47, (คําบรรยาย) ในช่วงทศวรรษ 1930 เกิดปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลก หรือที่เรียกว่า The Great Depression ซึ่งทฤษฎีของเคนส์ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหานี้ โดยการเสนอให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ คือการให้รัฐบาลใช้จ่ายเกินกว่ารายได้ที่มีอยู่เพื่อเป็นการ ยกระดับอุปสงค์มวลรวม (Aggregate Demand)

53. นักเศรษฐศาสตร์สํานักใดไม่ยอมรับการก่อหนี้สาธารณะ
(1) เคนส์เซียน
(2) นีโอลิเบอรัล
(3) พาณิชย์นิยม
(4) เสรีนิยม
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 45 นักเศรษฐศาสตร์สํานักคลาสสิก (Classical Economist) หรือสํานักเสรีนิยม (Liberalist) มองว่า บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด (Minimalist State) คือ รัฐบาลควรใช้จ่ายงบประมาณอย่างจํากัด ดังนั้นการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลซึ่งนําไปสู่การก่อหนี้สาธารณะจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์สํานักนี้

54. ในทฤษฎีของเคนส์การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลเป็นการทํางานของกลไกในข้อใด
(1) การบริโภค
(2) การออม
(3) การลงทุน
(4) อุปสงค์มวลรวม
(5) การจับจ่ายใช้สอย
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

55. กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่าอะไร
(1) วินัยทางการคลัง
(2) กฎเหล็กทางการคลัง
(3) ความยั่งยืนทางการคลัง
(4) กฎกระทรวงการคลัง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้
สาธารณะ เรียกว่า วินัยทางการคลัง

56. บทบัญญัติของกฎหมายมาตราใดในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ที่กําหนด
ขีดจํากัดของการก่อหนี้สาธารณะสําหรับประเทศไทย
(1) มาตรา 9 ทวี
(2) มาตรา 15
(3) มาตรา 19
(4) มาตรา 21
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 21 ได้กําหนด ขีดจํากัดของการก่อหนี้สาธารณะสําหรับประเทศไทยไว้ว่า การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล งบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังกู้เป็น เงินบาทไม่เกินวงเงิน ดังนี้
1. ร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปีที่ใช้บังคับ อยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
2. ร้อยละ 80 ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สําหรับชําระคืนเงินต้น

57.ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละเท่าไร
(1) 10
(2) 15
(3) 20
(4) 40
(5) 60
ตอบ 4 หน้า 51 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน เมษายน 2560 มีจํานวน 6,267,920.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.64 ของผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

58. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะอยู่ภายใต้สังกัดของหน่วยงานใด
(1) กรมธนารักษ์
(2) กรมบัญชีกลาง
(3) สํานักงบประมาณ
(4) สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 48 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2542 อยู่ภายใต้สังกัดของ สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดําเนินการเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การผูกพันหนี้ การบริหารหนี้ และการชําระหนี้ ในประเทศและต่างประเทศของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งที่ค้ําประกันและไม่ค้ําประกัน

59. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) ปี พ.ศ. 2540
(2) ปี พ.ศ. 2541
(3) ปี พ.ศ. 2542
(4) ปี พ.ศ. 2543
(5) ปี พ.ศ. 2544
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

60. ข้อใดไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ
(1) หนี้ของรัฐบาล
(2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
(3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน
(4) หนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 45, 50, (คําบรรยาย) หนี้สาธารณะ ได้แก่
1. หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงทั้งหนี้ในประเทศและต่างประเทศ
2. หนี้ของรัฐวิสาหกิจ (ไม่เป็นสถาบันการเงิน) ที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน
3. หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน
4. หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
5. หนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่น หนี้ของกระทรวงการคลัง เป็นต้น

61. บทบาทของรัฐบาลในลักษณะที่เป็น Minimalist State ตรงกับข้อใด
(1) รัฐบาลไม่มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ
(2) บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด
(3) รัฐบาลไม่ควรมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ
(4) บาทบาทของรัฐบาลเป็นไปตามนโยบายของพรรคการเมือง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

62. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละเท่าไร
(1) 7.12
(2) 15.26
(3) 15.28
(4) 18.25
(5) 25.74
ตอบ 1 หน้า 52 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 7.12

63. ข้อใดคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ
(1) วงเงิน
(2) ระยะเวลาชําระคืน
(3) อัตราดอกเบี้ย
(4) ผู้ที่รับภาระหนี้
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3(คําบรรยาย) การก่อหนี้สาธารณะต้องคํานึงถึงผู้ที่รับภาระหนี้ วงเงิน ระยะเวลาชําระคืน และ อัตราดอกเบี้ย โดยที่อัตราดอกเบี้ยคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับต่างประเทศ เนื่องจากต้องใช้คืนทั้งต้นเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวนตามค่าเงิน

64. กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะคือข้อใด
(1) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2545
(2) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2546
(3) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2547
(4) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548
(5) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธ สาธารณะ พ.ศ. 2550
ตอบ 4 (คําบรรยาย) กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหาร หนี้สาธารณะ คือ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งประกาศบังคับใช้ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

65. ข้อใดไม่ใช่ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ
(1) ตั๋วเงินคลัง
(2) ตั๋วสัญญาใช้เงิน
(3) พันธบัตร
(4) บัตรเงินฝาก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4(คําบรรยาย) ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่
1. ตั๋วเงินคลัง
2. ตั๋วสัญญาใช้เงิน
3. พันธบัตร

66. ข้อใดเป็นคํานิยามของพันธบัตรที่ถูกต้อง
(1) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกิน 6 เดือน
(2) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกิน 12 เดือน
(3) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป
(4) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่ 18 เดือนขึ้นไป
(5) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่ 24 เดือนขึ้นไป
ตอบ 3 (คําบรรยาย) พันธบัตร คือ เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออก ตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป

67. ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังไม่อาจกู้เงินเพื่อการใด
(1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
(2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
(3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
(4) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
(5) พัฒนาตลาดทุนในประเทศ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังกู้เงินได้ เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
1. ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
2. พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
3. ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
4. ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
5. พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ

68. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ
(1) การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
(2) การเป็นเครื่องชี้วัดสถานภาพทางสังคม
(3) การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
(4) การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 54, (คําบรรยาย) บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
2. การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
3. การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า
4. การเป็นมาตรฐานการชําระหนี้ในภายหน้า

69. บุคคลใดเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ
(1) นายกรัฐมนตรี
(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
(3) ปลัดกระทรวงการคลัง
(4) ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ
(5) ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ตอบ 2 หน้า 50, (คําบรรยาย) คณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ มีรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยมีอํานาจหน้าที่ดังนี้
1. รายงานสถานะของหนี้สาธารณะต่อคณะรัฐมนตรี
2. เสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. จัดทําหลักเกณฑ์ในการกู้เงิน การค้ําประกัน การชําระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ และการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ฯลฯ

70. ข้อใดไม่นับว่าเป็นเงิน
(1) เหรียญกษาปณ์
(2) เช็ค
(3) ตั๋วแลกเงิน
(4) บัตรเครดิต
(5) ศิลปวัตถุ
ตอบ 5 หน้า 54 เงิน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ เช็ค ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต เป็นต้น

71. คําในข้อใดหมายถึงนโยบายการเงิน
(1) Fiscal Policy
(2) Monetary Policy
(3) Financial Policy
(4) Public Policy
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 3, 54, 57, (คําบรรยาย) นโยบายการเงิน (Monetary Policy) หมายถึง นโยบายที่ เกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทางเศรษฐกิจ เช่น การควบคุมกํากับอัตราดอกเบี้ย การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท การควบคุม กํากับดูแลสินเชื่อ การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล การออกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ทางการเงิน เป็นต้น โดยหน่วยงานที่ทําหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย

72. การดําเนินนโยบายการเงินไม่มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเรื่องใด
(1) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
(2) การจ้างงาน
(3) ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
(4) เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 54 – 55, (คําบรรยาย) การดําเนินนโยบายการเงินมีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเสถียรภาพ ของระบบเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการจ้างงาน แต่จะไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

73. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงิน
(1) การควบคุมปริมาณเงิน
(2) การกําหนดอัตราดอกเบี้ย
(3) การควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ
(4) การเก็บภาษีศุลกากร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 55 – 56 เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ประกอบด้วย 3 เครื่องมือ คือ การควบคุมปริมาณเงิน การกําหนดอัตราดอกเบี้ย และการควบคุมเงิน ที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

74.ECB เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ
(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย
ตอบ 3 หน้า 55 ในปัจจุบันธนาคารกลางที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ได้แก่ ธนาคารกลางแห่งยุโรป (European Central Bank : ECB) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve Bank : FED) เป็นต้น

75. หน่วยงานใดเป็นผู้กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย
(1) กระทรวงพาณิชย์
(2) กระทรวงการคลัง
(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(4) ธนาคารกรุงไทย
(5) คณะกรรมการนโยบายการเงิน
ตอบ 3หน้า 57 – 58 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้
1. ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร
2. กําหนดและดําเนินนโยบายการเงิน เช่น กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย
3. บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย
4. เป็นนายธนาคารและนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล
5. เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน
6. กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
7. บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ในทุนสํารองเงินตรา ฯลฯ

76. ข้อใดคือลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน
(1) มุ่งหากําไรสูงสุด
(2) หลีกเลี่ยงการแทรกแซงตลาดการเงิน
(3) มีอิสระจากฝ่ายการเมือง
(4) มีอํานาจเด็ดขาด
(5) รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสีย
ตอบ 3 หน้า 55 ลักษณะที่สําคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายทางการเงิน คือ มีอิสระ จากฝ่ายการเมือง เนื่องจากการดําเนินนโยบายทางการเงินนั้นมีเป้าหมายที่จะรักษาเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจเป็นสําคัญ ดังนั้นการดําเนินนโยบายโดยหน่วยงานที่มีอิสระจากฝ่ายการเมืองย่อมจะเป็นผลดีต่อการบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินมากกว่าการดําเนินนโยบายโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

77. ในปัจจุบันบุคคลใดดํารงตําแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล
(2) นายประทิน สันติประภพ
(3) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
(4) นายวิรไท สันติประภพ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน คือ นายเศรษฐวุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
ซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563

78. ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) ปี พ.ศ. 2480
(2) ปี พ.ศ. 2485
(3) ปี พ.ศ. 2490
(4) ปี พ.ศ. 2495
(5) ปี พ.ศ. 2500
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

79. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) ออกธนบัตร
(2) บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย
(3) ผลิตเหรียญกษาปณ์
(4) กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

80. ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับเท่าไร
(1) ร้อยละ 0.75 ต่อปี
(2) ร้อยละ 1.0 ต่อปี
(3) ร้อยละ 2.0 ต่อปี
(4) ร้อยละ 2.5 ต่อปี
(5) ร้อยละ 3.0 ต่อปี
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 1.0 ต่อปี

81. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
(1) เสถียรภาพและความมั่นคง
(2) การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
(3) การบริหารความเสี่ยงที่ดี
(4) ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 60 เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่
1. ระบบการเงินมีเสถียรภาพและความมั่นคง
2. การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
3. การบริหารความเสี่ยงที่ดี
4. ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันของระบบ สถาบันการเงิน
5. การเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

82. ความต้องการถือเงินของภาคครัวเรือนเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากข้อใด
(1) ความต้องการจับจ่ายใช้สอย
(2) การสร้างความมั่นคง
(3) การสร้างหลักประกันในการดําเนินชีวิต
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 54 เงินเป็นสิ่งสําคัญและมีบทบาทอย่างสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก
ลักษณะของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนของเงินนั่นเอง ซึ่งทําให้ภาคครัวเรือน เกิดความต้องการถือเงินเมื่อมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย

83.FED เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งฝรั่งเศส
(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(5) ธนาคารกลางแห่งแอฟริกา
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

84. ข้อใดไม่ถูกต้อง งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะดังนี้
(1) มีกระบวนการจัดทําที่มีลักษณะรวมอํานาจ
(2) รายรับมาจากภาษีอากรของประชาชน
(3) ความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทํา
(4) งบประมาณแผ่นดินมีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ
(5) รายรับอาจได้มาด้วยการก่อหนี้สาธารณะ
ตอบ 1 หน้า 63 – 66, (คําบรรยาย) คุณสมบัติหรือลักษณะสําคัญของงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งแตกต่างจากงบประมาณเอกชน มีดังนี้
1. เป็นกฎหมายทางการเงิน กล่าวคือ มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งกําหนดว่าให้ใช้จ่ายเงินได้ ไม่เกินจํานวนที่กําหนด แต่ในทางปฏิบัติรายจ่ายจริงอาจมีน้อยกว่ารายจ่ายที่กฎหมายงบประมาณ กําหนดไว้ก็ได้
2. เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ
3. วิธีการจัดหารายได้ (รายรับ) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดเก็บภาษีอากรและการก่อหนี้ สาธารณะ
4. คํานึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทํางบประมาณ
5. การกําหนดรายรับ มีรายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ
6. มีกระบวนการจัดทํางบประมาณที่มีลักษณะกระจายอํานาจ
7. ลักษณะการเป็นเจ้าของ โดยมีประชาชนเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง
8. มีการอนุมัติงบประมาณโดยรัฐสภา
9. การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณจะถูกควบคุมร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

85. ในยุคที่มีความเชื่อว่า… “งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือในการควบคุมความซื่อสัตย์ในการใช้จ่าย ของรัฐบาล…” งบประมาณแผ่นดินจะให้ความสําคัญไปที่
(1) รายละเอียดของบัญชีที่แสดงประเภทของการใช้จ่ายเงินของรัฐ
(2) เอกสารที่ประกอบด้วยโครงการต่าง ๆ ซึ่งเสนอขอรายจ่ายเพื่อให้เกิดการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ ของโครงการนั้น ๆ
(3) แผนของรัฐในรูปตัวเงินที่แสดงประสิทธิภาพของการใช้เงินตามแผนนั้น ๆ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 63, 90 – 91 ในยุคที่มีความเชื่อว่า งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือของฝ่ายนิติบัญญัติ ในการติดตามควบคุมการใช้ทรัพยากร หรือควบคุมตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์ สุจริตในการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลนั้น งบประมาณแผ่นดินตามความเชื่อนี้จะหมายถึง รายละเอียดของบัญชีที่แสดงประเภทของการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล หรือรายละเอียดของทรัพยากรที่ หน่วยงานเสนอของบประมาณจากรัฐบาล

ตั้งแต่ข้อ 86 – 95. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ฐานรายได้
(2) ฐานความมั่งคั่ง
(3) ฐานการบริโภค
(4) ฐานความมั่งคั่งและฐานการบริโภค
(5) ไม่มีข้อใดถูก

86. ภาษีไฟ มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 3 หน้า 5 – 6, 23, 38 ฐานการบริโภค (Consumption Base) เป็นฐานภาษีที่เก็บจาก การใช้จ่ายเพื่อบริโภคของประชาชน รวมถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ ตัวอย่างภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานการบริโภค เช่น ภาษีการขาย ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษี สรรพสามิต (เช่น ภาษีสุรา ภาษียาสูบ ภาษีน้ำมัน ภาษีเครื่องดื่ม ภาษีไฟ ภาษีน้ําหอม) ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสินค้าขาเข้า (เช่น ภาษีรถยนต์นําเข้า) เป็นต้น

87.ภาษีรถยนต์ มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 2 หน้า 6, 23, (คําบรรยาย) ฐานความมั่งคั่ง (Wealth Base) เป็นฐานภาษีที่พิจารณาจาก รายได้หรือผลประโยชน์ที่เกิดจากทรัพย์สินที่บุคคลได้ครอบครองอยู่ ตัวอย่างภาษีที่จัดเก็บ โดยใช้ฐานความมั่งคั่ง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีโรงแรม ภาษีโรงงาน ภาษีป้าย ภาษีรถยนต์ ภาษีมรดก ภาษีดอกเบี้ย เป็นต้น

88.ภาษีการขาย มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ

89. ภาษีบํารุงท้องถิ่นจากโรงแรม น้ํามัน ยาสูบ มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 86. และ 87. ประกอบ

90. ภาษีมูลค่าเพิ่ม มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ

91. ภาษีเงินได้นิติบุคคล มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 1 หน้า 5, 22, (คําบรรยาย) ฐานรายได้ (Income Base) เป็นฐานภาษีที่วัดจากความสามารถ ในการเสียภาษี (Ability to Pay) ของประชาชนแต่ละคน โดยพิจารณาจากเงินได้ของบุคคล หรือหน่วยภาษีต่าง ๆ ภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานรายได้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (กําไร จากการขายคริปโต”) ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีหัก ณ ที่จ่าย

92. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

93. ภาษีป้าย มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

94. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

95. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

96.“การวิเคราะห์งบประมาณ” เป็นกิจกรรมที่อยู่ในขั้นตอนใดของกระบวนการงบประมาณ
(1) การควบคุม
(2) การจัดเตรียม
(3) การประเมินผล
(4) การอนุมัติ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

97. ตัวอย่างของ Public Goods ได้แก่
(1) บริการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
(2) การจัดแสงสว่างในทางเดินสาธารณะ
(3) ไฟฟ้า
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 66, 71 สินค้าสาธารณะ (Public Goods) คือ สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปการสาธารณูปโภคที่มีประโยชน์ต่อคนส่วนรวม ซึ่งรัฐเป็นผู้ดําเนินการโดยอาศัย กฎหมายและรายได้จากภาษีอากรของประชาชน เป็นสินค้าและบริการที่มุ่งอรรถประโยชน์ สูงสุดของระบบเศรษฐกิจ และไม่อาจใช้กลไกราคาเป็นเครื่องวัดมูลค่าได้ เช่น บริการป้องกัน ประเทศ บริการรักษาความสงบภายใน การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การอํานวย ความยุติธรรม การควบคุมน้ําท่วม การจัดแสงสว่างในทางเดินสาธารณะ การดําเนินนโยบาย ต่างประเทศ การทําความสะอาดถนนสาธารณะ การควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

98. “การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินต้องได้รับการยินยอมจากประชาชนเสียก่อน” หมายความว่า
(1) งบประมาณต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาฯ ก่อนที่จะนําไปใช้
(2) งบประมาณต้องได้รับการวิเคราะห์ก่อนนําไปใช้
(3) งบประมาณต้องผ่านการทําประชามติก่อนนําไปใช้
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 64, 82, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินเป็นเงินของประชาชนที่มอบให้กับรัฐบาลในรูปของภาษีอากรและการกู้ยืมเพื่อนําไปใช้ในการบริหารประเทศ ดังนั้นการใช้จ่ายงบประมาณ จึงต้องได้รับการอนุมัติหรือยินยอมจากประชาชนเสียก่อน แต่เนื่องจากการบริหารราชการในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประชาชนได้มอบอํานาจการตัดสินใจให้กับรัฐสภา (สภา นิติบัญญัติ) ไปแล้ว งบประมาณแผ่นดินซึ่งการจัดทําเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะจึงจําเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาโดยต้องทําเป็นกฎหมายก่อนที่จะนําไปใช้ เพราะถ้า งบประมาณไม่ได้รับการรับรองจากสภา รัฐบาลก็จะบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่า งบประมาณเป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือการจัดตั้งรัฐบาลใน ประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

99. “กลไกราคา” เป็นเครื่องมือสําคัญในการจัดสรรสินค้าชนิดใด
(1) สินค้าเอกชน
(2) สาธารณูปโภค
(3) สินค้าสาธารณะ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 65, (คําบรรยาย) สินค้าเอกชน (Private Goods) เป็นสินค้าและบริการที่ประชาชน ทุกคนสามารถซื้อมาใช้เป็นการส่วนตัวได้ โดยจะมี “กลไกราคา” (Price Mechanism) เป็นเครื่องมือในการจัดสรร

100. ในปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลไทยทําหน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากรของชาติตาม พ.ร.บ. งบประมาณ รายจ่ายประจําปีคิดเป็นร้อยละเท่าไรของ GDP (ประมาณ)
(1) 30
(2) 22
(3) 18
(4) 12
(5) 7
ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2565 ได้กําหนดวงเงินงบประมาณ รายจ่ายไว้จํานวน 3.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.26 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (GDP)

POL3300 การบริหารการคลัง s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3300 การบริหารการคลัง
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.คุณลักษณะที่สําคัญของงบประมาณแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตย คือ
(1) เป็นกฎหมาย
(2) เป็นแผนทางการเงิน
(3) เป็นเครื่องมือในการบริหารงาน
(4) เป็นเครื่องชี้การจัดสรรทรัพยากรในภาครัฐ
(5) เป็นกลไกรับรองการเป็นรัฐบาล
ตอบ 5 หน้า 64, 82, (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินเป็นเงินของประชาชนที่มอบให้กับรัฐบาล
ในรูปของภาษีอากรและการกู้ยืมเพื่อนําไปใช้ในการบริหารประเทศ ดังนั้นการใช้จ่ายงบประมาณ จึงต้องได้รับการอนุมัติหรือยินยอมจากประชาชนเสียก่อน แต่เนื่องจากการบริหารราชการในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประชาชนได้มอบอํานาจการตัดสินใจให้กับรัฐสภา (สภา นิติบัญญัติ) ไปแล้ว งบประมาณแผ่นดินซึ่งการจัดทําเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะจึงจําเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาโดยต้องทําเป็นกฎหมายก่อนที่จะนําไปใช้ เพราะถ้า งบประมาณไม่ได้รับการรับรองจากสภา รัฐบาลก็จะบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่า งบประมาณเป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือการจัดตั้งรัฐบาลใน ประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

2. ข้อใดไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ
(1) หนี้ของกระทรวงการคลัง
(2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน
(3) หนี้ของรัฐบาล
(4) หนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์
(5) หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
ตอบ 4 หน้า 45, 50, (คําบรรยาย) หนี้สาธารณะ ได้แก่
1. หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงทั้งหนี้ในประเทศและต่างประเทศ
2. หนี้ของรัฐวิสาหกิจ (ไม่เป็นสถาบันการเงิน) ที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน
3. หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน
4. หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
5. หนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่น หนี้ของกระทรวงการคลัง เป็นต้น

3.FED เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งฝรั่งเศส
(2) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(3) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(5) ธนาคารกลางแห่งแอฟริกา
ตอบ 4 หน้า 55 ในปัจจุบันธนาคารกลางที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ได้แก่ ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(European Central Bank : ECB) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve Bank : FED) เป็นต้น

4.ลักษณะของ Program Budget
(1) แบ่งแยกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยงาน
(3) Cost and Benefit Analysis
(4) Incrementalism
(5) จัดทํางบประมาณจังหวัด
ตอบ 3 หน้า 92 – 93, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบโครงการ (Program Budget) หรืองบประมาณ แบบแสดงผลงาน (Performance Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในหลักประสิทธิภาพ กล่าวคือ เป็นระบบงบประมาณที่เน้นการควบคุมประสิทธิภาพของการใช้จ่าย หรือให้ความสําคัญกับ ประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร ทั้งนี้ก็เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์อย่างประหยัด นอกจากนี้ ยังให้ความสําคัญกับผลผลิต (Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ของงานหรือโครงการในแต่ละปี มีการจัดทํางบประมาณเป็นรายโครงการและมีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงการหรือ ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล (Objectives Classification) หรือตามหน้าที่ของรัฐ (Functional Classification) มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) หรือวิเคราะห์ประสิทธิภาพ ของโครงการหรือประสิทธิภาพของการใช้เงินโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ เช่น Cost and Effectiveness Analysis, Cost and Benefit Analysis และมีการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณ โดยอาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) เป็นสําคัญ

5. ไฟส่องสว่างบนทางหลวงจังหวัดจัดเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับสินค้าในตัวเลือกข้อใดต่อไปนี้
(1) ทางหลวงหมายเลข 9 และทางพิเศษบูรพาวิถี
(2) นโยบายความมั่นคง และนโยบายต่างประเทศ
(3) คลื่นความถี่วิทยุโทรทัศน์ และทางหลวงแผ่นดิน
(4) การประปาส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
(5) รถเมล์สาธารณะ และรถพยาบาล
ตอบ 2 หน้า 11 – 12, 14, (คําบรรยาย) สินค้าหรือบริการสาธารณะ (Public Goods) หรือเรียกว่า สินค้าสาธารณะแท้หรือสินค้าสาธารณะที่สมบูรณ์ (Pure Public Goods) มีคุณสมบัติดังนี้
1. ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค (Non-Rival Consumption) หรือกีดกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึง สินค้าหรือบริการนั้นไม่ได้
2. ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้ (Non-Excludable) หรือไม่สามารถใช้ราคา เป็นเครื่องมือกีดกันผู้อื่นไม่ให้ใช้สินค้าหรือบริการนั้นได้
3. ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้าหรือบริการ คือ ต้นทุนส่วนเพิ่มเมื่อมีผู้ซื้อสินค้า หรือบริการเพิ่มขึ้นนั้นมีค่าเท่ากับศูนย์ (Zero-Marginal Cost)
ตัวอย่างเช่น ไฟฟ้าหรือไฟส่องสว่างบนถนนสาธารณะ แสงไฟจากประภาคารสาธารณะ แม่น้ำ ลําน้ำสาธารณะ การดําเนินนโยบายต่างประเทศ การดําเนินนโยบายความมั่นคง การทํา ความสะอาดถนนสาธารณะ การควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายหลักสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการ ชิมช้อปใช้ นโยบายป้องกันประเทศจาก COVID เป็นต้น

6. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
(1) ฐานรายได้
(2) ฐานรายได้ ฐานความมั่งคั่ง และฐานการบริโภค
(3) ฐานความมั่งคั่งและฐานการบริโภค
(4) ฐานความมั่งคั่ง
(5) ฐานการบริโภค
ตอบ 4 หน้า 6, 23, (คําบรรยาย) ฐานความมั่งคั่ง (Wealth Base) เป็นฐานภาษีที่พิจารณาจากรายได้หรือผลประโยชน์ที่เกิดจากทรัพย์สินที่บุคคลได้ครอบครองอยู่ ตัวอย่างภาษีที่จัดเก็บ โดยใช้ฐานความมั่งคั่ง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีโรงแรม ภาษีโรงงาน ภาษีป้าย ภาษีรถยนต์ ภาษีมรดก ภาษีดอกเบี้ย เป็นต้น

7.คนที่ร่วมใช้ประโยชน์จากสินค้าสาธารณะ แต่ไม่ยอมร่วมจ่ายค่าบริการ หมายถึงคนกลุ่มใด
(1) Waive Rider
(2) Groove Rider
(3) Free Rider
(4) Ghost Rider
(5) Masked Rider
ตอบ 3 หน้า 12 Free Rider หมายถึง คนที่ร่วมใช้ประโยชน์จากสินค้าสาธารณะ แต่ไม่ยอมร่วมจ่าย
ค่าบริการ

8. โดยทั่วไปคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้นําเสนอขออนุมัติงบประมาณต่อรัฐสภา และจะต้องนําเสนอเป็นเวลา
อย่างน้อยกี่วันก่อนเริ่มปีงบประมาณใหม่
(1) 120
(2) 60
(3) 90
(4) 105
(5) 145
ตอบ 5
หน้า 78, (คําบรรยาย) โดยทั่วไปคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้นําเสนอขออนุมัติงบประมาณต่อ รัฐสภา และจะต้องนําเสนอเป็นเวลาอย่างน้อย 145 วันก่อนเริ่มปีงบประมาณใหม่ ซึ่งเป็นไป ตามข้อบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กําหนดให้รัฐสภาใช้เวลาในการพิจารณาอนุมัติไม่เกิน 125 วัน (สภาผู้แทนราษฎรไม่เกิน 105 วัน และวุฒิสภาไม่เกิน 20 วัน) และให้นายกรัฐมนตรี นําขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่เกิน 20 วัน

9.ข้อใดเป็นสาระสําคัญของ Performance Budget
(1) Mixed Scanning
(2) Incrementalism
(3) Program Analysis
(4) Objects of Expenditure Classification
(5) Public Hearing
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

10. งบประมาณแผ่นดินต่างกับงบประมาณเอกชนในเรื่องใด
(1) เครื่องมือในการบริหาร
(2) การจัดทําเป็นโครงการ
(3) การอนุมัติ
(4) เป็นบัญชีทางการเงินที่แสดงการรับจ่าย
(5) การเป็นแผนทางการเงิน
ตอบ 4หน้า 63 – 66, (คําบรรยาย) คุณสมบัติหรือลักษณะสําคัญของงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งแตกต่างจากงบประมาณเอกชน มีดังนี้
1. เป็นกฎหมายทางการเงิน กล่าวคือ มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งกําหนดว่าให้ใช้จ่ายเงิน ได้ไม่เกินจํานวนที่กําหนด แต่ในทางปฏิบัติรายจ่ายจริงอาจมีน้อยกว่ารายจ่ายที่กฎหมายงบประมาณกําหนดไว้ก็ได้
2. เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ
3. วิธีการจัดหารายได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดเก็บภาษีอากรและการก่อหนี้สาธารณะ
4. คํานึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทํางบประมาณ
5. การกําหนดรายรับ มีรายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ
6. มีกระบวนการจัดทํางบประมาณที่มีลักษณะกระจายอํานาจ
7. ลักษณะการเป็นเจ้าของ โดยมีประชาชนเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง
8. มีการอนุมัติงบประมาณโดยรัฐสภา
9. การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณจะถูกควบคุมร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

11. “การวิเคราะห์งบประมาณ” เป็นกิจกรรมที่อยู่ในขั้นตอนใดของกระบวนการงบประมาณ
(1) การประเมินผล
(2) การจัดเตรียม
(3) การควบคุม
(4) การอนุมัติ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 115 – 116 ในการจัดเตรียมงบประมาณนั้น จะมีการจัดทํารายละเอียดของ งบประมาณ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่สําคัญ 3 ขั้นตอน คือ
1. เจ้าหน้าที่สํานักงบประมาณพิจารณาวิเคราะห์งบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. สํานักงบประมาณเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ พร้อมด้วยเอกสารงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี
3. นายกรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจําปี พร้อมด้วยเอกสารงบประมาณ ต่อรัฐสภา

12. ข้อใดถูกต้อง
(1) อัตราภาษีก้าวหน้าช่วยสร้างความเสมอภาค
(2) อัตราภาษีคงที่ทําให้คนส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อยรับภาระน้อยกว่าคนส่วนน้อยที่มีรายได้มาก
(3) อัตราภาษีคงที่ทําให้เกิดความเท่าเทียมกัน
(4) การจัดเก็บภาษีจากสินค้าจําเป็นอาจทําให้เกิดเงินฝืดขึ้นได้
(5) ถ้าเก็บภาษีในอัตราต่ําจะทําให้เศรษฐกิจหดตัวได้
ตอบ 1 หน้า 76 – 77, (คําบรรยาย) ผลกระทบที่เกิดจากวิธีการหารายได้และการใช้จ่ายของรัฐ มีดังนี้
1. การเก็บภาษีทรัพย์สินเป็นการเก็บภาษีซ้ํากับภาษีเงินได้
2. การเก็บภาษีในอัตราคงที่จะทําให้คนส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อยต้องรับภาระมากกว่า คนกลุ่มน้อยที่มีรายได้มาก ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
3. การเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าจะช่วยสร้างความเสมอภาคต่อคนในสังคม ถ้าจัดเก็บในอัตราสูงจะทําให้เศรษฐกิจหดตัว แต่ถ้าจัดเก็บในอัตราต่ําจะทําให้เศรษฐกิจขยายตัว
4. การเก็บภาษีจากสินค้าจําเป็นอาจทําให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ เพราะทําให้สินค้ามีราคาสูง แต่ความต้องการที่จะบริโภคสินค้านั้นไม่ได้ลดลง
5. ถ้ารายจ่ายของรัฐให้ประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อยจะทําให้เศรษฐกิจขยายตัว แต่ถ้า รายจ่ายของรัฐให้ประโยชน์เพียงคนกลุ่มน้อยที่มีรายได้มากจะทําให้เศรษฐกิจคงตัวฯลฯ

13. ปีงบประมาณของไทยสิ้นสุดลงเมื่อใด
(1) 31 มีนาคมของทุกปี
(2) 31 ตุลาคมของทุกปี
(3) 30 มิถุนายนของทุกปี
(4) 31 ธันวาคมของทุกปี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 68, (คําบรรยาย) ระยะเวลาของการบริหารหรือการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณ เรียกว่า “ปีงบประมาณ” หรือ “ปีคลัง” (Fiscal Year) ซึ่งปกติแล้วจะต้องมีระยะเวลา ที่แน่นอน โดยอาจเป็น 6 เดือน 1 ปี (12 เดือน) หรือ 2 ปี (24 เดือน) ก็ได้ แต่จะต้อง เป็นเช่นนั้นทุก ๆ ปี และจะเริ่มต้นในเดือนใดก็ได้ เช่น ปีงบประมาณของไทยมีระยะเวลา 12 เดือน เริ่มต้นจากวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี และไปสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของ ปีถัดไป โดยใช้ชื่อปีถัดไปเป็นชื่อปีงบประมาณ (เช่น ปีงบประมาณ 2565 จะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2564 และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565)

14. ข้อใดคือความหมายของ Minimalist State
(1) รัฐบาลไม่ควรเป็นผู้ให้บริการสาธารณะ
(2) รัฐบาลจึงใช้จ่ายงบประมาณให้น้อยที่สุด
(3) ประชาชนมีอํานาจจํากัด
(4) การก่อหนี้สาธารณะมีขีดจํากัด
(5) บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด
ตอบ 5 หน้า 46 นักเศรษฐศาสตร์สํานักคลาสสิก (Classical Economist) หรือสํานักเสรีนิยม (Liberalist) มองว่า บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจํากัด (Minimalist State) คือ รัฐบาลควรใช้จ่ายงบประมาณอย่างจํากัด ดังนั้นการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลซึ่งนําไปสู่การก่อหนี้สาธารณะจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์สํานักนี้

15. ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังไม่อาจกู้เงินเพื่อการใด
(1) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
(2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
(3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
(4) พัฒนาตลาดทุนในประเทศ
(5) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังกู้เงินได้ เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
1. ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
2. พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
3. ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
4. ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
5. พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ

16. ภาษีชนิดใดต่อไปนี้ไม่เป็นกลาง
(1) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
(2) ภาษีศุลกากร
(3) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(4) ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(5) ภาษีสุรา
ตอบ 5 หน้า 38, (คําบรรยาย) ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผล สมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ขัดต่อ ศีลธรรมอันดีงาม มีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษ จากกิจการของรัฐ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจึงไม่เป็นกลางตามหลักการภาษีที่ดี ทั้งนี้ เพราะเป็นการจัดเก็บภาษีที่ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนหรือจํากัด การบริโภคของประชาชนให้น้อยลง ตัวอย่างสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต เช่น สุรา เบียร์ ยาสูบ ไพ่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดื่ม เรือ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน น้ําหอม เจลแอลกอฮอล์ สนามกอล์ฟ สนามแข่งม้า ไนต์คลับ ดิสโก้เธค ผับ บาร์ และคาราโอเกะ เป็นต้น

17. ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับเท่าไร
(1) ร้อยละ 0.5 ต่อปี
(2) ร้อยละ 5 ต่อปี
(3) ร้อยละ 0 ต่อปี
(4) ร้อยละ 0.25 ต่อปี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 0.5 ต่อปี

18. ส่วนขาดดุลทางการคลังเกิดจากข้อใด
(1) รัฐบาลมีรายจ่ายเท่ากับรายได้
(2) รัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่าย
(3) รายจ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
(4) รัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้
(5) รายรับรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตอบ 4 หน้า 45 ส่วนขาดดุลทางการคลัง (Fiscal Deficit) เกิดจากรัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ซึ่งรัฐบาลสามารถชดเชยการขาดดุลได้โดยใช้วิธีการก่อหนี้สาธารณะ

19. “เงินได้สุทธิ” คํานวณได้จากข้อใด
(1) ค่าใช้จ่าย – เงินได้พึงประเมิน
(2) (เงินได้พึงประเมิน + ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน
(3) (เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน
(4) เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย
(5) เงินได้พึงประเมิน – ค่าลดหย่อน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) เงินได้สุทธิ เป็นฐานภาษีสําหรับคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งมีสูตร
ในการคํานวณ คือ (เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน

20. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน
(2) การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
(3) เสถียรภาพและความมั่นคง
(4) การบริหารความเสี่ยงที่ดี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 60 เป้าหมายของการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
ได้แก่
1. ระบบการเงินมีเสถียรภาพและความมั่นคง
2. การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
3. การบริหารความเสี่ยงที่ดี
4. ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน
5. การเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

21.“เงินประจํางวด” หมายถึงอะไร
(1) ยอดรายจ่ายในแต่ละไตรมาส
(2) แผนการใช้จ่ายเงิน
(3) เงินในหมวดรายจ่ายประจํา
(4) เงินของราชการส่วนภูมิภาค
(5) รายงานทางการเงิน
ตอบ 2 หน้า 84, 126, (คําบรรยาย) เงินประจํางวด (Apportionment) หมายถึง เงินที่จะจัดสรรให้กับส่วนราชการหนึ่ง ๆ ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ ถือเป็นแผนการใช้จ่ายเงินหรือ เครื่องมือในการควบคุมให้ส่วนราชการต่าง ๆ ปฏิบัติงานตามแผนที่กําหนด และสามารถนําเงิน ไปใช้จ่ายได้ทันปีงบประมาณ ซึ่งอํานาจในการกําหนดระยะเวลาของเงินประจํางวดเป็นของ สํานักงบประมาณ

22. เหตุใดภาษีบางชนิดจึงไม่เป็นกลางตามหลักการจัดเก็บภาษีที่ดี
(1) ต้องการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
(2) ไม่ต้องการให้เกิดความเหลื่อมล้ํา
(3) ต้องการให้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
(4) ต้องการให้เกิดความเป็นธรรมในระบบภาษี
(5) ไม่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

23. ลักษณะของระบบงบประมาณที่เรียกว่า Performance Budget
(1) จัดทํางบประมาณเป็นรายโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักการประสานประโยชน์
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ
(4) แบ่งเงินออกตามหน่วยงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

24. นักเศรษฐศาสตร์คนใดเสนอว่าภาระของหนี้สาธารณะเกิดขึ้นข้ามช่วงอายุของคน
(1) Buchanan
(2) Schumpeter
(3) Tobin
(4) Stieglitz
(5) Ricardo
ตอบ 1 หน้า 47 James Buchanan เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เสนอว่าภาระของหนี้สาธารณะ เกิดขึ้นข้ามช่วงอายุของคน

25. พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะประกาศบังคับใช้ในรัฐบาลใด
(1) อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
(2) ทักษิณ ชินวัตร
(3) ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(4) ชวน หลีกภัย
(5) ชวลิต ยงใจยุทธ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) กฎหมายฉบับสําคัญที่สุดที่กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหาร หนี้สาธารณะ คือ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งประกาศ บังคับใช้ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

26. ข้อใดคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับ
การก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ
(1) อัตราดอกเบี้ย
(2) ผู้ที่รับภาระหนี้
(3) ระยะเวลาชําระคืน
(4) ภาระหนี้
(5) วงเงิน
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การก่อหนี้สาธารณะต้องคํานึงถึงผู้ที่รับภาระหนี้ วงเงิน ระยะเวลาชําระคืน และ อัตราดอกเบี้ย โดยที่อัตราดอกเบี้ยคือความแตกต่างที่สําคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับต่างประเทศ เนื่องจากต้องใช้คืนทั้งต้นเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวนตามค่าเงิน

27. กลไกตลาดภาครัฐคืออะไร
(1) กลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(2) กลไกการบริหารจัดการระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(3) กลไกการประสานงานระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(4) กลไกการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(5) กลไกการทํางานระหว่างภาครัฐกับประชาชน
หน้า 21 กลไกตลาดภาครัฐ คือ กลไกการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่าง ภาครัฐในฐานะผู้ประกอบการกับประชาชนในฐานะผู้บริโภค

28. ข้อใดเรียกว่าเป็น Negative Tax
(1) การให้บริการการศึกษาในราคาต่ำกว่าทุน
(2) การจัดเก็บภาษีน้ํามันเชื้อเพลิง
(3) การบังคับกู้ยืมโดยจ่ายดอกเบี้ยต่ำกว่า
(4) การจัดเก็บภาษีบุหรี่
(5) การหากําไรจากรัฐวิสาหกิจ
ตอบ 1 หน้า 4 Negative Tax คือ สินค้าหรือบริการที่รัฐบาลขายหรือให้บริการในราคาต่ำกว่าทุน

29. หนุมานมีเงินได้สุทธิ 425,150 บาท หนุมานต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราเท่าใด
(1) 20%
(2) 5%
(3) 15%
(4) 10%
(5) ได้รับการยกเว้น
ตอบ 4 หน้า 33 – 34 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560

30. งบการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้
ในประเทศต้องได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานใด
(1) สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
(2) สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
(3) กรมบัญชีกลาง
(4) กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
(5) ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
ตอบ 1(คําบรรยาย) สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นหน่วยงานที่ทําหน้าที่ตรวจสอบงบการเงิน
ของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ

31.“ปีภาษี” หมายถึงระยะเวลาในช่วงใด
(1) ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 มีนาคม
(2) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 30 กันยายน
(3) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม
(4) ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 31 พฤษภาคม
(5) ระหว่างวันที่ 14 เมษายน – 31 ธันวาคม
ตอบ 3 หน้า 31, (คําบรรยาย) ปีภาษี ตามความหมายของประมวลรัษฎากร คือ ปีปฏิทิน ซึ่งเป็น รอบระยะเวลาที่ใช้สําหรับคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยปีภาษีจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคมของปีนั้น ๆ

32. บริการของรัฐที่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านบวกต่อสังคมควรมีแนวทางกําหนดอัตราค่าบริการอย่างไร
(1) กําหนดอัตราค่าบริการเท่ากับต้นทุนทางบัญชี
(2) กําหนดอัตราค่าบริการตามกลไกตลาด
(3) กําหนดอัตราค่าบริการสูงกว่าต้นทุนทางบัญชี
(4) กําหนดอัตราค่าบริการต่ำกว่าต้นทุนทางบัญชี
(5) กําหนดอัตราค่าบริการตามหลักสวัสดิการ
ตอบ 4 หน้า 42, (คําบรรยาย) กรณีการจัดบริการของรัฐก่อให้เกิดผลกระทบด้านบวกต่อสังคม รัฐควรกําหนดอัตราค่าบริการต่ำกว่าต้นทุนทางบัญชีและจัดสรรเงินอุดหนุนชดเชยส่วนที่ขาดทุน แต่ถ้าการจัดบริการของรัฐก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อสังคม รัฐควรกําหนดอัตราค่าบริการสูงกว่าต้นทุนทางบัญชีและนําเงินส่วนที่ต่างไปอุดหนุนชดเชยผู้ที่ได้รับความเสียหาย

33. “การจําหน่ายกําไรออกจากประเทศไทย” เป็นฐานภาษีของภาษีชนิดใด
(1) ภาษีสรรพสามิต
(2) ภาษีศุลกากร
(3) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(4) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
(5) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ตอบ 5 หน้า 34 ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีที่จัดเก็บจากเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยทั่วไปฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ กําไรสุทธิ แต่เพื่อความเป็นธรรมแก่นิติบุคคล และอุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษี จึงได้มีการบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลแตกต่างกัน ออกไปตามลักษณะของรายได้ เช่น จากกําไรสุทธิ จากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย จากเงินได้ ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย จากการจําหน่ายเงินกําไรออกไปจากประเทศไทย เป็นต้น

34. การกําหนดยอดวงเงินของงบประมาณแบบ Line-Item Budget การตัดสินใจจะใช้วิธีการใด
(1) Pure Rationality
(2) Zero-Base Analysis
(3) Cost and Benefit Analysis
(4) Incrementalism
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 87 – 88, 90 – 92, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line-Item Budget) หรืองบประมาณแบบเก่า (Conventional Budget) หรืองบประมาณแบบประเพณี (Traditional Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการควบคุมเพื่อมุ่งตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริตของการใช้จ่ายเงินของรัฐ หรือให้ความสําคัญกับความถูกต้องของ “ปัจจัย นําเข้า (Inputs) หรือการจัดสรร “ทรัพยากร” ของงานหรือโครงการ โดยเน้นกฎ ระเบียบ และการควบคุมให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบนั้น หรือให้ความสําคัญกับมาตรฐานของทรัพยากร ที่หน่วยราชการได้ใช้ไป ดังนั้นงบประมาณจึงถูกแบ่งออกตามหน่วยราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ (Agencies Classification หรือ Organizations Classification) โดยเฉพาะในระดับกรม และมีการแบ่งตามประเภทและชนิดของการใช้จ่าย (Objects of Expenditure Classification) โดยพิจารณาจากคู่มือการจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่ายซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนี้ในการจัดเตรียม งบประมาณก็จะต้องมีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจ (Muddling Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism) เป็นเกณฑ์ด้วย

35. หากนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และไม่มีสิ่งของที่ต้องสําแดงแก่ศุลกากร นักศึกษาต้องเลือกเดินเข้าประเทศผ่านช่องทางใด
(1) Blue Line
(2) Green Line
(3) Red Line
(4) Pink Line
(5) Black Line
ตอบ 2 (คําบรรยาย) กรณีนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ
1. หากมีสิ่งของที่ต้องสําแดงแก่ศุลกากร ให้เดินเข้าประเทศผ่านช่อง Red Line
2. หากไม่มีสิ่งของที่ต้องสําแดงแก่ศุลกากร ให้เดินเข้าประเทศผ่านช่อง Green Line

36. ทศกัณฐ์มีสถานะสมรส ไม่มีหนี้สิน ไม่ได้ซื้อประกันชีวิตใด ๆ ปัจจุบันเปิดกิจการขายเครื่องรางของขลัง เป็นอาชีพ มีเงินเดือนจากการบริหารกิจการเดือนละ 45,000 บาท และมีรายได้จากร้านขายเครื่องรางของขลัง ปีละ 8.1 ล้านบาท ทศกัณฐ์มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะเสียภาษีในข้อใด
(1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีศุลกากร
(2) ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีศุลกากร
(3) ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต
(4) ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(5) ภาษีสรรพสามิตและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ตอบ 4 (คําบรรยาย) จากข้อมูลข้างต้น ทศกัณฐ์มีหน้าที่เสียภาษี ดังนี้
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเงินเดือนที่ได้รับจากการบริหารกิจการ
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม จากการมีรายได้จากการขายเครื่องรางของขลังเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี

37. ในปัจจุบันบุคคลใดดํารงตําแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
(2) นายประทิน สันติประภพ
(3) นายวิรไท สันติประภพ
(4) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน คือ นายเศรษฐวุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563

38. ข้อใดคือชื่อหนังสือที่แต่งโดยจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์
(1) The Principle of Economics
(2) The Equilibrium
(3) The General Theory
(4) The Spirit of Law
(5) The Wealth of Nation
ตอบ 3หน้า 46, (คําบรรยาย) จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ชาวอังกฤษจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) เขาเป็นผู้เสนอแนวคิด เศรษฐศาสตร์สํานักเคนส์ (Keynesian Economics) และแต่งหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์ เช่น The General Theory of Employment, Interest and Money เป็นต้น

39. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) พ.ศ. 2544
(2) พ.ศ. 2543
(3) พ.ศ. 2545
(4) พ.ศ. 2542
(5) พ.ศ. 2546
ตอบ 4 หน้า 48 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2542 อยู่ภายใต้สังกัดของ สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดําเนินการเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การผูกพันหนี้ การบริหารหนี้ และการชําระหนี้ ในประเทศและต่างประเทศของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งที่ค้ําประกันและไม่ค้ําประกัน

40. หน้าที่ของรัฐในเรื่อง “การจัดระเบียบในสังคม” จัดเป็นหน้าที่ของรัฐทางเศรษฐกิจในหัวข้อใด
(1) Allocation Function
(2) Management Function
(3) Development Function
(4) Distribution Function
(5) Stabilization Function
ตอบ 2 หน้า 2 หน้าที่ของรัฐในทางเศรษฐกิจ มี 4 ประการ คือ
1. การจัดสรรทรัพยากรของสังคม (Allocation Function) เพื่อสร้างความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีตัวบ่งชี้คือ ผลผลิตมวลรวม (GDP)
2. การกระจายรายได้ให้กับประชาชน (Distribution Function) เพื่อสร้างความเป็นธรรมและความเสมอภาค
3. การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (Stabilization Function) มีตัวบ่งชี้คือ เงินฝืดและเงินเฟ้อ
4. การสร้างประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร (Management Function) เพื่อประสาน ความขัดแย้งระหว่างหน้าที่ต่าง ๆ จัดระเบียบในสังคม และดูแลกลไกตลาด

41. ลักษณะของระบบงบประมาณที่ในด้านการวางแผนวางโครงการ
(1) เป็น Performance Budget
(2) มุ่งเน้นที่ Objects of Expenditure Classification
(3) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(4) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Zero-Base Analysis
(5) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
ตอบ 5 หน้า 93 – 94, 97, 101 – 102, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS) เป็นระบบงบประมาณที่ ในด้านการวางแผนวางโครงการโดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ระยะยาว ระบบงบประมาณแบบนี้จะมีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายและตั้งวงเงินงบประมาณตามแต่ละแผนงาน มีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจผสมกับหลักเหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning) มีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงสร้างแผนงาน หรือโครงการ (Program Structure) มีการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในการวิเคราะห์โครงการเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างแผนงานหรือโครงการที่จัดทําว่ามีความสัมพันธ์กับ โครงการใด ๆ บ้าง มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างนโยบายสาธารณะ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการวางแผนวางโครงการของหน่วยงานมีการกําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ของแผนงานหรือโครงการเพื่อการติดตามประเมินผล และที่สําคัญระบบนี้จะต้องมีการจัดทําแผนงานและแผนทางการเงินระยะยาว (อาจเป็น 3 ปีหรือ 5 ปี) เพื่อประกอบการจัดทําโครงการด้วย

42.“GDP” เป็นตัวบ่งชี้ในเรื่องใด
(1) ประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร
(2) การรักษาเสถียรภาพ
(3) ความเหลื่อมล้ำในสังคม
(4) การกระจายรายได้
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

43. ทางด่วน จัดเป็นสินค้าประเภทใด
(1) Pure Private Goods
(2) Pure Public Goods
(3) Club Goods
(4) Price-Excludable Public Goods
(5) Congestible Public Goods
ตอบ 5 หน้า 13, 40, (คําบรรยาย) สินค้าทั่วไป (Common Goods) หรือสินค้ากึ่งสาธารณะประเภท Congestible Public Goods เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคแต่แบ่งแยกการบริโภค ออกจากกันไม่ได้ หรือการเข้ามาของผู้บริโภครายใหม่อาจทําให้ความพึงพอใจของผู้บริโภครายเดิม ลดน้อยลง แต่ไม่สามารถกีดกันให้บุคคลอื่นไม่สามารถเข้ามาเป็นผู้บริโภคได้ เช่น สนามหลวง สนามกีฬาแห่งชาติ สนามกีฬากลางของเทศบาล ห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดมหาวิทยาลัย ถนนสาธารณะ (เช่น ถนนพระราม 9) ทางด่วน เป็นต้น

44. นักทฤษฎีการคลังยุคคลาสสิก เชื่อว่า
(1) งบประมาณเกินดุล ขาดดุล หรือสมดุลต่างมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น
(2) งบประมาณขาดดุลดีที่สุด
(3) งบประมาณสมดุลดีที่สุด
(4) งบประมาณเกินดุลดีที่สุด
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 74, (คําบรรยาย) อดัม สมิธ (Adam Smith) เป็นนักทฤษฎีการคลังสมัยเก่าหรือ ยุคคลาสสิก (Classical Theory of Public Finance) ที่มีความเชื่อว่า นโยบายงบประมาณสมดุล เป็นนโยบายที่ดีที่สุด โดยรัฐบาลควรจะใช้จ่ายเงินตามความสามารถในการหารายได้ของตน ไม่ควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีบ่อย ๆ และไม่ควรก่อหนี้สาธารณะ

45. ใครต่อไปนี้มีหน้าที่ต้องยื่นคําขอเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
1. รามเป็นเจ้าของร้านสังฆภัณฑ์มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 254,000 บาท
2. ลักษณ์มีรายได้จากการขายประกันสุขภาพในปีนี้ 1,801,000 บาท
3. สีดาเป็นผู้นําเข้าเจลแอลกอฮอล์จากประเทศจีนมาขายในประเทศไทย มีรายได้จากการขายเจลในปีนี้
1,400,000 บาท
(1) สีดา
(2) รามและสีดา
(3) ราม
(4) ราม ลักษณ์ และสีดา
(5) รามและลักษณ์
ตอบ 5 หน้า 36 ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ที่ขายสินค้าหรือบริการเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล ซึ่งมีรายได้หรือยอดขายเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี (150,000 บาทต่อเดือน) โดยต้องยื่นคําขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และคํานวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ และต้องชําระภาษีเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

46. “การแปรญัตติ” เป็นกิจกรรมที่อยู่ในขั้นตอนใดของ “กระบวนการงบประมาณ
(1) การจัดเตรียม
(2) การควบคุม
(3) การประเมินผล
(4) การอนุมัติ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 123, (คําบรรยาย) “การแปรญัตติ” เป็นกิจกรรมที่อยู่ในขั้นตอนการอนุมัติงบประมาณ ซึ่งการแปรญัตตินั้นต้องแปรเป็นรายมาตรา โดยพิจารณาไปทีละมาตรา และถ้าเป็นงบประมาณ ของส่วนราชการปกติการแปรญัตติจะแปรขอลดได้เท่านั้น แต่จะแปรขอเพิ่มงบประมาณรายจ่าย (ทําให้ยอดวงเงินรายจ่ายเพิ่มขึ้น) มิได้

47.ความตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ หรือ FTA มีความเกี่ยวข้องกับภาษีชนิดใด
(1) ภาษีรถยนต์
(2) ภาษีศุลกากร
(3) ภาษีสรรพสามิต
(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(5) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) เขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) เป็นการทําความตกลงทางการค้า ระหว่างประเทศ อาจเป็น 2 ประเทศ (ทวิภาคี) หรือเป็นกลุ่มประเทศ (พหุภาคี) ที่จะร่วมมือ ขจัดอุปสรรคทางการค้าทั้งที่เป็นภาษีศุลกากรและไม่ใช่ภาษีศุลกากร

48.ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละเท่าไร
(1) 60
(2) 15
(3) 10
(4) 20
(5) 40
ตอบ 5 หน้า 51 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน เมษายน 2560 มีจํานวน 6,267,920.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.64 ของ GDP

49. สินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค และแยกการบริโภคออกจากกันได้ จัดเป็นสินค้าประเภทใด
(1) Pure Goods
(2) Public Goods
(3) Private Goods
(4) Promotion Goods
(5) Price-Excludable Goods
ตอบ 3

50. ข้อใดที่ไม่จัดเป็นความหมายของงบประมาณ
(1) แผนทางการเงิน
(2) บัญชีแสดงการรับจ่ายเงิน
(3) กฎหมายที่ว่าด้วยประมาณการรับจ่าย
(4) นโยบายสาธารณะ
(5) ประมาณการรายรับ-รายจ่าย
ตอบ 4 หน้า 63 – 64, (คําบรรยาย) ความหมายของงบประมาณแผ่นดิน มีดังนี้
1. หลักฐานทางการเงินของรัฐที่แสดงประมาณการของรายได้ (รายรับ) และรายจ่ายในอนาคตที่มีช่วงระยะเวลาที่แน่นอน
2. บัญชีหรือเอกสารทางการเงินที่แสดง รายรับรายจ่ายเงินของแผ่นดิน
3. กฎหมายที่ว่าด้วยประมาณการรายรับรายจ่าย
4. กฎหมายที่ระบุให้ส่วนราชการใช้จ่ายเงินได้ในกิจกรรมต่าง ๆ ไม่เกินจํานวนและ รายการที่กําหนด
5. แผนทางการเงินของแผ่นดินในช่วงระยะเวลาที่แน่นอน
6. แผนเพื่อให้เกิดความสําเร็จของโครงการ ซึ่งเกี่ยวพันกับวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ภายในช่วงระยะเวลาที่กําหนดไว้ ฯลฯ

51. ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บจากกลุ่มใดต่อไปนี้
(1) มูลนิธิชัยพัฒนา
(2) สมาคมค้าข้าวไทย
(3) ศิริราชมูลนิธิ
(4) สภากาชาดไทย
(5) มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก
ตอบ 2 หน้า 34 – 36 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ได้แก่
1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เช่น บริษัทจํากัด ห้างหุ้นส่วนจํากัด
2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ
3. กิจการซึ่งดําเนินการเป็นทางค้าหรือหากําไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
4. กิจการร่วมค้า
5. มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรี ประกาศกําหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล
6. นิติบุคคลที่อธิบดีกําหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี

52. ใครเป็นผู้มีหน้าที่ชําระภาษีสรรพสามิต
(1) กุมภกรรณประกอบอุตสาหกรรมผลิตเบียร์ออกจําหน่าย
(2) พิเภกประกอบกิจการร้านนวดแผนโบราณ
(3) อินทรชิตดัดแปลงรถยนต์
(4) อินทรชิตและกุมภกรรณมีหน้าที่ชําระภาษีสรรพสามิต
(5) กุมภกรรณ อินทรชิต และพิเภกมีหน้าที่ชําระภาษีสรรพสามิต
ตอบ 4 หน้า 38 ผู้มีหน้าที่ชําระภาษีสรรพสามิต มีดังนี้
1. ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในสินค้าสรรพสามิต เช่น สุรา เบียร์
2. ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ
3. ผู้นําเข้าสินค้าสรรพสามิต
4. ผู้ดัดแปลงรถยนต์
5. เจ้าของคลังสินค้าทัณฑ์บน ฯลฯ
(ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ)

53. ข้อใดคือนโยบายงบประมาณในปีงบประมาณปัจจุบัน
(1) งบประมาณเท่าทุน
(2) งบประมาณเกินดุล
(3) งบประมาณเกินตัว
(4) งบประมาณสมดุล
(5) งบประมาณขาดดุล
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) ในปีงบประมาณปัจจุบัน คือ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รัฐบาลได้ดําเนินนโยบาย งบประมาณแบบขาดดุล โดยกําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายจํานวน 3,100,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.26 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

54. ข้อใดที่จัดเป็น “เงินนอกงบประมาณแผ่นดิน”
(1) งบประมาณกรมศุลกากร
(2) งบประมาณกรมสรรพสามิต
(3) งบประมาณกรมสรรพากร
(4) งบประมาณของราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
(5) เป็นเงินนอกงบประมาณแผ่นดินทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 7, 67 – 68, (คําบรรยาย) เงินนอกงบประมาณ หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่มีมูลค่า ซึ่งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหามาได้เองด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มาจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เป็นเงินที่แยกออกจากความเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน ซึ่งได้แก่ เงินทุนหมุนเวียน งบประมาณของรัฐวิสาหกิจ (เช่น งบประมาณของ ขสมก.) เงินช่วยเหลือ จากต่างประเทศ เงินกู้ยืมทั้งในและต่างประเทศ งบประมาณของราชการบริหารส่วนท้องถิ่น (ได้แก่ งบประมาณของ อบต. อบจ. เทศบาล กทม. และเมืองพัทยา) เงินรายได้ของสถาบัน การศึกษา และเงินรายได้ของสถาบันสาธารณสุข

55. เงินได้พึงประเมินหมายถึงเงินได้ของบุคคลที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใด
(1) ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 มีนาคม
(2) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 30 กันยายน
(3) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม
(4) ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 31 พฤษภาคม
(5) ระหว่างวันที่ 14 เมษายน – 31 ธันวาคม
ตอบ 3 หน้า 31 เงินได้พึงประเมิน หมายถึง เงินได้ของบุคคลใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคมของปีใด ๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี ได้แก่
1. เงิน
2. ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน
3. ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน
4. เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้
5. เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกําหนด

56. ภาษีรถยนต์นําเข้า มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
(1) ฐานรายได้และฐานความมั่งคั่ง
(2) ฐานความมั่งคั่ง
(3) ฐานการบริโภค
(4) ฐานรายได้
(5) ฐานความมั่งคั่งและฐานการบริโภค
ตอบ 3 หน้า 5 – 6, 23, 38 ฐานการบริโภค (Consumption Base) เป็นฐานภาษีที่เก็บจาก การใช้จ่ายเพื่อบริโภคของประชาชน รวมถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ ตัวอย่างภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานการบริโภค เช่น ภาษีการขาย ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษี สรรพสามิต (เช่น ภาษีสุรา ภาษียาสูบ ภาษีน้ำมัน ภาษีเครื่องดื่ม ภาษีไฟ ภาษีน้ําหอม) ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสินค้าขาเข้า (เช่น ภาษีรถยนต์นําเข้า) เป็นต้น

57.Value Added Tax จัดเป็นภาษีประเภทใด
(1) ภาษีสรรพสามิตและภาษีสรรพากร
(2) ภาษีทางตรงและภาษีสรรพากร
(3) ภาษีทางอ้อม
(4) ภาษีทางตรง
(5) ภาษีทางอ้อมและภาษีสรรพากร
ตอบ 5 หน้า 19, (คําบรรยาย) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) จัดเป็นภาษีสรรพากร และเป็นภาษีทางอ้อมที่ผู้ขายสินค้าหรือบริการสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคได้โดยการ บวกเพิ่มเข้าไปในสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ดังนั้นผู้แบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงก็คือ ผู้บริโภคสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7%

58.Positive Economic เป็นแนวคิดที่ตรงกับข้อใด
(1) Predictive Approach
(2) Neo-Classical Economic
(3) Normative Approach
(4) Optimal Theory
(5) Post New Economic Approach
ตอบ 1 หน้า 1 แนวคิดในการศึกษาการคลังสาธารณะ แบ่งออกเป็น 2 แนว คือ
1. แนวคิดแบบ Predictive Approach หรือ Positive Economic เป็นการใช้ข้อเท็จจริง มาอธิบายสิ่งที่จะทํา เช่น เก็บภาษีมาก อํานาจซื้อจะน้อยลง เป็นต้น
2. แนวคิดแบบ Normative Approach หรือ Optimal Theory เป็นการค้นหากฎเกณฑ์ ที่ทําให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หรือหาระบบที่ควรจะเป็น เช่น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ควรปรับระบบภาษีอากรเป็นเช่นไร เป็นต้น

59. ข้อใดเป็น “นโยบายการเงิน”
(1) การขายทอดตลาดสินค้าหนีภาษี
(2) การจัดทํางบประมาณรายจ่ายของรัฐ
(3) การปรับเปลี่ยนอัตราภาษี
(4) การปรับเปลี่ยนอัตราค่าไฟฟ้า
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 8, 54, 57, (คําบรรยาย) นโยบายการเงิน (Monetary Policy) หมายถึง นโยบายที่ เกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทางเศรษฐกิจ เช่น การควบคุม/กํากับอัตราดอกเบี้ย การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท การควบคุม กํากับดูแลสินเชื่อ การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล การออกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ทางการเงิน เป็นต้น โดยหน่วยงานที่ทําหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย

60. สภาวการณ์เศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เรียกว่าอะไร
(1) The Recession
(2) The Great Depression
(3) The Great Crisis
(4) The Great Wall
(5) The Great Storm
ตอบ 2 หน้า 46 – 47 (คําบรรยาย) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เกิดปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลก หรือที่เรียกว่า The Great Depression ซึ่งทฤษฎีของเคนส์ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหานี้ โดยการเสนอให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ คือการให้รัฐบาลใช้จ่ายเกินกว่ารายได้ที่มีอยู่เพื่อเป็นการ ยกระดับอุปสงค์มวลรวม (Aggregate Demand)

61. สินค้าและบริการที่มุ่งเน้นการค้ากําไรซึ่งรัฐเป็นผู้จัดบริการ ควรใช้กลไกตลาดภาครัฐตัวใด
(1) ค่าปรับ
(2) การกู้เงิน
(3) ภาษีและค่าปรับ
(4) ค่าบริการ
(5) ภาษี
ตอบ 4 หน้า 21, 40, (คําบรรยาย) “ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ” เป็นกลไกตลาดที่ภาครัฐนํามาใช้ จัดบริการสาธารณะในเชิงพาณิชย์หรือมุ่งเน้นการค้ากําไร เช่น การบริการขนส่ง การบริการด้าน การเงินการธนาคาร เป็นต้น ส่วน “ภาษี” เป็นกลไกตลาดที่ภาครัฐนํามาใช้จัดบริการสาธารณะ แบบแท้หรือบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน เช่น การบริการรักษาความปลอดภัยและความสงบ เรียบร้อยในสังคม การศึกษาขั้นพื้นฐาน การควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

62. ภาษีชนิดใดคํานวณจากยอดภาษีขายหักด้วยยอดภาษีซื้อ
(1) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
(2) ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีศุลกากร
(3) ภาษีศุลกากร
(4) ภาษีเงินได้
(5) ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

63. กําไรจากการขายคริปโตฯ มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
(1) ฐานหลักประกัน
(2) ฐานรายได้
(3) ฐานการบริโภค
(4) ฐานความมั่งคั่ง
(5) ฐานความมั่นคง
ตอบ 2 หน้า 5, 22, (คําบรรยาย) ฐานรายได้ (Income Base) เป็นฐานภาษีที่วัดจากความสามารถ ในการเสียภาษี (Ability to Pay) ของประชาชนแต่ละคน โดยพิจารณาจากเงินได้ของบุคคล หรือหน่วยภาษีต่าง ๆ ภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานรายได้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (กําไร จากการขายคริปโตฯ) ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีหัก ณ ที่จ่าย

64. ใครเป็นผู้แบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง
(1) ผู้จัดจําหน่ายสินค้า
(2) ผู้ขายสินค้า
(3) ผู้ผลิตสินค้า
(4) ผู้ให้บริการ
(5) ผู้บริโภคสินค้า
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ

65. ข้อใดไม่นับว่าเป็นเงิน
(1) ตั๋วแลกเงิน
(2) ศิลปวัตถุ
(3) เหรียญกษาปณ์
(4) เช็ค
(5) บัตรเครดิต
ตอบ 2 หน้า 54 เงิน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ธนบัตร
เหรียญกษาปณ์ เช็ค ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต เป็นต้น

66. บุคคลใดเป็นผู้มีอํานาจอนุมัติในการก่อหนี้สาธารณะ
(1) ปลัดกระทรวงการคลัง
(2) ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
(3) คณะรัฐมนตรี
(4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
(5) นายกรัฐมนตรี
ตอบ 3 (คําบรรยาย) กฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะกําหนดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้มีอํานาจ
ในการก่อหนี้สาธารณะหรือค้ําประกันในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยแต่ผู้เดียว โดยอนุมัติ
จากคณะรัฐมนตรี

67. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ
(1) การเป็นเครื่องชี้วัดสถานภาพทางสังคม
(2) การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
(3) การเป็นมาตรฐานการชําระหนี้ในภายหน้า
(4) การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
(5) การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า
ตอบ 1 หน้า 54, (คําบรรยาย) บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
2. การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
3. การเป็นมาตรฐานในการกําหนดมูลค่า
4. การเป็นมาตรฐานการชําระหนี้ในภายหน้า

68. คุณสมบัติของสินค้าสาธารณะแท้ (Pure Public Goods) ที่ครบถ้วนที่สุดคือข้อใด
(1) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า แบ่งแยกการบริโภคจากกันได้ และเป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(2) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค แบ่งแยกการบริโภคจากกันไม่ได้ และไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่ม
(3) ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้
(4) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคและแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้
(5) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

69. สํานักงบประมาณของไทยถือกําเนิดขึ้นในปี พ.ศ. ใด
(1) 2475
(2) 2476
(3) 2496
(4) 2501
(5) 2502
ตอบ 5 หน้า 115 สํานักงบประมาณก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 เป็นหน่วยงาน ที่มีฐานะเทียบเท่ากรมซึ่งสังกัดอยู่ในสํานักนายกรัฐมนตรี และขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

70. รายละเอียดของขั้นตอนในการ “อนุมัติ” งบประมาณ ถูกกําหนดโดย
(1) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534
(2) ข้อบังคับสภาผู้แทนราษฎร
(3) พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ 2561
(4) ข้อบังคับกระทรวงการคลัง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 78, (คําบรรยาย) พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ถือเป็นกฎหมาย แม่บทในกระบวนการจัดทํางบประมาณแผ่นดินของไทย ซึ่งจะกําหนดหลักเกณฑ์กว้าง ๆ ในการจัดเตรียมและการควบคุมหรือการบริหารงบประมาณ ส่วนการอนุมัติงบประมาณ จะเป็นไปภายใต้ข้อบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะกําหนดวิธีการกว้าง ๆ ในการพิจารณาอนุมัติของรัฐสภา

71. ในการบริหารงบประมาณ “Apportionment” หมายถึง
(1) ระบบการรายงานผลการใช้จ่ายเงิน
(2) การกําหนดโควตางบประมาณให้กับส่วนราชการ
(3) การแบ่งหน้าที่ในกระบวนการแปรญัตติ
(4) เป็นแผนการใช้จ่ายเงินของแต่ละส่วนราชการ
(5) เงินที่ไปตั้งจ่ายที่คลังจังหวัดในราชการส่วนภูมิภาค
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

72. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละเท่าไร
(1) 7.12
(2) 15.26
(3) 18.25
(4) 25.74
(5) 15.28
ตอบ 1 หน้า 52 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 7.12

73. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงิน
(1) การเก็บภาษีศุลกากร
(2) การควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ
(3) การกําหนดอัตราดอกเบี้ย
(4) การควบคุมปริมาณเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 55 – 56 เครื่องมือในการดําเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ประกอบด้วย 3 เครื่องมือ คือ การควบคุมปริมาณเงิน การกําหนดอัตราดอกเบี้ย และการควบคุมเงิน ที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

74.จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ เป็นนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในข้อใด
(1) Harvard
(2) Oxford
(3) Yale
(4) Princeton
(5) Cambridge
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

75. กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่าอะไร
(1) กฎกระทรวงการคลัง
(2) แนวปฏิบัติทางการคลัง
(3) วินัยทางการคลัง
(4) ความยั่งยืนทางการคลัง
(5) กฎเหล็กทางการคลัง
ตอบ 3 (คําบรรยาย) กรอบแนวคิดที่ทําให้ผู้กําหนดนโยบายต้องคํานึงถึงขีดจํากัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่าวินัยทางการคลัง

76. สินค้าในข้อใดต้องเสียภาษีขาออก
(1) ไม้ประดู่
(2) ไม้แขวนเสื้อพลาสติก
(3) ไม้กวาด
(4) ไม้ถูพื้น
(5) ไม้บรรทัด
ตอบ 1 หน้า 37 สินค้าที่ต้องเสียภาษีอากรขาออก มี 2 ประเภทเท่านั้น คือ ไม้ และหนังโค-กระบือ ส่วนสินค้าอื่น ๆ เช่น ไม้แขวนเสื้อ ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้บรรทัด เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ฯลฯ ไม่ต้องเสียภาษีอากรขาออก

77. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) ผลิตเหรียญกษาปณ์
(2) บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย
(3) ออกธนบัตร
(4) กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 57 – 58 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้
1. ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร
2. กําหนดและดําเนินนโยบายการเงิน เช่น กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย
3. บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย
4. เป็นนายธนาคารและนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล
5. เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน
6. กํากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
7. บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ในทุนสํารองเงินตรา ฯลฯ

78. คุณสมบัติของสินค้าเอกชนแท้ (Pure Private Goods) ที่ครบถ้วนที่สุดคือข้อใด
(1) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า
(2) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค และแบ่งแยกการบริโภคจากกันได้
(3) เป็นปรปักษ์ในการบริโภค ไม่สามารถแยกการบริโภคจากกันได้ และไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการผลิตสินค้า
(4) แบ่งแยกการบริโภคจากกันได้ มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า และเป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(5) ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้
ตอบ 4 หน้า 13, (คําบรรยาย) สินค้าเอกชน (Private Goods) หรือสินค้าเอกชนแท้ (Pure Private Goods) เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค สามารถแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ และ มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า ซึ่งได้แก่สินค้าหรือบริการทั่วไปที่ซื้อขายกันตามท้องตลาด เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อาหาร เป็นต้น

79. ข้อใดไม่ใช่ “รายได้” ของรัฐบาลไทย
(1) รัฐพาณิชย์
(2) ค่าธรรมเนียม
(3) ภาษีและค่าบริการ
(4) ค่าปรับ
(5) การขายหุ้น
ตอบ 5 หน้า 15 – 20, (คําบรรยาย) แหล่งรายรับของรัฐบาลไทย มาจาก 2 ส่วน คือ
1. รายรับที่เป็นรายได้ ได้แก่ ภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ (เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าสัมปทาน ค่าบริการ ค่าเช่าทรัพย์สินของรัฐ ค่าขายของกลางที่ยึด มาจากคดี) รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าแสตมป์ฤชากร ค่าปรับ เป็นต้น
2. รายรับที่ไม่เป็นรายได้ ได้แก่ การกู้เงิน การใช้เงินคงคลัง การขายหุ้น เป็นต้น

80. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้สังกัดของหน่วยงานใด
(1) กรมธนารักษ์
(2) สํานักงบประมาณ
(3) สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
(4) กรมบัญชีกลาง
(5) กรมสรรพากร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

81.การศึกษาการคลังสาธารณะตามแนว Predictive Approach เป็นอย่างไร
(1) ใช้กฎ ระเบียบ เป็นเครื่องมือทางการคลังสาธารณะ
(2) ใช้ความต้องการสาธารณะเป็นฐานในการตัดสินใจ
(3) ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ควรปรับระบบภาษีอากรเป็นเช่นไร
(4) ใช้ข้อเท็จจริงมาอธิบายสิ่งที่จะทํา เช่น เก็บภาษีมาก อํานาจซื้อจะน้อยลง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

82.ECB เป็นชื่อเรียกของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(2) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(3) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(4) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ
(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

83. ข้อใดที่ไม่จัดเป็นเรื่องของระบบงบประมาณแบบ Line-Item Budget
(1) แสดงรายการของการใช้จ่าย
(2) มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความถูกต้องของการใช้จ่าย
(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน
(4) แบ่งแยกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย
(5) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

84. “เงินเฟ้อ” เป็นตัวบ่งชี้ในเรื่องใด
(1) ความเหลื่อมล้ำในสังคม
(2) การรักษาเสถียรภาพ
(3) ขนาดเศรษฐกิจ
(4) ประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร
(5) การกระจายรายได้
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

85. งบประมาณแผ่นดินต้องได้รับการอนุมัติจากประชาชน พิจารณาจาก
(1) การมีส่วนร่วม
(2) ต้องจัดให้สอดคล้องกับแผนจังหวัด
(3) ต้องจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ
(4) ต้องจัดให้มีประชาพิจารณ์
(5) ต้องผ่านการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

86. ภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าที่ข้ามผ่านเขตแดนประเทศไทย คือภาษีชนิดใด
(1) ภาษีศุลกากร
(2) ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ณ
(3) ภาษีการค้า
(4) ภาษีธุรกิจเฉพาะ
(5) ภาษีสรรพสามิต
ตอบ 1 หน้า 37, (คําบรรยาย) ภาษีศุลกากร คือ ภาษีที่จัดเก็บจากการนําสินค้าเข้าจากต่างประเทศ หรือส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร หรือจัดเก็บจากสินค้าที่ข้ามผ่านเขตแดนประเทศไทย โดยจะจัดเก็บตามราคาหรือร้อยละของมูลค่าสินค้า และจัดเก็บตามสภาพของสินค้า ตามปริมาณ น้ําหนัก ความยาว หรือปริมาตร เป็นต้น

87. การดําเนินนโยบายการเงินไม่มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเรื่องใด
(1) การจ้างงาน
(2) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
(3) ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
(4) เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 54 – 55, (คําบรรยาย) การดําเนินนโยบายการเงินมีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเสถียรภาพ ของระบบเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการจ้างงาน แต่จะไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

88. ลักษณะของระบบงบประมาณแบบ PPBS คือ
(1) ควบคุมความถูกต้องของการใช้จ่าย
(2) แบ่งแยกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย
(3) มีการจัดทําประชาพิจารณ์
(4) ต้องการการติดตามและประเมินผล
(5) เรียกอีกอย่างว่า Performance Budget
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

89. ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) ปี พ.ศ. 2495
(2) ปี พ.ศ. 2485
(3) ปี พ.ศ. 2490
(4) ปี พ.ศ. 2500
(5) ปี พ.ศ. 2480
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

90. พลเมืองมีสิทธิปฏิเสธการทํางานของรัฐบาลได้หลายวิธี ยกเว้นข้อใด
(1) การเดินขบวนประท้วง
(2) การทําอารยะขัดขืน
(3) การไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
(4) การไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาล
(5) การทําลายทรัพย์สินของทางราชการ
ตอบ 5 หน้า 28 ในทางรัฐศาสตร์ รัฐบาลและพลเมืองจะต้องมีจริยธรรมด้วยกันทั้งคู่จึงจะทําให้ การบริหารประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น หากรัฐบาลไม่คํานึงถึงผลประโยชน์ของพลเมืองโดยส่วนรวม พลเมืองย่อมมีสิทธิปฏิเสธการทํางานของรัฐบาล ซึ่งสามารถทําได้หลายวิธี เช่น การไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาล การเดินขบวนประท้วง การทําอารยะขัดขืน เป็นต้น

91. ข้อใดที่จัดเป็นลักษณะของ Traditional Budget
(1) จัดทําโครงสร้างแผนงาน
(2) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Muddling Through
(3) Functional Classification
(4) แบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงการ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

92. ข้อใดเป็นคํานิยามของพันธบัตรที่ถูกต้อง
(1) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป
(2) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่ยี่สิบสี่เดือนขึ้นไป
(3) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินหกเดือน
(4) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบแปดเดือนขึ้นไป
(5) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน
ตอบ 1 (คําบรรยาย) พันธบัตร คือ เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออก ตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป

93. คําในข้อใดหมายถึงนโยบายการเงิน
(1) Financial Policy
(2) Monetary Policy
(3) Money Policy
(4) Public Policy
(5) Fiscal Policy
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

94. ใครเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นคําขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน
(1) บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ขายสินค้าเป็นอาชีพ และมีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
(2) นิติบุคคลผู้ให้บริการเป็นอาชีพ มีรายได้เกินกว่า 1 ล้านบาทต่อปี
(3) บุคคลธรรมดาผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
(4) นิติบุคคลผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี
(5) บุคคลธรรมดาให้บริการจัดส่งสินค้าเป็นอาชีพ มียอดรายรับจากค่าบริการเกินกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

95. ข้อใดไม่ใช่ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ
(1) ตั๋วสัญญาใช้เงิน
(2) ตั๋วเงินคลัง
(3) บัตรเงินฝาก
(4) พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ
(5) พันธบัตร
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่
1. ตั๋วเงินคลัง 2. ตั๋วสัญญาใช้เงิน 3. พันธบัตร

96. การกํากับดูแลสินเชื่อธุรกิจ เป็นหน้าที่ของหน่วยงานใด
(1) กระทรวงพาณิชย์
(2) กรมบัญชีกลาง
(3) กระทรวงการคลัง
(4) คณะรัฐมนตรี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

97. สถาบันที่ทําหน้าที่ “จ่ายเงินตามงบประมาณให้กับส่วนราชการต่าง ๆ”
(1) กรมสรรพากร
(2) สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน
(3) กรมบัญชีกลาง
(4) สํานักงบประมาณ
(5) ธนาคารแห่งประเทศไทย
ตอบ 3 หน้า 128 เมื่อส่วนราชการต้องการรับเงินงบประมาณของตนเพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน ส่วนราชการจะต้องทําฎีกาขอเบิกเงินตามงบประมาณยื่นต่อกรมบัญชีกลางในกรณีของราชการ ส่วนกลาง และยื่นต่อสํานักงานคลังจังหวัดในกรณีของราชการส่วนภูมิภาค โดยกรมบัญชีกลาง และสํานักงานคลังจังหวัดจะเป็นผู้อนุมัติฎีกาและสั่งจ่ายเงินประจํางวดที่ได้รับอนุมัติแล้วที่เรียกว่า เงินจัดสรร (Budget Allotment) ให้กับส่วนราชการนั้น ๆ เป็นคราว ๆ ไป

98. หน่วยงานใดเป็นผู้กําหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย
(1) กระทรวงพาณิชย์
(2) ธนาคารกรุงไทย
(3) กระทรวงการคลัง
(4) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(5) คณะกรรมการนโยบายการเงิน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

99. เหตุใดธุรกิจผับ บาร์ คาราโอเกะ จึงเป็นธุรกิจบริการที่สมควรแบกรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ
(1) ฟุ่มเฟือย
(2) ฟุ่มเฟือยและทําให้สุขภาพเสีย
(3) ทําให้สุขภาพเสีย
(4) ได้รับประโยชน์จากกิจการของรัฐ
(5) ทําให้สุขภาพเสีย ขัดศีลธรรม และฟุ่มเฟือย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

100. ทุกข้อเป็นแนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรแบบ “เสรีนิยม” ยกเว้น
(1) เสรีภาพในการค้าขาย
(2) ใช้กลไกราคา
(3) ใช้กลไกตลาด
(4) มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ
(5) เสรีภาพในการประกอบอาชีพ
ตอบ 4 หน้า 71, (คําบรรยาย) แนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรแบบเสรีนิยม เชื่อว่า เอกชนควรเป็น ผู้จัดสรรทรัพยากรของชาติ ทั้งนี้เพื่อดํารงไว้ซึ่งเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิส่วนบุคคล และความ เป็นธรรมย่อมเกิดขึ้นจากความมีเสรีภาพ ดังนั้นแนวคิดนี้จึงเน้นเสรีภาพในการประกอบอาชีพหรือการค้าขาย โดยอาศัยกลไกตลาดเป็นเครื่องมือวัดความต้องการในการบริโภคสินค้าและ บริการของประชาชน และใช้กลไกราคาเป็นเครื่องมือวัดมูลค่าของสินค้าและบริการ

WordPress Ads
error: Content is protected !!