การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3112 ความคิดทางการเมืองในพุทธศาสนา

Advertisement

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 5 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 3 ข้อ (ข้อละ 33 คะแนน)

ข้อ 1 ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับการเมืองมีอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ

คําว่า “การเมือง” (Politics) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคําว่า “Polis” (นครรัฐ) มีความหมายว่า หน่วยการปกครองที่มีอาณาเขตแน่นอนและมีขอบข่ายอํานาจครอบคลุมกิจกรรมส่วนรวมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือศาสนา

อริสโตเติล กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) หมายความว่า มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นหมู่เหล่า มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันในมวลสมาชิก ดังจะเห็นว่าทุกวันเรามีความจําเป็นที่ จะต้องติดต่อและเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติมิตร คนเหล่านี้มี ความสัมพันธ์กับเราทางตรง และยังมีผู้ที่มีความสัมพันธ์ห่างออกไป เช่น คนขายของ คนขับรถเมล์ และคนใน สังคมอื่น ๆ คนเหล่านี้แม้จะไม่ได้สนทนากับเราโดยตรงแต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ทางอ้อมกับเรา

อริสโตเติล ยังกล่าวอีกว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์การเมือง (Political Animal) คือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องการให้มีการปกครอง เมื่อในสังคมมีการปกครองมีผลให้มนุษย์ในสังคมถูกแบ่งออกเป็น ชนชั้นระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง การเมืองจึงเกิดขึ้นในท่ามกลางชุมชนทางการเมืองที่ประกอบด้วย กลุ่มหลากหลายซึ่งมีผลประโยชน์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยมที่แตกต่างกันและมาอยู่ร่วมกันภายในอาณาเขต ปกครองเดียวกัน โดยมีกิจกรรมทางการเมืองเป็นเครื่องมือในการธํารงความเป็นระเบียบเรียบร้อยในชุมชน การเมืองนั้น จากความจําเป็นทางธรรมชาติของมนุษย์ที่ทําให้เกิดองค์กรทางการเมืองและกิจกรรมการเมือง ดังกล่าวข้างต้น

ทั้งนี้จากคํานิยามของอริสโตเติลจะเห็นได้ว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับการเมือง อาจ ยกตัวอย่างได้เช่น

1 นโยบายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจนถึง 3 ปี ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนโยบายที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ตั้งแต่เกิด ซึ่งมีผลกระทบต่อเด็กโดยตรง ทําให้เด็กสามารถเติบโตเป็น ประชากรที่มีคุณภาพของสังคมและเป็นกําลังในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต และยังมีผลกระทบโดยอ้อม ต่อพ่อแม่ที่เป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็ก ทําให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มี คุณภาพเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้

2 นโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยรายละ 3,000 บาท ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนโยบายที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยในสังคมไทย ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย โดยตรง ทําให้ประชาชนไม่เป็นหนี้เพิ่ม ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทําให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ และยังมีผลกระทบโดยอ้อมต่อรัฐบาล เพราะอาจเป็นการเพิ่มภาระสวัสดิการ สร้างวินัยการรอความช่วยเหลือ จากสังคมได้

3 นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนโยบายที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนชนชั้นล่างในสังคมไทย ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานโดยตรง ทําให้ผู้ใช้แรงงานได้ค่าจ้าง เพิ่มขึ้น และยังส่งผลกระทบโดยอ้อมต่อผู้ประกอบการหรือนายทุนที่ต้องแบกรับอัตราการผลิตที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าเมื่อก่อน อย่างเช่น เงินลงทุนที่จะต้องเพิ่มให้มากขึ้นเพื่อจะได้สินค้ามากขึ้น หากผลิตสินค้าออกมาน้อยก็จะไม่คุ้มกับค่าแรงที่ต้องจ่ายไปให้ผู้ใช้แรงงาน

4 นโยบายรถคันแรก ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนโยบายที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนชนชั้นกลางในสังคมไทย ซึ่งมีผลกระทบต่อกลุ่มชนชั้นกลางโดยตรง โดยกลุ่มชนชั้นกลางจะได้รับประโยชน์ จากนโยบายรถคันแรกที่สามารถได้ลดคืนภาษีสูงสุดถึง 100,000 บาท แต่ในขณะเดียวกันก็ทําให้หนี้สินครัวเรือน ของชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น

5 นโยบายภาษีมรดก ภาษีจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนโยบายที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนชนชั้นสูงในสังคมไทย ซึ่งมีผลกระทบต่อคนชนชั้นสูงโดยตรง เพราะต้องเสียภาษีให้แก่รัฐเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า มนุษย์กับการเมืองคือสิ่งที่ผูกพันกันมาตั้งแต่มนุษย์อยู่ในครรภ์มารดา มนุษย์ไม่สามารถปฏิเสธการเมืองได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพราะการเมืองได้สอดแทรกอยู่ในชีวิตประจําวันของมนุษย์ และการเมืองมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง การเมืองเป็นเรื่องที่ว่าด้วยการใช้อํานาจทางการบริหาร และการปกครอง ในเรื่องสาธารณะของรัฐในประเด็นต่าง ๆ ของสังคม ซึ่งสมาชิกของสังคมควรที่จะให้ความสําคัญและเอาใจใส่ต่อการดําเนินงานของรัฐ ดังนั้นการเมืองจึงมีความสําคัญแก่มนุษย์ในการดํารงชีวิตในทุกด้านตั้งแต่เกิดจนตาย

 

ข้อ 2 ความหมายและลักษณะของรัฐโลกาวิสัยมีอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ

คําว่า “รัฐโลกวิสัย” (Secular State) มาจากการรวมกันของคําในภาษาอังกฤษ 2 คํา คือ “Secular” และ “State” โดยคําว่า “Secular” หมายถึง เรื่องที่เกี่ยวกับทางโลกและเป็นเรื่องที่ไม่มีความ เกี่ยวข้องกับกิจการใด ๆ ของศาสนาเลย ส่วนคําว่า “State” หมายถึง รัฐหรือประเทศ

ถ้าพิจารณาจากรากศัพท์ “Secular State” หมายถึง รัฐที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางศาสนา ต่อประชาชนในรัฐนั้น ๆ ส่วนในภาษาไทยนั้นคําว่า “Secular State” มีการแปลเป็นหลายคํา บางคนก็แปลว่า “รัฐโลกียวสัย” หรือ “รัฐโลกียะ” หรือ “รัฐฆราวาส”

ความหมายของรัฐโลกวิสัย

รัฐโลกวิสัย (Secular State) คือ รัฐหรือประเทศที่เป็นกลางทางด้านศาสนา ไม่สนับสนุน หรือต่อต้านความเชื่อหรือการปฏิบัติทางด้านศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น รัฐโลกวิสัยจะปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ส่วนใหญ่จะไม่มีศาสนาประจําชาติ หรือหากมีศาสนาประจําชาติ ศาสนานั้นก็จะมี ความหมายทางสัญลักษณ์และไม่มีผลกระทบต่อชีวิตประจําวันของประชาชนในรัฐที่นับถือศาสนาอื่น

อีกความหมายหนึ่ง รัฐโลกวิสัย (Secular State) คือ รัฐสมัยใหม่ที่ยึดถือการปกครองด้วย หลักเหตุผลของมนุษย์ โดยหัวใจสําคัญของรัฐโลกวิสัย คือ การปกครองแบบทางโลกหรือการปกครองด้วยหลัก เหตุผลของมนุษย์ (เช่น การปกครองในระบอบประชาธิปไตยและสังคมนิยม) และต้องเป็นกลางทางศาสนา หมายถึงโดยมากแล้วรัฐหรือประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยและสังคมนิยมเป็นระบอบการปกครองที่ เคารพการตัดสินใจของสมาชิกของรัฐ โดยการตัดสินใจนี้ยึดเอาหลักการเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ในการตัดสินและ เชื่อว่าการตัดสินใจของเสียงข้างมากใช้หลักเหตุผลและผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลนั้น ๆ ในการตัดสินใจ บทบาทของรัฐในระบอบการปกครองทั้ง 2 ระบอบนี้รัฐจะต้องมีความเป็นกลางต่อประเด็นที่มีอยู่ระหว่างการ ตัดสินใจของสมาชิกในรัฐ

ดังนั้นจึงพอสรุปความหมายได้ว่า รัฐโลกวิสัย (Secular State) คือ รัฐหรือประเทศที่ไม่มีการ บัญญัติเรื่องศาสนาไว้ในกฎหมาย หมายความว่ารัฐไม่ควรมีการบัญญัติเกี่ยวกับศาสนาไว้ในกฎหมายใดของรัฐ ทั้งสิ้น คือ รัฐต้องมีความเป็นกลางต่อเรื่องการนับถือศาสนาของประชาชน และยิ่งกว่านั้นรัฐยังต้องให้เสรีภาพ กับประชาชนในการนับถือศาสนาอีกด้วย

ลักษณะของรัฐโลกวิสัย ลักษณะสําคัญของรัฐโลกวิสัยมี 4 ลักษณะ ดังต่อไปนี้

1 การไม่บัญญัติศาสนาใดเป็นศาสนาประจําชาติในกฎหมาย คือ การไม่ได้ระบุถึงศาสนา ประจําชาติ ไม่มีการยกศาสนาใดให้มีอภิสิทธิ์เหนือศาสนาอื่นและไม่มีการปกป้องศาสนาใดเป็นพิเศษ

หมายความว่า รัฐไม่ควรใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือต่อการจํากัดเสรีภาพของประชาชน ในการเลือกนับถือศาสนา และในขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงศาสนาอย่างเสมอภาค และเท่าเทียมกัน

ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศอินเดียที่สนับสนุนรัฐโลกวิสัย มีความเป็นเสรีภาพในการ นับถือศาสนาในความเชื่อโดยเสรี ดูแลทุกศาสนา ทําให้ทุกศาสนามีบทบาททางสังคม โดยที่รัฐบาลไม่ไปมีบทบาทมากนัก

2 กฎหมายต้องให้เสรีภาพทางศาสนาแก่ประชาชน คือ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ในทางการศาสนาควรได้รับอย่างเต็มที่จากรัฐและกฎหมายของรัฐอีกด้วย

หมายความว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิของตนเองแสดงออกและเสนอทางความคิดเห็น เรื่องศาสนาได้โดยไม่มีกฎหมายหมิ่นศาสนาเข้ามาควบคุมและสิทธิของประชาชนในการแสดงออกทางศาสนา ควรได้รับการคุ้มครองจากรัฐอีกด้วย เพราะว่าศาสนาเป็นสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลหรือเป็นเรื่องส่วนตัว

ยกตัวอย่างเช่น การที่ไม่มีองค์กรกลางที่พยายามควบคุมการตีความคําสอนหรือ พฤติการณ์ทางศาสนาของทุกคนให้เป็นแบบเดียวกัน เพราะศาสนาเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่ละบุคคลมีเสรีภาพ ในการตีความคําสอนหรือพฤติการณ์ทางศาสนา เพื่อที่จะนําไปปฏิบัติได้เอง

3 รัฐไม่มีการสนับสนุนศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นพิเศษ คือ รัฐไม่มีการใช้งบประมาณ จากเงินภาษีของประชาชนในรัฐไปสนับสนุนศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น พิธีการทางศาสนา เชิงสัญลักษณ์ ประจําศาสนา และกําหนดวันหยุดทางศาสนาในปฏิทินของประเทศ เป็นต้น

ยกตัวอย่างเช่น ในปฏิทินของประเทศต้องยกเลิกวันหยุดทางศาสนา หรือหากมีก็ไม่ใช่ วันหยุดภาคบังคับ แต่จะเป็นตัวเลือกของคนในศาสนานั้นเท่านั้น นอกจากนี้ในสถานศึกษาและหลักสูตรการศึกษา ต้องมีความเป็นกลางทางศาสนา ให้ศาสนาเป็นทางเลือก ไม่ใช่เรื่องบังคับ และมีเนื้อหาสําหรับการไม่นับถือศาสนา ไม่มีพิธีทางศาสนาในสถานศึกษา ยกเว้นเป็นโรงเรียนเอกชนที่แสดงชื่อและวัตถุประสงค์ทางศาสนาโดยตรงและ เปิดเผย

4 รัฐต้องไม่ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยเหตุผลทางศาสนา คือ การปฏิบัติของรัฐต่อประชาชน ควรใช้หลักการของเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าเหตุผลทางศาสนา ยิ่งกว่านั้นไม่ควรนําเอาศาสนาใด ศาสนาหนึ่งมาเป็นหลักแล้วนําเอาความคิดนั้นไปจัดการคนต่างศาสนา

หมายความว่า การกระทําความผิดของประชาชนใช้หลักกฎหมายในการตัดสิน การกระทํานั้นไม่ใช้หลักการทางศาสนาเป็นการกําหนดโทษ

ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ ถ้าใครคนหนึ่งถูกฟ้องว่าฆ่าคนตาย ศาลก็จะตัดสินลงโทษจําเลยเพราะกระทําความผิดฐานฆ่าคนตายตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่เพราะจําเลย ทําผิดศีลข้อหนึ่งในเบญจศีลที่ว่าห้ามฆ่าสัตว์

ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า ลักษณะของรัฐโลกวิสัย 4 ลักษณะข้างต้นนั้น มีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันเพื่อจะเป็นรัฐโลกวิสัย โดยเริ่มจากรัฐต้องไม่มีการบัญญัติเรื่องศาสนาไว้ในกฎหมายและรัฐควรปฏิบัติ ต่อประชาชนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมในเรื่องศาสนา นอกจากนั้นประชาชนยังมีสิทธิขั้นพื้นฐานในการเลือก นับถือศาสนา

 

ข้อ 3 จงอธิบายความหมายของคําต่อไปนี้ให้เข้าใจ (เลือกทําเพียง 3 ข้อย่อยเท่านั้น)

(1) รัฐโลกวิสัย

(2) ชาตินิยม

(3) สตรีนิยม

(4) ดอกบัวสี่เหล่า

(5) อลัชชี

(6) เดียรถีย์

แนวคําตอบ

(1) รัฐโลกวิสัย (Secular State) คือ รัฐหรือประเทศที่เป็นกลางทางด้านศาสนา ไม่สนับสนุนหรือต่อต้านความเชื่อหรือการปฏิบัติทางด้านศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น รัฐโลกวิสัยจะปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ส่วนใหญ่จะไม่มีศาสนาประจําชาติ หรือหากมีศาสนาประจําชาติ ศาสนานั้นก็จะมีความหมาย ทางสัญลักษณ์และไม่มีผลกระทบต่อชีวิตประจําวันของประชาชนในรัฐที่นับถือศาสนาอื่น

(2) ชาตินิยม (Nationalism) ตามรากศัพท์ภาษาละตินมีอยู่ 2 ความหมาย ได้แก่

1) มาจากคําว่า “Nasci” แปลว่า “การเกิดหรือกําเนิด” และ

2) มาจากคําว่า “Natio” แปลว่า “เป็นของ” หรือ “มาจากสถานที่ใดสถานที่หนึ่งโดยการเกิด”

ในปี ค.ศ. 1789 หลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส (The French Revolution) คําว่า “ชาติ” หมายถึง องค์รวมของประชาชน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากองค์รวมอื่น ๆ องค์รวมนี้ถูกมองว่าเป็นดุจบุคคลขนาดใหญ่ คนหนึ่ง ซึ่งมีเจตจํานงเดียว มีเป้าประสงค์ร่วมเพียงหนึ่งเดียว และที่สําคัญคือเป็นที่มาของอํานาจอธิปไตย

ความหมายลึกลงไปในทางการเมืองที่สืบย้อนไปถึง ค.ศ. 1712 – 1778 รุสโซ (Jacques Rousseau) ได้กล่าวถึง “ชาติ” ว่าหมายถึง กลุ่มบุคคลที่ผูกพันอยู่ด้วยกัน โดยถือเกณฑ์การเป็นพลเมือง (Citizenship) ของหน่วยหรือสังคมการเมืองเดียวกัน และในยุโรปได้นํามาใช้จนทําให้บทบาททางการเมืองมีการ เปลี่ยนแปลงอย่างสูง เช่น การแต่งเพลงประจําชาติ (National Anthems) การมีธงชาติประจําชาติ (National Flag) เป็นต้น วิธีการดังกล่าวเป็นการส่งผ่านหรือกระตุ้นให้คนในประเทศนั้นเกิดความรักชาติของตน

(3) สตรีนิยม (Feminism) ถือกําเนิดในประเทศฝรั่งเศสและเริ่มปรากฏใช้ใน ค.ศ. 1890 แนวคิด ของสตรีนิยมในช่วงนี้อยู่บนฐานของความเชื่อว่าด้วยความเสมอภาคและความเป็นอิสระของเพศหญิง

ส่วนในภาษาอังกฤษคําว่า “สตรีนิยม” คือ “Feminist” ซึ่งอุดมการณ์ของคํานี้ คือ อุดมการณ์ ที่พยายามส่งเสริมและยกระดับสถานภาพและบทบาททางสังคมของผู้หญิงไม่ให้ต่ําต้อยกว่าผู้ชาย

สาระสําคัญของอุดมการณ์สตรีนิยม คือ การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคแก่ ผู้หญิงในทุกด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ทัดเทียมกับผู้ชาย โดยเห็นว่าสังคมมนุษย์นับตั้งแต่อดีตตกอยู่ ภายใต้อิทธิพลความคิดผู้ชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ทําให้ผู้หญิงถูกกีดกัน ไม่ได้รับความเสมอภาคในด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง การแสดงความคิดเห็น ทรัพยากร เศรษฐกิจ และสังคม เป็นต้น

สตรีนิยมจึงเห็นว่าความแตกต่างระหว่างเพศหญิงกับเพศชายของบุคคลมิได้เป็นเพียงความ แตกต่างทางสรีรวิทยาตามธรรมชาติเท่านั้น หากเป็นความแตกต่างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งมนุษย์ เป็นผู้สร้าง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าสรีรวิทยาตามธรรมชาติทางเพศนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคในสังคมทั่วไป

(4) ดอกบัวสี่เหล่า เป็นการแยกบุคคลของพระพุทธเจ้าในการเข้าถึงหลักธรรมของพระองค์ ออกเป็น 4 พวก ผ่านการเปรียบเทียบกับดอกบัว 4 เหล่า ดังนี้

1) บัวใต้โคลน คือ พวกที่ไร้สติปัญญา แม้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ไม่มีความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่โคลนตม และอาจจะตกเป็นอาหารของเต่า ปลา อีกด้วย ไม่มีโอกาส โผล่ขึ้นพ้นน้ําเพื่อเบ่งบาน

2) บัวใต้น้ำ คือ “พวกที่มีสติปัญญาน้อย เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรม ฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อ มีสติมั่น ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง

3) บัวเสมอน้ำ คือ พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เพื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับ การอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม ก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวัน ถัดไป

4) บัวเหนือน้ำ คือ พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจ ในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ํา เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ก็จะเบ่งบานทันที

(5) อลัชชี เป็นคําศัพท์ที่ใช้เรียกนักบวชในศาสนาผู้ไม่ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมคําสอนของ พระศาสดา เป็นผู้นอกรีตที่ทําให้ศาสนาเสื่อมเสียและไม่มีความละอายต่อสิ่งที่กระทํานั้น เช่น อลัชชีในพระพุทธศาสนา คือ พระสงฆ์ที่ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยและทําให้พระธรรมวินัยขาด เช่น พระสงฆ์ที่เสพเมถุน ดื่มสุราเมรัย เป็นต้น

(6) เดียรถีย์ หมายถึง นักบวชนอกศาสนาในอินเดียสมัยพุทธกาลอีกความหมายหนึ่ง เดียรถีย์ หมายถึง พวกที่มีลัทธิความเชื่อถืออย่างอื่นนอกจากพระพุทธศาสนา

ในพระวินัยปิฎกมีว่า ถ้าเดียรถีย์คนใดต้องการจะบวชในพระพุทธศาสนา ต้องได้รับการฝึกอบรม เพื่อทดสอบดูว่าผู้นั้นมีความเลื่อมใสจริงเสียก่อนจึงอนุญาตให้บวชได้

 

ข้อ 4 จงอธิบายความแตกต่างของ “การปกครองคณะสงฆ์ในช่วงพุทธกาล” (สมัยพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพ) กับ “การปกครองคณะสงฆ์ไทยปัจจุบัน” มาโดยละเอียด พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ

การปกครองคณะสงฆ์ในช่วงพุทธกาล มีดังนี้

1 พิจารณาเป็นรายกรณี คือ พระองค์จะใช้วิธีประชุมสงฆ์ในการพูดคุยตัดสินเป็นรายกรณี โดยใช้วิธีการปกครองด้วยรูปแบบสามัคคีธรรม ซึ่งเนื้อหาในการปกครองไม่มีเนื้อหาทางโลกย์ แต่มีเนื้อหาทางธรรม ที่ใครก็สามารถเข้าร่วมได้ และไม่มีการแบ่งชนชั้นกันเองภายในคณะสงฆ์

2 พรรษาที่ 12 พระพุทธเจ้าได้เริ่มบัญญัติพระวินัยเรื่องแรก คือ เรื่องการปาราชิก สิกขาบทที่ 1 ซึ่งถือเป็นการเกิดพระวินัยครั้งแรก

3 การบัญญัติพระวินัยอาจเกิดเป็นทางการเมืองหรือตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่การตัดสิน ตามพระวินัยพระพุทธเจ้าจะดําเนินการด้วยความยืดหยุ่นและตามความเป็นจริง

4 ใช้พื้นฐานการปกครองแบบสามัคคีธรรมที่มีคณะสังฆะหรือคณะสงฆ์ มาใช้ในการ ปกครอง ได้แก่

-ให้คณะสงฆ์เป็นผู้แทนของพระพุทธองค์ในการเผยแผ่ธรรมเท่านั้น

– ทรงเปิดกว้างทางทัศนะที่แตกต่างออกไป และพร้อมแลกเปลี่ยน โดยไม่ชื่นชมหรือติเตียน (การวางตนในทางสายกลาง)

– ใช้การอธิบายและปฏิบัติเป็นสิ่งที่พิสูจน์หลักธรรมของพระองค์ กล่าวคือ หลักธรรมหรือการปฏิบัติตนของพระองค์สามารถพิสูจน์ได้ผ่านการพูดคุยหรือการปฏิบัติให้เห็น แก้ไขปัญหาความขัดแย้งในคณะสงฆ์ด้วยหลักขันติธรรม ทรงใช้การตักเตือน หรือชี้ให้เห็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ แต่ถ้าไม่เป็นผลในบางกรณีพระองค์ทรงใช้การนิ่งเฉยไม่อยู่ร่วมสังฆกรรม

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการปกครองคณะสงฆ์สมัยพุทธกาล เป็นการปกครองภายในศาสนาเอง โดยใช้การปกครองรูปแบบสามัคคีธรรมที่มีเนื้อหาในการปกครองทางธรรมที่ใครก็สามารถเข้าร่วมได้ และถึงแม้ จะมีพระวินัย แต่ในทางปฏิบัติพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ปฏิบัติอย่างมีความยืดหยุ่นและพิจารณาจากความเป็นจริง เป็นต้น ทั้งนี้การปกครองคณะสงฆ์ในช่วงพุทธกาลมีความแตกต่างจากการปกครองคณะสงฆ์ไทยปัจจุบันในประเด็น ต่อไปนี้

ความแตกต่างจากการปกครองคณะสงฆ์ไทยปัจจุบัน มีดังนี้

1 มีการแบ่งชนชั้นการปกครองในคณะสงฆ์ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุข และมี มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรบริหารในสมัยพุทธกาล ไม่มีการแบ่งชนชั้นกันเองภายในคณะสงฆ์ โดยพระพุทธเจ้าได้ใช้รูปแบบ คณะสงฆ์มาใช้ในการปกครองหมู่ภิกษุและภิกษุณีในพุทธศาสนา

2 มีการใช้หลักพระธรรมวินัยในการปกครอง และมีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการ ปกครองด้วย โดยกฎหมายที่ใช้เป็นหลักในการจัดรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบัน คือ พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505

ในสมัยพุทธกาล มีพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นกฎหมายสูงสุดเพียงฉบับเดียว

3 มีฝ่ายสอบสวนพิจารณาโทษ โดยมีพระวินัยธรทําหน้าที่สอบสวนพิจารณาโทษพระสงฆ์ ที่ทําผิดพระธรรมวินัยในสมัยพุทธกาล ถึงแม้จะมีพระวินัย แต่การตัดสินตามพระวินัยจะดําเนินการด้วย ความยืดหยุ่นและตามความเป็นจริง โดยพระองค์จะยึดบริบทแวดล้อมและดูเจตนาเป็นหลัก ทําให้มีความยืดหยุ่น ค่อนข้างสูง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า “การปกครองคณะสงฆ์ในช่วงพุทธกาล” กับ “การปกครองคณะสงฆ์ไทย ปัจจุบัน” มีความแตกต่างในประเด็นดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า สภาพแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนไป ทําให้การปกครองคณะสงฆ์มีความแตกต่างกันไปตามยุคสมัย

 

ข้อ 5 โปรดอธิบาย “หลักการปกครอง” ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงให้เข้าใจ และให้มีเนื้อหาของแต่ละเรื่องด้วย

แนวคําตอบ

ไตรภูมิพระร่วง เป็นพระราชนิพนธ์ของพญาลิไท กษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย โดยพญาลิไททรงศรัทธาในความเป็นจักรพรรดิที่เป็นธรรมราชา โดยทรงเห็นว่า พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็น ต้นแบบของธรรมราชาและทรงประสงค์จะยึดถือปฏิบัติธรรมตามแบบนั้นเพราะทรงต้องการที่จะเป็นธรรมราชา เช่นเดียวกัน

การที่พญาลิไททรงประพันธ์ไตรภูมิพระร่วงนั้น ทรงเป็นความพยายามที่จะใช้พุทธศาสนา เป็นเครื่องมือทางการเมือง และกล่าวได้ว่า ไตรภูมิพระร่วงจัดว่าเป็นแนวคิดทางการเมืองไทยที่เป็นระบบและ ชัดเจนที่สุด มีความต่อเนื่องและได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนามากที่สุด

ทั้งนี้ “หลักการปกครอง” ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง มีดังนี้

(1) ทศพิธราชธรรม ประกอบด้วย

1 ทาน (ทาน) คือ การให้

2 ศีล (สีล) คือ การตั้งสังวรรักษากาย วาจา ให้สะอาดปราศจากโทษ

3 การบริจาค (ปริจจาค์) คือ การบริจาคสละ

4 ความซื่อตรง (อาชชว์) คือ การมีความซื่อตรง

5 ความอ่อนโยน (มททว) คือ การมีอัธยาศัยอ่อนโยน

6 ความเพียร (ตป) คือ การกําจัดความคร้านและความชั่ว

7 ความไม่โกรธ (อกโกธ์) คือ การไม่โกรธ

8 ความไม่เบียดเบียน (อวิห์สญจ) คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตลอดจนสัตว์ให้ได้ทุกข์ยาก

9 ความอดทน (ขนุติญจ) คือ ความอดทนต่อสิ่งที่ควรอดทนเป็นเบื้องหน้า 10 ความไม่พิโรธ (อวิโรธน์) คือ การปฏิบัติไม่ให้ผิดจากการที่ถูกที่ตรงและดํารงอาการคงที่ไม่ให้วิการด้วยอํานาจยินดียินร้าย

ทศพิธราชธรรมเป็นธรรมที่กล่าวถึงคุณลักษณะส่วนตัวของผู้ปกครอง ถือเป็นเครื่องมือยึดเหนี่ยว ไม่ให้ผู้ปกครองทําร้ายหรือรังแกผู้ใต้ปกครอง

(2) จักรวรรดิวัตร 12 ประการ มีดังนี้

1 ควรพระราชทานโอวาทและอนุเคราะห์คนภายในราชสํานักและคนภายนอกจนถึงราษฎร

2 ควรทรงผูกพระราชไมตรีสมานราชสัมพันธ์กับกษัตริย์

3 ควรทรงสงเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์ตามควรแก่พระอิสริยศ

4 ควรทรงเกื้อกูลพราหมณ์ คฤหัสถ์ และคฤหบดีชน

5 ควรทรงอนุเคราะห์ประชาชนชาวนิคมชนบทโดยฐานานุรูป

6 ควรทรงอุปการะสมณพราหมณ์ผู้มีศีลประพฤติชอบด้วยพระราชทานไทยธรรมบริขารเกื้อกูลแก่ธรรมปฏิบัติ

7 ควรทรงจัดรักษาฝูงเนื้อ และนกด้วยพระราชทานอภัยไม่ให้ใครเบียดเบียนทําอันตรายจนเสื่อมสูญพืชพันธุ์

8 ควรทรงห้ามชนทั้งหลายไม่ให้ทํากิจการที่ไม่ประกอบด้วยธรรม ชักนําให้ตั้งอยู่ในกุศลสุจริตส่วนชอบ ประกอบการเลี้ยงชีพโดยทางธรรม

9 ชนใดขัดสนไม่มีทรัพย์พอเลี้ยงชีพโดยสัมมาอาชีวะได้ ควรพระราชทานพระราชทรัพย์เจือจานให้เลี้ยงด้วยวิธีอันเหมาะสม ไม่ให้แสวงหาด้วยทุจริต 10 ควรเสด็จเข้าไปใกล้สมณพราหมณ์ ตรัสถามถึงบุญ บาป กุศล อกุศลให้กระจ่างชัด

11 ควรทรงตั้งวิรัติห้ามจิตไม่ให้เกิดอธรรมราคะในอาคมนิยสถาน

12 ควรทรงประหารวิสมโลภเจตนา ห้ามจิตไม่ให้ปรารถนาลาภที่มิควรได้จักรวรรดิวัตร 12 ประการ จะครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับการปกครอง และมีความคล้ายคลึงกับ จารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชมาก

(3) ธรรมที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสั่งสอนกษัตริย์ทั้งหลาย

นอกจากทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตร 12 ประการแล้ว ยังมีหลักธรรมที่พระเจ้าอโศก มหาราชได้สั่งสอนกษัตริย์ตามหัวเมืองที่ทรงสวามิภักดิ์ ซึ่งกว้างขวางกว่าทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตร 12 ประการ ซึ่งปรากฏในไตรภูมิพระร่วง ดังนี้

1 ให้รักประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองอย่างเสมอหน้ากัน

2 ให้ผู้ปกครองยึดมั่นในหิริโอตัปปะ และดําเนินการปกครองตัดสินข้อพิพาทของประชาชนอย่างเที่ยงธรรม

3 ไม่ให้ขูดรีดเอาเปรียบประชาชน

4 ให้เลี้ยงดูไพรที่ใช้งานและทหารอย่างพอควร ไม่ควรเกณฑ์แรงงานผู้เฒ่า

5 ควรเก็บภาษีเงินส่วนจากราษฎรตามอัตราเดิมไม่ควรเก็บส่วยเพิ่ม

6 ควรสนับสนุนช่วยเหลือเกื้อกูลพ่อค้าประชาชน ไม่ให้คิดดอกเบี้ย

7 ควรชุบเลี้ยงข้าราชสํานักให้สุขสบายโดยไม่คิดเสียดาย

8 ควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและไม่ลืมตน

9 ควรเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ นักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้รู้ธรรมและปรึกษาผู้รู้อยู่เสมอ

10 ผู้ปกครองควรให้สิ่งตอบแทนบําเหน็จรางวัลแก่ผู้ทําความดีมากน้อยตามประโยชน์ที่เขานํามาให้

ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า “ธรรม” ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงข้างต้น ซึ่งได้แก่ ทศพิธราชธรรม ส่วนจักรวรรดิวัตร 12 ประการ และธรรมที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสั่งสอนกษัตริย์ทั้งหลาย ถือเป็น “หลักการ ปกครอง” ในสมัยพญาลิไท

Advertisement