POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.เป็นสภาวะที่อธิบายถึงเวลาก่อนที่มนุษย์จะมารวมตัวกันเป็นสังคมการเมือง
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 1 หน้า 30, 33 – 34 สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ตามแนวคิดของนักคิดสกุลสัญญา ประชาคมนั้น เป็นช่วงเวลาก่อนที่มนุษย์จะมารวมตัวกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง ในสภาวะ ดังกล่าวจะไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันอย่างเป็นอิสระ

2. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ Normative Political Theory
(1) เน้นอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(2) เน้นทํานายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(3) มีฐานคิดอยู่บนหลักการแบบวิทยาศาสตร์
(4) คือสิ่งเดียวกับ Political Philosophy
(5) ไม่มีตัวเลือกใดกล่าวถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 12 – 13 จุดมุ่งหมายของปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือ การศึกษาถึง ธรรมชาติ หรือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด หรือความจริงแท้สูงสุดอันเป็นสากลในทางการเมือง แต่จะไม่มุ่งอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ด้วยเหตุนี้รูปแบบการศึกษาปรัชญาการเมือง จึงถูกเรียกว่า “การศึกษาการเมืองแบบปทัสถาน” (Normative Political Theory) คือ เป็น การศึกษาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานในทางการเมือง เพื่อที่จะนําความรู้นั้นไปสร้างบรรทัดฐาน หรือการเมืองที่ควรจะเป็นขึ้นมา ดังนั้นวิธีการศึกษาปรัชญาการเมืองจึงมีความแตกต่างกับวิธี การศึกษาของรัฐศาสตร์กระแสหลักอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากปรัชญาการเมืองไม่ได้มีการพยายามหาคําตอบหรือมีการหาความรู้ด้วยระเบียบวิธีวิจัยแบบวิทยาศาสตร์ แต่ปรัชญาการเมืองจะใช้ ทัศนคติ ค่านิยม ประสบการณ์ของตัวนักคิดมาอธิบาย

3. เป็นชื่อของกลุ่มคนในยุคกรีกโบราณ
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 5 หน้า 9 – 10 โซฟิสต์ (Sophist) เป็นชื่อของกลุ่มคนในยุคกรีกโบราณที่มีอาชีพสอนพลเมือง ให้มีความรู้ต่าง ๆ ทางการเมือง เช่น สอนพลเมืองให้มีทักษะในการโต้เถียงหรือพูดในที่สาธารณะ โดยพวกโซฟิสต์มักจะเป็นชาวต่างด้าวหรือไม่ใช่พลเมืองชาวเอเธนส์ โซฟิสต์คนสําคัญที่มีชื่อเสียง ในยุคกรีกโบราณ ได้แก่ โปรทากอรัส (Protagoras), กอร์เกียส (Gorgias), ฮิปปิอัส (Hippias), ทราไซมาคุส (Thrasymachus) เป็นต้น

4.ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ “ไครโต” (Crito)
(1) พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกภายหลังโดนสั่งประหารชีวิต
(2) ผู้สั่งประหารชีวิตโสเครตีส
(3) บิดาของโสเครตีส
(4) ญาติที่ให้การเลี้ยงดูโสเครตีส
(5) ผู้ที่ขัดขวางการหนีออกจากคุกของโสเครตีส
ตอบ 1 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนาตอนที่โสเตรตีส กําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นใครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีส หนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไมเราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟัง กฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ ท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศ และถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้น จะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่าน ถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้อง ทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง…”

5. ประโยคที่ว่า “ ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” ผู้พูดต้องการสื่อความหมายอย่างไร
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6.“เราลองนึกถึงในแง่ดีที่สุดแล้วก็ตาม เราก็จะพบว่า มันเป็นการปกครองแบบที่ให้คนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลย มาตัดสินเรื่องราวที่ต้องใช้ประสบการณ์ เอาคนที่ไม่รู้มานั่งตัดสินเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ความไม่รู้ที่ว่านี้หมายถึง ขนาดที่ว่าแม้ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ไม่รู้เพื่อที่จะให้รู้ นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว ประชาชนมักขาดความระมัดระวังและยังโอหังทะนงตัวอีกด้วย” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 หน้า 118 – 119 แม้จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) จะชื่นชมยกย่องและนิยมให้ ประชาชนมีอํานาจในการปกครองตนเอง แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยถ้าจะให้ประชาชนทุกคนมาเป็น คนออกกฎหมายหรือทําอะไรด้วยตนเอง โดยมิลล์ได้ให้เหตุผลไว้ว่า “เราลองนึกถึงในแง่ดีที่สุด แล้วก็ตาม เราก็จะพบว่า มันเป็นการปกครองแบบที่ให้คนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลยมาตัดสิน เรื่องราวที่ต้องใช้ประสบการณ์ เอาคนที่ไม่รู้มานั่งตัดสินเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ความไม่รู้ที่ว่านี้ หมายถึงขนาดที่ว่าแม้ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ไม่รู้เพื่อที่จะให้รู้ นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว ประชาชน มักขาดความระมัดระวังและยังโอหังทะนงตัวอีกด้วย”

7. ผู้เขียนงานเรื่องความเรียงชิ้นที่สองว่าด้วยต้นกําเนิดของความไม่เสมอภาค
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 2 หน้า 45, 94 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มีผลงานที่สําคัญ ได้แก่ 1. หนังสือเรื่อง “ความเรียงว่าด้วยต้นกําเนิดและรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคของมวลมนุษยชาติ” (Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men) หรือบางครั้งก็เรียกงานชิ้นนี้ว่า “ความเรียงชิ้นที่ 2 ของรุสโซ” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1755 2. หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1762

8.“ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหารายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้โดยทรัพยากรนั้น ก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกายของตน แรงงานของตน สติปัญญาของตน หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของต่าง ๆ มา และถ้า การหารายได้นั้น ๆ เป็นไปอย่างชอบธรรมตั้งแต่ต้น ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ไปด้วย” เป็นคํากล่าวของนักคิดชาวอเมริกันคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 หน้า 187 – 191 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) นักคิดชาวอเมริกัน ได้อธิบายเกี่ยวกับ หลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากรไว้ในหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” โดยได้กล่าวถึง “หลักความยุติธรรมในการครอบครองตั้งต้น” (Principle of Justice in Entitlement) ซึ่งเป็นหลักการที่เสนอว่า ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหา รายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้โดยทรัพยากรนั้นก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกายของตน แรงงานของตน สติปัญญาของตน หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของต่าง ๆ มา และถ้าการหา รายได้นั้น ๆ เป็นไปอย่างชอบธรรมตั้งแต่ต้น ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ ชอบธรรมไปด้วย นั่นก็หมายความว่าคนอื่นก็ไม่มีสิทธิที่จะแย่งชิงทรัพย์สินหรือรายได้เหล่านั้นโดยเขาได้ยกตัวอย่างของนักกีฬามาเป็นเครื่องมือในการอธิบาย

9.การกระจายทรัพยากรต้องยึดหลักว่า ถ้ากระจายให้ใครแล้วก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนจํานวนมากที่สุดสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 หน้า 116, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดในสกุลประโยชน์นิยม (Utilitarianism) เช่นเดียวกับเจเรมี เบนแธม (Jeremy Bentham) ซึ่งหลักการของประโยชน์นิยม มีหัวใจสําคัญอยู่ที่ “ความสุข” หรือ “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” จากหลักการนี้ จึงทําให้นักคิดสกุลประโยชน์นิยมยึดถือหลักการพื้นฐานทางสังคมร่วมกันที่ว่า “การกระทํา ทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุขที่มากที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” (Greatest Happiness for the Greatest Numbers) ดังนั้นแนวคิดในการกระจายทรัพยากรของมิลล์ จึงยึดหลักว่า ถ้ากระจายให้ใครแล้วก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนจํานวนมากที่สุด สิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ดี

10. เป็นสาขาความรู้ที่ในด้านหนึ่งสนใจเรื่องการใช้เหตุผลของมนุษย์
(1) Philosophia Perennis.
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 2 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

11. อํานาจอยู่ในมือคนเดียว (The One) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 4 หน้า 104 – 105 อริสโตเติล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

12.“ตําราสองเล่มว่าด้วยการปกครอง” นักคิดชาวอังกฤษคนใดเป็นคนเขียนขึ้น
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter.
ตอบ 3 หน้า 39 จอห์น ล็อค (John Locke) เป็นนักคิดชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17 (ค.ศ. 1632 – 1704) เขาได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มว่าด้วยการปกครอง) ว่า รัฐเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยปกป้องรักษาทรัพย์สิน ชีวิต และ ตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ

13. นักคิดกรีกโบราณคนใดเป็นผู้เขียนงานเรื่อง Politics
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 หน้า 25 (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) นักคิดชาวมาซิโดเนีย เป็นนักคิดในยุคกรีกโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เขาเป็นผู้เขียนงานเรื่อง “Politics” และ “Nicomachean Ethics”

14. ใครเป็นผู้เสนอคําอธิบายที่ว่า กฎหมายจะเป็นกฎหมายได้ก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่ง
(1) John Austin
(2) Thomas Hobbes
(3) Immanuel Kant
(4) Aristotte
(5) Socrates
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า กฎหมายจะเป็น กฎหมายได้นั้นก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเขา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “คําสั่งใด ๆ ของผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณา จากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย”

15. “การปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติบางประการ เอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริง ประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องการเลือกผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน” ข้อเขียนดังกล่าวปรากฏอยู่ในงานของนักคิดชาวฝรั่งเศสคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter

ตอบ 1 หน้า 120 – 121 มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักคิดชาวฝรั่งเศส ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ การปกครองโดยตัวแทนไว้ในหนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des lois) ว่า มีความเลวร้ายอันยิ่งใหญ่อยู่ประการหนึ่งในบรรดาสาธารณรัฐโบราณนั่นก็คือ รัฐดังกล่าวปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมากบางประการเอาไปปฏิบัติได้ ในความเป็นจริงประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องการเลือก ผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน”

16. เป็นหัวใจและเป็นสิ่งสําคัญของระบบทุนนิยม แต่เป็นสิ่งที่ในระบบคอมมิวนิสต์ต้องการกําจัด
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ในระบบทุนนิยม (Capitalism) จะให้ความสําคัญกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วน บุคคล (Private Property) ซึ่งตรงกันข้ามกับระบบคอมมิวนิสต์ (Communism) ที่ต้องการกําจัด ระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลแล้วให้ความสําคัญกับทรัพย์สินส่วนรวม (Public Property)

17. “สําหรับประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์… เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครอง ลักษณะนี้มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง” เป็นความคิดของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 หน้า 121 – 122, (คําบรรยาย) เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของ อเมริกา เป็นหนึ่งในบรรดาผู้สร้างชาติอเมริกา (American Founding Fathers) และถือได้ว่า มีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน เขาพยายามที่จะเสนอรูปแบบการปกครองสําหรับ อเมริกาให้เป็นการปกครองด้วยตัวแทน โดยเสนอความคิดดังกล่าวไว้ในงานเขียนชื่อว่า “The Federalist Papers” ซึ่งมีข้อความดังนี้ “สําหรับประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์ ซึ่งข้าพเจ้า หมายถึง สังคมที่ประกอบด้วยพลเมืองจํานวนหนึ่งผู้ซึ่งมารวมตัวกัน และบริหารรัฐบาล ด้วยตนเองนั้น เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้ กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครองลักษณะนี้ มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง นักการเมืองผู้รู้ทางทฤษฎีซึ่งสนับสนุนรัฐบาล ประเภทนี้ได้เข้าใจผิด ๆ มาว่า โดยการลดสภาพของมนุษยชาติลงมาจนเสมอภาคกันอย่าง สมบูรณ์ในสิทธิการเมืองนั้น จะทําให้มนุษย์นั้นมีความเสมอภาคและประสานกลมกลืนกัน อย่างสมบูรณ์ ทั้งในทรัพย์สิน ความคิดเห็น และกิเลสในเวลาเดียวกันด้วย….”

18. หากนักศึกษาได้อ่านถึงบทบาทของแอนธิกอน (Antigone) ในการฝังศพโพลินีซิส (Polyneices) แล้ว นักศึกษาเห็นด้วยกับแอนธิกอน แปลว่านักศึกษาเห็นด้วยกับตัวเลือกในข้อใด
(1) กฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์
(2) กฎของมนุษย์ยิ่งใหญ่กว่ากฎของพระเจ้า
(3) กฎของพระเจ้าสําคัญเทียบเท่ากับกฎของมนุษย์
(4) กฎของพระเจ้าหรือมนุษย์สําคัญน้อยกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล
(5) กฎของพระเจ้าสําคัญน้อยกว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์
ตอบ 1 หน้า 71 – 72 กรณีของแอนธิกอน (Antigone) นั้น เธอได้ละเมิดคําสั่งของกษัตริย์คลื่อน (Creon) ที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิส (Polyneices) ซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่อง ประหลาดและฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของ แอนธิกอนนั้นมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่กําหนดโดยมนุษย์ สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า กฎของมนุษย์

19. แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกร ใครเป็นคนที่คิดเรื่องดังกล่าว
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 172 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งของนายทุนในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกรเพื่อให้ตนเองได้กําไร มากที่สุด โดยนายทุนจะจ่ายค่าแรงให้ต่ําที่สุดเท่าที่กรรมกรจะสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้เพื่อที่ว่าแรงงานนั้นจะกลับมาทําการผลิตให้กับนายทุนได้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ

20. ข้อความดังกล่าวนี้ตรงกับตัวเลือกใดมากที่สุด “เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับการกระทํา ที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง สิ่งใดผิดสิ่งใดถูก”
(1) อภิปรัชญา
(2) อุดมการณ์ทางการเมือง
(3) ปรัชญาการเมือง
(4) จริยศาสตร์
(5) ญาณวิทยา
ตอบ 4 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควร จะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่า ความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือ สิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

21. เป็นผู้อธิบายว่าทําไมในระบบทุนนิยม (Capitalism) หรือระบบที่มีการกระจายทรัพยากรอย่างเสรีนั้นชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือกรรมาชีพจึงมีสภาพชีวิตที่ย่ำแย่อย่างมาก
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 170 – 173 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นนักคิดที่ต่อต้านระบบทุนนิยม (Capitalism) ที่มีการกระจายทรัพย์สินหรือทรัพยากรอย่างเสรี หรือระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา (Laissez-faire) เป็นอย่างมาก เพราะมองว่าในระบบดังกล่าวทําให้ชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือ กรรมาชีพมีสภาพชีวิตที่ย่ําแย่มากเพราะการถูกขูดรีดค่าแรง และในทางด้านจิตใจผู้ใช้แรงงานก็ยังถูกทําให้แปลกแยกจากตนเองและไม่ได้มีความภาคภูมิใจต่อสิ่งที่ตนเองได้ผลิตขึ้นมาเลย

22. แมคคิอาเวลลี (Machiavelli) มีความคิดว่าผู้ปกครองคือใครก็ได้ แต่ขอให้รักษารัฐ รักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 128, 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) กล่าวว่า ผู้ปกครองที่ดีคือผู้ปกครองที่สามารถรักษารัฐ รักษาอํานาจ หรือคงสถานะในการเป็นผู้ปกครองไว้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองตามความคิดของ แมคคิอาเวลลีจึงเป็นใครก็ได้ แต่ขอให้รักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ ซึ่งผู้ปกครอง ที่จะสามารถรักษารัฐไว้ได้ก็คือ ผู้ปกครองที่มีคุณธรรม (Virtue) โดยคุณธรรมของผู้ปกครอง ตามความหมายของแมคคิอาเวลลีนั้น หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสมสําหรับผู้ปกครองที่จะรักษารัฐไว้ใต้

23. นักคิดคนใดที่เขียนงานเรื่อง The Prince
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

24. วิธีคิดของเขาได้กลายเป็นรากฐานของอุดมการณ์ Communism
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 174 – 176, (คําบรรยาย) วิธีคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้กลายมาเป็นรากฐานของอุดมการณ์สังคมนิยม (Socialism) หรือคอมมิวนิสต์ (Communism) โดยเฉพาะ ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848 ที่มาร์กซ์ได้เรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพปฏิวัติโค่นล้มระบบทุนนิยม โดยการเข้ายึดครอง ปัจจัยการผลิตและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็นรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยน ความสัมพันธ์ทางการผลิตของชนชั้นนายทุนให้กลายมาเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ

25.Veit of Ignorance หรือม่านแห่งความไม่รู้ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองทางความคิดของจอห์น รอลล์
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 179 – 180, 186 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด และได้วางเงื่อนไข ภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veil of Ignorance) ซึ่งผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบว่าตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ ที่เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นการตัดสินอันยุติธรรมเพราะผู้ตัดสินใจจะใช้แต่เหตุผล และไม่นําสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานะของตนเองมาเป็นปัจจัยในการตัดสิน

26.ตามความคิดของ Thomas Hobbes หากผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะใดมากที่สุด
(1) สันติภาพที่ถาวร
(2) สภาวะต่างคนต่างอยู่
(3) การฆ่าฟันกันจนตายโหง
(4) กฎหมายสลายตัวไป
(5) ความรักใคร่สามัคคีกัน
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) ตามความคิดของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หากองค์อธิปัตย์ หรือผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะ เข้ามาอยู่ในรัฐ นั่นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา สุดท้ายก็จะเกิดความวุ่นวายและนําไปสู่สภาวะสงครามที่ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันกันจนตายโหง

27. ราชาปราชญ์ (Philosopher King) คือแนวคิดสําคัญของโสเครตีส
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 90 เพลโต (Plato) เสนอว่า ผู้ปกครองที่ดีที่สุดก็คือ “ราชาปราชญ์” (Philosopher King) โดยบุคคลดังกล่าวนี้จะต้องรักในความรู้อันแท้จริง (Wisdom Lover) และชีวิตส่วนตัวนั้น จะต้องมีชีวิตเรียบง่าย เนื่องจากตัวเขาจะต้องอุทิศให้แก่รัฐที่เขาปกครอง

28. “คุณธรรมของผู้ปกครอง (Virtue) หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสมสําหรับผู้ปกครองที่จะรักษารัฐไว้ได้” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

29. นักคิดคนใดมีความคิดปฏิเสธการให้ผู้แทนไปทําหน้าที่ในการออกกฎหมายอย่างสิ้นเชิง
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 4 หน้า 125 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นนักคิดที่ปฏิเสธการให้ผู้แทน ไปทําหน้าที่ในการออกกฎหมายอย่างสิ้นเชิง เพราะเขาเห็นว่าการปกครองที่มีเสรีภาพเสมอภาค ตลอดจนชอบธรรมที่สุดก็คือ การให้ประชาชนเป็นคนออกกฎหมายด้วยตนเอง

30. “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้ง ผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขา กล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก…”

31. นักคิดสกุลสัญญาประชาคมคนใดที่เป็นชาวอังกฤษ
(1) Aristotte
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 หน้า 30 – 32, 39, 45, (คําบรรยาย) นักคิดสกุลสัญญาสังคมหรือสัญญาประชาคม (Social Contract) ที่สําคัญ ได้แก่
1. โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักคิดชาวอังกฤษ
2. จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ
3. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา
4. จอห์น รอลส์ (John Rawls) นักคิดชาวอเมริกัน

32. หากต้องการศึกษาความคิดของศาสนาคริสต์นักศึกษาต้องศึกษาจากเอกสารชิ้นใด
(1) บันทึกใบลานของพระเจ้า
(2) ตําราขงจื้อ
(3) พระไตรปิฎก
(4) พระคัมภีร์อัลกุรอาน
(5) พระคัมภีร์ไบเบิ้ล
ตอบ 5 หน้า 66 – 67 ความเชื่อหรือความคิดในทางศาสนาคริสต์ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่ เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของ พระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งวิธีคิดนี้ได้กลายเป็นรากฐานให้กับคริสเตียนที่คิดว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่มาจาก พระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องเชื่อฟังกฎหมาย

33. “ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบ ตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไป และก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

34.ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ใครเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมนุษย์ตั้งแต่เศษหินดินทรายไปจนกระทั่งถึงตัวมนุษย์
(1) พระเยซู
(2) พระพุทธเจ้า
(3) พระนบีมูฮัมหมัด
(4) พระเจ้า
(5) ไม่มีผู้ใดสร้าง สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

35. เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เสนอแนวคิดใด
(1) การเรียกร้องให้สร้างโรงพยาบาล
(2) การส่งเสริมอารยะขัดขืน
(3) การต่อต้านการเหยียดผิว
(4) การหนีภาษีและการหนีคดีออกนอกประเทศ
(5) การบริจาคเงินให้กับรัฐบาลโดยระบุวัตถุประสงค์
ตอบ 2 หน้า 80 – 82 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้เสนอแนวคิดอารยะขัดขืน ไว้ในบทความเรื่อง “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1849 โดยธอโรพยายามชี้ให้เห็นว่าบางครั้งกฎหมายอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับ ความยุติธรรมหรือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กฎหมายเองอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ ซึ่งธอโรเชื่อว่ามนุษย์นั้น มีสิ่งที่เรียกว่า “มโนธรรม” หรือ “จิตสํานึก” ดังนั้นถ้ากฎหมายใดที่พลเมืองมองว่ามันเป็น การขัดกับจิตสํานึกของตน พลเมืองไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง

36. ประโยคที่ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) ไครโต
(2) เพลโต
(3) โสเครตีส
(4) อริสโตเติล
(5) นักบุญพอล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

37. คําว่า “Free Gift” ตามความหมายของ Thomas Hobbes ใช้กับบุคคลในข้อใด
(1) ผู้ปกครอง – พระเจ้า
(2) ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย – ผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
(3) คนรวย – คนจน
(4) ผู้ปกครอง – ผู้ใต้ปกครอง
(5) พระเจ้า – บุตรแห่งพระเจ้า
ตอบ 2 หน้า 59 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) อธิบายว่า ถ้าคนหนึ่งปฏิบัติตามกฎหมาย แต่อีกคนไม่ปฏิบัติตามทั้ง ๆ ที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าทุก ๆ คนจะมอบอํานาจที่แต่ละคนมี ตามธรรมชาติให้คนกลางคนหนึ่งตัดสินและออกกฎหมายในทุก ๆ เรื่อง และจะเชื่อฟังคนดังกล่าว ซึ่งถ้าคนหนึ่งเชื่อฟังอีกคนไม่เชื่อฟังและไม่ถูกลงโทษ เหตุการณ์แบบนี้ก็เหมือนกับการที่ คนปฏิบัติตามกฎหมายได้ให้ของขวัญเปล่า ๆ แก่คนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและไม่ถูกลงโทษ โดยฮอบส์เรียกการกระทํานี้ว่า “ของขวัญที่ให้กันฟรี ๆ” (Free Gift) หรือในปัจจุบันมักเรียกว่า”Free Rider”

38. เป็นผู้ก่อร่างสร้างชาติอเมริกา และถือได้ว่ามีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

39.“State of War ก่อให้เกิดรัฐ” เป็นวิธีคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 5 หน้า 36 – 38, 58, 60 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “Leviathan” โดยกล่าวว่า สภาวะธรรมชาติของมนุษย์เป็นสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) มนุษย์ทุกคนจะเป็นศัตรูต่อกัน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายซึ่งกันและกันโดยไม่เกี่ยง สภาวะดังกล่าวเป็นสภาวะที่มนุษย์อยู่อย่างไม่มีความปลอดภัยใด ๆ ทั้งสิ้น มนุษย์กลัว การตายโหง (Fear of Violent Death) ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ลําเค็ญ น่ารังเกียจ ป่าเถื่อน และอายุสั้น (Solitary, poor, nasty, brutish and short) ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่น่าพึงปรารถนา ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทําให้เกิดรัฐ และมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐและตกลงทําสัญญายอมยกอํานาจที่ตนเองมีทั้งหมดให้องค์อธิปัตย์หรือผู้ปกครองมีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดเพื่อที่จะไม่ต้อง
กลับไปอยู่ในสภาวะธรรมชาติอันเป็นสภาพของสงครามอีกต่อไป

40. “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใดๆก็ตาม เพราะว่าแรงงานเป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม”ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และคนอื่น ๆ ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงาน เป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม… ด้วยการที่ มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้าง กรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”

41. คําประกาศเอกราชของโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ได้อิทธิพลทางความคิดมาจาก นักคิดของประเทศใด
(1) สหรัฐอเมริกา
(2) อังกฤษ
(3) ฝรั่งเศส
(4) ปรัสเซีย
(5) เยอรมนี
ตอบ 2 หน้า 77 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (American Founding Fathers) ได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ มาใช้ในการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776

42. ผู้เขียนงานเรื่อง Leviathan
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

43.“ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับสิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้งกําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็น สิ่งที่ชอบธรรม” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 หน้า 189 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) ได้เสนอ “หลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน (Principle of Justice in Transfer) ซึ่งเป็นอีกหลักการหนึ่งที่โนซิคนํามาอธิบายเกี่ยวกับ หลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร โดยหลักการนี้ได้เสนอว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับ สิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้ง กําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็น สิ่งที่ชอบธรรม (ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ)

44. การที่ซาอูล (Saul) ในฐานะกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่กลับไม่ถูกฆ่า สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4)เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 66, 68 – 69 ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกนํามาอธิบายในประเด็นเรื่อง “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” ก็คือ กรณีของซาอูล (Saul) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย แต่กลับไม่ถูกดาวิด (David) ฆ่าแม้จะพยายามฆ่าดาวิดอยู่หลายหน โดยสาเหตุที่ดาวิดตัดสินใจ ไม่ฆ่ากษัตริย์ซาอูลเพราะมองว่ากษัตริย์ซาอูลคือคนที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็นผู้ปกครองจากการ ร้องขอของพวกยิว คนที่จะเอาชีวิตของกษัตริย์ซาอูลได้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิจะไปล้มล้างผู้ปกครองแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม

45. “สถานะเริ่มแรกที่เท่าเทียมกันในทฤษฎีความยุติธรรมในฐานะที่เที่ยงธรรมนั้นก็ตรงกับสภาวะธรรมชาติในทฤษฎีสัญญาสังคมแบบดั้งเดิม ในประวัติศาสตร์ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเริ่มแรกนี้มันจะไม่ใช่สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงและมันก็ไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทางวัฒนธรรม ดังนั้นเราต้องเข้าใจมัน
ในฐานะที่เป็นสถานการณ์อันถูกสมมุติขึ้นมาอย่างแท้จริง” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 หน้า 179 จอห์น รอลส์ (John Rawts) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร ซึ่งเป็นการลองสมมุติสถานการณ์ ขึ้นมาเพื่อหาคําตอบใดคําตอบหนึ่งโดยจํากัดเงื่อนไขบางอย่างไว้ โดยรอลส์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “สถานะเริ่มแรกที่เท่าเทียมกันในทฤษฎีความยุติธรรมในฐานะที่เที่ยงธรรมนั้นก็ตรงกับสภาวะธรรมชาติในทฤษฎีสัญญาสังคมแบบดั้งเดิม ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเริ่มแรกนี้มันจะไม่ใช่ สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และมันก็ไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทางวัฒนธรรม ดังนั้นเราต้องเข้าใจมันในฐานะที่เป็นสถานการณ์อันถูกสมมุติขึ้นมาอย่างแท้จริงทั้งนี้ก็เพื่อที่จะนําไปสู่ข้อสรุปอะไรบางอย่างอันเกี่ยวข้องกับความยุติธรรม….”

46. นักคิดสัญญาประชาคมบางคนใช้อธิบายถึงสภาวะที่มนุษย์เป็นศัตรูต่อกัน
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 31. และ 39. ประกอบ

47. มีแนวคิดคล้ายกันอย่างมากกับ Jeremy Bentham
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

48. คําว่า Explicit Consent มีความหมายว่าอย่างไร
(1) การตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(2) การตกลงโดยปริยายว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(3) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐแบบเป็นลายลักษณ์อักษร
(4) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐโดยปริยาย
(5) การไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งของสาธารณะของรัฐเพื่อเลี่ยงกฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 63 – 64 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายในเรื่องการเชื่อฟังกฎหมายว่า การที่ พลเมืองเชื่อฟังกฎหมายและยอมปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐก็เนื่องจากเขาได้ตกลงทําสัญญาที่จะอยู่ร่วมกันภายใต้รัฐ โดยหวังว่ารัฐจะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าทําสัญญาตลอดจนทําหน้าที่ไกล่เกลี่ยเมื่อมีข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งตามความคิดของล็อคนั้นการตกลง ทําสัญญามี 2 ลักษณะ คือ
1. การตกลงแบบชัดแจ้ง (Express Consent/Explicit Consent) เป็นการตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะเข้ามาอยู่ในรัฐและปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
2. การตกลงแบบปริยาย (Tacit Consent) เป็นการตกลงที่ผู้ตกลงได้มาใช้ประโยชน์จาก รัฐหนึ่ง ๆ เช่น ใช้ทางหลวง ใช้สิ่งของสาธารณะ หรือได้ประโยชน์จากการที่เข้ามาอยู่ภายในรัฐ จึงทําให้คน ๆ นั้นมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐนั้น ๆ โดยปริยาย

49. เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ไม่เห็นด้วยกับสงครามในข้อใด
(1) สงครามอังกฤษ-ฝรั่งเศส
(2) สงครามประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา
(3) สงครามอเมริกัน-เม็กซิกัน
(4) สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา
(5) สงครามกลางเมืองอังกฤษ
ตอบ 3 หน้า 80 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ไม่เห็นด้วยกับ “สงครามเม็กซิกัน- อเมริกัน” (Mexican-American War : 1846 – 1848) ที่อเมริกาไปรบกับเม็กซิโกเพื่อผนวก ดินแดนเท็กซัส เพราะมันเป็นการเพิ่มรัฐที่มีทาสให้กับอเมริกา โดยธอโรมีความเห็นว่าการมี ทาสนั้นเป็นสิ่งชั่วช้าและในอเมริกาก็ไม่ควรที่จะยอมให้เกิดขึ้นมากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกต่อไป ดังนั้นธอโรจึงปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ เพราะการจ่ายภาษีให้กับรัฐก็หมายความว่า รัฐจะนําเงินไปใช้จ่ายในสงครามที่ทํากับเม็กซิโก

50. “เมื่อมนุษย์กลัวผู้อื่นจะมาทําอันตรายตน เขาจึงจําเป็นที่จะต้องแสร้งทําว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุด ดุร้าย ที่สุด โหดเหี้ยมที่สุด เพื่อให้คนอื่นเกรงกลัวและไม่กล้ามาตอแยกับเขา” เป็นความคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 5 หน้า 35 – 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “Leviathan” ว่า “เมื่อมนุษย์กลัวผู้อื่นจะมาทําอันตรายตน เขาจึงจําเป็นที่จะต้องแสร้งทําว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแรง ที่สุด ดุร้ายที่สุด โหดเหี้ยมที่สุด (Glory) เพื่อให้คนอื่นเกรงกลัวและไม่กล้ามาตอแยกับเขา”

51. การปกครองที่ชอบธรรมและเป็นไปได้มากที่สุดสําหรับจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ก็คือ การปกครองที่ให้ประชาชนเป็นผู้ปกครองด้วยตนเอง
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 116 – 120 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ชื่นชมยกย่องและนิยม ให้ประชาชนมีอํานาจในการปกครองตนเอง แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยถ้าจะให้ประชาชนทุกคนมาเป็น คนออกกฎหมายหรือทําอะไรด้วยตนเอง เพราะมองว่าการที่ประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมใน ทุก ๆ เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐสมัยใหม่มีปัญหาที่สลับซับซ้อนหรือต้องใช้ความรู้ มากมายในการไตร่ตรองและตัดสินใจกว่าจะกําหนดนโยบายได้ ดังนั้นเขาจึงเสนอรูปแบบ การปกครองโดยผู้แทน (Representative Government) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ประชาธิปไตย แบบตัวแทน” (Representative Democracy) เพราะมองว่าการปกครองโดยผู้แทนที่มาจาก ประชาชนนั้นคือการปกครองที่ชอบธรรมและเหมาะสมที่สุดสําหรับรัฐสมัยใหม่

52.“Capitalism, Socialism and Democracy” เป็นงานของนักคิดคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 5 หน้า 124, (คําบรรยาย) โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักคิดชาวออสเตรีย ได้เสนอแนวคิดไว้ในงานเขียนเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ ในปี ค.ศ. 1942 โดยเขาเชื่อว่า การเมืองนั้นเป็นเรื่องของชนชั้นนํา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่กลไกในการให้ผู้นําทางการเมืองมาแข่งขัน เพื่อเข้าไปใช้อํานาจเท่านั้น ไม่ใช่การปกครองของประชาชน โดยวิธีคิดในลักษณะนี้ภายหลัง ถูกเรียกว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบชุมปีเตอร์” (Schumpeterian Democracy)

53. “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพ ดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับ เสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้” เป็นคํากล่าว
ของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 หน้า 124, 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่ กล่าวว่า “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้”

54. ข้อใดต่อไปนี้คือผลงานชิ้นสําคัญของ Thomas Hobbes
(1) Two Treatises of Government
(2) On Liberty
(3) Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men
(4) Politics
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

55. “ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้างกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

56. นักคิดชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 17 ที่คิดว่า รัฐช่วยปกป้องรักษาทรัพย์สิน ชีวิต และตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

57. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) Moralitas แปลว่า “พฤติกรรมอันเหมาะสม”
(2) Ethics ก็มาจากภาษากรีกคําว่า “Ethos” ที่แปลว่า “นิสัย”
(3) Ethics เป็นสาขาย่อยสาขาหนึ่งของ Philosophy
(4) Moralitas มีความหมายถึงลักษณะการกระทํา
(5) Aesthetics และ Ethics เป็นส่วนหนึ่งของ Ideology
ตอบ 5 หน้า 1 – 5 ปรัชญา (Philosophy) สามารถแบ่งสาขาย่อยออกได้เป็น 5 สาขา ได้แก่
1. อภิปรัชญา (Metaphysics)
2. ญาณวิทยา (Epistemology)
3. สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics)
4. จริยศาสตร์ (Ethics)
5. ตรรกวิทยา (Logic)

58.คําถามต่าง ๆ ในปรัชญาการเมือง เช่น ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 1 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควรที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น

59. “แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา หรือใช้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตของตนเองไว้ โดยมนุษย์แต่ละคนจะทําทุกวิถีทางตามวิจารณญาณและเหตุผลของตนเอง ซึ่งเป็นทางที่ตนเชื่อว่าดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับตนเอง” ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดนี้
(1) Aristotte
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) หรือเสรีภาพที่จะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินหรือเหตุผลส่วนตัวของเขา ดังที่ฮอบส์ กล่าวว่า “มนุษย์แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา หรือใช้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตของตนเองไว้ โดยมนุษย์แต่ละคนจะทําทุกวิถีทางตามวิจารณญาณและเหตุผล ของตนเอง ซึ่งเป็นทางที่ตนเชื่อว่าดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดกับตนเอง”

60. “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ” เป็นคําพูดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 หน้า 142, 144 – 145 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศส สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) มองว่า การที่มนุษย์มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความ รับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ…. เมื่อมนุษย์เกิดขึ้น บนโลกนี้ เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขากระทํา และพวกที่เชื่อในแนวคิดอัตถิภาวะนิยมจะ ไม่ยอมรับในอํานาจแห่งอารมณ์ เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยว่า อารมณ์ที่รุนแรงคือสายน้ําเชี่ยวกราก ที่นํามนุษย์ให้กระทําการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งถูกลิขิตไว้ และมนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัว ให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”

61. สิ่งมีชีวิตที่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองไม่ใช่สัตว์ป่าก็ต้องเป็นเทพ
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 หน้า 28, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “Politics” ว่า มนุษย์ทุกคนมีจุดมุ่งหมาย หรือ Telos ตามธรรมชาติของตนเช่นเดียวกันกับสิงโตหรือสิ่งอื่น ในโลกนี้
ด้วยเหตุนี้มนุษย์จะไม่สามารถพัฒนาตัวเองตามศักยภาพได้เลยถ้าเขาอยู่คนเดียวหรือ ไม่ได้อยู่ในรัฐ เนื่องจากมนุษย์จําเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นโดยเฉพาะปฏิสัมพันธ์ ในด้านการเมือง เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวทําให้มนุษย์มีความคิดอ่านที่กว้างไกลขึ้น จิตใจ พัฒนาขึ้น ร่างกายก็พัฒนาขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ามนุษย์อยู่เพียงลําพังโดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ กับเพื่อนมนุษย์คนอื่น มนุษย์ก็คงไม่ต่างกับสัตว์ป่าแต่อย่างใด ดังคํากล่าวของอริสโตเติลที่ว่า “คนที่อยู่คนเดียวได้ ถ้าไม่ใช่สัตว์ป่าก็ต้องเป็นเทพเจ้า”

62. นักคิดคนใดได้นําวิธีคิดเรื่อง ความกลัวตาย มาใช้ในการอธิบายการเกิดขึ้นของรัฐ
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

63. นักคิดชาวออสเตรียที่เชื่อว่า การเมืองเป็นเรื่องของชนชั้นนํา
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

64. เป็นนักคิดที่เขียนหนังสือเรื่อง The Social Contract
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

65.Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men เป็นงานเขียนของคาร์ล มาร์กซ์
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

66. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์รัฏฐาธิปัตย์
(1) ผู้ที่มีอํานาจสูงสุดในรัฐ
(2) เราสามารถเรียกว่าองค์อธิปัตย์ได้
(3) ผู้นําเผด็จการทหารเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ไม่ได้
(4) ผู้ถือครองอํานาจอธิปไตย
(5) ประชาชนสามารถถือครองอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศได้
ตอบ 3 หน้า 57, (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ หรือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) หมายถึง ผู้ที่มีอํานาจ สูงสุดในรัฐหรือสังคมการเมือง โดยคําว่าผู้มีอํานาจสูงสุดนี้หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของอํานาจ อธิปไตย ซึ่งอาจจะหมายถึง ประชาชนทุกคน รัฐบาล หรือผู้นําเผด็จการทหาร หรือใครก็ได้ ที่เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อํานาจดังกล่าว

67.นักคิดคนใดอธิบายว่า สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ไม่น่าพึงปรารถนา (Solitary, poor, nasty, brutish and short)
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

68. ในบรรดาตัวเลือกข้างต้น ใครจะเป็นผู้ต่อต้าน Laissez-faire หรือ “หลักการมือใครยาวสาวได้สาวเอา”มากที่สุด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

69. อํานาจอยู่ในมือมหาชนทั้งหมด (The Many) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

70. เพลโต เป็นนักคิดสกุลสัญญาประชาคม
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

71.Jean Jacques Rousseau มีฉายาว่า “แชมป์เปี้ยนแห่งเสรีภาพ”
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 147 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ได้รับฉายาว่าเป็น “แชมป์เปี้ยน แห่งเสรีภาพ” (Champion of Liberty) โดยเขาได้เขียนงานชิ้นสําคัญเกี่ยวกับเสรีภาพออกมา ในปี ค.ศ. 1859 ชื่อว่า “On Liberty”

72. ผู้ปกครองต้องมีลักษณะเป็นทั้งสิงโตและสุนัขจิ้งจอก
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 128, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ได้อธิบายถึงคุณสมบัติ ของผู้ปกครองที่ดีไว้ในหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) โดยอุปมาถึงลักษณะของ ผู้ปกครองว่าควรจะต้องเป็นอย่างสิงโตและสุนัขจิ้งจอก นั่นคือ จะต้องมีพละกําลังที่เข้มแข็ง ดุจสิงโต และมีความเฉลียวฉลาดดุจสุนัขจิ้งจอก ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถผจญกับเล่ห์เหลี่ยม และปราบปรามผู้ที่ตนปกครองได้นั่นเอง

73. นักคิดชาวฝรั่งเศสผู้ที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตตัวเอง
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 หน้า 142 – 143 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศส ได้อธิบายวิธีคิด เกี่ยวกับเสรีภาพของเขาว่า มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือ แก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัวมากับมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตของ ตัวเอง ไม่มีพระเจ้า เวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือธรรมชาติใด ๆ มากําหนด ชีวิตเป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็นผู้กําหนดว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร ดังที่ชาร์ตกล่าวว่า “การมีอยู่มาก่อนสาระ หมายความว่าอย่างไร เราหมายความว่าก่อนอื่นใดทั้งหมด มนุษย์มีอยู่ ค้นพบตัวเอง ปรากฏตัว ในโลก และนิยามตัวเองภายหลัง ถ้ามนุษย์นิยามไม่ได้ ก็เป็นเพราะว่า ก่อนอื่นใดมนุษย์ไม่ใช่ อะไรเลย เขาจะเป็นอะไรก็ตามหลังจากนั้น และเขาจะเป็นตามที่เขาสร้างตัวเองให้เป็น…”

74. เป็นขุนนางที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจออกจากกันเพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นขุนนางชาวฝรั่งเศสที่เสนอให้ แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจ ตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ในหนังสือ เรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des (ois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

75.“สิ่งที่ดีทั้งหลายซึ่งธรรมชาติได้มอบให้กับส่วนรวม ที่ทุก ๆ คนมีสิทธิที่จะได้มากเท่าที่เขาสามารถจะใช้ได้และการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาสามารถสร้างมาด้วยแรงงานของเขา และด้วยความขยันขันแข็ง ที่จะขยายทรัพย์สินออกไป สิ่งต่าง ๆ ที่ถูกทําให้เปลี่ยนแปลงออกจากสภาพธรรมชาติและสิ่งที่ถูกเปลี่ยนนั้น ก็ตกเป็นของเขา” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 หน้า 164 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้กล่าวถึงหลักการครอบครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ไว้ว่า “สิ่งที่ดีทั้งหลายซึ่งธรรมชาติได้มอบให้กับส่วนรวม ที่ทุก ๆ คนมีสิทธิที่จะได้มากเท่าที่เขา สามารถจะใช้ได้ และการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาสามารถสร้างมาด้วยแรงงานของเขา และด้วยความขยันขันแข็งที่จะขยายทรัพย์สินออกไป สิ่งต่าง ๆ ที่ถูกทําให้เปลี่ยนแปลงออกจาก สภาพธรรมชาติและสิ่งที่ถูกเปลี่ยนนั้นก็ตกเป็นของเขา ยกตัวอย่างเช่น บุคคลใด ๆ ออกไปเก็บ ผลต้นโอ๊คหรือแอปเปิ้ลมาหนึ่งร้อยบุชเชล สิ่งเหล่านี้ก็ตกเป็นของเขา มันตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของเขาตั้งแต่เมื่อเขาเก็บมันมา….”

76. “ผู้รู้ทางทฤษฎีซึ่งสนับสนุนรัฐบาลประเภทนี้ได้เข้าใจผิด ๆ มาว่า โดยการลดสภาพของมนุษยชาติลงมาจน เสมอภาคกันอย่างสมบูรณ์ในสิทธิการเมืองนั้น จะทําให้มนุษย์นั้นมีความเสมอภาคและประสานกลมกลืนกัน อย่างสมบูรณ์ ทั้งในทรัพย์สิน ความคิดเห็น และกิเลสในเวลาเดียวกันด้วย” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

77. สภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของสิ่งนั้น ๆ และในภาษาไทยอาจจะแปลได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมาย
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 4 หน้า 26 – 27 อริสโตเติล (Aristotle) อธิบายว่า สภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของสิ่งหนึ่ง ๆ ก็คือ การบรรลุ Telos หรือบรรลุความเป็นธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งคําว่า “เทลอส” (Telos) เป็นคําภาษากรีก แปลว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” “จุดมุ่งหมาย” “เป้าประสงค์” หรือ “จุดประสงค์” (Final Cause/End/Purpose/Goal)

78. บุคคลผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

79. ใครคือผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์”
(1) อริสโตเติล
(2) จอห์น รอลล์
(3) จอห์น ล็อค
(4) แมคคิอาเวลลี
(5) โรเบิร์ต ฟิลเมอร์
ตอบ 5 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของ กษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และการปกครอง แบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้างเหตุผลมาจาก คัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) ในไบเบิ้ล

80. ถ้าไม่อยู่ในรัฐมนุษย์จะไม่สามารถพัฒนาตัวเองตามศักยภาพได้เลย
(1) Aristotle
(2) Rousseau
(3) Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 61. ประกอบ

81. อํานาจอยู่ในมือกลุ่มคน (The Few) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

82. อํานาจอยู่ในมือคนเดียว (The One) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

83. สิทธิติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด ใครจะมาพรากไปก็ไม่ได้
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 2 หน้า 34 – 35 สิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) เป็นสิทธิติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด ใครจะมาพรากไปก็ไม่ได้ เป็นเสรีภาพที่มนุษย์แต่ละคนจะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินใจหรือเหตุผลส่วนตัวของตนตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสมที่สุดอันจะนํามาซึ่งการรักษาชีวิตของตนเอง

84. ใครคือคนที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) ได้กล่าวถึงว่าเป็นนักปรัชญา การเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice” (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 จากผลงานนี้เอง ที่ทําให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) กล่าวยกย่องรอลส์ ว่าเป็นนักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20

85. Speech to the Etectors of Bristol เป็นผลงานของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 หน้า 124 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องผู้แทนไว้ใน “Speech to the Electors of Bristol” ว่า “ผู้แทนของท่านมีหน้าที่ต่อท่านไม่เฉพาะในเรื่องความขยัน ขันแข็งพากเพียรอุตสาหะเท่านั้น แต่ในเรื่องการใช้วิจารณญาณ มันก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เขา ต้องมีต่อท่านด้วย และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้วิจารณญาณตัดสินไปตามความคิดเห็นของพวกท่านเมื่อนั้นเองพวกเขาก็ได้ชื่อว่าทรยศต่อท่านและไม่ได้เป็นผู้รับใช้ท่านอีกต่อไปแล้ว”

86. แนวคิดที่เสนอว่า “ประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังรัฐบาลหรือกฎหมายได้ถ้าไม่เป็นไปตามเจตจํานง ที่ประชาชนให้ไว้” เป็นแนวคิดของใคร
(1) จอห์น ล็อค
(2) จอห์น ออสติน
(3) นักบุญพอล
(4) จอห์น รอลส์
(5) แมคคิอาเวลลี
ตอบ 1 หน้า 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมายเฉพาะเรื่อง ที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลทําหน้าที่
บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังกฎหมาย หรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้เรียกว่า “สิทธิแห่งการปฏิวัติ”(Right of Revolution)

87. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง
(1) สามารถเรียกสลับไปมากับคําว่า “รัฐศาสตร์” ได้
(2) เป็นการศึกษาที่พยายามปลอดจากอคติและทัศนคติ
(3) ใช้วิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์
(4) ถือกันว่าเป็นแนวทางการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์
(5)ทุกตัวเลือกกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง
ตอบ 4 หน้า 11, (คําบรรยาย) คนทั่วไปมักเข้าใจกันว่าปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือสาขาวิชาย่อยในรัฐศาสตร์ (Political Science) ซึ่งการเข้าใจเช่นนี้ก็ไม่ผิด เพราะการศึกษา ทางการเมืองแนวปรัชญาการเมืองนั้นถือกันว่าเป็นแนวทางการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์หรือเป็นแนวทางการศึกษาแรกของการศึกษาการเมือง และรูปแบบวิธีการศึกษานี้ก็ยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

88. ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Political Ideology
(1) ความรักในความรู้
(2) Love of Wisdom
(3) Logic คือสาขาย่อยของ Ideology
(4) สนใจต่อสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ
(5) ทุกข้อล้วนไม่เกี่ยวข้องกับ Political Ideology
ตอบ 5 หน้า 1, 5, (คําบรรยาย) ทุกข้อที่กล่าวมาข้างต้นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ทางเมือง (Political Ideology) แต่เป็นเรื่องของปรัชญา (Philosophy) ซึ่งปรัชญานั้น คือ องค์ความรู้ ที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ หรือปัญหาพื้นฐานของสิ่งต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาถึงการดํารงอยู่ของสิ่งต่าง ๆ การรับรู้ของมนุษย์ ความดีคืออะไร มนุษย์เกิดมาทําไม ฯลฯ โดยคําว่า “ปรัชญา” เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้นปรัชญาจึงหมายถึง “ความรักในความรู้” (Love of Wisdori) (ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ)

89. ผู้ใดต่อไปนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน
(1) นักบุญพอล
(2) นักบุญปีเตอร์
(3) นักบุญแพนคราส
(4) นักบุญปีเตอร์สเบิร์ก
(5) พระเยซู
ตอบ 1 หน้า 67 เปาโลหรือนักบุญพอล (Saint Paul) ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูสิบสองคนโดยตรง เหมือนกับนักบุญปีเตอร์ แต่ตามตํานานกล่าวว่าหลังพระเยซูเสียชีวิตที่กางเขนแล้ว พระเยซูได้มาปรากฏให้เปาโลเห็นเพื่อเลือกเปาโลให้มารับใช้พระองค์ จึงทําให้เปาโลซึ่งเป็นผิวที่คอยข่มเหงพวกคริสเตียนอยู่ตลอดเวลา กลับใจหันมาอุทิศชีวิตป่าวประกาศเรื่องราวของพระเยซู จนได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานให้กับศาสนาคริสต์ที่สําคัญคนหนึ่ง หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ เปาโล คือหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน

90. เป็นหนึ่งใน Founding Father ของอเมริกา
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 17. และ 41. ประกอบ

91. เป็นรูปแบบการปกครองที่เชื่อในเรื่อง Equality
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 4 หน้า 85, (คําบรรยาย) การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democracy) หรือเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) เป็นการปกครองที่ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยจะเป็นผู้เลือกผู้แทน ไปทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองแทนตน และประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกอํานาจคืนจากผู้ปกครองได้หากผู้ปกครองไม่ทําตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน นอกจากนี้ยังเป็นการปกครองที่ให้ ความสําคัญกับสิทธิ (Right) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชน รวมทั้งการเคารพในสิทธิมนุษยชนด้วย

92. ใครคือผู้ที่เปรียบเปรยว่า “รัฐบาลมีฐานะเป็นคนรับใช้ของประชาชน”
(1) จอห์น ล็อค
(2) จอห์น ฟิลเมอร์
(3) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(4) นักบุญพอล
(5) แมคคิอาเวลลี
ตอบ 3 หน้า 76 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า รัฐบาลมีฐานะเป็นเพียงแค่ คนรับใช้ของประชาชนและประชาชนนั้นเป็นเจ้านายของรัฐบาล แม้ตําแหน่งของรัฐบาลจะเรียกว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (Prince) แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิออกกฎหมายใด ๆ ตามความต้องการของตนเอง รัฐบาลเป็นแค่หน่วยงานในการที่จะกระทําการตามเจตจํานงของกฎหมายที่ประชาชนเป็นผู้ออกอํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นอํานาจที่ประชาชนฝากไว้ ซึ่งอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้หากประชาชนพอใจ

93. อํานาจอยู่ในมือมหาชนทั้งหมด (The Many) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

94. Politeia (โพ-ลิ-เท-อา) แปลว่า “รูปแบบการปกครอง”
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 107 อริสโตเติล (Aristotle) เรียกรูปแบบการปกครองที่อํานาจอยู่ในมือมหาชนและ ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะว่า “โพลิตี้” (Polity) ซึ่งคําดังกล่าวมาจากภาษากรีก คือ Politeia (โพ-ลิ-เท-อา) ที่แปลว่า “รูปแบบการปกครอง” (ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ)

95. เป็นรากศัพท์ของคําว่าการเมือง
(1) Logic
(2) Polis
(3) Philosophia Perennis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) มีรากศัพท์มาจากคําในภาษากรีกคือ “Politika” ซึ่งหมายถึง เรื่องราวหรือกิจการของ Potis (Affairs of the Cities) สําหรับพวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้นเป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ทุกคนที่อยู่ใน Polis ด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึงส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะตรงกันข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือในความหมาย ที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

96.“Utilitarianism” เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

97. นักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 19
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick`
ตอบ 5 หน้า 168 เซอร์เอ็ดวิน แชดวิก (Sir Edwin Chadwick) เป็นนักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1800 – 1890) เขาได้ไปสํารวจชีวิตของชนชั้นล่าง ของอังกฤษและเขียนออกมาเป็นรายงาน โดยเขาเล่าว่าคนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว คนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็นสภาพชีวิตของคนจนในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

98.Cicero เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Prince
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

99. นักคิดคนใดใช้ตัวอย่างของนักกีฬามาเป็นเครื่องมือในการอธิบายเกี่ยวกับหลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

100. ผู้เขียนหนังสือเรื่อง A Theory of Justice
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 84. ประกอบ

 

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ ไม่เกี่ยวกับจํานวนของผู้ปกครอง แต่ควรพิจารณาจากจุดมุ่งหมายของ ผู้ปกครองว่าทําเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 102 – 103, 109 อริสโตเติล (Aristotle) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “Politics” ว่า ใครจะ มาเป็นผู้ปกครองก็ได้ แต่ขอให้แค่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ หมายความว่า จํานวนของผู้ปกครองจะมีกี่คนก็ได้ เป็นระบอบอะไรก็ได้ ใครเป็นก็ได้ แต่ขอ เพียงอย่างเดียวคือ ผู้ปกครองเหล่านั้นควรจะปกครองเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นตาม ทัศนะของอริสโตเติลจึงเป็นการพิจารณาจุดมุ่งหมายของการปกครองว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร ถ้าเพื่อประโยชน์สาธารณะแล้ว การปกครองนั้นก็ถือว่าเป็นการปกครองที่ดี

2. “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ” เป็นแนวคิดของใคร
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 142, 144 – 145 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศสร่วมสมัย สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) มองว่า การที่มนุษย์มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความ รับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ…. เมื่อมนุษย์เกิดขึ้น บนโลกนี้ เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขากระทํา และพวกที่เชื่อในแนวคิดอัตถิภาวะนิยมจะ ไม่ยอมรับในอํานาจแห่งอารมณ์ เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยว่า อารมณ์ที่รุนแรงคือสายน้ําเชี่ยวกราก ที่นํามนุษย์ให้กระทําการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งถูกลิขิตไว้ และมนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัว ให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”

3. นักคิดชาวอังกฤษผู้มีชีวิตในศตวรรษที่ 19 สนับสนุนแนวคิดเรื่องเสรีภาพ
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 146 – 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดชาวอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ ในช่วง ค.ศ. 1806 – 1873 (ศตวรรษที่ 19) เขาสนับสนุนแนวคิดเรื่องเสรีภาพ โดยมองว่า รัฐหรือสังคมจําต้องสถาปนาเสรีภาพให้เกิดขึ้นหรืออนุญาตให้มีอย่างกว้างขวางในสังคม เพราะ เสรีภาพนั้นเป็นเครื่องมือที่จะทําให้มนุษย์สามารถพัฒนาตัวเองออกไปได้ ดังนั้นเสรีภาพจึงเป็น สิ่งสําคัญและรัฐก็ไม่ควรที่จะมาละเมิดหรือพรากเสรีภาพของคนใดคนหนึ่ง

4. ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติฝรั่งเศส
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 124, (คําบรรยาย) เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) เป็นบิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยม สมัยใหม่ (Modern Conservative) มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1729 – 1797 เขาเป็นนักคิดที่มีชีวิตอยู่ ร่วมสมัยกับการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 แต่มีความคิดต่อต้านการปฏิวัติดังกล่าวอย่างมาก

5.General Will
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 96, (คําบรรยาย) ตามความคิดของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เจตจํานงทั่วไป (General Will) คือสิ่งที่แสดงออกถึงหลักการของรัฐที่ชอบธรรม อันได้ หลักการยินยอม เสมอภาค และเสรีภาพ เหตุที่กล่าวเช่นนี้ก็เนื่องจากการออกเจตจํานงทั่วไปนั้น จะแสดงตัวมันเองออกมาได้ในรูปของกฎหมายเท่านั้น และกฎหมายนั้นจะต้องถูกบัญญัติ โดยพลเมืองทุกคน อย่างไรก็ตามรุสโซไม่ได้เป็นนักคิดคนแรกที่คิดเรื่อง General Will แต่ก็เป็นนักคิดที่ทําให้แนวคิดดังกล่าวกลายเป็นที่รู้จักอย่างมหาศาล

6. ประชาชนไม่ควรเป็นผู้ปกครอง แต่ผู้ปกครองควรมาจากการคัดสรรอย่างดี
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 85, 87, 132 เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Republic” ว่า ผู้ปกครองนั้น ควรจะเป็นคนที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้ ซึ่งตามความคิดของเพลโตนั้นมองว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดที่ถูกกําหนดมาจากธรรมชาติแตกต่างกันซึ่งรวมถึงผู้ปกครองด้วย เพราะการปกครองก็ถือว่าเป็นทักษะหนึ่งที่เฉพาะทางไม่ต่างกับช่าง หมอ หรือการงานหน้าที่อื่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ควรที่จะเป็นใครก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มี ธรรมชาติเป็นผู้ปกครอง และมีทักษะ ตลอดจนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

7.“เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 152 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “ความเรียง ว่าด้วยเสรีภาพ” (On Liberty) ว่า สังคมควรมีการอนุญาตให้เสรีภาพต่อมนุษย์ทุกคนอย่าง กว้างขวางที่สุด แต่กระนั้นการให้เสรีภาพตามความคิดของมิลล์ใช่ว่าจะไม่มีข้อจํากัด โดยมิลล์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น และตราบเท่าที่ สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติ ของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”

8.ประโยชน์นิยม
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 116, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดในสกุลประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งหลักการของประโยชน์นิยมนั้น มีหัวใจสําคัญอยู่ที่ “ความสุข” หรือ “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” จากหลักการนี้ทําให้นักคิดสกุลประโยชน์นิยมยึดถือ หลักการพื้นฐานทางสังคมร่วมกันที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุข ที่มากที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” (Greatest Happiness for the Greatest Numbers) หรือถือว่า “เวลาเราจะทําอะไรจะต้องคํานึงถึงอรรถประโยชน์สูงสุด” นั่นเอง

9.นักคิดชาวเจนีวากล่าวว่า “อํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นอํานาจที่องค์อธิปัตย์ฝากไว้ ซึ่งมันอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้หากองค์อธิปัตย์พอใจ”
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince.
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 45, 75 – 76 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นนักคิดชาวเจนีวาที่ มีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่อง “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” เช่นเดียวกับล็อค โดยรุสโซได้กล่าวไว้ใน หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “รัฐบาลก็คือ ส่วนที่ถูกตั้งขึ้น ให้อยู่ระหว่างผู้ที่อยู่ใต้อํานาจกับองค์อธิปัตย์ นั่นก็เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างสองฝ่ายดังกล่าว และเพื่อรับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนรักษาเสรีภาพทั้งทางสังคมและการเมือง… รัฐบาลที่ถูกตั้งขึ้นนั้นมันเป็นเพียงการมอบหน้าที่ให้ มันเป็นแค่การจ้างงานเท่านั้น ผู้ปกครอง เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ผู้บริหารงานในนามขององค์อธิปัตย์เท่านั้น อํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นเพียง อํานาจที่องค์อธิปัตย์ฝากไว้ ซึ่งมันอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้ องค์อธิปัตย์พอใจ”

10. “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้ง ผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขากล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก…”

11. “บางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตามก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่น ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตามก็จะสัมฤทธิ์ผลด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองนั้นไม่ควรจะ คํานึงแต่การทําดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะในกรณีที่ว่าถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐ แต่การทําชั่วสามารถทําให้เขารักษารัฐได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองก็ควรจะเลือกการทําชั่ว ดังที่เขากล่าวว่า “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่ว ต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรองทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะสัมฤทธิ์ผลด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”

12. เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มองว่า เสรีภาพไม่ใช่เรื่องของการที่มนุษย์ จะกระทําอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็คง ไม่ต่างกับพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่อยากจะฆ่าใครก็ได้ ทําอะไรก็ได้ ซึ่งมิลล์มองว่าการจะทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแบบพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมไม่ควรที่จะเรียกว่ามันคือเสรีภาพ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นพฤติกรรมแบบเผด็จการของแต่ละคนที่กระทําต่อกัน ดังนั้นเองมิลล์จึงเสนอว่า เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย

13. ผู้ปกครองต้องทําทุกอย่างเพื่อรักษาอํานาจไว้ให้ได้
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 128 – 129, 132 – 133, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เป็นนักคิดชาวอิตาเลียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่” เขาได้ เขียนหนังสือสําคัญเล่มหนึ่งเพื่อเป็นคําแนะนําการปกครองให้ผู้ปกครองชื่อว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1532 ซึ่งตามความคิดของแมคคิอาเวลลีนั้นมองว่า ผู้ปกครองที่ดีจะต้องทําทุกอย่างเพื่อรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ให้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงเป็น ใครก็ได้ แต่ขอเพียงอย่างเดียวให้คน ๆ นั้นมีความสามารถในการรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ

14. ตําราของนักคิดอิตาเลียนที่เขียนขึ้นเพื่อเป็นคําแนะนําให้ผู้ปกครอง
(1) The Republic
(2) Crito
(3) Politics
(4) The Prince
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

15. ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ (On Liberty) เป็นงานของนักคิดคนใด
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

16. เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศสร่วมสมัย
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

17. “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่วต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้ว ก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้”
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

18. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอริสโตเติล
(1) อริสโตเติลเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
(2) อริสโตเติลมีชีวิตในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล
(3) อริสโตเติลเป็นชาวมาซิโดเนีย
(4) อริสโตเติลเป็นเจ้าของผลงานที่ชื่อว่า The Prince
(5) ทุกข้อเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 25, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักคิดชาวมาซิโดเนีย ลูกศิษย์ของเพลโต (Plato) เขามีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีผลงานที่สําคัญ ได้แก่ หนังสือ เรื่อง “Politics” และ “Nicomachean Ethics” (ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ)

19. นักคิดชาวอังกฤษ เป็นนักทฤษฎีสัญญาประชาคม
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 30 – 32, 39, 45, (คําบรรยาย) นักทฤษฎีสัญญาสังคมหรือสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) ที่สําคัญ ได้แก่
1. โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักคิดชาวอังกฤษ
2. จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ
3. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา
4. จอห์น รอลส์ (John Rawls) นักคิดชาวอเมริกัน

20. “มนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

21. “การที่มนุษย์มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย”
(1) Jean Paul Sartre
(2) Edmund Burke
(3) John Stuart Mill
(4) Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

22. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับคําว่า “Thought Experiment” มากที่สุด
(1) ฟอสซิล
(2) เอกสารใบลาน
(3) ไมโครฟิล์ม
(4) อินเทอร์เน็ต
(5) ทดลองคิด
ตอบ 5 หน้า 33 – 34 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ใช้วิธี “การทดลองทางความคิด” (Thought Experiment) ในการตอบคําถามว่าทําไมมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง ซึ่งวิธีดังกล่าวจะไม่ใช้การเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์แบบนักประวัติศาสตร์ หรือสืบค้นผ่านหลักฐานทางโบราณคดีแบบพวกนักโบราณคดี แต่จะใช้การจินตนาการโดยใช้เหตุผลถึงพฤติกรรม ของมนุษย์ว่าถ้าพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันอย่างเป็นอิสระ มนุษย์จะเป็นอย่างไร ซึ่งสภาวะจําลองดังกล่าวนี้พวกนักคิด สกุลสัญญาประชาคมเรียกว่า “สภาวะธรรมชาติ” (State of Nature) และเมื่อทราบแล้วว่า มนุษย์อยู่อย่างไร พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจว่าทําไมมนุษย์จึงออกจากสภาวะธรรมชาติเพื่อมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง

23.สําหรับจอห์น ล็อค ข้อใดต่อไปนี้เป็นคุณลักษณะของการลงโทษที่อาจตามมาจาก Self-Love
(1) Benevolence
(2) Charity
(3) Supportive
(4) Compassion
(5) Revenge
ตอบ 5 หน้า 42 – 43 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนในสภาวะธรรมชาตินั้น เป็นทั้งคนตัดสินและใช้อํานาจลงโทษโดยลําพังตามกฎธรรมชาติ (Judge and Executioner) แต่การตัดสินลงโทษผู้ที่ละเมิดอาจจะไม่เป็นไปตามโทษที่สมควรได้รับ รับทั้งนี้ก็เนื่องจากการรัก ตนเอง (Self-Love) หรือรักพวกพ้องของตนเอง จึงอาจทําให้มนุษย์ตัดสินเข้าข้างตนเองหรือ เข้าข้างพวกพ้องที่ตนรัก หรืออาจจะตัดสินลงโทษไปด้วยความต้องการที่จะล้างแค้น (Revenge) ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์จะต้องยกอํานาจในการตัดสินและ การลงโทษดังกล่าวให้กับรัฐบาลหรือสังคมการเมืองเป็นผู้ทําหน้าที่แทน

24. ผลงานที่ชื่อว่า “The Social Contract” เป็นผลงานของนักปรัชญาท่านใด
(1) John Locke
(2) Robert Nozick
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Rawls
(5) Karl Marx.
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

25. ข้อใดคือสาเหตุที่ทําให้มนุษย์มาอยู่รวมกันในสังคมการเมืองในความคิดของจอห์น ล็อค
(1) ความปลอดภัย (Safety)
(2) ความสะดวกสบาย (Convenience)
(3) เทคโนโลยี (Technology)
(4) สัตว์การเมือง (Political Animal)
(5) ธรรมชาติ (Nature)
ตอบ 1 หน้า 39, 43 จอห์น ล็อค (John Locke) เห็นว่า การที่มนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐหรือ สังคมการเมืองนั้นก็เพื่อเหตุผลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งต้องการหา คนกลางมาตัดสินในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างเอกชน

26. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับสภาวะธรรมชาติของรุสโซมากที่สุด
(1) มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว
(2) มนุษย์โหดร้ายป่าเถื่อน
(3) มนุษย์มีเหตุผล
(4) มนุษย์รักพวกพ้อง
(5) มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคม
ตอบ 1 หน้า 50 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มองว่า ในสภาวะธรรมชาติ มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใคร ไม่มีใครสนใจใครหรือเปรียบเทียบระหว่างกัน สิ่งนี้เองที่ทําให้มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน ไม่ใช่ว่ามีความเหมือนกันในความเป็นมนุษย์ แต่เพราะว่าทุก ๆ คนต่างก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต่างก็เป็นนายตัวเอง มีอิสระ ต่อกัน และมีเสรีภาพอย่างเต็มที่

27. ข้อใดต่อไปนี้คือคุณลักษณะการทําหน้าที่ของสังคมการเมืองในแบบจอห์น ล็อค
(1) Moderate Scarcity
(2) Leviathan
(3) Utopia
(4) Judge and Executioner
(5) Maximizing Utility
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

28. ในความคิดของรุสโซ การที่มนุษย์มีเสรีภาพในการเลือกที่จะกระทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce or Resist) สัมพันธ์กับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) คนที่อยู่คนเดียวได้ ถ้าไม่ใช่สัตว์ป่าก็ต้องเป็นเทพเจ้า
(2) แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา
(3) มนุษย์มีคุณสมบัติในการไปสู่ความสมบูรณ์แบบ
(4) มนุษย์ต้องรักคนอื่น
(5) ความสามารถที่จะฝืนกฎแบบจักรกล
ตอบ 5 หน้า 49 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) กล่าวว่า มนุษย์แตกต่างกับสัตว์ ตรงที่มนุษย์มีเสรีภาพที่จะฝืนแรงกระตุ้นตามสัญชาตญาณของตนเองได้ กล่าวคือ ธรรมชาติ ได้กําหนดให้สัตว์ทุกตัวรวมทั้งมนุษย์ดํารงชีวิตหรือทําอะไรก็แล้วแต่เป็นไปตามแรงกระตุ้นจาก สัญชาตญาณ แม้ว่ามนุษย์นั้นจะได้รับแรงกระตุ้นดังกล่าวเหมือนสัตว์อื่น ๆ แต่มนุษย์ก็มีเสรีภาพ ในการเลือกที่จะทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce of Resist) ซึ่งเป็นความสามารถ ของมนุษย์ในการฝืนกฎแบบจักรกล (Law of Mechanism) มนุษย์จึงเป็นสัตว์ประเภทเดียว ที่มีเสรีภาพนี้ และเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ โดยรุสโซเรียก คุณสมบัตินี้ว่า “Quality of Free Agency”

29. จากประโยคที่ว่า “มันเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกที่ไม่อยากจะเห็นเผ่าพันธุ์ของตนได้รับความทุกข์ทรมาน สัมพันธ์กับข้อใดน้อยที่สุด
(1) Compassion
(2) Passion and Desire
(3) Fearful
(4) Timid
(5) Self-Preservation
ตอบ 2 หน้า 47 – 48, (คําบรรยาย) ประโยคที่ว่า “มันเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกที่ไม่อยากจะเห็น เผ่าพันธุ์ของตนได้รับความทุกข์ทรมาน” สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ตามความคิดของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นั้น สนใจการปกป้องรักษาตนเอง (Self-Preservation) ไม่คิดที่จะทําร้ายคนอื่น ทั้งนี้เพราะมนุษย์ในสภาวะธรรมชาตินั้นเป็นพวกขี้หวาดกลัว (Fearful) และขี้ขลาด (Timid) รวมทั้งมีความเมตตาเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (Compassion) จึงทําให้มนุษย์มุ่งที่จะปกปักรักษาตนเองไม่รบราฆ่าฟันกันอย่างเช่นมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ ตามความคิดของฮอบส์

30. คําว่า “Political Society” ใกล้เคียงกับคําศัพท์ในข้อใดมากที่สุด
(1) สภาวะธรรมชาติ
(2) State of Nature
(3) Anarchy
(4) Royal Palace
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 25, (คําบรรยาย) คําว่า “Political Society” หรือ “สังคมการเมือง” นั้น เป็นคําที่มี ความหมายใกล้เคียงกับคําว่า “รัฐ” (State) หรือ “รัฐชาติสมัยใหม่” (Modern Nation State)

31. การที่มีดปอกแอปเปิลสามารถใช้ในการปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้ อริสโตเติลเห็นว่ามีดปอกแอปเปิลนั้นมีคุณสมบัติข้อใดดังต่อไปนี้
(1) Virtue
(2) Telos
(3) Earred
(4) Quality
(5) Strong
ตอบ 2 หน้า 25 – 28 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้วิธีการ ที่เรียกว่า “Teleolcgy” หรือการอธิบายว่าของทุกสิ่งนั้นมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่มันจะต้อง คลี่คลายไปเสมอ โดยจุดมุ่งหมายปลายทางของสิ่งต่าง ๆ นั้น อริสโตเติลเรียกว่า “เทลอส” (Telos) ซึ่งเป็นคําภาษากรีก แปลว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” “จุดมุ่งหมาย” “เป้าประสงค์” “จุดประสงค์” (Final Cause/End/Purpose/Goal) เช่น มีดปอกแอปเปิลจุดมุ่งหมายปลายทาง หรือ Telos ก็คือ การปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการที่มืดดังกล่าวจะทําหน้าที่ ในการปอกได้ดีนั้น มีดจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะที่จะทําให้บรรลุจุดมุ่งหมายปลายทางนั้นได้ โดยอริสโตเติลเรียกคุณสมบัติดังกล่าวว่า “Arete” หรือ “Virtue” ซึ่ง Arete ของมีดปอกแอปเปิลก็คือ ความคมที่เหมาะแก่การปอกแอปเปิลนั่นเอง

32. ประโยคที่ว่า “By all means we can, to defend ourselves” สัมพันธ์กับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) การฆ่าฟันกันโดยไม่มีเหตุผลของมนุษย์
(2) การป้องกันตัวเองตราบเท่าที่ตนเองคิดว่าดี
(3) การปกป้องตนเองภายใต้การดํารงอยู่ของรัฐ
(4) การปกป้องตนเองภายใต้รัฐธรรมนูญ
(5) การใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อยึดอํานาจการปกครอง
ตอบ 2 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Right of Nature) ที่จะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาคิดว่าดีที่สุดต่อตัวเขาเอง ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิ ตามธรรมชาติ” ตามความคิดของฮอบส์นั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากกฎธรรมชาติ (Law of Nature) อันเป็นกฎสากลทั่วไป ซึ่งกฎธรรมชาติพื้นฐานตามความคิดของฮอบส์ก็คือ มนุษย์จะถูกห้าม ไม่ให้ทําอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของตนเอง หรือถูกบังคับให้ไม่ใช้วิธีการใด ๆ หรือการละเว้น ที่จะทําให้เขามีชีวิตรอด โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเขาคิดว่าจะปกป้องรักษาชีวิต ของตัวเขาเองไว้ได้ (By all means we can, to defend ourselves)

33. เพราะเหตุใดมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค จึงไม่ทําร้ายคนอื่นในแบบข้อเสนอของโทมัส ฮอบส์
(1) มีกฎหมายเป็นตัวกํากับบทลงโทษ
(2) มีศาลทําหน้าที่ในการตัดสิน
(3) มนุษย์พยายามทําแล้วแต่ไม่ประสบความสําเร็จ
(4) มนุษย์ใช้เหตุผล
(5) มนุษย์ไม่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง
ตอบ 4 หน้า 40 – 41 สาเหตุที่ทําให้มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค (John Locke) ไม่ไปทําร้ายคนอื่นในแบบเดียวกันกับมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของโทมัส ฮอบส์นั้น ก็เพราะว่า มนุษย์ตามความคิดของล็อคอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่ว่า แต่ละคนต้องปกป้องรักษาตนเอง ซึ่งด้วยการใช้เหตุผลเข้าใจหลักการตามกฎธรรมชาติดังกล่าว จึงทําให้มนุษย์ไม่คิดจะไปทําร้ายคนอื่น เพราะการทําร้ายคนอื่นเท่ากับเป็นการหาเรื่องให้ตนเองบาดเจ็บหรืออาจจะเสียชีวิตได้ซึ่งก็หมายถึงการไม่ปกป้องรักษาตนเองนั่นเอง

34. หากกล่าวว่า “สิงโตที่ดีคือสิงโตที่เป็นเจ้าป่า ดุดัน และเป็นนักล่า” คําว่า Telos ในความหมายของ อริสโตเติลที่สอดคล้องกับคํากล่าวข้างต้น ตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) สวนสัตว์เปิด
(2) สิงโตที่สมบูรณ์
(3) นายพราน
(4) กระต่ายและแมว
(5) ป่าตามธรรมชาติ
ตอบ 2 หน้า 26 – 27 การอธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ ตามวิธีการของอริสโตเติล (Aristotle) นั้น หากพิจารณาจากสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากธรรมชาติ เช่น สิงโต Telos ของสิงโตก็คือ การเป็นสิงโต ที่สมบูรณ์ ส่วน Arete ของสิงโตก็คือ ความเป็นเจ้าป่า ความแข็งแกร่ง ความดุดัน ความเป็น นักล่า ฯลฯ และการที่สิงโตจะสามารถเป็นสิงโตที่สมบูรณ์หรือบรรลุ Telos ของความเป็น สิงโตได้ สิงโตนั้นจะต้องอยู่ในป่าตามธรรมชาติ (ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ)

35. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับคําว่า “คุณธรรม” ภายใต้ State of Nature ของโทมัส ฮอบส์
(1) การพูดความจริง
(2) การยึดถือทางสายกลาง
(3) ความกล้าหาญ
(4) การใช้กําลังและความฉ้อฉล
(5) ราชาธิปไตย
ตอบ 4 หน้า 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ก็คือสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) ซึ่งเป็นสภาวะที่มนุษย์ทุกคนจะเป็น ศัตรูต่อกัน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายกันและกัน (Every man against every man) โดยไม่เกี่ยง วิธีการ ในสภาวะสงครามไม่มีคําว่ายุติธรรมหรืออยุติธรรม ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณธรรมอย่างเดียว ที่มีก็คือ การใช้กําลังและการหลอกลวง ฉ้อฉล (Force and Fraud)

36. นักคิดในข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่นักคิดในสกุลสัญญาประชาคม
(1) John Locke
(2) Karl Marx
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Rawls
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

37. วิธีการที่เรียกว่า “Teleology” ของอริสโตเติลตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) ปรัชญาการเมืองเป็นศาสตร์ของเทวดา
(2) ทุกสิ่งมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่จะต้องคลี่คลายไปเสมอ
(3) พระผู้เป็นเจ้ามีอํานาจสูงสุดในการออกกฎหมาย
(4) คุณสมบัติของสรรพสิ่งมีความสําคัญน้อยกว่าจุดมุ่งหมาย
(5) มนุษย์ที่สมบูรณ์คือมนุษย์ที่เติบโตจากธรรมชาติในป่า
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

38. ข้อใดต่อไปนี้ไม่สอดคล้องกับคําว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” ในความหมายของอริสโตเติล
(1) Goal
(2) Gold
(3) Final Cause
(4) Telos
(5) Purpose
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

39. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับบทบาทของ Leviathan มากที่สุด
(1) Sustaining Anarchy
(2) Keeping them all in Awe
(3) Promoting State of War
(4) Being Judge and Executioner
(5) Protecting Property
ตอบ 2 หน้า 37 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า การเกิดสภาวะสงครามทําให้มนุษย์ จําเป็นต้องแสวงหาสันติภาพเพื่อจะทําให้ทุกคนมีชีวิตรอด โดยต้นเหตุของสภาวะสงครามก็คือสิทธิตามธรรมชาติอันไม่จํากัดที่มีเหนือร่างกายของมนุษย์ทุกคนและมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ มันได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีความจําเป็นที่ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติดังกล่าวให้ Leviathan หรือองค์อธิปัตย์มีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดอย่างไม่จํากัดเพื่อให้มนุษย์ทุกคนตกอยู่ภายใต้ความกลัว (Keeping them all in Awe) และไม่ให้เขาเหล่านั้นกลับไปอยู่ในสภาวะธรรมชาติอันเป็นสภาพของสงครามอีกต่อไป

40. จากประโยคที่ว่า “มนุษย์อยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคน อยู่กันอย่างเป็นอิสระ” ตรงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) รัฐธรรมนูญ
(2) อํานาจอธิปไตย
(3) สภาวะธรรมชาติ
(4) เสรีภาพทางความคิด
(5) ทุกข้อเป็นส่วนหนึ่งของประโยคนี้
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

41. ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่กระจายทรัพย์สินดีที่สุด
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 5 หน้า 159 – 160, 162, 170 ความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร (Distributive Justice) เป็นคําถามหรือข้อถกเถียงทางปรัชญาการเมืองที่เกี่ยวกับว่า ในสังคมนั้นควรมีการกระจาย ทรัพยากรหรือทรัพย์สินอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม ซึ่งในประเด็นนี้ได้มีนักคิดให้คําตอบไว้ หลากหลาย เช่น จอห์น ล็อค (John Locke) มองว่า ระบบทุนนิยมหรือระบบที่มีการกระจาย ทรัพยากรอย่างเสรีเป็นระบบการกระจายทรัพยากรหรือทรัพย์สินที่ดีที่สุด หรือคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ที่มีมุมมองในลักษณะตรงกันข้ามกับล็อค โดยมองว่า การกระจายทรัพยากรไม่ควร จะปล่อยเสรี และให้เอกชนแข่งขันกัน แต่การกระจายทรัพยากรควรจะเป็นหน้าที่ของรัฐที่เป็น ตัวแทนของบรรดากรรมาชีพทั้งหลาย เป็นต้น

42. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับว่า ถ้าประชาชนยอมรับการรัฐประหาร รัฐประหารนั้นจะถือว่าชอบธรรมหรือไม่
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 3 หน้า 7, 85, (คําบรรยาย) “ใครควรเป็นผู้ปกครอง” เป็นคําถามหนึ่งในทางปรัชญาการเมืองที่มีความสําคัญและเป็นประเด็นในการถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งในประเด็นนี้อาจจะมี การถกเถียงหรือตั้งคําถามว่าผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควรจะเป็นผู้ปกครอง การเข้ามามีอํานาจของผู้ปกครองมีความชอบธรรมหรือไม่ เป็นต้น

43. นักคิดคนใดเขียนหนังสือเรื่อง Anarchy, State and Utopia
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 187 – 189, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) นักคิดชาวอเมริกัน เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” เขาเห็นว่ารัฐไม่ควรเข้ามาแทรกแซง เรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย โดยเฉพาะเรื่องการกระจายทรัพยากร เพราะมองว่าการตัดสินใจ ต่าง ๆ ในสังคมควรจะเป็นไปอย่างเสรีโดยไม่ต้องมีการกํากับหรือวางแผนอย่างตายตัวจากรัฐ เหตุผลที่โนซิคเสนอเช่นนี้ก็เนื่องมาจากเขามีฐานคิดที่ว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับทรัพยากรมาด้วย ความชอบธรรมแล้ว รัฐหรือเอกชนคนใดก็ไม่มีสิทธิที่จะมาพรากเอาทรัพย์สินนั้น ๆ ไปจากเจ้าของได้อย่างชอบธรรม

44. ประชาธิปไตยดีที่สุด
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 3 หน้า 85 คําถามที่ว่า “ใครควรเป็นผู้ปกครอง” ในปัจจุบันถ้าถามคนทั่ว ๆ ไปก็คงจะ ได้รับคําตอบว่า ประชาชนควรจะเป็นผู้ปกครอง เพราะอํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชนจะเป็นผู้เลือกรัฐบาลให้ไปทําหน้าที่แทน เมื่อรัฐบาลมีปัญหาประชาชนก็เรียก อํานาจคืน ดังนั้นการตอบในลักษณะนี้ก็หมายถึงว่า คนที่ตอบเห็นว่าการปกครองแบบ ประชาธิปไตยคือการปกครองที่ดีที่สุด (ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ)

45. การเมือง (Politics) มีความหมายถึง
(1) กิจการของนครรัฐ
(2) เรื่องส่วนรวม
(3) เรื่องสาธารณะ
(4) วิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 6 (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) ในภาษากรีกก็คือ “Politika” ซึ่งหมายถึง เรื่องราว หรือกิจการของเมืองหรือนครรัฐ (Affairs of the Cities) สําหรับพวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้น เป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนที่อยู่ในนครรัฐด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึงส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะ ตรงกันข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือในความหมายที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

46. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับความชอบธรรมของรัฐบาล
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

47. ปรัชญา (Philosophy) มีความหมายถึง
(1) ความรู้
(2) ความสามารถ
(3) ความรัก
(4) ถูกข้อ 1 และ 2
(5) ถูกข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 5, (คําบรรยาย) คําว่า “ปรัชญา” (Philosophy) เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Philos/Love) กับคําว่า “ความรู้” (Sophia/Wisdom) ดังนั้นปรัชญา จึงหมายถึง “ความรักในความรู้” (Love of Wisdom) นั่นเอง

48. แนวคิดเรื่องม่านแห่งความไม่รู้
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 179 – 180, 186 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด แต่กระนั้นรอลส์ ได้วางเงื่อนไขภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veil of Ignorance) โดยผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบ ว่าตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นการตัดสินอันยุติธรรมเพราะผู้ตัดสินใจ จะใช้แต่เหตุผลและไม่นําสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานะของตนเองมาเป็นปัจจัยในการตัดสิน

49. รัฐไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

50. กรรมกรต้องทําการปฏิวัติ
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 173 – 174 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เห็นว่า ในระบบทุนนิยมนั้นรัฐจะเป็นเครื่องมือ ของนายทุนที่ใช้ในการครอบงํา ปกครอง และควบคุมให้สังคม การเมือง และเศรษฐกิจดําเนินไป ตามแนวทางที่นายทุนต้องการ การที่จะไปขอร้องให้รัฐหรือรัฐบาลเข้ามาจัดการกับนายทุนนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเสนอให้กรรมกรจะต้องจัดการช่วยเหลือตนเองด้วยการ ปฏิวัติโค่นล้มระบบทุนนิยม โดยการเข้ายึดครองปัจจัยการผลิตและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็น รัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา

51. “ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้างกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และคนอื่น ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของ ข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงาน เป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม… ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้าง กรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”

52. ผู้เขียนหนังสือเรื่อง A Theory of Justice
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice” (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 จากผลงานนี้เอง ที่ทําให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) กล่าวยกย่องรอลส์ ว่าเป็นนักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20

53.John Austin
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 2 หน้า 57 – 58 ในประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย” นั้น จอห์น ออสติน (John Austin) ซึ่งเป็นนักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ และเป็นผู้เสนอทฤษฎีการบังคับบัญชา ของกฎหมาย (Command Theory of Law) ได้อธิบายว่า เหตุที่เราต้องเชื่อฟังกฎหมายนั้น ก็เพราะว่าถ้าเราไม่เชื่อฟัง เราก็จะต้องถูกลงโทษตามตัวบทกฎหมายนั่นเอง

54.Man was born free
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 4 หน้า 135, 137 – 138, (คําบรรยาย) ในประเด็นคําถามที่ว่า “เรามีเสรีภาพหรือไม่” นั้น ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้อธิบายว่า มนุษย์นั้นมีเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่ กําเนิดหรือเกิดมาพร้อมกับเสรีภาพ (Man was born free) แต่ด้วยสังคมหรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทําให้มนุษย์มีเสรีภาพลดน้อยลง แต่กระนั้นการดํารงอยู่ของเสรีภาพไม่ควรจะต้องสูญสลายไป เพราะการที่มนุษย์ไม่มีเสรีภาพหรือถูกพรากเสรีภาพไป นั่นเท่ากับคน ๆ นั้นได้ถูกพราก ความเป็นมนุษย์ไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้การรวมตัวของมนุษย์ไม่ว่าในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็นรัฐ หรือสังคมที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐที่ดีหรือสังคมที่ชอบธรรมนั้น เสรีภาพจะต้องเป็นแกนกลางของการรวมตัวของมนุษย์

55. แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 172 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งของนายทุนในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกรเพื่อให้ตนเองได้กําไร มากที่สุด โดยนายทุนจะจ่ายค่าแรงให้ต่ําที่สุดเท่าที่กรรมกรจะสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้เพื่อที่ว่าแรงงานนั้นจะกลับมาทําการผลิตให้กับนายทุนได้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ

56. วาทวิทยาหรือวาทศิลป์ (Rhetoric) คืออะไร
(1) การสนทนาหาคําตอบทางการเมือง
(2) การวาดรูปแบบกรีก
(3) คุณธรรมของชาวเอเธนส์ที่ต้องบรรลุถึง
(4) ศิลปะการแสดงแขนงหนึ่งในยุคกรีก
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 9, (คําบรรยาย) วาทวิทยาหรือวาทศิลป์ (Rhetoric) คือ ศิลปะในการใช้ถ้อยคํา สํานวนโวหารให้ประทับใจ หรือเป็นศิลปะในการชักจูงหรือโน้มน้าวคนด้วยถ้อยคํา

57. รัฐเกิดจากสัญญาประชาคม
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 1 หน้า 29 – 30 ในประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง” นั้น นักคิดสกุล สัญญาประชาคม (Social Contract) ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า มนุษย์โดยธรรมชาติแล้ว ไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ในสังคมการเมือง แต่มนุษย์มารวมตัวเพื่ออยู่ร่วมกันเป็นสังคมการเมืองสืบเนื่องมาจากจุดประสงค์ในการแก้ปัญหาบางประการอันเกิดจากการอยู่คนเดียว และรัฐก็เกิดจาก สัญญาประชาคมหรือการตกลงทําสัญญาระหว่างมนุษย์ด้วยกัน รัฐจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ รัฐเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ด้วยจุดมุ่งหมายบางอย่าง (Artificial)

58. Henry David Thoreau
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) Distributive Justice
ตอบ 2 หน้า 78 – 79 ในประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย” นั้น เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า พลเมืองทุกคนควรจะต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะพลเมืองก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในสังคม และสังคมนั้นก็จําเป็นที่จะต้องมีกฎหมายสําหรับ ใช้บังคับควบคุมสมาชิกในสังคม แต่ธอโรก็เห็นว่าไม่ใช่ทุกกรณีที่จะต้องเชื่อฟังกฎหมายเพราะถ้าเกิดกฎหมายมันไม่ยุติธรรมหรือขัดกับมโนธรรมของเรา เราก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟังหรือ ปฏิบัติตามกฎหมายนั้น แต่กระนั้นถ้าเลือกที่จะไม่เชื่อฟังหรือปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว คนๆนั้นก็จําต้องยอมรับการลงโทษจากกฎหมายด้วย

59.Crito
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเรา ตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนาตอนที่โสเตรตีส กําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีส หนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไมเราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟัง กฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ ท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศ และถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้น จะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่าน ถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้อง ทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง….”

60. นักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 19
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 168 เซอร์เอ็ดวิน แซดวิก (Sir Edwin Chadwick) เป็นนักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1800 – 1890) เขาได้ไปสํารวจชีวิตของชนชั้นล่างของ อังกฤษและเขียนออกมาเป็นรายงาน โดยเขาเล่าว่าคนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว คนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็น สภาพชีวิตของคนจนในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

61. “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับความไว้วางใจที่ได้รับ มอบมา…เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็นผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสิน ไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม”
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4)เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 4 หน้า 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ มองว่า พลเมืองต้องเชื่อฟัง กฎหมายเฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตาม ที่รัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือใช้อํานาจเกินหน้าที่ของตน ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟัง และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้เรียกว่า “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution) ดังนั้นตามความคิดของล็อค ประชาชนจึงเป็นผู้ตัดสินว่ารัฐบาลทําหน้าที่บกพร่อง หรือทําเกินกว่าอํานาจที่ประชาชนมอบให้หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ได้รับมอบหมาย ประชาชนก็มีสิทธิที่จะเปลี่ยนรัฐบาล และไม่เชื่อฟังกฎหมายหรือรัฐบาลนั้น ๆ ดังที่ล็อคได้กล่าวว่า “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับความไว้วางใจ ที่ได้รับมอบมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็นผู้ตัดสิน คนที่ จะต้องถูกตัดสินไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะปฏิบัติหน้าที่ ได้ดีหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าอํานาจในการไว้วางใจนั้นจะยังคงอยู่กับเขา แต่ผู้ที่แต่งตั้งตัวแทนโดยการมอบอํานาจความไว้วางใจให้จะต้องมีอํานาจในการเรียกคืนความไว้วางใจจากตัวแทนในกรณีที่เขาละเมิดความไว้วางใจ…”

62. สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือ วัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 1 หน้า 1 – 2, (คําบรรยาย) อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาถึงแก่นแท้หรือ ความเป็นจริงสูงสุดของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ เช่น ในสาขานี้อาจจะตั้งคําถามว่า ความจริงแท้ คืออะไร อะไรคือความจริงแท้สูงสุด หรืออาจจะมีการตั้งคําถามกันว่า สิ่งที่เป็นแก่นสารของ สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่าสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)

63. นักคิดคนใดไม่เชื่อเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นนักคิดที่ไม่เห็นด้วยกับระบบทุนนิยม เขาได้เขียน หนังสือว่าด้วยทุน (Das Kapital) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1867 ซึ่งมีเนื้อหาเป็นการวิเคราะห์ และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมที่เน้นแต่เรื่องของกําไร-ขาดทุน การจ้างงาน การสะสมทุน กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงาน ฯลฯ

64. นักคิดคนใดที่เขียนหนังสือเรื่องว่าด้วยทุน
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Stuart Mill
(4) John Rawls
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 63. ประกอบ

65. Command Theory of Law
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

66. Henry David Thoreau
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

67. มักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 4 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ว่ามีลักษณะสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

68. ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เน้นความเท่าเทียมโดยกลไกใดในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
(1) เลือกตั้ง
(2) สรรหา
(3) สอบคัดเลือก
(4) สภาแต่งตั้ง
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 3, (คําบรรยาย) ในรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ที่เน้นความเสมอภาค เท่าเทียมกันนั้น กลไกในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารกิจการสาธารณะ จะไม่ใช้วิธีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง เพราะการเลือกตั้งและแต่งตั้งนั้นเป็นวิธีการของการปกครอง แบบชนชั้นสูง แต่วิธีการแบบประชาธิปไตยของเอเธนส์จะใช้วิธีการ “จับสลาก” (By Lot) มีเพียงไม่กี่ตําแหน่งเท่านั้นที่ยังคงใช้การแต่งตั้งตามความสามารถ เช่น การเป็นแม่ทัพ หรือ การเป็นทูตที่จําต้องไปเจรจากับรัฐอื่น ๆ

69. Antigone
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 71 – 72 ตัวอย่างหนึ่งของการอธิบายเรื่อง “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” เช่น กรณีของแอนธิกอน (Antigone) เธอได้ละเมิด คําสั่งของกษัตริย์คลื่อนที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิสซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่องประหลาด และฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของแอนธิกอนนั้น มีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่กําหนดโดยมนุษย์สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อ พระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์ แต่กระนั้นเธอก็ยอมถูกลงโทษตามคําสั่งของกษัตริย์

70. “ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนัก ที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์”
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4)เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 5 หน้า 80 – 81 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เคยถูกจับขังคุกเนื่องจากเขา ปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ โดยเขาอ้างว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขัดกับมโนธรรมของเขา เขาจึงไม่ต้องเชื่อฟัง ซึ่งภายหลังจากที่ธอโรออกจากคุกก็ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ใน บทความชื่อว่า “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) โดยมี เนื้อหาบางส่วนดังนี้ “ ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐ ในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนักที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้อง เที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์

71. ประสาทสัมผัสเท่านั้นที่ถือว่าเป็นช่องทางของการรับรู้
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 2 หน้า 2, (คําบรรยาย) ญาณวิทยา (Epistemology) หรือบางครั้งเรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับความรู้ ดังนั้นในสาขานี้อาจจะ ตั้งคําถามว่า ความรู้คืออะไร ความรู้มาจากไหน มีเกณฑ์ใดในการจําแนกแยกแยะบ้าง หรือ อาจจะตั้งคําถามว่า มนุษย์นั้นรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือ เล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะตอบว่า “ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ซึ่งการตอบ ดังกล่าวก็หมายความว่า มนุษย์เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตา” ดังนั้น ประสาทสัมผัสจึงถือว่าเป็นช่องทางของการรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ของมนุษย์

72. การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น เราโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิด หรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
มันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 5 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควรจะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่าความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

73.“Demos” ที่เป็นที่มาของคําว่า “Democracy” ในภาษากรีก หมายถึง
(1) คนชั้นสูง
(2) คนชั้นกลาง
(3) คนชั้นล่าง
(4) ประชาชนทั่วไป
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 106 ศัพท์ดั้งเดิมของคําว่า “Democracy” มาจากภาษากรีกคําว่า “Demokratia ซึ่งเป็นการผสมกันของรากศัพท์ 2 คํา คือ คําว่า “Demos” ที่แปลว่า ฝูงชน ชนชั้นต่ํา คนชั้นล่าง คนจน และคําว่า “Kratia” ที่แปลว่า การปกครอง โดยเมื่อนํามาผสมกันจึงแปลว่า การปกครองของพวกคนจนคนชั้นต่ำ

74. “ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่าน ก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานตามคําสั่ง อย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะสั่งให้ท่านถูกเฆี่ยน ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อจะได้รับบาดเจ็บหรือ ถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง”
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

75. “เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดา สิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเหล่านั้นให้มั่นคง รัฐบาลจึงถูกสถาปนาขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยได้อํานาจที่ยุติธรรมอันเนื่องมาจากความยินยอมของ ผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง”
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 4 หน้า 77 – 78 ตามแนวคิดของจอห์น ล็อค (John Locke) ที่ว่า “พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมาย เฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น ถ้ารัฐบาลทํานอกเหนือจากสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ประชาชน ก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังกฎหมาย” ได้กลายมาเป็นฐานคิดสําคัญของแนวคิดเสรีนิยมที่มองว่า การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนั้นเป็นสิ่งที่ทําได้ และเป็นอํานาจอันชอบธรรมของประชาชนด้ว ซึ่งวิธีคิดนี้ได้ถูกนําไปใช้จริงในการปฏิวัติอเมริกา ค.ศ. 1776 โดยโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา และเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา ได้นําแนวคิดของล็อคมาใช้ในการประกาศเอกราชจากอังกฤษ ซึ่งมีข้อความดังนี้ “เรายึดถือว่า ความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดา สิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเหล่านั้น ให้มั่นคง รัฐบาลจึงถูกสถาปนาขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยได้อํานาจที่ยุติธรรมอันเนื่องมาจาก ความยินยอมของผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง… แต่เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิง อํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่า มีแผนการที่จะกดพวกเขาลงภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียวแล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่สําหรับ ความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา”

76. “คุณสมบัติที่ทําให้ประสบความสําเร็จในเรื่องหนึ่ง ๆ” หมายถึง
(1) เสรีภาพ
(2) เสมอภาค
(3) ภราดรภาพ
(4) คุณธรรม
(5) ศีลธรรม
ตอบ 4 หน้า 130 – 132, (คําบรรยาย) คุณธรรม (Virtue) คือ คุณสมบัติที่ทําให้ประสบความสําเร็จ ในเรื่องหนึ่ง ๆ ยกตัวอย่างเช่น คุณธรรมสําหรับการรักษารัฐของผู้ปกครองตามแนวคิดของ นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ซึ่งประกอบด้วย 2 ประการ คือ “ความสุขุม รอบคอบ” (Prudenzia/Prudence) และ “ความมีไหวพริบ” (Astuzia/Astuteness)

77. Philosophia Perennis คืออะไร
(1) แนวทางการดําเนินชีวิตของนักปรัชญา
(2) อาวุธทางปัญญาของนักปรัชญา
(3) แนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักปรัชญา
(4) คําถามอมตะทางปรัชญา
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายามหาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ

78. ความงามคืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ซึ่งอาจจะแปรผันกันไปได้แต่ละสังคม
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 3 หน้า 2 – 3 (คําบรรยาย) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นสาขาที่มุ่งพยายามหาคําตอบ ในแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม ดังนั้นคําถามของสาขานี้จึงมักจะถามกันว่า ความงาม คืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ศิลปะคืออะไร เป็นศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อศิลปะ เป็นต้น

79.Paul the Apostle
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 66 – 68 เปาโล หรือเซนต์พอล หรือนักบุญพอล (Saint Paul/Paul the Apostle) หมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน มีความคิดว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” ดังที่เปาโลได้เขียนไว้ในตอนหนึ่ง ของพระคัมภีร์โรมว่า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอํานาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอํานาจ ใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอํานาจนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืน อํานาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ…

80. นักคิดชาวเจนีวาเชื่อว่าอํานาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา มีความเชื่อว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยรุสโซได้อธิบายเรื่องนี้ผ่านแนวคิดเรื่องเจตจํานงทั่วไป (General Will) ที่สนับสนุนให้ประชาชนทุก ๆ คนมีอํานาจในการปกครองโดยตรงผ่านการออก เจตจํานงทั่วไป ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจของปัจเจกบุคคลที่คํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมหรือ ผลประโยชน์สาธารณะในฐานะที่ประชาชนแต่ละคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพทั้งหมดของสังคมที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้

81. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ข้าพเจ้ามองประโยชน์สุขว่าเป็นสิ่งดึงดูดใจอันสูงสุดในปัญหาทาง จริยธรรมทั้งหมด แต่กระนั้นมันต้องเป็นประโยชน์สุขในความหมายที่กว้างที่สุด ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนผลประโยชน์อันถาวรของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ก้าวหน้า….”
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 2 หน้า 149 – 150 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ต้องการให้สังคมนั้นมีเสรีภาพ กว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด เพราะเขามองว่าการที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวางมันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งมิลล์ได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้ามองประโยชน์สุขว่า เป็นสิ่งดึงดูดใจอันสูงสุดในปัญหาทางจริยธรรมทั้งหมด แต่กระนั้นมันต้องเป็นประโยชน์สุขในความหมายที่กว้างที่สุด ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนผลประโยชน์อันถาวรของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ก้าวหน้า…. ถ้ามนุษยชาติทั้งมวล ยกเว้นคนเพียงคนเดียวจะมีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน และคน ๆ เดียวนั้นเองกลับมีความเห็นไปในทางตรงกันข้าม ถึงกระนั้นมนุษยชาติก็ไม่มีเหตุผล อันสมควรที่จะปิดปากคน ๆ นั้น…. การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิด ก็คือ การสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปาก ไม่ให้โต้เถียงกันทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจ ยอมให้การประณามคัดค้านความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่ จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”

82. Bible
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 66 – 67 “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” เป็นความคิด ที่แพร่หลายในยุคกลาง (Middle Age) ของยุโรป โดยรากฐานของความคิดดังกล่าวมาจาก ความเชื่อความคิดในทางศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล (Bible) ที่ว่า พระเจ้า เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น

83. การปกครองที่มีการการันตีเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญ เคารพสิทธิมนุษยชน มีการแบ่งแยก อํานาจของผู้ปกครอง คือหัวใจสําคัญของการปกครองระบอบใด
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 1 หน้า 85, (คําบรรยาย) การปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยสมัยใหม่” (Modern Democracy) เป็นการปกครอง ที่ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยจะเป็นผู้เลือกผู้แทนไปทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองแทนตน และประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกอํานาจคืนจากผู้ปกครองได้หากผู้ปกครองไม่ทําตามพันธะสัญญา ที่ให้ไว้กับประชาชน ซึ่งการปกครองแบบนี้จะมีการรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ใน รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด รวมทั้งมีการเคารพในสิทธิมนุษยชน และมีการแบ่งแยก อ้านาจของผู้ปกครองด้วย

84. บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

85. ใครเป็นผู้เขียนงานเรื่อง “The Prince”
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

86. ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อในเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่โดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง
ในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในระบบทุนนิยมนี้จะยินยอมให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property) รวมทั้งมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกบริโภคสินค้า และบริการได้อย่างเต็มที่

87. “เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลงภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของ คน ๆ เดียวแล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่อง ป้องกันใหม่สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

88. เคยดํารงตําแหน่งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson.
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

89. “การปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติบางประการ เอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริง ประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องของการเลือกผู้แทนของตนเท่านั้น
ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 2 หน้า 120 – 121 มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการปกครองโดย ตัวแทนไว้ในหนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des lois) ว่า “มีความเลวร้าย อันยิ่งใหญ่อยู่ประการหนึ่งในบรรดาสาธารณรัฐโบราณนั่นก็คือ รัฐดังกล่าวปล่อยให้ประชาชน มีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติบางประการเอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริงประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องของการเลือกผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน”

90. เป็นขุนนางที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจออกจากกันเพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 2 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นขุนนางชาวฝรั่งเศสที่เสนอให้ แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจ ตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ในหนังสือ เรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des tois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

91. “เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

92. “ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 5 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบ ตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

93. ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 3 หน้า 8 (คําบรรยาย) การปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ (Athenian Democracy) เป็นการปกครองที่ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง ซึ่งการปกครองแบบนี้พลเมืองชายเท่านั้นที่มีสิทธิทางการเมือง ส่วนเด็ก ผู้หญิง และ คนต่างชาติไม่มี เป็นการปกครองที่เหมาะกับเมืองที่มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับรัฐสมัยใหม่ ที่มีขนาดใหญ่และมีพลเมืองจํานวนมาก บางคนเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)

94. การปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้นจะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเข้ามาแทรกแซง
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สังคมนิยม (Socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมการดําเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจเองทั้งหมด เพราะมองว่าการปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้น จะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมในการกระจายผลผลิตแก่ประชาชน

95. “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ภายใต้พันธนาการ”
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 1 หน้า 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรกของ หนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหน เขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน… การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจน เป็นการละทิ้งสิทธิและหน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมด ออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

96. ทุก ๆ คนเท่าเทียมกัน ผู้ชายเท่านั้นที่มีสิทธิทางการเมือง มักใช้ในเมืองที่มีขนาดเล็ก
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ

97. เสรีภาพคือสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ

98. นักคิดชาวอังกฤษที่เสนอเรื่องสิทธิในการปฏิวัติ
(1) Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 61. ประกอบ

99. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมี เงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น…. และตราบเท่าที่สิ่งที่เรา ทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

100. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิด ก็คือการสรุป เอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปากไม่ให้โต้เถียงกัน ทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจยอมให้การประณามคัดค้าน ความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Rousseau
(5) Machiavelli
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

POL2108 หลักปฏิบัติทางการปกครองและธรรมาภิบาลในภาครัฐ s/2566

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2108 หลักปฏิบัติทางการปกครองและธรรมาภิบาลในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

ตั้งแต่ข้อ 1. – 5. นักศึกษาพิจารณาและระบายลงในกระดาษคําตอบดังนี้
(1) หากข้อความที่ 1 ถูก และข้อความที่ 2 ผิด ให้ระบายในข้อ 1
(2) หากข้อความที่ 1 ผิด และข้อความที่ 2 ถูก ให้ระบายในข้อ 2
(3) หากข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ถูกทั้ง 2 ข้อ ให้ระบายในข้อ 3
(4) หากข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ผิดทั้ง 2 ข้อ ให้ระบายในข้อ 4

1.(1) คู่กรณีอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทําคําสั่งปกครองภายใน 15 วันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคําสั่งทางปกครองดังกล่าว
(2) ให้เจ้าหน้าที่พิจารณาคําอุทธรณ์และแจ้งผู้อุทธรณ์โดยไม่ชักช้าแต่ต้องไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับ อุทธรณ์ ในกรณีที่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้ดําเนินการเปลี่ยนแปลงคําสั่ง
ทางปกครองตามความเห็นของตนภายในกําหนดระยะเวลาดังกล่าวตามมาตรา 45 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ตอบ 3 หน้า 106 – 107 การอุทธรณ์คําสั่งทางปกครอง มีดังนี้

1. ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรีและไม่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนการอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณีอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองนั้น โดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทําคําสั่งปกครองภายใน 15 วันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคําสั่งทาง ปกครองดังกล่าวตามมาตรา 44 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

2. คําอุทธรณ์ต้องทําเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายที่อ้างอิง ประกอบด้วย และการอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครอง เว้นแต่ จะมีคําสั่งให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน และในการอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองผู้อุทธรณ์สามารถยื่นคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครองมาพร้อมกับคําอุทธรณ์ก็ได้ตามมาตรา 44 วรรคสองและวรรคสามแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

3. ให้เจ้าหน้าที่พิจารณาคําอุทธรณ์และแจ้งผู้อุทธรณ์โดยไม่ชักช้าแต่ต้องไม่เกิน 30 วันนับแต่ วันที่ได้รับอุทธรณ์ ในกรณีที่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้ดําเนินการ เปลี่ยนแปลงคําสั่งทางปกครองตามความเห็นของตนภายในกําหนดระยะเวลาดังกล่าวตาม มาตรา 45 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

4. ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้เร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังผู้มีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ให้ผู้มีอํานาจพิจารณา คําอุทธรณ์พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับรายงาน ถ้ามีเหตุจําเป็น ไม่อาจพิจารณาได้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์มีหนังสือ แจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบก่อนครบกําหนดเวลาดังกล่าว ในการนี้ให้ขยายระยะเวลาพิจารณา อุทธรณ์ออกไปได้ไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่ครบกําหนดเวลาดังกล่าวตามมาตรา 45 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ฯลฯ

2.(1) ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้เร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผล ไปยังผู้มีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณ์พิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับรายงาน
(2) ถ้ามีเหตุจําเป็นไม่อาจพิจารณาได้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์ มีหนังสือแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบก่อนครบกําหนดเวลาดังกล่าว ในการนี้ให้ขยายระยะเวลาพิจารณา อุทธรณ์ออกไปได้ไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่ครบกําหนดเวลาดังกล่าว
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.(1) เหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งทางปกครอง มีสาเหตุ เช่น ความไม่ชอบด้วยกฎหมายของ สภาพภายนอกคําสั่งทางปกครอง ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในสาระของคําสั่งทางปกครอง เป็นต้น
(2) ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในสาระของคําสั่งทางปกครอง ได้แก่ ความบกพร่องในเจตนาโดยสมัครใจ ความบกพร่องในมูลเหตุจูงใจ เป็นการใช้อํานาจผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย บกพร่องในข้อกฎหมาย อาจเกิดขึ้นได้ใน 3 กรณี คือ ไม่มีกฎหมายใช้บังคับเช่นนั้น หรือมีกฎหมายแต่กฎหมายนั้นใช้บังคับไม่ได้ หรือมีกฎหมายเป็นฐานแต่ตีความใช้กฎหมายผิด
ตอบ 3 หน้า 107 – 108 ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ อธิบายว่า ความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่ง ทางปกครอง มีสาเหตุดังนี้
1. ความไม่ชอบด้วยกฎหมายของสภาพภายนอกคําสั่งทางปกครอง ได้แก่ ความบกพร่อง ในความสามารถ ความบกพร่องในวิธีพิจารณา และความบกพร่องในแบบ
2. ความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในสาระของคําสั่งทางปกครอง ได้แก่
1) องค์ประกอบในส่วนอัตวิสัย ประกอบด้วย
– ความบกพร่องในเจตนาโดยสมัครใจ
– ความบกพร่องในมูลเหตุจูงใจ เป็นการใช้อํานาจผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย
2) องค์ประกอบในส่วนภาวะวิสัย ประกอบด้วย
– บกพร่องในข้อกฎหมาย อาจเกิดขึ้นได้ใน 3 กรณี คือ ไม่มีกฎหมายใช้บังคับเช่นนั้น หรือมีกฎหมายแต่กฎหมายนั้นใช้บังคับไม่ได้ หรือมีกฎหมายเป็นฐานแต่ตีความใช้กฎหมายผิด
– บกพร่องในข้อเท็จจริง
3) องค์ประกอบในวัตถุประสงค์

4.(1) ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางวิธีสารบัญญัติ คือ คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยปราศจากอํานาจ เกิดขึ้นในกรณีที่ฝ่ายปกครองออกคําสั่งทางปกครองเป็นผู้ไม่มีอํานาจที่จะออกคําสั่งทางปกครองนั้น
(2) ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางสารบัญญัติ คือ คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยเนื้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยเนื้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้บางครั้งเรียกว่าคําสั่งทางปกครองที่ออกโดยฝ่าฝืนกฎหมายโดยตรง
ตอบ 3 หน้า 108 – 110 มานิตย์ จุมปา อธิบายว่า ประเภทของเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ของคําสั่งทางปกครอง อาจแบ่งได้ 2 เหตุ คือ
1. ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางวิธีสารบัญญัติ ได้แก่
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยปราศจากอํานาจ เกิดขึ้นในกรณีที่ฝ่ายปกครองออกคําสั่ง ทางปกครองเป็นผู้ไม่มีอํานาจที่จะออกคําสั่งทางปกครองนั้น
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนวิธีการ
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ถูกต้องตามแบบ

2. ความไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางสารบัญญัติ ได้แก่
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยเนื้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย บางครั้งเรียกว่าคําสั่ง ทางปกครองที่ออกโดยฝ่าฝืนกฎหมายโดยตรง
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยมีมูลเหตุจูงใจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย บางครั้งเรียกว่าคําสั่งทางปกครองที่ออกโดยบิดเบือนอํานาจ

5.(1) เมื่อคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากําไรเกินควรได้ระบุชื่อหรือประเภทสิ่งของและสิ่งต้องห้าม มิให้ค้ากําไรเกินควรแล้ว คณะกรรมการจะต้องระบุเขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง หรือทั้งหมดเป็นท้องที่ต้องห้าม มิให้ค้ากําไรเกินควร เมื่อคณะกรรมการมิได้กําหนดให้ปรากฏชัดแล้ว ประกาศห้ามเคลื่อนย้ายโค กระบือ ที่มีชีวิตเข้าไปในเขตท้องที่ที่จะสั่งห้าม แสดงว่ามิได้ปฏิบัติการตามลําดับก่อนหลังดังกฎหมายกําหนดไว้ การประกาศของคณะกรรมการนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(2) ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 เจ้าพนักงานจราจรมีอํานาจออกข้อบังคับหรือคําสั่ง กําหนดสถานที่จอดพักรถได้ แต่สถานที่จอดพักรถนั้นอยู่ในความครอบครองของเอกชนและเอกชน เป็นผู้เรียกค่าบริการจอดรถ ก็ไม่เป็นสถานที่จอดพักรถตามความหมายของพระราชบัญญัติจราจร ทางบก แต่เป็นสถานที่ขนส่งตามพระราชบัญญัติขนส่ง พ.ศ. 2497 ซึ่งบัญญัติให้เป็นอํานาจของ รัฐมนตรีเป็นผู้กําหนดสถานที่ที่ใช้เป็นสถานีขนส่ง เจ้าหน้าที่พนักงานจราจรไม่มีอํานาจกําหนด

ตอบ 3 หน้า 108 – 109 ตัวอย่างของความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งทางปกครอง เช่น คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนวิธีการ กรณีนี้หากฝ่ายปกครองประสงค์ จะออกคําสั่งทางปกครอง ฝ่ายปกครองต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่กฎหมายกําหนดไว้ หากฝ่ายปกครองไม่ปฏิบัติตาม คําสั่งทางปกครองนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตัวอย่างเช่น เมื่อคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากําไรเกินควรได้ระบุชื่อหรือประเภทสิ่งของและสิ่งต้องห้ามมิให้ค้ากําไรเกินควรแล้ว คณะกรรมการจะต้องระบุเขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง หรือทั้งหมดเป็นห้องที่ต้องห้ามมิให้ค้ากําไรเกินควร เมื่อคณะกรรมการมิได้กําหนดให้ปรากฏ ชัดแล้ว ประกาศห้ามเคลื่อนย้ายโค กระบือที่มีชีวิตเข้าไปในเขตท้องที่ที่จะสั่งห้าม แสดงว่า มิได้ปฏิบัติการตามลําดับก่อนหลังดังกฎหมายกําหนดไว้ การประกาศของคณะกรรมการนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

– คําสั่งทางปกครองที่ออกโดยเนื้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ฝ่ายปกครองจะต้องออก คําสั่งทางปกครองที่มีเนื้อความตามที่กฎหมายกําหนดไว้เท่านั้น ฝ่ายปกครองไม่อาจเลือก หรือกําหนดเนื้อความของคําสั่งทางปกครองตามใจชอบได้ ตัวอย่างเช่น ตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2477 เจ้าพนักงานจราจรมีอํานาจออกข้อบังคับหรือคําสั่งกําหนด สถานที่จอดพักรถได้ แต่สถานที่จอดพักรถนั้นอยู่ในความครอบครองของเอกชนและเอกชน เป็นผู้เรียกค่าบริการจอดรถ ก็ไม่เป็นสถานที่จอดพักรถตามความหมายของพระราชบัญญัติ จราจรทางบก แต่เป็นสถานที่ขนส่งตามพระราชบัญญัติขนส่ง พ.ศ. 2497 ซึ่งบัญญัติให้เป็น อํานาจของรัฐมนตรีเป็นผู้กําหนดสถานที่ที่ใช้เป็นสถานีขนส่ง เจ้าหน้าที่พนักงานจราจร ไม่มีอํานาจกําหนด (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ)

ตั้งแต่ข้อ 6. – 10. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) หลักกฎหมายทั่วไป
(2) หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําทางปกครอง
(3) หลักนิติธรรม
(4) หลักนิติรัฐ
(5) หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง

6. บรรดาการกระทําทั้งหลายขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ สอดคล้องกับหลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 4 หน้า 43 – 44 สาระสําคัญของหลักนิติรัฐ มี 3 ประการ ดังนี้
1. บรรดาการกระทําทั้งหลายขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ
2. บรรดากฎหมายทั้งหลายที่องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติได้ตราขึ้นจะต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
3. การควบคุมไม่ให้การกระทําขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารขัดต่อกฎหมายก็ดี การควบคุมไม่ให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญก็ดี จะต้องเป็นอํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ

7. การใช้กฎหมายจะต้องผูกพันต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติอันเป็นองค์กรที่มีพื้นฐานมาจากตัวแทนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติของกฎหมายที่เป็นการกระทบต่อสิทธิหรือจํากัดสิทธิของประชาชนจะกระทําได้เฉพาะภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ โดยผ่านความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชน สอดคล้องกับหลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจหลักอะไร
ตอบ 5 หน้า 44 หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง หรือเรียกว่า หลักความผูกพันต่อกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครองนั้น ตามหลักนิติรัฐ หลักในเรื่องนี้เป็นการเชื่อมโยงหลักความผูกพันต่อกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครองเข้ากับ หลักประชาธิปไตยโดยทางผู้แทน กล่าวคือ การใช้กฎหมายของฝ่ายตุลาการก็ดี หรือฝ่ายปกครอง ก็ดีจะต้องผูกพันต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติอันเป็นองค์กรที่มีพื้นฐานมาจากตัวแทนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติของกฎหมายที่เป็นการกระทบต่อสิทธิหรือจํากัดสิทธิของประชาชนนั้นจะกระทําได้เฉพาะภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ โดยผ่านความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชนก่อน

8. หลักการที่สําคัญ คือ ก่อนที่จะจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนคนใดคนหนึ่งด้วยการบังคับให้เขา กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือห้ามมิให้เขากระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่กรณี ฝ่ายปกครอง จะต้องถามตนเองเสมอว่ามีกฎหมายฉบับใด มาตราใดให้อํานาจกระทําการเช่นนั้นหรือไม่ สอดคล้องกับ หลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 2 หน้า 47 – 48 หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําทางปกครอง หมายความว่า ฝ่ายปกครองจะกระทําการใด ๆ ที่อาจมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพของเอกชนคนใดคนหนึ่งได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อํานาจและเฉพาะแต่ภายในขอบเขตที่กฎหมายกําหนดไว้ เท่านั้น ดังนั้นตามหลักการดัง เล่าวจึงมีหลักการที่สําคัญอยู่ว่า ก่อนที่จะจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพ ของประชาชนคนใดคนหนึ่งด้วยการบังคับให้เขากระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือห้ามมิให้เขากระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่กรณี ฝ่ายปกครองจะต้องถามตนเองเสมอว่ามีกฎหมาย ฉบับใด มาตราใดให้อํานาจกระทําการเช่นว่านั้นหรือไม่ ถ้าไม่มีกฎหมายให้อํานาจ ฝ่ายปกครอง จะต้องละความตั้งใจที่จะกระทําเช่นว่านั้น

9.แนวคิดที่ว่า มีหลักกฎหมายบางอย่างที่อยู่นอกเหนือเจตนาของผู้บัญญัติกฎหมาย และนอกเหนือจาก กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีอยู่ มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่อยู่ภายนอกและอยู่เหนือเจตนาของศาล จึงอาจมี การนําหลัก เช่น หลักความเสมอภาค หลัก ความต่อเนื่องของบริการสาธารณะมาใช้ เป็นต้น สอดคล้องกับ หลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 1 หน้า 56 หลักกฎหมายทั่วไป เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่า มีหลักกฎหมายบางอย่างที่อยู่นอกเหนือ เจตนาของผู้บัญญัติกฎหมาย และนอกเหนือจากกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีอยู่ มีกฎเกณฑ์ บางอย่างที่อยู่ภายนอกและอยู่เหนือเจตนาของศาล จึงอาจมีการนําหลัก เช่น หลักความเสมอภาค หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะมาใช้ เป็นต้น

10. ศาลเป็นผู้นําหลักอันเป็นนามธรรม มาใช้เป็นหลักที่เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับหลักการควบคุมตรวจสอบ การใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 1 หน้า 56 – 57 หลักกฎหมายทั่วไปเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อเป็นหลักประกันหรือพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนจากการใช้อํานาจตามอําเภอใจของฝ่ายปกครอง โดยหลักกฎหมาย ทั่วไปนั้นมิได้เกิดขึ้นตามอําเภอใจของศาล ศาลมิได้สร้างกฎหมายขึ้นมาใช้เอง แต่การยอมรับ หลักกฎหมายทั่วไปของศาลเป็นการนําเอาความเชื่อ ความเห็นของส่วนรวมอันเป็นหลักการ พื้นฐานของระบบการเมืองการปกครองและรากฐานของระบบกฎหมายในสังคมนั้น ๆ มาพัฒนา เป็นหลักกฎหมายทั่วไปเพื่อใช้บังคับกับคดีที่เกิดขึ้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ศาลเป็นผู้นํา หลักอันเป็นนามธรรมมาใช้เป็นหลักที่เป็นรูปธรรมนั่นเอง

11. ข้อใดเป็นรูปแบบของการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(1) ไม่สุจริต
(2) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญที่กําหนดไว้สําหรับการนั้น
(3) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 110 – 112 รูปแบบของการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีดังนี้
1. การกระทําที่ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
2. การกระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญที่กําหนดไว้ สําหรับการนั้น
3. การกระทําที่ไม่สุจริต
4. การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
5. การกระทําที่เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชน เกินสมควร
6. การกระทําที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

12. กรณีการเลือกรับเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาของรัฐ โดยอาศัยจํานวนเงินบริจาคเป็นเกณฑ์ เป็นการกระทํา ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในรูปแบบใด
(1) การไม่สุจริต
(2) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(3) เป็นการไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(4) เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
(5) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น
ตอบ 2 หน้า 112 การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เป็นกรณีของการปฏิบัติที่ขัดต่อ หลักความเสมอภาค มีความลําเอียง มีอคติหรือใช้ความแตกต่างกันในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ภาษา เพศ สภาพร่างกาย หรือความคิดเห็นทางการเมืองมาเป็นเกณฑ์ ในการปฏิบัติที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน เช่น
– กรณีการเลือกรับเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาของรัฐ โดยอาศัยจํานวนเงินบริจาคเป็นเกณฑ์
– กรณีของการจัดซื้อจัดจ้าง การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งอนุมัติให้ทําสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับผู้เสนอราคารายหนึ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน

13. กรณีที่หน่วยงานของรัฐออกระเบียบให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการในสถานที่ราชการต้องแต่งกายสุภาพ ด้วยการใส่สูทและผูกเนคไท เป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในรูปแบบใด
(1) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(2) เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
(3) เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(4) เป็นการนอกเหนืออํานาจ
(5) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้
ตอบ 2 หน้า 112 กรณีที่หน่วยงานของรัฐออกระเบียบให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการในสถานที่ราชการ ต้องแต่งกายสุภาพนั้น ไม่ถือเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ถ้าหน่วยงานของรัฐ ออกระเบียบให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการดังกล่าวต้องใส่สูทและผูกเนคไทด้วย ระเบียบดังกล่าว ย่อมเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควรซึ่งถือเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

14. ข้อใดเป็นการกระทําที่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(1) การปฏิบัติที่ใช้ความแตกต่างกันในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนามาเป็นเกณฑ์ ในการปฏิบัติที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน
(2) การปฏิบัติที่ใช้ความแตกต่างกันในเรื่องภาษา เพศ สภาพร่างกายมาเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติ ที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน
(3) การปฏิบัติที่ใช้ความแตกต่างกันในเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองมาเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

15. การที่หน่วยงานของรัฐออกระเบียบกําหนดให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการต้องแต่งกายสุภาพ เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
(1) เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นให้เกิดกับประชาชนเกินควร
(2) เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินควร
(3) เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นการกระทําที่ไม่มีอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ไม่เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

16. กรณีการลงโทษทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงแก่ข้าราชการ ซึ่งผู้บังคับบัญชาสามารถเลือกได้ว่าจะลงโทษ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน แต่ผู้บังคับบัญชากลับเลือกโทษที่สูงที่สุด เพราะมีอคติต่อ ข้าราชการผู้นั้น เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในลักษณะใด
(1) เป็นการกระทําที่ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(2) เป็นการกระทําที่ไม่สุจริต
(3) เป็นการกระทําที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(4) เป็นการกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(5) เป็นการกระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น ตอบ 3 หน้า 112 – 113 การกระทําที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ อาจเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ ของรัฐมีอํานาจดุลพินิจ (Discretionary Power) ตามที่กฎหมายได้บัญญัติให้อํานาจไว้ แต่ใช้ อํานาจดุลพินิจนั้นไปในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่มีเหตุอันสมควร เช่น กรณีการลงโทษ ทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงแก่ข้าราชการ ซึ่งผู้บังคับบัญชาสามารถเลือกได้ว่าจะลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน แต่ผู้บังคับบัญชากลับเลือกโทษที่สูงที่สุด เพราะมีอคติต่อ ข้าราชการผู้นั้น เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 17. – 21. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) หลักความได้สัดส่วน
(2) หลักความเสมอภาค
(3) หลักความเป็นกลาง
(4) หลักการฟังความอีกฝ่ายหนึ่ง
(5) หลักเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครอง

17. “บังคับให้องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกําหนดมาตรการที่สามารถดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ให้อํานาจได้จริงในการปฏิบัติ แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อความเสียหายแก่ประชาชนน้อยที่สุด”
ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 1 หน้า 117 หลักความได้สัดส่วน เป็นหลักการที่บังคับให้องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกําหนดมาตรการที่สามารถดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ให้อํานาจได้จริงในการปฏิบัติแต่ในขณะเดียวกันก็ก่อความเสียหายแก่ประชาชนน้อยที่สุด และห้ามมิให้ฝ่ายปกครองออก มาตรการใด ๆ ซึ่งหากได้ลงมือ บังคับใช้แล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่มหาชนน้อยมาก ไม่คุ้ม กับความเสียหายที่จะตกแก่ประชาชนและสังคมโดยส่วนรวม

18. “เป็นอํานาจพิเศษของฝ่ายปกครองที่มีเหนือเอกชน ใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดทําบริการสาธารณะ”ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 5 หน้า 127 หลักเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครอง เป็นเครื่องมือทางกฎหมายมหาชนที่กําหนดให้นิติบุคคลซึ่งจัดทําหรือกํากับดูแลการจัดทําบริการสาธารณะมีอํานาจพิเศษที่แตกต่างไปจากวิธีการทางกฎหมายเอกชน ซึ่งเรียกกันว่า อํานาจพิเศษของฝ่ายปกครอง หรือเอกสิทธิ์ของ ฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นอํานาจฝ่ายเดียวของฝ่ายปกครองที่มีเหนือเอกชน ใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดทําบริการสาธารณะ

19. “ความเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของผู้มีอํานาจทําการพิจารณาเพื่อออกคําสั่งทางปกครองหรือลงมติใด ๆเป็นหลักประกันความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยมีเหตุผลรองรับความเชื่อมั่น ในกระบวนการพิจารณาและวินิจฉัยทางปกครอง” ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตาม
หลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 3 หน้า 122 – 123 หลักความเป็นกลาง หรือความเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของผู้มีอํานาจทําการ พิจารณาเพื่อออกคําสั่งทางปกครองหรือลงมติใด ๆ เป็นหลักประกันความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยมีเหตุผลรองรับความเชื่อมั่นในกระบวนการพิจารณาและ วินิจฉัยทางปกครอง

20. “บุคคลทุกคนที่อยู่ในสถานะเท่าเทียมกันที่จะได้รับหรือได้ใช้บริการสาธารณะอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จะต้องได้รับการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน หรือ การไม่เลือกปฏิบัตินั่นเอง” ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทาง ปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 2 หน้า 118 เกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์ อธิบายว่า ในระบบกฎหมายของฝรั่งเศส หลักความ เสมอภาคปรากฏเป็นที่ยอมรับ และผูกพันองค์กรของรัฐในอันที่จะต้องเคารพและปฏิบัติ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ กล่าวโดยเฉพาะในเรื่องความเสมอภาคในการได้รับบริการสาธารณะแล้ว ย่อมหมายความว่า บุคคลทุกคนที่อยู่ในสถานะเท่าเทียมกันที่จะได้รับหรือได้ใช้บริการสาธารณะ อย่างหนึ่งอย่างใดแล้วจะต้องได้รับการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน หรือ “การไม่เลือกปฏิบัติ” นั่นเอง

21. “เป็นหลักการที่ให้สิทธิแก่บุคคลที่จะปกป้องนิติฐานะของตนจากการใช้อํานาจออกคําวินิจฉัยสั่งการของ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง” ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด

ตอบ 4 หน้า 123 หลักการฟังความอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นหลักการที่ให้สิทธิแก่บุคคลที่จะปกป้องนิติฐานะของตนจากการใช้อํานาจออกคําวินิจฉัยสั่งการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยผลบังคับของหลักการนี้มีอยู่ว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะตัดสินใจใช้อํานาจออกคําวินิจฉัยสั่งการที่อาจจะมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือประโยชน์อันชอบธรรมของบุคคลใด เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะต้องแจ้งข้อเท็จจริงที่ตนจะใช้เป็นเหตุผลในการออกคําวินิจฉัยสั่งการให้บุคคลนั้นทราบและ ให้เขามีโอกาสโต้แย้งข้อเท็จจริงนั้นและแสดงพยานหลักฐานสนับสนุนข้อโค้งแย้งของตน

22. “เป็นหลักเกณฑ์ที่ช่วยให้การจัดทําบริการสาธารณะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของฝ่ายปกครองหรือมีประสิทธิภาพสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายให้ประชาชนอยู่อย่างเป็นสุขและอยู่ดีกินดี” ข้อความนี้ตรงกับหลักเกณฑ์สําคัญในการจัดทําบริการสาธารณะหลักใด
(1) หลักความเป็นกลางของบริการสาธารณะ
(2) หลักการให้เปล่าของบริการสาธารณะ
(3) หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ
(4) หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 152 – 153 หลักเกณฑ์สําคัญในการจัดทําบริการสาธารณะ เป็นหลักเกณฑ์ที่ช่วยให้ การจัดทําบริการสาธารณะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของฝ่ายปกครองหรือมีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายให้ประชาชนอยู่อย่างเป็นสุขและอยู่ดีกินดี ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วย
1. หลักความเป็นกลางของบริการสาธารณะ
2. หลักการให้เปล่าของบริการสาธารณะ
3. หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ
4. หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
5. หลักเฉพาะที่แท้จริงของกฎหมายเกี่ยวกับบริการสาธารณะ

23.“ฝ่ายปกครองหรือหน่วยงานที่จัดทําบริการสาธารณะไม่ว่าจะเป็นการจัดบริการสาธารณะประเภทใด จําเป็น ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก มีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบได้” ข้อความนี้ตรงกับหลักเกณฑ์สําคัญในการจัดทําบริการสาธารณะหลักใด
(1) หลักความเป็นกลางของบริการสาธารณะ
(2) หลักการให้เปล่าของบริการสาธารณะ
(3) หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ
(4) หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
(5) หลักเฉพาะที่แท้จริงของกฎหมายเกี่ยวกับบริการสาธารณะ
ตอบ 3 หน้า 153 หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ หมายถึง ฝ่ายปกครองหรือหน่วยงาน ที่จัดทําบริการสาธารณะไม่ว่าจะเป็นการจัดบริการสาธารณะประเภทใด จําเป็นต้องมีการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก และมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบได้

24. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะของฝ่ายปกครอง
(1) การได้มาซึ่งทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่ง
(2) การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยการเวนคืนเพื่อประโยชน์สาธารณะ
(3) การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยวิธีการยึด
(4) การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยการโอนกิจการเป็นของรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดผิด
ตอบ 5 หน้า 40 การได้มาซึ่งทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะของฝ่ายปกครอง มี 2 วิธี คือ
1. การได้มาซึ่งทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่ง
2. การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งมี 3 กรณี คือ การเวนคืนเพื่อประโยชน์สาธารณะ การโอนกิจการเป็นของรัฐ และด้วยวิธีการยึด

25. ข้อใดเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดทําบริการสาธารณะ
(1) มาตรการทางกฎหมาย
(2) อํานาจพิเศษของฝ่ายปกครอง
(3) บุคลากรของรัฐ
(4) ทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 40 ฝ่ายปกครองมีเครื่องมือที่ใช้ในการจัดทําบริการสาธารณะ 4 ประการ คือ
1. มาตรการทางกฎหมาย
2. บุคลากรของรัฐ
3. ทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะ
4. อํานาจพิเศษของฝ่ายปกครอง

26. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับหลักนิติรัฐ
(1) นิติรัฐเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย
(2) การกระทําทั้งหลายขององค์กรรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร
(3) กฎหมายที่องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติตราขึ้นต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
(4) ข้อ 1 และ 2 ผิด
(5) ไม่มีข้อใดผิด
ตอบ 4 หน้า 42, (คําบรรยาย) การกล่าวว่านิติรัฐเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฎหมายอาจจะนําไปสู่ ความเข้าใจผิดได้เพราะเป็นการมองแบบแคบ ๆ โดยในทางเนื้อหานั้น คือ เป็นนิติรัฐที่เป็น เสรีนิยม คํานึงถึงความยุติธรรม ส่วนรัฐที่สนใจแต่เพียงกฎหมายในทางรูปแบบ ฝ่ายปกครอง จะผูกพันตนต่อกฎหมาย ไม่สนใจว่ากฎหมายนั้นจะถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ (ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ)

27. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้อํานาจโดยองค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ
(2) กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดให้องค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐมีอํานาจมหาชนที่จะกําหนดกฎเกณฑ์หรือออกคําสั่งให้เอกชนต้องปฏิบัติตามได้ โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยความสมัครใจ
หรือความยินยอมจากเอกชน
(3) กฎหมายปกครองที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐในทางบริหาร ใช้หลักการกระจายอํานาจ โดยกําหนด ให้มีองค์กรในรูปแบบส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 64 – 65 ชาญชัย แสวงศักดิ์ อธิบายว่า กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหาแยกได้เป็น 3 ส่วน คือ
1. กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐและบุคลากรของรัฐในทาง บริหาร ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการบริหารรัฐกิจหรือรัฐประศาสนศาสตร์และการบริหารงาน บุคคลภาครัฐ เช่น กฎหมายปกครองที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐในทางบริหารโดยใช้ หลักการรวมอํานาจ โดยกําหนดให้มีองค์กรในรูปแบบส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม
2. กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดให้องค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐมีอํานาจมหาชนที่จะกําหนดกฎเกณฑ์หรือออกคําสั่งให้เอกชนต้องปฏิบัติตามได้ โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยความสมัครใจหรือความยินยอมจากเอกชน
3. กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้อํานาจ โดยองค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ

28.ข้อใดเป็นการกระทําทางปกครอง
(1) การที่รัฐมีมาตรการต่าง ๆ มีคําสั่งหรือวางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ทําให้ประชาชนผู้รับคําสั่ง ต้องปฏิบัติตาม
(2) การที่รัฐให้ทุนการศึกษา ซึ่งถือเป็นคุณประโยชน์แก่ประชาชน
(3) การที่รัฐตัดถนน สร้างสนามบิน คลองส่งน้ํา
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ทุกข้อเป็นการกระทําทางปกครอง
ตอบ 5 หน้า 74 กมลชัย รัตนสกาววงศ์ อธิบายว่า การกระทําทางปกครอง คือ
1. การกระทําที่รัฐเข้าไปกระทบสิทธิเสรีภาพและทรัพย์สินของประชาชน เช่น มีมาตรการต่าง ๆ มีคําสั่งหรือวางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ทําให้ประชาชนผู้รับคําสั่งนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตาม
2. มีการกระทําบางอย่างที่ให้คุณประโยชน์แก่ประชาชน เช่น การให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบ อุบัติเหตุ ให้ทุนการศึกษา หรือให้เงินเพื่อการศึกษา เป็นต้น
3. การกระทําทางปกครองในลักษณะการวางแผน เช่น การตัดถนน สร้างสนามบิน คลองส่งน้ำ สร้างทางด่วน ซึ่งมีลักษณะเป็นทั้งการกระทบสิทธิและให้คุณประโยชน์แก่ประชาชน

29. ข้อใดไม่เป็นการกระทําทางปกครอง
(1) การที่สภาทนายความออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพว่าความ
(2) การที่เจ้าหน้าที่มีคําสั่งไม่อนุญาตตามคําขอ
(3) การที่แพทยสภาออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพแพทย์
(4) เฉพาะข้อ 1 และ 3 ที่ไม่เป็นการกระทําทางปกครอง
(5) ไม่มี เพราะทุกข้อเป็นการกระทําทางปกครอง
ตอบ 5 หน้า 74 – 75 มานิตย์ จุมปา) อธิบายว่า การกระทําทางปกครอง หมายถึง
1. การกระทําของรัฐที่ไม่ใช่การกระทําทางนิติบัญญัติ การกระทําทางตุลาการหรือการกระทํา ทางรัฐบาล และ

2. การกระทําของรัฐนั้นมีลักษณะของการกระทําที่กําหนด ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน หรือระงับ ซึ่งสิทธิและหน้าที่ของประชาชน ตัวอย่างการกระทําทางปกครอง เช่น
– การที่เจ้าหน้าที่มีคําสั่งไม่อนุญาตตามคําขอ
– การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
– การที่แพทยสภาออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพแพทย์
– การที่สภาทนายความออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพว่าความ

30. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะการกระทําทางปกครอง
(1) การกระทําทางปกครองเป็นการกระทําของรัฐ ไม่ใช่การกระทําของเอกชน
(2) การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารประเภทองค์กรฝ่ายปกครอง
(3) การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติหรือองค์กรฝ่ายตุลาการ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 75 นัยนา เกิดวิชัย อธิบายว่า การกระทําทางปกครองมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. การกระทําทางปกครองเป็นการกระทําของรัฐ ไม่ใช่การกระทําของเอกชน
2. การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารไม่ใช่องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติหรือองค์กรฝ่ายตุลาการ
3. การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารประเภทองค์กรฝ่ายปกครอง
4. มีลักษณะเป็นการกําหนดสิทธิหน้าที่ของประชาชน ให้เปลี่ยนแปลงหรือระงับซึ่งสิทธิ

31. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับและทราบเหตุผลของฝ่ายปกครอง
(2) สิทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ว
(3) สิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
(4) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 102 – 104 สิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง มีดังนี้
1. สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิ
2. สิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
3. สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร
4. สิทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ว และรับแจ้งสิทธิหน้าที่
5. สิทธิได้รับและรับทราบเหตุผลของฝ่ายปกครอง
6. สิทธิได้รับทราบถึงแนวทางหรือวิธีการโต้แย้งคําสั่งทางปกครอง

32. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิทุกกรณี
(2) สิทธิได้รับและทราบเหตุผลของฝ่ายปกครอง
(3) สิทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ว
(4) สิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
(5) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร
ตอบ 1 หน้า 102 – 103 ในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครองได้กําหนดให้คู่กรณีมีสิทธิได้รับแจ้ง ผลกระทบต่อสิทธิ แต่ไม่ทุกกรณี กล่าวคือ ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองอาจจะกระทบถึง สิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน แต่มิให้นํามาใช้บังคับในกรณีดังต่อไปนี้
1. เมื่อมีความจําเป็นรีบด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
2. เมื่อจะมีผลทําให้ระยะเวลาที่กฎหมายหรือกฎกําหนดไว้ในการทําคําสั่งทางปกครองต้อง ล่าช้าออกไป
3. เมื่อเป็นมาตรการบังคับทางปกครอง ฯลฯ (ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ)

33. ข้อใดผิดเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิทุกกรณี
(2) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสารแม้ยังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(3) เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็นกรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ
(4) ผิดเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ผิดเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 103 ในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครองได้กําหนดให้คู่กรณีมีสิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริง หรือตรวจดูเอกสารได้ โดยคู่กรณีมีสิทธิตรวจดูเอกสารที่จําเป็นต้องรู้เพื่อการโต้แย้งหรือชี้แจง หรือป้องกันสิทธิของตนได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น คู่กรณีก็ไม่มีสิทธิ ตรวจดูเอกสาร และเจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็น กรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ (ดูคําอธิบายข้อ 31. และ 32. ประกอบ)

34. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิทุกกรณี
(2) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสารแม้ยังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(3) เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็นกรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 31. — 33. ประกอบ

35. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) คู่กรณีไม่มีสิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร ถ้ายังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(2) เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็นกรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ
(3) คู่กรณีมีสิทธินําทนายหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครองได้
(4) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 103 ในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครองได้กําหนดให้คู่กรณีมีสิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายได้ กล่าวคือ ในการพิจารณาทางปกครองที่คู่กรณีต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหน้าที่คู่กรณีมีสิทธินําทนายความหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครองได้ ซึ่งการใด ที่ทนายความหรือที่ปรึกษาได้ทําลงต่อหน้าคู่กรณีให้ถือว่าเป็นการกระทําของคู่กรณี เว้นแต่ คู่กรณีจะได้คัดค้านเสียแต่ในขณะนั้น (ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ)

36. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับข้อยกเว้นของผู้รับคําสั่งทางปกครองที่จะอ้างความเชื่อโดยสุจริตไม่ได้
(1) บุคคลผู้มีพฤติกรรมได้ให้ข้อความซึ่งไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนในสาระสําคัญต้องรับผิดคืนประโยชน์ที่ได้รับเต็มจํานวน
(2) บุคคลผู้มีพฤติกรรมแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
(3) บุคคลผู้มีพฤติกรรมข่มขู่ หรือชักจูงใจ โดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มิชอบด้วยกฎหมาย
(4) บุคคลผู้มีพฤติกรรมรู้ถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของกฎหรือคําสั่งทางปกครองในขณะที่ได้รับคําสั่ง ทางปกครอง หรือการไม่รู้นั้นเป็นไปโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 115 ในกรณีดังต่อไปนี้ผู้รับคําสั่งทางปกครองจะอ้างความเชื่อโดยสุจริตไม่ได้ และจะต้องรับผิดคืนประโยชน์ที่ได้รับเต็มจํานวน
1. แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง หรือข่มขู่ หรือชักจูงใจโดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มิชอบด้วยกฎหมาย
2.ได้ให้ข้อความซึ่งไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนในสาระสําคัญ
3. รู้ถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของกฎหรือคําสั่งทางปกครองในขณะที่ได้รับคําสั่งทางปกครองหรือการไม่รู้นั้นเป็นไปโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

37. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับหลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(1) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังไม่ได้
(2) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะมีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังก็ได้แต่ให้มีผลในอนาคตไม่ได้
(3) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะมีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังก็ได้ แต่ให้มีผลในอนาคตไม่ได้
(4) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดได้
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 หน้า 114 หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีดังนี้
1. การเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่เป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนโดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดได้
2. การเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่เป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครอง เจ้าหน้าที่ หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดได้แต่กฎหมายก็อาจจะต้องไม่เพิกถอนคําสั่งทางปกครองย้อนหลังลบล้างคําสั่งนั้น แต่หาก จําเป็นต้องเพิกถอนให้มีผลย้อนหลังก็จะต้องกําหนดวิธีการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น

38. ข้อใดเป็นคําสั่งทางปกครอง
(1) คําสั่งรับหรือไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
(2) คําสั่งของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
(3) คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านในสวัสดิการของข้าราชการ
(4) คําสั่งเลื่อนขั้นในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 100 – 101 ฤทัย หงส์ศิริ อธิบายว่า ที่เรียกเป็นภาษากฎหมายว่า “คําสั่งทางปกครอง”มีตัวอย่างพอสรุปได้ดังนี้
1. คําสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการต่าง ๆ เช่น คําสั่งไม่ออกใบอนุญาตให้ ประกอบกิจการโรงงาน สถานบริการ เป็นต้น
2. คําสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ก่อสร้าง ดัดแปลงอาคาร หรือให้รื้อถอนอาคารที่มีลักษณะ เป็นอันตรายต่อสาธารณชนตามกฎหมายควบคุมอาคาร
3. คําสั่งของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
4. คําสั่งรับหรือไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
5. คําสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเป็นการส่วนตัว เช่น
– คําสั่งที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ เช่น คําสั่งแต่งตั้ง เลื่อนขั้นตําแหน่ง คําสั่งลงโทษทางวินัย คําสั่งพักราชการในระหว่างสอบสวนทางวินัย เป็นต้น
– คําสั่งเกี่ยวกับสวัสดิการของข้าราชการ เช่น คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้าน ค่ารักษา พยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น

39. ข้อใดเป็นคําสั่งทางปกครอง
(1) คําสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ก่อสร้าง ดัดแปลงอาคาร หรือให้รื้อถอนอาคารที่มีลักษณะเป็นอันตรายต่อสาธารณชนตามกฎหมายควบคุมอาคาร
(2) คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่ารักษาพยาบาล
(3) คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้าน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

40. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยหลักกฎหมายและกําหนดให้เป็นผู้มีอํานาจในการออกคําสั่งทางปกครองสามารถริเริ่มใช้อํานาจในการออกคําสั่งได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีผู้มาร้องขอ
(2) เจ้าหน้าที่จะริเริ่มออกคําสั่งทางปกครองได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชนหรือเอกชนมาร้องขอเสียก่อนจึงดําเนินการได้
(3) ผู้บังคับบัญชาพบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทําผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการลงโทษทางวินัยได้ทันที โดยไม่ต้องมีผู้ใดมาร้องเรียนกล่าวโทษ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 101 โดยหลักแล้วเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยหลักกฎหมายและกําหนดให้เป็นผู้มีอํานาจในการออกคําสั่งทางปกครอง สามารถริเริ่มใช้อํานาจในการออกคําสั่งได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีผู้มาร้องขอ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีกฎหมายกําหนดอํานาจหน้าที่ให้อยู่แล้ว เช่น กรณี ผู้บังคับบัญชาพบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทําผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการลงโทษทางวินัย ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีผู้ใดมาร้องเรียนกล่าวโทษ แต่ในบางกรณีเจ้าหน้าที่จะริเริ่มออกคําสั่งทาง ปกครองได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชน หรือเอกชนมาร้องขอเสียก่อนจึงดําเนินการได้ เช่น ในเรื่องของ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับจดทะเบียน การรับรอง การอนุมัติ การออกใบอนุญาตต่าง ๆ เช่น ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ใบอนุญาตจัดตั้งสถานบริการ เป็นต้น

41. คําสั่งทางปกครองที่ทําเป็นหนังสือและยืนยันคําสั่งทางปกครองเป็นหนังสือต้องให้มีเหตุผลไว้ด้วยโดยอย่างน้อยต้องมีองค์ประกอบใดเป็นเหตุผลบ้าง
(1) ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญ
(2) ข้อกฎหมายที่อ้างอิง
(3) ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 103 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 3 กําหนดว่า คําสั่งทางปกครองที่ทําเป็นหนังสือและยืนยันคําสั่งทางปกครองเป็นหนังสือต้องจัดให้มีเหตุผลไว้ด้วย และเหตุผลนั้นอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
1. ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญ
2. ข้อกฎหมายที่อ้างอิง
3. ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ

42. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) คําสั่งทางปกครองจะต้องทําเป็นหนังสือเท่านั้น
(2) คําสั่งทางปกครองจะทําด้วยวาจาได้
(3) คําสั่งทางปกครองจะทําเป็นรูปแบบอื่นก็ได้ นอกเหนือจากเป็นหนังสือ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 104 คําสั่งทางปกครองจะทําเป็นหนังสือ หรือทําด้วยวาจา หรือโดยรูปแบบอื่นก็ได้ กฎหมายบางฉบับระบุไว้ชัดเจนว่าต้องทําคําสั่งในเรื่องนั้นเป็นหนังสือ แต่ถ้ากฎหมายไม่ระบุไว้ เจ้าหน้าที่ย่อมมีสิทธิจะเลือกทําคําสั่งในรูปแบบใดก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจอันเป็นความ รับผิดชอบของเจ้าหน้าที่นั้นเอง โดยต้องพิจารณาจากความเร่งด่วนและความจําเป็นของสถานการณ์เป็นสําคัญ

43. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรูปแบบคําสั่งทางปกครอง
(1) คําสั่งทางปกครองที่กฎหมายกําหนดให้ทําเป็นหนังสือ หากไม่ทํา คําสั่งนั้นย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลทางกฎหมาย
(2) คําสั่งทางปกครองที่สั่งด้วยวาจา ถ้าผู้รับคําสั่งร้องขอ และการร้องขอได้กระทําโดยมีเหตุอันควร ต้องกระทําภายใน 14 วันนับแต่วันที่ทําคําสั่ง
(3) คําสั่งทางปกครองที่สื่อความหมายในรูปแบบอื่น ต้องมีข้อความหรือความหมายที่ชัดเจนเพียงพอ ที่จะเข้าใจได้
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 หน้า 104 – 105 คําสั่งทางปกครองที่กฎหมายกําหนดให้ทําเป็นหนังสือ หากไม่ทําเป็นหนังสือ ย่อมขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน และคําสั่งนั้นย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลทางกฎหมาย ส่วนคําสั่ง ทางปกครองที่สั่งด้วยวาจา ถ้าผู้รับคําสั่งนั้นร้องขอ และการร้องขอได้กระทําโดยมีเหตุอันสมควร ต้องกระทําภายใน 7 วันนับแต่วันที่ทําคําสั่ง และคําสั่งทางปกครองที่สื่อความหมายในรูปแบบอื่น ต้องมีข้อความหรือความหมายที่ชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจได้

44. ข้อใดผิด
(1) คําสั่งทางปกครองที่สั่งด้วยวาจา ถ้าผู้รับคําสั่งร้องขอ และการร้องขอได้กระทําโดยมีเหตุอันควร ต้องกระทําภายใน 7 วันนับแต่วันที่ทําคําสั่ง
(2) คําสั่งทางปกครองเริ่มมีผลบังคับทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่ออกคําสั่ง
(3) คําสั่งทางปกครองที่กฎหมายกําหนดให้ทําเป็นหนังสือ หากไม่ทํา คําสั่งนั้นย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลทางกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ผิด
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 106 คําสั่งทางปกครองเริ่มมีผลบังคับเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ออกคําสั่งนั้นได้แจ้งคําสั่งทางปกครองนั้นแก่ผู้รับคําสั่งทางปาครองให้ทราบ และมีผลบังคับตราบเท่าที่ยังไม่มีการยกเลิกหรือ เพิกถอน หรือสิ้นผลโดยเงื่อนไขของระยะเวลาหรือโดยเหตุอื่น (ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ)

45. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะของประโยชน์สาธารณะ
(1)ประโยชน์สาธารณะ คือ การดําเนินการของรัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม มิใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ดําเนินการนั้นเอง
(2) เรื่องใดที่ผ่านการพิจารณาและเห็นชอบของรัฐบาลแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ของประชาชนด้วย ดังนั้นหากรัฐบาลได้ตรากฎหมายให้รัฐหรือหน่วยงานของรัฐมีอํานาจดําเนินการในเรื่องใด เรื่องนั้นก็คือความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือเป็นประโยชน์สาธารณะ
(3) ประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดําเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของ สังคม จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจเลือกว่าจะกระทําหรือไม่กระทําได้
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 144 – 145 ลักษณะของประโยชน์สาธารณะ สามารถแยกได้เป็น 3 ประการ ดังนี้
1. ประโยชน์สาธารณะ คือ การดําเนินการของรัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ ในสังคม มิใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ดําเนินการนั้นเอง
2. ในระบอบประชาธิปไตยเรื่องใดที่ผ่านการพิจารณาและเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนด้วย ดังนั้นหากรัฐสภาได้ตรากฎหมายให้รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐมีอํานาจดําเนินการในเรื่องใด เรื่องนั้นก็คือความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือเป็นประโยชน์สาธารณะ
3. ประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดําเนินการเพื่อตอบสนองความ ต้องการของสังคม จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจเลือกว่าจะกระทําหรือไม่กระทําได้

ตั้งแต่ข้อ 46. – 50. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาเหตุความไม่ชอบด้วยกฎหมายของกฎหรือคําสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและ วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา (1)
(1) ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(2) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น
(3) ไม่สุจริต
(4) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(5) การใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

46. เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอํานาจแบบ Discretionary Power ตามที่กฎหมายได้บัญญัติให้อํานาจไว้ แต่ใช้อํานาจ Discretionary Power ไปในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่มีเหตุอันสมควร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

47. กรณีของการจัดซื้อจัดจ้าง การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งอนุมัติให้ทําสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับผู้เสนอราคารายหนึ่ง มีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

48. เป็นการกระทําที่เป็นการบิดเบือนการใช้อํานาจ (Abuse of Power) โดยมีเจตนาหรือวัตถุประสงค์ นอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ที่กฎหมายให้อํานาจในเรื่องดังกล่าวไว้ ไม่ว่าจะมีเจตนากลั่นแกล้งผู้อื่น หรือเจตนาทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือของบุคคลอื่น
ตอบ 3 หน้า 111 การกระทําที่ไม่สุจริต เป็นการกระทําที่เป็นการบิดเบือนการใช้อํานาจ (Abuse of Power) โดยมีเจตนาหรือวัตถุประสงค์นอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ที่กฎหมายให้อํานาจ ในเรื่องดังกล่าวไว้ ไม่ว่าจะมีเจตนากลั่นแกล้งผู้อื่น หรือเจตนาทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือของบุคคลอื่น

49. การออกกฎหรือคําสั่งทางปกครองโดยมิได้ผ่านความเห็นชอบขององค์กรที่กฎหมายกําหนดให้ต้องให้ หรือการออกคําสั่งลงโทษหรือคําสั่งที่มีผลกระทบต่อสิทธิของคู่กรณี โดยไม่ให้โอกาสความเห็นชอบก่อนบุคคลนั้นได้ทราบถึงข้อเท็จจริงและใช้สิทธิโต้แย้งแสดงหลักฐานอย่างเพียงพอ
ตอบ 2 หน้า 111 การกระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น คือ การออกกฎ หรือคําสั่งทางปกครองโดยมิได้ผ่านความเห็นชอบขององค์กรที่ กฎหมายกําหนดให้ต้องให้ความเห็นชอบก่อน หรือการออกคําสั่งลงโทษหรือคําสั่งที่มีผลกระทบต่อ
สิทธิของคู่กรณี โดยไม่ให้โอกาสบุคคลนั้นได้ทราบถึงข้อเท็จจริงและใช้สิทธิโต้แย้งแสดงหลักฐานอย่างเพียงพอ

50. ผู้กระทํามิใช่เจ้าหน้าที่ที่กฎหมายให้อํานาจไว้ หรือกฎหมายมิได้ให้อํานาจเจ้าหน้าที่ในการกระทําเช่นนั้นไว้
ตอบ 1 หน้า 110 การกระทําที่ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้กระทํามิใช่เจ้าหน้าที่ที่กฎหมายให้อํานาจไว้ หรือกฎหมายมิได้ให้อํานาจเจ้าหน้าที่ในการกระทํา เช่นนั้นไว้ตามหลักทั่วไปของกฎหมายปกครองที่ว่า “ไม่มีอํานาจหากไม่มีกฎหมาย”

51. บริษัทประชารัฐรักสามัคคี ได้รับการอธิบายว่ามีลักษณะเป็นองค์กรประเภทใด
(1) บรรษัทภิบาล
(2) บรรษัทนิยม
(3) การบริหารงานภาครัฐ
(4) วิสาหกิจเพื่อสังคม
(5) รัฐวิสาหกิจ
ตอบ 4 หน้า 207 บริษัทประชารัฐรักสามัคคี ได้รับการอธิบายว่าเป็นการดําเนินการในรูปวิสาหกิจ เพื่อสังคม (Social Enterprise : SE)

52. อะไรคือแรงผลักดันสําคัญในทฤษฎีการยึดมั่นในหลักเหตุผล
(1) ผลประโยชน์สูงสุด
(2) ข้อมูลข่าวสาร
(3) กฎเกณฑ์ของสังคม
(4) ความเชื่อ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 หน้า 190 ทฤษฎีการยึดมั่นในหลักเหตุผล เป็นทฤษฎีที่วางอยู่บนหลักทางเลือกที่มีเหตุผล (Rational Choice) กล่าวคือ บุคคลมีเป้าหมายส่วนตัวที่จะเป็นเงื่อนไขผลักดันให้บุคคลตัดสินใจ ซึ่งจะต้องเลือกผลประโยชน์สูงสุด แต่ทฤษฎีนี้ได้ขยายความการเลือกอย่างมีเหตุผลดังกล่าวว่าบุคคลจะตัดสินใจอย่างมีเหตุผลโดยคํานึงผลประโยชน์สูงสุดแต่อยู่บนฐานข้อจํากัดในการประมวล ข้อมูลข่าวสาร การทําความเข้าใจสถานการณ์และการคิดถึงผลที่ตามมา ซึ่งเป็นผลจากศักยภาพ ของมนุษย์ ดังนั้นกระบวนการตัดสินใจของบุคคลจึงมีความซับซ้อนเพราะการคิดถึงเรื่องประโยชน์สูงสุดวางอยู่ภายใต้การประมวลข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมบูรณ์

53. ข้อใดคือความหมายของ CSR
(1) ความรับผิดชอบของบริษัทเอกชนที่จะมีต่อสังคม
(2) ความรับผิดชอบของบริษัทเอกชนที่จะมีต่อผู้ถือหุ้น
(3) ความรับผิดชอบของภาครัฐที่จะมีต่อสังคม
(4) ความรับผิดชอบของภาครัฐที่จะมีต่อภาคเอกชน
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 หน้า 209 CSR ย่อมาจาก Corporate Social Responsibility หมายถึง ความรับผิดชอบ ของบริษัทหรือองค์การภาคเอกชนที่จะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อสังคม

54. โครงสร้างการบริหารปกครองแบบใดที่ใช้กฎหมายเป็นหลักสําคัญในการบริหารปกครอง
(1) แบบตลาด
(2) แบบสายบังคับบัญชา
(3) แบบเครือข่าย
(4) แบบถือหางเสือ
(5) แบบชุมชน
ตอบ 2 หน้า 172 โครงสร้างแบบสายบังคับบัญชา เป็นโครงสร้างที่ใช้กฎหมายเป็นหลักสําคัญ ในการบริหารปกครอง โดยภาครัฐและเอกชนจะแยกบทบาทหน้าที่กันอย่างชัดเจน รัฐจะ เป็นศูนย์กลางของการดูแลผลประโยชน์สาธารณะและกําหนดให้เอกชนดําเนินการตามบทบาทที่กําหนดโดยรัฐ ในโครงสร้างแบบนี้รัฐอาจลดบทบาทในการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อให้เอกชนเข้ามาดําเนินการเพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่าภายใต้การควบคุมของรัฐแต่รัฐก็อ่อนแอกว่าภาคเอกชนทําให้ขาดประสิทธิภาพในการควบคุม ดังนั้นปัญหาสําคัญของโครงสร้างแบบนี้ก็คือ ความเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคมและความต้องการที่หลากหลายของ คนในรัฐ รวมทั้งศักยภาพของรัฐทําให้รัฐไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ รัฐจึงไม่สามารถบรรลุความสําเร็จในการพัฒนารัฐได้

55. ตัวแสดงทางเศรษฐกิจจะมีบทบาทมากในการชี้นําการแก้ปัญหาในโครงสร้างการบริหารปกครองแบบใด
(1) แบบตลาด
(2) แบบสายบังคับบัญชา
(3) แบบเครือข่าย
(4) แบบถือหางเสือ
(5) แบบชุมชน
ตอบ 1 หน้า 172, (คําบรรยาย) โครงสร้างแบบตลาด เป็นโครงสร้างที่มีตัวแสดงหลักเป็นตัวแสดง ทางเศรษฐกิจ โดยปัญหาในการพัฒนานั้นเกิดขึ้นจากธรรมชาติของตัวแสดงและตลาดซึ่งมีพลังขับเคลื่อนคือผลประโยชน์ส่วนตัว การมีกลไกให้ตัวแสดงทางเศรษฐกิจสามารถประสานความร่วมมือเพื่อจัดการปัญหาจึงเป็นลักษณะเด่นของโครงสร้างนี้ แต่ปัญหาสําคัญของโครงสร้างนี้คือ กลไกตลาดกับกลไกรัฐมีพลังขับเคลื่อนต่างกันอาจทําให้เกิดปัญหาความร่วมมือ

56. ข้อใดคือความสัมพันธ์ของอํานาจรัฐกับการบริหารปกครอง (Governance) ที่มุ่งจัดสรรบทบาทหน้าที่รัฐใหม่
(1) รัฐจะมีอํานาจมากขึ้นเมื่อตัวแสดงอื่น ๆ มีอํานาจน้อยลง
(2) ตัวแสดงภาคส่วนอื่นในสังคมมีอํานาจเหนือรัฐ
(3) ตัวแสดงภาคเศรษฐกิจมีบทบาทในนโยบายสาธารณะมากขึ้นโดยรัฐเป็นผู้ให้แนวทาง
(4) รัฐไม่ต้องรับผิดชอบดูแลเรื่องสาธารณะอีกต่อไป
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 177, (คําบรรยาย) แนวคิดการบริหารปกครอง (Governance) เป็นแนวคิดที่มุ่งจัดสรร บทบาทหน้าที่รัฐใหม่เพื่อให้ตัวแสดงภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม เช่น ภาคเอกชน ประชาสังคม ตัวแสดงภาคเศรษฐกิจ ฯลฯ เข้ามามีบทบาทในนโยบายสาธารณะมากขึ้น โดยรัฐจะทําหน้าที่ กํากับหางเสือหรือเป็นผู้ให้แนวทางในการดําเนินนโยบายสาธารณะ

57. โครงสร้างการบริหารปกครองแบบใดไม่ต้องการให้รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง
(1) แบบตลาด
(2) แบบสายบังคับบัญชา
(3) แบบเครือข่าย
(4) แบบถือหางเสือ
(5) แบบชุมชน
ตอบ 5 หน้า 172 โครงสร้างแบบชุมชน มีแนวคิดมาจากฐานความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ชุมชนสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองและรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมของชุมชนได้โดยให้รัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด ดังนั้น การบริหารปกครองในโครงสร้างแบบนี้จึงอยู่ในแนวคิดของการไม่ต้องการให้รัฐมาเกี่ยวข้องแต่ต้องให้รัฐเปิดพื้นที่ให้เกิด

58. Panchayats คืออะไร
(1) กลุ่มชาวนาไร้ที่ทํากินของบราซิล
(2) รูปแบบการปกครองท้องถิ่นของอินเดีย
(3) กลุ่มชาวนาไร้ที่ทํากินของอินเดีย
(4) รูปแบบการปกครองท้องถิ่นของบราซิล
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 หน้า 203 ปัญจาญัติ (Panchayats) หรือสภาผู้เฒ่า คือ รูปแบบการปกครองท้องถิ่น ของอินเดียที่ประชาชนจะเลือกผู้อาวุโสของชุมชนตัวเองจํานวน 5 คนมาเป็นผู้พิจารณา ประเด็นสําคัญโดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของชุมชน

59. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวิสาหกิจเพื่อชุมชน
(1) นํากําไรร้อยละ 70 ไปลงทุนในกิจการของตัวเอง
(2) มีเป้าหมายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
(3) มุ่งสร้างกําไรให้กับผู้ถือหุ้นเป็นสําคัญ
(4) มุ่งสร้างงานในท้องถิ่นเป็นสําคัญ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 213 วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือวิสาหกิจเพื่อชุมชน คือ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการขายสินค้าหรือการให้บริการโดยมุ่งส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่นที่วิสาหกิจเพื่อสังคมตั้งอยู่ หรือมีเป้าหมายในการจัดตั้ง ตั้งแต่แรกเริ่มในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม โดยมิได้มุ่งสร้าง กําไรสูงสุดต่อผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนและนําผลกําไรไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ไปลงทุนใน กิจการของตนเอง หรือใช้เพื่อประโยชน์ของเกษตรกร ผู้ยากจน คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส หรือใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกําหนด

60. สิทธิใดต่อไปนี้ที่ไม่ถูกกําหนดในหลักธรรมาภิบาล
(1) สิทธิทางเศรษฐกิจ
(2) สิทธิทางสังคม
(3) สิทธิทางวัฒนธรรม
(4) สิทธิมนุษยชน
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ธนาคารโลกมีการกําหนดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเด็น ทางการเมืองของประเทศผู้รับทุน ข้อห้ามนี้ทําให้ธนาคารโลกไม่พิจารณาเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่จะพิจารณาสิทธิทางด้านเศรษฐกิจ สิทธิทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหัวใจในการให้ ความช่วยเหลือของธนาคารโลก

61. ธนาคารโลกกําหนดหลักธรรมาภิบาลให้ประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสําเร็จในเป้าหมายข้อใด
(1) การพัฒนาเศรษฐกิจ
(2) การพัฒนารัฐบาล
(3) การพัฒนาการเมือง
(4) การพัฒนาเสรีภาพ
(5) การพัฒนากฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 171 ธนาคารโลกกําหนดหลักธรรมาภิบาลเป็นเงื่อนไขให้ประเทศต่าง ๆ ที่ขอรับการช่วยเหลือต้องปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือให้ประเทศเหล่านั้นผ่านพ้นกับดักการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเศรษฐกิจได้

62.IMF คือข้อใด
(1) ธนาคารโลก
(2) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(3) กองทุนสํารองระหว่างประเทศ
(4) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(5) สํานักงานข้าราชการพลเรือน
ตอบ 4 (คําบรรยาย) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF (International Monetary Fund) คือ องค์การระหว่างประเทศที่อยู่ภายใต้องค์การสหประชาชาติ เป็นองค์การที่มีบทบาทสําคัญในการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ประเทศต่าง ๆ ที่ประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจการเงิน

63. หลักธรรมาภิบาลสามารถเกื้อหนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้หรือไม่เพราะอะไร
(1) ได้ เพราะมีหลักการของการมีส่วนร่วม และหลักการนิติธรรม
(2) ได้ เพราะมีหลักการของการเคารพสิทธิมนุษยชน
(3) ไม่ได้ เพราะไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการปกครอง
(4) ไม่ได้ เพราะทําให้รัฐอ่อนแอลง
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) หลักธรรมาภิบาลสามารถเกื้อหนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ ทั้งนี้เพราะหลักธรรมาภิบาลมีหลักการที่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นหลักการมีส่วนร่วม “หลักการนิติธรรม หลักความโปร่งใส เป็นต้น

64. อะไรคือเหตุผลที่ทําให้หลักธรรมาภิบาลได้รับการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเมื่อธนาคารโลกประกาศใช้
(1) ทุกประเทศเห็นความสําคัญ
(2) เพราะเป็นเงื่อนไขการได้รับเงินช่วยเหลือ
(3) เป็นระเบียบปฏิบัติระหว่างประเทศ
(4) ไม่มีข้อถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 17, (คําบรรยาย) เหตุผลที่ทําให้หลักธรรมาภิบาลได้รับการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเมื่อธนาคารโลกประกาศใช้ เพราะหลักธรรมาภิบาลเป็นเงื่อนไขการได้รับเงิน ช่วยเหลือจากธนาคารโลก โดยเหตุผลที่ทําให้ธนาคารโลกต้องกําหนดหลักธรรมาภิบาลเป็น เงื่อนไขให้ประเทศต่าง ๆ ที่ขอรับการช่วยเหลือต้องปฏิบัติตามนั้น ก็เพื่อช่วยเหลือให้ประเทศ เหล่านั้นผ่านพ้นกับดักการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเศรษฐกิจได้

65. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดบทบาทของรัฐที่มีการปกครองที่ดี
(1) ความโปร่งใส
(2) ความรับผิดชอบ
(3) การมีส่วนร่วม
(4) ความมีประสิทธิภาพ
(5) ความมีอํานาจ
ตอบ 5 หน้า 176, (คําบรรยาย) คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก แห่งสหประชาชาติ (UNESCAP) ได้เสนอตัวชี้วัดในการพัฒนาบทบาทของรัฐที่มีลักษณะ การปกครองที่ดีหรือธรรมาภิบาล 8 ประการ ได้แก่
1. การมีส่วนร่วม
2. การปกครองตามหลักกฎหมาย
3. ความโปร่งใส
4. ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
5. การตอบสนอง
6. ความรับผิดชอบ
7. การดึงเป็นแนวร่วมอย่างเท่าเทียม
8. ฉันทามติ

66. บริบทการบริหารปกครองข้อใดที่เป็นข้อห้ามสําหรับธนาคารโลกในการปฏิบัติงานกับประเทศต่าง ๆ
(1) พัฒนาศักยภาพรัฐบาล
(2) การก่อรูปและปฏิบัตินโยบาย
(3) รูปแบบการปกครอง
(4) กระบวนการในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการพัฒนา
(5) การประเมินผลการปฏิบัติงาน
ตอบ 3 หน้า 180, (คําบรรยาย) บริบทการบริหารปกครองที่เป็นข้อห้ามสําหรับธนาคารโลก ในการปฏิบัติงานกับประเทศต่าง ๆ ก็คือ เรื่องของรูปแบบการปกครอง เพราะธนาคารโลก ได้มีข้อกําหนดที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของประเทศผู้ขอรับทุนหรือขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากธนาคารโลก

67. Hollowing out of the state คือข้อใด
(1) รัฐกลวงโบ๋
(2) รัฐที่มีอํานาจนำ
(3) รัฐที่ควบคุมทุกด้านเบ็ดเสร็จ
(4) รัฐที่มีประสิทธิภาพ
(5) รัฐที่ปกครองด้วยกฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 183 รัฐที่กลวงโบ๋ (Hollowing out of the state) แสดงนัยยะถึงการเปลี่ยนแปลงจาก รัฐที่มีองค์ประกอบของตัวเอง คือ องค์กร บทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบและความพร้อมรับผิด และบุคลากรของรัฐจํานวนมากที่ถักทอประสานการทํางานอย่างหนาแน่นผ่านการแบ่งหน้าที่และ ความรับผิดชอบโดยมีกฎหมายรองรับการทํางานไปสู่รัฐในแนวคิดการบริหารปกครองที่แบ่งแยกฉีกเส้นใยที่ถักทอโดยการปรับแก้กฎหมาย การแยกความรับผิดชอบออกจากความพร้อมรับผิดการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่รวมทั้งละทิ้งอํานาจขององค์กรที่จะชี้นํา สาธารณะเพื่อส่งผ่านให้หน่วยงานอื่นที่รัฐไม่มีอํานาจควบคุมกํากับโดยตรงจัดสรรทรัพยากร
ในลักษณะเช่นนี้ องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐจะถูกแบ่งแยก จัดสรรบทบาทหน้าที่ให้หน่วยงานอิสระอื่น ๆมาดําเนินการแทน

68. พลวัตการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองเดิมสู่การบริหารปกครองคือข้อใด
(1) การแยกแยะตัวแสดงที่เกี่ยวข้อง
(2) สร้างระบบให้เกิดการเจรจาระหว่างตัวแสดง
(3) วิเคราะห์เงื่อนไขของการสร้างนโยบาย
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 184, (คําบรรยาย) พลวัตการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองเดิมสู่การบริหารปกครอง สามารถดําเนินการได้ดังนี้
1. ต้องมีการแยกแยะมิติต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์รูปแบบ เครื่องมือ และเงื่อนไขของการสร้าง นโยบายและการนํานโยบายไปปฏิบัติ
2. แยกแยะความหลากหลายของตัวแสดงที่เกี่ยวข้อง
3. สร้างระบบการส่งผ่านและสะท้อนกลับของระบบการแปลงเปลี่ยนซึ่งกันและกันขององค์กรและตัวแสดงเพื่อให้เกิดการเจรจาต่อกันในการสร้างนโยบาย

69. โครงการประชารัฐของรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ต้องอาศัยความร่วมมือของภาคส่วนใด
(1) ราชการ
(2) เอกชน
(3) ประชาสังคม
(4) นักวิชาการ
(5) ประชานิยม
ตอบ 5 หน้า 217 โครงการประชารัฐของรัฐบาลชุดปัจจุบันอาศัยความร่วมมือจาก 5 ภาคส่วน คือ ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม

70. การสร้างนโยบายบนฐานทฤษฎีการจัดการเครือข่าย ตัวแสดงใดเป็นตัวแสดงนําสําคัญ
(1) รัฐ
(2) นักวิชาการ
(3) ภาคอุตสาหกรรม
(4) บรรษัท
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 5 หน้า 186 – 187, (คําบรรยาย) ในทฤษฎีการจัดการเครือข่ายนั้น เครือข่ายจะเป็นตัวแสดงนํา สําคัญในการดําเนินการตั้งแต่ระดับการสร้างนโยบาย การตัดสินใจและการนํานโยบายไปปฏิบัติส่วนภาครัฐจะเป็นตัวแสดงที่มีบทบาทสําคัญในกําหนดกรอบเครือข่ายและปฏิสัมพันธ์ของตัวแสดงต่าง ๆ

71. ลักษณะของการบริหารปกครองแบบถือหางเสือ ไม่ใช่ข้อใด
(1) รัฐมีอํานาจควบคุมมาก
(2) รัฐกําหนดทิศทางในกิจการสาธารณะได้
(3) ต้องออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงอํานาจหน้าที่
(4) ไม่มีข้อถูก
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 1 หน้า 174, (คําบรรยาย) การบริหารปกครองแบบการถือหางเสือ เชื่อว่า รัฐมีความสามารถ ที่จะกําหนดทิศทางและถือหางเสือในกิจการสาธารณะในสังคมได้ ในแง่นี้รัฐยังคงมีบทบาทสําคัญ ในการบริหารปกครองแต่มีอํานาจควบคุมน้อยลง การบริหารปกครองนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง อํานาจหน้าที่และอํานาจควบคุมจากกฎหมายของรัฐ ปัญหาสําคัญของการบริหารปกครอง แบบนี้ก็คือ เมื่อรัฐเปลี่ยนบทบาทไปทําหน้าที่เพียงการถือหางเสือ ไม่ได้เป็นผู้กําหนดเป้าหมายอาจทําให้เป้าหมายไม่ชัดเจน

72. อะไรคือความหมายของ “กลไกมือที่มองไม่เห็น”
(1) ตัวแสดงที่ไม่ปรากฏตัวชัดเจน
(2) กลไกตลาดที่ดําเนินด้วยอุปสงค์และอุปทาน
(3) ตัวแสดงทางเศรษฐกิจ
(4) กลไกปฏิสัมพันธ์ของเครือข่าย
(5) กลไกทางวัฒนธรรมของราชการ
ตอบ 2 หน้า 184 กลไกจัดการโดยตลาดและการสนับสนุนแรงจูงใจ อาศัย “กลไกมือที่มองไม่เห็น” ซึ่งก็คือ “กลไกของตลาด” ที่จะผลักดันผ่านการแข่งขันกันทั้งในแง่การบริหารและการสร้าง นวัตกรรมมาเสนอ รัฐจะเก็บบทบาทหรืออํานาจการจัดสรรทรัพยากรไว้แต่ไม่รับผิดชอบในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการสาธารณะหรือผลักภาระการผลิตให้ตัวแสดงอื่น รัฐใช้การ เลือกข้อเสนอที่ดีที่สุดแล้วใช้การกํากับดูแลติดตามผลการทํางาน ในเงื่อนไขนี้มีประเด็นสําคัญ คือ รัฐต้องสร้างเงื่อนไขสิ่งแวดล้อมงานสาธารณะให้เข้าสู่เงื่อนไขการตลาดอย่างแท้จริง

73. การมีส่วนร่วมตามแนวคิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนราก มีความหมายอย่างไร
(1) การศึกษาคือเครื่องมือสําคัญ
(2) เป้าหมายคือสร้างความ “ตระหนักรู้” ในสังคม
(3) การเรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหวทางสังคม
(4) มีแนวคิดการปลดปล่อยประชาชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 197 การมีส่วนร่วมในมุมมองการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากวางอยู่บนฐานคิดของ “การปลดปล่อยประชาชน” โดยการเพิ่มอํานาจให้ประชาชนผ่านเครื่องมือสําคัญคือการศึกษาแนวคิดนี้เชื่อว่าเมื่อประชาชนมีการศึกษาจะมีอํานาจท้าทายโครงสร้างทางอํานาจเดิมที่ครอบงํา สังคมอยู่ ทําให้เรียนรู้ที่จะสร้างสังคมใหม่ กล่าวคือ การทําให้สังคมเกิด “การตระหนักรู้” แนวคิดนี้มีความยากอยู่ที่การจัดการให้เกิดการเรียนรู้แก่ประชาชน ไม่ว่าจะจากองค์กรภายนอกที่ต้องการช่วยเหลือหรือจากรัฐเอง แนวคิดนี้จึงวางอยู่บนฐานการเคลื่อนไหวทางสังคมโดยเชื่อว่าจะเกิดการเรียนรู้และผูกพันของคนผ่านการเคลื่อนไหวทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ

74. รัฐที่ยังคงอํานาจการจัดสรรทรัพยากรแต่ผลักภาระการผลิตไปให้ตัวแสดงอื่นอยู่ในกลไกการจัดการสร้างความร่วมมือรูปแบบโค
(1) กลไกระบบราชการ
(2) กลไกตลาด
(3) กลไกเครือข่าย
(4.) กลไกแบ่งงานกันทํา
(5) กลไกการมีส่วนร่วม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 72. ประกอบ

75. กลไกความร่วมมือที่อาศัยการต่อรองผลประโยชน์มีหัวใจสําคัญคือข้อใด
(1) เครือข่ายนโยบาย
(2) การแบ่งแยกหน้าที่
(3) มือที่มองไม่เห็น
(4) ความสัมพันธ์ของตัวเอง
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 หน้า 185 กลไกความร่วมมือ ที่อาศัยการต่อรองผลประโยชน์ มีหัวใจสําคัญคือ เครือข่าย นโยบาย และเมื่อเป็นเครือข่ายย่อมหมายถึงการมีตัวแสดงจํานวนมากอันมีผลประโยชน์จํานวนมากถูกรวมเข้ามาอยู่ในกระบวนการสร้างนโยบาย การต่อรองผลประโยชน์โดยใช้ การตัดสินใจร่วมจึงต้องเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดการเข้าร่วมและสนับสนุนนโยบาย

76. รูปแบบกลไกการสร้างความร่วมมือผ่านการบริหารปกครองบนฐานระบบราชการคือข้อใด
(1) แบ่งแยกหน้าที่และระบุความรับผิดชอบ
(2) ขยายหน้าที่ไปสู่ตลาดโดยการทําข้อตกลง
(3) ใช้การตัดสินใจร่วมกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 4 หน้า 184 กลไกการสร้างความร่วมมือผ่านการบริหารปกครองบนฐานระบบราชการ เชื่อว่า ระบบราชการสามารถจัดการปัญหาได้โดยการแบ่งแยกหน้าที่และระบุความรับผิดชอบให้ละเอียด และระบุตัวผู้รับผิดชอบแต่ละงานให้มีความรับผิดชอบและความพร้อมรับผิดโดยใช้โครงสร้างเครือข่ายบังคับบัญชา นอกจากนั้นยังสามารถขยายสายการจัดแบ่งหน้าที่ ไปสู่ตลาดได้ผ่านการทําข้อตกลงกับองค์กรในตลาด ใช้การเจรจาผลประโยชน์กับตลาดและสร้างความจงรักภักดีให้เกิดขึ้น

77. การบริหารงานภาครัฐบนฐานระบบราชการมาจากแนวคิดของใคร
(1) Francis Fukuyama
(2) Max Weber
(3) Wolfensohn
(4) IMF
(5) UNESCAP
ตอบ 2 หน้า 185 การบริหารงานภาครัฐบนฐานระบบราชการซึ่งเน้นการแบ่งงานกันทําและมีสายการบังคับบัญชาที่มีกฎหมายรองรับการทําหน้าที่และความรับผิดชอบต่องานนั้น ได้รับอิทธิพลแนวคิดมาจากแม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber)

78. ความเปลี่ยนแปลงสําคัญในการบริหารงานภาครัฐเมื่อได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการบริหารปกครองไม่ใช่ข้อใด
(1) ตัวแสดงที่เข้ามามีบทบาทในงานสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
(2) การปฏิบัติงานไม่อยู่บนสายบังคับบัญชา
(3) ผลการปฏิบัติงานขึ้นกับเงื่อนไขสัญญามากกว่าความรับผิดชอบตามหน้าที่
(4) ตัวแสดงแบ่งแยกงานกันทํา
(5) มีกฎหมายรองรับการทําหน้าที่
ตอบ 5 หน้า 185, (คําบรรยาย) ความเปลี่ยนแปลงสําคัญในการบริหารงานภาครัฐ เมื่อได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการบริหารปกครอง มีดังนี้
1. มีตัวแสดงที่หลากหลายเข้ามามีบทบาทในงานสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
2. ตัวแสดงแบ่งแยกงานกันทํา
3. การปฏิบัติงานไม่อยู่บนสายบังคับบัญชา
4. ผลการปฏิบัติงานขึ้นกับเงื่อนไขสัญญามากกว่าความรับผิดชอบตามหน้าที่ ฯลฯ

79. ข้อใดคือลักษณะของการบริหารปกครองตามทฤษฎีเครือข่าย
(1) รัฐมีอิสระในการควบคุมหางเสือ
(2) ตัวแสดงถูกกําหนดเป้าหมายตามสถานะในเครือข่าย
(3) ทรัพยากรที่ตัวแสดงในเครือข่ายครอบครองอาจมีผลต่อบทบาทของตัวเอง
(4) ปฏิสัมพันธ์ของตัวแสดงไม่ใช่เงื่อนไขความสําเร็จของเครือข่าย
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 5 หน้า 186 การบริหารปกครองตามทฤษฎีเครือข่าย เชื่อว่า รัฐไม่สามารถที่จะควบคุมหางเสือได้อย่างมีอิสระและมีประสิทธิภาพจึงต้องให้ประชาคมดําเนินการเอง แนวคิดเรื่องเครือข่ายเป็นแนวคิดที่สําคัญในแนวคิดการบริหารปกครอง เพราะอยู่บนเงื่อนไขการร่วมมือของสังคมเครือข่ายไม่ได้วางอยู่บนฐานแบบตลาดหรือแบบระบบราชการที่มีสายการบังคับบัญชา หัวใจสําคัญของเครือข่าย คือ ตัวแสดงที่มีอิสระที่ไม่มีตัวแสดงอื่นสามารถมากําหนดเป้าหมายให้ พวกเขาได้ ยกเว้นพวกเขาพร้อมใจจะร่วมมือด้วยตัวเอง

80. การบริหารเครือข่ายโดยไม่เปลี่ยนแปลงตัวแสดงในเครือข่าย โดยที่รัฐยังเป็นตัวกลางประสานงานคือกลยุทธ์การจัดการเครือข่ายแบบใด
(1) แบบทฤษฎีเกม
(2) แบบโครงสร้างเครือข่าย
(3) แบบปกครองตัวเอง
(4) แบบการมีส่วนร่วม
(5) แบบใช้เรื่องเล่า
ตอบ 1 หน้า 187 กลยุทธ์การจัดการเครือข่ายแบบทฤษฎีเกม ใช้ในการบริหารเครือข่ายที่มีอยู่เดิม โดยไม่มุ่งหวังปรับเปลี่ยนเครือข่ายหรือตัวแสดงใด ๆ ในเครือข่าย วิธีการสําคัญคือ การเสนอ นโยบายที่ต้องการให้เกิดขึ้นและรวบรวมตัวแสดงที่เกี่ยวข้องเข้ามาตัดสินใจร่วม กรณีนี้รัฐยัง เป็นตัวกลางในการประสานสร้างการประนีประนอมให้ทุกตัวแสดงบรรลุผลประโยชน์ของตัวเองโดยที่เป้าหมายนโยบายยังคงอยู่ รัฐต้องเรียกร้องให้ทุกตัวแสดงยอมรับเงื่อนไขใหม่ของการบริหารปกครองและพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนทรัพยากร

81. องค์ประกอบสําคัญของการบริหารปกครองแบบตัดสินใจร่วมกัน ไม่ใช่ข้อใด
(1) การต่อรอง
(2) ส่วนรวม
(3) ผลประโยชน์หลากหลาย
(4) มีระบบที่เป็นทางการ
(5) ตัวแสดงหลากหลาย
ตอบ 4 หน้า 174 – 175, (คําบรรยาย) องค์ประกอบสําคัญของการบริหารปกครองแบบตัดสินใจร่วมกัน มีดังนี้
1. ตัวแสดงหลากหลาย
2. ผลประโยชน์หลากหลาย
3. เน้นความเป็นส่วนรวม
4. ไม่ต้องการระบบที่เป็นทางการ
5. เน้นการเจรจาต่อรอง ฯลฯ

82. ข้อใดไม่ใช่ทักษะสําคัญของผู้บริหารเครือข่าย
(1) ทักษะการสร้างแรงจูงใจ
(2) ทักษะการควบคุมวง
(3) ทักษะการเจรจา
(4) ทักษะการบังคับบัญชา
(5) ทักษะการบูรณาการ
ตอบ 4 หน้า 188 ทักษะสําคัญของผู้บริหารเครือข่าย มีดังนี้
1. ทักษะการสร้างแรงจูงใจ
2. ทักษะการควบคุมวง ซึ่งต้องอาศัยทักษะการทูต การเจรจา การต่อรองเพื่อให้เกิดความร่วมมือ
3. ทักษะการบูรณาการ

83. ข้อใดคือความหมายของตัวการ (Principle) ในทฤษฎีการมอบหมายตัวแทน
(1) หัวหน้าผู้มอบหมายงาน
(2) เจ้าของกิจการ
(3) คณะกรรมการบริหาร
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 189, 210, (คําบรรยาย) ตัวแสดงในทฤษฎีการมอบหมายตัวแทน (Theories of Delegation) ประกอบด้วย
1. ตัวการ (Principle) คือ คนที่เป็นเจ้าของกิจการ เป็นหัวหน้า เป็นผู้มีอํานาจจริงในเรื่องใด เรื่องหนึ่ง เช่น ผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริหาร เป็นต้น
2. ตัวแทน (Agent) คือ คนที่ได้รับมอบอํานาจให้เป็นผู้ดําเนินการแทนผู้มีอํานาจจริง เช่น ผู้จัดการ เป็นต้น

84. การที่ตัวแสดงที่หลากหลายได้เข้าไปมีส่วนในการดําเนินกิจกรรมตามขอบเขตกระบวนการที่มีการจัดการ ไว้แล้ว จะอยู่ในพื้นที่การบริหารปกครองแบบใด
(1) พื้นที่แบบปิด
(2) พื้นที่รับเชิญ
(3) พื้นที่สร้างสรรค์
(4) พื้นที่ประชุม
(5) พื้นที่ของทางราชการ
ตอบ 2 หน้า 201, (คําบรรยาย) พื้นที่รับเชิญ (Invited Spaces) คือ พื้นที่ที่มีตัวแสดงที่หลากหลาย ได้เข้าไปมีส่วนในการดําเนินกิจกรรมตามขอบเขตกระบวนการที่มีการจัดการไว้แล้ว พื้นที่ ลักษณะนี้ให้ความสําคัญกับกระบวนการที่ต้องมีผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อยืนยันว่าการริเริ่ม หรือดําเนินการนั้น ๆ อยู่ในกระบวนการมีส่วนร่วมหรือริเริ่มโดยประชาชน

85. หลักการทางเลือกที่มีเหตุผล คือข้อใด
(1) ทุกคนมีเหตุผลภายใต้การเข้าใจและการให้ความหมายสิ่งรอบตัว
(2) ทุกคนไม่มีอิสระแท้จริงในการเลือก
(3) การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีเหตุผลคือคํานึงถึงผลประโยชน์สูงสุด
(4) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงมีผลต่อการตัดสินใจร่วมกัน
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

86. การทํางานของเครือข่ายนโยบาย ไม่ใช่ข้อใด
(1) มีจุดมุ่งหมายเฉพาะเรื่อง
(2) ต้องการตัวแสดงที่มีความชํานาญเฉพาะด้าน
(3) ภาคชุมชนสามารถเข้าร่วมในเครือข่ายได้
(4) ไม่มีข้อถูก
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
ตอบ 4 หน้า 186 เครือข่ายนโยบาย (Policy Network) มีจุดมุ่งหมายค่อนข้างเฉพาะเจาะจง เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ มีกลุ่มตัวแสดงที่เฉพาะซึ่งมีความชํานาญเฉพาะด้านในเรื่องที่จะ กําหนดนโยบาย ปกติเครือข่ายแบบนี้จะมีความมั่นคงต่อเนื่อง ตัวแสดงอาจมาจากภาครัฐ นักวิชาการ กลุ่มผู้วิเคราะห์นโยบาย (คลังสมอง) ภาคอุตสาหกรรมและชุมชนก็ได้

87. รูปแบบทางสังคมแบบชุมชนนิยมคือข้อใด
(1) สายสัมพันธ์เกิดจากการปฏิบัติสืบต่อกันมา
(2) มองความสําคัญในเรื่องเหนือธรรมชาติ
(3) มีการแบ่งแยกหน้าที่ชัดเจน
(4) การตัดสินใจยังเป็นเรื่องส่วนบุคคล
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 หน้า 191 – 192 รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบชุมชนนิยม มีลักษณะดังนี้
1. ยึดมั่นในกลุ่มสูง
2. โครงสร้างทางสังคม : มีความรวมกลุ่มอย่างมาก สายสัมพันธ์ในสังคมใกล้ชิดและผูกมัด เป็นสายสัมพันธ์ที่เกิดจากการปฏิบัติสืบต่อกันมา การมองเฉพาะกลุ่ม และการเคารพสมาชิกของกลุ่ม
3. ค่านิยม : อยู่บนฐานการเชื่อสมาชิกที่มีประสบการณ์ สร้างกฎและกระบวนการดําเนินการ เพื่อการเรียนรู้และการตัดสินใจร่วมกัน

88. แนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยมองการมีส่วนร่วมอย่างไร
(1) ปัจเจกผูกโยงกับความสัมพันธ์ในสังคม
(2) สังคมเป็นพหุวัฒนธรรม
(3) ในพื้นที่สาธารณะมีความหลากหลายของผลประโยชน์ของปัจเจก
(4) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 หน้า 197, (คําบรรยาย) การมีส่วนร่วมในมุมมองเสรีนิยมประชาธิปไตย เชื่อในปัจเจกในฐานะหน่วยที่เป็นอิสระที่สามารถกําหนดวิถีชีวิตและความหมายในการมีชีวิตของตัวเองได้ มุมมองเสรีนิยมประชาธิปไตยอันมีแนวคิดที่มาจากประเทศทางตะวันตกมองการมีส่วนร่วมนั้นมีนัยยะของพหุวัฒนธรรมแฝงอยู่ในตัวของการมีส่วนร่วม ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงการมีส่วนร่วมในมุมมองนี้ย่อมหมายถึงปัจเจกและกลุ่มจํานวนมากที่มีความหลากหลายและมีความแตกต่างในผลประโยชน์ ที่ต้องการต่างกัน การเข้ามีส่วนในกิจกรรมสาธารณะซึ่งปัจเจกทุกคนหรือกลุ่มผลประโยชน์ได้รับผลกระทบจึงต้องมีความเป็นธรรมคือการแข่งขันที่ยุติธรรมกับทุกกลุ่ม การมีส่วนร่วมในมุมมองนี้จึงยอมรับการมีส่วนร่วมการเลือกตั้ง และเข้าไปมีส่วนร่วมในการกําหนดรัฐธรรมนูญ และการทําหน้าที่ของรัฐบาล

89. บริษัทประชารัฐรักสามัคคี จํากัด จดทะเบียนบริษัทจํานวนกี่บริษัท
(1) บริษัทเดียว
(2) เท่ากับจํานวนจังหวัด
(3) จํานวนจังหวัด + 1
(4) ไม่ได้จดทะเบียน
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 216, 220 บริษัทประชารัฐรักสามัคคี จํากัด เป็นนิติบุคคล ดําเนินงานในรูปแบบของ รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) จดทะเบียนเป็นบริษัทจํากัดให้เป็นเครือข่ายเดียวกัน ทั่วประเทศ โดยในส่วนกลางจัดตั้งเป็นบริษัทประชารัฐรักสามัคคี ( ประเทศไทย) จํากัด และ ระดับจังหวัดเป็นบริษัทประชารัฐรักสามัคคีตามด้วยชื่อของจังหวัด ดังนั้นบริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจึงจดทะเบียนบริษัทตามจํานวนจังหวัด (76 จังหวัด) + 1 บริษัทกลางนั่นเอง

90. หลักประกันว่าตัวแทนจะทํางานตามที่ตัวการมอบหมายคือข้อใดต่อไปนี้
(1) กลไกการลงโทษ
(2) อุดมการณ์ที่สอดคล้อง
(3) กลไกการควบคุม
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 หน้า 189 หลักประกันว่าตัวแทนจะทํางานตามที่ตัวการมอบหมาย มีดังนี้
1. กลไกการลงโทษ
2. อุดมการณ์หรือหลักการที่สอดคล้องกัน
3. กลไกการควบคุมที่จะทําให้ตัวแทนต้องปฏิบัติตาม เช่น กติกา วิธีการตัดสินใจ ผลที่ต้องการกลไกการตัดสินใจ เป็นต้น

91. พื้นที่ในการบริหารปกครองแบบปิดคือข้อด
(1) พื้นที่ที่มีรั้วรอบขอบชิด
(2) พื้นที่ที่มีการตรวจตราอย่างใกล้ชิด
(3) พื้นที่ที่มีจํากัด ให้การตัดสินใจอยู่ที่ภาครัฐ
(4) พื้นที่ที่มีเฉพาะ NGOs เท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 201 พื้นที่แบบปิด (Closed Spaces) คือ พื้นที่ที่มีตัวแสดงหลักจํากัด คือเฉพาะรัฐ เท่านั้น รูปแบบการบริหารยังคงรวมศูนย์การตัดสินใจไว้ที่รัฐ ด้วยกระบวนการที่เป็นทางการ

92. ประชาสังคมในการบริหารปกครองมีนัยยะสําคัญอย่างไร
(1) พื้นที่ที่มีตัวแสดงที่หลากหลายมารวมตัวกันเพื่อพิจารณาเรื่องสาธารณะ
(2) สถานที่ประชุมร่วมกันของหมู่บ้าน
(3) หน่วยทางการปกครองที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 1 หน้า 201 ประชาสังคมเป็นเงื่อนไขสําคัญอันหนึ่งของธรรมาภิบาลที่จะต้องเติบโตในฐานะ “พื้นที่เพื่อการบริหารปกครอง” ซึ่งจะอํานวยความสะดวกให้กับตัวแสดงใหม่ ๆ เข้ามาร่วมใน การพิจารณาและแก้ปัญหาของพื้นที่ตนเองแบบปราศจากลําดับการบังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็น NGOs หรือการเคลื่อนไหวทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งการที่จะดําเนินการเช่นนี้จําเป็นต้องมีกลไก การมีส่วนร่วมใหม่ ๆ และวิธีดําเนินการใหม่มาเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชน

93. ทฤษฎีการบริหารปกครองใดที่เชื่อว่าความสัมพันธ์ทางสังคมมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากกว่าเหตุผล
(1) ทฤษฎีการยึดมั่นในหลักเหตุผล
(2) ทฤษฎีการให้ความหมายทางสังคม
(3) ทฤษฎีสถาบันทางวัฒนธรรม
(4) ทฤษฎีการมอบหมายตัวแทน
(5) ทฤษฎีเครือข่าย
ตอบ 3 หน้า 191 ทฤษฎีสถาบันทางวัฒนธรรม เชื่อว่า ความสัมพันธ์ทางสังคมมีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจมากกว่าเหตุผล เพราะสถาบันทางสังคมจะกําหนดเกณฑ์ที่จะนําไปใช้ “ตัดสินคนอื่น และสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง” ในกรณีนี้ผลประโยชน์จึงไม่ใช่อะไรนอกจากเป็นผลผลิต ความสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งมีจุดตั้งต้นที่ความชอบอันเป็นส่วนผสมของความสัมพันธ์ทางสังคม ปัจจัยทางสังคม และการให้ความหมายทางสังคมต่อวิถีชีวิตในสังคมร่วมกัน กล่าวได้ว่าอิทธิพลทางสังคมเป็นส่วนสําคัญในการกําหนดทิศทางการตัดสินใจของบุคคล

94. ข้อใดไม่ใช่การมีส่วนร่วมระดับที่อํานาจเป็นของประชาชน
(1) การลงประชามติ
(2) การรับฟังข่าวสาร
(3) การยื่นถอดถอนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
(4) การออกเสียงเลือกตั้ง
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 หน้า 200, (คําบรรยาย) การมีส่วนร่วมระดับที่อํานาจเป็นของประชาชน (Degree of Citizen Power) ประกอบด้วยการมีส่วนร่วมขั้นที่ 6 – 8 เป็นระดับอํานาจการตัดสินใจเป็นของประชาชน แต่มีลักษณะการใช้อํานาจแตกต่างกัน กล่าวคือ ในขั้นที่ 6 จะเป็นการเจรจาต่อรองของอํานาจ ระหว่างรัฐกับประชาชนในฐานะหุ้นส่วนในงานนั้น ๆ ในขั้นที่ 7 ประชาชนได้มอบอํานาจให้ผู้แทน ไปตัดสินใจแทน ได้แก่ การออกเสียงเลือกตั้ง ส่วนในขั้นที่ 8 ซึ่งเป็นขั้นการมีส่วนร่วมสูงสุด ประชาชนสามารถควบคุมกระบวนการตัดสินใจได้ ได้แก่ การลงประชามติ การยื่นถอดถอน ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เป็นต้น ในระดับนี้ประชาชนมีอํานาจในการตัดสินใจ สามารถเจรจาผลได้ผลเสียกับผู้มีอํานาจเดิมได้ จึงถือเป็นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน

95. ตัวแสดงทางเศรษฐกิจได้สิทธิพิเศษในเครือข่ายนโยบาย
(1) บรรษัทภิบาล
(2) การบริหารงานภาครัฐ
(3) บรรษัทนิยม
(4) ธรรมาภิบาล
(5) วิสาหกิจเพื่อสังคม
ตอบ 3 หน้า 212 บรรษัทนิยม (Corporatism) เป็นรูปแบบการปกครองที่รัฐมีความใกล้ชิดกับองค์กร ทางธุรกิจและแรงงาน ให้ความสําคัญและสิทธิพิเศษกับองค์กรธุรกิจและแรงงานในเครือข่ายนโยบายให้ร่วมรับผิดชอบการริเริ่มและนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยรัฐยังควบคุมความต้องการ รวมทั้งอาจควบคุมองค์การเหล่านั้น ทั้งนี้สํานักราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายว่า บรรษัทนิยม คือ แนวคิดในการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐ โดยกําหนดให้บรรษัทซึ่งถือว่าเป็น องค์การตัวแทนกลุ่มอาชีพต่าง ๆ มีบทบาทในการร่วมกําหนดนโยบายสาธารณะ ตลอดจน นํานโยบายไปปฏิบัติ

ตั้งแต่ข้อ 96. – 100 ให้นักศึกษาจับคู่คําตอบต่อไปนี้ให้ตรงกับความหมายหรือเกี่ยวข้องกับข้อความที่ให้มา
(1) ยึดมั่นในกลุ่มต่ำ
(2) อาศัยประสบการณ์สมาชิกกลุ่ม
(3) ชีวิตเหนือการควบคุม
(4) ผลประโยชน์สูงสุด
(5) ควบคุมจากศูนย์กลาง

96. โชคชะตา
ตอบ 1, 3 หน้า 191 – 192 รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมตามโชคชะตา มีลักษณะดังนี้
1. ยึดมั่นในกลุ่มต่ำ
2. โครงสร้างทางสังคม : แยกตัว ไม่เป็นทางการ การผูกมัดไม่ลึกซึ้ง มีเครือข่ายเป็นครั้งคราว
3. ค่านิยม : ไม่ใส่ใจเรื่องส่วนบุคคล (จากสังคมหรืออื่น ๆ) มองว่าชีวิตเป็นเรื่องเหนือการ ควบคุมของบุคคล ที่ดีที่สุดที่ทําได้คือ พยายามหาทางเอาชีวิตรอด

97. ชุมชนนิยม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

98.Rational Choice
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

99. ลําดับการบังคับบัญชา
ตอบ 5 หน้า 191 – 192 รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมตามลําดับขั้นการบังคับบัญชา มีลักษณะดังนี้
1. ยึดมั่นในกลุ่มสูง
2. โครงสร้างทางสังคม : ควบคุมและบริหารจากศูนย์กลาง มีการแบ่งแยกบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน
3. ค่านิยม : ยืนยันการปฏิบัติตามกฎ และมีการออกแบบหน้าที่และบทบาทเพื่อให้บุคคล เข้ามามีส่วนปฏิบัติตามระเบียบโดยเคร่งครัด

100. ปัจเจกนิยม
ตอบ 1 หน้า 191 – 192 รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบปัจเจกนิยม มีลักษณะดังนี้
1. ยึดมั่นในกลุ่มต่ำ
2. โครงสร้างทางสังคม : เปิด มีการผูกมัดทางสังคมน้อย ระบบเกิดจากการตอบสนองตาม สัญชาตญาณของบุคคล
3. ค่านิยม : ยืนยันแนวคิดการริเริ่มของบุคคล การตอบสนองต่อเรื่องต่าง ๆ วางอยู่บน การตัดสินใจส่วนบุคคล

POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น s/2566

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสหลัก
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 83 – 127 แนวทางการวิเคราะห์กระแสหลัก ได้แก่
1. แนวทางระบบ
2. แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
3. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล
4. แนวทางสถาบันนิยมใหม่
5. แนวทางโครงสร้าง

2.แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสวิพากษ์
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางสถาบันนิยมใหม่
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 85 – 86, 107, 134, 140 แนวทางการวิเคราะห์กระแสวิพากษ์ ได้แก่
1. แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
2. แนวทางมาร์กซิสต์
3. แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
4. แนวทางหลังสมัยใหม่หรือแนวทางหลังโครงสร้างนิยม(ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ)

3. นักรัฐศาสตร์คนสําคัญที่นําเอาความคิดเชิงระบบมาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบคือ
(1) อีสตัน
(2) อัลมอนด์
(3) คาร์ล ดอยซ์
(4) คาร์ล มาร์กซ์
(5) ชาร์ล ทิลลี
ตอบ 1 หน้า 89 เดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์คนแรกที่นําเอาความคิดเชิงระบบ มาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบ และเป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสนอแบบจําลองของระบบการเมือง อันเป็นผลจากความพยายามในการหาทฤษฎีทั่วไปที่สามารถใช้ในการอธิบายการเมืองทั้งระบบหรือสร้างทฤษฎีมหภาคที่สามารถนําไปใช้อธิบายสังคมอื่น ๆ ได้ทั่วทั้งโลก

4. ทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) อีสตัน
(2) เมอร์เรียม
(3) อัลมอนด์
(4) ฟูโกต์
(5) พาร์สัน
ตอบ 3 หน้า 92 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) ได้พัฒนาทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โดยได้ดึงแนวคิดเรื่องบทบาทและโครงสร้างของนักสังคมวิทยา เช่น แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ทาลค็อตต์ พาร์สัน (Talcott Parsons) เข้ามาผนวกกับทฤษฎีระบบ เพื่อให้ทฤษฎีระบบเชิง โครงสร้าง-หน้าที่มีความเป็นรูปธรรม สามารถศึกษากลุ่มของการกระทําทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการได้

5. ในทฤษฎีระบบการเมือง ปัจจัยนําเข้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) รัฐบาลและรัฐสภา
(2) ข้อเรียกร้องความต้องการและการสนับสนุน
(3) นโยบายและการปฏิบัติ
(4) พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 89 – 90 ในทฤษฎีระบบการเมืองนั้น เดวิด อีสตัน (David Easton) อธิบายว่า “ระบบการเมือง” (Political System) เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ซึ่งทําหน้าที่อยู่ภายใต้ “สิ่งแวดล้อม” (Environment) โดยจะมี “ปัจจัยนําเข้า” (Inputs) ซึ่งประกอบด้วย ข้อเรียกร้อง ความต้องการ (Demands) และการสนับสนุน (Supports) จากสิ่งแวดล้อมเข้ามาสู่ระบบการเมือง แล้วระบบการเมืองก็จะทําหน้าที่ในการตัดสินใจแปลงปัจจัยนําเข้าดังกล่าวเป็น “ปัจจัยนําออก (Outputs) ในรูปของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายต่าง ๆ ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม และผลจากการทํางานของระบบการเมืองก็จะเกิดเป็น “ผลสะท้อนกลับ” (Feedback) กลับเข้าไปเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

6. ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โครงสร้างใดทําหน้าที่รวบรวมผลประโยชน์
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) รัฐบาล
(4) รัฐสภา
(5) ศาล
ตอบ 2 หน้า 93 – 94 ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่นั้น แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) อธิบายว่า โครงสร้างทางการเมืองแต่ละอย่างสามารถทํางานได้หลายหน้าที่ แม้ใน ระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วจะมีโครงสร้างหนึ่งขึ้นมาทําหน้าที่เฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นจะทําแค่หน้าที่เดียว เพราะโครงสร้างในทุกระบบการเมืองจะทําหน้าที่ หลาย ๆ อย่างเสมอ เช่น พรรคการเมืองมีหน้าที่หลักในการรวบรวมผลประโยชน์และเลือกสรร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่พรรคการเมืองก็ทําหน้าที่อื่น ๆ เช่น การเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับ ประชาชน การให้การศึกษาทางการเมือง เป็นต้น

7.วัฒนธรรมทางการเมืองแบบใดเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
(1) Parochial
(2) Subject
(3) Participant
(4) Civic Culture
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 102 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ได้แบ่งวัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็น 3 แบบ คือ แบบคับแคบ (Parochiat) แบบไพร่ฟ้า (Subject) และแบบมีส่วนร่วม (Participant) โดยมองว่า วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสม หรือเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่วัฒนธรรมแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องเป็นวัฒนธรรมทาง การเมืองที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้ง 3 แบบอย่างลงตัว ซึ่งเรียกว่า “วัฒนธรรม แบบพลเมือง” (Civic Culture) อันเป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนมีความกระตือรือร้นทางการเมือง แต่ก็ไม่มากจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

8.นักรัฐศาสตร์ท่านใดมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง
(1) Huntington
(2) Bentley
(3) Downs
(4) Powell
(5) Almond
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) โดยอัลมอนด์เสนอว่า สาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้ประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และอีกประเทศหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพราะว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย ส่วนประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นมีวัฒนธรรมไม่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย

9.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ Subject
(1) เป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง
(2) เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
(3) เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ปฏิบัติ
(4) เป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 102, (คําบรรยาย) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบรับรู้แต่ไม่เข้าร่วมทางการเมืองหรือ แบบไพร่ฟ้า (Subject) เป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจข่าวสาร มีความรู้เกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีอํานาจทางการเมือง เรื่องของ การเมืองเป็นเรื่องของผู้นํา ดังนั้นลักษณะของวัฒนธรรมแบบนี้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบ บนลงล่าง การเมืองเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและกฎเกณฑ์ปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็น การเมืองแบบใช้เหตุผล

10. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทางของยุคใด
(1) ยุคปรัชญา
(2) ยุคสถาบัน
(3) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(4) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 108 – 109 แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลมาจากสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเริ่มถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ ทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็น ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ดังนั้นแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลจึงถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทาง หรือทฤษฎีในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ในกระแสหลักที่ยังเชื่อมั่นในการสร้างความเป็นศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ในทางการเมือง

11. แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลคือ
(1) ความเสียสละ
(2) ผลประโยชน์ส่วนบุคคล
(3) ผลประโยชน์ของชาติ
(4) ความหลากหลาย
(5) ความเท่าเทียม
ตอบ 2 หน้า 109 แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลตั้งอยู่บน สมมติฐานหลัก 2 ตัว คือ ความมีเหตุมีผล (Rationality) กับผลประโยชน์ส่วนบุคคล(Self-Interest)

12. ตามแนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล คําว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผลหมายถึงข้อใด
(1) จะทําการใดต้องมีการคํานวณ
(2) คิดถึงประโยชน์ได้เสีย
(3) แสวงหาประโยชน์สูงสุด
(4) หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5หน้า 110, (คําบรรยาย) แนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) มีสมมติฐานสําคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผล ซึ่งคําว่ามีเหตุมีผลหมายถึง มนุษย์ทุกคนเวลา จะทําการใดจะต้องคํานวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไร และเสียประโยชน์ อย่างไร หรือคํานวณผลได้ผลเสียที่จะได้รับจากทางเลือกแต่ละทาง โดยมนุษย์จะตัดสินใจเลือก ทางเลือกที่ได้ประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์มากที่สุดหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์นั่นเอง

13. แนวทางสถาบันดั้งเดิมแตกต่างกับแนวทางสถาบันนิยมใหม่ในข้อใด
(1) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ
(2) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการ
(3) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 115, 118, 120 – 122 แนวทางสถาบันดั้งเดิม เน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการหรือ ศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย ส่วนแนวทางสถาบันนิยมใหม่ให้ความสําคัญกับการศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการควบคู่กันไปกับการศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ รวมถึงขยายขอบเขต ของการศึกษาไปสู่เรื่องของพฤติกรรมของตัวแสดงทางการเมือง ปัจจัยทั้งหลายที่สามารถ ส่งผลทั้งต่อตัวสถาบันและต่อพฤติกรรมทางการเมืองภายในสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนการศึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถาบันและตัวแสดงทางการเมืองต่าง ๆ

14. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นสถาบันของฮันทิงตัน
(1) ความสามารถในการปรับตัว
(2) การแบ่งโครงสร้างทําหน้าที่เฉพาะ
(3) ความรวดเร็วในการทํางาน
(4) ความเป็นอิสระในตนเอง
(5) ความเป็นปึกแผ่น
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้เสนอตัวชี้วัดความเป็น สถาบัน ซึ่งมี 4 ประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)
2. การแบ่งโครงสร้างแยกย่อยลงไปและทําหน้าที่เฉพาะ (Complexity)
3. ความเป็นอิสระในตนเอง (Autonomy)
4. ความเป็นปึกแผ่น (Coherence)

15. “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) มาร์กซ์
(2) ทิลลี
(3) ไชยวัฒน์ ค้ำชู
(4) อดอร์โน
(5) เดอร์ไคม์
ตอบ 2 หน้า 128 แนวทางโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ จะเน้นวิเคราะห์ความเป็นมาของโครงสร้าง ขนาดใหญ่ เช่น พัฒนาการของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในโลกตะวันตก พัฒนาการของระบบ ทุนนิยม พัฒนาการของยุคอุตสาหกรรม พัฒนาการของรัฐสมัยใหม่ พัฒนาการของการเข้าสู่ ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพใหญ่ของพัฒนาการ ตลอดจน ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่ศึกษาดังที่ซาร์ล ทิลลี่ (Charles Tilly) เรียกว่า “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” และ “กระบวนการใหญ่”

16. นักวิชาการผู้ใดมีอิทธิพลต่อแนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) ซี. ไรท์ มิลล์
(5) คาร์ล ป๊อปเปอร์
ตอบ 1 หน้า 129, (คําบรรยาย) นิคอส พลันต์ซาส (Nicos Poulantzas) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลต่อ แนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ อันเป็นผลมาจากกระแสการนํารัฐกลับมาเป็นแกนกลางในการศึกษาทางการเมือง

17. นักวิชาการคนใดมีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) แม็กซ์ เวเบอร์
(5) สค็อกโพล
ตอบ 5 หน้า 117, 130, 156 เธดา สค็อกโพล (Theda Skocpol) และปีเตอร์ อีแวน (Peter Evans) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
โดยทั้งสองได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Bringing the State Back In” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ถูกนํามาใช้ เป็นกระแสการเรียกร้องให้รัฐซึ่งถูกมองว่าเป็นเหมือนกล่องดํา คือเป็นที่รวมของอํานาจที่กลุ่ม ต่าง ๆ ใช้ในการต่อรอง แย่งชิง ผลักดันนโยบายสาธารณะให้สอดคล้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน กลับเข้ามาสู่การเป็นศูนย์กลางของการวิเคราะห์ทางการเมือง

18. เพราะเหตุใดแนวคิดแบบมาร์กซิสต์จึงไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคงจะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม
(1) เพราะยากที่สถาบันการเมืองจะมีความเข้มแข็ง
(2) เพราะเอกชนจะเรียกร้องให้รัฐมีบทบาทน้อย
(3) เพราะมีความเจริญทางวัตถุแต่จิตใจผู้คนตกต่ำ
(4) เพราะมีโครงสร้างที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ
(5) เพราะผู้คนไม่สนใจคุณธรรมจริยธรรมทางศาสนา
ตอบ 4 หน้า 134 – 136, (คําบรรยาย) แนวคิดแบบมาร์กซิสต์ไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคง จะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม เพราะหัวใจสําคัญของประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน แต่ใน ระบบทุนนิยมกลับมีโครงสร้างที่ทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ กล่าวคือ ในระบบทุนนิยมนั้น ชนชั้นที่ออกแรงผลิตคือชนชั้นแรงงาน แต่ชนชั้นนายทุนกลับริบเอามูลค่าที่ชนชั้นแรงงานผลิตได้ ไปเป็นของตน ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวทําให้เกิด “ชนชั้นผู้ได้เปรียบ” กับ “ชนชั้นผู้เสียเปรียบ ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

19. ปัจจัยใดที่คาร์ล มาร์กซ์ ให้ความสําคัญที่สุดเมื่อวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง
(1) อํานาจของกฎหมาย
(2) โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจ
(3) การครอบงําทางความคิดผ่านทางศาสนา
(4) แสนยานุภาพทางทหาร
(5) อํานาจของรัฐในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
ตอบ 2 หน้า 134 – 135 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist Theory) กําเนิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมอย่างถึงรากถึงโคน หรือก็คือ ปฏิเสธระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง โดยการวิเคราะห์ของมาร์กซ์นั้นในทางหนึ่งเป็นการ วิเคราะห์เชิงโครงสร้างและการวิเคราะห์พัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ แต่หัวใจหลักอยู่ที่การใช้ โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจในการวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง

20. ข้อใดเป็นความแตกต่างสําคัญที่สุดระหว่างมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมกับมาร์กซิสต์ใหม่
(1) วิเคราะห์ทางชนชั้น
(2) ปฏิเสธระบบทุนนิยม
(3) ปฏิวัติทางชนชั้น
(4) ให้ความสําคัญกับอํานาจรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 137 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากทฤษฎีมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม โดยมีจุดร่วมสําคัญ คือ การมองว่าชนชั้นที่มีอํานาจทางเศรษฐกิจมักมีแนวโน้มมีอํานาจในทาง การเมืองด้วย แต่มีจุดต่างสําคัญจากมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมคือหันไปให้น้ําหนักกับโครงสร้างส่วนบนมากขึ้นแทนที่จะเน้นวิเคราะห์โครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น โดยเฉพาะประเด็นของอํานาจรัฐ

21. แนวคิดสําคัญของอันโตนิโอ กรัม คือแนวคิดใด
(1) การปฏิวัติทางชนชั้น
(2) วาทกรรม
(3) การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์
(4) พหุวัฒนธรรม
(5) การครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรม
ตอบ 3 หน้า 137 – 138 อันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) ได้เสนอแนวคิด “การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์” (Hegemony) โดยอธิบายว่า โครงสร้างส่วนบนแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือ
สังคมการเมืองและสังคมประชา ชนชั้นที่ต้องการมีอํานาจเหนือสังคมอย่างเบ็ดเสร็จต้องสามารถครองอํานาจได้ในทั้งสองพื้นที่ในฐานะผู้ครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์ และกรัมที่ได้ให้น้ําหนัก
ไปที่การครอบงําทางความคิดอย่างมาก เนื่องจากการที่ชนชั้นหนึ่งจะมีชัยชนะขั้นเด็ดขาดและ สมบูรณ์เหนือสังคมได้ ชนชั้นนั้นต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

22.นักวิชาการคนใดเสนอแนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรม
(1) หลุยส์ อัลธูแซร์
(2) เออร์เนสโต ลาเคลา
(3) ซองทัล มูฟ
(4) ชาร์ค แดร์ริดา
(5) มิเชล ฟูโกต์
ตอบ 5 หน้า 140 – 143 แนวคิดที่สําคัญของนักวิชาการในยุคหลังสมัยใหม่ มีดังนี้
1. แนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรมของมิเซล ฟูโกต์ (Michel Foucault)
2. แนวคิดการรื้อสร้างของชาร์ค แดร์ริดา (Jacques Derrida)
3. แนวคิดมายาคติของโรลอง บาร์ต (Roland Barthes)
4. แนวคิดการครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรมและแนวคิดประชาธิปไตยเชิงลึกของเออร์เนสโต ลาเกลาและซองทัล มูฟ (Ernesto Laclau and Chantal Mouffe) ฯลฯ

23. “รัฐคือองค์การทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้” เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Andrew Heywood
(2) Joel Migdal
(3) Max Weber
(4) Gaetano Mosca
(5) Anthony Giddens
ตอบ 5 หน้า 149 แอนโทนี กิดเดนส์ (Anthony Giddens) ได้ให้นิยามคําว่ารัฐไว้ว่า “รัฐคือองค์การ ทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้ คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้”

24. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) Treaty of Ulm 1647 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(2) Treaty of Concordia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(3) Treaty of Westphalia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(4) Treaty of Zboriv 1649 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(5) Treaty of Breda 1650 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
ตอบ 3 หน้า 147 สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648 นํามาสู่การ เกิดขึ้นของ “รัฐสมัยใหม่” ในยุโรป ซึ่งมีองค์ประกอบสําคัญ 4 ประการ คือ ดินแดนที่แน่นอน (Territory) ประชากร (Population) รัฐบาล (Government) และอํานาจอธิปไตย (Sovereignty)

25. รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเอง คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 1 หน้า 148 รัฐในความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเองแยกออกมาและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจเจกบุคคล มีลักษณะเป็นสากล ซึ่งรัฐจะนําพามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ โดยที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟังรัฐ

26. รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 4 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงองค์การ หมายถึง รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย

27. รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นน่านิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 3 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่ หมายถึง รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อ บทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม

28. รัฐเป็นแหล่งรวมของชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 2 หน้า 148 – 149 รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม หมายถึง รัฐเป็นแหล่งรวมของ ชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม

29. รัฐที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 4 หน้า 151 – 152 รัฐรวม (Composite State) หรือสหพันธรัฐ (Federation) คือ รัฐที่เกิดขึ้น จากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป มีการจัดตั้งรัฐบาลกลางขึ้นโดยการมอบ อธิปไตยบางส่วนให้รัฐบาลกลางเพื่อจัดการในเรื่องสําคัญของส่วนรวมด้วยเหตุผลในเรื่องของ การป้องกันภัยรุกราน ความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ในขณะที่แต่ละรัฐที่มารวมตัวกัน ก็ยังคงมีอธิปไตยของตนเองอยู่บางส่วน ดังนั้นรัฐรวมจึงมีรัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลาง และ รัฐบาลของท้องถิ่นหรือมลรัฐ ตัวอย่างของรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น

30. รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าประธานาธิบดี คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 2 หน้า 151 สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้นําทางศาสนา รัฐแบบนี้พบได้ทั้งในระบอบประชาธิปไตย (เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย อิตาลี อินเดีย) คอมมิวนิสต์ (เช่น จีน เวียดนาม) และรัฐที่ปกครองโดยหลักศาสนา (เช่น อิหร่าน)

31. รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุดในเขตแดนของรัฐ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State.
(5) Minimal State
ตอบ 3 หน้า 15 รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุด หรืออธิปไตยสมบูรณ์ในเขตแดนของรัฐนั้น ๆ ไม่มีรัฐบาลในระดับที่รองลงมา หน่วยงานของรัฐ ในท้องที่ เช่น จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นมือไม้หรือหน่วยงานที่รับมอบหมายงานจาก รัฐบาลกลางไปดําเนินการ หรือในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่นแม้จะได้รับการกระจายอํานาจลงไปให้บ้างแต่ก็ไม่ถือว่ามีอธิปไตยเป็นของตนเอง การดําเนินงานยังคงอยู่ภายใต้การ กํากับควบคุมของรัฐบาลกลาง ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว เช่น ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น

32. รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบ ประชาธิปไตยก็ได้ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 1 หน้า 150 – 151 รัฐราชอาณาจักร (Kingdom State) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งรัฐราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดในปัจจุบันก็ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของรัฐ และมีรัฐบาลในระบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เบลเยียม ไทย เป็นต้น

33. รัฐมีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 1 หน้า 153 รัฐแบบกรรมการ (Minimal State) คือ รัฐที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบเสรีนิยมที่ให้รัฐ มีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการ ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ รัฐประเภทนี้พบในประเทศที่เป็นเสรีนิยมทุนนิยม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้น

34. แนวคิดเศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) มีความสัมพันธ์กับประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 3 หน้า 154 รัฐสังคม -ประชาธิปไตย (Social-Democratic State) คือ รัฐที่มีเป้าหมายเพื่อ ปฏิรูปสังคมให้เกิดความยุติธรรม แก้ปัญหาความยากจน เน้นให้เกิดความเท่าเทียมขึ้นในสังคม เป็นรัฐที่เน้นทําเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมากกว่าจะเน้นทําเพื่อประโยชน์ของนายทุน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวรัฐจึงต้องเข้าไปแทรกแซงสังคมในระดับสูงหรืออย่างแข็งขัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ตัวอย่างเช่น แนวคิด เศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ เป็นต้น

35. พบในสหภาพโซเวียตในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 5 หน้า 154 – 155 รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarian State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงเหนือสังคม ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ กระทั่งการใช้ชีวิตในทุกด้าน โดยไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นรัฐที่มีอํานาจ สูงที่สุด ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคําสั่งของรัฐ รัฐประเภทนี้พบในสหภาพโซเวียต ในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี และเกาหลีเหนือ

36. รัฐเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมคือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 2 หน้า 153 รัฐเพื่อการพัฒนา (Developmental State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐอาจจะประสาน ความร่วมมือกับนายทุนระดับชาติเพื่อการดังกล่าว ทั้งนี้การแทรกแซงดังกล่าวเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเอกชนในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศ มากกว่าการเข้าไปขัดขวางหรือรับเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจมาดําเนินการเอง ตัวอย่างของรัฐ ประเภทนี้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น

37. รัฐเข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดให้ เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 4 หน้า 154 รัฐรวมศูนย์ (Collectivized State) คือ รัฐที่เข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเอง ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดถูกวางแผนและจัดการโดยรัฐ จากส่วนกลาง รวมถึงมีการยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล คือ ไม่ให้เอกชนสามารถมีทรัพย์สิน ส่วนตัวได้ แต่ให้ทุกอย่างตกเป็นสมบัติของส่วนรวม รัฐประเภทนี้พบได้ในระบอบคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต จีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง เป็นต้น

38. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษารัฐนิยม (Statist Model)
(1) มีคําอธิบายรัฐนิยมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordtinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson
(2) เกิดจากการผลักดันของ Theda Skocpol และ Peter Evans
(3) รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจน้อยที่สุด
(4) รัฐในมุมมอง Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น
(5) ฐานคิดสําคัญคือรัฐจะมีบทบาทเสมอในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 156 – 158, (คําบรรยาย) อนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้อธิบายรัฐนิยมโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpot กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson ซึ่งจาก 3 กลุ่มนี้ รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจสูงที่สุด รองลงมาคือ รัฐในมุมมองของ Treda Skocpol และรัฐในมุมมองของ Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น

39. ประชาธิปไตยทางตรงเกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) Roman
(2) Athens
(3) Sparta
(4) Thebes
(5) Corinth
ตอบ 2 หน้า 165, (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบของ ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าไปใช้อํานาจในทางการเมืองอย่าง เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ในยุคกรีกโบราณ ทั้งนี้ประชาธิปไตยรูปแบบนี้สามารถทําได้ในกรณีของรัฐที่มีประชากรจํานวนน้อย ดังนั้นในโลกปัจจุบันที่มีประชากรจํานวนมหาศาล ประชาธิปไตยทางตรงจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

40. รัฐบาลเกาหลีเหนือ คือระบอบเผด็จการรูปแบบใด
(1) Totalitarianism
(2) Authoritarianism
(3) Benevolent Dictatorship
(4) Theocracy
(5) Aristocracy
ตอบ 1 หน้า 170 เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เป็นรูปแบบของระบอบเผด็จการที่เข้มข้น คือ รัฐบาลทําการควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกด้านทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมตัวอย่างของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของ สหภาพโซเวียต รัฐบาลจีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง รัฐบาลนาซีเยอรมัน รัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลี รัฐบาลเกาหลีเหนือ เป็นต้น

41. ข้อใดคือชื่อเรียกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา
(1) Parliament
(2) Assembly
(3) Congress
(4) Diet
(5) State Duma
ตอบ 3 หน้า 172 สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นสถาบันที่มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมาย โดยสถาบันนิติบัญญัตินี้มีทั้งในประเทศประชาธิปไตยและประเทศเผด็จการ และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ดังนี้
1. อังกฤษ เรียกว่า Parliament
2. ฝรั่งเศส เรียกว่า Assembly
3. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Congress
4. ญี่ปุ่น เรียกว่า Diet
5. ไทย เรียกว่า รัฐสภา

42. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรัฐสภาอังกฤษ
(1) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Common
(2) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Representative
(3) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Common
(4) ใช้ระบบ 2 สภา คือ Senate กับ House of Representative
(5) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Representative
ตอบ 3 หน้า 174 ระบบสองสภา (Bicameral System) เป็นระบบรัฐสภาที่ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาสูงและสภาล่าง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ไทย เรียกว่า วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร
2. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Senate กับ House of Representative
3. อังกฤษ เรียกว่า House of Lord กับ House of Common

43. หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 4 หน้า 176 – 177 การปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ เป็นการปกครองที่มีการแยกอํานาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แบบไม่เด็ดขาด การใช้อํานาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กันตาม หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power)

44. หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System.
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 1 หน้า 178 การปกครองระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการปกครองที่มีการแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารบนหลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) โดยฝ่ายนิติบัญญัติและ ฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นการทํางานของฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารจึงแยกอิสระจากกันค่อนข้างสูง แต่ก็มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

45. การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) ฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่ 5
(2) เยอรมนีในช่วงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
(3) โปรตุเกสในช่วงหลังการปฏิวัติคาร์เนชั่น
(4) เยอรมนีในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์
(5) รัสเซียในช่วงหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ตอบ 4 หน้า 180 การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เป็นระบบที่มีการผสมผสาน ระหว่างระบบประธานาธิบดีและระบบรัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์ (ค.ศ. 1919 – 1939) แต่เป็นที่รู้จักเมื่อประเทศฝรั่งเศสนําไปใช้

46. ข้อใดไม่ใช่สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management)
(1) นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
(2) ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
(3) จัดโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดใหญ่
(4) ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
(5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
ตอบ 3 หน้า 186 – 187 สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีดังนี้
1. นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
2. ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
3. ปรับโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดเล็ก
4. ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ฯลฯ

47. ระบบการเลือกตั้งที่เรียกกันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” คือระบบใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 3 หน้า 204 – 205 ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน (Proportional Representation : PR/Party List System) เป็นระบบที่มีการกําหนดเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่ ในแต่ละเขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน โดยการลงคะแนนเสียงจะลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง ไม่ใช่เลือกผู้สมัครรายคน แต่พรรคการเมืองจะทําบัญชีรายชื่อของผู้สมัครเรียงตามลําดับลงไป ทําให้เรียกระบบนี้กันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” (Party List System)

48. การเลือกพรรคซึ่งส่งผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุด ได้ที่นั่งทั้งหมดไป คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 4 หน้า 202 ระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเลือกเป็นพรรค หรือระบบบล็อกโหวต พรรคการเมือง (Party Block Vote : PBV) เป็นการเลือกผู้แทนโดยการเลือกพรรคซึ่งส่ง ผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ ที่นั่งทั้งหมดไป ซึ่งระบบนี้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

49. 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน แล้วแต่จํานวนผู้แทนพึงมีในเขตนั้น คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 5 หน้า 200 ระบบเสียงข้างมากธรรมดา หนึ่งเขตมีตัวแทนมากกว่าหนึ่งคน (Multi-Member District/Constituencies : MMD) หรือระบบรวมเขตเรียงเบอร์ (Block Voting : BV) เป็น ระบบเสียงข้างมากธรรมดา แต่ใน 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คนแล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนจึงมี ในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน โดยผู้เลือกตั้งสามารถ เลือกผู้สมัครได้ตามจํานวนผู้แทนในแต่ละเขต ซึ่งอาจเลือกจากพรรคเดียวกันเรียงเบอร์ไปเลย หรือจะเลือกผู้สมัครจากต่างพรรคก็ได้ หรือหากประสงค์เลือกเพียงเบอร์เดียวก็ได้ ผู้ที่ได้คะแนน สูงสุดเรียงตามลําาดับจนครบตามจํานวนผู้แทนจึงมีก็จะได้เป็นผู้แทนในเขตนั้น ๆ

50. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 1 หน้า 200 ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบพหุนิยม (Plurality Electoral System) เป็นระบบที่ใช้ในการเลือกตั้งแบบเขต โดยในแต่ละเขตผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินหนึ่งหรือไม่ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก

51. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 2 หน้า 202 ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด หรือระบบเสียงส่วนใหญ่ (Majority Electoral System) เป็นระบบที่ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือสะท้อนเจตนารมณ์ของ ประชาชนอย่างแท้จริง ระบบนี้โดยทั่วไปจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คน

52. “การเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Arend Lijphart
(2) Giovanni Sartori
(3) Maurice Duverger
(4) Barnard Grofman
(5) Barbara Geddes
ตอบ 3 หน้า 209 – 210 เมารีส ดูแวร์แจร์ (Maurice Duverger) อธิบายว่า การเลือกตั้งระบบ เสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง โดยที่ระบบ 2 พรรคเด่นมักนําไปสู่รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ในขณะที่ระบบหลายพรรคก่อให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ

53. ระบบใดคือระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 3 หน้า 220 ระบบ 2 พรรค (Two-Party System) คือ การมีพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ ที่ต่อสู้แข่งขันและได้รับคะแนนเสียงสลับกันขึ้นเป็นรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

54. ระบบพรรคการเมืองกรณีพรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น และพรรคคองเกรสในอินเดีย คือ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 2 หน้า 219 – 220 ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (One Dominant Party System) เป็นระบบ ที่มีพรรคการเมืองได้มากกว่า 1 พรรค หรือกฎหมายเปิดให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งขึ้นได้ แต่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มักได้รับเลือกตั้งคะแนนสูงสุดและครองอํานาจในการปกครอง ตัวอย่างเช่น พรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น พรรคคองเกรสในอินเดีย เป็นต้น

55. ระบบพรรคการเมืองแบบใดมักนําไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสม
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 5 หน้า 220 ระบบหลายพรรค (Multiparty System) คือ การมีพรรคการเมืองหลายพรรค ต่อสู้แข่งขันกันโดยไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งครองเสียงข้างมาก และอาจต้อง จัดตั้งรัฐบาลผสม ระบบเช่นนี้อาจมีข้อดีคือเกิดความหลากหลายในทางอํานาจ แต่มีข้อเสียคือ การขาดเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้งและหาข้อตกลงกันไม่ได้

56. พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นไปตามระบบพรรคแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 1 หน้า 219 ระบบพรรคเดียว (One-Party System) คือ การมีพรรคการเมืองพรรคเดียว เท่านั้นในระบบการเมือง พบในประเทศเผด็จการทั้งในรูปแบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ ในระบบพรรคเดียวนี้อาจมีการเลือกตั้งด้วย แต่มีผู้สมัครลงแข่งขันจากพรรคการเมืองเดียว เท่านั้น ตัวอย่างเช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นต้น

57.2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาล เป็นลักษณะ ของระบบพรรคการเมืองแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 4 หน้า 221, (คําบรรยาย) ระบบกึ่ง 2 พรรค (Two-and-a-Half-Party System) คือ การมี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วนมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอ จะจัดตั้งรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในโปรตุเกส สเปน กรีซ เยอรมนี ออสเตรีย เป็นต้น

58. พรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิก มากกว่าปริมาณ และเน้นการเลือกตั้ง คือโครงสร้างพรรคการเมืองรูปแบบใด
(1) พรรคแบบคณะกรรมาธิการ
(2) พรรคแบบมีสาขาพรรค
(3) พรรคแบบแบ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ในรูปเซลล์
(4) พรรคแบบพลพรรค
(5) พรรคแบบเสรีนิยม
ตอบ 1 หน้า 222 – 223 พรรคแบบคณะกรรมาธิการ เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้น การเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญแต่จะไม่ค่อยเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองอื่น ๆ พรรคแบบนี้ มักตั้งขึ้นโดยกลุ่มชนชั้นนําเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าสู่อํานาจทางการเมือง ไม่ได้ขยายฐานสู่ประชาชน

59. กลุ่มผลประโยชน์ในระบบใด ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระ ของตนเองโดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น
(1) Democratic Corporatist Interest Group System
(2) Controlled Interest Group System
(3) Pluralist Interest Group System
(4) Institutional Group System
(5) Public Interest Group System
ตอบ 3 หน้า 232 ระบบพหุนิยม (Pluralist Interest Group System) กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระของตนเอง
โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของกลุ่มตนแต่จะหมุนเวียนกันไปมีบทบาทหลักในประเด็นที่ เมื่อเป็นประเด็นอื่นก็จะมีกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นเข้าไปมีบทบาทหลักแทน ระบบกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าวนี้พบมากในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

60. การทําให้เป็นอุตสาหกรรม คือ “ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 2 หน้า 238 – 250 แนวคิดหรือทฤษฎีการพัฒนาในแต่ละยุค มีดังนี้
1. ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา เน้นการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองคลาสสิก
2. การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 เน้นการทําให้เป็น
อุตสาหกรรม
3. การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980 เน้นการทําให้ทันสมัย ซึ่งคือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
4. การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000 เน้นแนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน
5. การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องของวิกฤติความชอบธรรมของ แนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน การพัฒนาทางเลือกหรือความหลากหลายของการพัฒนา

61. เสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน เป็นการพัฒนาในช่วงใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ

62. การทําให้ทันสมัย คือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ

63. Beijing Consensus คือ ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 3 หน้า 250 การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่แนวคิดเสรีนิยมใหม่ หรือแนวนโยบายของฉันทามติวอชิงตันถูกตั้งคําถามอย่างหนักภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2008 ในสหรัฐอเมริกา จนมีนักวิชาการบางคนกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าว
ส่งผลต่อจุดจบของเสรีนิยมใหม่ นําไปสู่การนําเสนอฉันทามติอื่น ๆ เช่น ฉันทามติโคเปนเฮเกน (Copenhagen Cor sensus) ฉันทามติเม็กซิโก (Mexico Consensus) ฉันทามติปักกิ่ง (Beijing Consensus) หรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ (State-Directed Capitalism) เป็นต้น

64. “การพัฒนาทางการเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความ ทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Pye
(2) Lipset
(3) Huntington
(4) Almond
(5) Coleman
ตอบ 3 หน้า 245 – 246 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) อธิบายว่า การพัฒนาทาง การเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะและส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

65. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย
(1) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการคนสําคัญ คือ Lipset
(2) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Shedler
(3) วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย คือ วัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม
(4) The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations เป็นผลงาน ชิ้นสําคัญของ Easton
(5) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Marx
ตอบ 1 หน้า 252 – 253 นักวิชาการที่เสนอเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย สามารถแบ่งออก ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการ คนสําคัญ คือ ลิบเซ็ต (Lipset)
2. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ซึ่งเป็น เจ้าของผลงานเรื่อง “The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations”
3. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) (ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ)

66. ข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย 10 ประการ เป็นคําอธิบาย การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 ดังค์วาร์ด รัสเทาว์ (Dankwart Rustow) ได้อธิบายข้อกําหนดเบื้องต้น สําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไว้ 10 ประการ ตัวอย่างเช่น

1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยไม่จําเป็นต้องเป็นตัวเดียวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย
2. การศึกษาประชาธิปไตยต้องตระหนักว่าสหสัมพันธ์อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล
3. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคม ส่งผลต่อการเมือง
4. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยเชิงแนวคิดวัฒนธรรม ส่งผลต่อการกระทำของตัวแสดงเสมอไป ฯลฯ

67. การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuet Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 1 หน้า 257 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไว้ในหนังสือเรื่อง “คลื่นลูกที่สาม” ทั้งในส่วนของปัจจัยเชิงโครงสร้างและในส่วนของปัจจัยของตัวแสดงซึ่งก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนําทั้งที่อยู่ในอํานาจและที่ไม่อยู่ในอํานาจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลต่อเส้นทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน

68. “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการ ปกครองนอกจากประชาธิปไตย และไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงาน ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียว ในเมือง (The Only Game in Town)” ข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายของนักวิชาการท่านใด
(1) David Easton
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 ฮวน ลินซ์ (Juan Linz) ได้กําหนดนิยามของการสร้างความมั่นคงยั่งยืน ให้กับประชาธิปไตยว่า “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมือง ที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตยและไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียวในเมือง (The Only Game in Town)”

69. การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่การปฏิวัติในอียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Color Revolutions
(2) Arab Spring
(3) Rose Revolution
(4) Asian Spring
(5) Tulip Revolution
ตอบ 2 หน้า 273, (คําบรรยาย) การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เป็นการลุกฮือของ ประชาชนเพื่อต่อต้านอํานาจรัฐและระบบที่เป็นอยู่ ซึ่งการปฏิวัตินี้ได้ทําให้เกิดแรงกระเพื่อม ไปสู่การปฏิวัติในกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แก่ อียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย หรือที่ เรียกกันว่า “การปฏิวัติในฤดูใบไม้ผลิในอาหรับ” หรือ “อาหรับสปริง” (Arab Spring)

70. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
(1) เป็นโลกที่รัฐมีบทบาทมากขึ้น
(2) เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
(3) เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน
(4) มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 281 – 285 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร อธิบายว่า สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์มีลักษณะ สําคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
2. เป็นโลกที่เส้นแบ่งต่าง ๆ ที่เคยมั่นคงชัดเจนเกิดความไม่ชัดเจน นําไปสู่การลากเส้นแบ่งใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
3. เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
5. มีการก่อการร้ายและการทําสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเป็นความจริงชุดใหม่
6. เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน

71. “ความตื่นตัวของประชาชนในตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริงไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ในคลื่นลูกที่ 4” จากข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedter
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 2 หน้า 293 ลาร์รี่ ไดมอนด์ (Larry Diamond) อธิบายว่า ความตื่นตัวของประชาชนใน ตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ ประชาธิปไตยในคลื่นลูกที่ 4

72. งานเขียนของใครถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ
(1) แมคคิอาเวลลี
(2) อริสโตเติ้ล
(3) เพลโต
(4) ล็อค
(5) อีสตัน
ตอบ 2หน้า 3 – 4, (คําบรรยาย) หนังสือปรัชญาการเมืองเรื่อง “Politics” ของอริสโตเติ้ล (Aristotle) สะท้อนให้เห็นการใช้วิธีการเปรียบเทียบเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้ทางการเมือง ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการได้มาขององค์ความรู้ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากการนําเอา กฎหมายปกครองของรัฐต่าง ๆ จํานวนมากถึง 158 รัฐมาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าในโลกนี้มีรูปแบบ การปกครอง รูปแบบ และแบ่งว่ารูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบที่ดีและรูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบ ที่เลว ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ

73. อริสโตเติ้ลเห็นว่าระบอบการปกครองใดที่ถือเป็นการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ที่ดี
(1) โพลิตี้
(2) คณาธิปไตย
(3) ทรราช
(4) ประชาธิปไตย
(5) อภิชนาธิปไตย
ตอบ 1 หน้า 4 อริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

74. เป้าหมายของการศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมืองคือข้อใด
(1) หาเกณฑ์เชิงปทัสถาน
(2) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(3) สร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 3, (คําบรรยาย) การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมือง เน้นการศึกษาสิ่งที่ควร จะเป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การค้นหาเกณฑ์เชิงปทัสถานหรือสิ่งที่ พึงประสงค์หรือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เหมาะสมในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือระบอบ การปกครองที่ดี ผู้ปกครองที่ดี รัฐที่ดี กฎหมายที่ดี เพื่อเสนอแนะหลักปฏิบัติทางการเมือง ที่ถูกต้องชอบธรรม มีจรรยาบรรณ อุดมคติ หรือค่านิยมคอยกํากับ ทําให้การศึกษาในยุคนี้ เชื่อมโยงอยู่กับเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และไม่ได้แยกเรื่องค่านิยมออกจากองค์ความรู้ทางการเมือง

75. การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
(1) การเมืองเปรียบเทียบ
(2) ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ
(3) ปรัชญาเปรียบเทียบ
(4) ทฤษฎีเปรียบเทียบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 4 – 5, 8 การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า“การปกครองเปรียบเทียบ”

76. การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันเป็นไปเพื่อเป้าหมายใด
(1) สร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง
(2) สร้างรัฐสมัยใหม่
(3) พัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบพาณิชย์นิยม
(4) สร้างความทันสมัย
(5) ข้อ 1 และ 4 ถูก
ตอบ 1 หน้า 6 – 7 การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันมุ่งศึกษารัฐและสถาบันทาง การเมืองที่เป็นทางการ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ รูปแบบรัฐ รัฐสภา รัฐบาล ตลอดจนกลไก และกระบวนการทางการเมืองต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ ถ่วงดุล การแบ่งแยกอํานาจระหว่าง สถาบันทางการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง เป็นไป ตามกรอบของกฎหมาย รองรับค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ ของคนส่วนใหญ่ โดยมีความเชื่อว่า หากมีการสร้างสถาบันทางการเมืองได้เป็นอย่างดีแล้ว ระบอบการเมืองก็จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ

77. Large-Ns มีความหมายถึงสิ่งใด
(1) จํานวนศึกษาหลายกรณี
(2) การศึกษาเชิงคุณภาพ
(3) มีจุดแข็งในการสร้างสมมติฐาน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 46 – 47, 64 Large-Ns หมายถึง จํานวนศึกษาหลายกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ ในการศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) ซึ่งข้อดีของการศึกษาหลายกรณี มีดังนี้
1. มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐานให้เข้มแข็งมากขึ้น
2. สามารถนําข้อสรุปจากการศึกษาไปใช้กับกรณีศึกษานอกกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
3. ช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
4. ช่วยให้ผลการวิเคราะห์มีลักษณะกลมกลืนกัน ฯลฯ

78. สาขาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในยุคใด
(1) ยุคสถาบัน
(2) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(3) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(4) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังสมัยใหม่
ตอบ 3 หน้า 11, 22, 33 – 34 วิชาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ ภายหลังจากความพยายามในการแสวงหา เอกลักษณ์ให้กับสาขารัฐศาสตร์และการสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์โดยการผลักดันของประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น โดยเป้าหมายหรือหัวใจหลัก สําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือการสร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเหตุเป็นผล มีความน่าเชื่อถือ สามารถนําไปใช้ในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

79. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงการเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
(1) ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการเมืองที่สอดคล้องกับคุณธรรมจริยธรรม
(2) ผลักดันโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้แนวคิดแบบพฤติกรรมศาสตร์
(3) มีเป้าหมายในการสร้างคุณภาพของประชาธิปไตย
(4) เรียกร้องให้เกิดการยอมรับความจริงอันหลากหลาย
(5) ผลักดันโดยสหภาพโซเวียตภายใต้บริบทสงครามเย็น
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80. เป้าหมายสําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือข้อใด
(1) สร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย
(2) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(3) สร้างกฎหมายปกครองที่ยอดเยี่ยม
(4) ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

81. “ไม่มีชนชั้นนายทุน ไม่มีประชาธิปไตย” เป็นคํากล่าวของนักวิชาการคนใด
(1) แกเบรียล อัลมอนด์
(2) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(3) เธดา สค็อกโพล
(4) แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์
(5) โรเบิร์ต ดาห์ล
ตอบ 4 หน้า 72 งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของแบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการศึกษาน้อยกรณี (Small-NS) ซึ่งงานชิ้นนี้มัวร์ได้สร้างคําอธิบายใหม่ที่แตกต่างจากคําอธิบายเดิมที่มักบอกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยมีการอธิบายที่ซับซ้อนมากขึ้น พิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรต้นจํานวนมากขึ้นทั้งในส่วนของชนชั้นทางสังคม โครงสร้างทาง เศรษฐกิจ อํานาจรัฐ ตลอดจนพิจารณาถึงปฏิสัมพันธ์กันเองของตัวแปรต้นต่าง ๆ ควบคู่กันไป กับการพิจารณาอิทธิพลที่มีต่อตัวแปรตาม ซึ่งนําไปสู่ข้อสรุปที่โด่งดังที่ว่า “ไม่มีชนชั้นนายทุนไม่มีประชาธิปไตย”

82. ข้อใดไม่ใช่หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง
(1) ระบบการเมือง
(2) สถาบันทางการเมือง
(3) รัฐ
(4) กฎหมาย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 38, (คําบรรยาย) หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง เป็นหน่วยวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างต่าง ๆ ในสังคม เช่น ระบบการเมือง รัฐ ชนชั้น สถาบันทางการเมือง กฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ความสัมพันธ์เชิงอํานาจ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ในระดับนี้จะมี ความเชื่อว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นมีอิทธิพลต่อการกระทําของมนุษย์และการเกิดปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ในสังคม พฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้มีเสรีภาพมากนัก แต่จะแสดงออกมาภายใต้กรอบ ของโครงสร้างดังกล่าว

83. กรณีศึกษาแบบใดช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
(1) Small-Ns
(2) การศึกษากรณีประเทศเดียว
(3) Large-Ns
(4) กรณีศึกษาเชิงลึก
(5) กรณีศึกษาตามรายประเด็น
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

84. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบ
(1) ต้องเปรียบเทียบกรณีมากกว่า 1 ประเทศเท่านั้น
(2) การเปรียบเทียบกรณีศึกษาเดียวทําให้ได้ข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียด
(3) การเปรียบเทียบระดับโลกเป็นการศึกษาที่ได้ข้อมูลกว้างแต่ไม่ลึก
(4) ศึกษาประเทศเดียวก็ได้
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 40 – 41 การเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบสามารถเลือกศึกษาประเทศเดียวก็ได้ซึ่งการเปรียบเทียบอาจจะเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ภายในประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ศึกษาเฉพาะสถาบันทางการเมืองหนึ่ง ๆ เช่น พรรคการเมือง สถาบันทหาร รัฐสภา กลุ่มผลประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งการเลือกศึกษาประเทศเดียวนี้จะง่ายต่อ ผู้ศึกษารุ่นใหม่ที่ประสบการณ์ยังไม่เยอะมาก

85. นักวิชาการผู้ใดเป็นผู้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยม
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น ล็อค
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(5) เดวิด อีสตัน
ตอบ 3 หน้า 50 – 57, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยมไว้ 4 วิธีการ คือ
1. วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement)
2. วิธีการพิจารณาความแตกต่าง (Method of Difference)
3. วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่ (Method of Residues)
4. วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน (Method of Concomitant Variations)

86. วิธีการเปรียบเทียบในวิชาการเมืองเปรียบเทียบถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป้าหมายใด
(1) การแข่งขันระหว่างประเทศ
(2) หาสิ่งที่พึงประสงค์
(3) สร้างความได้เปรียบ
(4) สร้างจริยธรรมทางการปกครอง
(5) สกัดหาตัวแปรที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา
ตอบ 5 หน้า 50 วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการที่ต้องเลือกมาใช้ในการเปรียบเทียบเพื่อสร้างคําอธิบาย ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเงื่อนไขหรือปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ กับผลลัพธ์ที่ศึกษา หรือ กล่าวอีกนัยคือ วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการสําหรับนํามาใช้เพื่อสกัดหาตัวแปรหรือเงื่อนไข ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา

87. มองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างในกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 51 วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement) เป็นการมองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ในกรณีศึกษาต่าง ๆที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์

88. ค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่า ตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(3) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
(4) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) เป็นการค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์

89. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 59 – 60 วิธีการเปรียบเทียบของเชวอร์สกีและเทิร์น (Przeworski and Teune) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มี 2 วิธี คือ
1. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความแตกต่างของมิลล์
2. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด (Most Different Systems : MDS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความเหมือนของมิลล์

90. วิธีการเปรียบเทียบแบบ MSS และ MDS พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) Przeworski and Teune
(2) John Stuart Mill
(3) Antonio Gramsci
(4) Ragin and Rubinson
(5) Anthony Giddens
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

91. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

92. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงวิชาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบัน
(1) มีวิธีการที่หลากหลาย
(2) เน้นระเบียบวิธีวิจัยที่เคร่งครัด
(3) รวมเรียกว่าการปกครองเปรียบเทียบ
(4) เน้นปัจจัยสร้างประชาธิปไตย
(5) เชื่อมั่นในศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การศึกษาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบันนั้นมีขอบเขตกว้างขวาง ครอบคลุม ประเด็นต่าง ๆ ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ การเมืองใน ชีวิตประจําวัน ตลอดจนคุณภาพของประชาธิปไตย ดังนั้นการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ ในปัจจุบันจึงไม่ได้ใช้ศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น แต่ใช้แนวทางและวิธีการอันหลากหลาย ที่สอดคล้องกับประเด็นการศึกษา เพื่อให้เกิดองค์ความรู้สําหรับการอธิบายทางการเมือง ตลอดจนเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองต่าง ๆ อย่างรอบด้าน

93. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระเบียบวิธีการศึกษาเปรียบเทียบแบบ Small-Ns
(1) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ
(2) เน้นศึกษาน้อยกรณี
(3) เน้นตีความหรือทําความเข้าใจความหมาย
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 1 หน้า 70 Small-Ns คือ การศึกษาน้อยกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) ซึ่งเป็นการศึกษาที่เน้นเรื่องของ การตีความหรือทําความเข้าใจความหมายอย่างรอบด้านหรือในลักษณะองค์รวม เพื่อทําความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นที่ศึกษาในกรณีนั้น ๆ

94. งานการเมืองเปรียบเทียบเรื่อง “Political Man” เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) มาร์กซ์
(2) ลิปเซ็ต
(3) เชวอร์สกี
(4) อีสตัน
(5) มัวร์ จูเนียร์
ตอบ 2 หน้า 64, 67 – 68 งานการเมืองเปรียบเทียบเรื่อง “Political Man” ของลิปเซ็ต (Lipset) เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับความเป็นประชาธิปไตยโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการศึกษาหลายกรณี (Large-Ns) ซึ่งผลจากการศึกษา พบว่า กลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยมั่นคง ประชาชนจะมีรายได้สูงกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตย ไม่มั่นคงหรือเป็นเผด็จการ จากงานชิ้นนี้ของลิปเซ็ตได้นํามาสู่ข้อสรุปเป็นคําอธิบายทั่วไป อันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”

95. คําอธิบายอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”เป็นของนักวิชาการผู้ใด
(1) ไดมอนด์
(2) กิดเดนส์
(3) ลิปเซ็ต
(4) ลาสเวลล์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 94. ประกอบ

96. งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) ลิปเซ็ต
(2) อีสตัน
(3) ฮันทิงตัน
(4) มัวร์ จูเนียร์
(5) ไดมอนด์
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

97.งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” เป็นของนักวิชาการท่านใด (1) ลิปเซ็ต
(2) เชวอร์สกี
(3) ลาสเวลล์
(4) มัวร์ จูเนียร์
(5) พุตนัม
ตอบ 5 หน้า 74 งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy ของ โรเบิร์ต พุตนัม (Robert Putnum) เป็นการศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมแบบพลเมืองที่ส่งผลต่อ การทํางานของระบอบประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคในภาคเหนือ และภาคใต้ของอิตาลี ซึ่งพุตนัมได้ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้ วิธีการเชิงปริมาณเพื่อสํารวจทัศนคติของพลเมือง และใช้วิธีการเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นข้อมูลความเป็นมาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคในอิตาลี

98. “พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา” (Methodological Pluralism) สอดคล้องกับข้อใด
(1) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(2) ยุคหลังสมัยใหม่
(3) Nest Analysis
(4) Mixed Method
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 74 – 75, 140 พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา (Methodological Pluralism) เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์หรือยุคหลังสมัยใหม่ เป็นการศึกษาที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงระเบียบวิธีวิจัยซึ่งอาจใช้วิธีการแบบผสม (Mixed Method) หรือ “การวิเคราะห์ ประสานกันแบบรังนก” (Nest Analysis) และมีการขยายขอบเขตของการศึกษาครอบคลุม ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ ตลอดจนการเมืองในชีวิตประจําวัน เช่น เรื่องของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมภาคประชาสังคม รวมถึง เรื่องปฏิสัมพันธ์ของการเมืองภายในและภายนอกประเทศ

99. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงแนวทางการวิเคราะห์ (Approach)
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ระบุความสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงผลเป็นรูปธรรม
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 80 – 81, 143 แนวทางการศึกษาหรือแนวทางการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบเค้าโครงในการศึกษาที่จะเป็นตัวกําหนดระดับของการอธิบาย วิธีการในการศึกษาตลอดจนทฤษฎีที่จะใช้ในการศึกษา โดยแนวทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่จะเป็นกรอบเค้าโครง กว้าง ๆ โดยไม่มีการลงลึกในส่วนของตัวแบบในการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม และในแต่ละ แนวทางการศึกษาจะประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ๆ อยู่ด้วย

100. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงทฤษฎีในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 82 ทฤษฎี (Theory) คือ ชุดของคําอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล (Causal Relations) ของปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษา หรือเรียกอีกอย่างว่าชุดของคําอธิบายความสัมพันธ์เชิงปัจจยาการ

 

POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น 1/2566

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. “ไม่มีชนชั้นนายทุน ไม่มีประชาธิปไตย” เป็นคํากล่าวของนักวิชาการคนใด
(1) แกเบรียล อัลมอนด์
(2) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(3) เธดา สค็อกโพล
(4) แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์
(5) โรเบิร์ต ดาห์ล
ตอบ 4 หน้า 72 งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของแบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการศึกษาน้อยกรณี (Small-NS) ซึ่งงานชิ้นนี้มัวร์ได้สร้างคําอธิบายใหม่ที่แตกต่างจากคําอธิบายเดิมที่มักบอกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยมีการอธิบายที่ซับซ้อนมากขึ้น พิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรต้นจํานวนมากขึ้นทั้งในส่วนของชนชั้นทางสังคม โครงสร้างทาง เศรษฐกิจ อํานาจรัฐ ตลอดจนพิจารณาถึงปฏิสัมพันธ์กันเองของตัวแปรต้นต่าง ๆ ควบคู่กันไป กับการพิจารณาอิทธิพลที่มีต่อตัวแปรตาม ซึ่งนําไปสู่ข้อสรุปที่โด่งดังที่ว่า “ไม่มีชนชั้นนายทุนไม่มีประชาธิปไตย”

2.วิธีการเปรียบเทียบแบบ MSS และ MDS พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) Przeworski and Teune
(2) John Stuart Mill
(3) Antonio Gramsci
(4) Ragin and Rubinson
(5) Anthony Giddens
ตอบ 1 หน้า 59 – 60 วิธีการเปรียบเทียบของเชวอร์สกีและเทิร์น (Przeworski and Teune) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มี 2 วิธี คือ
1. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความแตกต่างของมิลล์
2. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด (Most Different Systems : MDS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความเหมือนของมิลล์

3. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระเบียบวิธีการศึกษาเปรียบเทียบแบบ Small-Ns
(1) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ
(2) เน้นศึกษาน้อยกรณี
(3) เน้นตีความหรือทําความเข้าใจความหมาย
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 1 หน้า 70 Small-Ns คือ การศึกษาน้อยกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) ซึ่งเป็นการศึกษาที่เน้นเรื่องของ การตีความหรือทําความเข้าใจความหมายอย่างรอบด้านหรือในลักษณะองค์รวม เพื่อทําความ เข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นที่ศึกษาในกรณีนั้น ๆ

4.งานของลิปเซ็ตเรื่อง “Political Man” ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Small-Ns
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 5 หน้า 64, 67 – 68 งานของลิปเซ็ต (Lipset) เรื่อง “Political Man” เป็นการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับความเป็นประชาธิปไตย โดยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการศึกษาหลายกรณี (Large-Ns) ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่ากลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยมั่นคงประชาชนจะมีรายได้สูงกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตยไม่มั่นคงหรือเป็นเผด็จการ จากงานชิ้นนี้ของลิปเซ็ตได้นํามาสู่ข้อสรุปเป็นคําอธิบายทั่วไปอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”

5.คําอธิบายอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”เป็นของนักวิชาการผู้ใด
(1) ไดมอนด์
(2) กิดเดนส์
(3) ลิปเซ็ต
(4) ลาสเวลล์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6.งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของมัวร์ จูเนียร์ ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

7. งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของโรเบิร์ต พุตนัม ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 4หน้า 74 งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของ โรเบิร์ต พุตนัม (Robert Putnum) เป็นการศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมแบบพลเมืองที่ส่งผลต่อ การทํางานของระบอบประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคในภาคเหนือ และภาคใต้ของอิตาลี ซึ่งพุตนัมได้ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้ วิธีการเชิงปริมาณเพื่อสํารวจทัศนคติของพลเมือง และใช้วิธีการเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นข้อมูลความเป็นมาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคในอิตาลี

8.“พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา” (Methodological Pluralism) สอดคล้องกับข้อใด
(1) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(2) ยุคหลังสมัยใหม่
(3) Nest Analysis
(4) Mixed Method
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 74 – 75, 140 พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา (Methodological Pluralism) เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์หรือยุคหลังสมัยใหม่ เป็นการศึกษาที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงระเบียบวิธีวิจัยซึ่งอาจใช้วิธีการแบบผสม (Mixed Method) หรือ “การวิเคราะห์ ประสานกันแบบรังนก” (Nest Analysis) และมีการขยายขอบเขตของการศึกษาครอบคลุม ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ ตลอดจนการเมืองในชีวิตประจําวัน เช่น เรื่องของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมภาคประชาสังคม รวมถึง เรื่องปฏิสัมพันธ์ของการเมืองภายในและภายนอกประเทศ

9. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงแนวทางการวิเคราะห์ (Approach)
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ระบุความสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงผลเป็นรูปธรรม
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 80 – 81, 143 แนวทางการศึกษาหรือแนวทางการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบเค้าโครงในการศึกษาที่จะเป็นตัวกําหนดระดับของการอธิบาย วิธีการในการศึกษาตลอดจนทฤษฎีที่จะใช้ในการศึกษา โดยแนวทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่จะเป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ โดยไม่มีการลงลึกในส่วนของตัวแบบในการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม และในแต่ละ แนวทางการศึกษาจะประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ๆ อยู่ด้วย

10. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงทฤษฎีในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 82 ทฤษฎี (Theory) คือ ชุดของคําอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล (Causal Relations) ของปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษา หรือเรียกอีกอย่างว่า ชุดของคําอธิบายความสัมพันธ์เชิงปัจจยาการ

11. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสหลัก
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 83 – 127 แนวทางการวิเคราะห์กระแสหลัก ได้แก่
1. แนวทางระบบ
2. แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
3. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล
4. แนวทางสถาบันนิยมใหม่
5. แนวทางโครงสร้าง

12. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสวิพากษ์
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางสถาบันนิยมใหม่
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 85 – 86, 107, 134, 140 แนวทางการวิเคราะห์กระแสวิพากษ์ ได้แก่
1. แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
2. แนวทางมาร์กซิสต์
3. แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
4. แนวทางหลังสมัยใหม่หรือแนวทางหลังโครงสร้างนิยม (ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ)

13. นักรัฐศาสตร์คนสําคัญที่นําเอาความคิดเชิงระบบมาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบคือ
(1) อีสตัน
(2) อัลมอนด์
(3) คาร์ล ดอยซ์
(4) คาร์ล มาร์กซ์
(5) ชาร์ล ทิลลี่
ตอบ 1 หน้า 89 เดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์คนแรกที่นําเอาความคิดเชิงระบบ มาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบ และเป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสนอแบบจําลองของระบบการเมือง อันเป็นผลจากความพยายามในการหาทฤษฎีทั่วไปที่สามารถใช้ในการอธิบายการเมืองทั้งระบบหรือสร้างทฤษฎีมหภาคที่สามารถนําไปใช้อธิบายสังคมอื่น ๆ ได้ทั่วทั้งโลก

14. ในทฤษฎีระบบการเมือง ปัจจัยนําเข้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) ข้อเรียกร้องความต้องการและการสนับสนุน
(2) รัฐบาลและรัฐสภา
(3) พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
(4) นโยบายและการปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 89 – 90 ในทฤษฎีระบบการเมืองนั้น เดวิด อีสตัน (David Easton) อธิบายว่า“ระบบการเมือง” (Political System) เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ซึ่งทําหน้าที่อยู่ภายใต้ “สิ่งแวดล้อม” (Environment) โดยจะมี “ปัจจัยนําเข้า (Inputs) ซึ่งประกอบด้วย ข้อเรียกร้อง
ความต้องการ (Demands) และการสนับสนุน (Supports) จากสิ่งแวดล้อมเข้ามาสู่ระบบการเมือง แล้วระบบการเมืองก็จะทําหน้าที่ในการตัดสินใจแปลงปัจจัยนําเข้าดังกล่าวเป็น “ปัจจัยนําออก (Outputs) ในรูปของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายต่าง ๆ ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม และผลจากการทํางานของระบบการเมืองก็จะเกิดเป็น “ผลสะท้อนกลับ” (Feedback) กลับเข้าไปเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

15. ทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) อีสตัน
(2) เมอร์เรียม
(3) อัลมอนด์
(4) ฟูโกต์
(5) พาร์สัน
ตอบ 3 หน้า 92 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) ได้พัฒนาทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โดยได้ดึงแนวคิดเรื่องบทบาทและโครงสร้างของนักสังคมวิทยา เช่น แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ทาลค็อตต์ พาร์สัน (Talcott Parsons) เข้ามาผนวกกับทฤษฎีระบบ เพื่อให้ทฤษฎีระบบเชิง โครงสร้าง-หน้าที่มีความเป็นรูปธรรม สามารถศึกษากลุ่มของการกระทําทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการได้

16. ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โครงสร้างใดทําหน้าที่รวบรวมผลประโยชน์
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) รัฐบาล
(4) รัฐสภา
(5) ศาล
ตอบ 2 หน้า 93 – 94 ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่นั้น แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Atmond) อธิบายว่า โครงสร้างทางการเมืองแต่ละอย่างสามารถทํางานได้หลายหน้าที่ แม้ใน ระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วจะมีโครงสร้างหนึ่งขึ้นมาทําหน้าที่เฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นจะทําแค่หน้าที่เดียว เพราะโครงสร้างในทุกระบบการเมืองจะทําหน้าที่ หลาย ๆ อย่างเสมอ เช่น พรรคการเมืองมีหน้าที่หลักในการรวบรวมผลประโยชน์และเลือกสรร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่พรรคการเมืองก็ทําหน้าที่อื่น ๆ เช่น การเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับ ประชาชน การให้การศึกษาทางการเมือง เป็นต้น

17. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบใดเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
(1) Parochial
(2) Subject
(3) Participant
(4) Civic Culture
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 102 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ได้แบ่งวัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็น 3 แบบ คือ แบบคับแคบ (Parochial) แบบไพร่ฟ้า (Subject) และแบบมีส่วนร่วม (Participant) โดยมองว่า วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสม หรือเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่วัฒนธรรมแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องเป็นวัฒนธรรมทาง การเมืองที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้ง 3 แบบอย่างลงตัว ซึ่งเรียกว่า “วัฒนธรรม แบบพลเมือง” (Civic Culture) อันเป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนมีความกระตือรือร้นทางการเมือง แต่ก็ไม่มากจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

18. นักรัฐศาสตร์ท่านใดมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง
(1) Huntington
(2) Bentley
(3) Downs
(4) Powell
(5) Atmond
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) โดยอัลมอนด์เสนอว่า สาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้ประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และอีกประเทศหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพราะว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย ส่วนประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นมีวัฒนธรรมไม่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย

19. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ Subject
(1) เป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง
(2) เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
(3) เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ปฏิบัติ
(4) เป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 102, (คําบรรยาย) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบรับรู้แต่ไม่เข้าร่วมทางการเมืองหรือแบบ ไพร่ฟ้า (Subject) เป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจข่าวสาร มีความรู้เกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เข้าไป มีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีอํานาจทางการเมือง เรื่องของการเมืองเป็น เรื่องของผู้นํา ดังนั้นลักษณะของวัฒนธรรมแบบนี้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง การเมือง เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและกฎเกณฑ์ปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล

20. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทางของยุคใด
(1) ยุคปรัชญา
(2) ยุคสถาบัน
(3) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(4) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 108 – 109 แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลมาจากสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเริ่มถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ ทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็น ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ดังนั้นแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลจึงถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทาง หรือทฤษฎีในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ในกระแสหลักที่ยังเชื่อมั่นในการสร้างความเป็นศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ในทางการเมือง

21. แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลคือ
(1) ความเสียสละ
(2) ผลประโยชน์ส่วนบุคคล
(3) ผลประโยชน์ของชาติ
(4) ความหลากหลาย
(5) ความเท่าเทียม
ตอบ 2 หน้า 109 แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลตั้งอยู่บนสมมติฐาน หลัก 2 ตัว คือ ความมีเหตุมีผล (Rationality) กับผลประโยชน์ส่วนบุคคล (Self-Interest)

22. ตามแนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล คําว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผลหมายถึงข้อใด
(1) จะทําการใดต้องมีการคํานวณ
(2) คิดถึงประโยชน์ได้เสีย
(3) แสวงหาประโยชน์สูงสุด
(4) หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 110, (คําบรรยาย) แนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) มีสมมติฐานสําคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผล ซึ่งคําว่ามีเหตุมีผลหมายถึง มนุษย์ทุกคนเวลา จะทําการใดจะต้องคํานวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไร และเสียประโยชน์ อย่างไร หรือคํานวณผลได้ผลเสียที่จะได้รับจากทางเลือกแต่ละทาง โดยมนุษย์จะตัดสินใจเลือก ทางเลือกที่ได้ประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์มากที่สุดหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์นั่นเอง

23. แนวทางสถาบันดั้งเดิมแตกต่างกับแนวทางสถาบันนิยมใหม่ในข้อใด
(1) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ
(2) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการ
(3) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 115, 118, 120 – 122 แนวทางสถาบันดั้งเดิม เน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการหรือ ศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย ส่วนแนวทางสถาบันนิยมใหม่ให้ความสําคัญกับการศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการควบคู่กันไปกับการศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ รวมถึงขยายขอบเขต ของการศึกษาไปสู่เรื่องของพฤติกรรมของตัวแสดงทางการเมือง ปัจจัยทั้งหลายที่สามารถ ส่งผลทั้งต่อตัวสถาบันและต่อพฤติกรรมทางการเมืองภายในสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนการศึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถาบันและตัวแสดงทางการเมืองต่าง ๆ

24. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นสถาบันของฮันทิงตัน
(1) ความสามารถในการปรับตัว
(2) การแบ่งโครงสร้างทําหน้าที่เฉพาะ
(3) ความรวดเร็วในการทํางาน
(4) ความเป็นอิสระในตนเอง
(5) ความเป็นปึกแผ่น
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้เสนอตัวชี้วัดความเป็น สถาบัน ซึ่งมี 4 ประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)
2. การแบ่งโครงสร้างแยกย่อยลงไปและทําหน้าที่เฉพาะ (Complexity)
3. ความเป็นอิสระในตนเอง (Autonomy)
4. ความเป็นปึกแผ่น (Coherence)

25. “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) มาร์กซ์
(2) ทิลลี่
(3) ไชยวัฒน์ ค้ําชู
(4) อดอร์โน
(5) เดอร์ไคม์
ตอบ 2 หน้า 128 แนวทางโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ จะเน้นวิเคราะห์ความเป็นมาของโครงสร้าง ขนาดใหญ่ เช่น พัฒนาการของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในโลกตะวันตก พัฒนาการของระบบ ทุนนิยม พัฒนาการของยุคอุตสาหกรรม พัฒนาการของรัฐสมัยใหม่ พัฒนาการของการเข้าสู่ ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพใหญ่ของพัฒนาการ ตลอดจน ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่ศึกษาดังที่ชาร์ล ทิลลี่ (Charles Tilly) เรียกว่า “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” และ “กระบวนการใหญ่”

26. นักวิชาการผู้ใดมีอิทธิพลต่อแนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) ซี. ไรท์ มิลล์
(5) คาร์ล ป๊อปเปอร์
ตอบ 1 หน้า 129, (คําบรรยาย) นิคอส พลันต์ซาส (Nicos Poulantzas) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลต่อ แนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ อันเป็นผลมาจากกระแสการนํารัฐกลับมาเป็นแกนกลางในการศึกษาทางการเมือง

27. นักวิชาการคนใดมีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) แม็กซ์ เวเบอร์
(5) สค็อกโพล
ตอบ 5 หน้า 117, 130, 156 เธดา สค็อกโพล (Theda Skocpol) และปีเตอร์ อีแวน (Peter Evans) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง โดยทั้งสองได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Bringing the State Back In” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ถูกนํามาใช้ เป็นกระแสการเรียกร้องให้รัฐซึ่งถูกมองว่าเป็นเหมือนกล่องดํา คือเป็นที่รวมของอํานาจที่กลุ่ม ต่าง ๆ ใช้ในการต่อรอง แย่งชิง ผลักดันนโยบายสาธารณะให้สอดคล้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน กลับเข้ามาสู่การเป็นศูนย์กลางของการวิเคราะห์ทางการเมือง

28. เพราะเหตุใดแนวคิดแบบมาร์กซิสต์จึงไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคงจะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม
(1) เพราะยากที่สถาบันการเมืองจะมีความเข้มแข็ง
(2) เพราะเอกชนจะเรียกร้องให้รัฐมีบทบาทน้อย
(3) เพราะมีความเจริญทางวัตถุแต่จิตใจผู้คนตกต่ำ
(4) เพราะมีโครงสร้างที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ
(5) เพราะผู้คนไม่สนใจคุณธรรมจริยธรรมทางศาสนา
ตอบ 4 หน้า 134 – 136, (คําบรรยาย) แนวคิดแบบมาร์กซิสต์ไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคง จะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม เพราะหัวใจสําคัญของประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน แต่ใน ระบบทุนนิยมกลับมีโครงสร้างที่ทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ กล่าวคือ ในระบบทุนนิยมนั้น ชนชั้นที่ออกแรงผลิตคือชนชั้นแรงงาน แต่ชนชั้นนายทุนกลับรีบเอามูลค่าที่ชนชั้นแรงงานผลิตได้ ไปเป็นของตน ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวทําให้เกิด “ชนชั้นผู้ได้เปรียบ” กับ “ชนชั้นผู้เสียเปรียบ” ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

29. ปัจจัยใดที่คาร์ล มาร์กซ์ ให้ความสําคัญที่สุดเมื่อวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง
(1) อํานาจของกฎหมาย
(2) โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจ
(3) การครอบงําทางความคิดผ่านทางศาสนา
(4) แสนยานุภาพทางทหาร
(5) อํานาจของรัฐในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
ตอบ 2 หน้า 134 – 135 “ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist Theory) กําเนิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมอย่างถึงรากถึงโคน หรือก็คือ ปฏิเสธระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง โดยการวิเคราะห์ของมาร์กซ์นั้นในทางหนึ่งเป็นการ วิเคราะห์เชิงโครงสร้างและการวิเคราะห์พัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ แต่หัวใจหลักอยู่ที่การใช้ โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจในการวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง

30. ข้อใดเป็นความแตกต่างสําคัญที่สุดระหว่างมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมกับมาร์กซิสต์ใหม่
(1) วิเคราะห์ทางชนชั้น
(2) ปฏิเสธระบบทุนนิยม
(3) ปฏิวัติทางชนชั้น
(4) ให้ความสําคัญกับอํานาจรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 137 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากทฤษฎีมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม โดยมีจุดร่วมสําคัญ คือ การมองว่าชนชั้นที่มีอํานาจทางเศรษฐกิจมักมีแนวโน้มมีอํานาจในทาง การเมืองด้วย แต่มีจุดต่างสําคัญจากมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมคือหันไปให้น้ําหนักกับโครงสร้างส่วนบนมากขึ้นแทนที่จะเน้นวิเคราะห์โครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น โดยเฉพาะประเด็นของอํานาจรัฐ

31. แนวคิดสําคัญของอันโตนิโอ กรัม คือแนวคิดใด
(1) การปฏิวัติทางชนชั้น
(2) วาทกรรม
(3) การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์
(4) พหุวัฒนธรรม
(5) การครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรม
ตอบ 3 หน้า 137 – 138 อันโตนิโอ กรัมซี (Antonio Gramsci) ได้เสนอแนวคิด “การครองความเป็น จ้าวทางอุดมการณ์” (Hegemony) โดยอธิบายว่า โครงสร้างส่วนบนแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือ สังคมการเมืองและสังคมประชา ชนชั้นที่ต้องการมีอํานาจเหนือสังคมอย่างเบ็ดเสร็จต้องสามารถครองอํานาจได้ในทั้งสองพื้นที่ในฐานะผู้ครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์ และกรัมที่ได้ให้น้ำหนักไปที่การครอบงําทางความคิดอย่างมาก เนื่องจากการที่ชนชั้นหนึ่งจะมีชัยชนะขั้นเด็ดขาดและ สมบูรณ์เหนือสังคมได้ ชนชั้นนั้นต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

32. นักวิชาการคนใดเสนอแนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรม
(1) หลุยส์ อัลธูแชร์
(2) เออร์เนสโต ลาเคลา
(3) ของทัล มูฟ
(4) ชาร์ค แดร์ริดา
(5) มิเชล ฟูโกต์
ตอบ 5 หน้า 140 – 143 แนวคิดที่สําคัญของนักวิชาการในยุคหลังสมัยใหม่ มีดังนี้
1. แนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรมของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault)
2. แนวคิดการรื้อสร้างของชาร์ค แคร์ริดา (Jacques Derrida)
3. แนวคิดมายาคติของโรลอง บาร์ต (Roland Barthes)
4. แนวคิดการครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรมและแนวคิดประชาธิปไตยเชิงลึกของเออร์เนสโต ลาเวลาและของทัล มูฟ (Ernesto Laclau and Chantal Mouffe) ฯลฯ

33. “รัฐคือองค์การทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้” เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Andrew Heywood
(2) Joel Migdal
(3) Max Weber
(4) Gaetano Mosca
(5) Anthony Giddens
ตอบ 5 หน้า 149 แอนโทนี กิดเดนส์ (Anthony Giddens) ได้ให้นิยามคําว่ารัฐไว้ว่า “รัฐคือองค์การ ทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้ คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้

34. รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเอง คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 1 หน้า 148 รัฐในความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานง และเป้าหมายของตนเองแยกออกมาและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจเจกบุคคล มีลักษณะเป็นสากล ซึ่งรัฐจะนําพามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ โดยที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟังรัฐ

35. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) Treaty of Ulm 1647 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(2) Treaty of Concordia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(3) Treaty of Westphalia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(4) Treaty of Zboriv 1649 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(5) Treaty of Breda 1650 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
ตอบ 3 หน้า 147 สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648 นํามาสู่การ เกิดขึ้นของ “รัฐสมัยใหม่” ในยุโรป ซึ่งมีองค์ประกอบสําคัญ 4 ประการ คือ ดินแดนที่แน่นอน (Territory) ประชากร(Population) รัฐบาล (Government) และอํานาจอธิปไตย (Sovereignty)

36. รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทาง การปกครองทั้งหลาย คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 4 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงองค์การ หมายถึง รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย

37. รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 3 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่ หมายถึง รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบ และหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม

38. รัฐเป็นแหล่งรวมของชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นน่านิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 2 หน้า 148 – 149 รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม หมายถึง รัฐเป็นแหล่งรวมของ ชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม

39. รัฐที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State.
(5) Minimal State
ตอบ 4หน้า 151 – 152 รัฐรวม (Composite State) หรือสหพันธรัฐ (Federation) คือ รัฐที่เกิดขึ้น จากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป มีการจัดตั้งรัฐบาลกลางขึ้นโดยการมอบ อธิปไตยบางส่วนให้รัฐบาลกลางเพื่อจัดการในเรื่องสําคัญของส่วนรวมด้วยเหตุผลในเรื่องของ การป้องกันภัยรุกราน ความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ในขณะที่แต่ละรัฐที่มารวมตัวกัน ก็ยังคงมีอธิปไตยของตนเองอยู่บางส่วน ดังนั้นรัฐรวมจึงมีรัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลาง และ รัฐบาลของท้องถิ่นหรือมลรัฐ ตัวอย่างของรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น

40. รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าประธานาธิบดี คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 2 หน้า 151 สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้นําทางศาสนา รัฐแบบนี้พบได้ทั้งในระบอบประชาธิปไตย (เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย อิตาลี อินเดีย) คอมมิวนิสต์ (เช่น จีน เวียดนาม) และรัฐที่ปกครองโดยหลักศาสนา (เช่น อิหร่าน)

41. รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุดในเขตแดนของรัฐ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary Stateฃ
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 3 หน้า 151 รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุด หรืออธิปไตยสมบูรณ์ในเขตแดนของรัฐนั้น ๆ ไม่มีรัฐบาลในระดับที่รองลงมา หน่วยงานของรัฐ ในท้องที่ เช่น จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นมือไม้หรือหน่วยงานที่รับมอบหมายงานจาก รัฐบาลกลางไปดําเนินการ หรือในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่นแม้จะได้รับการกระจายอํานาจลงไปให้บ้างแต่ก็ไม่ถือว่ามีอธิปไตยเป็นของตนเอง การดําเนินงานยังคงอยู่ภายใต้การ กํากับควบคุมของรัฐบาลกลาง ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว เช่น ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น

42. รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 1 หน้า 150 – 151 รัฐราชอาณาจักร (Kingdom State) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งรัฐราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดในปัจจุบันก็ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของรัฐ และมีรัฐบาลในระบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เบลเยียม ไทย เป็นต้น

43. รัฐมีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการดําเนิน กิจกรรมต่าง ๆ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 1 หน้า 153 รัฐแบบกรรมการ (Minimal State) คือ รัฐที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบเสรีนิยมที่ให้รัฐ มีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการ ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ รัฐประเภทนี้พบในประเทศที่เป็นเสรีนิยมทุนนิยม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้น

44. รัฐเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมคือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 2 หน้า 153 รัฐเพื่อการพัฒนา (Developmental State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐอาจจะประสาน ความร่วมมือกับนายทุนระดับชาติเพื่อการดังกล่าว ทั้งนี้การแทรกแซงดังกล่าวเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเอกชนในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศ มากกว่าการเข้าไปขัดขวางหรือรับเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจมาดําเนินการเอง ตัวอย่างของรัฐประเภทนี้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น

45. แนวคิดเศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) มีความสัมพันธ์กับประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 3 หน้า 154 รัฐสังคม-ประชาธิปไตย (Social-Democratic State) คือ รัฐที่มีเป้าหมายเพื่อ ปฏิรูปสังคมให้เกิดความยุติธรรม แก้ปัญหาความยากจน เน้นให้เกิดความเท่าเทียมขึ้นในสังคม เป็นรัฐที่เน้นทําเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมากกว่าจะเน้นทําเพื่อประโยชน์ของนายทุน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวรัฐจึงต้องเข้าไปแทรกแซงสังคมในระดับสูงหรืออย่างแข็งขัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ตัวอย่างเช่น แนวคิด เศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ เป็นต้น

46. พบในสหภาพโซเวียตในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 5 หน้า 154 – 155 รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarian State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงเหนือสังคม ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ กระทั่งการใช้ชีวิตในทุกด้าน โดยไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นรัฐที่มีอํานาจ สูงที่สุด ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคําสั่งของรัฐ รัฐประเภทนี้พบในสหภาพโซเวียต ในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี และเกาหลีเหนือ

47. รัฐเข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดให้ เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 4หน้า 154 รัฐรวมศูนย์ (Collectivized State) คือ รัฐที่เข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเอง ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดถูกวางแผนและจัดการโดยรัฐ จากส่วนกลาง รวมถึงมีการยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล คือ ไม่ให้เอกชนสามารถมีทรัพย์สิน ส่วนตัวได้ แต่ให้ทุกอย่างตกเป็นสมบัติของส่วนรวม รัฐประเภทนี้พบได้ในระบอบคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต จีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง เป็นต้น

48. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษารัฐนิยม (Statist Model)
(1) มีคําอธิบายรัฐนิยมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson
(2) เกิดจากการผลักดันของ Theda Skocpol และ Peter Evans
(3) รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจน้อยที่สุด
(4) รัฐในมุมมอง Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น
(5) ฐานคิดสําคัญคือรัฐจะมีบทบาทเสมอในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 156 – 158, (คําบรรยาย) อนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้อธิบายรัฐนิยมโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson ซึ่งจาก 3 กลุ่มนี้ รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจสูงที่สุด รองลงมาคือ รัฐในมุมมองของ Theda Skocpol และรัฐในมุมมองของ Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น

49. ประชาธิปไตยทางตรงเกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) Roman
(2) Athens
(3) Sparta
(4) Thebes
(5) Corinth
ตอบ 2หน้า 165, (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบของ ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าไปใช้อํานาจในทางการเมืองอย่าง เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ในยุคกรีกโบราณ ทั้งนี้ประชาธิปไตยรูปแบบนี้สามารถทําได้ในกรณีของรัฐที่มีประชากรจํานวนน้อย ดังนั้นในโลกปัจจุบันที่มีประชากรจํานวนมหาศาล ประชาธิปไตยทางตรงจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

50. รัฐบาลเกาหลีเหนือ คือระบอบเผด็จการรูปแบบใด
(1) Totalitarianism
(2) Authoritarianism
(3) Benevolent Dictatorship
(4) Theocracy
(5) Aristocracy
ตอบ 1 หน้า 170 เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เป็นรูปแบบของระบอบเผด็จการที่เข้มข้น คือ รัฐบาลทําการควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกด้านทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมตัวอย่างของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของ สหภาพโซเวียต รัฐบาลจีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง รัฐบาลนาซีเยอรมัน รัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลี รัฐบาลเกาหลีเหนือ เป็นต้น

51. ข้อใดคือชื่อเรียกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา
(1) Parliament
(2) Assembly
(3) Congress
(4) Diet
(5) State Duma
ตอบ 3หน้า 172 สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นสถาบันที่มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมาย โดยสถาบันนิติบัญญัตินี้มีทั้งในประเทศประชาธิปไตยและประเทศเผด็จการ และมีชื่อเรียก แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ดังนี้
1. อังกฤษ เรียกว่า Parliament
2. ฝรั่งเศส เรียกว่า Assembly
3. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Congress
4. ญี่ปุ่น เรียกว่า Diet
5. ไทย เรียกว่า รัฐสภา

52. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรัฐสภาอังกฤษ
(1) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Common
(2) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Representative
(3) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Common
(4) ใช้ระบบ 2 สภา คือ Senate กับ House of Representative
(5) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Representative
ตอบ 3 หน้า 174 ระบบสองสภา (Bicameral System) เป็นระบบรัฐสภาที่ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาสูงและสภาล่าง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ไทย เรียกว่า วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร
2. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Senate กับ House of Representative
3. อังกฤษ เรียกว่า House of Lord กับ House of Common

53. หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 4 หน้า 176 – 177 การปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ เป็นการปกครองที่มีการแยกอํานาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แบบไม่เด็ดขาด การใช้อํานาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กันตาม หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power)

54. หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 1 หน้า 178 การปกครองระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการปกครองที่มีการแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารบนหลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) โดยฝ่ายนิติบัญญัติและ ฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นการทํางานของฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารจึงแยกอิสระจากกันค่อนข้างสูง แต่ก็มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

55. การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) ฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่ 5
(2) เยอรมนีในช่วงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
(3) โปรตุเกสในช่วงหลังการปฏิวัติคาร์เนชัน
(4) เยอรมนีในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์
(5) รัสเซียในช่วงหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ตอบ 4 หน้า 180 การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เป็นระบบที่มีการผสมผสาน ระหว่างระบบประธานาธิบดีและระบบรัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์ (ค.ศ. 1919 – 1939) แต่เป็นที่รู้จักเมื่อประเทศฝรั่งเศสนําไปใช้

56. ข้อใดไม่ใช่สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management)
(1) นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
(2) ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
(3) จัดโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดใหญ่
(4) ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
(5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
ตอบ 3 หน้า 186 – 187 สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีดังนี้
1. นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
2. ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
3. ปรับโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดเล็ก
4. ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ฯลฯ

57. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 1 หน้า 200 ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบพหุนิยม (Plurality Electoral System) เป็นระบบที่ใช้ในการเลือกตั้งแบบเขต โดยในแต่ละเขตผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินหนึ่งหรือไม่ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก

58.1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน แล้วแต่จํานวนผู้แทนพึงมีในเขตนั้น คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 5 หน้า 200 ระบบเสียงข้างมากธรรมดา หนึ่งเขตมีตัวแทนมากกว่าหนึ่งคน (Multi-Member District/Constituencies : MMD) หรือระบบรวมเขตเรียงเบอร์ (Block Voting : BV) เป็น ระบบเสียงข้างมากธรรมดา แต่ใน 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คนแล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนจึงมี ในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน โดยผู้เลือกตั้งสามารถ เลือกผู้สมัครได้ตามจํานวนผู้แทนในแต่ละเขต ซึ่งอาจเลือกจากพรรคเดียวกันเรียงเบอร์ไปเลย หรือจะเลือกผู้สมัครจากต่างพรรคก็ได้ หรือหากประสงค์เลือกเพียงเบอร์เดียวก็ได้ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดเรียงตามลําดับจนครบตามจํานวนผู้แทนจึงมีก็จะได้เป็นผู้แทนในเขตนั้น

59. การเลือกพรรคซึ่งส่งผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดได้ที่นั่งทั้งหมดไป คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 4 หน้า 202 ระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเลือกเป็นพรรค หรือระบบบล็อกโหวต พรรคการเมือง (Party Block Vote : PBV) เป็นการเลือกผู้แทนโดยการเลือกพรรคซึ่งส่ง ผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ ที่นั่งทั้งหมดไป ซึ่งระบบนี้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

60. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 2 หน้า 202 ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด หรือระบบเสียงส่วนใหญ่ (Majority Electoral System) เป็นระบบที่ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือสะท้อนเจตนารมณ์ของ ประชาชนอย่างแท้จริง ระบบนี้โดยทั่วไปจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คน

61. ระบบการเลือกตั้งที่เรียกกันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” คือระบบใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 3 หน้า 204 – 205 ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน (Proportional Representation : PR/Party List System) เป็นระบบที่มีการกําหนดเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่ ในแต่ละเขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน โดยการลงคะแนนเสียงจะลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง ไม่ใช่เลือกผู้สมัครรายคน แต่พรรคการเมืองจะทําบัญชีรายชื่อของผู้สมัครเรียงตามลําดับลงไป ทําให้เรียกระบบนี้กันทั่วไป ว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” (Party List System)

62. “การเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Arend Lijphart
(2) Giovanni Sartori
(3) Maurice Duverger
(4) Barnard Grofman
(5) Barbara Geddes
ตอบ 3 หน้า 209 – 210 เมารีส ดูแวร์แจร์ (Maurice Duverger) อธิบายว่า การเลือกตั้งระบบ เสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง โดยที่ระบบ 2 พรรคเด่นมักนําไปสู่รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ในขณะที่ระบบหลายพรรคก่อให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ

63. ระบบใดคือระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 3 หน้า 220 ระบบ 2 พรรค (Two-Party System) คือ การมีพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ ที่ต่อสู้แข่งขันและได้รับคะแนนเสียงสลับกันขึ้นเป็นรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

64. ระบบพรรคการเมืองกรณีพรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น และพรรคคองเกรสในอินเดีย คือ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 2 หน้า 219 – 220 ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (One Dominant-Party System) เป็นระบบ ที่มีพรรคการเมืองได้มากกว่า 1 พรรค หรือกฎหมายเปิดให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งขึ้นได้ แต่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มักได้รับเลือกตั้งคะแนนสูงสุดและครองอํานาจในการปกครอง ตัวอย่างเช่น พรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น พรรคคองเกรสในอินเดีย เป็นต้น

65. ระบบพรรคการเมืองแบบใดมักนําไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสม
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty Systern
ตอบ 5 หน้า 220 ระบบหลายพรรค (Multiparty System) คือ การมีพรรคการเมืองหลายพรรค ต่อสู้แข่งขันกันโดยไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งครองเสียงข้างมาก และอาจต้อง จัดตั้งรัฐบาลผสม ระบบเช่นนี้อาจมีข้อดีคือเกิดความหลากหลายในทางอํานาจ แต่มีข้อเสียคือ การขาดเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้งและหาข้อตกลงกันไม่ได้

66. พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นไปตามระบบพรรคแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and–a-Half-Party System
(5) Multiparty Systern
ตอบ 1 หน้า 219 ระบบพรรคเดียว (One-Party System) คือ การมีพรรคการเมืองพรรคเดียว เท่านั้นในระบบการเมือง พบในประเทศเผด็จการทั้งในรูปแบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ ในระบบพรรคเดียวนี้อาจมีการเลือกตั้งด้วย แต่มีผู้สมัครลงแข่งขันจากพรรคการเมืองเดียว เท่านั้น ตัวอย่างเช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นต้น

67.2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาล เป็นลักษณะของระบบพรรคการเมืองแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 4 หน้า 221, (คําบรรยาย) ระบบถึง 2 พรรค (Two-and-a-Half-Party System) คือ การมี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วนมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอ จะจัดตั้งรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในโปรตุเกส สเปน กรีซ เยอรมนี ออสเตรีย เป็นต้น

68. พรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิก มากกว่าปริมาณ และเน้นการเลือกตั้ง คือโครงสร้างพรรคการเมืองรูปแบบใด
(1) พรรคแบบคณะกรรมาธิการ
(2) พรรคแบบมีสาขาพรรค
(3) พรรคแบบแบ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ในรูปเซลล์
(4) พรรคแบบพลพรรค
(5) พรรคแบบเสรีนิยม
ตอบ 1 หน้า 222 – 223 พรรคแบบคณะกรรมาธิการ เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้น การเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญแต่จะไม่ค่อยเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองอื่น ๆ พรรคแบบนี้ มักตั้งขึ้นโดยกลุ่มชนชั้นนําเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าสู่อํานาจทางการเมือง ไม่ได้ขยายฐานสู่ประชาชน

69. กลุ่มผลประโยชน์ในระบบใด ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระ ของตนเองโดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น
(1) Democratic Corporatist Interest Group System
(2) Controlled Interest Group System
(3) Pluralist Interest Group System
(4) Institutional Group System
(5) Public Interest Group System
ตอบ 3 หน้า 232 ระบบพหุนิยม (Pluralist Interest Group System) กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระของตนเอง โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น แต่จะหมุนเวียนกันไปมีบทบาทหลักในประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน เมื่อเป็นประเด็นอื่นก็จะมีกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นเข้าไป มีบทบาทหลักแทน ระบบกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าวนี้พบมากในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

70. การทําให้เป็นอุตสาหกรรม คือ ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 2 หน้า 238 – 250 แนวคิดหรือทฤษฎีการพัฒนาในแต่ละยุค มีดังนี้
1. ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา เน้นการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองคลาสสิก
2. การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 เน้นการทําให้เป็นอุตสาหกรรม
3. การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980 เน้นการทําให้ทันสมัย ซึ่งคือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
4. การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000 เน้นแนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน
5. การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องของวิกฤติความชอบธรรมของ แนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน การพัฒนาทางเลือกหรือความหลากหลายของการพัฒนา

71. เสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน เป็นการพัฒนาในช่วงใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

72 Beijing Consensus คือ ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 3 หน้า 250 การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่แนวคิดเสรีนิยมใหม่ หรือแนวนโยบายของฉันทามติวอชิงตันถูกตั้งคําถามอย่างหนักภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2008 ในสหรัฐอเมริกา จนมีนักวิชาการบางคนกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลต่อจุดจบของเสรีนิยมใหม่ นําไปสู่การนําเสนอฉันทามติอื่น ๆ เช่น ฉันทามติโคเปนเฮเกน (Copenhagen Consensus) ฉันทามติเม็กซิโก (Mexico Consensus) ฉันทามติปักกิ่ง (Beijing Consensus) หรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ(State-Directed Capitalism) เป็นต้น

73. การทําให้ทันสมัย คือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

74. “การพัฒนาทางการเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความ ทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Pye
(2) Lipset
(3) Huntington
(4) Atmond
(5) Coleman
ตอบ 3 หน้า 245 – 246 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) อธิบายว่า การพัฒนาทาง การเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะและส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

75. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย
(1) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการคนสําคัญ คือ Lipset
(2) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Shedler
(3) วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย คือ วัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม
(4) The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations เป็นผลงาน ชิ้นสําคัญของ Easton
(5) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Marx
ตอบ 1 หน้า 252 – 253 นักวิชาการที่เสนอเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการ คนสําคัญ คือ ลิปเซ็ต (Lipset)
2. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ซึ่งเป็น เจ้าของผลงานเรื่อง “The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations”
3. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) (ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ)

76. ข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย 10 ประการ เป็นคําอธิบาย การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 ดังค์วาร์ด รัสเทาว์ (Dankwart Rustow) ได้อธิบายข้อกําหนดเบื้องต้น สําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไว้ 10 ประการ ตัวอย่างเช่น
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยไม่จําเป็นต้องเป็นตัวเดียวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย
2. การศึกษาประชาธิปไตยต้องตระหนักว่าสหสัมพันธ์อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความสัมพันธ์ เชิงเหตุ-ผล
3. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคมส่งผลต่อการเมือง
4. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยเชิงแนวคิดวัฒนธรรม ส่งผลต่อการกระทําของตัวแสดงเสมอไป ฯลฯ

77. การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 1 หน้า 257 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไว้ในหนังสือ
เรื่อง “คลื่นลูกที่สาม” ทั้งในส่วนของปัจจัยเชิงโครงสร้างและในส่วนของปัจจัยของตัวแสดงซึ่งก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนําทั้งที่อยู่ในอํานาจและที่ไม่อยู่ในอํานาจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลต่อเส้นทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน

78. “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการ ปกครองนอกจากประชาธิปไตย และไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงาน ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียว ในเมือง (The Only Game in Town)” ข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายของนักวิชาการท่านใด
(1) David Easton
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 ฮวน ลินซ์ (Juan Linz) ได้กําหนดนิยามของการสร้างความมั่นคงยั่งยืน ให้กับประชาธิปไตยว่า “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมือง ที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตยและไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียวในเมือง (The Onty Game in Town)”

79. การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่การปฏิวัติในอียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบียและซีเรีย มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Color Revolutions
(2) Arab Spring
(3) Rose Revolution
(4) Asian Spring
(5) Tulip Revolution
ตอบ 2 หน้า 273, (คําบรรยาย) การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เป็นการลุกฮือของ ประชาชนเพื่อต่อต้านอํานาจรัฐและระบบที่เป็นอยู่ ซึ่งการปฏิวัตินี้ได้ทําให้เกิดแรงกระเพื่อม ไปสู่การปฏิวัติในกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แก่ อียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย หรือที่ เรียกกันว่า “การปฏิวัติในฤดูใบไม้ผลิในอาหรับ” หรือ “อาหรับสปริง” (Arab Spring)

80. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
(1) เป็นโลกที่รัฐมีบทบาทมากขึ้น
(2) เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
(3) เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน
(4) มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 281 – 285 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร อธิบายว่า สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์มีลักษณะ สําคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
2. เป็นโลกที่เส้นแบ่งต่าง ๆ ที่เคยมั่นคงชัดเจนเกิดความไม่ชัดเจน นําไปสู่การลากเส้นแบ่ง ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
3. เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
5. มีการก่อการร้ายและการทําสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเป็นความจริงชุดใหม่
6. เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน

81. “ความตื่นตัวของประชาชนในตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริงไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ในคลื่นลูกที่ 4” จากข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedler
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 2 หน้า 293 ลาร์รี่ ไดมอนด์ (Larry Diamond) อธิบายว่า ความตื่นตัวของประชาชนใน ตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนิเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ ประชาธิปไตยในคลื่นลูกที่ 4

82. งานเขียนของใครถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ
(1) แมคคิอาเวลลี
(2) อริสโตเติ้ล
(3) เพลโต
(4) ล็อค
(5) อีสตัน
ตอบ 2หน้า 3 – 4 (คําบรรยาย) หนังสือปรัชญาการเมืองเรื่อง “Politics” ของอริสโตเติ้ล (Aristotle) สะท้อนให้เห็นการใช้วิธีการเปรียบเทียบเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้ทางการเมือง ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการได้มาขององค์ความรู้ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากการนําเอา กฎหมายปกครองของรัฐต่าง ๆ จํานวนมากถึง 158 รัฐมาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าในโลกนี้มีรูปแบบ การปกครองกี่รูปแบบ และแบ่งว่ารูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบที่ดีและรูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบ ที่เลว ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ

83. อริสโตเติ้ลเห็นว่าระบอบการปกครองใดที่ถือเป็นการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ที่ดี
(1) โพลิตี้
(2) คณาธิปไตย
(3) ทรราช
(4) ประชาธิปไตย
(5) อภิชนาธิปไตย
ตอบ 1 หน้า 4 อริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

84. เป้าหมายของการศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมืองคือข้อใด
(1) หาเกณฑ์เชิงปทัสถาน
(2) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(3) สร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 3, (คําบรรยาย) การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมือง เน้นการศึกษาสิ่งที่ควร จะเป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การค้นหาเกณฑ์เชิงปทัสถานหรือสิ่งที่ พึงประสงค์หรือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เหมาะสมในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือระบอบ

การปกครองที่ดี ผู้ปกครองที่ดี รัฐที่ดี กฎหมายที่ดี เพื่อเสนอแนะหลักปฏิบัติทางการเมือง ที่ถูกต้องชอบธรรม มีจรรยาบรรณ อุดมคติ หรือค่านิยมคอยกํากับ ทําให้การศึกษาในยุคนี้ เชื่อมโยงอยู่กับเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และไม่ได้แยกเรื่องค่านิยมออกจากองค์ความรู้ทางการเมือง

85. การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
(1) การเมืองเปรียบเทียบ
(2) ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ
(3) ปรัชญาเปรียบเทียบ
(4) ทฤษฎีเปรียบเทียบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 4 – 5, 8 การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า“การปกครองเปรียบเทียบ”

86. การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันเป็นไปเพื่อเป้าหมายใด
(1) สร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง
(2) สร้างรัฐสมัยใหม่
(3) พัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบพาณิชย์นิยม
(4) สร้างความทันสมัย
(5) ข้อ 1 และ 4 ถูก
ตอบ 1 หน้า 6 – 7 การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันมุ่งศึกษารัฐและสถาบันทาง การเมืองที่เป็นทางการ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ รูปแบบรัฐ รัฐสภา รัฐบาล ตลอดจนกลไก และกระบวนการทางการเมืองต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ ถ่วงดุล การแบ่งแยกอํานาจระหว่าง สถาบันทางการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง เป็นไป ตามกรอบของกฎหมาย รองรับค้ําประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ ของคนส่วนใหญ่ โดยมีความเชื่อว่า หากมีการสร้างสถาบันทางการเมืองได้เป็นอย่างดีแล้ว ระบอบการเมืองก็จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ

87. Large-Ns มีความหมายถึงสิ่งใด
(1) จํานวนศึกษาหลายกรณี
(2) การศึกษาเชิงคุณภาพ
(3) มีจุดแข็งในการสร้างสมมติฐาน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ
ตอบ 1 หน้า 46 – 47, 64 Large-Ns หมายถึง จํานวนศึกษาหลายกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ ในการศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) ซึ่งข้อดีของการศึกษาหลายกรณี มีดังนี้
1. มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐานให้เข้มแข็งมากขึ้น
2. สามารถนําข้อสรุปจากการศึกษาไปใช้กับกรณีศึกษานอกกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
3. ช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
4. ช่วยให้ผลการวิเคราะห์มีลักษณะกลมกลืนกัน ฯลฯ

88. สาขาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในยุคใด
(1) ยุคสถาบัน
(2) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(3) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(4) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังสมัยใหม่
ตอบ 3 หน้า 11, 22, 33 – 34 วิชาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ ภายหลังจากความพยายามในการแสวงหา เอกลักษณ์ให้กับสาขารัฐศาสตร์และการสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์โดยการผลักดันของประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น โดยเป้าหมายหรือหัวใจหลัก สําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือการสร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเหตุเป็นผล มีความน่าเชื่อถือ สามารถนําไปใช้ในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

89. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงการเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
(1) ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการเมืองที่สอดคล้องกับคุณธรรมจริยธรรม
(2) ผลักดันโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้แนวคิดแบบพฤติกรรมศาสตร์
(3) มีเป้าหมายในการสร้างคุณภาพของประชาธิปไตย
(4) เรียกร้องให้เกิดการยอมรับความจริงอันหลากหลาย
(5) ผลักดันโดยสหภาพโซเวียตภายใต้บริบทสงครามเย็น
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 88. ประกอบ

90. เป้าหมายสําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือข้อใด
(1) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(2) สร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย
(3) สร้างกฎหมายปกครองที่ยอดเยี่ยม
(4) ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 88. ประกอบ

91. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงวิชาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบัน
(1) มีวิธีการที่หลากหลาย
(2) เน้นเนื้อหามากกว่าวิธีการ
(3) รวมเรียกว่าการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ
(4) เน้นคุณภาพประชาธิปไตย
(5) เชื่อมั่นในศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การศึกษาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบันนั้นมีขอบเขตกว้างขวาง ครอบคลุม ประเด็นต่าง ๆ ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ การเมืองใน ชีวิตประจําวัน ตลอดจนคุณภาพของประชาธิปไตย ดังนั้นการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ ในปัจจุบันจึงไม่ได้ใช้ศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น แต่ใช้แนวทางและวิธีการอันหลากหลาย ที่สอดคล้องกับประเด็นการศึกษา เพื่อให้เกิดองค์ความรู้สําหรับการอธิบายทางการเมือง ตลอดจนเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองต่าง ๆ อย่างรอบด้าน

92. กรณีศึกษาแบบใดช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
(1) Small-Ns
(2) การศึกษากรณีประเทศเดียว
(3) Large-Ns
(4) กรณีศึกษาตามรายประเด็น
(5) กรณีศึกษาเชิงลึก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

93. วิธีการเปรียบเทียบในวิชาการเมืองเปรียบเทียบถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป้าหมายใด
(1) สกัดหาตัวแปรที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา
(2) การแข่งขันระหว่างประเทศ
(3) หาสิ่งที่พึงประสงค์
(4) สร้างความได้เปรียบ
(5) สร้างจริยธรรมทางการปกครอง
ตอบ 1 หน้า 50 วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการที่ต้องเลือกมาใช้ในการเปรียบเทียบเพื่อสร้างคําอธิบาย
ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเงื่อนไขหรือปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ กับผลลัพธ์ที่ศึกษา หรือ กล่าวอีกนัยคือ วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการสําหรับนํามาใช้เพื่อสกัดหาตัวแปรหรือเงื่อนไข ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา

94. ข้อใดไม่ใช่หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง
(1) ระบบการเมือง
(2) สถาบันทางการเมือง
(3) รัฐ
(4) กฎหมาย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 38, (คําบรรยาย) หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง เป็นหน่วยวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างต่าง ๆ ในสังคม เช่น ระบบการเมือง รัฐ ชนชั้น สถาบันทางการเมือง กฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ความสัมพันธ์เชิงอํานาจ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ในระดับนี้จะมี ความเชื่อว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นมีอิทธิพลต่อการกระทําของมนุษย์และการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม พฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้มีเสรีภาพมากนัก แต่จะแสดงออกมาภายใต้กรอบ ของโครงสร้างดังกล่าว

95. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบ
(1) ต้องเปรียบเทียบกรณีมากกว่า 1 ประเทศเท่านั้น
(2) ศึกษาประเทศเดียวก็ได้
(3) การเปรียบเทียบระดับโลกเป็นการศึกษาที่ได้ข้อมูลกว้างแต่ไม่ลึก
(4) การเปรียบเทียบกรณีศึกษาเดียวทําให้ได้ข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 40 – 41 การเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบสามารถเลือกศึกษาประเทศเดียวก็ได้ซึ่งการเปรียบเทียบอาจจะเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ภายในประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ศึกษาเฉพาะสถาบันทางการเมืองหนึ่ง ๆ เช่น พรรคการเมือง สถาบันทหาร รัฐสภา กลุ่มผลประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งการเลือกศึกษาประเทศเดียวนี้จะง่ายต่อ ผู้ศึกษารุ่นใหม่ที่ประสบการณ์ยังไม่เยอะมาก

96. นักวิชาการผู้ใดเป็นผู้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยม
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น ล็อค
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(5) เดวิด อีสตัน
ตอบ 3 หน้า 50 – 57, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยมไว้ 4 วิธีการ คือ
1. วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement)
2. วิธีการพิจารณาความแตกต่าง (Method of Difference)
3. วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่ (Method of Residues)
4. วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน (Method of Concomitant Variations)

97. มองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างในกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 51 วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement) เป็นการมองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ในกรณีศึกษาต่าง ๆที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์

98. ค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่า ตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(3) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
(4) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) เป็นการค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์

99. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

100. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.Large-Ns มีความหมายถึงสิ่งใด
(1) จํานวนศึกษาหลายกรณี
(2) การศึกษาเชิงคุณภาพ
(3) มีจุดแข็งในการสร้างสมมติฐาน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 46 – 47, 64 Large-Ns หมายถึง จํานวนศึกษาหลายกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ ในการศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) ซึ่งข้อดีของการศึกษาหลายกรณี มีดังนี้
1. มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐานให้เข้มแข็งมากขึ้น
2. สามารถนําข้อสรุปจากการศึกษาไปใช้กับกรณีศึกษานอกกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
3. ช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
4. ช่วยให้ผลการวิเคราะห์มีลักษณะกลมกลืนกัน ฯลฯ

2.กรณีศึกษาแบบใดช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
(1) Small-Ns
(2) การศึกษากรณีประเทศเดียว
(3) Large-Ns
(4) กรณีศึกษาตามรายประเด็น
(5) กรณีศึกษาเชิงลึก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3. วิธีการเปรียบเทียบในวิชาการเมืองเปรียบเทียบถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป้าหมายใด
(1) สกัดหาตัวแปรที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา
(2) หาสิ่งที่พึงประสงค์
(3) การแข่งขันระหว่างประเทศ
(4) สร้างความได้เปรียบ
(5) สร้างจริยธรรมทางการปกครอง
ตอบ 1 หน้า 50 วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการที่ต้องเลือกมาใช้ในการเปรียบเทียบเพื่อสร้างคําอธิบาย ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเงื่อนไขหรือปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ กับผลลัพธ์ที่ศึกษา หรือ กล่าวอีกนัยคือ วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการสําหรับนํามาใช้เพื่อสกัดหาตัวแปรหรือเงื่อนไข ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา

4.นักวิชาการผู้ใดเป็นผู้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยม
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น ล็อค
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(5) เดวิด อีสตัน
ตอบ 3 หน้า 50 – 57, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอวิธีการหลัก ในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยมไว้ 4 วิธีการ คือ
1. วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement)
2. วิธีการพิจารณาความแตกต่าง (Method of Difference)
3. วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่ (Method of Residues)
4. วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน (Method of Concorpitant Variations)

5. มองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างในกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 51 วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement) เป็นการมองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ในกรณีศึกษาต่าง ๆ ที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์

6. ค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่า ตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(3) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
(4) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด
ตอบ 5 หน้า 59, (คําบรรยาย) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) เป็นการค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือนกัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์

7. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 59 – 60 วิธีการเปรียบเทียบของเขวอร์สกีและเทิร์น (Przeworski and Teune) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มี 2 วิธี คือ
1. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความแตกต่างของมิลล์
2. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด (Most Different Systems : MDS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความเหมือนของมิลล์

8. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

9. “ไม่มีชนชั้นนายทุน ไม่มีประชาธิปไตย” เป็นคํากล่าวของนักวิชาการคนใด
(1) แกเบรียล อัลมอนด์
(2) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(3) เธดา สค็อกโพล
(4) แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์
(5) โรเบิร์ต ดาห์ล
ตอบ 4 หน้า 72 งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของแบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการศึกษาน้อยกรณี
(Small-NS) ซึ่งงานชิ้นนี้มัวร์ได้สร้างคําอธิบายใหม่ที่แตกต่างจากคําอธิบายเดิมที่มักบอกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยมีการอธิบายที่ซับซ้อนมากขึ้น พิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรต้นจํานวนมากขึ้นทั้งในส่วนของชนชั้นทางสังคม โครงสร้างทางเศรษฐกิจ อํานาจรัฐ ตลอดจนพิจารณาถึงปฏิสัมพันธ์กันเองของตัวแปรต้นต่าง ๆ ควบคู่กันไป กับการพิจารณาอิทธิพลที่มีต่อตัวแปรตาม ซึ่งนําไปสู่ข้อสรุปที่โด่งดังที่ว่า “ไม่มีชนชั้นนายทุนไม่มีประชาธิปไตย”

10. วิธีการเปรียบเทียบแบบ MSS และ MDS พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) Przeworski and Teune
(2) John Stuart Mill
(3) Antonio Gramsci
(4) Ragin and Rubinson
(5) Anthony Giddens
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

11. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระเบียบวิธีการศึกษาเปรียบเทียบแบบ Small-Ns
(1) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ
(2) เน้นศึกษาน้อยกรณี
(3) เน้นตีความหรือทําความเข้าใจความหมาย
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 1 หน้า 70 Small-Ns คือ การศึกษาน้อยกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) ซึ่งเป็นการศึกษาที่เน้นเรื่องของ การตีความหรือทําความเข้าใจความหมายอย่างรอบด้านหรือในลักษณะองค์รวม เพื่อทําความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นที่ศึกษาในกรณีนั้น ๆ

12. งานของลิปเซ็ตเรื่อง “Political Man” ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Small-Ns
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 5 หน้า 64, 67 – 68 งานของลิปเซ็ต (Lipset) เรื่อง “Political Man” เป็นการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับความเป็นประชาธิปไตย โดยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการศึกษาหลายกรณี (Large-Ns) ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า กลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยมั่นคง ประชาชนจะมีรายได้สูงกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตย ไม่มั่นคงหรือเป็นเผด็จการ จากงานชิ้นนี้ของลิปเซ็ตได้นํามาสู่ข้อสรุปเป็นคําอธิบายทั่วไป อันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”

13. คําอธิบายอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”เป็นของนักวิชาการผู้ใด
(1) ไดมอนด์
(2) กิดเดนส์
(3) ลิปเซ็ต
(4) ลาสเวลล์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

14. งานเรื่อง “Social Origins of D ctatorship and Democracy” ของมัวร์ จูเนียร์ ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

15. งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของโรเบิร์ต พุตนัม ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 4 หน้า 74 งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของ โรเบิร์ต พุตนัม (Robert Putnum) เป็นการศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมแบบพลเมืองที่ส่งผลต่อ การทํางานของระบอบประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคในภาคเหนือ และภาคใต้ของอิตาลี ซึ่งพุตนัมได้ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้ วิธีการเชิงปริมาณเพื่อสํารวจทัศนคติของพลเมือง และใช้วิธีการเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นข้อมูลความเป็นมาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคในอิตาลี

16. “พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา” (Methodological Pluralism) สอดคล้องกับข้อใด
(1) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(2) ยุคหลังสมัยใหม่
(3) Nest Analysis
(4) Mixed Method
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 74 – 75, 140 พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา (Methodological Pluralism) เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์หรือยุคหลังสมัยใหม่ เป็นการศึกษาที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงระเบียบวิธีวิจัยซึ่งอาจใช้วิธีการแบบผสม (Mixed Method) หรือ “การวิเคราะห์ ประสานกันแบบรังนก” (Nest Analysis) และมีการขยายขอบเขตของการศึกษาครอบคลุม ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ ตลอดจนการเมืองในชีวิตประจําวัน เช่น เรื่องของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมภาคประชาสังคม รวมถึง เรื่องปฏิสัมพันธ์ของการเมืองภายในและภายนอกประเทศ

17. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงแนวทางการวิเคราะห์ (Approach)
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ระบุความสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงผลเป็นรูปธรรม
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 80 – 81, 143 แนวทางการศึกษาหรือแนวทางการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบเค้าโครงในการศึกษาที่จะเป็นตัวกําหนดระดับของการอธิบาย วิธีการในการศึกษาตลอดจนทฤษฎีที่จะใช้ในการศึกษา โดยแนวทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่จะเป็นกรอบเค้าโครง กว้าง ๆ โดยไม่มีการลงลึกในส่วนของตัวแบบในการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม และในแต่ละ แนวทางการศึกษาจะประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ๆ อยู่ด้วย

18. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงทฤษฎีในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 82 ทฤษฎี (Theory) คือ ชุดของคําอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล (Causal Relations) ของปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษา หรือเรียกอีกอย่างว่า ชุดของคําอธิบายความสัมพันธ์เชิงปัจจยาการ

19. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสหลัก
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 83 – 127 แนวทางการวิเคราะห์กระแสหลัก ได้แก่
1. แนวทางระบบ
2. แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
3. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล
4. แนวทางสถาบันนิยมใหม่
5. แนวทางโครงสร้าง

20. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสวิพากษ์
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางสถาบันนิยมใหม่
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 85 – 86, 107, 134, 140 แนวทางการวิเคราะห์กระแสวิพากษ์ ได้แก่
1. แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
2. แนวทางมาร์กซิสต์
3. แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
4. แนวทางหลังสมัยใหม่หรือแนวทางหลังโครงสร้างนิยม (ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ)

21. นักรัฐศาสตร์คนสําคัญที่นําเอาความคิดเชิงระบบมาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบคือ
(1) อีสตัน
(2) อัลมอนด์
(3) คาร์ล ดอยซ์
(4) คาร์ล มาร์กซ์
(5) ชาร์ล ทิลลี่
ตอบ 1 หน้า 89 เดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์คนแรกที่นําเอาความคิดเชิงระบบ มาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบ และเป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสนอแบบจําลองของระบบการเมือง อันเป็นผลจากความพยายามในการหาทฤษฎีทั่วไปที่สามารถใช้ในการอธิบายการเมืองทั้งระบบหรือสร้างทฤษฎีมหภาคที่สามารถนําไปใช้อธิบายสังคมอื่น ๆ ได้ทั่วทั้งโลก

22. ในทฤษฎีระบบการเมือง ปัจจัยนําเข้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) ข้อเรียกร้องความต้องการและการสนับสนุน
(2) รัฐบาลและรัฐสภา
(3) พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
(4) นโยบายและการปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 89 – 90 ในทฤษฎีระบบการเมืองนั้น เดวิด อีสตัน (David Easton) อธิบายว่า “ระบบการเมือง” (Political System) เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ซึ่งทําหน้าที่อยู่ภายใต้ “สิ่งแวดล้อม” (Environment) โดยจะมี “ปัจจัยนําเข้า” (Inputs) ซึ่งประกอบด้วย ข้อเรียกร้อง ความต้องการ (Demands) และการสนับสนุน (Supports) จากสิ่งแวดล้อมเข้ามาสู่ระบบการเมือง แล้วระบบการเมืองก็จะทําหน้าที่ในการตัดสินใจแปลงปัจจัยนําเข้าดังกล่าวเป็น “ปัจจัยนําออก” (Outputs) ในรูปของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายต่าง ๆ ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม และผลจากการทํางานของระบบการเมืองก็จะเกิดเป็น “ผลสะท้อนกลับ” (Feedback) กลับเข้าไปเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

23. ทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) อีสตัน
(2) เมอร์เรียม
(3) อัลมอนด์
(4) ฟูโกต์
(5) พาร์สัน
ตอบ 3 หน้า 92 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) ได้พัฒนาทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โดยได้ดึงแนวคิดเรื่องบทบาทและโครงสร้างของนักสังคมวิทยา เช่น แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ทาลค็อตต์ พาร์สัน (Talcott Parsons) เข้ามาผนวกกับทฤษฎีระบบ เพื่อให้ทฤษฎีระบบเชิง โครงสร้าง-หน้าที่มีความเป็นรูปธรรม สามารถศึกษากลุ่มของการกระทําทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการได้

24. ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โครงสร้างใดทําหน้าที่รวบรวมผลประโยชน์
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) รัฐบาล
(4) รัฐสภา
(5) ศาล
ตอบ 2 หน้า 93 – 94 ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่นั้น แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) อธิบายว่า โครงสร้างทางการเมืองแต่ละอย่างสามารถทํางานได้หลายหน้าที่ แม้ใน ระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วจะมีโครงสร้างหนึ่งขึ้นมาทําหน้าที่เฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นจะทําแค่หน้าที่เดียว เพราะโครงสร้างในทุกระบบการเมืองจะทําหน้าที่ หลาย ๆ อย่างเสมอ เช่น พรรคการเมืองมีหน้าที่หลักในการรวบรวมผลประโยชน์และเลือกสรร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่พรรคการเมืองก็ทําหน้าที่อื่น ๆ เช่น การเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับ ประชาชน การให้การศึกษาทางการเมือง เป็นต้น

25. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบใดเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
(1) Parochial
(2) Subject
(3) Participant
(4) Civic Culture.
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 102 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ได้แบ่งวัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็น 3 แบบ คือ แบบคับแคบ (Parochiat) แบบไพร่ฟ้า (Subject) และแบบมีส่วนร่วม (Participant) โดยมองว่า วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสม หรือเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่วัฒนธรรมแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องเป็นวัฒนธรรมทาง การเมืองที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้ง 3 แบบอย่างลงตัว ซึ่งเรียกว่า “วัฒนธรรม แบบพลเมือง” (Civic Culture) อันเป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนมีความกระตือรือร้นทางการเมือง แต่ก็ไม่มากจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

26. นักรัฐศาสตร์ท่านใดมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง
(1) Huntington
(2) Bentley
(3) Downs
(4) Powell
(5) Almond
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) โดยอัลมอนด์เสนอว่า สาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้ประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และอีกประเทศหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพราะว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย ส่วนประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นมีวัฒนธรรมไม่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย

27. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทางของยุคใด
(1) ยุคปรัชญา
(2) ยุคสถาบัน
(3) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(4) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 108 – 109 แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลมาจากสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเริ่มถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ ทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็น ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ดังนั้นแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลจึงถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทาง หรือทฤษฎีในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ในกระแสหลักที่ยังเชื่อมั่นในการสร้างความเป็นศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ในทางการเมือง

28.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ Subject
(1) เป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง
(2) เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
(3) เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ปฏิบัติ
(4) เป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 102, (คําบรรยาย) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบรับรู้แต่ไม่เข้าร่วมทางการเมืองหรือ แบบไพร่ฟ้า (Subject) เป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจข่าวสาร มีความรู้เกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีอํานาจทางการเมือง เรื่องของ การเมืองเป็นเรื่องของผู้นํา ดังนั้นลักษณะของวัฒนธรรมแบบนี้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบ บนลงล่าง การเมืองเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและกฎเกณฑ์ปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็น การเมืองแบบใช้เหตุผล

29. แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลคือ
(1) ความเสียสละ
(2) ผลประโยชน์ส่วนบุคคล
(3) ผลประโยชน์ของชาติ
(4) ความหลากหลาย
(5) ความเท่าเทียม
ตอบ 2 หน้า 109 แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลตั้งอยู่บน สมมติฐานหลัก 2 ตัว คือ ความมีเหตุมีผล (Rationality) กับผลประโยชน์ส่วนบุคคล (Self-Interest)

30. ตามแนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล คําว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผลหมายถึงข้อใด
(1) จะทําการใดต้องมีการคํานวณ
(2) คิดถึงประโยชน์ได้เสีย
(3) แสวงหาประโยชน์สูงสุด
(4) หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 110, (คําบรรยาย) แนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) มีสมมติฐานสําคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผล ซึ่งคําว่ามีเหตุมีผลหมายถึง มนุษย์ทุกคนเวลา จะทําการใดจะต้องคํานวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไร และเสียประโยชน์ อย่างไร หรือคํานวณผลได้ผลเสียที่จะได้รับจากทางเลือกแต่ละทาง โดยมนุษย์จะตัดสินใจเลือก ทางเลือกที่ได้ประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์มากที่สุดหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์นั่นเอง

31. แนวทางสถาบันดั้งเดิมแตกต่างกับแนวทางสถาบันนิยมใหม่ในข้อใด
(1) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ
(2) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการ
(3) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 115, 118, 120 – 122 แนวทางสถาบันดั้งเดิม เน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการหรือ ศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย ส่วนแนวทางสถาบันนิยมใหม่ให้ความสําคัญกับการศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการควบคู่กันไปกับการศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ รวมถึงขยายขอบเขต ของการศึกษาไปสู่เรื่องของพฤติกรรมของตัวแสดงทางการเมือง ปัจจัยทั้งหลายที่สามารถ ส่งผลทั้งต่อตัวสถาบันและต่อพฤติกรรมทางการเมืองภายในสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนการศึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถาบันและตัวแสดงทางการเมืองต่าง ๆ

32. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นสถาบันของฮันทิงตัน
(1) ความสามารถในการปรับตัว
(2) การแบ่งโครงสร้างทําหน้าที่เฉพาะ
(3) ความรวดเร็วในการทํางาน
(4) ความเป็นอิสระในตนเอง
(5) ความเป็นปึกแผ่น
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้เสนอตัวชี้วัดความเป็น สถาบัน ซึ่งมี 4 ประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)
2. การแบ่งโครงสร้างแยกย่อยลงไปและทําหน้าที่เฉพาะ (Complexity)
3. ความเป็นอิสระในตนเอง (Autonomy)
4. ความเป็นปึกแผ่น (Coherence)

33. “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) มาร์กซ์
(2) ทิลลี่
(3) ไชยวัฒน์ ค้ําชู
(4) อดอร์โน
(5) เดอร์ไคม์
ตอบ 2 หน้า 128 แนวทางโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ จะเน้นวิเคราะห์ความเป็นมาของโครงสร้าง ขนาดใหญ่ เช่น พัฒนาการของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในโลกตะวันตก พัฒนาการของระบบ ทุนนิยม พัฒนาการของยุคอุตสาหกรรม พัฒนาการของรัฐสมัยใหม่ พัฒนาการของการเข้าสู่ ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพใหญ่ของพัฒนาการ ตลอดจน ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่ศึกษาดังที่ชาร์ล ทิลลี่ (Charles Tilly) เรียกว่า “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” และ “กระบวนการใหญ่”

34. นักวิชาการผู้ใดมีอิทธิพลต่อแนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) ซี. ไรท์ มิลล์
(5) คาร์ล ป๊อปเปอร์
ตอบ 1 หน้า 129, (คําบรรยาย) นิคอส พลันต์ซาส (Nicos Poulantzas) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลต่อ แนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ อันเป็นผลมาจากกระแสการนํารัฐกลับมาเป็นแกนกลางในการศึกษาทางการเมือง

35. นักวิชาการคนใดมีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
(1) พลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) แม็กซ์ เวเบอร์
(5) สค็อกโพล
ตอบ 5 หน้า 117, 130, 156 เธดา สค็อกโพล (Theda Skocpol) และปีเตอร์ อีแวน (Peter Evans) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง โดยทั้งสองได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Bringing the State Back In” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ถูกนํามาใช้ เป็นกระแสการเรียกร้องให้รัฐซึ่งถูกมองว่าเป็นเหมือนกล่องดํา คือเป็นที่รวมของอํานาจที่กลุ่ม ต่าง ๆ ใช้ในการต่อรอง แย่งชิง ผลักดันนโยบายสาธารณะให้สอดคล้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน กลับเข้ามาสู่การเป็นศูนย์กลางของการวิเคราะห์ทางการเมือง

36. เพราะเหตุใดแนวคิดแบบมาร์กซิสต์จึงไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคงจะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม
(1) เพราะยากที่สถาบันการเมืองจะมีความเข้มแข็ง
(2) เพราะเอกชนจะเรียกร้องให้รัฐมีบทบาทน้อย
(3) เพราะมีความเจริญทางวัตถุแต่จิตใจผู้คนตกต่ำ
(4) เพราะมีโครงสร้างที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ
(5) เพราะผู้คนไม่สนใจคุณธรรมจริยธรรมทางศาสนา
ตอบ 4 หน้า 134 – 136, (คําบรรยาย) แนวคิดแบบมาร์กซิสต์ไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคง จะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม เพราะหัวใจสําคัญของประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน แต่ใน ระบบทุนนิยมกลับมีโครงสร้างที่ทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ กล่าวคือ ในระบบทุนนิยมนั้น ชนชั้นที่ออกแรงผลิตคือชนชั้นแรงงาน แต่ชนชั้นนายทุนกลับรีบเอามูลค่าที่ชนชั้นแรงงานผลิตได้ ไปเป็นของตน ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวทําให้เกิด “ชนชั้นผู้ได้เปรียบ” กับ “ชนชั้นผู้เสียเปรียบ” ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

37. ปัจจัยใดที่คาร์ล มาร์กซ์ ให้ความสําคัญที่สุดเมื่อวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง
(1) อํานาจของกฎหมาย
(2) โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจ
(3) การครอบงําทางความคิดผ่านทางศาสนา
(4) แสนยานุภาพทางทหาร
(5) อํานาจของรัฐในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
ตอบ 2 หน้า 134 – 135 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist Theory) กําเนิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมอย่างถึงรากถึงโคน หรือก็คือ ปฏิเสธระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง โดยการวิเคราะห์ของมาร์กซ์นั้นในทางหนึ่งเป็นการ วิเคราะห์เชิงโครงสร้างและการวิเคราะห์พัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ แต่หัวใจหลักอยู่ที่การใช้ โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจในการวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง

38. ข้อใดเป็นความแตกต่างสําคัญที่สุดระหว่างมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมกับมาร์กซิสต์ใหม่
(1) วิเคราะห์ทางชนชั้น
(2) ปฏิเสธระบบทุนนิยม
(3) ปฏิวัติทางชนชั้น
(4) ให้ความสําคัญกับอํานาจรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 137 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากทฤษฎีมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม โดยมีจุดร่วมสําคัญ คือ การมองว่าชนชั้นที่มีอํานาจทางเศรษฐกิจมักมีแนวโน้มมีอํานาจในทาง การเมืองด้วย แต่มีจุดต่างสําคัญจากมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมคือหันไปให้น้ําหนักกับโครงสร้างส่วนบนมากขึ้นแทนที่จะเน้นวิเคราะห์โครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น โดยเฉพาะประเด็นของอํานาจรัฐ

39. แนวคิดสําคัญของอันโตนิโอ กรัม คือแนวคิดใด
(1) การปฏิวัติทางชนชั้น
(2) วาทกรรม
(3) การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์
(4) พหุวัฒนธรรม
(5) การครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรม
ตอบ 3 หน้า 137 – 138 อันโตนิโอ กรัม (Antonio Gramsci) ได้เสนอแนวคิด “การครองความเป็น จ้าวทางอุดมการณ์” (Hegemony) โดยอธิบายว่า โครงสร้างส่วนบนแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือ สังคมการเมืองและสังคมประชา ชนชั้นที่ต้องการมีอํานาจเหนือสังคมอย่างเบ็ดเสร็จต้องสามารถครองอํานาจได้ในทั้งสองพื้นที่ในฐานะผู้ครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์ และกรมที่ได้ให้น้ำหนักไปที่การครอบงําทางความคิดอย่างมาก เนื่องจากการที่ชนชั้นหนึ่งจะมีชัยชนะขั้นเด็ดขาดและ สมบูรณ์เหนือสังคมได้ ชนชั้นนั้นต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

40. นักวิชาการคนใดเสนอแนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรม
(1) หลุยส์ อัลธูแซร์
(2) เออร์เนสโต ลาเคลา
(3) ชองทัล มูฟ
(4) ชาร์ค แดร์ริดา
(5) มิเชล ฟูโกต์
ตอบ 5 หน้า 140 – 143 แนวคิดที่สําคัญของนักวิชาการในยุคหลังสมัยใหม่ มีดังนี้
1. แนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรมของมิเชล ฟูโกต์ (Michet Foucault)
2. แนวคิดการรื้อสร้างของชาร์ค แดร์ริดา (Jacques Derrida)
3. แนวคิดมายาคติของโรลอง บาร์ต (Roland Barthes)
4. แนวคิดการครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรมและแนวคิดประชาธิปไตยเชิงลึกของเออร์เนสโต ลาเคลาและของทัล มูฟ (Ernesto Laclau and Chantal Mouffe) ฯลฯ

41. “รัฐคือองค์การทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้” เป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Heywood
(2) Migdal
(3) Weber
(4) Mosca
(5) Giddens
ตอบ 5 หน้า 149 แอนโทนี กิดเดนส์ (Anthony Giddens) ได้ให้นิยามคําว่ารัฐไว้ว่า “รัฐคือองค์การ ทางการเมืองที่มีอํานาจในการออกคําสั่งหรือระเบียบ รวมถึงควบคุมการใช้ความรุนแรงเพื่อให้ คําสั่งหรือกฎระเบียบถูกบังคับใช้”

42. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) Treaty of Ulm 1647 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(2) Treaty of Concordia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(3) Treaty of Westphalia 1648 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(4) Treaty of Zboriv 1649 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
(5) Treaty of Breda 1650 นํามาสู่การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป
ตอบ 3 หน้า 147 สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648 นํามาสู่การ เกิดขึ้นของ “รัฐสมัยใหม่” ในยุโรป ซึ่งมีองค์ประกอบสําคัญ 4 ประการ คือ ดินแดนที่แน่นอน (Territory) ประชากร (Population) รัฐบาล (Government) และอํานาจอธิปไตย (Sovereignty)

43. รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเอง คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 1 หน้า 148 รัฐในความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานง และเป้าหมายของตนเองแยกออกมาและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจเจกบุคคล มีลักษณะเป็นสากล ซึ่งรัฐจะนําพามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ โดยที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟังรัฐ

44. รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทาง การปกครองทั้งหลาย คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 4 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงองค์การ หมายถึง รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย

45. รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นน่านิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 3 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่ หมายถึง รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อย
ในสังคม

46. รัฐเป็นแหล่งรวมของชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 2 หน้า 148 – 149 รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม หมายถึง รัฐเป็นแหล่งรวมของ ชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม

47. รัฐที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 4 หน้า 151 – 152 รัฐรวม (Composite State) หรือสหพันธรัฐ (Federation) คือ รัฐที่เกิดขึ้น จากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป มีการจัดตั้งรัฐบาลกลางขึ้นโดยการมอบ อธิปไตยบางส่วนให้รัฐบาลกลางเพื่อจัดการในเรื่องสําคัญของส่วนรวมด้วยเหตุผลในเรื่องของ การป้องกันภัยรุกราน ความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ในขณะที่แต่ละรัฐที่มารวมตัวกัน ก็ยังคงมีอธิปไตยของตนเองอยู่บางส่วน ดังนั้นรัฐรวมจึงมีรัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลาง และ รัฐบาลของท้องถิ่นหรือมลรัฐ ตัวอย่างของรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น

48. รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าประธานาธิบดี คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 2 หน้า 151 สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้นําทางศาสนา รัฐแบบนี้พบได้ทั้งในระบอบประชาธิปไตย (เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย อิตาลี อินเดีย) คอมมิวนิสต์ (เช่น จีน เวียดนาม) และรัฐที่ปกครองโดยหลักศาสนา (เช่น อิหร่าน)

49. รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบ ประชาธิปไตยก็ได้ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 1 หน้า 150 – 151 รัฐราชอาณาจักร (Kingdom State) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งรัฐราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดในปัจจุบันก็ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของรัฐ และมีรัฐบาลในระบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เบลเยียม ไทย เป็นต้น

50. รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุดในเขตแดนของรัฐ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 3 หน้า 151 รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุด หรืออธิปไตยสมบูรณ์ในเขตแดนของรัฐนั้น ๆ ไม่มีรัฐบาลในระดับที่รองลงมา หน่วยงานของรัฐ ในท้องที่ เช่น จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นมือไม้หรือหน่วยงานที่รับมอบหมายงานจาก รัฐบาลกลางไปดําเนินการ หรือในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่นแม้จะได้รับการกระจายอํานาจลงไปให้บ้างแต่ก็ไม่ถือว่ามีอธิปไตยเป็นของตนเอง การดําเนินงานยังคงอยู่ภายใต้การ กํากับควบคุมของรัฐบาลกลาง ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว เช่น ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น

51. รัฐมีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 1หน้า 153 รัฐแบบกรรมการ (Minimal State) คือ รัฐที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบเสรีนิยมที่ให้รัฐ มีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการ ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ รัฐประเภทนี้พบในประเทศที่เป็นเสรีนิยมทุนนิยม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้น

52. แนวคิดเศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) มีความสัมพันธ์กับประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 3 หน้า 154 รัฐสังคม-ประชาธิปไตย (Social-Democratic State) คือ รัฐที่มีเป้าหมายเพื่อ ปฏิรูปสังคมให้เกิดความยุติธรรม แก้ปัญหาความยากจน เน้นให้เกิดความเท่าเทียมขึ้นในสังคม เป็นรัฐที่เน้นทําเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมากกว่าจะเน้นทําเพื่อประโยชน์ของนายทุน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวรัฐจึงต้องเข้าไปแทรกแซงสังคมในระดับสูงหรืออย่างแข็งขัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ตัวอย่างเช่น แนวคิด เศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ เป็นต้น

53. พบในสหภาพโซเวียตในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 5 หน้า 154 – 155 รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarian State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงเหนือสังคม ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ กระทั่งการใช้ชีวิตในทุกด้าน โดยไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นรัฐที่มีอํานาจ สูงที่สุด ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคําสั่งของรัฐ รัฐประเภทนี้พบในสหภาพโซเวียต ในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี และเกาหลีเหนือ

54. รัฐเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมคือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 2 หน้า 153 รัฐเพื่อการพัฒนา (Developmental State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐอาจจะประสาน ความร่วมมือกับนายทุนระดับชาติเพื่อการดังกล่าว ทั้งนี้การแทรกแซงดังกล่าวเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเอกชนในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศ มากกว่าการเข้าไปขัดขวางหรือรับเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจมาดําเนินการเอง ตัวอย่างของรัฐ ประเภทนี้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น

55. รัฐเข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดให้ เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 4 หน้า 154 รัฐรวมศูนย์ (Collectivized State) คือ รัฐที่เข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเอง ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดถูกวางแผนและจัดการโดยรัฐ จากส่วนกลาง รวมถึงมีการยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล คือ ไม่ให้เอกชนสามารถมีทรัพย์สิน ส่วนตัวได้ แต่ให้ทุกอย่างตกเป็นสมบัติของส่วนรวม รัฐประเภทนี้พบได้ในระบอบคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต จีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง เป็นต้น

56. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษารัฐนิยม (Statist Model)
(1) มีคําอธิบายรัฐนิยมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson
(2) เกิดจากการผลักดันของ Theda Skocpol และ Peter Evans
(3) รัฐในมุมมองของ Eric Norclinger มีอิสระในการใช้อํานาจน้อยที่สุด
(4) รัฐในมุมมอง Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น
(5) ฐานคิดสําคัญคือรัฐจะมีบทบาทเสมอในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 156 – 158, (คําบรรยาย) อนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้อธิบายรัฐนิยมโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theca Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson ซึ่งจาก 3 กลุ่มนี้ รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจสูงที่สุด รองลงมาคือ รัฐในมุมมองของ Theda Skocpol และรัฐในมุมมองของ Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น

57. ประชาธิปไตยทางตรงเกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) Roman
(2) Athens
(3) Sparta
(4) Thebes
(5) Corinth
ตอบ 2 หน้า 165, (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบของ ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าไปใช้อํานาจในทางการเมืองอย่าง เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ในยุคกรีกโบราณ ทั้งนี้ประชาธิปไตยรูปแบบนี้สามารถทําได้ในกรณีของรัฐที่มีประชากรจํานวนน้อย ดังนั้นในโลกปัจจุบันที่มีประชากรจํานวนมหาศาล ประชาธิปไตยทางตรงจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

58. รัฐบาลเกาหลีเหนือ คือระบอบเผด็จการรูปแบบใด
(1) Totalitarianism
(2) Authoritarianism
(3) Benevolent Dictatorship
(4) Theocracy
(5) Aristocracy
ตอบ 1 หน้า 170 เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เป็นรูปแบบของระบอบเผด็จการที่เข้มข้น คือ รัฐบาลทําการควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกด้านทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมตัวอย่างของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของ สหภาพโซเวียต รัฐบาลจีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง รัฐบาลนาซีเยอรมัน รัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลี รัฐบาลเกาหลีเหนือ เป็นต้น

59. ข้อใดคือชื่อเรียกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา
(1) Parliament
(2) Assembly
(3) Congress
(4) Diet
(5) State Duma
ตอบ 3 หน้า 172 สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นสถาบันที่มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมาย โดยสถาบันนิติบัญญัตินี้มีทั้งในประเทศประชาธิปไตยและประเทศเผด็จการ และมีชื่อเรียก แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ดังนี้
1. อังกฤษ เรียกว่า Parliament
2. ฝรั่งเศส เรียกว่า Assembly
3. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Congress
4. ญี่ปุ่น เรียกว่า Diet
5. ไทย เรียกว่า รัฐสภา

60. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรัฐสภาอังกฤษ
(1) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Common
(2) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Representative
(3) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Common
(4) ใช้ระบบ 2 สภา คือ Senate กับ House of Representative
(5) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Representative
ตอบ 3 หน้า 174 ระบบสองสภา (Bicameral System) เป็นระบบรัฐสภาที่ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาสูงและสภาล่าง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ไทย เรียกว่า วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร
2. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Senate กับ House of Representative
3. อังกฤษ เรียกว่า House of Lord กับ House of Common

61. หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 4 หน้า 176 – 177 การปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศอังกฤษ เป็นการปกครองที่มีการแยกอํานาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แบบไม่เด็ดขาด การใช้อํานาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กันตาม หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power)

62. หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 1 หน้า 178 การปกครองระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการปกครองที่มีการแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารบนหลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) โดยฝ่ายนิติบัญญัติและ ฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นการทํางานของฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารจึงแยกอิสระจากกันค่อนข้างสูง แต่ก็มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

63. การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) ฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่ 5
(2) เยอรมนีในช่วงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
(3) โปรตุเกสในช่วงหลังการปฏิวัติคาร์เนชัน
(4) เยอรมนีในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์
(5) รัสเซียในช่วงหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ตอบ 4 หน้า 180 การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เป็นระบบที่มีการผสมผสาน ระหว่างระบบประธานาธิบดีและระบบรัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์ (ค.ศ. 1919 – 1939) แต่เป็นที่รู้จักเมื่อประเทศฝรั่งเศสนําไปใช้

64. ข้อใดไม่ใช่สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management)
(1) นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
(2) ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
(3) จัดโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดใหญ่
(4) ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
(5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
ตอบ 3 หน้า 186 – 187 สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีดังนี้
1. นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
2. ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
3. ปรับโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดเล็ก
4. ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ฯลฯ

65. ระบบการเลือกตั้งที่เรียกกันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” คือระบบใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 3 หน้า 204 – 205 ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน (Proportional Representation : PR/Party List System) เป็นระบบที่มีการกําหนดเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่ ในแต่ละเขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน โดยการลงคะแนนเสียงจะลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง ไม่ใช่เลือกผู้สมัครรายคน แต่พรรคการเมืองจะทําบัญชีรายชื่อของผู้สมัครเรียงตามลําดับลงไป ทําให้เรียกระบบนี้กันทั่วไป ว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” (Party List System)

66. การเลือกพรรคซึ่งส่งผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุด ได้ที่นั่งทั้งหมดไป คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 4 หน้า 202 ระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเลือกเป็นพรรค หรือระบบบล็อกโหวต พรรคการเมือง (Party Block Vote : PBV) เป็นการเลือกผู้แทนโดยการเลือกพรรคซึ่งส่ง ผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ ที่นั่งทั้งหมดไป ซึ่งระบบนี้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

67.1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน แล้วแต่จํานวนผู้แทนพึงมีในเขตนั้น คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 5 หน้า 200 ระบบเสียงข้างมากธรรมดา หนึ่งเขตมีตัวแทนมากกว่าหนึ่งคน (Multi-Member District/Constituencies : MMD) หรือระบบรวมเขตเรียงเบอร์ (Block Voting : BV) เป็น ระบบเสียงข้างมากธรรมดา แต่ใน 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คนแล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนจึงมี ในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน โดยผู้เลือกตั้งสามารถ เลือกผู้สมัครได้ตามจํานวนผู้แทนในแต่ละเขต ซึ่งอาจเลือกจากพรรคเดียวกันเรียงเบอร์ไปเลย หรือจะเลือกผู้สมัครจากต่างพรรคก็ได้ หรือหากประสงค์เลือกเพียงเบอร์เดียวก็ได้ ผู้ที่ได้คะแนน สูงสุดเรียงตามลําดับจนครบตามจํานวนผู้แทนจึงมีก็จะได้เป็นผู้แทนในเขตนั้น ๆ

68. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 1 หน้า 200 ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบพหุนิยม (Plurality Electoral System) เป็นระบบที่ใช้ในการเลือกตั้งแบบเขต โดยในแต่ละเขตผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินหนึ่งหรือไม่ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก

69. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 2 หน้า 202 ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด หรือระบบเสียงส่วนใหญ่ (Majority Electoral System) เป็นระบบที่ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือสะท้อนเจตนารมณ์ของ ประชาชนอย่างแท้จริง ระบบนี้โดยทั่วไปจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คน

70. “การเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Arend Lijphart
(2) Giovanni Sartori
(3) Maurice Duverger
(4) Barnard Grofman
(5) Barbara Geddes
ตอบ 3 หน้า 209 – 210 เมารีส ดูแวร์แจร์ (Maurice Duverger) อธิบายว่า การเลือกตั้งระบบ เสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง โดยที่ระบบ 2 พรรคเด่นมักนําไปสู่รัฐบาล ที่มีเสถียรภาพ ในขณะที่ระบบหลายพรรคก่อให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ

71. ระบบใดคือระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 3 หน้า 220 ระบบ 2 พรรค (Two-Party System) คือ การมีพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ ที่ต่อสู้แข่งขันและได้รับคะแนนเสียงสลับกันขึ้นเป็นรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมือง ในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

72. ระบบพรรคการเมืองกรณีพรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น และพรรคคองเกรสในอินเดีย คือ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 2 หน้า 219 – 220 ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (One Dominant Party System) เป็นระบบ ที่มีพรรคการเมืองได้มากกว่า 1 พรรค หรือกฎหมายเปิดให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งขึ้นได้ แต่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มักได้รับเลือกตั้งคะแนนสูงสุดและครองอํานาจในการปกครอง ตัวอย่างเช่น พรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น พรรคคองเกรสในอินเดีย เป็นต้น

73. ระบบพรรคการเมืองแบบใดมักนําไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสม
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 5 หน้า 220 ระบบหลายพรรค (Multiparty System) คือ การมีพรรคการเมืองหลายพรรคต่อสู้แข่งขันกันโดยไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งครองเสียงข้างมาก และอาจต้อง จัดตั้งรัฐบาลผสม ระบบเช่นนี้อาจมีข้อดีคือเกิดความหลากหลายในทางอํานาจ แต่มีข้อเสียคือ การขาดเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้งและหาข้อตกลงกันไม่ได้

74. พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นไปตามระบบพรรคแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 1, หน้า 219 ระบบพรรคเดียว (One-Party System) คือ การมีพรรคการเมืองพรรคเดียว เท่านั้นในระบบการเมือง พบในประเทศเผด็จการทั้งในรูปแบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ ในระบบพรรคเดียวนี้อาจมีการเลือกตั้งด้วย แต่มีผู้สมัครลงแข่งขันจากพรรคการเมืองเดียว เท่านั้น ตัวอย่างเช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นต้น

75. 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาลเป็นลักษณะของระบบพรรคการเมืองแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 4 หน้า 221, (คําบรรยาย) ระบบกึ่ง 2 พรรค (Two-and-a-Half-Party System) คือ การมี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วนมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอ จะจัดตั้งรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในโปรตุเกส สเปน กรีซ เยอรมนี ออสเตรีย เป็นต้น

76. พรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิก มากกว่าปริมาณ และเน้นการเลือกตั้ง คือโครงสร้างพรรคการเมืองรูปแบบใด
(1) พรรคแบบคณะกรรมาธิการ
(2) พรรคแบบมีสาขาพรรค
(3) พรรคแบบแบ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ในรูปเซลล์
(4) พรรคแบบพลพรรค
(5) พรรคแบบเสรีนิยม
ตอบ 1 หน้า 222 – 223 พรรคแบบคณะกรรมาธิการ เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้น การเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญแต่จะไม่ค่อยเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองอื่น ๆ พรรคแบบนี้ มักตั้งขึ้นโดยกลุ่มชนชั้นนําเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าสู่อํานาจทางการเมือง ไม่ได้ขยายฐานสู่ประชาชน

77. กลุ่มผลประโยชน์ในระบบใด ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระ ของตนเองโดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น
(1) Democratic Corporatist Interest Group System
(2) Controlled Interest Group System
(3) Pluralist Interest Group System
(4) Institutional Group System
(5) Public Interest Group System
ตอบ 3 หน้า 232 ระบบพหุนิยม (Pluralist Interest Group System) กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระของตนเอง โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น แต่จะหมุนเวียนกันไปมีบทบาทหลักในประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน เมื่อเป็นประเด็นอื่นก็จะมีกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นเข้าไป มีบทบาทหลักแทน ระบบกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าวนี้พบมากในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

78. การทําให้เป็นอุตสาหกรรม คือ “ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 2 หน้า 238 – 250 แนวคิดหรือทฤษฎีการพัฒนาในแต่ละยุค มีดังนี้
1. ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา เน้นการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองคลาสสิก
2. การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 เน้นการทําให้เป็นอุตสาหกรรม
3. การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980 เน้นการทําให้ทันสมัย ซึ่งคือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
4. การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000 เน้นแนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน
5. การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องของวิกฤติความชอบธรรมของ แนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน การพัฒนาทางเลือกหรือความหลากหลายของการพัฒนา

79. เสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน เป็นการพัฒนาในช่วงใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80. Beijing Consensus คือ ทฤษฎีการพัฒนาในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 3 หน้า 250 การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่แนวคิดเสรีนิยมใหม่ หรือแนวนโยบายของฉันทามติวอชิงตันถูกตั้งคําถามอย่างหนักภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2008 ในสหรัฐอเมริกา จนมีนักวิชาการบางคนกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลต่อจุดจบของเสรีนิยมใหม่ นําไปสู่การนําเสนอฉันทามติอื่น ๆ เช่น ฉันทามติโคเปนเฮเกน (Copenhagen Consensus) ฉันทามติเม็กซิโก (Mexico Consensus) ฉันทามติปักกิ่ง (Beijing Consensus) หรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ(State-Directed Capitalism) เป็นต้น

81. การทําให้ทันสมัย คือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

82. “การพัฒนาทางการเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความ ทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจ
ตามเหตุผล” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Pye
(2) Lipset
(3) Huntington
(4) Almond
(5) Coleman
ตอบ 3 หน้า 245 – 246 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) อธิบายว่า การพัฒนาทาง การเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะและส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

83. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย
(1) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการคนสําคัญ คือ Lipset
(2) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Shedler
(3) วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย คือ วัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม
(4) The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations เป็นผลงาน ชิ้นสําคัญของ Easton
(5) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Marx
ตอบ 1 หน้า 252 – 253 นักวิชาการที่เสนอเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย สามารถแบ่งออก ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการ คนสําคัญ คือ ลิปเซ็ต (Lipset)
2. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ซึ่งเป็น เจ้าของผลงานเรื่อง “The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations”
3. กลุ่มที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) (ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ)

84. ข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย 10 ประการ เป็นคําอธิบาย การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 ดังค์วาร์ด รัสเทาว์ (Dankwart Rustow) ได้อธิบายข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไว้ 10 ประการ ตัวอย่างเช่น
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยไม่จําเป็นต้องเป็นตัวเดียวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย

2. การศึกษาประชาธิปไตยต้องตระหนักว่าสหสัมพันธ์อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความสัมพันธ์ เชิงเหตุผล
3. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคมส่งผลต่อการเมือง
4. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยเชิงแนวคิดวัฒนธรรม ส่งผลต่อการกระทําของตัวแสดงเสมอไป ฯลฯ

85. การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 1 หน้า 257 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไว้ในหนังสือเรื่อง “คลื่นลูกที่สาม” ทั้งในส่วนของปัจจัยเชิงโครงสร้างและในส่วนของปัจจัยของตัวแสดงซึ่งก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนําทั้งที่อยู่ในอํานาจและที่ไม่อยู่ในอํานาจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลต่อเส้นทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน

86. “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการ ปกครองนอกจากประชาธิปไตย และไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงาน ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียว ในเมือง (The Only Game in Town)” ข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายของนักวิชาการท่านใด
(1) David Easton
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow.
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 ฮวน ลินซ์ (Juan Linz) ได้กําหนดนิยามของการสร้างความมั่นคงยั่งยืน ให้กับประชาธิปไตยว่า “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมือง ที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตยและไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียวในเมือง (The Only Game in Town)”

87. การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่การปฏิวัติในอียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบียและซีเรีย มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Color Revolutions
(2) Arab Spring
(3) Rose Revolution
(4) Asian Spring
(5) Tulip Revolution
ตอบ 2 หน้า 273, (คําบรรยาย) การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เป็นการลุกฮือของ ประชาชนเพื่อต่อต้านอํานาจรัฐและระบบที่เป็นอยู่ ซึ่งการปฏิวัตินี้ได้ทําให้เกิดแรงกระเพื่อม ไปสู่การปฏิวัติในกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แก่ อียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย หรือที่ เรียกกันว่า “การปฏิวัติในฤดูใบไม้ผลิในอาหรับ” หรือ “อาหรับสปริง” (Arab Spring)

88. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
(1) เป็นโลกที่รัฐมีบทบาทมากขึ้น
(2) เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
(3) เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน
(4) มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 281 – 285 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร อธิบายว่า สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์มีลักษณะ สําคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
2. เป็นโลกที่เส้นแบ่งต่าง ๆ ที่เคยมั่นคงชัดเจนเกิดความไม่ชัดเจน นําไปสู่การลากเส้นแบ่ง ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
3. เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
5. มีการก่อการร้ายและการทําสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเป็นความจริงชุดใหม่
6. เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน

89. “ความตื่นตัวของประชาชนในตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริงไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ในคลื่นลูกที่ 4” จากข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedler
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 2 หน้า 293 ลาร์รี่ ไดมอนด์ (Larry Diamond) อธิบายว่า ความตื่นตัวของประชาชนใน ตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ ประชาธิปไตยในคลื่นลูกที่ 4

90. งานเขียนของใครถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ
(1) แมคคอาเวลลี
(2) อริสโตเติ้ล
(3) เพลโต
(4) ล็อค
(5) อีสตัน
ตอบ 2 หน้า 3 – 4 (คําบรรยาย) หนังสือปรัชญาการเมืองเรื่อง “Politics” ของอริสโตเติ้ล (Aristotle) สะท้อนให้เห็นการใช้วิธีการเปรียบเทียบเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้ทางการเมือง ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการได้มาขององค์ความรู้ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากการนําเอา กฎหมายปกครองของรัฐต่าง ๆ จํานวนมากถึง 158 รัฐมาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าในโลกนี้มีรูปแบบ การปกครองกี่รูปแบบ และแบ่งว่ารูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบที่ดีและรูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบ ที่เลว ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ

91. อริสโตเติ้ลเห็นว่าระบอบการปกครองใดที่ถือเป็นการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ที่ดี
(1) โพลิตี้
(2) คณาธิปไตย
(3) ทรราช
(4) ประชาธิปไตย
(5) อภิชนาธิปไตย
ตอบ 1 หน้า 4 อริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

92. เป้าหมายของการศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมืองคือข้อใด
(1) หาเกณฑ์เชิงปทัสถาน
(2) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(3) สร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 3 (คําบรรยาย, การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมือง เน้นการศึกษาสิ่งที่ควร จะเป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การค้นหาเกณฑ์เชิงปทัสถานหรือสิ่งที่ พึงประสงค์หรือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เหมาะสมในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือระบอบ การปกครองที่ดี ผู้ปกครองที่ดี รัฐที่ดี กฎหมายที่ดี เพื่อเสนอแนะหลักปฏิบัติทางการเมือง ที่ถูกต้องชอบธรรม มีจรรยาบรรณ อุดมคติ หรือค่านิยมคอยกํากับ ทําให้การศึกษาในยุคนี้ เชื่อมโยงอยู่กับเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และไม่ได้แยกเรื่องค่านิยมออกจากองค์ความรู้ทางการเมือง

93. การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
(1) การเมืองเปรียบเทียบ
(2) ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ
(3) ปรัชญาเปรียบเทียบ
(4) ทฤษฎีเปรียบเทียบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 4 – 5, 8 การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า“การปกครองเปรียบเทียบ”

94. การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันเป็นไปเพื่อเป้าหมายใด
(1) สร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง
(2) สร้างรัฐสมัยใหม่
(3) พัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบพาณิชย์นิยม
(4) สร้างความทันสมัย
(5) ข้อ 1 และ 4 ถูก
ตอบ 1 หน้า 6 – 7 การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันมุ่งศึกษารัฐและสถาบันทาง การเมืองที่เป็นทางการ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ รูปแบบรัฐ รัฐสภา รัฐบาล ตลอดจนกลไก และกระบวนการทางการเมืองต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ ถ่วงดุล การแบ่งแยกอํานาจระหว่าง สถาบันทางการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสถาบันทางการเมืองของรัฐที่ใช้การได้จริง เป็นไป ตามกรอบของกฎหมาย รองรับค้ําประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ ของคนส่วนใหญ่ โดยมีความเชื่อว่า หากมีการสร้างสถาบันทางการเมืองได้เป็นอย่างดีแล้ว ระบอบการเมืองก็จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ

95. สาขาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในยุคใด
(1) ยุคสถาบัน
(2) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(3) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(4) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังสมัยใหม่
ตอบ 3 หน้า 11, 22, 33 – 34 วิชาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ ภายหลังจากความพยายามในการแสวงหา เอกลักษณ์ให้กับสาขารัฐศาสตร์และการสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์โดยการผลักดันของประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น โดยเป้าหมายหรือหัวใจหลัก สําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือการสร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเหตุเป็นผล มีความน่าเชื่อถือ สามารถนําไปใช้ในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม

96. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงการเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
(1) ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการเมืองที่สอดคล้องกับคุณธรรมจริยธรรม
(2) ผลักดันโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้แนวคิดแบบพฤติกรรมศาสตร์
(3) มีเป้าหมายในการสร้างคุณภาพของประชาธิปไตย
(4) เรียกร้องให้เกิดการยอมรับความจริงอันหลากหลาย
(5) ผลักดันโดยสหภาพโซเวียตภายใต้บริบทสงครามเย็น
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97. เป้าหมายสําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือข้อใด
(1) สร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย
(2) สร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
(3) สร้างกฎหมายปกครองที่ยอดเยี่ยม
(4) ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 95. ประกอบ

98. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงวิชาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบัน
(1) มีวิธีการที่หลากหลาย
(2) เน้นเนื้อหามากกว่าวิธีการ
(3) รวมเรียกว่าการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ
(4) เน้นคุณภาพประชาธิปไตย
(5) เชื่อมั่นในศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การศึกษาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบันนั้นมีขอบเขตกว้างขวาง ครอบคลุม ประเด็นต่าง ๆ ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ การเมืองใน ชีวิตประจําวัน ตลอดจนคุณภาพของประชาธิปไตย ดังนั้นการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ ในปัจจุบันจึงไม่ได้ใช้ศาสตร์เชิงประจักษ์เท่านั้น แต่ใช้แนวทางและวิธีการอันหลากหลาย ที่สอดคล้องกับประเด็นการศึกษา เพื่อให้เกิดองค์ความรู้สําหรับการอธิบายทางการเมือง ตลอดจนเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองต่าง ๆ อย่างรอบด้าน

99. ข้อใดไม่ใช่หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง
(1) ระบบการเมือง
(2) สถาบันทางการเมือง
(3) รัฐ
(4) กฎหมาย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 38, (คําบรรยาย) หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง เป็นหน่วยวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างต่าง ๆ ในสังคม เช่น ระบบการเมือง รัฐ ชนชั้น สถาบันทางการเมือง กฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ความสัมพันธ์เชิงอํานาจ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ในระดับนี้จะมี ความเชื่อว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นมีอิทธิพลต่อการกระทําของมนุษย์และการเกิดปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ในสังคม พฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้มีเสรีภาพมากนัก แต่จะแสดงออกมาภายใต้กรอบ ของโครงสร้างดังกล่าว

100. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบ
(1) ต้องเปรียบเทียบกรณีมากกว่า 1 ประเทศเท่านั้น
(2) ศึกษาประเทศเดียวก็ได้
(3) การเปรียบเทียบระดับโลกเป็นการศึกษาที่ได้ข้อมูลกว้างแต่ไม่ลึก
(4) การเปรียบเทียบกรณีศึกษาเดียวทําให้ได้ข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 40 – 41 การเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบสามารถเลือกศึกษาประเทศเดียวก็ได้ซึ่งการเปรียบเทียบอาจจะเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ภายในประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ศึกษาเฉพาะสถาบันทางการเมืองหนึ่ง ๆ เช่น พรรคการเมือง สถาบันทหาร รัฐสภา กลุ่มผลประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งการเลือกศึกษาประเทศเดียวนี้จะง่ายต่อ ผู้ศึกษารุ่นใหม่ที่ประสบการณ์ยังไม่เยอะมาก

POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.ข้อใดเป็นหน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง
(1) ระบบการเมือง
(2) สถาบันทางการเมือง
(3) รัฐ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 38 หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง เป็นหน่วยวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้าง ต่าง ๆ ในสังคม เช่น ระบบการเมือง รัฐ ชนชั้น สถาบันทางการเมือง กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ความสัมพันธ์เชิงอํานาจ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ในระดับนี้จะมีความเชื่อว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้น มีอิทธิพลต่อการกระทําของมนุษย์และการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม พฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้มีเสรีภาพมากนัก แต่จะแสดงออกมาภายใต้กรอบของโครงสร้างดังกล่าว

2. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบ
(1) ต้องเปรียบเทียบกรณีมากกว่า 1 ประเทศเท่านั้น
(2) ศึกษาประเทศเดียวก็ได้
(3) การเปรียบเทียบกรณีศึกษาหลายประเทศทําให้ได้ข้อมูลเชิงลึกละเอียดที่สุด
(4) การเปรียบเทียบระดับโลกเป็นกรณีศึกษาที่ดีที่สุด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 40 – 41 การเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบสามารถเลือกศึกษาประเทศเดียวก็ได้ ซึ่งการเปรียบเทียบอาจจะเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ภายในประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ศึกษาเฉพาะสถาบันทางการเมืองหนึ่ง ๆ เช่น พรรคการเมือง สถาบันทหาร รัฐสภา กลุ่มผลประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งการเลือกศึกษาประเทศเดียวนี้จะง่ายต่อ ผู้ศึกษารุ่นใหม่ที่ประสบการณ์ยังไม่เยอะมาก

3.Large-Ns มีความหมายถึงสิ่งใด
(1) จํานวนศึกษาหลายกรณี
(2) การศึกษาเชิงปริมาณ
(3) มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐาน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 46 – 47, 64 Large-Ns หมายถึง จํานวนศึกษาหลายกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) ซึ่งข้อดีของการศึกษาหลายกรณี มีดังนี้
1. มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐานให้เข้มแข็งมากขึ้น
2. สามารถนําข้อสรุปจากการศึกษาไปใช้กับกรณีศึกษานอกกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
3. ช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
4. ช่วยให้ผลการวิเคราะห์มีลักษณะกลมกลืนกัน ฯลฯ

4.กรณีศึกษาแบบใดช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
(1) Small-Ns
(2) การศึกษากรณีประเทศเดียว
(3) Large-Ns
(4) กรณีศึกษาตามรายประเด็น
(5) กรณีศึกษาเชิงลึก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

5. วิธีการเปรียบเทียบในวิชาการเมืองเปรียบเทียบถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป้าหมายใด
(1) สกัดหาตัวแปรที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา
(2) หาสิ่งที่พึงประสงค์
(3) การแข่งขันระหว่างประเทศ
(4) สร้างความได้เปรียบ
(5) สร้างจริยธรรมทางการปกครอง
ตอบ 1 หน้า 50 วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการที่ต้องเลือกมาใช้ในการเปรียบเทียบเพื่อสร้างคําอธิบาย ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเงื่อนไขหรือปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ กับผลลัพธ์ที่ศึกษา หรือ กล่าวอีกนัยคือ วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการสําหรับนํามาใช้เพื่อสกัดหาตัวแปรหรือเงื่อนไข ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา

6. นักวิชาการผู้ใดเป็นผู้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยม
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น ล็อค
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(5) เดวิด อีสตัน
ตอบ 3 หน้า 50 – 57, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Milt) ได้เสนอวิธีการหลัก ในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยมไว้ 4 วิธีการ คือ
1. วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement)
2. วิธีการพิจารณาความแตกต่าง (Method of Difference)
3. วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่ (Method of Residues)
4. วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน (Method of Concomitant Variations)

7. มองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างในกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 51 วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement) เป็นการมองหาคุณลักษณะร่วมท่ามาลางคุณลักษณะที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ในกรณีศึกษาต่าง ๆที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์

8. ค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือน ๆ กัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(3) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
(4) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) เป็นการค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือน ๆ กัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์

9. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 59 – 60 วิธีการเปรียบเทียบของเซวอร์สกีและเทิร์น (Przeworski and Teune) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มี 2 วิธี คือ
1. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความแตกต่างของมิลล์
2. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด (Most Different Systems : MDS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความเหมือนของมิลล์

10. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

11. “ไม่มีชนชั้นนายทุน ไม่มีประชาธิปไตย” เป็นคํากล่าวของนักวิชาการคนใด
(1) แกเบรียล อัลมอนด์
(2) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(3) เธดา สค็อกโพล
(4) แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์
(5) โรเบิร์ต ดาห์ล
ตอบ 4 หน้า 72 งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของแบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการศึกษาน้อยกรณี (Small-NS) ซึ่งงานชิ้นนี้มัวร์ได้สร้างคําอธิบายใหม่ที่แตกต่างจากคําอธิบายเดิมที่มักบอกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยมีการอธิบายที่ซับซ้อนมากขึ้น พิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรต้นจํานวนมากขึ้นทั้งในส่วนของชนชั้นทางสังคม โครงสร้างทาง เศรษฐกิจ อํานาจรัฐ ตลอดจนพิจารณาถึงปฏิสัมพันธ์กันเองของตัวแปรต้นต่าง ๆ ควบคู่กันไป กับการพิจารณาอิทธิพลที่มีต่อตัวแปรตาม ซึ่งนําไปสู่ข้อสรุปที่โด่งดังที่ว่า “ไม่มีชนชั้นนายทุนไม่มีประชาธิปไตย”

12. วิธีการเปรียบเทียบแบบ MSS และ MDS พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) Przeworski and Teune
(2) John Stuart Mill
(3) Antonio Gramsci
(4) Ragin and Rubinson
(5) Anthony Giddens
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

13. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระเบียบวิธีการศึกษาเปรียบเทียบแบบ Small-Ns
(1) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ
(2) เน้นศึกษาน้อยกรณี
(3) เน้นตีความหรือทําความเข้าใจความหมาย
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 70 Small-Ns คือ การศึกษาน้อยกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) ซึ่งเป็นการศึกษาที่เน้นเรื่องของ การตีความหรือทําความเข้าใจความหมายอย่างรอบด้านหรือในลักษณะองค์รวม เพื่อทําความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นที่ศึกษาในกรณีนั้น ๆ

14. งานของลิปเซ็ตเรื่อง “Political Man” ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Small-Ns
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 5 หน้า 64, 67 – 68 งานของลิปเซ็ต (Lipset) เรื่อง “Political Man” เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับความเป็นประชาธิปไตย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการศึกษาหลายกรณี (Large-Ns) ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า กลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยมั่นคง ประชาชนจะมีรายได้สูงกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตย ไม่มั่นคงหรือเป็นเผด็จการ จากงานชิ้นนี้ของลิปเซ็ตได้นํามาสู่ข้อสรุปเป็นคําอธิบายทั่วไป อันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”

15. คําอธิบายอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย” เป็นของนักวิชาการผู้ใด
(1) ไดมอนด์
(2) กิดเด้นส์
(3) ลิปเซ็ต
(4) ลาสเวลล์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 14. ประกอบ

16. งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของมัวร์ จูเนียร์ ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

17. งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของโรเบิร์ต พุตนัม ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 4 หน้า 74 งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของ โรเบิร์ต พุตนัม (Robert Putnum) เป็นการศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมแบบพลเมืองที่ส่งผลต่อ การทํางานของระบอบประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคในภาคเหนือ และภาคใต้ของอิตาลี ซึ่งพุตนัมได้ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้ วิธีการเชิงปริมาณเพื่อสํารวจทัศนคติของพลเมือง และใช้วิธีการเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นข้อมูลความเป็นมาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคในอิตาลี

18. “พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา” (Methodological Pluralism) สอดคล้องกับข้อใด
(1) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(2) ยุคหลังสมัยใหม่
(3) Nest Analysis
(4) Mixed Method
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 74 – 75, 140 พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา (Methodological Pluralism) เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์หรือยุคหลังสมัยใหม่ เป็นการศึกษาที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงระเบียบวิธีวิจัยซึ่งอาจใช้วิธีการแบบผสม (Mixed Method) หรือ “การวิเคราะห์ ประสานกันแบบรังนก” (Nest Analysis) และมีการขยายขอบเขตของการศึกษาครอบคลุม ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ ตลอดจนการเมืองในชีวิตประจําวัน เช่น เรื่องของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมภาคประชาสังคม รวมถึง เรื่องปฏิสัมพันธ์ของการเมืองภายในและภายนอกประเทศ

19. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงแนวทางการวิเคราะห์ (Approach)
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 80 – 81, 143 แนวทางการศึกษาหรือแนวทางการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบเค้าโครงในการศึกษาที่จะเป็นตัวกําหนดระดับของการอธิบาย วิธีการในการศึกษาตลอดจนทฤษฎีที่จะใช้ในการศึกษา โดยแนวทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่จะเป็นกรอบเค้าโครง กว้าง ๆ โดยไม่มีการลงลึกในส่วนของตัวแบบในการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม และในแต่ละ แนวทางการศึกษาจะประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ๆ อยู่ด้วย

20. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงทฤษฎีในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 82 ทฤษฎี (Theory) คือ ชุดของคําอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์เชิง เหตุผล (Causal Relations) ของปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษา หรือเรียกอีกอย่างว่า ชุดของคําอธิบายความสัมพันธ์เชิงปัจจยาการ

21. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสหลัก
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 83 – 127 แนวทางการวิเคราะห์กระแสหลัก ได้แก่
1. แนวทางระบบ
2. แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
3. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล
4. แนวทางสถาบันนิยมใหม่
5. แนวทางโครงสร้าง

22. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสวิพากษ์
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางสถาบันนิยมใหม่
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 85 – 86, 107, 134, 140 แนวทางการวิเคราะห์กระแสวิพากษ์ ได้แก่
1. แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
2. แนวทางมาร์กซิสต์
3. แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
4. แนวทางหลังสมัยใหม่หรือแนวทางหลังโครงสร้างนิยม
(ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ)

23. นักรัฐศาสตร์คนสําคัญที่นําเอาความคิดเชิงระบบมาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบคือ
(1) อีสตัน
(2) อัลมอนด์
(3) คาร์ล ดอยซ์
(4) คาร์ล มาร์กซ์
(5) ชาร์ล ทิลลี่
ตอบ 1 หน้า 89 เดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์คนแรกที่นําเอาความคิดเชิงระบบ มาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบ และเป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสนอแบบจําลองของระบบการเมือง อันเป็นผลจากความพยายามในการหาทฤษฎีทั่วไปที่สามารถใช้ในการอธิบายการเมืองทั้งระบบหรือสร้างทฤษฎีมหภาคที่สามารถนําไปใช้อธิบายสังคมอื่น ๆ ได้ทั่วทั้งโลก

24. ในทฤษฎีระบบการเมือง ปัจจัยนําเข้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) ข้อเรียกร้องความต้องการและการสนับสนุน
(2) รัฐบาลและรัฐสภา
(3) พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
(4) นโยบายและการปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 89 – 90 ในทฤษฎีระบบการเมืองนั้น เดวิด อีสตัน (David Easton) อธิบายว่า “ระบบการเมือง” (Political System) เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ซึ่งทําหน้าที่อยู่ภายใต้ “สิ่งแวดล้อม” (Environment) โดยจะมี “ปัจจัยนําเข้า” (Inputs) ซึ่งประกอบด้วย ข้อเรียกร้อง ความต้องการ (Demands) และการสนับสนุน (Supports) จากสิ่งแวดล้อมเข้ามาสู่ระบบการเมือง แล้วระบบการเมืองก็จะทําหน้าที่ในการตัดสินใจแปลงปัจจัยนําเข้าดังกล่าวเป็น “ปัจจัยนําออก” (Outputs) ในรูปของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายต่าง ๆ ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม และผลจากการทํางานของระบบการเมืองก็จะเกิดเป็น “ผลสะท้อนกลับ” (Feedback) กลับเข้าไปเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

25. ทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) อีสตัน
(2) เมอร์เรียม
(3) อัลมอนด์
(4) ฟูโกต์
(5) พาร์สัน
ตอบ 3 หน้า 92 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) ได้พัฒนาทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โดยได้ดึงแนวคิดเรื่องบทบาทและโครงสร้างของนักสังคมวิทยา เช่น แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ทาลค็อตต์ พาร์สัน (Talcott Parsons) เข้ามาผนวกกับทฤษฎีระบบ เพื่อให้ทฤษฎีระบบเชิง โครงสร้าง-หน้าที่มีความเป็นรูปธรรม สามารถศึกษากลุ่มของการกระทําทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการได้

26. ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โครงสร้างใดทําหน้าที่รวบรวมผลประโยชน์
(1) รัฐบาล
(2) พรรคการเมือง
(3) กลุ่มผลประโยชน์
(4) ศาล
(5) รัฐสภา
ตอบ 2 หน้า 93 – 94 ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่นั้น แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) อธิบายว่า โครงสร้างทางการเมืองแต่ละอย่างสามารถทํางานได้หลายหน้าที่ แม้ใน ระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วจะมีโครงสร้างหนึ่งขึ้นมาทําหน้าที่เฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นจะทําแค่หน้าที่เดียว เพราะโครงสร้างในทุกระบบการเมืองจะทําหน้าที่ หลาย ๆ อย่างเสมอ เช่น พรรคการเมืองมีหน้าที่หลักในการรวบรวมผลประโยชน์และเลือกสรร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่พรรคการเมืองก็ทําหน้าที่อื่น ๆ เช่น การเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับ ประชาชน การให้การศึกษาทางการเมือง เป็นต้น

27. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบใดเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
(1) Parochial
(2) Subject
(3) Participant
(4) Civic Culture
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 102 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ได้แบ่ง วัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็น 3 แบบ คือ แบบคับแคบ (Parochial) แบบไพร่ฟ้า (Subject) และแบบมีส่วนร่วม (Participant) ซึ่งในความคิดเห็นของทั้งสองมองว่า วัฒนธรรมทางการเมือง ที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่วัฒนธรรมแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องเป็นวัฒนธรรมทาง การเมืองที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้ง 3 แบบอย่างลงตัว ซึ่งเรียกว่า “วัฒนธรรม แบบพลเมือง” (Civic Culture) อันเป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนมีความกระตือรือร้นทางการเมือง แต่ก็ไม่มากจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

28. นักรัฐศาสตร์ท่านใดมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง
(1) Huntington
(2) Bentley
(3) Downs
(4) Powell
(5) Almond
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) โดยอัลมอนด์เสนอว่า สาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้ประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และอีกประเทศหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพราะว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย ส่วนประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นมีวัฒนธรรมไม่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย

29. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ Subject
(1) เป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง
(2) เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
(3) เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ปฏิบัติ
(4) เป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 102, (คําบรรยาย) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบรับรู้แต่ไม่เข้าร่วมทางการเมืองหรือ แบบไพร่ฟ้า (Subject) เป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจข่าวสาร มีความรู้เกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีอํานาจทางการเมือง เรื่องของ การเมืองเป็นเรื่องของผู้นํา ดังนั้นลักษณะของวัฒนธรรมแบบนี้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบ บนลงล่าง การเมืองเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและกฎเกณฑ์ปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็น การเมืองแบบใช้เหตุผล

30. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทางของยุคใด
(1) ยุคปรัชญา
(2) ยุคสถาบัน
(3) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(4) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 108 – 109 แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลมาจากสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเริ่มถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ ทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็น ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ดังนั้นแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลจึงถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทาง หรือทฤษฎีในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ในกระแสหลักที่ยังเชื่อมั่นในการสร้างความเป็นศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ในทางการเมือง

31. แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลคือ
(1) ความเสียสละ
(2) ผลประโยชน์ส่วนบุคคล
(3) ผลประโยชน์ของชาติ
(4) ความหลากหลาย
(5) ความเท่าเทียม
ตอบ 2 หน้า 109 แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลตั้งอยู่บน สมมติฐานหลัก 2 ตัว คือ ความมีเหตุมีผล (Rationality) กับผลประโยชน์ส่วนบุคคล(Self-Interest)

32. ตามแนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล คําว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผลหมายถึงข้อใด
(1) คิดถึงประโยชน์ได้เสีย
(2) จะทําการใดต้องมีการคํานวณ
(3) แสวงหาประโยชน์สูงสุด
(4) หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 110, (คําบรรยาย) แนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) มีสมมติฐานสําคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผล ซึ่งคําว่ามีเหตุมีผลหมายถึง มนุษย์ทุกคนเวลาจะทําการใดจะต้องคํานวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไร และเสียประโยชน์
อย่างไร หรือคํานวณผลได้ผลเสียที่จะได้รับจากทางเลือกแต่ละทาง โดยมนุษย์จะตัดสินใจเลือก ทางเลือกที่ได้ประโยชน์สูงสุดและหลีกเลี่ยงทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์มากที่สุดหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์นั่นเอง

33. แนวทางสถาบันดั้งเดิมแตกต่างกับแนวทางสถาบันนิยมใหม่ในข้อใด
(1) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ
(2) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการ
(3) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 115, 118, 120 – 122 แนวทางสถาบันดั้งเดิม เน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการหรือ ศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย ส่วนแนวทางสถาบันนิยมใหม่ให้ความสําคัญกับการศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการควบคู่กันไปกับการศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ รวมถึงขยายขอบเขต ของการศึกษาไปสู่เรื่องของพฤติกรรมของตัวแสดงทางการเมือง ปัจจัยทั้งหลายที่สามารถ ส่งผลทั้งต่อตัวสถาบันและต่อพฤติกรรมทางการเมืองภายในสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนการศึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถาบันและตัวแสดงทางการเมืองต่าง ๆ

34. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นสถาบันของฮันทิงตัน
(1) ความสามารถในการปรับตัว
(2) การแบ่งโครงสร้างทําหน้าที่เฉพาะ
(3) ความรวดเร็วในการทํางาน
(4) ความเป็นอิสระในตนเอง
(5) ความเป็นปึกแผ่น
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้เสนอตัวชี้วัดความเป็น สถาบัน ซึ่งมี 4 ประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)
2. การแบ่งโครงสร้างแยกย่อยลงไปและทําหน้าที่เฉพาะ (Complexity)
3. ความเป็นอิสระในตนเอง (Autonomy)
4. ความเป็นปึกแผ่น (Coherence)

35. “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) มาร์กซ์
(2) ทิลลี่
(3) ไชยวัฒน์ ค้ำชู
(4) อดอร์โน
(5) เดอร์ไคม์
ตอบ 2 หน้า 128 แนวทางโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ จะเน้นวิเคราะห์ความเป็นมาของโครงสร้าง ขนาดใหญ่ เช่น พัฒนาการของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในโลกตะวันตก พัฒนาการของระบบ ทุนนิยม พัฒนาการของยุคอุตสาหกรรม พัฒนาการของรัฐสมัยใหม่ พัฒนาการของการเข้าสู่ ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพใหญ่ของพัฒนาการ ตลอดจน ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่ศึกษาดังที่ชาร์ล ทิลลี่ (Charles Tilly) เรียกว่า “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” และ “กระบวนการใหญ่”

36. นักวิชาการผู้ใดมีอิทธิพลต่อแนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) ซี. ไรท์ มิลล์
(5) คาร์ล ป๊อปเปอร์
ตอบ 1 หน้า 129, (คําบรรยาย) นิคอส พลันต์ซาส (Nicos Poulantzas) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลต่อ แนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ อันเป็นผล
มาจากกระแสการนํารัฐกลับมาเป็นแกนกลางในการศึกษาทางการเมือง

37. นักวิชาการคนใดมีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) แม็กซ์ เวเบอร์
(5) สค็อกโพล
ตอบ 5 หน้า 117, 130, 156 เธดา สค็อกโพล (Theda Skocpol) และปีเตอร์ อีแวน (Peter Evans) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง โดยทั้งสองได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Bringing the State Back In” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ถูกนํามาใช้ เป็นกระแสการเรียกร้องให้รัฐซึ่งถูกมองว่าเป็นเหมือนกล่องดํา คือเป็นที่รวมของอํานาจที่กลุ่ม ต่าง ๆ ใช้ในการต่อรอง แย่งชิง ผลักดันนโยบายสาธารณะให้สอดคล้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน กลับเข้ามาสู่การเป็นศูนย์กลางของการวิเคราะห์ทางการเมือง

38. เพราะเหตุใดแนวคิดแบบมาร์กซิสต์จึงไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคงจะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม
(1) เพราะยากที่สถาบันการเมืองจะมีความเข้มแข็ง
(2) เพราะเอกชนจะเรียกร้องให้รัฐมีบทบาทน้อย
(3) เพราะมีความเจริญทางวัตถุแต่จิตใจผู้คนตกต่ำ
(4) เพราะมีโครงสร้างที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ
(5) เพราะผู้คนไม่สนใจคุณธรรมจริยธรรมทางศาสนา
ตอบ 4 หน้า 134 – 136, (คําบรรยาย) แนวคิดแบบมาร์กซิสต์ไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคง จะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม เพราะหัวใจสําคัญของประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน แต่ใน ระบบทุนนิยมกลับมีโครงสร้างที่ทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ กล่าวคือ ในระบบทุนนิยมนั้น ชนชั้นที่ออกแรงผลิตคือชนชั้นแรงงาน แต่ชนชั้นนายทุนกลับรีบเอามูลค่าที่ชนชั้นแรงงานผลิตได้ ไปเป็นของตน ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวทําให้เกิด “ชนชั้นผู้ได้เปรียบ” กับ “ชนชั้นผู้เสียเปรียบ”ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

39. ปัจจัยใดที่คาร์ล มาร์กซ์ ให้ความสําคัญที่สุดเมื่อวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง
(1) อํานาจของกฎหมาย
(2) โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจ
(3) การครอบงําทางความคิดผ่านทางศาสนา
(4) แสนยานุภาพทางทหาร
(5) อํานาจของรัฐในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
ตอบ 2 หน้า 134 – 135 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist Theory) กําเนิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมอย่างถึงรากถึงโคน หรือก็คือ ปฏิเสธระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง โดยการวิเคราะห์ของมาร์กซ์นั้นในทางหนึ่งเป็นการ วิเคราะห์เชิงโครงสร้างและการวิเคราะห์พัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ แต่หัวใจหลักอยู่ที่การใช้ โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจในการวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง

40. ข้อใดเป็นความแตกต่างสําคัญที่สุดระหว่างมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมกับมาร์กซิสต์ใหม่
(1) วิเคราะห์ทางชนชั้น
(2) ปฏิเสธระบบทุนนิยม
(3) ปฏิวัติทางชนชั้น
(4) ให้ความสําคัญกับอํานาจรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 137 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากทฤษฎีมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม โดยมีจุดร่วมสําคัญ คือ การมองว่าชนชั้นที่มีอํานาจทางเศรษฐกิจมักมีแนวโน้มมีอํานาจในทาง การเมืองด้วย แต่มีจุดต่างสําคัญจากมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมคือหันไปให้น้ําหนักกับโครงสร้างส่วนบนมากขึ้นแทนที่จะเน้นวิเคราะห์โครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น โดยเฉพาะประเด็นของอํานาจรัฐ

41. แนวคิดสําคัญของอันโตนิโอ กรัม ซี คือแนวคิดใด
(1) การปฏิวัติทางชนชั้น
(2) การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์
(3) วาทกรรม
(4) การครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรม
(5) พหุวัฒนธรรม
ตอบ 2 หน้า 137 – 138 อันโตนิโอ กรัมซี่ (Antonio Gramsci) ได้เสนอแนวคิด “การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์” (Hegemony) โดยอธิบายว่า โครงสร้างส่วนบนแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือ
สังคมการเมืองและสังคมประชา ชนชั้นที่ต้องการมีอํานาจเหนือสังคมอย่างเบ็ดเสร็จต้องสามารถครองอํานาจได้ในทั้งสองพื้นที่ในฐานะผู้ครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์ และกรมที่ได้ให้น้ำหนักไปที่การครอบงําทางความคิดอย่างมาก เนื่องจากการที่ชนชั้นหนึ่งจะมีชัยชนะขั้นเด็ดขาดและ สมบูรณ์เหนือสังคมได้ ชนชั้นนั้นต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

42. นักวิชาการคนใดเสนอแนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรม
(1) หลุยส์ อัลธูแซร์
(2) เออร์เนสโต ลาเคลา
(3) ของทัล มูฟ
(4) มิเชล ฟูโกต์
(5) ชาร์ค แดร์ริดา
ตอบ 4 หน้า 140 – 143 แนวคิดที่สําคัญของนักวิชาการในยุคหลังสมัยใหม่ มีดังนี้
1. แนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรมของมิเซล ฟูโกต์ (Michel Foucault)
2. แนวคิดการรื้อสร้างของชาร์ค แคร์ริดา (Jacques Derrida)
3. แนวคิดมายาคติของโรลอง บาร์ต (Rotand Barthes)
4. แนวคิดการครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรมและแนวคิดประชาธิปไตยเชิงลึกของเออร์เนสโต ลาเวลาและซองทัล มูฟ (Ernesto Laclau and Chantal Mouffe) ฯลฯ

43. “รัฐสมัยใหม่คือแหล่งรวมของอํานาจบังคับที่มีการจัดองค์การสําหรับครอบงําสังคม” คําอธิบายดังกล่าวเป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Andrew Heywood
(2) Joel Migdal
(3) Max Weber
(4) Gaetano Mosca
(5) Anthony Giddens
ตอบ 3 หน้า 146 แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ได้ให้นิยามคําว่ารัฐไว้ว่า “รัฐสมัยใหม่คือแหล่งรวม ของอํานาจบังคับที่มีการจัดองค์การสําหรับครอบงําสังคม” (a compulsory association which organizes domination)

44. รัฐที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือรัฐที่เกิดขึ้นในยุโรปภายหลังการทําสนธิสัญญาฉบับโด
(1) Treaty of Ulm 1647
(2) Treaty of Concordia 1648
(3) Treaty of Westphalia 1648
(4) Treaty of Zboriv 1649
(5) Treaty of Breda 1650
ตอบ 3 หน้า 147 รัฐที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือ รัฐที่เกิดขึ้นในยุโรปภายหลังจากการทําสนธิสัญญา เวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในยุโรปในปี ค.ศ. 1648 ซึ่งก่อให้เกิดรัฐสมัยใหม่ อันประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ ดินแดนที่แน่นอน (Territory) ประชากร (Population) รัฐบาล (Government) และอํานาจอธิปไตย (Sovereignty)

45. รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเอง คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 1 หน้า 148 รัฐในความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเองแยกออกมาและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจเจกบุคคล มีลักษณะเป็นสากล ซึ่งรัฐจะนําพามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ โดยที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟังรัฐ

46. รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 4 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงองค์การ หมายถึง รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย

47. รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 3 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่ หมายถึง รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาท และหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม

48. รัฐเป็นแหล่งรวมของชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 2 หน้า 148 – 149 รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม หมายถึง รัฐเป็นแหล่งรวมของ ชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม

49. รัฐที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 4 หน้า 151 – 152 รัฐรวม (Composite State) หรือสหพันธรัฐ (Federation) คือ รัฐที่เกิดขึ้น จากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป มีการจัดตั้งรัฐบาลกลางขึ้นโดยการมอบ อธิปไตยบางส่วนให้รัฐบาลกลางเพื่อจัดการในเรื่องสําคัญของส่วนรวมด้วยเหตุผลในเรื่องของ การป้องกันภัยรุกราน ความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ในขณะที่แต่ละรัฐที่มารวมตัวกัน ก็ยังคงมีอธิปไตยของตนเองอยู่บางส่วน ดังนั้นรัฐรวมจึงมีรัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลาง และ รัฐบาลของท้องถิ่นหรือมลรัฐ ตัวอย่างของรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น

50. รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าประธานาธิบดี คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 2 หน้า 151 สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้นําทางศาสนา รัฐแบบนี้พบได้ทั้งในระบอบประชาธิปไตย (เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย อิตาลี อินเดีย) คอมมิวนิสต์ (เช่น จีน เวียดนาม) และรัฐที่ปกครองโดยหลักศาสนา (เช่น อิหร่าน)

51. รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุดในเขตแดนของรัฐ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 3 หน้า 151 รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุด หรืออธิปไตยสมบูรณ์ในเขตแดนของรัฐนั้น ๆ ไม่มีรัฐบาลในระดับที่รองลงมา หน่วยงานของรัฐ ในท้องที่ เช่น จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นมือไม้หรือหน่วยงานที่รับมอบหมายงานจากรัฐบาลกลางไปดําเนินการ หรือในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่นแม้จะได้รับการกระจายอํานาจลงไปให้บ้างแต่ก็ไม่ถือว่ามีอธิปไตยเป็นของตนเอง การดําเนินงานยังคงอยู่ภายใต้การ กํากับควบคุมของรัฐบาลกลาง ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว เช่น ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น

52. รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบ ประชาธิปไตยก็ได้ คือรัฐแบบใด
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 1 หน้า 150 – 151 รัฐราชอาณาจักร (Kingdom State) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งรัฐราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดในปัจจุบันก็ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของรัฐ และมีรัฐบาลในระบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เบลเยียม ไทย เป็นต้น

53. รัฐมีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการดําเนิน กิจกรรมต่าง ๆ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 1หน้า 153 รัฐแบบกรรมการ (Minimal State) คือ รัฐที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบเสรีนิยมที่ให้รัฐ มีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการ ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ รัฐประเภทนี้พบในประเทศที่เป็นเสรีนิยมทุนนิยม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้น

54. แนวคิดเศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 3 หน้า 154 รัฐสังคม-ประชาธิปไตย (Social-Democratic State) คือ รัฐที่มีเป้าหมายเพื่อ ปฏิรูปสังคมให้เกิดความยุติธรรม แก้ปัญหาความยากจน เน้นให้เกิดความเท่าเทียมขึ้นในสังคม เป็นรัฐที่เน้นทําเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมากกว่าจะเน้นทําเพื่อประโยชน์ของนายทุน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวรัฐจึงต้องเข้าไปแทรกแซงสังคมในระดับสูงหรืออย่างแข็งขัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ตัวอย่างเช่น แนวคิด เศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ เป็นต้น

55. พบในสหภาพโซเวียตในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 5 หน้า 154 – 155 รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarian State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงเหนือสังคม ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ กระทั่งการใช้ชีวิตในทุกด้าน โดยไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นรัฐที่มีอํานาจ สูงที่สุด ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคําสั่งของรัฐ รัฐประเภทนี้พบในสหภาพโซเวียต ในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี และเกาหลีเหนือ

56. รัฐเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมคือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 2 หน้า 153 รัฐเพื่อการพัฒนา (Developmental State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐอาจจะประสาน ความร่วมมือกับนายทุนระดับชาติเพื่อการดังกล่าว ทั้งนี้การแทรกแซงดังกล่าวเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเอกชนในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศ มากกว่าการเข้าไปขัดขวางหรือรับเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจมาดําเนินการเอง ตัวอย่างของรัฐ ประเภทนี้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น

57. รัฐเข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดให้ เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 4 หน้า 154 รัฐรวมศูนย์ (Collectivized State) คือ รัฐที่เข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเอง ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดถูกวางแผนและจัดการโดยรัฐ จากส่วนกลาง รวมถึงมีการยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล คือ ไม่ให้เอกชนสามารถมีทรัพย์สิน ส่วนตัวได้ แต่ให้ทุกอย่างตกเป็นสมบัติของส่วนรวม รัฐประเภทนี้พบได้ในระบอบคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต จีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง เป็นต้น

58. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษารัฐนิยม (Statist Model)
(1) มีคําอธิบายรัฐนิยมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson
(2) เกิดจากการผลักดันของ Theda Skocpol และ Peter Evans
(3) รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจน้อยที่สุด
(4) รัฐในมุมมอง Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น
(5) ฐานคิดสําคัญคือรัฐจะมีบทบาทเสมอในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 156 – 158, (คําบรรยาย) อนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้อธิบายรัฐนิยมโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson ซึ่งจาก 3 กลุ่มนี้ รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจสูงที่สุด รองลงมาคือ รัฐในมุมมองของ Theda Skocpol และรัฐในมุมมองของ Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น

59. ประชาธิปไตยทางตรงเกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) Roman
(2) Athens
(3) Sparta
(4) Thebes
(5) Corinth
ตอบ 2 หน้า 165, (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบของ ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าไปใช้อํานาจในทางการเมืองอย่าง เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ในยุคกรีกโบราณ ทั้งนี้ประชาธิปไตยรูปแบบนี้สามารถทําได้ในกรณีของรัฐที่มีประชากรจํานวนน้อย ดังนั้นในโลกปัจจุบันที่มีประชากรจํานวนมหาศาล ประชาธิปไตยทางตรงจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

60. รัฐบาลเกาหลีเหนือ คือระบอบเผด็จการรูปแบบใด
(1) Totalitarianism
(2) Authoritarianism
(3) Benevolent Dictatorship
(4) Theocracy
(5) Aristocracy
ตอบ 1 หน้า 170 เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เป็นรูปแบบของระบอบเผด็จการที่เข้มข้น คือ รัฐบาลทําการควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกด้านทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตัวอย่างของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของ สหภาพโซเวียต รัฐบาลจีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง รัฐบาลนาซีเยอรมัน รัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลี รัฐบาลเกาหลีเหนือ เป็นต้น

61. ข้อใดคือชื่อเรียกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา
(1) Parliament
(2) Assembly
(3) Congress
(4) Diet
(5) State Duma
ตอบ 3 หน้า 172 สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นสถาบันที่มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมาย โดยสถาบันนิติบัญญัตินี้มีทั้งในประเทศประชาธิปไตยและประเทศเผด็จการ และมีชื่อเรียก แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ดังนี้
1. อังกฤษ เรียกว่า Parliament
2. ฝรั่งเศส เรียกว่า Assembly
3. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Congress
4. ญี่ปุ่น เรียกว่า Diet
5. ไทย เรียกว่า รัฐสภา

62. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรัฐสภาอังกฤษ
(1) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Common
(2) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Representative
(3) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Common
(4) ใช้ระบบ 2 สภา คือ Senate กับ House of Representative
(5) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Representative
ตอบ 3 หน้า 174 ระบบสองสภา (Bicameral System) เป็นระบบรัฐสภาที่ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาสูงและสภาล่าง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ไทย เรียกว่า วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร
2. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Senate กับ House of Representative
3. อังกฤษ เรียกว่า House of Lord กับ House of Common

63. หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential Systern
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 4 หน้า 176 – 177 การปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศอังกฤษ เป็นการปกครองที่มีการแยกอํานาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติแบบไม่เด็ดขาด การใช้อํานาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กันตาม หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power)

64. หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
รูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 1 หน้า 178 การปกครองระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการปกครองที่มีการแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารบนหลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) โดยฝ่ายนิติบัญญัติและ ฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นการทํางานของฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารจึงแยกอิสระจากกันค่อนข้างสูง แต่ก็มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

65. การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) ฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่ 5
(2) เยอรมนีในช่วงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
(3) โปรตุเกสในช่วงหลังการปฏิวัติคาร์เนชั่น
(4) เยอรมนีในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์
(5) รัสเซียในช่วงหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ตอบ 4 หน้า 180 การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เป็นระบบที่มีการผสมผสาน ระหว่างระบบประธานาธิบดีและระบบรัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์ (ค.ศ. 1919 – 1939) แต่เป็นที่รู้จักเมื่อประเทศฝรั่งเศสนําไปใช้

66. ข้อใดไม่ใช่สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management)
(1) นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
(2) ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
(3) จัดโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดใหญ่
(4) ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
(5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
ตอบ 3 หน้า 186 – 187 สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีดังนี้
1. นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชน มาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
2. ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
3. ปรับโครงสร้างองค์การให้มีขนาดเล็กลงและลดขั้นตอนการทํางาน
4. ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ฯลฯ

67. ระบบการเลือกตั้งที่เรียกกันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” คือระบบใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 3 หน้า 204 – 205 ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน (Proportional Representation : PR/Party List System) เป็นระบบที่มีการกําหนดเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่ ในแต่ละเขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน โดยการลงคะแนนเสียงจะลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง ไม่ใช่เลือกผู้สมัครรายคน แต่พรรคการเมืองจะทําบัญชีรายชื่อของผู้สมัครเรียงตามลําดับลงไป ทําให้เรียกระบบนี้กันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” (Party List System)

68. การเลือกพรรคซึ่งส่งผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดได้ที่นั่งทั้งหมดไป คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 4 หน้า 202 ระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเลือกเป็นพรรค หรือระบบบล็อกโหวต พรรคการเมือง (Party Block Vote : PBV) เป็นการเลือกผู้แทนโดยการเลือกพรรคซึ่งส่ง ผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ ที่นั่งทั้งหมดไป ซึ่งระบบนี้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

69.1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน แล้วแต่จํานวนผู้แทนพึงมีในเขตนั้น คือระบบเลือกตั้งใด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 5 หน้า 200 ระบบเสียงข้างมากธรรมดา หนึ่งเขตมีตัวแทนมากกว่าหนึ่งคน (Multi-Member District/Constituencies : MMD) หรือระบบรวมเขตเรียงเบอร์ (Block Voting : BV) เป็น ระบบเสียงข้างมากธรรมดา แต่ใน 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คนแล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนจึงมี ในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน โดยผู้เลือกตั้งสามารถ เลือกผู้สมัครได้ตามจํานวนผู้แทนในแต่ละเขต ซึ่งอาจเลือกจากพรรคเดียวกันเรียงเบอร์ไปเลย หรือจะเลือกผู้สมัครจากต่างพรรคก็ได้ หรือหากประสงค์เลือกเพียงเบอร์เดียวก็ได้ ผู้ที่ได้คะแนน สูงสุดเรียงตามลําาดับจนครบตามจํานวนผู้แทนจึงมีก็จะได้เป็นผู้แทนในเขตนั้น ๆ

70. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 1 หน้า 200 ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบพหุนิยม (Plurality Electoral System) เป็นระบบที่ใช้ในการเลือกตั้งแบบเขต โดยในแต่ละเขตผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะเป็นผู้ชนะโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินหนึ่งหรือไม่ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก

71. ระบบเลือกตั้งใดที่ผู้ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
(1) ระบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบเขตเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 2 หน้า 202 ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด หรือระบบเสียงส่วนใหญ่ (Majority Electoral System) เป็นระบบที่ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือสะท้อนเจตนารมณ์ของ ประชาชนอย่างแท้จริง ระบบนี้โดยทั่วไปจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คน

72. “การเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Arend Lijphart
(2) Giovanni Sartori
(3) Maurice Duverger
(4) Barnard Grofman
(5) Barbara Geddes
ตอบ 3 หน้า 209 – 210 เมารีส ดูแวร์แจร์ (Maurice Duverger) อธิบายว่า การเลือกตั้งระบบ เสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง โดยที่ระบบ 2 พรรคเด่นมักนําไปสู่รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ในขณะที่ระบบหลายพรรคก่อให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ

73. ระบบใดคือระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 3 หน้า 220 ระบบ 2 พรรค (Two-Party System) คือ การมีพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ ที่ต่อสู้แข่งขันและได้รับคะแนนเสียงสลับกันขึ้นเป็นรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมือง ในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

74. ระบบพรรคการเมืองกรณีพรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น และพรรคคองเกรสในอินเดีย คือ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 2 หน้า 219 – 220 ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (One Dominant Party System) เป็นระบบ ที่มีพรรคการเมืองได้มากกว่า 1 พรรค หรือกฎหมายเปิดให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งขึ้นได้ แต่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มักได้รับเลือกตั้งคะแนนสูงสุดและครองอํานาจในการปกครอง ตัวอย่างเช่น พรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น พรรคคองเกรสในอินเดีย เป็นต้น

75. ระบบพรรคการเมืองแบบใดมักนําไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสม
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 5 หน้า 220 ระบบหลายพรรค (Multiparty System) คือ การมีพรรคการเมืองหลายพรรค ต่อสู้แข่งขันกันโดยไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งครองเสียงข้างมาก และอาจต้อง จัดตั้งรัฐบาลผสม ระบบเช่นนี้อาจมีข้อดีคือเกิดความหลากหลายในทางอํานาจ แต่มีข้อเสียคือ การขาดเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้ง
และหาข้อตกลงกันไม่ได้

76. พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นไปตามระบบพรรคแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 1 หน้า 219 ระบบพรรคเดียว (One-Party System) คือ การมีพรรคการเมืองพรรคเดียว เท่านั้นในระบบการเมือง พบในประเทศเผด็จการทั้งในรูปแบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ ในระบบพรรคเดียวนี้อาจมีการเลือกตั้งด้วย แต่มีผู้สมัครลงแข่งขันจากพรรคการเมืองเดียว เท่านั้น ตัวอย่างเช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นต้น

77. 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาลเป็นลักษณะของระบบพรรคการเมืองแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 4 หน้า 221, (คําบรรยาย) ระบบกึ่ง 2 พรรค (Two-and-a-Half-Party System) คือ การมี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วนมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอ จะจัดตั้งรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในโปรตุเกส สเปน กรีซ เยอรมนี ออสเตรีย เป็นต้น

78. พรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิก มากกว่าปริมาณ และเน้นการเลือกตั้ง คือโครงสร้างพรรคการเมืองรูปแบบใด
(1) พรรคแบบคณะกรรมาธิการ
(2) พรรคแบบมีสาขาพรรค
(3) พรรคแบบแบ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ในรูปเซลล์
(4) พรรคแบบพลพรรค
(5) พรรคแบบเสรีนิยม
ตอบ 1 หน้า 222 – 223 พรรคแบบคณะกรรมาธิการ เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้น การเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญแต่จะไม่ค่อยเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองอื่น ๆ พรรคแบบนี้ มักตั้งขึ้นโดยกลุ่มชนชั้นนําเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าสู่อําานาจทางการเมือง ไม่ได้ขยายฐานสู่ประชาชน

79. กลุ่มผลประโยชน์ในระบบใด ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระ ของตนเองโดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น
(1) Democratic Corporatist Interest Group System
(2) Controlled Interest Group System
(3) Pluralist Interest Group System
(4) Institutional Group System
(5) Public Interest Group System
ตอบ 3 หน้า 232 ระบบพหุนิยม (Pluralist Interest Group System) กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระของตนเอง โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น แต่จะหมุนเวียนกันไปมีบทบาทหลักในประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน เมื่อเป็นประเด็นอื่นก็จะมีกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นเข้าไป มีบทบาทหลักแทน ระบบกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าวนี้พบมากในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และ นิวซีแลนด์ เป็นต้น

80. เสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน เป็นการพัฒนาในช่วงใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) A.M. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 2 หน้า 238 – 250 แนวคิดหรือทฤษฎีการพัฒนาในแต่ละยุค มีดังนี้
1. ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา เน้นการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองคลาสสิก
2. การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 เน้นการทําให้เป็นอุตสาหกรรม
3. การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980 เน้นการทําให้ทันสมัย ซึ่งคือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
4. การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000 เน้นแนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน
5. การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องของวิกฤติความชอบธรรมของแนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน การพัฒนาทางเลือกหรือความหลากหลายของการพัฒนา

81. ฉันทามติปักกิ่งหรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ เป็นการพัฒนาในช่วงใด
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 3 หน้า 250 การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่แนวคิดเสรีนิยมใหม่ หรือแนวนโยบายของฉันทามติวอชิงตันถูกตั้งคําถามอย่างหนักภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2008 ในสหรัฐอเมริกา จนมีนักวิชาการบางคนกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อ จุดจบของเสรีนิยมใหม่ นําไปสู่การนําเสนอฉันทามติอื่น ๆ เช่น ฉันทามติโคเปนเฮเกน ฉันทามติ เม็กซิโก ฉันทามติปักกิ่งหรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ เป็นต้น

82. การทําให้ทันสมัย คือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) ค.ศ. 1980 – 2000
(3) ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
(4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี ค.ศ. 1980
(5) ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

83. “การพัฒนาทางการเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความ ทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจ
ตามเหตุผล” เป็นคําอธิบายของผู้ใด
(1) Pye
(2) Lipset
(3) Huntington
(4) Almond
(5) Coleman
ตอบ 3 หน้า 245 – 246 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) อธิบายว่า การพัฒนาทาง การเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะและส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

84. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย
(1) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการคนสําคัญ คือ Lipset
(2) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Shedler
(3) วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย คือ วัฒนธรรมแบบพลเมือง
(4) The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations เป็นผลงาน ชิ้นสําคัญของ Almond กับ Verba
(5) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Barrington
Moore Jr.
ตอบ 2 หน้า 252 – 253 นักวิชาการคนสําคัญที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือ วัฒนธรรม คือ แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Atmond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ซึ่งได้อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง “The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations” ว่า “การนําระบอบประชาธิปไตยไปปรับใช้ในประเทศกําลังพัฒนา นอกจากการสร้างสถาบันแบบประชาธิปไตยหรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจแล้ว สิ่งที่สําคัญไม่แพ้กันก็คือการสร้างให้เกิดวัฒนธรรมทางการเมืองที่สอดคล้องกับการทํางานของโครงสร้างเชิงสถาบันในระบอบประชาธิปไตย…”

85. ข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย 10 ประการ เป็นคําอธิบาย การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 ดังค์วาร์ด รัสเทาว์ (Dankwart Rustow) ได้อธิบายข้อกําหนดเบื้องต้น สําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไว้ 10 ประการ ตัวอย่างเช่น
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยไม่จําเป็นต้องเป็นตัวเดียวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย
2. การศึกษาประชาธิปไตยต้องตระหนักว่าสหสัมพันธ์อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความสัมพันธ์ เชิงเหตุ-ผล
3. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคม ส่งผลต่อการเมือง
4. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยเชิงแนวคิดวัฒนธรรม ส่งผลต่อการกระทําของตัวแสดงเสมอไป ฯลฯ

86. การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 1 หน้า 257 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไว้ในหนังสือเรื่อง “คลื่นลูกที่สาม” ทั้งในส่วนของปัจจัยเชิงโครงสร้างและในส่วนของปัจจัยของตัวแสดงซึ่งก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนําทั้งที่อยู่ในอํานาจและที่ไม่อยู่ในอํานาจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลต่อเส้นทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน

87. “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการ ปกครองนอกจากประชาธิปไตย และไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงาน ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียว ในเมือง (The Only Game in Town)” ข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายของนักวิชาการท่านใด
(1) David Easton
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow

ตอบ 3 หน้า 260 – 261 ฮวน ลินซ์ (Juan Linz) ได้กําหนดนิยามของการสร้างความมั่นคงยั่งยืน ให้กับประชาธิปไตยว่า “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมือง ที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตยและไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียวในเมือง (The Only Game in Town)”

88. การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่การปฏิวัติในอียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Color Revolutions
(2) Arab Spring
(3) Rose Revolution
(4) Asian Spring
(5) Tulip Revolution
ตอบ 2 หน้า 273, (คําบรรยาย) การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เป็นการลุกฮือของ ประชาชนเพื่อต่อต้านอํานาจรัฐและระบบที่เป็นอยู่ ซึ่งการปฏิวัตินี้ได้ทําให้เกิดแรงกระเพื่อม ไปสู่การปฏิวัติในกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แก่ อียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย หรือที่ เรียกกันว่า “การปฏิวัติในฤดูใบไม้ผลิในอาหรับ” หรือ “อาหรับสปริง” (Arab Spring)

89. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
(1) เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
(2) เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
(3) เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน
(4) มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 281 – 285 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร อธิบายว่า สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์มีลักษณะ สําคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
2. เป็นโลกที่เส้นแบ่งต่าง ๆ ที่เคยมั่นคงชัดเจนเกิดความไม่ชัดเจน นําไปสู่การลากเส้นแบ่งใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
3. เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
5. มีการก่อการร้ายและการทําสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเป็นความจริงชุดใหม่
6. เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน

90. “ความตื่นตัวของประชาชนในตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์ อาหรับสปริงไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ในคลื่นลูกที่ 4” จากข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedler
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 2 หน้า 293 ลาร์รี่ ไดมอนด์ (Larry Diamond) อธิบายว่า ความตื่นตัวของประชาชนในตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ ประชาธิปไตยในคลื่นลูกที่ 4

91. หนังสือปรัชญาการเมืองเล่มใดถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ
(1) The Prince
(2) Democracy in America
(3) Politics
(4) The Spirit of Laws
(5) The City of God
ตอบ 3 หน้า 3 – 4, (คําบรรยาย) หนังสือปรัชญาการเมืองเรื่อง Politics ของอริสโตเติ้ล (Aristotle) สะท้อนให้เห็นถึงการใช้วิธีการเปรียบเทียบเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้ทางการเมืองที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการได้มาขององค์ความรู้ดังกล่าวเกิดขึ้นจากการนําเอากฎหมายปกครองของรัฐต่าง ๆ จํานวนมากถึง 158 รัฐมาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าในโลกนี้มีรูปแบบการปกครอง กี่รูปแบบ และแบ่งว่ารูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบที่ดีและรูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบที่เลว ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ

92. อริสโตเติ้ลเห็นว่าระบอบการปกครองใดที่ถือเป็นการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ที่เลว
(1) โพลิตี้
(2) คณาธิปไตย
(3) ทรราช
(4) ประชาธิปไตย
(5) อภิชนาธิปไตย
ตอบ 4 หน้า 4 อริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

93. เป้าหมายของการศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมืองคือข้อใด
(1) หาเกณฑ์เชิงปทัสถาน
(2) ค้นหาสิ่งที่พึงประสงค์ทางการเมือง
(3) สร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 3, (คําบรรยาย) การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมือง เน้นการศึกษาสิ่งที่ควร จะเป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การค้นหาเกณฑ์เชิงปทัสถานหรือสิ่งที่ พึงประสงค์หรือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เหมาะสมในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือระบอบการ ปกครองที่ดี ผู้ปกครองที่ดี รัฐที่ดี กฎหมายที่ดี เพื่อเสนอแนะหลักปฏิบัติทางการเมืองที่ถูกต้อง ชอบธรรม มีจรรยาบรรณ อุดมคติ หรือค่านิยมคอยกํากับ ทําให้การศึกษาในยุคนี้เชื่อมโยง อยู่กับเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และไม่ได้แยกเรื่องค่านิยมออกจากองค์ความรู้ทางการเมือง

94. การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
(1) การเมืองเปรียบเทียบ
(2) การปกครองเปรียบเทียบ
(3) ปรัชญาเปรียบเทียบ
(4) ทฤษฎีเปรียบเทียบ
(5) ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 8 การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า “การปกครองเปรียบเทียบ”

95. การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันเป็นไปเพื่อเป้าหมายใด
(1) ถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาของระบบการปกครองที่มีความก้าวหน้าในยุโรป
(2) สร้างรัฐสมัยใหม่
(4) พัฒนาตัวแบบทางการปกครอง
(3) พัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบพาณิชย์นิยม
(5) ข้อ 1 และ 4 ถูก

ตอบ 5 หน้า 8 การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันมีเป้าหมายเพื่อถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาของระบบการปกครองที่มีความก้าวหน้าในยุโรป เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตัวแบบ
ทางการปกครอง

96. สาขาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในยุคใด
(1) ยุคสถาบัน
(2) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(3) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(4) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังสมัยใหม่
ตอบ 3 หน้า 11, 22, 33 – 34 วิชาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ ภายหลังจากความพยายามในการแสวงหา เอกลักษณ์ให้กับสาขารัฐศาสตร์และการสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์โดยการผลักดันของประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น โดยเป้าหมายหรือหัวใจหลัก สําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือการสร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นเหตุเป็นผล มีความน่าเชื่อถือ สามารถนําไปใช้ในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ อย่างเป็น รูปธรรม

97. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงการเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
(1) ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์
(2) นักวิชาการรัฐศาสตร์ทําการเปรียบเทียบเนื่องจากไม่สามารถทดลองได้
(3) มีเป้าหมายสําคัญคือพัฒนาประชาธิปไตย
(4) เรียกร้องให้เกิดการยอมรับความจริงอันหลากหลาย
(5) ผลักดันโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น
ตอบ 4 หน้า 21 – 22 การเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ มีนัยสําคัญ 2 ประการ คือ
1. เป็นสาขาวิชาที่ตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาวิธีการและองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์ เนื่องจากนักวิชาการมองว่าการเปรียบเทียบเป็นเหมือนการทดลองทางอ้อมสําหรับการศึกษา ทางสังคมศาสตร์ที่ไม่อาจทําการทดลองได้จริง ๆ หรือดังที่โรเบิร์ต เบตส์ กล่าวว่า “เราทําการเปรียบเทียบ ก็เนื่องจากเราไม่สามารถทดลองได้”
2. เป็นสาขาวิชาที่ตั้งขึ้นมาศึกษาการเมืองในต่างประเทศ (ที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา) เพื่อให้เกิด ความเข้าใจและนําไปสู่การพัฒนาของประเทศเหล่านั้น (ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ)

98. หัวใจหลักสําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือข้อใด
(1) สร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย
(2) ค้นหาคนดีมาเป็นผู้ปกครอง
(3) สร้างกฎหมายปกครองที่ยอดเยี่ยม
(4) ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
(5) ส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศชาติ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

99. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงวิชาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบัน
(1) มุ่งหาทฤษฎีทั่วไป
(2) มุ่งสร้างศาสตร์บริสุทธิ์
(3) รวมเรียกว่าการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ
(4) ศึกษาการเมืองนอกสหรัฐฯ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 25 ในปัจจุบันเราอาจเรียกวิชาการเมืองเปรียบเทียบโดยนําเอาคําว่าการปกครอง เข้ามารวมด้วยเป็น “การเมืองการปกครองเปรียบเทียบ” เนื่องจากเรื่องของการปกครอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการเมืองเปรียบเทียบ อีกทั้งความหมายของการเมืองหรือความหมายของการปกครองเองก็ขยายออกไปกว้างขวางอย่างมากในปัจจุบันจนกล่าวได้ว่าเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอํานาจก็ถือว่าเป็นเรื่องของการเมืองทั้งสิ้น

100. ข้อใดเป็นระดับของหน่วยวิเคราะห์ในวิชาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) ระดับที่เน้นสถาบันเป็นศูนย์กลาง
(2) ระดับที่เน้นรัฐเป็นศูนย์กลาง
(3) ระดับผู้กระทําการ
(4) ระดับโครงสร้าง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 38 การแบ่งระดับของหน่วยวิเคราะห์ในวิชาการเมืองเปรียบเทียบอาจมีแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนักวิชาการแต่ละคน เช่น เฮคและแฮร์ร็อป (Hague and Harrop) ได้แบ่งระดับของ หน่วยวิเคราะห์ออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่เน้นสถาบันเป็นศูนย์กลาง ระดับที่เน้นสังคมเป็น ศูนย์กลาง และระดับที่เน้นรัฐเป็นศูนย์กลาง ส่วนอนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้แบ่งระดับของหน่วยวิเคราะห์ ออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับโครงสร้าง และระดับผู้กระทําการ

 

POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของมัวร์ จูเนียร์ ใช้ระเบียบวิธีการศึกษา
แบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 2 หน้า 72 งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของแบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการศึกษาน้อยกรณี (Small-NS) ซึ่งงานชิ้นนี้มัวร์ได้สร้างคําอธิบายใหม่ที่แตกต่างจากคําอธิบายเดิมที่มักบอกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยมีการอธิบายที่ซับซ้อนมากขึ้น พิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรต้นจํานวนมากขึ้นทั้งในส่วนของชนชั้นทางสังคม โครงสร้างทาง เศรษฐกิจ อํานาจรัฐ ตลอดจนพิจารณาถึงปฏิสัมพันธ์กันเองของตัวแปรต้นต่าง ๆ ควบคู่กันไป กับการพิจารณาอิทธิพลที่มีต่อตัวแปรตาม ซึ่งนําไปสู่ข้อสรุปที่โด่งดังที่ว่า “ไม่มีชนชั้นนายทุนไม่มีประชาธิปไตย”

2.“การพัฒนาทางการเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่อง ของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัย
ทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ” คําอธิบายดังกล่าวเป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Pye
(2) Lipset
(3) Huntington
(4) Almond
(5) Coleman
ตอบ 3 หน้า 245 – 246 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) อธิบายว่า การพัฒนาทาง การเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะและส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

3. รัฐเป็นแหล่งรวมของชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 2 หน้า 148 – 149 รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม หมายถึง รัฐเป็นแหล่งรวมของ ชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม

4. รัฐที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 4 หน้า 151 – 152 รัฐรวม (Composite State) หรือสหพันธรัฐ (Federation) คือ รัฐที่เกิดขึ้น จากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป มีการจัดตั้งรัฐบาลกลางขึ้นโดยการมอบ อธิปไตยบางส่วนให้รัฐบาลกลางเพื่อจัดการในเรื่องสําคัญของส่วนรวมด้วยเหตุผลในเรื่องของ การป้องกันภัยรุกราน ความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ในขณะที่แต่ละรัฐที่มารวมตัวกัน ก็ยังคงมีอธิปไตยของตนเองอยู่บางส่วน ดังนั้นรัฐรวมจึงมีรัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลาง และ รัฐบาลของท้องถิ่นหรือมลรัฐ ตัวอย่างของรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น

5. ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 2 หน้า 202 ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด หรือระบบเสียงส่วนใหญ่ (Majority Electoral System) เป็นระบบที่ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือสะท้อนเจตนารมณ์ของ ประชาชนอย่างแท้จริง ระบบนี้โดยทั่วไปจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คน

6.แนวคิดสําคัญของอันโตนิโอ กรัม คือแนวคิดใด
(1) การปฏิวัติทางชนชั้น
(2) วาทกรรม
(3) การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์
(4) พหุวัฒนธรรม
(5) การครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรม
ตอบ 3 หน้า 137 – 138 อันโตนิโอ กรัม (Antonio Gramsci) ได้เสนอแนวคิด “การครองความเป็น จ้าวทางอุดมการณ์” (Hegemony) โดยอธิบายว่า โครงสร้างส่วนบนแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือ สังคมการเมืองและสังคมประชา ชนชั้นที่ต้องการมีอํานาจเหนือสังคมอย่างเบ็ดเสร็จต้องสามารถครองอํานาจได้ในทั้งสองพื้นที่ในฐานะผู้ครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์ และกรมที่ได้ให้น้ำหนักไปที่การครอบงําทางความคิดอย่างมาก เนื่องจากการที่ชนชั้นหนึ่งจะมีชัยชนะขั้นเด็ดขาดและ สมบูรณ์เหนือสังคมได้ ชนชั้นนั้นต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

7.งานของลิปเซ็ตเรื่อง “Political Man” ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Small-Ns
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 5 หน้า 64, 67 – 68 งานของลิปเซ็ต (Lipset) เรื่อง “Political Man” เป็นการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับความเป็นประชาธิปไตย โดยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการศึกษาหลายกรณี (Large-Ns) ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า กลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยมั่นคง ประชาชนจะมีรายได้สูงกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตย ไม่มั่นคงหรือเป็นเผด็จการ จากงานชิ้นนี้ของลิปเซ็ตได้นํามาสู่ข้อสรุปเป็นคําอธิบายทั่วไป อันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”

8.กรณีศึกษาแบบใดช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
(1) Small-Ns
(2) การศึกษากรณีประเทศเดียว
(3) Large-Ns
(4) กรณีศึกษาตามรายประเด็น
(5) กรณีศึกษาเชิงลึก
ตอบ 3 หน้า 46 – 47, 64 Large-Ns หมายถึง จํานวนศึกษาหลายกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods)
ซึ่งข้อดีของการศึกษาหลายกรณี มีดังนี้
1. มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐานให้เข้มแข็งมากขึ้น
2. สามารถนําข้อสรุปจากการศึกษาไปใช้กับกรณีศึกษานอกกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
3. ช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
4. ช่วยให้ผลการวิเคราะห์มีลักษณะกลมกลืนกัน ฯลฯ

9. ข้อใดเป็นหน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง
(1) ระบบการเมือง
(2) สถาบันทางการเมือง
(3) รัฐ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 38 หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง เป็นหน่วยวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้าง ต่าง ๆ ในสังคม เช่น ระบบการเมือง รัฐ ชนชั้น สถาบันทางการเมือง กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ความสัมพันธ์เชิงอํานาจ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ในระดับนี้จะมีความเชื่อว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้น มีอิทธิพลต่อการกระทําของมนุษย์และการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม พฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้มีเสรีภาพมากนัก แต่จะแสดงออกมาภายใต้กรอบของโครงสร้างดังกล่าว

10. นักรัฐศาสตร์ท่านใดมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง
(1) Huntington
(2) Bentley
(3) Downs
(4) Powell
(5) Almond
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Atmond) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) โดยอัลมอนด์เสนอว่า สาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้ประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และอีกประเทศหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพราะว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย ส่วนประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นมีวัฒนธรรมไม่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย

11. เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของ สมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้นการเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญ คือโครงสร้างพรรคการเมืองรูปแบบใด
(1) พรรคแบบคณะกรรมาธิการ
(2) พรรคแบบมีสาขาพรรค
(3) พรรคแบบแบ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ในรูปเซลล์
(4) พรรคแบบพลพรรค
(5) พรรคแบบเสรีนิยม
ตอบ 1 หน้า 222 – 223 พรรคแบบคณะกรรมาธิการ เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย – ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้น การเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญแต่จะไม่ค่อยเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองอื่น ๆ พรรคแบบนี้ มักตั้งขึ้นโดยกลุ่มชนชั้นนําเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าสู่อํานาจทางการเมือง ไม่ได้ขยายฐานสู่ประชาชน

12. มองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างในกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 51 วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement) เป็นการมองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ในกรณีศึกษาต่าง ๆที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์

13. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
(1) โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
(2) โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
(3) โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน
(4) โลกยุคโลกาภิวัตน์มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 281 – 285 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร อธิบายว่า สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์มีลักษณะ สําคัญ 4 ประการ ได้แก่
1. โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
2. โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกที่เส้นแบ่งต่าง ๆ ที่เคยมั่นคงชัดเจนเกิดความไม่ชัดเจน นําไปสู่ การลากเส้นแบ่งใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
3. โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. โลกยุคโลกาภิวัตน์มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
5. โลกยุคโลกาภิวัตน์มีการก่อการร้ายและการทําสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเป็นความจริง ชุดใหม่
6. โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน

14. หนังสือปรัชญาการเมืองเล่มใดถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ
(1) The Prince
(2) Democracy in America
(3) Politics
(4) The Spirit of Laws
(5) The City of God
ตอบ 3 หน้า 3 – 4, (คําบรรยาย) หนังสือปรัชญาการเมืองเรื่อง “Politics” ของอริสโตเติ้ล (Aristotle) สะท้อนให้เห็นการใช้วิธีการเปรียบเทียบเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้ทางการเมือง ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการได้มาขององค์ความรู้ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากการนําเอา กฎหมายปกครองของรัฐต่าง ๆ จํานวนมากถึง 158 รัฐมาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าในโลกนี้มีรูปแบบ การปกครองกี่รูปแบบ และแบ่งว่ารูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบที่ดีและรูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบ ที่เลว ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ

15. นักรัฐศาสตร์คนสําคัญที่นําเอาความคิดเชิงระบบมาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบคือ
(1) อีสตัน
(2) อัลมอนด์
(3) คาร์ล ดอยซ์
(4) คาร์ล มาร์กซ์
(5) ชาร์ล ทิลลี่
ตอบ 1 หน้า 89 เดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์คนแรกที่นําเอาความคิดเชิงระบบ มาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบ และเป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสนอแบบจําลองของระบบการเมือง อันเป็นผลจากความพยายามในการหาทฤษฎีทั่วไปที่สามารถใช้ในการอธิบายการเมืองทั้งระบบหรือสร้างทฤษฎีมหภาคที่สามารถนําไปใช้อธิบายสังคมอื่น ๆ ได้ทั่วทั้งโลก

16. “พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา” (Methodological Pluralism) สอดคล้องกับข้อใด
(1) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(2) ยุคหลังสมัยใหม่
(3) Nest Analysis
(4) Mixed Method
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 74 – 75, 140 พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา (Methodological Pluralism) เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์หรือยุคหลังสมัยใหม่ เป็นการศึกษาที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงระเบียบวิธีวิจัยซึ่งอาจใช้วิธีการแบบผสม (Mixed Method) หรือ “การวิเคราะห์ประสานกันแบบรังนก” (Nest Analysis) และมีการขยายขอบเขตของการศึกษาครอบคลุม ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ ตลอดจนการเมืองในชีวิตประจําวัน เช่น เรื่องของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมภาคประชาสังคม รวมถึง เรื่องปฏิสัมพันธ์ของการเมืองภายในและภายนอกประเทศ

17. แนวคิดเศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และ
เศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 3 หน้า 154 รัฐสังคม-ประชาธิปไตย (Social-Democratic State) คือ รัฐที่มีเป้าหมายเพื่อ ปฏิรูปสังคมให้เกิดความยุติธรรม แก้ปัญหาความยากจน เน้นให้เกิดความเท่าเทียมขึ้นในสังคม เป็นรัฐที่เน้นทําเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมากกว่าจะเน้นทําเพื่อประโยชน์ของนายทุน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวรัฐจึงต้องเข้าไปแทรกแซงสังคมในระดับสูงหรืออย่างแข็งขันเพื่อแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ตัวอย่างเช่น แนวคิด เศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ เป็นต้น

18. ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ได้รับเลือกโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 1 หน้า 200 ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบพหุนิยม (Plurality Electoral System) เป็นระบบที่ใช้ในการเลือกตั้งแบบเขต โดยในแต่ละเขตผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะเป็นผู้ได้รับเลือกโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินหนึ่งหรือไม่ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก

19. รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 1 หน้า 150 – 151 รัฐราชอาณาจักร (Kingdorn State) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งรัฐราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดในปัจจุบันก็ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของรัฐ และมีรัฐบาลในระบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เบลเยียม ไทย เป็นต้น

20. นักวิชาการผู้ใดมีอิทธิพลต่อแนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) ซี. ไรท์ มิลล์
(5) คาร์ล ป๊อปเปอร์
ตอบ 1 หน้า 129, (คําบรรยาย) นิคอส พลันต์ซาส (Nicos Poulantzas) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลต่อ แนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ อันเป็นผลมาจากกระแสการนํารัฐกลับมาเป็นแกนกลางในการศึกษาทางการเมือง

21. ข้อใดเป็นความแตกต่างสําคัญที่สุดระหว่างมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมกับมาร์กซิสต์ใหม่
(1) วิเคราะห์ทางชนชั้น
(2) ปฏิเสธระบบทุนนิยม
(3) ปฏิวัติทางชนชั้น
(4) ให้ความสําคัญกับอํานาจรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 137 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากทฤษฎีมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม โดยมีจุดร่วมสําคัญ คือ การมองว่าชนชั้นที่มีอํานาจทางเศรษฐกิจมักมีแนวโน้มมีอํานาจในทาง การเมืองด้วย แต่มีจุดต่างสําคัญจากมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมคือหันไปให้น้ำหนักกับโครงสร้างส่วนบนมากขึ้นแทนที่จะเน้นวิเคราะห์โครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น โดยเฉพาะประเด็นของอํานาจรัฐ

22. การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) ฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่ 5
(2) เยอรมนีในช่วงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
(3) โปรตุเกสในช่วงหลังการปฏิวัติคาร์เนชั่น
(4) เยอรมนีในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์
(5) รัสเซียในช่วงหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ตอบ 4 หน้า 180 การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เป็นระบบที่มีการผสมผสาน ระหว่างระบบประธานาธิบดีและระบบรัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์ (ค.ศ. 1919 – 1939) แต่เป็นที่รู้จักเมื่อประเทศฝรั่งเศสนําไปใช้

23. “ไม่มีชนชั้นนายทุน ไม่มีประชาธิปไตย” เป็นคํากล่าวของนักวิชาการคนใด
(1) แกเบรียล อัลมอนด์
(2) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(3) เธดา สค็อกโพล
(4) แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์
(5) โรเบิร์ต ดาห์ล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

24. ยุคเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตันเกี่ยวข้องกับ
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 4 หน้า 238 – 250 แนวคิดหรือทฤษฎีการพัฒนาในแต่ละยุค มีดังนี้
1. ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา เน้นการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองคลาสสิก
2. การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 เน้นการทําให้เป็นอุตสาหกรรม
3. การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980 เน้นการทําให้ทันสมัย ซึ่งก็คือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
4. การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000 เน้นแนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน
5. การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องของวิกฤติความชอบธรรมของแนวคิด เสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน การพัฒนาทางเลือกหรือความหลากหลายของการพัฒนา

25. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 59 – 60 วิธีการเปรียบเทียบของเซวอร์สกีและเทิร์น (Przeworski and Teune) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มี 2 วิธี คือ
1. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความแตกต่างของมิลล์
2. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด (Most Different Systems : MDS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความเหมือนของมิลล์

26. รัฐที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือรัฐที่เกิดขึ้นในยุโรปภายหลังการทําสนธิสัญญาฉบับใด
(1) Treaty of Ulm 1647
(2) Treaty of Concordia 1648
(3) Treaty of Zboriv 1649
(4) Treaty of Westphalia 1648
(5) Treaty of Breda 1650
ตอบ 4 หน้า 147 รัฐที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือ รัฐที่เกิดขึ้นในยุโรปภายหลังจากการทําสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในยุโรปในปี ค.ศ. 1648 ซึ่งก่อให้เกิดรัฐสมัยใหม่ อันประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ ดินแดนที่แน่นอน (Territory) ประชากร (Population) รัฐบาล (Government) และอํานาจอธิปไตย (Sovereignty)

27. ระบบพรรคการเมืองที่ส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลผสม
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Muttiparty System
ตอบ 5 หน้า 220 ระบบหลายพรรค (Multiparty System) คือ การมีพรรคการเมืองหลายพรรคต่อสู้แข่งขันกันโดยไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งครองเสียงข้างมาก และอาจต้อง จัดตั้งรัฐบาลผสม ระบบเช่นนี้อาจมีข้อดีคือเกิดความหลากหลายในทางอํานาจ แต่มีข้อเสียคือ การขาดเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้งและหาข้อตกลงกันไม่ได้

28. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ Subject
(1) เป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง
(2) เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
(3) เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ปฏิบัติ
(4) เป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 102, (คําบรรยาย) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบรับรู้แต่ไม่เข้าร่วมทางการเมืองหรือแบบ ไพร่ฟ้า (Subject) เป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจข่าวสาร มีความรู้เกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เข้า ไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีอํานาจทางการเมือง เรื่องของการเมืองเป็น เรื่องของผู้นํา ดังนั้นลักษณะของวัฒนธรรมแบบนี้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง การเมือง เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและกฎเกณฑ์ปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล

29. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย
(1) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการคนสําคัญ คือ Lipset
(2) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Shedler
(3) วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย คือ วัฒนธรรมแบบพลเมือง
(4) The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations เป็นผลงาน ชิ้นสําคัญของ Almond กับ Verba
(5) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Barrington Moore Jr.
ตอบ 2 หน้า 252 – 253 นักวิชาการคนสําคัญที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือ วัฒนธรรม คือ แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ซึ่งได้อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง “The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations” ว่า “การนําระบอบประชาธิปไตยไปปรับใช้ในประเทศกําลังพัฒนา นอกจากการสร้างสถาบันแบบประชาธิปไตยหรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจแล้ว สิ่งที่สําคัญไม่แพ้กันก็คือการสร้างให้เกิดวัฒนธรรมทางการเมืองที่สอดคล้องกับการทํางานของโครงสร้างเชิงสถาบันในระบอบประชาธิปไตย…”

30. คําอธิบายอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”เป็นของนักวิชาการผู้ใด
(1) ไดมอนด์
(2) กิดเด้นส์
(3) ลิปเซ็ต
(4) ลาสเวลล์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

31. รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุดในเขตแดนของรัฐ
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 3 หน้า 151 รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุด หรืออธิปไตยสมบูรณ์ในเขตแดนของรัฐนั้น ๆ ไม่มีรัฐบาลในระดับที่รองลงมา หน่วยงานของรัฐ ในท้องที่ เช่น จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นมือไม้หรือหน่วยงานที่รับมอบหมายงานจาก รัฐบาลกลางไปดําเนินการ หรือในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่นแม้จะได้รับการกระจายอํานาจลงไปให้บ้างแต่ก็ไม่ถือว่ามีอธิปไตยเป็นของตนเอง การดําเนินงานยังคงอยู่ภายใต้การ กํากับควบคุมของรัฐบาลกลาง ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว เช่น ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น

32. “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทสําคัญมีความตระหนักร่วมกันว่าไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็น
เกมเดียวในเมือง” เป็นคําอธิบายการสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedler
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 ฮวน ลินซ์ (Juan Linz) ได้กําหนดนิยามของการสร้างความมั่นคงยั่งยืน ให้กับประชาธิปไตยว่า “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมือง ที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตยและไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียวในเมือง (The Only Game in Town)”

33. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทางของยุคใด
(1) ยุคปรัชญา
(2) ยุคสถาบัน
(3) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(4) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 108 – 109 แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach)เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลมาจากสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเริ่มถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ ทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็นยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ดังนั้นแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลจึงถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทาง หรือทฤษฎีในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ในกระแสหลักที่ยังเชื่อมั่นในการสร้างความเป็นศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ในทางการเมือง

34. ยุคที่มองว่าการทําให้ทันสมัย คือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย คือ
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

35. ทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) อีสตัน
(2) เมอร์เรียม
(3) อัลมอนด์
(4) ฟูโกต์
(5) พาร์สัน
ตอบ 3 หน้า 92 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) ได้พัฒนาทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โดยได้ดึงแนวคิดเรื่องบทบาทและโครงสร้างของนักสังคมวิทยา เช่น แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ทาลค็อตต์ พาร์สัน (Talcott Parsons) เข้ามาผนวกกับทฤษฎีระบบ เพื่อให้ทฤษฎีระบบเชิง โครงสร้าง-หน้าที่มีความเป็นรูปธรรม สามารถศึกษากลุ่มของการกระทําทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการได้

36. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระเบียบวิธีการศึกษาเปรียบเทียบแบบ Small-Ns
(1) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ
(2) เน้นศึกษาน้อยกรณี
(3) เน้นตีความหรือทําความเข้าใจความหมาย
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 70 Small-Ns คือ การศึกษาน้อยกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) ซึ่งเป็นการศึกษาที่เน้นเรื่องของ การตีความหรือทําความเข้าใจความหมายอย่างรอบด้านหรือในลักษณะองค์รวม เพื่อทําความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นที่ศึกษาในกรณีนั้น ๆ

37. นักวิชาการคนใดมีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) แม็กซ์ เวเบอร์
(5) สค็อกโพล
ตอบ 5 หน้า 117, 130, 156 เธดา สค็อกโพล (Theda Skocpol) และปีเตอร์ อีแวน (Peter Evans) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง โดยทั้งสองได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Bringing the State Back In” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ถูกนํามาใช้ เป็นกระแสการเรียกร้องให้รัฐซึ่งถูกมองว่าเป็นเหมือนกล่องดํา คือเป็นที่รวมของอํานาจที่กลุ่ม ต่าง ๆ ใช้ในการต่อรอง แย่งชิง ผลักดันนโยบายสาธารณะให้สอดคล้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน กลับเข้ามาสู่การเป็นศูนย์กลางของการวิเคราะห์ทางการเมือง

38. หัวใจหลักสําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือข้อใด
(1) สร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย
(2) ค้นหาคนดีมาเป็นผู้ปกครอง
(3) สร้างกฎหมายปกครองที่ยอดเยี่ยม
(4) ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
(5) ส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศชาติ
ตอบ 1 หน้า 11, 22, 33 – 34 วิชาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ ภายหลังจากความพยายามในการแสวงหา เอกลักษณ์ให้กับสาขารัฐศาสตร์และการสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์ โดยการผลักดันของประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น โดยเป้าหมายหรือหัวใจหลัก สําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือการสร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเหตุเป็นผล มีความน่าเชื่อถือ สามารถนําไปใช้ในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

39. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษารัฐนิยม (Statist Model)
(1) มีคําอธิบายรัฐนิยมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson
(2) เกิดจากการผลักดันของ Theda Skocpol และ Peter Evans
(3) รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจน้อยที่สุด
(4) รัฐในมุมมอง Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น
(5) ฐานคิดสําคัญคือรัฐจะมีบทบาทเสมอในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 156 – 158, (คําบรรยาย) อนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้อธิบายรัฐนิยมโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson ซึ่งจาก 3 กลุ่มนี้ รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจสูงที่สุด รองลงมาคือ รัฐในมุมมองของ Theda Skocpot และรัฐในมุมมองของ Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น

40. หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 1 หน้า 178 การปกครองระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการปกครองที่มีการแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารบนหลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) โดยฝ่ายนิติบัญญัติและ ฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นการทํางานของฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารจึงแยกอิสระจากกันค่อนข้างสูง แต่ก็มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

41. ฉันทามติปักกิ่งหรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 5 หน้า 250 การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่แนวคิดเสรีนิยมใหม่ หรือแนวนโยบายของฉันทามติวอชิงตันถูกตั้งคําถามอย่างหนักภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2008 ในสหรัฐอเมริกา จนมีนักวิชาการบางคนกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อ จุดจบของเสรีนิยมใหม่ นําไปสู่การนําเสนอฉันทามติอื่น ๆ เช่น ฉันทามติโคเปนเฮเกน ฉันทามติ เม็กซิโก ฉันทามติปักกิ่งหรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ เป็นต้น

42. ระบบพรรคที่มี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ เช่น เยอรมนี ออสเตรีย และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วนมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอจะจัดตั้งรัฐบาล
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System.
ตอบ 4 หน้า 221, (คําบรรยาย) ระบบกึ่ง 2 พรรค (Two-and-a-Half-Party System) คือ การมี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วนมีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอ จะจัดตั้งรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในโปรตุเกส สเปน กรีซ เยอรมนี ออสเตรีย เป็นต้น

43. พบในสหภาพโซเวียตในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 5 หน้า 154 – 155 รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarian State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงเหนือสังคม ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ กระทั่งการใช้ชีวิตในทุกด้าน โดยไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นรัฐที่มีอํานาจ สูงที่สุด ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคําสั่งของรัฐ รัฐประเภทนี้พบในสหภาพโซเวียต ในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี และเกาหลีเหนือ

44. รัฐเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมคือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 2 หน้า 153 รัฐเพื่อการพัฒนา (Developmental State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐอาจจะประสาน ความร่วมมือกับนายทุนระดับชาติเพื่อการดังกล่าว ทั้งนี้การแทรกแซงดังกล่าวเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเอกชนในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศ มากกว่าการเข้าไปขัดขวางหรือรับเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจมาดําเนินการเอง ตัวอย่างของรัฐ ประเภทนี้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น

45. รัฐบาลเกาหลีเหนือ คือระบอบเผด็จการรูปแบบใด
(1) Totalitarianism
(2) Authoritarianism
(3) Benevolent Dictatorship
(4) Theocracy
(5) Aristocracy
ตอบ 1 หน้า 170 เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เป็นรูปแบบของระบอบเผด็จการที่เข้มข้น คือ รัฐบาลทําการควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกด้านทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตัวอย่างของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของ สหภาพโซเวียต รัฐบาลจีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง รัฐบาลนาซีเยอรมัน รัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลี รัฐบาลเกาหลีเหนือ เป็นต้น

46. ข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย 10 ประการ เป็นคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 ดังค์วาร์ด รัสเทาว์ (Dankwart Rustow) ได้อธิบายข้อกําหนดเบื้องต้น สําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไว้ 10 ประการ ตัวอย่างเช่น
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยไม่จําเป็นต้องเป็นตัวเดียวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย
2. การศึกษาประชาธิปไตยต้องตระหนักว่าสหสัมพันธ์อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความสัมพันธ์ เชิงเหตุ-ผล
3. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคม ส่งผลต่อการเมือง
4. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ไม่จําเป็นต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยเชิงแนวคิดวัฒนธรรม ส่งผลต่อการกระทําของตัวแสดงเสมอไป ฯลฯ

47. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงแนวทางการวิเคราะห์ (Approach)
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 80 – 81, 143 แนวทางการศึกษาหรือแนวทางการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบเค้าโครงในการศึกษาที่จะเป็นตัวกําหนดระดับของการอธิบาย วิธีการในการศึกษาตลอดจนทฤษฎีที่จะใช้ในการศึกษา โดยแนวทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่จะเป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ โดยไม่มีการลงลึกในส่วนของตัวแบบในการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม และในแต่ละ แนวทางการศึกษาจะประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ๆ อยู่ด้วย

48. รัฐมีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 1 หน้า 153 รัฐแบบกรรมการ (Minimal State) คือ รัฐที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบเสรีนิยมที่ให้รัฐ มีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการ ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ รัฐประเภทนี้พบในประเทศที่เป็นเสรีนิยมทุนนิยม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้น

49. “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) มาร์กซ์
(2) ทิลลี่
(3) ไชยวัฒน์ ค้ำชู
(4) อดอร์โน
(5) เดอร์ไคม์
ตอบ 2 หน้า 128 แนวทางโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ จะเน้นวิเคราะห์ความเป็นมาของโครงสร้าง ขนาดใหญ่ เช่น พัฒนาการของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในโลกตะวันตก พัฒนาการของระบบ ทุนนิยม พัฒนาการของยุคอุตสาหกรรม พัฒนาการของรัฐสมัยใหม่ พัฒนาการของการเข้าสู่ ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพใหญ่ของพัฒนาการ ตลอดจน ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่ศึกษาดังที่ชาร์ล ทิลลี่ (Charles Tilly) เรียกว่า “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” และ “กระบวนการใหญ่”

50. ระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 3 หน้า 220 ระบบ 2 พรรค (Two-Party System) คือ การมีพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ ที่ต่อสู้แข่งขันและได้รับคะแนนเสียงสลับกันขึ้นเป็นรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมือง ในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

51. การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
(1) การเมืองเปรียบเทียบ
(2) การปกครองเปรียบเทียบ
(3) ปรัชญาเปรียบเทียบ
(4) ทฤษฎีเปรียบเทียบ
(5) ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 8 การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า“การปกครองเปรียบเทียบ”

52. การเลือกพรรคซึ่งส่งผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ที่นั่งทั้งหมดไป
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 4 หน้า 202 ระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเลือกเป็นพรรค หรือระบบบล็อกโหวต พรรคการเมือง (Party Block Vote : PBV) เป็นการเลือกผู้แทนโดยการเลือกพรรคซึ่งส่ง ผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ ที่นั่งทั้งหมดไป ซึ่งระบบนี้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

53. รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเอง คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 1 หน้า 148 รัฐในความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานง และเป้าหมายของตนเองแยกออกมาและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจเจกบุคคล มีลักษณะเป็นสากล ซึ่งรัฐจะนําพามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ โดยที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟังรัฐ

54. ค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือน ๆ กัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(3) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
(4) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) เป็นการค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือน ๆ กัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์

55. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงทฤษฎีในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 82 ทฤษฎี (Theory) คือ ชุดของคําอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล (Causal Relations) ของปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษา หรือเรียกอีกอย่างว่าชุดของคําอธิบายความสัมพันธ์เชิงปัจจยาการ

56. อริสโตเติ้ลเห็นว่าระบอบการปกครองใดที่ถือเป็นการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ที่เลว
(1) โพลิตี้
(2) คณาธิปไตย
(3) ทรราช
(4) ประชาธิปไตย
(5) อภิชนาธิปไตย
ตอบ 4 หน้า 4 อริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

57. ตามแนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล คําว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผลหมายถึงข้อใด
(1) จะทําการใดต้องมีการคํานวณ
(2) คิดถึงประโยชน์ได้เสีย
(3) แสวงหาประโยชน์สูงสุด
(4) หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 110, (คําบรรยาย) แนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) มีสมมติฐานสําคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผล ซึ่งคําว่ามีเหตุมีผลหมายถึง มนุษย์ทุกคนเวลา จะทําการใดจะต้องคํานวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไร และเสียประโยชน์ อย่างไร หรือคํานวณผลได้ผลเสียที่จะได้รับจากทางเลือกแต่ละทาง โดยมนุษย์จะตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ได้ประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์มากที่สุดหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์นั่นเอง

58. ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โครงสร้างใดทําหน้าที่รวบรวมผลประโยชน์
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) รัฐบาล
(4) รัฐสภา
(5) ศาล
ตอบ 2 หน้า 93 – 94 ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่นั้น แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) อธิบายว่า โครงสร้างทางการเมืองแต่ละอย่างสามารถทํางานได้หลายหน้าที่ แม้ใน ระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วจะมีโครงสร้างหนึ่งขึ้นมาทําหน้าที่เฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นจะทําแค่หน้าที่เดียว เพราะโครงสร้างในทุกระบบการเมืองจะทําหน้าที่ หลาย ๆ อย่างเสมอ เช่น พรรคการเมืองมีหน้าที่หลักในการรวบรวมผลประโยชน์และเลือกสรร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่พรรคการเมืองก็ทําหน้าที่อื่น ๆ เช่น การเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับ ประชาชน ให้การศึกษาทางการเมือง เป็นต้น

59. งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของโรเบิร์ต พุตนัม ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 4 หน้า 74 งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของ โรเบิร์ต พุตนัม (Robert Putnum) เป็นการศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมแบบพลเมืองที่ส่งผลต่อ การทํางานของระบอบประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคในภาคเหนือ และภาคใต้ของอิตาลี ซึ่งพุตนัมได้ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้ วิธีการเชิงปริมาณเพื่อสํารวจทัศนคติของพลเมือง และใช้วิธีการเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นข้อมูลความเป็นมาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคในอิตาลี

60. วิธีการเปรียบเทียบแบบ MSS และ MDS พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) Przeworski and Teune
(2) John Stuart Mill
(3) Antonio Gramsci
(4) Ragin and Rubinson
(5) Anthony Giddens
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

61. สาขาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในยุคใด
(1) ยุคสถาบัน
(2) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(3) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(4) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังสมัยใหม่
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

62. ปัจจัยใดที่คาร์ล มาร์กซ์ ให้ความสําคัญที่สุดเมื่อวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง
(1) อํานาจของกฎหมาย
(2) โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจ
(3) การครอบงําทางความคิดผ่านทางศาสนา
(4) แสนยานุภาพทางทหาร
(5) อํานาจของรัฐในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
ตอบ 2 หน้า 134 – 135 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist Theory) กําเนิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยคาร์ล มาร์กซ์ (Kart Marx) ซึ่งวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมอย่างถึงรากถึงโคน หรือก็คือ ปฏิเสธระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง โดยการวิเคราะห์ของมาร์กซ์นั้นในทางหนึ่งเป็นการ วิเคราะห์เชิงโครงสร้างและการวิเคราะห์พัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ แต่หัวใจหลักอยู่ที่การใช้ โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจในการวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง

63. Large-Ns มีความหมายถึงสิ่งใด
(1) จํานวนศึกษาหลายกรณี
(2) การศึกษาเชิงปริมาณ
(3) มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐาน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

64. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงการเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
(1) ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์
(2) นักวิชาการรัฐศาสตร์ทําการเปรียบเทียบเนื่องจากไม่สามารถทดลองได้
(3) มีเป้าหมายสําคัญคือพัฒนาประชาธิปไตย
(4) เรียกร้องให้เกิดการยอมรับความจริงอันหลากหลาย
(5) ผลักดันโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น
ตอบ 4 หน้า 21 – 22 การเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ มีนัยสําคัญ 2 ประการ คือ
1. เป็นสาขาวิชาที่ตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาวิธีการและองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์ เนื่องจากนักวิชาการมองว่าการเปรียบเทียบเป็นเหมือนการทดลองทางอ้อมสําหรับการศึกษา ทางสังคมศาสตร์ที่ไม่อาจทําการทดลองได้จริง ๆ หรือดังที่โรเบิร์ต เบตส์ กล่าวว่า “เราทําการเปรียบเทียบ ก็เนื่องจากเราไม่สามารถทดลองได้”
2. เป็นสาขาวิชาที่ตั้งขึ้นมาศึกษาการเมืองในต่างประเทศ (ที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา) เพื่อให้เกิด ความเข้าใจและนําไปสู่การพัฒนาของประเทศเหล่านั้น (ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ)

65. เป้าหมายของการศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมืองคือข้อใด
(1) หาเกณฑ์เชิงปทัสถาน
(2) ค้นหาสิ่งที่พึงประสงค์ทางการเมือง
(3) สร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 3, (คําบรรยาย) การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมือง เน้นการศึกษาสิ่งที่ควร จะเป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การค้นหาเกณฑ์เชิงปทัสถานหรือสิ่งที่ พึงประสงค์หรือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เหมาะสมในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือระบอบการ ปกครองที่ดี ผู้ปกครองที่ดี รัฐที่ดี กฎหมายที่ดี เพื่อเสนอแนะหลักปฏิบัติทางการเมืองที่ถูกต้อง ชอบธรรม มีจรรยาบรรณ อุดมคติ หรือค่านิยมคอยกํากับ ทําให้การศึกษาในยุคนี้เชื่อมโยง อยู่กับเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และไม่ได้แยกเรื่องค่านิยมออกจากองค์ความรู้ทางการเมือง

66. แนวทางสถาบันดั้งเดิมแตกต่างกับแนวทางสถาบันนิยมใหม่ในข้อใด
(1) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ
(2) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการ
(3) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 115, 118, 120 – 122 แนวทางสถาบันดั้งเดิม เน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการหรือ ศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย ส่วนแนวทางสถาบันนิยมใหม่ให้ความสําคัญกับการศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการควบคู่กันไปกับการศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ รวมถึงขยายขอบเขต ของการศึกษาไปสู่เรื่องของพฤติกรรมของตัวแสดงทางการเมือง ปัจจัยทั้งหลายที่สามารถ ส่งผลทั้งต่อตัวสถาบันและต่อพฤติกรรมทางการเมืองภายในสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนการศึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถาบันและตัวแสดงทางการเมืองต่าง ๆ

67. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

68. ระบบพรรคการเมืองของจีน
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 1 หน้า 219 ระบบพรรคเดียว (One-Party System) คือ การมีพรรคการเมืองพรรคเดียว เท่านั้นในระบบการเมือง พบในประเทศเผด็จการทั้งในรูปแบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ ในระบบพรรคเดียวนี้อาจมีการเลือกตั้งด้วย แต่มีผู้สมัครลงแข่งขันจากพรรคการเมืองเดียว เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ระบบพรรคการเมืองของจีน เป็นต้น

69. หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 4 หน้า 176 – 177 การปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ เป็นการปกครองที่มีการแยกอํานาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แบบไม่เด็ดขาด การใช้อํานาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กันตาม หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power)

70. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสวิพากษ์
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางสถาบันนิยมใหม่
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 85 – 86, 107, 134, 140 แนวทางการวิเคราะห์กระแสวิพากษ์ ได้แก่
1. แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
2. แนวทางมาร์กซิสต์
3. แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
4. แนวทางหลังสมัยใหม่หรือแนวทางหลังโครงสร้างนิยม

71. “ความตื่นตัวของประชาชนในตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริงไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ในคลื่นลูกที่ 4” จากข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedler
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 2 หน้า 293 ลาร์รี่ ไดมอนด์ (Larry Diamond) อธิบายว่า ความตื่นตัวของประชาชนใน ตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ ประชาธิปไตยในคลื่นลูกที่ 4

72. ข้อใดเป็นระดับของหน่วยวิเคราะห์ในวิชาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) ระดับที่เน้นสถาบันเป็นศูนย์กลาง
(2) ระดับที่เน้นรัฐเป็นศูนย์กลาง
(3) ระดับผู้กระทําการ
(4) ระดับโครงสร้าง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 38 การแบ่งระดับของหน่วยวิเคราะห์ในวิชาการเมืองเปรียบเทียบอาจมีแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนักวิชาการแต่ละคน เช่น เฮคและแฮร์ร็อป (Hague and Harrop) ได้แบ่งระดับของ หน่วยวิเคราะห์ออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่เน้นสถาบันเป็นศูนย์กลาง ระดับที่เน้นสังคมเป็น ศูนย์กลาง และระดับที่เน้นรัฐเป็นศูนย์กลาง ส่วนอนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้แบ่งระดับของหน่วยวิเคราะห์ ออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับโครงสร้าง และระดับผู้กระทําการ

73. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสหลัก
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 83 – 127 แนวทางการวิเคราะห์กระแสหลัก ได้แก่
1. แนวทางระบบ
2. แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
3. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล
4. แนวทางสถาบันนิยมใหม่
5. แนวทางโครงสร้าง (ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ)

74. เรียกกันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 3 หน้า 204 – 205 ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน (Proportional Representation : PR/Party List System) เป็นระบบที่มีการกําหนดเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่ ในแต่ละเขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน โดยการลงคะแนนเสียงจะลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง ไม่ใช่เลือกผู้สมัครรายคน แต่ พรรคการเมืองจะทําบัญชีรายชื่อของผู้สมัครเรียงตามลําดับลงไป ทําให้เรียกระบบนี้กันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” (Party List System)

75. ในทฤษฎีระบบการเมือง ปัจจัยนําเข้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) ข้อเรียกร้องความต้องการและการสนับสนุน
(2) รัฐบาลและรัฐสภา
(3) พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
(4) นโยบายและการปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 89 – 90 ในทฤษฎีระบบการเมืองนั้น เดวิด อีสตัน (David Easton) ได้อธิบายว่า “ระบบการเมือง” (Political System) เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ซึ่งทําหน้าที่อยู่ภายใต้ “สิ่งแวดล้อม” (Environment) โดยจะมี “ปัจจัยนําเข้า (Inputs) ซึ่งประกอบด้วย ข้อเรียกร้อง ความต้องการ (Demands) และการสนับสนุน (Supports) จากสิ่งแวดล้อมเข้ามาสู่ระบบการเมือง แล้วระบบการเมืองก็จะทําหน้าที่ในการตัดสินใจแปลงปัจจัยนําเข้าดังกล่าวเป็น “ปัจจัยนําออก” (Outputs) ในรูปของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายต่าง ๆ ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม และผลจากการทํางานของระบบการเมืองก็จะเกิดเป็น “ผลสะท้อนกลับ” (Feedback) กลับเข้าไปเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

76. การครองอํานาจของพรรคเสรีประชาธิปไตยของญี่ปุ่น และพรรคคองเกรสของอินเดีย เข้าข่ายระบบพรรคแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 2 หน้า 219 – 220 ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (One Dominant Party System) เป็นระบบ ที่มีพรรคการเมืองได้มากกว่า 1 พรรค หรือกฎหมายเปิดให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งขึ้นได้ แต่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มักได้รับเลือกตั้งคะแนนสูงสุดและครองอํานาจในการปกครองตัวอย่างเช่น พรรคเสรีประชาธิปไตยของญี่ปุ่น พรรคคองเกรสของอินเดีย เป็นต้น

77. วิธีการเปรียบเทียบในวิชาการเมืองเปรียบเทียบถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป้าหมายใด
(1) สกัดหาตัวแปรที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา
(2) การแข่งขันระหว่างประเทศ
(3) หาสิ่งที่พึงประสงค์
(4) สร้างความได้เปรียบ
(5) สร้างจริยธรรมทางการปกครอง
ตอบ 1 หน้า 50 วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการที่ต้องเลือกมาใช้ในการเปรียบเทียบเพื่อสร้างคําอธิบาย ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเงื่อนไขหรือปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ กับผลลัพธ์ที่ศึกษา หรือกล่าวอีกนัยคือ วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการสําหรับนํามาใช้เพื่อสกัดหาตัวแปรหรือเงื่อนไข ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา

78. แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลคือ
(1) ความเสียสละ
(2) ผลประโยชน์ส่วนบุคคล
(3) ผลประโยชน์ของชาติ
(4) ความหลากหลาย
(5) ความเท่าเทียม
ตอบ 2 หน้า 109 แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลตั้งอยู่บนสมมติฐานหลัก 2 ตัว คือ ความมีเหตุมีผล (Rationality) กับผลประโยชน์ส่วนบุคคล (Self-Interest)

79. รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทาง การปกครองทั้งหลาย คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 4 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงองค์การ หมายถึง รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย

80. 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน แล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนจึงมีในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 5 หน้า 200 ระบบเสียงข้างมากธรรมดา หนึ่งเขตมีตัวแทนมากกว่าหนึ่งคน (Multi-Member District/Constituencies : MMD) หรือระบบรวมเขตเรียงเบอร์ (Block Voting : BV) เป็น ระบบเสียงข้างมากธรรมดา แต่ใน 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คนแล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนจึงมี ในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน โดยผู้เลือกตั้งสามารถ เลือกผู้สมัครได้ตามจํานวนผู้แทนในแต่ละเขต ซึ่งอาจเลือกจากพรรคเดียวกันเรียงเบอร์ไปเลย หรือจะเลือกผู้สมัครจากต่างพรรคก็ได้ หรือหากประสงค์เลือกเพียงเบอร์เดียวก็ได้ ผู้ที่ได้คะแนน สูงสุดเรียงตามลําดับจนครบตามจํานวนผู้แทนจึงมีก็จะได้เป็นผู้แทนในเขตนั้นๆ

81. การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 1 หน้า 257 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไว้ในหนังสือเรื่อง “คลื่นลูกที่สาม” ทั้งในส่วนของปัจจัยเชิงโครงสร้างและในส่วนของปัจจัยของตัวแสดงซึ่งก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนําทั้งที่อยู่ในอํานาจและที่ไม่อยู่ในอํานาจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลต่อเส้นทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน

82. รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
(5) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
ตอบ 3 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่ หมายถึง รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม

83. รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าประธานาธิบดี
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 2 หน้า 151 สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้นําทางศาสนา รัฐแบบนี้พบได้ทั้งในระบอบประชาธิปไตย (เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย อิตาลี อินเดีย) คอมมิวนิสต์ (เช่น จีน เวียดนาม) และรัฐที่ปกครองโดยหลักศาสนา (เช่น อิหร่าน)

84. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรัฐสภาอังกฤษ
(1) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Common
(2) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Representative
(3) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Common
(4) ใช้ระบบ 2 สภา คือ Senate กับ House of Representative
(5) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Representative
ตอบ 3 หน้า 174 ระบบสองสภา (Bicameral System) เป็นระบบรัฐสภาที่ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาสูงและสภาล่าง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ไทย เรียกว่า วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร
2. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Senate กับ House of Representative
3. อังกฤษ เรียกว่า House of Lord กับ House of Common

85. ข้อใดคือชื่อเรียกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา
(1) Parliament
(2) Assembly
(3) Congress
(4) Diet
(5) State Duma
ตอบ 3 หน้า 172 สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นสถาบันที่มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมายโดยสถาบันนิติบัญญัตินี้มีทั้งในประเทศประชาธิปไตยและประเทศเผด็จการ และมีชื่อเรียก แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ดังนี้
1. อังกฤษ เรียกว่า Parliament
2. ฝรั่งเศส เรียกว่า Assembly
3. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Congress
4. ญี่ปุ่น เรียกว่า Diet
5. ไทย เรียกว่า รัฐสภา

86. รัฐเข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดให้ เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 4 หน้า 154 รัฐรวมศูนย์ (Collectivized State) คือ รัฐที่เข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเอง ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดถูกวางแผนและจัดการโดยรัฐ จากส่วนกลาง รวมถึงมีการยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล คือ ไม่ให้เอกชนสามารถมีทรัพย์สิน ส่วนตัวได้ แต่ให้ทุกอย่างตกเป็นสมบัติของส่วนรวม รัฐประเภทนี้พบได้ในระบอบคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต จีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง เป็นต้น

87. เพราะเหตุใดแนวคิดแบบมาร์กซิสต์จึงไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคงจะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม
(1) เพราะยากที่สถาบันการเมืองจะมีความเข้มแข็ง
(2) เพราะเอกชนจะเรียกร้องให้รัฐมีบทบาทน้อย
(3) เพราะมีความเจริญทางวัตถุแต่จิตใจผู้คนตกต่ำ
(4) เพราะมีโครงสร้างที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ
(5) เพราะผู้คนไม่สนใจคุณธรรมจริยธรรมทางศาสนา
ตอบ 4 หน้า 134 – 136, (คําบรรยาย) แนวคิดแบบมาร์กซิสต์ไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคง จะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม เพราะหัวใจสําคัญของประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน แต่ในระบบทุนนิยมกลับมีโครงสร้างที่ทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ กล่าวคือ ในระบบทุนนิยมนั้น ชนชั้นที่ออกแรงผลิตคือชนชั้นแรงงาน แต่ชนชั้นนายทุนกลับรีบเอามูลค่าที่ชนชั้นแรงงานผลิตได้ ไปเป็นของตน ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวทําให้เกิด “ชนชั้นผู้ได้เปรียบ” กับ “ชนชั้นผู้เสียเปรียบ” ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

88. “รัฐสมัยใหม่คือแหล่งรวมของอํานาจบังคับที่มีการจัดองค์การสําหรับครอบงําสังคม” คําอธิบายดังกล่าวเป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Andrew Heywood
(2) Joel Migdal
(3) Max Weber
(4) Gaetano Mosca
(5) Anthony Giddens
ตอบ 3 หน้า 146 แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ได้ให้นิยามคําว่ารัฐไว้ว่า “รัฐสมัยใหม่คือแหล่งรวม ของอํานาจบังคับที่มีการจัดองค์การสําหรับครอบงําสังคม” (a compulsory association which organizes domination)

89. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบใดเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
(1) Parochial
(2) Subject
(3) Participant
(4) Civic Culture
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 102 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ได้แบ่ง วัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็น 3 แบบ คือ แบบคับแคบ (Parochial) แบบไพร่ฟ้า (Subject) และแบบมีส่วนร่วม (Participant) ซึ่งในความคิดเห็นของทั้งสองมองว่า วัฒนธรรมทางการเมือง ที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่วัฒนธรรมแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องเป็นวัฒนธรรมทาง การเมืองที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้ง 3 แบบอย่างลงตัว ซึ่งเรียกว่า “วัฒนธรรม แบบพลเมือง” (Civic Culture) อันเป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนมีความกระตือรือร้นทางการเมือง แต่ก็ไม่มากจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

90. “การเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง” คําอธิบายดังกล่าวเป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Arend Lijphart
(2) Giovanni Sartori
(3) Maurice Duverger
(4) Barnard Grofman
(5) Barbara Geddes
ตอบ 3 หน้า 209 – 210 เมารีส ดูแวร์แจร์ (Maurice Duverger) อธิบายว่า การเลือกตั้งระบบ เสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง โดยที่ระบบ 2 พรรคเด่นมักนําไปสู่รัฐบาล ที่มีเสถียรภาพ ในขณะที่ระบบหลายพรรคก่อให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ

91. การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันเป็นไปเพื่อเป้าหมายใด
(1) ถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาของระบบการปกครองที่มีความก้าวหน้าในยุโรป
(2) สร้างรัฐสมัยใหม่
(3) พัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบพาณิชย์นิยม
(4) พัฒนาตัวแบบทางการปกครอง
(5) ข้อ 1 และ 4 ถูก
ตอบ 5 หน้า 8 การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันมีเป้าหมายเพื่อถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาของระบบการปกครองที่มีความก้าวหน้าในยุโรป เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตัวแบบทางการปกครอง

92. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงวิชาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบัน
(1) มุ่งหาทฤษฎีทั่วไป
(2) มุ่งสร้างศาสตร์บริสุทธิ์
(3) ศึกษาการเมืองนอกสหรัฐฯ
(4) รวมเรียกว่าการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 25 ในปัจจุบันเราอาจเรียกวิชาการเมืองเปรียบเทียบโดยนําเอาคําว่าการปกครอง เข้ามารวมด้วยเป็น “การเมืองการปกครองเปรียบเทียบ” เนื่องจากเรื่องของการปกครอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการเมืองเปรียบเทียบ อีกทั้งความหมายของการเมืองหรือความหมายของการปกครองเองก็ขยายออกไปกว้างขวางอย่างมากในปัจจุบันจนกล่าวได้ว่าเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอํานาจก็ถือว่าเป็นเรื่องของการเมืองทั้งสิ้น

93. กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจ อิสระของตนเอง โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น คือระบบกลุ่มผลประโยชน์แบบใด
(1) Democratic Corporatist Interest Group System
(2) Controlled Interest Group System
(3) Pluralist Interest Group System
(4) Institutional Group System
(5) Public Interest Group System
ตอบ 3 หน้า 232 ระบบพหุนิยม (Pluralist Interest Group System) กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระของตนเอง โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น แต่จะหมุนเวียนกันไปมีบทบาทหลักในประเด็นที่เกี่ยวข้อง กับประโยชน์ของกลุ่มตน เมื่อเป็นประเด็นอื่นก็จะมีกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นเข้าไปมีบทบาท หลักแทน ระบบกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าวพบมากในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์ ฯลฯ

94. ข้อใดไม่ใช่สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management)
(1) นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
(2) ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
(3) จัดโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดใหญ่
(4) ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
(5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
ตอบ 3 หน้า 249, (คําบรรยาย) สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีดังนี้
1. นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
2. ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
3. ปรับโครงสร้างองค์การให้มีขนาดเล็กลงและลดขั้นตอนการทํางาน
4. ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ฯลฯ

95. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบ
(1) การเปรียบเทียบกรณีศึกษาหลายประเทศทําให้ได้ข้อมูลเชิงลึกละเอียดที่สุด
(2) ต้องเปรียบเทียบกรณีมากกว่า 1 ประเทศเท่านั้น
(3) ศึกษาประเทศเดียวก็ได้
(4) การเปรียบเทียบระดับโลกเป็นกรณีศึกษาที่ดีที่สุด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 40 – 41 การเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบสามารถเลือกศึกษาประเทศเดียวก็ได้ ซึ่งการเปรียบเทียบอาจจะเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ภายในประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ศึกษาเฉพาะสถาบันทางการเมืองหนึ่ง ๆ เช่น พรรคการเมือง สถาบันทหาร รัฐสภา กลุ่มผลประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งการเลือกศึกษาประเทศเดียวนี้จะง่ายต่อ ผู้ศึกษารุ่นใหม่ที่ประสบการณ์ยังไม่เยอะมาก

96. นักวิชาการคนใดเสนอแนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรม
(1) หลุยส์ อัลธูแซร์
(2) เออร์เนสโต ลาเคลา
(3) ชองทัล มูฟ
(4) ชาร์ค แดร์ริดา
(5) มิเชล ฟูโกต์
ตอบ 5 หน้า 140 – 143 แนวคิดที่สําคัญของนักวิชาการในยุคหลังสมัยใหม่ มีดังนี้
1. แนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรมของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault)
2. แนวคิดการรื้อสร้างของชาร์ค แดร์ริดา (Jacques Derrida)
3. แนวคิดมายาคติของโรลอง บาร์ต (Roland Barthes)
4. แนวคิดการครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรมและแนวคิดประชาธิปไตยเชิงลึกของ เออร์เนสโต ลาเวลาและของทัล มูฟ (Ernesto Laclau and Chantal Mouffe) ฯลฯ

97. นักวิชาการผู้ใดเป็นผู้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยม
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น ล็อค
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(5) เดวิด อีสตัน
ตอบ 3 หน้า 50 – 57, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mitt) ได้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยมไว้ 4 วิธีการ คือ
1. วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement)
2. วิธีการพิจารณาความแตกต่าง (Method of Difference)
3. วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่ (Method of Residues)
4. วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน (Method of Concomitant Variations)

98. การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่การปฏิวัติในอียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบียและซีเรีย มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Color Revolutions
(2) Arab Spring
(3) Rose Revolution
(4) Asian Spring
(5) Tulip Revolution
ตอบ 2 หน้า 273, (คําบรรยาย) การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เป็นการลุกฮือของ ประชาชนเพื่อต่อต้านอํานาจรัฐและระบบที่เป็นอยู่ ซึ่งการปฏิวัตินี้ได้ทําให้เกิดแรงกระเพื่อม ไปสู่การปฏิวัติในกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แก่ อียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย หรือที่ เรียกกันว่า “การปฏิวัติในฤดูใบไม้ผลิในอาหรับ” หรือ “อาหรับสปริง” (Arab Spring)

99. ประชาธิปไตยทางตรงเกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) Roman
(2) Athens
(3) Sparta
(4) Thebes
(5) Corinth
ตอบ 2 หน้า 165, (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบของ ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าไปใช้อํานาจในทางการเมืองอย่าง เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ในยุคกรีกโบราณ ทั้งนี้ประชาธิปไตยรูปแบบนี้สามารถทําได้ในกรณีของรัฐที่มีประชากรจํานวนน้อย ดังนั้น ในโลกปัจจุบันที่มีประชากรจํานวนมหาศาล ประชาธิปไตยทางตรงจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

100. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นสถาบันของฮันทิงตัน
(1) ความสามารถในการปรับตัว
(2) การแบ่งโครงสร้างทําหน้าที่เฉพาะ
(3) ความรวดเร็วในการทํางาน
(4) ความเป็นอิสระในตนเอง
(5) ความเป็นปึกแผ่น
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้เสนอตัวชี้วัดความเป็น สถาบัน ซึ่งมี 4 ประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)
2. การแบ่งโครงสร้างแยกย่อยลงไปและทําหน้าที่เฉพาะ (Complexity)
3. ความเป็นอิสระในตนเอง (Autonomy)
4. ความเป็นปึกแผ่น (Coherence)

POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2107 การเมืองเปรียบเทียบเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.หัวใจหลักสําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือข้อใด
(1) สร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย
(2) ค้นหาคนดีมาเป็นผู้ปกครอง
(3) สร้างกฎหมายปกครองที่ยอดเยี่ยม
(4) ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
(5) ส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศชาติ
ตอบ 1 หน้า 11, 22, 33 – 34 วิชาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ ภายหลังจากความพยายามในการแสวงหาเอกลักษณ์ให้กับสาขารัฐศาสตร์และการสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์โดยการผลักดันของประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น โดยเป้าหมายหรือหัวใจหลัก สําคัญของวิชาการเมืองเปรียบเทียบคือการสร้างองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเหตุเป็นผล มีความน่าเชื่อถือ สามารถนําไปใช้ในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

2. การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 1 หน้า 257 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ การก่อตัวของคลื่นลูกที่สามของการสร้างประชาธิปไตยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไว้ในหนังสือเรื่อง “คลื่นลูกที่สาม” ทั้งในส่วนของปัจจัยเชิงโครงสร้างและในส่วนของปัจจัยของตัวแสดงซึ่งก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนําทั้งที่อยู่ในอํานาจและที่ไม่อยู่ในอํานาจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลต่อเส้นทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน

3. มองหาคุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างในกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 51 วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement) เป็นการมองหา คุณลักษณะร่วมท่ามกลางคุณลักษณะที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ในกรณีศึกษาต่าง ๆที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อสรุปว่าคุณลักษณะร่วมดังกล่าวเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์

4. นักรัฐศาสตร์คนสําคัญที่นําเอาความคิดเชิงระบบมาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบคือ
(1) อีสตัน
(2) อัลมอนด์
(3) คาร์ล ดอยซ์
(4) คาร์ล มาร์กซ์
(5) ซาร์ล ทิลลี่
ตอบ 1 หน้า 89 เดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์คนแรกที่นําเอาความคิดเชิงระบบ มาพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบ และเป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสนอแบบจําลองของระบบการเมือง อันเป็นผลจากความพยายามในการหาทฤษฎีทั่วไปที่สามารถใช้ในการอธิบายการเมืองทั้งระบบหรือสร้างทฤษฎีมหภาคที่สามารถนําไปใช้อธิบายสังคมอื่น ๆ ได้ทั่วทั้งโลก

5. ฉันทามติปักกิ่งหรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 5 หน้า 250 การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่แนวคิดเสรีนิยมใหม่ หรือแนวนโยบายของฉันทามติวอชิงตันถูกตั้งคําถามอย่างหนักภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2008 ในสหรัฐอเมริกา จนมีนักวิชาการบางคนกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อ จุดจบของเสรีนิยมใหม่ นําไปสู่การนําเสนอฉันทามติอื่น ๆ เช่น ฉันทามติโคเปนเฮเกน ฉันทามติ เม็กซิโก ฉันทามติปักกิ่งหรือตัวแบบทุนนิยมที่ชี้นําโดยรัฐ เป็นต้น

6. รัฐมีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 1 หน้า 153 รัฐแบบกรรมการ (Minimal State) คือ รัฐที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบเสรีนิยมที่ให้รัฐ มีบทบาทและอํานาจน้อยที่สุดเท่าที่จําเป็นแล้วปล่อยให้เอกชนหรือประชาชนมีเสรีภาพในการ ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ รัฐประเภทนี้พบในประเทศที่เป็นเสรีนิยมทุนนิยม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้น

7. รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุดในเขตแดนของรัฐ
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 3 หน้า 151 รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียวมีอํานาจสูงสุด หรืออธิปไตยสมบูรณ์ในเขตแดนของรัฐนั้น ๆ ไม่มีรัฐบาลในระดับที่รองลงมา หน่วยงานของรัฐ ในท้องที่ เช่น จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นมือไม้หรือหน่วยงานที่รับมอบหมายงานจาก รัฐบาลกลางไปดําเนินการ หรือในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่นแม้จะได้รับการกระจายอํานาจลงไปให้บ้างแต่ก็ไม่ถือว่ามีอธิปไตยเป็นของตนเอง การดําเนินงานยังคงอยู่ภายใต้การ กํากับควบคุมของรัฐบาลกลาง ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว เช่น ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น

8.นักรัฐศาสตร์ท่านใดมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง
(1) Huntington
(2) Bentley
(3) Downs
(4) Powell
(5) Atmond
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) โดยอัลมอนด์เสนอว่า สาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้ประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และอีกประเทศหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพราะว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย ส่วนประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นมีวัฒนธรรมไม่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตย

9.เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของ สมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้นการเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญ คือโครงสร้างพรรคการเมืองรูปแบบใด
(1) พรรคแบบคณะกรรมาธิการ
(2) พรรคแบบมีสาขาพรรค
(3) พรรคแบบแบ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ในรูปเซลล์
(4) พรรคแบบพลพรรค
(5) พรรคแบบเสรีนิยม
ตอบ 1 หน้า 222 – 223 พรรคแบบคณะกรรมาธิการ เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนน้อย ไม่ต้องการขยายฐานสมาชิกออกไปมากนัก เน้นคุณภาพของสมาชิกมากกว่าปริมาณ และเน้น การเลือกตั้งเป็นส่วนสําคัญแต่จะไม่ค่อยเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองอื่น ๆ พรรคแบ แบบนี้ มักตั้งขึ้นโดยกลุ่มชนชั้นนําเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าสู่อํานาจทางการเมือง ไม่ได้ขยายฐานสู่ประชาชน

10. รัฐบาลเกาหลีเหนือ คือระบอบเผด็จการรูปแบบใด
(1) Totalitarianism
(2) Authoritarianism
(3) Benevolent Dictatorship
(4) Theocracy
(5) Aristocracy
ตอบ 1 หน้า 170 เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เป็นรูปแบบของระบอบเผด็จการที่เข้มข้น คือ รัฐบาลทําการควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกด้านทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตัวอย่างของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของ สหภาพโซเวียต รัฐบาลจีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง รัฐบาลนาซีเยอรมัน รัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลี รัฐบาลเกาหลีเหนือ เป็นต้น

11. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
(1) โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับสถานที่
(2) โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
(3) โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยมไร้พรมแดน
(4) โลกยุคโลกาภิวัตน์มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 281 – 285 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร อธิบายว่า สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์มีลักษณะ สําคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกของการกระชับแน่นระหว่างเวลากับ สถานที่
2. โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกที่เส้นแบ่งต่าง ๆ ที่เคยมั่นคงชัดเจนเกิดความไม่ชัดเจน นําไปสู่การลากเส้นแบ่งใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
3. โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกของสังคมความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. โลกยุคโลกาภิวัตน์มีปัญหาและความขัดแย้งแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
5. โลกยุคโลกาภิวัตน์มีการก่อการร้ายและการทําสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเป็นความจริง ชุดใหม่
6. โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางอันเกิดจากทุนนิยม ไร้พรมแดน

12. ยุคเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตันเกี่ยวข้องกับ
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 4 หน้า 238 – 250 แนวคิดหรือทฤษฎีการพัฒนาในแต่ละยุค มีดังนี้
1. ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา เน้นการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองคลาสสิก
2. การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 เน้นการทําให้เป็น
อุตสาหกรรม
3. การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980 เน้นการทําให้ทันสมัย ซึ่งคือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
4. การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000 เน้นแนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน
5. การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องของวิกฤติความชอบธรรมของ แนวคิดเสรีนิยมใหม่หรือฉันทามติวอชิงตัน การพัฒนาทางเลือกหรือความหลากหลายของการพัฒนา

13. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 59 – 60 วิธีการเปรียบเทียบของเชวอร์สกีและเทิร์น (Przeworski and Teune) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มี 2 วิธี คือ
1. วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความแตกต่างของมิลล์
2. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด (Most Different Systems : MDS) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิธีการพิจารณาความเหมือนของมิลล์

14. ข้อใดเป็นหน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง
(1) ระบบการเมือง
(2) สถาบันทางการเมือง
(3) รัฐ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 38 หน่วยวิเคราะห์ในระดับโครงสร้าง เป็นหน่วยวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้าง ต่าง ๆ ในสังคม เช่น ระบบการเมือง รัฐ ชนชั้น สถาบันทางการเมือง กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ความสัมพันธ์เชิงอํานาจ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ในระดับนี้จะมีความเชื่อว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้น มีอิทธิพลต่อการกระทําของมนุษย์และการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม พฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้มีเสรีภาพมากนัก แต่จะแสดงออกมาภายใต้กรอบของโครงสร้างดังกล่าว

15. นักวิชาการคนใดมีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) แม็กซ์ เวเบอร์
(5) สค็อกโพล
ตอบ 5 หน้า 117, 130, 156 เธดา สค็อกโพล (Theda Skocpot) และปีเตอร์ อีแวน (Peter Evans) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสการนํารัฐกลับเข้ามาสู่การศึกษาทางการเมือง โดยทั้งสองได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Bringing the State Back In” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ถูกนํามาใช้ เป็นกระแสการเรียกร้องให้รัฐซึ่งถูกมองว่าเป็นเหมือนกล่องดํา คือเป็นที่รวมของอํานาจที่กลุ่ม ต่าง ๆ ใช้ในการต่อรอง แย่งชิง ผลักดันนโยบายสาธารณะให้สอดคล้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน กลับเข้ามาสู่การเป็นศูนย์กลางของการวิเคราะห์ทางการเมือง

16. เป้าหมายของการศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมืองคือข้อใด
(1) หาเกณฑ์เชิงปทัสถาน
(2) ค้นหาสิ่งที่พึงประสงค์ทางการเมือง
(3) สร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 3, (คําบรรยาย) การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาการเมือง เน้นการศึกษาสิ่งที่ควร จะเป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การค้นหาเกณฑ์เชิงปทัสถานหรือสิ่งที่ พึงประสงค์หรือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เหมาะสมในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือระบอบการ ปกครองที่ดี ผู้ปกครองที่ดี รัฐที่ดี กฎหมายที่ดี เพื่อเสนอแนะหลักปฏิบัติทางการเมืองที่ถูกต้อง ชอบธรรม มีจรรยาบรรณ อุดมคติ หรือค่านิยมคอยกํากับ ทําให้การศึกษาในยุคนี้เชื่อมโยง อยู่กับเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และไม่ได้แยกเรื่องค่านิยมออกจากองค์ความรู้ทางการเมือง

17. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระเบียบวิธีการศึกษาเปรียบเทียบแบบ Small-Ns
(1) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ
(2) เน้นศึกษาน้อยกรณี
(3) เน้นตีความหรือทําความเข้าใจความหมาย
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 70 Small-Ns คือ การศึกษาน้อยกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) ซึ่งเป็นการศึกษาที่เน้นเรื่องของ การตีความหรือทําความเข้าใจความหมายอย่างรอบด้านหรือในลักษณะองค์รวม เพื่อทําความ
เข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นที่ศึกษาในกรณีนั้น ๆ

18. “รัฐสมัยใหม่คือแหล่งรวมของอํานาจบังคับที่มีการจัดองค์การสําหรับครอบงําสังคม” คําอธิบายดังกล่าวเป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Andrew Heywood
(3) Max Weber
(2) Joel Migdal
(4) Gaetano Mosca
(5) Anthony Giddens
ตอบ 3 หน้า 146 แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ได้ให้นิยามคําว่ารัฐไว้ว่า “รัฐสมัยใหม่คือแหล่งรวม ของอํานาจบังคับที่มีการจัดองค์การสําหรับครอบงําสังคม” (a compulsory association which organizes domination)

19. รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเอง คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นน่านิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 1 หน้า 148 รัฐในความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง รัฐเป็นองค์รวมทางจิตวิญญาณที่มีเจตจํานงและเป้าหมายของตนเองแยกออกมาและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจเจกบุคคล มีลักษณะเป็นสากล ซึ่งรัฐจะนําพามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ โดยที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟังรัฐ

20. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงทฤษฎีในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 3 หน้า 82 ทฤษฎี (Theory) คือ ชุดของคําอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล (Causal Relations) ของปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษา หรือเรียกอีกอย่างว่า ชุดของคําอธิบายความสัมพันธ์เชิงปัจจยาการ

21. ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โครงสร้างใดทําหน้าที่รวบรวมผลประโยชน์
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) รัฐบาล
(4) รัฐสภา
(5) ศาล
ตอบ 2 หน้า 93 – 94 ตามทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่นั้น แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) อธิบายว่า โครงสร้างทางการเมืองแต่ละอย่างสามารถทํางานได้หลายหน้าที่ แม้ใน ระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วจะมีโครงสร้างหนึ่งขึ้นมาทําหน้าที่เฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างดังกล่าวนั้นจะทําแค่หน้าที่เดียว เพราะโครงสร้างในทุกระบบการเมืองจะทําหน้าที่ หลาย ๆ อย่างเสมอ เช่น พรรคการเมืองมีหน้าที่หลักในการรวบรวมผลประโยชน์และเลือกสรร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่พรรคการเมืองก็ทําหน้าที่อื่น ๆ เช่น การเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับ ประชาชน ให้การศึกษาทางการเมือง เป็นต้น

22. วิธีการเปรียบเทียบแบบ MSS และ MDS พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) Przeworski and Teune
(2) John Stuart Mill
(3) Antonio Gramsci
(4) Ragin and Rubinson
(5) Anthony Giddens
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

23. ข้อใดคือชื่อเรียกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา
(1) Parliament
(2) Assembly
(3) Congress
(4) Diet
(5) State Duma
ตอบ 3 หน้า 172 สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นสถาบันที่มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมายโดยสถาบันนิติบัญญัตินี้มีทั้งในประเทศประชาธิปไตยและประเทศเผด็จการ และมีชื่อเรียก แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ดังนี้
1. อังกฤษ เรียกว่า Parliament
2. ฝรั่งเศส เรียกว่า Assembly
3. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Congress
4. ญี่ปุ่น เรียกว่า Diet
5. ไทย เรียกว่า รัฐสภา

24. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษารัฐนิยม (Statist Model)
(1) มีคําอธิบายรัฐนิยมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson
(2) เกิดจากการผลักดันของ Theda Skocpol และ Peter Evans
(3) รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจน้อยที่สุด
(4) รัฐในมุมมอง Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น
(5) ฐานคิดสําคัญคือรัฐจะมีบทบาทเสมอในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 156 – 158, (คําบรรยาย) อนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้อธิบายรัฐนิยมโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Theda Skocpol กลุ่ม Eric Nordlinger และกลุ่ม Linda Weiss กับ John Hobson ซึ่งจาก 3 กลุ่มนี้ รัฐในมุมมองของ Eric Nordlinger มีอิสระในการใช้อํานาจสูงที่สุด รองลงมาคือ รัฐในมุมมองของ Theda Skocpot และรัฐในมุมมองของ Linda Weiss กับ John Hobson มีอิสระเพียงบางส่วนเท่านั้น

25. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบ
(1) ต้องเปรียบเทียบกรณีมากกว่า 1 ประเทศเท่านั้น
(2) ศึกษาประเทศเดียวก็ได้
(3) การเปรียบเทียบระดับโลกเป็นกรณีศึกษาที่ดีที่สุด
(4) การเปรียบเทียบกรณีศึกษาหลายประเทศทําให้ได้ข้อมูลเชิงลึกละเอียดที่สุด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 40 – 41 การเลือกกรณีศึกษาในการเปรียบเทียบสามารถเลือกศึกษาประเทศเดียวก็ได้ ซึ่งการเปรียบเทียบอาจจะเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ภายในประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ศึกษาเฉพาะสถาบันทางการเมืองหนึ่ง ๆ เช่น พรรคการเมือง สถาบันทหาร รัฐสภา กลุ่มผลประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งการเลือกศึกษาประเทศเดียวนี้จะง่ายต่อ ผู้ศึกษารุ่นใหม่ที่ประสบการณ์ยังไม่เยอะมาก

26. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตย
(1) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือการพัฒนาเศรษฐกิจ นักวิชาการคนสําคัญ คือ Lipset
(2) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Shedler
(3) วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย คือ วัฒนธรรมแบบพลเมือง
(4) The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations เป็นผลงาน ชิ้นสําคัญของ Almond กับ Verba
(5) เงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือเงื่อนไขทางสังคม นักวิชาการคนสําคัญ คือ Barrington
Moore Jr.
ตอบ 2 หน้า 252 – 253 นักวิชาการคนสําคัญที่เห็นว่าเงื่อนไขของการพัฒนาประชาธิปไตยคือวัฒนธรรม คือ แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ซึ่งได้อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง “The Civic Culture : Political Attitudes and Democracy in Five Nations” ว่า “การนําระบอบประชาธิปไตยไปปรับใช้ในประเทศกําลังพัฒนา นอกจาก การสร้างสถาบันแบบประชาธิปไตยหรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจแล้ว สิ่งที่สําคัญไม่แพ้กันก็คือการสร้างให้เกิดวัฒนธรรมทางการเมืองที่สอดคล้องกับการทํางานของโครงสร้างเชิงสถาบันในระบอบประชาธิปไตย…”

27. รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าประธานาธิบดี
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 2 หน้า 151 สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้นําทางศาสนา รัฐแบบนี้พบได้ทั้งในระบอบประชาธิปไตย (เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย อิตาลี อินเดีย) คอมมิวนิสต์ (เช่น จีน เวียดนาม) และรัฐที่ปกครองโดยหลักศาสนา (เช่น อิหร่าน)

28. หนังสือปรัชญาการเมืองเล่มใดถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ
(1) The Prince
(2) Democracy in America
(3) Politics
(4) The Spirit of Laws
(5) The City of God
ตอบ 3 หน้า 3 – 4, (คําบรรยาย) หนังสือปรัชญาการเมืองเรื่อง “Politics” ของอริสโตเติ้ล (Aristotle) สะท้อนให้เห็นการใช้วิธีการเปรียบเทียบเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้ทางการเมือง ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการได้มาขององค์ความรู้ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากการนําเอา กฎหมายปกครองของรัฐต่าง ๆ จํานวนมากถึง 158 รัฐมาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าในโลกนี้มีรูปแบบ การปกครองกี่รูปแบบ และแบ่งว่ารูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบที่ดีและรูปแบบใดบ้างเป็นรูปแบบ ที่เลว ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นงานเริ่มต้นของการศึกษาโดยการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ

29. “พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา” (Methodological Pluralism) สอดคล้องกับข้อใด
(1) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(2) ยุคหลังสมัยใหม่
(3) Nest Analysis
(4) Mixed Method
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 74 – 75, 140 พหุนิยมของระเบียบวิธีการศึกษา (Methodological Pluralism) เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์หรือยุคหลังสมัยใหม่ เป็นการศึกษาที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงระเบียบวิธีวิจัยซึ่งอาจใช้วิธีการแบบผสม (Mixed Method) หรือ “การวิเคราะห์ ประสานกันแบบรังนก” (Nest Analysis) และมีการขยายขอบเขตของการศึกษาครอบคลุม ทั้งเรื่องของการเมืองที่เป็นทางการ การเมืองที่ไม่เป็นทางการ ตลอดจนการเมืองในชีวิตประจําวัน เช่น เรื่องของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมภาคประชาสังคม รวมถึง เรื่องปฏิสัมพันธ์ของการเมืองภายในและภายนอกประเทศ

30. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรัฐสภาอังกฤษ
(1) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Common
(2) ใช้ระบบสภาเดียว คือ House of Representative
(3) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Common
(4) ใช้ระบบ 2 สภา คือ Senate กับ House of Representative
(5) ใช้ระบบ 2 สภา คือ House of Lord กับ House of Representative
ตอบ 3 หน้า 174 ระบบสองสภา (Bicamerat System) เป็นระบบรัฐสภาที่ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาสูงและสภาล่าง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ไทย เรียกว่า วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร
2. สหรัฐอเมริกา เรียกว่า Senate กับ House of Representative
3. อังกฤษ เรียกว่า House of Lord กับ House of Common

31. “การพัฒนาทางการเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่อง ของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ” คําอธิบายดังกล่าวเป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Pye
(2) Lipset
(3) Huntington
(4) Almond
(5) Coleman
ตอบ 3 หน้า 245 – 246 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) อธิบายว่า การพัฒนาทาง การเมืองกับความทันสมัยทางการเมืองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการเพิ่มความสามารถของระบบการเมืองในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ส่วนความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากแบบจารีตมาเป็นระบบการเมืองที่ใช้อํานาจตามเหตุผล มีการจําแนกโครงสร้างแยกย่อยและทําหน้าที่เฉพาะและส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

32. อริสโตเติ้ลเห็นว่าระบอบการปกครองใดที่ถือเป็นการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ที่เลว
(1) โพลิตี้
(2) คณาธิปไตย
(3) ทรราช
(4) ประชาธิปไตย
(5) อภิชนาธิปไตย
ตอบ 4 หน้า 4 อริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

33. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อกล่าวถึงการเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
(1) ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์
(2) นักวิชาการรัฐศาสตร์ทําการเปรียบเทียบเนื่องจากไม่สามารถทดลองได้
(3) มีเป้าหมายสําคัญคือพัฒนาประชาธิปไตย
(4) เรียกร้องให้เกิดการยอมรับความจริงอันหลากหลาย
(5) ผลักดันโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้บริบทสงครามเย็น
ตอบ 4 หน้า 21 – 22 การเมืองเปรียบเทียบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในยุคพฤติกรรมศาสตร์ มีนัยสําคัญ 2 ประการ คือ
1. เป็นสาขาวิชาที่ตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาวิธีการและองค์ความรู้ทางการเมืองให้เป็นวิทยาศาสตร์ เนื่องจากนักวิชาการมองว่าการเปรียบเทียบเป็นเหมือนการทดลองทางอ้อมสําหรับการศึกษา ทางสังคมศาสตร์ที่ไม่อาจทําการทดลองได้จริง ๆ หรือดังที่โรเบิร์ต เบตส์ กล่าวว่า “เราทําการเปรียบเทียบ ก็เนื่องจากเราไม่สามารถทดลองได้”
2. เป็นสาขาวิชาที่ตั้งขึ้นมาศึกษาการเมืองในต่างประเทศ (ที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา) เพื่อให้เกิด ความเข้าใจและนําไปสู่การพัฒนาของประเทศเหล่านั้น (ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ)

34. ข้อใดเป็นระดับของหน่วยวิเคราะห์ในวิชาการเมืองเปรียบเทียบ
(1) ระดับที่เน้นสถาบันเป็นศูนย์กลาง
(2) ระดับที่เน้นรัฐเป็นศูนย์กลาง
(3) ระดับผู้กระทําการ
(4) ระดับโครงสร้าง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5หน้า 38 การแบ่งระดับของหน่วยวิเคราะห์ในวิชาการเมืองเปรียบเทียบอาจมีแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนักวิชาการแต่ละคน เช่น เฮคและแฮร์ร็อป (Hague and Harrop) ได้แบ่งระดับของ หน่วยวิเคราะห์ออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่เน้นสถาบันเป็นศูนย์กลาง ระดับที่เน้นสังคมเป็น ศูนย์กลาง และระดับที่เน้นรัฐเป็นศูนย์กลาง ส่วนอนุสรณ์ ลิ้มมณี ได้แบ่งระดับของหน่วยวิเคราะห์ ออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับโครงสร้าง และระดับผู้กระทําการ

35. “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทสําคัญมีความตระหนักร่วมกันว่าไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียวในเมือง” เป็นคําอธิบายการสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedler
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 ฮวน ลินซ์ (Juan Linz) ได้กําหนดนิยามของการสร้างความมั่นคงยั่งยืน ให้กับประชาธิปไตยว่า “ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวแสดงทางการเมือง ที่มีบทบาทสําคัญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กองทัพ หรือสถาบันอื่น ๆ มีความตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในระบอบการปกครองนอกจากประชาธิปไตยและไม่มีสถาบันหรือกลุ่มการเมืองใดจะมีอํานาจในการยับยั้งการดําเนินงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง… หรือหากกล่าวอย่างง่ายที่สุด ประชาธิปไตยต้องถูกมองว่าเป็นเกมเดียวในเมือง (The Only Game in Town)”

36. ข้อใดไม่ใช่สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management)
(1) นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
(2) ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
(3) จัดโครงสร้างองค์การและระบบการทํางานให้มีขนาดใหญ่
(4) ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
(5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
ตอบ 3 หน้า 249, (คําบรรยาย) สาระสําคัญของแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีดังนี้
1. นําเอาแนวคิดด้านการตลาดและการบริหารงานภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ
2. ส่งเสริมให้มีระบบแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะ
3. ปรับโครงสร้างองค์การให้มีขนาดเล็กลงและลดขั้นตอนการทํางาน
4. ส่งเสริมวินัยทางการเงินการคลัง
5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ฯลฯ

37. วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด คล้ายกับวิธีการใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาความแตกต่าง
(3) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(4) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

38. รัฐเข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดให้ เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 4 หน้า 154 รัฐรวมศูนย์ (Collectivized State) คือ รัฐที่เข้าควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือระบบเศรษฐกิจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้เอกชนมีสิทธิในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเอง ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดถูกวางแผนและจัดการโดยรัฐ จากส่วนกลาง รวมถึงมีการยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล คือ ไม่ให้เอกชนสามารถมีทรัพย์สิน ส่วนตัวได้ แต่ให้ทุกอย่างตกเป็นสมบัติของส่วนรวม รัฐประเภทนี้พบได้ในระบอบคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต จีนในยุคเหมา เจ๋อ ตุง เป็นต้น

39. Large-Ns มีความหมายถึงสิ่งใด
(1) จํานวนศึกษาหลายกรณี
(2) การศึกษาเชิงปริมาณ
(3) มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐาน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 46 – 47, 64 Large-Ns หมายถึง จํานวนศึกษาหลายกรณี ซึ่งมักจะถูกนํามาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) ซึ่งข้อดีของการศึกษาหลายกรณี มีดังนี้
1. มีจุดแข็งในการทดสอบสมมติฐานให้เข้มแข็งมากขึ้น
2. สามารถนําข้อสรุปจากการศึกษาไปใช้กับกรณีศึกษานอกกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
3. ช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
4. ช่วยให้ผลการวิเคราะห์มีลักษณะกลมกลืนกัน ฯลฯ

40. กรณีศึกษาแบบใดช่วยยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรได้มีประสิทธิภาพ
(1) Small-Ns
(2) การศึกษากรณีประเทศเดียว
(3) Large-Ns
(4) กรณีศึกษาตามรายประเด็น
(5) กรณีศึกษาเชิงลึก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. ประชาธิปไตยทางตรงเกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) Roman
(2) Athens
(3) Sparta
(4) Thebes
(5) Corinth
ตอบ 2หน้า 165, (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบของ ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าไปใช้อํานาจในทางการเมืองอย่าง เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ในยุคกรีกโบราณ ทั้งนี้ประชาธิปไตยรูปแบบนี้สามารถทําได้ในกรณีของรัฐที่มีประชากรจํานวนน้อย ดังนั้นในโลกปัจจุบันที่มีประชากรจํานวนมหาศาล ประชาธิปไตยทางตรงจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

42. ค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือน ๆ กัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์ คือวิธีการเปรียบเทียบแบบใด
(1) วิธีการพิจารณาความเหมือน
(2) วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน
(3) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด
(4) วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่
(5) วิธีการพิจารณาระบบที่แตกต่างกันมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) วิธีการพิจารณาระบบที่เหมือนกันมากที่สุด (Most Similar Systems : MSS) เป็นการค้นหาตัวแปรตัวที่ต่างกันท่ามกลางคุณสมบัติที่เหมือน ๆ กัน ที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ ออกมาแตกต่างกัน เพื่อสรุปว่าตัวแปรที่ต่างกันนั้นคือสาเหตุของปรากฏการณ์

43. แนวทางสถาบันดั้งเดิมแตกต่างกับแนวทางสถาบันนิยมใหม่ในข้อใด
(1) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ
(2) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการ
(3) แนวทางสถาบันดั้งเดิมเน้นศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 115, 118, 120 – 122 แนวทางสถาบันดั้งเดิม เน้นศึกษาสถาบันที่เป็นทางการหรือ ศึกษาสถาบันตามกรอบกฎหมาย ส่วนแนวทางสถาบันนิยมใหม่ให้ความสําคัญกับการศึกษาสถาบันที่ไม่เป็นทางการควบคู่กันไปกับการศึกษาสถาบันที่เป็นทางการ รวมถึงขยายขอบเขต ของการศึกษาไปสู่เรื่องของพฤติกรรมของตัวแสดงทางการเมือง ปัจจัยทั้งหลายที่สามารถ ส่งผลทั้งต่อตัวสถาบันและต่อพฤติกรรมทางการเมืองภายในสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนการศึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถาบันและตัวแสดงทางการเมืองต่าง ๆ

44. การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่การปฏิวัติในอียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบียและซีเรีย มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Color Revolutions
(2) Arab Spring
(3) Rose Revolution
(4) Asian Spring
(5) Tutip Revolution
ตอบ 2 หน้า 273, (คําบรรยาย) การปฏิวัติดอกมะลิในตูนีเซีย ค.ศ. 2011 เป็นการลุกฮือของ ประชาชนเพื่อต่อต้านอํานาจรัฐและระบบที่เป็นอยู่ ซึ่งการปฏิวัตินี้ได้ทําให้เกิดแรงกระเพื่อม ไปสู่การปฏิวัติในกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แก่ อียิปต์ เยเมน บาห์เรน ลิเบีย และซีเรีย หรือที่ เรียกกันว่า “การปฏิวัติในฤดูใบไม้ผลิในอาหรับ” หรือ “อาหรับสปริง” (Arab Spring)

45. การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด
(1) ฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่ 5
(2) เยอรมนีในช่วงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
(3) โปรตุเกสในช่วงหลังการปฏิวัติคาร์เนชั่น
(4) เยอรมนีในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์
(5) รัสเซียในช่วงหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ตอบ 4 หน้า 180 การปกครองระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา เป็นระบบที่มีการผสมผสาน ระหว่างระบบประธานาธิบดีและระบบรัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ในช่วงรัฐธรรมนูญไวมาร์ (ค.ศ. 1919 – 1939) แต่เป็นที่รู้จักเมื่อประเทศฝรั่งเศสนําไปใช้

46. สาขาการเมืองเปรียบเทียบถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในยุคใด
(1) ยุคสถาบัน
(2) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(3) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(4) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังสมัยใหม่
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

47. ระบบพรรคการเมืองของจีน
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 1 หน้า 219 ระบบพรรคเดียว (One-Party System) คือ การมีพรรคการเมืองพรรคเดียว เท่านั้นในระบบการเมือง พบในประเทศเผด็จการทั้งในรูปแบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ ในระบบพรรคเดียวนี้อาจมีการเลือกตั้งด้วย แต่มีผู้สมัครลงแข่งขันจากพรรคการเมืองเดียว เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ระบบพรรคการเมืองของจีน เป็นต้น

48. รัฐเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมคือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 2 หน้า 153 รัฐเพื่อการพัฒนา (Developmental State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและเกิดการขยายตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐอาจจะประสาน ความร่วมมือกับนายทุนระดับชาติเพื่อการดังกล่าว ทั้งนี้การแทรกแซงดังกล่าวเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเอกชนในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศ มากกว่าการเข้าไปขัดขวางหรือรับเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจมาดําเนินการเอง ตัวอย่างของรัฐ ประเภทนี้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น

49. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสหลัก
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 83 – 127 แนวทางการวิเคราะห์กระแสหลัก ได้แก่
1. แนวทางระบบ
2. แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
3. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล
4. แนวทางสถาบันนิยมใหม่
5. แนวทางโครงสร้าง

50. รัฐที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 4 หน้า 151 – 152 รัฐรวม (Composite State) หรือสหพันธรัฐ (Federation) คือ รัฐที่เกิดขึ้น จากการรวมกันของรัฐอธิปไตยมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป มีการจัดตั้งรัฐบาลกลางขึ้นโดยการมอบ อธิปไตยบางส่วนให้รัฐบาลกลางเพื่อจัดการในเรื่องสําคัญของส่วนรวมด้วยเหตุผลในเรื่องของ การป้องกันภัยรุกราน ความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ในขณะที่แต่ละรัฐที่มารวมตัวกัน ก็ยังคงมีอธิปไตยของตนเองอยู่บางส่วน ดังนั้นรัฐรวมจึงมีรัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลาง และ รัฐบาลของท้องถิ่นหรือมลรัฐ ตัวอย่างของรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น

51. คําอธิบายอันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”เป็นของนักวิชาการผู้ใด
(1) ไดมอนด์
(2) กิดเด้นส์
(3) ลิปเซ็ต
(4) ลาสเวลล์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 64, 67 – 68 งานของลิปเซ็ต (Lipset) เรื่อง “Political Man” เป็นการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับความเป็นประชาธิปไตย โดยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการศึกษาหลายกรณี (Large-Ns) ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า กลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยมั่นคง ประชาชนจะมีรายได้สูงกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตย ไม่มั่นคงหรือเป็นเผด็จการ จากงานชิ้นนี้ของลิปเซ็ตได้นํามาสู่ข้อสรุปเป็นคําอธิบายทั่วไป อันโด่งดังที่ว่า “การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่งผลต่อการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย”

52. งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของโรเบิร์ต พุตนัมใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 4 หน้า 74 งานเรื่อง “Making Democracy Work : Civic Traditions in Modern Italy” ของ โรเบิร์ต พุตนัม (Robert Putnum) เป็นการศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมแบบพลเมืองที่ส่งผลต่อ การทํางานของระบอบประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคในภาคเหนือ และภาคใต้ของอิตาลี ซึ่งพุตนัมได้ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้วิธีการเชิงปริมาณเพื่อสํารวจทัศนคติของพลเมือง และใช้วิธีการเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นข้อมูลความเป็นมาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคในอิตาลี

53. เพราะเหตุใดแนวคิดแบบมาร์กซิสต์จึงไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคงจะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม
(1) เพราะยากที่สถาบันการเมืองจะมีความเข้มแข็ง
(2) เพราะเอกชนจะเรียกร้องให้รัฐมีบทบาทน้อย
(3) เพราะมีความเจริญทางวัตถุแต่จิตใจผู้คนตกต่ำ
(4) เพราะมีโครงสร้างที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ
(5) เพราะผู้คนไม่สนใจคุณธรรมจริยธรรมทางศาสนา
ตอบ 4 หน้า 134 – 136, (คําบรรยาย) แนวคิดแบบมาร์กซิสต์ไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่มั่นคง จะเกิดขึ้นได้ในโลกทุนนิยม เพราะหัวใจสําคัญของประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน แต่ใน ระบบทุนนิยมกลับมีโครงสร้างที่ทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ กล่าวคือ ในระบบทุนนิยมนั้น ชนชั้นที่ออกแรงผลิตคือชนชั้นแรงงาน แต่ชนชั้นนายทุนกลับรีบเอามูลค่าที่ชนชั้นแรงงานผลิตได้ ไปเป็นของตน ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวทําให้เกิด “ชนชั้นผู้ได้เปรียบ” กับ “ชนชั้นผู้เสียเปรียบ” ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

54. ระบบพรรคที่มี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ เช่น เยอรมนี ออสเตรีย และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วน มีเสียงจํานวนหนึ่งแต่ไม่พอจะจัดตั้งรัฐบาล
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 4 หน้า 221, (คําบรรยาย) ระบบกึ่ง 2 พรรค (Two-and-a-Half-Party System) คือ การมี 2 พรรคใหญ่ผลัดกันขึ้นสู่อํานาจ และมีพรรคขนาดเล็กอีกบางส่วนมีเสียงจํานวนหนึ่ง แต่ไม่พอจะจัดตั้งรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในโปรตุเกส สเปน กรีซ เยอรมนี ออสเตรีย เป็นต้น

55. แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทางของยุคใด
(1) ยุคปรัชญา
(2) ยุคสถาบัน
(3) ยุคเปลี่ยนผ่าน
(4) ยุคพฤติกรรมศาสตร์
(5) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 108 – 109 แนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลมาจากสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเริ่มถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ ทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็น ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ดังนั้นแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลจึงถูกจัดไว้ในกลุ่มแนวทาง หรือทฤษฎีในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ในกระแสหลักที่ยังเชื่อมั่นในการสร้างความเป็นศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ในทางการเมือง

56. งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของมัวร์ จูเนียร์ ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Mixed Method
(5) เชิงสถิติ
ตอบ 2 หน้า 72 งานเรื่อง “Social Origins of Dictatorship and Democracy” ของแบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์ (Barrington Moore Jr.) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการศึกษาน้อยกรณี (Small-NS) ซึ่งงานชิ้นนี้มัวร์ได้สร้างคําอธิบายใหม่ที่แตกต่างจากคําอธิบายเดิมที่มักบอกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยมีการอธิบายที่ซับซ้อนมากขึ้น พิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรต้นจํานวนมากขึ้นทั้งในส่วนของชนชั้นทางสังคม โครงสร้างทาง เศรษฐกิจ อํานาจรัฐ ตลอดจนพิจารณาถึงปฏิสัมพันธ์กันเองของตัวแปรต้นต่าง ๆ ควบคู่กันไป กับการพิจารณาอิทธิพลที่มีต่อตัวแปรตาม ซึ่งนําไปสู่ข้อสรุปที่โด่งดังที่ว่า “ไม่มีชนชั้นนายทุน ไม่มีประชาธิปไตย”

57. รัฐเป็นแหล่งรวมของชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นน่านิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 2 หน้า 148 – 149 รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม หมายถึง รัฐเป็นแหล่งรวมของชนชั้นนําที่มีอํานาจเหนือคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม

58. ในทฤษฎีระบบการเมือง ปัจจัยนําเข้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) ข้อเรียกร้องความต้องการและการสนับสนุน
(2) รัฐบาลและรัฐสภา
(3) พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
(4) นโยบายและการปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 89 – 90 ในทฤษฎีระบบการเมืองนั้น เดวิด อีสตัน (David Easton) อธิบายว่า “ระบบการเมือง” (Political System) เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ซึ่งทําหน้าที่อยู่ภายใต้ “สิ่งแวดล้อม” (Environment) โดยจะมี “ปัจจัยนําเข้า (Inputs) ซึ่งประกอบด้วย ข้อเรียกร้อง ความต้องการ (Demands) และการสนับสนุน (Supports) จากสิ่งแวดล้อมเข้ามาสู่ระบบการเมือง แล้วระบบการเมืองก็จะทําหน้าที่ในการตัดสินใจแปลงปัจจัยนําเข้าดังกล่าวเป็น “ปัจจัยนําออก” (Outputs) ในรูปของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายต่าง ๆ ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม และผลจากการทํางานของระบบการเมืองก็จะเกิดเป็น “ผลสะท้อนกลับ” (Feedback) กลับเข้าไปเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบการเมืองอีกครั้งหนึ่ง

59. รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 4 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงองค์การ หมายถึง รัฐคือองค์ประกอบของสถาบันต่าง ๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการปกครองทั้งหลาย

60.1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน แล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนพึงมีในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 5 หน้า 200 ระบบเสียงข้างมากธรรมดา หนึ่งเขตมีตัวแทนมากกว่าหนึ่งคน (Multi-Member District/Constituencies : MMD) หรือระบบรวมเขตเรียงเบอร์ (Block Voting : BV) เป็น ระบบเสียงข้างมากธรรมดา แต่ใน 1 เขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คนแล้วแต่ว่าจํานวนผู้แทนจึงมี ในเขตนั้นว่ามีได้กี่คนขึ้นอยู่กับจํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น 2 คน หรือ 3 คน โดยผู้เลือกตั้งสามารถ เลือกผู้สมัครได้ตามจํานวนผู้แทนในแต่ละเขต ซึ่งอาจเลือกจากพรรคเดียวกันเรียงเบอร์ไปเลย หรือจะเลือกผู้สมัครจากต่างพรรคก็ได้ หรือหากประสงค์เลือกเพียงเบอร์เดียวก็ได้ ผู้ที่ได้คะแนน สูงสุดเรียงตามลําดับจนครบตามจํานวนผู้แทนจึงมีก็จะได้เป็นผู้แทนในเขตนั้น ๆ

61. หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 1 หน้า 178 การปกครองระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีต้นแบบมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการปกครองที่มีการแบ่งแยกอํานาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารบนหลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) โดยฝ่ายนิติบัญญัติและ ฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นการทํางานของฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารจึงแยกอิสระจากกันค่อนข้างสูง แต่ก็มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

62. ยุคที่มองว่าการทําให้ทันสมัย คือ การทําให้เป็นประชาธิปไตย
(1) ยุคเริ่มต้นของการพัฒนา
(2) การพัฒนาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20
(3) การพัฒนาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1980
(4) การพัฒนาในช่วง ค.ศ. 1980 – 2000
(5) การพัฒนาในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

63. กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจ อิสระของตนเอง โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น คือระบบกลุ่มผลประโยชน์แบบใด
(1) Democratic Corporatist Interest Group System
(2) Controlled Interest Group System
(3) Pluralist Interest Group System
(4) Institutional Group System
(5) Public Interest Group System
ตอบ 3 หน้า 232 ระบบพหุนิยม (Pluralist Interest Group System) กลุ่มผลประโยชน์ในระบบนี้ ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ประเภทต่าง ๆ ในสังคมที่แต่ละกลุ่มมีอํานาจอิสระของตนเอง โดยไม่มีกลุ่มใดมีอํานาจเหนือกลุ่มอื่น แต่จะหมุนเวียนกันไปมีบทบาทหลักในประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของกลุ่มตน เมื่อเป็นประเด็นอื่นก็จะมีกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นเข้าไป มีบทบาทหลักแทน ระบบกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าวนี้พบมากในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

64. “ไม่มีชนชั้นนายทุน ไม่มีประชาธิปไตย” เป็นคํากล่าวของนักวิชาการคนใด
(1) แกเบรียล อัลมอนด์
(2) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(3) เธดา สค็อกโพล
(4) แบร์ริงตัน มัวร์ จูเนียร์
(5) โรเบิร์ต ดาห์ล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

65. การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันเป็นไปเพื่อเป้าหมายใด
(1) ถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาของระบบการปกครองที่มีความก้าวหน้าในยุโรป
(2) สร้างรัฐสมัยใหม่
(3) พัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบพาณิชย์นิยม
(4) พัฒนาตัวแบบทางการปกครอง
(5) ข้อ 1 และ 4 ลูก
ตอบ 5 หน้า 8 การศึกษาเปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกาในยุคสถาบันมีเป้าหมายเพื่อถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาของระบบการปกครองที่มีความก้าวหน้าในยุโรป เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตัวแบบ
ทางการปกครอง

66. ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 2 หน้า 202 ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด หรือระบบเสียงส่วนใหญ่ (Majority Electoral System) เป็นระบบที่ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือสะท้อนเจตนารมณ์ของ ประชาชนอย่างแท้จริง ระบบนี้โดยทั่วไปจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คน

67. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นสถาบันของฮันทิงตัน
(1) ความสามารถในการปรับตัว
(2) การแบ่งโครงสร้างทําหน้าที่เฉพาะ
(3) ความรวดเร็วในการทํางาน
(4) ความเป็นอิสระในตนเอง
(5) ความเป็นปึกแผ่น
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 ซามูเอล ฮันทิงตัน (Samuel Huntington) ได้เสนอตัวชี้วัดความเป็น สถาบัน ซึ่งมี 4 ประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)
2. การแบ่งโครงสร้างแยกย่อยลงไปและทําหน้าที่เฉพาะ (Complexity)
3. ความเป็นอิสระในตนเอง (Autonomy) 4. ความเป็นปึกแผ่น (Coherence)

68. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ Subject
(1) เป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่าง
(2) เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
(3) เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ปฏิบัติ
(4) เป็นการเมืองแบบใช้เหตุผล
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 102, (คําบรรยาย) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบรับรู้แต่ไม่เข้าร่วมทางการเมืองหรือ แบบไพร่ฟ้า (Subject) เป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนสนใจข่าวสาร มีความรู้เกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีอํานาจทางการเมือง เรื่องของ การเมืองเป็นเรื่องของผู้นํา ดังนั้นลักษณะของวัฒนธรรมแบบนี้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบ บนลงล่าง การเมืองเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและกฎเกณฑ์ปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็น การเมืองแบบใช้เหตุผล

69. ปัจจัยใดที่คาร์ล มาร์กซ์ ให้ความสําคัญที่สุดเมื่อวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง
(1) อํานาจของกฎหมาย
(2) โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจ
(3) การครอบงําทางความคิดผ่านทางศาสนา
(4) แสนยานุภาพทางทหาร
(5) อํานาจของรัฐในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
ตอบ 2 หน้า 134 – 135 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist Theory) กําเนิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมอย่างถึงรากถึงโคน หรือก็คือ ปฏิเสธระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง โดยการวิเคราะห์ของมาร์กซ์นั้นในทางหนึ่งเป็นการ วิเคราะห์เชิงโครงสร้างและการวิเคราะห์พัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ แต่หัวใจหลักอยู่ที่การใช้ โครงสร้างอํานาจในระบบเศรษฐกิจในการวิเคราะห์อํานาจทางการเมือง

70. “ความตื่นตัวของประชาชนในตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริงไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ในคลื่นลูกที่ 4” จากข้อความดังกล่าวเป็นคําอธิบายโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Andreas Shedler
(2) Larry Diamond
(3) Juan Linz
(4) Samuel Huntington
(5) Dankwart Rustow
ตอบ 2 หน้า 293 ลาร์รี่ ไดมอนด์ (Larry Diamond) อธิบายว่า ความตื่นตัวของประชาชนใน ตะวันออกกลางที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอํานาจเผด็จการในปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ ตูนีเซีย เป็นภาพสะท้อนสําคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ ประชาธิปไตยในคลื่นลูกที่ 4

71. รัฐที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือรัฐที่เกิดขึ้นในยุโรปภายหลังการทําสนธิสัญญาฉบับใด
(1) Treaty of Ulm 1647
(2) Treaty of Concordia 1648
(3) Treaty of Zboriv 1649
(4) Treaty of Westphalia 1648
(5) Treaty of Breda 1650
ตอบ 4 หน้า 147 รัฐที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือ รัฐที่เกิดขึ้นในยุโรปภายหลังจากการทําสนธิสัญญา เวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในยุโรปในปี ค.ศ. 1648 ซึ่งก่อให้เกิดรัฐสมัยใหม่ อันประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ ดินแดนที่แน่นอน (Territory) ประชากร (Population) รัฐบาล (Government) และอํานาจอธิปไตย (Sovereignty)

72. หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power) คือรูปแบบการปกครองของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใด
(1) Presidential System
(2) Semi-Presidential System
(3) Semi-Parliamentary System
(4) Parliamentary System
(5) Presidential-Parliamentary System
ตอบ 4 หน้า 176 – 177 การปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ เป็นการปกครองที่มีการแยกอํานาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แบบไม่เด็ดขาด การใช้อํานาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กันตาม หลักการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Power)

73. การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
(1) การเมืองเปรียบเทียบ
(2) การปกครองเปรียบเทียบ
(3) ปรัชญาเปรียบเทียบ
(5) ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ
(4) ทฤษฎีเปรียบเทียบ
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 8 การศึกษาเปรียบเทียบในยุคปรัชญาและยุคสถาบันอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า “การปกครองเปรียบเทียบ”

74. แนวทางการวิเคราะห์ใดจัดอยู่ในกลุ่มแนวทางกระแสวิพากษ์
(1) แนวทางระบบ
(2) แนวทางวัฒนธรรมทางการเมือง
(3) แนวทางสถาบันนิยมใหม่
(4) แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 85 – 86, 107, 134, 140 แนวทางการวิเคราะห์กระแสวิพากษ์ ได้แก่
1. แนวทางการเมืองวัฒนธรรม
2. แนวทางมาร์กซิสต์
3. แนวทางมาร์กซิสต์ใหม่ (ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ)
4. แนวทางหลังสมัยใหม่หรือแนวทางหลังโครงสร้างนิยม

75. ตามแนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล คําว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผลหมายถึงข้อใด
(1) จะทําการใดต้องมีการคํานวณ
(2) คิดถึงประโยชน์ได้เสีย
(3) แสวงหาประโยชน์สูงสุด
(4) หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 110, (คําบรรยาย) แนววิเคราะห์การเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Approach) มีสมมติฐานสําคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีเหตุมีผล ซึ่งคําว่ามีเหตุมีผลหมายถึง มนุษย์ทุกคนเวลา จะทําการใดจะต้องคํานวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไร และเสียประโยชน์ อย่างไร หรือคํานวณผลได้ผลเสียที่จะได้รับจากทางเลือกแต่ละทาง โดยมนุษย์จะตัดสินใจเลือก ทางเลือกที่ได้ประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์มากที่สุดหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากทางเลือกที่จะทําให้เสียประโยชน์นั่นเอง

76. นักวิชาการคนใดเสนอแนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรม
(1) หลุยส์ อัลธูแซร์
(2) เออร์เนสโต ลาเคลา
(3) ซองทัล มูฟ
(4) ชาร์ค แดร์ริดา
(5) มิเชล ฟูโกต์
ตอบ 5 หน้า 140 – 143 แนวคิดที่สําคัญของนักวิชาการในยุคหลังสมัยใหม่ มีดังนี้
1. แนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรมของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault)
2. แนวคิดการรื้อสร้างของชาร์ค แดร์ริดา (Jacques Derrida)
3. แนวคิดมายาคติของโรลอง บาร์ต (Roland Barthes)
4. แนวคิดการครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรมและแนวคิดประชาธิปไตยเชิงลึกของ เออร์เนสโต ลาเวลาและของทัล มูฟ (Ernesto Laclau and Chantal Mouffe) ฯลฯ

77. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงแนวทางการวิเคราะห์ (Approach)
(1) กําหนดระดับของการอธิบาย
(2) เป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ ในการศึกษา
(3) ชุดคําอธิบายเชิงปัจจยาการ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 80 – 81, 143 แนวทางการศึกษาหรือแนวทางการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบเค้าโครงในการศึกษาที่จะเป็นตัวกําหนดระดับของการอธิบาย วิธีการในการศึกษาตลอดจนทฤษฎีที่จะใช้ในการศึกษา โดยแนวทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่จะเป็นกรอบเค้าโครงกว้าง ๆ โดยไม่มีการลงลึกในส่วนของตัวแบบในการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม และในแต่ละ แนวทางการศึกษาจะประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ๆ อยู่ด้วย

78. แนวคิดสําคัญของอันโตนิโอ กรัม คือแนวคิดใด
(1) การปฏิวัติทางชนชั้น
(2) วาทกรรม
(3) การครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์
(4) พหุวัฒนธรรม
(5) การครองความเป็นจ้าวทางวาทกรรม
ตอบ 3 หน้า 137 – 138 อันโตนิโอ กรัมซี (Antonio Gramsci) ได้เสนอแนวคิด “การครองความเป็น จ้าวทางอุดมการณ์” (Hegemony) โดยอธิบายว่า โครงสร้างส่วนบนแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือ สังคมการเมืองและสังคมประชา ชนชั้นที่ต้องการมีอํานาจเหนือสังคมอย่างเบ็ดเสร็จต้องสามารถครองอํานาจได้ในทั้งสองพื้นที่ในฐานะผู้ครองความเป็นจ้าวทางอุดมการณ์ และกรัมที่ได้ให้น้ำหนักไปที่การครอบงําทางความคิดอย่างมาก เนื่องจากการที่ชนชั้นหนึ่งจะมีชัยชนะขั้นเด็ดขาดและ สมบูรณ์เหนือสังคมได้ ชนชั้นนั้นต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

79. งานของลิปเซ็ตเรื่อง “Political Man” ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาแบบใด
(1) เชิงปริมาณ
(2) เชิงคุณภาพ
(3) Large-Ns
(4) Small-Ns
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

80. แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลคือ
(1) ความเสียสละ
(2) ผลประโยชน์ส่วนบุคคลงชาติ
(3) ผลประโยชน์ขอ
(4) ความหลากหลาย
(5) ความเท่าเทียม

ตอบ 2 หน้า 109 แกนกลางของการวิเคราะห์ของแนวทางการเลือกอย่างมีเหตุมีผลตั้งอยู่บน สมมติฐานหลัก 2 ตัว คือ ความมีเหตุมีผล (Rationality) กับผลประโยชน์ส่วนบุคคล (Self-Interest)

81. พบในสหภาพโซเวียตในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 5 หน้า 154 – 155 รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarian State) คือ รัฐที่เข้าแทรกแซงเหนือสังคม ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ กระทั่งการใช้ชีวิตในทุกด้าน โดยไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นรัฐที่มีอํานาจ สูงที่สุด ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคําสั่งของรัฐ รัฐประเภทนี้พบในสหภาพโซเวียต ในยุคโจเซฟ สตาลิน เยอรมนียุคฮิตเลอร์ อิตาลียุคมุสโสลินี และเกาหลีเหนือ

82. ระบบพรรคการเมืองที่ส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลผสม
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System.
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 5 หน้า 220 ระบบหลายพรรค (Multiparty System) คือ การมีพรรคการเมืองหลายพรรค ต่อสู้แข่งขันกันโดยไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งครองเสียงข้างมาก และอาจต้อง จัดตั้งรัฐบาลผสม ระบบเช่นนี้อาจมีข้อดีคือเกิดความหลากหลายในทางอํานาจ แต่มีข้อเสียคือ การขาดเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้งและหาข้อตกลงกันไม่ได้

83. นักวิชาการผู้ใดมีอิทธิพลต่อแนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ
(1) พูลันต์ซาส
(2) นิธิ เอียวศรีวงศ์
(3) พาเรโต
(4) ซี. ไรท์ มิลล์
(5) คาร์ล ป๊อปเปอร์
ตอบ 1 หน้า 129, (คําบรรยาย) นิคอส พลันต์ซาส (Nicos Poulantzas) เป็นนักวิชาการที่มีอิทธิพลต่อ แนวทางโครงสร้างที่เน้นศึกษารัฐ ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นในยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ อันเป็นผล
มาจากกระแสการนํารัฐกลับมาเป็นแกนกลางในการศึกษาทางการเมือง

84. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงวิชาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบัน
(1) มุ่งหาทฤษฎีทั่วไป
(2) มุ่งสร้างศาสตร์บริสุทธิ์
(3) รวมเรียกว่าการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ
(4) ศึกษาการเมืองนอกสหรัฐฯ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 25 ในปัจจุบันเราอาจเรียกวิชาการเมืองเปรียบเทียบโดยนําเอาคําว่าการปกครอง เข้ามารวมด้วยเป็น “การเมืองการปกครองเปรียบเทียบ” เนื่องจากเรื่องของการปกครอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการเมืองเปรียบเทียบ อีกทั้งความหมายของการเมืองหรือความหมายของการปกครองเองก็ขยายออกไปกว้างขวางอย่างมากในปัจจุบันจนกล่าวได้ว่าเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอํานาจก็ถือว่าเป็นเรื่องของการเมืองทั้งสิ้น

85. รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้
(1) Kingdom State
(2) Republic
(3) Unitary State
(4) Composite State
(5) Minimal State
ตอบ 1 หน้า 150 – 151 รัฐราชอาณาจักร (Kingdom State) คือ รัฐที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ซึ่งอาจจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งรัฐราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดในปัจจุบันก็ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของรัฐ และมีรัฐบาลในระบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เบลเยียม ไทย เป็นต้น

86. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบใดเอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
(1) Parochial
(2) Subject
(3) Participant
(4) Civic Culture
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 102 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) ได้แบ่ง วัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็น 3 แบบ คือ แบบคับแคบ (Parochiat) แบบไพร่ฟ้า (Subject) และแบบมีส่วนร่วม (Participant) ซึ่งในความคิดเห็นของทั้งสองมองว่า วัฒนธรรมทางการเมือง ที่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่วัฒนธรรมแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องเป็นวัฒนธรรมทาง การเมืองที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้ง 3 แบบอย่างลงตัว ซึ่งเรียกว่า “วัฒนธรรม แบบพลเมือง” (Civic Culture) อันเป็นวัฒนธรรมที่ประชาชนมีความกระตือรือร้นทางการเมือง แต่ก็ไม่มากจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

87. รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม คือรัฐในความหมายใด
(1) รัฐในความหมายเชิงนามธรรม
(2) รัฐในความหมายของทฤษฎีชนชั้นนํานิยม
(3) รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่
(4) รัฐในความหมายเชิงองค์การ
(5) รัฐในฐานะเครื่องมือสร้างประโยชน์แก่สังคม
ตอบ 3 หน้า 149 รัฐในความหมายเชิงการทําหน้าที่ หมายถึง รัฐเป็นชุดของสถาบันที่เกิดขึ้นเพื่อบทบาทและหน้าที่ในสังคม โดยเฉพาะหน้าที่ในการรักษาระบบระเบียบและความสงบเรียบร้อยในสังคม

88. ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ได้รับเลือกโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 1 หน้า 200 ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบพหุนิยม (Plurality Electoral System) เป็นระบบที่ใช้ในการเลือกตั้งแบบเขต โดยในแต่ละเขตผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะเป็นผู้ได้รับเลือกโดยไม่คํานึงว่าจะได้เสียงเกินหนึ่งหรือไม่ เป็นระบบที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก

89. วิธีการเปรียบเทียบในวิชาการเมืองเปรียบเทียบถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป้าหมายใด
(1) สกัดหาตัวแปรที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา
(2) หาสิ่งที่พึงประสงค์
(3) การแข่งขันระหว่างประเทศ
(4) สร้างความได้เปรียบ
(5) สร้างจริยธรรมทางการปกครอง
ตอบ 1 หน้า 50 วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการที่ต้องเลือกมาใช้ในการเปรียบเทียบเพื่อสร้างคําอธิบาย ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเงื่อนไขหรือปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ กับผลลัพธ์ที่ศึกษา หรือ กล่าวอีกนัยคือ วิธีการเปรียบเทียบ คือ วิธีการสําหรับนํามาใช้เพื่อสกัดหาตัวแปรหรือเงื่อนไข ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา

90. “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) มาร์กซ์
(2) ทิลลี่
(3) ไชยวัฒน์ ค้ำชู
(4) อดอร์โน
(5) เดอร์ไคม์
ตอบ 2 หน้า 128 แนวทางโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ จะเน้นวิเคราะห์ความเป็นมาของโครงสร้าง ขนาดใหญ่ เช่น พัฒนาการของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในโลกตะวันตก พัฒนาการของระบบ ทุนนิยม พัฒนาการของยุคอุตสาหกรรม พัฒนาการของรัฐสมัยใหม่ พัฒนาการของการเข้าสู่ ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพใหญ่ของพัฒนาการ ตลอดจน ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่ศึกษาดังที่ชาร์ล ทิลลี่ (Charles Tilty) เรียกว่า “การเปรียบเทียบขนาดยักษ์” ของ “โครงสร้างขนาดใหญ่” และ “กระบวนการใหญ่”

91. นักวิชาการผู้ใดเป็นผู้เสนอวิธีการหลักในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยม
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น ล็อค
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) มาร์ติน ลิปเซ็ต
(5) เดวิด อีสตัน
ตอบ 3 หน้า 50 – 57, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอวิธีการหลัก ในการเปรียบเทียบที่เป็นที่นิยมไว้ 4 วิธีการ คือ
1. วิธีการพิจารณาความเหมือน (Method of Agreement)
2. วิธีการพิจารณาความแตกต่าง (Method of Difference)
3. วิธีการพิจารณาปัจจัยที่เหลืออยู่ (Method of Residues)
4. วิธีการพิจารณาตัวแปรที่เกิดควบคู่กัน (Method of Concomitant Variation

92. การครองอํานาจของพรรคเสรีประชาธิปไตยของญี่ปุ่น และพรรคคองเกรสของอินเดีย เข้าข่ายระบบพรรคแบบใด
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 2 หน้า 219 – 220 ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (One Dominant Party System) เป็นระบบ ที่มีพรรคการเมืองได้มากกว่า 1 พรรค หรือกฎหมายเปิดให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งขึ้นได้ แต่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มักได้รับเลือกตั้งคะแนนสูงสุดและครองอํานาจในการปกครองตัวอย่างเช่น พรรคเสรีประชาธิปไตยของญี่ปุ่น พรรคคองเกรสของอินเดีย เป็นต้น

93. ทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการคนใด
(1) อีสตัน
(2) เมอร์เรียม
(3) อัลมอนด์
(4) ฟูโกต์
(5) พาร์สัน
ตอบ 3 หน้า 92 แกเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) ได้พัฒนาทฤษฎีระบบเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ โดยได้ดึงแนวคิดเรื่องบทบาทและโครงสร้างของนักสังคมวิทยา เช่น แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ทาลค็อตต์ พาร์สัน (Talcott Parsons) เข้ามาผนวกกับทฤษฎีระบบ เพื่อให้ทฤษฎีระบบเชิง โครงสร้าง-หน้าที่มีความเป็นรูปธรรม สามารถศึกษากลุ่มของการกระทําทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการได้

94. เรียกกันทั่วไปว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ”
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(3) ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 3 หน้า 204 – 205 ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน (Proportional Representation : PR/Party List System) เป็นระบบที่มีการกําหนดเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่ ในแต่ละเขตมีผู้แทนได้มากกว่า 1 คน โดยการลงคะแนนเสียงจะลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง ไม่ใช่เลือกผู้สมัครรายคน แต่พรรคการเมืองจะทําบัญชีรายชื่อของผู้สมัครเรียงตามลําดับลงไป ทําให้เรียกระบบนี้กันทั่วไป ว่า “ระบบบัญชีรายชื่อ” (Party List System)

95. ข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย 10 ประการ เป็นคําอธิบาย การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Samuel Huntington
(2) Dankwart Rustow
(3) Guillermo O’Donnell
(4) Philippe Schmitter
(5) Laurence Whitehead
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 ดังค์วาร์ด รัสเทาว์ (Dankwart Rustow) ได้อธิบายข้อกําหนดเบื้องต้น สําหรับการศึกษาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไว้ 10 ประการ ตัวอย่างเช่น
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยไม่จําเป็นต้องเป็นตัวเดียวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย
2. การศึกษาประชาธิปไตยต้องตระหนักว่าสหสัมพันธ์อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
3. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคมส่งผลต่อการเมือง
4. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่จําเป็นต้องเป็นไปในทิศทางที่ปัจจัยเชิงแนวคิดวัฒนธรรม ส่งผลต่อการกระทําของตัวแสดงเสมอไป ฯลฯ

96. “การเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง” คําอธิบายดังกล่าวเป็นของนักวิชาการท่านใด
(1) Arend Lijphart
(2) Giovanni Sartori
(3) Maurice Duverger
(4) Barnard Grofman
(5) Barbara Geddes
ตอบ 3 หน้า 209 – 210 เมารีส ดูแวร์แจร์ (Maurice Duverger) อธิบายว่า การเลือกตั้งระบบ เสียงข้างมากธรรมดาแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะนําไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบ 2 พรรคเด่น ส่วนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบ 1 เขต มีผู้แทนหลายคน และการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนจะนําไปสู่ระบบหลายพรรคการเมือง โดยที่ระบบ 2 พรรคเด่นมักนําไปสู่รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ในขณะที่ระบบหลายพรรคก่อให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ

97. ข้อใดเป็นความแตกต่างสําคัญที่สุดระหว่างมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมกับมาร์กซิสต์ใหม่
(1) วิเคราะห์ทางชนชั้น
(2) ปฏิเสธระบบทุนนิยม
(3) ปฏิวัติทางชนชั้น
(4) ให้ความสําคัญกับอํานาจรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 137 ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากทฤษฎีมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม โดยมีจุดร่วมสําคัญ คือ การมองว่าชนชั้นที่มีอํานาจทางเศรษฐกิจมักมีแนวโน้มมีอํานาจในทาง การเมืองด้วย แต่มีจุดต่างสําคัญจากมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิมคือหันไปให้น้ําหนักกับโครงสร้างส่วนบนมากขึ้นแทนที่จะเน้นวิเคราะห์โครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น โดยเฉพาะประเด็นของอํานาจรัฐ

98. แนวคิดเศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และ
เศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ คือประเภทของรัฐตามบทบาทหน้าที่ประเภทใด
(1) รัฐแบบกรรมการ
(2) รัฐเพื่อการพัฒนา
(3) รัฐสังคม-ประชาธิปไตย
(4) รัฐรวมศูนย์
(5) รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ตอบ 3 หน้า 154 รัฐสังคม-ประชาธิปไตย (Social-Democratic State) คือ รัฐที่มีเป้าหมายเพื่อ ปฏิรูปสังคมให้เกิดความยุติธรรม แก้ปัญหาความยากจน เน้นให้เกิดความเท่าเทียมขึ้นในสังคม เป็นรัฐที่เน้นทําเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมากกว่าจะเน้นทําเพื่อประโยชน์ของนายทุน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวรัฐจึงต้องเข้าไปแทรกแซงสังคมในระดับสูงหรืออย่างแข็งขันเพื่อแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ตัวอย่างเช่น แนวคิด เศรษฐกิจแบบเคนส์ (Keynesianism) ที่ให้รัฐเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจผ่านระบบงบประมาณ มีการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤติ เป็นต้น

99. ระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ
(1) One-Party System
(2) One Dominant-Party System
(3) Two-Party System
(4) Two-and-a-Half-Party System
(5) Multiparty System
ตอบ 3 หน้า 220 ระบบ 2 พรรค (Two-Party System) คือ การมีพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ ที่ต่อสู้แข่งขันและได้รับคะแนนเสียงสลับกันขึ้นเป็นรัฐบาล เช่น ระบบพรรคการเมืองในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

100. การเลือกพรรคซึ่งส่งผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ที่นั่งทั้งหมดไป
(1) ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเสียงข้างมากธรรมดา
(2) ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(3) ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด
(4) ระบบบล็อกโหวตพรรคการเมือง
(5) ระบบรวมเขตเรียงเบอร์
ตอบ 4 หน้า 202 ระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบเลือกเป็นพรรค หรือระบบบล็อกโหวต พรรคการเมือง (Party Block Vote : PBV) เป็นการเลือกผู้แทนโดยการเลือกพรรค ซึ่งส่งผู้แข่งขันเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ละเขตมีผู้แทนมากกว่า 1 คน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุด จะได้ที่นั่งทั้งหมดไป ซึ่งระบบนี้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

 

POL2108 หลักปฏิบัติทางการปกครองและธรรมาภิบาลในภาครัฐ 1/2566

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2108 หลักปฏิบัติทางการปกครองและธรรมาภิบาลในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

ตั้งแต่ข้อ 1. – 5. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) John Locke
(2) Spinoza
(3) Montesquieu
(4) Thomas Hobbes
(5) Jean Bodin

1.ส่งเสริมระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสนับสนุนอํานาจเด็ดขาดของกษัตริย์
เป็นแนวคิดของใคร
ตอบ 4 หน้า 26 ทอมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ได้เสนอแนวความคิดที่สะท้อนให้เห็นถึง สัญญาสวามิภักดิ์อันเป็นการส่งเสริมระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสนับสนุนอํานาจเด็ดขาดของกษัตริย์

2.ผู้วางรากฐานแนวความคิดเกี่ยวกับการปกครองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย เป็นแนวคิดของใคร
ตอบ 1 หน้า 27 จอห์น ล็อค (John Locke) เป็นผู้ให้กําเนิดทฤษฎีสัญญาประชาคมและวางรากฐาน แนวความคิดเกี่ยวกับการปกครองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย เห็นว่า รัฐไม่ควรเข้าไปแทรกแซง ในทางเศรษฐกิจ รัฐควรปล่อยให้เศรษฐกิจเสรีที่สุด ส่วนเรื่องทางศาสนารัฐก็ต้องไม่เข้าไปยุ่ง ต้องให้สังคมถือหลักอหิงสา สําหรับเรื่องการเมืองการปกครองนั้น ล็อคเห็นว่ามนุษย์ควรอยู่ ร่วมกันในสังคมการเมือง และรัฐบาลที่ชอบธรรมจะเป็นรัฐบาลได้ก็โดยความยินยอมของ ผู้ถูกปกครองเท่านั้น

3.Theory of Sovereignty เป็นแนวคิดของใคร
ตอบ 5 หน้า 26 ฌอง โบแดง (Jean Bodin) ได้เสนอทฤษฎีอํานาจอธิปไตย (Theory of Sovereignty) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหลักกฎหมายมหาชนทั้งภายในและระหว่างประเทศที่สําคัญตั้งแต่นั้น เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในทางระบอบการปกครองแนวความคิดของโบแดงทําให้เกิดระบอบ การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้น และเป็นผู้ทําให้รัฐมีอํานาจอธิปไตยขึ้นมา ทั้งนี้เพราะโบแดงต้องการให้สภาพสงครามและการปราศจากกฎหมายในยุคกลางหมดไป โดยให้อยู่ภายใต้อํานาจสูงสุดที่ออกกฎหมายและรักษาความสงบในสังคมของกษัตริย์นั่นเอง

4.ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุด เป็นแนวคิดของใคร
ตอบ 2 หน้า 27 สปิโนซา (Spinoza) เป็นคนแรกที่เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นเป็นระบอบ การปกครองที่ดีที่สุด โดยเขาได้ประณามการใช้อํานาจโดยมิชอบในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ว่า “ความลับสุดยอดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และผลประโยชน์ของระบอบนี้ คือ การหลอกลวงมนุษย์ด้วยกัน และอ้างเหตุผลทางศาสนามาปิดบังความกลัวที่มนุษย์ทั้งหลาย จะลุกขึ้นต่อต้าน โดยใช้ให้คนเหล่านี้ไปสู้รบและตายแทน”

5.Separation of Power เป็นแนวคิดของใคร
ตอบ 3 หน้า 28 – 29, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นผู้ให้กําเนิดหลักการแบ่งแยก การใช้อํานาจ (Separation of Power) อธิบายว่า รัฐอธิปไตยทุกรัฐมีอํานาจที่จะปฏิบัติกิจการ ของรัฐอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจตุลาการ ถ้าอํานาจ ทั้ง 3 ประการนี้รวมอยู่ภายใต้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลเดียวกันแล้ว “ทุกสิ่งทุกอย่างของประชาชน จะสูญสิ้นไป” ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการใช้อํานาจโดยมิชอบจึงต้องจัดระบบการปกครอง ในลักษณะที่ผู้ถืออํานาจคนหนึ่งถ่วงหรือยับยั้งการใช้อํานาจเกินขอบเขตของผู้ถืออํานาจคนอื่น ๆ ได้ การควบคุมการใช้อํานาจโดยมิชอบจึงต้องใช้วิธีการแบ่งแยกอํานาจและถ่วงดุลอํานาจ (Checks and Balances) ระหว่างผู้ถืออํานาจด้วยกันให้อยู่ในระดับพอเหมาะอยู่เสมอ

ตั้งแต่ข้อ 6. – 10. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) หลักกฎหมายทั่วไป
(2) หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําทางปกครอง
(3) หลักนิติธรรม
(4) หลักนิติรัฐ
(5) หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง

6. บรรดาการกระทําทั้งหลายขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กร ของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ สอดคล้องกับหลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 4 หน้า 43 – 44 สาระสําคัญของหลักนิติรัฐ มี 3 ประการ ดังนี้
1. บรรดาการกระทําทั้งหลายขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ
2. บรรดากฎหมายทั้งหลายที่องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติได้ตราขึ้นจะต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
3. การควบคุมไม่ให้การกระทําขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารขัดต่อกฎหมายก็ดี การควบคุมไม่ให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญก็ดี จะต้องเป็นอํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ

7. การใช้กฎหมายจะต้องผูกพันต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติอันเป็นองค์กรที่มีพื้นฐานมาจากตัวแทนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติของกฎหมายที่เป็นการกระทบต่อสิทธิหรือจํากัดสิทธิของประชาชนจะกระทําได้เฉพาะภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ โดยผ่านความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชน สอดคล้องกับหลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจหลักอะไร
ตอบ 5 หน้า 44 หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง หรือเรียกว่า หลักความผูกพันต่อกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครองนั้น ตามหลักนิติรัฐ หลักในเรื่องนี้เป็นการเชื่อมโยงหลักความผูกพันต่อกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครองเข้ากับ หลักประชาธิปไตยโดยทางผู้แทน กล่าวคือ การใช้กฎหมายของฝ่ายตุลาการก็ดี หรือฝ่ายปกครอง ก็ดีจะต้องผูกพันต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติอันเป็นองค์กรที่มีพื้นฐานมาจากตัวแทนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติของกฎหมายที่เป็นการกระทบต่อสิทธิหรือจํากัดสิทธิของประชาชนนั้นจะกระทําได้เฉพาะภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ โดยผ่านความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชนก่อน

8. หลักการที่สําคัญ คือ ก่อนที่จะจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนคนใดคนหนึ่งด้วยการบังคับให้เขา กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือห้ามมิให้เขากระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่กรณี ฝ่ายปกครอง จะต้องถามตนเองเสมอว่ามีกฎหมายฉบับใด มาตราใดให้อํานาจกระทําการเช่นนั้นหรือไม่ สอดคล้องกับ หลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อําานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 2 หน้า 47 – 48 หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําทางปกครอง หมายความว่า ฝ่ายปกครองจะกระทําการใด ๆ ที่อาจมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพของเอกชนคนใดคนหนึ่งได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อํานาจและเฉพาะแต่ภายในขอบเขตที่กฎหมายกําหนดไว้ เท่านั้น ดังนั้นตามหลักการดังกล่าวจึงมีหลักการที่สําคัญอยู่ว่า ก่อนที่จะจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพ ของประชาชนคนใดคนหนึ่งด้วยการบังคับให้เขากระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือห้ามมิให้เขากระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่กรณี ฝ่ายปกครองจะต้องถามตนเองเสมอว่ามีกฎหมาย ฉบับใด มาตราใดให้อํานาจกระทําการเช่นว่านั้นหรือไม่ ถ้าไม่มีกฎหมายให้อํานาจ ฝ่ายปกครองจะต้องละความตั้งใจที่จะกระทําเช่นว่านั้น

9.แนวคิดที่ว่า มีหลักกฎหมายบางอย่างที่อยู่นอกเหนือเจตนาของผู้บัญญัติกฎหมาย และนอกเหนือจาก กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีอยู่ มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่อยู่ภายนอกและอยู่เหนือเจตนาของศาล จึงอาจมี การนําหลัก เช่น หลักความเสมอภาค หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะมาใช้ เป็นต้น สอดคล้องกับ หลักการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 1 หน้า 56 หลักกฎหมายทั่วไป เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่า มีหลักกฎหมายบางอย่างที่อยู่นอกเหนือ เจตนาของผู้บัญญัติกฎหมาย และนอกเหนือจากกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีอยู่ มีกฎเกณฑ์ บางอย่างที่อยู่ภายนอกและอยู่เหนือเจตนาของศาล จึงอาจมีการนําหลัก เช่น หลักความเสมอภาค หลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะมาใช้ เป็นต้น

10. ศาลเป็นผู้นําหลักอันเป็นนามธรรม มาใช้เป็นหลักที่เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับหลักการควบคุมตรวจสอบ การใช้อําานาจรัฐหลักอะไร
ตอบ 1 หน้า 56 – 57 หลักกฎหมายทั่วไปเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อเป็นหลักประกันหรือพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนจากการใช้อํานาจตามอําเภอใจของฝ่ายปกครอง โดยหลักกฎหมาย ทั่วไปนั้นมิได้เกิดขึ้นตามอําเภอใจของศาล ศาลมิได้สร้างกฎหมายขึ้นมาใช้เอง แต่การยอมรับ หลักกฎหมายทั่วไปของศาลเป็นการนําเอาความเชื่อ ความเห็นของส่วนรวมอันเป็นหลักการ พื้นฐานของระบบการเมืองการปกครองและรากฐานของระบบกฎหมายในสังคมนั้น ๆ มาพัฒนา เป็นหลักกฎหมายทั่วไปเพื่อใช้บังคับกับคดีที่เกิดขึ้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ศาลเป็นผู้นํา หลักอันเป็นนามธรรมมาใช้เป็นหลักที่เป็นรูปธรรมนั่นเอง

11. ข้อใดเป็นรูปแบบของการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(1) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญที่กําหนดไว้สําหรับการนั้น
(2) ไม่สุจริต
(3) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 110 – 112 รูปแบบของการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีดังนี้
1. การกระทําที่ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
2. การกระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญที่กําหนดไว้ สําหรับการนั้น
3. การกระทําที่ไม่สุจริต
4. การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
5. การกระทําที่เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
6. การกระทําที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

12. กรณีการเลือกรับเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาของรัฐ โดยอาศัยจํานวนเงินบริจาคเป็นเกณฑ์ เป็นการกระทํา ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในรูปแบบใด
(1) การไม่สุจริต
(2) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(3) เป็นการไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(4) เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
(5) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น
ตอบ 2 หน้า 112 การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เป็นกรณีของการปฏิบัติที่ขัดต่อ หลักความเสมอภาค มีความลําเอียง มีอคติหรือใช้ความแตกต่างกันในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ภาษา เพศ สภาพร่างกาย หรือความคิดเห็นทางการเมืองมาเป็นเกณฑ์ ในการปฏิบัติที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน เช่น
– กรณีการเลือกรับเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาของรัฐ โดยอาศัยจํานวนเงินบริจาคเป็นเกณฑ์
– กรณีของการจัดซื้อจัดจ้าง
– การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งอนุมัติให้ทําสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับผู้เสนอราคารายหนึ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน

13. กรณีที่หน่วยงานของรัฐออกระเบียบให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการในสถานที่ราชการต้องแต่งกายสุภาพ ด้วยการใส่สูทและผูกเนคไท เป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในรูปแบบใด
(1) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(2) เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
(3) เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(4) เป็นการนอกเหนืออํานาจ
(5) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้
ตอบ 2 หน้า 112 กรณีที่หน่วยงานของรัฐออกระเบียบให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการในสถานที่ราชการ ต้องแต่งกายสุภาพนั้น ไม่ถือเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ถ้าหน่วยงานของรัฐ ออกระเบียบให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการดังกล่าวต้องใส่สูทและผูกเนคไทด้วย ระเบียบดังกล่าว ย่อมเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควรซึ่งถือเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

14. ข้อใดเป็นการกระทําที่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(1) การปฏิบัติที่ใช้ความแตกต่างกันในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนามาเป็นเกณฑ์ ในการปฏิบัติที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน
(2) การปฏิบัติที่ใช้ความแตกต่างกันในเรื่องภาษา เพศ สภาพร่างกายมาเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติ ที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน
(3) การปฏิบัติที่ใช้ความแตกต่างกันในเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองมาเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติที่แตกต่างกันแก่บุคคลในฐานะและข้อเท็จจริงเดียวกัน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

15. การที่หน่วยงานของรัฐออกระเบียบกําหนดให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการต้องแต่งกายสุภาพ เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
(1) เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นให้เกิดกับ
ประชาชนเกินควร
(2) เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นการสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินควร
(3) เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นการกระทําที่ไม่มีอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ไม่เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

16. กรณีการลงโทษทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงแก่ข้าราชการ ซึ่งผู้บังคับบัญชาสามารถเลือกได้ว่าจะลงโทษ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน แต่ผู้บังคับบัญชากลับเลือกโทษที่สูงที่สุด เพราะมีอคติต่อ ข้าราชการผู้นั้น เป็นรูปแบบการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในลักษณะใด
(1) เป็นการกระทําที่ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(2) เป็นการกระทําที่ไม่สุจริต
(3) เป็นการกระทําที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(4) เป็นการกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(5) เป็นการกระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น
ตอบ 3 หน้า 112 – 113 การกระทําที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ อาจเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ ของรัฐมีอํานาจดุลพินิจ (Discretionary Power) ตามที่กฎหมายได้บัญญัติให้อํานาจไว้ แต่ใช้ อํานาจดุลพินิจนั้นไปในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่มีเหตุอันสมควร เช่น กรณีการลงโทษ ทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงแก่ข้าราชการ ซึ่งผู้บังคับบัญชาสามารถเลือกได้ว่าจะลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน แต่ผู้บังคับบัญชากลับเลือกโทษที่สูงที่สุด เพราะมีอคติต่อ ข้าราชการผู้นั้น เป็นต้น

17. “บังคับให้องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกําหนดมาตรการที่สามารถดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ให้อํานาจได้จริงในการปฏิบัติ แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อความเสียหายแก่ประชาชนน้อยที่สุด”
ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
(1) หลักความได้สัดส่วน
(2) หลักความเสมอภาค
(3) หลักความเป็นกลาง
(4) หลักการฟังความอีกฝ่ายหนึ่ง
(5) หลักเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครอง
ตอบ 1 หน้า 117 หลักความได้สัดส่วน เป็นหลักการที่บังคับให้องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกําหนดมาตรการที่สามารถดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ให้อํานาจได้จริงในการปฏิบัติแต่ในขณะเดียวกันก็ก่อความเสียหายแก่ประชาชนน้อยที่สุด และห้ามมิให้ฝ่ายปกครองออกมาตรการใด ๆ ซึ่งหากได้ลงมือบังคับใช้แล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่มหาชนน้อยมาก ไม่คุ้มกับความเสียหายที่จะตกแก่ประชาชนและสังคมโดยส่วนรวม

ตั้งแต่ข้อ 18. – 21. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) หลักความได้สัดส่วน
(2) หลักความเสมอภาค
(3) หลักความเป็นกลาง
(4) หลักการฟังความอีกฝ่ายหนึ่ง
(5) หลักเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครอง

18.“เป็นอํานาจพิเศษของฝ่ายปกครองที่มีเหนือเอกชน ใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดทําบริการสาธารณะ”ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 5 หน้า 127 หลักเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครอง เป็นเครื่องมือทางกฎหมายมหาชนที่กําหนดให้นิติบุคคลซึ่งจัดทําหรือกํากับดูแลการจัดทําบริการสาธารณะมีอํานาจพิเศษที่แตกต่างไปจากวิธีการทางกฎหมายเอกชน ซึ่งเรียกกันว่า อํานาจพิเศษของฝ่ายปกครอง หรือเอกสิทธิ์ของ ฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นอํานาจฝ่ายเดียวของฝ่ายปกครองที่มีเหนือเอกชน ใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดทําบริการสาธารณะ

19. “ความเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของผู้มีอํานาจทําการพิจารณาเพื่อออกคําสั่งทางปกครองหรือลงมติใด ๆเป็นหลักประกันความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยมีเหตุผลรองรับความเชื่อมั่น ในกระบวนการพิจารณาและวินิจฉัยทางปกครอง” ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตาม
หลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 3 หน้า 122 – 123 หลักความเป็นกลาง หรือความเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของผู้มีอํานาจทําการ พิจารณาเพื่อออกคําสั่งทางปกครองหรือลงมติใด ๆ เป็นหลักประกันความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยมีเหตุผลรองรับความเชื่อมั่นในกระบวนการพิจารณาและ วินิจฉัยทางปกครอง

20. “บุคคลทุกคนที่อยู่ในสถานะเท่าเทียมกันที่จะได้รับหรือได้ใช้บริการสาธารณะอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จะต้องได้รับการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน หรือการไม่เลือกปฏิบัตินั่นเอง” ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทาง ปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 2 หน้า 118 เกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์ อธิบายว่า ในระบบกฎหมายของฝรั่งเศส หลักความ เสมอภาคปรากฏเป็นที่ยอมรับและผูกพันองค์กรของรัฐในอันที่จะต้องเคารพและปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ กล่าวโดยเฉพาะในเรื่องความเสมอภาคในการได้รับบริการสาธารณะแล้ว ย่อมหมายความว่า บุคคลทุกคนที่อยู่ในสถานะเท่าเทียมกันที่จะได้รับหรือได้ใช้บริการสาธารณะ อย่างหนึ่งอย่างใดแล้วจะต้องได้รับการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน หรือ “การไม่เลือกปฏิบัติ” นั่นเอง

21. “เป็นหลักการที่ให้สิทธิแก่บุคคลที่จะปกป้องนิติฐานะของตนจากการใช้อํานาจออกคําวินิจฉัยสั่งการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง” ข้อความนี้ตรงกับการวางแนวทางปฏิบัติราชการตามหลักกฎหมายทั่วไปหลักใด
ตอบ 4 หน้า 123 หลักการฟังความอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นหลักการที่ให้สิทธิแก่บุคคลที่จะปกป้องนิติฐานะของตนจากการใช้อํานาจออกคําวินิจฉัยสั่งการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยผลบังคับของหลักการนี้มีอยู่ว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะตัดสินใจใช้อํานาจออกคําวินิจฉัยสั่งการที่อาจจะมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือประโยชน์อันชอบธรรมของบุคคลใด เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะต้องแจ้งข้อเท็จจริงที่ตนจะใช้เป็นเหตุผลในการออกคําวินิจฉัยสั่งการให้บุคคลนั้นทราบและ ให้เขามีโอกาสโต้แย้งข้อเท็จจริงนั้นและแสดงพยานหลักฐานสนับสนุนข้อโค้งแย้งของตน

22. “เป็นหลักเกณฑ์ที่ช่วยให้การจัดทําบริการสาธารณะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของฝ่ายปกครองหรือมีประสิทธิภาพสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายให้ประชาชนอยู่อย่างเป็นสุขและอยู่ดีกินดี” ข้อความนี้ตรงกับหลักเกณฑ์สําคัญในการจัดทําบริการสาธารณะหลักใด
(1) หลักความเป็นกลางของบริการสาธารณะ
(2) หลักการให้เปล่าของบริการสาธารณะ
(3) หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ
(4) หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 152 – 153 หลักเกณฑ์สําคัญในการจัดทําบริการสาธารณะ เป็นหลักเกณฑ์ที่ช่วยให้ การจัดทําบริการสาธารณะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของฝ่ายปกครองหรือมีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายให้ประชาชนอยู่อย่างเป็นสุขและอยู่ดีกินดี ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วย
1. หลักความเป็นกลางของบริการสาธารณะ
2. หลักการให้เปล่าของบริการสาธารณะ
3. หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ
4. หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
5. หลักเฉพาะที่แท้จริงของกฎหมายเกี่ยวกับบริการสาธารณะ

23. “ฝ่ายปกครองหรือหน่วยงานที่จัดทําบริการสาธารณะไม่ว่าจะเป็นการจัดบริการสาธารณะประเภทใด จําเป็น ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก มีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบได้”
ข้อความนี้ตรงกับหลักเกณฑ์สําคัญในการจัดทําบริการสาธารณะหลักใด
(1) หลักความเป็นกลางของบริการสาธารณะ
(2) หลักการให้เปล่าของบริการสาธารณะ
(3) หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ
(4) หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
(5) หลักเฉพาะที่แท้จริงของกฎหมายเกี่ยวกับบริการสาธารณะ
ตอบ 3 หน้า 153 หลักความโปร่งใสของบริการสาธารณะ หมายถึง ฝ่ายปกครองหรือหน่วยงาน ที่จัดทําบริการสาธารณะไม่ว่าจะเป็นการจัดบริการสาธารณะประเภทใด จําเป็นต้องมีการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก และมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบได้

24. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะของฝ่ายปกครอง
(1) การได้มาซึ่งทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่ง
(2) การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยการเวนคืนเพื่อประโยชน์สาธารณะ
(3) การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยวิธีการยึด
(4) การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยการโอนกิจการเป็นของรัฐ
(5) ไม่มีข้อใดผิด
ตอบ 5 หน้า 40 การได้มาซึ่งทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะของฝ่ายปกครองมี 2 วิธี คือ
1. การได้มาซึ่งทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่ง
2. การได้มาซึ่งทรัพย์สินด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งมี 3 กรณี คือ การเวนคืนเพื่อประโยชน์สาธารณะ การโอนกิจการเป็นของรัฐ และด้วยวิธีการยึด

25. ข้อใดเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดทําบริการสาธารณะ
(1) มาตรการทางกฎหมาย
(2) อํานาจพิเศษของฝ่ายปกครอง
(3) บุคลากรของรัฐ
(4) ทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 40 ฝ่ายปกครองมีเครื่องมือที่ใช้ในการจัดทําบริการสาธารณะ 4 ประการ คือ
1. มาตรการทางกฎหมาย
2. บุคลากรของรัฐ
3. ทรัพย์สินในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะ
4. อํานาจพิเศษของฝ่ายปกครอง

26. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับหลักนิติรัฐ
(1) นิติรัฐเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย
(2) การกระทําทั้งหลายขององค์กรรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร
(3) กฎหมายที่องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติตราขึ้นต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
(4) ข้อ 1 และ 2 ผิด
(5) ไม่มีข้อใดผิด
ตอบ 4 หน้า 42, (คําบรรยาย) การกล่าวว่านิติรัฐเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฎหมายอาจจะนําไปสู่ความ เข้าใจผิดได้เพราะเป็นการมองแบบแคบ ๆ โดยในทางเนื้อหานั้น คือ เป็นนิติรัฐที่เป็นเสรีนิยม คํานึงถึงความยุติธรรม ส่วนรัฐที่สนใจแต่เพียงกฎหมายในทางรูปแบบ ฝ่ายปกครองจะผูกพันตน ต่อกฎหมาย ไม่สนใจว่ากฎหมายนั้นจะถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ (ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ)

27. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้อํานาจโดยองค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ
(2) กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดให้องค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐมีอํานาจมหาชนที่จะกําหนดกฎเกณฑ์หรือออกคําสั่งให้เอกชนต้องปฏิบัติตามได้ โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยความสมัครใจ
หรือความยินยอมจากเอกชน
(3) กฎหมายปกครองที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐในทางบริหาร ใช้หลักการกระจายอํานาจ โดยกําหนด ให้มีองค์กรในรูปแบบส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 64 – 65 ชาญชัย แสวงศักดิ์ อธิบายว่า กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหาแยกได้เป็น 3 ส่วน คือ
1. กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐและบุคลากรของรัฐในทาง บริหาร ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการบริหารรัฐกิจหรือรัฐประศาสนศาสตร์และการบริหารงาน บุคคลภาครัฐ เช่น กฎหมายปกครองที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐในทางบริหารโดยใช้ หลักการรวมอํานาจ โดยกําหนดให้มีองค์กรในรูปแบบส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม
2. กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดให้องค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐมีอํานาจมหาชนที่จะกําหนดกฎเกณฑ์หรือออกคําสั่งให้เอกชนต้องปฏิบัติตามได้ โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยความสมัครใจหรือความยินยอมจากเอกชน
3. กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กําหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้อํานาจ โดยองค์กรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ

28. ข้อใดเป็นการกระทําทางปกครอง
(1) การที่รัฐมีมาตรการต่าง ๆ มีคําสั่งหรือวางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ทําให้ประชาชนผู้รับคําสั่ง ต้องปฏิบัติตาม
(2) การที่รัฐให้ทุนการศึกษา ซึ่งถือเป็นคุณประโยชน์แก่ประชาชน
(3) การที่รัฐตัดถนน สร้างสนามบิน คลองส่งน้ํา
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ทุกข้อเป็นการกระทําทางปกครอง
ตอบ 5 หน้า 74 กมลชัย รัตนสกาววงศ์ อธิบายว่า การกระทําทางปกครอง คือ
1. การกระทําที่รัฐเข้าไปกระทบสิทธิเสรีภาพและทรัพย์สินของประชาชน เช่น มีมาตรการต่าง ๆ มีคําสั่งหรือวางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคม ทําให้ประชาชนผู้รับคําสั่งนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตาม
2. มีการกระทําบางอย่างที่ให้คุณประโยชน์แก่ประชาชน เช่น การให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบ อุบัติเหตุ ให้ทุนการศึกษา หรือให้เงินเพื่อการศึกษา เป็นต้น
3. การกระทําทางปกครองในลักษณะการวางแผน เช่น การตัดถนน สร้างสนามบิน คลองส่งน้ํา สร้างทางด่วน ซึ่งมีลักษณะเป็นทั้งการกระทบสิทธิและให้คุณประโยชน์แก่ประชาชน

29. ข้อใดไม่เป็นการกระทําทางปกครอง
(1) การที่สภาทนายความออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพว่าความ
(2) การที่เจ้าหน้าที่มีคําสั่งไม่อนุญาตตามคําขอ
(3) การที่แพทยสภาออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพแพทย์
(4) เฉพาะข้อ 1 และ 3 ที่ไม่เป็นการกระทําทางปกครอง
(5) ไม่มี เพราะทุกข้อเป็นการกระทําทางปกครอง
ตอบ 5 หน้า 74 – 75 มานิตย์ จุมปา อธิบายว่า การกระทําทางปกครอง หมายถึง
1. การกระทําของรัฐที่ไม่ใช่การกระทําทางนิติบัญญัติ การกระทําทางตุลาการหรือการกระทํา ทางรัฐบาล และ
2. การกระทําของรัฐนั้นมีลักษณะของการกระทําที่กําหนด ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน หรือระงับ ซึ่งสิทธิและหน้าที่ของประชาชน ตัวอย่างการกระทําทางปกครอง เช่น
– การที่เจ้าหน้าที่มีคําสั่งไม่อนุญาตตามคําขอ
– การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
-การที่แพทยสภาออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพแพทย์
-การที่สภาทนายความออกคําสั่งเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพว่าความ

30. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะการกระทําทางปกครอง
(1) การกระทําทางปกครองเป็นการกระทําของรัฐ ไม่ใช่การกระทําของเอกชน
(2) การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารประเภทองค์กรฝ่ายปกครอง
(3) การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติหรือองค์กรฝ่ายตุลาการ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 75 นัยนา เกิดวิชัย อธิบายว่า การกระทําทางปกครองมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. การกระทําทางปกครองเป็นการกระทําของรัฐ ไม่ใช่การกระทําของเอกชน
2. การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารไม่ใช่องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติหรือองค์กรฝ่ายตุลาการ
3. การกระทําทางปกครองต้องเป็นการกระทําของรัฐที่กระทําโดยองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารประเภทองค์กรฝ่ายปกครอง
4. มีลักษณะเป็นการกําหนดสิทธิหน้าที่ของประชาชน ให้เปลี่ยนแปลงหรือระงับซึ่งสิทธิ

31. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับและทราบเหตุผลของฝ่ายปกครอง
(2) สิทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ว
(3) สิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
(4) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 102 – 104 สิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง มีดังนี้
1. สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิ
2. สิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
3. สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร
4. สิทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ว และรับแจ้งสิทธิหน้าที่
5. สิทธิได้รับและรับทราบเหตุผลของฝ่ายปกครอง
6. สิทธิได้รับทราบถึงแนวทางหรือวิธีการโต้แย้งคําสั่งทางปกครอง

32. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับและทราบเหตุผลของฝ่ายปกครอง
(2) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิทุกกรณี
(3) สิทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ว
(4) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร
(5) สิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
ตอบ 2 หน้า 102 – 103 ในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครองได้กําหนดให้คู่กรณีมีสิทธิได้รับแจ้ง ผลกระทบต่อสิทธิ แต่ไม่ทุกกรณี กล่าวคือ ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองอาจจะกระทบถึง สิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน แต่มิให้นํามาใช้บังคับในกรณีดังต่อไปนี้
1. เมื่อมีความจําเป็นรีบด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
2. เมื่อจะมีผลทําให้ระยะเวลาที่กฎหมายหรือกฎกําหนดไว้ในการทําคําสั่งทางปกครองต้อง ล่าช้าออกไป
3. เมื่อเป็นมาตรการบังคับทางปกครอง ฯลฯ (ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ)

33. ข้อใดผิดเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิทุกกรณี
(2) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสารแม้ยังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(3) เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็นกรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ
(4) ผิดเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ผิดเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 103 ในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครองได้กําหนดให้คู่กรณีมีสิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริง หรือตรวจดูเอกสารได้ โดยคู่กรณีมีสิทธิตรวจดูเอกสารที่จําเป็นต้องรู้เพื่อการโต้แย้งหรือชี้แจง หรือป้องกันสิทธิของตนได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น คู่กรณีก็ไม่มีสิทธิ ตรวจดูเอกสาร และเจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็น กรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ (ดูคําอธิบายข้อ 31. และ 32. ประกอบ)

34. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิทุกกรณี
(2) สิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสารแม้ยังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(3) เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็นกรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ
(4) ผิดเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ผิดเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 31. – 33. ประกอบ

35. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของคู่กรณีในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครอง
(1) คู่กรณีไม่มีสิทธิที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงหรือตรวจดูเอกสาร ถ้ายังไม่ได้ทําคําสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(2) เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานได้ ถ้าเป็นกรณีต้องรักษาไว้เป็นความลับ
(3) คู่กรณีมีสิทธินําทนายหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครองได้
(4) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 103 ในกฎหมายวิธีพิจารณาทางปกครองได้กําหนดให้คู่กรณีมีสิทธิที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายได้ กล่าวคือ ในการพิจารณาทางปกครองที่คู่กรณีต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหน้าที่คู่กรณีมีสิทธินําทนายความหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครองได้ ซึ่งการใด ที่ทนายความหรือที่ปรึกษาได้ทําลงต่อหน้าคู่กรณีให้ถือว่าเป็นการกระทําของคู่กรณี เว้นแต่คู่กรณีจะได้คัดค้านเสียแต่ในขณะนั้น (ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ)

36. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับหลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(1) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังไม่ได้
(2) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะมีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังก็ได้แต่ให้มีผลในอนาคตไม่ได้
(3) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะมีผลย้อนหลัง หรือไม่ย้อนหลังก็ได้ แต่ให้มีผลในอนาคตไม่ได้
(4) หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดได้
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 หน้า 114 หลักในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีดังนี้
1. การเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่เป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนโดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดได้
2. การเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่เป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครอง เจ้าหน้าที่ หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดได้แต่กฎหมายก็อาจจะต้องไม่เพิกถอนคําสั่งทางปกครองย้อนหลังลบล้างคําสั่งนั้น แต่หาก จําเป็นต้องเพิกถอนให้มีผลย้อนหลังก็จะต้องกําหนดวิธีการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น

37. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับข้อยกเว้นของผู้รับคําสั่งทางปกครองที่จะอ้างความเชื่อโดยสุจริตไม่ได้
(1) บุคคลผู้มีพฤติกรรมได้ให้ข้อความซึ่งไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนในสาระสําคัญต้องรับผิดคืนประโยชน์ที่ได้รับเต็มจํานวน
(2) บุคคลผู้มีพฤติกรรมแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
(3) บุคคลผู้มีพฤติกรรมข่มขู่ หรือชักจูงใจ โดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มิชอบด้วยกฎหมาย
(4) บุคคลผู้มีพฤติกรรมรู้ถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของกฎหรือคําสั่งทางปกครองในขณะที่ได้รับคําสั่ง ทางปกครอง หรือการไม่รู้นั้นเป็นไปโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 115 ในกรณีดังต่อไปนี้ผู้รับคําสั่งทางปกครองจะอ้างความเชื่อโดยสุจริตไม่ได้ และจะต้อง
รับผิดคืนประโยชน์ที่ได้รับเต็มจํานวน
1. แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง หรือข่มขู่ หรือชักจูงใจ โดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มิชอบด้วยกฎหมาย
2. ได้ให้ข้อความซึ่งไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนในสาระสําคัญ
3. รู้ถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของกฎหรือคําสั่งทางปกครองในขณะที่ได้รับคําสั่งทางปกครอง
หรือการไม่รู้นั้นเป็นไปโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

38. ข้อใดเป็นคําสั่งทางปกครอง
(1) คําสั่งรับหรือไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
(2) คําสั่งของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
(3) คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านในสวัสดิการของข้าราชการ
(4) คําสั่งเลื่อนขั้นในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 100 – 101 ฤทัย หงส์สิริ อธิบายว่า ที่เรียกเป็นภาษากฎหมายว่า “คําสั่งทางปกครอง” มีตัวอย่างพอสรุปได้ดังนี้
1. คําสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการต่าง ๆ เช่น คําสั่งไม่ออกใบอนุญาตให้ ประกอบกิจการโรงงาน สถานบริการ เป็นต้น
2. คําสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ก่อสร้าง ดัดแปลงอาคาร หรือให้รื้อถอนอาคารที่มีลักษณะ เป็นอันตรายต่อสาธารณชนตามกฎหมายควบคุมอาคาร
3. คําสั่งของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
4. คําสั่งรับหรือไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
5. คําสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเป็นการส่วนตัว เช่น คําสั่งที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ เช่น คําสั่งแต่งตั้ง เลื่อนขั้นตําแหน่ง คําสั่งลงโทษทางวินัย คําสั่งพักราชการในระหว่างสอบสวนทางวินัย เป็นต้น คําสั่งเกี่ยวกับสวัสดิการของข้าราชการ เช่น คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้าน ค่ารักษา พยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น

39. ข้อใดเป็นคําสั่งทางปกครอง
(1) คําสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ก่อสร้าง ดัดแปลงอาคาร หรือให้รื้อถอนอาคารที่มีลักษณะเป็นอันตรายต่อสาธารณชนตามกฎหมายควบคุมอาคาร
(2) คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่ารักษาพยาบาล
(3) คําสั่งไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้าน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

40. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยหลักกฎหมายและกําหนดให้เป็นผู้มีอํานาจในการออกคําสั่งทางปกครองสามารถริเริ่มใช้อํานาจในการออกคําสั่งได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีผู้มาร้องขอ
(2) เจ้าหน้าที่จะริเริ่มออกคําสั่งทางปกครองได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชนหรือเอกชนมาร้องขอเสียก่อน
จึงดําเนินการได้
(3) ผู้บังคับบัญชาพบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทําผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการลงโทษทางวินัยได้ทันที โดยไม่ต้องมีผู้ใดมาร้องเรียนกล่าวโทษ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 101 โดยหลักแล้วเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยหลักกฎหมายและกําหนดให้เป็นผู้มีอํานาจในการออกคําสั่งทางปกครอง สามารถริเริ่มใช้อํานาจในการออกคําสั่งได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีผู้มาร้องขอ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีกฎหมายกําหนดอํานาจหน้าที่ให้อยู่แล้ว เช่น กรณี ผู้บังคับบัญชาพบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทําผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการลงโทษทางวินัย ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีผู้ใดมาร้องเรียนกล่าวโทษ แต่ในบางกรณีเจ้าหน้าที่จะริเริ่มออกคําสั่งทาง ปกครองได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชนหรือเอกชนมาร้องขอเสียก่อนจึงดําเนินการได้ เช่น ในเรื่องของ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับจดทะเบียน การรับรอง การอนุมัติ การออกใบอนุญาตต่าง ๆ เช่น ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ใบอนุญาตจัดตั้งสถานบริการ เป็นต้น

41. คําสั่งทางปกครองที่ทําเป็นหนังสือและยืนยันคําสั่งทางปกครองเป็นหนังสือต้องให้มีเหตุผลไว้ด้วยโดยอย่างน้อยต้องมีองค์ประกอบใดเป็นเหตุผลบ้าง
(1) ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญ
(2) ข้อกฎหมายที่อ้างอิง
(3) ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 103 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 3 กําหนดว่า คําสั่งทางปกครองที่ทําเป็นหนังสือและยืนยันคําสั่งทางปกครองเป็นหนังสือต้องจัดให้มีเหตุผลไว้ด้วย และเหตุผลนั้นอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
1. ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญ
2. ข้อกฎหมายที่อ้างอิง
3. ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ

42. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) คําสั่งทางปกครองจะต้องทําเป็นหนังสือเท่านั้น
(2) คําสั่งทางปกครองจะทําด้วยวาจาได้
(3) คําสั่งทางปกครองจะทําเป็นรูปแบบอื่นก็ได้ นอกเหนือจากเป็นหนังสือ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 104 คําสั่งทางปกครองจะทําเป็นหนังสือ หรือทําด้วยวาจา หรือโดยรูปแบบอื่นก็ได้ กฎหมายบางฉบับระบุไว้ชัดเจนว่าต้องทําคําสั่งในเรื่องนั้นเป็นหนังสือ แต่ถ้ากฎหมายไม่ระบุไว้ เจ้าหน้าที่ย่อมมีสิทธิจะเลือกทําคําสั่งในรูปแบบใดก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจอันเป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่นั้นเอง โดยต้องพิจารณาจากความเร่งด่วนและความจําเป็นของ สถานการณ์เป็นสําคัญ

43. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรูปแบบคําสั่งทางปกครอง
(1) คําสั่งทางปกครองที่กฎหมายกําหนดให้ทําเป็นหนังสือ หากไม่ทํา คําสั่งนั้นย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลทางกฎหมาย
(2) คําสั่งทางปกครองที่สั่งด้วยวาจา ถ้าผู้รับคําสั่งร้องขอ และการร้องขอได้กระทําโดยมีเหตุอันควร ต้องกระทําภายใน 14 วันนับแต่วันที่ทําคําสั่ง
(3) คําสั่งทางปกครองที่สื่อความหมายในรูปแบบอื่น ต้องมีข้อความหรือความหมายที่ชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจได้
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 104 – 105 คําสั่งทางปกครองที่กฎหมายกําหนดให้ทําเป็นหนังสือ หากไม่ทําเป็นหนังสือ ย่อมขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน และคําสั่งนั้นย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลทางกฎหมาย ส่วนคําสั่ง ทางปกครองที่สั่งด้วยวาจา ถ้าผู้รับคําสั่งนั้นร้องขอ และการร้องขอได้กระทําโดยมีเหตุอันสมควร ต้องกระทําภายใน 7 วันนับแต่วันที่ทําคําสั่ง และคําสั่งทางปกครองที่สื่อความหมายในรูปแบบอื่น ต้องมีข้อความหรือความหมายที่ชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจได้

44. ข้อใดผิด
(1) คําสั่งทางปกครองที่สั่งด้วยวาจา ถ้าผู้รับคําสั่งร้องขอ และการร้องขอได้กระทําโดยมีเหตุอันควร ต้องกระทําภายใน 7 วันนับแต่วันที่ทําคําสั่ง
(2) คําสั่งทางปกครองเริ่มมีผลบังคับทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่ออกคําสั่ง
(3) คําสั่งทางปกครองที่กฎหมายกําหนดให้ทําเป็นหนังสือ หากไม่ทํา คําสั่งนั้นย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลทางกฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ผิด
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 106 คําสั่งทางปกครองเริ่มมีผลบังคับเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ออกคําสั่งนั้นได้แจ้งคําสั่งทางปกครองนั้นแก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองให้ทราบ และมีผลบังคับตราบเท่าที่ยังไม่มีการยกเลิกหรือ เพิกถอน หรือสิ้นผลโดยเงื่อนไขของระยะเวลาหรือโดยเหตุอื่น (ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ)

45. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะของประโยชน์สาธารณะ
(1) ประโยชน์สาธารณะ คือ การดําเนินการของรัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม มิใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ดําเนินการนั้นเอง
(2) เรื่องใดที่ผ่านการพิจารณาและเห็นชอบของรัฐบาลแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนด้วย ดังนั้นหากรัฐบาลได้ตรากฎหมายให้รัฐหรือหน่วยงานของรัฐมีอํานาจดําเนินการ ในเรื่องใด เรื่องนั้นก็คือความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือเป็นประโยชน์สาธารณะ
(3) ประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดําเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของ สังคม จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจเลือกว่าจะกระทําหรือไม่กระทําได้
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 144 – 145 ลักษณะของประโยชน์สาธารณะ สามารถแยกได้เป็น 3 ประการ ดังนี้
1. ประโยชน์สาธารณะ คือ การดําเนินการของรัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ ในสังคม มิใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ดําเนินการนั้นเอง
2. ในระบอบประชาธิปไตยเรื่องใดที่ผ่านการพิจารณาและเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนด้วย ดังนั้นหากรัฐสภาได้ตรากฎหมายให้รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐมีอํานาจดําเนินการในเรื่องใด เรื่องนั้นก็คือความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือเป็นประโยชน์สาธารณะ
3. ประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดําเนินการเพื่อตอบสนองความ ต้องการของสังคม จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจเลือกว่าจะกระทําหรือไม่กระทําได้

ตั้งแต่ข้อ 46. – 50. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาเหตุความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ของกฎหรือคําสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา (1)
(1) ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(2) ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้สําหรับการนั้น
(3) ไม่สุจริต
(4) การกระทําที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
(5) การใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

46. เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอํานาจแบบ Discretionary Power ตามที่กฎหมายได้บัญญัติให้อํานาจไว้ แต่ใช้อํานาจ Discretionary Power ไปในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่มีเหตุอันสมควร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

47. กรณีของการจัดซื้อจัดจ้าง การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งอนุมัติให้ทําสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับผู้เสนอราคารายหนึ่ง มีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

48. เป็นการกระทําที่เป็นการบิดเบือนการใช้อํานาจ (Abuse of Power) โดยมีเจตนาหรือวัตถุประสงค์ นอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ที่กฎหมายให้อํานาจในเรื่องดังกล่าวไว้ ไม่ว่าจะมีเจตนากลั่นแกล้งผู้อื่น หรือเจตนาทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือของบุคคลอื่น
ตอบ 3 หน้า 111 การกระทําที่ไม่สุจริต เป็นการกระทําที่เป็นการบิดเบือนการใช้อํานาจ (Abuse of Power) โดยมีเจตนาหรือวัตถุประสงค์นอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ที่กฎหมายให้อํานาจ ในเรื่องดังกล่าวไว้ ไม่ว่าจะมีเจตนากลั่นแกล้งผู้อื่น หรือเจตนาทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือของบุคคลอื่น

49. การออกกฎหรือคําสั่งทางปกครองโดยมิได้ผ่านความเห็นชอบขององค์กรที่กฎหมายกําหนดให้ต้องให้ ความเห็นชอบก่อน หรือการออกคําสั่งลงโทษหรือคําสั่งที่มีผลกระทบต่อสิทธิของคู่กรณี โดยไม่ให้โอกาสบุคคลนั้นได้ทราบถึงข้อเท็จจริงและใช้สิทธิโต้แย้งแสดงหลักฐานอย่างเพียงพอ
ตอบ 2 หน้า 111 การกระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญกําหนดไว้ สําหรับการนั้น คือ การออกกฎหรือคําสั่งทางปกครองโดยมิได้ผ่านความเห็นชอบขององค์กรที่ กฎหมายกําหนดให้ต้องให้ความเห็นชอบก่อน หรือการออกคําสั่งลงโทษหรือคําสั่งที่มีผลกระทบต่อสิทธิของคู่กรณี โดยไม่ให้โอกาสบุคคลนั้นได้ทราบถึงข้อเท็จจริงและใช้สิทธิโต้แย้งแสดงหลักฐานอย่างเพียงพอ

50. ผู้กระทํามิใช่เจ้าหน้าที่ที่กฎหมายให้อํานาจไว้ หรือกฎหมายมิได้ให้อํานาจเจ้าหน้าที่ในการกระทําเช่นนั้นไว้
ตอบ 1 หน้า 110 การกระทําที่ไม่มีอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้กระทํามิใช่เจ้าหน้าที่ที่กฎหมายให้อํานาจไว้ หรือกฎหมายมิได้ให้อํานาจเจ้าหน้าที่ในการกระทํา เช่นนั้นไว้ตามหลักทั่วไปของกฎหมายปกครองที่ว่า “ไม่มีอํานาจหากไม่มีกฎหมาย”

51. ฐานรากสําคัญของหลักการบริหารปกครองที่ดีคือข้อใด
(1) การยกระดับจริยธรรม
(2) การทําให้เกิดการยอมรับ
(3) การเชื่อมโยงเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารงานภาครัฐทั้งหมด
(4) การปฏิบัติตามกฎหมาย
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 169 – 170, (คําบรรยาย) การเชื่อมโยงเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารงานภาครัฐทั้งหมด ถือเป็นฐานรากสําคัญที่ทําให้เกิดการบริหารปกครองที่ดีหรือธรรมาภิบาล (Good Governance)อันประกอบไปด้วยหลักการสําคัญ 6 ประการ คือ
1. หลักนิติธรรม
2. หลักคุณธรรม
3. หลักความโปร่งใส
4. หลักการมีส่วนร่วม
5. หลักความสํานึกรับผิดชอบ
6. หลักความคุ้มค่า

52. การพัฒนาการบริหารงานภาครัฐสิงคโปร์สามารถเทียบเคียงกับการมีธรรมาภิบาลได้อย่างไร
(1) มีการปรับระเบียบกฎหมายให้ตัวแสดงภาคส่วนอื่นมีบทบาทในงานบริการสาธารณะ
(2) มีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลทุกกิจกรรมทําให้ตรวจสอบการทํางานของรัฐได้ตลอด
(3) มีการสร้างช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมทุกระดับ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การพัฒนาการบริหารงานภาครัฐสิงคโปร์สามารถเทียบเคียงกับการมีธรรมาภิบาล ได้ดังนี้
1. มีการปรับระเบียบกฎหมายให้ตัวแสดงภาคส่วนอื่นมีบทบาทในงานบริการสาธารณะ
2. มีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลทุกกิจกรรมทําให้ตรวจสอบการทํางานของรัฐได้ตลอด
3. มีการสร้างช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมทุกระดับ ฯลฯ

53. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของรัฐที่สอดคล้องกับแนวคิดธรรมาภิบาล
(1) การปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเพื่อลดการควบคุมของรัฐลง
(2) การสร้างเครือข่ายการทํางานให้มากขึ้น
(3) การวิเคราะห์และแบ่งงานให้ชัดเจนเพื่อเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วม
(4) การติดตามควบคุมกํากับอย่างใกล้ชิด
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) บทบาทของรัฐที่สอดคล้องกับแนวคิดธรรมาภิบาล มีดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนกฎหมาย กฎระเบียบเพื่อลดการควบคุมของรัฐลง และให้อิสระแก่ตัวแสดงภาคส่วนอื่นในการดําเนินงานบริการสาธารณะมากขึ้น
2. การสร้างเครือข่ายการทํางานให้มากขึ้น เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและเอกชนเข้ามามี บทบาทในงานบริการสาธารณะมากขึ้น
3. การวิเคราะห์และแบ่งงานให้ชัดเจนเพื่อเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วม ฯลฯ

54. การบริหารรัฐกิจแบบเดิมต่างจากการบริหารแบบมีธรรมาภิบาลอย่างไร
(1) การบริหารรัฐกิจเน้นรัฐเป็นผู้ดําเนินการ
(2) การบริหารรัฐกิจไม่ต้องการการควบคุมกํากับทุกกระบวนการ
(3) การบริหารแบบมีธรรมาภิบาลต้องการตัวแสดงภาคส่วนอื่นเข้าร่วม
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การบริหารรัฐกิจแบบเดิมต่างจากการบริหารแบบมีธรรมาภิบาล คือ การบริหาร รัฐกิจแบบเดิมเน้นรัฐเป็นผู้ดําเนินการงานบริการสาธารณะเองทั้งหมด ส่วนการบริหารแบบมี ธรรมาภิบาลต้องการให้ตัวแสดงภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในงานบริการสาธารณะ

55. ประเด็นท้าทายของการยกระดับธรรมาภิบาลของไทยคือข้อใด
(1) การสร้างการมีส่วนร่วมในการบริการงานสาธารณะ
(2) การปรับปรุงกฎหมายที่ลดบทบาทของรัฐในงานสาธารณะ
(3) การเชื่อมโยงฐานข้อมูลการบริการของรัฐเพื่อการตรวจสอบ
(4) การลดดุลยพินิจในการปฏิบัติตามกฎหมาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ประเด็นท้าทายของการยกระดับธรรมาภิบาลของไทย มีดังนี้
1. การสร้างการมีส่วนร่วมในการบริการงานสาธารณะ
2. การปรับปรุงกฎหมายที่ลดบทบาทของรัฐในงานสาธารณะ
3. การเชื่อมโยงฐานข้อมูลการบริการของรัฐเพื่อการตรวจสอบ
4. การลดดุลยพินิจในการปฏิบัติตามกฎหมาย ฯลฯ

56. มุมมองต่อ “ปัจเจก” ของการมีส่วนร่วมตามแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย ไม่ใช่ข้อใด
(1) ปัจเจกมีความเป็นอิสระ
(2) ปัจเจกมีศีลธรรม
(3) ปัจเจกมีความหลากหลาย
(4) ปัจเจกมีผลประโยชน์ของตัวเอง
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 หน้า 197, (คําบรรยาย) การมีส่วนร่วมในมุมมองเสรีนิยมประชาธิปไตย เชื่อในปัจเจกในฐานะ หน่วยที่เป็นอิสระที่สามารถกําหนดวิถีชีวิตและความหมายในการมีชีวิตของตัวเองได้ มุมมอง เสรีนิยมประชาธิปไตยอันมีแนวคิดที่มาจากประเทศทางตะวันตกมองการมีส่วนร่วมนั้นมีนัยยะของพหุวัฒนธรรมแฝงอยู่ในตัวของการมีส่วนร่วม ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงการมีส่วนร่วมในมุมมองนี้ย่อมหมายถึงปัจเจกและกลุ่มจํานวนมากที่มีความหลากหลายและมีความแตกต่างในผลประโยชน์ ที่ต้องการต่างกัน การเข้ามีส่วนในกิจกรรมสาธารณะซึ่งปัจเจกทุกคนหรือกลุ่มผลประโยชน์ได้รับผลกระทบจึงต้องมีความเป็นธรรมคือการแข่งขันที่ยุติธรรมกับทุกกลุ่ม การมีส่วนร่วมในมุมมองนี้จึงยอมรับการมีส่วนร่วมการเลือกตั้ง และเข้าไปมีส่วนร่วมในการกําหนดรัฐธรรมนูญ และการทําหน้าที่ของรัฐบาล

57. ข้อใดคือหลักการของความคุ้มค่า
(1) รับผิดชอบต่อสังคม
(2) ให้ข้อมูลกับประชาชน
(3) ตรวจสอบได้
(4) กติกาต้องถูกต้องเป็นธรรม
(5) จัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ตอบ 5 หน้า 169 หลักความคุ้มค่า คือ การจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะทรัพยากร ในแต่ละประเทศมีจํากัด และเป็นของส่วนรวม ขณะเดียวกันก็ต้องคํานึงถึงผลประโยชน์สูงสุด ในระยะยาวต่อสังคมและประเทศชาติ

58. ข้อใดคือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(1) WB
(2) IMF
(3) ICC
(4) WHO
(5) UN
ตอบ 2 (คําบรรยาย) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF (International Monetary Fund) คือ องค์การระหว่างประเทศที่อยู่ภายใต้องค์การสหประชาชาติ เป็นองค์การที่มีบทบาทสําคัญ ในการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ประเทศต่าง ๆ ที่ประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจการเงิน

59. สิทธิในข้อใดที่เป็นสิทธิในหลักธรรมาภิบาล
(1) สิทธิมนุษยชน
(2) สิทธิในการเลือกตั้ง
(3) สิทธิทางวัฒนธรรม
(4) สิทธิการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ธนาคารโลกมีการกําหนดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเด็น ทางการเมืองของประเทศผู้รับทุน ข้อห้ามนี้ทําให้ธนาคารโลกไม่พิจารณาเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่จะพิจารณาสิทธิทางด้านเศรษฐกิจ สิทธิทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหัวใจในการให้ ความช่วยเหลือของธนาคารโลก

60. ข้อใดไม่ใช่หลักการของธรรมาภิบาล
(1) โปร่งใส
(2) คุ้มค่า
(3) มีส่วนร่วม
(4) ประชาธิปไตย
(5) นิติธรรม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 61 – 65. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) กลไกตลาดกับกลไกรัฐมีพลังขับเคลื่อนต่างกันอาจเกิดปัญหาความร่วมมือ
(2) ศักยภาพของรัฐไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงบริบทสังคมได้
(3) การแสวงหาตัวแสดงจากหลายภาคส่วนให้มาร่วมมือกับรัฐ
(4) เป้าหมายไม่ชัดเจนเมื่อรัฐเปลี่ยนบทบาทไม่เป็นผู้กําหนดเป้าหมาย
(5) ไม่ต้องการให้รัฐมาเกี่ยวข้องแต่ต้องให้รัฐเปิดพื้นที่ให้เกิด

61. ปัญหาสําคัญของรูปแบบการบริหารปกครองรูปแบบโครงสร้างสายบังคับบัญชาคือข้อใด
ตอบ 2 หน้า 172 โครงสร้างแบบสายบังคับบัญชา เป็นโครงสร้างที่ใช้กฎหมายเป็นหลักสําคัญ ในการบริหารปกครอง โดยภาครัฐและเอกชนจะแยกบทบาทหน้าที่กันอย่างชัดเจน รัฐจะ เป็นศูนย์กลางของการดูแลผลประโยชน์สาธารณะและกําหนดให้เอกชนดําเนินการตามบทบาทที่กําาหนดโดยรัฐ ในโครงสร้างแบบนี้รัฐอาจลดบทบาทในการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อให้เอกชนเข้ามาดําเนินการเพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่าภายใต้การควบคุมของรัฐ แต่รัฐก็อ่อนแอกว่าภาคเอกชนทําให้ขาดประสิทธิภาพในการควบคุม ดังนั้นปัญหาสําคัญของโครงสร้างแบบนี้ก็คือ ความเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคมและความต้องการที่หลากหลายของ คนในรัฐ รวมทั้งศักยภาพของรัฐทําให้รัฐไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้รัฐจึงไม่สามารถบรรลุความสําเร็จในการพัฒนารัฐได้

62. ปัญหาสําคัญของรูปแบบการบริหารปกครองรูปแบบการถือหางเสือคือข้อใด
ตอบ 4 หน้า 174, (คําบรรยาย) การบริหารปกครองแบบการถือหางเสือ เชื่อว่า รัฐมีความสามารถ ที่จะกําหนดทิศทางและถือหางเสือในกิจการสาธารณะในสังคมได้ ในแง่นี้รัฐยังคงมีบทบาทสําคัญ ในการบริหารปกครองแต่มีอํานาจควบคุมน้อยลง การบริหารปกครองนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง อํานาจหน้าที่และอํานาจควบคุมจากกฎหมายของรัฐ ปัญหาสําคัญของการบริหารปกครอง แบบนี้ก็คือ เมื่อรัฐเปลี่ยนบทบาทไปทําหน้าที่เพียงการถือหางเสือ ไม่ได้เป็นผู้กําหนดเป้าหมายอาจทําให้เป้าหมายไม่ชัดเจน

63. ปัญหาสําคัญของรูปแบบการบริหารปกครองรูปแบบโครงสร้างแบบชุมชนคือข้อใด
ตอบ 5 หน้า 172 โครงสร้างแบบชุมชน มีแนวคิดมาจากฐานความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ชุมชนสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองและ รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมของชุมชนได้โดยให้รัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด ดังนั้น การบริหารปกครองในโครงสร้างแบบนี้จึงอยู่ในแนวคิดของการไม่ต้องการให้รัฐมาเกี่ยวข้องแต่ต้องให้รัฐเปิดพื้นที่ให้เกิด

64. ปัญหาสําคัญของรูปแบบการบริหารปกครองรูปแบบโครงสร้างเครือข่ายคือข้อใด
ตอบ 3 หน้า 172 – 173 โครงสร้างแบบเครือข่าย เป็นโครงสร้างที่มีการเชื่อมโยงชุมชน (ตัวแสดง)นโยบายโดยเชื่อว่าจะสามารถเอื้อต่อการจัดสรรผลประโยชน์ของสาธารณะและผลประโยชน์ ส่วนบุคคลได้ ในโครงสร้างแบบนี้นโยบายจะถูกพิจารณาจากหลายภาคส่วนร่วมกันจึงจัดสรร ผลประโยชน์ส่วนรวมได้ดีกว่า อีกทั้งมีการแยกการควบคุมและความรับผิดชอบในนโยบายออกจากกัน โดยเครือข่ายจะควบคุมการริเริ่มนโยบายที่ส่งมาจากทุกฝ่ายและฝ่ายรัฐจะเป็น ผู้รับผิดชอบต่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละภาคส่วน ทําให้เกิดการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ระหว่างรัฐกับเครือข่าย อย่างไรก็ตามเมื่อรัฐยังคงต้องรับผิดชอบต่อเรื่องราวต่าง ๆ ภายในรัฐ การท้าทายผลประโยชน์ของรัฐจากเครือข่ายจึงเป็นไปได้ยาก และประเด็นท้าทายคือรัฐจะ สามารถหาตัวแสดงจากภาคส่วนในสังคมมาร่วมมือในเครือข่ายได้อย่างไร

65. ปัญหาสําคัญของรูปแบบการบริหารปกครองรูปแบบโครงสร้างแบบตลาดคือข้อใด
ตอบ 1 หน้า 172, (คําบรรยาย) โครงสร้างแบบตลาด เป็นโครงสร้างที่มีตัวแสดงหลักเป็นตัวแสดง ทางเศรษฐกิจ โดยปัญหาในการพัฒนานั้นเกิดขึ้นจากธรรมชาติของตัวแสดงและตลาดซึ่งมีพลังขับเคลื่อนคือผลประโยชน์ส่วนตัว การมีกลไกให้ตัวแสดงทางเศรษฐกิจสามารถประสานความร่วมมือเพื่อจัดการปัญหาจึงเป็นลักษณะเด่นของโครงสร้างนี้ แต่ปัญหาสําคัญของโครงสร้างนี้คือ กลไกตลาดกับกลไกรัฐมีพลังขับเคลื่อนต่างกันอาจทําให้เกิดปัญหาความร่วมมือ

ตั้งแต่ข้อ 66 – 70. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ติดตามดูรายการนายกพบประชาชน
(2) ประชามติ
(3) เข้าร่วมต้อนรับคณะรัฐมนตรีที่มาตรวจเยี่ยมพื้นที่ตามคําขอของหน่วยงาน
(4) ประชาพิจารณ์
(5) รับแจกบัตรคนจน

66. การมีส่วนร่วมระดับที่อํานาจเป็นของประชาชนคือข้อใด
ตอบ 2 หน้า 200, (คําบรรยาย) การมีส่วนร่วมระดับที่อํานาจเป็นของประชาชน (Degree of Citizen Power) ประกอบด้วยการมีส่วนร่วมขั้นที่ 6 – 8 เป็นระดับอํานาจการตัดสินใจเป็นของประชาชน แต่มีลักษณะการใช้อํานาจแตกต่างกัน กล่าวคือ ในขั้นที่ 6 จะเป็นการเจรจาต่อรองของอํานาจ ระหว่างรัฐกับประชาชนในฐานะหุ้นส่วนในงานนั้น ๆ ในขั้นที่ 7 ประชาชนได้มอบอํานาจให้ผู้แทน ไปตัดสินใจแทน ได้แก่ การออกเสียงเลือกตั้ง ส่วนในขั้นที่ 8 ซึ่งเป็นขั้นการมีส่วนร่วมสูงสุด ประชาชนสามารถควบคุมกระบวนการตัดสินใจได้ ได้แก่ การลงประชามติ การยื่นถอดถอน ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เป็นต้น ในระดับนี้ประชาชนมีอํานาจในการตัดสินใจ สามารถ เจรจาผลได้ผลเสียกับผู้มีอํานาจเดิมได้ จึงถือเป็นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน

67. การมีส่วนร่วมเทียมขั้นถูกจัดกระทําคือข้อใด
ตอบ 5 หน้า 199 – 200, (คําบรรยาย) การมีส่วนร่วมขั้นถูกจัดกระทํา เป็นระดับการมีส่วนร่วมเทียม หรือไม่มีส่วนร่วม (Pseudo-Participation or Non-Participation) ซึ่งประชาชนจะยังไม่มี ส่วนร่วมอย่างแท้จริง มีกลุ่มบุคคลจํานวนน้อยที่มีอํานาจตัดสินใจ ไม่มีการกล่าวถึงเนื้อหาหรือ วิธีการตัดสินใจ ตัวอย่างของการมีส่วนร่วมนี้ เช่น การรับแจกบัตรคนจน เป็นต้น

68. การมีส่วนร่วมระดับพิธีกรรมต่ําสุดคือข้อใด
ตอบ 1 หน้า 200, (คําบรรยาย) การมีส่วนร่วมระดับพิธีกรรมหรือการมีส่วนร่วมบางส่วน (Degree of Tokenism or Partial Participation) การมีส่วนร่วมระดับนี้ผู้มีอํานาจจะมีการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชนมากขึ้น เมื่อรับฟังแล้วจะเอาใจใส่นําไปพิจารณาเป็นเงื่อนไขในการ ตัดสินใจหรือไม่ก็ได้ แต่ในระดับนี้อํานาจการตัดสินใจยังอยู่ที่ผู้มีอํานาจเช่นเดิม การมีส่วนร่วม ระดับพิธีกรรมนั้นประกอบด้วยการมีส่วนร่วม 3 ขั้น คือ ขั้นที่ 3 การรับฟังข่าวสาร (เช่น การ ติดตามดูรายการนายกพบประชาชน) ขั้นที่ 4 การปรึกษาหารือ (เช่น การประชาพิจารณ์) และขั้นที่ 5 การปลอบใจ

69. การมีส่วนร่วมขั้นปรึกษาหารือคือข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 68. ประกอบ

70. ระดับการมีส่วนร่วมเทียมหรือไม่มีส่วนร่วมเลยคือข้อใด
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ

71. ข้อใดเป็นกลไกการสร้างพลเมือง
(1) ให้ประชาชนแก้ไขปัญหาเอง
(2) ให้ประชาชนเป็นหุ้นส่วนในงานบริการสาธารณะ
(3) การเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความเห็น
(4) การมีกลไกให้ประชาชนติดตามตรวจสอบงานบริการของรัฐอย่างง่ายและสะดวก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ความเป็นพลเมืองของประชาชน คือ การที่ประชาชนมีความกระตือรือร้น ในการเข้าร่วมพิจารณา แก้ไขปัญหาและตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในงานบริการสาธารณะ โดยความเป็นพลเมืองของประชาชนนี้ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมาภิบาล ซึ่งกลไกในการสร้างพลเมือง ได้แก่
1. การให้ประชาชนแก้ไขปัญหาเอง
2. การให้ประชาชนเป็นหุ้นส่วนในงานบริการสาธารณะ
3. การเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความเห็น
4. การมีกลไกให้ประชาชนติดตามตรวจสอบงานบริการของรัฐอย่างง่ายและสะดวก ฯลฯ

ตั้งแต่ข้อ 72 – 76. ให้นักศึกษาจับคู่คําตอบต่อไปนี้ให้ตรงกับความหมายหรือความเกี่ยวข้องกับข้อความที่ให้มา
(1) สถานประกอบการภาคเอกชน
(2) วิสาหกิจเพื่อสังคม
(3) สถานประกอบการสาธารณะ
(4) การบริหารงานภาครัฐ
(5) รัฐวิสาหกิจ

72. รัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐวิสาหกิจ (State Enterprise) คือ องค์การ หน่วยงาน หรือบริษัทที่รัฐ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยมีการดําเนินงานในเชิงธุรกิจซึ่งเกี่ยวโยงกับกิจการที่เป็นสาธารณูปโภคหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจในการผลิตสินค้าหรือบริการ หรือสาธารณูปการที่มีความสําคัญ หรือจําเป็นต่อการดํารงชีพของประชาชน ดังนั้นการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจจึงมีลักษณะที่มุ่งแสวงหากําไรและนําผลกําไรมาแบ่งปันให้ผู้ถือหุ้นเช่นเดียวกับองค์กรธุรกิจเอกชน

73. รัฐเป็นเจ้าของมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของสังคม
ตอบ 4 หน้า 214 ลักษณะขององค์กรซึ่งแบ่งตามลักษณะความเป็นเจ้าของและเป้าหมายการสร้างกําไร มีดังนี้

74. สาธารณะเป็นเจ้าของมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้า
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

75. เอกชนเป็นเจ้าของมีวัตถุประสงค์เพื่อสังคม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

76. เอกชนเป็นเจ้าของมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้า
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 77, – 81. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ปัจเจกเป็นหน่วยอิสระ กําหนดวิถีชีวิตตัวเองได้ ยอมรับการเลือกตั้ง
(2) เชื่อในศีลธรรมที่อยู่ในตัวของปัจเจก
(3) ต้องการปลดปล่อยประชาชนให้ประชาชนมีอํานาจผ่านการตระหนักรู้
(4) เชื่อมโยงปัจเจกกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม
(5) ประชาชนมีสถานะเป็นพลเมืองสามารถเข้ามีส่วนร่วมได้โดยตรงด้วยตนเอง

77. แนวคิดหลักของการมีส่วนร่วมในมุมมองชุมชนนิยมคือข้อใด
ตอบ 4 หน้า 197 การมีส่วนร่วมในมุมมองชุมชนนิยม เชื่อว่า ชุมชนมีขนาดไม่ใหญ่เกินไปที่จะปกครอง และไม่เล็กเกินไปที่จะสร้างวิถีชีวิตอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชนเอง ในแง่นี้การมีส่วนร่วม ของประชาชนในชุมชนจึงเป็นไปได้โดยไม่ต้องผ่านตัวแทน ทุกคนในชุมชนสามารถเข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะและตัดสินใจร่วมกันได้โดยตรงอันเป็นรูปแบบของประชาธิปไตยทางตรงซึ่งอาศัยฉันทามติของคนในชุมชน แนวคิดนี้จึงเชื่อในการเชื่อมโยงปัจเจกกับบริบทสังคมวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่ทําให้พวกเขารวมเป็นชุมชน เป็นหนึ่งเดียวกัน

78. แนวคิดหลักของการมีส่วนร่วมในมุมมองประชานิยมคือข้อใด
ตอบ 2 หน้า 197 การมีส่วนร่วมในมุมมองประชานิยม ตระหนักในการมีส่วนร่วมของคนสามัญธรรมดาแนวคิดนี้เชื่อในศีลธรรมที่ฝังอยู่ในตัวของปัจเจกชนคนทั่วไปซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมและเชื่อในประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนเหล่านั้น การมีส่วนร่วมในมุมมองประชานิยมผูกพันกับ รูปแบบเฉพาะทางการเมือง อํานาจหน้าที่ โครงสร้างและอุดมการณ์ทางการเมืองที่จะสามารถ สร้าง “ความนิยมร่วมกัน” ทั้งในแง่เจตจํานงและประเด็นทั่ว ๆ ไปในสังคม

79. แนวคิดหลักของการมีส่วนร่วมในมุมมองการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากคือข้อใด
ตอบ 3 หน้า 197 การมีส่วนร่วมในมุมมองการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากวางอยู่บนฐานคิดของ “การปลดปล่อยประชาชน” โดยการเพิ่มอํานาจให้ประชาชนผ่านเครื่องมือสําคัญคือการศึกษาแนวคิดนี้เชื่อว่าเมื่อประชาชนมีการศึกษาจะมีอํานาจท้าทายโครงสร้างทางอํานาจเดิมที่ครอบงํา สังคมอยู่ ทําให้เรียนรู้ที่จะสร้างสังคมใหม่ กล่าวคือ การทําให้สังคมเกิด “การตระหนักรู้”

80. แนวคิดหลักของประชาธิปไตยทางตรงคือข้อใด
ตอบ 5 หน้า 196 แนวคิดหลักของประชาธิปไตยทางตรง คือ ประชาชนมีสถานะเป็นพลเมืองสามารถเข้ามีส่วนร่วมได้โดยตรงด้วยตนเอง

81. แนวคิดหลักของการมีส่วนร่วมในมุมมองเสรีนิยมประชาธิปไตยคือข้อใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

82. การบริหารเครือข่ายโดยไม่เปลี่ยนแปลงตัวแสดงในเครือข่าย โดยที่รัฐยังเป็นตัวกลางประสานงาน
คือกลยุทธ์การจัดการเครือข่ายแบบใด
(1) แบบทฤษฎีเกม
(2) แบบโครงสร้างเครือข่าย
(3) แบบปกครองตัวเอง
(4) แบบการมีส่วนร่วม
(5) แบบใช้เรื่องเล่า
ตอบ 1 หน้า 187 กลยุทธ์การจัดการเครือข่ายแบบทฤษฎีเกม ใช้ในการบริหารเครือข่ายที่มีอยู่เดิม โดยไม่มุ่งหวังปรับเปลี่ยนเครือข่ายหรือตัวแสดงใด ๆ ในเครือข่าย วิธีการสําคัญคือ การเสนอ นโยบายที่ต้องการให้เกิดขึ้นและรวบรวมตัวแสดงที่เกี่ยวข้องเข้ามาตัดสินใจร่วม กรณีนี้รัฐยัง เป็นตัวกลางในการประสานสร้างการประนีประนอมให้ทุกตัวแสดงบรรลุผลประโยชน์ของตัวเองโดยที่เป้าหมาย นโยบายยังคงอยู่ รัฐต้องเรียกร้องให้ทุกตัวแสดงยอมรับเงื่อนไขใหม่ของ การบริหารปกครองและพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนทรัพยากร

83. องค์ประกอบสําคัญของการบริหารปกครองแบบตัดสินใจร่วมกัน ไม่ใช่ข้อใด
(1) การต่อรอง
(2) ส่วนรวม
(3) ผลประโยชน์หลากหลาย
(4) มีระบบที่เป็นทางการ
(5) ตัวแสดงหลากหลาย
ตอบ 4 หน้า 174 – 175, (คําบรรยาย) องค์ประกอบสําคัญของการบริหารปกครองแบบตัดสินใจ ร่วมกัน มีดังนี้
1. ตัวแสดงหลากหลาย
2. ผลประโยชน์หลากหลาย
3. เน้นความเป็น ส่วนรวม
4. ไม่ต้องการระบบที่เป็นทางการ
5. เน้นการเจรจาต่อรอง ฯลฯ

84. ข้อใดไม่ใช่ทักษะสําคัญของผู้บริหารเครือข่าย
(1) ทักษะการสร้างแรงจูงใจ
(2) ทักษะการควบคุมวง
(3) ทักษะการเจรจา
(4) ทักษะการบังคับบัญชา
(5) ทักษะการบูรณาการ
ตอบ 4 หน้า 188 ทักษะสําคัญของผู้บริหารเครือข่าย มีดังนี้
1. ทักษะการสร้างแรงจูงใจ
2. ทักษะการควบคุมวง ซึ่งต้องอาศัยทักษะการทูต การเจรจา การต่อรองเพื่อให้เกิดความร่วมมือ
3. ทักษะการบูรณาการ

85.ข้อใดคือความหมายของตัวการ (Principle) ในทฤษฎีการมอบหมายตัวแทน
(1) หัวหน้าผู้มอบหมายงาน
(2) เจ้าของกิจการ
(3) คณะกรรมการบริหาร
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 189, 210, (คําบรรยาย) ตัวแสดงในทฤษฎีการมอบหมายตัวแทน (Theories of Delegation) ประกอบด้วย
1. ตัวการ (Principle) คือ คนที่เป็นเจ้าของกิจการ เป็นหัวหน้า เป็นผู้มีอํานาจจริงในเรื่องใด เรื่องหนึ่ง เช่น ผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริหาร เป็นต้น
2. ตัวแทน (Agent) คือ คนที่ได้รับมอบอํานาจให้เป็นผู้ดําเนินการแทนผู้มีอํานาจจริง เช่น ผู้จัดการ เป็นต้น

86. การที่ตัวแสดงที่หลากหลายได้เข้าไปมีส่วนในการดําเนินกิจกรรมตามขอบเขตกระบวนการที่มีการจัดการ ไว้แล้ว จะอยู่ในพื้นที่การบริหารปกครองแบบใด
(1) พื้นที่แบบปิด
(2) พื้นที่รับเชิญ
(3) พื้นที่สร้างสรรค์
(4) พื้นที่ประชุม
(5) พื้นที่ของทางราชการ
ตอบ 2 หน้า 201, (คําบรรยาย) พื้นที่รับเชิญ (Invited Spaces) คือ พื้นที่ที่มีตัวแสดงที่หลากหลาย ได้เข้าไปมีส่วนในการดําเนินกิจกรรมตามขอบเขตกระบวนการที่มีการจัดการไว้แล้ว พื้นที่
ลักษณะนี้ให้ความสําคัญกับกระบวนการที่ต้องมีผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อยืนยันว่าการริเริ่ม หรือดําเนินการนั้น ๆ อยู่ในกระบวนการมีส่วนร่วมหรือริเริ่มโดยประชาชน

87. หลักการทางเลือกที่มีเหตุผล คือข้อใด
(1) ทุกคนมีเหตุผลภายใต้การเข้าใจและการให้ความหมายสิ่งรอบตัว
(2) ทุกคนไม่มีอิสระแท้จริงในการเลือก
(3) การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีเหตุผลคือคํานึงถึงผลประโยชน์สูงสุด
(4) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงมีผลต่อการตัดสินใจร่วมกัน
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 190 ทฤษฎีการยึดมั่นในหลักเหตุผล เป็นทฤษฎีที่วางอยู่บนหลักทางเลือกที่มีเหตุผล(Rational Choice) กล่าวคือ บุคคลมีเป้าหมายส่วนตัวที่จะเป็นเงื่อนไขผลักดันให้บุคคลตัดสินใจ ซึ่งจะต้องเลือกผลประโยชน์สูงสุด แต่ทฤษฎีนี้ได้ขยายความการเลือกอย่างมีเหตุผลดังกล่าวว่าบุคคลจะตัดสินใจอย่างมีเหตุผลโดยคํานึงผลประโยชน์สูงสุดแต่อยู่บนฐานข้อจํากัดในการประมวล ข้อมูลข่าวสาร การทําความเข้าใจสถานการณ์และการคิดถึงผลที่ตามมา ซึ่งเป็นผลจากศักยภาพ ของมนุษย์ ดังนั้นกระบวนการตัดสินใจของบุคคลจึงมีความซับซ้อนเพราะการคิดถึงเรื่องประโยชน์สูงสุดวางอยู่ภายใต้การประมวลข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมบูรณ์

88. บริษัทประชารัฐรักสามัคคี ได้รับการอธิบายว่ามีลักษณะเป็นองค์กรประเภทใด
(1) บรรษัทภิบาล
(2) บรรษัทนิยม
(3) การบริหารงานภาครัฐ
(4) วิสาหกิจเพื่อสังคม
(5) รัฐวิสาหกิจ
ตอบ 4 หน้า 207 บริษัทประชารัฐรักสามัคคี ได้รับการอธิบายว่าเป็นการดําเนินการในรูปวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise : SE)

89. อะไรคือแรงผลักดันสําคัญในทฤษฎีการยึดมั่นในหลักเหตุผล
(1) ผลประโยชน์สูงสุด
(2) ข้อมูลข่าวสาร
(3) กฎเกณฑ์ของสังคม
(4) ความเชื่อ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

90. โครงสร้างการบริหารปกครองแบบใดที่ใช้กฎหมายเป็นหลักสําคัญในการบริหารปกครอง
(1) แบบตลาด
(2) แบบสายบังคับบัญชา
(3) แบบเครือข่าย
(4) แบบถือหางเสือ
(5) แบบชุมชน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 61. ประกอบ

91. หลักธรรมาภิบาลสามารถเกื้อหนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้หรือไม่เพราะอะไร
(1) ได้ เพราะมีหลักการของการมีส่วนร่วมและหลักการนิติธรรม
(2) ได้ เพราะมีหลักการของการเคารพสิทธิมนุษยชน
(3) ไม่ได้ เพราะไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการปกครอง
(4) ไม่ได้ เพราะทําให้รัฐอ่อนแอลง
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) หลักธรรมาภิบาลสามารถเกื้อหนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ ทั้งนี้ เพราะหลักธรรมาภิบาลมีหลักการที่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็น หลักการมีส่วนร่วม หลักการนิติธรรม หลักความโปร่งใส เป็นต้น

92. อะไรคือเหตุผลที่ทําให้หลักธรรมาภิบาลได้รับการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเมื่อธนาคารโลกประกาศใช้
(1) ทุกประเทศเห็นความสําคัญ
(2) เพราะเป็นเงื่อนไขการได้รับเงินช่วยเหลือ
(3) เป็นระเบียบปฏิบัติระหว่างประเทศ
(4) ไม่มีข้อถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 171, (คําบรรยาย) เหตุผลที่ทําให้หลักธรรมาภิบาลได้รับการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเมื่อธนาคารโลกประกาศใช้ เพราะหลักธรรมาภิบาลเป็นเงื่อนไขการได้รับเงิน ช่วยเหลือจากธนาคารโลก โดยเหตุผลที่ทําให้ธนาคารโลกต้องกําหนดหลักธรรมาภิบาลเป็น เงื่อนไขให้ประเทศต่าง ๆ ที่ขอรับการช่วยเหลือต้องปฏิบัติตามนั้น ก็เพื่อช่วยเหลือให้ประเทศ เหล่านั้นผ่านพ้นกับดักการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเศรษฐกิจได้

93. ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดบทบาทของรัฐที่มีการปกครองที่ดี
(1) ความโปร่งใส
(2) ความรับผิดชอบ
(3) การมีส่วนร่วม
(4) ความมีประสิทธิภาพ
(5) ความมีอํานาจ
ตอบ 5 หน้า 176, (คําบรรยาย) คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก แห่งสหประชาชาติ (UNESCAP) ได้เสนอตัวชี้วัดในการพัฒนาบทบาทของรัฐที่มีลักษณะ การปกครองที่ดีหรือธรรมาภิบาล 8 ประการ ได้แก่
1. การมีส่วนร่วม
2. การปกครองตามหลักกฎหมาย
3. ความโปร่งใส
4. ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
5. การตอบสนอง
6. ความรับผิดชอบ
7. การดึงเป็นแนวร่วมอย่างเท่าเทียม
8. ฉันทามติ

94. บริบทการบริหารปกครองข้อใดที่เป็นข้อห้ามสําหรับธนาคารโลกในการปฏิบัติงานกับประเทศต่าง ๆ
(1) พัฒนาศักยภาพรัฐบาล
(2) การก่อรูปและปฏิบัตินโยบาย
(3) รูปแบบการปกครอง
(4) การประเมินผลการปฏิบัติงาน
(5) กระบวนการในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการพัฒนา
ตอบ 3 หน้า 180, (คําบรรยาย) บริบทการบริหารปกครองที่เป็นข้อห้ามสําหรับธนาคารโลก ในการปฏิบัติงานกับประเทศต่าง ๆ ก็คือ เรื่องของรูปแบบการปกครอง เพราะธนาคารโลก ได้มีข้อกําหนดที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของประเทศผู้ขอรับทุนหรือขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากธนาคารโลก

95. พลวัตการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองเดิมสู่การบริหารปกครองคือข้อใด
(1) การแยกแยะตัวแสดงที่เกี่ยวข้อง
(2) สร้างระบบให้เกิดการเจรจาระหว่างตัวแสดง
(3) วิเคราะห์เงื่อนไขของการสร้างนโยบาย
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 184, (คําบรรยาย) พลวัตการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองเดิมสู่การบริหารปกครอง สามารถดําเนินการได้ดังนี้
1. ต้องมีการแยกแยะมิติต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์รูปแบบ เครื่องมือ และเงื่อนไขของการสร้าง นโยบายและการนํานโยบายไปปฏิบัติ
2. แยกแยะความหลากหลายของตัวแสดงที่เกี่ยวข้อง
3. สร้างระบบการส่งผ่านและสะท้อนกลับของระบบการแปลงเปลี่ยนซึ่งกันและกันขององค์กรและตัวแสดงเพื่อให้เกิดการเจรจาต่อกันในการสร้างนโยบาย

96. การสร้างนโยบายบนฐานทฤษฎีการจัดการเครือข่าย ตัวแสดงใดเป็นตัวแสดงนําสําคัญ
(1) รัฐ
(2) นักวิชาการ
(3) ภาคอุตสาหกรรม
(4) บรรษัท
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 5 หน้า 186 – 187, (คําบรรยาย) ในทฤษฎีการจัดการเครือข่ายนั้น เครือข่ายจะเป็นตัวแสดงนํา สําคัญในการดําเนินการตั้งแต่ระดับการสร้างนโยบาย การตัดสินใจและการนํานโยบายไปปฏิบัติส่วนภาครัฐจะเป็นตัวแสดงที่มีบทบาทสําคัญในกําหนดกรอบเครือข่ายและปฏิสัมพันธ์ของตัวแสดงต่าง ๆ

97. ลักษณะของการบริหารปกครองแบบถือหางเสือ ไม่ใช่ข้อใด
(1) รัฐมีอํานาจควบคุมมาก
(2) ต้องออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงอํานาจหน้าที่
(3) รัฐกําหนดทิศทางในกิจการสาธารณะได้
(4) ไม่มีข้อถูก
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 98. – 100. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ถูก
(2) ผิด

98. ธรรมาภิบาลไม่ต้องการการจัดสรรอํานาจรัฐใหม่
ตอบ 2 หน้า 2, 171, (คําบรรยาย) ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เสนอให้ประเทศต่าง ๆ มีการปฏิรูประบบราชการโดยใช้หลักของ “ธรรมาภิบาล” (Good Governance) โดยให้มีการปรับใน 3 องค์ประกอบหลัก คือ การจัดสรรอํานาจรัฐใหม่ การเมืองที่เน้นความชอบธรรมในอํานาจการปกครองที่ได้รับมอบหมายตามระบอบประชาธิปไตย และการบริหารงานภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้

99. ธรรมาภิบาลสามารถวัดได้จากความพึงพอใจของประชาชนที่ภาครัฐดําเนินการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ

100. ธรรมาภิบาลเกี่ยวข้องกับความเป็นพลเมืองของประชาชน
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

WordPress Ads
error: Content is protected !!