การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3012 กฎหมายปกครอง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 บริการสาธารณะมีความหมายว่าอย่างไร และมีกี่ประเภท จงอธิบายตามที่ได้ศึกษามา
ธงคำตอบ
1 ความหมายของบริการสาธารณะ
กิจกรรมที่จะถือว่าเป็นบริการสาธารณะนั้นจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ประการ คือ
1) จะต้องเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในกฎหมายมหาชนหรือนิติบุคคลมหาชน ซึ่งหมายถึง นิติบุคคลมหาชนเป็นผู้ประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง อันได้แก่ กิจกรรมที่รัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการ และยังหมายความรวมถึงกรณีที่รัฐมอบกิจกรรมของรัฐบางประเภทให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ โดยฝ่ายปกครองใช้อำนาจกำกับดูแลบางประการและอยู่ภายใต้ระบบพิเศษด้วย
2) จะต้องเป็นกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะและตอบสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน
2 ประเภทของบริการสาธารณะ
บริการสาธารณะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆดังนี้ คือ
1) บริการสาธารณะปกครอง
บริการสาธารณะปกครอง คือ กิจการรมที่โดยสภาพแล้วเป็นงานในหน้าที่ของฝ่ายปกครองที่จะต้องจัดทำเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องการดูแลความปลอดภัยและความสงบสุขของชุมชน ที่รัฐหรือฝ่ายปกครองจัดทำให้ประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน และนอกจากนี้ เนื่องจากเนื้อหาของบริการสาธารณะทางปกครองจะเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่เฉพาะของฝ่ายปกครองที่ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษ รวมทั้งอำนาจพิเศษของฝ่ายปกครองตามกฎหมายมหาชนในการจัดทำบริการสาธารณะด้วย ดังนั้นบริการสาธารณะประเภทนี้ ฝ่ายปกครองจึงไม่สามารถมอบให้องค์กรอื่นหรือเอกชนเข้ามาดำเนินการแทนได้
ตัวอย่างบริการสาธารณะทางปกครองดังกล่าวข้างต้น เช่น กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบภายใน การป้องกันประเทศ การสาธารณสุข การอำนวยความยุติธรรม การต่างประเทศ และการคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่เดิมนั้น บริการสาธารณะทุกประเภทจัดว่าเป็นบริการสาธารณะทางปกครองทั้งสิ้น แต่ต่อมาเมื่อกิจกรรมเหล่านี้มีมากขึ้น และมีรูปแบบและวิธีการในการจัดทำที่แตกต่างกันออกไป จึงเกิดประเภทใหม่ๆของบริการสาธารณะขึ้นมาอีก
2) บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม
บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม คือ บริการสาธารณะที่เน้นทางด้านการผลิต การจำหน่าย การให้บริการ และมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับดังเช่นกิจการของเอกชน (วิสาหกิจเอกชน) ซึ่งมีความแตกต่างกับบริการสาธารณะทางปกครองอยู่ด้วยกัน 4 ประการ คือ
(1) วัตถุแห่งบริการ บริการสาธารณะทางปกครองจะมีวัตถุแห่งบริการเพื่อสนองความต้องการของประชาชนในประเทศแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนั้น มีวัตถุแห่งบริการด้านเศรษฐกิจเหมือนกับวิสาหกิจเอกชน คือ เน้นทางด้านการผลิต การจำหน่าย การให้บริการ และมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับดังเช่นกิจการของเอกชน
(2) วิธีปฏิบัติงาน บริการสาธารณะทางปกครองจะมีวิธีปฏิบัติงานที่รัฐสร้างขึ้นมาเป็นแบบเดียวกัน มีระบบบังคับบัญชาซึ่งใช้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคน ในขณะที่บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะมีวิธีปฏิบัติงานที่สร้างขึ้นมาเองแตกต่างไปจากบริการสาธารณะที่มีลักษณะทางปกครอง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเหมาะสมในการดำเนินการ
(3) แหล่งที่มาของเงินทุน บริการสาธารณะทางปกครองจะมีแหล่งที่มาของเงินทุนจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว โดยรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบเงินทุนทั้งหมดที่นำมาใช้จ่ายในการดำเนินการ ส่วนบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนั้น แหล่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าตอบแทนการบริการของผู้ใช้บริการ
(4) ผู้ใช้บริการ สถานภาพของผู้ใช้บริการสาธารณะทางปกครองนั้นจะถูกกำหนดโดยกฎข้อบังคับทั้งหมด ซึ่งรวมตั้งแต่การกำหนดองค์กร การจัดองค์กร และการปฏิบัติงาน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการสาธารณะประเภทนี้จึงมีลักษณะเป็นนิติกรรมที่มีเงื่อนไขและไม่เท่าเทียมกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการของบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะมีลักษณะเสมอภาคกัน เพราะถูกกำหนดโดยสัญญาตามกฎหมายเอกชน
3) บริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม
บริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม คือ บริการสาธารณะที่เป็นการให้บริการทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องการความอิสระคล่องตัวในการทงานโดยไม่มุ่นเน้นการแสวงหากำไร เช่น การแสดงนาฏศิลป์ พิพิธภัณฑ์ การกีฬา การศึกษาวิจัยฯ
ข้อ 2 ในกรณี “คำสั่งทางปกครอง” และ “คำสั่งทั่วไปทางปกครอง” ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก่อนฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง ผู้ฟ้องคดีจะต้องดำเนินการอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวก่อนหรือไม่ อย่างไร จงอธิบายและยกเหตุผลทางกฎหมายประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง
ธงคำตอบ
ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 44 วรรคแรก ภายใต้บังคับมาตรา 48 ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรี และไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองเป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 42 วรรคท้าย ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้นจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้นหรือมิได้มีการสั่งการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
อธิบาย
เงื่อนไขการฟ้องคดีปกครอง โดยหลักแล้วก่อนที่จะนำไปสู่การฟ้องขอให้เพิกถอนหรือยกเลิก ต้องมีการอุทธรณ์ภายในต่อฝ่ายปกครองก่อน เพื่อให้ฝ่ายปกครองได้ตรวจสอบทบทวนคำสั่งทางปกครองของตนอีกครั้งหนึ่งว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เว้นแต่กรณีที่กฎหมายกำหนดว่าไม่ต้องอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดดั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 42 วรรคท้าย กล่าวคือ หากเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้นจะทำได้ต่อเมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว และมีการสั่งการตามกฎหมายนั้นหรือมิได้สั่งการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกำหนด
ประเด็นที่ 1 กรณี “คำสั่งทางปกครอง” ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อนฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนหรือยกเลิก พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 44 กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า คำสั่งทางปกครองใดที่ไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการ (มาตรา 48) และไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ตนได้รับคำสั่งดังกล่าว โดยคำอุทธรณ์ต้องทำเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงประกอบด้วยก่อน ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองนั้นสั่งการตามกฎหมายนั้นหรือมิได้สั่งการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกำหนดจึงจะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองต่อไปได้
ส่วนคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยรัฐมนตรี (มาตรา 44 วรรคแรก) หรือคณะกรรมการ (มาตรา 48) ไม่อยู่ในบังคับต้องอุทธรณ์ก่อน สามารถเสนอคดีต่อศาลปกครองให้พิจารณาได้เลย เพราะรัฐมนตรีเป็นองค์กรสูงสุดในฝ่ายปกครองแล้ว การจัดให้มีระบบอุทธรณ์บังคับจึงไม่อาจกระทำได้ ส่วนคณะกรรมการก็เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจทางปกครองโดยเฉพาะและไม่อยู่ในระบบสายการบังคับบัญชา คำสั่งทางปกครองของคณะกรรมการจึงเป็นที่สุดโดยไม่ต้องมีการอุทธรณ์ต่อองค์กรภายในฝ่ายปกครองอีกเช่นกัน
ประเด็นที่ 2 กรณี “คำสั่งทางปกครองทั่วไป” ซึ่งมีองค์ประกอบสาระสำคัญทางกฎหมายที่แตกต่างออกไปจากคำสั่งทางปกครอง กล่าวโดยสรุปคือ แม้จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ทางกฎหมายและมีผลมุ่งหมายให้ใช้บังคับกรณีหนึ่งกรณีใดเป็นการเฉพาะ แต่กรณีเป็นการบังคับทั่วไปโดยมิได้ระบุเฉพาะเจาะจงตัวบุคคลผู้รับคำสั่งทางปกครอง
ดังนั้นเมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการไว้โดยเฉพาะ ในกรณีที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า “คำสั่งทางปกครองทั่วไป” ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจึงใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้โดยไม่ต้องอุทธรณ์ทั้งนี้ถือว่าผู้ฟ้องคดีไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 44
ข้อ 3 นายแพทย์แดงแพทย์ประจำโรงพยาบาลจังหวัดพัทลุงได้ทำการรักษาแผลถูกแมลงกัดของนายดำ แต่ได้บกพร่องในการรักษาพยาบาลเป็นเหตุให้แผลที่ขาลุกลามจนต้องตัดขาทิ้ง นายดำจึงได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อแพทยสภาฯ จากการสอบสวนข้อเท็จจริงแพทยสภาฯ เห็นว่านายแพทย์แดงได้รักษาถูกต้องตามหลักการแพทย์และมิได้กระทำผิดวินัยหรือจรรยาบรรณแพทย์แต่อย่างใด จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องและแจ้งเป็นหนังสือให้นายดำทราบ ต่อมานายดำจึงได้ยื่นคำร้องขอให้แพทยสภาฯทบทวนคำสั่งดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งแพทยสภาฯ ได้ยืนยันในคำสั่งเดิมหลังจากนั้น 15 วัน หากนายดำประสงค์จะฟ้องแพทยสภาเป็นคดีต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของแพทยสภาฯ เพราะเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายดำจะฟ้องแพทยสภาฯ เป็นคดีต่อศาลปกครองในกรณีนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้
“คำสั่งทางปกครอง” หมายความว่า
(1) การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ
ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่อง ดังต่อไปนี้
(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
มาตรา 42 วรรคแรก ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง หรือกรณีอื่นใดที่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองตามมาตรา 9 และการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายหรือข้อยุติข้อโต้แย้งนั้นต้องมีคำบังคับตามที่กำหนดในมาตรา 72 ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
มาตรา 72 ในการพิพากษาคดีศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(1) สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคำสั่งหรือสั่งห้ามการกระทำทั้งหมดหรือบางส่วน ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกำหมายตามมาตรา 9 วรรคแรก (1)
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายดำจะฟ้องแพทยสภาฯ เป็นคดีต่อศาลปกครองได้หรือไม่ เห็นว่า แพทยสภาเป็นองค์กรควบคุมการประกอบวิชาชีพ และเป็นองค์กรที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐในการควบคุมตรวจสอบการรักษาคนไข้ของแพทย์ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามคำนิยามใน พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
การที่แพทยสภาฯ เห็นว่านายแพทย์แดงได้รักษาถูกต้องตามหลักการแพทย์และมิได้กระทำผิดวินัยหรือจรรยาบรรณแพทย์ และมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และยังมีคำสั่งยืนยันในคำสั่งเดิมที่นายดำขอให้ทบทวน คำสั่งดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการปกครอง พ.ศ. 2539 เมื่อนายดำเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีนี้จึงถือเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อพิพาทที่มีลักษณะเป็นคดีปกครอง นายดำผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย อันเนื่องจากการกระทำของหน่วยงานทางปกครองซึ่งก็คือแพทยสภา จึงมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของแพทยสภาได้ ตามมาตรา 9 วรรคแรก (1) ประกอบมาตรา 42 วรรคแรก และมาตรา 72 (1) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครอง ฯ
สรุป นายดำสามารถฟ้องแพทยสภาฯ เป็นคดีต่อศาลปกครองได้
ข้อสังเกตุ คำสั่งของแพทยสภาดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองของคณะกรรมการ จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับให้ต้องอุทธรณ์คำสั่งก่อนที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ มาตรา 44 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 42 วรรคท้ายแต่อย่างใด (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 931/2549, 405/2549)
ข้อ 4 ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ได้มีคำสั่งเป็นหนังสือให้นายทองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลฯ พ้นจากตำแหน่ง ตามที่นายอำเภอฯ มีหนังสือเสนอให้พ้นจากตำแหน่งและแจ้งให้ทราบถึงรายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนฯ ตามที่ได้มีผู้ร้องเรียน ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้สอบสวนหาข้อมูลในทางลับสรุปผลว่านายทองมีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพลตามที่มีการร้องเรียนจริง ต่อมานายอำเภอฯ จึงได้มีคำสั่งประกาศให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลฯ แทนตำแหน่งนายทอง ในกรณีนี้ นายทองเห็นว่าคณะกรรมการฯ มิได้แจ้งให้ตนทราบข้อเท็จจริงตามที่ถูกกล่าวหาซึ่งทำให้ไม่สามารถโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนได้ ดังนั้นหากนายทองประสงค์จะฟ้องกรณีนี้เป็นคดีต่อศาลปกครองโดยขอให้ศาลฯ เพิกถอนคำสั่งฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ที่ได้พ้นจากตำแหน่งฯ และมีคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งฯ รวมทั้งขอให้ศาลฯ มีคำสั่งให้ตนดำรงตำแหน่งฯจนกว่าจะมีคำพิพากษาด้วย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าศาลปกครองมีอำนาจที่จะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาและจะมีคำสั่งตามคำขอทุเลาในกรณีนี้ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
ตาม พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2546 มาตรา 92 หากปรากฏว่านายกองค์การบริหารส่วนตำบล กระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชนหรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ให้นายอำเภอดำเนินการสอบสวนโดยเร็ว ในกรณีที่ผลการสอบสวนปรากฏว่านายกองค์การบริหารส่วนตำบล มีพฤติกรรมดังกล่าวจริง ให้นายอำเภอเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้ คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นที่สุด
ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 30 วรรคแรก ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน
ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่อง ดังต่อไปนี้
(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น
มาตรา 42 วรรคแรก ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง หรือกรณีอื่นใดที่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองตามมาตรา 9 และการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายหรือยุติข้อโต้แย้งนั้นต้องมีคำบังคับตามที่กำหนดในมาตรา 72 ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
มาตรา 66 ในกรณีที่ศาลปกครองเห็นสมควรกำหนดมาตรการหรือวิธีการใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่คู่กรณีที่เกี่ยวข้องเป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี ไม่ว่าจะมีคำร้องขอจากบุคคลดังกล่าวหรือไม่ ให้ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวและออกคำสั่งไปยังหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดโดยระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
มาตรา 72 ในการพิพากษาคดีศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(1) สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคำสั่งหรือสั่งห้ามการกระทำทั้งหมดหรือบางส่วน ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคแรก (1)
วินิจฉัย
1 ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจให้นายทองพ้นจากตำแหน่งตามที่นายอำเภอเสนอได้ และคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดดังกล่าวนั้นให้เป็นที่สุดตามมาตรา 92 แห่ง พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2546
2 การที่คณะกรรมการฯ มิได้แจ้งให้นายทองทราบข้อเท็จจริงตามที่ถูกกล่าวหาซึ่งทำให้ไม่สามารถโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนได้เป็นการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา 30 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
3 เมื่อนายทองเห็นว่าคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกระทำโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น นายทองสามารถนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองดังกล่าวได้ตาม พ.ร.บ จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 9 วรรคแรก ประกอบมาตรา 72(1) เนื่องจากเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 42 วรรคแรก
(กรณีนี้คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด กฎหมายได้บัญญัติให้เป็นที่สุดแล้ว (คือให้ถือว่าเป็นที่สุดภายในของฝ่ายปกครอง) ดังนั้นการจะนำคดีมาฟ้องจึงไม่ต้องอุทธรณ์ก่อนตามมาตรา 42 วรรคท้ายแต่อย่างใด ศาลปกครองมีอำนาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้)
4 คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ให้นายทองพ้นจากตำแหน่งโดยประการน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหากจะให้คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้ต่อไปโดยให้มีการเลือกตั้งใหม่ หากต่อมามีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวก็จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงยากแก่การเยียวยาภายหลัง ศาลปกครองชอบที่จะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับที่ให้นายทองพ้นจากตำแหน่งเป็นการชั่วคราวตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 66 ประกอบระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 69 ประกอบกับข้อ 72 ที่ว่า ในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนั้นน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและการให้คำสั่งทางปกครองดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง ทั้งการทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองนั้นไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริการงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ ศาลมีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองได้ตามที่เห็นสมควร
สรุป ศาลปกครองมีอำนาจรับฟ้องไว้พิจารณา และสามารถมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดในกรณีนี้ได