POL3314 การบริหารชุมชนเมือง 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3314 การบริหารชุมชนเมือง

คําสั่ง ข้อสอบมี 7 ข้อ ให้เลือกทําเพียง 4 ข้อ โดยระบุข้อที่ทําให้ชัดเจน

ข้อ 1 การเพิ่มของประชากรโลกในปัจจุบันซึ่งมีอยู่ถึง 7,500 ล้านคนได้ส่งผลให้เกิดอะไรอย่างไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่าง

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

ผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก มีดังนี้

1 ด้านแหล่งน้ำจืด (Fresh Water) เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำจืด เพราะว่ามนุษย์ก็จะพยายามขยายพื้นที่อยู่อาศัยออกไปเรื่อย ๆ อาจจะถมที่ดินหรือสร้างบ้านจัดสรรก็ทําให้ เกิดการบุกรุกเบียดเบียนแหล่งน้ำจืด ส่งผลให้ระบบวงจรของน้ำที่ระเหยจากแหล่งน้ำเป็นไอน้ำขึ้นไปกลายเป็นเมฆ แล้วก็กลั่นตัวลงมาเป็นฝนมีปริมาณลดน้อยลง 74% ตั้งแต่ปี 1950 และคาดการณ์ว่าจะถึงปี 2050 ซึ่งจะส่งผลกระทบ ต่อแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น เขื่อน แม่น้ำ ฯลฯ ในหลาย ๆ ประเทศก็ประสบกับปริมาณน้ำลดน้อยถอยลงและแห้งแล้ง หรือบางภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกในบางฤดูกาลก็เกิดปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นผลมาจากการบุกรุกแหล่งกักเก็บน้ำต่าง ๆ และทําลายป่าไม้ด้วย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะประสบกับปัญหาปริมาณน้ำลดน้อยถอยลง ปริมาณน้ำเพื่อการบริโภคอุปโภคที่จะส่งไปยังประชากรก็ลดลงด้วย ซึ่งได้มีการคาดการณ์ว่าแหล่งน้ำจืดเพื่อการบริโภคอุปโภคจะมี ปัญหาส่งผลกระทบต่อน้ำเพื่อการชลประทาน และอัตราของน้ำเฉลี่ยต่อคนก็จะลดน้อยถอยลง

2 ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์มักจะมี ระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ด้วย เช่น มีแม่น้ำ ลําธาร ป่าไม้ ภูเขา สัตว์ป่า พืชพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอาหารของปลาและ สัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบห่วงโซ่อาหาร เมื่อเกิดภาวะโลกร้อนเกิดความแห้งแล้ง พื้นที่ชุ่มน้ำหรือพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เหล่านี้ก็เกิดปัญหาความเดือดแห้งส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อประมาณ 65 ล้านกว่าปี ที่ผ่านมานี้ สิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์ได้สูญพันธุ์ไป 100 – 1000 เท่า ซึ่งนอกจากภัยธรรมชาติแล้วยังเกิดจากมนุษย์ ที่ทําลายด้วย อย่างในพื้นที่ชุ่มน้ำอุดมสมบูรณ์อาจเคยมีนกเป็ดน้ำ สัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ นับวันก็จะลดน้อยถอยลงและสูญพันธุ์ไป รวมทั้งสัตว์ป่าบางชนิดก็จะสูญพันธุ์ไปด้วย เช่น กูปรี ละมั่ง เลียงผา จามรี เป็นต้น

3 ด้านการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) ภาวะโลกร้อนหรือภูมิอากาศ เปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากการกระทําของมนุษย์ และปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสังคมเมืองและภาคอุตสาหกรรม ที่ปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนเกิดการสะสมและทําลายชั้นโอโซน (Ozone Layer) ซึ่งเรียกว่า “ภาวะเรือนกระจก” ก็มีแนวโน้มทําให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบทําให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อแหล่งอาหาร สภาวะทางธรรมชาติ และตัวมนุษย์เราเองด้วย

4 ด้านการประมงหรือการจับปลาในมหาสมุทร (Oceanic Fish Catch) การจับสัตว์น้ำทางทะเลส่งผลต่อการลดลงของปริมาณกุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ตั้งแต่ปี 1950 – 1988 อัตราการจับสัตว์น้ำเหล่านี้ เพิ่มขึ้นมากจาก 19 ล้านตัน มาเป็น 88 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าการเพิ่มขึ้นของจํานวนประชากรเสียอีก แต่หลังปี 1988 เป็นต้นมาอัตราการจับปลาก็ลดลง ซึ่งในปี 1996 อัตราการจับสัตว์น้ำเหล่านี้ลดลงถึง 16 กิโลกรัม/คน ลดลง ประมาณ 9% อย่างไรก็ตามการจับสัตว์น้ำก็ยังมีมากอยู่ เพราะว่าคนนิยมบริโภคอาหารทะเลกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งอัตราการจับสัตว์น้ำลดลงนั้น เป็นผลมาจากสัตว์น้ำเริ่มลดจํานวนลงและสูญพันธุ์ ก็ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีจํานวน เพิ่มมากขึ้นและยังมีการใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างฟุ่มเฟือย นักชีววิทยาทางทะเลได้กล่าวไว้ว่า อัตราการจับสัตว์น้ำ

ในปัจจุบันนี้มีประมาณปี 93 ล้านตัน ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อจํานวนประชากรโลก อีกหน่อยมนุษย์เราก็อาจจะมีอาหารเหล่านี้รับประทานกันน้อยลงและยากขึ้น

5 ด้านการมีงานทําหรือการจ้างงาน (Jobs) ประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานและตําแหน่งงาน ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้มีจํานวนแรงงานเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว ประชากรที่อยู่ในวัยแรงงานของโลกจาก 1.2 พันล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 2.7 พันล้านคน องค์การแรงงาน ระหว่างประเทศได้คาดการณ์ว่าจะมีคนตกงานถึง 1 พันล้านคน พอถึงครึ่งศตวรรษที่ 21 นี้ (ประมาณปี 2050) จะมี คนตกงานประมาณเกือบ 2 พันล้านคน ซึ่งมากกว่าตําแหน่งงานที่มีอยู่ประมาณ 1.9 พันล้านตําแหน่ง และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นปัญหาในสังคมที่กําลังพัฒนา เพราะว่ามีอัตราการเกิดและจํานวนประชากรมาก และก็เข้าสู่ตลาดแรงงาน เป็นจํานวนมากด้วย ในขณะที่ตําแหน่งงานที่มีอยู่ มีจํานวนอัตราตําแหน่งเติบโตน้อยกว่าแรงงานเสียอีก

6 ด้านพื้นที่การเพาะปลูก (Cropland) ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ผ่านมาอัตราการเพิ่มประชากรโลกมีจํานวนมากกว่าพื้นที่การเพาะปลูกต่าง ๆ พื้นที่การเพาะปลูกโดยเฉลี่ยต่อจํานวนประชากรที่มีจํานวนลดน้อยถอยลง ซึ่งก็ได้ส่งผลกระทบเชื่อมโยงไปยังแหล่งอาหาร ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าอาหารหรือตลาดอาหารต่าง ๆ ด้วย หากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกก็ยิ่งทําให้พื้นที่เพาะปลูกและผลิตผลมีจํานวนลดน้อยลงไป

7 ด้านป่าไม้ (Forests) การที่มีจํานวนประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นทําให้เกิดการบุกรุกตัดไม้ ทําลายพื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น เพื่อการเพาะปลูกต่าง ๆ ที่อยู่อาศัย และการขยายตัว ของเมือง เป็นต้น ส่งผลให้พื้นที่ป่ามีจํานวนลดน้อยลง และพื้นที่ป่าต่อประชากรหนึ่งคนก็ลดลงด้วย โดยเฉพาะ ในประเทศกําลังพัฒนา แต่ก็มีบางพื้นที่ที่มีจํานวนป่าเพิ่มขึ้นคือ ยุโรป และรัสเซีย

8 ด้านที่อยู่อาศัย (Housing) การเพิ่มขึ้นของประชากรโลกมีแนวโน้มเติบโตและรวดเร็วมาก ความต้องการที่อยู่อาศัยหรือการสร้างบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยก็เพิ่มมากขึ้น แต่ปัญหาโดยทั่วไปของมนุษย์ที่ต้องการ มีที่อยู่อาศัยคือ ที่อยู่อาศัยมักจะมีราคาสูงมากอย่างเช่นในเมือง ที่ดินก็จะมีราคาแพงมากส่งผลให้บ้านก็มีราคาแพง ตามไปด้วย ซึ่งคนที่มีรายได้น้อยในสังคมเมืองก็หาซื้อได้ลําบาก จึงจําเป็นต้องอยู่อาศัยในที่มีพอดํารงชีพได้ ซึ่งก็มักจะเป็นแหล่งชุมชนแออัด ซึ่งอาจเกิดจากการขาดการวางผังเมือง หรือการใช้ที่ดินไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดปัญหา ความแออัด แหล่งเสื่อมโทรม ปัญหาของเสียและของเหลือใช้ต่าง ๆ เป็นต้น

9 ด้านพลังงาน (Energy) ในช่วง 200 กว่าปีมานี้มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์ก็เริ่มมีการใช้พลังงานต่าง ๆ ที่มีความทันสมัยมากขึ้น จากเดิมที่ใช้พื้น ถ่านกลายมาเป็นใช้น้ํามัน ก๊าซ ฯลฯ และยิ่งมี การพัฒนาอุตสาหกรรม พัฒนาเมืองและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ รวมทั้งพัฒนาความทันสมัยในด้านต่าง ๆ แล้ว ก็ยิ่งมีความต้องการที่จะใช้พลังงานมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะใช้พลังงานที่มาจากน้ำมันและก๊าซมาก แต่ไม่ค่อย พัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากนัก เช่น พลังงานแสงแดด พลังงานใต้ผืนพิภพ พลังงานลม เป็นต้น ก็เพิ่งจะเริ่มมีการตื่นตัวในการพัฒนาไม่กี่ปีมานี้เอง ซึ่งความเป็นเมืองนี้เองที่เป็นศูนย์กลางทําให้มีการใช้พลังงาน อย่างมาก ความต้องการในการใช้พลังงานของประชากรโลกก็มีจํานวนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากว่าประเทศกําลังพัฒนา ก็มักจะพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและมีการใช้พลังงานเป็นอย่างมากด้วย ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าช และน้ำมัน ซึ่งได้ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้การที่มีความต้องการใช้พลังงานมาก ก็ส่งผลให้เกิดการใช้พลังงานชีวมวลด้วย จากที่เคยปลูกพืชเพื่อการบริโภคก็ต้องปลูกพืชเพื่อผลิตเป็นพลังงาน เช่น การปลูกอ้อย มันสําปะหลัง และข้าวโพด ฯลฯ เพื่อนําไปผลิตเป็นพลังงานที่เรียกกันว่า ไบโอดีเซล เป็นต้น

10 ด้านการสร้างชุมชนเมืองหรือพัฒนาความเป็นเมือง (Urbanization) ประชากรโลก มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็มีความปรารถนาที่ต้องการอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี มีอากาศบริสุทธิ์ อาหารและน้ำสะอาด มีบ้านอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่สะอาด และทํางานในสถานที่ที่ปลอดภัย มีการควบคุมป้องกันมลพิษตลอดจนพิษภัยอันตรายจากโรคต่าง ๆ มีการดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนแต่เนื่องจากความต้องการ ในการอยู่อาศัยของประชาชนในชุมชนเมืองมีมาก ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรม การค้า การท่องเที่ยว ย่อมส่งผลกระทบต่อการพัฒนาความเป็นเมืองหรือการสร้างบ้านแปลงเมือง ชุมชนเมืองและการอยู่อาศัยของมนุษย์บนโลกโดยรวม ซึ่งจะทําให้เกิดปัญหาความต้องการในด้านการบริโภค อุปโภค การขาดแคลน ทรัพยากรและสิ่งจําเป็นพื้นฐานตามมา เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย พลังงาน และทรัพยากรประเภทอื่น ๆ เป็นต้น

ข้อ 2 จงอธิบายความหมายและความสําคัญของ “เมือง” และ “ชุมชนเมือง” ต่อสังคมมนุษย์โลกมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 47309 หน้า 39, 55, 59 – 60)

นิยามและการเกิดขึ้นมาของเมืองหรือชุมชนเมือง เมือง (City/Urban) มีความหมายดังนี้ คือ

– การตั้งถิ่นฐานถาวรขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างถาวร (อันได้แก่ บ้านเรือน) มีสิ่งอํานวยความสะดวกด้านการสาธารณูปโภค (เช่น ประปา ไฟฟ้า และถนน เป็นต้น)

– เมืองจะเป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองจํานวนมาก มีความหนาแน่นของประชากรอยู่ในระดับสูง ประชากรของแต่ละเมืองจะประกอบไปด้วยคนต่างเพศ ต่างสถานภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรกรรม

– เมืองจะมีระบบการบริหารและการปกครองเป็นของตนเอง

– เมืองจะประกอบด้วยองค์กรทางสังคมต่าง ๆ มากมาย

– เมืองจะเป็นศูนย์รวมของขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เช่น ในเชิงทางประวัติศาสตร์ เมืองจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และการศึกษา การตลาดและการพาณิชยกรรม การบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารขององค์กรเอกชนต่าง ๆ การศาสนาและประเพณี

– เมืองบางแห่งอาจเกิดขึ้นเพื่อทําหน้าที่พิเศษเฉพาะด้าน เช่น เมืองหน้าด่านและป้อมปราการทําหน้าที่ป้องกันตนเองและป้องกันเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบเมืองเดียวกัน

– เมืองกลายเป็นผู้ใช้และผู้ผลิตที่เพิ่มค่าทางเศรษฐกิจของวัตถุดิบและการบริโภค/อุปโภคอย่างมากมาย จนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศ เช่น การค้า การธนาคาร การบริหารอุตสาหกรรม การขนส่งคมนาคม แหล่งขายปลีก ตลอดจนเป็นศูนย์กลางของรัฐบาล

Urban คือ เมืองหรือชุมชนเมือง (Urban Community) คือ ชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีสาระสําคัญหรือจุดร่วมของความเป็นเมือง อันได้แก่ ความเป็นศูนย์กลางในด้านต่าง ๆ ความหนาแน่น วิถีชีวิต หรือในแง่ของการเมืองการบริหาร เป็นต้น

ความสําคัญของเมืองหรือชุมชนเมือง มีดังนี้

1 ในฐานะที่เป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัย หน้าที่นี้ถือเป็นบทบาทโดยทั่วไปของเมืองหรือ ชุมชนเมือง เพราะเมื่อประชาชนเลือกที่จะอยู่อาศัยในเมืองนั้น ๆ แล้ว เมืองจึงไม่อาจปฏิเสธบทบาทตามความคาดหวังของผู้ที่อยู่อาศัย ดังนั้นกิจกรรมต่าง ๆ ของเมืองจะต้องดําเนินไปได้อย่างราบรื่นและเป็นปกติสุข ซึ่งกิจกรรมหลักได้แก่ การสร้างสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่ดีน่ารื่นรมย์ การสร้างให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์แก่เมือง การสร้างกิจกรรมทางสังคมที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้คนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างได้ผล

2 ในฐานะที่เป็นเมืองศูนย์กลางของภูมิภาค ได้แก่ ความพยายามของประเทศต่าง ๆ ที่จะให้เมืองเป็นศูนย์กลางการติดต่อ ศูนย์กลางเศรษฐกิจ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ เช่น ประเทศไทยต้องการให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางทางการบินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

3 ในฐานะเป็นเมืองนานาชาติ จากการเป็นเมืองนานาชาติจะเป็นไปเพื่อรองรับความ ต้องการของมนุษย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของโลก นอกจากนี้ฐานะที่ได้เปรียบของเมืองในทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศยิ่งจะเอื้อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันได้ ในลักษณะนี้ เมืองมหานครของหลาย ๆ ประเทศจะมีการเชื่อมสัมพันธ์ในกิจกรรมที่สนใจร่วมกันเป็นเครือข่ายเพื่อประโยชน์ ในทางเศรษฐกิจ เช่น การเป็นเมืองท่า เมืองพี่เมืองน้อง เมืองพันธมิตร เป็นต้น

4 ในฐานะที่เป็นเมืองน้ำการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศต่าง ๆ จะใช้ เมืองมหานครซึ่งมีศักยภาพในทางเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม การขนส่ง และการบริการในสาขาต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว เป็นตัวช่วยให้เกิดการขยายตัวในทางเศรษฐกิจ หรือเหนี่ยวนําให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

ข้อ 3 คํากล่าวในยุคร่วมสมัยที่ว่า “ปัญหาของสังคมโลกคือปัญหาของสังคมเมือง” คืออะไร อย่างไรจงอธิบาย ?

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 47309 หน้า 182 – 187)

ปัญหาของสังคมโลกคือปัญหาของชุมชนเมือง

มนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาที่ต้องการอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี มีอากาศบริสุทธิ์ อาหาร และน้ำสะอาด มีบ้านอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่สะอาด และทํางานในสถานที่ที่ปลอดภัยมีการควบคุมป้องกันมลพิษ ตลอดจนพิษภัยอันตรายจากโรคต่าง ๆ มีการดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชน แต่เนื่องจากความต้องการในการอยู่อาศัย ของประชาชนในชุมชนเมืองมีมากประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรม การค้า การท่องเที่ยว ส่งผลให้สภาวะแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนเกิดปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อมในเมือง

การวิเคราะห์ปัญหาของสังคมโลกในปัจจุบัน นอกจากจะพิจารณาปัจจัยรอบด้านในเชิงระบบ แล้วก็อาจพิจารณาปัญหาโดยจําแนกแยกส่วนวิเคราะห์ หรือการขีดวงจํากัดในการพิจารณาและแก้ไขปัญหาด้วยก็ได้ ซึ่งชุมชนเมืองเป็นระบบของสังคมหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกับปัจจัยต่าง ๆ ทั้งในแง่รับ และในแง่ส่งผลต่อปัจจัยใน ส่วนย่อย หรือส่วนใหญ่ที่เป็นสิ่งแวดล้อมของระบบเมือง ในขณะเดียวกันภายในระบบของเมืองเองก็มีปฏิสัมพันธ์ ที่ส่งผลและรับผลซึ่งกันและกันด้วย

 

สถานการณ์ที่เป็นปัญหาสําคัญของโลก มี 5 ประการ คือ

1 ความยากจนข้นแค้นท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องความจนนี้ Macawber ได้ให้ ทัศนะไว้ในลักษณะการกําหนดระดับ/ขนาดหรือเกณฑ์มาตรฐานแบ่งความไม่จนออกจากความจนว่า ความจนอาจมี ปัจจัยที่สําคัญเป็นเครื่องบ่งชี้ ได้แก่ในด้านเศรษฐกิจ เช่น ความไม่มีอํานาจและต้องพึ่งพาผู้อื่น ขัดสนหรือจนในแง่ ของสุขภาพอนามัย การได้รับการศึกษาอย่างไม่พอเพียง การไม่มีความสะอาดของที่อยู่อาศัย ความเป็นส่วนตัว หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เป็นต้น

คนจนในเมือง (Urban Poor) หรือคนระดับล่าง (Urban Underclass) คือ กลุ่มประชากร ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนเมืองตามย่านต่าง ๆ ซึ่งตกอยู่ในภาวะความยากจนมาช้านาน โดดเดี่ยวจากสังคม ผืนวิถี ของปทัสถานและค่านิยมอันดีงามของสังคมและเป็นผู้ที่สิ้นหวัง

2 ความทรุดโทรมของสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ปัญหามลพิษทางน้ำ อากาศ ดิน และสารเคมี หรือปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมสลายและหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ ป่าไม้ พืช สัตว์ ทั้งที่ เป็นอาหารและเพื่อเป็นพลังงาน หรือควรที่จะอนุรักษ์ไว้เพื่อใช้ในระยะยาวและเพื่อการศึกษาวิจัย

3 ปัญหาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ เป็นปัญหาในเชิงระบบที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ ใน สังคมและชุมชน โดยต้องพิจารณาปัญหาทั้งระบบในภาพรวมทั้งประเทศหรือโลก เช่น ปัญหาการขาดการวางผังเมือง หรือการใช้ที่ดินไม่ถูกต้อง ปัญหาความแออัดแหล่งเสื่อมโทรม ปัญหาของเสียและของเหลือใช้ต่าง ๆ เป็นต้น

4 ปัญหาการเสื่อมศรัทธาในสถาบันต่าง ๆ เป็นปัญหาเชิงระบบของชุมชนที่เปลี่ยนแปลง และการขยายตัวโดยขาดทิศทาง เช่น ปัญหาการปฏิเสธค่านิยมแบบดั้งเดิม การแยกตัวของคนรุ่นหนุ่มสาว การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เป็นต้น

5 ปัญหาทางเศรษฐกิจ การเงิน และการจ้างงานต่าง ๆ อาจจําแนกสาเหตุหลักได้ 2 ประการ คือ

– การเพิ่มขึ้นของจํานวนประชากร ได้ก่อให้เกิดปัญหาความต้องการในการบริโภค การขาดแคลนทรัพยากร และสิ่งจําเป็นพื้นฐาน เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย พลังงาน เป็นต้น

– การขยายตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ได้ก่อให้เกิดความ ต้องการที่จะยกระดับมาตรฐานชีวิตให้สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้ทรัพยากรเกินความจําเป็นพื้นฐานของตน อย่างสิ้นเปลืองด้วย

ข้อ 4 จงอธิบายเมืองและชุมชนเมือง โดยอาศัยกรอบความคิดเชิงทฤษฎี ไม่ว่าจากศาสตร์สาขาใดมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

นักวิชาการที่สนใจศึกษาเมืองและความเป็นเมือง และได้รวบรวมจนกลายเป็นทฤษฎี ชุมชนเมือง (Urban Theory) ซึ่งนักวิชาการที่สําคัญ มีดังนี้

  1. George Simmel มีแนวคิดสําคัญเกี่ยวกับทฤษฎีชุมชนเมือง ดังนี้

1) เขียนหนังสือชื่อ “The Culture of the Metropolis” ซึ่งวิเคราะห์ถึงกระบวนการและธรรมชาติของสินค้าและการแลกเปลี่ยน

2) ให้ความสนใจมหานครที่ทันสมัยและเป็นวัฒนธรรมของชุมชนเมืองโดยทั่วไป

3) ในปี ค.ศ. 1903 เขียนหนังสือชื่อ “The Metropolis and Mental Life” พบว่า แรงกดดันจากมหานครรุนแรงเกินกว่าหรือมิอาจชดเชยด้วยเสรีภาพที่เกิดในเมืองเล็ก ๆ

4) มหานคร (Metropolis) จะเป็นที่รวมหนาแน่นและบูรณาการทั้งมิติของพื้นที่ (Space) และเวลา (Time)

– ความเป็นไปได้ในการดําเนินกิจกรรมและหน้าที่ของคนในชุมชนเมืองมหานครในต้นศตวรรษที่ 20 วิธีหนึ่งคือ จําเป็นต้องใช้นาฬิกาแบบพกพา (Pocket Watch)

– คนในเมืองอยู่ภายใต้แรงกดดันในที่มีความตรงต่อเวลา

5) ปัจจัยสําคัญในการแลกเปลี่ยนในเมืองสมัยใหม่ คือ เงิน อํานาจที่แฝงเร้นการบูรณาการความหลากหลายของหน้าที่ให้มีความเป็นไปได้

6) คนที่มั่งคั่ง (Wealth) เท่านั้นจะสร้างความมั่นคงในสินค้าหรือบริการได้ โดยไม่จําเป็นต้องใช้กําลังไปบังคับหรือจูงใจด้วยอุดมการณ์เช่นในอดีต หรือมีความ เป็นอิสระ แต่ความสัมพันธ์จะอยู่ที่ปัจจัยสําคัญคือ เงิน และเงินสามารถเชื่อมปฏิสัมพันธ์ของผู้คนให้เป็นรูปแบบเดียวกันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด

2 Walter Benjamin มีทัศนะเกี่ยวกับเมืองคล้ายกับ George Simmel ซึ่งแนวทาง การศึกษาของเขาสนใจที่จะวิเคราะห์ในเชิงปรัชญา การสนทนาถึงธรรมชาติของสัจจะ ศีลธรรม และเงื่อนไขในการ ดํารงอยู่ของมนุษย์ นอกจากนี้เขายังสนใจศึกษาในเชิงวิภาษวิธีที่รู้จักในนาม การวิพากษ์เชิงลึก (Immanent Critique)

Walter Benjamin เขียนหนังสือชื่อ “The Exegetical City” ซึ่งมีแนวคิดสําคัญเกี่ยวกับ ทฤษฎีชุมชนเมือง ดังนี้

1) เมืองมหานครเป็นปัจจัยกระตุ้นสําคัญต่อความคิดของเขาที่สะท้อนออกมาในเรื่องของธรรมชาติของประสบการณ์ของมนุษย์

2) สนใจศึกษาเมืองเนเปิลส์ (Naples) ในประเทศอิตาลี พบว่า

– จะมีศิลปะหรือการออกแบบเพื่อปรับปรุงหรือแก้ไขสิ่งที่มีมาแต่ก่อนหน้านั้น

อยู่ตลอดเวลา หรือเป็นเรื่องของพลวัตในการออกแบบศิลปะของเมือง คือการไม่มีที่สิ้นสุดในกฎเกณฑ์หรือวิถีชีวิตของเมือง

– มีคุณลักษณะที่เรียกว่า “Porosity” ของตึกรามและบริเวณส่วนตัวส่วนรวม

– เมืองเนเปิลส์ เป็นเมืองที่กําลังพัฒนามากกว่าเมืองใด ๆ ในยุโรป เมืองเป็นโลกความเป็นจริงของชีวิตส่วนตัว โดยเฉพาะของชนชั้นกลาง

3) เมืองมอสโคว์จะคล้ายกับเมืองเนเปิลส์มาก วิถีชีวิตของคนในเมืองจะสบาย ๆไม่เคร่งครัดด้วยกฎระเบียบแบบในเบอร์ลิน

3 Henri Lefebvre มีแนวคิดสําคัญเกี่ยวกับทฤษฎีชุมชนเมือง ดังนี้

1) เขียนหนังสือชื่อ “The Production of City”

2) สนใจเชิงสหวิชาทั้งวรรณกรรม ภาษา ประวัติศาสตร์ ปรัชญา การวางแผน และกําหนดนโยบาย ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของ Karl Marx เมืองเป็นระบบย่อย (Sub-system) ของระบบสังคมที่วิวัฒนาการมาสู่ระบบทุนนิยม (จากปฏิสัมพันธ์ ในเครือข่ายการค้า ความคิด การเกษตรกรรมจากชนบทมาสู่เมือง กฎหมาย ระบบการคลัง ฯลฯ)

– ระบบที่มีการจัดการดังกล่าวอาจนําไปสู่ความล้มเหลวได้ ดังนั้นจึงไม่มี

ระบบใดที่มีอยู่จริงหรือจะใช้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

3) เขียนหนังสือชื่อ “The Right to the City” (สิทธิที่มีต่อเมือง) มองชุมชนเมือง เป็นที่รวมของทุกสิ่ง และการทดลองในสิ่งต่าง ๆ จะเกิดขึ้นในเมือง

– หนังสือนี้มีอิทธิพลต่อนักคิดหนุ่มสาวทั้งสถาปนิก นักวางแผน นักการเมืองนักวิชาการ ซึ่งส่งผลต่อรายละเอียดของความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองของพื้นที่ และสภาพแวดล้อมทางกายภาพของเมืองกับเศรษฐกิจสังคมอื่น ๆ

4) มองคล้าย Marx ในแง่ที่ว่า เมือง คือ ที่ที่จะใช้คุณค่าและเป็นที่พบปะแลกเปลี่ยนในคุณค่าตลอดจนการรวมคุณค่าเข้าด้วยกัน

5) เมืองเป็นระบบที่เป็นทางการในเชิงความสัมพันธ์ของการผลิต หรือในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพ มนุษย์ และวัตถุดิบ ซึ่งคุณค่าใน การแลกเปลี่ยน คือ ราคาของสินค้าที่ผลิตเพื่อค้าขาย โดยอาศัยปัจจัยการผลิตในเชิงทุนนิยม

6) ในขณะที่มีการใช้ทุนมากขึ้นจึงมีการแปลงทั้งขนาดและพื้นที่ให้เป็นไปในเชิงการค้ามากขึ้น

7) การแบ่งแยกการใช้แรงงานที่เกิดขึ้นในช่วงยุคต้นทุนนิยม ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ขยายขอบเขตออกไปเหนือเมือง เป็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ ในขณะที่จะเกิดความแตกต่างระหว่างคนที่มั่งคั่งกับคนจนอย่างสุดขั้ว

8) ด้วยอํานาจและการพิชิตชัยชนะของระบบตลาดหรือทุนนิยมดังกล่าว เมืองจึงเป็นศูนย์กลางของการทํางานในเชิงพาณิชย์และผู้เสียเปรียบทางสังคมที่อยู่อย่างกระจายโดยรอบ โดยไม่สามารถเข้าถึงความมั่งคั่งนั้นได้

9) เรียกเมืองในเชิงทุนนิยมนั้นว่า “สังคมของระบบโครงสร้างที่ได้มีการกําหนดหรือควบคุมการบริโภคไว้แล้ว หรือต่อมานิยมเรียกสังคมผู้บริโภค (Consumer

Society)”

10) ตามเหตุผลดังกล่าวสิทธิของผู้บริโภคก็ไม่ได้มีกันทุกคน และการบริโภคก็ไม่ใช่ในเชิงสินค้าหรือการบริการเท่านั้น แต่ยังต้องการสิ่งอื่น ๆ เช่น สุนทรียภาพสัญลักษณ์ ฯลฯ

11) ด้วยเหตุที่เมืองพยายามที่จะรวมเอาสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้บริการในเชิงการค้า ดังนั้นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ สัญลักษณ์ วิถีชีวิตต่าง ๆ จึงไม่อาจเหลืออยู่ต่อไป หรือยากที่จะเข้าใจ หรือเป็นเพียงการเก็บไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ดูในพิพิธภัณฑ์

12) แนวคิดดังกล่าวเกิดความตระหนักไปทั่วโลกในการศึกษาชุมชนเมืองให้เข้าใจถึงสิ่งที่แตกต่างและรากฐานที่มาของเอกลักษณ์ วัฒนธรรมในเชิงประวัติศาสตร์

13) แนวคิดของเขายังกระตุ้นให้เกิดการตระหนักในเรื่องของอิทธิพลของทั้งความเป็นชนบท และเมืองในระบบทุนนิยมในหมู่นักวางแผน

ข้อ 5 นโยบายเมืองและการผังเมือง (City Planning) คืออะไร และมีความหมายและความสําคัญเช่นไรต่อการบริหารชุมชนเมือง

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 47309 หน้า 134, 148), (คําบรรยาย)ความหมายของการผังเมือง (City Planning) มีดังนี้

1 คือ การวางแผนการเจริญเติบโตล่วงหน้าระยะยาวเพื่อให้เมืองนั้นสามารถดํารงอยู่อย่าง ยั่งยืน ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุข มีความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ มีความสมดุลในระบบนิเวศของเมือง

2 คือ การวางแผนการใช้ที่ดินอย่างมีเหตุผลโดยการวางกฎระเบียบที่เหมาะสมเพื่อสร้าง ความมั่นใจให้คนในชุมชนเมืองมีชีวิตที่ดี มีคุณค่าในการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตในชุมชนเมืองนั้น และเพื่อให้เมือง และการดําเนินกิจกรรมของเมืองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ความสําคัญของการผังเมืองต่อการบริหารชุมชนเมือง

1 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง มีระเบียบ ทั้งนี้เนื่องจาก การบริหารชุมชนเมืองจะมีหลักแนวคิด ปรัชญาที่ได้นํามาใช้ในการวางแผน เช่น เรื่องการตอบสนองความเป็นอยู่ ที่ดี เรื่องการพัฒนาอย่างสมดุล หรือแผนการดําเนินงานในด้านต่าง ๆ ที่ตอบสนองต่อผู้ที่อยู่อาศัยในเมือง ซึ่งในขั้น ที่จําเป็นที่ต้องขับเคลื่อนเมืองไปสู่อนาคตก็จําเป็นที่จะต้องอาศัยแผนเป็นเครื่องกําหนดทิศทาง ดังนั้นก็ต้องอาศัย หลักการแนวคิดต่าง ๆ ในเชิงวิชาการด้วยเช่นกัน เช่น การออกแบบเมือง จัดการทางด้านสถาปัตยกรรมหรือ ภูมิสถาปัตย์ จัดการทางด้านวิศวกรรมโยธา วิชาการทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ตลอดจนมิติทางด้าน รัฐศาสตร์ก็ตาม ก็ควรนับเข้ารวมอยู่ในด้านการวางแผนด้วยก็จะทําให้เกิดความครอบคลุมรอบด้าน

2 เพื่อสร้างให้เกิดความสมดุลในการพัฒนาเมือง การพัฒนาที่ยั่งยืนก็ควรที่จะมีความ สมดุลก็คือ ในเมืองควรจะมีความสมดุลทั้งในด้านของการพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาสังคม รวมตลอดทั้งพัฒนา ทางด้านศีลธรรมและจริยธรรมด้วย

3 เพื่อเสริมสร้างให้เกิดประโยชน์สาธารณะโดยรวมในชุมชนเมือง ประโยชน์สาธารณะนั้น ก็จะได้จากการวางแผนที่ดี ซึ่งก็หมายถึง ในรายละเอียดของแผนนั้นจะมีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์กับการเดินทาง การศึกษา สําหรับประชาชนที่ต้องการศึกษา สําหรับประชาชนที่ทํางาน ทําธุรกิจ ถ้าเมืองมีการวางแผนไปในทิศทาง ที่ถูกต้องทุกฝ่ายก็จะได้ประโยชน์จากการบริหารเหล่านั้นร่วมกัน

ข้อ 6 จงอภิปรายถึงปัญหาของเมืองและการบริหารชุมชนเมืองของสังคมที่กําลังพัฒนามาให้เข้าใจโดยละเอียด พร้อมทั้งยกตัวอย่างด้วย ?

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 47309 หน้า 197 199)

ปัญหาของการบริหารชุมชนเมืองโดยทั่วไป มีดังนี้

1 ปัญหาในเชิงการบริหารงาน เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง อํานาจในการบริหารงาน ระบบและวิธีการบริหารงาน ตลอดจนโครงสร้างความสัมพันธ์ของอํานาจในการบริหารงานจากส่วนกลางและ การตัดสินใจในแต่ละระดับซึ่งเกี่ยวโยงมาถึงการปฏิบัติงานในรายละเอียด เช่น การงบประมาณ การคลัง เป็นต้น

2 ปัญหาในเชิงกายภาพ เป็นปัญหาที่ผู้บริหารชุมชนเมืองจําเป็นต้องอาศัยการลงทุน ก่อสร้าง และการพัฒนาสิ่งอํานวยความสะดวกตามมาตรฐานของเมือง เช่น การสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ระบบ การขนส่ง

3 ปัญหาเมืองที่ขาดการวางแผน (Urban Plan) เป็นปัญหาที่เกิดจากการขาดการวางแผน การใช้ที่ดิน และการวางระบบกิจกรรมของเมือง เช่น การกําหนดสถานที่หรือย่านที่อยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม สถานีตํารวจ เกษตรกรรม ฯลฯ

4 ปัญหาความเสื่อมของใจกลางเมืองหรือย่านใจกลางธุรกิจ (Central Business District : CBD) เป็นปัญหาที่เกิดจากการขยายตัวของกิจกรรมต่าง ๆ อย่างไม่จํากัด การมีที่อยู่อาศัยอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น เกิดสลัมในเมือง ตลอดจนการขาดการดูแลแก้ไขปรับปรุงสภาวะต่าง ๆ ให้สมบูรณ์

5 ปัญหาความแออัด (Congestion) เป็นปัญหาที่ทําให้เกิดความไม่สะดวกในการดําเนิน กิจกรรม การได้รับการสนองตอบอย่างไม่เพียงพอและเหมาะสม เช่น การจราจรที่แออัด บ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่แออัด การสร้างอาคารต่อสัดส่วนที่ดินไม่ถูกต้อง

6 ปัญหาสิ่งแวดล้อม (Environmental Problem) เป็นปัญหาที่มักจะมีผลมาจากการ ที่เมืองขาดการวางแผนการใช้ที่ดิน การขาดทุนทางสังคม ความเสื่อมของเมืองอันเนื่องมาจากจํานวนประชากร และการวางระบบกิจกรรมกับพื้นที่ไม่สมดุลกัน และความแออัด เช่น ปัญหามลพิษทางดิน น้ำ อากาศ เสียง และ สายตา ฯลฯ ซึ่งถือเป็นปัญหาด้านสังคมที่จะส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตของประชาชน

7 ปัญหาขยะ (Refuse Problem) ถือเป็นปัญหาใหญ่ของชุมชนเมืองที่เกิดความไม่สมดุล ในระบบนิเวศระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย โดยปัญหาขยะนี้จะส่งผลทั้งภายในชุมชนเมืองเอง และกระทบ ต่อภายนอกซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของระบบ

8 ปัญหาโอกาสในทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องและ มีปฏิกิริยาระหว่างกัน เช่น เมืองที่ขาดความสมดุลในการผลิตและการกระจายการใช้ทรัพยากร จะก่อให้เกิดปัญหา ช่องว่างระหว่างคนจน หรือเกิดปัญหาความไม่สมดุลต่าง ๆ ตามมา เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด ปัญหาทางจิต ฯลฯ

ข้อ 7 การพัฒนาการขนส่งอย่างยั่งยืน (Sustainable Transportation Development) คืออะไร จําเป็นอย่างไร จงอธิบาย

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 47309 หน้า 248), (คําบรรยาย)

การพัฒนาการขนส่งในชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน (Sustainable Transportation Development) คือ การพัฒนาการขนส่งในชุมชนเมืองให้มีความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็คือ การขนส่งระบบราง (Urban Rail -Mass Transportation) ซึ่งเป็นการขนส่งที่มีความจําเป็นโดยเฉพาะสําหรับเมืองที่มีประชากรหนาแน่น เนื่องจาก สามารถเคลื่อนย้ายคนได้ทีละมาก ๆ สะดวก ปลอดภัย และประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์หรือการขนส่งทางถนน การขนส่งระบบรางอาจมีได้ในหลายลักษณะ เช่น ระบบรถไฟ รถไฟฟ้า ทั้งยกระดับพื้นผิวหรือใต้ดิน เป็นต้น

การพัฒนาการขนส่งอย่างยั่งยืน สามารถทําได้ใน 3 ลักษณะ ดังนี้

1 ใช้การขนส่งที่สะอาด

– เลือกใช้เชื้อเพลิงและยานยนต์ที่มีมาตรฐาน

– ตรวจสอบและบํารุงรักษาเครื่องยนต์

– ใช้ตัวชี้วัดที่ดีขึ้นในส่วนของการขนส่งอย่างยั่งยืน

2 เพิ่มการเข้าถึง

– ใช้กฎหมายกําหนดความเร็วของยานยนต์, การจอดรถ

– ควบคุมการใช้ที่ดินและการรักษาพื้นที่สีเขียว

– การวางแผนเพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคม

3 เลือกใช้การขนส่งที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน

– เฝ้าระวังตําแหน่งที่มีการขนส่งคับคั่ง

– ศึกษาทางเลือกในการจัดระบบการขนส่ง

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา PSY 1001 จิตวิทยาทั่วไป

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1 ข้อใดจัดเป็นพฤติกรรมภายใน

(1) กอดลูกด้วยความเอ็นดู

(2) ส่งข้อความทางไลน์กับคนรัก

(3) คาดหวังให้น้องได้เรียนต่อสูง ๆ

(4) ขับรถอย่างถูกต้องตามวินัยจราจร

(5) อ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อเตรียมตัวสอบ

ตอบ 3 หน้า 3, (คําบรรยาย) พฤติกรรมของมนุษย์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

1 พฤติกรรมภายนอก เป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น การกิน การนอน การนั่ง การเดิน การวิ่ง การพูด การอ่าน การเขียน การเล่นกีฬา การดูหนัง การฟังเพลง ฯลฯ

2 พฤติกรรมภายใน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดหรือสังเกตได้โดยตรง ต้องอาศัยวิธีการทางอ้อมโดยการสอบถามหรือสร้างเครื่องมือวัดและการพิสูจน์ทดลองจากหลักฐานข้อเท็จจริงที่สังเกตได้ เช่น การคิด การจํา การฝัน การคาดหวัง ทัศนคติ เจตคติ ความเชื่อ ความรู้สึก ฯลฯ

2 ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของจิตวิทยา

(1) บรรยายพฤติกรรม

(2) ล่วงรู้ความคิดของผู้อื่นได้แม้ไม่ต้องพูด

(3) ควบคุมพฤติกรรม

(4) ประยุกต์ใช้ความรู้กับชีวิตประจําวัน

(5) ทําความเข้าใจการเกิดขึ้นของพฤติกรรม

ตอบ 4 หน้า 5 – 7, (คําบรรยาย) จุดมุ่งหมายของการศึกษาทางจิตวิทยา มี 4 ประการ ดังนี้

1 หาคําอธิบาย เช่น บรรยายพฤติกรรมว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีอุบัติเหตุฉุกเฉินบนถนน ฯลฯ

2 ทําความเข้าใจ เช่น ให้เหตุผลว่าทําไมหรือเพราะอะไรจึงเกิดพฤติกรรมเช่นนั้นขึ้นมา ฯลฯ

3 ทํานาย (พยากรณ์) เช่น สามารถคาดการณ์หรือล่วงรู้ความคิดของผู้อื่นได้แม้ไม่ต้องพูด ฯลฯ

4 ควบคุมพฤติกรรม เช่น เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นบนถนนแล้วมีคนถ่ายคลิปเก็บไว้ ฯลฯ

3 “องค์ประกอบของจิตสํานึก ประกอบด้วย การรับสัมผัส ความรู้สึก และมโนภาพ” เป็นแนวคิดของ จิตวิทยากลุ่มใด

(1) กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(2) กลุ่มหน้าที่ของจิต

(3) กลุ่มโครงสร้างของจิต

(4) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์

(5) กลุ่ม จิตวิเคราะห์

ตอบ 3 หน้า 9 กลุ่มโครงสร้างของจิต (Structuralism) สนใจศึกษาองค์ประกอบของจิตสํานึกประกอบด้วย การรับสัมผัส (Sensation) ความรู้สึก (Feeling) และมโนภาพ (Image) ซึ่งระเบียบวิธีวิจัยศึกษาที่ใช้กันอยู่ในกลุ่มนี้ ก็คือ วิธีการสังเกต-ทดลอง และการรายงานประสบการณ์ทางจิตด้วยตนเอง หรือเรียกว่า Introspection คือ การมองภายในนั่นเอง

4 “การทํางานของจิตสํานึกที่เน้นการปรับตัว” เป็นแนวคิดของจิตวิทยากลุ่มใด

(1) กลุ่มโครงสร้างของจิต

(2) กลุ่มหน้าที่ของจิต

(3) กลุ่มมนุษยนิยม

(4) กลุ่มจิตวิเคราะห์

(5) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์

ตอบ 2 หน้า 9 – 10 กลุ่มหน้าที่ของจิต (Functionalism) สนใจศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการทํางานของจิตสํานึกและการปรับตัวของอินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะต้องศึกษาให้รู้ว่าการคิด การรับรู้ นิสัย และอารมณ์ ช่วยในการปรับตัวของมนุษย์อย่างไร โดยเห็นว่าจิตของบุคคลจะต้องทําหน้าที่ ปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนไป

5 “การรับรู้บ้านทั้งหลัง แตกต่างจากการรับรู้วัสดุที่ประกอบเป็นบ้าน เช่น อิฐ หิน ปูน ทราย” เป็นแนวคิด ของจิตวิทยากลุ่มใด

(1) กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(2) กลุ่มหน้าที่ของจิต

(3) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทีฟ

(4) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์

(5) กลุ่มมนุษยนิยม

ตอบ 4 หน้า 11 กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) เกิดจากแนวความคิดของนักจิตวิทยา ชาวเยอรมันคือ เวิร์ธไทเมอร์ (Wertheimer) ซึ่งกล่าวว่า การแยกแยะประสบการณ์ทางจิตออก เป็นส่วน ๆ ตามองค์ประกอบการรับรู้และการสัมผัส หรือการวิเคราะห์พฤติกรรมออกเป็นสิ่งเร้า และการตอบสนองเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในการศึกษาทางจิตวิทยา โดยพฤติกรรมและประสบการณ์ ทางจิตจะต้องพิจารณาเป็นส่วนรวมแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะการแยกออกเป็นส่วนย่อยจะทําให้ได้ความหมายไม่สมบูรณ์ เช่น การรับรู้บ้านทั้งหลัง จะมีความหมายมากกว่าและแตกต่างจากการรับรู้วัสดุที่ประกอบเป็นบ้าน เช่น อิฐ หิน ปูน ทราย ฯลฯ

6 “เน้นจิตใต้สํานึกที่เป็นแหล่งสะสมแรงขับ แรงปรารถนาที่ซ่อนเร้น” เป็นแนวคิดของจิตวิทยากลุ่มใด

(1) กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(2) กลุ่มจิตวิเคราะห์

(3) กลุ่มมนุษยนิยม

(4) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์

(5) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทีฟ

ตอบ 2 หน้า 11 ฟรอยด์ (Freud) นักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ได้อธิบายว่า บุคลิกภาพของบุคคลพัฒนามาจากแรงจูงใจไร้สํานึก และความผิดปกติของบุคลิกภาพเกิดจากการเก็บกตในวัยเด็ก โดยพบว่าจิตมนุษย์เหมือนก้อนน้ำแข็งที่มีเพียงส่วนน้อยที่ลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ส่วนที่กว้างใหญ่คือส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ เป็นส่วนที่อยู่ใต้สํานึก เป็นแหล่งสะสมของความคิด แรงขับ แรงกระตุ้น และความปรารถนาที่ซ่อนเร้น แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ แต่ทว่ามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมของบุคคลนั้น

7 “เน้นกระบวนการประมวลผลข้อมูล เช่น ความคิด ภาษา การแก้ปัญหา” เป็นแนวคิดของจิตวิทยากลุ่มใด

(1) กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(2) กลุ่มหน้าที่ของจิต

(3) กลุ่มมนุษยนิยม

(4) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์

(5) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทีฟ

ตอบ 5 หน้า 12, (คําบรรยาย) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทีฟ (Cognitive Psychology) สนใจศึกษาเกี่ยวกับความสามารถทางปัญญาโดยเน้นกระบวนการประมวลผลข้อมูล เช่น ความรู้ ความคิด การใช้ ภาษา การแก้ปัญหา จิตสํานึก ความคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการภายในจิตอื่น ๆ

8 “ผสมผสานหลายแนวความคิดทางจิตวิทยาเพื่ออธิบายพฤติกรรม” เป็นแนวคิดของจิตวิทยากลุ่มใด

(1) กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(2) กลุ่มมนุษยนิยม

(3) กลุ่มจิตวิเคราะห์

(4) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์

(5) กลุ่มจิตวิทยาเอคเคล็กติก (Eclectic Psychology)

ตอบ 5 หน้า 12 ปัจจุบันนี้กลุ่มต่าง ๆ ทางจิตวิทยาได้สลายตัวไป และมีการรวมความคิดเข้าด้วยกันกลายมาเป็นกลุ่มจิตวิทยาเอคเคล็กติก (Eclectic Psychology) คือ ผสมผสานหลายแนวความคิดทางจิตวิทยาเข้าด้วยกันเพื่ออธิบายพฤติกรรมมนุษย์

9 ศูนย์ควบคุมการทํางานของระบบต่อมไร้ท่อ คือสมองส่วนใด

(1) ไฮโปธาลามัส

(2) ธาลามัส

(3) ซีรีบรัม

(4) ก้านสมอง

(5) ไขสันหลัง

ตอบ 1 หน้า 42, 53, (คําบรรยาย) ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) เป็นส่วนของสมองที่มีขนาดเล็กแต่ทํางานมีอิทธิพลมาก โดยจะทําหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมการทํางานของระบบต่อมไร้ท่อและ ระบบประสาทอัตโนมัติ ควบคุมการหลับ การยืน ความหิว ความกระหาย ความดันโลหิต การสืบพันธุ์ และอุณหภูมิในร่างกาย ฯลฯ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความสมดุลภายในร่างกาย

 

ข้อ 10 – 11 ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถามว่าเป็นวิธีการศึกษาทางจิตวิทยาประเภทใด

(1) การสังเกต

(2) การสํารวจ

(3) การทดลอง

(4) การทดสอบทางจิตวิทยา

(5) การศึกษาประวัติรายกรณี

 

10 การศึกษาเชิงเหตุและผล และควบคุมอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อน

ตอบ 3 หน้า 14 การทดลอง (Experimentation) เป็นการศึกษาเชิงเหตุและผล โดยผู้ทดลองเป็นผู้สร้างเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมตามที่ต้องการศึกษาซึ่งเรียกว่า “ตัวแปรอิสระ” หรือ “ตัวแปรต้น” (เหตุของพฤติกรรม) แล้วคอยสังเกตพฤติกรรมหรือศึกษา ผลของการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ ซึ่งเรียกว่า “ตัวแปรตาม” (ผลของพฤติกรรม) ทั้งนี้ผู้ทดลองจะต้องแน่ใจว่าได้ควบคุมอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนไว้แล้ว

11 ความคิดเห็นของผู้ปกครองเกี่ยวกับการใช้งานโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของบุตรหลาน

ตอบ 2 หน้า 14 การสํารวจ (Survey) เป็นวิธีการศึกษาลักษณะบางลักษณะจากกลุ่มตัวอย่างบางกลุ่มที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดที่ต้องการศึกษา โดยการออกแบบสอบถามหรือ โดยการสัมภาษณ์และนําคําตอบหรือความคิดเห็นที่ได้ไปประมวลผลด้วยวิธีการทางสถิติ ซึ่งวิธีการสํารวจนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น การสํารวจประชามติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ฯลฯ

12 การศึกษาถึงการทํางานของสมองและระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมพฤติกรรมการตอบสนอง ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อม จัดเป็นการศึกษาเกี่ยวกับข้อใด

(1) จิตวิทยาบุคลิกภาพ

(2) สรีรจิตวิทยา

(3) การรับสัมผัส

(4) การเรียนรู้

(5) การรับรู้

ตอบ 2 หน้า 25, 27 สรีรจิตวิทยา (Physiological Psychology) เป็นการศึกษาการทํางานของสมองและระบบประสาทที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการควบคุมพฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ที่มีต่อ สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การแสดงออกทางพฤติกรรมของมนุษย์ต้องอาศัยการทํางานของระบบต่าง ๆที่สําคัญภายในร่างกาย ได้แก่ ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ และระบบกล้ามเนื้อ

13 กลไกของระบบประสาทใดที่ทําหน้าที่แปลการสัมผัสจากอวัยวะรับสัมผัส ทําให้เกิดการรับรู้ที่สมอง และ สั่งการต่อไปยังอวัยวะสําแดงผล

(1) กลไกแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง

(2) กลไกการรับรู้

(3) กลไกการเชื่อมโยงทางระบบประสาท

(4) กลไกการรับสิ่งเร้า

(5) วงจรปฏิกิริยาสะท้อน

ตอบ 3 หน้า 31 กลไกการเชื่อมโยงทางระบบประสาท ได้แก่ เซลล์ประสาท (Nerve Cells) รับข้อมูลสู่สมอง โดยทําหน้าที่แปลการสัมผัสจากอวัยวะรับสัมผัส ทําให้เกิดการรับรู้ที่สมอง และสั่งการต่อไปยังอวัยวะที่สําแดงผล

14 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกล้ามเนื้อเรียบ

(1) ทําปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน

(2) ทํางานอยู่นอกอํานาจจิตใจ

(3) พบได้ที่กล้ามเนื้อแขน ขา สะโพก

(4) ทํางานภายใต้การสั่งการของระบบประสาทอัตโนมัติ

(5) บังคับให้กล้ามเนื้อชนิดนี้ทํางานตามที่เราต้องการไม่ได้

ตอบ 3 หน้า 32 กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) จะทํางานอยู่นอกอํานาจจิตใจ เพราะทํางานภายใต้การสั่งการหรือถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ ดังนั้นเราจะบังคับให้กล้ามเนื้อเรียบ ทํางานตามที่เราต้องการไม่ได้ และกล้ามเนื้อเรียบจะทําปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน (กล้ามเนื้อแขน ขา สะโพก เป็นกล้ามเนื้อลาย)

15 วงจรปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex Action) ภายใต้การสั่งการจากอะไร

(1) ไขสันหลัง

(2) หัวใจ

(3) สมอง

(4) ต่อมมีท่อ

(5) ต่อมไร้ท่อ

ตอบ 1 หน้า 31 วงจรปฏิกิริยาสะท้อน (Simple Reflex Action) เป็นวงจรที่เล็กที่สุดของกลไกการตอบสนอง ซึ่งเป็นการแสดงออกทางร่างกายโดยอัตโนมัติโดยที่สมองไม่ต้องสั่งงาน แต่วงจรของกระแสประสาทจะผ่านเฉพาะไขสันหลังเท่านั้น คือ จะทํางานภายใต้การสั่งการของไขสันหลัง เช่น การกะพริบตาเมื่อถูกลมพัด การถอยเท้าหนีเมื่อเหยียบก้นบุหรี่ การชักมือออกเมื่อโดนแก้วที่ร้อน การดึงมือออกเมื่อถูกประตูหนีบ ฯลฯ

16 ระบบประสาทส่วนกลางทําหน้าที่อะไร

(1) นํากระแสประสาทจากสมองและไขสันหลังไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

(2) เป็นศูนย์บัญชาการและศูนย์ควบคุมการทํางานของร่างกาย

(3) ผลิตฮอร์โมน

(4) ควบคุมสมดุลระบบพลังงานของร่างกาย

(5) ผลิตของเหลวส่งตามท่อไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

ตอบ 2 หน้า 34, (คําบรรยาย : ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ประกอบด้วยสมองและไขสันหลังถือเป็นส่วนสําคัญที่สุดของระบบประสาท โดยทําหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการ และศูนย์ควบคุมการทํางานของร่างกาย เป็นศูนย์กลางของความรู้สึกนึกคิด สติปัญญา ความคิดและความรัก ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์

17 ระบบประสาทส่วนใดทําหน้าที่สั่งการให้ร่างกายตื่นตัว เพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

(1) ระบบประสาทส่วนกลาง

(2) ระบบประสาทส่วนปลาย

(3) ระบบประสาทซิมพาเธติก

(4) ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก

(5) ระบบประสาทนําคําสั่งทั่วไป

ตอบ 3 หน้า 34 ระบบประสาทซิมพาเธติก (Sympathetic Nervous System) เป็นระบบประสาทที่ทําให้ร่างกายมีการทํางานมากขึ้น เกิดการตื่นตัว มีการเตรียมพร้อมของชีพจร หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ผนังของลําไส้หดตัวน้อยลงม่านตาขยายกว้าง เหงื่อออกมาก และขนลุก ฯลฯซึ่งระบบนี้จะทําให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

18 หน่วยที่เล็กที่สุดในระบบประสาท คือข้อใด

(1) เซลล์ประสาท

(2) เส้นประสาท

(3) ใยประสาท

(4) ไขสันหลัง

(5) สมอง

ตอบ 1 หน้า 37 – 38 เซลล์ประสาทหรือนิวโรน (Nerve Cell หรือ Neuron) เป็นหน่วยพื้นฐานการทํางานที่เล็กที่สุดของระบบประสาท และเป็นเซลล์ที่ทําหน้าที่รับส่งกระแสประสาทที่ใช้ควบคุมการทํางานซึ่งกันและกัน ซึ่งในสมองของคนเราจะมีเซลล์ประสาทประมาณ 10 – 12 พันล้านเซลล์ โดยเซลล์ประสาทแต่ละชนิดจะมีส่วนประกอบที่คล้ายคลึงกันทุกเซลล์ ดังนี้

1 ตัวเซลล์ (Cell Body) ทําหน้าที่เป็นผนังห่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง

2 เดนไดรท์ (Dendrite) ทําหน้าที่เกี่ยวกับการนํากระแสประสาทเข้ามาสู่ตัวเซลล์ประสาท

3 แอ็กซอน (Axon) ทําหน้าที่นําคําสั่งหรือนํากระแสประสาทออกจากเซลล์ประสาทไปสู่เดนไดรท์ของเซลล์ประสาทตัวอื่น

19 ในเซลล์ประสาทนิวโรน ข้อใดทําหน้าที่เกี่ยวกับการนํากระแสประสาทเข้ามาสู่ตัวเซลล์

(1) แอ็กซอน

(2) เดนไดรท์

(3) ตัวเซลล์

(4) เซลล์ค้ำจุน

(5) สารสื่อประสาท

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18 ประกอบ

20 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ

(1) ผลิตของเหลวเพื่อการหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้น

(2) ทําหน้าที่รักษาสมดุลของร่างกายให้คงที่อยู่เสมอ

(3) ผลิตฮอร์โมนผ่านทางกระแสโลหิตไปสู่อวัยวะเป้าหมาย

(4) ทําหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์และต่อมน้ํานมด้วย

(5) ทําหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย

ตอบ 1 หน้า 44 – 45 ต่อมไร้ท่อ (Endocrine Gland) เป็นต่อมที่ผลิตฮอร์โมนแล้วส่งโดยอาศัยการดูดซึมผ่านทางกระแสโลหิตไปสู่อวัยวะเป้าหมายต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ แต่ละชนิดจะทํางานไปพร้อม ๆ กันเพื่อรักษาภาวะสมดุลของร่างกายให้คงที่อยู่เสมอ โดยหน้าที่ ที่สําคัญของฮอร์โมน คือ ควบคุมระบบพลังงานของร่างกาย ควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ ในร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้งควบคุมระบบสืบพันธุ์และต่อมน้ำนม (การผลิตของเหลวเพื่อการหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นเป็นหน้าที่ของต่อมมีท่อ)

 

ข้อ 21 – 23 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) ความจําระยะสั้น

(2) ความจําระยะยาว

(3) ความจําจากการรับสัมผัส

(4) ความจําขณะปฏิบัติงาน

(5) ความจําคู่

 

21 เก็บข้อมูลจากความหมายและความสําคัญ

ตอบ 2 หน้า 196 197, 199 ความจําระยะยาว (Long-term Memory) จะทําหน้าที่เสมือนคลังข้อมูลถาวรซึ่งบรรจุทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับโลกเอาไว้ โดยมีความสามารถไม่จํากัด ในการเก็บข้อมูล จึงไม่มีข้อมูลสูญหายไปจากความจําระยะยาวนี้ และจะเก็บข้อมูลไว้บน พื้นฐานของความหมายและความสําคัญของข้อมูล ซึ่งความจําระยะยาวนี้มี 2 ประเภท คือ

1 การจําความหมาย เป็นการจําความรู้พื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลก เช่น ชื่อวัน เดือน ชื่อสิ่งของ ภาษา และทักษะการคํานวณง่าย ๆ รวมทั้งข้อเท็จจริงอื่น ๆ ฯลฯ 2 การจําเหตุการณ์ เป็นการจําเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง เป็นการบันทึกเหตุการณ์ในชีวิต เช่น จําวันแรกที่เข้ามาในมหาวิทยาลัย จําอุบัติเหตุที่ประสบเมื่อปีที่แล้ว ฯลฯ

22 เก็บข้อมูลได้ประมาณ 2 วินาทีหรือน้อยกว่านี้

ตอบ 3 หน้า 196 ความจําจากการรับสัมผัส (Sensory Memory) คือ ระบบการจําชั้นแรกที่จะเก็บข้อมูสในลักษณะถอดแบบสิ่งที่ได้เห็นหรือสิ่งที่ได้ยินทุกอย่างเอาไว้ในช่วงสั้น ๆ เพื่อถ่ายทอด ข้อมูลต่อไปยังระบบการจําอื่น ๆ เช่น ถ้าได้เห็นข้อมูล ภาพติดตาหรือจินตภาพ (Icon) จะคง อยู่ได้ครึ่งวินาท (2 วินาที) แต่ถ้าเกิดจากการได้ยิน เสียงก้องในหู (Echo) ของสิ่งที่ได้ยินจะคงอยู่ประมาณ 2 วินาที ฯลฯ ทั้งนี้หากไม่มีการส่งต่อข้อมูลสิ่งที่จําไว้จะหายไปอย่างรวดเร็วที่สุด

23 เมื่อจําหมายเลขโทรศัพท์ไว้แล้ว แต่โทรไปสายไม่ว่าง ทําให้ลืมหมายเลข

ตอบ 1 หน้า 196 ความจําระยะสั้น (Short-term Memory) ทําหน้าที่คล้ายคลังข้อมูลชั่วคราวที่เก็บข้อมูลได้ในจํานวนจํากัด โดยจะเก็บข้อมูลในลักษณะจินตภาพ ทั้งนี้ความจําระยะสั้น จะถูกรบกวนหรือถูกแทรกแซงได้ง่าย เช่น เมื่อจําหมายเลขโทรศัพท์ไว้แล้วเดินไปโทรศัพท์ แต่สายไม่ว่าง พอจะโทรใหม่อีกทีเราก็อาจจะลืมหมายเลขโทรศัพท์ไปแล้ว ฯลฯ

24 การที่เราจดจําวิธีการคํานวณเพื่อซื้อของ-ทอนเงินได้ เป็นเพราะเราจัดเก็บข้อมูลไว้ในส่วนใด

(1) การจําเหตุการณ์ในความจําระยะยาว

(2) การจําความหมายในความจําระยะยาว

(3) ความจําจากการรับสัมผัส

(4) ความจําขณะปฏิบัติงาน

(5) ความจําคู่

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ

25 การที่เราสามารถนึกชื่อดาราคนหนึ่งได้ถูกต้องทันทีโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งชี้แนะ ลักษณะนี้จัดว่าตรงกับข้อใด

(1) การจําได้

(2) การระลึกได้

(3) การพิจารณาได้

(4) การเรียนซ้ำ

(5) การบูรณาการใหม่

ตอบ 2 หน้า 201 202, 218 การระลึกได้ (Recall) หมายถึง การถอดแบบข้อมูลหรือข้อเท็จจริงโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งชี้แนะหรือสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้นให้จําได้ เช่น ข้อสอบอัตนัย การท่องอาขยาน ฯลฯ ซึ่งบุคคลจะจําลําดับตําแหน่งในการจําแบบระลึกได้ในช่วงต้นและท้ายได้ดีที่สุด

26 เมื่อเราเรียนทฤษฎีจิตวิทยามาก่อน แล้วมาเรียนทฤษฎีปรัชญา ปรากฏว่าทําให้เกิดการลืมเนื้อหาของทฤษฎีจิตวิทยาไป ลักษณะเช่นนี้ จัดว่าเป็นการลืมเพราะเหตุใด (1) การเรียนรู้เดิมรบกวนการเรียนรู้ใหม่

(2) การเรียนรู้ใหม่รบกวนการเรียนรู้เดิม

(3) ข้อมูลเสื่อมสลายตามกาลเวลา

(4) การระงับ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่นึกถึงบางอย่าง

(5) ข้อมูลไม่ได้ถูกบันทึกเพราะไม่ได้เป็นเรื่องราวที่บุคคลเลือกใส่ใจ

ตอบ 2 หน้า 204 การรบกวน (Interfere) เป็นสาเหตุสําคัญของการลืม มี 2 ประเภท คือ

1 Retroactive Inhibition คือ การเรียนรู้ใหม่รบกวนการเรียนรู้เดิม

2 Proactive Inhibition คือ การเรียนรู้เดิมรบกวนการเรียนรู้ใหม่

27 ข้อใดเป็นหน่วยความคิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแบ่งข้อมูลเป็นประเภท ๆ ที่มีความหมาย

(1) การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ

(2) การหยั่งเห็นคําตอบทันที

(3) จินตภาพ

(4) มโนทัศน์

ตอบ 4 หน้า 207 มโนทัศน์ (Concept) เป็นความคิดหรือคําพูดที่ใช้แทนประเภทของสิ่งของหรือเหตุการณ์ และเป็นเครื่องมือสําคัญในการคิดเพราะช่วยทําหน้าที่ในระดับนามธรรม การสร้างมโนทัศน์เป็นกระบวนการแบ่งข้อมูลเป็นประเภท ๆ ที่มีความหมาย เช่น สุนัข รถยนต์ ปากกา ข้าวแกง ข้าวหอมมะลิ ดอกมะลิ ตํารวจ กฎหมาย ประชาธิปไตย ฯลฯ

28 การที่ชาวเอสกิโมมีคําเรียกหิมะเกือบ 30 คํา แต่คนไทยมีคําเรียกหิมะเพียงคําเดียว ลักษณะนี้เกี่ยวข้องกับ หน่วยพื้นฐานของการคิดในข้อใด

(1) ภาพตรงหน้า

(2) ภาษา

(3) การหยังเห็นคําตอบทันที

(4) จินตภาพ

(5) มโนทัศน์

ตอบ 2 หน้า 208 ภาษา (Language) ของแต่ละชาติมีผลต่อระบบการคิดของคนในชาติที่เป็นเจ้าของภาษานั้น ๆ เช่น ในประเทศอาหรับมีคํามากกว่า 6,000 คําที่หมายถึงอูฐ และชาวเอสกิโมมีคําเกือบ 30 คําที่แปลว่าหิมะและน้ำแข็ง ฯลฯ

29 การแก้ปัญหาของนักศึกษาแพทย์เกี่ยวกับการฉายแสงเซลล์มะเร็ง ที่ทําโดยทบทวนความรู้เกี่ยวกับการฉายแสงแล้วเริ่มฉายแสงที่มีความเข้มน้อย ๆ ไปที่ละจุด จนควบคุมการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้ จัดเป็นการแก้ปัญหา แบบใด

(1) แก้ปัญหาโดยทําความเข้าใจ

(2) แก้ปัญหาโดยใช้เครื่องจักร

(3) แก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นคําตอบในทันที

(4) แก้ปัญหาจากการท่องจํา

(5) แก้ปัญหาจากการลองผิดลองถูก

ตอบ 1 หน้า 209 210 การแก้ปัญหาโดยทําความเข้าใจ ซึ่งเป็นการคิดในระดับสูง เช่น ดังเคอร์ (Duncker) ให้นักศึกษาแพทย์แก้ปัญหาเกี่ยวกับการฉายแสงเพื่อทําลายเซลล์มะเร็งที่ทําโดยทบทวนความรู้เกี่ยวกับการฉายแสง แล้วเลือกคําตอบที่ถูกต้องเพียงคําตอบเดียว คือ เริ่มฉายแสง ที่มีความเข้มน้อย ๆ ไปที่ละจุด หรือหมุนร่างของคนป่วยไปเรื่อย ๆ ขณะฉายแสง เพื่อไม่ให้แสงไปทําลายเนื้อเยื่อดีรอบ ๆ เนื้อร้าย จนสามารถควบคุมการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้

30 ตั๊ก สามารถให้ข้อเสนอแนะได้อย่างหลากหลาย จัดว่าเป็นคุณสมบัติใดของความคิดสร้างสรรค์

(1) ความริเริ่ม

(2) ความคล่อง

(3) ความยืดหยุ่น

(4) ความมีตรรกะ

(5) การแสวงหาใคร่รู้

ตอบ 2 หน้า 211 คุณสมบัติของผู้มีความคิดสร้างสรรค์มีหลายประการ เช่น

1 ความคล่อง คือ สามารถให้ข้อเสนอแนะได้อย่างหลากหลาย

2 ความยืดหยุ่น คือ สามารถเปลี่ยนวิธีคิดได้โดยไม่ยึดติดอยู่กับความคิดเดิม ๆ

3 ความคิดริเริ่ม คือ สามารถให้ข้อเสนอแนะที่แปลกใหม่

 

ข้อ 31 – 35 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์

(2) ทฤษฎีโครงสร้างของจิต

(3) ทฤษฎีมนุษยนิยม

(4) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม

(5) ทฤษฎีประเภทและโครงสร้าง

 

31 สัญชาตญาณแห่งความตายที่เกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและการทําลายล้าง

ตอบ 1 หน้า 287 288 ฟรอยด์ (Freud) นักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis Theory) กล่าวว่า มนุษย์เรามีสัญชาตญาณ 2 ประเภทที่ติดตัวมาแต่กําเนิด คือ

1 สัญชาตญาณแห่งการดํารงชีวิต เป็นสัญชาตญาณการตอบสนองความต้องการทางร่างกาย

2 สัญชาตญาณแห่งความตาย เกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและการทําลายล้าง

32 ถ้าทําพฤติกรรมใดแล้วมีผลดี พฤติกรรมนั้นจะเกิดขึ้นอีก

ตอบ 4 หน้า 289 291 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์จะถูกควบคุมได้โดยการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม โดยบุคลิกภาพของมนุษย์เกิดจากผลแห่งการกระทําของเขา เช่น ถ้าทําพฤติกรรมใดแล้วมีผลดี พฤติกรรมนั้นจะเกิดขึ้นอีก ฯลฯ

33 พฤติกรรมของมนุษย์จะถูกควบคุมได้โดยการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 32 ประกอบ

34 ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมนําไปสู่การพัฒนาเรื่อง Self Concept

ตอบ 3 หน้า 292 ทฤษฎีมนุษยนิยม (Humantistic Theory) เชื่อว่า ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมจะนําไปสู่การพัฒนาเรื่องอัตมโนทัศน์ (Self Concept) โดยพฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราพยายามทําพฤติกรรมที่ดํารงรักษาความเชื่อเรื่องอัตมโนทัศน์ของตัวเราเอาไว้

35 การศึกษาลักษณะนิสัยใจคอของคนที่อยู่ในสังคมเดียวกันจะสามารถหาลักษณะร่วมที่คนในสังคมเดียวกันมีคล้ายคลึงกันได้

ตอบ 5 หน้า 296 อัลพอร์ท (Allport) นักทฤษฎีประเภทและโครงสร้าง (Type and Trait Theory)เชื่อว่า เราสามารถจัดแบ่งกลุ่มลักษณะอุปนิสัยของคนออกเป็นหมวดหมู่ได้ โดยนําเอาลักษณะ ที่คล้าย ๆ กันจัดไว้ในกลุ่มเดียวกัน และจากการศึกษาลักษณะนิสัยใจคอของคนที่อยู่ในสังคม เดียวกัน เราสามารถหาลักษณะร่วมที่คนในสังคมเดียวกันมีคล้ายคลึงกันได้ เรียกลักษณะนี้ว่า ลักษณะสามัญ (Common Trait) เช่น คนเหนือสุภาพ คนใต้รักพวกพ้อง คนไทยใจดี ฯลฯ

36 จากการทดลองของบิคแมนที่ให้หน้าม้าแต่งตัวดีและแต่งตัวไม่ดีแกล้งลืมเหรียญไว้ในตู้โทรศัพท์สาธารณะแล้วย้อนกลับไปถามคนที่กําลังใช้โทรศัพท์เพื่อขอเหรียญคืน จัดเป็นการทดลองที่ได้ข้อสรุปในเรื่องใด

(1) ปทัสถานกลุ่ม

(2) การคล้อยตาม

(3) การขัดแย้งกันทางบทบาท

(4) อิทธิพลของบทบาททางสังคม

(5) อิทธิพลของสถานภาพทางสังคม

ตอบ 5 หน้า 377 จากการทดลองของบิคแมน (Bickman) ดังกล่าวข้างต้น ได้ข้อสรุปว่า สถานภาพทางสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล โดยพบว่า มีคนถึง 77% ที่คืนเหรียญให้กับหน้าม้าที่แต่งตัวดี และมีเพียง 38% เท่านั้นที่คืนเหรียญให้กับหน้าม้าที่แต่งตัวไม่ดี

37 “ครูฝ่ายปกครองที่ต้องลงโทษลูกชายตนเองเพราะเกเรหนีโรงเรียน” จัดเป็นบริบททางสังคมลักษณะใด

(1) การเชื่อฟัง

(2) ปทัสถานกลุ่ม

(3) การคล้อยตาม

(4) การขัดแย้งระหว่างบทบาท

(5) ตําแหน่งของบุคคลในกลุ่ม

ตอบ 4 หน้า 377 ถ้าบุคคลมีบทบาทที่ขัดแย้งกัน 2 บทบาทขึ้นไปก็จะเกิดความอึดอัดหรือคับข้องใจขึ้น เช่น ครูฝ่ายปกครองที่ต้องลงโทษลูกชายตนเองเพราะเกเรหนีโรงเรียน หรือตํารวจที่ต้องจับ ลูกชายตนเองที่ค้ายาเสพติด หรือประธานบริษัทที่ต้องไล่ลูกสาวออกจากงานเพราะทุจริต ฯลฯ ก็จะเกิดความขัดแย้งระหว่างบทบาทของพ่อและบทบาทของผู้รักษากฎหมายหรือกฎระเบียบ

38 ข้อใดตรงกับการแบ่งระยะห่างระหว่างบุคคลในระยะส่วนตัว

(1) การฟังสุนทรพจน์

(2) การพูดคุยของประธานบริษัทสองบริษัทที่ตกลงทําการค้าร่วมกัน

(3) การฟังคําบรรยาย

(4) การพูดคุยกันระหว่างเพื่อน

(5) การพูดคุยกันของคู่รัก

ตอบ 4 หน้า 378 379 ระยะห่างระหว่างบุคคล แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ

1 ระยะสนิทสนม (Intimate Distance) 0 – 18 นิ้ว เป็นระยะใกล้ชิดที่มักใช้สื่อสารเฉพาะกับคนพิเศษ เช่น ใช้ระหว่างคู่รัก คนในครอบครัว ฯลฯ

2 ระยะส่วนตัว (Personal Distance) 1 – 4 ฟุต เป็นระยะที่ใช้เมื่ออยู่กับเพื่อน อาจารย์ที่ปรึกษา ครูนังสอนนักเรียน ฯลฯ มักเอื้อมมือถึงกันได้ และใช้ระดับเสียงพูดปกติ

3 ระยะสังคม (Social Distance) 4 – 12 ฟุต เป็นระยะที่ใช้พูดคุยกันทางสังคมและธุรกิจ

4 ระยะสาธารณะ (Public Distance) 12 ฟุตขึ้นไป เป็นระยะที่เป็นทางการมากขึ้น เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ การฟังคําบรรยาย การหาเสียงเลือกตั้ง การแสดงคอนเสิร์ต ฯลฯ

39 “เรามักพอใจคําชมจากคนแปลกหน้ามากกว่าเพื่อน และเสียใจกับคําตําหนิของเพื่อนมากกว่าคนแปลกหน้า”ตรงกับความต้องการการเข้ากลุ่มในข้อใด

(1) ทฤษฎีผลได้-ผลเสีย

(2) ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม

(3) ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม

(4) ความคล้ายคลึงกัน

(5) ความมีเสน่ห์ดึงดูดทางกาย

ตอบ 1 หน้า 381 382 ทฤษฎีผลได้-ผลเสีย ของอรอนสันและลินเดอร์ อธิบายว่า คนเราจะรู้สึกพอใจเมื่อได้รับคําชมจากคนแปลกหน้ามากกว่าจากเพื่อนหรือคู่สมรส เพราะรู้สึกว่าได้มากกว่าและจะรู้สึกว่าสูญเสียหรือเสียใจกับคําตําหนิของเพื่อนหรือคู่สมรสมากกว่าจากคนแปลกหน้า

40 “เป็นสถานการณ์ที่มีการสื่อสารซ้ำ ๆ โดยปราศจากคําอธิบาย” ข้อความดังกล่าวแสดงถึงสถานการณ์ใดที่ทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคม

(1) สถานการณ์การเสนอแนะ

(2) การอภิปรายกลุ่ม

(3) การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น

(4) สถานการณ์การคล้อยตาม

(5) สารชักจูง

ตอบ 1 หน้า 383 สถานการณ์ที่อาจทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคมขึ้น มี 5 สถานการณ์ คือ

1 สถานการณ์การเสนอแนะ เป็นสถานการณ์ที่มีการสื่อสารซ้ำ ๆ โดยปราศจากการอธิบาย

2 สถานการณ์การคล้อยตาม เป็นสถานการณ์ซึ่งมีการสื่อสารที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลกับพฤติกรรมของกลุ่ม ปทัสถานของกลุ่ม หรือค่านิยมของกลุ่ม

3 การอภิปรายกลุ่ม เป็นสถานการณ์ที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้น

4 สารชักจูง เป็นสารหรือข้อความที่ได้มีการพิจารณาและขัดเกลาคําพูดมาเป็นอย่างดีแล้ว

5 การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น (การล้างสมอง) เป็นสถานการณ์ที่ใช้ทั้ง 4 ลักษณะข้างต้นพร้อมกัน

 

41 การทดลองเรื่องการคล้อยตามของแอช (Asch) ที่ให้กลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบเส้นตรงมาตรฐานกับเส้นเปรียบเทียบที่เป็นตัวเลือก พบว่าในข้อต่อไปนี้ ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดการคล้อยตาม

(1) ขนาดของกลุ่ม

(2) มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ

(3) ต้องการการยอมรับจากคนอื่นมาก

(4) ความเป็นเอกฉันท์ของกลุ่ม

(5) กลุ่มที่มีความสําคัญกับตนน้อย

ตอบ 5 หน้า 383 – 385 จากการทดลองของแอช (Asch) ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดการคล้อยตาม ได้แก่

1 ปัจจัยส่วนบุคคล โดยคนที่คล้อยตามผู้อื่นได้ง่ายมักมีลักษณะดังนี้คือ ต้องการการยอมรับจากผู้อื่นมาก มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ ต้องการความแน่นอน และมักมีความกระวนกระวายใจ

2 ปัจจัยด้านกลุ่ม โดยขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ดังนี้คือ กลุ่มมีความสําคัญกับตนมาก ขนาดของกลุ่มและความเป็นเอกฉันท์ของกลุ่ม

42 นายปิยะมีเจตคติต่อวัดว่า “เราควรไปวัดทุกวันอาทิตย์ เพื่อการฝึกสมาธิและการปฏิบัติธรรม” แสดงให้เห็น ถึงองค์ประกอบของเจตคติด้านใด

(1) องค์ประกอบทางความเชื่อ

(2) องค์ประกอบทางจิตใต้สํานึก

(3) องค์ประกอบทางการกระทํา

(4) องค์ประกอบทางอารมณ์

(5) องค์ประกอบทางการรับรู้และสัมปชัญญะ

ตอบ 3 หน้า 389 เจตคติ มีองค์ประกอบสําคัญ 3 อย่าง คือ

1 องค์ประกอบทางความเชื่อ จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ/ความคิด/ความเข้าใจที่มีต่อที่หมายทางเจตคติ เช่น มีเจตคติต่อวัดว่า “วัดเป็นสถานที่ที่ช่วยให้จิตใจสงบ ปลอดโปร่ง”,“วัดเป็นที่พึ่งทางจิตใจ” ฯลฯ

2 องค์ประกอบทางอารมณ์ จะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึกที่มีต่อที่หมายทางเจตคติ

3 องค์ประกอบทางการกระทํา จะเกี่ยวข้องกับการกระทํา/พฤติกรรมที่มีต่อที่หมายทางเจตคติ เช่น มีเจตคติต่อวัดว่า “เราควรไปวัดทุกวันอาทิตย์ เพื่อการฝึกสมาธิและการปฏิบัติธรรม”,“วัยรุ่นปัจจุบันมักใช้คอมพิวเตอร์นานกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน” ฯลฯ

43 ข้อใดไม่ใช่สาเหตุของความก้าวร้าว

(1) การเรียนรู้ทางสังคม

(2) สัญชาตญาณ

(3) การกระจายความรับผิดชอบ

(4) ความคับข้องใจ

(5) ชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับสมองและฮอร์โมน

ตอบ 3 หน้า 393 – 395 สาเหตุของความก้าวร้าว มี 4 ประการ ดังนี้

1สัญชาตญาณ

2 ชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับสมองและฮอร์โมน

3 ความคับข้องใจ

4 การเรียนรู้ทางสังคม

44 ในขั้นตอนการแสดงพฤติกรรมการช่วยเหลือที่ถูกต้อง เมื่อเรียงลําดับแล้ว ขั้นตอนที่ขาดหายไปคือข้อใด “สังเกตเห็นถึงสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ

> ………………………………. > รับรู้ว่าตนควรรับผิดชอบ > รู้วิธีการช่วยเหลือ

(1) เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือ

(2) แปลความว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน

(3) เตรียมใจให้พร้อมสําหรับการช่วยเหลือ

(4) ตั้งสติสัมปชัญญะเพื่อการช่วยเหลือ

(5) หาเครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อการช่วยเหลือ

ตอบ 2 หน้า 395 ลาตาเน่และดาร์เลย์ เห็นว่า พฤติกรรมการช่วยเหลือมีกระบวนการ 4 ขั้นตอน คือ

1 สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ

2 แปลความว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน

3 คิดว่าเป็นสิ่งที่ตนควรรับผิดชอบ

4 รู้วิธีการช่วยเหลือที่เหมาะสม

45 นายเมธกล้าบอกแม่ค้าอย่างตรงไปตรงมาเมื่อแม่ค้าหยิบของที่ไม่ได้ต้องการมาส่งให้และคิดเงิน การแสดงพฤติกรรมของนายเมธตรงกับข้อใด

(1) การกระจายความรับผิดชอบ

(2) การเรียนรู้ทางสังคม

(3) พฤติกรรมก้าวร้าว

(4) พฤติกรรมการไม่กล้าแสดงออก

(5) พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม

ตอบ 5 หน้า 396 397 “พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม ได้แก่ การมีอารมณ์ที่เหมาะสม แน่นอน จริงใจ ถูกต้อง เชื่อมั่นในตนเอง กล้าที่จะแสดงความรู้สึก ความคิดเห็น ความปรารถนา และความเชื่อของตนเองอย่างตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ต่อกัน ทั้งนี้ต้องคํานึงถึงสิทธิส่วนบุคคล คือ เคารพทั้งสิทธิของตนเองและผู้อื่นด้วย

46 ข้อใดคือความต้องการขั้นที่ 3 ของทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (1) ความต้องการทางด้านร่างกาย

(2) ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ

(3) ความต้องการความปลอดภัย

(4) ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ

(5) ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง

ตอบ 2 หน้า 229 230 231 235, (คําบรรยาย) ทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow) ได้แบ่งลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 2 ระดับ จํานวน 5 ขั้น ดังนี้

1 ระดับความต้องการขั้นพื้นฐาน (Basic Needs) ได้แก่ ขั้นที่ 1 ความต้องการทางร่างกายและขั้นที่ 2 ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง

2 ระดับความต้องการขั้นสูง (Growth Needs) ได้แก่ ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ขั้นที่ 4 ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น และขั้นที่ 5 ความต้องการประจักษ์ตน (ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้หรืออย่างแท้จริง) ซึ่งเป็นความต้องการขั้นสูงสุด

47 แบบทดสอบชนิดใดที่ทดสอบโดยการให้ผู้รับการทดสอบดูภาพหยดหมึก

(1) Rorschach

(2) 16PF

(3) TAT

(4) MAMPI

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 308 309, 315 แบบทดสอบการฉายภาพจิต เป็นการวัดบุคลิกภาพที่นักจิตวิทยามีความประสงค์จะล่วงรู้ถึงความปรารถนาหรือจิตใต้สํานึกลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตของผู้ตอบ โดย ให้ผู้รับการทดสอบบรรยายความรู้สึกนึกคิดออกมาทางภาพที่ให้ดู ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1 แบบทดสอบรอร์ชาค (Rorschach) เป็นภาพหยดหมึก 10 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบดูภาพแล้วถามว่าเขาเห็นอะไรในภาพนั้นบ้างหรือภาพนั้นเหมือนอะไร

2 แบบทดสอบ TAT เป็นภาพเรื่องราว 20 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบดูภาพแล้วให้เขาบรรยายหรือแต่งเรื่องหรือเล่าเรื่องจากภาพ

48 การประเมินบุคลิกภาพของนักจิตวิทยาในข้อใดเรียกว่า การฉายภาพจิต

(1) ใช้แบบทดสอบ MMPI

(2) ให้ดูภาพหยดหมึกแล้วถามว่าเหมือนอะไร

(3) พูดคุยโดยตั้งคําถามทางอ้อม

(4) แอบสังเกตการณ์ผ่านกล้องวิดีโอ

(5) ให้ผู้รับการทดสอบเข้าไปในสถานการณ์จําลองที่สร้างขึ้น

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 47 ประกอบ

49 ตามแนวคิดพัฒนาการทางบุคลิกภาพของฟรอยด์ ขันใดที่เหมาะสมต่อการฝึกเรื่องการควบคุมการขับถ่าย ให้กับเด็ก

(1) ขั้นความสุขอยู่ที่ปาก

(2) ขั้นอวัยวะเพศ

(3) ขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก

(4) ขั้นการมีเพศสัมพันธ์

(5) ขั้นแอบแฝง

ตอบ 3 หน้า 145, 299, (คําบรรยาย) พัฒนาการทางบุคลิกภาพของฟรอยด์ในขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก(Anal Stage) เกิดในช่วงอายุ 2 – 3 ปี ซึ่งเด็กจะมีศูนย์กลางความพึงพอใจอยู่ที่ทวารหนักและการขับถ่าย เด็กจะพอใจที่ได้ปลดปล่อย ดังนั้นจึงเป็นขั้นที่เหมาะสมต่อการฝึกเรื่องการควบคุม การขับถ่าย แต่หากในช่วงนี้บิดามารดาเคร่งครัดกับเด็กมากเกินไปในเรื่องการขับถ่าย เมื่อเด็กโตขึ้นจะเกิดความขัดแย้งใจ เป็นบุคลิกภาพที่รู้จี้ เจ้าระเบียบ รักษาความสะอาดจนเกินเหตุและบางครั้งอาจมีพฤติกรรมประเภทคือรันและดันทุรังได้

50 นายธีร์มีบุคลิกภาพและมีพฤติกรรมการแสดงออกเหมือนผู้หญิง เกิดจากการหยุดชะงักของพัฒนาการขั้นใด

(1) ขั้นปาก

(2) ขั้นทวารหนัก

(3) ขั้นอวัยวะเพศ

(4) ขั้นแอบแฝง

(5) ขั้นการมีเพศสัมพันธ์

ตอบ 3 หน้า 145, 299, (คําบรรยาย) พัฒนาการความต้องการทางเพศของ Freud ในขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) เกิดกับเด็กอายุราว 3 – 5 ปี ในระยะนี้เด็กจะมีความพึงพอใจที่จะได้ลูบคลํา อวัยวะเพศของตนเอง เด็กจะมีความรู้สึกรักใคร่มีบุคลิกภาพและมีพฤติกรรมการแสดงออก เหมือนพ่อแม่เพศตรงข้ามกับตน และจะอิจฉาพ่อแม่เพศเดียวกันกับตน ซึ่งถ้าเกิดความขัดแย้งใจ ก็อาจจะมีผลทําให้เด็กชายเกิดปมที่เรียกว่า ปมเอดิปุส (Oedious Conflict หรือ Oedipus Complex) ส่วนเด็กหญิงก็จะเกิดปมอิเล็กตร้า (Electra Conflict)

 

ข้อ 51 – 53 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ในการตอบคําถามว่าเป็นคํานิยามของใคร

(1) อัลเฟรด บิเนต

(2) เดวิด เวคลเลอร์

(3) จอร์จ สต๊อดดาร์ด

(4) ฟรานซิส กัลตัน

(5) โฮวาร์ด การ์ดเนอร์

 

51 สติปัญญาเป็นความสามารถที่จะคิด วินิจฉัย และรู้จักประมาณตนเอง ตลอดจนความสามารถที่จะปรับตัวเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ตนได้ตั้งใจไว้

ตอบ 1 หน้า 321 เป็นคํานิยามของอัลเฟรด บิเนต์ (Alfred Binet)

52 สติปัญญาเป็นความสามารถของแต่ละบุคคลในการที่จะติดอย่างมีเหตุผล หรือกระทําทุก ๆ สิ่งอย่างมีจุดมุ่งหมาย ตลอดจนมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตอบ 2 หน้า 321 เป็นคํานิยามของเดวิด เวคสเลอร์ (David Wechsler)

53 สติปัญญาเป็นความสามารถในการที่จะทํากิจกรรมต่าง ๆ ให้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ตอบ 3 หน้า 321 เป็นคํานิยามของจอร์จ สต๊อดดาร์ด (George Stoddard)

54 ถ้าข้อสอบ PSY 1001 มีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ ข้อสอบนี้ขาดคุณสมบัติข้อใด

(1) ความเป็นปรนัย

(2) ความเชื่อถือได้

(3) ความแม่นยํา

(4) ความเที่ยงตรง

(5) ความเป็นมาตรฐาน

ตอบ 4 หน้า 328 ความเที่ยงตรง (Validity) นับเป็นคุณสมบัติที่สําคัญที่สุด นั่นคือ แบบทดสอบจะต้องสามารถวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัดได้ ได้แก่ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหาและทฤษฎีที่ให้ ผู้ทรงคุณวุฒิจทําการประเมินแล้ว หรือความเที่ยงตรงที่ได้จากการคํานวณหาค่าสหสัมพันธ์ ระหว่างแบบทดสอบกับเกณฑ์ที่ใช้ในการทํานายหรือกับการทดสอบอื่น ๆ หรือระหว่าง แบบทดสอบใหม่กับแบบทดสอบเก่าที่ผู้สร้างเดิมได้หาค่าความเที่ยงตรงไว้แล้ว

55 ทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัยของสเปียร์แมน แบ่งสติปัญญาออกเป็นสององค์ประกอบ ได้แก่

(1) G-factor และ L-factor

(2) G-factor และ S-factor

(3) S-factor และ L-factor

(4) G-factor และ C-factor

(5) C-factor และ L-factor

ตอบ 2 หน้า 325 ชาร์ล สเปียร์แมน (Charles Spearman) เป็นผู้ที่คิดทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัยโดยอธิบายว่า สติปัญญาของคนเรานั้นจะมีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ

1 ตัวประกอบทั่วไป (General factor : G-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผลทั่ว ๆ ไปของบุคคล และทุกคนมีเหมือนกันหมด

2 ตัวประกอบเฉพาะ (Specific factor : S-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับความสามารถ เฉพาะตัวของบุคคล เช่น ความสามารถพิเศษด้านศิลปะและดนตรี ความสามารถในการจําความเข้าใจภาษา การคํานวณ การใช้มือ การสังเกต การออกแบบ (Design) ฯลฯ

56 ข้อใดคือสมการที่ใช้ในการคํานวณคะแนนสติปัญญา (IQ)

(1) MANCA x 100

(2) CA/MA x 100

(3) CN100 X MA

(4) AMAW100 x CA

(5) 100/AA x CA

ตอบ 1 หน้า 326 ในการวัดความสามารถทางสติปัญญาจะถูกวัดออกมาในอัตราส่วนที่เรียกว่า IQ (Intelligence Quotient) ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างอายุสมอง (Mental Age = AMA) และอายุจริงตามปฏิทิน (Chronological Age = CA) คูณ 100 ดังสมการ NAA/CA x 100

57 คะแนน IQ ในข้อใดจัดอยู่ในระดับปกติ (Average)

(1) 90 109

(2) 80 – 89

(3) 70 – 79

(4) 60 – 69

(5) 50 – 59

ตอบ 1 หน้า 327 บิเนต์ (Binet) ได้จําแนกระดับสติปัญญา (IQ) ของบุคคลออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้ ปัญญาอ่อน (Retarded) มีระดับ IQ ต่ำกว่า 70, คาบเส้น (Borderline) มีระดับ IQ 71 – 80, ปัญญาทึบ (Dull) มีระดับ IQ 81 – 90, เกณฑ์ปกติ (Normal) มีระดับ IQ 91 – 110 ซึ่ง เป็นอัตราเฉลี่ย (Average), ค่อนข้างฉลาด (Superior) มีระดับ IQ 111 – 120, ฉลาดมาก (Very Superior) มีระดับ IQ 121 – 140 และอัจฉริยะ (Genius) มีระดับ IQ 140 ขึ้นไป

58 แบบทดสอบวัดความสามารถทางสติปัญญาฉบับใดที่สามารถใช้กับเด็กที่มีอายุ 2 ปีได้

(1) SPM

(2) WAIS

(3) WISC

(4) WPPSI

(5) Stanford-Binet

ตอบ 5 หน้า 329 ลักษณะของแบบทดสอบ Stanford-Binet คือ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดระดับสติปัญญาของเด็กตั้งแต่อายุ 2 ขวบ จนถึงผู้ใหญ่ที่ฉลาด 59 แบบทดสอบวัดสติปัญญาแบบใดไม่ใช่การโต้ตอบคําถามด้วยภาษา

(1) Stanford- Binet

(2) WAIS

(3) WISC

(4) WPPSI

(5) Progressive Matrices

ตอบ 5 หน้า 331 แบบทดสอบโปรเกรสซีฟเมตริซีส (Progressive Matrices Tests) มีลักษณะเป็นแบบทดสอบที่ไม่ใช้ถ้อยคําภาษา (Nonverbal) สร้างขึ้นมาเพื่อใช้วัดความสามารถของบุคคลในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงเรขาคณิต และเพื่อวัดความสามารถในการใช้เหตุผล

60 ข้อใดกล่าวผิด

(1) การใช้แบบทดสอบ IQ จะกระทําได้แต่เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอเท่านั้น (2) ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเพศหญิงและชายมีความแตกต่างทางสติปัญญา

(3) ฐานะทางสังคมไม่ใช่ปัจจัยที่ทําให้สติปัญญามีความแตกต่างกัน

(4) ความแตกต่างทางเชื้อชาติไม่ได้ทําให้ความสามารถทางสติปัญญาแตกต่างกัน (5) ระดับสติปัญญาอาจเพิ่มหรือลดได้เมื่ออายุล่วงวัย 60 ปีไปแล้ว

ตอบ 3 หน้า 332 334 การขายและใช้แบบทดสอบ IQ จะกระทําได้แต่เฉพาะบุคคลที่มีคุณสมบัติเพียงพอในการใช้แบบทดสอบเท่านั้น เป็นการยากที่จะชี้ชัดลงไปว่าเพศหญิงและชายใครจะมี สติปัญญาดีกว่ากัน, ฐานะทางสังคมเป็นปัจจัยหรือตัวแปรที่ทําให้สติปัญญามีความแตกต่างกัน, ความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมไม่ได้ทําให้ความสามารถทางสติปัญญาแตกต่างกันและระดับสติปัญญาของคนเราอาจจะเพิ่มหรือลดก็ได้เมื่ออายุล่วงวัย 60 ปีไปแล้ว

61 “การปรับตัวของมนุษย์พัฒนาไปตามศักยภาพของบุคคลที่เอื้ออํานวย” เป็นแนวคิดทางจิตวิทยากลุ่มใด

(1) จิตวิเคราะห์

(2) มนุษยนิยม

(3) จิตวิทยาเกสตัลท์

(4) พฤติกรรมนิยม

(5) กลุ่มนักทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด

ตอบ 2 หน้า 344 กลุ่มมนุษยนิยม (Humanist) มีแนวคิดว่า การปรับตัวของมนุษย์พัฒนาไปตามศักยภาพของบุคคลที่เอื้ออํานวย ซึ่งเชื่อว่า มนุษย์ควรมีการพัฒนาไปถึงที่สุดเท่าที่ศักยภาพ จะอํานวย เรียกกระบวนการพัฒนาเข้าไปถึงที่สุดของศักยภาพนี้ว่า “การประจักษ์ในตน”ซึ่งควรจะเป็นเป้าหมายของการงอกงามเติบโตที่แท้จริงของมนุษย์

62 ข้อใดเกี่ยวข้องกับการปรับตัวที่ดีน้อยที่สุด

(1) ทําให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น

(2) ช่วยให้เกิดประโยชน์กับชีวิตมากขึ้น

(3) มีความภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น

(4) ต้องไม่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น

(5) ช่วยให้สามารถเข้าสังคมที่มีความแตกต่างกันได้ดีขึ้น

ตอบ 3 หน้า 345 การปรับตัวที่ดีและเหมาะสมเป็นการปรับตัวของบุคคลที่เป็นไปในทิศทางที่ช่วยให้เกิดประโยชน์กับชีวิตมากขึ้น ทําให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เชื่อมั่นใน ตนเองมากขึ้น และช่วยให้สามารถเข้าสังคมที่มีความแตกต่างกันได้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นนอกจากนี้ต้องไม่ทําให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือต้องไม่ไปปิดกั้นสิทธิเสรีภาพและอิสรภาพของผู้อื่น

63 ตามแนวคิดของไฟด์แมนและโรเซนแมน คนแบบใดมีความเครียดน้อยที่สุด

(1) ฟ้าชอบเข้มงวดกับตัวเอง

(2) ภัทรชอบความเสียง

(3) ตึกชอบการแข่งขัน

(4) มินชอบความสมบูรณ์แบบ

(5) เป้ชอบทําอะไรแบบค่อยเป็นค่อยไป

ตอบ 5 หน้า 348, (คําบรรยาย) ไฟด์แมนและโรเซนแมน (Friedman & Rosenman) ได้แบ่ง กลุ่มคนตามลักษณะบุคลิกภาพออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1 กลุ่ม A (Type A Personality) เป็นคนใจเร็ว ใจร้อน ชอบความก้าวหน้า การแข่งขันสูง เก็บกดไม่แสดงอารมณ์ มุ่งความสําเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ ชอบสร้างมาตรฐานให้กับตัวเองมักเป็นคนเข้มงวด ขอบเสียงและชอบความสมบูรณ์แบบ ซึ่งมีผลให้มีความเครียดมากที่สุด

2 กลุ่ม B (Type B Personality) เป็นคนที่ไม่เร่งรีบ ผ่อนคลาย ทําอะไรแบบค่อยเป็นค่อยไปชอบทํางานที่ละอย่าง ซึ่งมีผลให้มีความเครียดน้อยที่สุดและไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

64 อาการทางกายใดต่อไปนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความเครียดของบุคคล

(1) นอนไม่หลับ

(2) ท้องผูก

(3) ไมเกรน

(4) ปัญญาอ่อน

(5) ความดันโลหิตสูง

ตอบ 4 หน้า 349 ไซโคโซมาติก (Psychosomatic Diseases) คือ อาการของความเจ็บป่วยหรือโรคทางกายที่เกิดจากภาวะความเครียดที่สะสมเอาไว้นาน ๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ท้องร่วง ท้องผูก โรคหัวใจ นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน) ฯลฯ

65 ตามแนวคิดของเซลเย (Selye) ภาวะที่หมดพลัง (Burn-out) เกิดขึ้นในขั้นตอนใด

(1) ขั้นระยะตื่นตัว

(2) ขั้นปฏิกิริยาตื่นตระหนก

(3) ขั้นสร้างระบบต้านทานภัย

(4) ขั้นระยะเหนื่อยล้า

(5) ขั้นระยะถดถอย

ตอบ 4 หน้า 351 เซลเย (Selye) ได้ทําการศึกษาเกี่ยวกับสภาวะของร่างกายเมื่อเกิดความเครียดพบว่า เมื่อบุคคลเกิดความเครียด ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อความเครียด 3 ขั้นตอน คือ

1 ปฏิกิริยาตื่นตระหนก เป็นช่วงที่ร่างกายมีพละกําลังมหาศาล เพื่อรับสภาพการจู่โจม

2 สร้างระบบต้านทานภัย ร่างกายจะสร้างระบบที่ปรับตัวต่อความเครียดในระยะยาวนานขึ้น

3 ระยะเหนื่อยล้า ในกรณีที่ความเครียดอยู่กับบุคคลนาน ๆ และไม่หมดสิ้นไป ก็อาจทําให้ร่างกาย เกิดโรคขึ้นหลายชนิด เช่น โรคกระเพาะ โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ และถ้าเป็นนาน ๆร่างกายก็อาจไปถึงจุดที่เรียกว่า Burn-out คือ หมดพลัง ไปต่อไม่ได้

66 “ม่อนรู้สึกเครียดจากปัญหาในที่ทํางาน จึงออกไปเดินบริเวณสวนสาธารณะเพื่อผ่อนคลาย” เป็นกลยุทธ์ ในการลดความเครียดด้วยวิธีใด

(1) มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น

(2) เรียนรู้การพูดให้ตนเองสบายใจ

(3) แสวงหาสิ่งแวดล้อมที่พึงพอใจ

(4) การใส่ใจดูแลตนเอง

(5) การทํากิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียด

ตอบ 3 หน้า 351 353 กลยุทธ์ในการลดความเครียด ได้แก่

1 แสวงหาสิ่งแวดล้อมที่พึงพอใจ เช่น เดินเล่นบริเวณสวนสาธารณะ

2 ใส่ใจดูแลตนเองให้ดี เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

3 รู้จักทํากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด เช่น นั่งสมาธิ ออกกําลังกาย เล่นดนตรี ฯลฯ

4 เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ปลา ผัก ผลไม้ ฯลฯ

5 มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

6 เรียนรู้วิธีพูดให้ตนเองสบายใจ

67 ข้อใดอธิบายถูกต้องเกี่ยวกับ “กลไกป้องกันทางจิต” ที่ใช้ในการปรับตัว

(1) ใช้เพื่อจัดการกับความคับข้องใจ

(2) ใช้เพื่อจัดการกับความขัดแย้งภายในใจ

(3) เป็นกลไกที่เกิดขึ้นในระดับจิตรู้สํานึก

(4) เป็นกลไกที่เกิดจากการทําหน้าที่ของอิด

(5) เป็นกลไกที่ไม่สามารถลดความวิตกกังวลลงได้

ตอบ 1 หน้า 357, 368 กลไกป้องกันทางจิต (Defense Mechanism) เป็นกลไกที่ใช้ในการจัดการกับความคับข้องใจของบุคคล เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อบิดเบือนหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธสถานการณ์ที่ทําให้ เกิดความวิตกกังวล จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลให้ลดลงได้ แม้ว่าการใช้กลไกป้องกัน ทางจิตจะสามารถรักษาความสมดุลของสภาพทางจิตใจไว้ได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าใช้มากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคลิกภาพได้ ซึ่งจะนําไปสู่ภาวะของโรคประสาทได้ในที่สุด

68 การดาลืมความชอกช้ำที่เคยได้รับจากความรักครั้งแรกไปแล้ว

(1) การไม่รับรู้ความจริง

(2) การเก็บกด

(3) การโยนความผิด

(4) การชดเชยสิ่งที่ขาด

(5) การถอยหลังเข้าคลอง

ตอบ 2 หน้า 358 การเก็บกด (Repression) เป็นกลวิธีที่บุคคลใช้เพื่อลืมเหตุการณ์ที่อยากจะลืมไม่ต้องการจดจํา เป็นวิธีการที่จะทําให้แรงกระตุ้นที่ไม่พึงปรารถนาหลุดออกไปจากอีโก้หรือ จิตสํานึก ซึ่งจะสามารถป้องกันตนเองจากความสะเทือนใจได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นเหตุการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นในวัยเด็กหรือความทรงจําที่เจ็บปวด

69 “แม่เลี้ยงแสดงออกว่ารักลูกเลี้ยงอย่างมาก ทั้งที่ในใจรู้สึกเกลียด” เป็นกลไกป้องกันทางจิตแบบใด

(1) การมีปฏิกิริยากลบเกลื่อน

(2) การโยนความผิดเข้าตัวเอง

(3) การหาสิ่งทดแทน

(4) การไม่รับรู้ความจริง

(5) การไม่นําความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง

ตอบ 1 หน้า 359 ปฏิกิริยากลบเกลื่อน (Reaction-formation) เป็นวิธีการที่บุคคลเก็บกดความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ และแสดงออกในทางตรงข้ามกับที่สังคมยอมรับ เช่น แม่เลี้ยงที่เกลียดลูกเลี้ยงของตนเอง แต่แกล้งแสดงออกว่ารักลูกเลี้ยงอย่างมาก ซึ่งเป็นการเสแสร้งไม่จริงใจ มีลักษณะปากหวานก้นเปรี้ยวหรือหน้าเนื้อใจเสือ ฯลฯ

70 “กะทิอยากกินบุฟเฟต์กับเพื่อน ๆ มาก แต่ก็กลัวอ้วน” เป็นความขัดแย้งใจประเภทใด

(1) อยากได้ทั้งคู่

(2) อยากหนีทั้งคู่

(3) ทั้งรักและยัง

(4) ทั้งชอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 361 364 ความขัดแย้งใจ (Conflict) มี 4 ประเภท คือ

1 อยากได้ทั้งคู่ (Approach-Approach Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ“รักพี่เสียดายน้อง” คือ ตัวเลือกทั้งสองเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งคู่ แต่หากเข้าใกล้เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งแล้วจะทําให้อีกเป้าหมายหนึ่งลดความดึงดูดลงไปได้มาก

2 อยากหนีทั้งคู่ (Avoidance-Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ“หนีเสือปะจระเข้ คือ เป็นความกดดันที่จะต้องเลือกตัวเลือกที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่ก่อให้เกิดพฤติกรรม “นิ่งเฉย ไม่ตัดสินใจ” เนื่องจากไม่กล้าตัดสินใจและทําอะไรไม่ถูก

3 ทั้งรักและชัง (Approach-Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ“กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” คือ ตัวเลือกนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในขณะเดียวกันจึงทําให้เกิดความลังเลใจ เช่น อยากทานขนมหวานแต่กลัวฟันผุและกลัวอ้วน ฯลฯ

4 ทั้งชอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่ (Double Approach-Avoidance Conflicts) คือ ตัวเลือกทั้ง 2 มีทั้งดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน เช่น ต้องเลือกระหว่างงานใหม่ 2 แห่ง แห่งแรกนั้นถูกใจหมดทุกอย่างแต่เงินเดือนต่ำ แต่อีกแห่งไม่ถูกใจเลยแต่เงินเดือนสูง เราจะเลือกแห่งใด ฯลฯ

71 ข้อใดไม่ใช่สัมผัสพื้นฐาน 4 ชนิด

(1) ความร้อน

(2) ความเย็น

(3) ความอุ่น

(4) ความกด

(5) ความเจ็บปวด

ตอบ 1 หน้า 67 ใต้ผิวหนังของมนุษย์เราจะมีจุดรับสัมผัสมากมาย โดยจุดรับสัมผัสแต่ละชนิดจะมีความไวต่อความรู้สึกที่มาสัมผัสแตกต่างกัน ซึ่งความรู้สึกที่มาสัมผัสผิวกายของมนุษย์นั้นมีจุดรับสัมผัสพื้นฐาน 4 ชนิด คือ ความกด ความอุ่น ความเย็น และความเจ็บปวด

72 ข้อใดไม่ใช่รสพื้นฐานของมนุษย์

(1) เปรี้ยว

(2) หวาน

(3) เค็ม

(4) เผ็ด

(5) ขม

ตอบ 4 หน้า 68 รสพื้นฐานที่มนุษย์รับรู้โดยทั่วไปมี 4 รส คือ รสขม รสหวาน รสเปรี้ยว และรสเค็มส่วนรสอื่น ๆ เช่น รสเผ็ดนั้น เกิดจากการผสมกันของรสพื้นฐานเหล่านี้

73 ตามที่เฮนนิ่ง (Henning) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการรับกลิ่นของมนุษย์ ได้แบ่งกลิ่นเป็นกี่ชนิด

(1) 2 ชนิด คือ กลิ่นหอมและกลิ่นเหม็น

(2) 3 ชนิด คือ กลิ่นที่พึงพอใจ กลิ่นที่ไม่พึงพอใจ และกลิ่นที่ผ่อนคลาย

(3) 4 ชนิด คือ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นไหม้ กลิ่นเครื่องเทศ และกลิ่นผลไม้

(4) 5 ชนิด คือ กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น กลิ่นที่พึงพอใจ กลิ่นที่ไม่พึงพอใจ และกลิ่นที่ผ่อนคลาย

(5) 6 ชนิด คือ กลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นยาง กลิ่นเหม็น และกลิ่นไหม้

ตอบ 5 หน้า 68 เฮนนิ่ง (Henning) นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ได้ทําการศึกษาและแบ่งกลิ่นออกเป็น 5 ชนิด คือ กลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นยาง กลิ่นเหม็น และกลิ่นไหม้

74 ข้อใดคือความแตกต่างระหว่างการสัมผัสและการรับรู้

(1) การสัมผัสต้องอาศัยจิตใต้สํานึก

(2) การรับรู้ไม่จําเป็นต้องอาศัยการรับสัมผัส

(3) การสัมผัสเป็นกระบวนการแปลความหมายของการรับรู้

(4) การรับรู้เป็นกระบวนการแปลความหมายของการสัมผัส

(5) การสัมผัสก่อให้เกิดการเรียนรู้ แต่การรับรู้ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้

ตอบ 4 หน้า 57, 60 ความแตกต่างระหว่างการสัมผัสและการรับรู้ คือ การสัมผัสเป็นกระบวนการที่ประสาทสัมผัสรับสิ่งเร้าจากภายนอกมาสู่ระบบประสาทและเปลี่ยนเป็นการรับรู้ ส่วนการรับรู้เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องจากการสัมผัส จึงเป็นกระบวนการแปลความหมายของการสัมผัส

75 องค์ประกอบใดไม่ได้อยู่ในกระบวนการรับรู้

(1) ระบบประสาท

(2) สิ่งเร้า

(3) แรงขับ

(4) พฤติกรรม

(5) ประสาทสัมผัส

ตอบ 3 หน้า 57, 59 การรับรู้ คือ กระบวนการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัสต่าง ๆ โดยการแปลความหมายของสิ่งที่รับรู้นี้จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีต การเรียนรู้ สภาพจิตใจในปัจจุบัน ตลอดจนการจัดรูปแบบของสิ่งเร้านั้น ๆ ซึ่งกระบวนการรับรู้นี้จัดเป็นขั้นตอนสําคัญอย่างยิ่งก่อนการแสดงพฤติกรรมโต้ตอบของมนุษย์ในทุกรูปแบบ

76 ตาบอดสีแบบ Monochromatism เป็นอาการตาบอดสีแบบใด

(1) เห็นได้เพียงสองสี

(2) บอดหมดทุกสี

(3) บอดสีเขียว

(4) บอดสีแดง

(5) เห็นสีผิดปกติเพียงเล็กน้อย

ตอบ 2 หน้า 63 – 64 ตาบอดสีเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งของการเห็นสี แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1 Monochromatism เป็นอาการตาบอดสีหมดทุกสี โดยจะเห็นสีทุกสีเป็นสีเทา

2 Dichromatism เป็นอาการตาบอดสีชนิดที่สามารถมองเห็นสีได้เพียง 2 สีเท่านั้น คือพวกที่เห็นสีแดงเป็นสีดํา และพวกที่ไม่สามารถแยกสีเขียวและสีแดงออกจากกันได้

3 Trichromatism เป็นการเห็นสีครบทุกสีแต่เห็นสีนั้นอ่อนกว่าปกติ (ผิดปกติเพียงเล็กน้อย)

77 หน่วยวัดความแรงของคลื่นเสียงเรียกว่าอะไร

(1) กิโลเมตร

(2) ความถี่

(3) เดซิเบล

(4) เฮิรตซ์

(5) เทรชโฮลด์

ตอบ 3 หน้า 65 ความแรงของคลื่นเสียงมักวัดด้วยมาตราที่เรียกว่า “เดซิเบล” (Decibles : db) ซึ่งความดังของเสียงจะสูงขึ้นตามจํานวนเดซิเบลที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเสียงมีความสูงของ db มากเท่าไร ก็ยิ่งทําอันตรายแก่ผู้ฟังได้มากเท่านั้น โดยเสียงกระซิบจะมีระดับความดังประมาณ 20 db เสียงคุยปกติประมาณ 60 db และเสียงที่ดังเกิน 80 db จะเป็นอันตรายแก่หูถ้าฟังนาน ๆ

78 “หน้าผามายา” เป็นการทดลองเกี่ยวกับอะไร

(1) ความเหมือน

(2) ความลึก

(3) ความสูง

(4) ความสว่าง

(5) ความคล้ายคลึงกัน

ตอบ 2 หน้า 72 ผู้ที่สนใจศึกษาทดลองในเรื่องเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกและระยะทาง คือ กิ๊บสันและวอล์ก (Gibson and Walk) ซึ่งเขาได้ทดลองโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “หน้าผามายา” (Visual Cliff) พบว่า เมื่อเด็กทารกคลานไปถึงกึ่งกลางโต๊ะที่เป็นรอยต่อระหว่างกระจกโปร่งใส กับพื้นที่ทาสีตาหมากรุก (ทําให้แลเห็นเป็นพื้นที่ 2 ระดับที่มีความสูงต่ำต่างกัน) เด็กจะไม่กล้าคลานออกไป แสดงว่าการรับรู้ความลึกเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้

79 ข้อใดไม่ใช่การจัดหมวดหมู่ของการรับรู้โดยนักจิตวิทยาสกุลเกสตัลท์

(1) ภาพและพื้น

(2) หลักความคล้ายคลึงกัน

(3) หลักความใกล้ชิดกัน

(4) การรับรู้ภาพ 3 มิติ

(5) การต่อเติมภาพให้สมบูรณ์

ตอบ 4 หน้า 74 – 76 การจัดหมวดหมู่ของการรับรู้โดยนักจิตวิทยาสกุลเกสตัลท์ (Gestalt) ได้แก่ ภาพและพื้น การต่อเติมให้สมบูรณ์ ความคล้ายคลึงกัน ความใกล้ชิดกัน และความต่อเนื่อง

80 ข้อใดคือการล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่น

(1) ประสาททิพย์

(2) อภิธรรมดา

(3) อ่านจิต

(4) โทรจิต

(5) การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

ตอบ 4 หน้า 79 ปรากฏการณ์อภิธรรมดา (Extrasensory Perception : ESP) แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1 โทรจิต (Telepathy) เป็นการล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพูดคุยกับผู้นั้น

2 ประสาททิพย์ (Clairvoyance) เป็นการล่วงรู้โดยไม่ต้องพึงประสาทสัมผัส

3 การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า (Precognition) เป็นการล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

81 สัมปชัญญะ หมายถึง

(1) การมีสติ

(2) การรู้ว่าตนเองคิดอะไรอยู่

(3) การรู้ว่าผู้อื่นคิดอะไรอยู่

(4) ข้อ 1 และ 2 ถูกต้อง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 89 – 90, 115 สัมปชัญญะ หมายถึง การรู้ตัวทั่วพร้อมว่าตนเองกําลังทํา พูด คิด หรือมีพฤติกรรมใดอยู่ โดยสภาวะที่ร่างกายของบุคคล (อินทรีย์) ออกจากสัมปชัญญะหรือ ขาดสัมปชัญญะ ได้แก่ การนอนหลับ การฝัน การหมดสติ การสะกดจิต การใช้สารเสพติดการดื่มสุรา การใช้ยาหรือสารเคมี และการนั่งสมาธิเจริญภาวนา

82 ข้อใดคือระยะเวลาที่เหมาะสมในการนอนหลับ

(1) ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

(2) 6 ชั่วโมง

(3) 7 ชั่วโมง

(4) 48 ชั่วโมง

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 92 โดยทั่ว ๆ ไปคนส่วนใหญ่จะใช้เวลานอนระหว่าง 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน แต่การกําหนดให้ตายตัวลงไปว่าควรจะเป็นกี่ชั่วโมงอย่างชัดเจนนั้นคงเป็นสิ่งที่ทําได้ยาก เพราะมนุษย์แต่ละคน มีความแตกต่างกันในการนอน สําหรับคนบางคนนอนเพียง 5 ชั่วโมง ก็ดูจะเป็นสิ่งที่พอเพียงสําหรับเขา แต่สําหรับคนอื่น ๆ อาจจะใช้เวลานอนถึง 11 ชั่วโมง จึงจะรู้สึกพอเพียงก็ได้

83 ข้อใดเป็นสภาพร่างกายในช่วงเวลาที่เกิด REM

(1) ความดันโลหิตนิ่ง

(2) อารมณ์ไม่ปกติ

(3) ผิวหนังเย็นชา

(4) ร่างกายกระตุก

(5) หัวใจเต้นสม่ำเสมอ

ตอบ 2 หน้า 96 สภาพร่างกายในช่วงเวลาที่เกิด REM (ช่วงของการนอนหลับฝัน) คือ อารมณ์จะยังไม่ปกติ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ ความดันโลหิตและการหายใจจะยังไม่เข้าที่ดีนัก ร่างกายจะมีการเคลื่อนไหวน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย และมักจะไม่เกิดการเปลี่ยนท่านอน

84 ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการสะกดจิต

(1) ช่วยให้เชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น

(2) ช่วยให้เกิดความมุ่งมั่น

(3) ทําให้คนธรรมดามีพลังพิเศษได้

(4) ช่วยลดความเจ็บปวด

(5) ช่วยให้เกิดการผ่อนคลายทางจิตใจ

ตอบ 3 หน้า 105, 116 ประโยชน์ของการสะกดจิต มีดังนี้

1 ช่วยให้บุคคลเกิดความมุ่งมั่นและชักจูงให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น แต่จะไม่สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้มีพลังพิเศษได้

2 ช่วยโน้มน้าวจิตใจของบุคคลให้สนใจที่จะจดจํา แต่ไม่สามารถช่วยให้ความจําของบุคคลดีขึ้น

3 ในทางการแพทย์ สามารถช่วยลดความเจ็บปวดของคนไข้ได้

4 ช่วยให้บุคคลเกิดการผ่อนคลายทางจิตใจ ฯลฯ

85 สภาวะใดเป็นสภาวะที่บุคคลออกจากสัมปชัญญะ

(1) การเจริญภาวนา

(2) การใช้ยาเสพติด

(3) การสะกดจิต

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 81 ประกอบ

86 สภาวะที่เรียกว่า Sleep Deprivation Psychosis คืออะไร

(1) อาการหลับไม่สนิท

(2) สภาพจิตที่ฟุ้งซ่าน ทําให้นอนไม่หลับ

(3) อาการละเมอขณะนอนหลับ

(4) สภาพจิตที่กระหายการนอนหลับ

(5) อาการกระตุกก่อนการนอนหลับ

ตอบ 4 หน้า 91 นักจิตวิทยาได้ทําการศึกษาเกี่ยวกับผู้ที่ไม่มีโอกาสได้นอนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันพบว่า จะมีสภาพทางจิตที่กระหายการนอนหลับเป็นอย่างยิ่ง (Sleep Deprivation Psychosis) ซึ่งอาจส่งผลทําให้บุคคลนั้นเกิดความอ่อนล้าทางร่างกาย มึนงง และมีสภาพการรับรู้ทางจิตใจที่ผิดพลาด รวมทั้งอาจมีอาการประสาทหลอนได้

87 ระยะการนอนหลับใดที่เกิดปฏิกิริยาสะท้อนของกล้ามเนื้อ

(1) ระยะที่ 1

(2) ระยะที่ 2

(3) ระยะที่ 3

(4) ระยะที่ 4

(5) ระยะที่ 5

ตอบ 1 หน้า 93 ระยะที่ 1 ของการนอนหลับ เป็นระยะต้นของการที่บุคคลเพิ่งหลับ หัวใจจะเต้นช้าลงกล้ามเนื้อทุกส่วนเริ่มผ่อนคลาย บางครั้งอาจมีปฏิกิริยาสะท้อนของกล้ามเนื้อ เช่น มีการกระตุกเล็กน้อยคล้ายสะดุ้ง คลื่นสมองจะมีลักษณะสั้น ไม่สม่ําเสมอ คลื่นแอลฟาจะมีบ้างประปราย

88 ผู้ใดเชื่อว่าความฝันเกิดจากความคิด ความรู้สึกที่ติดค้างมาจากช่วงกลางวัน

(1) Freud

(2) Adler

(3) Jung

(4) Hopson & McCarley

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 98, 115, (คําบรรยาย) แอดเลอร์ (Adler) เชื่อว่า ความฝันเป็นเรื่องราวของความคิดคํานึงรวมทั้งความรู้สึกที่ติดค้างมาจากช่วงเวลากลางวันแล้วจึงต่อเนื่องนําไปฝันในช่วงเวลากลางคืน

89 ข้อใดไม่ใช่ชนิดของการสะกดจิตที่กล่าวในบทเรียน

(1) การสะกดจิตตนเอง

(2) การสะกดจิตโดยผู้อื่นยินยอม

(3) การสะกดจิตหมู่

(4) การสะกดจิตโดยผู้อื่นไม่ยินยอม

(5) การสะกดจิตโดยผู้อื่นไม่รู้ตัว

ตอบ 3 หน้า 103 – 104 การสะกดจิต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

1 การสะกดจิตตนเอง

2 การสะกดจิตผู้อื่น แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ การสะกดจิตโดยผู้อื่นยินยอม การสะกดจิตโดยผู้อื่นไม่ยินยอม และการสะกดจิตโดยผู้อื่นไม่รู้ตัว

90 ยาเสพติดประเภทใดออกฤทธิ์ผสมผสาน

(1) เฮโรอื่น

(2) กัญชา

(3) ยาบ้า

(4) ฝิ่น

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 106 – 110 ยาเสพติดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ และทุกกลุ่มสามารถออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางได้ทั้งสิ้น คือ

1 ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาทยานอนหลับ สารระเหย (ทินเนอร์) และเครื่องดื่มมึนเมาหรือแอลกอฮอล์ ฯลฯ

2 ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน (ยาบ้า) กระท่อม โคเคอีน บุหรี่ นิโคติน กาแฟ คาเฟอีน และยาแก้ปวด ฯลฯ

3 ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็มที และเห็ดขี้ควาย ฯลฯ

4 ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน ได้แก่ กัญชา

91 ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของการเรียนรู้

(1) สัญชาตญาณ

(2) สิ่งเสริมแรง

(3) การลงโทษ

(4) ประสาทสัมผัส

(5) ประสบการณ์ในอดีต

ตอบ 1 หน้า 167 168, (คําบรรยาย) องค์ประกอบของการเรียนรู้ ได้แก่ ประสบการณ์ในอดีต สภาพจิตใจในปัจจุบัน ประสาทสัมผัส การรับรู้ สิ่งเร้า สิ่งเสริมแรง การให้รางวัล การลงโทษ และความคิดความเข้าใจ ฯลฯ

92 ข้อใดเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(1) การหายใจของมนุษย์

(2) การว่ายน้ำของปลา

(3) การชักใยของแมงมุม

(4) การร้องไห้ของเด็กแรกเกิด

(5) การปรบมือของเด็กเมื่อดีใจ

ตอบ 5 หน้า 169, (คําบรรยาย) การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวรของพฤติกรรมอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต แต่พฤติกรรมบางอย่างไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ หากเกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนซึ่งเป็นพฤติกรรมการตอบสนองตามธรรมชาติที่มีมาแต่กําเนิด เช่น การกะพริบตาเมื่อแสงจ้า การไอหรือจาม ฯลฯ และเกิดจากสัญชาตญาณอันเป็นลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ เช่น การหายใจของมนุษย์ การร้องไห้ของเด็กแรกเกิด การก้าวเดินครั้งแรกของเด็ก การยืนและเดินสี่ขาของสุนัข การว่ายน้ำของปลา การชักใยของแมงมุม ฯลฯ

93 บุคคลใดค้นพบการเรียนรู้ตามหลักการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก

(1) อีวาน พาฟลอฟ

(2) แบนดูรา

(3) โรเจอร์

(4) วัตสัน

(5) บี.เอฟ. สกินเนอร์

ตอบ 1 หน้า 170 อีวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) ได้ค้นพบการเรียนรู้ตามหลักการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก โดยเขาได้ทําการทดลองวางผงเนื้อลงบนลิ้นสุนัข สุนัขก็จะหลั่งน้ำลายออกมา ซึ่งเป็นการตอบสนองแบบปฏิกิริยาสะท้อน (เป็นไปโดยอัตโนมัติ) ต่อมาเขาสั่นกระดิ่งและให้ผงเนื้อทันทีสุนัขก็จะน้ำลายไหลออกมา สุดท้ายเขาสั่นกระดิ่งเพียงอย่างเดียวก็ทําให้สุนัขน้ำลายไหลได้

94 ตามหลักการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก ภาวะการหยุดยั้ง (Extinction) เกิดขึ้นเมื่อไร

(1) การให้ US ก่อนการให้ CS หลาย ๆ ครั้ง

(2) การไม่ให้ UR หลังการให้ US หลาย ๆ ครั้ง

(3) การไม่ให้ US หลังการให้ CS หลาย ๆ ครั้ง

(4) การให้ US หลังการให้ CS หลาย ๆ ครั้ง

(5) การให้ CS ก่อนการให้ US หลาย ๆ ครั้ง

ตอบ 3 หน้า 171 172 ตามหลักการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก ภาวะการหยุดยั้ง (Extinction)จะเกิดขึ้นเมื่อไม่ให้US หลังการให้ CS หลาย ๆ ครั้ง US : unconditioned Stimulus คือ สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข เช่น ผงเนื้อ น้ำมะนาว ฯลฯ CS:Conditioned Stimulus คือ สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขหรือสิ่งเร้าที่เรียนรู้ เช่น เสียงกระดิ่ง ฯลฯ

95 การฝึกสุนัขให้ยกขาเมื่อต้องการอาหาร แสดงถึงลักษณะการเรียนรู้แบบใด

(1) การเรียนรู้แบบหยั่งเห็น

(2) การเรียนรู้แบบจดจํา

(3) การเรียนรู้โดยบังเอิญ

(4) การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก

(5) การวางเงื่อนไขแบบการกระทํา

ตอบ 5 หน้า 174 การวางเงื่อนไขแบบการกระทําพัฒนาขึ้นโดย บี.เอฟ. สกินเนอร์ (B.E. Skinner) ซึ่งเชื่อว่า การตอบสนองของอินทรีย์นั้น จะขึ้นอยู่กับความพร้อมที่ต้องการจะทําพฤติกรรม เป็นการตอบสนองที่ควบคุมได้ และมีหลักการเรียนรู้อยู่ว่าพฤติกรรมใดที่ทําแล้วได้รับรางวัล ก็มีแนวโน้มว่าจะกระทําพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก เช่น การฝึกสุนัขให้ดมกลิ่นหายาเสพติดหรือฝึกให้ยกขาเมื่อต้องการอาหาร หรือฝึกให้กระโดดลอดห่วง โดยมีการให้รางวัลแก่สุนัข ฯลฯ

96 การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) คือสิ่งใด

(1) ให้รางวัล

(2) ลงโทษ

(3) เพิกเฉย

(4) ยับยั้ง

(5) หยุด

ตอบ 1 หน้า 179 การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถึง การที่ความพอใจหรือรางวัลเกิดขึ้นเมื่อกระทําสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป เช่น การให้ขนมแก่เด็กเมื่อเด็กทําความดี ฯลฯ ส่วนการเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง การทําให้ความไม่สุขสบาย หมดไป เช่น การกินยาแก้ปวดเพื่อให้หายจากอาการปวดศีรษะ ฯลฯ

97 ข้อใดเป็น “สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ”

(1) คะแนนสอบ

(2) ความรัก

(3) อาหาร

(4) ความสนใจ

(5) การยอมรับ

ตอบ 3 หน้า 180 สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ (Primary Reinforcers) เป็นสิ่งเสริมแรงที่เป็นธรรมชาติไม่ต้องเรียนรู้ มักเป็นลักษณะทางชีววิทยาที่เพิ่มความพึงพอใจและลดความไม่พึงพอใจลงหรือสนองความต้องการทางกายภาพได้ เช่น น้ำอาหาร และความต้องการทางเพศ ฯลฯ

98 ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของการนําการลงโทษมาใช้ในการเรียนรู้

(1) การสร้างให้เกิดความเข้าใจ

(2) การเสริมแรง เพื่อเพิ่มกําลังในการตอบสนอง

(3) การไม่เสริมแรง เพื่อระงับการตอบสนอง

(4) การเพิกเฉยต่อพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ

(5) การลงโทษ เพื่อการเลิกตอบสนอง

ตอบ 1 หน้า 182 องค์ประกอบของการนําการลงโทษมาใช้ในการเรียนรู้ มี 3 ประการ คือ

1 การเสริมแรง เพื่อเพิ่มกําลังในการตอบสนอง

2 การไม่เสริมแรง เพื่อระงับการตอบสนอง (เช่น การเพิกเฉยต่อพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ)

3 การลงโทษ เพื่อการเลิกตอบสนอง

99 การโฆษณายาสีฟันโดยใช้ทันตแพทย์เป็นผู้แนะนําผลิตภัณฑ์ (Presenter) เพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภค อาศัยการเรียนรู้แบบใด

(1) การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก

(2) การวางเงื่อนไขแบบการกระทํา

(3) การเรียนรู้จากความคิดความเข้าใจ

(4) การสรุปความเหมือน

(5) การปรับพฤติกรรม

ตอบ 3 หน้า 183, 189 การเรียนรู้จากความคิดความเข้าใจ หมายถึง การเข้าใจ การรู้ การคาดหมาย การคาดหวัง และการใช้กระบวนการทางจิตระดับสูงอื่น ๆ นอกจากนี้ยังครอบคลุมไปถึงความจํา ความคิด การแก้ปัญหา รวมทั้งการใช้มโนทัศน์และภาษาในการเรียนรู้ โดยในสถานการณ์การเรียนรู้จะสร้างแผนที่การคิดการเข้าใจซึ่งเป็นการแสดงความสัมพันธ์แทนตัวขึ้นภายในความคิด

100 มนุษย์สามารถควบคุมการทํางานของร่างกายที่เคยเชื่อว่าเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนืออํานาจจิตใจได้ ลักษณะเช่นนี้ใช้หลักการเรียนรู้แบบใด

(1) การเรียนรู้แฝง

(2) การเรียนรู้เพื่อจะเรียน

(3) การป้อนกลับทางชีวะ

(4) การเรียนรู้ทักษะ

(5) การวางเงื่อนไขแบบการกระทํา

ตอบ 3 หน้า 185 นักจิตวิทยาพบว่ามนุษย์สามารถควบคุมการทํางานของร่างกายในส่วนที่เคยเชื่อว่าเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนืออํานาจจิตใจได้ โดยใช้หลักการเรียนรู้แบบการป้อนกลับทางชีวะ ซึ่งใช้หลักคล้าย ๆ กับโยคะและพุทธศาสนา ทั้งนี้การทํางานของร่างกายเกือบทุกอย่างสามารถอยู่ในอํานาจของจิตใจได้ถ้าให้การป้อนกลับหรือรางวัลตามหลักการเปลี่ยนแปลงการทํางานของส่วนนั้น

101 ข้อความใดไม่ถูกต้อง

(1) พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมไม่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของบุคคล

(2) จุดมุ่งหมายในการศึกษาพัฒนาการ คือ เพื่อเข้าใจพัฒนาการและพฤติกรรมของบุคคล

(3) พัฒนาการเป็นการศึกษากระบวนการเปลี่ยนแปลงของอินทรีย์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

(4) การศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ทําให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทุกด้านของบุคคล (5) การศึกษาพัฒนาการของบุคคลต้องศึกษาจากทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจึงทําให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น

ตอบ 1 หน้า 121 – 122 พัฒนาการเป็นการศึกษาถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงของอินทรีย์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา จุดมุ่งหมายประการหนึ่งในการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ คือ เพื่อเข้าใจพัฒนาการ และพฤติกรรมของบุคคล ทําให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทุกด้านของบุคคล โดยต้องศึกษาและ ประมวลพิจารณาจากทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจึงทําให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งนี้ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมจะร่วมกันมีบทบาทในพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของบุคคล

102 ข้อใดไม่สอดคล้องกับกฎของเมนเดล

(1) ยีนส์ถูกส่งข้ามจากคนช่วงอายุหนึ่งไปยังคนอีกช่วงอายุหนึ่ง

(2) ร่างกายของคนเรามียืนส์ 400,000 ชนิด

(3) ยีนส์ที่มีลักษณะเด่น และยีนส์ที่มีลักษณะด้อย

(4) โรคเบาหวานเป็นโรคทางพันธุกรรม

(5) พันธุกรรมถ่ายทอดจากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นลูก รุ่นหลาน

ตอบ 2 หน้า 122 – 124, 128 “กฎของเมนเดล” สามารถอธิบายการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ดังนี้

1 ยีนส์จะถูกส่งข้ามจากคนช่วงอายุหนึ่งไปยังคนอีกช่วงอายุหนึ่ง

2 ร่างกายของคนเราจะมียีนส์อยู่ประมาณ 40,000 ชนิด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ยีนส์ที่มี ลักษณะเด่น และยืนส์ที่มีลักษณะด้อย

3 ยีนส์จะถ่ายทอดคุณลักษณะจากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นลูก รุ่นหลาน เช่น รูปร่าง หน้าตา สีผม สีผิว รวมทั้งกลุ่มเลือด และโรคบางอย่าง (เบาหวาน ตาบอดสี) ฯลฯ

103 สิ่งใดที่ทําให้ยีนส์ที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง

(1) การใช้รังสี X-Ray

(2) การใช้ยา

(3) เคมีบําบัด

(4) การเกิดอุบัติเหตุ

(5) การเกิดโรคไทรอยด์

ตอบ 4 หน้า 124, 132 133 ในสภาพการณ์ที่เป็นปกติโดยทั่วไป ยีนส์ที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากการใช้รังสีเอกซเรย์ (X-Ray) การใช้เคมีบําบัดหรือการใช้ยาบางชนิด รวมทั้งการเกิดโรคจากต่อมไทรอยด์และระบบเลือดของมารดา

104 ข้อใดไม่ใช่ฝาแฝดเหมือน

(1) สเปิร์ม 1 ไข่ 1

(2) สเปิร์ม 1 ไข่ 2

(3) ฝาแฝดเพศเดียวกัน

(4) มียีนส์และโครโมโซมเหมือนกัน

(5) หน้าตาเหมือนกัน

ตอบ 2 หน้า 125 ฝาแฝดเหมือนหรือแฝดแท้ (Identical Twins) เกิดจากไข่ 1 ใบ ผสมกับสเปิร์มหรืออสุจิ 1 ตัว แล้วเซลล์เกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน 2 ตัว (เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด)ฝาแฝดเหมือนจึงเป็นเพศเดียวกัน มีหน้าตาเหมือนกัน มียีนส์และโครโมโซมเหมือนกันทุกประการ

105 คนที่มีลักษณะ Endomorphy จะมีลักษณะอารมณ์

(1)มีน้ำใจเป็นนักกีฬา

(2) อารมณ์ดี

(3) โมโหยาก

(4) อารมณ์มั่งคง

(5) เอาใจตนเป็นใหญ่

ตอบ 2 หน้า 129, 295 เซลดอน (Sheldon) เป็นผู้เสนอว่าการที่บุคคลมีลักษณะรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันจะส่งผลต่ออารมณ์ของบุคคลได้ โดยแบ่งรูปร่างของบุคคลออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1 รูปร่างอ้วนกลม (Endomorphy) มักจะมีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดี สนุกสนาน รักความสบายโกรธง่ายหายเร็ว ขึ้น้อยใจ พูดมาก ขี้บ่น คุยโอ่ และกินจุ หรือชอบกิน ๆ นอน ๆ ฯลฯ

2 รูปร่างผอมเกร็ง (Ectomorphy) มักจะมีนิสัยขี้อาย ขี้กลัว ไม่กล้าแสดงออก เป็นคนเฉย ๆรักสันโดษ เก็บอารมณ์เก่ง โมโหยากแต่หายช้า พูดน้อย ดื้อดึง และเอาใจตนเป็นใหญ่ ฯลฯ

3 รูปร่างสมส่วน (Mesomorphy) มักจะมีนิสัยกล้าแสดงออก รักกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นผู้ที่มีอารมณ์มั่นคง มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ฯลฯ

106 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะพัฒนาการของมนุษย์

(1) เกิดขึ้นเอง

(2) เป็นอัตราที่ไม่เหมือนกัน

(3) ไม่ต่อเนื่องกัน

(4) มีทิศทางที่แน่นอน

(5) พัฒนาการแต่ละช่วงอายุไม่เป็นอัตราเดียวกัน

ตอบ 3 หน้า 140 – 141, (คําบรรยาย) ลักษณะพัฒนาการของมนุษย์ มีดังนี้

1 เกิดขึ้นเองในลักษณะที่ต่อเนื่องกัน (Continuity)

2 เป็นไปตามแบบฉบับของมันเอง (Sequence)

3 เกิดเป็นอัตราที่ไม่เหมือนกัน (Ratio)

4 มีทิศทางที่แน่นอนและเกิดเป็นทิศทางเฉพาะ (Developmental Direction)

5 พัฒนาการแต่ละช่วงอายุไม่เป็นอัตราเดียวกัน

107 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีพัฒนาการทางเพศของฟรอยด์

(1) Oral Stage ความพึงพอใจอยู่ที่ปาก

(2) Anal Stage ความพึงพอใจอยู่ที่ระบบขับถ่าย

(3) Phallic Stage สนใจอวัยวะเพศ, เด็กผู้ชายจะรักพ่อ และเด็กผู้หญิงจะรักแม่

(4) Latency Stage เป็นวัยที่เด็กกําลังเข้าโรงเรียน

(5) Genital Stage เด็กเริ่มสนใจเพศตรงข้าม มีแรงจูงใจที่จะรักผู้อื่น

ตอบ 3 หน้า 145, 299, (คําบรรยาย) ทฤษฎีพัฒนาการทางเพศของฟรอยด์ (Freud) ได้แบ่งพัฒนาการตามลักษณะความเปลี่ยนแปลงซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการทางเพศ โดยแบ่งออกเป็น 5 ขั้น ดังนี้

1 ขั้นความสุขอยู่ที่ปาก (Oral Stage) เป็นระยะที่ทารกใช้ปากหาความสุขและความพึงพอใจ

2 ขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก (Anal Stage) โดยเด็กจะได้รับความพึงพอใจในการขับถ่าย

3 ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) เด็กจะเกิดความสนใจและพึงพอใจอวัยวะเพศของตนเองโดยเด็กหญิงและเด็กชายจะรักใคร่ผูกพันกับพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศตรงกันข้ามกับตนเอง

4 ขั้นแอบแฝง (Latency Stage) เป็นวัยที่เด็กกําลังเข้าโรงเรียน จึงเป็นระยะของการเรียนรู้

5 ขั้นการมีเพศสัมพันธ์ (Genital Stage) เด็กเริ่มสนใจเพศตรงข้าม มีแรงจูงใจที่จะรักผู้อื่น

108 ความต้องการได้รับตําแหน่งและการได้รับรางวัลประกาศเกียรติยศ อยู่ในลําดับขั้นความต้องการใดตามแนวคิดของมาสโลว์ (Maslow)

(1) ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs)

(2) ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง (Safety and Security Needs)

(3) ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (Love and Belonging Needs)

(4) ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น (Self Esteem Needs)

(5) ความต้องการประจักษ์ตน (Self-Actualization Needs)

ตอบ 4 หน้า 231 สิ่งเร้าที่มากระตุ้นบุคคลเพื่อให้เกิดความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น ได้แก่ ตําแหน่ง เครื่องหมายการแบ่งชั้น/การแข่งขันบังคับบัญชา เครื่องแบบ การประกาศเกียรติคุณ ถ้วยรางวัล โล่เกียรติยศ ใบปริญญา เครื่องหมายคุณวุฒิ ฯลฯ (ดูคําอธิบายข้อ 46 ประกอบ)

109 ข้อใดไม่ใช่ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ

(1) สร้างความสามัคคี

(2) ภาพวาด

(3) ได้บัตรอวยพร

(4) หนังโรแมนติก

(5) มอบยาบํารุงร่างกาย

ตอบ 5 หน้า 231 สิ่งเร้าที่มากระตุ้นบุคคลเพื่อให้เกิดความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ได้แก่ สิ่งของที่แสดงถึงสัมพันธภาพที่ดีต่อกันระหว่างบุคคล (เช่น บัตรอวยพร ของขวัญ ภาพวาด ฯลฯ) สื่อที่แสดงความรักความเข้าใจ (เช่น เพลง หนังสือโรแมนติก ภาพยนตร์หรือบทกวีความรัก ฯลฯ)กิจกรรม/สถานการณ์ที่สร้างความสามัคคี ความผูกพัน ฯลฯ (ดูคําอธิบายข้อ 46 ประกอบ)

110 ข้อใดไม่ใช่ความต้องการทางด้านร่างกาย

(1) การแต่งกาย

(2) ยา

(3) บ้าน

(4) อาหาร

5) เครื่องนุ่งห่ม

ตอบ 2 หน้า 231 สิ่งเร้าที่มากระตุ้นบุคคลเพื่อให้เกิดความต้องการทางด้านร่างกาย ได้แก่ อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย (บ้าน) การตกแต่งสถานที่ เพศตรงข้าม (การแต่งกายและพฤติกรรมการแสดงออกต่าง ๆ) ฯลฯ (ดูคําอธิบายข้อ 46 ประกอบ)

111 อารมณ์ในข้อใดไม่แสดงออกทางใบหน้าตามหลักของพอล เอ็กแมน

(1) เสียใจ

(2) โกรธ

(3) ทุกข์

(4) สุข

(5) ร้องไห้

ตอบ 3 หน้า 274 อารมณ์สากลที่แสดงออกทางใบหน้าตามแนวคิดของพอล เอ็กแมน (Paul Ekman)มี 6 ชนิด ได้แก่ ประหลาดใจ รังเกียจ เศร้าเสียใจ โกรธ กลัว และเป็นสุข

112 ข้อใดไม่ใช่แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์

(1) ความกระหาย

(2) ความหิว

(3) ความต้องการหลีกหนีอันตราย

(4) ความต้องการสืบพันธุ์

(5) ความเผาผลาญในร่างกาย

ตอบ 5 หน้า 233, 239 แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์ (เพื่อความอยู่รอดของชีวิต) แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ

1 แรงจูงใจทางชีวภาพ/สรีรวิทยา (Biological Motive) เช่น ความหิว ความกระหาย ฯลฯ

2 แรงจูงใจเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ (Reproduction Motive) เช่น ความต้องการทางเพศ ฯลฯ

3 แรงจูงใจเพื่อหลีกหนีอันตราย (Avoidance Motive)

113 แรงจูงใจประเภทใดที่ทําให้มนุษย์ต้องหาวิธีอยู่รอด

(1) แรงจูงใจพื้นฐาน

(2) แรงจูงใจภายใน

(3) แรงจูงใจภายนอก

(4) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์

(5) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 112 ประกอบ

114 แรงจูงใจที่ทําให้บุคคลปฏิบัติตนเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น ตรงกับข้อใด (1) แรงจูงใจภายใน

(2) แรงจูงใจภายนอก

(3) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์

(4) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์

(5) แรงจูงใจที่นอกเหนือการควบคุม

ตอบ 4 หน้า 234 แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliative Motive) เป็นแรงจูงใจที่ทําให้บุคคลปฏิบัติตนและแสดงพฤติกรรมให้ตนเป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่น อันเป็นแรงจูงใจที่สังคมสร้างเงื่อนไข กระตุ้นให้บุคคลเกิดความต้องการที่จะติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ทั้งนี้เพราะคนเราต้องการที่จะได้รับความรักจากผู้อื่น ต้องการการยอมรับและเอาใจใส่จากบุคคลที่ตนเกี่ยวข้องด้วย

115 อารมณ์ที่เกิดขึ้นแรกสุดในวัยทารกคืออารมณ์ใด

(1) อารมณ์อิจฉาริษยา

(2) อารมณ์ตื่นเต้น

(3) อารมณ์รําคาญ

(4) อารมณ์โกรธ

(5) อารมณ์อยากรู้อยากเห็น

ตอบ 2 หน้า 271 เค.บริดเจส (K.Bridges) พบว่า พัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กทารกมีลักษณะดังนี้ อารมณ์แรกเกิดของมนุษย์คืออารมณ์ตื่นเต้น แล้วจึงพัฒนาไปสู่อารมณ์ที่มีลักษณะเฉพาะมากขึ้น เมื่ออายุครบ 3 เดือน ก็จะแยกออกระหว่างอารมณ์ดีใจและเดือดร้อนใจ ต่อจากนั้นอารมณ์โกรธ เกลียดและกลัวก็จะปรากฏขึ้นภายหลังตามระดับวุฒิภาวะและการรับรู้ของเด็ก และเมื่ออายุ 2 ปี (24 เดือน) อารมณ์พื้นฐานก็จะพัฒนาจนครบสมบูรณ์ทั้ง 8 ชนิด

116 ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้อง

(1) อารมณ์เป็นประสบการณ์ความรู้สึกส่วนบุคคล

(2) การแสดงออกทางอารมณ์แตกต่างจากการกระทําปกติทั่ว ๆ ไป

(3) อารมณ์จะเกิดร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ

(4) อารมณ์เป็นพฤติกรรมภายนอกและเกิดจากความคิดเฉพาะอย่าง

(5) อารมณ์เป็นวิธีการที่สามารถระบายความรู้สึกได้

ตอบ 4 หน้า 255 – 256, (คําบรรยาย) อารมณ์ มีลักษณะสําคัญ 4 ประการ คือ

1 อารมณ์ไม่ใช่พฤติกรรมภายนอกหรือความคิดเฉพาะอย่าง แต่อารมณ์เป็นประสบการณ์ความรู้สึกส่วนบุคคล

2 อารมณ์เป็นความรู้สึกที่รุนแรงและมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่แตกต่างไปจากการกระทําปกติทั่ว ๆ ไป ดังนั้นอารมณ์จึงเป็นวิธีการที่บุคคลสามารถนํามาใช้เพื่อระบายความรู้สึกได้

3 บุคคลจะมีการประเมินหรือแปลความหมายของสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องแล้วจึงจะเกิดอารมณ์ 1 อารมณ์จะเกิดร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ

117 กระบวนการจูงใจ ตรงกับใด

(1) ความต้องการ แรงขับ การตอบสนอง สิ่งเร้า เป้าหมาย

(2) สิ่งเร้า แรงขับ การตอบสนอง ความต้องการ เป้าหมาย

(3) สิ่งเร้า ความต้องการ แรงขับ การตอบสนอง เป้าหมาย

(4) เป้าหมาย สิ่งเร้า แรงขับ ความต้องการ การตอบสนอง

(5) ความต้องการ แรงขับ ความเครียด การตอบสนอง การแสดงผล

ตอบ 3 หน้า 227 228 กระบวนการเกิดแรงจูงใจ มีขั้นตอนและองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้

1 Input (ปัจจัยนําเข้า) ได้แก่ สิ่งเร้า, การเรียนรู้และประสบการณ์

2 Process (กระบวนการ) ได้แก่ ความต้องการ, แรงขับ และการตอบสนอง

3 Output (ปัจจัยนําออก) ได้แก่ เป้าหมาย

118 อารมณ์กลัวจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระในข้อใด

(1) การหายใจช้าลง

(2) ก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนนอร์แอดรีนาลิน

(3) กล้ามเนื้ออ่อนแรง

(4) ความต้านทานกระแสไฟฟ้าของผิวหนังบริเวณมือจะลดลง

(5) ความต้านทานกระแสไฟฟ้าของผิวหนังบริเวณมือจะเพิ่มขึ้น

ตอบ 4 หน้า 262 263 อารมณ์กลัวจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระตามบริเวณต่าง ๆ ดังนี้ การหายใจจะถี่ขึ้น ความต้านทานกระแสไฟฟ้าของผิวหนังบริเวณมือจะลดลง มีความตึงเครียดของกล้ามเนื้อสูงมาก และจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแอดรีนาลินจากต่อมหมวกไต

119 ทฤษฎีใดอธิบายว่าร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าก่อนการเกิดอารมณ์

(1) เจมส์-แลง

(2) แคนนอน-บาร์ด

(3) แชคเตอร์-ซิงเกอร์

(4) คาร์รอล-อิซาร์ด

(5) มาสโลว์-เมอร์เรย์

ตอบ 1 หน้า 265, 269 ทฤษฎีของเจมส์ แลง (James-Lang Theory) อธิบายว่า ร่างกายของคนเราจะต้องแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งเร้าเป็นอันดับแรกก่อน แล้วอารมณ์จึงจะเกิดตามมา ทั้งนี้ ประสบการณ์ทางอารมณ์เป็นผลมาจากการรับรู้การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย โดยหลังจาก ที่เกิดการเร้าทางกายและพฤติกรรมแล้วจะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ หายใจหอบ หน้าแดง และเหงื่อออก นําไปสู่ประสบการณ์ทางอารมณ์

120 ทฤษฎีใดเน้นว่า “อารมณ์จะเกี่ยวข้องกับการตีความหมายของสถานการณ์ที่แต่ละคนได้เผชิญ”

(1) เจมส์-แลง

(2) แคนนอน-บาร์ด

(3) แชคเตอร์ – ซิงเกอร์

(4) คาร์รอล-อิซาร์ด

(5) มาสโลว์-เมอร์เรย์

ตอบ 3 หน้า 267 – 269 ทฤษฎีของแชคเตอร์-ซิงเกอร์ (Schachter-Singer Theory) อธิบายว่า อารมณ์เกิดจากการแปลความปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติทางกายและการคิดหาสาเหตุของ การตอบสนองนั้น ๆ โดยอาการตอบสนองทางกายแบบเดียวกันนั้น อารมณ์อาจแตกต่างกัน จะขึ้นอยู่กับการตีความสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งมาเร้าให้เกิดการตอบสนอง ดังนั้นการเร้า เพียงอย่างเดียวไม่ทําให้เกิดอารมณ์ จะต้องมีการแปลความควบคู่ไปด้วย

 

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา PSY 1001 จิตวิทยาทั่วไป

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1 ข้อใดเป็นขีดจํากัดที่ไม่สามารถนําวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในทางจิตวิทยาได้ทุกเรื่อง

(1) ขาดห้องทดลองทางจิตวิทยา

(2) ขาดเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา

(3) เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มีราคาแพง

(4) เนื่องจากขัดต่อหลักศีลธรรมและมนุษยธรรม

(5) ถูกหมดทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 5 ขีดจํากัดที่ไม่สามารถนําวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในทางจิตวิทยาได้ทุกเรื่อง คือ

1 เนื่องจากขัดต่อหลักศีลธรรมและมนุษยธรรม ทําให้มีขีดจํากัดในการปฏิบัติเชิงทดลอง

2 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับสัตว์ทดลองที่ว่าสัตว์มีความคิด ความรู้สึก และแรงจูงใจเช่นเดียวกับมนุษย์ ทําให้มีขีดจํากัดในการนําสัตว์มาทําการทดลอง

2 การหาคําตอบของคําถามที่ว่า “มีรถเสียอยู่กลางถนน แต่บุคคลที่ยืนอยู่บนฟุตบาทกลับเพิกเฉยไม่ได้ให้ ความช่วยเหลือ” สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายทางจิตวิทยาข้อใด

(1) ศึกษา

(2) อธิบาย

(3) ทําความเข้าใจ

(4) ทํานาย

(5) ควบคุม

ตอบ 3 หน้า 5 – 7, (คําบรรยาย) จุดมุ่งหมายของการศึกษาทางจิตวิทยา มี 4 ประการ ได้แก่

1 หาคําอธิบาย เช่น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีอุบัติเหตุหรือมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นบนถนน ฯลฯ

2 ทําความเข้าใจ เช่น การหาคําตอบของคําถามที่ว่าทําไมหรือเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ฯลฯ

3 ทํานาย (พยากรณ์) เช่น มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ผู้ประสบเหตุจะได้รับความช่วยเหลือ ฯลฯ

4 ควบคุมพฤติกรรม เช่น เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นบนถนนแล้วมีบุคคลถ่ายคลิปเก็บไว้ ฯลฯ

ข้อ 3 – 5 จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) พฤติกรรมนิยม

(2) หน้าที่ของจิต

(3) จิตวิเคราะห์

(4) โครงสร้างของจิต

(5) จิตวิทยาคอกนิทิฟ

3 แนวคิดใดเน้นเรื่องการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข

ตอบ 1 หน้า 10 วัตสัน (Watson) นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) กล่าวว่า จิตวิทยาที่แท้จริงคือการศึกษาพฤติกรรม ไม่ใช่ศึกษาเฉพาะจิตสํานึก ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธ เรื่องจิตโดยสิ้นเชิง และรับแนวความคิดเรื่องการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข โดยเน้นสังเกตดูพฤติกรรมการตอบสนองแล้วบันทึกซึ่งจะทําให้ได้หลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง

4 แนวคิดใดกล่าวว่าจิตมนุษย์เหมือนก้อนน้ำแข็ง ส่วนที่กว้างใหญ่คือส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นส่วนที่อยู่ใต้สํานึกเป็นความปรารถนาที่ซ่อนเร้นแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้

ตอบ 3 หน้า 11 ฟรอยด์ (Freud) นักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ได้อธิบายว่า บุคลิกภาพของบุคคลพัฒนามาจากแรงจูงใจไร้สํานึก และความผิดปกติของบุคลิกภาพเกิดจากการเก็บกดในวัยเด็ก โดยพบว่าจิตมนุษย์เหมือนก้อนน้ำแข็งที่มีเพียงส่วนน้อยที่ลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ส่วนที่กว้างใหญ่คือส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ เป็นส่วนที่อยู่ใต้สํานึก เป็นความปรารถนาที่ซ่อนเร้น แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ แต่ทว่ามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมของบุคคลนั้น

5 แนวคิดใดที่สนใจศึกษาการคิด จิตสํานึก การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการภายในจิต

ตอบ 5 หน้า 12, (คําบรรยาย) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทิฟ (Cognitive Psychology) สนใจศึกษาเกี่ยวกับความสามารถทางปัญญา ความรู้ การคิด การใช้ภาษา การแก้ปัญหา จิตสํานึก ความคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการภายในจิต ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันนี้กลุ่มต่าง ๆ ทางจิตวิทยาได้สลายตัวไปและมีการ รวมความคิดของแต่ละกลุ่มเข้าด้วยกัน ทั้งนี้พวกพฤติกรรมนิยมขนานแท้ก็ยังยอมรับแนวคิดพวกคอกนิทิฟเข้ามาแล้วเรียกว่า จิตวิทยาพฤติกรรมทางพุทธิปัญญา (Cognitive Behaviorism)

ข้อ 6 – 8 จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) การสังเกต

(2) การสํารวจ

(3) การทดลอง

(4) การทดสอบทางจิตวิทยา

(5) การศึกษาประวัติรายกรณี

 

6 วิธีใดที่ใช้ศึกษาประชามติเกี่ยวกับการร่างพระราชบัญญัติ

ตอบ 2 หน้า 14 การสํารวจ (Survey) เป็นวิธีการศึกษาลักษณะบางลักษณะจากกลุ่มตัวอย่างบางกลุ่มที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดที่ต้องการศึกษา โดยการออกแบบสอบถามหรือ โดยการสัมภาษณ์และนําคําตอบที่ได้ไปประมวลผลด้วยวิธีการทางสถิติ ซึ่งวิธีการสํารวจนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น การสํารวจประชามติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เป็นต้น

7 วิธีใดที่ใช้ศึกษาพฤติกรรมที่บุคคลพยายามปกปิดซ่อนเร้นไว้จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

ตอบ 4 หน้า 14 การทดสอบทางจิตวิทยา (Psychological Testing) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดลักษณะพฤติกรรมที่แอบแฝงอยู่ภายในตัวบุคคลซึ่งเป็นสิ่งที่บุคคลพยายามปกปิดซ่อนเร้นไว้จะโดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม เช่น การศึกษาความสามารถทางสติปัญญาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ การวัดความถนัดและความสนใจ การตรวจลักษณะของบุคลิกภาพและอารมณ์ ฯลฯ

8 วิธีใดที่เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริง โดยการเฝ้ามองปรากฏการณ์ตามที่เป็นจริง แล้วบันทึกรายละเอียดไว้

ตอบ 1 หน้า 13 การสังเกต (Observation) เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการเฝ้ามองปรากฏการณ์หรือสถานการณ์ตามที่เป็นจริง โดยที่ผู้ถูกสังเกตไม่รู้ตัว แล้วบันทึกรายละเอียดไว้ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของคนในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติมากที่สุด

ข้อ 9 – 10 จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) นักจิตวิทยาอุตสาหกรรม

(2) นักจิตวิทยาผู้บริโภค

(3) นักจิตวิทยาสังคม

(4) นักจิตวิทยาวิศวกรรม

(5) นักจิตวิทยาการทดลอง

 

9 ใครทําหน้าที่วิจัยและออกแบบเครื่องจักร เครื่องควบคุม และรถยนต์

ตอบ 4 หน้า 17 นักจิตวิทยาวิศวกรรม จะทําหน้าที่วิจัยประยุกต์ในด้านการออกแบบเครื่องจักรเครื่องควบคุม เครื่องบิน เครื่องยนต์ ฯลฯ เพื่อธุรกิจในวงการอุตสาหกรรมและวงการทหาร

10 ใครทําหน้าที่วิจัยและทดสอบเรื่องบรรจุภัณฑ์และการโฆษณา

ตอบ 2 หน้า 16 นักจิตวิทยาผู้บริโภค จะทําหน้าที่วิจัยและทดสอบเรื่องบรรจุภัณฑ์และการโฆษณาการวิจัยตลาด เพื่อศึกษาอุปนิสัยของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ และการสํารวจประชามติเกี่ยวกับสินค้า

11 พฤติกรรมการเรียนรู้ การรับรู้ บุคลิกภาพเป็นผลมาจากการทํางานของระบบประสาท เป็นการศึกษา เกี่ยวกับเรื่องใด

(1) สรีรจิตวิทยา

(2) พันธุศาสตร์

(3) ประสาทวิทยา

(4) จิตวิทยา

(5) เซลล์วิทยา

ตอบ 1 หน้า 25, 27, (คําบรรยาย) สรีรจิตวิทยา (Physiological Psychology) เป็นการศึกษาค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่การทํางานของระบบต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดพฤติกรรมที่สมดุล และอยู่รอดของชีวิต โดยเน้นศึกษาเกี่ยวกับการทํางานของสมอง/ระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ เชื่อว่าพฤติกรรมการเรียนรู้ การรับรู้ และบุคลิกภาพเป็นผลมาจากการทํางานของระบบประสาทและเชื่อว่าการเคลื่อนไหว อารมณ์ และการคิด เกิดจากการนําส่งกระแสประสาทไปทั่วร่างกาย

12 สมองและไขสันหลังควบคุมการทํางานของกล้ามเนื้อชนิดใด

(1) กล้ามเนื้อลาย

(2) กล้ามเนื้อเรียบ

(3) กล้ามเนื้อหัวใจ

(4) กระเพาะอาหาร

(5) กะบังลม

ตอบ 1 หน้า 30, 32, 52 ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System) จะทําหน้าที่ในการทําให้ร่างกายเคลื่อนไหว ประกอบด้วย

1 กล้ามเนื้อลาย โดยจะทํางานอยู่ภายใต้อํานาจจิตใจ กล่าวคือ อยู่ภายใต้การบังคับควบคุมของระบบประสาทส่วนกลาง อันได้แก่ สมองและไขสันหลัง

2 กล้ามเนื้อเรียบ เช่น กระเพาะอาหาร กะบังลม ฯลฯ โดยจะทํางานอยู่นอกอํานาจจิตใจ

3 กล้ามเนื้อหัวใจ โดยจะทํางานอยู่นอกอํานาจจิตใจ

13 ระบบประสาทส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดความรู้สึกร้อน-เย็น

(1) ระบบประสาทส่วนกลาง

(2) ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก

(3) ระบบประสาทซิมพาเธติก

(4) ระบบประสาทโซมาติก

(5) ระบบประสาทอัตโนมัติ

ตอบ 4 หน้า 34 ระบบประสาทโซมาติก (Somatic Nervous System) ประกอบด้วย เส้นประสาทสมองจํานวน 12 คู่ และเส้นประสาทไขสันหลังจํานวน 31 คู่ โดยเส้นประสาทเหล่านี้จะรับ การกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอกผ่านผิวหนัง กล้ามเนื้อ และข้อต่าง ๆ เข้าสู่ไขสันหลังและสมองทําให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ร้อน เย็น เจ็บ ปวด เป็นต้น

14 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเซลล์ประสาทนิวโรน

(1) ทําหน้าที่รับและส่งกระแสประสาท

(2) เป็นหน่วยการทํางานพื้นฐานของระบบประสาทที่เล็กที่สุด

(3) หากได้รับความเสียหายจะไม่สามารถสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ได้

(4) เซลล์ประสาทแต่ละชนิดจะมีตัวเซลล์เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย

(5) มีการเพิ่มจํานวนได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ตัวอ่อนยังอยู่ในครรภ์

ตอบ 3 หน้า 37 เซลล์ประสาทนิวโรน (Neuron) เป็นเซลล์ที่ทําหน้าที่รับและส่งกระแสประสาทที่ใช้ควบคุมการทํางานซึ่งกันและกัน เป็นหน่วยพื้นฐานการทํางานที่เล็กที่สุดของระบบประสาท มีการเพิ่มจํานวนได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ตัวอ่อนยังอยู่ในครรภ์ และจะหยุดเพิ่มจํานวนหลังคลอดแล้ว ถ้าเซลล์ประสาทชํารุดจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ถ้าเซลล์ประสาทตายไปจะไม่เกิดเซลล์ประสาทใหม่อีก เซลล์ประสาทแต่ละชนิดจะมีส่วนประกอบที่คล้ายคลึงกันทุกเซลล์

15 สารสื่อประสาทชนิดใดที่ถูกสังเคราะห์โดยปลายประสาทซิมพาเธติก

(1) อะซีทิลโคลีน

(2) ซีโรโทนิน

(3) โดปามาย

(4) กาบา

(5) นอร์อิพิเนฟฟริน

ตอบ 5 หน้า 39 นอร์อิพิเนฟฟริน (Norepinephrin) เป็นสารสื่อประสาทชนิดที่ถูกสังเคราะห์โดยปลายประสาทซิมพาเธติก มีผลต่อเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ตรงกันข้ามกับผลของอะซีทิลโคลีนที่ผลิตที่ปลายประสาทพาราซิมพาเธติก

16 สมองส่วนใดควบคุมการทํางานของกล้ามเนื้อเรียบ

(1) ก้านสมอง

(2) ไขสันหลัง

(3) ซีรีเบลลัม

(4) ซีรีบรัม

(5) สมองส่วนกลาง

ตอบ 3 หน้า 43 ซีรีเบลลัม (Cerebellum) เป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนท้าย โดยจะทําหน้าที่ควบคุมการทํางานของกล้ามเนื้อเรียบและอวัยวะภายใน ควบคุมการทํางานของเซลล์ประสาทในไขสันหลังทําให้การทรงตัวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถ้าซีรีเบลลัมถูกทําลายจะทําให้เสียการทรงตัว ฯลฯ

17 การทํางานของระบบต่อมไร้ท่อและระบบประสาทอัตโนมัติอยู่ภายใต้การทํางานของสมองส่วนใด

(1) ไฮโปธาลามัส

(2) ธาลามัส

(3) ลิมบิก

(4) ซีรีบรัม

(5) ซีรีเบลลัม

ตอบ 1 หน้า 42, 53, (คําบรรยาย) ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) เป็นส่วนของสมองที่มีขนาดเล็กแต่ทํางานมีอิทธิพลมาก โดยจะทําหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเพื่อให้เกิดความสมดุลภายในร่างกาย ควบคุมการหลับ การตื่น ความหิว ความกระหาย ความดันโลหิต การสืบพันธุ์ อุณหภูมิในร่างกายการทํางานของระบบต่อมไร้ท่อและระบบประสาทอัตโนมัติ

18 ฮอร์โมนชนิดใดที่กระตุ้นการให้ร่างกายเกิดการเจริญเติบโตและกระตุ้นต่อมน้ำนม (1) คอร์ติซอล

(2) เทสเทอสโตโรน

(3) โปรเจสเตอโรน

(4) โกรัธฮอร์โมน

(5) อินซูลิน

ตอบ 4 หน้า 45 โกรธฮอร์โมน (Growth Hormone) เป็นกลุ่มของฮอร์โมนที่ทําหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกายและกระตุ้นต่อมน้ำนม

19ฮอร์โมนคอร์ติซอล มีแหล่งกําเนิดมาจากที่ใด

(1)ต่อมแพนเครียส

(2) ต่อมใต้สมอง

(3) ต่อมหมวกไต

(4) ต่อมไทรอยด์

(5) ต่อมไทมัส

ตอบ 3 หน้า 48 ต่อมหมวกไต (Adrenal Gland) จะทําหน้าที่สร้างฮอร์โมนสําคัญ 4 ชนิด ได้แก่ อัลโดสเตอโรน (Aldosterone), คอร์ติซอล (Cortisol), แอดรีนาลิน (Adrenalin) และนอร์แอดรีนาลิน (Nor-drenalin)

20 การแปลความหมายจากสิ่งที่มากระทบอวัยวะร่างกายเรียกว่าอะไร

(1) การสัมผัส

(2) การจําได้

(3) การเรียนรู้

(4) การรับรู้

(5) ประสบการณ์

ตอบ 4 หน้า 57, 60 การรับรู้ คือ กระบวนการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่มากระทบอวัยวะสัมผัสหรือประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งการแปลความหมายของสิ่งที่รับรู้นี้จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีต การเรียนรู้ และสภาพจิตใจในปัจจุบัน ตลอดจนการจัดรูปแบบของสิ่งเร้านั้น ๆ

21 โคนส์เป็นเซลล์ประสาทที่มีหน้าที่ใด

(1) เป็นเซลล์รับแสงในเวลากลางวัน

(2) เป็นเซลล์รับแสงในเวลากลางคืน

(3) เป็นเซลล์รับแสงจ้ามาก

(4) เป็นเซลล์รับแสงสลัว ๆ

(5) เป็นเซลล์รับแสงสีเข้ม

ตอบ 1 หน้า 61 ที่ผนังของเรตินา (Retina) จะมีเซลล์ประสาทอยู่ 2 ชนิด คือ

1 รอดส์ (Rods) เป็นเซลล์ที่ไวต่อแสงขาวดํา จึงเป็นเซลล์รับแสงในเวลากลางคืน

2 โคนส์ (Cones) เป็นเซลล์ที่ไวต่อแสงที่เป็นสี ช่วยทําให้รับภาพสีได้ดี จึงเป็นเซลล์รับแสงในเวลากลางวัน ดังนั้นคนตาบอดสีจึงไม่มีโคนส์อยู่ที่บริเวณเรตินา

22 หน่วยวัดความแรงของคลื่นเสียงคือข้อใด

(1) กิโลเมตร

(2) เดซิเบล

(3) แอพิจูด

(4) เมกกะ

(5) เฮิรตซ์

ตอบ 2 หน้า 65 ความแรงของคลื่นเสียงมักวัดด้วยมาตราที่เรียกว่า “เดซิเบล” (Decibles : (db) ซึ่งความดังของเสียงจะสูงขึ้นตามจํานวนเดซิเบลที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเสียงมีความสูงของ db มากเท่าไร ก็ยิ่งทําอันตรายแก่ผู้ฟังได้มากเท่านั้น โดยเสียงกระซิบจะมีระดับความดังประมาณ 20 db เสียงคุยปกติประมาณ 60 db และเสียงที่ดังเกิน 80 db จะเป็นอันตรายแก่หูถ้าฟังนาน ๆ

23 ทฤษฎีคุมด่านเชื่อว่าอวัยวะใดเป็นที่รวมประสาททั้งหมดที่ส่งไปยังสมอง

(1) หัวใจ

(2) กะโหลก

(3) ไขสันหลัง

(4) ท้ายทอย

(5) กระเพาะอาหาร

ตอบ 3 หน้า 67 ทฤษฎีคุมด่าน (Gate Control Theory) เป็นทฤษฎีการเจ็บปวดที่เชื่อว่า ไขสันหลังเป็นที่รวมของประสาทใหญ่น้อยที่จะส่งไปยังสมองและที่มาจากกล้ามเนื้อและผิวหนังอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งหากบุคคลมีอาการกลัวความเจ็บปวดในสมอง จะทําให้เกิดกระแสประสาทไปเร้าด่านที่ไขสันหลังทําให้ท่านเปิดและส่งกระแสที่เจ็บปวดไปยังสมองได้

24 หากสัมผัสคีเนสเตซีสเสีย จะเกิดอะไรขึ้น

(1) ไม่รับรู้อุณหภูมิจากภายนอก

(2) การทรงตัวทําได้ลําบาก

(3) ไม่สามารถระงับความเจ็บปวดได้

(4) มีอาการเวียนหัวตลอดเวลา

(5) กล้ามเนื้อกระตุกตลอดเวลา

(5) กล้ามเนื้อกระตุกตลาด

ตอบ 2 หน้า 67 68 สัมผัสคีเนสเตซีส (Kinesthesis Sense) จะทํางานร่วมกับเครื่องรับสัมผัสเกี่ยวกับการทรงตัวที่มีอวัยวะรับสัมผัสอยู่ในหูตอนในและประสาทรับสัมผัสที่ตา เพื่อช่วยให้ร่างกายทั้งหมดทรงตัวอยู่ได้ตามปกติ หากสัมผัสคีเนสเตซีสเสีย การทรงตัวจะทําได้ลําบาก

25 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองเรื่องความลึกและระยะทางคืออะไร

(1) เขาวงกต

(2) กล่องอาหาร

(3) หน้าผามายา

(4) บ่อน้ำจําลอง

(5) ภูเขาจําลอง

ตอบ 3 หน้า 72 ผู้ที่สนใจศึกษาทดลองในเรื่องเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกและระยะทาง คือ กิ๊บสันและวอล์ก (Gibson and Walk) ซึ่งเขาได้ทดลองโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “หน้าผามายา” (Visual Cliff) พบว่า เมื่อเด็กทารกคลานไปถึงกึ่งกลางโต๊ะที่เป็นรอยต่อระหว่างกระจกโปร่งใส กับพื้นที่ทาสีตาหมากรุก (ทําให้แลเห็นเป็นพื้นที่ 2 ระดับที่มีความสูงต่ำต่างกัน) เด็กจะไม่กล้าคลานออกไป แสดงว่าการรับรู้ความลึกเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้

26 หากว่าเราชูหนังสือให้เพื่อนดู เพื่อนเราเห็นแค่สันหนังสือเท่านั้น แต่ก็บอกได้ว่าเป็นหนังสือ

(1) การคงที่ของสี

(2) การคงที่ของขนาด

(3) การคงที่ของรูปร่าง

(4) การคงที่ของรูปแบบ

(5) การคงที่ของน้ำหนัก

ตอบ 3 หน้า 71 – 72 ปรากฏการณ์คงที่ (Constancy) ในเรื่องการรับรู้และการเห็น มี 3 ชนิด คือ

1 การคงที่ของสี เช่น รถที่จอดอยู่ในที่มืดสลัวก็สามารถรับรู้หรือมองเห็นสีที่แท้จริงของรถได้

2 การคงที่ของขนาด เช่น ยืนอยู่บนตึกสูงแล้วมองลงมาด้านล่างก็สามารถรับรู้ขนาดของวัตถุได้

3 การคงที่ของรูปร่าง เช่น การเห็นแค่สันหนังสือเราก็ยังรับรู้ได้ว่าเป็นหนังสือไม่เปลี่ยนแปลง

27 ข้อใดคือการล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

(1) Telepathy

(2) Clairvoyance

(3) Precognition

(4) Extrasensory

(5) Perception

ตอบ 3 หน้า 79 ปรากฏการณ์อภิธรรมดา (Extrasensory Perception : ESP) แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1 โทรจิต (Telepathy) เป็นการล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพูดคุยกับผู้นั้น

  1. ประสาททิพย์ (Clairvoyance) เป็นการล่วงรู้โดยไม่ต้องพึ่งประสาทสัมผัส

3 การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า (Precognition) เป็นการล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

28 ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของความเป็นภาพและพื้นตามแนวคิดของนักจิตวิทยาสกุลเกสตัลท์

(1) ภาพเป็นสิ่งเด่นที่ตาสัมผัส

(2) ภาพไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน

(3) ภาพสองนัย

(4) พื้นเป็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังไม่ได้รับความสนใจ

(5) ถ้าความสนใจเปลี่ยนจุดอื่นจะกลายเป็นภาพได้

ตอบ 2 หน้า 74 – 75 คุณลักษณะของความเป็นภาพและพื้นตามแนวความคิดของนักจิตวิทยาสกุลเกสตัลท์ (Gestalt) คือ ภาพเป็นสิ่งเด่นที่ตาสัมผัส ลอยออกมาจากพื้น มีรูปร่างชัดเจนและมี ขอบเขตแน่นอน ส่วนพื้นเป็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังภาพ ไม่มีขอบเขตจํากัด ถ้าความสนใจเปลี่ยนไปจุดอื่นก็จะกลายเป็นภาพได้ (ภาพสองนัยเป็นภาพที่มองเห็นสลับกันได้ทั้งภาพและพื้น)

29 ข้อใดหมายถึงอาการของ “Jet Lag”

(1) นอนไม่เพียงพอเพราะทํางานหนัก

(2) นอนไม่หลับไม่คุ้นชินกับสถานที่

(3) อาการกรนขณะหลับ

(4) แบบแผนการนอนถูกรบกวน

(5) ขณะหลับมีอาการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ

ตอบ 4 หน้า 92 นักเดินทางที่ต้องขึ้นเครื่องบินเดินทางข้ามทวีปจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกโลกหนึ่งมักจะเกิดสภาวะที่เรียกว่า Jet Lag คือ ต้องปรับตัวกับเวลาของประเทศที่เดินทางไปถึงใหม่เนื่องจากแบบแผนการนอนตามธรรมชาติถูกรบกวน

30 ระยะการนอนหลับใดที่เกิดปฏิกิริยาสะท้อนของกล้ามเนื้อ

(1) ระยะที่ 1

(2) ระยะที่ 2

(3) ระยะที่ 3

(4) ระยะที่ 4

(5) ระยะที่ 5

ตอบ 1 หน้า 93 ระยะที่ 1 ของการนอนหลับ เป็นระยะต้นของการที่บุคคลเพิ่งหลับ หัวใจจะเต้นช้าลงกล้ามเนื้อทุกส่วนเริ่มผ่อนคลาย บางครั้งอาจมีปฏิกิริยาสะท้อนของกล้ามเนื้อ เช่น มีการกระตุกเล็กน้อยคล้ายสะดุ้ง คลื่นสมองจะมีลักษณะสั้น ไม่สม่ำเสมอ คลื่นแอลฟาจะมีบ้างประปราย

31 โดยปกติมนุษย์ฝันในแต่ละคืนประมาณกี่ครั้งและมีความยาวเท่าใด

(1) 1 – 2 ครั้ง ๆ ละ 15 นาที

(2) 1 – 2 ครั้ง ๆ ละ 25 นาที

(3) 3- 4 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที

(4) 4 – 5 ครั้ง ๆ ละ 25 นาที

(5) 6 – 7 ครั้ง ๆ ละ 10 นาที

ตอบ 4 หน้า 95 ในบางช่วงของการนอนหลับ ลูกตาของผู้นอนจะมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว (Rapid Eye Movements : REM) ทั้ง ๆ ที่ยังหลับอยู่ โดยช่วงที่มี REM เกิดขึ้นนี้เอง เป็นช่วงที่บุคคลกําลังฝัน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่บุคคลนอนหลับในระยะที่หนึ่ง หลังผ่านช่วงที่สีไปแล้ว และวกกลับมาระยะที่หนึ่งใหม่) โดยทั่วไปคนเราจําเป็นต้องนอนหลับและฝันทุกคืน แต่ละคืนจะฝันประมาณ 4 – 5 ครั้ง ครั้งหนึ่งจะฝันยาวประมาณ 25 นาที

32 กาแฟ เป็นยาเสพติดประเภทใด

(1) กดประสาท

(2) กระตุ้นประสาท

(3) หลอนประสาท

(4) คลายประสาท

(5) ออกฤทธิ์ผสมผสาน

ตอบ 2 หน้า 106 – 110 ยาเสพติดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ และทุกกลุ่มสามารถออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางได้ทั้งสิ้น คือ

1 ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาทยานอนหลับ สารระเหย (ทินเนอร์) และเครื่องดื่มมึนเมาหรือแอลกอฮอล์ ฯลฯ

2 ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน (ยาบ้า) กระท่อม โคเคอีน บุหรี่ นิโคติน กาแฟ คาเฟอีน และยาแก้ปวด ฯลฯ

3 ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็มที และเห็ดขี้ควาย ฯลฯ

4 ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน ได้แก่ กัญชา

33 ข้อใดไม่ใช่สภาวะของร่างกายในการฝึกสมาธิจากการทดลองของวอลเลสและเบนสัน

(1) อัตราการเผาผลาญในร่างกายมากขึ้น

(2) มีการหายใจเข้าออกช้าลง

(3) ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลง

(4) การถ่ายเทคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง

(5) ปริมาณสารแลคเทตในเลือดลดลง

ตอบ 1 หน้า 112 วอลเลสและเบนสัน (Wallace & Benson) ได้ทําการศึกษาสภาวะของร่างกายในการฝึกสมาธิ พบว่าการนั่งสมาธิมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาอย่างเห็นได้ชัด เช่น อัตราการเผาผลาญในร่างกายลดลง มีการหายใจเข้าออกช้าลง ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลงการถ่ายเทคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง และปริมาณสารแลคเทต (Lactate) ในเลือดลดลง

34 กัญชา เป็นยาเสพติดประเภทใด

(1) กดประสาท

(2) กระตุ้นประสาท

(3) หลอนประสาท

(4) คลายประสาท

(5) ออกฤทธิ์ผสมผสาน

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 32 ประกอบ

35 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของ “ฝาแฝดคล้าย” (Fraternal Twins)

(1) มีโครโมโซมเหมือนกัน

(2) ฝาแฝดอาจคลอดออกมาแล้วมีเพศที่แตกต่างกัน

(3) เกิดจากสเปิร์ม (Sperm) 2 ตัว

(4) มีกระบวนการแบ่งตัวแบบเป็นอิสระออกจากกัน

(5) เกิดจากการตกไข่ (Egg) 2 ใบ

ตอบ 1 หน้า 125, (คําบรรยาย) ฝาแฝด Twins) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ

1 ฝาแฝดเหมือน/แฝดแท้ (Identical Twins) เกิดจากไข่ (Egg) 1 ใบ ผสมกับอสุจิหรือสเปิร์ม (Sperm) 1 ตัว แล้วเซลล์เกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน 2 ตัว (เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด) ฝาแฝดเหมือนจึงเป็นเพศเดียวกัน โดยมียีนส์และโครโมโซมเหมือนกันทุกประการ

2 ฝาแฝดคล้าย/แฝดเทียม (Fraternal Twins) เกิดจากไข่มากกว่า 1 ใบ ผสมกับอสุจิหรือสเปิร์มมากกว่า 1 ตัว เซลล์แบ่งตัวเป็นอิสระจากกัน (เกิดเซลล์ปฏิสนธิพร้อมกันมากกว่า 1 เซลล์) ฝาแฝดคล้ายจึงอาจมีเพศเหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ (เหมือนกับพี่น้องท้องเดียวกัน) โดยอาจมียีนส์และโครโมโซมเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้

36 ข้อใดเกี่ยวข้องกับข้อความต่อไปนี้ “บุคคลที่มีโครโมโซมเป็น XXY”

(1) Endomorphy

(2) Ectomorphy

(3) Turner’s Syndrome

(4) Mesomorphy

(5) Klinefelter’s Syndrome

ตอบ 5 หน้า 128 บุคคลที่เกิดการผิดปกติในการถ่ายทอดโครโมโซมเพศ ทําให้มีเกินหรือขาดไปจากปกติ เช่น มีโครโมโซมเพศเป็น XXY จะเกิดเป็นอาการของโรคที่เรียกว่า Klinefelter’s Syndrome ซึ่งเกิดในเพศชาย จะทําให้กลายเป็นชายที่มีลักษณะของเพศหญิง กล่าวคือ มีหน้าอกใหญ่ และ อวัยวะเพศชายไม่ทํางาน เนื่องจากต่อมฮอร์โมนผลิตฮอร์โมนไม่เพียงพอ หรืออาจจะกลายเป็นโรคปัญญาอ่อนชนิดที่เรียกว่า Mongolism ได้

37 แนวคิดของเชลดอน (Sheldon) กล่าวว่า บุคคลที่มีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดี สนุกสนาน ชอบกิน ๆ นอน ๆ คือ

(1) Endomorphy

(2) Mesomorphy

(3) Exsomorphy

(4) Suprememorphy

(5) Stablemorphy

ตอบ 1 หน้า 129, 295 เซลดอน (Sheldon) เป็นผู้เสนอว่าการที่บุคคลมีลักษณะรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันจะส่งผลต่ออารมณ์ของบุคคลได้ โดยแบ่งรูปร่างของบุคคลออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1 รูปร่างอ้วนกลม (Endomorphy) มักจะมีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดี สนุกสนาน รักความสบายโกรธง่ายหายเร็ว ขึ้น้อยใจ พูดมาก ขี้บ่น คุยโอ่ และกินจุ หรือชอบกิน ๆ นอน ๆ ฯลฯ

2 รูปร่างผอมเกร็ง (Ectomorphy) มักจะมีนิสัยขี้อาย ขี้กลัว ไม่กล้าแสดงออก เป็นคนเฉย ๆรักสันโดษ เก็บอารมณ์เก่ง โมโหยากแต่หายช้า พูดน้อย ดื้อดึง และเอาแต่ใจตัวเอง ฯลฯ

3 รูปร่างสมส่วน (Mesomorphy) มักจะมีนิสัยกล้าแสดงออก รักกิจกรรมกลางแจ้งเป็นผู้ที่มีอารมณ์มั่นคง มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ฯลฯ

38 ข้อใดไม่ใช่สภาพแวดล้อมก่อนเกิด

(1) จํานวนทารกภายในครรภ์

(2) การบริโภคของแม่

(3) สุขภาพจิตของแม่

(4) ระดับการศึกษาของพ่อแม่

(5) การได้รับรังสี

ตอบ 4 หน้า 131 – 133 สภาพแวดล้อมก่อนเกิด มีดังนี้

1 สุขภาพของแม่

2 สุขภาพจิตของแม่

3 การบริโภคของแม่

4 การได้รับรังสี

5 การได้รับเชื้อ AIDS

6 สภาวะของ Rh Factor (ในระบบเลือด)

7 อายุของแม่

8 จํานวนทารกภายในครรภ์

39 ข้อใดไม่ใช่สิ่งแวดล้อมภายในครอบครัว

(1) กฎระเบียบและการปกครอง

(2) ทัศนคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก

(3) การอบรมเลี้ยงดู

(4) การเป็นแบบอย่างของพ่อแม่

(5) จํานวนพี่น้องและลําดับการเกิด

ตอบ 1 หน้า 135 – 136 สิ่งแวดล้อมภายในครอบครัว มีดังนี้

1 ทัศนคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก

2 การอบรมเลี้ยงดูและบรรยากาศในครอบครัว

3 การเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่

4 จํานวนพี่น้องและลําดับการเกิด

5 ระดับการศึกษาของพ่อแม่ ฯลฯ )

40 ข้อใดคือสิ่งแวดล้อมภายในสถาบันการศึกษา

(1) กฎระเบียบและการปกครอง

(2) ระดับการศึกษาของพ่อแม่

(3) การอบรมเลี้ยงดู

(4) การเป็นแบบอย่างของพ่อแม่

(5) ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว

ตอบ 1 หน้า 136 สิ่งแวดล้อมภายในสถาบันการศึกษา มีดังนี้

1 กฎระเบียบและการปกครอง

2 ทัศนคติและบุคลิกภาพของครู

3 กลุ่มเพื่อนในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา

41 “เด็กมีลักษณะถือตนเองเป็นศูนย์กลาง” ข้อความดังกล่าวตรงกับขั้นใดของพัฒนาการความคิดความเข้าใจ (Cognitive Development) ของ Piaget

(1) Period of Format Operation

(2) Preoperation

(3) Premoral

(4) Sensorimotor Period

(5) Period of Concrete

ตอบ 2 หน้า 143 144 พัฒนาการความคิดความเข้าใจ (Cognitive Development) ของ Piaget ในขั้น Preoperation แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ

1 Thought Period เป็นระยะที่เด็กถือตนเอง เป็นจุดศูนย์กลาง ไม่สามารถรับรู้ความคิดเห็นของคนอื่น

2 Intuitive Phase เป็นระยะที่เด็กเกิดความคิดรวบยอดมากขึ้น สามารถจัดประเภท/กลุ่มวัตถุเข้าเป็นหมวดหมู่และจัดลําดับวัตถุได้

42 พฤติกรรมในข้อใดเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(1) การหายใจ

(2) การกะพริบตา

(3) การเรอ

(4) การขี่จักรยาน

(5) การกระตุกมือหนีเมื่อจับของร้อน

ตอบ 4 หน้า 169, (คําบรรยาย) การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวรของพฤติกรรมอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต แต่พฤติกรรมบางอย่างไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ หากเกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนซึ่งเป็นพฤติกรรมการตอบสนองตามธรรมชาติที่มีมาแต่กําเนิด เช่น การกะพริบตา การหายใจ การกระตุกมือหนีเมื่อจับของร้อน ฯลฯ และเกิดจากสัญชาตญาณอันเป็นลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ เช่น การว่ายน้ำของปลา การชักใยของแมงมุม ฯลฯ

43 “เด็กมีความรู้สึกรักใคร่พ่อแม่เพศตรงข้าม” พฤติกรรมดังกล่าวตรงกับขั้นใดของพัฒนาการความต้องการทางเพศ (Psychosexual Stages)

(1) ขั้นความสุขอยู่ที่ปาก

(2) ขั้นอวัยวะเพศ

(3) ขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก

(4) ขั้นการมีเพศสัมพันธ์

(5) ขึ้นแอบแฝง

ตอบ 2 หน้า 145, 299 พัฒนาการความต้องการทางเพศของ Freud ในขั้นอวัยวะเพศ (Phatic Stage)เกิดกับเด็กอายุ 3 – 5 ปี ในระยะนี้เด็กจะมีความพึงพอใจที่จะได้ลูบคลําอวัยวะเพศของตนเอง เด็กจะมีความรู้สึกรักใคร่พ่อแม่เพศตรงข้ามกับตน และจะอิจฉาพ่อแม่เพศเดียวกันกับตน ซึ่งถ้าเกิดความขัดแย้งใจก็อาจจะมีผลทําให้เด็กชายเกิดปมที่เรียกว่า ปมเอดิปุส (Oedipus Conflict หรือ Oedipus Complex) ส่วนเด็กหญิงก็จะเกิดปมอิเล็กตร้า (Electra Conflict)

44 จากขั้นพัฒนาการทางสังคม (Psychosocial Stages) ของ Erikson ข้อใดคือผลที่ได้จากขั้นพัฒนาการ“ความคิดริเริ่ม – ความรู้สึกผิด” (Initiative VS. Guilt)

(1) มีพลังควบคุมตนเองได้

(2) มีแนวทางและจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติตน

(3) ได้ความรักและความผูกพัน

(4) ได้ความฉลาดรอบรู้และการเสียสละ

(5) มีการทํางานที่เหมาะสมและมีความสามารถ

ตอบ 2 หน้า 147 มีแนวทางและจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติตน คือผลที่ได้จากขั้นพัฒนาการทางสังคมของ Erikson ขั้นพัฒนาการทางจิตใจ “ความคิดริเริ่ม – ความรู้สึกผิด” (Initiative Vs. Guilt)

45 จากกระบวนการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning) ของพาฟลอฟ (Pavlov) การตอบสนองต่อสิ่งเร้าอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งเร้าที่ถูกวางเงื่อนไข (Conditioned Stimulus : CS) เรียกว่า เกิดกระบวนการใด

(1) การสรุปความเหมือนของสิ่งเร้า

(2) การแยกความแตกต่างของสิ่งเร้า

(3) การหยุดยั้งของพฤติกรรม

(4) สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข

(5) การฟื้นกลับของพฤติกรรม

ตอบ 1 หน้า 173, 188 การสรุปความเหมือน (Generalization) เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าอื่น ๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งเร้าที่ถูกวางเงื่อนไขไว้แล้วหรือสิ่งเร้าที่ได้รับรางวัล ส่วนการแยก ความแตกต่าง (Discrimination) เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเฉพาะที่วางเงื่อนไขไว้หรือสิ่งเร้าที่ได้รับรางวัลเท่านั้น แต่จะไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไขไว้หรือสิ่งเร้าที่ไม่ได้รับรางวัล

46 คูปองที่ใช้แลกซื้ออาหารในศูนย์อาหาร เป็นสิ่งเสริมแรงประเภทใด

(1) การเสริมแรงทางบวก

(2) สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ

(3) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ

(4) สิ่งเสริมแรงครอบคลุม

(5) การป้อนกลับ

ตอบ 4 หน้า 180, (คําบรรยาย) สิ่งเสริมแรงครอบคลุม หมายถึง สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิที่เป็นอิสระจากการเชื่อมโยงกับสิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ และสามารถที่จะเชื่อมโยงกับสิ่งเสริมแรงทุติยภูมิอื่น ๆ ได้ เช่น เงินหรือสิ่งที่ใช้แทนเงิน (บัตรเครดิต บัตรเดบิต คูปองแลกซื้อที่ใช้แทนเงินสด) ไม่เพียงแต่สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งเสริมแรงปฐมภูมิได้เท่านั้น แต่ยังเป็นหนทางนําไปสู่สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิอื่น ๆ ด้วย เช่น เกียรติ ความสนใจ การยอมรับ สถานะ หรืออํานาจ เป็นต้น

47 “คุณดินมีอาการปวดศีรษะ จึงทานยาแก้ปวด ทําให้อาการปวดศีรษะหายไป หลังจากนั้นทุกครั้งที่คุณดินปวดศีรษะ คุณดินจะทานยาแก้ปวดทุกครั้ง” อาการปวดศีรษะที่หายไป คืออะไร

(1) การเสริมแรงทางบวก

(2) การเสริมแรงทางลบ

(3) การลงโทษ

(4) การตอบสนองที่วางเงื่อนไข

(5) การตอบสนองที่ไม่ได้วางเงื่อนไข

ตอบ 2 หน้า 179, (คําบรรยาย) การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) จะทําให้การตอบสนองเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะเป็นการทําให้ความไม่สุขสบายหมดไป เช่น การกินยาแก้ปวด ทุกครั้งเพื่อระงับอาการปวด การขึ้นสะพานลอยข้ามถนนทุกครั้งเพราะกลัวอุบัติเหตุ ฯลฯ

48 “เป็นปัจจัยที่จําเป็นต่อชีวิต ไม่จําเป็นต้องเรียนรู้ มักเป็นลักษณะทางชีววิทยา” คุณสมบัติที่กล่าวถึงนั้นเป็นคุณสมบัติของข้อใด

(1) การเสริมแรงทางบวก

(2) สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ

(3) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ

(4) สิ่งเสริมแรงครอบคลุม

(5) การป้อนกลับ

ตอบ 2 หน้า 180 สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ เป็นรางวัลตามธรรมชาติที่ไม่ต้องเรียนรู้ มักเป็นลักษณะทางชีววิทยาที่เพิ่มความพอใจและลดความไม่พึงพอใจลง หรือสนองความต้องการทางกายภาพได้ เช่น น้ำ อาหาร อากาศ ความต้องการทางเพศ ฯลฯ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต

49 “พนักงานจะได้รับเงินเดือนในวันที่ 25 ของทุกเดือน” ลักษณะดังกล่าวเป็นไปตามตารางการเสริมแรง แบบใด

(1) แบบอัตราส่วนคงที่

(2) แบบต่อเนื่อง

(3) แบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน

(4) แบบช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน

(5) แบบช่วงเวลาคงที่

ตอบ 5 หน้า 177 การเสริมแรงแบบช่วงเวลาที่คงที่ (Fixed Interval : FI) เป็นการให้แรงเสริมเมื่อถึงช่วงเวลาที่กําหนดไว้อย่างตายตัว เช่น ทุก 30 วินาที ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี ฯลฯ

50 ข้อใดถูกต้อง

(1) การลงโทษมีผลให้การเกิดพฤติกรรมมีแนวโน้มลดลง

(2) การลงโทษไม่เกี่ยวข้องกับความกลัว

(3) การลงโทษไม่ได้กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว

(4) หากใช้การลงโทษจะต้องไม่ให้การเสริมแรงพฤติกรรมที่พึงปรารถนาร่วมด้วย

(5) การลงโทษสามารถกระทําได้ทั้งขณะเกิดพฤติกรรม หลังเกิดพฤติกรรมโดยทันที หรือหลังเกิดพฤติกรรมไปแล้วระยะเวลาหนึ่ง

ตอบ 1 หน้า 181 182 การลงโทษจะมีผลให้การเกิดพฤติกรรมมีแนวโน้มลดลง โดยการลงโทษจะได้ผลดีที่สุด ถ้าเกิดขึ้นระหว่างที่ยังกระทําพฤติกรรมนั้นอยู่หรือทันทีที่พฤติกรรมนั้นสิ้นสุดลง (เวลาในการลงโทษ) และควรเกิดขึ้นทุกครั้งที่แสดงพฤติกรรมนั้น (ความคงที่ในการลงโทษ) หากใช้การลงโทษจะต้องให้การเสริมแรงพฤติกรรมที่พึงปรารถนาร่วมด้วย ทั้งนี้การลงโทษจะ ทําให้เกิดผลข้างเคียง คือ เกิดการวางเงื่อนไขเกี่ยวกับความกลัว กระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวและเรียนรู้ที่จะตอบสนองด้วยการหนีและหลีกเลี่ยง

51 ข้อใดคือคุณสมบัติที่ไม่ถูกต้องของการเรียนรู้เพื่อที่จะเรียน (Learning to Learn)

(1) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการเสริมแรงที่ชัดเจน

(2) ต้องผ่านการเรียนรู้จากการแก้ไขปัญหาหลายครั้ง

(3) มีการพัฒนาชุดการเรียนรู้ (Learning Set)

(4) ทําให้เกิดการพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาให้ดีขึ้น

(5) ปัญหาที่สร้างให้เกิดการเรียนรู้เพื่อที่จะเรียนมักจะเป็นปัญหาที่คล้ายคลึงกัน

ตอบ 1 หน้า 184, (คําบรรยาย) การเรียนรู้เพื่อที่จะเรียน (Learning to Learn) เป็นผลของการคิดการเข้าใจที่มีการพัฒนาชุดการเรียนรู้ (Learning Set) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ต้องผ่านการ จากการแก้ไขปัญหาหลายครั้ง ทําให้เกิดการพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาให้ดีขึ้น โดยปัญหาต่างให้เกิดการเรียนรู้เพื่อที่จะเรียนมักจะเป็นปัญหาที่คล้ายคลึงกัน

52 ข้อใดคือลักษณะของความจําระยะสั้น (Shot-term Memory)

(1) สามารถจําข้อมูลได้ 9+ 2 หน่วย

(2) ข้อมูลจะเก็บในลักษณะของเหตุการณ์

(3) มีพื้นที่เก็บข้อมูลได้ไม่จํากัด

(4) เป็นคลังข้อมูลชั่วคราวที่เก็บข้อมูลได้ในจํานวนจํากัด

(5) เก็บข้อมูลได้เป็นช่วงเวลานาน

ตอบ 4 หน้า 195 196 นักจิตวิทยาได้แบ่งความจํา (Memory) ออกได้เป็น 3 ระบบ ดังนี้

1 ความจําจากการรับสัมผัส เป็นระบบการจําขั้นแรกที่จะเก็บข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ในช่วงสั้น ๆ

2 ความจําระยะสั้น ทําหน้าที่คล้ายคลังข้อมูลชั่วคราวที่เก็บข้อมูลได้ในจํานวนจํากัด เป็นระบบความจําที่ถูกรบกวนหรือถูกแทรกได้ง่าย หากไม่ทบทวนจะมีข้อมูลใหม่เข้ามาแทนที่ข้อมูลเก่า

3 ความจําระยะยาว ทําหน้าที่เสมือนคลังข้อมูลถาวรที่สามารถเก็บข้อมูลได้นานและไม่จํากัด

53 ระยะเวลาคงอยู่ของการได้ยินเสียงก้องในหู (Echo)

(1) 0.5 วินาที

(2) 2 วินาที

(3) 18 วินาที

(4) 24 ชั่วโมง

(5) 48 ชั่วโมง

ตอบ 2 หน้า 196 ความจําจากการรับสัมผัส (Sensory Memory) คือ ระบบการจําชั้นแรกที่จะเก็บข้อมูลในลักษณะถอดแบบสิ่งที่ได้เห็นหรือสิ่งที่ได้ยินทุกอย่างเอาไว้ในช่วงสั้น ๆ เพื่อถ่ายทอด ข้อมูลต่อไปยังระบบการจําอื่น ๆ เช่น ถ้าได้เห็นข้อมูล ภาพติดตาหรือจินตภาพ (Icon) จะคงอยู่ ได้ครึ่งวินาที (0.5 วินาที) แต่ถ้าเกิดจากการได้ยิน เสียงก้องในหู (Echo) ของสิ่งที่ได้ยินจะคงอยู่ประมาณ 2 วินาที ฯลฯ ทั้งนี้หากไม่มีการส่งต่อข้อมูลสิ่งที่จําไว้จะหายไปอย่างรวดเร็วที่สุด

54 ระบบความจําที่หากไม่ทบทวน จะมีข้อมูลใหม่เข้ามาแทนที่ข้อมูลเก่า

(1) ความจําระยะสั้น (Shot term Memory)

(2) ความจําระยะยาว (Long-term Memory)

(3) ความจําเหตุการณ์ (Episodic Memory)

(4) ความจําความหมาย (Semantic Memory)

(5) ความจําจากการรับสัมผัส (Sensory Memory)

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 52 ประกอบ

55 การถอดแบบข้อมูลหรือข้อเท็จจริง โดยไม่มีสิ่งกระตุ้นหรือชี้แนะให้จําได้

(1) การระลึกได้ (Recall)

(2) การจําได้ (Recognition)

(3) การเก็บ (Retention)

(4) การเรียนซ้ำ (Relearning)

(5) การบูรณาการใหม่ (Reintegration)

ตอบ 1 หน้า 201 – 202, 213 การระลึกได้ (Recall) หมายถึง การถอดแบบข้อมูลหรือข้อเท็จจริงโดยไม่มีสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้นหรือชี้แนะให้จําได้ เช่น ข้อสอบอัตนัย การท่องอาขยาน ฯลฯ ทั้งนี้บุคคลจะจําลําดับตําแหน่งในการจําแบบระลึกได้ในช่วงต้นและท้ายได้ดีที่สุด

56 บุคคลจะจําสําดับตําแหน่งในการจําแบบระลึกได้ในช่วงใดได้ดีที่สุด

(1) ช่วงต้นและท้าย

(2) ช่วงต้น

(3) ช่วงกลาง

(4) ช่วงท้าย

(5) ทุกช่วง

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 55 ประกอบ

57 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับหน่วยพื้นฐานของการคิด

(1) จินตภาพ (Image)

(2) การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ (Muscular Response)

(3) ความมีเหตุผล (Reasoning)

(4) มโนทัศน์ (Concept)

(5) ภาษา (Language)

ตอบ 4 หน้า 206 หน่วยพื้นฐานของการคิด (Basic Units of Thought) ประกอบด้วย จินตภาพ  (Image) การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ (Muscular Response) มโนทัศน์ (Concept) และภาษาหรือสัญลักษณ์ (Language or Symbols)

58 การลืมเกิดขึ้นจากการที่มีแรงจูงใจพิเศษที่ต้องการจะลืมบางสิ่งบางอย่าง

(1) การหาเหตุผล (Rationalization)

(2) การเลียนแบบ (Identification)

(3) การเก็บกด (Repression)

(4) การถดถอย (Regression)

(5) การทดแทน (Sublimation)

ตอบ 3 หน้า 205, (คําบรรยาย) การเก็บกด (Repression) เป็นการลืมที่เกิดขึ้นจากการที่มีแรงจูงใจพิเศษที่ต้องการจะลืมบางสิ่งบางอย่างในอดีต เช่น ความผิดหวัง ความล้มเหลว ความเจ็บปวด ความอาย สิ่งที่ไม่ชอบไม่น่ารื่นรมย์ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บกดให้อยู่ในระดับจิตใต้สํานึก

59 ข้อใดไม่ใช่การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

(1) สร้างบรรยากาศที่ถูกต้อง

(2) นิยามปัญหาให้กว้าง

(3) ให้เวลาสําหรับขั้นพัก

(4) หาข้อมูลจากที่ต่าง ๆ ให้พร้อม

(5) นิยามปัญหาให้เฉพาะเจาะจง

ตอบ 5 หน้า 215 216 การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ มีดังนี้

1 สร้างบรรยากาศที่ถูกต้อง

2 นิยามปัญหาให้กว้าง

3 ให้เวลาสําหรับขั้นพัก

4 หาข้อมูลจากที่ต่าง ๆ ให้พร้อม ฯลฯ

60 ความจําที่มีอยู่กระตุ้นให้เกิดความจําอื่น ๆ ตามมา

(1) การระลึกได้ (Recall)

(2) การจําได้ (Recognition)

(3) การเก็บ (Retention)

(4) การเรียนซ้ำ (Relearning)

(5) การบูรณาการใหม่ (Reintegration)

ตอบ 5 หน้า 203 การบูรณาการใหม่ (Reintegration) หมายถึง การที่ความจําที่มีอยู่กระตุ้นให้เกิดความจําอื่น ๆ ตามมา เรียกได้ว่า ประสบการณ์ในอดีตทั้งหมดถูกสร้างขึ้นใหม่จากสิ่งที่สะสมไว้ แม้เพียงสิ่งเดียว เช่น ไปพบภาพเมื่อครั้งไปเที่ยวเชียงใหม่เข้าก็กระตุ้นให้นึกถึงภาพการเดินทางและความสนุกสนานที่เกิดขึ้นบนรถไฟ นึกถึงความเหนื่อยล้าเมื่อเดินขึ้นดอยสุเทพ ฯลฯ

61 วิธีการแก้ปัญหาของบุคคลโดยฉับพลันทันใด สามารถรู้คําตอบได้ในทันที

(1) การแก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็น

(2) การแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา

(3) การแก้ปัญหาด้วยวิจารณญาณ

(4) การแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก

(5) การแก้ปัญหาโดยการเลียนแบบ

ตอบ 1 หน้า 210 การแก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นคําตอบในทันที เป็นวิธีการแก้ปัญหาของบุคคลโดยฉับพลันทันใด และสามารถรู้คําตอบได้ในทันที

62 ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับความหมายของแรงจูงใจ (Motive)

(1) สภาวะพลังงานที่หยุดนิ่ง

(2) สภาวะที่อยู่ภายนอกร่างกายที่เป็นพลัง

(3) เป็นกระบวนการที่สิ้นสุด

(4) พลังในตัวบุคคลที่ทําให้บุคคลเสดงพฤติกรรม

(5) ทําให้ร่างกายอยู่ในสภาวะหยุดพัก

ตอบ 4 หน้า 223, 225 แรงจูงใจ (Motive) หมายถึง กระบวนการที่สร้างหรือสภาวะที่เป็นแรงกระตุ้นพลังในตัวบุคคลที่ทําให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา ทั้งที่เป็นพฤติกรรมโดยสัญชาตญาณและพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่แรงจูงใจนั้นต้องการ

63 นักจิตวิทยาที่กล่าวถึงลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์

(1) พาฟลอฟ

(2) แบนดูรา

(3) โรเจอร์ส

(4) มาสโลว์

(5) วัตสัน

ตอบ 4 หน้า 229 230, 234 235, (คําบรรยาย) มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยาที่แบ่งลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 2 ระดับ จํานวน 5 ขั้น ดังนี้คือ

1 ระดับความต้องพื้นฐาน (Basic Needs) ได้แก่ ขั้นที่ 1 ความต้องการทางด้านร่างกายและขั้นที่ 2 ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง

2 ระดับความต้องการขั้นสูง (Growth Needs) ได้แก่ ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ, ขั้นที่ 4 ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น และขั้นที่ 5 ซึ่ง เป็นความต้องการขั้นสูงสุด คือ ความต้องการประจักษ์ตน (ความต้องการที่จะเข้าใจตนเอง อย่างถ่องแท้หรืออย่างแท้จริง)

64 แรงจูงใจมีที่มาจากองค์ประกอบใด

(1) ความต้องการ

(2) ความสมบูรณ์

(3) ความมีเหตุผล

(4) ความฉลาด

(5) สติปัญญา

ตอบ 1 หน้า 227 228 กระบวนการของการเกิดแรงจูงใจ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ดังนี้

1 ความต้องการ (Needs)

2 แรงขับ (Drive)

3 การตอบสนอง (Response) หรือการแสดงพฤติกรรม

4 เป้าหมาย (Goal)

65 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความต้องการของบุคคลที่เกิดจากสิ่งเร้า

(1) สิ่งเร้านั้นต้องมีอิทธิพลต่อบุคคล

(2) สิ่งเร้าเดียวกันอาจทําให้คนต้องการต่างกัน

(3) สิ่งเร้าต่างกันอาจทําให้คนต้องการเหมือนกัน

(4) สิ่งเร้าเดียวกันมีอิทธิพลต่อบุคคลทุกคน

(5) เวลาเปลี่ยนไป สิ่งเร้าเดิมอาจไม่ส่งผลต่อบุคคลแล้ว

ตอบ 4 หน้า 229 ความต้องการของบุคคลเกิดจากสิ่งเร้า ซึ่งสิ่งเร้านั้นจะต้องมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของบุคคล การจูงใจบุคคลต้องเร้าด้วยสิ่งเร้าที่ต่างกันตามความต้องการของบุคคลนั้น สิ่งเร้า เดียวกันอาจทําให้คนต้องการต่างกัน สิ่งเร้าต่างกันอาจทําให้คนต้องการเหมือนกัน เมื่อเวลาเปลี่ยนไป สิ่งเร้าเดิมอาจไม่ส่งผลต่อบุคคล และสิ่งเร้าที่เราไม่ได้ในอดีตอาจจูงใจได้ในปัจจุบัน

66 ข้อใดคือความต้องการขั้นสูงสุดของทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์

(1) ความต้องการความปลอดภัย

(2) ความต้องการทางด้านร่างกาย

(3) ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ

(4) ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ

(5) ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 63 ประกอบ

67 ข้อใดคือทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของเมอร์เรย์

(1) ความต้องการทางด้านร่างกาย

(2) ความต้องการความปลอดภัย

(3) ความต้องการที่จะยอมแพ้

(4) ความต้องการสืบเผ่าพันธุ์

(5) ความต้องการที่จะเข้าใจคนอื่น

ตอบ 3 หน้า 235 – 237 เมอร์เรย์ (Murray) ได้แบ่งประเภทของความต้องการไว้ 20 ประการ เช่น ความต้องการที่จะเอาชนะด้วยการแสดงความก้าวร้าว, ความต้องการเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ความต้องการที่จะยอมแพ้, ความต้องการที่จะป้องกันตนเอง, ความต้องการความสนุกสนาน,ความต้องการความสําเร็จ, ความต้องการแยกตนเองออกจากผู้อื่น ฯลฯ

68 ข้อใดไม่ใช่แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์

(1) แรงจูงใจทางชีวภาพ

(2) แรงจูงใจทางสรีรวิทยา

(3) แรงจูงใจใฝ่อํานาจ

(4) แรงจูงใจเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์

(5) แรงจูงใจเพื่อหลีกหนีอันตราย

ตอบ 3 หน้า 239 – 243 แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์ (แรงจูงใจเพื่อความอยู่รอดของชีวิต) แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ

1 แรงจูงใจทางชีวภาพ/ทางสรีรวิทยา (Biological Motive) เช่น ความหิว ความกระหาย ฯลฯ

2 แรงจูงใจเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ (Reproduction Motive) เช่น ความต้องการทางเพศ ฯลฯ

3 แรงจูงใจเพื่อหลีกหนีอันตราย (Avoidance Motive)

69 แรงจูงใจทางชีวภาพ (Biological Motive) ตรงกับข้อใด

(1) ความหิว

(2) ความกระหาย

(3) ความต้องการทางเพศ

(4) ความต้องการหนีอันตราย

(5) ข้อ 1 และ 2 ถูกต้อง

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 68 ประกอบ

70 บุคคลมีความอิสระที่จะกระทําพฤติกรรม รู้ว่าตนต้องการอะไร ตรงกับทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล

(2) ทฤษฎีสัญชาตญาณ

(3) ทฤษฎีแรงขับ

(4) ทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการ

(5) ทฤษฎีความต้องการความสุขส่วนตัว

ตอบ 1 หน้า 245 ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล เชื่อว่า บุคคลมีอิสระที่จะกระทําพฤติกรรมใด ๆ ได้อย่างมีเหตุผล รู้ว่าตนต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด และควรจะต้องตัดสินใจออกมาในลักษณะใด

71 ข้อใดคือความหมายของแรงขับ (Drive)

(1) ภาวะความตึงเครียดของร่างกาย

(2) ทําให้ร่างกายแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ

(3) ขจัดความเครียดออกจากร่างกาย

(4) พลังภายในร่างกาย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 246 แรงขับ (Drive) เป็นภาวะความตึงเครียดของร่างกาย เป็นพลังภายในร่างกายที่ทําให้ร่างกายได้มีการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อขจัดความเครียดนั้นออกไปจากร่างกาย

72 การจัดเรทผู้ชมสําหรับรายการโทรทัศน์ ตรงกับข้อใด

(1) การลองผิดลองถูก

(2) การเรียนรู้โดยการเลียนแบบจากค่านิยม

(3) การเรียนรู้แบบหยั่งเห็น

(4) การเรียนรู้โดยการเลียนแบบจากสิ่งไม่มีชีวิต

(5) การเรียนรู้แบบลงมือกระทํา

ตอบ 2 หน้า 247 – 248, (คําบรรยาย) แรงจูงใจที่เกิดจากการเรียนรู้โดยการเลียนแบบจากค่านิยมจะเกิดขึ้นตลอดเวลาทั้งที่ตั้งใจเลียนแบบหรือเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว โดยตัวแบบจะเปลี่ยนแปลงไปตามค่านิยมของสังคม เช่น เปลี่ยนไปตามการจัดเรทผู้ชมสําหรับรายการโทรทัศน์ ฯลฯ

73 อารมณ์ใดมีลักษณะคล้ายอารมณ์ที่เย็นชามากที่สุด

(1) อารมณ์ทุกข์ ปวดร้าว

(2) อารมณ์โกรธ

(3) อารมณ์ดูถูก

(4) อารมณ์รู้สึกผิด

(5) อารมณ์หวาดกลัว

ตอบ 3 หน้า 257 – 258 คาร์รอล อิซาร์ด (Carroll Izard) ได้จําแนกอารมณ์ออกเป็น 10 ประเภท คือ

1 Interest-Excitement (สนใจ ตื่นเต้น) เป็นอารมณ์ที่ช่วยทําให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการที่จะเรียนรู้และต้องใช้ความพยายามในเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น เช่น อยากเรียนสูง ๆ

2 Joy (รื่นเริง) เป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดสภาวะของความเชื่อมั่น มองว่าโลกนี้ช่างน่าอยู่เหลือเกิน

3 Surprise (ประหลาดใจ) เป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าในระบบประสาท

4 Distress-Anguish (เสียใจ-เจ็บปวด) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลต้องประสบกับความพลัดพราก หรือเผชิญกับความล้มเหลวในชีวิต

5 Anger-Rage (โกรธ-เดือดดาล) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลพบกับการขัดขวางหรืออุปสรรค

6 Disgust (รังเกียจ) เป็นอารมณ์อันเกิดจากการกระทบกับสัมผัสที่ไม่พึงปรารถนา 7 Contempt-Scorn (ดูถูกเหยียดหยาม) เป็นอารมณ์ที่อาจเกิดผสมระหว่างอารมณ์โกรธกับอารมณ์ขยะแขยง จัดเป็นอารมณ์ที่มีลักษณะที่เย็นชา

8 Fear-Terror (กลัว-สยองขวัญ) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลกําลังเผชิญอยู่กับสิ่งที่ตนไม่สามารถจะเข้าใจได้ หรือเกิดความไม่แน่ใจในภัยอันตรายที่กําลังจะมาถึง

9 Shame Sin Shyness-Humiliation (อับอายขายหน้า) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลถูกลงโทษ เพราะไม่ประพฤติตามกฎเกณฑ์ของสังคม

10 Guilt (รู้สึกผิด) เป็นอารมณ์ที่มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับความวิตกกังวลและความอาย

74 อารมณ์ใดเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ ความพลัดพรากหรือล้มเหลว

(1) อารมณ์ทุกข์ ปวดร้าว

(2) อารมณ์โกรธ

(3) อารมณ์ดูถูก

(4) อารมณ์รู้สึกผิด

(5) อารมณ์หวาดกลัว

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 73 ประกอบ

75 อารมณ์ใดไม่ใช่อารมณ์พื้นฐานตามแนวคิดของจาค แพงค์เซปป์

(1) ตื่นตระหนก

(2) คาดหวัง

(3) เดือดดาล

(4) หวาดกลัว

(5) เศร้าโศก

ตอบ 5 หน้า 259 อารมณ์พื้นฐานตามแนวคิดของจาค แพงค์เซปป์ (Jaak Panksepp) มี 4 ชนิด ไป คือ คาดหวัง เดือดดาล ตื่นตระหนก และหวาดกลัว

76 ข้อใดอธิบายไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคุณสมบัติของเครื่อง “โพลีกราฟ” (Polygraph)

(1) วัดการเปลี่ยนแปลงการเต้นของหัวใจได้

(2) วัดการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตได้

(3) วัดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองได้

(4) วัดการเปลี่ยนแปลงของการหายใจได้

(5) วัดระดับความชื้นของฝ่ามือได้

ตอบ 3 หน้า 262 263 เครื่อง “โพลีกราฟ” (Polygraph) เป็นเครื่องมือจับเท็จที่ใช้วัดและบันทึกการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อัตราการหายใจและอุณหภูมิหรือความชื้นหรือแรงต้านทานกระแสไฟฟ้าบนฝ่ามือ (GSR)

77 การพัฒนาทางอารมณ์ของมนุษย์จะสมบูรณ์ช่วงอายุประมาณเท่าใด

(1) 12 เดือน

(2) 18 เดือน

(3) 24 เดือน

(4) 28 เดือน

(5) 32 เดือน

ตอบ 3 หน้า 271 เค.บริดเจส (K.Bridges) พบว่า พัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กทารกมีลักษณะดังนี้ อารมณ์แรกเกิดของมนุษย์คืออารมณ์ตื่นเต้น แล้วจึงพัฒนาไปสู่อารมณ์ที่มีลักษณะเฉพาะมากขึ้น เมื่ออายุครบ 3 เดือน ก็จะแยกออกระหว่างอารมณ์ดีใจและเดือดร้อนใจ ต่อจากนั้นอารมณ์โกรธ เกลียดและกลัวก็จะปรากฏขึ้นภายหลังตามระดับวุฒิภาวะและการรับรู้ของเด็ก และเมื่ออายุ 2 ปี (24 เดือน) อารมณ์พื้นฐานก็จะพัฒนาจนครบสมบูรณ์ทั้ง 8 ชนิด

78 หน้าที่ใดเกี่ยวข้องกับอารมณ์พื้นฐาน “กลัว” ตามแนวคิดของพลูทชิค

(1) การปฏิเสธ

(2) การปกป้อง

(3) การทําลาย

(4) การปรับตัว

(5) การรักษาการสูญเสีย

ตอบ 2 หน้า 272 หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์พื้นฐาน 8 ชนิด ตามแนวคิดของพลูทชิค (Plutchik) ได้แก่ กลัว – การปกป้อง, โกรธ – การทําลาย, รื่นเริง – ความร่วมมือ, รังเกียจ – การปฏิเสธ ยอมรับ – การแพร่พันธุ์, เศร้า – การรักษาการสูญเสีย, ประหลาดใจ – การปรับตัว, คาดหวัง (อยากรู้อยากเห็น) – การสํารวจค้นหา

79 ข้อใดเป็นอารมณ์สากลที่แสดงออกทางใบหน้าตามแนวคิดของเอ็กแมน

(1) ว้าวุ่น

(2) เบื่อหน่าย

(3) คาดหวัง

(4) ยอมรับ

(5) ประหลาดใจ

ตอบ 5 หน้า 274 อารมณ์สากลที่แสดงออกทางใบหน้าตามแนวคิดของพอล เอ็กแมน (Paul Ekman) มี 6 ชนิด ได้แก่ ประหลาดใจ รังเกียจ เศร้าเสียใจ โกรธ กลัว และเป็นสุข

ข้อ 80 – 84 จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์

(2) ทฤษฎีโครงสร้างของจิต

(3) ทฤษฎีมนุษยนิยม

(4) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม

(5) ทฤษฎีประเภทและโครงสร้าง

 

80 สัญชาตญาณแห่งความตายที่เกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและการทําลายล้าง

ตอบ 1 หน้า 287 288 ฟรอยด์ (Freud) นักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis Theory) กล่าวว่า มนุษย์เรามีสัญชาตญาณ 2 ประเภทที่ติดตัวมาแต่กําเนิด คือ

1 สัญชาตญาณแห่งการดํารงชีวิต เป็นสัญชาตญาณการตอบสนองความต้องการทางร่างกาย

2 สัญชาตญาณแห่งความตาย เกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและการทําลายล้าง

81 ถ้าทําพฤติกรรมใดแล้วมีผลดี พฤติกรรมนั้นจะเกิดขึ้นอีก

ตอบ 4 หน้า 289 – 291 วัตสัน (Watson) นักทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์จะถูกควบคุมได้โดยการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม โดยบุคลิกภาพ ของมนุษย์เกิดจากผลแห่งการกระทําของเขา เช่น ถ้าทําพฤติกรรมใดแล้วมีผลดี พฤติกรรมนั้นจะเกิดขึ้นอีกและจะกระทําบ่อยขึ้น ฯลฯ

82 พฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดจาการที่เราพยายามทําพฤติกรรมที่ดํารงรักษาความเชื่อเรื่องอัตมโนทัศน์ของตัวเราเอาไว้

ตอบ 3 หน้า 291 293 โรเจอร์ส (Rogers) นักทฤษฎีมนุษยนิยม (Humantistic Theory) กล่าวว่า พฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดจาการที่เราพยายามทําพฤติกรรมที่ดํารงรักษาความเชื่อเรื่องอัตมโนทัศน์ (Self Concept) ของตัวเราเอาไว้

83 พฤติกรรมของมนุษย์จะถูกควบคุมได้โดยการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 81 ประกอบ

84 การศึกษาลักษณะนิสัยใจคอของคนที่อยู่ในสังคมเดียวกันจะสามารถหาลักษณะร่วมที่คนในสังคมเดียวกันมีคล้ายคลึงกันได้

ตอบ 5 หน้า 296 อัลพอร์ท (Allport) นักทฤษฎีประเภทและโครงสร้าง (Type and Trait Theory)เชื่อว่า เราสามารถจัดแบ่งกลุ่มลักษณะอุปนิสัยของคนออกเป็นหมวดหมู่ได้ โดยนําเอาลักษณะ ที่คล้าย ๆ กันจัดไว้ในกลุ่มเดียวกัน และจากการศึกษาลักษณะนิสัยใจคอของคนที่อยู่ในสังคม เดียวกัน เราสามารถหาลักษณะร่วมที่คนในสังคมเดียวกันมีคล้ายคลึงกันได้ เรียกลักษณะนี้ว่าลักษณะสามัญ (Common Trait) เช่น คนเหนือสุภาพ คนใต้รักพวกพ้อง คนไทยใจดี ฯลฯ

85 ตามแนวคิดพัฒนาการทางบุคลิกภาพของฟรอยด์ “ปมเอดิปุส” ที่เชื่อว่าเด็กชายจะรักแม่และอิจฉาพ่อ เกิดขึ้นในขั้นใด

(1) ขั้นความสุขอยู่ที่ปาก

(2) ขั้นอวัยวะเพศ

(3) ขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก

(4) ขั้นการมีเพศสัมพันธ์

(5) ขั้นแอบแฝง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 43 ประกอบ

  1. โบวี่มีบุคลิกภาพที่รู้จี้ เจ้าระเบียบ รักษาความสะอาดเกินเหตุ และดันทุรัง เกิดจากการหยุดชะงักของพัฒนาการในขั้นใด

(1) ขั้นความสุขอยู่ที่ปาก

(2) ขั้นอวัยวะเพศ

(3) ขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก

(4) ขั้นการมีเพศสัมพันธ์

(5) ขั้นแอบแฝง

ตอบ 3 หน้า 299 ขั้นพัฒนาการของฟรอยด์ในขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก (Anal Stage) เกิดในช่วงอายุ 2 – 3 ปี ซึ่งเด็กจะมีศูนย์กลางความพึงพอใจอยู่ที่ทวารหนัก เด็กจะพอใจที่ได้ปลดปล่อย หากในช่วงนี้บิดามารดาที่เคร่งครัดกับเด็กมากเกินไปในเรื่องการขับถ่าย เมื่อเด็กโตขึ้นจะเกิด ความขัดแย้งใจ เป็นบุคลิกภาพที่รู้จี้ เจ้าระเบียบ รักษาความสะอาดจนเกินเหตุ และบางครั้งอาจมีพฤติกรรมประเภทดื้อรั้นและดันทุรังได้

87 แบบทดสอบชนิดใดที่ทดสอบโดยการให้ผู้รับการทดสอบเล่าเรื่องจากภาพ

(1) Rorschach

(2) 16PF

(3) TAT

(4) MMPI

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 308 309, 315 แบบทดสอบการฉายภาพจิต เป็นการวัดบุคลิกภาพที่นักจิตวิทยามีความประสงค์จะล่วงรู้ถึงความปรารถนาหรือจิตใต้สํานึกลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตของผู้ตอบ โดย ให้ผู้รับการทดสอบบรรยายความรู้สึกนึกคิดออกมาทางภาพที่ให้ดู ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1 แบบทดสอบรอร์ขาค (Rorschach) เป็นภาพหยดหมึก 10 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบดูภาพแล้วถามว่าเขาเห็นอะไรในภาพนั้นบ้างหรือภาพนั้นเหมือนอะไร

2 แบบทดสอบ TAT เป็นภาพเรื่องราว 20 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบดูภาพแล้วให้เขาบรรยายหรือแต่งเรื่องหรือเล่าเรื่องจากภาพ

88 การประเมินบุคลิกภาพของนักจิตวิทยาในข้อใดที่เรียกว่า การฉายภาพจิต

(1) ใช้แบบทดสอบ AMPT

(2) ให้ดูภาพหยดหมึกแล้วถามว่าภาพนั้นเหมือนอะไร

(3) แอบสังเกตการณ์ผ่านกล้องวิดีโอ

(4) พูดคุยในสภาพผ่อนคลาย และตั้งคําถามทางอ้อม

(5) จําลองสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง แล้วให้ผู้รับการทดสอบเข้าไปในเหตุการณ์นั้น

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 87 ประกอบ

89 ข้อใดเป็นสูตรของการคํานวณ I.Q.

(1) อายุสมองคุณด้วยอายุจริง

(2) อัตราส่วนระหว่างอายุสมองและอายุจริง

(3) อัตราส่วนระหว่างอายุสมองและอายุจริง คูณ 100

(4) อัตราส่วนระหว่างอายุจริงและอายุสมอง

(5) อัตราส่วนระหว่างอายุจริงและอายุสมอง คูณ 100

ตอบ 3 หน้า 326 ในการวัดความสามารถทางสติปัญญาจะถูกวัดออกมาในอัตราส่วนที่เรียกว่า I.Q.(Intelligence Quotient) ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างอายุสมอง (Mental Age = M.A. ) และ อายุจริงตามปฏิทิน (Chronological Age = C.A.) คูณด้วย 100

90 เด็กชายอ๋อยมี I.Q. เท่ากับ 100 นับว่าเขามีระดับสติปัญญาเป็นอย่างไร

(1) ปัญญาทึบ

(2) เกณฑ์ปกติ

(3) ค่อนข้างฉลาด

(4) ฉลาดมาก

(5) อัจฉริยะ

ตอบ 2 หน้า 327 บิเนต์ (Binet) ได้จําแนกระดับสติปัญญา (I.Q.) ของบุคคลออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้ ปัญญาอ่อน (Retarded) มีระดับ I.Q. ต่ำกว่า 70, คาบเส้น (Borderline) มีระดับ IQ.71 – 80, ปัญญาทึบ (Dull) มีระดับ I.Q. 81 – 90, เกณฑ์ปกติ (Normal) มีระดับ I.Q. 91 – 110 ซึ่ง เป็นอัตราเฉลี่ย (Average), ค่อนข้างฉลาด (Superior) มีระดับ IQ. 111 – 120, ฉลาดมาก (Very Superior) มีระดับ IQ. 121 – 140 และอัจฉริยะ (Genius) มีระดับ I.O. 140 ขึ้นไป

91 ตัวประกอบทั่วไปที่เรียกว่า G-factor ของทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัยเน้นความสามารถเกี่ยวกับเรื่องใด

(1) การใช้เหตุผล

(2) ความเข้าใจภาษา

(3) การคํานวณ

(4) ความไวในการรับรู้

(5) ความสามารถในการจํา

ตอบ 1 หน้า 325 ชาร์ล สเปียร์แมน (Charles Spearman) เป็นผู้ที่คิดทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัยโดยอธิบายว่า สติปัญญาของคนเรานั้นจะมีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ

1ตัวประกอบทั่วไป (General factor : G-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผลทั่ว ๆ ไปของบุคคล และทุกคนมีเหมือนกันหมด

2 ตัวประกอบเฉพาะ (Specific factor : S-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับความสามารถ เฉพาะตัวของบุคคล เช่น ความสามารถพิเศษด้านศิลปะและดนตรี ความสามารถในการจําความเข้าใจภาษา การคํานวณ การใช้มือ การสังเกต การออกแบบ (Design) ฯลฯ

92 ข้อใดเป็นส่วนประกอบของสติปัญญาตามทฤษฎีตัวประกอบหลายปัจจัยของเทอร์สโตน

(1) ความสามารถในการช่างสังเกต

(2) ความสามารถในด้านศิลปะ

(3) ความสามารถใช้มือ

(4) ความสามารถใช้คําได้คล่องแคล่ว

(5) ความสามารถในการประสานกันระหว่างมือและตา

ตอบ 4 หน้า 325 – 326 เทอร์สโตนและกิลฟอร์ด (Thurstone and Guilford) เป็นผู้ที่แนะนําทฤษฎีตัวประกอบหลายปัจจัย (Multiple Factor Theory) โดยเทอร์สโตนอธิบายว่า ความสามารถขั้นพื้นฐานที่เป็นส่วนประกอบของสติปัญญามี 7 ชนิด คือ ความเข้าใจภาษา, ความสามารถ ใช้คําได้คล่องแคล่ว, ความสามารถในการใช้ตัวเลข, ความสามารถในการมองเห็นภาพมิติ, ความสามารถในการจํา, ความไวในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ และความสามารถที่จะเข้าใจเหตุผล ส่วนกิลฟอร์ด เชื่อว่า ตัวประกอบของสติปัญญามีถึง 120 ตัวประกอบ ใน 3 มิติ คือ มิติด้านเนื้อหา วิธีการ และผล โดยเขาเชื่อว่าบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมักจะมีสติปัญญาสูงด้วย

93 ความเชื่อถือได้ของแบบทดสอบหมายถึงอะไร

(1) เป็นแบบทดสอบที่ให้ความคงที่ของคะแนน

(2) เป็นแบบทดสอบที่วัดในสิ่งที่ต้องการวัด

(3) ให้ผลเหมือนเดิมไม่ว่าใครเป็นคนตรวจให้คะแนน

(4) มีแบบแผนในการดําเนินการทดสอบ

(5) ทดสอบภายใต้สภาพการณ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

ตอบ 1 หน้า 327 – 328 แบบทดสอบที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติที่สําคัญ 4 ประการ ดังนี้

1 ความเป็นปรนัย (Objectivity) จะต้องให้ผลเหมือนเดิมไม่ว่าใครเป็นคนตรวจให้คะแนน

2 ความเชื่อถือได้ (Reliability) จะต้องให้ความคงที่ของคะแนนในการวัดแต่ละครั้ง

3 ความเที่ยงตรง (Validity) จะต้องวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัด (เป็นคุณสมบัติที่สําคัญที่สุด)

4 ความเป็นมาตรฐาน (Standardization) จะต้องมีแบบแผนในการดําเนินการทดสอบ

94 ความเป็นปรนัยของแบบทดสอบหมายถึงอะไร

(1) มีเกณฑ์ปกติหรือค่าเฉลี่ยของกลุ่มคนปกติ

(2) เป็นแบบทดสอบที่วัดในสิ่งที่ต้องการวัด

(3) เป็นแบบทดสอบที่ให้ความคงที่ของคะแนน

(4) มีแบบแผนในการดําเนินการทดสอบ

(5) ให้ผลเหมือนเดิมไม่ว่าใครเป็นคนตรวจให้คะแนน

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 93 ประกอบ

95 แบบทดสอบสติปัญญาของ Wechsler แบ่งออกเป็น 2 หมวด ได้แก่อะไร

(1) ความสามารถเชิงภาษาและเชิงคํานวณ

(2) ความสามารถเชิงคํานวณและเชิงเหตุผล

(3) ความสามารถเชิงเหตุผลและเชิงภาษา

(4) ความสามารถเชิงภาษาและไม่ใช้ถ้อยคําภาษา

(5) ความสามารถเชิงภาษาและแบบประกอบการ

ตอบ 5 หน้า 330 องค์ประกอบของแบบทดสอบการวัดสติปัญญาของเวคสเลอร์ (Wechsler)แบ่งข้อทดสอบออกเป็น 2 หมวด ดังนี้คือ

1 ข้อทดสอบเชิงภาษา ประกอบด้วยแบบทดสอบย่อย 6 ชุด ได้แก่ ความรู้ทั่วไป ความเข้าใจเลขคณิต (ความสามารถเชิงคํานวณ) ความคล้ายคลึงกัน การจําช่วงตัวเลข และคําศัพท์

2 ข้อทดสอบแบบประกอบการ ประกอบด้วยแบบทดสอบย่อย 5 ชุด ได้แก่ สัญลักษณ์ตัวเลขการเติมรูปภาพ การออกแบบก้อนสี่เหลี่ยม การลําดับภาพ และการประกอบชิ้นส่วน

96 ข้อใดเป็นองค์ประกอบของการทดสอบแบบประกอบการของแบบทดสอบสติปัญญาของ Wechsler

(1) ความคล้ายคลึงกัน

(2) การจําช่วงตัวเลข

(3) การลําดับภาพ

(4) ความสามารถเชิงคํานวณ

(5) การทํางานประสานกันระหว่างมือและตา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 95 ประกอบ

97 แบบทดสอบชนิดใดที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัดความสามารถในการใช้เหตุผล

(1) WAIS

(2) TAT Test

(3) Stanford-Binet Test

(4) WPPSI

(5) Progressive Matrices Test

ตอบ 5 หน้า 331 แบบทดสอบโปรเกรสซีฟเมตริซีส (Progressive Matrices Tests) มีลักษณะเป็นแบบทดสอบที่ไม่ใช้ถ้อยคําภาษา (Nonverbal) สร้างขึ้นมาเพื่อใช้วัดความสามารถของบุคคลในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงเรขาคณิต และเพื่อวัดความสามารถในการใช้เหตุผล

98 ข้อใดไม่ใช่ข้อพึงระวังในการวัดสติปัญญา

(1) ผู้ใช้แบบทดสอบต้องปฏิบัติตามคําอธิบายในคู่มือ

(2) ผู้ทดสอบต้องมีความชํานาญเกี่ยวกับแบบทดสอบที่ใช้

(3) สภาพแวดล้อมขณะทําการทดสอบต้องปราศจากสิ่งรบกวน

(4) ผู้รับการทดสอบต้องให้ความร่วมมือและมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ

(5) แบบทดสอบสติปัญญาเป็นแบบทดสอบที่ไม่จําเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการทดสอบ

ตอบ 5 หน้า 331 332, (คําบรรยาย) ข้อควรคํานึงหรือข้อพึงระวังในการวัดสติปัญญา มีดังนี้

1 ผู้ทดสอบต้องมีความรู้และความชํานาญเกี่ยวกับแบบทดสอบที่ใช้ จะต้องเตรียมตัวและฝึกใช้เครื่องมือก่อนทําการทดสอบ หรือฝึกซ้อมใช้แบบทดสอบก่อนการใช้งานจริง 2 ผู้รับการทดสอบต้องให้ความร่วมมือ และมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ

3 สภาพแวดล้อมขณะทําการทดสอบต้องทําในสถานที่เงียบสงบปราศจากสิ่งรบกวน 4 การซื้อขายและการใช้แบบทดสอบต้องอยู่ในความควบคุมและมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ซื้อหรือผู้นําแบบทดสอบไปใช้ และผู้ใช้แบบทดสอบต้องปฏิบัติตามคําอธิบายในคู่มือ

99 ผลการศึกษาวิจัยพบว่า เพศชายสามารถทําแบบทดสอบวัดระดับสติปัญญาด้านใดดีกว่าเพศหญิง

(1) ด้านภาษา

(2) ด้านเสมียน

(3) ด้านการวางแผน

(4) ด้านการบัญชี

(5) ด้านการแสดง

ตอบ 2 หน้า 333 จากผลการศึกษาวิจัยพบว่า เด็กชายในระดับมัธยมศึกษาสามารถทําคะแนนแบบทดสอบวัดระดับสติปัญญาได้ดีกว่าเด็กหญิงในแบบทดสอบย่อยด้านประกอบการที่ต้องอาศัยความคล่องแคล่วในเชิงเสมียนและความสามารถเชิงจักรกล ส่วนเด็กหญิงจะทําคะแนนได้ดีกว่าในแบบทดสอบย่อยด้านภาษา

100 การให้เหตุผลว่า “ผู้ที่ปรับตัวได้คือผู้ที่ก้าวข้ามความกลัว และยืนหยัดกับการเผชิญความเป็นจริงของชีวิตได้” เป็นแนวคิดทางจิตวิทยากลุ่มใด

(1) จิตวิเคราะห์

(2) พฤติกรรมนิยม

(3) กลุ่มนักทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด

(4) มนุษยนิยม

(5) จิตวิทยาเกสตัลท์

ตอบ 3 หน้า 344 กลุ่มนักทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด (Existentialist) มองว่า มนุษย์มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ ดังนั้นมนุษย์จึงต้องรับผิดชอบในการกระทําทุกอย่างของตนเอง โดยมนุษย์จะไม่สามารถโทษผู้อื่น หรือสิ่งแวดล้อมว่าทําให้เขาเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ได้เลย ใครก็ตามที่ก้าวพ้นออกมาจากความกลัวและยืนหยัดอยู่กับความเชื่อและเผชิญกับความเป็นจริงของชีวิตได้ จะเป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดี

101 ข้อใดเกี่ยวข้องกับการปรับตัวที่ดีมากที่สุด

(1) ช่วยให้เชื่อมั่นในตนเองมากขึ้นได้

(2) ช่วยให้สามารถควบคุมผู้อื่นได้

(3) ช่วยให้มีความรู้และทักษะด้านต่าง ๆ สูงขึ้น

(4) ช่วยให้มีสติปัญญาสูงขึ้น

(5) ช่วยให้เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตาจากบุคคลอื่นได้

ตอบ 1 หน้า 345 การปรับตัวที่ดีและเหมาะสม่เป็นการปรับตัวของบุคคลที่ทําให้ชีวิตของเขาดีขึ้นทําให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ช่วยให้เชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น และช่วยให้สามารถเข้าสังคมที่มีความหลากหลายดีขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ต้อง ไม่ทําให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือต้องไม่ไปปิดกั้นสิทธิเสรีภาพและอิสรภาพของผู้อื่น

102 “การที่จะต้องทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งสําเร็จภายในเวลาที่จํากัด” เป็นความหมายของ

(1) ความคับข้องใจ

(2) ความก้าวร้าว

(3) ความกดดัน

(4) ความขัดแย้งใจ

(5) ความคาดหวัง

ตอบ 3 หน้า 347 ความกดดัน หมายถึง การที่จะต้องทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สําเร็จภายในเวลาที่จํากัดโดยเฉพาะในภาวะหน้าวหน้าขวานที่จะต้องทํางานภายใต้เส้นตายที่ขีดไว้

103 ตามแนวคิดของไฟด์แมนและโรเซนแมน คนแบบใดมีความเครียดมากที่สุด

(1) คนที่ทําอะไรค่อยเป็นค่อยไป

(2) คนที่ไม่ชอบความเร่งรีบ

(3) คนที่เก็บกดไม่แสดงอารมณ์

(4) คนที่ไม่ชอบการแข่งขัน

(5) คนที่ไม่ชอบสร้างบรรทัดฐานให้กับตนเอง

ตอบ 3 หน้า 348, (คําบรรยาย) ไฟด์แมนและโรเซนแมน (Friedman & Rosenman) ได้แบ่งกลุ่มคนตามลักษณะบุคลิกภาพออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1 กลุ่ม A (Type A Personality) เป็นคนใจเร็ว ใจร้อน ชอบความก้าวหน้า การแข่งขันสูงเก็บกดไม่แสดงอารมณ์ มุ่งความสําเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ ชอบสร้างมาตรฐานให้กับตัวเองมักเป็นคนเข้มงวด และชอบความสมบูรณ์แบบ ซึ่งมีผลให้มีความเครียดมากที่สุด

2 กลุ่ม B (Type B Personality) เป็นคนที่ไม่เร่งรีบ ผ่อนคลาย ทําอะไรแบบค่อยเป็นค่อยไปชอบทํางานที่ละอย่าง ซึ่งมีผลให้มีความเครียดน้อยที่สุดและไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

104 อาการทางกายใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับความเครียดของบุคคล

(1)ท้องผูก

(2) ปัญญาอ่อน

(3) สมองเสื่อม

(4) ภาวะโรคจิต

(5) ภาวะตาบอดสี

ตอบ 1 หน้า 349 ไซโคโซมาติก (Psychosomatic Diseases) คือ อาการของความเจ็บป่วยหรือโรคทางกายที่เกิดจากภาวะความเครียดที่สะสมเอาไว้นาน ๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ท้องร่วง ท้องผูก โรคหัวใจ นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน) ฯลฯ

105 ตามแนวคิดการปรับตัวทางร่างกายเมื่อเกิดความเครียดของเซลเย (Selye) “หากปล่อยให้เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน ไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการดําเนินชีวิต อาจส่งผลให้สุขภาพทรุดหนักหรือพังได้” เกิดขึ้นในขั้นตอนใด

(1) ขั้นระยะตื่นตัว

(2) ขั้นปฏิกิริยาตื่นตระหนก

(3) ขั้นสร้างระบบต้านทานภัย

(4) ขั้นระยะเหนื่อยล้า

(5) ขั้นระยะถดถอย

ตอบ 4 หน้า 351 เซลเย (Selye) ได้ทําการศึกษาเกี่ยวกับสภาวะของร่างกายเมื่อเกิดความเครียดพบว่า เมื่อบุคคลเกิดความเครียด ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อความเครียด 3 ขั้นตอน คือ

1 ปฏิกิริยาตื่นตระหนก เป็นช่วงที่ร่างกายมีพละกําลังมหาศาล เพื่อรับสภาพการจู่โจม 2 สร้างระบบต้านทานภัย ร่างกายจะสร้างระบบที่ปรับตัวต่อความเครียดในระยะยาวนานขึ้น

3 ระยะเหนื่อยล้า ในกรณีที่ความเครียดอยู่กับบุคคลนาน ๆ และไม่หมดสิ้นไป ก็อาจทําให้ร่างกาย เกิดโรคขึ้นหลายชนิด เช่น โรคกระเพาะ โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ และถ้าเป็นนาน ๆร่างกายก็อาจไปถึงจุดที่เรียกว่า Burn-Out คือ ไปต่อไม่ได้ 106 ข้อใดอธิบายไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ “กลไกป้องกันทางจิต” ที่ใช้ในการปรับตัว

(1) กลไกป้องกันทางจิตช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลให้ลดลงได้

(2) กลไกป้องกันทางจิตเป็นกลไกที่ใช้ในการจัดการกับความคับข้องใจของบุคคล

(3) การใช้กลไกป้องกันทางจิตไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะของโรคประสาท

(4) การใช้กลไกป้องกันทางจิตมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคลิกภาพได้

(5) การใช้กลไกป้องกันทางจิตเป็นกลยุทธ์ที่ใช้บิดเบือนหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทําให้เกิดความวิตกกังวล

ตอบ 3 หน้า 357 กลไกป้องกันทางจิต (Defense Mechanism) เป็นกลไกที่ใช้ในการจัดการกับความคับข้องใจของบุคคล เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อบิดเบือนหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธสถานการณ์ที่ทําให้ เกิดความวิตกกังวล จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลให้ลดลงได้ แม้ว่าการใช้กลไก ป้องกันทางจิตจะสามารถรักษาความสมดุลของสภาพทางจิตใจไว้ได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าใช้มากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคลิกภาพได้ ซึ่งจะนําไปสู่ภาวะของโรคประสาทได้ในที่สุด

107 การหาแพะรับบาป น่าจะเกี่ยวข้องกับการใช้กลไกทางจิตชนิดใด

(1) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน

(2) การเก็บกด

(3) การเลียนแบบ

(4) การหาสิ่งทดแทน

(5) การไม่รับรู้ความจริง

ตอบ 4 หน้า 358 การหาสิ่งทดแทน (Displacement) เป็นกลไกป้องกันทางจิตเมื่อเกิดความคับข้องใจกับบุคคลที่เป็นสาเหตุ แต่ถ้าไม่สามารถแสดงออกกับผู้นั้นได้โดยตรง ก็จะหาผู้อื่นหรือสิ่งอื่นมาเป็นแพะรับบาป เช่น โกรธเจ้านาย กลับบ้านก็มาด่าว่าภรรยาหรือเตะหมาแทน ฯลฯ

108 “หนีเสือปะจระเข้” เป็นความขัดแย้งใจชนิดใด

(1) Approach-Approach Conflicts

(2) Avoidance-Avoidance Conflicts de

(3) Approach-Avoidance Conflicts

(4) Double Approach-Avoidance Conflicts

(5) Double Approach-Approach Conflicts

ตอบ 2 หน้า 361 364 ความขัดแย้งใจ (Conflict) มี 4 ประเภท คือ

1 อยากได้ทั้งคู่ (Approach-Approach Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ“รักพี่เสียดายน้อง” คือ ตัวเลือกทั้งสองเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งคู่ แต่หากเข้าใกล้เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งแล้วจะทําให้อีกเป้าหมายหนึ่งลดความดึงดูดลงไปได้มาก

2 อยากหนีทั้งคู่ (Avoidance-Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ“หนีเสือปะจระเข้” คือ เป็นความกดดันที่จะต้องเลือกตัวเลือกที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่ก่อให้เกิดพฤติกรรม “นิ่งเฉย ไม่ตัดสินใจ” เนื่องจากไม่กล้าตัดสินใจและทําอะไรไม่ถูก

3 ทั้งรักและชัง (Approach-Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ“กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” คือ ตัวเลือกนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในขณะเดียวกันจึงทําให้เกิดความลังเลใจ เช่น อยากทานขนมหวานแต่กลัวฟันผุและกลัวอ้วน ฯลฯ

4 ทั้งชอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่ (Double Approach-Avoidance Conflicts) คือ ตัวเลือกทั้ง 2 มีทั้งดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน เช่น ต้องเลือกระหว่างงานใหม่ 2 แห่ง แห่งแรกนั้นถูกใจหมดทุกอย่างแต่เงินเดือนต่ำ แต่อีกแห่งไม่ถูกใจเลยแต่เงินเดือนสูง เราจะเลือกแห่งใด ฯลฯ

109 ความขัดแย้งใดที่ก่อให้เกิดภาวะ “เป้าหมายหนึ่งอาจลดความดึงดูดลงไปได้ หากเข้าใกล้อีกเป้าหมายหนึ่ง”

(1) อยากได้ทั้งคู่

(2) อยากหนีทั้งคู่

(3) ทั้งรักและชัง

(4) ทั้งขอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 108 ประกอบ

110 วิธีการใดเกี่ยวข้องกับการจัดการความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพ

(1) ควรรีบจัดการแก้ปัญหาที่เกิดความคับข้องใจให้เร็วที่สุด

(2) เมื่อแก้ไขความขัดแย้งแล้วต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นด้วย

(3) ต้องตระหนักว่ามีทางที่ถูกต้องเพียงทางเดียวเท่านั้นในการแก้ปัญหา

(4) การตัดสินใจอาศัยการวิเคราะห์ ไม่จําเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นก่อน

(5) ปัญหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเราเองเท่านั้น ไม่ควรให้ผู้อื่นรู้ หรือไม่จําเป็นต้องสอบถามจากผู้อื่น

ตอบ 2 หน้า 364 365 วิธีการแก้ไขความขัดแย้งใจอย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้

1 อย่ารีบร้อนในการตัดสินใจ เมื่อมีความคับข้องใจเกิดขึ้น

2 ก่อนการตัดสินใจสิ่งใดควรลองไป “สัมผัส” กับสถานการณ์นั้นเสียก่อน

3 พยายามหาทางเลือกอื่นเท่าที่จะหาได้เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด อาจถามจากผู้รู้แหล่งต่าง ๆ

4 ถ้าการเลือกของเรายังผิดพลาดก็ต้องทําใจยอมรับ และรับผิดชอบในสิ่งที่เราได้ทําลงไป

111 ข้อใดเป็นระยะห่างระหว่างบุคคลที่ใช้เมื่ออยู่กับเพื่อน

(1) ระยะสนิทสนม

(2) ระยะส่วนตัว

(3) ระยะสังคม

(4) ระยะห่างไกล

(5) ระยะสาธารณะ

ตอบ 2 หน้า 378 – 379 ระยะห่างระหว่างบุคคล แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ

1 ระยะสนิทสนม (Intimate Distance) 0 – 18 นิ้ว เป็นระยะใกล้ชิดที่มักใช้สื่อสารเฉพาะกับคนพิเศษ เช่น ใช้ระหว่างคู่รัก คนในครอบครัว ฯลฯ

2 ระยะส่วนตัว (Personal Distance) 1 – 4 ฟุต เป็นระยะที่ใช้เมื่ออยู่กับเพื่อน อาจารย์ที่ปรึกษา ครูนั่งสอนนักเรียน ฯลฯ มักเอื้อมมือถึงกันได้ และใช้ระดับเสียงพูดปกติ

3 ระยะสังคม (Social Distance) 4 – 12 ฟุต เป็นระยะที่ใช้พูดคุยกันทางสังคมและธุรกิจ

4 ระยะสาธารณะ (Public Distance) 12 ฟุตขึ้นไป เป็นระยะที่เป็นทางการมากขึ้น เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ การบรรยาย การหาเสียงเลือกตั้ง การแสดงคอนเสิร์ต ฯลฯ

112 “หนิงปรึกษาคุณแม่เรื่องการเรียน” เป็นระยะห่างระหว่างบุคคลระยะใด

(1) ระยะสนิทสนม

(2) ระยะส่วนตัว

(3) ระยะสังคม

(4) ระยะห่างไกล

(5) ระยะสาธารณะ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 111 ประกอบ

113 ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่ดึงดูดใจให้คนเป็นมิตรกัน

(1) ความสามารถ

(2) ความใกล้ชิดทางกาย

(3) ความมีเสน่ห์ดึงดูดทางกาย

(4) ความมีน้ำใจ

(5) ความคล้ายคลึงกัน

ตอบ 4 หน้า 380 381 ปัจจัยที่ดึงดูดใจให้คนเป็นมิตรกัน มีดังนี้

1 ความใกล้ชิดทางกาย

2 ความมีเสน่ห์ดึงดูดทางกาย

3 ความสามารถ

4 ความคล้ายคลึงกัน

114 “เป็นสถานการณ์ที่มีการสื่อสารซ้ำ ๆ โดยไม่มีการอธิบาย” จากข้อความดังกล่าวแสดงถึงสถานการณ์ใดที่ทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคม

(1) สถานการณ์การเสนอแนะ

(2) การอภิปรายกลุ่ม

(3) สถานการณ์การคล้อยตาม

(4) การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น

(5) สารชักจูง

ตอบ 1 หน้า 383 สถานการณ์ที่อาจทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคมขึ้น มี 5 สถานการณ์ คือ

1 สถานการณ์การเสนอแนะ เป็นสถานการณ์ที่มีการสื่อสารซ้ำ ๆ โดยปราศจากการอธิบาย

2 สถานการณ์การคล้อยตาม เป็นสถานการณ์ซึ่งมีการสื่อสารที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลกับพฤติกรรมของกลุ่ม ปทัสถานของกลุ่ม หรือค่านิยมของกลุ่ม

3 การอภิปรายกลุ่ม เป็นสถานการณ์ที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้น

4 สารชักจูง เป็นสารหรือข้อความที่ได้มีการพิจารณาและขัดเกลาคําพูดมาเป็นอย่างดีแล้ว

5 การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น (การล้างสมอง) เป็นสถานการณ์ที่ใช้ทั้ง 4 ลักษณะข้างต้นพร้อมกัน

115 “คุณปั้นนําเสนอนโยบายซึ่งได้ผ่านการขัดเกลาภาษามาเป็นอย่างดีเพื่อให้เพื่อน ๆ ประทับใจและเลือกเขาเป็นประธานนักเรียน” จากข้อความดังกล่าวแสดงถึงสถานการณ์ใดที่ทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคม

(1) สถานการณ์การเสนอแนะ

(2) สถานการณ์การคล้อยตาม

(3) การอภิปรายกลุ่ม

(4) สารชักจูง

(5) การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 114 ประกอบ

116 “เมื่อทําผิดต้องถูกลงโทษโดยการติดคุกตามความผิดของตน” ตรงกับอํานาจทางสังคมแบบใด

(1) อํานาจในการให้รางวัล

(2) อํานาจในการบังคับ

(3) อํานาจตามกฎหมาย

(4) อํานาจตามการอ้างอิง

(5) อํานาจตามความเชี่ยวชาญ

ตอบ 2 หน้า 385 386 อํานาจ (Power) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสังคม อํานาจทางสังคมมี 5 ประเภท คือ

1 อํานาจในการให้รางวัล คือ การให้รางวัลแก่บุคคลที่แสดงพฤติกรรมตามที่ปรารถนาได้

2 อํานาจในการบังคับ โดยใช้การจําคุกและการปรับสินไหมเป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรม

3 อํานาจตามกฎหมาย เกิดจากการยอมรับให้บุคคลเป็นตัวแทนของระเบียบทางสังคม

4 อํานาจตามการอ้างอิง เป็นอํานาจที่มาจากการที่บุคคลนั้นได้รับการเคารพนับถือ

5 อํานาจตามความเชี่ยวชาญ เป็นการยอมรับนับถือผู้ที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญ

117 “คุณหมอได้รับการยอมรับนับถือจากคนไข้” ตรงกับอํานาจทางสังคมแบบใด

(1) อํานาจในการให้รางวัล

(2) อํานาจในการบังคับ

(3) อํานาจตามกฎหมาย

(4) อํานาจตามการอ้างอิง

(5) อํานาจตามความเชี่ยวชาญ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 115 ประกอบ

118 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเจตคติและอคติ

(1) ประกอบด้วย ความเชื่อ การกระทํา และอารมณ์

(2) อคติเป็นเจตคติทางลบ

(3) สื่อมวลชนไม่มีส่วนในการสร้างเจตคติ

(4) การเกลี้ยกล่อมชักจูงเป็นการเปลี่ยนเจตคติโดยการให้ข้อมูล

(5) สถานภาพที่ไม่เท่าเทียมกันเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดอคติระหว่างกลุ่ม

ตอบ 3 หน้า 389 393 เจตคติ มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ ความเชื่อ อารมณ์ และการกระทําสื่อมวลชนทุกแขนงโดยเฉพาะโทรทัศน์มีผลหรือมีส่วนในการเกิดหรือสร้างเจตคติอย่างมาก, การเกลี้ยกล่อมชักจูงเป็นการพยายามเปลี่ยนเจตคติโดยการให้ข้อมูล, อคติเป็นเจตคติทางลบ,สถานภาพที่ไม่เท่าเทียมกันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดอคติระหว่างกลุ่มขึ้น

119 “คุณป้อมรู้สึกเสียหน้าและรู้สึกโกรธจากคําพูดของคุณตู่ คุณป้อมมีความคิดว่าถ้ามีโอกาสจะหาทางเอาคืนคุณตู่ให้ได้” ลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะของผู้ที่ถูกกระทําจากพฤติกรรมในข้อใด

(1) พฤติกรรมเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

(2) พฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก

(3) พฤติกรรมก้าวร้าว

(4) พฤติกรรมการช่วยเหลือ

(5) พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม

ตอบ 3 หน้า 397 ผู้ที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวมักจะมีความรู้สึกชอบความตรงไปตรงมาค่อนข้างมากมีความรู้สึกเหยียดหยามเป็นบางครั้ง อาจรู้สึกผิดในเวลาต่อมา รู้สึกเจ็บปวด รู้สึกถูกทําร้ายจิตใจ รู้สึกเสียหน้า รู้สึกเสียศักดิ์ศรี รู้สึกโกรธ และจะหาทางแก้แค้นหรือเอาคืนถ้ามีโอกาส

120 ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก

(1) ผู้ถูกกระทํามีความรู้สึกถูกทําร้าย

(2) ผู้แสดงพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออกมีพฤติกรรมปฏิเสธตนเอง

(3) ผู้แสดงพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออกมีความรู้สึกเหยียดหยามผู้ถูกกระทํา

(4) ผู้แสดงพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออกมีความรู้สึกชอบความตรงไปตรงมา

(5) บุคคลที่สามรู้สึกว่าผู้แสดงพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออกเป็นผู้น่าศรัทธา

ตอบ 2 หน้า 397 (ดูคําอธิบายข้อ 117 ประกอบ) ผู้ที่มีพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออกมักจะมีอารมณ์ไม่เหมาะสม ซ่อนเร้นปิดบัง ปฏิเสธตนเอง มีการไตร่ตรอง และมีความรู้สึกเด่นกว่าเหนือกว่า

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา PSY 1001 จิตวิทยาทั่วไป

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1 ในเซลล์ประสาทนิวโรน “เดนไดรท์” ทําหน้าที่อะไร

(1) นํากระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์

(2) เป็นผนังห่อหุ้มเซลล์

(3) กระตุ้นการทํางานของเซลล์

(4) นํากระแสประสาทออกนอกตัวเซลล์

(5) ทําหน้าที่รับและส่งกระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์

ตอบ 1 หน้า 37 เดนไดรท์ (Dendrite) ในเซลล์ประสาทนิวโรน (Neuron) จะทําหน้าที่เกี่ยวกับการนํากระแสประสาทเข้ามาสู่ตัวเซลล์ประสาท

2 ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาด้านสรีรจิตวิทยา

(1) เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทํางานของระบบต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดพฤติกรรม

(2) เน้นการศึกษาเกี่ยวกับการทํางานของระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ

(3) เชื่อว่าพฤติกรรมการเรียนรู้ การรับรู้ บุคลิกภาพเป็นผลมาจากการทํางานของระบบประสาท

(4) เชื่อว่าการเคลื่อนไหว อารมณ์ การคิด เกิดจากการนําส่งกระแสประสาทไปทั่วร่างกาย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 25, 27, (คําบรรยาย) สรีรจิตวิทยา (Physiological Psychology) เป็นการศึกษาค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่การทํางานของระบบต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดพฤติกรรมที่สมดุล และอยู่รอดของชีวิต โดยเน้นศึกษาเกี่ยวกับการทํางานของสมอง/ระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ เชื่อว่าพฤติกรรมการเรียนรู้ การรับรู้ และบุคลิกภาพเป็นผลมาจากการทํางานของระบบประสาทและเชื่อว่าการเคลื่อนไหว อารมณ์ และการคิด เกิดจากการนําส่งกระแสประสาทไปทั่วร่างกาย

3 กล้ามเนื้อชนิดใดทํางานอยู่ภายใต้อํานาจจิตใจ

(1) กระเพาะอาหาร

(2) กล้ามเนื้อลาย

(3) กล้ามเนื้อเรียบ

(4) กล้ามเนื้อหัวใจ

(5) กะบังลม

ตอบ 2 หน้า 30, 32, 52 ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System) จะทําหน้าที่ในการทําให้ร่างกายเคลื่อนไหว ประกอบด้วย

1 กล้ามเนื้อลาย โดยจะทํางานอยู่ภายใต้อํานาจจิตใจ

2 กล้ามเนื้อเรียบ เช่น กระเพาะอาหาร กะบังลม ฯลฯ โดยจะทํางานอยู่นอกอํานาจจิตใจ

3 กล้ามเนื้อหัวใจ โดยจะทํางานอยู่นอกอํานาจจิตใจ

4 การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่กําลังจะเกิดขึ้นเป็นการทํางานของ ระบบประสาทส่วนใด

(1) ระบบประสาทส่วนกลาง

(2) ระบบประสาทซิมพาเธติก

(3) ระบบโซมาติก

(4) ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก

(5) ระบบประสาทอัตโนมัติ

ตอบ 2 หน้า 34, 261 ระบบประสาทซิมพาเธติก (Sympathetic) เป็นระบบที่ไปกระตุ้นการทํางานของร่างกายในกรณีฉาเฉิน ทําให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่กําลังจะเกิดขึ้น เช่น เมื่อบุคคลเผชิญหน้ากับสิ่งเร้าที่ทําให้ตกใจกลัวและช็อก ทําให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายมีการทํางานมากขึ้น เกิดการตื่นตัว มีการเตรียมพร้อมของชีพจร หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ผนั่งของลําไส้หดตัวน้อยลง ม่านตาขยายกว้าง เหงื่อออกมาก และขนลุก ฯลฯ

5 สารสื่อประสาทชนิดใดที่ทําหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว

(1) อะซีทิลโคลีน

(2) ซีโรโทนิน

(3) โดปามาย

(4) กาบา

(5) นอร์อิพิเนฟฟริน

ตอบ 3 หน้า 40 โดปามาย (Dopamine) เป็นสารสื่อประสาทที่ทําหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ถ้าเสื่อมหรือบกพร่องหรือผิดปกติจะเป็นสาเหตุของโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) คือ มีอาการสั่นของกล้ามเนื้อ และยากลําบากในการเคลื่อนไหว ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ

6 อารมณ์เกิดจากการทํางานของสมองส่วนใด

(1) ไฮโปธาลามัส

(2) ธาลามัส

(3) ลิมปิก

(4) ซีรีบรัม

(5) ซีรีเบลลัม

ตอบ 2 หน้า 41 ธาลามัส (Thalamus) เป็นส่วนของสมองที่ทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางการส่งกระแสประสาทมอเตอร์จากซีรีบรัมไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นศูนย์กลางการรับ กระแสประสาทสัมผัส (ยกเว้นสัมผัสกลิ่น) จากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไปยังซีรีบรัม และเป็นศูนย์กลางควบคุมการเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ของบุคคล รวมทั้งการตื่นและการหลับ

7 การเต้นของหัวใจ การหายใจอยู่ภายใต้การทํางานของสมองส่วนใด

(1) ซีรีบรัม

(2) ซีรีเบลลัม

(3) ก้านสมอง

(4) ไขสันหลัง

(5) สมองส่วนกลาง

ตอบ 3 หน้า 43 ก้านสมอง (Brain Stem) เป็นแกนกลางของสมอง ทําหน้าที่ควบคุมการทํางานที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ อยู่นอกเหนืออํานาจจิตใจ เช่น การเต้นของหัวใจ และการหายใจ ดังนั้น คนที่คอหักจึงตายเพราะหายใจไม่ออก เนื่องจากเส้นประสาทที่เชื่อมต่อระหว่างก้านสมองและกล้ามเนื้อซึ่งควบคุมการขยายตัวของช่องอกขาดออกจากกัน

8 ต่อมพิทูอิทารีหรือต่อมใต้สมองทําหน้าที่ผลิตฮอร์โมนชนิดใด

(1) เทสเทอสโตโรน

(2) โกรธฮอร์โมน

(3) คอร์ติซอล

(4) อินซูลิน

(5) โปรเจสเตอโรน

ตอบ 2 หน้า 45 ต่อมพิทูอิทารีหรือต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) เป็นต่อมไร้ท่อที่มีความสําคัญที่สุดของร่างกาย เพราะสร้างฮอร์โมนหลายชนิดเพื่อไปควบคุมการทํางานของต่อมไร้ท่ออื่น ๆ โดยจะทําหน้าที่สร้างฮอร์โมนที่สําคัญ คือ โกร๊ธฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นกลุ่มของฮอร์โมนที่ทําหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย

9 ฮอร์โมนอินซูลิน มีแหล่งกําเนิดมาจากที่ใด

(1) ต่อมแพนเครียส

(2) ต่อมใต้สมอง

(3) ต่อมหมวกไต

(4) ต่อมไทรอยด์

(5) ต่อมไทมัส

ตอบ 1 หน้า 49 ตับอ่อนหรือต่อมแพนเครียส (Pancreas) จะทําหน้าที่เป็นทั้งต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่อโดยจะผลิตฮอร์โมนที่สําคัญคือ อินซูลิน (Insulin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดให้เข้มข้นพอดี ถ้าตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินในระดับต่ํา จะทําให้เกิดอาการของโรคเบาหวาน

10 การหาคําตอบของคําถามที่ว่า “ทําไมคนที่เห็นเหตุการณ์รถเสียอยู่กลางถนนจึงกลับเพิกเฉยไม่ให้ความช่วยเหลือ” สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายทางจิตวิทยาข้อใด

(1) ศึกษา

(2) อธิบาย

(3) ทําความเข้าใจ

(4) ทํานาย

(5) ควบคุม

ตอบ 3 หน้า 5 – 7, (คําบรรยาย) จุดมุ่งหมายของการศึกษาทางจิตวิทยา มี 4 ประการ ได้แก่

1 หาคําอธิบาย เช่น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีอุบัติเหตุหรือมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นบนถนน ฯลฯ

2 ทําความเข้าใจ เช่น การหาคําตอบของคําถามที่ว่าทําไมหรือเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ฯลฯ

3 ทํานาย (พยากรณ์) เช่น มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ผู้ประสบเหตุจะได้รับความช่วยเหลือ ฯลฯ

4 ควบคุมพฤติกรรม เช่น เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นบนถนนแล้วมีบุคคลถ่ายคลิปเก็บไว้ ฯลฯ

ข้อ 11 – 14 จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) โครงสร้างของจิต

(2) หน้าที่ของจิต

(3) พฤติกรรมนิยม

(4) มนุษยนิยม

(5) จิตวิทยาคอกนิทิฟ

11 แนวคิดใดที่ให้ความสนใจศึกษา จิตสํานึก การใช้ภาษา การคิด และการแก้ปัญหา

ตอบ 5 หน้า 12, (คําบรรยาย) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทิฟ (Cognitive Psychology) สนใจศึกษาเกี่ยวกับความสามารถทางปัญญา ความรู้ การคิด การใช้ภาษา การแก้ปัญหา จิตสํานึก ความคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการภายในจิต ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันนี้กลุ่มต่าง ๆ ทางจิตวิทยาได้สลายตัวไปและมีการ รวมความคิดของแต่ละกลุ่มเข้าด้วยกัน ทั้งนี้พวกพฤติกรรมนิยมขนานแท้ก็ยังยอมรับแนวคิดพวกคอกนิทิฟเข้ามาแล้วเรียกว่า จิตวิทยาพฤติกรรมทางพุทธิปัญญา (Cognitive Behaviorism)

12 แนวคิดใดที่สนใจศึกษาองค์ประกอบของจิตสํานึก คือ การรับสัมผัส ความรู้สึก และมโนภาพ

ตอบ 1 หน้า 9 กลุ่มโครงสร้างของจิต (Structuralism) สนใจศึกษาองค์ประกอบของจิตสํานึก 3 ลักษณะ คือ การรับสัมผัส ความรู้สึก และมโนภาพ ซึ่งระเบียบวิธีวิจัยศึกษาที่ใช้กันอยู่ ในกลุ่มนี้ ก็คือ วิธีการสังเกต ทดลอง และการรายงานประสบการณ์ทางจิตด้วยตนเองหรือเรียกว่า Introspection คือ การมองภายในนั้นเอง

13 แนวคิดใดที่มีความสนใจในการทํางานของจิตสํานึกและการปรับตัวของอินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม

ตอบ 2 หน้า 9 – 10 กลุ่มหน้าที่ของจิต (Functionalism) สนใจศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการทํางานของจิตสํานึกและการปรับตัวของอินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะต้องศึกษาให้รู้ว่าการคิด การรับรู้ นิสัย และอารมณ์ ช่วยในการปรับตัวของมนุษย์อย่างไร โดยเห็นว่าจิตของบุคคลจะต้องทําหน้าที่ปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนไป

14 แนวคิดใดที่เน้นในเสรีภาพและความสามารถในการตัดสินใจเลือกวิธีการดําเนินชีวิต

ตอบ 4 หน้า 11 – 12 กลุ่มมนุษยนิยม (Humanistic Psychology) เป็นพลังที่ 3 ทางจิตวิทยา (พลังที่ 1 และ 2 คือ จิตวิเคราะห์และพฤติกรรมนิยม) โดยกลุ่มนี้จะเน้นในเรื่องเสรีภาพ และความสามารถในการตัดสินใจเลือกวิธีการดําเนินชีวิต และสิ่งสําคัญที่สุดคือ มนุษย์ต้องการเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ ซึ่งเป็นความต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้ถึงขีดสูงสุด

 

ข้อ 15 – 16 จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) การสังเกต

(2) การสํารวจ

(3) การทดลอง

(4) การทดสอบทางจิตวิทยา

(5) การศึกษาประวัติรายกรณี

 

15 เป็นวิธีที่ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของคนในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 13 การสังเกต (Observation) เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการเฝ้ามองปรากฏการณ์หรือสถานการณ์ตามที่เป็นจริง โดยที่ผู้ถูกสังเกตไม่รู้ตัว แล้วจึงบันทึกรายละเอียดไว้ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของคนในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติมากที่สุด

16 เป็นวิธีที่ใช้วัดลักษณะพฤติกรรมที่แอบแฝงอยู่ภายในตัวบุคคล

ตอบ 4 หน้า 14 การทดสอบทางจิตวิทยา (Psychological Testing) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดลักษณะพฤติกรรมที่แอบแฝงอยู่ภายในตัวบุคคลซึ่งเป็นสิ่งที่บุคคลพยายามปกปิดซ่อนเร้นไว้จะโดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม เช่น การศึกษาความสามารถทางสติปัญญาของเด็กที่มีความบกพร่องทาง การเรียนรู้ การวัดความถนัดและความสนใจ การตรวจลักษณะของบุคลิกภาพและอารมณ์ ฯลฯ

 

ข้อ 17 – 19 จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) นักจิตวิทยาการศึกษา

(2) นักจิตวิทยาคลินิก

(3) นักจิตวิทยาสังคม

(4) นักจิตวิทยาพัฒนาการ

(5) นักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อม

 

17 ใครทําหน้าที่วิเคราะห์และบําบัดทางจิต สําหรับผู้ประสบปัญหาสุขภาพจิต และดูแลสุขภาพจิตของชุมชน

ตอบ 2 หน้า 16 นักจิตวิทยาคลินิกและบริการปรึกษา จะทําหน้าที่วิเคราะห์และบําบัดทางจิต ให้บริการปรึกษาปัญหาส่วนบุคคล ช่วยในเรื่องปัญหาทางอารมณ์ พฤติกรรม ทําวิจัยค้นคว้า สําหรับผู้ประสบปัญหาสุขภาพจิตหรือปัญหาทางใจ และดูแลเกี่ยวกับสุขภาพจิตของชุมชน

18 ใครทําหน้าที่ปรึกษาสถานดูแลเด็กก่อนวัยเรียน จัดโครงการผู้สูงอายุ

ตอบ 4 หน้า 17 นักจิตวิทยาพัฒนาการ จะทําหน้าที่ในเรื่องพัฒนาการของเด็ก ผู้ใหญ่ และวัยสูงอายุทํางานด้านคลินิกในกรณีเด็กมีปัญหายุ่งยาก ทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสถานดูแลเด็กก่อนวัยเรียนจัดโครงการผู้สูงอายุ เละอื่น ๆ

19 ใครทําหน้าที่ศึกษามลภาวะของเสียง ฝูงชนแออัด ทัศนคติของคนเมืองที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์

ตอบ 5 หน้า 17 นักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อม จะทําหน้าที่ศึกษาผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อมนุษย์ศึกษามลภาวะของเสียง ฝูงชนแออัด ทัศนคติของคนเมืองต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พื้นที่ของคนเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบสิ่งแวดล้อมทางอุตสาหกรรม โรงเรียน บ้าน และสถาปัตยกรรม

20 ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการรับรู้

(1) การรับรู้มีความซับซ้อนมากกว่ากระบวนการรับสัมผัส

(2) การรับรู้ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ แรงจูงใจ บุคลิกภาพของมนุษย์

(3) กระบวนการรับรู้กับการรับสัมผัสสามารถแยกจากกันได้อย่างชัดเจน

(4) การรับรู้เป็นกระบวนการที่เกิดต่อเนื่องจากการรับสัมผัส

(5) กระบวนการรับรู้มุ่งความสนใจเรื่องวัตถุนั้นคืออะไร

ตอบ 3 หน้า 57, 60, (คําบรรยาย) การรับรู้ คือ กระบวนการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัสต่าง ๆ ดังนั้นการรับรู้จึงเป็นกระบวนการที่เกิดต่อเนื่องมาจากการรับสัมผัส กระบวนการรับรู้จะมุ่งไปที่ความเข้าใจและมุ่งความสนใจเรื่องวัตถุนั้นคืออะไร โดยทั่วไป การศึกษาเรื่องการรับรู้มักมีความยุ่งยากและสลับซับซ้อนมากกว่าการศึกษากระบวนการ รับสัมผัส นอกจากนี้การรับรู้ยังขึ้นอยู่กับข้อมูลด้านการเรียนรู้ แรงจูงใจ สิ่งแวดล้อม และ บุคลิกภาพของมนุษย์มากกว่ากระบวนการรับสัมผัส อย่างไรก็ตาม การศึกษาทั้งกระบวนการรับรู้และการรับสัมผัสนั้นยากที่จะแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาดชัดเจนได้

21 บริเวณเรตินามีเซลล์ประสาทชนิดใด

(1) โฟเวียกับโคนส์

(2) บูลกับแบ็ค

(3) แบ็คกับรอดส์

(4) รอดส์กับโคนส์

(5) โฟเวียกับรอดส์

ตอบ 4 หน้า 61 ที่ผนังของเรตินา (Retina) จะมีเซลล์ประสาทอยู่ 2 ชนิด คือ

1 รอดส์ (Rods) มีลักษณะเป็นแท่งยาว และไวต่อแสงขาวดํา จึงเป็นเซลล์ที่รับแสงสลัวในเวลากลางคืน

2 โคนส์ (Cones) มีลักษณะสั้น เป็นรูปกรวย และไวต่อแสงที่เป็นสี ช่วยทําให้รับภาพสีได้ดีจึงเป็นเซลล์ที่รับแสงจ้าในเวลากลางวัน ดังนั้นคนตาบอดสีจึงไม่มีโคนส์อยู่ที่บริเวณเรตินา

 

22 ตาบอดสีของมนุษย์แบ่งได้เป็นกี่ประเภท

(1) แบ่งเป็น 3 ประเภท

(2) แบ่งเป็น 4 ประเภท

(3) แบ่งเป็น 5 ประเภท

(4) แบ่งเป็น 6 ประเภท

(5) ไม่มีการแบ่งเป็นประเภท

ตอบ 1 หน้า 63 – 64 ตาบอดสีเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งของการเห็นสี แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1 Monochromatism เป็นอาการตาบอดสีหมดทุกสี โดยจะเห็นสีทุกสีเป็นสีเทา

2 Dichromatism เป็นอาการตาบอดสีชนิดที่สามารถมองเห็นสีได้เพียง 2 สีเท่านั้น คือพวกที่เห็นสีแดงเป็นสีดํา และพวกที่ไม่สามารถแยกสีเขียวและสีแดงออกจากกันได้

3 Trichromatism เป็นการเห็นสีครบทุกสีแต่เห็นสีนั้นอ่อนกว่าปกติ (ผิดปกติเพียงเล็กน้อย)

23 ปกติหูของมนุษย์สามารถรับฟังความดังของเสียงได้ไม่เกินเท่าใดที่ไม่เป็นอันตราย

(1) ไม่เกิน 30 db

(2) ไม่เกิน 60 db

(3) ไม่เกิน 80 db

(4) ไม่เกิน 90 db

(5) ไม่เกิน 110 db

ตอบ 3 หน้า 65 ความแรงของคลื่นเสียงมักวัดด้วยมาตราที่เรียกว่า “เดซิเบล” (Decibles : db) ซึ่งความดังของเสียงจะสูงขึ้นตามจํานวนเดซิเบลที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเสียงมีความสูงของ db มากเท่าไร ก็ยิ่งทําอันตรายแก่ผู้ฟังได้มากเท่านั้น โดยเสียงกระซิบจะมีระดับความดังประมาณ 20 db เสียงคุยปกติประมาณ 60 db และเสียงที่ดังเกิน 80 db จะเป็นอันตรายแก่หูถ้าฟังนาน ๆ

24 ประสาทรับสัมผัสทางผิวกายของมนุษย์มีกี่ชนิด

(1) มี 6 ชนิด

(2) มี 5 ชนิด

(3) มี 4 ชนิด

(4) มี 3 ชนิด

(5) มี 2 ชนิด

ตอบ 3 หน้า 67 ใต้ผิวหนังของมนุษย์เราจะมีจุดรับสัมผัสมากมาย โดยจุดรับสัมผัสแต่ละชนิดจะมีความไวต่อความรู้สึกที่มาสัมผัสแตกต่างกัน ซึ่งความรู้สึกที่มาสัมผัสผิวกายของมนุษย์นั้นมีจุดรับสัมผัสพื้นฐาน 4 ชนิด คือ ความกด ความอุ่น ความเย็น และความเจ็บปวด

25 การสัมผัสคีเนสเตซีสทํางานร่วมกับเครื่องรับสัมผัสใด

(1) หูตอนในและประสาทตา

(2) หูตอนกลางและประสาทตา

(3) ผิวกายและหูตอนใน

(4) ผิวกายและหูตอนกลาง

(5) หูตอนกลางและประสาทรับกลิ่น

ตอบ 1 หน้า 67 – 68 คีเนสเตซีส (Kinesthesis Sense) คือ ประสาทเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและกล้ามเนื้อรับสัมผัสต่าง ๆ ซึ่งการรับสัมผัสนี้จะช่วยบอกเราให้ทราบถึงการเคลื่อนไหว ของร่างกายว่าอยู่ในสภาพหรือตําแหน่งเช่นไร นอกจากนี้สัมผัสคีเนสเตซีสยังทํางานร่วมกับเครื่องรับสัมผัสเกี่ยวกับการทรงตัวที่มีอวัยวะรับสัมผัสอยู่ในหูตอนในและประสาทรับสัมผัสที่ตา เพื่อช่วยให้ร่างกายทั้งหมดทรงตัวอยู่ได้ตามปกติ

26 ตัวอย่างใดอธิบายเกี่ยวกับการคงที่ของรูปร่าง

(1) สีของเสื้อผ้าที่อยู่ในร้านค้า

(2) รถที่จอดอยู่ในที่มืดสลัว

(3) องศาของการเปิดประตู

(4) ยืนอยู่บนตึกสูงแล้วมองลงมาด้านล่าง

(5) ถูกต้องทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ 3 หน้า 71 – 72 ปรากฏการณ์คงที่ (Constancy) เป็นธรรมชาติของเรื่องการรับรู้และการเห็นนั่นคือ การที่ตาเห็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ความเข้าใจในการรับรู้อยู่ในสภาพเดิม ซึ่งมี 3 ชนิด ได้แก่

1 การคงที่ของสี เช่น รถที่จอดอยู่ในที่มืดสลัวก็สามารถรับรู้หรือมองเห็นสีที่แท้จริงของรถได้

2 การคงที่ของขนาด เช่น ยืนอยู่บนตึกสูงแล้วมองลงมาด้านล่างก็สามารถรับรู้ขนาดของวัตถุได้

3 การคงที่ของรูปร่าง เช่น องศาของการเปิดประตูเห็นเพียงแค่ด้านเดียวก็สามารถรับรู้รูปร่างของวัตถุได้

27 ผู้ที่สนใจศึกษาทดลองเกี่ยวกับความลึกและระยะทาง

(1) ฟรอยด์กับแอดเลอร์

(2) สกินเนอร์กับวัตสัน

(3) เลอวินกับอดัม

(4) กิบสันกับวอล์ก

(5) แบนดูรา

ตอบ 4 หน้า 72 ผู้ที่สนใจศึกษาทดลองในเรื่องเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกและระยะทาง คือ ก็บสันและวอล์ก (Gibson and Walk) ซึ่งเขาได้ทดลองโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “หน้าผามายา” (Visual Cliff) พบว่า เมื่อเด็กทารกคลานไปถึงกึ่งกลางโต๊ะที่เป็นรอยต่อระหว่างกระจกโปร่งใส กับพื้นที่ทาสีตาหมากรุก (ทําให้แลเห็นเป็นพื้นที่ 2 ระดับที่มีความสูงต่ำต่างกัน) เด็กจะไม่กล้าคลานออกไป แสดงว่าการรับรู้ความลึกเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้

28 นักจิตวิทยาสกุลเกสตัลท์มีความเชื่อเช่นใดในเรื่องของการรับรู้

(1) มนุษย์รับรู้ส่วนรวมมีความสําคัญมากกว่าส่วนย่อย

(2) มนุษย์รับรู้โลกไม่ตรงกับความเป็นจริง

(3) มนุษย์รับรู้สิ่งแวดล้อมภายนอกแบบผิวเผิน

(4) มนุษย์เลือกรับรู้ในสิ่งที่อยากจะรู้เท่านั้น

(5) ถูกต้องทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ 1 หน้า 74 นักจิตวิทยาสกุลเกสตัลท์ (Gestalt) ได้ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษในเรื่องของการจัดหมวดหมู่ของการรับรู้ โดยพวกเขาเชื่อว่า มนุษย์มีการรับรู้ในลักษณะของส่วนรวมและเชื่อว่าการรับรู้ส่วนรวมมีความสําคัญมากกว่าผลรวมของส่วนย่อย

29 ข้อใดคือการล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพูดคุยกัน

(1) Telepathy

(2) Clairvoyance

(3) Precognition

(4) Extrasensory

(5) Perception

ตอบ 1 หน้า 79 ปรากฏการณ์อภิธรรมดา (Extrasensory Perception : ESP) แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1 โทรจิต (Telepathy) เป็นการล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพูดคุยกับผู้นั้น

2 ประสาททิพย์ (Clairvoyance) เป็นการล่วงรู้โดยไม่ต้องพึงประสาทสัมผัส

3 การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า (Precognition) เป็นการล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

30 ข้อใดไม่ใช่สภาวะของร่างกายเมื่อออกจากสัมปชัญญะ

(1) การรู้ตัวและความจําแทบไม่มีเลย

(2) ขอบเขตหรือสภาวะแห่งตัวตนของเราชัดเจน

(3) การหักห้ามใจอยู่ในระดับต่ำ

(4) การรับรู้ความจริงถูกตัดขาดจากกัน

(5) การรับรู้ดูเข้มข้นและรุนแรงมาก

ตอบ 2 หน้า 90 สภาวะของร่างกายเมื่อออกจากสัมปชัญญะจะมีลักษณะดังนี้

1 การรู้ตัวและกระบวนการทางความนึกคิดมีอยู่ในระดับต่ำ ความจําก็แทบจะไม่มีเลย

2 ขอบเขตหรือสภาวะแห่งตัวตนของเราแทบจะไม่มีเลย (เส้นแบ่งเขตแดนไม่ชัดเจน) 3 การบังคับและการหักห้ามใจตนเองอยู่ในระดับต่ำ พฤติกรรมกับวิจารณญาณขาดช่วงจากกัน

4 การรับรู้ที่เกิดขึ้นกับสภาพความเป็นจริงมักจะตัดขาดออกจากกันหรือไม่เกี่ยวข้องกัน

5 การสัมผัสและการรับรู้มักจะมีลักษณะเข้มข้น จริงจัง และรุนแรงมาก

31 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของบุคคลที่ขาดการนอนหลับหลายวัน

(1) อ่อนล้าทางร่างกาย

(2) ปวดศีรษะอย่างหนัก

(3) รู้สึกมึนงง

(4) อาการประสาทหลอน

(5) การรับรู้ทางจิตใจผิดพลาด

ตอบ 2 หน้า 91 – 92 ลักษณะของบุคคลที่ขาดการนอนหลับหลายวัน คือ มีความอ่อนล้าทางร่างกายรู้สึกมึนงง มีสภาพการรับรู้ทางจิตใจที่ผิดพลาด และอาจจะมีอาการทางประสาทหลอนได้ ทั้งนี้ ถ้าการนอนหลับถูกขัดขวางไม่ให้เกิดขึ้นก็จะทําให้มีอาการสัปหงกเป็นพัก ๆ

32 การนอนหลับในระยะที่สี่ มีคลื่นสมองเป็นแบบใด

(1) บีตา

(2) แอลฟา

(3) เดลตา

(4) แกมมา

(5) ซิกมา

ตอบ 3 หน้า 93 การนอนหลับในระยะที่สี่ เป็นช่วงแห่งการหลับที่ลึกมาก (Deep Sleep) มักจะเกิดเมื่อการนอนผ่านเปเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยในช่วงนี้คลื่นสมอง (EEG) จะมีลักษณะเป็นคลื่นเดลตา (Delta) ล้วน ๆ ซึ่งผู้หลับจะไม่รู้ตัวและ “หลับไหล” จริง ๆ

33 โดยปกติมนุษย์จะฝันในระยะใดของการนอนหลับ

(1) ระยะที่ 1

(2) ระยะที่ 2

(3) ระยะที่ 3

(4) ระยะที่ 4

(5) ระยะที่ 5

ตอบ 1 หน้า 95 ในบางช่วงของการนอนหลับ ลูกตาของผู้นอนจะมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว (Rapid Eye Movements : REM) ทั้ง ๆ ที่ยังหลับอยู่ โดยช่วงที่มี REM เกิดขึ้นนี้เอง เป็นช่วงที่บุคคลกําลังฝัน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่บุคคลนอนหลับในระยะที่ 1 หลังจากการนอนหลับผ่านระยะที่ 4 ไปแล้วและวกกลับมาระยะที่ 1 ใหม่

34 นักทฤษฎีคนใดที่กล่าวว่าความฝันเป็นการแสดงในลักษณะการทดแทนความสมดุลทางจิตใจ

(1) ฟรอยด์

(2) แอดเลอร์

(3) จุง

(4) อดัม

(5) ฮอบสันและแมคคาเลย์

ตอบ 3 หน้า 98 – 99 คาร์ล จุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาชาวสวิส เชื่อว่า ความฝันจะทําหน้าที่ในลักษณะของการทดแทนหรือการชดเชยความ “ขาด” บางอย่างของผู้ฝัน เพื่อจุดมุ่งหมาย คือ ความสมดุลทางจิตใจของผู้ฝัน

35 สารระเหย ทินเนอร์ เป็นยาเสพติดประเภทใด

(1) กดประสาท

(2) กระตุ้นประสาท

(3) หลอนประสาท

(4) ผสมผสาน

(5) คลายประสาท

ตอบ 1 หน้า 106 – 110 ยาเสพติดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ และทุกกลุ่มสามารถออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางได้ทั้งสิ้น คือ

1 ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาทยานอนหลับ สารระเหย (ทินเนอร์) และเครื่องดื่มมึนเมาหรือแอลกอฮอล์ ฯลฯ

2 ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน (ยาบ้า) กระท่อม โคเคอีน บุหรี่ นิโคติน กาแฟ คาเฟอีน และยาแก้ปวด ฯลฯ

3 ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็มที และเห็ดขี้ควาย ฯลฯ

4 ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน ได้แก่ กัญชา

36 จากการศึกษาพบว่าการฝึกสมาธิช่วยในด้านจิตใจได้อย่างไร

(1) ลดอาการหงุดหงิด

(2) มีความจําดีขึ้น

(3) การรับรู้ดีขึ้น

(4) เบิกบานใจ

(5) มองโลกในแง่บวก

ตอบ 1 หน้า 112 จากการศึกษาพบว่าการฝึกสมาธิช่วยในด้านจิตใจได้ คือ ช่วยลดอาการหงุดหงิดฉุนเฉียวลงได้มาก โดยสมาธิภาวนาจะช่วยทั้งด้านการเรียน อุปนิสัย และสํานึกทางคุณธรรม

37 ยาเสพติดประเภทแอมเฟตามีน เป็นสารเสพติดประเภทใด

(1) กดประสาท

(2) กระตุ้นประสาท

(3) หลอนประสาท

(4) ผสมผสาน

(5) คลายประสาท

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 35 ประกอบ

38 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

(1) รูปร่างหน้าตา

(2) โรคเบาหวาน

(3) ตาบอดสี

(4) สีของผิว

(5) ปวดศีรษะข้างเดียว

ตอบ 5 หน้า 122, 128 ลักษณะการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ได้แก่ รูปร่างหน้าตา (ลักษณะโครงสร้างของร่างกายและลักษณะใบหน้า) สีผิว สีผม สีตา ฯลฯ รวมทั้งกลุ่มเลือดและโรคภัยบางอย่างที่ถ่ายทอดกันทางสายเลือด เช่น เบาหวาน ตาบอดสี ลมบ้าหมู และโรคแพ้สารบางอย่าง ฯลฯ

39 ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1) ฝาแฝดเหมือนอาจมีเพศแตกต่างกัน

(2) ฝาแฝดคล้ายอาจมีเพศแตกต่างกัน

(3) ฝาแฝดเหมือนเกิดจากสเปิร์ม 1 ตัว กับไข่ 1 ใบ

(4) ฝาแฝดคล้ายเกิดจากสเปิร์มมากกว่า 1 ตัว กับไข่มากกว่า 1 ใบ

(5) ฝาแฝดคล้ายอาจมีโครโมโซมเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้

ตอบ 1 หน้า 125, (คําบรรยาย) ฝาแฝด Twins) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ

1 ฝาแฝดเหมือนหรือแฝดแท้ (Identical Twins) เกิดจากไข่ 1 ใบ ผสมกับสเปิร์มหรืออสุจิ 1 ตัว แล้วเซลล์เกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน 2 ตัว (เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด) ฝาแฝดเหมือนจึงเป็นเพศเดียวกัน โดยมียีนส์และโครโมโซมเหมือนกันทุกประการ

2 ฝาแฝดคล้ายหรือแฝดเทียม (Fraternal Twins) เกิดจากไข่มากกว่า 1 ใบ ผสมกับสเปิร์มหรืออสุจิมากกว่า 1 ตัว เซลล์แบ่งตัวเป็นอิสระจากกัน (เกิดเซลล์ปฏิสนธิพร้อมกันมากกว่า 1 เซลล์) ฝาแฝดคล้ายจึงอาจมีเพศเหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ (เหมือนกับพี่น้องท้องเดียวกัน) โดยมียีนส์และโครโมโซมเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้

40 ข้อใดเกี่ยวข้องกับข้อความต่อไปนี้ “บุคคลที่มีโครโมโซมเป็น XXY”

(1) Endomorphy

(2) Ectomorphy

(3) Turner’s Syndrome

(4) Mesomorphy

(5) Klinefelter’s Syndrome

ตอบ 5 หน้า 128 บุคคลที่เกิดการผิดปกติในการถ่ายทอดโครโมโซมเพศ ทําให้มีเกินหรือขาดไปจากปกติ เช่น มีโครโมโซมเพศเป็น XXY จะเกิดเป็นอาการของโรคที่เรียกว่า Klinefelter’s Syndrome ซึ่งเกิดในเพศชาย จะทําให้กลายเป็นชายที่มีลักษณะของเพศหญิง กล่าวคือ มีหน้าอกใหญ่ และอวัยวะเพศชายไม่ทํางาน เนื่องจากต่อมฮอร์โมนผลิตฮอร์โมนไม่เพียงพอ หรืออาจจะกลายเป็นโรคปัญญาอ่อนชนิดที่เรียกว่า Mongolism ได้

41 ข้อใดไม่ใช่สภาพแวดล้อมก่อนเกิด

(1) การได้รับรังสี

(2) การบริโภคของแม่

(3) สุขภาพจิตของแม่

(4) สภาวะของ Rh Factor

(5) การบาดเจ็บทางระบบประสาท

ตอบ 5 หน้า 131 – 133 สภาพแวดล้อมก่อนเกิด มีดังนี้

1 สุขภาพของแม่

2 สุขภาพจิตของแม่

3 การบริโภคของแม่

4 การได้รับรังสี

5 การได้รับเชื้อ AIDS

6 สภาวะของ Rh Factor

7 อายุของแม่

8 จํานวนทารกภายในครรภ์

42 ข้อใดคือสิ่งแวดล้อมภายในสถาบันการศึกษา

(1) ระดับการศึกษาของพ่อแม่

(2) กฎระเบียบและการปกครอง

(3) การอบรมเลี้ยงดู

(4) การเป็นแบบอย่างของพ่อแม่

(5) ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว

ตอบ 2 หน้า 136 สิ่งแวดล้อมภายในสถาบันการศึกษา มีดังนี้

1 กฎระเบียบและการปกครอง

2 ทัศนคติและบุคลิกภาพของครู

3 กลุ่มเพื่อนในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา

43 “เด็กสามารถจัดประเภทวัตถุและจัดลําดับวัตถุได้” ข้อความดังกล่าวตรงกับขั้นใดของพัฒนาการความคิดความเข้าใจ (Cognitive Development) ของ Piaget

(1) Period of Concrete

(2) Preoperation

(3) Premoral

(4) Sensorimotor Period

(5) Period of Formal Operation

ตอบ 2 หน้า 143 – 144 พัฒนาการความคิดความเข้าใจ (Cognitive Development) ของ Piaget ในขั้น Preoperation แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ

1 Thought Period เป็นระยะที่เด็กถือตนเอง เป็นจุดศูนย์กลาง ไม่สามารถรับรู้ความคิดเห็นของคนอื่น

2 Intuitive Phase เป็นระยะที่เด็กเกิดความคิดรวบยอดมากขึ้น สามารถจัดประเภท/กลุ่มวัตถุเข้าเป็นหมวดหมู่และจัดลําดับวัตถุได้

44 “เด็กพุ่งความสนใจไปที่สิ่งแวดล้อมรอบตัว” พฤติกรรมดังกล่าวตรงกับขั้นใดของพัฒนาการความต้องการทางเพศ

(1) ขั้นความสุขอยู่ที่ปาก

(2) ขั้นแอบแฝง

(3) ขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก

(4) ขั้นการมีเพศสัมพันธ์

(5) ขั้นอวัยวะเพศ

ตอบ 2 หน้า 145 พัฒนาการความต้องการทางเพศของ Freud ในขั้นแอบแฝง (Latency Stage) เป็นระยะที่เด็กจะพุ่งความสนใจไปสู่สิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะเป็นระยะที่เด็กเข้าโรงเรียน(อายุประมาณ 6 – 12 ขวบ) ดังนั้นจึงเป็นช่วงของการเรียนรู้เกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้อื่น

45 ข้อใดคือผลที่ได้จากขั้นพัฒนาการทางสังคมของ Erikson “ความเชื่อถือไว้วางใจ – ความระแวงไม่ไว้วางใจ”

(1) มีพลังควบคุมตนเองได้

(2) มีแรงผลักดันให้แสดงออกและมีความหวัง

(3) มีความเสียสละและความซื่อสัตย์

(4) มีความฉลาดรอบรู้และการเสียสละ

(5) มีแนวทางและจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติตน

ตอบ 2 หน้า 147 มีแรงผลักดันให้แสดงออกและมีความหวัง คือผลที่ได้จากขั้นพัฒนาการทางสังคมของ Erikson “ความเชื่อถือไว้วางใจ – ความระแวงไม่ไว้วางใจ” (Trust VS Mistrust)

46 พฤติกรรมในข้อใดไม่ใช่พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(1) การทํากับข้าว

(2) การกะพริบตา

(3) การรําไทย

(4) การขี่จักรยาน

(5) การกระตุกมือหนีเมื่อจับของร้อน

ตอบ 5 หน้า 169, (คําบรรยาย) การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวรของพฤติกรรมอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต แต่พฤติกรรมบางอย่างไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ หากเกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนซึ่งเป็นพฤติกรรมการตอบสนองตามธรรมชาติที่มีมาแต่กําเนิด เช่น การกระตุกมือหนเมื่อจับของร้อน ฯลฯ และเกิดจากสัญชาตญาณอันเป็นลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ เช่น การหายใจของมนุษย์ การว่ายน้ำของปลา การชักใยของแมงมุม ฯลฯ

47 จากกระบวนการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของพาฟลอฟ (Pavlov) หลังจากที่เกิดการหยุดยั้งของพฤติกรรมแล้ว หากสิ่งเร้าที่ถูกวางเงื่อนไขกลับมาเกิดตามหลังสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไขจะเกิดสิ่งใด

(1) การสรุปความเหมือนของสิ่งเร้า

(2) การแยกความแตกต่างของสิ่งเร้า

(3) สิ่งเร้าที่ถูกวางเงื่อนไข

(4) สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข

(5) การฟื้นกลับของพฤติกรรม

ตอบ 5 หน้า 172 173 ในกระบวนการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของพาฟลอฟ (Pavlov) หลังจากที่เกิดการหยุดยั้งของพฤติกรรมแล้ว หากสิ่งเร้าที่ถูกวางเงื่อนไขกลับมาเกิดตามหลังสิ่งเร้า ที่ไม่ได้วางเงื่อนไขจะเกิดการฟื้นกลับของพฤติกรรม (Spontaneous Recovery) ซึ่งก็คือ การฟื้นกลับคืนของการตอบสนองที่เคยเรียนรู้แล้ว

48 “เมื่อครบเวลา 30 วินาทีตามที่กําหนดแล้วเกิดพฤติกรรมจึงจะให้การเสริมแรง” ลักษณะดังกล่าวเป็นไปตามตารางการเสริมแรงแบบใด

(1) แบบอัตราส่วนคงที่

(2) แบบต่อเนื่อง

(3) แบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน

(4) แบบช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน

(5) แบบช่วงเวลาคงที่

ตอบ 5 หน้า 177 การเสริมแรงแบบช่วงเวลาที่คงที่ (Fixed Interval : FI) เป็นการให้แรงเสริมเมื่อถึงช่วงเวลาที่กําหนดไว้อย่างตายตัว เช่น ทุก 30 วินาที ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี ฯลฯ

49 “หากประกอบของครบ 50 ชิ้นจึงจะได้รับเงินค่าจ้าง” ลักษณะดังกล่าวเป็นไปตามตารางการเสริมแรงแบบใด

(1) แบบอัตราส่วนคงที่

(2) แบบช่วงเวลาคงที่

(3) แบบต่อเนื่อง

(4) แบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน

(5) แบบช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน

ตอบ 1 หน้า 176 การเสริมแรงแบบอัตราส่วนคงที่ (Fixed Ratio : FR) คือ การให้การเสริมแรงตามอัตราส่วนของการตอบสนองที่คงที่ โดยจะดูจํานวนครั้งของการตอบสนอง ซึ่งจะทําให้เกิดอัตราการตอบสนองสูงที่สุด เช่น คนงานได้รับค่าจ้างตามจํานวนชิ้นงานที่กําหนด ฯลฯ

50 “คุณครูชมที่น้องแสนดียกมือก่อนที่จะพูด หลังจากนั้นเมื่อน้องแสนดีต้องการจะตอบคําถามใด ๆ ในห้องเรียนน้องแสนดีจะยกมือก่อนตอบทุกครั้ง” การชมของคุณครูคืออะไร

(1) การเสริมแรงทางบวก

(2) การเสริมแรงทางลบ

(3) การลงโทษ

(4) การตอบสนองที่วางเงื่อนไข

(5) การตอบสนองที่ไม่ได้วางเงื่อนไข

ตอบ 1 หน้า 179, (คําบรรยาย) การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถึง การที่ความพอใจหรือรางวัลเกิดขึ้นเมื่อกระทําสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป เช่น การกล่าวชมเมื่อทําความดี ฯลฯ

51 “สามารถเชื่อมโยงได้ทั้งกับผลกรรมที่จําเป็นต่อชีวิต และผลกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ นําไปแลกเปลี่ยนเป็นผลกรรมที่หลากหลายได้” คุณสมบัติที่กล่าวถึงนั้น เป็นคุณสมบัติของข้อใด

(1) การเสริมแรงทางบวก

(2) สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ

(3) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ

(4) สิ่งเสริมแรงครอบคลุม

(5) การป้อนกลับ

ตอบ 4 หน้า 180 สิ่งเสริมแรงครอบคลุม หมายถึง สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิที่เป็นอิสระจากการเชื่อมโยงกับสิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ และสามารถที่จะเชื่อมโยงกับสิ่งเสริมแรงทุติยภูมิอื่น ๆ ได้ เช่น เงินไม่เพียงแต่สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งเสริมแรงปฐมภูมิได้เท่านั้น แต่ยังเป็นหนทางนําไปสู่สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิอื่น ๆ ด้วย เช่น เกียรติ ความสนใจ การยอมรับ สถานะ หรืออํานาจ เป็นต้น

52 อาหารซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต เป็นสิ่งเสริมแรงประเภทใด

(1) การเสริมแรงทางบวก

(2) สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ

(3) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ

(4) สิ่งเสริมแรงครอบคลุม

(5) การป้อนกลับ

ตอบ 2 หน้า 180 สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ เป็นรางวัลตามธรรมชาติที่ไม่ต้องเรียนรู้ มักเป็นลักษณะทางชีววิทยาที่เพิ่มความพอใจและลดความไม่พึงพอใจลง หรือสนองความต้องการทางกายภาพได้ เช่น น้ำ อาหาร อากาศ ความต้องการทางเพศ ฯลฯ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต

53 ข้อใดถูกต้อง

(1) การลงโทษไม่เกี่ยวข้องกับความกลัว

(2) การลงโทษสามารถกระทําได้ทั้งขณะเกิดพฤติกรรม หลังเกิดพฤติกรรมโดยทันที (3) หากใช้การลงโทษจะต้องให้การเสริมแรงพฤติกรรมที่พึงปรารถนาร่วมด้วย

(4) การลงโทษมีผลให้การเกิดพฤติกรรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

(5) การลงโทษกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว

ตอบ 2 หน้า 181 การลงโทษ หมายถึง การปรากฏของสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาหรือการนําสิ่งที่พึงปรารถนาออกไป จึงมีผลให้การตอบสนองลดลง โดยการลงโทษสามารถกระทําได้ ทั้งขณะเกิดพฤติกรรมและหลังเกิดพฤติกรรมโดยทันที

54 ข้อใดคือคุณสมบัติที่ไม่ถูกต้องของการเรียนรู้แฝง (Latent Learning)

(1) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการเสริมแรงที่ชัดเจน

(2) การเรียนรู้แฝงเกี่ยวข้องกับการคาดหวังผลที่จะได้รับ

(3) มีการพัฒนาชุดการเรียนรู้ (Learning Set)

(4) จะสังเกตเห็นการเรียนรู้ได้อย่างชัดเจนเมื่อมีการให้ตัวเสริมแรง

(5) มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นสาเหตุสําคัญ

ตอบ 3 หน้า 183 184 การเรียนรู้แฝง (Latent Learning) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการเสริมแรงที่ชัดเจน มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นสาเหตุหรือเป็นแรงขับที่สําคัญ จะสังเกตหรือปรากฏให้เห็นการเรียนรู้ได้อย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อมีการให้ตัวเสริมแรงหรือมีการให้แรงเสริม และการเรียนรู้แฝงเกี่ยวข้องกับการคาดหวังผลหรือคาดหมายรางวัลที่จะได้รับในอนาคต(ส่วนการพัฒนาชุดการเรียนรู้ (Learning Set) เป็นการเรียนรู้เพื่อจะเรียน)

55 ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระบบความจําของมนุษย์

(1) มี 2 ระบบ คือ ความจําระยะสั้น ความจําระยะยาว

(2) มี 2 ระบบ คือ ความจําเหตุการณ์ ความจําความหมาย

(3) มี 3 ระบบ คือ ความจําเหตุการณ์ ความจําความหมาย ความจําระยะยาว

(4) มี 3 ระบบ คือ ความจําจากการรับสัมผัส ความจําระยะสั้น ความจําระยะยาว (5) มี 3 ระบบ คือ ความจําที่ติดตัว ความจําที่เกิดจากการเรียนรู้ ความจําแบบง่าย ตอบ 4 หน้า 195 – 196 นักจิตวิทยาได้แบ่งความจํา (Memory) ออกได้เป็น 3 ระบบ ดังนี้

1 ความจําจากการรับสัมผัส เป็นระบบการจําขั้นแรกที่จะเก็บข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ในช่วงสั้น ๆ

2 ความจําระยะสั้น ทําหน้าที่คล้ายคลังข้อมูลชั่วคราวที่จะเก็บข้อมูลได้ในจํานวนจํากัด

3 ความจําระยะยาว ทําหน้าที่เสมือนคลังข้อมูลถาวรที่สามารถเก็บข้อมูลได้นานและไม่จํากัด

56 ระบบการจําขั้นแรกที่จะเก็บข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ในช่วงสั้น ๆ

(1) ความจําเหตุการณ์

(2) ความจําปฏิบัติการ

(3) ความจําระยะสั้น

(4) ความจําระยะยาว

(5) ความจําจากการรับสัมผัส

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 55 ประกอบ

57 ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบของหน่วยพื้นฐานของความคิด

(1) ความจํา

(2) จินตภาพ

(3) มโนทัศน์

(4) สัญลักษณ์

(5) ภาษา

ตอบ 1 หน้า 206 หน่วยพื้นฐานของความคิด ประกอบด้วย จินตภาพ การตอบสนองทางกล้ามเนื้อมโนทัศน์ และภาษาหรือสัญลักษณ์

58 ความจําระยะสั้น (Shot-term memory) สามารถจําข้อมูลได้ที่หน่วย (1) 7+ 2 หน่วย

(2) 9 +2 หน่วย

(3) 18 หน่วย

(4) 0 – 5 หน่วย

(5) 0 – 28 หน่วย

ตอบ 1 หน้า 193, 198 มิลเลอร์ (Miller) ได้ศึกษาแบบทดสอบช่วงการจําตัวเลข (Digit-span Test)โดยเขาเห็นว่า ความจําระยะสั้นของคนปกติสามารถจําข้อมูลได้ประมาณ 7+2 หน่วย

59 ระบบความจําใดที่สามารถเก็บข้อมูลความจําได้นานและไม่จํากัด

(1) ความจําระยะสั้น

(2) ความจําปฏิบัติการ

(3) ความจําระยะยาว

(4) ความจําเชิงกระบวนวิธี

(5) ความจําจากการรับสัมผัส

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 55 ประกอบ

60 ผู้ที่ทดลองเกี่ยวกับการจําคําที่ไม่มีความหมายและการลืม

(1) เอบบิงเฮาส์

(2) แบนดูรา

(3) วัตสัน

(4) ฟรอยด์

(5) พาฟลอฟ

ตอบ 1 หน้า 203 ผู้ที่ทดลองเกี่ยวกับการจําคําที่ไม่มีความหมายและการลืมในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน คือ เฮอร์แมน เอบบิงเฮาส์ (Herman Ebbinghaus)

61 องค์ประกอบที่สําคัญของความคิดสร้างสรรค์

(1) ความคิดกว้างขวาง

(2) ความคิดยืดหยุ่น

(3) ความคิดตื่นเต้น

(4) ความรอบคอบ

(5) ความคิดเฉพาะอย่าง

ตอบ 2 หน้า 211 องค์ประกอบที่สําคัญของความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคล่อง ความคิดยืดหยุ่นและความคิดริเริ่ม ทั้งนี้ความคิดสร้างสรรค์นอกจากจะคิดได้หลากหลาย ใหม่ ๆ แปลก ๆ แล้วยังต้องเป็นความคิดที่มีความหมายหรือมีประโยชน์ และสามารถแก้ปัญหานั้น ๆ ได้ด้วย

62 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความหมายของการลืม

(1) การลืมส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีภายหลังการจํา

(2) ไม่สามารถเรียกข้อมูลที่เก็บไว้ออกมาใช้ได้

(3) ความล้มเหลวในการจําหรือการไม่สามารถจําได้

(4) การลืมคือการที่ไม่สามารถจําข้อมูลได้

(5) การลืมเกิดขึ้นโดยไม่มีกระบวนการรบกวน

ตอบ 5 หน้า 203 204 การลืมส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีภายหลังการจํา การลืมคือการที่ไม่สามารถจําข้อมูลได้หรือไม่สามารถเรียกข้อมูลที่เก็บไว้ออกมาใช้ได้ การลืมเป็นความล้มเหลวในการจําหรือการไม่สามารถจําได้ และการรบกวนมักเป็นสาเหตุสําคัญของการลืม

63 ข้อใดไม่ใช่วิธีการที่ใช้วัดความจํา

(1) การระลึกได้

(2) การจําได้

(3) การเรียนซ้ำ

(4) การทบทวน

(5) การบูรณาการใหม่

ตอบ 4 หน้า 201 วิธีการที่ใช้วัดความจํา มี 4 แบบ คือ การระลึกได้ (Recall), การจําได้ (Recognition),การเรียนซ้ำ (Relearning) และการบูรณาการใหม่ (Reintegration)

64 วิธีการแก้ปัญหาของบุคคลโดยฉับพลันทันใด สามารถรู้คําตอบได้ในทันที

(1) การแก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็น

(2) การแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา

(3) การแก้ปัญหาด้วยวิจารณญาณ

(4) การแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก

(5) การแก้ปัญหาโดยใช้ประสาทสัมผัส

ตอบ 1 หน้า 210 การแก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นคําตอบในทันที เป็นวิธีการแก้ปัญหาของบุคคลโดยฉับพลันทันใด และสามารถรู้คําตอบได้ในทันที

65 ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับความหมายของแรงจูงใจ (Motive)

(1) สภาวะที่อยู่ภายนอกร่างกายที่เป็นพลัง

(2) สภาวะพลังงานที่หยุดนิ่ง

(3) ทําให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่ยุดพัก

(4) เป็นกระบวนการที่สิ้นสุด

(5) พลังในตัวบุคคลที่ทําให้บุคคลแสดงพฤติกรรม

ตอบ 5 หน้า 225 แรงจูงใจ (Motive) หมายถึง สภาวะที่เป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่แรงจูงใจนั้นต้องการ

66 ข้อใดไม่ใช่กระบวนการเกิดแรงจูงใจ

(1) ร่างกายเกิดความต้องการ

(2) ร่างกายเกิดแรงขับ

(3) ร่างกายลดแรงขับ

(4) ร่างกายแสดงพฤติกรรม

(5) ร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล

ตอบ 5 หน้า 227 228 กระบวนการของการเกิดแรงจูงใจ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ดังนี้

1 ความต้องการ (Needs)

2 แรงขับ (Drive)

3 การตอบสนอง (Response) หรือการแสดงพฤติกรรม

4 เป้าหมาย (Goal)

67 นักจิตวิทยาที่กล่าวถึงลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์

(1) พาฟลอฟ

(2) แบนดูรา

(3) โรเจอร์ส

(4) มาสโลว์

(5) วัตสัน

ตอบ 4 หน้า 229 230, 234 235 มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยาที่แบ่งลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้น 2 ระดับ ดังนี้คือ

1 ระดับความต้องพื้นฐาน (Basic Needs) ได้แก่ ความต้องการทางด้านร่างกาย และความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง

2 ระดับความต้องการขั้นสูง (Growth Needs) ได้แก่ ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น และความต้องการประจักษ์ตน

68 แรงจูงใจพื้นฐานเพื่อความอยู่รอดของชีวิตตรงกับข้อใด

(1) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์

(2) แรงจูงใจใฝ่อํานาจ

(3) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์

(4) แรงจูงใจเพื่อการเรียนรู้

(5) แรงจูงใจเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด

ตอบ 5 หน้า 239 – 243 แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์ (แรงจูงใจเพื่อความอยู่รอดของชีวิต) แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ

1 แรงจูงใจทางชีวภาพ (Biological Motive) เช่น ความหิว ความกระหาย ฯลฯ

2 แรงจูงใจเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ (Reproduction Motive) เช่น ความต้องการทางเพศ ฯลฯ

3 แรงจูงใจเพื่อหลีกหนีอันตรายหรือเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด (Avoidance Motive)

69 แรงจูงใจทางชีวภาพ (Biological Motive) ตรงกับข้อใด

(1) ความหิว

(2) ความกระหาย

(3) ความต้องการทางเพศ

(4) ความต้องการหนีอันตราย

(5) ข้อ 1 และ 2 ถูกต้อง

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 68 ประกอบ

70 บุคคลมีความอิสระที่จะกระทําพฤติกรรม รู้ว่าตนต้องการอะไร ตรงกับทฤษฎีใด (1) ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล

(2) ทฤษฎีสัญชาตญาณ

(3) ทฤษฎีแรงขับ

(4) ทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการ

(5) ทฤษฎีความต้องการความสุขส่วนตัว

ตอบ 1 หน้า 245 ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล เชื่อว่า บุคคลมีอิสระที่จะกระทําพฤติกรรมใด ๆ ได้อย่างมีเหตุผล รู้ว่าตนต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด และควรจะต้องตัดสินใจออกมาในลักษณะใด

71 ข้อใดคือความหมายของแรงขับ (Drive)

(1) ภาวะความตึงเครียดของร่างกาย

(2) ทําให้ร่างกายแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ

(3) ขจัดความเครียดออกจากร่างกาย

(4) พลังภายในร่างกาย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 246 แรงขับ (Drive) เป็นภาวะความตึงเครียดของร่างกาย เป็นพลังภายในร่างกายที่ทําให้ร่างกายได้มีการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อขจัดความเครียดนั้นออกไปจากร่างกาย

72 พิมาลาถูกคนรักนอกใจจึงทําให้รู้สึกเจ็บปวดมากที่ตนถูกทอดทิ้ง ตรงกับข้อใด (1) ความต้องการทางร่างกาย

(2) ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ

(3) ความต้องการความปลอดภัย

(4) ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง

(5) ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 67 ประกอบ

73 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข

(1) ส่วนใหญ่จะเป็นทฤษฎีการเรียนรู้แบบการกระทํา

(2) สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นและสิ่งเสริมแรงในกระบวนการเรียนรู้

(3) สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นแปรเปลี่ยนไปตามค่านิยมของสังคม

(4) สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นแตกต่างกันในแต่ละบุคคล

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 247, (คําบรรยาย) แรงจูงใจที่เกิดจากการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนรู้แบบการกระทํา โดยที่บุคคลได้เรียนรู้จากสังคมและคนรอบข้างว่าปัจจัยใดบ้างควรเป็นสิ่งเร้าที่เป็นตัวกระตุ้นและสิ่งเสริมแรงในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจะแปรเปลี่ยนไปตามค่านิยมของแต่ละสังคม นอกจากนี้สิ่งเร้าที่เป็นตัวกระตุ้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลด้วย

74 การจัดเรทผู้ชมสําหรับรายการโทรทัศน์ ตรงกับข้อใด

(1) การลองผิดลองถูก

(2) การเรียนรู้แบบลงมือกระทํา

(3) การเรียนรู้แบบหยังเห็น

(4) การเรียนรู้โดยการเลียนแบบจากค่านิยม

(5) การเรียนรู้โดยการเลียนแบบจากสิ่งไม่มีชีวิต

ตอบ 4 หน้า 247 248 (คําบรรยาย) แรงจูงใจที่เกิดจากการเรียนรู้โดยการเลียนแบบจากค่านิยมจะเกิดขึ้นตลอดเวลาทั้งที่ตั้งใจเลียนแบบหรือเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว โดยตัวแบบจะเปลี่ยนแปลงไปตามค่านิยมของสังคม เช่น เปลี่ยนไปตามการจัดเรทผู้ชมสําหรับรายการโทรทัศน์ ฯลฯ

75 อารมณ์ใดเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ เมื่อบุคคลต้องเผชิญความพลัดพรากหรือล้มเหลว

(1) อารมณ์ทุกข์-ปวดร้าว

(2) อารมณ์โกรธ

(3) อารมณ์ดูถูก

(4) อารมณ์หวาดกลัว

(5) อารมณ์รู้สึกผิด

ตอบ 1 หน้า 257 อารมณ์ทุกข์ – ปวดร้าว (Distress-Anguish) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลต้องเผชิญหรือประสบกับความพลัดพรากหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในชีวิต

76 ข้อใดอธิบายถูกต้องเกี่ยวกับทฤษฎีการเกิดอารมณ์ของแบคเตอร์-ซิงเกอร์

(1) เชื่อว่าเมื่อถูกกระตุ้นอารมณ์จะเกิดขึ้นก่อน จากนั้นจึงเกิดการตอบสนองทางร่างกายตามมา

(2) เชื่อว่าอารมณ์เกิดขึ้นได้จากการคิดหาสาเหตุการตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น (3) เชื่อว่าร่างกายต้องมีการแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งเร้าก่อนจึงเกิดอารมณ์ขึ้นตามมา

(4) อธิบายว่าการเกิดอารมณ์เกี่ยวข้องกับสมองส่วนซีรีบรัลคอร์เท็กซ์ ทําให้บุคคลเกิดอารมณ์

(5) อธิบายว่าเมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า อารมณ์และการตอบสนองทางร่างกายจะเกิดขึ้นพร้อมกัน

ตอบ 2 หน้า 267 – 269 ทฤษฎีของแชคเตอร์ ซึ่งเกอร์ (Schachter-Singer Theory) อธิบายว่าอารมณ์เกิดจากการแปลความปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติทางกายและการคิดหาสาเหตุของ การตอบสนองนั้น ๆ โดยอาการตอบสนองทางกายแบบเดียวกันนั้น อารมณ์อาจแตกต่างกัน จะขึ้นอยู่กับการตีความสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งมาเร้าให้เกิดการตอบสนอง ดังนั้นการเร้าเพียงอย่างเดียวไม่ทําให้เกิดอารมณ์ จะต้องมีการแปลความควบคู่ไปด้วย

77 หน้าที่ใดเกี่ยวข้องกับอารมณ์พื้นฐาน “โกรธ” ตามแนวคิดของพลูทชิค

(1) ความร่วมมือ

(2) การปกป้อง

(3) การทําลาย

(4) การปรับตัว

(5) การรักษาการสูญเสีย

ตอบ 3 หน้า 272 หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์พื้นฐาน 8 ชนิด ตามแนวคิดของพลูทชิค (Plutchik) ได้แก่ กลัว – การปกป้อง, โกรธ – การทําลาย, รื่นเริง – ความร่วมมือ, รังเกียจ – การปฏิเสธ, ยอมรับ – การแพร่พันธุ์, เศร้า – การรักษาการสูญเสีย, ประหลาดใจ – การปรับตัว, คาดหวัง(อยากรู้อยากเห็น) – การสํารวจค้นหา

78 การพัฒนาทางอารมณ์ของมนุษย์จะสมบูรณ์ช่วงอายุประมาณเท่าใด

(1) 12 เดือน

(2) 18 เดือน

(3) 24 เดือน

(4) 28 เดือน

(5) 32 เดือน

ตอบ 3 หน้า 271 เค.บริดเจส (K.Bridges) พบว่า พัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กทารกมีลักษณะดังนี้ อารมณ์แรกเกิดของมนุษย์คืออารมณ์ตื่นเต้น แล้วจึงพัฒนาไปสู่อารมณ์ที่มีลักษณะเฉพาะมากขึ้น เมื่ออายุครบ 3 เดือน ก็จะแยกออกระหว่างอารมณ์ดีใจและเดือดร้อนใจ ต่อจากนั้นอารมณ์โกรธ เกลียดและกลัวก็จะปรากฏขึ้นภายหลังตามระดับวุฒิภาวะและการรับรู้ของเด็ก และเมื่ออายุ 2 ปี (24 เดือน) อารมณ์พื้นฐานก็จะพัฒนาจนครบสมบูรณ์ทั้ง 8 ชนิด

79 อารมณ์ใดถือเป็นอารมณ์พื้นฐานตามแนวคิดของจาค แพงค์เซปป์

(1) คาดหวัง

(2) รัก

(3) รื่นเริง

(4) เสียใจ

(5) เศร้าโศก

ตอบ 1 หน้า 259 อารมณ์พื้นฐานตามแนวคิดของจาค แพงค์เซปป์ (Jaak Panksepp) มี 4 ชนิด คือ คาดหวัง เดือดดาล ตื่นตระหนก และหวาดกลัว

80 ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับปัจจัยทางสรีรวิทยาที่ทําให้เกิดอารมณ์

(1) ระบบพาราซิมพาเธติกในร่างกายจะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่กระตุ้นให้ต่อสู้หรือถอยหนี

(2) สมองส่วนไฮโปธาลามัส เมื่อถูกกระตุ้นจะทําให้เกิดอารมณ์เศร้า ซึม เฉื่อยชา (3) อารมณ์ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและพฤติกรรมมากที่สุด คือ อารมณ์ตื่นเต้น

(4) อารมณ์กลัวจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแอดรีนาลินจากต่อมหมวกไต

(5) การเกิดอารมณ์ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสรีรวิทยา

ตอบ 4 หน้า 262 263 อารมณ์ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและพฤติกรรมได้มากที่สุดคือ อารมณ์กลัวกับอารมณ์โกรธ โดยอารมณ์กลัวจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแอดรีนาลินจากต่อมหมวกไต ส่วนอารมณ์โกรธจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนนอร์แอดรีนาลิน

81 ข้อใดไม่ใช่อารมณ์สากลที่แสดงออกทางใบหน้าตามแนวคิดของเอ็กแมน

(1) เป็นสุข

(2) โกรธ

(3) เศร้า

(4) คาดหวัง

(5) ประหลาดใจ

ตอบ 4 หน้า 274 อารมณ์สากลที่แสดงออกทางใบหน้าตามแนวคิดของเอ็กแมน (Ekman) มี 6 ชนิด ได้แก่ ประหลาดใจ รังเกียจ เศร้าเสียใจ โกรธ กลัว และเป็นสุข

82 ข้อใดอธิบายได้ถูกต้องมากที่สุดเกี่ยวกับเครื่อง “โพลีกราฟ” (Polygraph) (1) วัดการเต้นของหัวใจได้

(2) วัดปริมาณเหงื่อตามร่างกายได้

(3) วัดคลื่นสมองได้

(4) วัดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้

(5) วัดระดับการทํางานของสมองส่วนต่าง ๆ เมื่อแสดงอารมณ์ได้

ตอบ 1 หน้า 263 เครื่อง “โพลีกราฟ” (Polygraph) เป็นเครื่องมือจับเท็จที่ใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อัตราการหายใจ และแรงต้านทานกระแสไฟฟ้าบนฝ่ามือ (GSR)

83 “โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของเอกัตบุคคลที่ทําให้เขามีเอกลักษณ์ในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม เป็นคํานิยามของใคร

(1) ฟรอยด์

(2) อัลพอร์ท

(3) แอดเลอร์

(4) ซุลลิแวน

(5) จุง

ตอบ 2 หน้า 284 อัลพอร์ท (Allport) กล่าวว่า บุคลิกภาพ คือ โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของเอกัตบุคคลที่ทําให้เขามีเอกลักษณ์ในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบบจิตสรีระของมนุษย์นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นสาเหตุที่ทําให้บุคคลต้องปรับตัว และการปรับตัวที่ต่างกันของบุคคลแต่ละคนจะทําให้บุคลิกภาพต่างกันด้วย

84 ข้อใดเป็นแบบทดสอบการฉายภาพจิต

(1) Rorschach

(2) 16PE

(3) SCL-90

(4) MMPI

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 308 309, 315 แบบทดสอบการฉายภาพจิต เป็นการวัดบุคลิกภาพที่นักจิตวิทยามีความประสงค์จะล่วงรู้ถึงความปรารถนาหรือจิตใต้สํานึกลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตของผู้ตอบ โดยให้ผู้รับการทดสอบบรรยายความรู้สึกนึกคิดออกมาทางภาพที่ให้ดู ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1 แบบทดสอบรอร์ชาค (Rorschach) เป็นภาพหยดหมึก 10 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบดูภาพแล้วถามว่าเขาเห็นอะไรในรูปนั้นบ้าง

2 แบบทดสอบ TAT เป็นภาพเรื่องราว 20 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบดูภาพแล้วให้เขาบรรยายหรือแต่งเรื่องหรือเล่าเรื่องจากภาพ

85 แบบทดสอบชนิดใดที่ทดสอบโดยการให้ผู้รับการทดสอบเล่าเรื่องจากภาพ

(1) Rorschach

(2) 16PF

(3) TAT

(4) MMPI

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ

86 มนุษย์มีอิสระที่จะตัดสินใจและกําหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ เป็นแนวคิดของนักทฤษฎีกลุ่มใด

(1) กลุ่มมนุษยนิยม

(2) กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(3) กลุ่มพุทธิปัญญา

(4) กลุ่มจิตวิเคราะห์

(5) กลุ่มที่แบ่งบุคลิกภาพตามประเภทและโครงสร้าง

ตอบ 1 หน้า 292 ทฤษฎีมนุษยนิยม เชื่อว่า มนุษย์ไม่ได้เป็นเหยื่อของสัญชาตญาณ มนุษย์มีอิสรภาพที่จะตัดสินใจและกําหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเองและสามารถรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้กระทําลงไป (ดูคําอธิบายข้อ 14 ประกอบ)

87 ปลามีรูปร่างผอมสูง จึงมีนิสัยขี้อาย กลัว ไม่กล้าแสดงออก และรักความสันโดษ เป็นการศึกษาบุคลิกภาพ ตามแนวคิดของใคร

(1) อัลพอร์ท

(2) เชลดอน

(3) คาร์เทล

(4) ฟรอยด์

(5) จุง

ตอบ 2 หน้า 129, 295 เซลดอน (Sheldon) เป็นผู้เสนอว่าการที่บุคคลมีลักษณะรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันจะส่งผลต่ออารมณ์ของบุคคลได้ โดยแบ่งรูปร่างของบุคคลออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1 รูปร่างอ้วนกลม (Endomorphy) มักจะมีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดี สนุกสนาน รักความสบายโกรธง่ายหายเร็ว ขึ้น้อยใจ พูดมาก ขี้บ่น คุยโอ และกินจุ ฯลฯ )

2 รูปร่างผอมสูง (Ectomorphy) มักจะมีนิสัยขี้อาย กลัว ไม่กล้าแสดงออก เป็นคนเฉย ๆรักสันโดษ เก็บอารมณ์เก่ง โมโหยากแต่หายช้า พูดน้อย ดื้อดึง และเอาแต่ใจตัวเอง ฯลฯ

3 รูปร่างสมส่วน (Mesomorphy) มักจะมีนิสัยกล้าแสดงออก รักกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นผู้ที่มีอารมณ์มั่นคง มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ฯลฯ

ข้อ 88 – 92 จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) Id

(2) Ego

(3) Superego

(4) Unconscious

(5) Self-actualization

88 กระบวนการคิดที่ไม่สมเหตุสมผล ทํางานโดยยึดหลักความพึงพอใจ

ตอบ 1 หน้า 287 288, (คําบรรยาย) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ของฟรอยด์ (Freud) ได้แบ่งโครงสร้างของบุคลิกภาพออกเป็น 3 ส่วน คือ

1 อิด (Id) เป็นสัญชาตญาณของจิตใต้สํานึกที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด โดยเป็นพลังจิตที่ขาดการขัดเกลา ไม่รับรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม มีกระบวนการคิดที่ไม่สมเหตุสมผล ทํางานโดยยึดหลัก ความพึงพอใจหรือทําตามความพึงพอใจของตัวเองโดยไม่สนใจกับความเป็นจริงภายนอก ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณในเรื่องเพศ ความก้าวร้าว และการทําลายล้าง

2 อีโก้ (Ego) เป็นส่วนของจิตใจที่ทํางานโดยยึดหลักแห่งความเป็นจริง โดยร่วมกันไปกับกระบวนคิดอย่างมีเหตุผล จะแสดงออกอย่างไรจึงเป็นที่ยอมรับและเหมาะสมกับสังคม

3 ซูเปอร์อีโก้ (Superego) เป็นส่วนของจิตใจที่ทําหน้าที่คล้ายกับมโนธรรมที่คอยตักเตือนให้บุคคลมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

89 เป็นความต้องการประจักษ์แจ้งในตน

ตอบ 5 หน้า 12, 292 293 (ดูคําอธิบายข้อ 14 ประกอบ) มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยมที่มีความเชื่อในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่จะพัฒนาตัวเองให้ไปถึงจุดสูงสุดแห่งศักยภาพของเขา อันเป็นความต้องการที่จะประจักษ์แจ้งในตน (Self-actualization)หรือเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ ซึ่งจะให้ความสมบูรณ์และมีความหมายแก่ชีวิต

90 ส่วนของจิตใจที่ทําหน้าที่เกี่ยวกับการตัดสินผิดชอบชั่วดี

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 88 ประกอบ

91 ประสบการณ์ในอดีตที่เราลืมแล้วและไม่สามารถจําได้เลย

ตอบ 4 หน้า 289, (คําบรรยาย) จิตใต้สํานึก จิตไร้สํานึก (Unconscious) เป็นประสบการณ์บางอย่างในอดีตที่เราลืมไปแล้วและไม่สามารถจดจําได้เลย เกิดเมื่อบุคคลมีความขัดแย้งใจและเก็บกดความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาไว้ไม่ให้แสดงออกมาในระดับของจิตสํานึก

92 ส่วนของจิตใจที่ทํางานโดยยึดหลักความเป็นจริง ร่วมไปกับการคิดโดยใช้เหตุผล

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 88 ประกอบ

93 สติปัญญาหมายถึงข้อใด

(1) ความสามารถในการแข่งขัน

(2) ความสามารถในการเอาชนะอุปสรรค

(3) ความสามารถในการปรับตัว

(4) ความสามารถในการเข้าใจตนเองและผู้อื่น

(5) ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผลทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม

ตอบ 5 หน้า 321 สติปัญญา (Intelligence) หมายถึง ความสามารถของแต่ละบุคคลในการที่จะคิดกระทํา หรือแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมได้อย่างมีเหตุผลและมีประสิทธิภาพ

94 ข้อใดไม่ใช่ตัวประกอบเฉพาะ S-factor ของสติปัญญา

(1) การใช้เหตุผล

(2) ศิลปะ

(3) ภาษา

(4) การใช้มือ

(5) การคํานวณ

ตอบ 1 หน้า 325 ชาร์ล สเปียร์แมน (Charles Spearman) เป็นผู้ที่คิดทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัยโดยอธิบายว่า สติปัญญาของคนเรานั้นจะมีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ

1 ตัวประกอบทั่วไป (General factor : G-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผลทั่ว ๆ ไปของบุคคล และทุกคนมีเหมือนกันหมด

2 ตัวประกอบเฉพาะ (Specific factor : S-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับความสามารถเฉพาะตัวของบุคคล เช่น ความสามารถพิเศษด้านศิลปะและดนตรี ความสามารถในการจําความเข้าใจภาษา การคํานวณ การใช้มือ การสังเกต การออกแบบ (Design) ฯลฯ

95 ผู้ที่แนะนําทฤษฎีตัวประกอบหลายปัจจัย คือใคร

(1) ชาร์ล สเปียร์แมน

(2) ธีโอฟิล ไซมอน

(3) เทอร์สโตน

(4) เทอร์แมน

(5) ฟรานซิส กัลตัน

ตอบ 3 หน้า 325 – 326 เทอร์สโตนและกิลฟอร์ด (Thurstone and Guilford) เป็นผู้ที่แนะนําทฤษฎีตัวประกอบหลายปัจจัย (Multiple Factor Theory) โดยเทอร์สโตนอธิบายว่า ความสามารถ ขั้นพื้นฐานที่เป็นส่วนประกอบของสติปัญญามี 7 ชนิด คือ ความเข้าใจภาษา, ความสามารถ ใช้คําได้คล่องแคล่ว, ความสามารถในการใช้ตัวเลข, ความสามารถในการมองเห็นภาพมิติ, ความสามารถในการจํา, ความไวในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ และความสามารถที่จะเข้าใจเหตุผล ส่วนกิลฟอร์ด เชื่อว่า ตัวประกอบของสติปัญญามีถึง 120 ตัวประกอบ ใน 3 มิติ คือ มิติด้านเนื้อหา วิธีการ และผล โดยเขาเชื่อว่าบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมักจะมีสติปัญญาสูงด้วย

96 ข้อใดเป็นตัวประกอบหลายปัจจัยของกิลฟอร์ด

(1) ภาษา เนื้อหา วิธีการ

(2) ความจํา วิธีการ ผล

(3) เนื้อหา วิธีการ ผล

(4) การรับรู้ เนื้อหา วิธีการ

(5) เนื้อหา ความจํา การรับรู้

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 95 ประกอบ

97 สติปัญญาระดับอัจฉริยะ (Genius) คือระดับใด

(1) 90 – 110

(2) 111 – 120

(3) 121 – 140

(4) 140 ขึ้นไป

(5) 150 ขึ้นไป

ตอบ 4 หน้า 327 บิเนต์ (Binet) ได้จําแนกระดับสติปัญญา (I.Q.) ของบุคคลออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้ ปัญญาอ่อน (Retarded) มีระดับ I.Q. ต่ำกว่า 70, คาบเส้น (Borderline) มีระดับ I.Q. 71 – 20, ปัญญาทึบ (Dull) มีระดับ I.Q. 81 – 90, เกณฑ์ปกติ (Normal) มีระดับ I.Q. 91 – 110 ซึ่ง เป็นอัตราเฉลี่ย (Average), ค่อนข้างฉลาด (Superior) มีระดับ I.Q. 111 – 120, ฉลาดมาก (Very Superior) มีระดับ I.Q. 121 – 140 และอัจฉริยะ (Genius) มีระดับ 1.Q. 140 ขึ้นไป

98 ข้อใดเป็นองค์ประกอบการวัดสติปัญญาของเวคสเลอร์

(1) ความช่างสังเกต

(2) การใช้มโนภาพ

(3) ความรู้ทั่วไป

(4) ความสามารถใช้คํา

(5) การทํางานประสานกันระหว่างมือกับตา

ตอบ 3 หน้า 330 องค์ประกอบการวัดสติปัญญาของเวคสเลอร์ (Wechsler) แบ่งข้อทดสอบออกเป็น 2 หมวด ดังนี้คือ

1 ข้อทดสอบเชิงภาษา ประกอบด้วยแบบทดสอบย่อย 6 ชุด ได้แก่ ความรู้ทั่วไป ความเข้าใจเลขคณิต ความคล้ายกัน การจําช่วงตัวเลข และคําศัพท์

2 ข้อทดสอบแบบประกอบการ ประกอบด้วยแบบทดสอบย่อย 5 ชุด ได้แก่ สัญลักษณ์ตัวเลขการเพิ่มรูปภาพ การออกแบบก้อนสี่เหลี่ยม การลําดับภาพ และการประกอบชิ้นส่วน

99 การวัดความสามารถทางสติปัญญาจะคํานวณตามข้อใด

(1) อายุสมองคูณด้วยอายุจริงตามปฏิทิน

(2) อัตราส่วนระหว่างอายุสมองเละอายุจริงตามปฏิทิน

(3) อัตราส่วนระหว่างอายุสมองเละอายุจริงตามปฏิทิน คูณด้วย 100

(4) อัตราส่วนระหว่างอายุจริงตามปฏิทินและอายุสมอง

(5) อัตราส่วนระหว่างอายุจริงตามปฏิทินและอายุสมอง คูณด้วย 100

ตอบ 3 หน้า 326 ในการวัดความสามารถทางสติปัญญาจะถูกวัดออกมาในอัตราส่วนที่เรียกว่า I.Q.(Intelligence Quotient) ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างอายุสมอง (Mental Age = M.A. ) และ อายุจริงตามปฏิทิน (Chronological Age = C.A.) คูณด้วย 100

100 แบบวัดสติปัญญาใดที่มีลักษณะเป็นรูปทรงเรขาคณิต

(1) Stanford-Binet

(2) WAIS

(3) WPPS1

(4) MMPI

(5) Progressive Matrices

ตอบ 5 หน้า 331 แบบทดสอบโปรเกรสซีฟเมตริซีส (Progressive Matrices Tests) มีลักษณะเป็นแบบทดสอบที่ไม่ใช้ถ้อยคําภาษา (Nonverbal) สร้างขึ้นมาเพื่อใช้วัดความสามารถของบุคคลในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงเรขาคณิต

101 ข้อใดคือคุณสมบัติของความเป็นมาตรฐาน

(1) มีความยากง่ายที่เหมาะสม

(2) การให้ผลคะแนนเหมือนเดิมไม่ว่าจะวัดกี่ครั้ง

(3) การวัดได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการวัด

(4) ความมีแบบแผนในการดําเนินการทดสอบ

(5) การให้ผลเหมือนเดิมไม่ว่าใครเป็นคนตรวจให้คะแนน

ตอบ 4 หน้า 328 ความเป็นมาตรฐาน (Standardization) หมายถึง ความมีแบบแผนในการดําเนินการทดสอบ การตรวจให้คะแนนและการแปลความหมายของคะแนน ซึ่งนับเป็นคุณสมบัติที่สําคัญที่จะต้องคํานึงถึงในการสร้างแบบทดสอบ

102 ข้อใดเป็นระยะห่างระหว่างบุคคลที่ใช้เมื่อเป็นการประชุมในบริษัท

(1) ระยะสนิทสนม

(2) ระยะส่วนตัว

(3) ระยะสังคม

(4) ระยะห่างไกล

(5) ระยะสาธารณะ

ตอบ 3 หน้า 378 379 ระยะห่างระหว่างบุคคล แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ

1 ระยะสนิทสนม (Intimate Distance) 0 – 18 นิ้ว เป็นระยะใกล้ชิดที่มักใช้สื่อสารเฉพาะกับคนพิเศษ เช่น ใช้ระหว่างคู่รัก คนในครอบครัว ฯลฯ

2 ระยะส่วนตัว (Personal Distance) 1 – 4 ฟุต เป็นระยะที่ใช้เมื่ออยู่กับเพื่อน อาจารย์ที่ปรึกษาให้คําปรึกษากับนักศึกษา ครูนั่งสอนนักเรียนอยู่ที่โต๊ะหน้าห้อง ฯลฯ มักเอื้อมมือ ” ถึงกันได้ และใช้ระดับเสียงพูดปกติ

3 ระยะสังคม (Social Distance) 4 – 12 ฟุต เป็นระยะที่ใช้พูดคุยกันทางสังคมและธุรกิจ

4 ระยะสาธารณะ (Public Distance) 12 ฟุตขึ้นไป เป็นระยะที่เป็นทางการมากขึ้น เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ การบรรยาย การหาเสียงเลือกตั้ง การแสดงคอนเสิร์ต ฯลฯ

103 “ครูนั่งสอนนักเรียนอยู่ที่โต๊ะหน้าห้อง” เป็นระยะห่างระหว่างบุคคลระยะใด (1) ระยะสนิทสนม

(2) ระยะส่วนตัว

(3) ระยะสังคม

(4) ระยะห่างไกล

(5) ระยะสาธารณะ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 102 ประกอบ

104 ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่ดึงดูดใจให้คนเป็นมิตรกัน

(1) ความใกล้ชิดทางกาย

(2) ความคล้ายคลึงกัน

(3) ความใจดี

(4) ความสามารถ

(5) ความมีเสน่ห์ดึงดูดทางกาย

ตอบ 3 หน้า 380 381 ปัจจัยที่ดึงดูดใจให้คนเป็นมิตรกัน มีดังนี้

1 ความใกล้ชิดทางกาย

2 ความมีเสน่ห์ดึงดูดทางกาย

3 ความสามารถ

4 ความคล้ายคลึงกัน

105 “เป็นสถานการณ์ที่มีการสื่อสารแตกต่างกันระหว่างบุคคลและพฤติกรรมของกลุ่ม” จากข้อความดังกล่าวเป็นการบรรยายถึงสถานการณ์ใดที่ทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคม

(1) สถานการณ์การเสนอแนะ

(2) สถานการณ์การคล้อยตาม

(3) สารชักจูง

(4) การอภิปรายกลุ่ม

(5) การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น

ตอบ 2 หน้า 383 สถานการณ์ที่อาจทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคมขึ้น มี 5 สถานการณ์ คือ

1 สถานการณ์การเสนอแนะ เป็นสถานการณ์ที่มีการสื่อสารซ้ำๆ โดยปราศจากการอธิบาย

2 สถานการณ์การคล้อยตาม เป็นสถานการณ์ซึ่งมีการสื่อสารที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลกับพฤติกรรมของกลุ่ม ปทัสถานของกลุ่ม หรือค่านิยมของกลุ่ม

3 การอภิปรายกลุ่ม เป็นสถานการณ์ที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้น

  1. สารชักจูง เป็นข้อความที่มีการขัดเกลาคําพูดเป็นอย่างดีแล้ว และใช้การสื่อสารทางเดียว

5 การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่นเป็นสถานการณ์ที่ใช้ทั้ง 4 ลักษณะข้างต้นพร้อมกัน

106 “คุณแพรวเสนอร้านอาหารที่ตนเองอยากทานโดยการพูดซ้ำ ๆ เพื่อให้แฟนเลือกร้านดังกล่าวสําหรับการทานอาหารเย็น” แสดงถึงสถานการณ์ใดที่ทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคม

(1) สถานการณ์การเสนอแนะ

(2) สถานการณ์การคล้อยตาม

(3) สารชักจูง

(4) การอภิปรายกลุ่ม

(5) การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 105 ประกอบ

107 “อํานาจมาจากการที่บุคคลนั้นได้รับการเคารพนับถือ” จากข้อความดังกล่าวหมายถึงอํานาจประเภทใด

(1) อํานาจในการให้รางวัล

(2) อํานาจในการบังคับ

(3) อํานาจตามกฎหมาย

(4) อํานาจตามการอ้างอิง

(5) อํานาจตามความเชี่ยวชาญ

ตอบ 4 หน้า 385 386 อํานาจ (Power) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสังคม โดยอํานาจทางสังคมมี 5 ประเภท คือ

1 อํานาจในการให้รางวัล คือ การให้รางวัลแก่บุคคลที่แสดงพฤติกรรมตามที่ปรารถนาได้

2 อํานาจในการบังคับ โดยใช้การจําคุกและการปรับสินไหมเป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรม

3 อํานาจตามกฎหมาย เกิดจากการยอมรับให้บุคคลเป็นตัวแทนของระเบียบทางสังคม

4 อํานาจตามการอ้างอิง เป็นอํานาจที่มาจากการที่บุคคลนั้นได้รับการเคารพนับถือ

5 อํานาจตามความเชี่ยวชาญ เป็นการยอมรับผู้ที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญ

108 “ตํารวจออกใบสั่งให้กับคนที่ขับรถฝ่าไฟแดง” พฤติกรรมดังกล่าวแสดงถึงอํานาจประเภทใด

(1) อํานาจในการให้รางวัล

(2) อํานาจในการบังคับ

3) อํานาจตามกฎหมาย

(4) อํานาจตามการอ้างอิง

(5) อํานาจตามความเชี่ยวชาญ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 107 ประกอบ

109 ข้อใดตรงกับลักษณะ “การตัดสินใจล่วงหน้า สงสัย กลัว เกลียดอย่างไม่มีเหตุผล

(1) ความไม่ใส่ใจ

(2) อคติ

(3) เจตคติ

(4) พฤติกรรมก้าวร้าว

(5) พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม

ตอบ 2 หน้า 392 อคติ เป็นเจตคติทางลบหรือการตัดสินล่วงหน้า เกิดจากความสงสัย ความกลัว และความเกลียดอย่างไม่สมเหตุสมผล บ่อยครั้งที่เจตคติเกิดจากโครงสร้างของอํานาจทางสังคมซึ่งมักเป็นอคติเกี่ยวกับเชื้อชาติ เพศ หรืออายุ และนํามาสู่การแบ่งแยก

110 “คุณหยกมีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเอง โดยไม่ใช้คําพูดทําร้ายผู้อื่น” พฤติกรรมดังกล่าวแสดงถึงพฤติกรรมอะไร

(1) พฤติกรรมการช่วยเหลือ

(2) พฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก

(3) พฤติกรรมก้าวร้าว

(4) พฤติกรรมเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

(5) พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม

ตอบ 5 หน้า 396 397 พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม เป็นพฤติกรรมของบุคคลที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น/ความรู้สึก/ความปรารถนาและความเชื่อของ ตนเองอย่างตรงไปตรงมา และเหมาะสมกับกาลเทศะ ทั้งนี้ต้องคํานึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น โดยไม่ใช้คําพูดหรือกิริยาท่าทางทําร้ายผู้อื่น (ตรงข้ามกับพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงการคุกคามสิทธิของตนเอง โดยไม่กล้าแสดงความคิด/ความรู้สึกและความเชื่อของตนออกมา ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงยอมให้ผู้อื่นคุกคามตนเอง)

111 การให้เหตุผลว่า “คนที่ปรับตัวดีคือมีสมดุลของอิด อีโก้ และซูเปอร์อีโก้” มาจากแนวคิดทางจิตวิทยากลุ่มใด

(1) จิตวิเคราะห์

(2) พฤติกรรมนิยม

(3) มนุษยนิยม

(4) จิตวิทยาเกสตัลท์

(5) กลุ่มทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด

ตอบ 1 หน้า 343 นักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ เห็นว่า คนที่ปรับตัวไม่ได้มีสาเหตุมาจากพลังอิโก้มีการพัฒนาที่อ่อนแอเกินไป ทําให้ไม่แกร่งพอที่จะสร้างความสมดุลระหว่างพลังอิดและซูเปอร์อิโก้ได้ ดังนั้นผู้ที่ปรับตัวดี คือ ผู้ที่มีการพัฒนาการที่สมดุลของอิด อีโก้ และซูเปอร์อีโก้

112 ข้อใดเกี่ยวข้องกับการปรับตัวที่ดีน้อยที่สุด

(1) ทําให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น

(2) ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

(3) มีความภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น

(4) ต้องไม่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น

(5) ช่วยให้สามารถเข้าสังคมที่มีความหลากหลายดีขึ้น

ตอบ 3 หน้า 345 การปรับตัวที่ดีและเหมาะสมเป็นการปรับตัวของบุคคลที่เป็นไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเขาเอง ทําให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น และช่วยให้สามารถเข้าสังคมที่มีความหลากหลายดีขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ต้องไม่ทําให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือต้องไม่ไปปิดกั้นสิทธิเสรีภาพและอิสรภาพของผู้อื่น

113 ตามแนวคิดของไฟด์แมนและโรเซนแมน (Friedman & Rosenman) คนแบบใดมีความเครียดน้อยที่สุด

(1) คนที่มุ่งความสําเร็จ

(2) คนที่ไม่ชอบความเร่งรีบ

(3) คนที่เก็บกดอารมณ์ไม่แสดงออก

(4) คนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ

(5) คนที่ชอบสร้างมาตรฐานให้กับตัวเอง

ตอบ 2 หน้า 348, (คําบรรยาย) ไฟด์แมนและโรเซนแมน (Friedman & Rosenman) ได้แบ่งกลุ่มคนตามลักษณะบุคลิกภาพออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1 กลุ่ม A (Type A Personality) เป็นคนใจเร็ว ใจร้อน ชอบความก้าวหน้า การแข่งขันสูง มุ่งความสําเร็จ/ผลสัมฤทธิ์ ชอบสร้างมาตรฐานให้กับตัวเอง และชอบความสมบูรณ์แบบ

2 กลุ่ม B (Type B Personality) เป็นคนที่ไม่เร่งรีบ ผ่อนคลาย ทําอะไรแบบค่อยเป็นค่อยไปหรือชอบทํางานที่ละอย่าง ซึ่งมีผลให้มีความเครียดน้อยที่สุด/ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

114 เมื่อเกิดความผิดพลาดในชีวิต บุคคลพูดกับตนเองว่า “ไม่เป็นไร พลาดครั้งนี้ยังมีครั้งหน้า” วิธีนี้ถือเป็น กลยุทธ์ในการลดความเครียดวิธีใด

(1) มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น

(2) เรียนรู้การพูดให้ตนเองสบายใจ

(3) แสวงหาสิ่งแวดล้อมที่พึงพอใจ

(4) การใส่ใจดูแลตนเอง

(5) การหากิจกรรมเพื่อการผ่อนคลายความเครียด

ตอบ 2 หน้า 353 354 กลยุทธ์ในการลดความเครียด มีหลายวิธี ได้แก่

1 แสวงหาสิ่งแวดล้อมที่พึงใจ ทั้งบุคคลแวดล้อมและสถานที่แวดล้อมที่ถูกใจ

2 ใส่ใจดูแลตนเองให้ดี ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต อย่าจริงจังกับชีวิตมากเกินไป 3 รู้จักทํากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด เช่น ออกกําลังกาย ทําสวน เล่นดนตรี ฯลฯ 4 เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น อาหารพวกปลา ผัก ผลไม้ ฯลฯ

5 มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ

6 เรียนรู้วิธีพูดให้ตนเองสบายใจ โดยพูดให้กําลังใจตนเอง เช่น ไม่เป็นไร ทําดีที่สุดแล้ว ฯลฯ

115 อาการทางกายใดต่อไปนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความเครียดของบุคคล

(1) ท้องผูก

(2) ปัญญาอ่อน

(3) นอนไม่หลับ

(4) ไมเกรน

(5) ความดันโลหิตสูง

ตอบ 2 หน้า 349 ไซโคโซมาติก (Psychosomatic Diseases) คือ อาการของความเจ็บป่วยหรือโรคทางกายที่เกิดจากภาวะความเครียดที่สะสมเอาไว้นาน ๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ท้องร่วง ท้องผูก โรคหัวใจ นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน) ฯลฯ

116 ข้อใดอธิบายถูกต้องเกี่ยวกับ “กลไกป้องกันทางจิต” ที่ใช้ในการปรับตัว

(1) กลไกป้องกันทางจิตมักเกิดขึ้นในระดับจิตรู้สํานึก

(2) กลไกป้องกันทางจิตไม่สามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความกลัวต่าง ๆ ที่รบกวนจิตใจได้

(3) เป็นกลยุทธ์ที่มนุษย์ใช้ในการแก้ไขปัญหาที่คับข้องใจอย่างเหมาะสม

(4) การใช้กลไกทางจิตบ่อยเกินไปอาจนําไปสู่ภาวะโรคประสาทได้

(5) การใช้กลไกทางจิตช่วยปกปิด “จุดบอด” ของบุคลิกภาพได้

ตอบ 4 หน้า 357 กลไกป้องกันทางจิตมักเกิดขึ้นในระดับจิตใต้สํานึก เป็นกลยุทธ์ที่มนุษย์ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธความวิตกกังวลหรือความกลัวต่าง ๆ ที่มารบกวนจิตใจได้ การใช้กลไกป้องกันทางจิตมากหรือบ่อยเกินไปอาจนําไปสู่ภาวะของโรคประสาทได้ และการใช้กลไกป้องกันทางจิตโดยไม่ตระหนักว่าเรากําลังปกป้องตัวเองอยู่จะก่อให้เกิด “จุดบอด” ของบุคลิกภาพได้

117 “รําไม่ดีโทษปี่โทษกลอง” น่าจะเกี่ยวข้องกับการใช้กลไกป้องกันทางจิตประเภทใด

(1) การโยนความผิด

(2) การหาสิ่งทดแทน

(3) การเก็บกด

(4) การไม่รับรู้ความจริง

(5) การไม่นําความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง

ตอบ 1 หน้า 359 การโยนความผิด (Projection) เป็นการกล่าวโทษผู้อื่นในความผิดที่ตนเองกระทําเพื่อให้ความรู้สึกผิดของตนเองมีน้อยลง หรือเป็นการผลักความคิด/ความรู้สึกที่ไม่ดีที่ตนเองมี แต่เจ้าตัวไม่ยอมรับออกไปให้พ้นตัว โดยพูดว่าเป็นความคิดหรือความรู้สึกของคนอื่น ๆ แทนเข้าทํานอง “รําไม่ดีโทษปี่โทษกลอง”

118 ตามแนวคิดการปรับตัวทางร่างกายเมื่อเกิดความเครียดของเซลเย (Selye) ช่วงที่ร่างกายมีพละกําลังมหาศาล เพื่อรับสภาพการจู่โจม เกิดขึ้นในขั้นตอนใด

(1) ขั้นระยะตื่นตัว

(2) ขั้นปฏิกิริยาตื่นตระหนก

(3) ขั้นสร้างระบบต้านทานภัย

(4) ขั้นระยะเหนื่อยล้า

(5) ขั้นระยะถดถอย

ตอบ 2 หน้า 351 เซลเย (Selye) ได้ทําการศึกษาเกี่ยวกับสภาวะของร่างกายเมื่อเกิดความเครียดพบว่า เมื่อบุคคลเกิดความเครียด ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อความเครียด 3 ขั้นตอน คือ

1 ปฏิกิริยาตื่นตระหนก เป็นช่วงที่ร่างกายมีพละกําลังมหาศาล เพื่อรับสภาพการจู่โจม

2 สร้างระบบต้านทานภัย ร่างกายจะสร้างระบบที่ปรับตัวต่อความเครียดในระยะยาวนานขึ้น

3 ระยะเหนื่อยล้า ในกรณีที่ความเครียดอยู่กับบุคคลนาน ๆ และไม่หมดสิ้นไป ก็อาจทําให้ร่างกายเกิดโรคขึ้นหลายชนิด เช่น โรคกระเพาะ โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ และถ้าเป็นนาน ๆร่างกายก็อาจไปถึงจุดที่เรียกว่า Burn-Out คือ ไปต่อไม่ได้

119 “หนีเสือปะจระเข้” เป็นความขัดแย้งใจชนิดใด

(1) Approach-Approach Conflicts

(2) Avoidance-Avoidance Conflicts

(3) Approach-Avoidance Conflicts

(4) Double Approach-Avoidance Conflicts

(5) Double Approach-Approach Conflicts

ตอบ 2 หน้า 361 – 364 ความขัดแย้งใจ (Conflict) มี 4 ประเภท คือ

1 อยากได้ทั้งคู่ (Approach-Approach Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ“รักพี่เสียดายน้อง” คือ ตัวเลือกทั้งสองเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งคู่

2 อยากหนีทั้งคู่ (Avoidance-Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ“หนีเสือปะจระเข้” คือ เป็นความกดดันที่จะต้องเลือกตัวเลือกที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่ก่อให้เกิดพฤติกรรม “นิ่งเฉย ไม่ตัดสินใจ” เนื่องจากไม่กล้าตัดสินใจและทําอะไรไม่ถูก

3 ทั้งรักและชัง (Approach-Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ“กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” คือ ตัวเลือกนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในขณะเดียวกันจึงทําให้เกิดความลังเลใจ เช่น อยากทานขนมหวานแต่กลัวฟันผุและกลัวอ้วน ฯลฯ

4 ทั้งชอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่ (Double Approach-Avoidance Conflicts) คือ ตัวเลือกทั้ง 2 มีทั้งดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน เช่น ต้องเลือกระหว่างงานใหม่ 2 แห่ง แห่งแรกนั้นถูกใจหมดทุกอย่างแต่เงินเดือนต่ำ แต่อีกแห่งไม่ถูกใจเลยแต่เงินเดือนสูง เราจะเลือกแห่งใด ฯลฯ

120 ความขัดแย้งประเภทใดที่ก่อให้เกิดพฤติกรรม “นิ่งเฉย ไม่ตัดสินใจ” เนื่องจากไม่กล้าตัดสินใจและ ทําอะไรไม่ถูก

(1) อยากได้ทั้งคู่

(2) อยากหนีทั้งคู่

(3) ทั้งรักและซัง

(4) ทั้งชอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 119 ประกอบ

 

 

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา PSY 1001 จิตวิทยาทั่วไป

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1 คําจํากัดความของบุคลิกภาพที่ว่า “โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของเอกัตบุคคลที่ทําให้เขามีเอกลักษณ์ในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม” เป็นคําจํากัดความของใคร

(1) ฟรอยด์

(2) แอดเลอร์

(3) อัลพอร์ท

(4) มาสโลว์

(5) เอริกสัน

ตอบ 3 หน้า 284 อัลพอร์ท (Alport) กล่าวว่า บุคลิกภาพ คือ โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของเอกัตบุคคลที่ทําให้เขามีเอกลักษณ์ในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบบจิตสรีระของมนุษย์นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นสาเหตุที่ทําให้บุคคลต้องปรับตัว และการปรับตัวที่ต่างกันของบุคคลแต่ละคนจะทําให้บุคลิกภาพต่างกันด้วย

2 ฟรอยด์กล่าวถึงบุคลิกภาพของมนุษย์ไว้อย่างไร

(1) บุคลิกภาพเกิดจากการวางเงื่อนไข

(2) บุคลิกภาพได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเท่านั้น

(3) การพัฒนาตัวตนไปสู่ความสมบูรณ์ต้องอาศัยความเข้าใจตนเองอย่างจริงแท้ (4) พฤติกรรมของมนุษย์ได้รับอิทธิพลมาจากจิตใต้สํานึก

(5) การเสริมแรงทางบวกจะทําให้เกิดพัฒนาการทางบุคลิกภาพ

ตอบ 4 หน้า 291 292, (คําบรรยาย) ฟรอยด์ (จิตวิเคราะห์) เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์มาจากแรงจูงใจของจิตใต้สํานึกหรือได้รับอิทธิพลมาจากจิตใต้สํานึก โดยเน้นสัญชาตญาณทางเพศและความก้าวร้าวเป็นหลัก

3 ส่วนของบุคลิกภาพที่เป็นกระบวนการทํางานขั้นต้น (Primary Process) คือ

(1) Id

(2) Ego

(3) Superego

(4) Unconscious

(5) Conscious

ตอบ 1 หน้า 288 ส่วนของบุคลิกภาพที่เป็นกระบวนการทํางานขั้นต้น (Primary Process) คืออิด (Id) ที่ยึดแต่ความพึงพอใจเป็นหลักโดยไม่คํานึงถึงข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ส่วนกระบวนการ ทํางานขั้นที่ 2 (Secondary Process) คือ อีโก้ (Ego) ที่ยึดหลักแห่งความเป็นจริงโดยร่วมกับกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล

4 ส่วนของจิตใจที่ฟรอยด์เปรียบเทียบว่าเหมือนส่วนยอดภูเขาน้ำแข็งที่ลอยพ้นน้ำคืออะไร

(1) Id

(2) Ego

(3) Superego

(4) Unconscious

(5) Conscious

ตอบ 5 หน้า 11, 289 ส่วนของจิตที่ฟรอยด์เปรียบเทียบว่าเหมือนส่วนยอดภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือน้ำหรือพ้นน้ำ คือ จิตสํานึก (Conscious), ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ คือ จิตใต้สํานึก (Unconscious)และส่วนที่อยู่ปริ่มน้ำ คือ จิตก่อนสํานึก (Preconscious)

5 มนุษย์มีอิสรภาพที่จะตัดสินใจและกําหนดชะตาชีวิตของตนเอง เป็นแนวคิดในกลุ่มทฤษฎีใด

(1) จิตวิเคราะห์

(2) มนุษยนิยม

(3) เกสตัลท์

(4) พฤติกรรมนิยม

(5) ปัญญานิยม

ตอบ 2 หน้า 292 นักมนุษยนิยม มองว่า มนุษย์มีอิสรภาพที่จะตัดสินใจและกําหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเอง และสามารถ รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้กระทําลงไป

6 แนวคิดของเซลดอน (Sheldon) กล่าวว่า บุคคลที่มีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดี สนุกสนาน ชอบกิน ๆ นอน ๆ คือ

(1) Endomorphy

(2) Mesomorphy

(3) Exsomorphy

(4) Suprememorphy

(5) Stablemorphy

ตอบ 1 หน้า 129, 295 เชลดอน (Sheldon) แบ่งรูปร่างของบุคคลออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1 รูปร่างอ้วนกลม (Endomorphy) มักจะมีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดี สนุกสนาน รักความสบายโกรธง่ายหายเร็ว ขึ้น้อยใจ พูดมาก ขี้บ่น คุยโอ่ และกินจุหรือชอบกิน ๆ นอน ๆ ฯลฯ

2 รูปร่างผอมเกร็ง (Ectomorphy) มักจะมีนิสัยขี้อาย เฉย ๆ รักสันโดษ เก็บอารมณ์เก่ง  โมโหยากแต่หายช้า ไม่กล้าแสดงออก พูดน้อย ดื้อดึง และเอาแต่ใจตัวเอง ฯลฯ

3 รูปร่างสมส่วน (Mesomorphy) มักจะมีนิสัยกล้าแสดงออก รักกิจกรรมกลางแจ้งเป็นผู้ที่มีอารมณ์มั่นคง มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ฯลฯ

7 การกล่าวว่า “คนไทยใจดี” “คนใต้รักพวกพ้อง” “คนเหนือพูดสุภาพ” เหล่านี้ถือว่าเป็นการแบ่งกลุ่มอุปนิสัย ในลักษณะใดตามทฤษฎีของอัลพอร์ท

(1) ลักษณะสามัญ

(2) ลักษณะเฉพาะเจาะจง

(3) ลักษณะแฝง

(4) ลักษณะประจําตัวดั้งเดิม

(5) ลักษณะพื้นผิว

ตอบ 1 หน้า 294 296 อัลพอร์ท (Allport) นักทฤษฎีประเภทและโครงสร้าง เชื่อว่า การศึกษาลักษณะนิสัยใจคอของคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน จะสามารถหาลักษณะร่วมที่คนในสังคมเดียวกัน มีความคล้ายคลึงกันได้ เรียกว่า ลักษณะสามัญ (Common Trait) เช่น คนเหนือพูดจาสุภาพ คนใต้รักพวกพ้อง คนไทยใจดี คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย ฯลฯ

8 ตามทฤษฎีของฟรอยด์ หากบิดามารดาเคร่งครัดเข้มงวดต่อการขับถ่ายของเด็กช่วงอายุ 2 – 3 ปี บุคคลนั้น จะเติบโตมาโดยมีแนวโน้มบุคลิกภาพเช่นใด

(1) พูดคําหยาบ ปากจัด ชอบถากถาง

(2) ชอบกิน

(3) ติดบุหรี่หรือยาเสพติด

(4) เบี่ยงเบนทางเพศ

(5) จู้จี้เจ้าระเบียบ

ตอบ 5 หน้า 299 ขั้นพัฒนาการของฟรอยด์ในขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก (Anal Stage) เกิดในช่วงอายุ 2 – 3 ปี ซึ่งเด็กจะมีศูนย์กลางความพึงพอใจอยู่ที่ทวารหนัก เด็กจะพอใจที่ได้ปลดปล่อย หากในช่วงนี้บิดามารดาที่เคร่งครัดเข้มงวดกับเด็กมากเกินไปในเรื่องการขับถ่าย เมื่อเด็กโตขึ้น จะเกิดความขัดแย้งใจ มีแนวโน้มบุคลิกภาพที่จู้จี้เจ้าระเบียบ รักษาความสะอาดจนเกินเหตุ และบางครั้งอาจมีพฤติกรรมประเภทดื้อรั้นและดันทุรังได้

9 แบบทดสอบ MAPI คือแบบทดสอบกลุ่มใด

(1) แบบสอบถาม

(2) การสัมภาษณ์

(3) การสังเกต

(4) การฉายภาพจิต

(5) การกําหนดสถานการณ์

ตอบ 1 หน้า 304 – 308, 315 เครื่องมือที่ใช้วัดบุคลิกภาพของบุคคล มีดังนี้

1 การสัมภาษณ์

2 การสังเกตโดยตรง

3 การกําหนดสถานการณ์

4 การใช้แบบสอบถาม ได้แก่ แบบทดสอบ MMPI, CPI และ 16 PF

5 การฉายภาพจิต ได้แก่ แบบทดสอบรอร์ชาค และ TAT

10 แบบทดสอบที่ให้ดูภาพหยดหมึกและให้ตอบว่าเหมือนอะไรคือแบบทดสอบใด

(1) TAT

(2) MMPI

(3) 16 PF

(4) Rorschach

(5) CPI

ตอบ 4 หน้า 308 309, 315 แบบทดสอบการฉายภาพจิต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1 แบบทดสอบรอร์ช”ค (Rorschach) เป็นภาพหยดหมึก 10 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบดูภาพแล้วให้เขาตอบว่าภาพนั้นเหมือนอะไรหรือเขาเห็นอะไรในรูปนั้นบ้าง

2 แบบทดสอบ TAT เป็นภาพเรื่องราว 20 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบดูภาพแล้วให้เขาบรรยายหรือแต่งเรื่องหรือเล่าเรื่องจากภาพ

11 ใครคือผู้นิยามความหมายของสติปัญญา ดังนี้ “สติปัญญาเป็นความสามารถในการที่จะทํากิจกรรมต่าง ๆ ให้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี”

(1) อัลเฟรด บิเนต

(2) เดวิด เวคสเลอร์

(3) จอร์จ สต๊อดดาร์ด

(4) โฮวาร์ด การ์ดเนอร์

(5) ฟรานซิสกัลตัน

ตอบ 3 หน้า 321 จอร์จ สต๊อดดาร์ด (George Stoddard) กล่าวว่า สติปัญญาเป็นความสามารถในการที่จะทํากิจกรรมต่าง ๆ ให้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี อันได้แก่ กิจกรรมที่มีความสลับซับซ้อนที่มีลักษณะเป็นนามธรรม ที่มีคุณค่าทางสังคม และที่ต้องใช้ความอดทน ฯลฯ

12 บุคคลที่พัฒนาแบบทดสอบวัดความสามารถทางสติปัญญาฉบับแรกคือ

(1) บิเนต์ และไซมอน

(2) เวคสเลอร์

(3) เทอร์แมน

(4) เทอร์สโตน และกิลฟอร์ด

(5) เมอร์ริล

ตอบ 1 หน้า 324, 336 อัลเฟรด บิเนต์ (Alfred Binet) และธีโอฟิล ไซมอน (Theophile Simon) ได้สร้างและพัฒนาแบบทดสอบวัดความสามารถทางสติปัญญารายบุคคลขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1905 เพื่อแยกเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองออกจากเด็กปกติ

13 จากทฤษฎีสองตัวประกอบของ สเปียร์แมน “G-factor” คืออะไร

(1) ความสามารถเฉพาะตัวของบุคคล

(2) ความสามารถใช้คําได้คล่องแคล่ว

(3) การใช้เหตุผลทั่ว ๆ ไป และทุกคนมีเหมือนกันหมด

(4) ความสามารถในการจํา

(5) ความไวในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ

ตอบ 3 หน้า 325 ชาร์ล สเปียร์แมน (Charles Spearman) เป็นผู้ที่คิดทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัยโดยอธิบายว่า สติปัญญาของคนเรานั้นจะมีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ

1 ตัวประกอบทั่วไป (General factor : G-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผลทั่ว ๆ ไปของบุคคล และทุกคนมีเหมือนกันหมด

2 ตัวประกอบเฉพาะ (Specific factor : S-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับความสามารถ เฉพาะตัวของบุคคล เช่น ความสามารถพิเศษด้านศิลปะและดนตรี ความสามารถในการจําความเข้าใจภาษา การคํานวณ การใช้มือ การสังเกต การออกแบบ (Design) ฯลฯ

14 หากเด็กหญิงสมฤดีทําแบบทดสอบได้อายุสมอง 40 เดือน อายุจริงตามปฏิทินเท่ากับ 3 ปี เด็กหญิงสมฤดีจะมีคะแนนความสามารถทางสติปัญญา (IQ) เท่ากับ (หากมีเศษให้ปัดลง)

(1) 111

(2) 99

(3) 88

(4) 77

(5) 11

ตอบ 1

15 หากเด็กหญิงอมรรัตน์ทําแบบทดสอบได้คะแนนความสามารถทางสติปัญญา (IQ) เท่ากับ 95 แสดงว่า

(1) ปัญญาอ่อน

(2) ปัญญาคาบเส้น

(3) ปัญญาทึบ

(4) ปกติ

(5) ค่อนข้างฉลาด

ตอบ 4 หน้า 327 บิเนต์ (Binet) ได้จําแนกระดับสติปัญญา (I.O.) ของบุคคลออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้

1 ปัญญาอ่อน (Retarded) มีระดับ I.Q. ต่ำกว่า 70

2 คาบเส้น (Borderline) มีระดับ IQ. 71 – 80

3 ปัญญาทึบ (Dull) มีระดับ I.Q. 81 – 90

4 เกณฑ์ปกติ (Normal) มีระดับ I.Q. 91 – 110 ซึ่งถือเป็นระดับปานกลาง

5 ค่อนข้างฉลาด (Superior) มีระดับ I.Q. 111 – 120

6 ฉลาดมาก (Very Superior) มีระดับ I.Q. 121 – 140

7 อัจฉริยะ (Genius) มีระดับ I.Q. 140 ขึ้นไป

16 คุณสมบัติใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาตรฐาน (Standardization) ของแบบทดสอบ

(1) กําหนดเวลาที่แน่นอนในการทดสอบ

(2) กําหนดคําสั่งในการทดสอบไว้ชัดเจน

(3) แสดงตัวอย่างในการตอบ

(4) มีเกณฑ์ปกติ

(5) ทฤษฎีรองรับ

ตอบ 5 หน้า 328 329 ความเป็นมาตรฐาน (Standardization) หมายถึง ความมีแบบแผนในการดําเนินการทดสอบ การตรวจให้คะแนน และการแปลความหมายของคะแนน (การแปลผล) โดยแบบทดสอบที่มีมาตรฐานจะต้องมีลักษณะดังนี้

1 กําหนดเวลาในการทดสอบที่แน่นอน

2 กําหนดคําสั่งหรือคําแนะนําในการทดสอบไว้ชัดเจน

3 แสดงตัวอย่างในการตอบข้อสอบ

4 มีวิธีการให้คะแนนที่แน่นอน

5 มีเกณฑ์ปกติ (Norms) หรือค่าเฉลี่ยของกลุ่มคนปกติทั่ว ๆ ไป

17 ข้อใดเป็นแบบทดสอบวัดสติปัญญาที่สามารถใช้ทดสอบเป็นรายกลุ่มได้

(1) Stanford-Binet

(2) WAIS

(3) WISC

(4) Standard PM

(5) WPPSI

ตอบ 4 หน้า 331 แบบทดสอบโปรเกรสซีพเมตริซีส (Progressive Matrices Test) เป็นแบบทดสอบที่ไม่ใช้ถ้อยคําภาษา (Nonverbal) มี 3 ฉบับ คือ Standard PM (ใช้กับผู้ใหญ่), Coloured PM (ใช้กับเด็ก) และ Advanced PM (ใช้กับผู้ใหญ่ที่ฉลาด) โดยแบบทดสอบทั้ง 3 ฉบับนี้ สามารถ

ใช้ทดสอบเป็นรายกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้

18 แบบทดสอบที่มีโครงสร้างที่วัดความสามารถด้านภาษา (Verbal) และการประกอบการ (Performance) คือ

(1) Stanford-Binet

(2) Coloured PM

(3) Advanced PM

(4) Standard PM

(5) WISC

ตอบ 5 หน้า 330, 333 แบบทดสอบสติปัญญาของเวคสเลอร์ (Wechsler) มี 3 ฉบับคือ WAIS (ใช้กับผู้ใหญ่อายุ 16 – 75 ปี), WISC (ใช้กับเด็กอายุ 5 – 15 ปี) และ WPPSI (ใช้กับเด็ก อายุ 4 – 6 ปี) ซึ่งแบบทดสอบทั้ง 3 ฉบับนี้จะมีโครงสร้างเหมือนกัน โดยแบ่งออกเป็น 2 หมวด ได้แก่ หมวดที่ 1 เป็นแบบทดสอบที่วัดความสามารถเชิงภาษา (Verbal Scale) และหมวดที่ 2 เป็นแบบทดสอบประกอบการ (Performance Scale)

19 แบบทดสอบที่มีความเชื่อถือได้ (Reliability) คือลักษณะใด

(1) มีความคงที่ของคะแนน

(2) วัดในสิ่งที่ต้องการวัด

(3) มีแบบแผนในการทดสอบ

(4) มีคําสั่งในการทดสอบชัดเจน

(5) ให้ผลเหมือนเดิมไม่ว่าใครจะเป็นคนตรวจให้คะแนน

ตอบ 1 หน้า 328 ความเชื่อถือได้ (Reliability) เป็นความเที่ยงของแบบทดสอบที่ให้ความคงที่ของคะแนน โดยแบบทดสอบที่ดีนั้นผู้รับการทดสอบจะต้องทําคะแนนได้ตรงกันทั้งสองครั้ง ในวันและเวลาต่างกัน

20 ข้อใดกล่าวผิด

(1) ผู้ทําแบบทดสอบสติปัญญาต้องชํานาญเกี่ยวกับเครื่องมือ

(2) ผู้รับการทดสอบสติปัญญาต้องให้ความร่วมมือ ผลการทดสอบจึงเที่ยงตรง

(3) สภาพแวดล้อมขณะทดสอบต้องสงบนิ่ง และมีสิ่งรบกวนน้อยที่สุด

(4) บุคคลทั่วไปสามารถซื้อแบบทดสอบสติปัญญามาฝึกฝนได้ด้วยตนเองได้ตามคู่มือแนะนํา

(5) ผู้รับการทดสอบที่มีความบกพร่องทางภาษาไม่สามารถทําแบบทดสอบสติปัญญาได้

ตอบ 4 หน้า 332 พื้นฐานสําคัญประการหนึ่งที่ผู้ใช้แบบทดสอบจะต้องมีจรรยาบรรณของวิชาชีพ คือ การขายและการใช้แบบทดสอบจะกระทําได้แต่เฉพาะบุคคลที่มีคุณสมบัติเพียงพอในการใช้ แบบทดสอบเท่านั้น (บุคคลทั่วไปจะไม่สามารถซื้อแบบทดสอบได้)

 

ข้อ 21 – 25 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) ไม่รับรู้ความจริง

(2) การกล่าวโทษผู้อื่น

(3) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน

(4) การถอยหลังเข้าคลอง

(5) การชดเชยสิ่งที่ขาด

 

21 พรรคการเมืองที่แพ้การเลือกตั้งกล่าวว่าตนเองแพ้การเลือกตั้งเพราะอีกฝ่ายทุจริต ถือเป็นการใช้กลไกป้องกันทางจิตแบบใด

ตอบ 2 หน้า 357 – 358 การกล่าวโทษผู้อื่นด้วยการพยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเอง ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาหน้าหรือภาพพจน์ของตัวเองเอาไว้ ถือเป็นกลไกป้องกันทางจิตที่ใช้กันอยู่เสมอ จัดเป็นการปรับอารมณ์อย่างหนึ่ง แต่ถ้าใช้มากไปก็อาจทําให้กลายเป็นคนที่ไม่กล้ายอมรับความจริงมีอะไรผิดพลาดก็โทษผู้อื่นหรือโทษสิ่งอื่นแทน

22 นายสมพรไม่เชื่อที่นายแพทย์แจ้งว่าบุตรของตนเสียชีวิตแล้ว ถือเป็นการใช้กลไกป้องกันทางจิตแบบใด

ตอบ 1 หน้า 359 การไม่รับรู้ความจริง (Denial) คือ การไม่ยอมรับหรือปฏิเสธความจริง เพราะสภาพจิตยอมรับไม่ได้ เช่น ผู้ป่วยที่รู้ว่าตนเองเป็นโรคร้าย แต่ยอมรับสภาพความจริงไม่ได้ ก็จะปฏิเสธการเข้ารับการรักษา ฯลฯ ซึ่งฟรอยด์ถือว่าการปฏิเสธไม่รับรู้ความจริงนี้จัดเป็นกลไกทางจิตที่มีระดับความรุนแรงที่สุด

23 นางมยุรีร้องไห้สะอึกสะอื้นกับบุตร หลังพบว่าบุตรของตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังไม่ได้ ถือเป็นการใช้กลไกป้องกันทางจิตแบบใด

ตอบ 4 หน้า 359 การถอยหลังเข้าคลอง (Regression) เป็นกลไกป้องกันทางจิตที่ใช้ในการปรับตัวของบุคคลที่รับสภาพปัจจุบันที่ถูกคุกคามไม่ได้ จึงถอยหลังไปแสดงพฤติกรรมเหมือนเด็ก ๆ อีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ผ่านพ้นช่วงพฤติกรรมนั้นมานานแล้ว เช่น การกระทืบเท้า การปิดประตูดังปัง การปัสสาวะรดที่นอน การพูดไม่ชัด การร้องไห้สะอึกสะอื้น ฯลฯ

24 ผู้อํานวยการกล่าวยินดีต้อนรับกับอธิบดีคนใหม่ที่เขาไม่ชอบขี้หน้า ถือเป็นการใช้กลไกป้องกันทางจิตแบบใด

ตอบ 3 หน้า 359 ปฏิกิริยากลบเกลื่อน (Reaction-formation) เป็นวิธีการที่บุคคลเก็บกดความรู้สึกที่แท้จริงไว้ และแสดงออกในทางตรงข้ามที่สังคมยอมรับ เช่น แม่ที่เกลียดลูกเลี้ยงของตนเอง แต่แกล้งแสดงออกด้วยความรัก ซึ่งเป็นการเสแสร้งไม่จริงใจ มีลักษณะปากหวานก้นเปรี้ยว หรือหน้าเนื้อใจเสือ ฯลฯ

25 นายสมศักดิ์กล่าวถึงตนเองว่าไม่หล่อแต่รวย ถือเป็นการใช้กลไกป้องกันทางจิตแบบใด

ตอบ 5 หน้า 358 การชดเชยสิ่งที่ขาด (Compensation) เป็นกลไกป้องกันทางจิตที่บุคคลใช้เพื่อชดเชยจุดอ่อนหรือปมด้อยของตัวเอง โดยหาจุดเด่นอื่นมาลบล้าง เช่น หน้าตาไม่หล่อแต่นิสัยดี ตาพิการแต่ร้องเพลงเก่ง ฯลฯ ถือเป็นวิธีการปรับอารมณ์ทางบวกมากกว่าวิธีอื่น

26 นายมนัสต้องเลือกลงทะเบียนวิชาคณิตศาสตร์ หรือวิชาสถิติ ซึ่งตนเองไม่ถนัดทั้งสองวิชา แสดงว่า นายมนัสเผชิญกับความขัดแย้งแบบใด

(1) Approach-Approach Conflict

(2) Approach-Avoidance Conflict

(3) Avoidance-Avoidance Conflict

(4) Double Approach Avoidance Conflict

(5) Double Avoidance Conflict

ตอบ 3 หน้า 361 ความขัดแย้งใจแบบอยากหนีทั้งคู่ (Avoidance-Avoidance Conflict) หรือแบบชัง-ชัง เป็นความกดดันที่จะต้องเลือกตัวเลือกที่ไม่พึงพอใจทั้งคู่ เปรียบได้กับการหนีเสือปะจระเข้ เช่น ต้องเลือกลงทะเบียนระหว่างวิชาคณิตศาสตร์หรือวิชาสถิติซึ่งตนเองไม่ถนัดทั้ง 2 วิชา ไม่อยากเป็นทหารแต่ก็ไม่อยากหนีการเกณฑ์ทหาร ฯลฯ

27 ข้อใดกล่าวผิด

(1) สมศรีค่อย ๆ ทํางาน ไม่รีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป แสดงว่ามีบุคลิกภาพแบบ B (2) ความเครียดมิได้มีผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์

(3) ภาวะที่ร่างกายเตรียมเผชิญกับความเครียดคือปฏิกิริยาตื่นตระหนก

(4) มนุษย์มีความทนต่อแรงกดดันแตกต่างกัน

(5) อุปนิสัยส่วนตัวเป็นสาเหตุหนึ่งของความเครียด

ตอบ 2 หน้า 368 ความเครียด เป็นสภาวะที่บุคคลเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเป็นอันตราย ความเครียดมักมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์ เช่น มีโรคหลายชนิดที่มีสาเหตุมาจากความเครียด ดังนั้นการลดความเครียดจึงเป็นสิ่งจําเป็นในชีวิตประจําวันของมนุษย์

28 ข้อใดกล่าวผิด

(1) ความก้าวร้าวเป็นผลจากความคับข้องใจ

(2) หากมีความคับข้องใจบ่อย จะยิ่งมีการตอบสนองที่รุนแรง

(3) การฝันกลางวันเป็นการปรับตัวประเภทหนึ่ง

(4) ความคับข้องใจจะมากหรือน้อยไม่ขึ้นอยู่กับแรงขับ

(5) การใช้สิ่งมึนเมาหรือยาเสพติดเป็นวิธีการปรับตัวประเภทหนึ่ง

ตอบ 4 หน้า 355 ความก้าวร้าวเป็นผลมาจากความคับข้องใจ ถ้าแรงขับไปสู่เป้าหมายมีความรุนแรงมากเท่าใด ความคับข้องใจก็จะเพิ่มอย่างรุนแรงตามไปด้วย และถ้าเราถูกกระตุ้นให้คับข้องใจบ่อยครั้งเท่าใดก็จะยิ่งมีการตอบโต้ที่รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

29 ข้อใดไม่ใช่วิธีการลดความเครียดในชีวิตประจําวัน

(1) สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

(2) เรียนรู้วิธีพูดให้ตัวเองสบายใจ

(3) แสวงหาสิ่งแวดล้อมที่พอใจ

(4) นอนหลับให้เพียงพอ

(5) รับประทานอาหารที่ชอบ

ตอบ 5 หน้า 351 353 วิธีการลดความเครียดในชีวิตประจําวัน มีดังนี้

1 แสวงหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งพอใจ

2 ใส่ใจดูแลตนเองให้ดี เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

3 รู้จักทํากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด เช่น นั่งสมาธิ ออกกําลังกาย เล่นดนตรี ฯลฯ

4 เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ปลา ผัก ผลไม้ ฯลฯ

5 มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

6 เรียนรู้วิธีพูดให้ตนเองสบายใจ

30 โรคใดต่อไปนี้ไม่ได้มีสาเหตุจากความเครียด

(1) โรคกระเพาะ

(2) โรคไมเกรน

(3) โรคท้องร่วง

(4) โรคสมองพิการ

(5) โรคความดันโลหิตสูง

ตอบ 4 หน้า 349 ไซโคโซมาติก (Psychosomatic Diseases) คือ อาการของความเจ็บป่วยหรือโรคทางกายที่เกิดจากภาวะความเครียดที่สะสมเอาไว้นาน ๆ เช่น โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคท้องร่วง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน) เป็นต้น

31 ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้องเกี่ยวกับการรับรู้และการสัมผัส

(1) การรับรู้ไม่จําเป็นต้องอาศัยการรับสัมผัส

(2) การรับรู้เป็นกระบวนการแปลความหมายของการสัมผัส

(3) การสัมผัสเป็นกระบวนการแปลความหมายของการรับรู้

(4) การรับรู้และการสัมผัสเป็นกระบวนการที่ไม่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของบุคคล (5) การสัมผัสคือการที่สิ่งเร้ามากระทบความต้องการ แล้วจึงเกิดพฤติกรรม

ตอบ 2 หน้า 57, 60 ความแตกต่างระหว่างการสัมผัสและการรับรู้ คือ การสัมผัสเป็นกระบวนการที่ประสาทสัมผัสรับสิ่งเร้าจากภายนอกมาสู่ระบบประสาทและเปลี่ยนเป็นการรับรู้ ส่วนการรับรู้เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องจากการสัมผัส เป็นกระบวนการแปลความหมายของการสัมผัส

32 การรับรู้คุณสมบัติของสีต่าง ๆ คือสีแดง หรือเขียว หรือน้ำเงิน เกิดจากการทํางานของสิ่งใด

(1) ตัวสี (Hue)

(2) ความสว่าง

(3) ความบริสุทธิ์

(4) รอดส์

(5) โคนส์

ตอบ 1 หน้า 63 ส่วนใหญ่แล้วสีต่าง ๆ มีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ

1 ตัวสี (Hue) เช่น สีเขียว แดง ม่วง ฯลฯ

2 ความสว่างของสี (Brightness) หมายถึง สีเดียวกันอาจมีความสว่างต่างกัน 3 ความบริสุทธิ์ของสี (Saturation) หมายถึง สีที่อิ่มตัวเป็นสีบริสุทธิ์จะมีคลื่นแสงเดียวไม่มีคลื่นแสงอื่นเข้ามาปะปนให้เจือจางลงไป

33 บริเวณบนเรตินาของลูกตาที่ไม่มีเซลล์ประสาทรับความรู้สึกอยู่เลย เรียกว่าอะไร

(1) โฟเวีย (Fovea)

(2) จุดบอด (Blind Spot)

(3) ปมประสาท (Ganglion)

(4) ตุ๊กตา (Pupils)

(5) ประสาทตา (Optic Nerve)

ตอบ 2 หน้า 61, (คําบรรยาย) บริเวณเรตินาของลูกตาที่ไม่มีเซลล์ประสาทรับความรู้สึกอยู่เลยเรียกว่า จุดบอด (Blind Spot) ซึ่งเป็นจุดที่การมองเห็นไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย

34 “หน้าผามายา” เป็นการทดลองเกี่ยวกับอะไร

(1) ความลึก

(2) ความสูง

(3) ความเหมือน

(4) ความคล้ายคลึงกัน

(5) ความสว่าง

ตอบ 1 หน้า 72 จากการทดลองเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกและระยะทางโดยอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า“หน้าผามายา” (Visual Cliff) พบว่า เมื่อเด็กทารกคลานไปถึงกึ่งกลางโต๊ะที่เป็นรอยต่อระหว่างกระจกโปร่งใสกับพื้นที่ทาสีตาหมากรุก (ทําให้แลเห็นเป็นพื้นที่ 2 ระดับที่มีความสูงต่ำต่างกัน) เด็กจะไม่กล้าคลานออกไป แสดงว่าการรับรู้ความลึกเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้ถือเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์อันเป็นลักษณะที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยตรง

35 การล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เรียกว่าอะไร

(1) Telepathy

(2) Precognition

(3) Clairvoyance

(4) Illusion

(5) Hallucinations

ตอบ 2 หน้า 79 ปรากฏการณ์อภิธรรมดา (Extrasensory Perception : ESP) แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1 โทรจิต (Telepathy) เป็นการล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพูดคุยกับผู้นั้น

2 ประสาททิพย์ (Clairvoyance) เป็นการล่วงรู้โดยไม่ต้องพึ่งประสาทสัมผัส

3 การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า (Precognition) เป็นการล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

36 แนวโน้มที่จะรับรู้วัตถุสองอย่างที่กําลังเคลื่อนไหวมากกว่าส่วนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ

(1) Commonfate

(2) Closure

(3) Continuity

(4) Similarity

(5) Proximity

ตอบ 1 (คําบรรยาย) การมองความเคลื่อนไหว (Commonfate) คือ แนวโน้มที่คนเรามักจะมองและรับรู้วัตถุสองอย่างที่กําลังเคลื่อนไหวมากกว่าส่วนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ

37 ในทางพุทธศาสนา การสัมผัสสามารถจะเข้ามาได้กี่ทาง ทางใดบ้าง

(1) 5 ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย

(2) 5 ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น และใจ

(3) 6 ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และวิญญาณ

(4) 6 ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และสมอง

(5) 6 ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

ตอบ 5 หน้า 57, 83, (คําบรรยาย) ในทางพุทธศาสนา เชื่อว่า การสัมผัสสามารถจะเข้ามาได้ 6 ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย (ผิวหนัง) และใจ กล่าวคือ มนุษย์นั้นนอกจากจะสามารถรับรู้ได้ โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 แล้ว มนุษย์ยังสามารถรับรู้ได้โดยทางใจ (จิต) ซึ่งสามารถฝึกได้โดยใช้สติและสมาธิ

38 ระดับอุณหภูมิเท่าไรที่จะทําให้มนุษย์รับรู้ถึงความรู้สึกร้อนหรือความรู้สึกเย็น

(1) สูงหรือต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส

(2) สูงหรือต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส

(3) สูงหรือต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส

(4) สูงหรือต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส

(5) สูงหรือต่ำกว่า 40 องศาเซลเซียส

ตอบ 3 หน้า 67 ความรู้สึกร้อนหรือความรู้สึกเย็นเกิดจากการที่ประสาทผิวหนังอบอุ่นและเย็นได้รับการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา ซึ่งถ้าสิ่งที่มากระตุ้นมีอุณหภูมิสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส จะทําให้เรารู้สึกร้อน แต่ถ้ามีอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะทําให้เรารู้สึกเย็น

39 หน่วยวัดความแรงของคลื่นเสียงเรียกว่าอะไร

(1) ความถี่

(2) เฮิรตซ์

(3) กิโลเมตร

(4) เทรชโฮลด์

(5) เดซิเบล

ตอบ 5 หน้า 65 กระแสเสียงหรือคลื่นเสียง (Sound Wave) มีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ

1 ความถี่ (Frequency) ของคลื่นเสียง มีหน่วยวัดเป็นเฮิรตซ์ (Hertz : Hz)

2 ความแรง (Amplitude) ของคลื่นเสียง มีหน่วยวัดเป็นเดซิเบล (Decibel : dB)

40 ความแตกต่างระหว่างภาพลวงตากับภาพหลอน คือ

(1) ภาพลวงตาและภาพหลอนไม่ต่างกันเพราะเป็นการเห็นภาพของผู้ป่วยทางจิต (2) ภาพลวงตา – เห็นโดยปราศจากความเป็นจริง / ภาพหลอน – เห็นผิดไปจากความเป็นจริง

(3) ภาพลวงตา – เน้นเรื่องของผู้ป่วยทางจิต / ภาพหลอน – เน้นเรื่องของคนปกติที่เกิดขึ้นได้

(4) ภาพลวงตาและภาพหลอนต่างกันที่คุณสมบัติของสิ่งเร้าภายนอกที่มีผลต่อการรับรู้

(5) ภาพลวงตา – เห็นผิดไปจากความเป็นจริง / ภาพหลอน – เห็นโดยปราศจากความเป็นจริง

ตอบ 5 หน้า 76 77 ภาพลวงตา (Illusion) เป็นภาพที่เกิดจากการมองเห็นหรือการรับรู้ที่ผิดพลาดไปจากความเป็นจริง ซึ่งอาจเกิดจากขนาดเปรียบเทียบที่อยู่ต่างสิ่งแวดล้อมกัน การเกิดมุม หรือการตัดกันของเส้น การต่อเติมสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไป และสภาพบรรยากาศของธรรมชาติ ส่วนภาพหลอน (Hallucination) เป็นการมองเห็นภาพโดยปราศจากความเป็นจริง

41 เราสามารถออกจากสัมปชัญญะ โดยวิธีใดบ้าง

(1) การนอน การตื่น

(2) การนอน การนั่ง การยืน

(3) การนอน การสะกดจิต การใช้ยาเสพติด การสูญเสียพลังจิต

(4) การนอน การสะกดจิต การใช้ยาเสพติด การนั่งสมาธิภาวนา

(5) การนอน การสะกดจิต การใช้ยาเสพติด การถอดจิตใจ การนั่งสมาธิภาวนา การหมดสติ

ตอบ 4 หน้า 89 สัมปชัญญะ หมายถึง การรู้ตัวทั่วพร้อมว่ากําลังทํา พูด คิด หรือมีพฤติกรรมใดอยู่ โดยสภาวะที่ร่างกายของบุคคลออกจากสัมปชัญญะหรือขาดสัมปชัญญะ ได้แก่ การนอนหลับ การหมดสติ การสะกดจิต การใช้ยาเสพติด การดื่มสุรา และการนั่งสมาธิภาวนา ฯลฯ

42 ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการนอน

(1) คนเราเมื่ออายุมากขึ้นจะนอนน้อยลง

(2) ปกติเราจะต้องนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพื่อสุขภาพที่ดี

(3) มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่ปรับตัวในเรื่องของการนอนได้อย่างรวดเร็ว

(4) ยิ่งนอนมากเท่าไร ร่างกายที่ได้รับการพักผ่อนจะยิ่งสดชื่นมากขึ้นเท่านั้น

(5) เราสามารถนอนโดยที่ไม่ฝันได้

ตอบ 1 หน้า 92 อายุของบุคคลจะเป็นตัวกําหนดระยะเวลาของการนอน กล่าวคือ เด็กแรกเกิดจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน ส่วนผู้ใหญ่จะใช้เวลานอนลดน้อยลงไปเป็นลําดับจนถึงวัยสูงอายุเช่น คนอายุ 50 ปี อาจนอนเพียง 6 ชั่วโมง ถ้าอายุสูงกว่านี้ชั่วโมงนอนก็จะลดน้อยลงไปอีก ฯลฯ

43 ในช่วงที่บุคคลเกิด REM หรือการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของลูกตาขณะที่นอนหลับนั้น พบว่า ร้อยละ 85 ของบุคคลกําลังทําอะไรอยู่

(1) กําลังหลับลึก

(2) กําลังฝัน

(3) กําลังจะตื่น

(4) กําลังเครียด

(5) กําลังละเมอ

ตอบ 2 หน้า 95 ในบางช่วงของการนอนหลับ ลูกตาของผู้นอนจะมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว (Rapid Eye Movements : REM) ทั้ง ๆ ที่ยังคงหลับอยู่ ซึ่งในช่วงที่มี REM เกิดขึ้นนี้เอง เป็นช่วงที่บุคคลกําลังฝัน โดยนักจิตวิทยารู้ได้จากการที่เขาได้ปลุกผู้นอนในช่วงที่มี REM ขึ้นและพบว่าร้อยละ 85 กล่าวว่า เป็นช่วงที่เขากําลังอยู่ในความฝัน

44 ผู้ใดเชื่อว่าความฝันเกิดจากความคิดความรู้สึกที่ติดค้างมาจากช่วงกลางวัน

(1) Freud

(2) Adler

(3) Jung

(4) Hopson & McCarley

(5) Roger

ตอบ 2 หน้า 98, 115, (คําบรรยาย) แอดเลอร์ (Adler) เชื่อว่า ความฝันเป็นเรื่องราวของความคิดคํานึงรวมทั้งความรู้สึกที่ติดค้างมาจากช่วงเวลากลางวันแล้วจึงต่อเนื่องนําไปฝันในช่วงเวลากลางคืน

45 ยาเสพติดแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

(1) มี 2 กลุ่ม คือ กระตุ้นประสาท และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(2) มี 3 กลุ่ม คือ กด กระตุ้น และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(3) มี 4 กลุ่ม คือ กด กระตุ้น หลอนประสาท และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(4) มี 5 กลุ่ม คือ กติ กระตุ้น หลอน บีบคั้นประสาท และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(5) มี 6 กลุ่ม คือ กด กระตุ้น ผลักดัน หลอน ปิดกั้นกระแสประสาท และออกฤทธิ์ผสมผสาน

ตอบ 3 หน้า 106 – 110 ยาเสพติดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ และทุกกลุ่มสามารถออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางได้ทั้งสิ้น คือ

1 ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝืน มอร์ฟีน เฮโรอีน ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาทยานอนหลับ สารระเหย (ทินเนอร์) และเครื่องดื่มมึนเมาหรือแอลกอฮอล์ ฯลฯ

2 ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน (ยาบ้า) กระท่อม โคเคอีน บุหรี่ นิโคติน กาแฟ คาเฟอีน และยาแก้ปวด ฯลฯ

3 ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็มที และเห็ดขี้ควาย ฯลฯ

4 ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน ได้แก่ กัญชา

46 การศึกษาทดลองเกี่ยวกับการฝันของมนุษย์โดย วิลเลียม ดีเมนท์ สรุปได้ว่า

(1) คนเราจะนอนหลับและฝันทุกคืน

(2) ไม่จําเป็นที่คนเราจะต้องฝันทุกคืน

(3) การฝันเป็นเรื่องของสรีรร่างกายไม่ใช่จิตสํานึก

(4) ความฝันเป็นการชดเชยทางจิต

(5) ความฝันเป็นเรื่องการทําความปรารถนาให้เป็นจริง

ตอบ 1 หน้า 97 การศึกษาทดลองเกี่ยวกับการฝันของมนุษย์โดยวิลเลียม ดีเมนท์ (William Dement) สรุปได้ว่า คนเราจะนอนหลับและต้องฝันทุกคืน ถ้าบุคคลที่นอนหลับแล้วถูกปลุกห้ามมิให้ฝันติดต่อกันหลายคืน จากนั้นเมื่อให้โอกาสได้นอนและมีความฝันเกิดขึ้นได้ตามปกติ พบว่าจะฝันมากกว่าปกติ คล้ายกับเป็นการฝันทดแทนการฝันที่ถูกรบกวนไม่ให้เกิดขึ้นในช่วงคืนแรก ๆ

47 ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับความฝัน

(1) คนบางคนไม่เคยฝันเลย

(2) คนเราต้องฝันทุกคืน

(3) เราจะจําความฝันได้ทุกครั้ง

(4) เมื่อฝันแปลว่าไม่ได้หลับ

(5) ฝันคือการเพ้อ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 46 ประกอบ

48 ข้อใดถูกต้องที่สุดในเรื่องของการสะกดจิต

(1) บุคคลทุกคนสามารถฝึกให้สะกดจิตตนเองได้

(2) ผู้ที่ทําจิตบําบัดเพื่อแก้ไขบุคลิกภาพผิดปกติของผู้ป่วยคือเมสเมอร์

(3) การสะกดจิตเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผู้ถูกสะกดจิตถูกบังคับเท่านั้น

(4) การสะกดจิตช่วยให้ความจําดีขึ้นกว่าวิธีการอื่น ๆ

(5) การสะกดจิตมีประโยชน์รักษาโรคได้อย่าง “ครอบจักรวาล”

ตอบ 1 หน้า 103 – 105 การสะกดจิต คือ การนําเอาพลังของจิตใต้สํานึกออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์โดยบุคคลทุกคนสามารถฝึกให้สะกดจิตตนเองได้ การสะกดจิตตัวเองจะช่วยปรับปรุงนิสัย และพัฒนาบุคลิกภาพได้ การสะกดจิตเกิดขึ้นได้ทั้งในกรณีที่ผู้ถูกสะกดจิตยินยอม ไม่ยินยอม (ถูกบังคับ) และโดยไม่รู้ตัว การสะกดจิตไม่สามารถช่วยให้ความจําของบุคคลดีขึ้น เพียงแต่ช่วยโน้มน้าวจิตใจให้สนใจที่จะจดจําเท่านั้น และการสะกดจิตไม่ได้มีประโยชน์รักษาโรคได้อย่างครอบจักรวาล ส่วนผู้ที่ทําจิตบําบัดเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ของผู้ป่วยคือเอริกสัน

49 การสะกดจิต คือสิ่งใด

(1) การสร้างความเชื่อโดยผู้อื่น

(2) การสร้างความเชื่อซ้ำ ๆ ด้วยตนเอง

(3) การหลอกตัวเอง

(4) การข้ามมิติสัมปชัญญะ

(5) อาการหลอน

ตอบ 4 หน้า 88, 103 การสะกดจิต เป็นภาวะที่บุคคลก้าวข้ามออกมาจากมิติแห่งสัมปชัญญะตกอยู่ในภวังค์ (ความเป็นอยู่โดยไม่รู้สึกตัว) มีอาการเคลิบเคลิ้มคล้ายหลับชั่วขณะหนึ่ง แต่มิใช่เป็นภาวะของการนอนหลับ เพราะคลื่นสมอง (EEG) มิได้มีลักษณะเป็นคลื่นเดียวกันกับผู้ที่นอนหลับ แต่เป็นคลื่นลักษณะคล้ายกับผู้ที่ตื่นอยู่มากกว่า

50 บุหรี่จัดเป็นสารเสพติดประเภทใด

(1) ยากดประสาท

(2) ยากระตุ้นประสาท

(3) ยาหลอนประสาท

(4) ยาออกฤทธิ์ผสมผสาน

(5) ยาระงับประสาท

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 45 ประกอบ

51 การเรียนรู้คืออะไร

(1) พฤติกรรมที่เกิดจากสัญชาตญาณ

(2) พฤติกรรมที่เกิดจากพันธุกรรม

(3) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองจากพลังดิบ

(4) พฤติกรรมที่เกิดจากปฏิกิริยาสะท้อน

(5) พฤติกรรมอันเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต

ตอบ 5 หน้า 169, (คําบรรยาย) การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวรของพฤติกรรมอันเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต (พฤติกรรมบางอย่างไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ แต่เกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนและสัญชาตญาณ) เช่น การเข้าแถวซื้อตั๋ว การรอขึ้นรถเมล์ ฯลฯ

52 การลองทําแบบทดสอบท้ายบท ทําให้รักรามมีความเข้าใจการเรียนวิชานั้นดีขึ้น พฤติกรรมนี้เกิดจาก สิ่งเสริมแรงประเภทใด

(1) สิ่งเสริมแรงครอบคลุม

(2) สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ

(3) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ

(4) การป้อนกลับ

(5) การเรียนรู้แฝง

ตอบ 4 หน้า 180 – 181 การป้อนกลับ (Feedback) หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับผลของการตอบสนองซึ่งมีความสําคัญต่อการเรียนรู้ของมนุษย์ เพราะทําให้บุคคลได้พัฒนาการกระทําของตนเอง และทําให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น โดยนักศึกษาสามารถทําการป้อนกลับให้แก่ตนเองได้ด้วย การลองทํากิจกรรมในแต่ละบทรวมทั้งแบบทดสอบท้ายบทด้วย ก็จะทําให้ทราบว่าตนเองสามารถเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใดก่อนที่จะเข้าสอบจริง ๆ

53 ข้อใดเป็น “สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ”

(1) อากาศ

(2) ความรัก

(3) อาหาร

(4) แร่ธาตุ

(5) น้ำดื่ม

ตอบ 2 หน้า 180 สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ (Secondary Reinforcers) เป็นรางวัลที่ได้เรียนรู้มาแล้วได้แก่ เงิน เกียรติ ความสนใจ การยอมรับ ความสําเร็จ ความรัก คะแนนสอบ ฯลฯ ซึ่งบางครั้ง สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิอาจมีค่าโดยตรง เพราะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งเสริมแรงปฐมภูมิได้ เช่น เงินหรือธนบัตรสามารถนําไปซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร น้ำ และอื่น ๆ ได้ ฯลฯ

54 “การลงโทษ” ตรงกับการกระทําในข้อใด

(1) นักโทษทําความดีจึงได้อภัยโทษ

(2) การเสียสิทธิ์ถ้าไม่ไปเลือกตั้ง

(3) นักเรียนทําความดีจึงไม่ต้องกวาดห้อง

(4) นักศึกษาขยันเรียนจึงสอบผ่าน

(5) ทุกคนต้องเข้าเรียนจนครบ 12 ปี

ตอบ 2 หน้า 181 การลงโทษ หมายถึง การปรากฎของสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่พึงปรารถนาและนําสิ่งที่ชอบหรือพึงปรารถนาออกไป จึงมีผลให้การตอบสนองลดลง เช่น การตี การเสียสิทธิ์ การสอบตก ฯลฯ

55 ข้อใดคือพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบการกระทํา

(1) การหายใจของมนุษย์

(2) กระโดดเมื่อเหยียบโดนตะปู

(3) น้ำลายไหลเมื่อเห็นมะม่วงดอง

(4) การขับถ่าย

(5) การเข้าแถวซื้อตั๋ว

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 51 ประกอบ

56 การลงโทษจะได้ผลดีที่สุดต่อเมื่อ

(1) ทําทันที

(2) ทําบ่อย ๆ

(3) ทําโทษในสิ่งที่กลัว

(4) ทําในสิ่งที่ไม่ชอบ

(5) ทําโทษในสิ่งที่ไม่เคยทํา

ตอบ 1 หน้า 181 182 การลงโทษจะได้ผลดีที่สุดนั้นจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ ดังนี้

1 เวลาในการลงโทษ กล่าวคือ ลงโทษในระหว่างที่ยังกระทําพฤติกรรมอยู่หรือลงโทษทันทีที่พฤติกรรมสิ้นสุดลง (ภายหลังแสดงพฤติกรรม)

2 ความคงที่ในการลงโทษ กล่าวคือ ลงโทษทุกครั้งที่แสดงพฤติกรรมนั้น ๆ

3 ความรุนแรงในการลงโทษ กล่าวคือ ลงโทษที่รุนแรงจะสามารถทําให้พฤติกรรมหยุดลงได้และต้องไม่เสริมแรงเพื่อระงับพฤติกรรม

57 การได้รางวัลเดือนละครั้งจากพ่อแม่ เป็นการเสริมแรงประเภทใด

(1) แบบอัตราส่วนคงที่ (Fixed Ratio-FR)

(2) แบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน (Variable Ratio-VR)

(3) แบบช่วงเวลาที่คงที่ (Fixed Interval-FI)

(4) แบบช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน (Variable Interval-VI)

(5) แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ (Variable Fixed-VF)

ตอบ 3 หน้า 177 การเสริมแรงแบบช่วงเวลาที่คงที่ (Fixed Interval : FI) เป็นการให้แรงเสริมเมื่อถึงช่วงเวลาที่กําหนดไว้อย่างตายตัว เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกไตรมาส ทุกปี ฯลฯ

58 กระบวนการเรียนรู้นั้นนักจิตวิทยาเรียกว่าเป็นกระบวนการที่เกิดจากสิ่งใด

(1) การเกิดพฤติกรรม

(2) ความพร้อม

(3) การวางเงื่อนไข

(4) ความสนใจ

(5) การรับรู้

ตอบ 3 หน้า 170 กระบวนการเรียนรู้นั้นนักจิตวิทยาเรียกว่า การวางเงื่อนไข (Conditioning) ซึ่งประกอบด้วยสิ่งที่ต้องเรียนรู้ 2 สิ่ง คือ ลําดับเหตุการณ์ที่คาดหวังไว้ และการกระทําพฤติกรรมในเหตุการณ์นั้น ๆ โดยกระบวนการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานมี 2 อย่าง คือ การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก และการวางเงื่อนไขแบบการกระทํา

59 ผู้ที่กลัวงู ปลาไหล จิ้งเหลน ลักษณะเช่นนี้เป็นกระบวนการเรียนรู้แบบใด

(1) การหยุดยั้งพฤติกรรม

(2) การฟื้นกลับของพฤติกรรม

(3) การปรับพฤติกรรม

(4) การสรุปความเหมือน

(5) การแยกความแตกต่าง

ตอบ 4 หน้า 171, 173, 188 การสรุปความเหมือน (Generalization) เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขไว้แล้ว (สิ่งเร้าที่เรียนรู้) หรือสิ่งเร้าที่ได้รับรางวัล ซึ่งเป็นการขยายผลของการเรียนรู้ ไปยังสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่คล้ายกัน เช่น คนที่ถูกวางเงื่อนไขเกี่ยวกับงู (อาจจะถูกงูกัดโดยบังเอิญ) การเห็นงูจะกลายเป็นสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขที่ทําให้กลัว จากการสรุปความเหมือน นอกจากงูแล้ว อาจคาดได้ว่าคนคนนี้ จะกลัวสัตว์ทุกชนิดที่มีลักษณะคล้ายงูด้วย เช่น ปลาไหล จิ้งเหลน ฯลฯ

60 ในการทดลองการเรียนรู้ของพาฟลอฟ (Pavlov) “การที่สุนัขน้ำลายไหล” ถือเป็นอะไร

(1) สิ่งแวดล้อมภายใน (OCS)

(2) สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS)

(3) สิ่งเร้าภายนอก (OS)

(4) การตอบสนองที่วางเงื่อนไข (CR)

(5) สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (US)

ตอบ 4 หน้า 170 171 ในการทดลองกระบวนการเรียนรู้ด้วยการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของอีวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) นั้น เสียงกระดิ่งจัดเป็นสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (Conditioned Stimulus : CS), ผงเนื้อจัดเป็นสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (Unconditioned Stimulus : US), การหลั่งน้ำลายจากการเห็นผงเนื้อจัดเป็นการตอบสนองที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (Unconditioned Response : UR) เพราะไม่ต้องเรียนรู้ และการหลั่งน้ำลายจากการสั่นกระดิ่งเพียงอย่างเดียว จัดเป็นการตอบสนองที่วางเงื่อนไข (Conditioned Response : CR) เพราะเกิดจากการเรียนรู้

61 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสรีรจิตวิทยา

(1) การศึกษาเกี่ยวกับสมองและระบบประสาทส่วนกลาง

(2) การศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนปลาย

(3) การศึกษาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต

(4) การศึกษาเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ

(5) การศึกษาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อ

ตอบ 3 หน้า 25, 27 สรีรจิตวิทยา (Physiological Psychology) เป็นการศึกษาการทํางานของสมองและระบบประสาทที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการควบคุมพฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ที่มีต่อสภาวะแวดล้อม ทั้งนี้การแสดงออกทางพฤติกรรมของมนุษย์ต้องอาศัยการทํางานของระบบต่าง ๆที่สําคัญภายในร่างกาย ได้แก่ ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ และระบบกล้ามเนื้อ

62 กลไกของระบบประสาทใด ที่กล้ามเนื้อเกิดการยืดหดตัว ก่อเกิดเป็นพฤติกรรมตามการสั่งการของระบบประสาทส่วนกลาง

(1) กลไกแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง

(2) กลไกการเชื่อมโยงทางระบบประสาท

(3) กลไกการรับรู้

(4) กลไกการรับสิ่งเร้า

(5) วงจรปฏิกิริยาสะท้อน

ตอบ 1 หน้า 31 กลไกแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง (Effectors) หรืออวัยวะสําแดงผล ได้แก่ กล้ามเนื้อและระบบต่อมต่าง ๆ ที่รับคําสั่งจากสมอง/ระบบประสาทส่วนกลางให้ทํางานโต้ตอบต่อสิ่งเร้าทําให้เกิดการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ ปรากฏเป็นพฤติกรรมการตอบสนองที่เรารู้เห็น

63 พฤติกรรมถอยเท้าหนีเมื่อเหยียบเศษแก้วอย่างทันที เป็นผลจากการทํางานของสิ่งใด

(1) กลไกการเชื่อมโยงทางระบบประสาท

(2) กลไกแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง

(3) กลไกการรับสิ่งเร้า

(4) วงจรปฏิกิริยาสะท้อน

(5) วงจรปฏิกิริยาเฉียบพลัน

ตอบ 4 หน้า 31 วงจรปฏิกิริยาสะท้อน (Simple Reflex Action) ถือว่าเป็นวงจรที่เล็กที่สุดของกลไกการตอบสนอง ซึ่งเป็นการแสดงออกทางร่างกายโดยอัตโนมัติโดยที่สมองไม่ต้องสั่งงาน แต่วงจรของกระแสประสาทจะผ่านเฉพาะไขสันหลังเท่านั้น คือ ทํางานภายใต้การสั่งการของ ไขสันหลัง เช่น การกะพริบตาเมื่อถูกลมพัด การถอยเท้าหนี้เมื่อเหยียบก้นบุหรี่ การชักมือออกเมื่อโดนแก้วที่ร้อน การดึงมือออกเมื่อถูกประตูหนีบ ฯลฯ

64 ข้อใดคือโครงสร้างที่พบในระบบประสาทส่วนกลาง

(1) สมองและระบบประสาทอัตโนมัติ

(2) สมองและไขสันหลัง

(3) ระบบประสาทอัตโนมัติและระบบประสาทโซมาติก

(4) ไขสันหลังและเส้นประสาทสมอง

(5) ไขสันหลังและระบบประสาทโซมาติก

ตอบ 2 หน้า 34 โครงสร้างของระบบประสาท แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ดังนี้

1 ระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบด้วย สมองและไขสันหลัง

2 ระบบประสาทส่วนปลาย ประกอบด้วย ระบบประสาทโซมาติกและระบบประสาทอัตโนมัติ

65 ระบบประสาทส่วนใดทําหน้าที่สั่งการให้ร่างกายอยู่ในภาวะผ่อนคลายลงเมื่อผ่านพ้นจากสถานการณ์ ฉุกเฉินไปแล้ว

(1) ระบบประสาทส่วนปลาย

(2) ระบบประสาทส่วนกลาง

(3) ระบบประสาทนําคําสั่งทั่วไป

(4) ระบบประสาทซิมพาเธติก

(5) ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก

ตอบ 5 หน้า 37; 261 ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก (Parasympathetic Nervous System) เป็นระบบประสาทอัตโนมัติที่ทําหน้าที่ทําให้ร่างกายผ่อนคลาย อยู่ในภาวะสงบและพักผ่อน มีการย่อยดี และความดันโลหิตต่ำ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นระบบประสาทที่ทําให้ร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังอาการตกใจเมื่อผ่านพ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการทํางานในอัตราเร่งมาแล้วหรือหลังจากเกิดอารมณ์เต็มที่แล้ว

66 ศูนย์ควบคุมการทํางานของระบบต่อมไร้ท่อ คือสมองส่วนใด

(1) ก้านสมอง

(2) ไฮโปธาลามัส

(3) ธาลามัส

(4) ซีรีบรัม

(5) ไขสันหลัง

ตอบ 2 หน้า 42, 53, (คําบรรยาย) ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) เป็นส่วนของสมองที่มีขนาดเล็กแต่ทํางานมีอิทธิพลมาก โดยจะทําหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเพื่อให้เกิดความสมดุลภายในร่างกาย ควบคุมการหลับ การตื่น ความหิว ความกระหาย ความดันโลหิต การสืบพันธุ์ อุณหภูมิในร่างกายการทํางานของระบบต่อมไร้ท่อและระบบประสาทอัตโนมัติ

67 หน่วยที่เล็กที่สุดในระบบประสาท คือข้อใด

(1) ใยประสาท

(2) เซลล์ประสาท

(3) เส้นประสาท

(4) สมอง

(5) ไขสันหลัง

ตอบ 2 หน้า 37 เซลล์ประสาทหรือนิวโรน (Nerve Celt หรือ Neuron) เป็นเซลล์ที่ทําหน้าที่รับส่งกระแสประสาทที่ใช้ควบคุมการทํางานซึ่งกันและกัน และเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของระบบประสาทในสมองของคนเรามีเซลล์ประสาทประมาณ 10 – 12 พันล้านเซลล์

68 ในเซลล์ประสาทนิวโรน ข้อใดทําหน้าที่เกี่ยวกับการนํากระแสประสาทเข้ามาสู่ตัวเซลล์

(1) แอ็กซอน

(2) สารสื่อประสาท

(3) ตัวเซลล์

(4) เดนไดรท์

(5) เซลล์ค้ำจุน

ตอบ 4 หน้า 37 เดนไดรท์ (Dendrite) ในเซลล์ประสาทนิวโรน จะทําหน้าที่เกี่ยวกับการนํากระแสประสาทเข้ามาสู่ตัวเซลล์ประสาท

69 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกล้ามเนื้อเรียบ

(1) ทํางานภายใต้การสั่งการของระบบประสาทอัตโนมัติ

(2) ทํางานนอกอํานาจจิตใจ

(3) พบได้ที่กล้ามเนื้อแขน ขา สะโพก

(4) ทําปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน

(5) บังคับให้กล้ามเนื้อชนิดนี้ทํางานตามที่เราต้องการไม่ได้

ตอบ 3 หน้า 32 กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) จะทํางานอยู่นอกอํานาจจิตใจ เพราะทํางานภายใต้การสั่งการหรือถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ ดังนั้นเราจะบังคับให้กล้ามเนื้อชนิดนี้ ทํางานตามที่เราต้องการไม่ได้ และกล้ามเนื้อเรียบจะทําปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน(กล้ามเนื้อแขน ขา สะโพก เป็นกล้ามเนื้อลาย)

70 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ

(1) ผลิตของเหลวเพื่อการหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้น

(2) ทําหน้าที่รักษาสมดุลของร่างกายให้คงที่อยู่เสมอ

(3) ผลิตฮอร์โมนผ่านทางกระแสโลหิตไปสู่อวัยวะเป้าหมาย

(4) ทําหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์และต่อมน้ำนมด้วย

(5) ทําหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย

ตอบ 1 หน้า 44 – 45 ต่อมไร้ท่อ เป็นต่อมที่ไม่มีท่อสําหรับให้ฮอร์โมนซึ่งเป็นสารเคมีที่ต่อมนี้ผลิตได้ผ่านทางกระแสโลหิตไปสู่อวัยวะเป้าหมายต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อแต่ละชนิด จะทํางานไปพร้อม ๆ กันเพื่อรักษาภาวะสมดุลของร่างกายให้คงที่อยู่เสมอ โดยหน้าที่ที่สําคัญ ของฮอร์โมน คือ ควบคุมระบบพลังงานของร่างกาย ควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้งควบคุมระบบสืบพันธุ์และต่อมน้ำนม (ส่วนการผลิต ของเหลวเพื่อการหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นเป็นหน้าที่ของต่อมมีท่อ)

ข้อ 71 – 73 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) ความจําระยะสั้น

(2) ความจําระยะยาว

(3) ความจําจากการรับสัมผัส

(4) ความจําขณะปฏิบัติงาน

(5) ความจําคู่

 

71 คลังข้อมูลถาวร

ตอบ 2 หน้า 196 197, 199 ความจําระยะยาว (Long-term Memory) จะทําหน้าที่เสมือนคลังข้อมูลถาวรซึ่งบรรจุทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับโลกเอาไว้ โดยมีความสามารถไม่จํากัดในการเก็บข้อมูล จึงไม่มีข้อมูลสูญหายไปจากความจําระยะยาวนี้ และจะเก็บข้อมูลไว้บนพื้นฐานของความหมายและความสําคัญของข้อมูล ซึ่งความจําระยะยาวนี้มี 2 ประเภท คือ

1 การจําความหมาย เป็นการจําความรู้พื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลก เช่น ชื่อวัน เดือน ชื่อสิ่งของ ภาษา และทักษะการคํานวณง่าย ๆ รวมทั้งข้อเท็จจริงอื่น ๆ ฯลฯ 2 การจําเหตุการณ์ เป็นการจําเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง เป็นการบันทึกเหตุการณ์ในชีวิต เช่น จําวันแรกที่เข้ามาในมหาวิทยาลัย จําอุบัติเหตุที่ประสบเมื่อปีที่แล้ว ฯลฯ

72 เก็บเสียงก้องในหูไว้ได้

ตอบ 3 หน้า 196 ความจําจากการรับสัมผัส (Sensory Memory) คือ ระบบการจําชั้นแรกที่จะเก็บข้อมูลในลักษณะถอดแบบสิ่งที่ได้เห็นหรือสิ่งที่ได้ยินทุกอย่างเอาไว้ในช่วงสั้น ๆ เพื่อถ่ายทอดข้อมูลต่อไปยังระบบการจําอื่น ๆ เช่น ถ้าได้เห็นข้อมูล ภาพติดตาหรือจินตภาพ (Icon) จะคง อยู่ได้ครึ่งวินาที (2 วินาที) แต่ถ้าเกิดจากการได้ยิน เสียงก้องในหู (Echo) ของสิ่งที่ได้ยินจะคงอยู่ประมาณ 2 วินาที ฯลฯ ทั้งนี้หากไม่มีการส่งต่อข้อมูลสิ่งที่จําไว้จะหายไปอย่างรวดเร็วที่สุด

73 เก็บข้อมูลได้ประมาณ 7+ 2 หน่วย

ตอบ 1 หน้า 98 มิลเลอร์ (Miller) ได้ทดสอบช่วงการจําตัวเลข (Digit-Span Test) แล้วพบว่าโดยทั่วไปมนุษย์สามารถจําข้อมูลระยะสั้นได้ประมาณ 7 +2 หน่วย

74 การที่เราจดจําเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันเลี้ยงครบรอบวันเกิดของปีที่ผ่านมาได้ เป็นเพราะเราจัดเก็บข้อมูลไว้ ในส่วนใด

(1) ความจําคู่

(2) ความจําขณะปฏิบัติงาน

(3) การจําเหตุการณ์ในความจําระยะยาว

(4) การจําความหมายในความจําระยะยาว

(5) ความจําจากการรับสัมผัส

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 71 ประกอบ

75 การที่เราเคยเรียนวิชาแคลคูลัสไว้แล้ว และไม่ได้เรียนอีกเลย แต่เมื่อมาเรียนอีกครั้ง ทําให้เราสามารถทําความเข้าใจกับเนื้อหาวิชาได้เร็วยิ่งขึ้น ลักษณะนี้จัดว่าตรงกับข้อใด

(1) การบูรณาการใหม่

(2) การระลึกได้

(3) การพิจารณาได้

(4) การเรียนซ้ำ

(5) การจําได้

ตอบ 4 หน้า 202 การเรียนซ้ํา (Relearning) เป็นการวัดความจําในสิ่งที่เราเคยเรียนรู้มาแล้วแต่ไม่อาจระลึกหรือจําได้ แต่เมื่อให้เรียนซ้ำอีกครั้งก็ปรากฏว่าเราเรียนได้เร็วขึ้น และใช้เวลาเรียนน้อยกว่าเดิม ทั้งนี้เพราะได้เคยมีคะแนนสะสมไว้แล้ว

76 เมื่อเราเรียนทฤษฎีจิตวิทยามาก่อน แล้วมาเรียนทฤษฎีปรัชญา ปรากฏว่าทําให้เกิดการลืมเนื้อหาของ ทฤษฎีจิตวิทยาไป ลักษณะเช่นนี้ จัดว่าเป็นการลืมเพราะเหตุใด

(1) การเรียนรู้เดิมรบกวนการเรียนรู้ใหม่

(2) ข้อมูลเสื่อมสลายตามกาลเวลา

(3) การระงับ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่นึกถึงบางอย่าง

(4) ข้อมูลไม่ได้ถูกบันทึกเพราะไม่ได้เป็นเรื่องราวที่บุคคลเลือกใส่ใจ

(5) การเรียนรู้ใหม่รบกวนการเรียนรู้เดิม

ตอบ 5 หน้า 204 การรบกวน (Interfere) เป็นสาเหตุสําคัญของการลืม มี 2 ประเภท คือ

1 Retroactive Inhibition คือ การเรียนรู้ใหม่รบกวนการเรียนรู้เดิม

2 Proactive Inhibition คือ การเรียนรู้เดิมรบกวนการเรียนรู้ใหม่

77 ข้อใดเป็นหน่วยความคิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแบ่งข้อมูลเป็นประเภท ๆ ที่มีความหมาย

(1) การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ

(2) การหยั่งเห็นคําตอบทันที

(3) จินตภาพ

(4) มโนทัศน์

(5) ภาษา

ตอบ 4 หน้า 207 มโนทัศน์ (Concept) เป็นความคิดหรือคําพูดที่ใช้แทนประเภทของสิ่งของหรือเหตุการณ์ และเป็นเครื่องมือสําคัญในการคิดเพราะช่วยทําหน้าที่ในระดับนามธรรม การสร้างมโนทัศน์เป็นกระบวนการแบ่งข้อมูลเป็นประเภท ๆ ที่มีความหมาย เช่น สุนัข รถยนต์ ปากกา ข้าวแกง ข้าวหอมมะลิ ดอกมะลิ ตํารวจ กฎหมาย ประชาธิปไตย ฯลฯ

78 การที่ชาวเอสกิโมมีคําเรียกหิมะเกือบ 30 คํา แต่คนไทยมีคําเรียกหิมะเพียงคําเดียว ลักษณะนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยพื้นฐานของการคิดในข้อใด

(1) ภาพตรงหน้า

(2) ภาษา

(3) การหยั่งเห็นคําตอบทันที

(4) จินตภาพ

(5) มโนทัศน์

ตอบ 2 หน้า 208 ภาษา (Language) ของแต่ละชาติมีผลต่อระบบการคิดของคนในชาติที่เป็นเจ้าของภาษานั้น ๆ เช่น ในประเทศอาหรับมีคํามากกว่า 6,000 คําที่หมายถึงอูฐ และชาวเอสกิโม มีคําเกือบ 30 คําที่แปลว่าหิมะและน้ำแข็ง ขณะที่ชาวโฮปมีเพียงคําเดียวที่หมายถึงแมลง เครื่องบิน และนักบิน ฯลฯ

79 การแก้ปัญหาของนักศึกษาแพทย์เกี่ยวกับการฉายแสงเซลล์มะเร็ง ที่ทําโดยทบทวนความรู้เกี่ยวกับการฉายแสงแล้วเริ่มฉายแสงที่มีความเข้มน้อย ๆ ไปที่ละจุด จนควบคุมการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้ จัดเป็นการแก้ปัญหา แบบใด

(1) แก้ปัญหาโดยทําความเข้าใจ

(2) แก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นคําตอบในทันที

(3) แก้ปัญหาโดยใช้เครื่องจักร

(4) แก้ปัญหาจากการลองผิดลองถูก

(5) แก้ปัญหาจากการท่องจํา

ตอบ 1 หน้า 209 – 210 การแก้ปัญหาโดยทําความเข้าใจ ซึ่งเป็นการคิดในระดับสูง เช่น ดังเคอร์ (Duncker) ให้นักศึกษาแพทย์แก้ปัญหาเกี่ยวกับการฉายแสงเพื่อทําลายเซลล์มะเร็งที่ทําโดย ทบทวนความรู้เกี่ยวกับการฉายแสง แล้วเลือกคําตอบที่ถูกต้องเพียงคําตอบเดียว คือ เริ่มฉายแสง ที่มีความเข้มน้อย ๆ ไปที่ละจุด หรือหมุนร่างของคนป่วยไปเรื่อย ๆ ขณะฉายแสง เพื่อไม่ให้แสงไปทําลายเนื้อเยื่อดีรอบ ๆ เนื้อร้าย จนสามารถควบคุมการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้

80 ตั๊ก สามารถให้ข้อเสนอแนะได้อย่างหลากหลาย จัดว่าเป็นคุณสมบัติใดของความคิดสร้างสรรค์

(1) ความริเริ่ม

(2) ความมีตรรกะ

(3) การแสวงหาใคร่รู้

(4) ความคล่อง

(5) ความยืดหยุ่น

ตอบ 4 หน้า 211 คุณสมบัติของผู้มีความคิดสร้างสรรค์มีหลายประการ เช่น

1 ความคล่อง คือ สามารถให้ข้อเสนอแนะได้อย่างหลากหลาย

2 ความยืดหยุ่น คือ สามารถเปลี่ยนวิธีคิดจากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่งได้โดยไม่ยึดติดอยู่กับ ความคิดเดิม ๆ

3 ความคิดริเริ่ม คือ สามารถให้ข้อเสนอแนะที่แปลกใหม่และไม่ธรรมดา

81 ข้อใดไม่ใช่ฝาแฝดเหมือน

(1) สเปิร์ม 1 ไข่ 1

(2) สเปิร์ม 1 ไข่ 2

(3) ฝาแฝดเพศเดียวกัน

(4) มียีนส์และโครโมโซมเหมือนกัน

(5) หน้าตาเหมือนกัน

ตอบ 2 หน้า 125 ฝาแฝดเหมือนหรือแฝดแท้ (Identical Twins) เกิดจากไข่ 1 ใบ ผสมกับสเปิร์มหรืออสุจิ 1 ตัว แล้วเซลล์เกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน 2 ตัว (เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด)ฝาแฝดเหมือนจึงเป็นเพศเดียวกัน มีหน้าตาเหมือนกัน มียีนส์และโครโมโซมเหมือนกัน

82 ยีนส์มีโครโมโซม

(1) 45

(2) 46

(3) 47

(4) 48

(5) 49

ตอบ 2 หน้า 125 ยีนส์อันเป็นลักษณะของบรรพบุรุษจะถูกถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานโดยผ่านทางโครโมโซมซึ่งบุคคลคนหนึ่งจะมีโครโมโซมอยู่ในตัว 46 โครโมโซม หรือ 23 คู่ โดยโครโมโซมเหล่านี้บุคคลจะได้รับมาจากพ่อ 23 โครโมโซม และจากแม่ 23 โครโมโซม

83 สิ่งที่คุณแม่ไม่ควรรับประทานในระหว่างตั้งครรภ์

(1) ทานอาหารที่มีไขมัน

(2) ทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต

(3) ทานอาหารหมักดอง

(4) ทานอาหารที่มีโปรตีน

(5) รับประทานวิตามินซี

ตอบ 3 หน้า 132 สิ่งที่มารดาควรบริโภคในระยะตั้งครรภ์ ได้แก่ อาหารที่มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี 6 ปี 12 ซี ดี อี และเค ส่วนสิ่งที่ต้องห้ามสําหรับผู้มีครรภ์ ได้แก่ บุหรี่ แอลกอฮอล์และเครื่องหมักดอง

84 จากการศึกษาของโลวิ่งเจอร์ (LOevinger) พบว่า อิทธิพลของสติปัญญากับสิ่งแวดล้อมมีกี่เปอร์เซ็นต์

(1) สติปัญญา 50% สิ่งแวดล้อม 50%

(2) สติปัญญา 25% สิ่งแวดล้อม 75%

(3) สติปัญญา 75% สิ่งแวดล้อม 25%

(4) สติปัญญา 60% สิ่งแวดล้อม 40%

(5) สติปัญญา 40% สิ่งแวดล้อม 50%

ตอบ 3 หน้า 137 จากการศึกษาของโลวิงเจอร์ (Loevinger) พบว่า พันธุกรรมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางสติปัญญา 75% และสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพล 25% นอกจากนี้ในด้านเกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย โดยเฉพาะรูปร่างและหน้าตามีผลมาจากพันธุกรรมมากกว่าสิ่งแวดล้อม

85 ข้อใดอธิบายสภาวะของ Rh Factor ผิด

(1) ระบบเลือดของมารดาเข้าไปทําลายเม็ดเลือดแดงของตัวอ่อน

(2) มีอาการแท้ง

(3) เกิดการต่อต้านระหว่างเลือดของมารดา

(4) เลือดของมารดาจะทําลายเลือดของลูก

(5) ระบบการทํางานจากแม่สู่ลูก

ตอบ 5 หน้า 133 สภาวะของ Rh Factor หมายถึง การที่ระบบเลือดของมารดามีสารบางอย่างที่เข้าไปทําลายเม็ดเลือดแดงของตัวอ่อนในครรภ์ ทําให้เกิดอาการแท้งหรือตายหลังคลอดได้ สภาวะนี้ จะมี 2 ประเภท คือ ประเภทบวกและประเภทลบ ซึ่งถ้าลูกมีสภาวะของเลือดตรงข้ามกับมารดา (เลือดบิดาเป็น Rh บวก ซึ่งเป็นลักษณะเด่น แต่เลือดมารดาเป็น Rh ลบ ซึ่งเป็นลักษณะด้อย ลูกจะมี Rh บวก ตามลักษณะเด่นซึ่งตรงข้ามกับมารดา) จะทําให้เกิดการต่อต้านขึ้น โดยเลือดของมารดาจะก่อปฏิกิริยาทําลายเลือดของลูก

86 คนที่มีลักษณะ Endomorphy จะมีลักษณะอารมณ์เป็นอย่างไร

(1) อารมณ์ดี

(2) โมโหยาก

(3) มีน้ำใจเป็นนักกีฬา

(4) มีอารมณ์มั่นคง

(5) ดื้อดึง

ตอบ 1 หน้า 129, 295 เชลดอน (Sheldon) แบ่งรูปร่างของบุคคลออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1 รูปร่างอ้วนกลม (Endomorphy) มักจะมีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดี สนุกสนาน รักความสบายโกรธง่ายหายเร็วขึ้น้อยใจ พูดมาก ขี้บ่น คุยโอ และกินจุ ฯลฯ

2 รูปร่างผอมเกร็ง (Ectomorphy) มักจะมีนิสัยขี้อาย เฉย ๆ รักสันโดษ เก็บอารมณ์เก่งโมโหยากแต่หายช้า ไม่กล้าแสดงออก พูดน้อย ดื้อดึง และเอาแต่ใจตัวเอง ฯลฯ

3 รูปร่างสมส่วน (Mesomorphy) มักจะมีนิสัยกล้าแสดงออก รักกิจกรรมกลางแจ้งเป็นผู้ที่มีอารมณ์มั่นคง มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ฯลฯ

87 สิ่งใดที่ทําให้ยีนส์ที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง

(1) การใช้รังสี X-Ray

(2) การใช้ยา

(3) การเกิดอุบัติเหตุ

(4) การเกิดโรคไทรอยด์

(5) โลหิต

ตอบ 3 หน้า 124, 132 ในสภาพการณ์ที่เป็นปกติโดยทั่วไป ยีนส์ที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์เรานั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากการใช้รังสีเอกซเรย์ (X-Ray) หรือการใช้ยาบางชนิด รวมทั้งการเกิดโรคจากต่อมไทรอยด์และระบบเลือดของมารดา

88 สภาวะใดที่เป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา

(1) ความต้องการ

(2) แรงขับ

(3) แรงจูงใจ

(4) สิ่งเร้า

(5) การตอบสนอง

ตอบ 3 หน้า 225 แรงจูงใจ (Motive) หมายถึง สภาวะที่เป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่แรงจูงใจนั้นต้องการ

89 ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของแรงจูงใจ

(1) เข้าใจพฤติกรรมและควบคุมให้สามารถเลือกพฤติกรรมที่เหมาะสม

(2) เข้าใจพฤติกรรมและควบคุมพฤติกรรมของบุคคลอื่นได้

(3) เข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มสังคมให้มีพฤติกรรมไปในแนวทางที่ต้องการได้

(4) บังคับมิให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้

(5) เป็นแรงผลักดันทําให้มนุษย์แสวงหาอาหาร น้ำ อากาศ

ตอบ 5 หน้า 226 แรงจูงใจจะช่วยให้บุคคลได้รับประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1 ทําให้เข้าใจพฤติกรรมตนเองและควบคุมตนเองให้สามารถเลือกแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมและบังคับมิให้ตนเองแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้

2 เข้าใจพฤติกรรมของผู้อื่นและช่วยให้ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลอื่นได้

3 เข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มสังคมและจูงใจให้มีพฤติกรรมไปในแนวทางที่ต้องการได้

90 ข้อใดไม่ใช่สิ่งเร้าระดับความต้องการทางด้านร่างกาย

(1) อาหาร

(2) เครื่องนุ่งห่ม

(3) บ้าน

(4) ยา

(5) การแต่งกาย

ตอบ 4 หน้า 229 232 ลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow) มี 5 ระดับ ดังนี้

1 ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological Needs) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น อาหาร น้ำ – เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย (บ้าน) เพศตรงข้าม (การแต่งกาย) ฯลฯ

2 ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย (Safety and Security Needs) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น อาหารเสริม อุปกรณ์บริหารร่างกาย อุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ 3 ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (Love and Belonging Needs) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น บัตรอวยพร ภาพวาด หนังโรแมนติก ความสามัคคี ฯลฯ

4 ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น (Self-Esteem Needs) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น ตําแหน่ง – ถ้วยรางวัล โล่เกียรติยศ การประกาศเกียรติคุณ ปริญญาบัตร ฯลฯ

5 ความต้องการประจักษ์ตน (Self-Actualization) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น งานที่พึงพอใจ สถานที่หรือสถานการณ์ที่สร้างให้บุคคลเกิดความสุขทางใจ ฯลฯ

91 ข้อใดไม่ใช่สิ่งเร้าระดับความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย

(1) อุบัติเหตุ

(2) อุปกรณ์บริหารร่างกาย

(3) โรคภัยไข้เจ็บ

(4) อาหารเสริม

(5) ความหิว

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 90 ประกอบ

92 ข้อใดไม่ใช่สิ่งเร้าระดับความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ

(1) ได้บัตรอวยพร

(2) หนังโรแมนติก

(3) ภาพวาด

(4) มอบยาบํารุงร่างกาย

(5) ความสามัคคี

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 90 ประกอบ

93 ข้อใดไม่ใช่ Process ที่ทําให้เกิดกระบวนการจูงใจ

(1) แรงขับ

(2) ความต้องการ

(3) การตอบสนอง

(4) เป้าหมาย

(5) ความหิว

ตอบ 5 หน้า 227 กระบวนการ (Process) ที่ทําให้เกิดแรงจูงใจ มี 4 องค์ประกอบ คือ ความต้องการ (Needs), แรงขับ (Drive), การตอบสนอง (Response) และเป้าหมาย (Goal)

94 สถานที่หรือสถานการณ์ที่สร้างให้บุคคลเกิดความสุขทางใจ อยู่ในสิ่งเร้าลําดับขั้นความต้องการตามแนวคิด ของมาสโลว์ (Maslow)

(1) ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง

(2) ความต้องการความรักและการเป็นเจ้าของ

(3) ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น

(4) ความต้องการประจักษ์ตน

(5) ความต้องการทางด้านร่างกาย

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 90 ประกอบ

95 เมื่อเกิดอารมณ์เครียด ทําให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงในด้านใด

(1) การไหลเวียนโลหิต

(2) ระบบการย่อยอาหาร

(3) ระบบหายใจ

(4) ระบบการทํางานประสาทอัตโนมัติ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 260 261, (คําบรรยาย) เมื่อเกิดอารมณ์เครียดจะทําให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ เช่น การทํางานของระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบการย่อยอาหาร และระดับฮอร์โมนในสมองลดต่ำลง ซึ่งจะเป็นผลทําให้การเคลื่อนไหวของร่างกายเชื่องช้าลง ฯลฯ

96 สมองส่วนใดของร่างกายที่ควบคุมอารมณ์

(1) ซิมพาเธติก

(2) พาราซิมพาเธติก

(3) ธาลามัส

(4) ระบบประสาทลิมปิก

(5) ระบบประสาทอัตโนมัติ

ตอบ 3 หน้า 41 ธาลามัส (Thalamus) เป็นสมองส่วนหน้าของร่างกายที่ทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางการส่งกระแสประสาทมอเตอร์จากซีรีบรัมไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นศูนย์กลางรับกระแสประสาทสัมผัส (ยกเว้นสัมผัสกลิ่น) จากส่วนต่าง ๆ ไปยังซีรีบรัม และเป็นศูนย์ควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการตื่นและหลับ

97 อารมณ์ใดที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากที่สุด

(1) อารมณ์รัก

(2) อารมณ์เกลียด

(3) อารมณ์กลัว

(4) อารมณ์เศร้า

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 262 จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดอารมณ์กับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและพฤติกรรม พบว่า ในบรรดาอารมณ์ทั้งหลายนั้น อารมณ์ที่จัดว่าสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายได้มากที่สุด ก็คือ อารมณ์กลัวและอารมณ์โกรธ

98 อารมณ์ใดก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแอดรีนาลินจากต่อมหมวกไต

(1) อารมณ์กลัว

(2) อารมณ์โกรธ

(3) อารมณ์หวาดระแวง

(4) อารมณ์เศร้า

(5) อารมณ์วิตกกังวล

ตอบ 1 หน้า 263 อารมณ์กลัวจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแอดรีนาลิน (Adrenalin) จากต่อมหมวกไตส่วนอารมณ์โกรธจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนนอร์แอดรีนาลิน (Nor-adrenalin)

99 หลังจากเกิดการเร้าทางกายและพฤติกรรม จะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ หายใจหอบ หน้าแดง และเหงื่อออกนําไปสู่ประสบการณ์ทางอารมณ์ ตรงกับทฤษฎีของใคร (1) ทฤษฎีเจมส์-แลง

(2) ทฤษฎีแคนนอน-บาร์ด

(3) ทฤษฎีแทคเตอร์-ซิงเกอร์

(4) แนวคิดร่วมสมัย

(5) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

ตอบ 1 หน้า 269 ข้อสรุปของทฤษฎีอารมณ์ต่าง ๆ มีดังนี้ คือ

1 ทฤษฎีเจมส์-แลง สรุปว่า หลังจากที่เกิดการเร้าทางกายและพฤติกรรม จะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ หายใจหอบ หน้าแดง และเหงื่อออก นําไปสู่ประสบการณ์ทางอารมณ์

2 ทฤษฎีแคนนอน-บาร์ด สรุปว่า การเร้าทางอารมณ์ พฤติกรรม และประสบการณ์จะส่งผ่านทางธาลามัสพร้อม ๆ กัน

3 ทฤษฎีแซคเตอร์-ซิงเกอร์ สรุปว่า การเร้าอย่างเดียวไม่ทําให้เกิดอารมณ์ จะต้องมีการแปลความควบคู่ไปด้วย ฯลฯ

100 การเร้าทางอารมณ์ พฤติกรรม และประสบการณ์ จะส่งผ่านทางธาลามัสพร้อม ๆ กัน ตรงกับทฤษฎีของใคร

(1) ทฤษฎีเจมส์-แลง

(2) ทฤษฎีแคนนอน-บาร์ด

(3) ทฤษฎีแซคเตอร์-ซิงเกอร์

(4) แนวคิดร่วมสมัย

(5) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 99 ประกอบ

101 ข้อใดเป็นพฤติกรรมภายใน

(1) เอื้อมมือไปหยิบสิ่งของ

(2) ตักอาหารเข้าปาก

(3) ชอบอาชีพทหาร

(4) วิ่งไล่ตีสุนัข

(5) ให้ลูกดูดนม

ตอบ 3 หน้า 3, (คําบรรยาย) นักจิตวิทยามักจะสนใจศึกษาพฤติกรรมทั้งของมนุษย์และสัตว์โดยพฤติกรรมของมนุษย์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1 พฤติกรรมภายนอก เป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น การกิน การนอน การนั่ง การเดิน การวิ่ง การพูด การเล่นกีฬา การดูหนัง การฟังเพลง ฯลฯ

2 พฤติกรรมภายใน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดหรือสังเกตได้โดยตรง ต้องอาศัยวิธีการทางอ้อม โดยการสอบถามหรือสร้างเครื่องมือวัดและการพิสูจน์ทดลองจากหลักฐานข้อเท็จจริงที่สังเกตได้ เช่น การคิด การจํา การฝัน ทัศนคติ เจตคติ ความเชื่อ ความรู้สึก ความพอใจ ฯลฯ

102 ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการศึกษาทางจิตวิทยา

(1) การบรรยาย

(2) ทําความเข้าใจพฤติกรรม

(3) ควบคุมพฤติกรรม

(4) นําความรู้ ไปประยุกต์ใช้

(5) การกําหนดให้ผู้อื่นในทุกสิ่ง

ตอบ 5 หน้า 3, 5 – 7 จิตวิทยา คือ การศึกษาเชิงจิตวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบาย (บรรยาย) ทําความเข้าใจ ทํานาย (พยากรณ์) และควบคุมพฤติกรรม (โดยการนําความรู้ไปประยุกต์ใช้)

103 กลุ่มใดเน้นว่า “สิ่งแวดล้อมมีความสําคัญยิ่งจะช่วยทําให้เข้าใจในพฤติกรรมของมนุษย์”

(1) กลุ่มจิตวิเคราะห์

(2) กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(3) กลุ่มมนุษยนิยม

(4) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์

(5) กลุ่มหน้าที่ทางจิต

ตอบ 2 หน้า 10, (คําบรรยาย) กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) เน้นว่าสิ่งแวดล้อมมีความสําคัญมากที่สุดเพราะจะปั้นแต่งให้เด็กเป็นอะไรก็ได้ โดยสกินเนอร์ (Skinner) นักจิตวิทยาสมัยใหม่ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในกลุ่มนี้ กล่าวว่า “สิ่งแวดล้อมเป็นกุญแจสําคัญ การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ เราจะต้องพิจารณาว่า สิ่งแวดล้อมอะไรเกิดขึ้นต่ออินทรีย์ ก่อนและหลังการตอบสนองพฤติกรรมจะถูกปั้นและคงทนอยู่ได้ก็ด้วยสิ่งแวดล้อมเช่นนั้นแหละ…”

104 กลุ่มใดเน้นว่า “บุคลิกภาพของบุคคลได้พัฒนามาจากแรงจูงใจไร้สํานึก”

(1) กลุ่มจิตวิเคราะห์

(2) กลุ่มหน้าที่ของจิต

(3) กลุ่มจิตวิทยาการรู้คิด

(4) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์

(5) กลุ่มโครงสร้างทางจิต

ตอบ 1 หน้า 11 กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) เกิดจากแนวความคิดของฟรอยด์ (Freud) ซึ่งได้อธิบายว่า บุคลิกภาพของบุคคลพัฒนามาจากแรงจูงใจไร้สํานึก และความผิดปกติของบุคลิกภาพเนื่องมาจากการเก็บกดในวัยเด็ก

105 กลุ่มใดที่เน้นในเรื่อง “ปัญญา การคิด การใช้ภาษา การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์”

(1) กลุ่มโครงสร้างทางจิต

(2) กลุ่มมนุษยนิยม

(3) กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(4) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทีฟ

(5) กลุ่มหน้าที่ทางจิต

ตอบ 4 หน้า 12 กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทีฟ (Cognitive Psychology) สนใจศึกษาในเรื่องของปัญญาการคิด การใช้ภาษา การแก้ปัญหา จิตสํานึก ความคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการภายในจิตอื่น ๆ เพื่อนํามาอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์

106 ข้อใดเกี่ยวข้องกับลักษณะ “การวิเคราะห์ทางจิตด้วยตนเองหรือ Introspection”

(1) กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(2) กลุ่มโครงสร้างทางจิต

(3) กลุ่มมนุษยนิยม

(4) กลุ่มจิตวิทยาการรู้คิด

(5) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์

ตอบ 2 หน้า 9 กลุ่มโครงสร้างของจิต (Structuralism) สนใจศึกษาองค์ประกอบของจิตสํานึก 3 ลักษณะ คือ การรับสัมผัส ความรู้สึก และมโนภาพ ซึ่งระเบียบวิธีวิจัยศึกษาที่ใช้กันอยู่ ในกลุ่มนี้ ก็คือ วิธีการสังเกต-ทดลอง และการรายงานประสบการณ์ทางจิตด้วยตนเองหรือเรียกว่า Introspection คือ การมองภายในนั้นเอง

107 “การศึกษาอิทธิพลของการเล่นมือถือที่มีผลต่อการมีจริยธรรมตามสังคม” เป็นการศึกษาแบบใด

(1) การทดลอง

(2) การสังเกต

(3) การสํารวจ

(4) การทํา Case Study

(5) การทดสอบทางจิตวิทยา

ตอบ 3 หน้า 14 การสํารวจ (Survey) เป็นวิธีการศึกษาลักษณะบางลักษณะจากกลุ่มตัวอย่างบางกลุ่มที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดที่ต้องการศึกษา โดยการออกแบบสอบถาม หรือโดยการสัมภาษณ์ และนําคําตอบที่ได้ไปประมวลผลด้วยวิธีการทางสถิติ ซึ่งวิธีการสํารวจนี้ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น การสํารวจประชามติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การสํารวจอิทธิพล ของรายการโทรทัศน์ที่มีต่อพฤติกรรมการเลียนแบบ เป็นต้น

108 “การแสวงหาข้อเท็จจริง โดยการเฝ้ามองสถานการณ์ตามที่เป็นจริง” เป็นการศึกษาแบบใด

(1) การสังเกต

(2) การทดลอง

(3) การทํา Case Study

(4) การสํารวจ

(5) การทดสอบทางจิตวิทยา

ตอบ 1 หน้า 13 การสังเกต (Observation) เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการเฝ้ามองปรากฏการณ์หรือสถานการณ์ตามที่เป็นจริง โดยที่ผู้ถูกสังเกตไม่รู้ตัว แล้วจึงบันทึกรายละเอียดไว้ ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของคนในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติมากที่สุด

109 ข้อใดเป็นนักจิตวิทยาประยุกต์

(1) นักจิตวิทยาการทดลอง

(2) นักจิตวิทยาสังคม

(3) นักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อม

(4) นักจิตวิทยาพัฒนาการ

(5) นักจิตวิทยาวิศวกรรม

ตอบ 5 หน้า 16 – 18, 20 จิตวิทยาในปัจจุบันมีหลายสาขา ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

1 จิตวิทยาบริสุทธิ์ ได้แก่ จิตวิทยาการทดลอง

2 จิตวิทยาประยุกต์ ได้แก่ จิตวิทยาคลินิกและบริการให้คําปรึกษา จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ จิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาผู้บริโภค จิตวิทยาโรงเรียน จิตวิทยาวิศวกรรม จิตวิทยาประจําศาล และจิตวิทยาทางการแพทย์

3 จิตวิทยาบริสุทธิ์และประยุกต์ ได้แก่ จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาสังคม และจิตวิทยาสิ่งแวดล้อม

110 ข้อใดเป็นนักจิตวิทยาบริสุทธิ์และจิตวิทยาประยุกต์

(1) นักจิตวิทยาการศึกษา

(2) นักจิตวิทยาผู้บริโภค

(3) นักจิตวิทยาการทดลอง

(4) นักจิตวิทยาพัฒนาการ

(5) นักจิตวิทยาอุตสาหกรรม

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 109 ประกอบ

111 ข้อใดถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับลักษณะของการรวมกลุ่ม

(1) มีการคล้อยตาม

(2) มีบทบาทเหมือนกัน

(3) มีการทํางานร่วมกัน

(4) มีค่านิยมเหมือนกัน

(5) ต้องมีโครงสร้างและความสามัคคี

ตอบ 5 หน้า 377 – 378 กลุ่มประกอบด้วยคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่มาปฏิสัมพันธ์กัน โดยกลุ่มทุกกลุ่มจะมีลักษณะสําคัญ 2 ประการ คือ โครงสร้างของกลุ่มและความสามัคคีในกลุ่ม

112 ข้อใดตรงกับการแบ่งระยะห่างระหว่างบุคคลในระยะส่วนตัว

(1) กล่าวสุนทรพจน์

(2) ใช้กับเพื่อน เอื้อมมือถึงกัน

(3) ใช้กับคู่รัก

(4) การบรรยาย

(5) การแข่งมวยปล้ำ

ตอบ 2 หน้า 378 379 ระยะห่างระหว่างบุคคล แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ

1 ระยะสนิทสนม (Intimate Distance) 0 – 18 นิ้ว เป็นระยะใกล้ชิดที่มักใช้สื่อสารเฉพาะกับคนพิเศษ เช่น ใช้ระหว่างคู่รัก คนในครอบครัว รวมทั้งการแข่งมวยปล้ำ ฯลฯ

2 ระยะส่วนตัว (Personal Distance) 1 – 4 ฟุต เป็นระยะที่ใช้เมื่ออยู่กับเพื่อน อาจารย์ที่ปรึกษาให้คําปรึกษากับนักศึกษา มักเอื้อมมือถึงกันได้ และใช้ระดับเสียงพูดปกติ

3 ระยะสังคม (Social Distance) 4 – 12 ฟุต เป็นระยะที่ใช้พูดคุยทางสังคมและธุรกิจ

4 ระยะสาธารณะ (Public Distance) 12 ฟุตขึ้นไป เป็นระยะที่เป็นทางการมากขึ้น เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ การบรรยาย การหาเสียงเลือกตั้ง การแสดงคอนเสิร์ต ฯลฯ

113 ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่ดึงดูดให้คนเป็นมิตรกัน

(1) ติดต่อกันอยู่เสมอ

(2) มีหน้าตาดี

(3) ไม่ชอบโต้แย้ง

(4) มีอารมณ์ขัน

(5) มีความคล้ายคลึงกัน

ตอบ 3 หน้า 380 381 ปัจจัยที่ดึงดูดให้คนเป็นมิตรกัน ได้แก่ ความใกล้ชิดทางกาย (ทําให้มีการติดต่อกันอยู่เสมอ) ความมีเสน่ห์ดึงดูดทางกาย (เช่น มีหน้าตาดี มีอารมณ์ขัน) ความสามารถ ความคล้ายคลึงกัน และการเปิดเผยตนเอง

114 ข้อใดไม่ใช้วิธีการล้างสมองหรือการยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น

(1) มีการอภิปรายกลุ่ม

(2) มีการสื่อสารข้อมูลซ้ำ ๆ

(3) ใช้การสื่อสารทางเดียว

(4) ใช้การสะกดจิต

(5) สร้างสถานการณ์ให้คล้อยตาม

ตอบ 4 หน้า 383 วิธีการล้างสมองหรือการยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น เป็นสถานการณ์ที่ใช้องค์ประกอบ 4 ลักษณะพร้อม ๆ กัน คือ สถานการณ์การเสนอแนะ (มีการสื่อสารข้อมูลซ้ำ ๆ) สถานการณ์การคล้อยตาม การอภิปรายกลุ่ม และการใช้สารชักจูงใจ (ใช้การสื่อสารทางเดียว)

115 “เมื่อนักเรียนทําคุณงามความดี ครูให้คะแนนจิตพิสัย” ตรงกับอํานาจทางสังคมแบบใด

(1) อํานาจการให้รางวัล

(2) อํานาจตามความเชี่ยวชาญ

(3) อํานาจตามกฎหมาย

(4) อํานาจการบังคับ

(5) อํานาจตามการอ้างอิง

ตอบ 1 หน้า 385 386 อํานาจในการให้รางวัล (Reward Power) คือ ความสามารถในการให้รางวัลแก่บุคคลที่สามารถแสดงพฤติกรรมตามที่ปรารถนาได้ เช่น ครูให้รางวัลนักเรียนด้วยคะแนน หรือนายจ้างให้รางวัลลูกจ้างที่แสดงพฤติกรรมตามที่ตนต้องการในรูปของเงินเดือนและโบนัส เป็นต้น

116 ข้อใดตรงกับ “การสรุปพฤติกรรมจากประสบการณ์เดิม และทํานายพฤติกรรมอนาคตได้”

(1) เจตคติ

(2) การเกิดอคติ

(3) ค่านิยมของบุคคล

(4) อิทธิพลทางสังคม

(5) การแสดงพฤติกรรมได้เหมาะสม

ตอบ 1 หน้า 388 เจตคติ เป็นความพร้อมที่จะตอบสนองต่อบุคคล วัตถุ สถานการณ์ หรือสถาบันทั้งในทางบวกและทางลบ ไม่ว่าจะเป็นรสนิยม มิตรภาพระหว่างบุคคล การไปออกเสียงเลือกตั้ง ความชอบและจุดมุ่งหมาย ล้วนเกี่ยวข้องกับเจตคติทั้งสิ้น ดังนั้นเจตคติจึงเป็นการสรุปพฤติกรรมจากประสบการณ์เดิม และทํานายหรือชี้นําพฤติกรรมในอนาคตได้

117 “ก้าวร้าวแบบทดแทน เป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เราไม่ยอมรับ” เรียกว่าอะไร

(1) ความไม่ใส่ใจ

(2) พฤติกรรมก้าวร้าว

(3) อคติ

(4) เจตคติ

(5) เป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์

ตอบ 3 หน้า 392 อคติเป็นรูปแบบหนึ่งของแพะรับบาปซึ่งเป็นความก้าวร้าวทดแทน คือ การที่บุคคลแสดงความก้าวร้าวต่อผู้อื่นที่ไม่ใช่ผู้ทําให้ตนเกิดความไม่พอใจโดยตรง ทั้งนี้อคติอาจเกิดขึ้นได้จากการมีประสบการณ์โดยตรงกับผู้ที่เราไม่ยอมรับ 118 “เด็กแสดงความก้าวร้าวตามตัวแบบที่เห็นในภาพยนตร์” ตรงกับลักษณะใด (1) สัญชาตญาณ

(2) เป็นอาการทางสมอง

(3) การเรียนรู้ทางสังคม

(4) ต้องการเป็นฮีโร่

(5) ต้องการได้รับการยอมรับ

ตอบ 3 หน้า 395 แนวคิดที่อธิบายสาเหตุของความก้าวร้าวที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งอธิบายว่า คนเราเรียนรู้ความก้าวร้าวจากผู้อื่น นั่นคือ ความก้าวร้าว เป็นการเรียนรู้ที่ได้เห็นจากตัวแบบไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อม

119 เพราะเหตุใด “เห็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ล้ม แต่ไม่เข้าไปช่วยเหลือ”

(1) ความแล้งน้ำใจ

(2) ไม่รู้วิธีการช่วยเหลือ

(3) ไม่มีเวลาพอเพียง

(4) มีความรู้สึกแปลกแยก

(5) ไม่ไว้ใจในสถานการณ์

ตอบ 4 หน้า 395 เหตุผลที่ทําให้คนหลายคนไม่ให้ความช่วยเหลือคนที่ถูกรถชน ได้แก่ ความรู้สึกแปลกแยกของคนในเมือง มีคนอยู่ในเหตุการณ์หลายคนจึงเกิดการกระจายความรับผิดชอบ

120 ข้อใดเป็นพฤติกรรม “มีการยอมรับนับถือตนเองทั้งในเวลานั้นและเวลาต่อมา” (1) ความก้าวร้าว

(2) การกระจายความรับผิดชอบ

(3) การเรียนรู้ทางสังคม

(4) การกล้าแสดงออก

(5) การแสดงออกที่เหมาะสม

ตอบ 5 หน้า 397 พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม มีดังนี้

1 มีอารมณ์ที่เหมาะสม แน่นอน จริงใจ ถูกต้อง เชื่อมั่นในตนเอง กล้าที่จะแสดงความรู้สึก

2 มีความรู้สึกเชื่อมั่น ยอมรับนับถือตนเองทั้งในเวลานั้นและเวลาต่อมา

3 รู้สึกเห็นคุณค่าที่ได้รับการยอมรับและอยากสนทนาด้วย

4 รู้สึกว่าเป็นผู้น่าศรัทธา ทําให้เกิดการยอมรับนับถือ

POL2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก

คําสั่ง ข้อสอบเป็นอัตนัยมีทั้งหมด 2 ข้อๆ

ข้อ 1 จงอธิบายความหมายของแนวความคิดเกี่ยวกับรัฐและอํานาจต่อไปนี้

1.1ลัทธิชินโต

แนวคําตอบ

สัทธิชินโต เชื่อว่าจักรพรรดิ (มิกาโดหรือเทนโน) เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพหรือ พระอาทิตย์โดยไม่ขาดสาย พระจักรพรรดิเป็นผู้ที่ทรงอวตารมาจากพระอาทิตย์ พระราชอํานาจของพระจักรพรรดิ เป็นพระราชอํานาจที่ได้รับมอบหมายมาจากพระอาทิตย์ ชาวญี่ปุ่นถือว่าพระจักรพรรดิเป็นหัวหน้าครอบครัวของคนทั้งชาติ และถือว่าคนญี่ปุ่นเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมด คือเป็นลูกพระอาทิตย์ ซึ่งความเคารพพระจักรพรรดิ ดังกล่าวเรียกว่า “ลัทธิมิกาโด” (Mikadoism)

ความที่ว่าพระจักรพรรดิมาจากสุริยเทพนี้เอง ทําให้การเมืองกับศาสนาแยกจากกันไม่ออก ดังนั้นระบบการปกครองของญี่ปุ่นจึงเป็นระบบที่เรียกว่า “ไซเซอิ-อิทชิ” ซึ่งแปลว่า “การรวมกันแห่งศาสนา และการปกครอง” โดยมีพระจักรพรรดิหรือเทนโนเป็นศูนย์รวม เป็นสัญลักษณ์ของชาติและความสามัคคีของ ประชาชน

 

1.2 รัฐอิสลาม

แนวคําตอบ

รัฐอิสลาม เป็นรัฐในอุดมคติ ผู้ปกครองประเทศและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดําเนินงานด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองอิสลาม ใช้รูปแบบการปกครองของอิสลาม และสร้างวิถีชีวิตของคนในรัฐ ให้ศรัทธาในความเป็นเอกภาพของพระอัลเลาะห์ ซึ่งรัฐที่พอจะอนุโลมได้ว่าเป็นรัฐอิสลาม คือ รัฐภายใต้การปกครอง สมัยพระนบีมุฮัมหมัดและคอลีฟะฮ์ทั้งสี่ ได้แก่ อาบูบัคร์ อมาร์ อุธมาน และอาลี

 

1.3 ลัทธิป้าเจ่ง

แนวคําตอบ

ลัทธิป้าเจ่ง (การปกครองแบบเดชานุภาพ) คือ การใช้อิทธิพลทางทหารและกําลังในการปกครอง ซึ่งการปกครองแบบนี้จะทําให้เกิดการเสียเลือดเนื้ออันเนื่องมาจากการรบพุ่งแย่งชิงอํานาจ

 

1.4 ลัทธิเซียวคัง

แนวคําตอบ

ลัทธิเซียวคัง เป็นแนวคิดที่มีความเป็นไปได้ในปัจจุบัน โดยเสนอว่าถ้ายังไม่สามารถสร้างรัฐบาลโลกได้ ก็ให้มีรัฐบาลของแต่ละชาติ แต่ละประเทศ แต่ละรัฐไปพลาง ๆ ก่อน จุดสําคัญก็คือกษัตริย์หรือ เจ้าผู้ครองนครต้องทําหน้าที่ดุจพ่อเมืองอย่างแท้จริง และปกครองแบบพ่อปกครองลูกรัฐบาลต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต สามารถทําให้เกิดความสงบสุขในแต่ละแว่นแคว้นได้ ซึ่งสันติสุขที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในวงแคบเฉพาะชาติเฉพาะรัฐ เรียกว่า “จุลสันติสุข” (เซ็งเพ้ง)

 

1.5 ลัทธิเต๋า

แนวคําตอบ

ลัทธิเต๋า (เหลาจื้อ) มีหลักการสําคัญดังนี้

1 เป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ดีกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น

2 รัฐบาลชอบใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทดลองนโยบายใหม่ ๆ ที่ตนเชื่อว่าจะได้ผลดีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผู้ปกครองนํามาใช้ไม่ได้ช่วยประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้นการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า ไม่จําเป็นต้องมาสร้างกฎเกณฑ์กฎหมายต่าง ๆ

3 ความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาของมนุษย์เป็นภัยต่อสังคม เพราะมนุษย์ที่ยังไม่เข้าถึงเต๋าชอบใช้ความเฉลียวฉลาดของตนไปในทางกอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเอง ทุจริต และเบียดเบียนผู้อื่น

4 ไม่จําเป็นต้องมีโรงเรียน เพราะถ้ามนุษย์เรียนรู้กว้างขวางมาก ก็ยากที่จะห้ามคนเหล่านี้ให้ใช้สติปัญญาผลิตสิ่งแปลกใหม่หรือต่อสู้แข่งขันกันได้ โดยคนฉลาดนั้นย่อมรู้วิธีเลี่ยงกฎหมาย รัฐบาลก็ต้องออกกฎหมายเพิ่มเติมไม่มีที่สิ้นสุด และรัฐบาลก็อาจทําผิดกฎหมายเสียเอง

5 การปกครองควรทําให้เป็นรัฐเล็ก ๆ มีพลเมืองน้อย ๆ เพื่อให้ปกครองง่าย เพราะการมีคนมากเรื่องก็ยุ่งมาก มีคนน้อยเรื่องก็ยุ่งน้อย

6 นักปกครองที่ดีจะต้องปกครองแบบแม่ปกครองลูก ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น และมีคุณธรรม

7 การปกครองที่ดีที่สุดเรียกว่า “บ้ออุ้ยยื่อตี่” คือ การปกครองโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับ

ประชาชนมากเกินไป ให้ทุกคนมีอิสระเสรีเต็มที่

8 ควรใช้ความนุ่มนวลในการปกครองประเทศ โดยกล่าวว่า “เมื่อปกครองประเทศด้วยความนุ่มนวล ประชาชนก็จะซื่อสัตย์และจริงใจ เมื่อปกครองประเทศด้วยความรุนแรง ประชาชนก็จะใช้เล่ห์กลและหลอกลวง

 

ข้อ 2 ให้นักศึกษาทําข้อสอบทั้งข้อ ก. และ ข.

ก ศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองประเทศอินเดียอย่างไร

แนวคําตอบ

ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ได้แบ่งสังคมอินเดียออกเป็น 4 วรรณะ คือ

1 พราหมณ์ (ชนชั้นนักบวช/ผู้ประกอบพิธี) เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องพระพรหมอันเป็น หลักการสูงสุด โดยจะทําหน้าที่เป็นครู (Guru) คือ เป็นผู้ที่มีหน้าที่ในด้านการให้ความรู้และปัญญาแก่สังคม ให้การศึกษาแก่ผู้อื่น ทําพิธีบูชาต่าง ๆ ของตนเองและเพื่อผู้อื่น โดยเชื่อกันว่าพราหมณ์เกิดจากปากของพระพรหม และมีสีขาวเป็นสีประจําวรรณะ

2 กษัตริย์หรือขัตติยะหรือราชันย์ (ชนชั้นนักรบ) ซึ่งเป็นชนชั้นสูง มีหน้าที่รักษาความมั่นคง ของประเทศทั้งภายนอกและภายใน นอกจากนี้ยังต้องศึกษาในชั้นสูง ทําพิธีบูชาต่าง ๆ ของตนเอง และทําบุญให้ทาน โดยเชื่อกันว่ากษัตริย์เกิดจากแขนของพระพรหม และมีสีแดงเป็นสีประจําวรรณะ

3 แพศย์หรือไวศยะ (ชนชั้นกสิกร/พ่อค้า) เป็นวรรณะที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาด้าน เศรษฐกิจของอินเดียอย่างยิ่ง คือจะมีบทบาทสําคัญในเรื่องเศรษฐกิจ มีหน้าที่สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจด้วย การประกอบอาชีพกสิกรรมและการค้าขาย โดยเชื่อกันว่าแพศย์เกิดจากตะโพกของพระพรหม และมีสีเหลือง เป็นสีประจําวรรณะ

4 ศูทร (ชนชั้นกรรมกร/ทาส) เป็นผู้ทําหน้าที่ในด้านการใช้แรงงานและการให้บริการ เป็นพวกที่ทํางานเป็นคนงาน นายช่าง คนเลี้ยงวัวควาย คนไถนา ซึ่งต้องรับใช้ 3 ชนชั้นแรก เป็นชนชั้นที่ไม่มีสิทธิ เป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่า และไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านพระเวทและใช้อาวุธ โดยเชื่อกันว่าศูทรเกิดจากเท้าของพระพรหม และมีสีดําเป็นสีประจําวรรณะ

อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ที่มีต่อสังคมอินเดีย ได้แก่

1 ทําให้ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นสังคมปิด คือ เมื่อเกิดวรรณะใด วรรณะหนึ่งแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนหรือย้ายวรรณะได้ จึงทําให้เปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้

2 การทําหน้าที่ตามวรรณะทั้ง 4 นั้นถือเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการทําตามพระประสงค์ ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ทําตามความจําเป็นของสังคม และไม่ได้อยู่ภายใต้อํานาจของสังคม รัฐ หรือผู้ปกครอง

3 วรรณะจะเป็นตัวกําหนดหน้าที่ของมนุษย์ ว่าใครทําหน้าที่อะไร และแต่ละหน้าที่ก็จะไม่ก้าวก่ายกัน ซึ่งสามารถลดความขัดแย้งและลดการฆ่าฟันกันเพราะแย่งชิงหน้าที่กัน

4 การแบ่งวรรณะถือเป็นการจัดระเบียบของสังคมที่ยอมรับว่ามนุษย์นั้นมีสถานะทาง สังคมสูง-ต่ำ ลดหลั่นกันตามลําดับ ทําให้มีการดูหมิ่นคนที่อยู่ในวรรณะต่ำกว่า

5 ระบบวรรณะนี้จะก่อให้เกิดความแตกต่างในด้านเชื้อชาติ อาชีพ ภาษา เผ่าพันธุ์ แหล่งที่อยู่อาศัย สังคม และศักดิ์ศรีของมนุษย์

6 ประชาชนจะผูกพันกับครอบครัว วรรณะ กลุ่มอาชีพ และหมู่บ้านมากกว่ารัฐ

7 มีกลุ่มประชาชนที่มิได้อยู่ในระบบสังคม คือ พวก “จัณฑาล” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการดูถูกเหยียดหยามหรือถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ทางศาสนาของชุมชน ไม่สามารถจะสนทนาหรือมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนในระบบได้ เป็นต้น

 

ข อคติ 4 ใช้แก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ของข้าราชการไทยอย่างไรในปัจจุบัน

แนวคําตอบ

หลักอคติ 4

อคติ 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับความลําเอียง 4 ประการ ซึ่งมีผลกับการปกครองและผู้ปกครอง ไม่ควรประพฤติเป็นอย่างยิ่ง และสามารถนํามาใช้แก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ของข้าราชการไทยได้ดังนี้

1 ฉันทาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะชอบหรือความรักใคร่ กล่าวคือ แม้ความรักจะเป็นสิ่งที่ทําให้มนุษย์อยู่ร่วมกันโดยปกติสุข แต่หากความรักทําให้จิตใจของเราไม่ตรง คิดเอนเอียง ความรักก็จะนําผลร้ายเข้ามาสู่ตัวเองได้ ดังนั้นผู้บังคับบัญชาจะต้องไม่อ้างเอาความรักใคร่หรือความชอบพอส่วนตัวของตนเองไป สร้างประโยชน์ให้ญาติพี่น้อง พวกพ้องและคนสนิท เมื่อมีความอคติ ใจไม่เป็นกลางก็จะมีการปฏิบัติต่อทุกคนไม่เหมาะสม เช่น การตัดสินความผิดทั้งที่รู้ว่าพรรคพวกของตนเองผิด แต่มิได้กระทําการลงโทษตามระเบียบวินัย ขององค์กร เป็นต้น

2 โทสาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะชังหรือความโกรธเกลียด กล่าวคือ ผู้บังคับบัญชาที่มีความลําเอียงเพราะความโกรธ ไม่ชอบหรือเกลียดชังนั้นมักจะทําการกลั่นแกล้ง ทําร้ายคนที่ตัวเองเกลียดชังโดยไม่แยกแยะเรื่องความถูกต้อง ระเบียบและกฎเกณฑ์ที่พึงปฏิบัติ หากตัดสินใจเพียงเพราะความโกรธเกลียดแล้ว ย่อมมีผลกระทบถึงผู้ที่ทําการตัดสินใจได้ เช่น ผู้บังคับบัญชาทําการกลั่นแกล้งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตนไม่ชอบเป็นการส่วนตัว เพียงเพราะมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ทําให้มีอคติต่อกัน เมื่อถึงคราวพิจารณาความดีความชอบ กลับมองข้ามไป ทั้งที่เป็นสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นควรจะได้ เป็นต้น ดังนั้นการก้าวเข้าสู่การเป็นผู้บริหารของผู้บังคับบัญชา ควรระมัดระวังในเรื่องการใช้อารมณ์ ต้องระงับอารมณ์โกรธและอารมณ์ไม่พอใจให้ได้

3 โมหาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะหลงหรือความโง่เขลา กล่าวคือ หาก ผู้บังคับบัญชามีความหลงผิด ความไม่รู้หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะความสะเพร่า ไม่มีการพิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วน ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดมิควร หลงไปตามคําพูดที่กล่าวอ้าง ขาดข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น ทันทีที่ผู้บังคับบัญชาได้รับข้อมูลในทางที่ไม่ดีของผู้ใต้บังคับบัญชาก็หลงเชื่อในสิ่งนั้น และเรียกมาลงโทษว่ากล่าวตักเตือน โดยมิได้มีการสอบสวนให้แน่ชัดถึงความถูกต้องของข้อมูล เป็นต้น ดังนั้นการกระทําทุกอย่างไม่ว่าจะแสดงออก ทางกาย วาจา ใจ ผู้บังคับบัญชาควรใช้สติปัญญาในการไตร่ตรอง รู้เท่าทันเหตุการณ์ที่แท้จริง ใจต้องหนักแน่น มิหลงเชื่อในสิ่งที่งมงายที่คอยขัดขวางความเจริญขององค์กร

4 ภยาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะกลัวหรือเกรงใจ เกรงอิทธิพล กล่าวคือ ผู้บังคับบัญชาจะต้องมีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และเด็ดขาดในการตัดสินใจ ไม่เกรงกลัวต่ออํานาจอิทธิพล ตั้งมั่นในความถูกต้อง เช่น หากผู้บังคับบัญชาใช้ระบบการปกครองแบบเสรี ขาดการควบคุมในการทํางาน เพียงเพราะเกรงว่า ลูกน้องจะไม่รัก หรือในกรณีที่ลูกน้องทําผิดก็ไม่กล้าลงโทษ เพราะกลัวว่าภัยจะมาถึงตัวเอง เป็นต้น ซึ่งความลําเอียงดังกล่าวถือได้ว่าเป็นตัวบั่นทอนความเชื่อถือ ความศรัทธาในการปกครองคนของผู้นํา หากเกิดขึ้นในตัวผู้นําเมื่อใดแล้ว ความเดือดร้อนก็จะตามมาอย่างแน่นอน

POL2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก

คําสั่ง

ข้อสอบเป็นอัตนัยมีทั้งหมด 2 ข้อ ๆ ละ 50 คะแนน

ข้อ 1. จงอธิบายความแตกต่างของแนวความคิดเกี่ยวกับรัฐและอํานาจดังต่อไปนี้โดยสังเขป

1.1 ลัทธิเซียวคังกับลัทธิบูชิโด

แนวคําตอบ

ลัทธิเซียวดัง เป็นแนวคิดที่มีความเป็นไปได้ในปัจจุบัน โดยเสนอว่าถ้ายังไม่สามารถสร้างรัฐบาลโลกได้ ก็ให้มีรัฐบาลของแต่ละชาติ แต่ละประเทศ แต่ละรัฐไปพลาง ๆ ก่อน จุดสําคัญก็คือกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองนครต้องทําหน้าที่ดุจพ่อเมืองอย่างแท้จริง และปกครองแบบพ่อปกครองลูกรัฐบาลต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต สามารถทําให้เกิดความสงบสุขในแต่ละแว่นแคว้นได้ ซึ่งสันติสุขที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในวงแคบเฉพาะชาติเฉพาะรัฐ เรียกว่า “จุลสันติสุข” (เซ็งเพ้ง)

ลัทธิบูชิโด เป็นลัทธิชาตินิยมอย่างแรงกล้าของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นหลักจรรยาของชนชาติทหาร และเป็นหลักจริยธรรมของนักรบ โดยจะมีหน้าที่สําคัญดังนี้

1 ให้จงรักภักดีต่อพระจักรพรรดิ

2 ทหารทุกคนต้องยอมตายแทนพระจักรพรรดิ

3 ทหารต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้น

4 ชายญี่ปุ่นทุกคนต้องเป็นทหาร

5 ชาวญี่ปุ่นถือว่าพระจักรพรรดิเป็นหัวหน้าครอบครัวของคนทั้งชาติ และถือว่าคนญี่ปุ่นเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมด คือเป็นลูกพระอาทิตย์

6 ประชาชนต้องเชื่อฟังทหาร ไม่เช่นนั้นจะถือว่าไม่ภักดีต่อพระจักรพรรดิ ใครทําร้ายทหารเท่ากับทําร้ายพระจักรพรรดิ

ในปี พ.ศ. 2447 – 2448 ปรากฏว่าทหารของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิสามารถทําสงครามชนะ ประเทศรัสเซียได้ ทําให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศมหาอํานาจ และเกิดความรู้สึกว่าญี่ปุ่นก็สามารถเป็นมหาอํานาจ ทางตะวันออกได้เช่นเดียวกับมหาอํานาจทางตะวันตก ทําให้ชาวญี่ปุ่นต้องการเป็นมหาอํานาจแห่งเอเชียบูรพา ซึ่งความรักชาติได้กลายเป็นความหลงชาติ และทําให้บูชิโดกลายเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์

 

1.2 ลัทธิป้าเจ่งกับลัทธิยิ้นเจ่ง

เม่งจื้อ แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1 การปกครองแบบเดชานุภาพ (ลัทธิป้าเจ่ง) คือ การใช้อิทธิพลทางทหารและกําลัง ในการปกครอง ซึ่งการปกครองแบบนี้จะทําให้เกิดการเสียเลือดเนื้ออันเนื่องมาจากการรบพุ่งแย่งชิงอํานาจ

2 การปกครองแบบธรรมานุภาพ (ลัทธิยิ้นเจ่ง) คือ การใช้คุณธรรมและความเมตตา กรุณาในการปกครอง เพราะสามารถทําให้บรรลุความสําเร็จได้ดีกว่า แม้จะมีเขตแดนเพียงเล็กน้อยก็ตาม โดยชี้ให้เห็นว่าผู้ปกครองที่ดูแลประชาชนเป็นอย่างดีเท่านั้น จึงจะได้รับการสนับสนุนและความจงรักภักดีจากประชาชน พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อผู้ปกครองของตนในสงครามได้

 

1.3 รัฐอิสลามกับรัฐมุสลิม

แนวคําตอบ

รัฐอิสลาม เป็นรัฐในอุดมคติ ผู้ปกครองประเทศและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดําเนินงานด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองอิสลาม ใช้รูปแบบการปกครองของอิสลาม และสร้างวิถีชีวิตของคนในรัฐ ให้ศรัทธาในความเป็นเอกภาพของพระอัลเลาะห์ ซึ่งรัฐที่พอจะอนุโลมได้ว่าเป็นรัฐอิสลาม คือ รัฐภายใต้การปกครอง สมัยพระนบีมุฮัมหมัดและคอลีฟะฮ์ทั้งสี่ ได้แก่ อาบูบัคร์ อุมาร์ อุธมาน และอาลี

รัฐมุสลิม เป็นรัฐที่เป็นจริงในโลก ผู้ปกครองประเทศและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับรัฐอิสลาม แต่จะอนุโลมให้ใช้รูปแบบการปกครองแบบสากลได้ มีสภาปกติเหมือนทั่ว ๆ ไปที่เป็น ไม่ได้เคร่งครัดแบบรัฐอิสลาม แต่เนื้อหาอาจจะต้องสอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม จะได้ไม่ขัดแย้งกัน เช่น ระบอบรัฐสภา (มาเลเซีย) ระบอบประธานาธิบดี (อียิปต์, ลิเบีย, อินโดนีเซีย) และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นต้น

 

1.4 ลัทธิขงจือกับลัทธิเต๋า

แนวคําตอบ

ลัทธิขงจื้อ มีหลักการสําคัญดังนี้

1 ชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา และการเมือง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และอุดมคติทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา และการเมือง ต่างก็มีจุดศูนย์กลางที่ศีลธรรมเช่นเดียวกัน

2 ต่อต้านการปกครองที่กดขี่ทารุณ โดยกล่าวว่า “รัฐบาลที่กดขี่ทารุณนั้นร้ายยิ่งกว่าเสือเสียอีก”

3 กองทัพไม่สามารถสู้รบอย่างมีประสิทธิผลได้ถ้าทหารไม่รู้ว่าพวกเขาจะสู้ไปทําไม โดยกล่าวว่า “การนําประชาชนที่ไม่ได้รับการศึกษาไปสู่สงคราม ก็เท่ากับว่านําพวกเขาไปทิ้ง”

4 ให้ความสําคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก

5 การปกครองนั้นควรมีจุดมุ่งหมายในการนําสวัสดิการและความสุขมาสู่ประชาชนทั้งมวล โดยต้องมีผู้ปกครองที่มีความสามารถในการบริหารซึ่งไม่ใช่มาจากชาติกําเนิด ความร่ำรวยหรือตําแหน่ง แต่มาจากการได้รับการศึกษาที่เหมาะสม

  1. การปกครองที่ดีคือการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และจะต้องมีลักษณะ “คุ้มครองมากกว่าปกครอง”

7 การใช้อํานาจนั้นจะต้องคํานึงถึงคุณธรรม โดยกล่าวว่า “เมื่อผู้ปกครองเองทําถูกต้องเขาย่อมมีอํานาจเหนือประชาชนโดยมิต้องออกคําสั่ง แต่เมื่อผู้ปกครองเองไม่ทําสิ่งที่ถูกต้อง คําสั่งทั้งปวงของเขาก็ใช้ไม่ได้เลย”

8 รากฐานของอาณาจักรคือรัฐ รากฐานของรัฐคือครอบครัว รากฐานของครอบครัวคือตัวเอง

 

ลัทธิเต๋า (เหลาจื้อ) มีหลักการสําคัญดังนี้

1 มีแนวคิดทางการเมืองการปกครองแบบเสรีนิยมและธรรมชาตินิยม โดยเชื่อว่า กฎธรรมชาติเป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ดีกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น

2 รัฐบาลชอบใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทดลองนโยบายใหม่ ๆ ที่ตนเชื่อว่าจะได้ผลดีกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผู้ปกครองนํามาใช้ไม่ได้ช่วยประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้นการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า ไม่จําเป็นต้องมาสร้างกฎเกณฑ์กฎหมายต่าง ๆ

3 ความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาของมนุษย์เป็นภัยต่อสังคม เพราะมนุษย์ที่ยังไม่เข้าถึงเต๋าชอบใช้ความเฉลียวฉลาดของตนไปในทางกอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเอง ทุจริต และเบียดเบียนผู้อื่น

4 ไม่จําเป็นต้องมีโรงเรียน เพราะถ้ามนุษย์เรียนรู้กว้างขวางมาก ก็ยากที่จะห้ามคนเหล่านี้ให้ใช้สติปัญญาผลิตสิ่งแปลกใหม่หรือต่อสู้แข่งขันกันได้ โดยคนฉลาดนั้นย่อมรู้วิธีเลี่ยงกฎหมาย รัฐบาลก็ต้องออกกฎหมายเพิ่มเติมไม่มีที่สิ้นสุด และรัฐบาลก็อาจทําผิดกฎหมายเสียเอง

5 การปกครองควรทําให้เป็นรัฐเล็ก ๆ มีพลเมืองน้อย ๆ เพื่อให้ปกครองง่าย เพราะการมีคนมากเรื่องก็ยุ่งมาก มีคนน้อยเรื่องก็ยังน้อย

6 นักปกครองที่ดีจะต้องปกครองแบบแม่ปกครองลูก ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น และมีคุณธรรม

7 การปกครองที่ดีที่สุดเรียกว่า “บ้ออุ้ยยื่อตี่” คือ การปกครองโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับประชาชนมากเกินไป ให้ทุกคนมีอิสระเสรีเต็มที่

8 ควรใช้ความนุ่มนวลในการปกครองประเทศ โดยกล่าวว่า “เมื่อปกครองประเทศด้วยความนุ่มนวล ประชาชนก็จะซื่อสัตย์และจริงใจ เมื่อปกครองประเทศด้วยความรุนแรง ประชาชนก็จะใช้เล่ห์กลและหลอกลวง

 

 

1.5 ลัทธิธรรมชาตินิยมและลัทธิเสรีนิยมตามแนวคิดของเหลาจื้อ

แนวคําตอบ

ลัทธิธรรมชาตินิยมและลัทธิเสรีนิยม ตามแนวคิดของเหลาจื้อ

1 การพยายามทําสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ เปรียบเสมือนกับการแกว่งเท้าหาเสี้ยน หาเหาใส่หัวตนเอง และสอนให้มนุษย์ปรับตนเข้ากับสภาพแวดล้อมได้โดยไม่สูญเสียอุดมคติของตนไป ดุจดังน้ำที่อยู่ในขวดก็ มีรูปดังขวด อยู่ในโอ่งก็มีรูปทรงดังโอ่ง แต่ความเป็นน้ำก็มิได้สูญหายไป

2 สังคมนั้นมีปัญหาก็เพราะมนุษย์ผืนธรรมชาติและเปรียบเทียบแข่งขันกัน ถ้าทุกคน ครองชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่เปรียบเทียบแข่งขันกัน ก็จะระงับปัญหาสังคมได้ คนในสังคมมักนิยมความร่ำรวย ชิงชังความยากจน แต่คนยิ่งรวยก็ยิ่งทุกข์เพราะความรวยไม่สามารถใช้ซื้อความทุกข์ใจได้ ยิ่งรวยยิ่งรู้สึกหวงแหน ทรัพย์สมบัติมากขึ้น เมื่อถึงคราววิบัติก็ทุกข์โศกมากกว่าคนที่ยากจน ดังนั้นสังคมจะสงบสุขได้ต่อเมื่อมนุษย์รู้จักพอ

3 กฎธรรมชาติเป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ดีกว่ากฎหมายที่มนุษย์บัญญัติ โดยเหลาจื้อเห็นว่า สันติภาพที่แท้จริงเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากมนุษย์ชอบฝืนธรรมชาติ โดยพยายามกําหนดระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นมา ใช้เป็นเครื่องมือในการปกครอง

4 การปกครองเน้นเสรีนิยม คือการปกครองโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับประชาชนมากเกินไป ให้ ทุกคนมีอิสรเสรีเต็มที่ รัฐบาลอย่าไปก้าวก่ายเสรีภาพของประชาชน ประชาชนก็อย่าก้าวก่ายเสรีภาพซึ่งกันและกัน

5 เน้นการปกครองที่เรียกว่า “เซียวก๊กกั้วมิ้น” คือ การทําให้เป็นรัฐเล็ก ๆ มีพลเมือง น้อย ๆ เพื่อให้ปกครองง่าย เพราะการมีคนมากเรื่องก็ยุ่งมาก มีคนน้อยเรื่องก็ยุ่งน้อย ประเทศใหญ่ย่อมสิ้นเปลืองเศรษฐกิจมาก ประเทศเล็กย่อมสิ้นเปลืองเศรษฐกิจน้อย

6 รัฐบาลที่ปกครองประชาชนโดยประชาชนไม่รู้สึกว่าถูกปกครอง เพราะใช้การปกครอง แบบเสรีนิยมและธรรมชาตินิยม วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิธีการปกครองที่ดีที่สุด ส่วนรัฐบาลที่ปกครองประชาชนโดย ใช้อํานาจกดขี่และยุ่งเกี่ยวกับความเป็นอยู่ส่วนตัวของประชาชน จนทําให้ประชาชนไม่เป็นตัวของตัวเอง ถือว่า เป็นวิธีการปกครองที่เลวที่สุด

 

ข้อ 2 ให้นักศึกษาทําข้อสอบทั้งข้อ ก. และ ข.

ก จงวิเคราะห์ถึงผลของระบบวรรณะที่มีต่อการเมืองการปกครองของประเทศอินเดียมาอย่างชัดเจน

แนวคําตอบ

ผลของระบบวรรณะที่มีต่อการเมืองการปกครองของประเทศอินเดีย

ระบบวรรณะจะเป็นตัวกําหนดหน้าที่ของคนอินเดีย ว่าใครทําหน้าที่อะไร และแต่ละหน้าที่ก็จะไม่ก้าวก่ายกัน ซึ่งทําให้สามารถลดความขัดแย้งและลดการฆ่าฟันกันเพราะแย่งชิงหน้าที่กัน โดยศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดูได้แบ่งสังคมออกเป็น 4 วรรณะ ได้แก่ นั

1 พราหมณ์ (ชนชั้นนักบวช/ผู้ประกอบพิธี) เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องพระพรหมอันเป็น หลักการสูงสุด โดยจะทําหน้าที่เป็นครู (Guru) คือ เป็นผู้ที่มีหน้าที่ในด้านการให้ความรู้และปัญญาแก่สังคม ให้การศึกษาแก่ผู้อื่น ทําพิธีบูชาต่าง ๆ ของตนเองและเพื่อผู้อื่น

2 กษัตริย์หรือขัตติยะหรือราชันย์ (ชนชั้นนักรบ) ซึ่งเป็นชนชั้นสูง มีหน้าที่รักษาความมั่นคงของประเทศทั้งภายนอกและภายใน นอกจากนี้ยังต้องศึกษาในชั้นสูง ทําพิธีบูชาต่าง ๆ ของตนเอง และทําบุญให้ทาน

3 แพศย์หรือไวศยะ (ชนชั้นกสิกร/พ่อค้า) เป็นวรรณะที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาด้าน เศรษฐกิจของอินเดียอย่างยิ่ง คือจะมีบทบาทสําคัญในเรื่องเศรษฐกิจ มีหน้าที่สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วยการประกอบอาชีพกสิกรรมและการค้าขาย

4 ศูทร (ชนชั้นกรรมกร/ทาส) เป็นผู้ทําหน้าที่ในด้านการใช้แรงงานและการให้บริการ เป็นพวกที่ทํางานเป็นคนงาน นายช่าง คนเลี้ยงวัวควาย คนไถนา ซึ่งต้องรับใช้ 3 ชนชั้นแรก เป็นชนชั้นที่ไม่มีสิทธิ เป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่า และไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านพระเวทและใช้อาวุธ

การทําหน้าที่ตามวรรณะทั้ง 4 นี้ถือเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการทําตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ทําตามความจําเป็นของสังคม และไม่ได้อยู่ภายใต้อํานาจของสังคม รัฐ หรือผู้ปกครอง

ระบบวรรณะดังกล่าวนั้นทําให้ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นสังคมปิด คือ เมื่อเกิดวรรณะใดวรรณะหนึ่งแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนหรือย้ายวรรณะได้ จึงทําให้เปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้

ความเชื่อในเรื่องระบบวรรณะนี้มีอิทธิพลไม่เพียงแต่กําหนดความแตกต่างในด้านเชื้อชาติเท่านั้น แต่ยังทําให้เกิดความแตกต่างในด้านอาชีพ ภาษา เผ่าพันธุ์ และแหล่งที่อยู่อาศัยด้วย กล่าวคือ ประชากรอินเดียไม่เกิน ร้อยละ 10 อยู่ใน 3 วรรณะแรก คือ วรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ และแพศย์ ซึ่งมีอํานาจในสังคมและได้ทํางานราชการ มากกว่าร้อยละ 50

นอกจากนี้ยังมีวรรณะย่อยอีกประมาณ 3,000 วรรณะ เรียกว่า “โฌติ” (Jotis) ซึ่งทําให้เกิดความแตกแยกในสังคมฮินดู ความเชื่อทางศาสนาที่หลากหลายนี้เองเป็นปัจจัยสําคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาทางการเมืองในประเทศอินเดีย และมีผลต่อแนวคิดของนักการเมืองอินเดียที่สําคัญหลายคน เช่น มหาตมะ คานธี (Mahatma Grandhi) ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการใช้หลักอหิงสาและสัจจะในการปกครองหรือการ ต่อสู้ทางการเมือง เป็นต้น

 

ข คุณธรรม จริยธรรมของศาสนาพุทธ ถูกกําหนดให้มีผลต่อแนวคิดของชนชั้นต่ำที่จะนํามาใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองบ้านเมือง ให้นักศึกษายกคุณธรรมและจริยธรรมเหล่านั้นมาอธิบาย อย่างน้อยให้ยกมา 3 เรื่อง

แนวคําตอบ

คุณธรรมและจริยธรรมของศาสนาพุทธที่นํามาใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองบ้านเมือง ได้แก่

1 พรหมวิหาร 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับหลักธรรมประจําใจของผู้เป็นใหญ่ ประกอบด้วย

1) เมตตา หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข

2) กรุณา หมายถึง ความสงสาร คิดช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

3) มุทิตา หมายถึง ความยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุข ไม่ริษยา

4) อุเบกขา หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง มีจิตราบเรียบเที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงด้วยความรักและความชัง

2 สังคหวัตถุ 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับหลักการสงเคราะห์ ประกอบด้วย

1) ทาน หมายถึง การให้ การเสียสละ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

2) ปิยวาจา หมายถึง การมีวาจาสุภาพ ไพเราะ ซาบซึ้ง จริงใจ

3) อัตถจริยา หมายถึง การบําเพ็ญประโยชน์หรือทําในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

4) สมานัตตตา หมายถึง การทําตนเสมอต้นเสมอปลาย หรือการวางตนให้เหมาะสม

3 ราชสังคหวัตถุ 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับหลักการสงเคราะห์ประชาชนของผู้ครองแผ่นดิน ประกอบด้วย

1) สัสสาเมธะ หมายถึง ความฉลาดในการบํารุงรักษาพืชพันธุ์ธัญญาหาร และส่งเสริมการเกษตร

2) ปุริสเมธะ หมายถึง ความฉลาดในการบํารุงรักษาข้าราชการ รู้จักส่งเสริมคนดีมีความสามารถ

3) สัมมาปาสะ หมายถึง ความรู้จักผูกน้ำใจประชาชนด้วยการส่งเสริมอาชีพ

4) วาชเปยะ วาจาเปยะ) หมายถึง ความมีวาจาอันดูดดื่มน้ำใจ คือ รู้จักพูด รู้จักปราศรัย วาจาไพเราะ สุภาพนุ่มนวล ประกอบด้วยเหตุผลมีประโยชน์ในทางสามัคคี ทําให้เกิดความเข้าใจอันดี และเกิดความนิยมเชื่อถือ

 

 

POL2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 2 ข้อ

ข้อ 1 ให้อธิบายความแตกต่างของแนวคิดเกี่ยวกับรัฐและอํานาจดังต่อไปนี้โดยสังเขป

1.1การปกครองแบบป้าเจ่งกับยิ้นเจ่ง

แนวคําตอบ

เม่งจื้อ แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1 การปกครองแบบเดชานุภาพ (ป้าเจ่ง) คือ การใช้อิทธิพลทางทหารและกําลังในการ ปกครอง ซึ่งการปกครองแบบนี้จะทําให้เกิดการเสียเลือดเนื้ออันเนื่องมาจากการรบพุ่งแย่งชิงอํานาจ

2 การปกครองแบบธรรมานุภาพ (ยิ้นเจ่ง) คือ การใช้คุณธรรมและความเมตตากรุณา ในการปกครอง เพราะสามารถทําให้บรรลุความสําเร็จได้ดีกว่า แม้จะมีเขตแดนเพียงเล็กน้อยก็ตาม โดยชี้ให้เห็นว่า ผู้ปกครองที่ดูแลประชาชนเป็นอย่างดีเท่านั้น จึงจะได้รับการสนับสนุนและความจงรักภักดีจากประชาชน พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อผู้ปกครองของตนในสงครามได้

 

1.2 รัฐอิสลามกับรัฐมุสลิม

แนวคําตอบ

รัฐอิสลาม เป็นรัฐในอุดมคติ ผู้ปกครองประเทศและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดําเนินงานด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองอิสลาม ใช้รูปแบบการปกครองของอิสลาม และสร้างวิถีชีวิตของคนในรัฐ ให้ศรัทธาในความเป็นเอกภาพของพระอัลเลาะห์ ซึ่งรัฐที่พอจะอนุโลมได้ว่าเป็นรัฐอิสลาม คือ รัฐภายใต้การปกครอง สมัยพระนบีมุฮัมหมัดและคอลีฟะฮ์ทั้งสี่ ได้แก่ อาบูบัคร์ อุมาร์ อุธมาน และอาลี

รัฐมุสลิม เป็นรัฐที่เป็นจริงในโลก ผู้ปกครองประเทศและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับรัฐอิสลาม แต่จะอนุโลมให้ใช้รูปแบบการปกครองแบบสากลได้ มีสภาปกติเหมือนทั่ว ๆ ไปที่เป็น ไม่ได้เคร่งครัดแบบรัฐอิสลาม แต่เนื้อหาอาจจะต้องสอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม จะได้ไม่ขัดแย้งกัน เช่น ระบอบรัฐสภา (มาเลเซีย) ระบอบประธานาธิบดี (อียิปต์, ลิเบีย, อินโดนีเซีย) และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นต้น

 

1.3 ลัทธิชินโตกับลัทธิไต้ท้ง

แนวคําตอบ

ลัทธิชินโต เชื่อว่าจักรพรรดิ (มิกาโดหรือเทนโน) เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพหรือพระอาทิตย์โดยไม่ขาดสาย พระจักรพรรดิเป็นผู้ที่ทรงอวตารมาจากพระอาทิตย์ พระราชอํานาจของพระจักรพรรดิ เป็นพระราชอํานาจที่ได้รับมอบหมายมาจากพระอาทิตย์ ชาวญี่ปุ่นถือว่าพระจักรพรรดิเป็นหัวหน้าครอบครัวของคนทั้งชาติ และถือว่าคนญี่ปุ่นเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมด คือเป็นลูกพระอาทิตย์ ซึ่งความเคารพพระจักรพรรดิ ดังกล่าวเรียกว่า “ลัทธิมิกาโด” (Mikadoism)

ความที่ว่าพระจักรพรรดิมาจากสุริยเทพนี้เอง ทําให้การเมืองกับศาสนาแยกจากกันไม่ออก ดังนั้นระบบการปกครองของญี่ปุ่นจึงเป็นระบบที่เรียกว่า “ไซเซอิ-อิทชิ” ซึ่งแปลว่า “การรวมกันแห่งศาสนา และการปกครอง” โดยมีพระจักรพรรดิหรือเทนโนเป็นศูนย์รวม เป็นสัญลักษณ์ของชาติและความสามัคคีของประชาชน

ลัทธิไต้ท้ง เป็นแนวคิดที่เป็นอุดมคติสูงสุด เป็นอุดมคติทางการเมืองในรูปสากลนิยม ซึ่งเป็นเหมือนรัฐในอุดมคติ ไม่มีการแบ่งชาติชั้นวรรณะ ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลก มีชาติเพียงชาติเดียวคือมนุษยชาติ ประชาชนทุกคนมีงานทํา มีความเสมอภาคด้านความเป็นอยู่ เด็ก คนชรา และคนทุพพลภาพได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี มีการคัดเลือกประชาชนที่เป็นคนที่มีความสามารถเข้ามาเป็นรัฐบาล ไม่ให้ปกครองโดยพรรคหรือคณะใด ๆ รัฐบาลที่เลือกมานี้มีรัฐบาลเดียวคือรัฐบาลโลก ถ้าทําได้ตามนี้ก็จะทําให้เกิด “มหาสันติสุข” (ไท้เพ้ง)

 

1.4 หลักการปกครองที่ดีตามแนวคิดของขงจื้อกับเหลาจื้อ

แนวคําตอบ

หลักการปกครองที่ดีตามแนวคิดของขงจื้อ ได้แก่

1 การปกครองที่ดีควรมีจุดมุ่งหมายในการนําสวัสดิการและความสุขมาสู่ประชาชนทั้งมวล โดยต้องมีผู้ปกครองที่มีความสามารถในการบริหารซึ่งไม่ใช่มาจากชาติกําเนิด ความร่ำรวย หรือตําแหน่ง แต่มาจาก การได้รับการศึกษาที่เหมาะสม

2 การปกครองที่ดีคือการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และจะต้องมีลักษณะ “คุ้มครอง มากกว่าปกครอง” รัฐบาลต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต สามารถทําให้เกิดความสงบสุขในแต่ละแว่นแคว้นได้

3 ผู้ปกครองที่ดีต้องมีคุณธรรม ต้องทําตนเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน และต้องคํานึงถึง ประโยชน์ของประชาชนเป็นสําคัญ

4 ผู้ปกครองประเทศต้องแก้ปัญหาภายในให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่เท่าเทียมกัน และความขัดแย้งในสังคม

5 ผู้ปกครองควรใช้ปัญญาที่สุจริตเป็นเครื่องปกครองคน ไม่ควรใช้ความฉลาดแกมโกง ควรใช้ความกล้าหาญ หลีกเลี่ยงความทะเยอทะยาน ใช้ความเมตตากรุณา ละความโลภ ควรเป็นนักปราชญ์ ทําประโยชน์แก่ผู้ใต้ปกครอง เข้าใจความรู้สึกของผู้ใต้ปกครองและอันตรายที่จะเกิดแก่ผู้ใต้ปกครอง

 

หลักการปกครองที่ดีตามแนวคิดของเหลาจื้อ ได้แก่

1 การปกครองที่ดีที่สุดคือการปกครองโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับประชาชนมากเกินไป ให้ทุกคน มีอิสระเสรีเต็มที่ รัฐบาลอย่าไปก้าวก่ายเสรีภาพของประชาชน ประชาชนก็อย่าก้าวก่ายเสรีภาพซึ่งกันและกัน การปกครองประเทศจะต้องไม่มีการทําร้ายซึ่งกันและกัน

2 ควรใช้ความนุ่มนวลในการปกครองประเทศ โดยกล่าวว่า “เมื่อปกครองประเทศด้วย ความนุ่มนวล ประชาชนก็จะซื่อสัตย์และจริงใจ เมื่อปกครองประเทศด้วยความรุนแรง ประชาชนก็จะใช้เล่ห์กล และหลอกลวง”

3 การปกครองควรทําให้เป็นรัฐเล็ก ๆ มีพลเมืองน้อย ๆ เพื่อให้ปกครองง่าย เพราะการ มีคนมากเรื่องก็ยุ่งมาก มีคนน้อยเรื่องก็ยังน้อย

4 ผู้ปกครองที่ดีจะต้องปกครองแบบแม่ปกครองลูก ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น และมีคุณธรรม

5 ผู้ที่จะเป็นนักปกครองต้องมีดวงแก้ว 3 ดวง คือ ความเมตตา ความประหยัด และการไม่ทําอะไรเด่นล้ำหน้าประชาชน ซึ่งความเมตตาจะทําให้เป็นผู้มีความแกล้วกล้า ความประหยัดจะทําให้เป็นผู้มี โภคทรัพย์สมบูรณ์ และการไม่ทําอะไรเด่นล้ำหน้าประชาชนจะทําให้เป็นผู้นําประชาชนได้อย่างแท้จริง

6 ผู้ปกครองที่ดีจะต้องมีการพัฒนาตนเองให้ลดละกิเลส พึงรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งปวง มีชีวิตอยู่อย่างสมถะ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน และประพฤติตนประดุจน้ำ

 

ข้อ 2. ให้นักศึกษาทําข้อสอบทั้งข้อ ก. และข้อ ข.

ก ศาสนาพราหมณ์แบ่งสังคมมนุษย์เป็น 4 วรรณะ อะไรบ้าง และผลของการมีวรรณะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไรต่อสังคมอินเดีย

แนวคําตอบ

ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ได้แบ่งสังคมมนุษย์ออกเป็น 4 วรรณะ คือ

1 พราหมณ์ (ชนชั้นนักบวช/ผู้ประกอบพิธี) เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องพระพรหมอันเป็น หลักการสูงสุด โดยจะทําหน้าที่เป็นครู (Guru) คือ เป็นผู้ที่มีหน้าที่ในด้านการให้ความรู้และปัญญาแก่สังคม ให้ การศึกษาแก่ผู้อื่น ทําพิธีบูชาต่าง ๆ ของตนเองและเพื่อผู้อื่น โดยเชื่อกันว่าพราหมณ์เกิดจากปากของพระพรหม และมีสีขาวเป็นสีประจําวรรณะ

2 กษัตริย์หรือขัตติยะหรือราชันย์ (ชนชั้นนักรบ) ซึ่งเป็นชนชั้นสูง มีหน้าที่รักษาความมั่นคง ของประเทศทั้งภายนอกและภายในนอกจากนี้ยังต้องศึกษาในชั้นสูง ทําพิธีบูชาต่าง ๆ ของตนเอง และทําบุญให้ทาน โดยเชื่อกันว่ากษัตริย์เกิดจากแขนของพระพรหม และมีสีแดงเป็นสีประจําวรรณะ

3 แพศย์หรือไวศยะ (ชนชั้นกสิกร/พ่อค้า) เป็นวรรณะที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาด้าน เศรษฐกิจของอินเดียอย่างยิ่ง คือจะมีบทบาทสําคัญในเรื่องเศรษฐกิจ มีหน้าที่สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วย การประกอบอาชีพกสิกรรมและการค้าขาย โดยเชื่อกันว่าแพศย์เกิดจากตะโพกของพระพรหม และมีสีเหลือง เป็นสีประจําวรรณะ

4 ศูทร (ชนชั้นกรรมกร/ทาส) เป็นผู้ทําหน้าที่ในด้านการใช้แรงงานและการให้บริการ เป็นพวกที่ทํางานเป็นคนงาน นายช่าง คนเลี้ยงวัวควาย คนไถนา ซึ่งต้องรับใช้ 3 ชนชั้นแรก เป็นชนชั้นที่ไม่มีสิทธิ เป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่า และไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านพระเวทและใช้อาวุธ โดยเชื่อกันว่าศูทรเกิดจากเท้าของพระพรหม และมีสีดําเป็นสีประจําวรรณะ

ผลของการมีวรรณะดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมอินเดีย ดังนี้

1 ทําให้ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นสังคมปิด คือ เมื่อเกิดวรรณะใด วรรณะหนึ่งแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนหรือย้ายวรรณะได้ จึงทําให้เปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้

2 การทําหน้าที่ตามวรรณะทั้ง 4 นี้ถือเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการทําตามพระประสงค์ ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ทําตามความจําเป็นของสังคม และไม่ได้อยู่ภายใต้อํานาจของสังคม รัฐ หรือผู้ปกครอง

3 วรรณะจะเป็นตัวกําหนดหน้าที่ของมนุษย์ ว่าใครทําหน้าที่อะไร และแต่ละหน้าที่ก็จะไม่ก้าวก่ายกัน ซึ่งสามารถลดความขัดแย้งและลดการฆ่าฟันกันเพราะแย่งชิงหน้าที่กัน

4 การแบ่งวรรณะถือเป็นการจัดระเบียบของสังคมที่ยอมรับว่ามนุษย์นั้นมีสถานะทาง สังคมสูง-ต่ำ ลดหลั่นกันตามลําดับ ทําให้มีการดูหมิ่นคนที่อยู่ในวรรณะต่ำกว่า

5 ประชาชนจะผูกพันกับครอบครัว วรรณะ กลุ่มอาชีพ และหมู่บ้านมากกว่ารัฐ

6 ระบบวรรณะนี้จะก่อให้เกิดความแตกต่างในด้านเชื้อชาติ อาชีพ ภาษา เผ่าพันธุ์ แหล่งที่อยู่อาศัย สังคม และศักดิ์ศรีของมนุษย์

7 มีกลุ่มประชาชนที่มิได้อยู่ในระบบสังคม คือ พวก “จัณฑาล” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการ ดูถูกเหยียดหยามหรือถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ทางศาสนาของชุมชน ไม่สามารถจะ สนทนาหรือมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนในระบบได้ เป็นต้น

 

ข จงยกคุณธรรมที่ควรมีอยู่ในตัวผู้ปกครองและนักการเมืองตามทัศนะของศาสนาพุทธมาโดยละเอียดอย่างน้อย 4 หัวข้อ

แนวคําตอบ

คุณธรรมของผู้ปกครองและนักการเมืองตามทัศนะของพุทธศาสนา ได้แก่

1 พรหมวิหาร 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับหลักธรรมประจําใจของผู้เป็นใหญ่ ประกอบด้วย

1) เมตตา หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข

2) กรุณา หมายถึง ความสงสาร คิดช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

3) มุทิตา หมายถึง ความยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุข ไม่ริษยา

4) อุเบกขา หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง มีจิตราบเรียบเที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงด้วยความรักและความชัง

 

2 สังคหวัตถุ 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับหลักการสงเคราะห์ ประกอบด้วย

1) ทาน หมายถึง การให้ การเสียสละ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

2) ปิยวาจา หมายถึง การมีวาจาสุภาพ ไพเราะ ซาบซึ้ง จริงใจ

3) อัตถจริยา หมายถึง การบําเพ็ญประโยชน์หรือทําในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

4) สมานัตตตา หมายถึง การทําตนเสมอต้นเสมอปลาย หรือการวางตนให้เหมาะสม

3 ราชสังคหวัตถุ 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับหลักการสงเคราะห์ประชาชนของผู้ครองแผ่นดินประกอบด้วย

1) สัสสาเมธะ หมายถึง ความฉลาดในการบํารุงรักษาพืชพันธุ์ธัญญาหาร และส่งเสริมการเกษตร

2) ปุริสเมธะ หมายถึง ความฉลาดในการบํารุงรักษาข้าราชการ รู้จักส่งเสริมคนดีมีความสามารถ

3) สัมมาปาสะ หมายถึง ความรู้จักผูกน้ำใจประชาชนด้วยการส่งเสริมอาชีพ

4) วาชเปยะ (วาจาเปยะ) หมายถึง ความมีวาจาอันดูดดื่มน้ำใจ คือ รู้จักพูด รู้จักปราศรัย วาจาไพเราะ สุภาพนุ่มนวล ประกอบด้วยเหตุผล มีประโยชน์ในทางสามัคคีทําให้เกิดความเข้าใจอันดี และเกิดความนิยมเชื่อถือ

4 อคติ 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับความลําเอียง 4 ประการ ซึ่งมีผลกับการปกครองและ ผู้ปกครองไม่ควรประพฤติเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่

1) ฉันทาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะชอบหรือความรักใคร่

2) โทสาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะชังหรือความโกรธเกลียด

3) โมหาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะหลงหรือความโง่เขลา

4) ภยาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะกลัวหรือเกรงใจ เกรงอิทธิพล

POL2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 2 ข้อ

ข้อ 1 ให้อธิบายความแตกต่างของแนวคิดเกี่ยวกับรัฐและอํานาจดังต่อไปนี้โดยสังเขป

1.1 การปกครองแบบป้าเจ่งกับยิ้นเจ่ง

แนวคําตอบ

เม่งจื้อ แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1 การปกครองแบบเดชานุภาพ (ป้าเจ่ง) คือ การใช้อิทธิพลทางทหารและกําลังในการปกครอง ซึ่งการปกครองแบบนี้จะทําให้เกิดการเสียเลือดเนื้ออันเนื่องมาจากการรบพุ่งแย่งชิงอํานาจ

2 การปกครองแบบธรรมานุภาพ (ยิ้นเจ่ง) คือ การใช้คุณธรรมและความเมตตากรุณาในการปกครอง เพราะสามารถทําให้บรรลุความสําเร็จได้ดีกว่า แม้จะมีเขตแดนเพียงเล็กน้อยก็ตาม โดยชี้ให้เห็นว่า ผู้ปกครองที่ดูแลประชาชนเป็นอย่างดีเท่านั้น จึงจะได้รับการสนับสนุนและความจงรักภักดีจากประชาชน พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อผู้ปกครองของตนในสงครามได้

 

1.2 รัฐอิสลามกับรัฐมุสลิม

แนวคําตอบ

รัฐอิสลาม เป็นรัฐในอุดมคติ ผู้ปกครองประเทศและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดําเนินงานด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองอิสลาม ใช้รูปแบบการปกครองของอิสลาม และสร้างวิถีชีวิตของคนในรัฐ ให้ศรัทธาในความเป็นเอกภาพของพระอัลเลาะห์ ซึ่งรัฐที่พอจะอนุโลมได้ว่าเป็นรัฐอิสลาม คือ รัฐภายใต้การปกครอง สมัยพระนบีมุฮัมหมัดและคอลีฟะฮ์ทั้งสี่ ได้แก่ อาบูบัคร์ อุมาร์ อุธมาน และอาลี

รัฐมุสลิม เป็นรัฐที่เป็นจริงในโลก ผู้ปกครองประเทศและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับรัฐอิสลาม แต่จะอนุโลมให้ใช้รูปแบบการปกครองแบบสากลได้ มีสภาปกติเหมือนทั่ว ๆ ไปที่เป็น ไม่ได้เคร่งครัดแบบรัฐอิสลาม แต่เนื้อหาอาจจะต้องสอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม จะได้ไม่ขัดแย้งกัน เช่น ระบอบรัฐสภา (มาเลเซีย) ระบอบประธานาธิบดี (อียิปต์, ลิเบีย, อินโดนีเซีย) และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นต้น

 

1.3 สัทธิชินโตกับลัทธิไต้ทั้ง

แนวคําตอบ

ลัทธิชินโต เชื่อว่าจักรพรรดิ (มิกาโดหรือเทนโน) เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพหรือพระอาทิตย์โดยไม่ขาดสาย พระจักรพรรดิเป็นผู้ที่ทรงอวตารมาจากพระอาทิตย์ พระราชอํานาจของพระจักรพรรดิ เป็นพระราชอํานาจที่ได้รับมอบหมายมาจากพระอาทิตย์ ชาวญี่ปุ่นถือว่าพระจักรพรรดิเป็นหัวหน้าครอบครัวของคนทั้งชาติ และถือว่าคนญี่ปุ่นเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมด คือเป็นลูกพระอาทิตย์ ซึ่งความเคารพพระจักรพรรดิ ดังกล่าวเรียกว่า “ลัทธิมิกาโด” (Mikadoism)

ความที่ว่าพระจักรพรรดิมาจากสุริยเทพนี้เอง ทําให้การเมืองกับศาสนาแยกจากกันไม่ออก ดังนั้นระบบการปกครองของญี่ปุ่นจึงเป็นระบบที่เรียกว่า “ไซเซอิ-อิทชิ” ซึ่งแปลว่า “การรวมกันแห่งศาสนาและการปกครอง” โดยมีพระจักรพรรดิหรือเทนโนเป็นศูนย์รวม เป็นสัญลักษณ์ของชาติและความสามัคคีของประชาชน

ลัทธิใต้ท้ง เป็นแนวคิดที่เป็นอุดมคติสูงสุด เป็นอุดมคติทางการเมืองในรูปสากลนิยม ซึ่งเป็นเหมือนรัฐในอุดมคติ ไม่มีการแบ่งชาติชั้นวรรณะ ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลก มีชาติเพียงชาติเดียวคือมนุษยชาติ ประชาชนทุกคนมีงานทํา มีความเสมอภาคด้านความเป็นอยู่ เด็ก คนชรา และคนทุพพลภาพได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี มีการคัดเลือกประชาชนที่เป็นคนที่มีความสามารถเข้ามาเป็นรัฐบาล ไม่ให้ปกครองโดยพรรคหรือคณะใด ๆ รัฐบาลที่เลือกมานี้มีรัฐบาลเดียวคือรัฐบาลโลก ถ้าทําได้ตามนี้ก็จะทําให้เกิด “มหาสันติสุข” (ไท้เพ้ง)

 

1.4 หลักการปกครองที่ดีตามแนวคิดของขงจื้อกับเหลาจื้อ

แนวคําตอบ

หลักการปกครองที่ดีตามแนวคิดของขงจื้อ ได้แก่

1 การปกครองที่ดีควรมีจุดมุ่งหมายในการนําสวัสดิการและความสุขมาสู่ประชาชนทั้งมวล โดยต้องมีผู้ปกครองที่มีความสามารถในการบริหารซึ่งไม่ใช่มาจากชาติกําเนิด ความร่ำรวย หรือตําแหน่ง แต่มาจากการได้รับการศึกษาที่เหมาะสม

2 การปกครองที่ดีคือการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และจะต้องมีลักษณะ “คุ้มครอง มากกว่าปกครอง” รัฐบาลต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต สามารถทําให้เกิดความสงบสุขในแต่ละแว่นแคว้นได้

3 ผู้ปกครองที่ดีต้องมีคุณธรรม ต้องทําตนเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน และต้องคํานึงถึง ประโยชน์ของประชาชนเป็นสําคัญ

4 ผู้ปกครองประเทศต้องแก้ปัญหาภายในให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่เท่าเทียมกัน และความขัดแย้งในสังคม

5 ผู้ปกครองควรใช้ปัญญาที่สุจริตเป็นเครื่องปกครองคน ไม่ควรใช้ความฉลาดแกมโกง ควรใช้ความกล้าหาญ หลีกเลี่ยงความทะเยอทะยาน ใช้ความเมตตากรุณา ละความโลภ ควรเป็นนักปราชญ์ ทําประโยชน์แก่ผู้ใต้ปกครอง เข้าใจความรู้สึกของผู้ใต้ปกครองและอันตรายที่จะเกิดแก่ผู้ใต้ปกครอง

 

หลักการปกครองที่ดีตามแนวคิดของเหลาจื้อ ได้แก่

1 การปกครองที่ดีที่สุดคือการปกครองโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับประชาชนมากเกินไป ให้ทุกคน มีอิสระเสรีเต็มที่ รัฐบาลอย่าไปก้าวก่ายเสรีภาพของประชาชน ประชาชนก็อย่าก้าวก่ายเสรีภาพซึ่งกันและกัน การปกครองประเทศจะต้องไม่มีการทําร้ายซึ่งกันและกัน

2 ควรใช้ความนุ่มนวลในการปกครองประเทศ โดยกล่าวว่า “เมื่อปกครองประเทศด้วย ความนุ่มนวล ประชาชนก็จะซื่อสัตย์และจริงใจ เมื่อปกครองประเทศด้วยความรุนแรง ประชาชนก็จะใช้เล่ห์กล และหลอกลวง”

3 การปกครองควรทําให้เป็นรัฐเล็ก ๆ มีพลเมืองน้อย ๆ เพื่อให้ปกครองง่าย เพราะการ มีคนมากเรื่องก็ยุ่งมาก มีคนน้อยเรื่องก็ยังน้อย

4 ผู้ปกครองที่ดีจะต้องปกครองแบบแม่ปกครองลูก ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น และมีคุณธรรม

5 ผู้ที่จะเป็นนักปกครองต้องมีดวงแก้ว 3 ดวง คือ ความเมตตา ความประหยัด และการไม่ทําอะไรเด่นล้ำหน้าประชาชน ซึ่งความเมตตาจะทําให้เป็นผู้มีความแกล้วกล้า ความประหยัดจะทําให้เป็นผู้มีโภคทรัพย์สมบูรณ์ และการไม่ทําอะไรเด่นล้ำหน้าประชาชนจะทําให้เป็นผู้นําประชาชนได้อย่างแท้จริง

6 ผู้ปกครองที่ดีจะต้องมีการพัฒนาตนเองให้ลดละกิเลส จึงรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งปวง มีชีวิตอยู่อย่างสมถะ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน และประพฤติตนประดุจน้ำ

 

1.5 แนวคิดของซุงจื้อกับเอี้ยงจื้อ

แนวคําตอบ

ลัทธิซุ่งจื้อ มีหลักการสําคัญดังนี้

1 สนับสนุนให้รัฐต่าง ๆ มีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ต้องใช้คุณธรรมในการปกครอง และการปกครองนั้นจะต้องทําเพื่อประชาชน ไม่ใช่ทําเพื่อผู้ปกครอง

2 เมื่อมีกษัตริย์ผู้มีปรีชาญาณองค์แรกครองบัลลังก์ ย่อมมีชนชั้น กล่าวคือ “ถ้ามนุษย์ทุกคนมีอํานาจเท่ากัน รัฐก็ไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ถ้าทุกคนยืนอยู่ในระดับเดียวกัน ย่อมไม่มีการปกครอง ตราบใดที่มีสวรรค์กับโลก ย่อมมีความแตกต่างระหว่างผู้เหนือกว่ากับผู้ด้อยกว่า”

3 ผู้ปกครองที่ฉลาดจะไม่พูดถึงวินัยที่ผิดพลาด หรือไม่ให้เหตุผลเกี่ยวกับการกระทําของเขาทั้งหมด แต่เขาจะใช้อํานาจหน้าที่แนะแนวทางแก่ประชาชน ใช้การประกาศย้ำเตือนและควบคุมโดยการลงโทษ

4 มีแนวคิดแบบนิติธรรมเนียม (Legalism) ซึ่งใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมพลเมืองทุกคน ไม่ได้มีแนวคิดแบบเผด็จการนิยม

5 เน้นการปกครองโดยกษัตริย์ที่มีคุณธรรม และเห็นว่าสมควรให้ผู้ที่มีความรู้และกิตติคุณเพียงพอเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะกําเนิดจากชนชั้นไพร่ก็ตาม

6 ผู้ปกครองที่มีคุณธรรมควรได้รับการสนับสนุนให้อยู่ต่อไป ส่วนผู้ปกครองที่ชั่วร้ายไม่ควรได้เป็นผู้ปกครองต่อไป ควรจะถูกโค่นบัลลังก์

 

ลัทธิเอี้ยงจื้อ ให้ความสําคัญกับปัจเจกบุคคล โดยเห็นว่ามนุษย์ควรคํานึงถึงผลประโยชน์ของ ตนเองให้มากที่สุด อย่าไปสนใจประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ่งประโยชน์ของตนเองในที่นี้ไม่ใช่การเกะกะระรานคนอื่น แต่ หมายถึงการแสวงหาความสุขเฉพาะหน้า ไม่ใช่ความสุขในอนาคต ผู้ปกครองและนักการเมืองไม่จําเป็นต้องสละประโยชน์ของตนเองเพื่อผู้อื่น แต่ก็ต้องไม่เรียกร้องให้ผู้อื่นสละประโยชน์ของเขาเพื่อตนเองด้วย ประชาชนไม่ต้องทําอะไรให้กับรัฐบาล ส่วนรัฐบาลก็ไม่ต้องทําอะไรให้กับประชาชน ต่างคนต่างอยู่

 

ข้อ 2 ให้นักศึกษาทําข้อสอบทั้งข้อ ก. และข้อ ข.

ก ศาสนาพราหมณ์แบ่งสังคมมนุษย์เป็น 4 วรรณะ อะไรบ้าง และผลของการมีวรรณะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไรต่อสังคมอินเดีย

แนวคําตอบ

ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ได้แบ่งสังคมมนุษย์ออกเป็น 4 วรรณะ คือ

1 พราหมณ์ (ชนชั้นนักบวช/ผู้ประกอบพิธี) เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องพระพรหมอันเป็น หลักการสูงสุด โดยจะทําหน้าที่เป็นครู (Guru) คือ เป็นผู้ที่มีหน้าที่ในด้านการให้ความรู้และปัญญาแก่สังคม ให้การศึกษาแก่ผู้อื่น ทําพิธีบูชาต่าง ๆ ของตนเองและเพื่อผู้อื่น โดยเชื่อกันว่าพราหมณ์เกิดจากปากของพระพรหม และมีสีขาวเป็นสีประจําวรรณะ

2 กษัตริย์หรือขัตติยะหรือราชันย์ (ชนชั้นนักรบ) ซึ่งเป็นชนชั้นสูง มีหน้าที่รักษาความมั่นคง ของประเทศทั้งภายนอกและภายใน นอกจากนี้ยังต้องศึกษาในชั้นสูง ทําพิธีบูชาต่าง ๆ ของตนเอง และทําบุญให้ทาน โดยเชื่อกันว่ากษัตริย์เกิดจากแขนของพระพรหม และมีสีแดงเป็นสีประจําวรรณะ

3 แพศย์หรือไวศยะ (ชนชั้นกสิกร/พ่อค้า) เป็นวรรณะที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาด้าน เศรษฐกิจของอินเดียอย่างยิ่ง คือจะมีบทบาทสําคัญในเรื่องเศรษฐกิจ มีหน้าที่สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจด้วย การประกอบอาชีพกสิกรรมและการค้าขาย โดยเชื่อกันว่าแพศย์เกิดจากตะโพกของพระพรหม และมีสีเหลือง เป็นสีประจําวรรณะ

4 ศูทร (ชนชั้นกรรมกร/ทาส) เป็นผู้ทําหน้าที่ในด้านการใช้แรงงานและการให้บริการ เป็นพวกที่ทํางานเป็นคนงาน นายช่าง คนเลี้ยงวัวควาย คนไถนา ซึ่งต้องรับใช้ 3 ชนชั้นแรก เป็นชนชั้นที่ไม่มีสิทธิ เป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่า และไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านพระเวทและใช้อาวุธ โดยเชื่อกันว่าศูทรเกิดจากเท้าของพระพรหม และมีสีดําเป็นสีประจําวรรณะ

ผลของการมีวรรณะดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมอินเดีย ดังนี้

1 ทําให้ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นสังคมปิด คือ เมื่อเกิดวรรณะใดวรรณะหนึ่งแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนหรือย้ายวรรณะได้ จึงทําให้เปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้

2 การทําหน้าที่ตามวรรณะทั้ง 4 นี้ถือเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการทําตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ทําตามความจําเป็นของสังคม และไม่ได้อยู่ภายใต้อํานาจของสังคม รัฐ หรือผู้ปกครอง

3 วรรณะจะเป็นตัวกําหนดหน้าที่ของมนุษย์ ว่าใครทําหน้าที่อะไร และแต่ละหน้าที่ก็จะไม่ก้าวก่ายกัน ซึ่งสามารถลดความขัดแย้งและลดการฆ่าฟันกันเพราะแย่งชิงหน้าที่กัน

4 การแบ่งวรรณะถือเป็นการจัดระเบียบของสังคมที่ยอมรับว่ามนุษย์นั้นมีสถานะทาง สังคมสูง-ต่ำ ลดหลั่นกันตามลําดับ ทําให้มีการดูหมิ่นคนที่อยู่ในวรรณะต่ำกว่า

5 ประชาชนจะผูกพันกับครอบครัว วรรณะ กลุ่มอาชีพ และหมู่บ้านมากกว่ารัฐ

6 ระบบวรรณะนี้จะก่อให้เกิดความแตกต่างในด้านเชื้อชาติ อาชีพ ภาษา เผ่าพันธุ์ แหล่งที่อยู่อาศัย สังคม และศักดิ์ศรีของมนุษย์

7 มีกลุ่มประชาชนที่มิได้อยู่ในระบบสังคม คือ พวก “จัณฑาล” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการดูถูกเหยียดหยามหรือถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ทางศาสนาของชุมชน ไม่สามารถจะสนทนาหรือมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนในระบบได้ เป็นต้น

 

ข จงยกคุณธรรมที่ควรมีอยู่ในตัวผู้ปกครองและนักการเมืองตามทัศนะของศาสนาพุทธมาโดยละเอียดอย่างน้อย 4 หัวข้อ

แนวคําตอบ

คุณธรรมของผู้ปกครองและนักการเมืองตามทัศนะของพุทธศาสนา ได้แก่

1 พรหมวิหาร 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับหลักธรรมประจําใจของผู้เป็นใหญ่ ประกอบด้วย

1) เมตตา หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข

2) กรุณา หมายถึง ความสงสาร คิดช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

3) มุทิตา หมายถึง ความยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุข ไม่ริษยา

4) อุเบกขา หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง มีจิตราบเรียบเที่ยงธรรม ไม่เอนเอียง

ด้วยความรักและความซัง

2 สังคหวัตถุ 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับหลักการสงเคราะห์ ประกอบด้วย

1) ทาน หมายถึง การให้ การเสียสละ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

2) ปิยวาจา หมายถึง การมีวาจาสุภาพ ไพเราะ ซาบซึ้ง จริงใจ

3) อัตถจริยา หมายถึง การบําเพ็ญประโยชน์หรือทําในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

4) สมานัตตตา หมายถึง การทําตนเสมอต้นเสมอปลาย หรือการวางตนให้เหมาะสม

3 ราชสังคหวัตถุ 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับหลักการสงเคราะห์ประชาชนของผู้ครองแผ่นดินประกอบด้วย

1) สัสสาเมธะ หมายถึง ความฉลาดในการบํารุงรักษาพืชพันธุ์ธัญญาหาร และส่งเสริมการเกษตร

2) ปุริสเมธะ หมายถึง ความฉลาดในการบํารุงรักษาข้าราชการ รู้จักส่งเสริมคนดีมีความสามารถ

 

3) สัมมาปาสะ หมายถึง ความรู้จักผูกน้ำใจประชาชนด้วยการส่งเสริมอาชีพ

4) วาชเปยะ (วาจาเปยะ) หมายถึง ความมีวาจาอันดูดดื่มน้ำใจ คือ รู้จักพูดรู้จักปราศรัย วาจาไพเราะ สุภาพนุ่มนวล ประกอบด้วยเหตุผล มีประโยชน์ในทางสามัคคี ทําให้เกิดความเข้าใจอันดี และเกิดความนิยมเชื่อถือ

4 อคติ 4 คือ คําสอนเกี่ยวกับความลําเอียง 4 ประการ ซึ่งมีผลกับการปกครองและ ผู้ปกครองไม่ควรประพฤติเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่

1) ฉันทาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะชอบหรือความรักใคร่

2) โทสาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะชังหรือความโกรธเกลียด

3) โมหาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะหลงหรือความโง่เขลา

4) ภยาคติ หมายถึง ความลําเอียงเพราะกลัวหรือเกรงใจ เกรงอิทธิพล

 

POL 2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2110 ทฤษฎีและจริยธรรมการเมืองตะวันออก

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 2 ข้อ

ข้อ 1 ให้อธิบายความแตกต่างของแนวคิดเกี่ยวกับรัฐและอํานาจดังต่อไปนี้โดยสังเขป

1.1 ลัทธิใต้ท้งกับลัทธิเซียวคัง

แนวคําตอบ

ลัทธิใต้ท้ง เป็นแนวคิดที่เป็นอุดมคติสูงสุด เป็นอุดมคติทางการเมืองในรูปสากลนิยม ซึ่งเป็นเหมือนรัฐในอุดมคติ ไม่มีการแบ่งชาติชั้นวรรณะ ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลก มีชาติเพียงชาติเดียวคือมนุษยชาติ ประชาชนทุกคนมีงานทํา มีความเสมอภาคด้านความเป็นอยู่ เด็ก คนชรา และคนทุพพลภาพได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี มีการคัดเลือกประชาชนที่เป็นคนที่มีความสามารถเข้ามาเป็นรัฐบาล ไม่ให้ปกครองโดยพรรคหรือคณะใด ๆ รัฐบาลที่เลือกมานี้มีรัฐบาลเดียวคือรัฐบาลโลก ถ้าทําได้ตามนี้ก็จะทําให้เกิด “มหาสันติสุข” (ไท้เพ้ง)

ลัทธิเซียวคัง เป็นแนวคิดที่มีความเป็นไปได้ในปัจจุบัน โดยเสนอว่าถ้ายังไม่สามารถสร้าง รัฐบาลโลกได้ ก็ให้มีรัฐบาลของแต่ละชาติ แต่ละประเทศ แต่ละรัฐไปพลาง ๆ ก่อน จุดสําคัญก็คือกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองนครต้องทําหน้าที่ดุจพ่อเมืองอย่างแท้จริง และปกครองแบบพ่อปกครองลูก รัฐบาลต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต สามารถทําให้เกิดความสงบสุขในแต่ละแว่นแคว้นได้ ซึ่งสันติสุขที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในวงแคบเฉพาะชาติเฉพาะรัฐ เรียกว่า “จุลสันติสุข” (เซ็งเพ้ง)

 

1.2 รัฐอิสลามกับรัฐมุสลิม

แนวคําตอบ

รัฐอิสลาม เป็นรัฐในอุดมคติ ผู้ปกครองประเทศและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดําเนินงานด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองอิสลาม ใช้รูปแบบการปกครองของอิสลาม และสร้างวิถีชีวิตของคนในรัฐ ให้ศรัทธาในความเป็นเอกภาพของพระอัลเลาะห์ ซึ่งรัฐที่พอจะอนุโลมได้ว่าเป็นรัฐอิสลาม คือ รัฐภายใต้การปกครอง สมัยพระนบีมุฮัมหมัดและคอลีฟะฮ์ทั้งสี่ ได้แก่ อาบูบัคร์ อุมาร์ อุธมาน และอาลี

รัฐมุสลิม เป็นรัฐที่เป็นจริงในโลก ผู้ปกครองประเทศและประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับรัฐอิสลาม แต่จะอนุโลมให้ใช้รูปแบบการปกครองแบบสากลได้ มีสภาปกติเหมือนทั่ว ๆ ไปที่เป็น ไม่ได้เคร่งครัดแบบรัฐอิสลาม แต่เนื้อหาอาจจะต้องสอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามจะได้ไม่ขัดแย้งกัน เช่น ระบอบรัฐสภา (มาเลเซีย) ระบอบประธานาธิบดี (อียิปต์, ลิเบีย, อินโดนีเซีย) และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นต้น

 

1.3 ลัทธิบูชิโดกับลัทธิเม่งจื้อ

แนวคําตอบ

ลัทธิบูชิโด เป็นลัทธิชาตินิยมอย่างแรงกล้าของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นหลักจรรยาของชนชาติทหาร และเป็นหลักจริยธรรมของนักรบ โดยจะมีหน้าที่สําคัญดังนี้

1 ให้จงรักภักดีต่อพระจักรพรรดิ

2 ทหารทุกคนต้องยอมตายแทนพระจักรพรรดิ

3 ทหารต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้น

4 ชายญี่ปุ่นทุกคนต้องเป็นทหาร

5 ชาวญี่ปุ่นถือว่าพระจักรพรรดิเป็นหัวหน้าครอบครัวของคนทั้งชาติ และถือว่าคนญี่ปุ่นเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมด คือเป็นลูกพระอาทิตย์

6 ประชาชนต้องเชื่อฟังทหาร ไม่เช่นนั้นจะถือว่าไม่ภักดีต่อพระจักรพรรดิ ใครทําร้ายทหารเท่ากับทําร้ายพระจักรพรรดิ

ในปี พ.ศ. 2447 – 2448 ปรากฏว่าทหารของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิสามารถทําสงครามชนะ ประเทศรัสเซียได้ ทําให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศมหาอํานาจ และเกิดความรู้สึกว่าญี่ปุ่นก็สามารถเป็นมหาอํานาจ ทางตะวันออกได้เช่นเดียวกับมหาอํานาจทางตะวันตก ทําให้ชาวญี่ปุ่นต้องการเป็นมหาอํานาจแห่งเอเชียบูรพา ซึ่งความรักชาติได้กลายเป็นความหลงชาติ และทําให้บูชิโดกลายเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์

ลัทธิเม่งจื้อ ยอมรับสังคมศักดินาที่จัดระเบียบตามลําดับชั้น โดยในเรื่องของรัฐนั้นเม่งจื้อเห็นว่า นโยบายการปกครองของรัฐจะต้องมุ่งสู่การบรรลุคุณสมบัติทั้งสี่ของจิตมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยเมตตา ความซื่อสัตย์ นิติธรรมเนียม และสติปัญญา แนวคิดของลัทธิเม่งจื้อสามารถสรุปได้ดังนี้

1 ผู้ที่ปกครองด้วยคุณธรรม ผู้นั้นจักสามารถตั้งตนเป็นจอมจักรพรรดิราชได้สําเร็จ โดยไม่จําเป็นต้องมีอาณาเขตกว้างขวางอะไรมากมาเป็นขุมกําลัง

2 ผู้ปกครองที่ดูแลประชาชนเป็นอย่างดีเท่านั้น จึงจะได้รับการสนับสนุนและความจงรักภักดีจากประชาชน โดยประชาชนพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อผู้ปกครองของตนในสงครามได้

3 รัฐที่ดีจะต้องให้ความสําคัญต่อเรื่องเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก

4 เน้นเรื่องการปกครองแบบธรรมานุภาพ โดยถือว่าประชาชนสําคัญที่สุด ประเทศชาติรองลงมา ผู้ปกครองมีความสําคัญน้อยที่สุด

 

1.4 ลัทธิทุ่งจื้อกับลัทธิเลี้ยงจื้อ

แนวคําตอบ

ลัทธิซุ่งจื้อ มีหลักการสําคัญดังนี้

1 สนับสนุนให้รัฐต่าง ๆ มีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ต้องใช้คุณธรรมในการปกครอง และการปกครองนั้นจะต้องทําเพื่อประชาชน ไม่ใช่ทําเพื่อผู้ปกครอง

2 เมื่อมีกษัตริย์ผู้มีปรีชาญาณองค์แรกครองบัลลังก์ ย่อมมีชนชั้น กล่าวคือ “ถ้ามนุษย์ทุกคนมีอํานาจเท่ากัน รัฐก็ไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ถ้าทุกคนยืนอยู่ในระดับเดียวกัน ย่อมไม่มีการปกครอง ตราบใดที่มีสวรรค์กับโลก ย่อมมีความแตกต่างระหว่างผู้เหนือกว่ากับผู้ด้อยกว่า”

3 ผู้ปกครองที่ฉลาดจะไม่พูดถึงวินัยที่ผิดพลาด หรือไม่ให้เหตุผลเกี่ยวกับการกระทําของเขาทั้งหมด แต่เขาจะใช้อํานาจหน้าที่แนะแนวทางแก่ประชาชน ใช้การประกาศย้ำเตือนและควบคุมโดยการลงโทษ

4 มีแนวคิดแบบนิติธรรมเนียม (Legalism) ซึ่งใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมพลเมืองทุกคน ไม่ได้มีแนวคิดแบบเผด็จการนิยม

5 เน้นการปกครองโดยกษัตริย์ที่มีคุณธรรม และเห็นว่าสมควรให้ผู้ที่มีความรู้และกิตติคุณเพียงพอเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะกําเนิดจากชนชั้นไพร่ก็ตาม

6 ผู้ปกครองที่มีคุณธรรมควรได้รับการสนับสนุนให้อยู่ต่อไป ส่วนผู้ปกครองที่ชั่วร้ายไม่ควรได้เป็นผู้ปกครองต่อไป ควรจะถูกโค่นบัลลังก์

ลัทธิเลี้ยงจื้อ ให้ความสําคัญกับปัจเจกบุคคล โดยเห็นว่ามนุษย์ควรคํานึงถึงผลประโยชน์ของตนเองให้มากที่สุด อย่าไปสนใจประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ่งประโยชน์ของตนเองในที่นี้ไม่ใช่การเกะกะระรานคนอื่น แต่หมายถึงการแสวงหาความสุขเฉพาะหน้า ไม่ใช่ความสุขในอนาคต ผู้ปกครองและนักการเมืองไม่จําเป็นต้องสละประโยชน์ของตนเองเพื่อผู้อื่น แต่ก็ต้องไม่เรียกร้องให้ผู้อื่นสละประโยชน์ของเขาเพื่อตนเองด้วย ประชาชนไม่ต้องทําอะไรให้กับรัฐบาล ส่วนรัฐบาลก็ไม่ต้องทําอะไรให้กับประชาชน ต่างคนต่างอยู่

 

1.5 ลัทธิขงจื้อกับลัทธิเต๋

แนวคําตอบ

ลัทธิขงจื้อ มีหลักการสําคัญดังนี้

1 ชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา และการเมือง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และอุดมคติทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา และการเมือง ต่างก็มีจุดศูนย์กลางที่ศีลธรรมเช่นเดียวกัน

2 ต่อต้านการปกครองที่กดขี่ทารุณ โดยกล่าวว่า “รัฐบาลที่กดขี่ทารุณนั้นร้ายยิ่งกว่าเสือเสียอีก”

3 กองทัพไม่สามารถสู้รบอย่างมีประสิทธิผลได้ถ้าทหารไม่รู้ว่าพวกเขาจะสู้ไปทําไม โดยกล่าวว่า “การนําประชาชนที่ไม่ได้รับการศึกษาไปสู่สงคราม ก็เท่ากับว่านําพวกเขาไปทิ้ง”

4 ให้ความสําคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก

5 การปกครองนั้นควรมีจุดมุ่งหมายในการนําสวัสดิการและความสุขมาสู่ประชาชนทั้งมวล โดยต้องมีผู้ปกครองที่มีความสามารถในการบริหารซึ่งไม่ใช่มาจากชาติกําเนิด ความร่ำรวยหรือตําแหน่ง แต่มาจากการได้รับการศึกษาที่เหมาะสม

6 การปกครองที่ดีคือการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และจะต้องมีลักษณะ “คุ้มครองมากกว่าปกครอง”

7 การใช้อํานาจนั้นจะต้องคํานึงถึงคุณธรรม โดยกล่าวว่า “เมื่อผู้ปกครองเองทําถูกต้อง เขาย่อมมีอํานาจเหนือประชาชนโดยมิต้องออกคําสั่ง แต่เมื่อผู้ปกครองเองไม่ทําสิ่งที่ถูกต้อง คําสั่งทั้งปวงของเขาก็ใช้ไม่ได้เลย”

8 รากฐานของอาณาจักรคือรัฐ รากฐานของรัฐคือครอบครัว รากฐานของครอบครัวคือตัวเอง

 

ลัทธิเต๋า (เหลาจื้อ) มีหลักการสําคัญดังนี้

1 มีแนวคิดทางการเมืองการปกครองแบบเสรีนิยมและธรรมชาตินิยม โดยเชื่อว่า กฎธรรมชาติ เป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ดีกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น และเห็นว่าสันติภาพที่แท้จริง เกิดขึ้นไม่ได้เนื่องจากมนุษย์ชอบผืนธรรมชาติ โดยพยายามกําหนดระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองหรือบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตาม

2 รัฐบาลชอบใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทดลองนโยบายใหม่ ๆ ที่ตนเชื่อว่าจะได้ผลดี

กฏเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผู้ปกครองนํามาใช้ไม่ได้ช่วยประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้นการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า ไม่จําเป็นต้องมาสร้างกฎเกณฑ์กฎหมายต่าง ๆ

3 ความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาของมนุษย์เป็นภัยต่อสังคม เพราะมนุษย์ที่ยังไม่เข้าถึงแต่ชอบใช้ความเฉลียวฉลาดของตนไปในทางกอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเอง ทุจริต และเบียดเบียนผู้อื่น

4 ไม่จําเป็นต้องมีโรงเรียน เพราะถ้ามนุษย์เรียนรู้กว้างขวางมาก ก็ยากที่จะห้ามคนเหล่านี้ให้ใช้สติปัญญาผลิตสิ่งแปลกใหม่หรือต่อสู้แข่งขันกันได้ โดยคนฉลาดนั้นย่อมรู้วิธีเลี้ยง กฎหมาย รัฐบาลก็ต้องออกกฎหมายเพิ่มเติมไม่มีที่สิ้นสุด และรัฐบาลก็อาจทําผิดกฎหมายเสียเอง

5 การปกครองควรทําให้เป็นรัฐเล็ก ๆ มีพลเมืองน้อย ๆ เพื่อให้ปกครองง่าย เพราะการมีคนมากเรื่องก็ยุ่งมาก มีคนน้อยเรื่องก็ยุ่งน้อย

6 นักปกครองที่ดีจะต้องปกครองแบบแม่ปกครองลูก ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น และมีคุณธรรม

7 การปกครองที่ดีที่สุดเรียกว่า “บ้ออุ้ยยื่อตี” คือ การปกครองโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับประชาชนมากเกินไป ให้ทุกคนมีอิสระเสรีเต็มที่

8 ควรใช้ความนุ่มนวลในการปกครองประเทศ โดยกล่าวว่า “เมื่อปกครองประเทศด้วยความนุ่มนวล ประชาชนก็จะซื่อสัตย์และจริงใจ เมื่อปกครองประเทศด้วยความรุนแรง ประชาชนก็จะใช้เล่ห์กลและหลอกลวง

 

ข้อ 2 ให้นักศึกษาทําข้อสอบทั้งข้อ ก. และข้อ ข.

ก จงอธิบายถึงคุณธรรมของศาสนาพราหมณ์ที่มีผลต่อการสร้างเสริมลักษณะนิสัยและสร้างเสริมลักษณะประจําชาติที่ทําให้คนอินเดียมีระเบียบวินัย มีการกระทําในเรื่องต่าง ๆ ตามช่วงเวลาในชีวิตที่ถูกกําหนดไว้มาให้ชัดเจน

แนวคําตอบ

คุณธรรมของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูที่มีผลต่อการสร้างเสริมลักษณะนิสัยและสร้างเสริม ลักษณะประจําชาติที่ทําให้คนอินเดียมีระเบียบวินัย มีการกระทําในเรื่องต่าง ๆ ตามช่วงเวลาในชีวิตที่กําหนดไว้ ตัวอย่างได้แก่ อาศรม 4 ธรรม กาม อรรถ ฯลฯ

อาศรม 4 เป็นการทําหน้าที่ของตนตามวัยหรือขั้นตอนของชีวิต ซึ่งประกอบด้วย

1 พรหมจารี คือ วัยเยาว์หรือวัยศึกษา (อายุ 0 – 25 ปี) ซึ่งมีหน้าที่ศึกษาหาความรู้และฝึกฝนความสามารถต่าง ๆ

2 คฤหัสถ์ คือ วัยผู้ใหญ่หรือวัยครองเรือน (อายุ 25 – 50 ปี) ซึ่งสําเร็จการศึกษาแล้วจึงควรมีเหย้ามีเรือน โดยมีหน้าที่ช่วยแบ่งเบาภาระของบิดามารดา และสร้างความมั่นคง ให้กับตนเองและครอบครัว โดยจะต้องทําหน้าที่นี้จนอายุ 50 ปี หรือจนกระทั่งบุตรของตนเข้าสู่วัยคฤหัสถ์แล้ว

3 วานปรัสถ์ คือ วัยสูงอายุ (อายุ 50 – 75 ปี) ซึ่งจะมอบทรัพย์มรดกให้ลูกหลาน แล้วไปทําหน้าที่บําเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม เช่น เป็นครูอาจารย์ คิดสร้างสรรค์งานเพื่อพัฒนาสังคม โดยจะต้องทําหน้าที่นี้จนอายุ 75 ปี

4 สันยาสี คือ วัยชรา (อายุ 75 ปีขึ้นไป) ซึ่งต้องอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพ เพื่อปฏิบัติธรรมนําไปสู่การหลุดพ้น โดยมีหน้าที่ต้องบําเพ็ญพรตและจาริกสั่งสอนผู้อื่นให้ประพฤติดีประพฤติชอบแสวงหาความหลุดพ้น ละเรื่องทางโลก

ธรรม เป็นการทําตามหน้าที่ มีความรับผิดชอบ หรือการสํานึกถูกผิด มีศีลธรรม โดยรัฐมีหน้าที่ ส่งเสริมธรรม ก็คือ ทําให้คนมีสํานึกถูกผิด มีศีลธรรม อุปถัมภ์บํารุงศาสนา จัดสวัสดิการต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน บํารุงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการต่าง ๆ และปลูกฝังจริยธรรมแก่ประชาชน

กาม เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจในทางร่างกายหรือความสุขทางกาย โดยรัฐมีหน้าที่ ส่งเสริมให้ประชาชนได้รับความสุขด้านจิตใจที่ผ่านทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ความพึงพอใจในศิลปะ วรรณคดี ดนตรี ความรื่นเริง และความสุขทางกายอื่น ๆ

อรรถ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่งคั่งร่ำรวยและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยรัฐมีหน้าที่ ทํานุบํารุงให้เกิดความมั่งคั่งและความเจริญทางวัตถุ เช่น การค้า เกษตรกรรม การผลิต การรักษาทรัพยากร เป็นต้น

 

ข หากผู้ปกครองตามแนวคิดตะวันตกเน้นเรื่องความชอบธรรมในการเข้าสู่อํานาจ นักศึกษาคิดว่าผู้ปกครองในตะวันออกจะเน้นเรื่องใดในการเข้าสู่อํานาจ ให้อธิบายเฉพาะการเข้าสู่อํานาจของผู้ปกครองตามแนวคิดของพุทธศาสนาเท่านั้น

แนวคําตอบ

ในอัคคัญญสูตรของพุทธศาสนาได้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเกิดคนและสังคม ปัญหาสังคมก็ย่อมตามมา ซึ่งปัญหาสังคมนี้จะมีสาเหตุมาจากกิเลสตัณหาของคนทําให้เกิดการแข่งขันแย่งชิงและทําร้ายซึ่งกันและกัน ดังนั้น จึงต้องมีผู้เข้าไปจัดการแก้ไข เพื่อทําให้เกิดระบบการปกครอง เกิดรัฐและผู้มีอํานาจขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากคําสอน ตอนหนึ่งที่บรรยายไว้ว่า เมื่อเกิดการกั้นเขตเพื่อครอบครองข้าวสาลีแล้ว คนบางคนได้พยายามเข้าไปขโมยข้าวสาลี ในเขตของคนอื่น และเมื่อถูกจับได้ก็จะถูกลงโทษด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ตักเตือน ตบด้วยมือ ขว้างด้วยก้อนดิน ตีด้วยไม้ เป็นต้น

พวกขโมยที่ถูกจับได้นี้บางคนทําแล้วทําอีก ไม่รู้จักหลาบจํา บางคนรับปากว่าจะไม่ทําอีก แต่กลับทํา กลุ่มคนที่ครอบครองพื้นที่เหล่านั้นจึงประชุมกันเกี่ยวกับปัญหาการลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด และการทําร้ายที่เกิดขึ้น โดยมีมติว่าควรจะแต่งตั้งผู้มาทําหน้าที่ติเตียนคนที่ควรติ และขับไล่คนที่ควรขับไล่ โดยจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้เป็นค่าตอบแทน

หลังจากนั้นจึงมีการเลือกผู้มาทําหน้าที่เป็นหัวหน้าเพื่อปกครองคน คือ การทําหน้าที่ติเตียนคน ที่ควรติเตียนและขับไล่คนที่ทําผิดควรแก่การขับไล่ ซึ่งได้เกิดคํา 3 คําขึ้นมา คือ “มหาสมมุติ” (ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) “กษัตริย์” (ผู้เป็นใหญ่ในนา) และ “ราชา” (ผู้ทําความอิ่มใจสุขใจแก่ผู้อื่น) ซึ่งคําดังกล่าวนี้เป็นที่มาของคําว่า “ผู้ปกครอง” นั่นเอง

ผู้ปกครองจึงเป็นบุคคลที่เกิดขึ้นมาจากกลุ่มคนในสังคมเป็นผู้เลือกและแต่งตั้งเขาเป็นหัวหน้า ซึ่งถือว่าเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่มาจากสิ่งสูงส่งใด ๆ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมหรือจริยธรรมมากกว่าผู้อื่นและเป็น ผู้ที่ประเสริฐในกลุ่มชนนั้น

ดังนั้นการเข้าสู่อํานาจของผู้ปกครองตามแนวคิดตะวันออกจึงเน้นในเรื่องหลักธรรม ทั้งนี้เพราะ ผู้ปกครองนั้นจะเปรียบเสมือนโคหัวหน้าฝูงข้ามแม่น้ำ ถ้าหัวหน้าฝูงว่ายคดเคี้ยว โคลูกน้องก็ว่ายน้ำคดเคี้ยวตามไปด้วย ถ้าหัวหน้าฝูงว่ายตรง โคลูกน้องก็ว่ายน้ำตรงด้วย ซึ่งหมายความว่าถ้าผู้ปกครองประเทศไม่ประพฤติธรรม ประชาชนก็จะไม่ประพฤติธรรมด้วย รัฐก็จะยากเข็ญ ในทางตรงกันข้ามหากผู้ปกครองประพฤติธรรม ประชาชนก็จะ ประพฤติธรรมด้วย รัฐก็จะเป็นสุข

WordPress Ads
error: Content is protected !!