POL2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. การที่บุคคลทุกคนภายในองค์การจะต้องรับคําสั่งและรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวเป็นหลักในเรื่องใด
(1) หลักของกฎและระเบียบ
(2) หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา
(3) หลักการแบ่งแยกหน้าที่กันทํางาน
(4) หลักการรวมอํานาจที่เหมาะสม
(5) หลักเอกภาพขององค์การ
ตอบ 2 หน้า 50 – 51, 58, 186 – 187 หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง หลักการที่กําหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทํางานในองค์การเดียวและจะต้องรับคําสั่งและรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวหรือมีนายเพียงคนเดียว หรือเป็นหลักเกณฑ์ ทางการบริหารที่ต้องระบุไว้ให้ชัดแจ้งเสมอว่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ มีผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าสั่งงานโดยตรงได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยป้องกันมิให้เกิดการสั่งงาน ซ้ําซ้อนหรือเกิดความยุ่งยากในการทํางาน ตลอดจนการบอกปัดความรับผิดชอบ ส่วนข้อเสีย คือ ทําให้สิ้นเปลืองบุคลากรและประสิทธิภาพการทํางานต่ำ

2.Span of Control คือ
(1) จํานวนระดับการบังคับบัญชา
(2) หลักการแบ่งแยกหน้าที่กันทํางาน
(3) จํานวนลูกน้องในบังคับบัญชา
(4) หลักเอกภาพขององค์การ
(5) หลักการรวมอํานาจที่เหมาะสม
ตอบ 3 หน้า 179 ช่วงของการบังคับบัญชา หรือช่วงของการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) ที่ผู้บังคับบัญชา (หัวหน้า) คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งช่วงการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะ แสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการกํากับดูแลหรือการบังคับบัญชา เพียงใด ทั้งนี้คือการพิจารณาว่าควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คน หรือมีหน่วยงานภายในความ รับผิดชอบที่หน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทําให้การกํากับดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้ โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

3.เหตุผลของการเกิด “องค์การที่ไม่เป็นทางการ” ได้แก่
(1) เพื่อค้นหาข่าวสาร
(2) ใช้เป็นที่ระบายความรู้สึก
(4) เพื่อกําหนดเป้าหมาย
(3) เป็นการแบ่งงานกันทํา
(5) ทั้งข้อ 1 และ 2
ตอบ 5 หน้า 10 – 11, (คําบรรยาย) เหตุผลความจําเป็นหรือประโยชน์ของการเกิดองค์การ ที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization) ได้แก่
1. เป็นการตอบสนองต่อความต้องการทางสังคม เช่น ใช้เป็นที่หางานอดิเรกทํา แสดงออกทางรสนิยม เป็นต้น
2. ช่วยสร้างความรู้สึกที่ได้เป็นเจ้าของขึ้น
3. ค้นหาบุคคลที่มีพฤติกรรมคล้ายตน หรือการหาเพื่อน
4. เป็นที่ระบายความรู้สึก
5. เป็นโอกาสในการแสดงอิทธิพล
6. เป็นโอกาสในการแสดงออกทางวัฒนธรรมประเพณี
7. เพิ่มช่องทางการ หลเวียนของข่าวสาร และเป็นแหล่งในการหาข้อมูลข่าวสารและการติดต่อ

4.เทคโนโลยีขององค์การ หมายถึง
(1) วัตถุประสงค์ขององค์การ
(2) กฎระเบียบและข้อบังคับ
(3) วิธีการทํางาน
(4) ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 96 – 97, (คําบรรยาย) ระบบย่อยต่าง ๆ ภายในระบบขององค์การ มีดังนี้
1. ระบบเทคโนโลยีขององค์การ (Technical) หมายถึง ความรู้ที่จําเป็นในการปฏิบัติงาน รวมถึงเทคนิคและวิธีการทํางานต่าง ๆ ที่องค์การต้องใช้ในการเปลี่ยนแปลงทรัพยากร หรือปัจจัยนําเข้าให้ออกมาในรูปของผลผลิต
2. ระบบสังคมจิตวิทยา (Psychosocial) เป็นระบบที่รวมความต้องการของบุคคลและ กลุ่มในองค์การ เช่น ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
3. ระบบโครงสร้างขององค์การ (Structural) เป็นระบบที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ส่วนประกอบต่าง ๆ ขององค์การ เช่น สายการบังคับบัญชา กฎระเบียบและข้อบังคับ ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ แผนกงาน เป็นต้น
4. ระบบของศิลปะและทักษะในการบริหารองค์การ (Managerial) หมายถึง ความสามารถ ในการบริหารจัดการของผู้บริหาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ประสานงาน ฯลฯ

5.“ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goals and Values
(2) Technical
(3) Structural
(4) Psychosocial
(5) Managerial
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6. “ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goals and Values
(2) Technical
(3) Structural
(4) Psychosocial
(5) Managerial
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

7. ทุกข้อเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การในลักษณะของระบบ ยกเว้น
(1) มีการวางแผน
(2) มีกลไกให้ข้อมูลข่าวสาร
(3) มีความเจริญเติบโตภายใน
(4) มีเสถียรภาพแบบพลวัต
(5) มุ่งประสิทธิภาพสูงสุด
ตอบ 5หน้า 98 – 106, (คําบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการ ตามแนวทางของ “ระบบ (ระบบเปิด)” ได้แก่
1. การวางแผนและจัดการ (Contrived)
2. ความยืดหยุ่นของขอบเขต (Flexible Boundaries)
3. การอยู่รอด (Negative Entropy)
4. การรักษาเสถียรภาพของระบบให้มีความสมดุลแบบพลวัตหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา(Dynamic Equilibrium)
5. กลไกการให้ข้อมูลข่าวสาร (Feedback Mechanism)
6. กลไกในการปรับตัวและรักษาสถานภาพของระบบ (Adaptive and Maintenance Mechanism)
7. การเจริญเติบโตภายในองค์การ (Growth Through Internal Elaboration)
8. การแบ่งงานในลักษณะยืดหยุ่น ฯลฯ (ส่วนการมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด (Maximized Efficiency) เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด”)

8. การกระจายอํานาจในการบริหาร หมายถึง
(1) การที่หัวหน้าเข้าช่วยลูกน้องในการตัดสินใจทุกเรื่อง
(2) การที่หัวหน้าลงมากํากับการทํางานด้วยตนเอง
(3) ความไม่เป็นเอกภาพในการบริหาร
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 168 – 169 การกระจายอํานาจ (Decentralization) ในการบริหาร หมายถึงความพยายามที่จะมอบหมายหน้าที่ไปยังผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ที่รองลงมาโดยให้การตัดสินใจ กระทําโดยผู้บริหารระดับต่ํามากขึ้น หรือให้ผู้บริหารระดับรอง ๆ ในองค์การได้มีโอกาสใน การตัดสินใจในปัญหาต่าง ๆ ที่มีความสําคัญมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความสําคัญต่อบทบาท ของผู้บริหารระดับรอง ๆ หรือผู้ใต้บังคับบัญชา

9.Formalization คือ
(1) การ หัวหน้าเข้าช่วยลูกน้องในการตัดสินใจทุกเรื่อง
(2) การที่องค์การเต็มไปด้วยกฎ ระเบียบ
(3) ความเป็นเอกภาพในการบริหาร
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 122, (คําบรรยาย) ความเป็นทางการขององค์การ (Formalization) คือ การที่องค์การ ได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ ดังนั้นความเป็นทางการจึงแสดงถึง การที่องค์การเต็มไปด้วยกฎ ระเบียบต่าง ๆ

10.Chain of Command คือ
(1) การที่หัวหน้าเข้าช่วยลูกน้องในการตัดสินใจทุกเรื่อง
(2) การที่องค์การเต็มไปด้วยกฎ ระเบียบ
(3) ความเป็นเอกภาพในการบริหาร
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5หน้า 139, (คําบรรยาย) สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง ความสัมพันธ์ตามลําดับขั้นระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ในแต่ละองค์การ เพื่อแสดงให้ทราบว่าสัมพันธภาพของการติดต่อสื่อข้อความจากผู้บังคับบัญชา ไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละองค์การแต่ละหน่วยงานนั้นมีลักษณะและทางเดินเป็นอย่างไร มีการควบคุมและการรับผิดชอบอย่างไร โดยสายการบังคับบัญชานี้จะแสดงความสัมพันธ์ตามแนวดิ่ง

11.Line Agency คือ
(1) หน่วยการเจ้าหน้าที่
(2) หน่วยการเงิน
(3) หน่วยประชาสัมพันธ์
(4) หน่วยโยธา
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 197 – 201, (คําบรรยาย) ประเภทของหน่วยงานซึ่งแบ่งตามลักษณะของการปฏิบัติงาน ภายในองค์การ มี 3 ประเภท คือ
1. หน่วยงานหลัก (Line Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลัก ขององค์การ หรือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหม คณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หน่วยโยธาและ หน่วยสาธารณสุขของเทศบาล เป็นต้น
2. หน่วยงานที่ปรึกษาหรือหน่วยงานสนับสนุน (Staff Agency) หมายถึง หน่วยงานที่มิได้ ดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุน การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เช่น กองวิชาการ หน่วยนโยบายและแผน หน่วยการเงิน/ งบประมาณ หน่วยการเจ้าหน้าที่ หน่วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ หน่วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
3. หน่วยงานอนุกร (Auxiliary Agency) หรือหน่วยงานแม่บ้าน (House-Keeping Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ช่วยบริการหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจรรมลักษณะ ของแม่บ้าน เช่น หน่วยพัสดุ หน่วยอาคารสถานที่ หน่วยสารบรรณ หน่วยสวัสดิการ หน่วยงานด้านความสะอาดหรืองานเทศกิจ เป็นต้น

12.Staff Agency คือ
(1) หน่วยการศึกษา
(2) หน่วยประปา
(3) หน่วยสาธารณสุข
(4) หน่วยคอมพิวเตอร์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

13. ตัวอย่างของ Auxiliary Agency
(1) หน่วยรักษาความสะอาด
(2) หน่วยวิจัยสถาบัน
(3) หน่วยสาธารณสุข
(4) หน่วยคอมพิวเตอร์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

14.Departmentation เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
(1) การจัดกลุ่มงาน
(2) การแบ่งหน้าที่
(3) การกําหนดผู้ทําหน้าที่ตัดสินใจ
(4) การวิจัยสถาบัน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 191, (คําบรรยาย) การจัดแผนกงานหรือการจัดกลุ่มงาน (Departmentation) หมายถึง การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เพื่อแบ่งแยกกิจกรรมอันมีอยู่มากมายในองค์การ มอบหมายให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้แยกกันปฏิบัติตามความสามารถของตนตามหลักเกณฑ์ของความสามารถเฉพาะด้าน

15. Division of Work เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
(1) การจัดกลุ่มงาน
(2) การแบ่งหน้าที่
(3) การกําหนดผู้ทําหน้าที่ตัดสินใจ
(4) การวิจัยสถาบัน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 189 การแบ่งงานกันทําหรือการแบ่งหน้าที่ (Division of Work) หรือการแบ่งแยกแรงงาน (Division of Labor) หรือการแบ่งงานกันทําโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถหรือ ความชํานาญเฉพาะด้าน (Specialization) หมายถึง การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การ ออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกรับไปปฏิบัติ เพื่อให้สําเร็จตามเป้าหมายที่องค์การ ได้วางไว้ ซึ่งการแบ่งงานกันทํานี้จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการทํางานซ้ําซ้อนหรือการเหลื่อมล้ำในการทํางานในหน้าที่

16. Specialization คืออะไร
(1) การยึดหลักความชํานาญเฉพาะด้าน
(2) ความผูกพันในแนวดิ่ง
(3) พันธะหน้าที่ระหว่างผู้ปฏิบัติงาน
(4) จํานวนลูกน้องที่ต้องรับผิดชอบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 15. ประกอบ

17. Responsibility คืออะไร
(1) การยึดหลักความชํานาญเฉพาะด้าน
(2) ความผูกพันในแนวดิ่ง
(3) พันธะหน้าที่ระหว่างผู้ปฏิบัติงาน
(4) จํานวนลูกน้องที่ต้องรับผิดชอบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 150 ความรับผิดชอบ (Responsibility) มองในแง่ของการบริหารงาน หมายถึงพันธะหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายมาในการปฏิบัติงาน โดยความรับผิดชอบจะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเท่านั้น จะไม่เกิดขึ้นกับสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องจักร หรือสัตว์ ทั้งนี้ ความรับผิดชอบอาจมีลักษณะของพันธะที่ต่อเนื่อง หรือสิ้นสุดลงเป็นครั้งคราวไปหลังจาก ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นลงแล้วก็ได้

18. Hierarchy คืออะไร
(1) การยึดหลักความชํานาญเฉพาะด้าน
(2) ความผูกพันในแนวดิ่ง
(3) พันธะหน้าที่ระหว่างผู้ปฏิบัติงาน
(4) จํานวนลูกน้องที่ต้องรับผิดชอบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

19. Span of Supervision คืออะไร
(1) การยึดหลักความชํานาญเฉพาะด้าน
(2) ความผูกพันในแนวดิ่ง
(3) พันธะหน้าที่ระหว่างผู้ปฏิบัติงาน
(4) จํานวนลูกน้องที่ต้องรับผิดชอบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

20. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการกระจายอํานาจ
(1) เป็นการสนองความต้องการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม รวดเร็ว
(2) มีโอกาสเติบโตและขยายอย่างมีประสิทธิภาพ
(3) ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
(4) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
(5) มีโอกาสฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มีความสามารถ
ตอบ 4 หน้า 175 ประโยชน์ของการกระจายอํานาจ มีดังนี้
1. ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง ทําให้ได้มีเวลาทํางานสําคัญจําเป็นได้มากขึ้น
2. เป็นการสนองการบริหารหรือความต้องการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และรวดเร็ว
3. ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น
4. มีโอกาสในการฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มีความสามารถ ทักษะ และฝึกฝน
การตัดสินใจด้วย
5. โอกาสของการเติบโตหรือขยายองค์การมีทางเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

21. อํานาจหน้าที่ที่แท้จริงมาจากการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้บังคับบัญชา สามารถชักจูง แนะนําให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 148 ทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) อธิบายว่า อํานาจหน้าที่ ที่แท้จริงในการบริการนั้นจะมาจากการที่ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับให้ผู้บังคับบัญชามีสิทธิหรือ อํานาจเหนือตน และอํานาจหน้าที่นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนํา หรือเจรจาโน้มน้าวให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการหรือปฏิบัติตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชาด้วยความเต็มใจ โดยนักทฤษฎีที่กล่าวถึงอํานาจหน้าที่ในลักษณะนี้ ได้แก่ Chester I. Barnard was Herbert A. Simon

22. แนวคิดของ Max Weber ให้ความสําคัญที่ระบบใดขององค์การมากที่สุด
(1) โครงสร้าง
(2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์
(3) เทคโนโลยี
(4) สังคมจิตวิทยา
(5) ทักษะการบริหาร
ตอบ 1 หน้า 64 – 65, (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory) เช่น Max Weber, Henri Fayol ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของระบบปิด โดยให้ความสําคัญกับระบบโครงสร้างขององค์การ แต่ละเลยระบบสังคมภายในองค์การหรือ ระบบสังคมจิตวิทยา เช่น ระบบของพฤติกรรมและความต้องการของบุคคลภายในองค์การ จึงทําให้แนวคิดของนักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิกประสบปัญหาในทางปฏิบัติและไม่สามารถสร้างองค์การให้มีประสิทธิภาพในระยะยาวได้

23. โครงสร้างขององค์การมีลักษณะอย่างไร
(1) โครงสร้างขององค์การหมายถึงการสร้างแบบ (Pattern) ของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ
ขององค์การ
(2) หมายถึงการกําหนดโครงสร้างอาคารปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับลักษณะของการปฏิบัติงาน
(3) คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดแบ่งทรัพยากรต่าง ๆ และกําหนดวิธีการรายงานตามสายการบังคับบัญชา
ในระหว่างกลุ่มคน
(4) โครงสร้างขององค์การต้องแยกออกจากเรื่องการจัดหน้าที่การงาน
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 120 – 121 โครงสร้างองค์การ มีลักษณะดังนี้
1. หมายถึง การสร้างแบบ (Pattern) ของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ (Components) ต่าง ๆ ขององค์การ
2. เกี่ยวข้องกับการจัดแบ่งทรัพยากรต่าง ๆ และกําหนดวิธีการรายงานตามสายการบังคับบัญชา ในระหว่างกลุ่มคน รวมถึงกลไกของระบบการประสานงานที่เป็นทางการและวิธีการที่จะต้องเกี่ยวข้องกันตามแบบแผนที่กําหนดไว้
3. โครงสร้างขององค์การไม่สามารถแยกออกจากเรื่องการจัดหน้าที่การงานได้ แม้ว่าสองอย่างนั้น จะมีลักษณะต่างกัน แต่จะต้องจัดไปด้วยกัน

24. ประโยชน์ของการรวมอํานาจในองค์การคืออะไร
(1) ทําให้มีโอกาสฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชาได้มาก
(2) ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาได้มาก
(3) ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร
(4) เป็นการสนองความต้องการบริการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
(5) ปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ตอบ 3 หน้า 175 ประโยชน์ของการรวมอํานาจในองค์การ มีดังนี้
1. ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร
2. ทําให้ทรัพยากรการบริหารรวมอยู่ในที่เดียวกัน
3. เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร รวมทั้งประหยัดเวลา
4. ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
5. มีลักษณะของการประสานงานกันเป็นอย่างดี ซึ่งทําให้องค์การบรรลุถึงเป้าหมายได้

25. หน่วยงานอนุกร หรือหน่วยงานแม่บ้านในองค์การ คือหน่วยงานที่เรียกว่าอะไร
(1) Auxiliary Agency
(2) Short-Cut Agency
(3) Staff Agency
(4) Line Agency
(5) Contract Agency
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

26.“การกระจายอํานาจ” คืออะไร
(1) ความพยายามที่จะมอบหมายหน้าที่ไปยังผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ที่รองลงมาโดยให้การตัดสินใจกระทํา
โดยผู้บริหารระดับต่ํามากขึ้น
(2) ระบบการบริหารงานที่สงวนหรือรักษาอํานาจไว้ที่ส่วนกลางขององค์การอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ
(3) การจัดโครงสร้างขององค์การในรูปพีระมิดให้ส่วนบนแหลมมาก ๆ และมีรูปทรงเป็นสามเหลี่ยม
(4) คือ สภาวะขององค์การซึ่งระดับสูง ๆ ของสายการบังคับบัญชาได้รวมอํานาจหน้าที่ไว้ ทั้งนี้เพื่อ การตัดสินใจส่วนใหญ่จะกระทําจากระดับสูงนั้น
(5) การเพิ่มความสําคัญต่อบทบาทผู้บังคับบัญชา และลดบทบาทรวมทั้งความสําคัญของผู้ใต้บังคับบัญชา
ในองค์การ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

27.Warren Bennis เสนอให้เปลี่ยน “ตัวแบบระบบราชการ” เป็น
(1) ระบบบริหารที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น
(2) เน้นการใช้อํานาจหน้าที่
(3) เน้นเอกภาพในการบังคับบัญชา
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3 2 3
ตอบ 1 หน้า 72, (คําบรรยาย) Warren Bennis ได้เสนอให้เปลี่ยน “Ideal Bureaucracy (ตัวแบบระบบราชการ) ของ Max Weber เป็น “Flexible Adhocracies” ซึ่งเป็นองค์การ ที่มีลักษณะดังนี้
1. มีการจัดโครงสร้างให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ หรือเป็นองค์การ ที่เน้นการทํางานแบบเฉพาะกิจ
2. เน้นการกระจายอํานาจและเป็นแบบประชาธิปไตย
3. มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น
4. เน้นการใช้ความรู้ (Knowledge) หรือระบบผู้เชี่ยวชาญ มากกว่าการใช้อํานาจหน้าที่ (Authority)
5. เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอนและไม่เป็นทางการ ฯลฯ

28. ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y จะต้องใช้การบริหารแบบใด
(1) Management by Rules
(2) Management by Objectives
(3) Adhocracy
(4) ทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 78, (คําบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y (มองคนในแง่ดี) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังนี้
1. การบริหารแบบประชาธิปไตย
2. การบริหารแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Participative Management)
3. การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objectives) หรือการบริหาร ที่เหมาะกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ (Adhocracy)
4. การทํางานเป็นทีม (Teamwork)
5. การบริหารแบบโครงการ (Project Management)
6. การบริหารแบบ Organic Organization
7. การกระจายอํานาจ (Decentralization)
8. การใช้ความรู้มากกว่าอํานาจหน้าที่ (Knowledge than Authority) ฯลฯ

29. ข้อใดเป็นองค์ประกอบที่บ่งชี้ถึง Effectiveness ในการทํางาน
(1) ผลผลิต
(2) ทรัพยากรที่ใช้
(3) แผนที่วางไว้
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 22 – 23 (คําบรรยาย) ประสิทธิผล (Effectiveness) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จากการบริหารกับมาตรฐาน เป้าหมาย หรือจุดประสงค์ที่กําหนด หรือกับแผนงานหรือประมาณการที่ได้วางเอาไว้ ส่วนประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือ
ผลงานที่ได้จากการบริหารกับทรัพยากร (เช่น งบประมาณ ระยะเวลา) หรือความพยายามที่ ใช้ในการบริหาร ดังนั้นหากองค์การใดสามารถดําเนินงานให้บรรลุจุดประสงค์ที่กําหนดไว้ได้ ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิผล แต่ถ้าหากองค์การใดสามารถลดการใช้ทรัพยากรการบริหาร ให้น้อยลงได้ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิภาพ

30. ข้อใดเข้าคู่กันไม่ถูกต้อง
(1) Organic Structure – หน่วยผลิตขนาดเล็กที่มีการผลิตเป็นกระบวนการ
(2) Mechanistic Organization – Formal Organization
(3) Organic Structure – องค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง
(4) Fluid Structure – Bureaucracy
(5) Adhocracy – Long-run Process Production
ตอบ 4 หน้า 45 – 47, 111 – 112, (คําบรรยาย) จากแนวคิดของ Contingency Theory นั่น Burn และ Stalker สรุปว่า
1. Mechanistic Organization เป็นองค์การแบบเก่าหรือองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) หรือองค์การตามรูปแบบระบบราชการ (Bureaucratic Model) ที่เน้น โครงสร้างและความสัมพันธ์ตามแนวดิ่ง เช่น เน้นตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority) รวมทั้งมีความเป็นทางการสูง และเน้นการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีสภาพแวดล้อมคงที่ (Static) เช่น หน่วยราชการทุกรูปแบบ
2. Organic Organization หรือที่ Warren Bennis เรียกว่า Adhocracy เป็นโครงสร้าง แบบหลวม (Fluid Structure) ที่เน้นการกระจายอํานาจ ความสัมพันธ์ตามแนวราบ/แนวนอน และการใช้ความรู้มากกว่าอํานาจหน้าที่ ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง นอกจากนี้ Woodward ยังได้สรุปอีกว่า หน่วยผลิตขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพและ ใช้เครื่องจักร เช่น โรงงานอุตสาหกรรม จะต้องมีโครงสร้างแบบ Mechanistic Structure ส่วนหน่วยผลิตขนาดเล็ก เช่น องค์การผลิตสินค้าหัตถกรรม และที่ผลิตเป็นกระบวนการ (Long-run Process Production) หรือมีระบบการผลิตหลายขั้นตอน จะต้องมีโครงสร้าง แบบ Organic Structure

31.Barton และ Chappell เรียกสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีว่าเป็น
(1) Political Environment
(2) Primary Environment
(3) Inner Environment
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 14 – 17 Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ 1. สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี 2. สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม

32. ใครที่เสนอเรื่อง “Time and Motion Study
(1) Taylor
(2) Cooke
(3) Munsterberg
(4) Gantt
(5) Gilbreths
ตอบ 5 หน้า 42, (คําบรรยาย) Frank และ Lillian Gilbreths เป็นผู้ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์หามาตรฐาน ของงานโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการเคลื่อนไหวในการปฏิบัติงาน (Time and Motion Study) เพื่อนําไปใช้ในการจัดกระบวนการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

33. แนวคิดใดที่เชื่อว่า “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่นําไปสู่เป้าหมาย”
(1) Scientific Management
(2) Contingency Theory
(3) Industrial Humanism
(4) The Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 112 – 113 Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอํานาจ ที่ต่างเข้ามาทํางานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอํานาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การ เป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะนําไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการ และความสนใจของผู้มีอํานาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสําคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ

34. ข้อใดที่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง
(1) Gantt Chart – สร้างวินัยในการทํางาน
(2) Division of Work – ขยายความสามารถของมนุษย์
(3) Hygiene Factors – ถ้าไม่ได้รับจะไม่ยอมทํางาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 42, 81 – 82, (2S 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 19 – 20), (คําบรรยาย) Henry L. Gantt ได้เสนอแนวคิดในการสร้างวินัยในการทํางานและการทํางานเป็นกิจวัตร โดยการใช้ Gantt Chart เป็นแผนภูมิควบคุมเวลาในการทํางาน หรือแผนกํากับหรือติดตามความก้าวหน้าของงาน รวมทั้ง การกําหนดเวลาเข้าทํางาน เลิกงาน โดยต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป และจะเปลี่ยนแปลง ตามอําเภอใจของผู้บริหารไม่ได้ ส่วนการแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงในการช่วยขยาย ความสามารถของมนุษย์ หรือช่วยเพิ่มความสามารถในการทํางานขององค์การ และปัจจัยอนามัย (Hygiene Factors) ของ Frederick Herzberg เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับ การตอบสนองแล้วจะสร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน

35. “สิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน” เป็นสิ่งจูงใจที่ริเริ่มนําเสนอโดยนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักบริหารเชิงปริมาณ
(2) นักทฤษฎีการบริหาร
(3) นักทฤษฎีระบบราชการ
(4) กลุ่มนีโอคลาสสิก
(5) กลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
ตอบ 4 หน้า 26 – 27, 29 – 30, 67 – 82 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) หรือกลุ่มมนุษยนิยม (Humanism หรือ Industrial Humanism) หรือกลุ่ม มนุษยสัมพันธ์ (Hunan Relations Approach) หรือกลุ่มนีโอคลาสสิก (Neo-Classical Organization Theory) หรือนักทฤษฎีการบริหารงานสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of Management) มีแนวคิดและวิธีศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบเปิด” ดังนี้
1. ศึกษาองค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization)โดยให้ความสําคัญกับระบบสังคมภายในองค์การหรือระบบสังคมจิตวิทยามากที่สุด
2. ริเริ่มนําเสนอสิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน
3. เน้นการบริหารงานที่คํานึงถึงความสุขและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานหรือสมาชิกในองค์การ
4. เน้นศึกษากลุ่มทางสังคม คุณลักษณะของปัจเจกบุคคล (ได้แก่ บุคลิกภาพ จิตภาพ ทัศนคติ และความต้องการของบุคคล) คุณลักษณะทางธรรมชาติของมนุษย์

5. พยายามนําระบบการบริหารแบบเครือญาติ (Paternalism) เข้ามาใช้ในองค์การ
6. นักทฤษฎี (นักวิชาการ) ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Hugo Munsterberg, George Elton Mayo,
Warren Bennis, Chester I. Barnard, A.H. Maslow, Douglas McGregor และ
Frederick Herzberg ฯลฯ

36. เขียนตํารา “หลักสิบสองประการในการสร้างประสิทธิภาพ”
(1) Gilbreths
(2) Emerson
(3) Cooke
(4) Taylor
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 43 Harrington Emerson ได้เขียนตํารา “หลักสิบสองประการในการสร้างประสิทธิภาพ” (The Twelve Principles of Efficiency) ซึ่งประกอบด้วยหลักการสําคัญ เช่น
1. การสร้างวัตถุประสงค์
2. การใช้สามัญสํานึก
3. การปรึกษาหารือ
4. การมีระเบียบวินัย
5. การจัดการที่เป็นธรรม
6. การปฏิบัติงานตลอดเวลาและเชื่อถือได้
7. การกําหนดสายทางเดินของงาน
8. การกําหนดมาตรฐานและระยะเวลาการทํางาน ฯลฯ

37. ทุกข้อเป็นหลักเกณฑ์ที่ Max Weber นําเสนอ ยกเว้น
(1) ความชํานาญเฉพาะด้าน
(2) หลักความสามารถ
(3) แยกการเมืองออกจากการบริหาร
(4) สายการบังคับบัญชา
(5) การกระจายอํานาจ
ตอบ 5 หน้า 44 – 47, 139, 189, (คําบรรยาย) รูปแบบของระบบราชการ (Bureaucratic Model) หรือองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การที่เป็นทางการตามทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy Theory) หรือทฤษฎีองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization Theory) หรือทฤษฎี องค์การรูปสามเหลี่ยมพีระมิดของ Max Weber นั้น จะประกอบด้วย
1. การกําหนดสายการบังคับบัญชา (Hierarchy, Chain of Command หรือ Line of Authority)
2. การกําหนดตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority)
3. การกําหนดกฎระเบียบและข้อบังคับที่แน่นอน (Rules and Regulations)
4. การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) เช่น การแบ่งงานออกเป็นแผนกงานต่าง ๆ
5. การจัดทําคู่มือการทํางาน และคําบรรยายลักษณะงาน (Job Description)
6. การกําหนดเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)
7. การคัดเลือกและเลื่อนขั้นโดยอาศัยหลักความสามารถตามระบบคุณธรรม (Merit on
Selection and Promotion)
8. การมีระบบความสัมพันธ์ภายในองค์การอย่างเป็นทางการ (Formal Relationship) ตามสายการบังคับบัญชาและอํานาจหน้าที่ หรือตามแนวดิ่ง ฯลฯ
ซึ่งรูปแบบดังกล่าวทําให้เกิดการแยกการเมืองออกจากการบริหาร และระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล

38. ในการบริหารงาน คําว่า Red Tape หมายถึง
(1) การคั่งค้างของงาน
(2) การสื่อสารที่ล่าช้า
(3) หัวหน้างาน
(4) โครงสร้างหน่วยงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 49 Red Tape หมายถึง ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความล่าช้าของการ ติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ในโครงสร้างขององค์การที่จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับบัญชา ที่ยาวและระบบความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ

39. ตามทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการ “ความต้องการที่จะได้รับชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมงานเรียกว่า
(1) Self-Realization Needs
(2) Safety Needs
(3) Social Needs
(4) ทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 75 – 76 A.H. Maslow ได้เสนอทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of Needs Theory) ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ลําดับ จากต่ําสุดไปถึงสูงสุด ดังนี้
1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) เช่น อาหาร อากาศ การพักผ่อน
2. ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต (Safety Needs)
3. ความต้องการที่จะเข้าร่วมในสังคม (Social Needs)
4. ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในหน้าที่การงาน ได้รับเกียรติ ชื่อเสียง และเป็นที่ ยอมรับนับถือของผู้ร่วมงาน (Esteem Needs, Ego Needs หรือ Status Needs)
5. ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ (Self-Realization Needs)

40. ทุกข้อเป็น “Motivator Factor 3” ตามทฤษฎีของ Herzberg ยกเว้น
(1) เงินเดือน
(2) ความสําเร็จในหน้าที่การงาน
(3) การยอมรับนับถือจากผู้ร่วมงาน
(4) ลักษณะของงาน
(5) ความรับผิดชอบ
ตอบ 1 หน้า 81 – 82, (คําบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจ (Hygiene Theory) ของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจให้กับ พนักงานได้ 2 ประการ คือ

1. ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทํางาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจ ให้กับพนักงาน ซึ่งเรียงลําดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ความสําเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับ นับถือจากผู้ร่วมงาน ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน

2. ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ําจุนให้คนยินยอมทํางาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะ สร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน ซึ่งเรียงลําดับ จากมากไปน้อย ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทํางาน

41. ข้อใดเป็น “ปัจจัยจูงใจ” ตามทฤษฎีของ Herzberg
(1) เทคนิคและการควบคุมงาน
(2) สภาพการทํางาน
(3) ความก้าวหน้าในการงาน
(4) นโยบายและการบริหาร
(5) ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

42.Natural System Model เป็นวิธีการศึกษาของ
(1) Scientific Management
(2) Bureaucratic Model
(3) A Systems Approach
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 26 – 27, (คําบรรยาย) ตัวแบบระบบตามธรรมชาติ (Natural System Model) เป็นวิธีการศึกษาของกลุ่มนักทฤษฎีหรือนักวิชาการที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบเปิด” ซึ่งได้แก่
1. กลุ่ม Behavioral Science
2. กลุ่ม A Systems Approach
3. กลุ่ม Contingency Theory หรือ Situational Approach
4. กลุ่ม The Action Theory หรือ The Action Approach

43. การแบ่งประเภทขององค์การ โดย “พิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายใน จัดเป็นการแบ่งประเภทขององค์การโดยยึดเกณฑ์แบบใด
(1) วัตถุประสงค์ในการดําเนินงาน
(2) ความเป็นทางการ
(3) หน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากร
(4) ความเป็นเจ้าของ
(5) กําเนิดขององค์การ
ตอบ 2 หน้า 9, (คําบรรยาย) การแบ่งประเภทขององค์การโดยพิจารณาจากโครงสร้างขององค์การ เป็นการพิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น
2 ประเภท คือ
1. องค์การที่เป็นทางการหรือองค์การรูปนัย (Formal Organization)
2. องค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization)

44.“การกําหนดเวลาเข้าทํางาน เลิกงาน” ต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป จะเปลี่ยนแปลงตามอําเภอใจ ของผู้บริหารไม่ได้ เป็นข้อเสนอของนักวิชาการใด
(1) Taylor
(2) Gilbreths
(3) Cooke
(4) Weber
(5) Gantt
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

45. การยึดหลัก “เอกภาพในการบังคับบัญชา” มีข้อเสียอะไร
(1) สิ้นเปลืองบุคลากร
(2) เกิดความขัดแย้ง
(3) ประสิทธิภาพต่ำ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

46. สิ่งที่ ดร.ชุบ กาญจนประกร เสนอเพิ่มจากที่กูลิคเสนอไว้ในเรื่องหน้าที่ของผู้บริหาร ได้แก่
(1) การควบคุมงาน
(2) การประเมินผลงาน
(3) การกําหนดอํานาจหน้าที่
(4) การประสานงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 60 – 62 ดร.ชุบ กาญจนประกร ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารเพิ่มเติมจากแนวคิด POSDCORB ของ Luther Gutick เป็น PA-POSDCORB โดย PA ที่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่
P = Policy (การกําหนดนโยบาย) และ A = Authority (การกําหนดอํานาจหน้าที่)

47. ทุกข้อเป็นประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ ยกเว้น
(1) เกิดความรวดเร็วในการตัดสินใจ
(2) แก้ปัญหาข้อขัดแย้ง
(3) ช่วยสร้างความร่วมมือ
(4) ทําให้เกิดการประสานงานที่ดี
(5) ช่วยปกป้องความรับผิดชอบของบุคคลเพียงคนเดียว
ตอบ 1 หน้า 63 ประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ (Committees) ได้แก่
1. ช่วยแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ
2. ช่วยสร้างความร่วมมือ หรือเพิ่มการมีส่วนร่วม
3. ทําให้เกิดการประสานงานที่ดี
4. ช่วยปกป้องความรับผิดชอบของบุคคลเพียงคนเดียว

48. “สภาพแวดล้อมขององค์การที่เปรียบได้กับสภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น……” เรียกว่า
(1) Turbulent Field
(2) Placid Clustered Environment
(3) Placid Randomized Environment
(4) Disturbed-Reactive Environment
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 18, (คําบรรยาย) Emery และ Trist ได้แบ่งระดับของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การ กับสภาพแวดล้อมออกเป็น 4 ระดับ คือ
1. Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ การติดต่อกับ สังคมภายนอกเป็นไปโดยบังเอิญ ทําให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาโบราณ ชาวเขาเร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น
2. Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่เริ่มมีการติดต่อกับ สังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยประถมศึกษา เป็นต้น
3. Disturbed-Reactive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ผลของ การติดต่อเป็นผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อม
ของกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น
4. Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพของระบบสังคมและเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น

49. ในการทดลองของ Mayo กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับ สภาพแวดล้อมที่คงที่ ผลการตรวจสอบผลงานของกลุ่มทั้งสองเป็นดังนี้
(1) ผลงานลดลงทั้งสองกลุ่ม
(2) ผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่ม
(3) กลุ่มทดลองมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า
(4) กลุ่มควบคุมมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า
(5) ผลงานของทั้งสองกลุ่มเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีทิศทาง
ตอบ 2 หน้า 68 – 70, (คําบรรยาย) George Elton Mayo ได้ทําการวิจัยแบบทดลองที่เรียกว่า Hawthorne Study หรือ Hawthorne Experiments โดยการให้กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป และกลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ซึ่งพบผลการทดลองที่สําคัญ คือ การเกิดปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันเป็นผลกระทบจากการทดลอง ซึ่งส่งผลให้กลุ่มที่ถูกเฝ้าดูทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมต่างไม่ยอมแพ้กันและกันขยันทํางานจนมีผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่มโดยปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า “Hawthorne Effect” หมายถึงผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากผู้ปฏิบัติงานได้รับความสนใจและเอาใจใส่ดูแลที่มากขึ้นจากผู้บังคับบัญชานั่นเอง

50.”…..ระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชน ด้วยกันเองและระหว่างรัฐกับประชาชน” จัดเป็นสภาพแวดล้อมประเภทใดตามทัศนะ Barton และ Chappell
(1) Political Environment
(2) Primary Environment
(3) Inner Environment
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 14 – 17 กระบวนการยุติธรรม (Judiciary) เป็นระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้าง ความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเอง และระหว่างรัฐ กับประชาชน ซึ่งจัดเป็นสภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ประเภทหนึ่งตามทัศนะของ Barton และ Chappell (ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ)

51. ทฤษฎีองค์การในช่วง 1960 – 1975 เป็นยุคของทฤษฎีองค์การกลุ่มใด
(1) Situational Approach
(2) Contingency Theory
(3) The Action Approach
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4

52. จากหน้าที่ของนักบริหารที่ Henri Fayol เสนอไว้ 5 ประการเป็น POCCC C ทั้งสาม ได้แก่
(1) Commanding Controlling Correcting
(2) Controlling Correcting Coordinating
(3) Coordinating Concepting Correcting
(4) Commanding Coordinating Controlling
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 28 – 29, 55, (คําบรรยาย) Henri Fayol ได้เสนอกิจกรรมการบริหารหรือหน้าที่ ของนักบริหารไว้ 5 ประการ ซึ่งเรียกว่า POCCC Model ประกอบด้วย
1. P = Planning (การวางแผน)
2. O = Organizing (การจัดรูปงาน)
3. C = Commanding (การสั่งการ)
4. C = Coordinating (การประสานงาน)
5. C = Controlling (การควบคุมบังคับบัญชา)

53. ข้อใดต่อไปนี้ที่ Kaufman ถือเป็น Pure Internal Management
(1) การตัดสินใจ
(2) การหาข่าวสาร
(3) การจูงใจ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 14, (คําบรรยาย) Herbert Kaufman เห็นว่า ผู้บริหารจะใช้เวลาของตนให้กับ ภารกิจ 2 ลักษณะ คือ
1. Pure Internal Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารใช้เวลาน้อยเพียงร้อยละ 10 – 20 ของเวลาทั้งหมด ได้แก่ ภารกิจด้านการวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจ และภารกิจในด้านการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดําเนินงานตามภาระหน้าที่

2. External Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารต้องใช้เวลามากถึงร้อยละ 85 – 90 ของเวลา ทั้งหมด โดยแบ่งเป็นภารกิจด้านการเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 25 – 30 ของเวลาทั้งหมด และภารกิจด้านการรับและกรองข้อมูลข่าวสาร หรือการแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากสังคมประมาณร้อยละ 50 – 60 ของเวลาทั้งหมด

54. การจําแนกประเภทของระบบในทัศนะของ Kenneth Boulding ระดับที่เริ่มจัดเป็นระดับของ
ระบบทางกายภาพ ได้แก่ระดับใด
(1) ระดับที่ 4
(2) ระดับที่ 5
(3) ระดับที่ 6
(4) ระดับที่ 7
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 88 – 89 Kerineth Boulding จําแนกประเภทของระบบออกเป็น 9 ระดับ โดยระดับที่ 1 – 3 เป็นระบบทางกายภาพ ระดับที่ 4 – 6 เป็นระบบทางชีวภาพหรือ ระบบของพฤติกรรมศาสตร์ และระดับที่ 7 – 9 เป็นระบบทางสังคม

55.Warren Bennis เสนอให้เปลี่ยน “ตัวแบบระบบราชการ” เป็น
(1) ระบบบริหารที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น
(2) เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอน
(3) เน้นการกระจายอํานาจ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

56. Management Science หมายถึง
(1) วิชาที่เน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของสังคม
(2) วิชาที่มุ่งค้นคว้าเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน
(3) วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมการทํางานในองค์การ
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 2 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ
1. วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่ วิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการบริหารงาน
2. การวิจัยดําเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประยุกต์ เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ

57. ตามทัศนะของ Munsterberg “การกําหนดคนให้เหมาะกับงาน” ต้องให้ความสําคัญที่
(1) ความรู้ความสามารถ
(2) แรงจูงใจ
(3) บุคลิกภาพ
(4) ความต้องการ
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 67 – 68, (คําบรรยาย) Hugo Munsterberg เป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มนีโอคลาสสิก ที่เสนอให้มีการนําเอาแบบทดสอบทางจิตวิทยาเข้ามาช่วยคัดเลือกคนเข้าทํางานในตําแหน่งต่าง ๆ ขององค์การ โดยเห็นว่า การคัดเลือกคนหรือการกําหนดคนให้เหมาะสมกับงานนั้น ไม่ควรพิจารณาเฉพาะความรู้ความสามารถของบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาที่ บุคลิกภาพหรือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลให้เหมาะสมกับลักษณะของงานด้วย จึงจะทําให้การทํางานมีประสิทธิภาพ

58. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มนีโอคลาสสิก เสนอให้พิจารณาปัจจัยด้านใดในการบริหารองค์การ
(1) บุคลิกภาพ
(2) คุณวุฒิ
(3) ประสบการณ์
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 1 (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มนีโอคลาสสิก เห็นว่า มนุษย์นั้นมีความแตกต่างกัน ในพฤติกรรม ดังนั้นการบริหารองค์การ เช่น การคัดเลือกคนเข้าสู่ตําแหน่งต่าง ๆ หรือ การกําหนดคนให้เหมาะสมกับงาน จึงควรพิจารณาคุณลักษณะเฉพาะของบุคคล อันได้แก่ พฤติกรรม บุคลิกภาพ จิตภาพ ทัศนคติ ความต้องการ แรงจูงใจ ฯลฯ จึงจะทําให้ การดําเนินงานในองค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

59.Hawthorne Effect หมายถึง
(1) ความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทํางานกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
(2) ผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานเนื่องจากการได้รับการดูแลเอาใจใส่
(3) ผลที่ Mayo พบจากการทดลองที่ Western Electric Company
(4) ผลกระทบที่องค์การมีต่อสังคม
(5) อิทธิพลของกลุ่มที่มีต่อสมาชิกกลุ่ม เมื่อกลุ่มถูกเฝ้าดู
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

60. การที่องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ในการทํางานที่สอดคล้องกัน เป็นหลักในเรื่องใด
(1) หลักของกฎและระเบียบ
(2) หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา
(3) หลักเอกภาพขององค์การ
(4) หลักการแบ่งแยกหน้าที่กันทํางาน
(5) หลักการรวมอํานาจที่เหมาะสม
ตอบ 3 หน้า 58 หลักเอกภาพขององค์การ (Unity of Direction) เป็นหลักการบริหารที่ว่า องค์การจะมีประสิทธิภาพเมื่อผู้ร่วมงานทุกคนต่างช่วยกันทํางานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการทํางาน ที่สอดคล้องกัน

61.ตัวอย่างของ “องค์การปฐมภูมิ” ได้แก่
(1) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(2) สํานักงานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
(3) กรมพัฒนาชุมชน
(4) สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 8, คําบรรยาย) องค์การเบื้องต้นหรือองค์การปฐมภูมิ (Primary Organization) มีลักษณะสําคัญ คือ เป็นองค์การที่พึ่งจะกําเนิดขึ้นมา, บุคลากรภายในเป็นคนรุ่นแรกหรือเป็น รุ่นที่ริเริ่มก่อตั้งองค์การ, ผู้ปฏิบัติงานจะมีความเข้าใจในวัตถุประสงค์ขององค์การเป็นอย่างดีความสัมพันธ์ภายในมีลักษณะของความสัมพันธ์โดยตรงไม่คํานึงถึงสายการบังคับบัญชา,องค์การอาจล้มเลิกไปเมื่อใดก็ได้หากพัฒนาไปสู่องค์การถาวรไม่สําเร็จ เช่น องค์การบริหาร ส่วนตําบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สํานักงานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมือง เป็นต้น

62. “สภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ….. การติดต่อเป็นไปโดยบังเอิญ ทําให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก”ตัวอย่างได้แก่
(1) สังคมเด็กวัยประถมศึกษา
(2) สังคมคนชรา
(3) สังคมเด็กวัยรุ่น
(4) สังคมเศรษฐกิจไทย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

63. ใครที่เชื่อว่า อํานาจหน้าที่ไม่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง
(1) Fayol
(2) Weber
(3) Barnard
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 71 – 72 Chester I. Barnard ได้ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับองค์การไว้ในหนังสือชื่อ “The Functions cf the Executive” ดังนี้
1. องค์การเป็นระบบของความร่วมมือระหว่างบุคคลที่จะต้องร่วมกันดําเนินภารกิจให้เกิดการทํางานร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ
2. อํานาจหน้าที่ควรกําหนดในรูปของความรับผิดชอบของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่เป็นการกําหนดตายตัวจากบนลงล่าง

3. นําบทบาทขององค์การอรูปนัยหรือองค์การที่ไม่เป็นทางการเข้ามาใช้ในทฤษฎีองค์การและ
การบริหารองค์การ
4. บทบาทหลักของผู้บริหารคือการสื่อความเข้าใจและกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานใช้ความพยายาม
ในการทํางานอย่างเต็มที่
5. ผลตอบแทนทางวัตถุไม่ใช่สิ่ง ๆ เดียวที่สําคัญยิ่งในการจูงใจหรือเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานต้องการ

64. แนวคิดที่ต้องการให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ และ
ทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น……….แนวคิดดังกล่าวเรียกว่า
(1) Adhocracies
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory
(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 112 – 113, (คําบรรยาย) ทฤษฎีการกระทํา (The Action Theory หรือ The Action Approach) เป็นแนวคิดที่เน้นการอธิบายเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามสภาพที่เป็นจริง หรือตามสภาวะทางการเมืองในองค์การ (Political Nature of Organization) โดยแนวคิดนี้ จะเน้นให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ ทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น และหามาตรการปรับปรุงแก้ไข

65.Barton และ Chappell จัดสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มใด
(1) Political Environment
(2) Primary Environment
(3) Inner Environment
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

66. ตามทฤษฎีของ Herzberg ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่เป็น Motivator Factors สูงที่สุด
(1) นโยบายและการบริหาร
(2) ความก้าวหน้าในงาน
(4) ความรับผิดชอบ
(3) ลักษณะของงาน
(5) ความสําเร็จในหน้าที่การงาน
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

67. วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ ได้แก่
(1) Scientific Management
(2) Management Science
(3) Operation Research
(4) Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

68. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบที่สําคัญของการวางแผน
(1) ต้องเกี่ยวกับการที่จะมีการดําเนินการใด ๆ เฉพาะ
(2) ต้องมีผลต่อบุคคลหรือต่อองค์การหรือต่อสังคม
(3) ต้องดําเนินการโดยอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วม
(4) ต้องเกี่ยวข้องกับอนาคต
(5) ทุกข้อล้วนเป็นองค์ประกอบที่สําคัญของการวางแผน
ตอบ 3 หน้า 219 การวางแผนมีองค์ประกอบที่สําคัญ 3 ประการ คือ
1. ต้องเกี่ยวข้องกับอนาคต (Involve The Future)
2. ต้องเกี่ยวข้องกับการที่จะมีการดําเนินการใด ๆ เฉพาะ (Involve The Action)
3. ต้องมีผลต่อบุคคลหรือต่อองค์การหรือต่อสังคม (Personal or Organizational Causation)

69. “เป็นภารกิจทางการบริหารที่เกี่ยวข้องกับการกําหนดเป้าหมายในอนาคตขององค์การและการตัดสินใจว่า องค์การจะต้องทําอะไร ใช้ทรัพยากรเพื่ออะไรบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้” ข้อความดังกล่าวเป็น
นิยามของสิ่งใด
(1) Planning
(2) Organizing
(3) Staffing
(4) Leading
(5) Commanding
ตอบ 1 (คําบรรยาย) Richard L. Daft กล่าวว่า การวางแผน (Planning) เป็นภารกิจทางการบริหาร ที่เกี่ยวข้องกับการกําหนดเป้าหมายในอนาคตขององค์การและการตัดสินใจว่าองค์การจะต้อง ทําอะไร ใช้ทรัพยากรเพื่ออะไรบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้

ตั้งแต่ข้อ 70 – 76. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Strengths
(2) Weaknesses
(3) Opportunities
(4) Threats
(5) Problems

70. สําหรับองค์การที่ขายสินค้าออนไลน์ ในการวิเคราะห์ SWOT Analysis นั้น การที่ “ลูกค้าขาดความรู้ และทักษะในการใช้งานอินเทอร์เน็ต” ถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 4 หน้า 220, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นั้น จะประกอบด้วย

1. การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internat Factor) ได้แก่

S = Strengths คือ จุดแข็ง ศักยภาพ หรือความสามารถขององค์การที่มีอยู่จริง เช่น การมีงบประมาณจํานวนมาก การมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย การมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ มีความสามัคคีในการปฏิบัติงาน การมีการวางแผนในระดับหน่วยงาน อย่างเป็นระบบ เป็นต้น

W = Weaknesses คือ จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ ขององค์การ เช่น บุคลากร ขาดความรู้ความสามารถ บุคลากรมีจํานวนน้อยไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่การงาน งบประมาณมีไม่เพียงพอ มีการจัดทําแผนแต่ขาดการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ขาดการสนับสนุนให้มีการทํางานเป็นทีม เป็นต้น

2. การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่

O = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดีขึ้นทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ประเทศไทย เป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วไทย เป็นต้น

T = Threats คือ ภัยคุกคามที่มีผลต่อการดําเนินงานขององค์การ เช่น การที่คู่แข่ง เริ่มนําเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ลูกค้าขาดความรู้ และทักษะในการใช้งานอินเทอร์เน็ต รัฐบาลไม่สนับสนุนเงินลงทุน เป็นต้น

71. “องค์การมีข้าราชการและลูกจ้างจํานวนน้อย ไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่การงาน” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

72. “บุคลากรในองค์การมีความสามัคคีในการปฏิบัติงาน มีการวางแผนในระดับหน่วยงานอย่างเป็นระบบข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

73. สํานักงานตํารวจแห่งชาติ “มีการจัดทําแผนแต่ขาดการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ” ข้อความดังกล่าว ถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

74. การบินไทย “ประเทศไทยยังคงเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วไทย” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

75. “องค์การมีการจัดทําแผนแต่ขาดการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

76. บริษัทขนส่งจํากัด (บขส.) “รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนเงินลงทุนในการจัดตั้งสถานีขนส่งผู้โดยสาร ซึ่งเป็น บริการสาธารณะ” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

77. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการตัดสินใจ
(1) การตัดสินใจก็คือการบริหาร
(2) การตัดสินใจมีบทบาทอยู่ในทุก ๆ ส่วนของกระบวนการบริหาร
(3) องค์การจะต้องมีการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลาและตลอดไป
(4) การตัดสินใจมีความหมายแตกต่างกับการวินิจฉัยสั่งการ
(5) การตัดสินใจในองค์การมีลักษณะเช่นเดียวกันกับการตัดสินใจของบุคคล
ตอบ 4 หน้า 228 การตัดสินใจ (Decision Making) มีความหมายเช่นเดียวกันกับการวินิจฉัยสั่งการ โดยหมายถึง การพิจารณาตกลงใจชี้ขาดจากทางเลือกที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางเลือกขึ้นไปในอันที่จะ ให้มีการกระทําในลักษณะเฉพาะใด ๆ หรือหมายถึง การตกลงใจที่จะยุติข้อขัดแย้ง ข้อถกเถียง โดยให้มีการกระทําไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการพิจารณาและตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว

ตั้งแต่ข้อ 78 – 82. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การตัดสินใจระดับระหว่างองค์การ
(2) การตัดสินใจระดับกําหนดนโยบาย
(3) การตัดสินใจระดับประสานงาน
(4) การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ
(5) ไม่มีข้อใดถูก

78. เป็นการตัดสินใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานโดยตรง
ตอบ 4 หน้า 229 – 230, (คําบรรยาย) การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ (Operational Level) เป็นการตัดสินใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานโดยตรง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรและวัตถุดิบทั้งหลายให้เกิดเป็นสินค้าและบริการตามเป้าหมาย ขององค์การ การตัดสินใจในระดับนี้จะเป็นไปชั่วระยะเวลาอันสั้น มีการใช้เทคนิคประกอบ การตัดสินใจ เช่น อาจใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการควบคุมการดําเนินงานโดยจัด ให้มีการตัดสินใจไว้ล่วงหน้า (Programmed Decision) และเป็นการตัดสินใจที่เหมาะกับ สภาพแวดล้อมแบบปิด ผู้บริหารที่ใช้การตัดสินใจระดับนี้ เช่น หัวหน้างาน (Supervisor), หัวหน้าคนงาน (Foreman) เป็นต้น

79. การตัดสินใจในระดับนี้จะเป็นไปชั่วระยะเวลาอันสั้น มีการใช้เทคนิคประกอบการตัดสินใจ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80. การจัดรูปองค์การเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับใดมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 229, 231 – 232 การตัดสินใจมีบทบาทอยู่ในทุก ๆ ส่วนของกระบวนการบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การจัดรูปองค์การ และการควบคุมองค์การ โดยการวางแผนและ การจัดรูปองค์การจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับการกําหนดนโยบายและเป้าหมาย ขององค์การหรือระดับการกําหนดกลยุทธ์ (Strategic Level) ส่วนการควบคุมองค์การ จะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับของการประสานงาน (Coordinative Level) และ การปฏิบัติการ (Operational Level)

81. การวางแผนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับใดมากที่สุด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

82. การตัดสินใจในระดับนี้มีทั้งในลักษณะ “ทันทีทันใด” และ “การพิจารณาในระยะยาว”
ตอบ 3 หน้า 229 การตัดสินใจระดับประสานงาน (Coordinative Level) เป็นการตัดสินใจที่ เกี่ยวข้องกับความพยายามในอันที่จะประสานความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจระดับสูงกับการดําเนินงานในระดับการปฏิบัติการ การตัดสินใจในระดับนี้มีทั้งในลักษณะ “ทันทีทันใด” และ “การพิจารณาในระยะยาว” ผู้บริหารในระดับนี้จะต้องทําหน้าที่ตัดสินใจเพื่อให้เกิดการประสานกันระหว่างการปฏิบัติงานในองค์การกับการนําเอาปัจจัยภายนอกองค์การ(สภาพแวดล้อม) เข้ามาในองค์การ

83. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการตัดสินใจ
(1) ระบบของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะต้องประกอบไปด้วยระบบของการตัดสินใจ
(2) หากปราศจากระบบของการตัดสินใจแล้วระบบของสิ่งมีชีวิตจะดํารงอยู่ไม่ได้
(3) ผู้ปฏิบัติงานมีแนวโน้มตัดสินใจโดยใช้ความคิดตรึกตรองใช้สํานึกมากกว่าผู้บริหาร
(4) การควบคุมองค์การเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับของการประสานงาน
(5) การตัดสินใจมีบทบาทในทุกส่วนของกระบวนการบริหาร
ตอบ 3 หน้า 232 ผู้ปฏิบัติงานมีแนวโน้มตัดสินใจโดยใช้ความคิดตรึกตรองหรือใช้สํานึก (Conscious Decision) น้อยกว่าผู้บริหาร โดยส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติงานจะใช้การตัดสินใจแบบไร้สํานึกหรือ ไม่ต้องใช้ความคิดตรึกตรอง (Unconscious Decision) ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่มีการวางแผน ในการตัดสินใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

84. นักทฤษฎีการรับรู้เชื่อว่า ตัวกลางระหว่างการกระตุ้นและการตอบสนอง คือสิ่งใด
(1) Image
(2) Happiness
(3) Information
(4) Stress
(5) Sensation
ตอบ 1 หน้า 233 นักทฤษฎีการรับรู้ (Cognitive Theorists) อธิบายว่า Image หรือมโนภาพหรือ จินตนาการ ซึ่งเกิดจากผลรวมของประสบการณ์ที่ผ่านมา เป็นตัวกลางในการผลักดันระหว่าง “การกระตุ้น” กับ “การตอบสนอง” และตัวกลางดังกล่าวนี้ก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าการสะท้อนกลับตามลักษณะ Reflex Arc

85. “นายศุภกฤตโทรศัพท์หานางสุกฤตาเพื่อแจ้งอาการป่วยของนางสุจิตราผู้เป็นมารดาในขณะที่นายศุภณัฏฐ์ ลูกชายนางสุกฤตากําลังร้องเพลงเสียงดัง” จากข้อความนี้ข้อใดเป็น Information Source
(1) นายศุภกฤต
(2) นางสุกฤตา
(3) นางสุจิตรา
(4) นายศุภณัฏฐ์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 245, (คําบรรยาย) ในกระบวนการสื่อความเข้าใจนั้น Information Source คือ ผู้ส่งสาร ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มหรือเริ่มต้นในการส่งข้อมูลข่าวสารไปยังผู้รับสาร ดังนั้นจากโจทย์ Information Source หรือผู้ส่งสารก็คือ นายศุภกฤต นั่นเอง

86. ข้อใดเป็น External Information Base ขององค์การ
(1) ระบบการเงิน
(2) ระบบการจัดซื้อ
(3) สภาพการเมือง
(4) ระบบการผลิต
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 251 – 252 พื้นฐานและที่มาของข้อมูลข่าวสาร มีดังนี้
1. ข้อมูลข่าวสารจากภายในองค์การ (Internal Information Base) ได้มาจากหน่วยงานต่าง ๆ และปัจจัยภายในองค์การเอง เช่น ระบบการเจ้าหน้าที่ ระบบการขายสินค้าและบริการ ระบบของคําสั่งและการควบคุม ระบบการผลิต ระบบการควบคุมสินค้า ระบบการจัดซื้อระบบการเงิน เป็นต้น

2. ข้อมูลข่าวสารจากภายนอกองค์การ (External Information Base) ได้มาจากระบบ สภาพแวดล้อมขององค์การ ได้แก่ สภาพสังคม สภาพเศรษฐกิจ และสภาพการเมือง

87. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการควบคุมองค์การ
(1) เป็นวิธีการที่สําคัญในการที่จะได้มาซึ่งการประสานงานที่ดีภายในองค์การ
(2) คือการสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นภายในองค์การ
(3) หมายถึงการตรวจสอบผลการดําเนินงานว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด
(4) หมายถึงการตรวจสอบเปรียบเทียบผลงานกับแผนงาน หรือมาตรฐานที่ได้ตั้งเอาไว้
(5) การปฏิบัติการตามแผนงานต้องเกิดขึ้นก่อนการควบคุมองค์การเสมอ
ตอบ 5 หน้า 266, (คําบรรยาย) การควบคุมองค์การไม่จําเป็นต้องเกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการตาม แผนงานเสมอไป การควบคุมองค์การนั้นอาจเกิดขึ้นก่อนการปฏิบัติการตามแผนงาน ซึ่งเรียกว่า การควบคุมล่วงหน้า (Pre Control) หรืออาจเกิดขึ้นขณะปฏิบัติการตามแผนงาน ซึ่งเรียกว่า การควบคุมในสภาพการปฏิบัติงานจริง (Real Time Control) หรือเกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการ ตามแผนงาน ซึ่งเรียกว่า การควบคุมทีหลัง (Post Control) ก็ได้

88. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบที่สําคัญในการควบคุมองค์การ
(1) การกําหนดเป้าหมาย
(2) การกําหนดวิธีการในการวัด
(3) การเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐาน
(4) การกําหนดบทลงโทษผู้กระทําผิด
(5) ทุกข้อที่กล่าวมาเป็นองค์ประกอบที่สําคัญในการควบคุมองค์การ
ตอบ 4 หน้า 262 การควบคุมองค์การจะต้องมีองค์ประกอบในการควบคุมที่สําคัญ 4 ขั้นตอน คือ
1. การกําหนดเป้าหมาย รายละเอียด และมาตรฐานของการดําเนินงาน
2. การกําหนดวิธีการวัดมาตรฐานในการดําเนินงาน รวมทั้งวิธีการที่จะวัดความสําเร็จของงาน
3. การพิจารณาเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานที่ได้ตั้งเอาไว้
4. การดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้

89.ข้อใดหมายถึง “ภาวะความเครียดซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการต่าง ๆ ของมนุษย์”
(1) Needs
(2) Drives
(3) Incentives
(4) Goals
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 271 เงื่อนไขที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ มี 3 ประการ คือ
1. ความต้องการ (Needs) เกิดจากความขาดแคลนในบางสิ่งบางอย่างของมนุษย์
2. แรงขับ (Drives) หมายถึง ภาวะความเครียดซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการต่าง ๆ ของมนุษย์
3. สิ่งล่อใจ (Incentives) หมายถึง สิ่งของหรือเงื่อนไขภายนอกที่กระตุ้นให้มนุษย์กระทําการ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าประสงค์

90.Hedonism อธิบายว่ามนุษย์ต้องการแสวงหาสิ่งใดเป็นสําคัญ
(1) ความสะดวกสบาย
(2) ความรู้
(3) ความเป็นผู้นํา
(4) สังคมกลุ่มเพื่อน
(5) ความรัก
ตอบ 1 หน้า 271 Hedonism อธิบายว่า “มนุษย์ต้องการจะแสวงหาความสะดวกสบายและ ความรื่นรมย์เป็นสําคัญ ขณะเดียวกันก็จะเลี่ยงจากความเจ็บปวดและความไม่สะดวกสบาย ทั้งหลาย”

91. แนวคิดที่ว่า “มนุษย์ต้องการจะแสวงหาความสะดวกสบายและความรื่นรมย์เป็นสําคัญ ขณะเดียวกัน
ก็จะเลี่ยงจากความเจ็บปวดและความไม่สะดวกสบายทั้งหลาย”มีรากฐานมาจากตัวเลือกใด
(1) J. Stacy Adams
(2) Victor H. Vroom
(3) Hedonism
(4) Max Weber
(5) Abraham Maslow
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90. ประกอบ

92. บุคคลในข้อใดจัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีแรงจูงใจกลุ่มเดียวกับ Maslow
(1) Victor H. Vroom
(2) J. Stacy Adams
(3) Edward Thorndike
(4) B. F. Skinner
(5) Clayton Alderfer
ตอบ 5 หน้า 272, (คําบรรยาย) ทฤษฎีหลักการจูงใจ (Theory of Motivation) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มทฤษฎีของกระบวนการ (Process Theory) จะพยายามอธิบายว่าพฤติกรรมของ มนุษย์จะถูกกระตุ้นได้อย่างไร จะถูกชี้นําไปยังทิศทางใด และจะทําให้หยุดลงได้อย่างไร ซึ่งนักวิชาการในกลุ่มนี้ ได้แก่ Victor H. Vroom, J. Stacy Adams เป็นต้น

2. กลุ่มทฤษฎีว่าด้วยเนื้อหา (Content Theory) จะเน้นถึงความต้องการภายใน โดยจะศึกษา ว่า “อะไร” เป็นตัวทําให้พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นในลักษณะนั้น ๆ ซึ่งนักวิชาการในกลุ่มนี้ Lauri Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Frederick Herzberg, Douglas McGregor David C. McClelland เป็นต้น

93. การสร้างแรงจูงใจลักษณะใดที่ถูกวิจารณ์ว่า “มีลักษณะเป็นอุดมคติมากไป”
(1) การทําให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสําคัญของงาน
(2) การใช้การต่อรองที่เด่นชัด
(3) วิธีการใช้ความดี
(4) วิธีการแบบเด็ดขาด
(5) วิธีการแข่งขัน
ตอบ 1 หน้า 280 การทําให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสําคัญของงาน เป็นการสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิด แก่พนักงาน โดยให้เขาเห็นความสําคัญของตัวงานที่เขาปฏิบัติอยู่ว่ามีค่ามีความสําคัญมาก เพียงไร ซึ่งจะส่งผลให้เขายินดีพอใจจะปฏิบัติงานสําคัญนั้นอย่างเต็มความสามารถ การสร้าง แรงจูงใจจากภายในนี้นับว่าทําให้เกิดการกระตือรือร้นในการทํางานได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่สามารถ นํามาใช้ได้ในทุกสถานการณ์ และอาจทําได้ยากกับงานบางประเภท จนนักวิชาการบางท่าน ได้วิจารณ์ว่า การคิดสร้างแรงจูงใจภายในมีลักษณะเป็นอุดมคติมากไป

94. ทฤษฎีแรงจูงใจของนักวิชาการท่านใดจัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีของกระบวนการ (Process Theory)
(1) Douglas McGregor
(2) Frederick Herzberg
(3) David C. McClelland
(4) J. Stacy Adams
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 92. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 95, 98. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ในการพิจารณาว่าบุคคลในแต่ละข้อนั้นมีแนวความคิด
ที่สอดคล้องกับกลุ่มทฤษฎีภาวะผู้นํากลุ่มใด
(1) Trait Theories
(2) Behavioral Theories
(3) Contingency Theories
(4) Transformational Leader
(5) Reinforcement Theories

95. ชัชวาลย์เห็นว่าผู้นําที่มีประสิทธิผลต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ตอบ 3 หน้า 287, 294, (คําบรรยาย) แนวความคิดของชัชวาลย์นั้นสอดคล้องกับกลุ่มทฤษฎี ภาวะผู้นําทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situational Theories) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีความเชื่อพื้นฐานว่าประสิทธิภาพหรือประสิทธิผลของผู้นําจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมของผู้นําและสถานการณ์เป็นหลัก

96. เชษฐาเห็นว่าผู้นําที่ประสบความสําเร็จได้นั้นจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากคนที่มิได้เป็นผู้นํา
ตอบ 1 หน้า 287 – 289, คําบรรยาย) แนวความคิดของเชษฐานั้นสอดคล้องกับกลุ่มทฤษฎี คุณลักษณะผู้นํา (Trait Theories) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีความเชื่อว่าผู้นําที่ประสบความสําเร็จ หรือมีประสิทธิภาพได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากคนที่มิได้เป็นผู้นํา เช่น ความเฉลียวฉลาด วุฒิภาวะทางสังคม แรงจูงใจสู่ความสําเร็จ เป็นต้น

97. ศิรารัตน์เห็นว่าผู้นําที่ประสบความสําเร็จควรบริหารงานโดยมุ่งทั้งงานและคน
ตอบ 2 หน้า 287 – 289, 223 – 294, (คําบรรยาย) แนวความคิดของศิรารัตน์นั้นสอดคล้องกับ กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นํา (Leadership Behavior) หรือทฤษฎีเชิงพฤติกรรม (Behavioral Theories) โดยเฉพาะจากการศึกษาของ Robert R. Blake และ Jane S. Mouton ซึ่งพบว่า ผู้นําที่ประสบความสําเร็จหรือมีประสิทธิภาพมากที่สุดควรบริหารงานโดยมุ่งทั้งงานและคน

98. ณัฐกมลเชื่อว่าผู้นําที่ประสบความสําเร็จต้องปรับรูปแบบของพฤติกรรมการบริหารของตนได้สอดคล้องกับความพร้อมของผู้ตาม
ตอบ 3 หน้า 287, (คําบรรยาย) แนวความคิดของณัฐกมลนั้นสอดคล้องกับทฤษฎีภาวะผู้นําทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situational Theories) โดยเฉพาะแนวความคิด ของ Hersey & Blanchard ซึ่งมองว่า ไม่มีแบบของพฤติกรรมผู้นําแบบใดที่ดีที่สุด การเป็นผู้นําที่ประสบความสําเร็จหรือมีประสิทธิภาพนั้นต้องมีแบบของพฤติกรรมผู้นําที่สอดคล้องกับ ความพร้อมของผู้ตาม (ลูกน้อง) ใน 2 ด้าน คือ ความสามารถและความเต็มใจ ซึ่งสามารถ พิจารณาได้ดังนี้
1. ผู้ตามไม่มีความสามารถ และไม่มีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบสั่งการ (Telling)
2. ผู้ตามไม่มีความสามารถ แต่มีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบขายความคิด(Selling)
3. ผู้ตามมีความสามารถ แต่ไม่มีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบมีส่วนร่วม
(Participating)
4. ผู้ตามมีความสามารถ และมีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบมอบหมายงาน
(Delegating)

99. ข้อใดมีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้นํามากที่สุด
(1) The Managerial Grid
(2) Great Man Theory
(3) ทฤษฎีของ Keith Davis
(4) ทฤษฎีของ Fred E. Fiedler
(5) ทฤษฎีของ Frederick W. Taylor
ตอบ 1 หน้า 292 Robert R. Blake และ Jane S. Mouton นักวิชาการในกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรม ของผู้นํา (Leadership Behavior) ได้พิจารณาการศึกษาลักษณะผู้นําจากการศึกษาของ มหาวิทยาลัยโอไฮโอและมิชิแกน และนํามาพัฒนาประยุกต์เป็นตารางการบริหารที่เรียกว่า “The Managerial Grid” หรือเรียกว่า “ตารางผู้นํา” และนําไปจดทะเบียนการค้าด้วย

100. นายณดลมีลูกน้องที่มีความสามารถและมีความเต็มใจในการทํางาน หากนายณดลเชื่อในแนวคิดของ Hersey & Blanchard จะต้องเป็นผู้นําแบบใด
(1) Selling
(2) Consideration
(3) Participating
(4) Delegating
(5) Telling
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ

 

POL2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาตามแนวทางของ “ระบบปิด” ได้แก่
(1) ความพึงพอใจ
(2) เสถียรภาพคงที่ของระบบ
(3) การมีส่วนร่วมของพนักงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 2 หน้า 25 – 29, 37, ( บรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการ ตามแนวทางของ “ระบบปิด” ได้แก่
1. เสถียรภาพคงที่ของระบบหรือสมดุลแบบสถิต
2. การแบ่งงานโดยเน้นความชํานาญเฉพาะด้าน
3. การคํานึงถึงสายการบังคับบัญชา กฎ และระเบียบ
4. การมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด
5. การกําหนดมาตรฐานของงาน
6. การกําหนดแผนงานและเป้าหมายที่แน่นอน
7 ความเชื่อในหลัก One Best Way
8. เป็นรูปแบบที่อิงอยู่กับหลักของเหตุและผล (Rational Model)
9. การใช้หลักเหตุผล และวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ฯลฯ

2.แนวคิดของ Max Weber ให้ความสําคัญที่ระบบใดขององค์การน้อยที่สุด
(1) โครงสร้าง
(2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์
(3) เทคโนโลยี
(4) สังคมจิตวิทยา
(5) ทักษะการบริหาร
ตอบ 4 หน้า 64 – 65, (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory) เช่น Max ieber, Henri Fayol ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของระบบปิด โดยให้ความสําคัญกับระบบโครงสร้างขององค์การ แต่ละเลยระบบสังคมภายในองค์การหรือ ระบบสังคมจิตวิทยา เช่น ระบบของพฤติกรรมและความต้องการของบุคคลภายในองค์การจึงทําให้แนวคิดของนักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิกประสบปัญหาในทางปฏิบัติและไม่สามารถสร้างองค์การให้มีประสิทธิภาพในระยะยาวได้

3.ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y จะต้องใช้การบริหารแบบใด
(1) Management by Rules
(2) Management by Objectives
(3) Adhocracy
(4) ทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 78, (คําบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y (มองคนในแง่ดี)
จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังนี้
1. การบริหารแบบประชาธิปไตย
2. การบริหารแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Participative Management)
3. การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objectives) หรือการบริหาร ที่เหมาะกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ (Adhocracy)
4. การทํางานเป็นทีม (Teamwork)
5. การบริหารแบบโครงการ (Project Management)
6. การบริหารแบบ Organic Organization
7. การกระจายอํานาจ (Decentralization)
8. การใช้ความรู้มากกว่าอํานาจหน้าที่ (Knowledge than Authority) ฯลฯ

4. ข้อใดเป็นผลการศึกษาที่สําคัญที่สุดจาก “Hawthorne Experiments
(1) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทํางานกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
(2) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทํางานกับทรัพยากรนําเข้า
(3) พบผลทางลบที่เกิดเนื่องมาจากความไม่เอาใจใส่ของผู้บังคับบัญชา
(4) พบอิทธิพลของภาวะผู้นําที่มีต่อผลิตภาพการทํางาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 68 — 71 การศึกษาทดลองของ Elton Mayo ที่เมือง Hawthorne หรือเรียกว่า “Hawthorne Experiments” พบผลการศึกษาที่สําคัญดังนี้
1. สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ความเข้มของแสงสว่าง ไม่ได้มีอิทธิพลหรือมีความสัมพันธ์ โดยตรงกับผลิตภาพในการทํางาน
2. ระบบการจูงใจโดยให้ผลตอบแทนต่อชิ้นมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพในการทํางาน ของกลุ่มน้อยกว่าความกดดัน การยอมรับ และสวัสดิการที่กลุ่มจะพึงได้รับ
3. ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มกับสมาชิกในกลุ่ม โดยกลุ่มจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อผลิตภาพ ในการทํางานของสมาชิกในกลุ่ม

5. ข้อใดเป็นองค์ประกอบที่บ่งชี้ถึง “ประสิทธิภาพ” ในการทํางาน
(1) ผลผลิต
(2) ทรัพยากรที่ใช้
(3) แผนที่วางไว้
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 หน้า 22 – 23, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จากการบริหารกับทรัพยากร (เช่น งบประมาณ ระยะเวลา) หรือความพยายามที่ใช้ในการบริหาร ส่วนประสิทธิผล (Effectiveness) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จาก การบริหารกับมาตรฐาน เป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่กําหนด หรือกับแผนงานหรือประมาณการ ที่ได้วางเอาไว้ ดังนั้นหากองค์การใดสามารถลดการใช้ทรัพยากรการบริหารให้น้อยลงได้ก็แสดงว่า องค์การนั้นมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากองค์การใดสามารถดําเนินงานให้บรรลุจุดประสงค์ที่กําหนดไว้ได้ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิผล

6. ข้อใดเข้าคู่กันไม่ถูกต้อง
(1) Organic Structure – หน่วยผลิตขนาดเล็กที่มีการผลิตเป็นกระบวนการ
(2) Mechanistic Organization – Formal Organization
(3) Organic Structure – องค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง
(4) Fluid Structure – Mechanistic Organization
(5) Mechanistic Structure – หน่วยผลิตขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ
ตอบ 4 หน้า 45 – 47, 111 – 112, (คําบรรยาย) จากแนวคิดของ Contingency Theory นั่น Burn และ Statke สรุปว่า
1. Mechanistic Organization เป็นองค์การแบบเก่าหรือองค์การที่เป็นทางการ (Format Organization) หรือองค์การตามรูปแบบระบบราชการ (Bureaucratic Model) ที่เน้น โครงสร้างและความสัมพันธ์ตามแนวดิ่ง เช่น เน้นตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority) รวมทั้งมีความเป็นทางการสูง และเน้นการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีสภาพแวดล้อมคงที่ (Static) เช่น หน่วยราชการทุกรูปแบบ

2. Organic Organization หรือที่ Warren Bennis เรียกว่า Adhocracy เป็นโครงสร้าง แบบหลวม (Fluid Structure) ที่เน้นการกระจายอํานาจ ความสัมพันธ์ตามแนวราบ/แนวนอน และการใช้ความรู้มากกว่าอํานาจหน้าที่ ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง นอกจากนี้ Woodward ยังได้สรุปอีกว่า หน่วยผลิตขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพและ ใช้เครื่องจักร เช่น โรงงานอุตสาหกรรม จะต้องมีโครงสร้างแบบ Mechanistic Structure ส่วนหน่วยผลิตขนาดเล็ก เช่น องค์การผลิตสินค้าหัตถกรรม และที่ผลิตเป็นกระบวนการ หรือมีระบบการผลิตหลายขั้นตอน จะต้องมีโครงสร้างแบบ Organic Structure

7.Barton และ Chappell เรียกสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีว่าเป็น
(1) Political Environment
(2) Primary Environment
(3) Outer Environment
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 14 – 17 Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ 1. สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี 2. สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม

8. ใครที่เสนอเรื่อง “Time and Motion Study
(1) Taylor
(2) Cooke
(3) Munsterberg
(4) Gantt
(5) Gilbreths
ตอบ 5 หน้า 42, (คําบรรยาย) Frank และ Lillian Gilbreths เป็นผู้ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์หามาตรฐาน ของงานโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการเคลื่อนไหวในการปฏิบัติงาน (Time and Motion Study) เพื่อนําไปใช้ในการจัดกระบวนการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

9.แนวคิดใดที่เชื่อว่า “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่นําไปสู่เป้าหมาย”
(1) Scientific Management
(2) Contingency Theory
(3) Industrial Humanism
(4) The Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 112 – 113 : Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอํานาจ ที่ต่างเข้ามาทํางานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอํานาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การ เป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะนําไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการ และความสนใจของผู้มีอํานาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสําคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ”

10. ข้อใดที่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง
(1) Division of Work – ขยายความสามารถของมนุษย์
(2) Gantt Chart – สร้างวินัยในการทํางาน
(3) Hygiene Factors – ถ้าได้รับจะไม่ยอมทํางาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 42, 81 – 82, (FS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 19 – 20), (คําบรรยาย) Henry L. Gantt ได้เสนอแนวคิดในการสร้างวินัยในการทํางานและการทํางานเป็นกิจวัตร โดยการใช้ Gantt Chart เป็นแผนภูมิควบคุมเวลาในการทํางาน หรือแผนกํากับหรือติดตามความก้าวหน้าของงาน ส่วนการแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor
หรือ Specializaticin) เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงในการช่วยขยายความสามารถของมนุษย์ หรือ ช่วยเพิ่มความสามารถในการทํางานขององค์การ และปัจจัยอนามัย (Hygiene Factors) ของ Frederick Herzberg เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้าง ให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน

11. “สิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน” เป็นสิ่งจูงใจที่ริเริ่มนําาเสนอโดยนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักบริหารเชิงปริมาณ
(2) นักทฤษฎีการบริหาร
(3) นักทฤษฎีระบบราชการ
(4) กลุ่มนีโอคลาสสิก
(5) กลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
ตอบ 4 หน้า 26 – 27, 29 – 30, 67 – 82 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) หรือกลุ่มมนุษยนิยม (Humanism หรือ Industrial Humanism) หรือกลุ่ม มนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Approach) หรือกลุ่มนีโอคลาสสิก (Neo-Classical Organization Thecry) หรือนักทฤษฎีการบริหารงานสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of Management) มีแนวคิดและวิธีศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบเปิด” ดังนี้
1. ศึกษาองค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization)โดยให้ความสําคัญกับระบบสังคมภายในองค์การหรือระบบสังคมจิตวิทยามากที่สุด
2. ริเริ่มนําเสนอสิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน
3. เน้นการบริหารงานที่คํานึงถึงความสุขและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานหรือสมาชิกในองค์การ
4. เน้นศึกษากลุ่มทางสังคม คุณลักษณะของปัจเจกบุคคล (ได้แก่ บุคลิกภาพ จิตภาพ ทัศนคติ และความต้องการของบุคคล) คุณลักษณะทางธรรมชาติของมนุษย์
5. พยายามนําระบบการบริหารแบบเครือญาติ (Paternalism) เข้ามาใช้ในองค์การ
6. นักทฤษฎี (นักวิชาการ) ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Hugo Munsterberg, George Elton Mayo,
Warren Benni:, Chester I. Barnard, A.H. Maslow, Douglas McGregor และ Frederick Herz:berg ฯลฯ

12. เขียนตํารา “หลักสิบสองประการในการสร้างประสิทธิภาพ”
(1) Gilbreths
(2) Emerson
(3. Cooke
(4) Taylor
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 43 Harrington Emerson ได้เขียนตํารา “หลักสิบสองประการในการสร้างประสิทธิภาพ” (The Twelve Principles of Efficiency) ซึ่งประกอบด้วยหลักการสําคัญ เช่น
1. การสร้างวัตถุประสงค์
2. การใช้สามัญสํานึก
3. การปรึกษาหารือ
4. การมีระเบียบวินัย
5. การจัดการที่เป็นธรรม
6. การปฏิบัติงานตลอดเวลาและเชื่อถือได้
7. การกําหนดสายทางเดินของงาน
8. การกําหนดมาตรฐานและระยะเวลาการทํางาน ฯลฯ

13. ทุกข้อเป็นหลักเกณฑ์ที่ Max Weber นําเสนอ ยกเว้น
(1) ความชํานาญเฉพาะด้าน
(2) แยกการเมืองออกจากการบริหาร
(3) หลักความสามารถ
(4) สายการบังคับบัญชา
(5) การกระจายอํานาจ
ตอบ 5 หน้า 44 – 47, 139, 189, (คําบรรยาย) รูปแบบของระบบราชการ (Bureaucratic Model) หรือองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การที่เป็นทางการตามทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy Theory) หรือทฤษฎีองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization Theory) หรือทฤษฎี องค์การรูปสามเหลี่ยมพีระมิดของ Max Weber นั้น จะประกอบด้วย
1. การกําหนดสายการบังคับบัญชา (Hierarchy, Chain of Command หรือ Line of Authority)
2. การกําหนดตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority)
3. การกําหนดกฎระเบียบและข้อบังคับที่แน่นอน (Rules and Regulations)
4. การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor
หรือ Specialization) เช่น การแบ่งงานออกเป็นแผนกงานต่าง ๆ
5. การจัดทําคู่มือการทํางาน และคําบรรยายลักษณะงาน (Job Description)
6. การกําหนดเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)
7. การคัดเลือกและเลื่อนขั้นโดยอาศัยหลักความสามารถตามระบบคุณธรรม (Merit on
Selection and Promotion)
8. การมีระบบความสัมพันธ์ภายในองค์การอย่างเป็นทางการ (Formal Relationship) ตามสายการบังคับบัญชาและอํานาจหน้าที่ หรือตามแนวดิ่ง ฯลฯ

ซึ่งรูปแบบดังกล่าวทําให้เกิดการแยกการเมืองออกจากการบริหาร และระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล

14. ในการบริหารงาน คําว่า Red Tape หมายถึง
(1) การคั่งค้างของงาน
(2) ประสิทธิภาพของงาน
(3) หัวหน้างาน
(4) โครงสร้างหน่วยงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 49 Red Tape หมายถึง ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความล่าช้าของการ ติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ในโครงสร้างขององค์การที่จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับบัญชา ที่ยาวและระบบความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ

15. ตามทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการ “ความต้องการที่จะได้รับชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมงาน” เรียกว่า
(1) Self-Realization Needs
(2) Safety Needs
(3) Social Needs
(4) ทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 75 – 76 A.H. Maslow ได้เสนอทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of Needs Theory) ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ลําดับ จากต่ําสุดไปถึงสูงสุด ดังนี้
1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) เช่น อาหาร อากาศ การพักผ่อน
2. ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต (Safety Needs)
3. ความต้องการที่จะเข้าร่วมในสังคม (Social Needs)
4. ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในหน้าที่การงาน ได้รับเกียรติ ชื่อเสียง และเป็นที่ ยอมรับนับถือของผู้ร่วมงาน (Esteem Needs, Ego Needs หรือ Status Needs)
5. ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ (Self-
Realization Needs)

16. ทุกข้อเป็น “Motivator Factors” ตามทฤษฎีของ Herzberg ยกเว้น
(1) เงินเดือน
(2) ความสําเร็จในหน้าที่การงาน
(3) การยอมรับนับถือจากผู้ร่วมงาน
(4) ลักษณะของงาน
(5) ความรับผิดชอบ
ตอบ 1 หน้า 81 – 82, (คําบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจ (Hygiene Theory) ของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจให้กับ พนักงานได้ 2 ประการ คือ

1. ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทํางาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจ ให้กับพนักงาน ซึ่งเรียงลําดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ความสําเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับ นับถือจากผู้ร่วมงาน ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน

2. ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ําจุนให้คนยินยอมทํางาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะ สร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน ซึ่งเรียงลําดับ จากมากไปน้อย ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทํางาน

17. ข้อใดเป็น “ปัจจัยจูงใจ” ตามทฤษฎีของ Herzberg
(1) เทคนิคและการควบคุมงาน
(2) สภาพการทํางาน
(3) ความก้าวหน้าในการงาน
(4) นโยบายและการบริหาร
(5) ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

18.Natural System Model เป็นวิธีการศึกษาของ………….
(1) Scientific Management
(2) Bureaucratic Model
(3) A Systems Approach
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 26 – 27, (คําบรรยาย) ตัวแบบระบบตามธรรมชาติ (Natural System Model) เป็น วิธีการศึกษาของกลุ่มนักทฤษฎีหรือนักวิชาการที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ“ระบบเปิด” ซึ่งได้แก่
1. กลุ่ม Behavioral Science
2. กลุ่ม A Systems Approach
3. กลุ่ม Contingency Theory หรือ Situational Approach
4. กลุ่ม The Action Theory หรือ The Action Approach

19. “เป็นทฤษฎีองค์การที่ให้ความสําคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสม ขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ …” เรียกว่าเป็นการศึกษาตามแนวใด
(1) Industrial Humanism
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 110 – 111, (คําบรรยาย) การศึกษาองค์การและการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory หรือ Situational Approach) เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธหลัก One Best Way โดยแนวคิดนี้มีแนวคิดพื้นฐานมาจากแนวคิดเชิงระบบ ซึ่งจะให้ความสําคัญต่อ อิทธิพลของสภาพแวดล้อม (เช่น ระบบเทคโนโลยี) และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมของ องค์การภายใต้เงื่อนไขของสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ นักวิชาการในกลุ่มนี้จะมองการบริหารว่า เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะ แตกต่างกันไปตามแนวคิดของนักทฤษฎีแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ไม่มีรูปแบบ ที่เหมาะสมสําหรับองค์การทุก ๆ ประเภท วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่แตกต่างกันจะทําให้ การจัดรูปโครงสร้างมีความแตกต่างกันด้วย

20. สิ่งที่ ดร.ชุบ กาญจนประกร เสนอเพิ่มจากที่กูลิคเสนอไว้ในเรื่องหน้าที่ของผู้บริหาร ได้แก่
(1) การควบคุมงาน
(2) การประเมินผลงาน
(3) การกําหนดอํานาจหน้าที่
(4) การประสานงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 60 – 62 ดร. ชุบ กาญจนประกร ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารเพิ่มเติมจากแนวคิด POSDCORB ของ Luther Gulick เป็น PA-POSDCORB โดย PA ที่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่
P = Policy (การกําหนดนโยบาย) และ A = Authority (การกําหนดอํานาจหน้าที่)

21. นักวิชาการกลุ่มใดที่มองการบริหารว่า “เป็นสิ่งไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะแตกต่างกันไปตามแนวคิดของนักทฤษฎีแต่ละคน”
(1) A Systems Approach
(2) Industrial Humanism
(3) Action Theory
(4) Quantitative Science
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

22. การบริหารงานที่ให้ความสําคัญเรื่อง “ความสุขของสมาชิกในองค์การ” เป็นการบริหารตามแนวคิด
ของนักวิชาการกลุ่มใด
(1) Scientific Management
(2) Administrative Theorists
(3) Neo-Classical Organization Theory
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

23. ทุกข้อเป็นประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ ยกเว้น
(1) เกิดความรวดเร็วในการตัดสินใจ
(2) แก้ปัญหาข้อขัดแย้ง
(3) ช่วยสร้างความร่วมมือ
(4) ทําให้เกิดการประสานงานที่ดี
(5) ช่วยปกป้องความรับผิดชอบของบุคคลเพียงคนเดียว
ตอบ 1 หน้า 63 ประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ (Committees) ได้แก่
1. ช่วยแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ
2. ช่วยสร้างความร่วมมือ หรือเพิ่มการมีส่วนร่วม
3. ทําให้เกิดการประสานงานที่ดี
4. ช่วยปกป้องความรับผิดชอบของบุคคลเพียงคนเดียว

24. ในการทดลองของ Mayo กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับ สภาพแวดล้อมที่คงที่ ผลการตรวจสอบผลงานของกลุ่มทั้งสองเป็นดังนี้
(1) ผลงานลดลงทั้งสองกลุ่ม
(2) ผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่ม
(3) กลุ่มทดลองมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า
(4) กลุ่มควบคุมมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า
(5) ผลงานของทั้งสองกลุ่มเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีทิศทาง
ตอบ 2 หน้า 68 – 70, (คําบรรยาย) George Elton Mayo ได้ทําการวิจัยแบบทดลองที่เรียกว่า Hawthorne Study หรือ Hawthorne Experiments โดยการให้กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป และกลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ซึ่งพบผลการทดลองที่สําคัญ คือ การเกิดปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันเป็นผลกระทบจากการทดลอง ซึ่งส่งผลให้กลุ่มที่ถูกเฝ้าดูทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมต่างไม่ยอมแพ้กันและกันขยันทํางานจนมีผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่มโดยปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า “Hawthorne Effect” หมายถึงผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากผู้ปฏิบัติงานได้รับความสนใจและเอาใจใส่ดูแลที่มากขึ้นจากผู้บังคับบัญชานั่นเอง

25.”……ระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชน ด้วยกันเองและระหว่างรัฐกับประชาชน” จัดเป็นสภาพแวดล้อมประเภทใดตามทัศนะ Barton และ Chappell
(1) Political Environment.
(2) Primary Environment
(3) External Environment
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 14 – 17 กระบวนการยุติธรรม (Judiciary) เป็นระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้าง ความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเอง และระหว่างรัฐ กับประชาชน ซึ่งจัดเป็นสภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ประเภทหนึ่งตามทัศนะของ Barton และ Chappell (ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ)

26. “สภาพแวดล้อมขององค์การที่เปรียบได้กับสภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น…….” เรียกว่า
(1) Turbulent Field
(2) Placid Clustered Environment
(3) Placid Randomized Environment
(4) Disturbed-Reactive Environment
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 18 (คําบรรยาย) Emery และ Trist ได้แบ่งระดับของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การ กับสภาพแวดล้อมออกเป็น 4 ระดับ คือ
1. Placid Randorized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ การติดต่อกับ สังคมภายนอกเป็นไปโดยบังเอิญ ทําให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาโบราณ ชาวเขาเร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น
2. Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่เริ่มมีการติดต่อกับ สังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยประถมศึกษา เป็นต้น
3. Disturbed-Rez.ctive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ผลของ การติดต่อเป็นผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น
4. Turbulent Fielc เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพของระบบสังคมและเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น

27. ทฤษฎีองค์การในช่วง 1960 – 1975 เป็นยุคของทฤษฎีองค์การกลุ่มใด
(1) Situational Approach
(2) Contingency Theory
(3) The Action Approach
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4

28. จากหน้าที่ของนักบริหารที่ Henri Fayol เสนอไว้ 5 ประการเป็น POCCC C ทั้งสาม ได้แก่
(1) Commanding Controlling Correcting
(2) Controlling Correcting Coordinating
(3) Coordinating Concepting Correcting
(4) Commanding Coordinating Controlling
(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 28 – 29, 55, (คําบรรยาย) Henri Fayol ได้เสนอกิจกรรมการบริหารหรือหน้าที่ ของนักบริหารไว้ 5 ประการ ซึ่งเรียกว่า POCCC Model ประกอบด้วย
1. P = Planning (การวางแผน)
3. C = Commanding (การสั่งการ)
2. O = Organizing (การจัดรูปงาน)
4. C = Coordinating (การประสานงาน)
5. C = Controlling (การควบคุมบังคับบัญชา)

29. ข้อใดต่อไปนี้ที่ Kaufman ถือเป็น Pure Internal Management
(1) การตัดสินใจ
(2) การหาข่าวสาร
(3) การจูงใจ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 14, (คําบรรยาย) Herbert Kaufman เห็นว่า ผู้บริหารจะใช้เวลาของตนให้กับ
ภารกิจ 2 ลักษณะ คือ
1. Pure Internal Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารใช้เวลาน้อยเพียงร้อยละ 10 – 20 ของเวลาทั้งหมด ได้แก่ ภารกิจด้านการวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจ และภารกิจในด้านการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดําเนินงานตามภาระหน้าที่
2. External Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารต้องใช้เวลามากถึงร้อยละ 85 – 90 ของเวลา ทั้งหมด โดยแบ่งเป็นภารกิจด้านการเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 25 – 30 ของเวลาทั้งหมด และภารกิจด้านการรับและกรองข้อมูลข่าวสาร หรือการแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากสังคมประมาณร้อยละ 50 – 60 ของเวลาทั้งหมด

30. การจําแนกประเภทของระบบในทัศนะของ Kenneth Boulding ระดับที่เริ่มจัดเป็นระดับของ ระบบทางกายภาพ ได้แก่ระดับใด
(1) ระดับที่ 4
(2) ระดับที่ 5
(3) ระดับที่ 6
(4) ระดับที่ 7
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 88 – 89 Kerneth Boulding จําแนกประเภทของระบบออกเป็น 9 ระดับ โดยระดับที่ 1 – 3 เป็นระบบทางกายภาพ ระดับที่ 4 – 6 เป็นระบบทางชีวภาพหรือ ระบบของพฤติกรรมศาสตร์ และระดับที่ 7 – 9 เป็นระบบทางสังคม

31. Warren Bennis เสนอให้เปลี่ยน “ตัวแบบระบบราชการ” เป็น
(1) ระบบบริหารที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น
(2) เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอน
(3) เน้นการรวมอํานาจ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 72, (คําบรรยาย) Warren Bennis ได้เสนอให้เปลี่ยน “Ideal Bureaucracy (ตัวแบบระบบราชการ) ของ Max Weber เป็น “Flexible Adhocracies” ซึ่งเป็นองค์การ ที่มีลักษณะดังนี้
1. มีการจัดโครงสร้างให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ หรือเป็นองค์การ ที่เน้นการทํางานแบบเฉพาะกิจ
2. เน้นการกระจายอํานาจและเป็นแบบประชาธิปไตย
3. มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น
4. เน้นการใช้ความรู้ (Knowledge) หรือระบบผู้เชี่ยวชาญมากกว่าการใช้อํานาจหน้าที่ (Authority)
5. เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอนและไม่เป็นทางการ ฯลฯ

32.Management Science หมายถึง
(1) วิชาที่เน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของสังคม
(2) วิชาที่มุ่งค้นคว้าเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน
(3) วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมการทํางานในองค์การ
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 2 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ
1. วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่วิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน
2. การวิจัยดําเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประ เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ

33. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การในลักษณะของ “ระบบ”
(1) Maximized Efficiency
(2) Negative Entropy
(3) Flexible Boundaries
(4) Dynamic Equilibrium
(5) Growth Through Interral Elaboration
ตอบ 1 หน้า 98 – 106, (คําบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการ ตามแนวทางของ “ระบบ (ระบบเปิด)” ได้แก่
1. การวางแผนและจัดการ (Contrived)
2. ความยืดหยุ่นของขอบเขต (Flexible Boundaries)
3. การอยู่รอด (Negative Entropy)
4. การรักษาเสถียรภาพของระบบให้มีความสมดุลแบบพลวัตหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา (Dynamic Equilibrium)
5. กลไกการให้ข้อมูลข่าวสาร (Feedback Mechanism)
6. กลไกในการปรับตัวและรักษาสถานภาพของระบบ (Adaptive and Maintenance Mechanism)
7. การเจริญเติบโตกายในองค์การ (Growth Through Internal Elaboration)
8. การแบ่งงานในลักษณะยืดหยุ่น ฯลฯ (ส่วนการมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด (Maximized Efficiency) เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด”)

34. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับส่วนประกอบขององค์การ
(1) เป็นหน่วยของสังคม
(2) มีการแบ่งขอบเขตอย่างชัดแจ้ง
(3) เป็นอิสระจากสภาพแวดล้อม
(4) มีความผูกพันที่ต่อเนื่อง
(5) มีเป้าหมาย
ตอบ 3 หน้า 119 – 120 ส่วนประกอบขององค์การ แบ่งออกได้เป็น 5 ลักษณะ ดังนี้
1. มีลักษณะการมุ่งเน้นให้เกิดการประสานกัน
2. มีฐานะเป็นหน่วยทางสังคม
3. มีการแบ่งแยกขอบเขตของการเป็นองค์การแต่ละองค์การอย่างชัดแจ้ง
4. มีความผูกพันที่ต่อเนื่อง 5. มีเป้าหมายที่สูงกว่าที่แต่ละบุคคลจะสามารถกระทําได้โดยลําพัง

35. ข้อใดเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้
(1) ระดับขององค์การ
(2) ประเภทของกิจการ
(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(4) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
(5) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
ตอบ 5หน้า 184 – 185 ปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้ มีดังนี้
1. การฝึกอบรมผู้ใต้บังคับบัญชา
2. เทคนิคในการมอบหมายอํานาจหน้าที่
3. การวางแผนการปฏิบัติงานไว้ให้พร้อม
4. ลักษณะของงานในองค์การ
5. เทคนิคในการควบคุม
6. เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
7. ความจําเป็นในการติดต่อส่วนตัว

36. ข้อใดปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา
(1) ระดับขององค์การ
(2) ลักษณะของงานในองค์การ
(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(4) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
(5) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
ตอบ 1, 3 หน้า 181 – 182 ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา มีดังนี้
1. ระดับขององค์การ
2. ประเภทของกิจกรรม
3. ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
4. ลักษณะขององค์การ
5. ความสามารถของผู้บังคับบัญชา

37. ข้อใดเป็นปัจจัยที่กําหนดขนาดของการกระจายอํานาจ
(1) ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
(2) ขนาดขององค์การ
(3) ความเป็นเอกภาพในการบริหาร
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 170 – 174, (ค่าบรรยาย) ปัจจัยที่มีผลต่อการกําหนดขนาดของการกระจายอํานาจ และการรวมอํานาจในองค์การ มีดังนี้
1. ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
2. ความต้องการเป็นแบบเดียวกันทางด้านนโยบาย
3. ขนาดขององค์การ
4. ประวัติความเป็นมาของกิจการ
5. ปรัชญาของการบริหาร
6. ความต้องการความเป็นอิสระในการดําเนินงาน
7. จํานวนของผู้บริหารที่มีอยู่ในองค์การ
8. เทคนิคในการควบคุม
9. การกระจายของการปฏิบัติงานที่มีการแบ่งแยกงานไปตามสถานการณ์ที่ต่างออกไป
10. การเปลี่ยนแปลงขององค์การ
11. อิทธิพลของสภาพแวดล้อมองค์การ

ตั้งแต่ข้อ 38 – 42. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Division of Work
(2) Departmentation
(3) Line Agency
(4) Staff Agency
(5) Auxiliary Agency

38. หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 197 – 201, (คําบรรยาย) ประเภทของหน่วยงานซึ่งแบ่งตามลักษณะของการปฏิบัติงาน
ภายในองค์การ มี 3 ประเภท คือ
1. หน่วยงานหลัก (Line Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลัก ขององค์การ หรือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหม คณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หน่วยโยธาและ หน่วยสาธารณสุขของเทศบาล เป็นต้น
2. หน่วยงานที่ปรึกษาหรือหน่วยงานสนับสนุน (Staff Agency) หมายถึง หน่วยงานที่มิได้ ดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุน การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เช่น กองวิชาการ หน่วยนโยบายและแผน หน่วยการเงิน/ งบประมาณ หน่วยการเจ้าหน้าที่ หน่วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
3. หน่วยงานอนุกร (Auxiliary Agency) หรือหน่วยงานแม่บ้าน (House-Keeping Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ช่วยบริการหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจรรมลักษณะ ของแม่บ้าน เช่น หน่วยพัสดุ หน่วยอาคารสถานที่ หน่วยสารบรรณ หน่วยสวัสดิการหน่วยงานด้านความสะอาดหรืองานเทศกิจ เป็นต้น

39. หน่วยงานที่มิได้ดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุนให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

40. การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 191 การจัดแผนกงาน (Departmentation) หมายถึง การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรม ต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เพื่อแบ่งแยกกิจกรรมอันมีอยู่ มากมายในองค์การ มอบหมายให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้แยกกันปฏิบัติตามความสามารถของตนตามหลักเกณฑ์ของความสามารถเฉพาะด้าน

41. หน่วยงานที่ช่วยบริการแก่หน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้าน
เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

42. การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกรับไปปฏิบัติตามเป้าหมาย ที่องค์การได้วางไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 หน้า 189 การแบ่งงานกันทําหรือการแบ่งหน้าที่ (Division of Work) หรือการแบ่งแยกแรงงาน
(Division of Labor) หรือการแบ่งงานกันทําโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถหรือ ความชํานาญเฉพาะด้าน (Specialization) หมายถึง การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การ ออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกรับไปปฏิบัติ เพื่อให้สําเร็จตามเป้าหมายที่องค์การ ได้วางไว้ ซึ่งการแบ่งงานกันทํานี้จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการทํางานซ้ําซ้อนหรือการเหลื่อมล้ํา ในการทํางานในหน้าที่

43. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ในการแบ่งหน้าที่
(1) การยึดถือความถนัด ความสามารถ
(2) การแบ่งงานตามความชํานาญเฉพาะด้าน
(3) การควบคุมการปฏิบัติงาน
(4) การแก้ปัญหาความซ้ำซ้อนในการทํางาน
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

44. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะขององค์การสูง
(1) มีช่วงการบังคับบัญชากว้าง
(2) องค์การมีความซับซ้อนมาก
(3) มีสายการบังคับบัญชาที่ยาว
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 121 – 122, 182 – 184 องค์การสูง (Tallness) เป็นองค์การที่มีความซับซ้อนมากมีช่วงการบังคับบัญชาแคบและสายการบังคับบัญชาที่ยาว ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับ องค์การราบ (Flatriess) ซึ่งเป็นองค์การที่มีความซับซ้อนน้อย มีช่วงการบังคับบัญชากว้าง และสายการบังคับบัญชาที่สั้น

45. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ ได้แก่ Formalization
(2) ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ ได้แก่ Formalization
(3) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ Centralization
(4) Hierarchy หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Chain of Command
(5) ไม่ถูกต้องทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 122 – 123, (คําบรรยาย) การออกแบบองค์การ (Organization Design) หรือการจัด องค์การ (Organizing) คือ การมุ่งหรือพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง องค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ขององค์การ การออกแบบองค์การนี้จะทําให้เกิดแผนภูมิขององค์การ (Organization Charts)

46. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี
(1) ระดับชั้นไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป
(2) แต่ละสายต้องชัดเจน
(3) การดําเนินการต่าง ๆ ต้องให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 3 หน้า 143 หลักเกณฑ์ในการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี มีดังนี้
1. จํานวนระดับชั้นของสายการบังคับบัญชาควรจัดให้มีพอสมควรไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
2. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายควรจะต้องชัดเจนว่าใครเป็นผู้ที่มีอํานาจในการสั่งงาน ผ่านไปยังผู้ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
3. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายจะต้องไม่สับสนก้าวก่ายหรือซ้อนกัน

47. ใครที่คิดว่าการแบ่งงานกันทําจะช่วยให้ผลผลิตดีขึ้นและช่วยให้ประสิทธิภาพในการทํางานดีขึ้น
(1) Koontz and O’Donnell
(2) Henri Fayol
(3) Elton Mayo
(4) Adam Smith
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 190 Henri Fayol ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการแบ่งงานกันทําไว้ในหนังสือชื่อ General and Industrial Administration ว่า “การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญ เฉพาะด้านจะช่วยให้ผลผลิตดีขึ้น รวมทั้งช่วยให้ประสิทธิภาพในการทํางานดีขึ้นด้วย”

ตั้งแต่ข้อ 48 – 52. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Complexity
(2) Formalization
(3) Centralization
(4) Organization Design
(5) Authority

48. การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 122 ความเป็นทางการขององค์การ (Formalization) คือ การที่องค์การได้กําหนด กฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐานอันเป็น พื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ

49.Power to Command เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 5 หน้า 146 อํานาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อํานาจในการสั่งการ (Power to Command)
เพื่อให้บุคคลอื่นกระทําหรือไม่กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอํานาจจะเห็นสมควร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ อํานาจหน้าที่นี้จะเป็นอํานาจหน้าที่ของ ผู้บังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตําแหน่งที่เป็นทางการ ทําให้ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการได้ แต่ทั้งนี้ จะเป็นผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อใช้ภายในขอบเขตของตําแหน่งหน้าที่ด้วย นอกจากนี้อํานาจหน้าที่ ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ (Responsibility) หรืออาจกล่าวได้ว่า อํานาจหน้าที่มีฐานะเป็นตัวกําหนดความรับผิดชอบ เช่น ผู้บริหารระดับสูงมีตําแหน่งสูงและ มีอํานาจหน้าที่มาก จึงต้องมีความรับผิดชอบมากไปด้วย เป็นต้น

50. ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 หน้า 121 ความซับซ้อนขององค์การ (Complexity) คือ ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การ จะมีการแบ่งแยกงาน (กิจกรรม) ซึ่งมีเป็นจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการ แบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญแต่ละด้านของบุคลากร และมีการแบ่งเป็นระดับ ต่าง ๆ จากสูงลงมาต่ํา รวมทั้งอาจมีการแบ่งไปยังพื้นที่อื่น ๆ แต่ละสาขาด้วย

51. การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 168, (คําบรรยาย) การรวมอํานาจ (Centralization) หมายถึง การสงวนหรือรักษา อํานาจไว้ที่ส่วนกลางขององค์การ หรือหมายถึง สภาวะขององค์การ ซึ่งในระดับสูง ๆ ของ สายการบังคับบัญชาได้รวมอํานาจหน้าที่ไว้ ทั้งนี้เพื่อการตัดสินใจส่วนใหญ่จะได้กระทําจาก ระดับสูงนั้น ดังนั้นตามหลักการรวมอํานาจ การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในองค์การส่วนมากแล้ว จะมิได้มอบให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้ตัดสินใจให้เป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างของการรวมอํานาจ เช่น การที่สํานักอธิการบดี รับสมัครอาจารย์เอง แทนที่จะให้ภาควิชาเป็นคนตัดสินใจรับสมัคร เป็นต้น

52. ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 53 – 57. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Span of Control
(2) Unity of Command
(3) Responsibility
(4) Hierarchy
(5) Specialization

53. การกําหนดลําดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลําดับอํานาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ํากว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 139 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง การกําหนดลําดับขั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใด อยู่ในลําดับอํานาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ํากว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง

54. ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Authority มากที่สุด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

55. จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 หน้า 179 ช่วงของการบังคับบัญชา หรือช่วงของการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) ที่ผู้บังคับบัญชา (หัวหน้า) คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งช่วงการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะ แสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการกํากับดูแลหรือการบังคับบัญชา เพียงใด ทั้งนี้คือการพิจารณาว่าควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คน หรือมีหน่วยงานภายในความ รับผิดชอบหน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทําให้การกํากับดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

56. การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บริหารมากกว่า 1 คน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 186 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง การจัดการที่ไม่ให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารมากกว่า 1 คน

57. การแบ่งงานกันทําโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถ เรียกว่าอะไร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 58 – 67. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Decentralization
(2) Chain of Command
(3) Centralization
(4) Organization Design
(5) Delegation of Authority

58. ความสัมพันธ์ตามลําดับขั้นระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 139, (คําบรรยาย) สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง ความสัมพันธ์ตามลําดับขั้นระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ในแต่ละองค์การ เพื่อแสดงให้ทราบว่าสัมพันธภาพของการติดต่อสื่อข้อความจากผู้บังคับบัญชา ไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละองค์การแต่ละหน่วยงานนั้นมีลักษณะและทางเดินเป็นอย่างไรมีการควบคุมและการรับผิดชอบอย่างไร

59. การจัดกลุ่มหน้าที่มอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติงาน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 หน้า 153, 160 การมอบหมายอํานาจหน้าที่ (Delegation of Authority) หมายถึง การจัด กลุ่มหน้าที่มอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติงาน หรือหมายถึง การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย อํานาจหน้าที่ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา การมอบหมายอํานาจหน้าที่นี้แม้ว่าผู้บังคับบัญชาได้มอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติงานแล้วก็ตามแต่ความรับผิดชอบก็ยังคงตกอยู่กับผู้บังคับบัญชา

60. ผู้บังคับบัญชาได้มอบทั้งอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติงาน
เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 169, (คําบรรยาย) การกระจายอํานาจ (Decentralization) หมายถึง ความพยายามที่ จะมอบหมายหน้าที่ทั้งหมดไปยังผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ที่อยู่รองลงมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ยกเว้นอํานาจหน้าที่บางอย่างซึ่งจําเป็นจะต้องสงวนไว้ที่ส่วนกลาง การกระจายอํานาจนี้ ผู้บังคับบัญชาจะต้องมอบทั้งอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติงาน

61. การสงวนอํานาจหน้าที่ไว้ที่ส่วนกลาง ให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเป็นผู้ตัดสินใจ เรียกว่าอะไร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

62. การปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น เทคนิคใดเกี่ยวข้องที่สุด
ตอบ 1 หน้า 175 การกระจายอํานาจ (Decentralization) มีประโยชน์ดังนี้
1. ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง ทําให้ได้มีเวลาทํางานสําคัญจําเป็นได้มากขึ้น
2. เป็นการสนองการบริหารหรือความต้องการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และรวดเร็ว
3. ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น
4. มีโอกาสในการฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มีความสามารถ ทักษะ และฝึกฝน การตัดสินใจด้วย 5. โอกาสของการเติบโตหรือขยายองค์การมีทางเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

63. แม้ว่าผู้บังคับบัญชาได้มอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติงานแล้วก็ตามแต่ความรับผิดชอบยังคงตกอยู่กับผู้บังคับบัญชาอยู่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

64.Line of Responsibility เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 140 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command) เป็นการแสดงให้เห็นถึงลักษณะของ สายความรับผิดชอบ (Line of Responsibility) หมายความว่า ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะต้องมี พันธะผูกพันในผลงานของตนต่อผู้บังคับบัญชา ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเขาจะต้องมีข้อผูกพันที่จะต้องรับผิดชอบต่องานที่ผู้บังคับบัญชาสั่งไปนั่นเอง

65. การที่สํานักอธิการบดีรับสมัครอาจารย์เองแทนที่จะให้ภาควิชาเป็นคนตัดสินใจรับสมัคร เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

66. การจัดองค์การให้มีลักษณะความเป็นวิชาชีพ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 123, 210 – 14 การออกแบบองค์การ (Organization Design) หรือการจัดองค์การ(Organizing) เป็นการสร้างแบบ ออกแบบ หรือจัดแบบของโครงสร้างองค์การให้มีความเหมาะสม ซึ่งการจัดองค์การนี้จะทําให้เกิดองค์การในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 รูปแบบ คือ
1. องค์การแบบเรียบง่าย
2. องค์การระบบราชการแบบเครื่องจักรกล
3. องค์การระบบราชการแบบวิชาชีพ
4. องค์การแบบสาขา
5. องค์การแบบโครงการ

67. ข้อใดที่ทําให้เกิดแผนภูมิขององค์การ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

68. “มหาวิทยาลัยรามคําแหงเป็นสถาบันหลักที่มุ่งขยายโอกาสทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน” สิ่งนี้ถือเป็น
(1) วิสัยทัศน์
(2) พันธกิจ
(3) เป้าหมายปลายประสงค์
(4) ตัวชี้วัด
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 220, (คําบรรยาย) วิสัยทัศน์ (Vision) คือ สิ่งที่องค์การต้องการจะเป็น ตัวอย่างเช่น
-วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ เป็นสถาบันหลักที่มุ่งขยายโอกาสทางการศึกษา เพื่อพัฒนาคนให้พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
-วิสัยทัศน์ของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ด้านรัฐศาสตร์ ส่งเสริมการเรียนการสอนและบริการวิชาการสู่ความเป็นเลิศ

ตั้งแต่ข้อ 69. – 73. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Strengths
(2) Weaknesses
(3) Opportunities
(4) Threats
(5) Problems

69. ในการวิเคราะห์ SWOT Analyss นั้น การที่ “คู่แข่งเริ่มนําเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาสร้างความได้เปรียบ
ในการแข่งขัน” ถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 4 หน้า 220, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นั้น จะประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่

S = Strengths คือ จุดแข็ง ศักยภาพ หรือความสามารถขององค์การที่มีอยู่จริง เช่น การมีงบประมาณจํานวนมาก การมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย การมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ มีความสามัคคีในการปฏิบัติงาน การมีการวางแผนในการรับบุคลากรใหม่ เพื่อทดแทนกับอัตราว่าง เป็นต้น

W = Weaknesses คือ จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ ขององค์การ เช่น บุคลากร ขาดความรู้ความสามารถ งบประมาณมีไม่เพียงพอ ขาดการสนับสนุนให้มีการทํางานเป็นทีม เป็นต้น

2. การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่
O = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดีขึ้น ทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เป็นต้น
– T = Threats คือ ภัยคุกคามที่มีผลต่อการดําเนินงานขององค์การ เช่น การที่คู่แข่ง เริ่มนําเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เป็นต้น

70. จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์การพบว่า “องค์การมีบุคลากรที่มีความสามัคคีในการปฏิบัติงาน” ข้อความดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

71. จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์การพบว่า “สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดีขึ้น ทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น” ข้อความดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ใดสําหรับกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

72. จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์การพบว่า “องค์การมีการวางแผนในการรับบุคลากรใหม่เพื่อทดแทน กับอัตราว่าง” ข้อความดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

73. จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์การพบว่า “ขาดการสนับสนุนให้มีการทํางานเป็นทีม” ข้อความ
ดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

74. ข้อใดเป็นนิยามของ “การตกลงใจที่จะยุติข้อขัดแย้ง ข้อถกเถียงโดยให้มีการกระทําไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการพิจารณาและตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว”
(1) ความขัดแย้ง
(2) การจัดองค์การ
(3) การตัดสินใจ
(4) การวางแผน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 228 การตัดสินใจ (Decision Making) หมายถึง การพิจารณาตกลงใจชี้ขาดจากทางเลือก ที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางเลือกขึ้นไปในอันที่จะให้มีการกระทําในลักษณะเฉพาะใด ๆ หรือหมายถึงการตกลงใจที่จะยุติข้อขัดแย้ง ข้อถกเถียงโดยให้มีการกระทําไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการ พิจารณาและตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว

75. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
(1) บัวไม่ไปทํางานเพราะฝนตก
(2) กมลเนตรห่อข้าวไปรับประทานที่ทํางานเพราะต้องการประหยัด
(3) อําพลไม่ดื่มน้ำอัดลมเพราะไม่ดีต่อสุขภาพ
(5) ราชันย์ขากระตุกเพราะลูกชายนําไม้มาเคาะหัวเข่า
(4) นานาไม่ลางานเพราะกลัวไม่ได้โบนัสปลายปี
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 76 – 80. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) International Level
(2) Operational Level
(3) Coordinative Level
(4) Strategic Level
(5) ไม่มีข้อใดถูก

76. เป็นการตัดสินใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานโดยตรง
ตอบ 2 หน้า 229 – 230, (คําบรรยาย) การตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ (Operational Level) เป็นการตัดสินใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานโดยตรง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรและวัตถุดิบทั้งหลายให้เกิดเป็นสินค้าและบริการตามเป้าหมาย ขององค์การ การตัดสินใจในระดับนี้จะเป็นไปชั่วระยะเวลาอันสั้น มีการใช้เทคนิคประกอบ การตัดสินใจ เช่น อาจใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการควบคุมการดําเนินงานโดยจัด ให้มีการตัดสินใจไว้ล่วงหน้า (Programmed Decision) และเป็นการตัดสินใจที่เหมาะกับ สภาพแวดล้อมแบบปิด ผู้บริหารที่ใช้การตัดสินใจระดับนี้ เช่น หัวหน้างาน (Supervisor),
หัวหน้าคนงาน (Foreman) เป็นต้น

77. การตัดสินใจระดับนี้มักเป็นการตัดสินใจในระยะยาวและมีลักษณะที่ไม่แน่นอน
ตอบ 4 หน้า 229, 236 การตัดสินใจในระดับการกําหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การ หรือระดับของการกําหนดกลยุทธ์ (Strategic Level) จะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการกําหนด ลักษณะของขอบเขตขององค์การกับสภาพแวดล้อมว่าจะยอมให้มีความสัมพันธ์กันในระดับใด มีการรับเอาอิทธิพล และทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมเข้ามาในองค์การมากน้อยเพียงใด จะเลือก รับเอาสิ่งใด และต้องการให้องค์การตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในลักษณะใด การตัดสินใจ ระดับนี้มักเป็นการตัดสินใจในระยะยาวและมีลักษณะที่ไม่แน่นอน จําเป็นต้องมีการพิจารณา อย่างรอบคอบ มีเหตุผล และต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทําอย่างมาก ดังนั้นการตัดสินใจ จึงไม่สามารถจัดทําไว้ล่วงหน้าได้ (Non-Programmable) ต้องใช้วิจารณญาณและความคิดเห็น ของผู้ทําการตัดสินใจ (Judgmental)

78. การตัดสินใจในระดับนี้มีทั้งในลักษณะ “ทันทีทันใด” และ “การพิจารณาในระยะยาว”
ตอบ 3 หน้า 229 การตัดสินใจในระดับการประสานงาน (Coordinative Level) เป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับความพยายามในอันที่จะประสานความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจระดับสูงกับ การดําเนินงานในระดับการปฏิบัติการ การตัดสินใจในระดับนี้มีทั้งในลักษณะ “ทันทีทันใด” และ “การพิจารณาในระยะยาว” ผู้บริหารในระดับนี้จะต้องทําหน้าที่ตัดสินใจเพื่อให้เกิดการประสานกันระหว่างการปฏิบัติงานในองค์การกับการนําเอาปัจจัยภายนอกองค์การ(สภาพแวดล้อม) เข้ามาในองค์การ

79. การตัดสินใจในระดับนี้จะเป็นไปชั่วระยะเวลาอันสั้นมีการใช้เทคนิคประกอบการตัดสินใจ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

80. มีลักษณะเกี่ยวข้องกับการกําหนดขอบเขตขององค์การกับสภาพแวดล้อมว่าจะยอมให้มีความสัมพันธ์กันในระดับใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

81. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการตัดสินใจ
(1) อาจกล่าวได้ว่าการบริหารเป็นการตัดสินใจ
(2) ระบบของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะต้องประกอบไปด้วยระบบของการตัดสินใจ
(3) หากปราศจากระบบของการตัดสินใจแล้วระบบของสิ่งมีชีวิตจะดํารงอยู่ไม่ได้
(4) การควบคุมองค์การเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับของการประสานงาน
(5) การตัดสินใจมีบทบาทในทุกส่วนของกระบวนการบริหารยกเว้นการวางแผน
ตอบ 5 หน้า 231 – 232 การตัดสินใจมีบทบาทอยู่ในทุก ๆ ส่วนของกระบวนการบริหารไม่ว่าจะเป็น การวางแผน การจัดรูปองค์การ และการควบคุมองค์การ โดยการวางแผนและการจัดรูปองค์การ จะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับของการกําหนดยุทธวิธี (Strategic Level) ส่วนการควบคุม องค์การจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับของการประสานงาน (Coordinative Level) และการปฏิบัติการ (Operational Level)

82. ข้อใดเป็นรูปแบบการตัดสินใจในลักษณะ Non-Programmable
(1) ระบบสัญญาณไฟจราจร
(2) ระบบทางเดินของงานในโรงงานอุตสาหกรรม
(3) ระเบียบปฏิบัติของบุคลากร
(4) ขั้นตอนการให้บริการ
(5) การพัฒนาชนบท
ตอบ 5 หน้า 236 รูปแบบการตัดสินใจ แบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ
1. การตัดสินใจที่สามารถจัดทําไว้ล่วงหน้าได้ (Programmable) เช่น ระบบสัญญาไฟจราจร ระบบทางเดินของงานในโรงงานอุตสาหกรรม ระบบการขายสินค้าโดยเครื่องอัตโนมัติ ระเบียบปฏิบัติของบุคลากร เป็นต้น
2. การตัดสินใจที่ไม่สามารถจัดทําไว้ล่วงหน้าได้ (Non-Programmable) เช่น การเสนอขาย สินค้าราคาแพง หรือการทํางานที่ต้องเผชิญสถานการณ์ไม่แน่นอน เช่น การพัฒนาชนบท เป็นต้น

83. สําหรับการสนทนาทางโทรศัพท์ “กระบอกฟัง” เป็นสิ่งใดในกระบวนการสื่อความเข้าใจ
(1) Information Source
(2) Transmitter
(3) Channel
(4) Receiver
(5) Noise Source
ตอบ 4 หน้า 245, (คําบรรยาย) ในกระบวนการสื่อความเข้าใจนั้น Receiver คือ เครื่องรับสัญญาณ ซึ่งจะทําหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่งสารมายังผู้รับสาร ตัวอย่างของ Receiver เช่น “กระบอกฟัง” ในการสนทนากันทางโทรศัพท์ เป็นต้น

84. ข้อใดเป็น External Information Base ขององค์การ
(1) ระบบการผลิต
(2) ระบบการจัดซื้อ
(3) ระบบการควบคุม
(4) ระบบการเงิน
(5) การเมือง
ตอบ 5 หน้า 251 – 252 พื้นฐานและที่มาของข้อมูลข่าวสาร มีดังนี้
1. ข้อมูลข่าวสารจากภายในองค์การ (Internal Information Base) ได้มาจากหน่วยงานต่าง ๆ และปัจจัยภายในองค์การเอง เช่น ระบบการเจ้าหน้าที่ ระบบการขายสินค้าและบริการ ระบบของคําสั่งและการควบคุม ระบบการผลิต ระบบการควบคุมสินค้า ระบบการจัดซื้อ ระบบการเงิน เป็นต้น
2. ข้อมูลข่าวสารจากภายนอกองค์การ (External Information Base) ได้มาจากระบบ สภาพแวดล้อมขององค์การ ได้แก่ สภาพสังคม สภาพเศรษฐกิจ และสภาพการเมือง

85. การตัดสินใจทางการบริหารที่ดี ต้องอาศัยเงื่อนไขประกอบการตัดสินใจข้อใด
(1) Transmitter
(2) Information
(4) Commanding
(5) Organizing
(3) Channel
ตอบ 2 หน้า 255, (คําบรรยาย) การตัดสินใจทางการบริหารที่ดีนั้นจะต้องอาศัยเงื่อนไขประกอบ การตัดสินใจที่สมบูรณ์ นั่นคือ จะต้องมีการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร (Information) ที่เพียงพอ และเหมาะสม โดยข้อมูลข่าวสารนั้นอาจได้มาจากปัจจัยภายในองค์การเอง หรือได้มาจาก ปัจจัยภายนอกองค์การ ทั้งนี้การสร้างระบบทางเดินของข้อมูลข่าวสารที่ดีจะช่วยให้เงื่อนไข ของการตัดสินใจสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

86. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการควบคุมองค์การ
(1) เป็นวิธีการที่สําคัญในการที่จะได้มาซึ่งการประสานงานที่ดีภายในองค์การ
(2) คือการสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นภายในองค์การ
(3) หมายถึงการตรวจสอบผลการดําเนินงานว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด
(4) หมายถึงการตรวจสอบเปรียบเทียบผลงานกับแผนงาน หรือมาตรฐานที่ได้ตั้งเอาไว้
(5) การปฏิบัติการตามแผนงานต้องเกิดขึ้นก่อนการควบคุมองค์การเสมอ
ตอบ 5 หน้า 266, (คําบรรยาย) การควบคุมองค์การไม่จําเป็นต้องเกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการตาม แผนงานเสมอไป การควบคุมองค์การนั้นอาจเกิดขึ้นก่อนการปฏิบัติการตามแผนงาน ซึ่งเรียกว่า การควบคุมล่วงหน้า (Pre Control) หรืออาจเกิดขึ้นขณะปฏิบัติการตามแผนงาน ซึ่งเรียกว่า การควบคุมในสภาพการปฏิบัติงานจริง (Real Time Control) หรือเกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการ ตามแผนงาน ซึ่งเรียกว่า การควบคุมทีหลัง (Post Cor-trol) ก็ได้

87. การตรวจสอบผลกําไรเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน ถือเป็นการควบคุมในลักษณะใด
(1) Pre Control
(2) Real Time Control
(3) Post Control
(4) Before Control
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 266, (คําบรรยาย) การควบคุมที่หลัง (Post Control) เป็นการสร้างเป้าหมายไว้ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบเมื่อเสร็จสิ้นงวดการปฏิบัติงาน เช่น การประเมินผลลัพธ์ ในการดําเนินงาน การตรวจสอบผลกําไรเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน การประเมินผลสรุปของ โครงการ การตรวจงานหรือการประเมินผลการดําเนินงานต่าง ๆ เป็นต้น

88. บุคคลในข้อใดจัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีแรงจูงใจกลุ่มเดียวกับ Mastow
(1) Victor H. Vroorn
(2) J. Stacy Adams
(3) Edward Thorndike
(4) B. F. Skinner
(5) Clayton Alderfer
ตอบ 5 หน้า 272 (คําบรรยาย) ทฤษฎีหลักการจูงใจ (Theory of Motivation) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มทฤษฎีของกระบวนการ (Process Theory) จะพยายามอธิบายว่าพฤติกรรมของมนุษย์จะถูกกระตุ้นได้อย่างไร จะถูกชี้นําไปยังทิศทางใด และจะทําให้หยุดลงได้อย่างไร ซึ่งนักวิชาการในกลุ่มนี้ ได้แก่ Victor H. Vroom, J. Stacy Adams เป็นต้น
2. กลุ่มทฤษฎีว่าด้วยเนื้อหา (Content Theory) จะเน้นถึงความต้องการภายใน โดยจะศึกษา ว่า “อะไร” เป็นตัวทําให้พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นในลักษณะนั้น ๆ ซึ่งนักวิชาการในกลุ่มนี้ Tun Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Frederick Herzberg, Douglas McGregor David C. McClelland เป็นต้น

89. ข้อใดเป็น Positive Feedback ขององค์การ
(1) ปัญหาของการดําเนินการ
(2) คําตําหนิ
(3) ประสิทธิภาพที่ได้รับ
(4) ข้อร้องเรียนจากบุคลากรในองค์การ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 261, (คําบรรยาย) Feedback ในการดําเนินงานขององค์การ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากการดําเนินงานขององค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ข้อมูลข่าวสารที่แสดงถึงความพึงพอใจ (Positive Feedback) เช่น คําชมเชยหรือคํายกย่องประสิทธิภาพที่ได้รับ ความสําเร็จของงาน เป็นต้น
2. ข้อมูลข่าวสารที่แสดงถึงความไม่พึงพอใจ (Negative Feedback) เช่น คําตําหนิ บัตรสนเท่ห์ ความล้มเหลวของงาน ปัญหาของการดําเนินการ เป็นต้น

90. ข้อใดเป็นตัวอย่างของการควบคุมองค์การแบบ Direct Control
(1) การควบคุมล่วงหน้า
(2) การสั่งการจากผู้บังคับบัญชาไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา
(3) การควบคุมสภาพในการปฏิบัติงานจริง
(4) การตระหนักรู้ของผู้ใต้บังคับบัญชาในการทํางาน
(5) การจัดทําระบบงบประมาณ
ตอบ 2 หน้า 266 – 267 วิธีการควบคุมองค์การซึ่งแบ่งตามความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับ ผู้ใต้บังคับบัญชา มี 2 วิธี คือ
1. การควบคุมโดยตรง (Direct Control) คือ การควบคุมที่มีการสั่งการจากผู้บังคับบัญชา ไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ปฏิบัติงานโดยตรง
2. การควบคุมโดยทางอ้อม (Indirect Control) คือ ผู้บังคับบัญชามิได้สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ปฏิบัติงานโดยตรง

91. ข้อใดเป็นเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ
(1) Motivation
(2) Output
(3) Stress
(4) Needs
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 271 เงื่อนไขที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ มี 3 ประการ คือ
1. ความต้องการ (Needs) เกิดจากความขาดแคลนในบางสิ่งบางอย่างของมนุษย์
2. แรงขับ (Drives) หมายถึง ภาวะความเครียดซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการต่าง ๆ ของมนุษย์
3. สิ่งล่อใจ (Incentives) หมายถึง สิ่งของหรือเงื่อนไขภายนอกที่กระตุ้นให้มนุษย์กระทําการ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าประสงค์

92. แนวคิดที่ว่า “มนุษย์ต้องการจะแสวงหาความสะดวกสบายและความรื่นรมย์เป็นสําคัญ ขณะเดียวกัน
ก็จะเลี่ยงจากความเจ็บปวดและความไม่สะดวกสบายทั้งหลาย” มีรากฐานมาจากตัวเลือกใด
(1) J. Stacy Adams
(2) Victor H. Vroom
(3) Hedonism
(4) Max Weber
(5) Abraham Maslow
ตอบ 3 หน้า 271 Hedon sm อธิบายว่า “มนุษย์ต้องการจะแสวงหาความสะดวกสบายและความ รื่นรมย์เป็นสําคัญ ขณะเดียวกันก็จะเลี่ยงจากความเจ็บปวดและความไม่สะดวกสบายทั้งหลาย”

93. การสร้างแรงจูงใจลักษณะใดที่ถูกวิจารณ์ว่า “มีลักษณะเป็นอุดมคติมากไป”
(1) การทําให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสําคัญของงาน
(2) การใช้การต่อรองที่เด่นชัด
(3) วิธีการใช้ความดี
(4) วิธีการแบบเด็ดขาด
(5) วิธีการแข่งขัน
ตอบ 1 หน้า 280 การทําให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสําคัญของงาน เป็นการสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิด แก่พนักงานโดยให้เขาเห็นความสําคัญของตัวงานที่เขาปฏิบัติอยู่ว่ามีค่ามีความสําคัญมาก เพียงไร ซึ่งจะส่งผลให้เขายินดีพอใจจะปฏิบัติงานสําคัญนั้นอย่างเต็มความสามารถ การสร้าง แรงจูงใจจากภายในนี้นับว่าทําให้เกิดการกระตือรือร้นในการทํางานได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่สามารถ นํามาใช้ได้ในทุกสถานการณ์ และอาจทําได้ยากกับงานบางประเภท จนนักวิชาการบางท่าน ได้วิจารณ์ว่า การคิดสร้างแรงจูงใจภายในมีลักษณะเป็นอุดมคติมากไป

94. ทฤษฎีแรงจูงใจของนักวิชาการท่านใดจัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีของกระบวนการ (Process Theory)
(1) Douglas McGregor
(2) Frederick Herzberg
(3) David C. McClelland
(4) J. Stacy Adams
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 88. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 95 – 98. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ในการพิจารณาว่าบุคคลในแต่ละข้อนั้นมีแนวความคิด ที่สอดคล้องกับกลุ่มทฤษฎีภาวะผู้นํากลุ่มใด
(1) Trait Theories
(2) Behavioral Theories
(3) Contingency Theories
(4) Transformational Leader
(5) Reinforcement Theories

95. มิลลิเห็นว่าผู้นําที่มีประสิทธิผลต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ตอบ 3 หน้า 287, 294, (คําบรรยาย) แนวความคิดของมิลลี่นั้นสอดคล้องกับกลุ่มทฤษฎีภาวะผู้นํา ทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situational Theories) ซึ่งเป็นทฤษฎี ที่มีความเชื่อพื้นฐานว่าประสิทธิภาพหรือประสิทธิผลของผู้นําจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมของผู้นําและสถานการณ์เป็นหลัก

96. เจเจเห็นว่าผู้นําที่ประสบความสําเร็จได้นั้นจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากคนที่มิได้เป็นผู้นํา
ตอบ 1 หน้า 287 – 289, (บรรยาย) แนวความคิดของเจเจนั้นสอดคล้องกับกลุ่มทฤษฎีคุณลักษณะ ผู้นํา (Trait Theories) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีความเชื่อว่าผู้นําที่ประสบความสําเร็จหรือมีประสิทธิภาพ ได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากคนที่มิได้เป็นผู้นํา เช่น ความเฉลียวฉลาด วุฒิภาวะ ทางสังคม แรงจูงใจสู่ความสําเร็จ เป็นต้น

97. แจ็คสันเห็นว่าผู้นําที่ประสบความสําเร็จควรบริหารงานโดยมุ่งทั้งงานและคน
ตอบ 2 หน้า 287 – 289, 293 – 294, (คําบรรยาย) แนวความคิดของแจ็คสันนั้นสอดคล้องกับ กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นํา (Leadership Behavior) หรือทฤษฎีเชิงพฤติกรรม (Behavioral Theories) โดยเฉพาะจากการศึกษาของ Robert R. Blake และ Jane S. Mouton ซึ่งพบว่า ผู้นําที่ประสบความสําเร็จหรือมีประสิทธิภาพมากที่สุดควรบริหารงานโดยมุ่งทั้งงานและคน

98. ใบเฟิร์นเชื่อว่าผู้นําที่ประสบความสําเร็จต้องปรับรูปแบบของพฤติกรรมการบริหารของตนได้สอดคล้องกับความพร้อมของผู้ตาม
ตอบ 3 หน้า 287, (คําบรรยาย) แนวความคิดของใบเฟิร์นนั้นสอดคล้องกับทฤษฎีภาวะผู้นําทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situatiorial Theories) โดยเฉพาะแนวความคิด
ของ Hersey & Blanchard ซึ่งมองว่า ไม่มีแบบของพฤติกรรมผู้นําแบบใดที่ดีที่สุด การเป็น ผู้นําที่ประสบความสําเร็จหรือมีประสิทธิภาพนั้นต้องมีแบบของพฤติกรรมผู้นําที่สอดคล้องกับ ความพร้อมของผู้ตาม (ลูกน้อง) ใน 2 ด้าน คือ ความสามารถและความเต็มใจ ซึ่งสามารถ พิจารณาได้ดังนี้
1. ผู้ตามไม่มีความสามารถ และไม่มีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบสั่งการ (Telling)
2. ผู้ตามไม่มีความสามารถ แต่มีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบขายความคิด (Selling)
3. ผู้ตามมีความสามารถ แต่ไม่มีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบมีส่วนร่วม (Participating)
4. ผู้ตามมีความสามารถ และมีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบมอบหมายงาน
(Delegating).

99. ข้อใดมีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้นํามากที่สุด
(1) The Managerial Grid
(2) Great Man Theory
(3) ทฤษฎีของ Keith Davis
(4) ทฤษฎีของ Fred E. Fiedter
(5) ทฤษฎีของ Frederick W. Taylor
ตอบ 1 หน้า 292 Robert R. Blake และ Jane S. Mouton นักวิชาการในกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรม ของผู้นํา (Leadership Behavior) ได้พิจารณาการศึกษาลักษณะผู้นําจากการศึกษาของ มหาวิทยาลัยโอไฮโอและมิชิแกน และนํามาพัฒนาประยุกต์เป็นตารางการบริหารที่เรียกว่า “The Managerial Grid” หรือเรียกว่า “ตารางผู้นํา” และนําไปจดทะเบียนการค้าด้วย

100. นายชัชพลมีลูกน้องที่ขาดความสามารถและขาดความเต็มใจในการทํางาน หากนายชัชพลเชื่อในแนวคิด ของ Hersey & Blanchard จะต้องเป็นผู้นําแบบใด
(1) Selling
(2) Consideration
(3) Participating
(4) Delegating
(5) Telling
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ

POL2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว
1. ข้อใดมีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้นํามากที่สุด
(1) The Managerial Grid
(2) ทฤษฎีของ Frederick W. Taylor
(3) Great Man Theory
(4) ทฤษฎีของ Fred E. Fiedter
(5) ทฤษฎีของ Keith Davis ตอบ 1 หน้า 292 Robert R. Blake และ Jane S. Mouton นักวิชาการในกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรม ของผู้นํา (Leadership Behavior) ได้พิจารณาการศึกษาลักษณะผู้นําจากการศึกษาของ มหาวิทยาลัยโอไฮโอและมิชิแกน และนํามาพัฒนาประยุกต์เป็นตารางการบริหารที่เรียกว่า “The Managerial Grid” หรือเรียกว่า “ตารางผู้นํา” และนําไปจดทะเบียนการค้าด้วย

2.แนวคิดใดที่เชื่อว่า “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่นําไปสู่เป้าหมาย”
(1) Industrial Humanism
(2) Systems Theory
(3) Scientific Management
(4) Contingency Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 112 – 113 Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอํานาจ ที่ต่างเข้ามาทํางานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอํานาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การ เป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะนําไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการ และความสนใจของผู้มีอํานาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสําคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ

3. นักทฤษฎีการรับรู้เชื่อว่ามี “ตัวกลาง” ในการผลักดันระหว่าง “การกระตุ้น” และ “การตอบสนอง ซึ่ง “ตัวกลาง” นั้นคือ
(1) ผู้ไกล่เกลี่ย
(2) มโนภาพ
(3) อคติ
(4) ทัศนคติ
(5) การเสริมแรง
ตอบ 2 หน้า 233 นักทฤษฎีการรับรู้ (Cognitive Theorists) อธิบายว่า Image หรือมโนภาพหรือ จินตนาการ ซึ่งเกิดจากผลรวมของประสบการณ์ที่ผ่านมา เป็นตัวกลางในการผลักดันระหว่าง “การกระตุ้น” กับ “การตอบสนอง” และตัวกลางดังกล่าวนี้ก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าการสะท้อนกลับตามลักษณะ Reflex Arc

4.หน่วยงานที่ช่วยบริการแก่หน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้านเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Departmentation
(2) Line Agency
(3) Auxiliary Agency
(4) Division of Work
(5) Staff Agency
ตอบ 3 หน้า 197 – 201, (คําบรรยาย) ประเภทของหน่วยงานซึ่งแบ่งตามลักษณะของการปฏิบัติงาน
ภายในองค์การ มี 3 ประเภท คือ
1. หน่วยงานหลัก (Line Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลัก ขององค์การ หรือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหม คณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หน่วยโยธาและ หน่วยสาธารณสุขของเทศบาล เป็นต้น
2. หน่วยงานที่ปรึกษาหรือหน่วยงานสนับสนุน (Staff Agency) หมายถึง หน่วยงานที่มิได้ ดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุน การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เช่น กองวิชาการ หน่วยนโยบายและแผน หน่วยการเงิน/ งบประมาณ หน่วยการเจ้าหน้าที่ หน่วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
3. หน่วยงานอนุกร (Auxiliary Agency) หรือหน่วยงานแม่บ้าน (House-Keeping Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ช่วยบริการหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจรรมลักษณะ ของแม่บ้าน เช่น หน่วยพัสดุ หน่วยอาคารสถานที่ หน่วยสารบรรณ หน่วยสวัสดิการ หน่วยงานด้านความสะอาดหรืองานเทศกิจ เป็นต้น

5. นางมยุเรศมองว่า “ไม่มีแบบของพฤติกรรมผู้นําแบบใดที่ดีที่สุด ต้องพิจารณาที่ความพร้อมของผู้ตามแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับนักวิชาการท่านใด
(1) Keith Davis
(2) Ronald Lippitt & Ralph White
(3) Rensis Likert
(4) Blake & Mouton
(5) Hersey & Blanchard
ตอบ 5 หน้า 287, (คําบรรยาย) Hersey & Blanchard นักวิชาการในกลุ่มทฤษฎีทางด้านสถานการณ์ (Situational Theories) มองว่า ไม่มีแบบของพฤติกรรมผู้นําแบบใดที่ดีที่สุด การเป็นผู้นํา ที่ประสบความสําเร็จหรือมีประสิทธิภาพนั้นต้องมีแบบของพฤติกรรมผู้นําที่สอดคล้องกับ ความพร้อมของผู้ตามใน 2 ด้าน คือ ความสามารถและความเต็มใจ ซึ่งสามารถพิจารณาได้ดังนี้
1. ผู้ตามไม่มีความสามารถ และไม่มีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบสั่งการ (Telling)
2. ผู้ตามไม่มีความสามารถ แต่มีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบขายความคิด (Selling)
3. ผู้ตามมีความสามารถ แต่ไม่มีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบมีส่วนร่วม (Participating)
4. ผู้ตามมีความสามารถ และมีความเต็มใจในการทํางาน ต้องเป็นผู้นําแบบมอบหมายงาน (Delegating)

6. สิ่งที่ ดร.ชุบ กาญจนประกร เสนอเพิ่มจากที่กูลิคเสนอไว้ในเรื่องหน้าที่ของผู้บริหาร ได้แก่
(1) การประเมินผลงาน
(2) การควบคุมงาน
(3) การประสานงาน
(4) การจัดทําแผนกลยุทธ์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 60 – 62 ดร.ชุบ กาญจนประกร ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารเพิ่มเติมจากแนวคิด POSDCORB ของ Luther Gulick เป็น PA-POSDCORB โดย PA ที่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่ P = Policy (การกําหนดนโยบาย) และ A = Authority (การกําหนดอํานาจหน้าที่)

7. การตัดสินใจในระดับใดที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมแบบปิดมากที่สุด
(1) Operational Level
(2) Coordinative Level และ Strategic Level
(3) International Level
(4) Coordinative Level
(5) Strategic Level
ตอบ 1 หน้า 229 – 230 การตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ (Operational Level) เป็นการตัดสินใจ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรและวัตถุดิบทั้งหลายให้เกิดเป็นสินค้าและบริการ ตามเป้าหมายขององค์การ การตัดสินใจในระดับนี้จะเป็นไปชั่วระยะเวลาอันสั้น มีการใช้เทคนิค ประกอบการตัดสินใจ เช่น อาจใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการควบคุมการดําเนินงาน โดยจัดให้มีการตัดสินใจไว้ล่วงหน้า (Programmed Decision) และเป็นการตัดสินใจที่เหมาะกับ สภาพแวดล้อมแบบปิด ผู้บริหารที่ใช้การตัดสินใจระดับนี้ เช่น หัวหน้างาน (Supervisor), หัวหน้าคนงาน (Foreman) เป็นต้น

8. ในการสนทนาแบบเผชิญหน้า “กล่องเสียงของผู้ส่งสาร” ถือเป็นสิ่งใดในกระบวนการสื่อความเข้าใจ
(1) Information Source
(2) Transmitter
(3) Channel
(4) Destination
(5) Receiver
ตอบ 2 หน้า 245, (คําบรรยาย) ในกระบวนการสื่อความเข้าใจนั้น Transmitter คือ เครื่องส่งสัญญาณ ซึ่งจะทําหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารที่เป็นคําพูดหรือสัญญาณธรรมชาติให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยัง ผู้รับสาร ตัวอย่างของ Transmitter เช่น “กล่องเสียงของผู้ส่งสาร” ในการสนทนาแบบเผชิญหน้า “กระบอกพูด” ในการสนทนากันทางโทรศัพท์ เป็นต้น

9.ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่กําหนดขนาดของการกระจายอํานาจ
(1) ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
(2) ขนาดขององค์การ
(3) เทคโนโลยีในการสื่อสาร
(4) ปรัชญาของการบริหาร
(5) เทคนิคในการควบคุม
ตอบ 3 หน้า 170 – 174, (คําบรรยาย) ปัจจัยที่มีผลต่อการกําหนดขนาดของการกระจายอํานาจ และการรวมอํานาจในองค์การ มีดังนี้
1. ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
2. ความต้องการเป็นแบบเดียวกันทางด้านนโยบาย
3. ขนาดขององค์การ
5. ปรัชญาของการบริหาร
4. ประวัติความเป็นมาของกิจการ
6. ความต้องการความเป็นอิสระในการดําเนินงาน
7. จํานวนของผู้บริหารที่มีอยู่ในองค์การ 8. เทคนิคในการควบคุม
9. การกระจายของการปฏิบัติงานที่มีการแบ่งแยกงานไปตามสถานการณ์ที่ต่างออกไป
10. การเปลี่ยนแปลงขององค์การ
11. อิทธิพลของสภาพแวดล้อมองค์การ

10. การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Centralization
(2) Organization Design
(3) Authority
(4) Formalization
(5) Complexity
ตอบ 4 หน้า 122 ความเป็นทางการขององค์การ (Formalization) คือ การที่องค์การได้กําหนด กฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐานอันเป็น พื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ

11. “ความสามารถของผู้ควบคุมงาน” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Technical
(2) Goals and Values
(3) Structural
(4) Managerial
(5) Psychosocial
ตอบ 4 หน้า 96 – 97, (คําบรรยาย) ระบบย่อยต่าง ๆ ภายในระบบขององค์การ มีดังนี้
1. ระบบเทคโนโลยีขององค์การ (Technical) หมายถึง ความรู้ที่จําเป็นในการปฏิบัติงาน รวมถึงเทคนิคและวิธีการทํางานต่าง ๆ ที่องค์การต้องใช้ในการเปลี่ยนแปลงทรัพยากร หรือปัจจัยนําเข้าให้ออกมาในรูปของผลผลิต
2. ระบบสังคมจิตวิทยา (Psychosocial) เป็นระบบที่รวมความต้องการของบุคคลและ กลุ่มในองค์การ เช่น ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
3. ระบบโครงสร้างขององค์การ (Structural) เป็นระบบที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ส่วนประกอบต่าง ๆ ขององค์การ เช่น สายการบังคับบัญชา กฎระเบียบและข้อบังคับ ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ แผนกงาน เป็นต้น
4. ระบบของศิลปะและทักษะในการบริหารองค์การ (Managerial) หมายถึง ความสามารถ ในการบริหารจัดการของผู้บริหาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ประสานงาน ฯลฯ

12. ข้อใดเป็นการกระตุ้นให้คนปฏิบัติงานโดยวิธีการใช้ความดี
(1) การใช้การต่อรองที่เด่นชัด
(2) การให้ปัจจัยค้ำจุน
(3) วิธีการแข่งขัน
(4) การทําให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสําคัญของงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2หน้า 277 – 278 การจูงใจหรือกระตุ้นให้คนปฏิบัติงานโดยวิธีการใช้ความดี แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
1. วิธีการใช้ความดีแบบพ่อกับลูก (Paternalism)
2. วิธีการใช้ความดีแบบการให้ปัจจัยค้ำจุน (Hygienic Management)

13. การกําหนดลําดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลําดับอํานาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ำกว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Span of Control
(2) Responsibility
(3) Specialization
(4) Hierarchy
(5) Unity of Command
ตอบ 4 หน้า 139 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง การกําหนดลําดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใด อยู่ในลําดับอํานาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ํากว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง

14. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการกระจายอํานาจ
(1) เป็นการสนองความต้องการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม รวดเร็ว
(2) มีโอกาสเติบโตและขยายอย่างมีประสิทธิภาพ
(3) ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
(4) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
(5) มีโอกาสฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มีความสามารถ
ตอบ 4 หน้า 175 ประโยชน์ของการกระจายอํานาจ มีดังนี้
1. ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง ทําให้ได้มีเวลาทํางานสําคัญจําเป็นได้มากขึ้น
2. เป็นการสนองการบริหารหรือความต้องการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
และรวดเร็ว
3. ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น
4. มีโอกาสในการฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มีความสามารถ ทักษะ และฝึกฝน
การตัดสินใจด้วย
5. โอกาสของการเติบโตหรือขยายองค์การมีทางเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

15. “นําเอาหลักการบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์เข้าไปใช้ในองค์การด้านการศึกษาและหน่วยงานรัฐบาล…….”ผู้ริเริ่มได้แก่
(1) Gantt
(2) Gilbreths
(3) Emerson
(4) Taylor
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 43 Morris L. Cooke ได้นําเอาหลักการและความรู้จากการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ เข้าไปศึกษาการบริหารงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐบาล เช่น องค์การทางด้านการศึกษา โดยพบว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์การดังกล่าวได้ และ ในเรื่องการสร้างประสิทธิภาพให้กับงานนั้น เขาเห็นว่าทุกคนควรช่วยกันค้นหา One Best Way ไม่ควรจํากัดว่าเป็นเรื่องเฉพาะแต่ผู้ชํานาญหรือผู้บริหารเท่านั้น

16.Centralization เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) Power to Command
(2) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
(3) ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
(4) ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา
(5) การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ
ตอบ 2 หน้า 168 การรวมอํานาจ (Centralization) หมายถึง สภาวะขององค์การ ซึ่งในระดับสูง ๆ ของสายการบังคับบัญชาได้รวมอํานาจหน้าที่ไว้ ทั้งนี้เพื่อการตัดสินใจส่วนใหญ่จะได้กระทําจาก ระดับสูงนั้น ดังนั้นตามหลักการรวมอํานาจ การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในองค์การส่วนมากแล้ว จะมิได้มอบให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้ตัดสินใจให้เป็นส่วนใหญ่

17. หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Division of Work
(2) Auxiliary Agency
(3) Departmentation
(4) Staff Agency
(5) Line Agency
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

18. ทฤษฎีการจูงใจจากความคาดหวัง (Expectancy Theory Motivation) ได้รับอิทธิพลและพัฒนาต่อเนื่องมาจากทฤษฎีใด
(1) Drive-Reduction Theory
(2) Equity Theory
(3) Reinforcement Theory
(4) Law of Effect Theory
(5) Scientific Management
ตอบ 1 หน้า 272, (คําบรรยาย) รากฐานของแนวความคิดในการศึกษาเรื่องแรงจูงใจ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากงานของ Clark Hull เกี่ยวกับทฤษฎีการลดแรงขับ (Drive-Reduction Theory) และพัฒนามาเป็นทฤษฎีการจูงใจจากความคาดหวัง (Expectancy Theory Motivation) ของ Victor H. Vroom ในสมัยต่อมา

19. ในการบริหารงาน คําว่า Red Tape หมายถึง
(1) คําสั่งลับ
(2) เส้นทางลัดในโครงสร้าง
(3) ปัญหาด้านแรงจูงใจ
(4) การที่งานไปค้างที่จุดใดจุดหนึ่ง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 49 Red Tape หมายถึง ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความล่าช้าของการ ติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ในโครงสร้างขององค์การที่จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับบัญชา ที่ยาวและระบบความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ

20. นายพัศชวพลมีลูกน้องที่ไม่มีความสามารถแต่มีความเต็มใจในการทํางาน หากเชื่อในทฤษฎีของ Hersey & Blanchard แล้ว นายพัศชวพลควรเป็นผู้นําแบบใด
(1) Pseudo-Leaders
(2) Selling
(3) Participating
(4) Telling
(5) Delegating
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

21. ทุกข้อเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การในลักษณะของระบบ ยกเว้น
(1) มีกลไกให้ข้อมูลข่าวสาร
(2) One Best Way
(3) Contrived
(4) มีเสถียรภาพแบบพลวัต
(5) มีความเจริญเติบโตภายใน
ตอบ 2 หน้า 98 – 106, (คําบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการ ตามแนวทางของ “ระบบ (ระบบเปิด)” ได้แก่
1. การวางแผนและจัดการ (Contrived)
2. ความยืดหยุ่นของขอบเขต (Flexible Boundaries)
3. การอยู่รอด (Negative Entropy)
4. การรักษาเสถียรภาพของระบบให้มีความสมดุลแบบพลวัตหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
(Dynamic Equilibrium)
5. กลไกการให้ข้อมูลข่าวสาร (Feedback Mechanism)
6. กลไกในการปรับตัวและรักษาสถานภาพของระบบ (Adaptive and Maintenance Mechanism)
7. การเจริญเติบโตภายในองค์การ (Growth Through Internal Elaboration)
8. การแบ่งงานในลักษณะยืดหยุ่น ฯลฯ (ส่วน One Best Way เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจาก การศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด”)

22. ทุกข้อเป็นความแตกต่างระหว่างการบริหารรัฐกิจและการบริหารธุรกิจ ยกเว้น
(1) ทฤษฎีองค์การ
(2) ขนาดของกิจการ
(3) ผลผลิต
(4) วัตถุประสงค์
(5) การเป็นเจ้าของกิจการ
ตอบ 1(PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 12 – 14) ความแตกต่างระหว่างการบริหารรัฐกิจ (Public Administration) และการบริหารธุรกิจ (Business Administration) อาจแยกพิจารณาได้จาก 4 ด้านใหญ่ ๆ คือ 1. วัตถุประสงค์ 2. การเป็นเจ้าของกิจการ 3. ขนาดของกิจการ 4. ผลผลิต

23. จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์การพบว่า “องค์การขาดการวางแผนในการรับบุคลากรใหม่
เพื่อทดแทนกับอัตราว่าง” ข้อความดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ใด
(1) Strengths
(2) Threats
(3) Problems.
(4) Opportunities
(5) Weaknesses
ตอบ 5 หน้า 220, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis ประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่
S = Strengths คือ จุดแข็ง ศักยภาพ หรือความสามารถขององค์การที่มีอยู่จริง เช่น การมีงบประมาณจํานวนมาก การมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย การมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ มีความสามัคคีในการปฏิบัติงาน เป็นต้น
– W = Weaknesses คือ จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ ขององค์การ เช่น บุคลากร ขาดความรู้ความสามารถ การขาดการวางแผนในการรับบุคลากรใหม่เพื่อทดแทนกับ อัตราว่าง งบประมาณมีไม่เพียงพอ เป็นต้น
2. การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่
O = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ เช่น การที่ลูกค้ามีความรู้และทักษะ ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เป็นต้น
– T = Threats คือ ภัยคุกคามที่มีผลต่อการดําเนินงานขององค์การ เช่น การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นต้น

24.Chester I. Barnard เกี่ยวข้องกับทฤษฎีใดมากที่สุด
(1) Format Position
(2) Format Authority
(3) Acceptance Theory
(4) Competence Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 148 ทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) อธิบายว่า อํานาจหน้าที่ ที่แท้จริงในการบริหารนั้นจะมาจากการที่ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับให้ผู้บังคับบัญชามีสิทธิหรือ อํานาจเหนือตน และอํานาจหน้าที่นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนํา หรือเจรจาโน้มน้าวให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการหรือปฏิบัติตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชาด้วยความเต็มใจ โดยนักทฤษฎีที่กล่าวถึงอํานาจหน้าที่ในลักษณะนี้ได้แก่ Chester I. Barnard และ Herbert A. Simon

25. “Activity, Interaction และ Sentiment” ทั้งสามประการข้างต้นเป็นหลักที่ Homans เสนอให้ใช้
ในการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องใด
(1) การควบคุมองค์การ
(2) พฤติกรรมของปัจเจกบุคคลในกลุ่มสังคม
(3) การวางแผนองค์การ
(4) พฤติกรรมขององค์การที่มีผลต่อประสิทธิภาพ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 79 – 80 Homans เสนอว่า การศึกษาพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลในกลุ่มสังคม (Social Groups) จะต้องพิจารณาคุณลักษณะของปัจเจกบุคคลในการดําเนินชีวิต
3 ประการด้วยกัน คือ
1. การกระทําของเขาในสังคม (Activity)
2. ความสัมพันธ์อันเกิดจากการกระทําของเขา (Interaction)
3. ความคิดเห็นส่วนตัวหรือสภาพทางอารมณ์และจิตใจของตัวเอง (Sentiment)

26. อํานาจหน้าที่ที่แท้จริงในการบริหารจะมาจากการที่ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับให้ผู้บังคับบัญชามีอํานาจ เหนือตน เกี่ยวพันกับรูปแบบใดมากที่สุด
(1) Acceptance Theory
(2) Formal Authority Theory
(3) Competence Theory
(4) Acceptance Theory and Leadership
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

27. ข้อใดเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้
(1) ระดับขององค์การ
(2) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
(3) ลักษณะงานในองค์การ
(4) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(5) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
ตอบ 2, 3 หน้า 184 – 185 ปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้ มีดังนี้
1. การฝึกอบรมผู้ใต้บังคับบัญชา
2. เทคนิคในการมอบหมายอํานาจหน้าที่
3. การวางแผนการปฏิบัติงานไว้ให้พร้อม
4. ลักษณะของงานในองค์การ
5. เทคนิคในการควบคุม
6. เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
7. ความจําเป็นในการติดต่อส่วนตัว

28. ใครที่เชื่อว่า อํานาจหน้าที่ไม่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง
(1) Fayol
(2) Weber
(3) Barnard
(4) ทั้ง Fayol และ Weber
(5) ทั้ง Fayol, Weber la Barnard
ตอบ 3 หน้า 71 – 72 Chester I. Barnard ได้ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับองค์การไว้ในหนังสือชื่อ “The Functions of the Executive” ดังนี้
1. องค์การเป็นระบบของความร่วมมือระหว่างบุคคลที่จะต้องร่วมกันดําเนินภารกิจ
ให้เกิดการทํางานร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ
2. อํานาจหน้าที่ควรกําหนดในรูปของความรับผิดชอบของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่เป็น
การกําหนดตายตัวจากบนลงล่าง
3. นําบทบาทขององค์การอรูปนัยหรือองค์การที่ไม่เป็นทางการเข้ามาใช้ในทฤษฎีองค์การ
และการบริหารองค์การ
4. บทบาทหลักของผู้บริหารคือการสื่อความเข้าใจและกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานใช้ความพยายา
ในการทํางานอย่างเต็มที่
5. ผลตอบแทนทางวัตถุไม่ใช่สิ่ง ๆ เดียวที่สําคัญยิ่งในการจูงใจหรือเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานต้องการ
ฯลฯ

29. Secondary Environment หรือ External Environment ที่ Barton และ Chappell แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ประกอบด้วย สังคม…ที่หายไปคือ
(1) เทคโนโลยีและเศรษฐกิจ
(2) การเมืองและเทคโนโลยี
(3) สื่อมวลชนและเทคโนโลยี
(4) เศรษฐกิจและการเมือง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 14 – 17 Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ
1. สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี
2. สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม

30. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา
(1) ระดับขององค์การ
(2) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(3) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
(4) ประเภทของกิจกรรม
(5) ความสามารถของผู้บังคับบัญชา
ตอบ 3 หน้า 181 – 182 ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา มีดังนี้
1. ระดับขององค์การ
2. ประเภทของกิจกรรม
3. ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
4. ลักษณะขององค์การ
5. ความสามารถของผู้บังคับบัญชา

31. การที่ผู้ปฏิบัติงานทํางานเพียงเท่าเกณฑ์ขั้นต่ําในการทํางาน ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์นั้น
Taylor เรียกพฤติกรรมนี้ว่า
(1) Labor Standard
(3) Human Standard
(2) Systematic Soldiering
(4) Natural Soldiering
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 41, (คําบรรยาย) พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงงานหรือหนีงานโดยอาศัยระบบ (Systematic Soldiering) ตามแนวคิดของ Frederick W. Taylor นั้น เป็นพฤติกรรมที่อาศัยระบบของงาน ในองค์การเป็นเครื่องมือเพื่อปิดบังไม่ให้ผู้บังคับบัญชาล่วงรู้ถึงปริมาณงานที่แท้จริงของตนโดยพยายามทําให้เห็นว่าตนเองมีงานล้นมืออยู่แล้ว หรือพยายามทํางานเพียงให้ได้ตามเกณฑ์ หรือมาตรฐานขั้นต่ำของงาน โดยไม่ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถ มากกว่าเกณฑ์ หรือพยายามทํางานเท่าที่ระเบียบกําหนด หรือทํางานให้น้อยที่สุดเท่าที่ไม่ผิด ระเบียบ ไม่ตกมาตรฐานขององค์การ เช่น การส่งใบลากิจในวันที่องค์การมีภารกิจมาก การใช้ สิทธิลาหยุดงานให้ครบวันลาตามสิทธิ เป็นต้น

32. กิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับการทําให้เกิด “การทํางานเป็นกิจวัตร”
(1) Staffing
(3) Gantt Chart
(2) Organizing
(4) Gang Plank
(5) Piece Rate System
ตอบ 3 หน้า 42, (คําบรรยาย) Henry L. Gantt เป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มการจัดการแบบ วิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ที่เสนอแนวคิดในการสร้างวินัยในการทํางานและ การทํางานเป็นกิจวัตร โดยการใช้ Gantt Chart เป็นแผนภูมิควบคุมเวลาในการทํางาน หรือ แผนกํากับหรือติดตามความก้าวหน้าของงาน รวมทั้งการกําหนดเวลาเข้าทํางาน เลิกงาน โดยต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป และจะเปลี่ยนแปลงตามอําเภอใจของผู้บริหารไม่ได้

33. การตรวจสอบผลกําไรเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน ถือเป็นการควบคุมในลักษณะใด
(1) Real Time Control
(2) Pre Control
(3) Before Control
(4) Post Control
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 266, (คําบรรยาย) การควบคุมทีหลัง (Post Control) เป็นการสร้างเป้าหมายไว้ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบเมื่อเสร็จสิ้นงวดการปฏิบัติงาน เช่น การประเมินผลลัพธ์ ในการดําเนินงาน การตรวจสอบผลกําไรเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน การประเมินผลสรุปของ โครงการ การตรวจงานหรือการประเมินผลการดําเนินงานต่าง ๆ เป็นต้น

34. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการรวมอํานาจ
(1) ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
(2) ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง
(3) ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครอง
(4) มีลักษณะของการประสานงานกันอย่างดี
(5) เกิดความรวดเร็วสะดวกในการบริหาร
ตอบ 2 หน้า 175 ประโยชน์ของการรวมอํานาจ มีดังนี้
1. ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร
2. ทําให้ทรัพยากรการบริหารรวมอยู่ในที่เดียวกัน
3. เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร รวมทั้งประหยัดเวลา
4. ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
5. มีลักษณะของการประสานงานกันเป็นอย่างดี ซึ่งทําให้องค์การบรรลุถึงเป้าหมายได้

35. Authority เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
(2) ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา
(3) ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
(4) Power to Command
(5) การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ
ตอบ 4 หน้า 146 อํานาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อํานาจในการสั่งการ (Power to Command) เพื่อให้บุคคลอื่นกระทําหรือไม่กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอํานาจจะเห็นสมควร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ อํานาจหน้าที่นี้จะเป็นอํานาจหน้าที่ของ
ผู้บังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตําแหน่งที่เป็นทางการ ทําให้ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการได้ แต่ทั้งนี้ จะเป็นผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อใช้ภายในขอบเขตของตําแหน่งหน้าที่ด้วย นอกจากนี้อํานาจหน้าที่ ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ (Responsibility) หรืออาจกล่าวได้ว่า อํานาจหน้าที่มีฐานะเป็นตัวกําหนดความรับผิดชอบ เช่น ผู้บริหารระดับสูงมีตําแหน่งสูงและ มีอํานาจหน้าที่มาก จึงต้องมีความรับผิดชอบมากไปด้วย เป็นต้น

36. จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์การพบว่า “การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทําให้ ชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวลดลง” ข้อความดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ใดสําหรับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(1) Problems
(2) Threats
(3) Strengths
(4) Opportunities
(5) Weaknesses
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

37. จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Responsibility
(2) Hierarchy
(3) Span of Control
(4) Specialization
(5) Unity of Command
ตอบ 3 หน้า 179 ช่วงของการบังคับบัญชา หรือช่วงของการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) ที่ผู้บังคับบัญชา (หัวหน้า) คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งช่วงการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะ แสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการกํากับดูแลหรือการบังคับบัญชา เพียงใด ทั้งนี้คือการพิจารณาว่าควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คน หรือมีหน่วยงานภายในความ รับผิดชอบที่หน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทําให้การกํากับดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้ โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

38. ข้อใดมีลักษณะเป็นนามธรรมมากที่สุด
(1) Policy
(2) Plan
(3) Project
(4) Program
(5) Procedure
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ระดับชั้นของแผน สามารถเรียงลําดับจากลักษณะที่เป็นนามธรรมมากที่สุด ไปหาลักษณะที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด ได้ดังนี้
1. นโยบาย (Policy)
2. แผน (Plan)
3. แผนงาน (Program)
4. โครงการ (Project)
5. มาตรการ (Procedure)

39. ข้อใดเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้
(1) ประเภทของกิจการ
(2) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(3) ระดับขององค์การ
(4) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
(5) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

40. ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Centralization
(2) Authority
(3) Complexity
(4) Organization Design
(5) Formalization
ตอบ 4 หน้า 122 – 123 การออกแบบองค์การ (Organization Design) คือ การมุ่งหรือพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อ การปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ

41. ข้อใดเป็นตัวอย่างของการควบคุมองค์การแบบ Direct Control
(1) การควบคุมล่วงหน้า
(2) การสั่งการจากผู้บังคับบัญชาไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา
(3) การควบคุมสภาพในการปฏิบัติงานจริง
(4) การตระหนักรู้ของผู้ใต้บังคับบัญชาในการทํางาน
(5) การจัดทําระบบงบประมาณ
ตอบ 2 หน้า 266 267 วิธีการควบคุมองค์การซึ่งแบ่งตามความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับ ผู้ใต้บังคับบัญชา มี 2 วิธี คือ
1. การควบคุมโดยตรง (Direct Control) คือ การควบคุมที่มีการสั่งการจากผู้บังคับบัญชา ไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ปฏิบัติงานโดยตรง
2. การควบคุมโดยทางอ้อม (Indirect Control) คือ ผู้บังคับบัญชามิได้สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ปฏิบัติงานโดยตรง

42. วิธีการจูงใจใดที่ถูกวิจารณ์ว่า “มีลักษณะเป็นอุดมคติมากไป”
(1) วิธีการแข่งขัน
(2) การใช้การต่อรองที่เด่นชัด
(3) วิธีการใช้ความดี
(4) วิธีการแบบเด็ดขาด
(5) การทําให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสําคัญของงาน
ตอบ 5หน้า 280 การทําให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสําคัญของงาน เป็นการสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิด แก่พนักงานโดยให้เขาเห็นความสําคัญของตัวงานที่เขาปฏิบัติอยู่ว่ามีค่ามีความสําคัญมาก เพียงไร ซึ่งจะส่งผลให้เขายินดีพอใจจะปฏิบัติงานสําคัญนั้นอย่างเต็มความสามารถ การสร้าง แรงจูงใจจากภายในนี้นับว่าทําให้เกิดการกระตือรือร้นในการทํางานได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่สามารถ นํามาใช้ได้ในทุกสถานการณ์ และอาจทําได้ยากกับงานบางประเภท จนนักวิชาการบางท่าน ได้วิจารณ์ว่า การคิดสร้างแรงจูงใจภายในมีลักษณะเป็นอุดมคติมากไป

43. เทคโนโลยีขององค์การ หมายถึง
(1) กฎระเบียบและข้อบังคับ
(2) สายการบังคับบัญชา
(3) ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่
(4) วัตถุประสงค์ขององค์การ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

44. วิธีการเปลี่ยนแปลง “ปัจจัยนําเข้า” ให้เป็น “ผลผลิต” หมายถึงข้อใด
(1) ทรัพยากรการบริหาร
(2) วิธีการทํางาน
(3) กฎระเบียบและข้อบังคับ
(4) วัตถุประสงค์ขององค์การ
(5) ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

45. จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์การพบว่า “องค์การมีบุคลากรที่มีความสามัคคีในการปฏิบัติงานข้อความดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ใด
(1) Problems
(2) Strengths
(3) Threats
(4) Weaknesses
(5) Opportunities
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

46. ในเรื่อง “เงื่อนไขที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ” นั้น สิ่งใดหมายถึง “ภาวะความเครียดซึ่งเป็นผลมาจาก
ความต้องการต่าง ๆ ของมนุษย์”
(1) ความต้องการ
(2) แรงขับ
(3) สิ่งล่อใจ
(4) การไม่มีงานทํา
(5) ความหิว
ตอบ 2 หน้า 271 เงื่อนไขที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ มี 3 ประการ คือ

1. ความต้องการ (Needs) เกิดจากความขาดแคลนในบางสิ่งบางอย่างของมนุษย์
2. แรงขับ (Drives) หมายถึง ภาวะความเครียดซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการต่าง ๆ ของมนุษย์
3. สิ่งล่อใจ (Incentives) หมายถึง สิ่งของหรือเงื่อนไขภายนอกที่กระตุ้นให้มนุษย์กระทําการ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าประสงค์

47. TOTE Unit คืออะไร
(1) การวางแผนองค์การ
(2) รูปแบบการแสดงพฤติกรรมการตัดสินใจของมนุษย์ในองค์การ
(3) รูปแบบการจัดองค์การแบบระบบราชการในอุดมคติ
(4) แนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในองค์การ
(5) รูปแบบที่ดีที่สุดของภาวะผู้นําในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ตอบ 2 หน้า 233 Miller, Galanter และ Pribram ได้สนับสนุนทฤษฎีการรับรู้ (Cognitive Theory) และได้เสนอรูปแบบของการแสดงพฤติกรรมในการตัดสินใจของมนุษย์ในองค์การที่เรียกกันว่า TOTE Unit (Test-Operate-Test-Exist) ว่าเป็นทางเลือกของการสะท้อนกลับธรรมดา (Reflex Arc)

48. ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Authority มากที่สุด
(1) Specialization
(2) Unity of Command
(3) Hierarchy
(4) Span of Control
(5) Responsibility
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 35. ประกอบ

49. การตัดสินใจในระดับใดที่เกี่ยวข้องกับ “Judgmentat” มากที่สุด
(1) Operational Level
(2) Coordinative Level
(3) Strategic Level
(4) Staff Level
(5) Coordinative Level และ Staff Level
ตอบ 3 หน้า 229, 236 การตัดสินใจในระดับการกําหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การ หรือระดับของการกําหนดกลยุทธ์ (Strategic Level) จะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการกําหนด ลักษณะของขอบเขตขององค์การกับสภาพแวดล้อมว่าจะยอมให้มีความสัมพันธ์กันในระดับใด มีการรับเอาอิทธิพลและทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมเข้ามาในองค์การมากน้อยเพียงใด จะเลือก รับเอาสิ่งใด และต้องการให้องค์การตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในลักษณะใด การตัดสินใจ ระดับนี้มักเป็นการตัดสินใจในระยะยาวและมีลักษณะที่ไม่แน่นอน จําเป็นต้องมีการพิจารณา อย่างรอบคอบ มีเหตุผล และต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทําอย่างมาก ดังนั้นการตัดสินใจ จึงไม่สามารถจัดทําไว้ล่วงหน้าได้ (Non-Programmable) ต้องใช้วิจารณญาณและความคิดเห็น ของผู้ทําการตัดสินใจ (Judgmental)

50. วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ ได้แก่
(1) Management Science
(2) Operation Research
(3) Action Theory
(4) Scientific Management
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ
1. วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่ วิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน
2. การวิจัยดําเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประยุกต์ เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ

51. การพยายามลดการใช้ทรัพยากรการบริหารให้น้อย เป็นหลักในเรื่องใด
(1) Efficiency
(2) Ethic
(3) Ecology
(4) Effectiveness
(5) Equity
ตอบ 1 หน้า 22 – 23, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จากการบริหารกับทรัพยากร (เช่น งบประมาณ ระยะเวลา) หรือความพยายามที่ใช้ในการบริหาร ส่วนประสิทธิผล (Effectiveness) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จาก การบริหารกับมาตรฐาน เป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่กําหนด หรือกับแผนงานหรือประมาณการ ที่ได้วางเอาไว้ ดังนั้นหากองค์การใดสามารถลดการใช้ทรัพยากรการบริหารให้น้อยลงได้ก็แสดงว่า องค์การนั้นมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากองค์การใดสามารถดําเนินงานให้บรรลุจุดประสงค์ที่กําหนดไว้ได้ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิผล

52. ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคําสั่งของตนได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Formal Authority
(2) Formal Position
(3) Acceptance Theory
(4) Competence Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 147 กลุ่มทฤษฎีว่าด้วย “อํานาจอย่างเป็นทางการ” (Formal Authority Theory) มีความเชื่อว่า การที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคําสั่งของตนได้เป็นเพราะ ผู้บังคับบัญชามีอํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ (Formal Authority หรือ Legal Authority) หรือเรียกว่า อํานาจที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องในลักษณะสถาบัน (Institutionalized Authority) ซึ่งเป็นอํานาจที่ผู้บังคับบัญชาได้รับมาควบคู่กับตําแหน่งหน้าที่การงานที่เป็นทางการ (Format Position) แต่อํานาจหน้าที่นี้ก็ยังมิใช่อํานาจที่จะใช้บังคับได้โดยเด็ดขาดอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ เพราะการใช้อํานาจยังขึ้นอยู่กับลักษณะของความถูกต้องของความเป็นมาของอํานาจนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการสามารถนําไปใช้ได้ในองค์การบริหารทุกประเภท เพราะเป็น หลักเกณฑ์ทางการบริหารโดยทั่ว ๆ ไป

53. ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยก ตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่ แต่ละสาขา เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Authority
(2) Complexity
(3) Formalization
(4) Organization Design
(5) Centralization
ตอบ 2 หน้า 121 ความซับซ้อนขององค์การ (Complexity) คือ ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การ จะมีการแบ่งแยกงาน (กิจกรรม) ซึ่งมีเป็นจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการ แบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญแต่ละด้านของบุคลากร และมีการแบ่งเป็นระดับ ต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งอาจมีการแบ่งไปยังพื้นที่อื่น ๆ แต่ละสาขาด้วย

54. สําหรับองค์การที่ขายสินค้าออนไลน์ ในการวิเคราะห์ SWOT Analysis นั้น การที่ “ลูกค้ามีความรู้และ ทักษะในการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น” ถือเป็นสิ่งใด
(1) Strengths
(2) Threats
(3) Problems
(4) Weaknesses
(5) Opportunities
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

55. “การหลีกเลี่ยงงานโดยอาศัยระบบ” เป็นข้อเสนอของใคร
(1) Gilbreths
(2) Cooke
(3) Gulick
(4) Taylor
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

56. หน่วยงานที่มิได้ดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุน
การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Staff Agency
(2) Auxiliary Agency
(3) Departmentation
(4) Line Agency
(5) Division of Work
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

57. ข้อใดเป็นปัจจัยสถานการณ์ที่ Fred E. Fiedler นํามาใช้ในการพิจารณาถึงความสอดคล้องกับพฤติกรรม
ของผู้นํา
(1) อํานาจในตําแหน่งของผู้นํา
(2) บุคลิกภาพของผู้นํา
(3) การตัดสินใจของผู้นํา
(4) ข้อมูลข่าวสารขององค์การ
(5) ความพร้อมของผู้ตาม
ตอบ 1 หน้า 295 Fred E. Fiedler เห็นว่า การเป็นผู้นําที่มีประสิทธิภาพต้องมีพฤติกรรมที่สอดคล้อง กับสถานการณ์ โดยสถานการณ์ที่เอื้อต่อภาวะผู้นําเป็นผลมาจากตัวแปร 3 ด้าน คือ
1. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นําและสมาชิก (Leader-Member Relationship)
2. โครงสร้างของงาน (Task Structure)
3. อํานาจในตําแหน่งของผู้นํา (Position Power)

58. แนวความคิดในการดําเนินชีวิตแบบใดที่เป็นผลให้เกิดการบริหารที่มีลักษณะของการกระจายอํานาจ
ในการจัดสรรทรัพยากรของชาติ
(1) เสรีนิยม
(2) สังคมนิยม
(3) ประจักษนิยม
(4) ประชานิยม
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 14 – 15) แนวความคิดในการดําเนินชีวิต มี 2 แบบ คือ
1. เสรีนิยม เป็นแนวคิดที่ยกย่องในสิทธิและเสรีภาพของบุคคล และเห็นว่ามนุษย์ทุกคน สามารถครอบครองถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและที่ดินได้ จึงยึดหลักการกระจายอํานาจ
ในการจัดสรรทรัพยากรของชาติ
2. สังคมนิยม เป็นแนวคิดที่ยกย่องในความเสมอภาคของปวงชน และเห็นว่ารัฐควรจะเป็นผู้จัดสรรทรัพย์สินและที่ดินเพื่อความเสมอภาคเท่าเทียมกัน จึงยึดหลักการรวมอํานาจในการจัดสรรทรัพยากรของชาติ

59. ทฤษฎีแรงจูงใจของนักวิชาการท่านใดจัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีของกระบวนการ (Process Theory)
(1) McClelland
(2) Vroom
(3) Maslow
(4) Herzberg
(5) McGregor
ตอบ 2 หน้า 272, (คําบรรยาย) ทฤษฎีหลักการจูงใจ (Theory of Motivation) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มทฤษฎีของกระบวนการ (Process Theory) จะพยายามอธิบายว่าพฤติกรรมของ มนุษย์จะถูกกระตุ้นได้อย่างไร จะถูกชี้นําไปยังทิศทางใด และจะทําให้หยุดลงได้อย่างไร ซึ่งนักวิชาการในกลุ่มนี้ ได้แก่ Victor H. Vroom, Stacy Adams เป็นต้น
2. กลุ่มทฤษฎีว่าด้วยเนื้อหา (Content Theory) จะเน้นถึงความต้องการภายใน โดยจะศึกษา ว่า “อะไร” เป็นตัวทําให้พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นในลักษณะนั้น ๆ ซึ่งนักวิชาการในกลุ่มนี้ได้แก่ Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Frederick Herzberg, Douglas McGregor David McClelland เป็นต้น

60. “เป็นทฤษฎีองค์การที่ให้ความสําคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่งๆ…..” เรียกว่าเป็นการศึกษาตามแนวใด
(1) Human Relation Theory
(2) Management Science
(3) Administrative Theorists
(4) Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 110 – 111, (คําบรรยาย) การศึกษาองค์การและการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory หรือ Situational Approach) เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธหลัก One Best Way โดยแนวคิดนี้มีแนวคิดพื้นฐานมาจากแนวคิดเชิงระบบ ซึ่งจะให้ความสําคัญต่อ อิทธิพลของสภาพแวดล้อม (เช่น ระบบเทคโนโลยี) และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมของ องค์การภายใต้เงื่อนไขของสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ นักวิชาการในกลุ่มนี้จะมองการบริหารว่า เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะ แตกต่างกันไปตามแนวคิดของนักทฤษฎีแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ไม่มีรูปแบบ ที่เหมาะสมสําหรับองค์การทุก ๆ ประเภท วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่แตกต่างกันจะทําให้ การจัดรูปโครงสร้างมีความแตกต่างกันด้วย

61. การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Departmentation
(2) Auxiliary Agency
(3) Staff Agency
(4) Division of Work
(5) Line Agency
ตอบ 1 หน้า 191 การจัดแผนกงาน (Departmentation) หมายถึง การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรม ต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เพื่อแบ่งแยกกิจกรรมอันมีอยู่ มากมายในองค์การ มอบหมายให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้แยกกันปฏิบัติตามความสามารถของตนตามหลักเกณฑ์ของความสามารถเฉพาะด้าน

62. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการตัดสินใจ
(1) การตัดสินใจในองค์การมีลักษณะเช่นเดียวกันกับการตัดสินใจของบุคคล
(2) องค์การจะต้องมีการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลาและตลอดไป
(3) การตัดสินใจมีบทบาทอยู่ในทุก ๆ ส่วนของกระบวนการบริหาร
(4) การตัดสินใจก็คือการบริหาร
(5) การตัดสินใจมีความหมายแตกต่างกับการวินิจฉัยสั่งการ
ตอบ 5 หน้า 228 การตัดสินใจ (Decision Making) มีความหมายเช่นเดียวกันกับการวินิจฉัยสั่งการ โดยหมายถึง การพิจารณาตกลงใจชี้ขาดจากทางเลือกที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางเลือกขึ้นไปในอันที่จะ ให้มีการกระทําในลักษณะเฉพาะใด ๆ หรือหมายถึง การตกลงใจที่จะยุติข้อขัดแย้ง ข้อถกเถียง โดยให้มีการกระทําไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการพิจารณาและตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว

63. ถ้าสมมุติฐานมีว่า “มนุษย์มีความดีมาโดยกําเนิด” วิธีการแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่องของผู้บริหาร ที่ยึดสมมุติฐานนี้ ได้แก่
(1) ใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด และใช้คู่มือกํากับการทํางาน
(2) ใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด
(3) ใช้คู่มือกํากับการทํางาน
(4) ใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 91) Knowles and Saxberg เสนอว่า ถ้าเรามีสมมุติฐาน ว่า “มนุษย์มีความดีมาโดยกําเนิด” เราสามารถทํานายได้เลยว่าพฤติกรรมที่บกพร่องที่เขาแสดงออกมาย่อมเป็นผลมาจากกระบวนการอบรมเลี้ยงดูและประสบการณ์ในอดีตของเขา เช่น ความต้องการภายในไม่ได้รับการบําบัด ขาดเสรีภาพ ขาดโอกาสในการเรียนรู้ เป็นต้น ซึ่งเราอาจแก้ไขโดยใช้การอบรมและพัฒนา ใช้กลุ่มช่วยแก้ปัญหา หรือใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วมก็ได้

64. ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y จะต้องใช้การบริหารแบบใด
(1) Management by Rules
(2) Management by Procedure
(3) Management by Objectives
(4) Management by Leadership
(5) Management by Book
ตอบ 3 หน้า 78. (คําบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y (มองคนในแง่ดี) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังนี้
1. การบริหารแบบประชาธิปไตย
2. การบริหารแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Participative Management)
3. การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objectives) หรือการบริหาร ที่เหมาะกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ (Adhocracy)
4. การทํางานเป็นทีม (Teamwork)
5. การบริหารแบบโครงการ (Project Management)
6. การบริหารแบบ Organic Organization
7. การกระจายอํานาจ (Decentralization)
8. การใช้ความรู้มากกว่าอํานาจหน้าที่ (Knowledge than Authority) ฯลฯ

65.Barton และ Chappelt เรียกสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจว่าเป็น
(1) Global Environment
(2) Primary Environment
(3) Inner Environment
(4) Political Environment
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

66. การตัดสินใจในระดับใดที่มีทั้งลักษณะ “ทันทีทันใด” และ “การพิจารณาในระยะยาว” ด้วย
(1) Operational Level
(2) Coordinative Level
(3) International Level
(4) Strategic Level
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 229 การตัดสินใจในระดับการประสานงาน (Coordinative Level) เป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับความพยายามในอันที่จะประสานความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจระดับสูงกับการดําเนินงานในระดับการปฏิบัติการ การตัดสินใจในระดับนี้มีทั้งในลักษณะ “ทันทีทันใด” และ “การพิจารณาในระยะยาว” ผู้บริหารในระดับนี้จะต้องทําหน้าที่ตัดสินใจเพื่อให้เกิดการประสานกันระหว่างการปฏิบัติงานในองค์การกับการนําเอาปัจจัยภายนอกองค์การ(สภาพแวดล้อม) เข้ามาในองค์การ

67. แนวคิดของบุคคลใดจัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีคุณลักษณะผู้นํา
(1) น.ส.ลัลนาเห็นว่าผู้นําควรบริหารงานแบบประชาธิปไตย
(2) นายศุภฤกษ์เห็นว่าผู้นําที่ดีควรบริหารงานโดยเน้นคนมากกว่าเน้นงาน
(3) นายปภาณษิณเห็นว่าผู้นําที่ดีต้องพิจารณาความพร้อมของผู้ตาม
(4) นายภควัฒน์เห็นว่าผู้นําที่ดีต้องมีแรงขับทางด้านความสําเร็จ
(5) น.ส.สุธิดาเห็นว่าผู้นําที่ดีย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ตอบ 4 หน้า 289, (คําบรรยาย) แนวคิดของนายภควัฒน์ที่เห็นว่าผู้นําที่ดีต้องมีแรงขับทางด้าน ความสําเร็จนั้น สอดคล้องกับแนวคิดของ Keith Davis นักวิชาการในกลุ่มทฤษฎีคุณลักษณะ ผู้นํา (Traits of Leaders) ซึ่งได้เสนอลักษณะสําคัญของภาวะผู้นําไว้ 4 ประการ คือ
1. Intelligence คือ มีความเฉลียวฉลาด
2. Social Maturity คือ มีวุฒิภาวะทางสังคม
3. Inner Motivation and Achievement Drives คือ มีการจูงใจภายในและมีแรงขับทางด้าน ความสําเร็จ
4. Human Relation Attitudes คือ มีทัศนคติทางด้านมนุษยสัมพันธ์

68. ข้อใดคือความหมายของ “การพิจารณาตกลงใจชี้ขาดจากทางเลือกที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางเลือกขึ้นไป
ในอันที่จะให้มีการกระทําในลักษณะเฉพาะใด ๆ”
(1) Planning
(2) Organizing
(3) Leadership
(4) Decision Making
(5) Evaluating
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

69. ตามทฤษฎีของ Herzberg ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่เป็น Hygiene Factors สูงที่สุด
(1) ความรับผิดชอบ
(2) ความก้าวหน้าในงาน
(3) นโยบายและการบริหาร
(4) ความสําเร็จในหน้าที่การงาน
(5) ลักษณะของงาน
ตอบ 3 หน้า 81 – 82, (คําบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจ (Hygiene Theory) ของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจให้กับ พนักงานได้ 2 ประการ คือ

1. ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทํางาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจ ให้กับพนักงาน ซึ่งเรียงลําดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ความสําเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับ นับถือจากผู้ร่วมงาน ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน

2. ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ำจุนให้คนยินยอมทํางาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะ สร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน ซึ่งเรียงลําดับ จากมากไปน้อย ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทํางาน

70. บุคคลในข้อใดพิจารณาลูกน้องแบบทฤษฎีวาย (Y) ของ Douglas McGregor
(1) นายชลันธรปรับเปลี่ยนการจ้างงานลูกจ้างเป็นแบบปีต่อปี
(2) นายอติวิชญ์จ่ายเงินเดือนให้ลูกจ้างสูง ๆ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการทํางาน
(3) นายภูวดิษฐ์เห็นว่าแรงจูงใจของมนุษย์มี 5 ขั้น
(4) น.ส.อัสมาเห็นว่าความรักในที่ทํางานระหว่างคนเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติ
(5) นางชีวาชนกเชื่อว่าธรรมชาติของลูกจ้างไม่ใช่คนขี้เกียจ
ตอบ 5 หน้า 77 Douglas McGregor ได้เสนอสมมุติฐานเกี่ยวกับลักษณะทางธรรมชาติของมนุษย์ ไว้ 2 รูปแบบ คือ
1. ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X เป็นมนุษย์ขี้เกียจ ไม่ชอบทํางาน และพยายามหลีกเลี่ยงงานเมื่อมีโอกาส
2. ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y เป็นมนุษย์ ที่ชอบทํางาน ไม่ขี้เกียจ ต้องการที่จะทํางานด้วยตนเอง และมีความรับผิดชอบต่องาน

71. “ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Technical
(2) Goals and Values
(3) Managerial
(4) Psychosocial
(5) Structural
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

72. บุคคลใดเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับ Operational Level มากที่สุด
(1) น.ส.รติมาเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง
(2) นายก๊อฟฟารี่เป็นนักการเมือง
(3) นายฐณเมศร์เป็นประธานบริษัท
(4) น.ส.ศาริตาเป็นเจ้าของโรงงานผลิตเบียร์
(5) นายณธรรศเป็นหัวหน้าคนงาน
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

73. อํานาจที่เกิดขึ้นจากความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชา เกี่ยวพันกับรูปแบบใดมากที่สุด
(1) Competence Theory
(2) Formal Authority Theory
(3) Acceptance Theory
(4) Acceptance Theory and Leadership
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 149 กลุ่มทฤษฎีว่าด้วย “ความสามารถ” (Competence Theory) มีความเชื่อว่า อํานาจหน้าที่นั้นจะเกิดขึ้นได้โดยความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชาในด้านความรู้และ ความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่จะทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือได้ ดังนั้น อํานาจหน้าที่นี้จึงเป็นอํานาจหน้าที่ที่ได้มาจากความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชา ไม่ได้มาจากตําแหน่งเป็นทางการแต่สามารถทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือจนเป็นเสมือนหนึ่งได้อํานาจมาโดยปริยาย

74.ตามทัศนะของ Taylor “การกําหนดคนให้เหมาะกับงาน” ให้พิจารณาที่
(1) ความต้องการ
(2) ทัศนคติ
(3) บุคลิกภาพ
(4) แรงจูงใจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เช่น Max Weber, Frederick W. Taylor, Henri Fayol ได้เสนอหลักการบริหารองค์การในการคัดเลือกคนเข้าสู่ตําแหน่งต่าง ๆ หรือ การกําหนดคนให้เหมาะสมกับงานตามหลัก “Put the Right Man on the Right Job ในระบบคุณธรรม (Merit System) โดยให้พิจารณาที่คุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถของ บุคคลเป็นหลัก

75. อํานาจหน้าที่ที่แท้จริงมาจากการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้บังคับบัญชา สามารถชักจูง แนะนําให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Format Authority
(2) Acceptance Theory
(4) Competence Theory
(3) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

76. การกําหนดขอบเขตการมอบหมายอํานาจหน้าที่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) ความเต็มใจในการปฏิบัติงาน
(2) การกระจายอํานาจ
(3) โครงสร้างองค์การ
(4) การเมืองในองค์การ
(5) ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
ตอบ 5 หน้า 157 – 159 การกําหนดขอบเขตของการมอบหมายอํานาจหน้าที่ พิจารณาจากปัจจัย ต่าง ๆ ดังนี้ 1. บรรยากาศขององค์การ
2. ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
3. ตัวผู้บริหารที่จะมอบหมายอํานาจหน้าที่
4. ความเต็มใจที่จะมอบหมายความไว้วางใจ ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
5. ความเต็มใจในการที่จะกําหนดให้มีการควบคุมอย่างกว้าง

77. ผู้เสนอ “POSDCORB” ได้แก่
(1) Taylor
(2) Weber
(3) Urwick
(4) Fayol
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 29, 55 – 56, 60 – 62 Luther Gutick ได้เขียนบทความ “Note on the Theory of Organization” โดยเขาได้เสนอหน้าที่หรือภารกิจหลักในการบริหารงาน (Administrative Functions) ของนักบริหารไว้ 7 ขั้นตอน ซึ่งเรียกว่า POSDCORB Model ประกอบด้วย
1. P = Planning (การวางแผน)
2. O = Organizing (การจัดรูปงาน)
3. S = Staffing (การบรรจุบุคคลเข้าทํางาน)
4. D = Directing (การสั่งการ)
5. Co = Coordinating (การประสานงาน)
6. R = Reporting (การจัดทํารายงาน)
7. B = Budgeting (การจัดทํางบประมาณ)

78. ทุกข้อเป็นการศึกษาองค์การในลักษณะของ “ระบบปิด” ยกเว้น
(1) สมดุลเป็นพลวัต
(2) Rational Model
(3) มีแผน
(4) ประสิทธิภาพสูงสุด
(5) One Best Way
ตอบ 1 หน้า 25 – 29, 37, (คําบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการ ตามแนวทางของ “ระบบปิด” ได้แก่
1. เสถียรภาพคงที่ของระบบหรือสมดุลแบบสถิต
2. การแบ่งงานโดยเน้นความชํานาญเฉพาะด้าน
3. การคํานึงถึงสายการบังคับบัญชา กฎ และระเบียบ
4. การมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด
5. การกําหนดมาตรฐานของงาน
6. การกําหนดแผนงานและเป้าหมายที่แน่นอน
7. ความเชื่อในหลัก One Best Way
8. เป็นรูปแบบที่อิงอยู่กับหลักของเหตุและผล (Rational Model)
9. การใช้หลักเหตุผล และวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ฯลฯ (ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ)

79. ในการสนทนากันทางโทรศัพท์ “กระบอกพูด” ถือเป็นสิ่งใดในกระบวนการสื่อความเข้าใจ
(1) Receiver
(2) Destination
(3) Transmitter
(4) Channel
(5) Information Source
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

80. การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บริหารมากกว่า 1 คน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Hierarchy
(2) Specialization
(3) Responsibility
(4) Unity of Command
(5) Span of Control
ตอบ 4 หน้า 186 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง การจัดการที่ไม่ให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารมากกว่า 1 คน

81. คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง “สร้างความเสมอภาคทางการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ ส่งเสริม การเรียนการสอนและบริการวิชาการสู่ความเป็นเลิศ” สิ่งนี้ถือเป็น
(1) ตัวชี้วัด
(2) พันธกิจ
(3) เป้าหมายปลายประสงค์
(4) วิสัยทัศน์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 220, (คําบรรยาย) วิสัยทัศน์ (Vision) คือ สิ่งที่องค์การต้องการจะเป็น เช่น วิสัยทัศน์ของ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ สร้างความเสมอภาคทางการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ ส่งเสริมการเรียนการสอนและบริการวิชาการสู่ความเป็นเลิศ

82. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการควบคุมองค์การ
(1) หมายถึงการตรวจสอบเปรียบเทียบผลงานกับแผนงาน หรือมาตรฐานที่ได้ตั้งเอาไว้
(2) เป็นวิธีการที่สําคัญในการที่จะได้มาซึ่งการประสานงานที่ดีภายในองค์การ
(3) หมายถึงการตรวจสอบผลการดําเนินงานว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด
(4) คือการสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นภายในองค์การ
(5) การปฏิบัติการตามแผนงานต้องเกิดขึ้นก่อนการควบคุมองค์การเสมอ
ตอบ 5 หน้า 266, (คําบรรยาย) การควบคุมองค์การไม่จําเป็นต้องเกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการตาม แผนงานเสมอไป การควบคุมองค์การนั้นอาจเกิดขึ้นก่อนการปฏิบัติการตามแผนงาน ซึ่งเรียกว่า การควบคุมล่วงหน้า (Pre Control) หรืออาจเกิดขึ้นขณะปฏิบัติการตามแผนงาน ซึ่งเรียกว่า การควบคุมในสภาพการปฏิบัติงานจริง (Real Time Control) หรือเกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการ ตามแผนงาน ซึ่งเรียกว่า การควบคุมทีหลัง (Post Control) ก็ได้

83. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการจัดองค์การที่ Edwin B. Flippo เสนอให้มีความสัมพันธ์มูลฐาน (1) ความรับผิดชอบ
(2) อํานาจหน้าที่
(3) ความพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ
(4) การเป็นศูนย์กลางอํานาจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 123 Edwin B. Flippo กล่าวว่า กระบวนการในการจัดองค์การนั้น จะประกอบด้วย ความสัมพันธ์ขั้นมูลฐาน 3 ประการ คือ ความรับผิดชอบ (Responsibility) อํานาจหน้าที่ (Authority) และความพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ (Accountability) ทั้งนี้เพราะว่าในทุกองค์การ ย่อมจะต้องประกอบด้วย คน (People) หน้าที่การงาน (Function) และปัจจัยทางกายภาพ ต่าง ๆ (Physical Factors) ขององค์การ

84. การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Organization Design
(2) Formalization
(3) Authority
(4) Centralization
(5) Complexity
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

85. การตัดสินใจในระดับใดที่อาจใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการควบคุมการดําเนินงานโดยจัดให้มี
การตัดสินใจไว้ล่วงหน้า
(1) Strategic Level
(2) Operational Level
(3) International Level
(4) Coordinative Level
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

86. ข้อใดเป็น Positive Feedback ขององค์การ
(1) ข้อร้องเรียนจากบุคลากรในองค์การ
(2) คําตําหนิ
(3) ปัญหาของการดําเนินการ
(4) ประสิทธิภาพที่ได้รับ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 261, (คําบรรยาย) Feedback ในการดําเนินงานขององค์การ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากการดําเนินงานขององค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. ข้อมูลข่าวสารที่แสดงถึงความพึงพอใจ (Positive Feedback) เช่น คําชมเชยหรือคํายกย่อง ประสิทธิภาพที่ได้รับ ความสําเร็จของงาน เป็นต้น

2. ข้อมูลข่าวสารที่แสดงถึงความไม่พึงพอใจ (Negative Feedback) เช่น คําตําหนิ บัตรสนเท่ห์ ความล้มเหลวของงาน ปัญหาของการดําเนินการ เป็นต้น

87. Organization Design เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ำ รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา
(2) การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ
(3) ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
(4) Power to Command
(5) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

88. “อํานาจที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องในลักษณะของสถาบัน” เกี่ยวพันกับรูปแบบใดมากที่สุด
(1) Formal Authority Theory
(2) Acceptance Theory and Leadership
(3) Acceptance Theory
(4) Competence Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

89.งานสารบรรณ เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) Division of Work
(2) Auxiliary Agency
(3) Staff Agency
(4) Departmentation
(5) Line Agency
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

90. ข้อใดเข้าคู่กันไม่ถูกต้อง
(1) กูลิค – หน้าที่ของผู้บริหาร
(2) เมโย – อิทธิพลของกลุ่ม
(3) เทย์เลอร์ – สิ่งจูงใจจากปัจจัยภายนอก
(4) มัสโล – ทฤษฎีความต้องการ
(5) ฟาโย – องค์การอรูปนัย
ตอบ 5 หน้า 25 – 28, 37 – 39, 42 – 43, 55 – 56, (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Management) เป็นกลุ่ม ที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบปิด” โดยได้ศึกษาทฤษฎีองค์การที่เป็น ทางการหรือทฤษฎีองค์การรูปนัย (Formal Organization Theory) เพื่อค้นหาหลักเกณฑ์ หรือวิธีการทํางานที่ดีที่สุด ซึ่งนักทฤษฎีกลุ่มนี้มีความเชื่อว่า มีวิธีที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงาน เพียงวิธีเดียว (One Best Way) ที่จะทําให้การบริหารเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นหน้าที่ ของนักบริหารที่จะต้องใช้หลักเหตุผลและระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการค้นหาหรือสร้างประสิทธิภาพสูงสุดให้กับงาน ตัวอย่างของนักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เช่น Frederick W. Taylor, Max Weber, Henri Fayol, Henry L. Gantt, Frank และ Lillian Gilbreths, Luther Gulick, Lyndall Urwick เป็นต้น

91. อํานาจหน้าที่ไม่ได้มาจากตําแหน่งเป็นทางการแต่สามารถทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือ จนเป็นเสมือนหนึ่งได้อํานาจมาโดยปริยาย เกี่ยวข้องกับทฤษฎีใด
(1) Format Position
(2) Competence Theory
(3) Formal Authority
(4) Acceptance Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

92. การจัดสายการบังคับบัญชาที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร
(1) ระดับชั้นมีจํานวนเท่าใดก็ได้แล้วแต่ความต้องการในการจัดโครงสร้าง
(2) ต้องแสดงให้เห็นว่าใครเป็นผู้มีอํานาจสั่งงานผ่านไปยังผู้ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
(3) การดําเนินการต่าง ๆ ต้องให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
(4) ต้องลดภาระของผู้บังคับบัญชาให้มากที่สุด
(5) สามารถจัดให้มีผู้สั่งงานหลายคนได้เพื่อการทํางานจะได้รวดเร็ว
ตอบ 2 หน้า 143 หลักเกณฑ์ในการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี มีดังนี้
1. จํานวนระดับชั้นของสายการบังคับบัญชาควรจัดให้มีพอสมควรไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
2. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายควรจะต้องชัดเจนว่าใครเป็นผู้ที่มีอํานาจในการสั่งงาน ผ่านไปยังผู้ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
3. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายจะต้องไม่สับสนก้าวก่ายหรือซ้อนกัน

93. นักคิดสมัยโบราณเชื่อว่าหากจะจูงใจมนุษย์ต้องศึกษาเกี่ยวกับสิ่งใด
(1) ความคาดหวัง
(2) ความพึงพอใจ
(3) ความรัก
(4) อารมณ์
(5) ความต้องการ
ตอบ 5 หน้า 271 นักคิดสมัยโบราณ เชื่อว่า หากจะจูงใจมนุษย์ต้องศึกษาเกี่ยวกับความต้องการ ของมนุษย์ เพื่อหาสิ่งล่อใจให้ตรงกับความต้องการของเขา

94.ตามทัศนะของ Max Weber “การกําหนดคนให้เหมาะกับงาน” ต้องให้ความสําคัญที่
(1) บุคลิกภาพ
(2) ความต้องการ
(3) ทัศนคติ
(4) แรงจูงใจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

95. ผู้นําคนใดเข้าข่ายเป็นผู้นําแบบ “Laissez-Faire Leadership Style” มากที่สุด
(1) นายเชนศร์ให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้ตาม
(2) นางชรัญญามอบหมายงานโดยพิจารณาจากความสามารถของลูกน้อง
(3) นายอนุกฤษฎ์บริหารงานโดยใช้ความคิดของตนเองเพียงลําพัง
(4) น.ส.สุนิสาเป็นผู้นําที่ให้ความสําคัญเฉพาะลูกน้องที่ทํางานเก่ง
(5) นายนิติรักษ์เป็นผู้นําที่ไม่สนใจงานชอบโยนงานให้ลูกน้อง
ตอบ 5 หน้า 289, (คําบรรยาย) ผู้นําแบบปล่อยเสรี (Laissez-Faire Leadership Style) คือ ผู้นําที่ปล่อยให้ลูกน้องปฏิบัติงานตามสบายด้วยวิถีทางของเขาเอง ผู้นําจะดูแลห่าง ๆ ไม่ค่อย มีบทบาทควบคุมชี้แนะตัดสินใจให้ ซึ่งผู้นําในลักษณะนี้บางทีอาจเรียกว่า ผู้นําแบบจอมปลอม (Pseudo-Leaders) ตัวอย่างของผู้นําแบบนี้ เช่น นายนิติรักษ์เป็นผู้นําที่ไม่สนใจงานชอบโยนงาน ให้ลูกน้อง เป็นต้น

96. “ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goats and Values
(2) Structural
(3) Managerial
(5) Psychosocial
(4) Technical
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

97. ข้อใดเป็นปัจจัยที่กําหนดขนาดของการกระจายอํานาจ
(1) ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
(2) ความรับผิดชอบ
(3) ความเป็นเอกภาพในการบริหาร
(4) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
(5) รูปแบบในการประสานงาน
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

98. แนวคิดที่ต้องการให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ และทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น…….แนวคิดดังกล่าวเรียกว่า
(1) Contingency Theory
(2) Adhocracies
(3) Action Theory
(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 112 – 113, (คําบรรยาย) ทฤษฎีการกระทํา (The Action Theory หรือ The Action Approach) เป็นแนวคิดที่เน้นการอธิบายเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามสภาพที่เป็นจริง หรือตามสภาวะทางการเมืองในองค์การ (Political Nature of Organization) โดยแนวคิดนี้ จะเน้นให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ ทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น และหามาตรการปรับปรุงแก้ไข

99. “……พยายามที่จะจํากัดขอบเขตของการศึกษาเพื่อให้อยู่ในขอบเขตที่จะสามารถใช้หลักเหตุผลและ
ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ…….” ที่กล่าวมาเป็นวิธีการของนักทฤษฎีกลุ่มใด
(1) Contingency Theory
(2) A System Approach
(3) Humanism
(4) Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 26 – 27, 33 – 34, 83 – 85 วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการของนักทฤษฎีที่ศึกษา องค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบปิด” ซึ่งประกอบด้วย

1. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Organization) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management), นักทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucratic Model) และนักทฤษฎีการบริหาร (Administrative Theorists)

2. นักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการบริหารในเชิงปริมาณ (Quantitative Science) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มวิทยาการบริหาร (Management Science) และนักทฤษฎี กลุ่มการวิจัยดําเนินงาน (Operation Research)

100. ข้อใดจัดเป็น Internal Information Base
(1) ระบบการเงินขององค์การ
(2) ความต้องการของลูกค้า
(3) นโยบายของรัฐบาล
(4) สภาพสังคม
(5) สภาพเศรษฐกิจ
ตอบ 1 หน้า 251 – 252 พื้นฐานและที่มาของข้อมูลข่าวสาร มีดังนี้
1. ข้อมูลข่าวสารจากภายในองค์การ (Internal Information Base) ได้มาจากหน่วยงานต่าง ๆ และปัจจัยภายในองค์การเอง เช่น ระบบการเจ้าหน้าที่ ระบบการขายสินค้าและบริการ ระบบของคําสั่งและการควบคุม ระบบการผลิต ระบบการควบคุมสินค้า ระบบการจัดซื้อ ระบบการเงิน เป็นต้น

2. ข้อมูลข่าวสารจากภายนอกองค์การ (External Information Base) ได้มาจากระบบ สภาพแวดล้อมขององค์การ ได้แก่ สภาพสังคม สภาพเศรษฐกิจ และสภาพการเมือง

POL2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.แนวความคิดในการดําเนินชีวิตแบบใดที่เป็นผลให้เกิดการบริหารที่มีลักษณะของการรวมอํานาจ
ในการจัดสรรทรัพยากรของชาติ
(1) เสรีนิยม
(2) สังคมนิยม
(3) ประชานิยม
(4) ประจักษนิยม
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 14 – 15) แนวความคิดในการดําเนินชีวิต มี 2 แบบ คือ

1. เสรีนิยม เป็นแนวคิดที่ยกย่องในสิทธิและเสรีภาพของบุคคล และเห็นว่ามนุษย์ทุกคน สามารถครอบครองถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและที่ดินได้ จึงยึดหลักการกระจายอํานาจในการจัดสรรทรัพยากรของชาติ

2. สังคมนิยม เป็นแนวคิดที่ยกย่องในความเสมอภาคของปวงชน และเห็นว่ารัฐควรจะเป็น ผู้จัดสรรทรัพย์สินและที่ดินเพื่อความเสมอภาคเท่าเทียมกัน จึงยึดหลักการรวมอํานาจในการจัดสรรทรัพยากรของชาติ

2.การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Authority
(2) Complexity
(3) Organization Design
(4) Formalization
(5) Centralization
ตอบ 5 หน้า 168 การรวมอํานาจ (Centralization) หมายถึง สภาวะขององค์การ ซึ่งในระดับสูง ๆ ของสายการบังคับบัญชาได้รวมอํานาจหน้าที่ไว้ ทั้งนี้เพื่อการตัดสินใจส่วนใหญ่จะได้กระทําจาก ระดับสูงนั้น ดังนั้นตามหลักการรวมอํานาจ การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในองค์การส่วนมากแล้ว จะมิได้มอบให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้ตัดสินใจให้เป็นส่วนใหญ่

3. ทุกข้อเป็นความแตกต่างระหว่างการบริหารรัฐกิจและการบริหารธุรกิจ ยกเว้น
(1) การเป็นเจ้าของกิจการ
(2) ทฤษฎีองค์การ
(3) วัตถุประสงค์
(4) ผลผลิต
(5) ขนาดของกิจการ
ตอบ 2(PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 12 – 14) ความแตกต่างระหว่างการบริหารรัฐกิจ (Public Administration) และการบริหารธุรกิจ (Business Administration) อาจแยกพิจารณาได้จาก 4 ด้านใหญ่ ๆ คือ
1. วัตถุประสงค์
2. การเป็นเจ้าของกิจการ
3. ขนาดของกิจการ
4. ผลผลิต

4.ข้อใดจัดเป็น Internal Information Base
(1) ความต้องการของลูกค้า
(2) ระบบการเจ้าหน้าที่ขององค์การ
(3) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19
(4) นโยบายของรัฐบาล
(5) สภาพสังคม
ตอบ 2 หน้า 251 – 252 พื้นฐานและที่มาของข้อมูลข่าวสาร มีดังนี้
1. ข้อมูลข่าวสารจากภายในองค์การ (Internal Information Base) ได้มาจากหน่วยงานต่าง ๆ และปัจจัยภายในองค์การเอง เช่น ระบบการเจ้าหน้าที่ขององค์การ ระบบการขายสินค้า และบริการ ระบบของคําสั่งและการควบคุม ระบบการผลิต ระบบการควบคุมสินค้า ระบบการจัดซื้อ ระบบการเงิน เป็นต้น

2. ข้อมูลข่าวสารจากภายนอกองค์การ (External Information Base) ได้มาจากระบบ สภาพแวดล้อมขององค์การ ได้แก่ สภาพสังคม สภาพเศรษฐกิจ และสภาพการเมือง

5. บุคคลในข้อใดมีพฤติกรรมผู้นําแบบ Laissez-Faire Leadership Style
(1) นายสรยุทธ์บริหารงานโดยเน้นความเป็นครอบครัว
(2) นายพุทธบริหารงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาล
(3) นางจิตที่บริหารงานโดยปล่อยให้ลูกน้องปฏิบัติงานด้วยวิถีทางของเขาเอง
(4) นายกรรชัยบริหารงานโดยเน้นการควบคุมดูแลลูกน้องอย่างใกล้ชิด
(5) นางหมวยบริหารงานแบบไม่เปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ตอบ 3 หน้า 289 ผู้นําแบบปล่อยเสรี (Laissez-Faire Leadership Style) คือ ผู้นําที่ปล่อยให้ลูกน้อง ปฏิบัติงานตามสบายด้วยวิถีทางของเขาเอง ผู้นําจะดูแลห่าง ๆ ไม่ค่อยมีบทบาทควบคุมชี้แนะ ตัดสินใจให้ ซึ่งผู้นําในลักษณะนี้บางทีอาจเรียกว่า ผู้นําแบบจอมปลอม (Pseudo-Leaders)

6.Hedonism อธิบายว่ามนุษย์ต้องการแสวงหาสิ่งใดเป็นสําคัญ
(1) ความรู้
(2) ความรัก
(3) ความสะดวกสบาย
(4) สังคมกลุ่มเพื่อน
(5) ความเป็นผู้นํา
ตอบ 3 หน้า 271 Hedonism อธิบายว่า “มนุษย์ต้องการจะแสวงหาความสะดวกสบายและ ความรื่นรมย์เป็นสําคัญ ขณะเดียวกันก็จะเลี่ยงความเจ็บปวด และความไม่สะดวกสบาย ทั้งหลาย”

7.ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยก ตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่น แต่ละสาขา เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Formalization
(2) Complexity
(3) Centralization
(4) Organization Design
(5) Authority
ตอบ 2 หน้า 121 ความซับซ้อนขององค์การ (Complexity) คือ ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การ จะมีการแบ่งแยกงาน (กิจกรรม) ซึ่งมีเป็นจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการ แบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญแต่ละด้านของบุคลากร และมีการแบ่งเป็นระดับ ต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งอาจมีการแบ่งไปยังพื้นที่อื่น ๆ แต่ละสาขาด้วย

8.สิ่งที่ดร.ชุบ กาญจนประกร เสนอเพิ่มจากที่กูลิคเสนอไว้ในเรื่องหน้าที่ของผู้บริหาร ได้แก่
(1) การควบคุมงาน
(2) การประเมินผลงาน
(3) การจัดทําแผนกลยุทธ์
(4) การประสานงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 60 – 62 ดร.ชุบ กาญจนประกร ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารเพิ่มเติมจากแนวคิด POSDCORB ของ Luther Gulick เป็น PA-POSDCORB โดย PA ที่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่ P = Policy (การกําหนดนโยบาย) และ A = Authority (การกําหนดอํานาจหน้าที่)

9. ข้อใดเป็นตําแหน่งผู้บริหารระดับกลาง
(1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
(2) ผู้จัดการทั่วไป
(3) รองประธานบริหาร
(4) ผู้อํานวยการกอง
(5) หัวหน้าทีม
ตอบ 4 หน้า 283 ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Managers) เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างผู้บริหารระดับสูง และผู้บริหารระดับต้น ทั้งนี้ผู้บริหารระดับกลางจะรับผิดชอบหน่วยงานหรือแผนกงานสําคัญ ในองค์การ ถ้าเป็นธุรกิจก็จะเป็นผู้จัดการฝ่ายขายหรือหัวหน้าแผนก ถ้าเป็นในองค์การราชการ ก็คือ อธิบดี ผู้อํานวยการกอง หัวหน้ากอง

10. ในการวิเคราะห์ SWOT Analysis นั้น การที่องค์การได้รับผลกระทบเชิงลบจากการแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส (COVID-19) ถือเป็นข้อใด
(1) Threats
(3) Strengths
(2) Opportunities
(4) Problems
(5) Weaknesses
ตอบ 1 หน้า 220, (คําบรรยาย) ในการวิเคราะห์ SWOT Analysis นั้น Threats คือ ภัยคุกคามที่ มีผลต่อการดําเนินงานของ องค์การ ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่ภายนอกองค์การ เช่น การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส (COVID-19) เป็นต้น

11. ข้อใดเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้
(1) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
(2) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(3) ลักษณะงานในองค์การ
(4) ระดับขององค์การ
(5) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
ตอบ 1. 3 หน้า 184 – 185 ปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้ มีดังนี้
1. การฝึกอบรมผู้ใต้บังคับบัญชา
2. เทคนิคในการมอบหมายอํานาจหน้าที่
3. การวางแผนการปฏิบัติงานไว้ให้พร้อม
4. ลักษณะของงานในองค์การ
5. เทคนิคในการควบคุม
6. เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
7. ความจําเป็นในการติดต่อส่วนตัว

12. ข้อใดเป็นองค์ประกอบที่สําคัญของการวางแผน
(1) ต้องเกี่ยวข้องกับอนาคต
(2) ต้องปลอดค่านิยม
(3) ต้องใช้เทคโนโลยี
(4) ต้องมาจากผู้บริหาร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 219 การวางแผนมีองค์ประกอบที่สําคัญ 3 ประการ คือ
1. ต้องเกี่ยวข้องกับอนาคต (Involve The Future)
2. ต้องเกี่ยวข้องกับการที่จะมีการดําเนินการเฉพาะใด ๆ (Involve The Action)
3. ต้องมีผลต่อบุคคลหรือต่อองค์การหรือต่อสังคม (Personal or Organizational Causation)

13. ข้อใดเป็นการกระตุ้นให้คนปฏิบัติงานโดยวิธีการใช้ความดี
(1) การให้ปัจจัยค้ําจุน
(2) การใช้การต่อรองที่เด่นชัด
(3) วิธีการแข่งขัน
(4) การทําให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสําคัญของงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1หน้า 277 – 278 การจูงใจหรือกระตุ้นให้คนปฏิบัติงานโดยวิธีการใช้ความดี แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
1. วิธีการใช้ความดีแบบพ่อกับลูก (Paternalism)
2. วิธีการใช้ความดีแบบ การให้ปัจจัยค้ําจุน (Hygienic Management)

14. ถ้าสมมุติฐานมีว่า “มนุษย์มีความดีมาโดยกําเนิด” วิธีการแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่องของผู้บริหาร ที่ยึดสมมุติฐานนี้ ได้แก่
(1) ใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด
(2) ใช้คู่มือกํากับการทํางาน
(3) ใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วม
(4) ใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด และใช้คู่มือกํากับการทํางาน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 91) Knowles and Saxberg เสนอว่า ถ้าเรามีสมมุติฐาน ว่า “มนุษย์มีความดีมาโดยกําเนิด” เราสามารถทํานายได้เลยว่าพฤติกรรมที่บกพร่องที่เขาแสดงออกมาย่อมเป็นผลมาจากกระบวนการอบรมเลี้ยงดูและประสบการณ์ในอดีตของเขา เช่น ความต้องการภายในไม่ได้รับการบําบัด ขาดเสรีภาพ ขาดโอกาสในการเรียนรู้ เป็นต้น ซึ่งเราอาจแก้ไขโดยใช้การอบรมและพัฒนา ใช้กลุ่มช่วยแก้ปัญหา หรือใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วมก็ได้

15. ในการบริหารงาน คําว่า Red Tape หมายถึง
(1) การที่งานไปค้างที่จุดใดจุดหนึ่ง
(2) ปัญหาด้านแรงจูงใจ
(3) เส้นทางลัดในโครงสร้าง
(4) ความล่าช้าในการสื่อสาร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 49 Red Tape หมายถึง ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความล่าช้าของการ ติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ในโครงสร้างขององค์การที่จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับบัญชา ที่ยาวและระบบความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ

16. “ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goals and Values
(2) Managerial
(3) Technical
(4) Structurat
(5) Psychosocial
ตอบ 4 หน้า 96 – 97, (คําบรรยาย) ระบบย่อยต่าง ๆ ภายในระบบขององค์การ มีดังนี้
1. ระบบเทคโนโลยีขององค์การ (Technical) หมายถึง ความรู้ที่จําเป็นในการปฏิบัติงาน รวมถึงเทคนิคและวิธีการทํางาน

2. ระบบสังคมจิตวิทยา (Psychosocial) เป็นระบบที่รวมความต้องการของบุคคลและ กลุ่มในองค์การ เช่น ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น

3. ระบบโครงสร้างขององค์การ (Structural) เป็นระบบที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ส่วนประกอบต่าง ๆ ขององค์การ เช่น กฎระเบียบและข้อบังคับ ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ แผนกงาน เป็นต้น

4. ระบบของศิลปะและทักษะในการบริหารองค์การ (Managerial) หมายถึง ความสามารถ ในการบริหารจัดการของผู้บริหาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ประสานงาน ฯลฯ

17. นักวิชาการเหล่านี้จัดเป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มใด Gantt, Gilbreths, Emerson
(1) Neo-Classical Organization Theory
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory
(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 42 – 43 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) มีดังนี้ 1. Frederick W. Taylor
2. Henry L. Gantt
3. Frank a Lillian Gilbreths
4. Harrington Emerson
5. Morris t. Cooke ฯลฯ

18. การตัดสินใจในระดับใดที่มีทั้งลักษณะทันทีทันใดและการพิจารณาในระยะยาว
(1) Strategic Level
(2) Operational Level
(3) International Level
(4) National Level
(5) Coordinative Level
ตอบ 5 หน้า 229 การตัดสินใจในระดับการประสานงาน (Coordinative Level) เป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับความพยายามในอันที่จะประสานความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจระดับสูงกับการดําเนินงานในระดับการปฏิบัติการ การตัดสินใจในระดับนี้มีทั้งในลักษณะ “ทันทีทันใด” และ “การพิจารณาในระยะยาว” ผู้บริหารในระดับนี้จะต้องทําหน้าที่ตัดสินใจเพื่อให้เกิดการประสานกันระหว่างการปฏิบัติงานในองค์การกับการนําเอาปัจจัยภายนอกองค์การ(สภาพแวดล้อม) เข้ามาในองค์การ

19. ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Authority มากที่สุด
(1) Specialization
(2) Unity of Command
(3) Responsibility
(4) Hierarchy
(5) Span of Control
ตอบ 3 หน้า 146 อํานาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อํานาจในการสั่งการ (Power to Command) เพื่อให้บุคคลอื่นกระทําหรือไม่กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอํานาจจะเห็นสมควร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ อํานาจหน้าที่นี้จะเป็นอํานาจหน้าที่ของ ผู้บังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตําแหน่งที่เป็นทางการ ทําให้ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการได้ แต่ทั้งนี้ จะเป็นผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อใช้ภายในขอบเขตของตําแหน่งหน้าที่ด้วย นอกจากนี้อํานาจหน้าที่ ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ (Responsibility) หรืออาจกล่าวได้ว่า อํานาจหน้าที่มีฐานะเป็นตัวกําหนดความรับผิดชอบ เช่น ผู้บริหารระดับสูงมีตําแหน่งสูงและ มีอํานาจหน้าที่มาก จึงต้องมีความรับผิดชอบมากไปด้วย เป็นต้น

20. การกําหนดลําดับขั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลําดับอํานาจหน้าที่ขั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ํากว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Specialization
(2) Unity of Command
(3) Responsibility
(4) Hierarchy
(5) Span of Control
ตอบ 4 หน้า 139 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง การกําหนดลําดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใด อยู่ในลําดับอํานาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ํากว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง

21. ปัจจัยสถานการณ์ใดที่ Fred E. Fiedtar นําไปใช้ในการพิจารณาความเหมาะสมของพฤติกรรมผู้นํา
(1) สภาพแวดล้อมขององค์การ
(2) อํานาจในตําแหน่งของผู้นํา
(3) ศักยภาพขององค์การ
(4) ความพร้อมของผู้ตาม
(5) เทคโนโลยีขององค์การ
ตอบ 2 หน้า 295 Fred E. Fiedler เห็นว่า การเป็นผู้นําที่มีประสิทธิภาพต้องมีพฤติกรรมที่สอดคล้อง กับสถานการณ์ โดยสถานการณ์ที่เอื้อต่อภาวะผู้นําเป็นผลมาจากตัวแปร 3 ด้าน คือ
1. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นําและสมาชิก (Leader-Member Relationship)
2. โครงสร้างของงาน (Task Structure)
3. อํานาจในตําแหน่งของผู้นํา (Position Power)

22. นักวิชาการคนใดเสนอ The Managerial Grid
(1) Rensis Likert
(2) Lippitt and White
(3) T. Carlyle
(4) Blake and Mouton
(5) Maslow
ตอบ 4 หน้า 292 Robert R. Blake และ Jane S. Mouton จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ได้พิจารณา
การศึกษาลักษณะผู้นําจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโอไฮโอและมิชิแกน และนํามาพัฒนา ประยุกต์เป็นตารางการบริหารที่เรียกว่า “The Managerial Grid” หรือบางครั้งเรียกว่า“ตารางผู้นํา” และนําไปจดทะเบียนการค้าด้วย

23. หน่วยงานที่มิได้ดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุน
การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Division of Work
(2) Staff Agency
(3) Auxiliary Agency
(4) Line Agency
(5) Departmentation
ตอบ 2 หน้า 197 – 201, (คําบรรยาย) ประเภทของหน่วยงานซึ่งแบ่งตามลักษณะของการปฏิบัติงาน ภายในองค์การ มี 3 ประเภท คือ

1. หน่วยงานหลัก (Line Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลัก ขององค์การ หรือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหม คณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หน่วยโยธาและ หน่วยสาธารณสุขของเทศบาล เป็นต้น

2. หน่วยงานที่ปรึกษาหรือหน่วยงานสนับสนุน (Staff Agency) หมายถึง หน่วยงานที่มิได้ ดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุน การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เช่น กองวิชาการ หน่วยนโยบายและแผน หน่วยการเงิน/ งบประมาณ หน่วยการเจ้าหน้าที่ หน่วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

3. หน่วยงานอนุกร (Auxiliary Agency) หรือหน่วยงานแม่บ้าน (House-Keeping Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ช่วยบริการหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจรรมลักษณะ ของแม่บ้าน เช่น หน่วยพัสดุ หน่วยอาคารสถานที่ หน่วยสารบรรณ หน่วยสวัสดิการ หน่วยงานด้านความสะอาดหรืองานเทศกิจ เป็นต้น

24. ข้อใดไม่ใช่กลไกที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมองค์การ
(1) Cybernetics
(2) กลไกการควบคุมโดยอัตโนมัติ
(3) State of Mind
(4) กลไกการตอบสนอง
(5) Homeostasis
ตอบ 3 หน้า 259 กลไกที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมองค์การ มีดังนี้
1. กลไกการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Homeostasis)
2. กลไกการควบคุมโดยพิจารณาจากทิศทางและความพอเพียงของข้อมูลข่าวสาร (Cybernetics)
3. กลไกการตอบสนองต่อข้อมูลข่าวสาร (Feedback)

25. ทฤษฎีภาวะผู้นํากลุ่มทฤษฎีใดที่เชื่อว่า Born-Leader
(1) ผู้นําเชิงปฏิรูป
(2) ผู้นําตามสถานการณ์
(3) พฤติกรรมผู้นํา
(4) คุณลักษณะผู้นํา
(5) ผู้นําการเปลี่ยนแปลง
ตอบ 4 หน้า 287 T. Carlyle เป็นนักทฤษฎีภาวะผู้นํา “กลุ่มทฤษฎีคุณลักษณะผู้นํา” (Traits of Leaders) ได้สร้างทฤษฎี Great Man Theory ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยมีความเชื่อว่า ผู้นําที่ประสบความสําเร็จยิ่งใหญ่ เป็นเพราะมีลักษณะและคุณสมบัติที่ผสมผสานกันกับคุณสมบัติ ส่วนตัว ซึ่งทําให้เขาเหมาะสมเป็นผู้นํา หรือเรียกว่า Born-Leader คือเกิดมาเป็นผู้นํา

26. ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y จะต้องใช้การบริหารแบบใด
(1) Management by Book
(2) Management by Objectives
(3) Management by Leadership
(4) Management by Rules
(5) Management by Procedure
ตอบ 2 หน้า 78, (คําบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y (มองคนในแง่ดี) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังนี้
1. การบริหารแบบประชาธิปไตย
2. การบริหารแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Participative Management)
3. การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objectives) หรือการบริหาร ที่เหมาะกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ (Adhocracy)
4. การทํางานเป็นทีม (Teamwork)
5. การบริหารแบบโครงการ (Project Management)
6. การบริหารแบบ Organic Organization
7. การกระจายอํานาจ (Decentralization)
8. การใช้ความรู้มากกว่าอํานาจหน้าที่ (Knowledge than Authority) ฯลฯ

27. การศึกษาภาวะผู้นําที่มหาวิทยาลัยไอโอวา ซึ่งควบคุมโดย Kert Lewin ในปี ค.ศ. 1940 จัดอยู่ใน
กลุ่มทฤษฎีภาวะผู้นํากลุ่มใด
(1) กลุ่มทฤษฎีคุณลักษณะผู้นํา
(2) กลุ่มทฤษฎีทางด้านสถานการณ์
(3) กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นํา
(4) กลุ่มทฤษฎีภาวะผู้นําแบบแลกเปลี่ยน
(5) กลุ่มทฤษฎีภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลง
ตอบ 3 หน้า 287, 289 การศึกษาค้นคว้าเรื่องภาวะผู้นําที่มหาวิทยาลัยไอโอวา (University of Iowa Studies) โดย Ronald Lippitt และ Ralph White ที่ใช้วิธีการแบบ Experimental Approach และควบคุมโดย Kert Lewin ในปี ค.ศ. 1940 เป็นการศึกษาของกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นํา (Leadership Behavior) ซึ่งผลจากการศึกษาได้ค้นพบความแตกต่างของผู้นํา 3 แบบ คือ
1. แบบเผด็จการ (Autocratic Leadership)
2. แบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership)
3. แบบปล่อยเสรี (Laisse -Faire Leadership)

28. วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ ได้แก่
(1) Scientific Management
(2) Management Science
(3) Operation Research
(4) Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ
1. วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่ วิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน
2. การวิจัยดําเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประยุกต์เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ

29. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสําคัญของภาวะผู้นําที่เสนอโดย Keith Davis
(1) Human Relation Attitudes
(2) Social Maturity
(3) Achievement Drives
(4) Intelligence
(5) Honestly
ตอบ 5 หน้า 289. Keith Davis เสนอว่า ลักษณะสําคัญของภาวะผู้นํามี 4 ประการ คือ
1. Intelligence คือ ฉลาด
2. Social Maturity คือ วุฒิภาวะด้านสังคม เช่น มั่นคงในอารมณ์
3. Inner Motivation and Achievement Drives คือ แรงจูงใจไปสู่ความสําเร็จ
4. Human Relation Attitudes คือ มีทัศนคติและคุณสมบัติด้านมนุษยสัมพันธ์

30. เทคโนโลยีขององค์การ หมายถึง
(1) วัตถุประสงค์ขององค์การ
(2) กฎระเบียบและข้อบังคับ
(3) วิธีการทํางาน
(4) ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

31. ข้อใดเป็นตัวอย่างของการควบคุมองค์การแบบ Direct Control
(1) การควบคุมล่วงหน้า
(2) การสั่งการจากผู้บังคับบัญชาไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา
(3) การจัดทําระบบงบประมาณ
(4) การควบคุมสภาพในการปฏิบัติงานจริง
(5) การตระหนักรู้ของผู้ใต้บังคับบัญชาในการทํางาน
ตอบ 2 หน้า 266 – 267 วิธีการควบคุมองค์การซึ่งแบ่งตามความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับ ผู้ใต้บังคับบัญชา มี 2 วิธี คือ
1. การควบคุมโดยตรง (Direct Control) คือ การควบคุมที่มีการสั่งการจากผู้บังคับบัญชา ไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ปฏิบัติงานโดยตรง
2. การควบคุมโดยทางอ้อม (Indirect Control) คือ ผู้บังคับบัญชามิได้สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ปฏิบัติงานโดยตรง

32.Barton และ Chappell เรียกสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจว่าเป็น
(1) Political Environment
(2) Primary Environment
(3) Inner Environment
(4) Global Environment
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 14 – 17 Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ
1. สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี
2. สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม

33. Complexity เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ
(2) ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
(3) ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา
(4) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
(5) Power to Command
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

34. “เป็นทฤษฎีองค์การที่ให้ความสําคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสม ขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ ๆ * เรียกว่าเป็นการศึกษาตามแนวใด
(1) Action Theory
(2) Administrative Theorists
(3) Human Relation Theory
(4) Management Science
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 110 – 111, (คําบรรยาย) การศึกษาองค์การและการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory หรือ Situational Approach) เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธหลัก One Best Way โดยแนวคิดนี้มีแนวคิดพื้นฐานมาจากแนวคิดเชิงระบบ ซึ่งจะให้ความสําคัญต่อ อิทธิพลของสภาพแวดล้อม (เช่น ระบบเทคโนโลยี) และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมของ องค์การภายใต้เงื่อนไขของสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ นักวิชาการในกลุ่มนี้จะมองการบริหารว่า เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะ แตกต่างกันไปตามแนวคิดของนักทฤษฎีแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ไม่มีรูปแบบ ที่เหมาะสมสําหรับองค์การทุก ๆ ประเภท วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่แตกต่างกันจะทําให้ การจัดรูปโครงสร้างมีความแตกต่างกันด้วย

35. ผู้เสนอ “POSDCORB” ได้แก่
(1) Fayol
(2) Taylor
(3) Urwick
(4) Weber
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 29, 55 – 56, 60 – 62 Luther Gulick ได้เขียนบทความ “Note on the Theory of Organization” โดยเขาได้เสนอหน้าที่หรือภารกิจหลักในการบริหารงาน (Administrative Functions) ของนักบริหารไว้ 7 ขั้นตอน ซึ่งเรียกว่า POSDCORB Model ประกอบด้วย
1. P = Planning (การวางแผน)
2. O = Organizing (การจัดรูปงาน)
3. S = Staffing (การบรรจุบุคคลเข้าทํางาน)
4. D = Directing (การสั่งการ)
5. Co = Coordinating (การประสานงาน)
6. R = Reporting (การจัดทํารายงาน)
7. B = Budgeting (การจัดทํางบประมาณ)

36. “….พยายามที่จะจํากัดขอบเขตของการศึกษาเพื่อให้อยู่ในขอบเขตที่จะสามารถใช้หลักเหตุผลและระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ……” ที่กล่าวมาเป็นวิธีการของนักทฤษฎีองค์การกลุ่มใด
(1) A System Approach
(2) Contingency Theory
(3) Quantitative Science
(4) Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 26 – 27, 33 – 34, 83 – 85 วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการของนักทฤษฎีที่ศึกษา องค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบปิด” ซึ่งประกอบด้วย

1. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Organization) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management), นักทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucratic Model) และนักทฤษฎีการบริหาร (Administrative Theorists)

2. นักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการบริหารในเชิงปริมาณ (Quantitative Science) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มวิทยาการบริหาร (Management Science) และนักทฤษฎี กลุ่มการวิจัยดําเนินงาน (Operation Research)

37. ใครพิจารณาว่าการเป็นผู้นําที่มีประสิทธิภาพต้องมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับสถานการณ์
(1) Herzberg
(2) Frederick W. Taylor
(3) Maslow
(4) Fred Fiedler
(5) Mintzberg
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

38. Formal Position เกี่ยวข้องกับทฤษฎีใด
(1) Formal Authority Theory
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1หน้า 147 กลุ่มทฤษฎีว่าด้วย “อํานาจอย่างเป็นทางการ” (Formal Authority Theory) มีความเชื่อว่า การที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคําสั่งของตนได้เป็นเพราะ ผู้บังคับบัญชามีอํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ (Formal Authority หรือ Legal Authority) หรือเรียกว่า อํานาจที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องในลักษณะสถาบัน (Institutionalized Authority) ซึ่งเป็นอํานาจที่ผู้บังคับบัญชาได้รับมาควบคู่กับตําแหน่งหน้าที่การงานที่เป็นทางการ (Format Position) แต่อํานาจหน้าทีนี้ก็ยังมิใช่อํานาจที่จะใช้บังคับได้โดยเด็ดขาดอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ เพราะการใช้อํานาจยังขึ้นอยู่กับลักษณะของความถูกต้องของความเป็นมาของอํานาจนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการสามารถนําไปใช้ได้ในองค์การบริหารทุกประเภท เพราะเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารโดยทั่ว ๆ ไป

39. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี
(1) ระดับชั้นไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป
(2) แต่ละสายต้องชัดเจน
(3) การดําเนินการต่าง ๆ ต้องให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 3 หน้า 143 หลักเกณฑ์ในการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี มีดังนี้
1. จํานวนระดับชั้นของสายการบังคับบัญชาควรจัดให้มีพอสมควรไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
2. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายควรจะต้องชัดเจนว่าใครเป็นผู้ที่มีอํานาจในการสั่งงาน ผ่านไปยังผู้ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
3. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายจะต้องไม่สับสนก้าวก่ายหรือซ้อนกัน

40.ตามทัศนะของ Max Weber “การกําหนดคนให้เหมาะกับงาน” ให้พิจารณาที่
(1) ความรู้ในงาน
(2) แรงจูงใจ
(3) บุคลิกภาพ
(4) ความต้องการ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เช่น Max Weber, Henri Fayol ได้เสนอ หลักการบริหารองค์การในการคัดเลือกคนเข้าสู่ตําแหน่งต่าง ๆ หรือการกําหนดคนให้เหมาะสม กับงานตามหลัก “Put the Right Man on the Right Job” ในระบบคุณธรรม (Merit System) โดยให้พิจารณาที่คุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นหลัก

41. ตามทัศนะของนักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก “การกําหนดคนให้เหมาะกับงาน” ต้องให้ความสําคัญที่
(1) ความรู้ในงาน
(2) แรงจูงใจ
(3) บุคลิกภาพ
(4) ความต้องการ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

42. ข้อใดเป็นแบบพฤติกรรมผู้นําที่แบ่งโดยมหาวิทยาลัยโอไฮโอ
(1) Laissez-Faire Leadership
(2) Autocratic Leadership
(3) Democratic Leadership
(4) Initiating Structure
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 289 — 290 การศึกษาค้นคว้าที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio State Studies) ได้แบ่ง พฤติกรรมของผู้นําออกเป็น 2 มิติ คือ

1. การมุ่งคน เป็นพฤติกรรมของผู้นําที่มุ่งสร้างความไว้วางใจร่วมกัน การติดต่อสื่อสารแบบ สองทาง เคารพต่อความคิดเห็นของผู้อื่น ให้ความสําคัญกับความรู้สึกผู้อื่น

2. การมุ่งงาน เป็นพฤติกรรมของผู้นําที่มุ่งทํางานในความรับผิดชอบให้ลุล่วงไป มีการส่งงาน วางแผน กําหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงานอย่างเป็นทางการ สนใจเรื่องรูปแบบในการ ทํางาน วิธีการทํางาน ตารางการทํางานเท่านั้น

43.ความสามารถของผู้ควบคุมงาน” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Psychosocial
(2) Managerial
(3) Technical
(4) Goals and Values
(5) Structural
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

44. การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Authority
(2) Formalization
(3) Complexity
(4) Centralization
(5) Organization Design
ตอบ 2 หน้า 122 ความเป็นทางการขององค์การ (Formalization) คือ การที่องค์การได้กําหนด กฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐานอันเป็น พื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ

45.Chester I. Barnard เกี่ยวข้องกับทฤษฎีใดมากที่สุด
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 148 ทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) อธิบายว่า อํานาจหน้าที่ที่แท้จริง มาจากการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนําให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ โดยนักทฤษฎีที่กล่าวถึงอํานาจ หน้าที่ในลักษณะนี้ ได้แก่ (Chester I. Barnard และ Herbert A. Simon

46.การพยายามลดการใช้ทรัพยากรการบริหารให้น้อย เป็นหลักในเรื่องใด
(1) Ethic
(2) Ecology
(3) Effectiveness
(4) Efficiency
(5) Equity
ตอบ 4หน้า 22 – 23, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จากการบริหารกับทรัพยากร (เช่น งบประมาณ ระยะเวลา) หรือความพยายามที่ใช้ในการบริหาร ส่วนประสิทธิผล (Effectiveness) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จาก การบริหารกับมาตรฐาน เป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่กําหนด หรือกับแผนงานหรือประมาณการ ที่ได้วางเอาไว้ ดังนั้นหากองค์การใดสามารถลดการใช้ทรัพยากรการบริหารให้น้อยลงได้ก็แสดงว่า องค์การนั้นมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากองค์การใดสามารถดําเนินงานให้บรรลุจุดประสงค์ที่กําหนดไว้ได้ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิผล

47. นักจิตวิทยาอธิบายพฤติกรรมการตัดสินใจโดยพิจารณาจากระบบของความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งใด
(1) Learning and Response
(2) Perception and Learning
(3) Response and Learning
(4) Stimulus and Response
(5) Stimulus and Learning
ตอบ 4 หน้า 232 นักจิตวิทยาได้อธิบายพฤติกรรมของการตัดสินใจโดยพิจารณาจากระบบของ ความสัมพันธ์ระหว่างการกระตุ้นและการตอบสนอง (Stimulus and Response) ไว้ว่า พฤติกรรมในการตัดสินใจเป็นผลมาจากการเรียนรู้ในเงื่อนไขใหม่ ๆ และความต้องการที่จะ ตอบสนองต่อเงื่อนไขใหม่ ๆ นั้นตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล เราอาจเรียกลักษณะ การกระตุ้นและการตอบสนองได้ว่าเป็นลักษณะของ Reflex Arc หรือการสะท้อนกลับ

48. ข้อใดเป็นปัจจัยที่กําหนดขนาดของการกระจายอํานาจ
(1) ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
(2) ขนาดขององค์การ
(3) ความเป็นเอกภาพในการบริหาร
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4หน้า 170 — 174, (คําบรรยาย) ปัจจัยที่มีผลต่อการกําหนดขนาดของการกระจายอํานาจ และการรวมอํานาจในองค์การ มีดังนี้
1. ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
2. ความต้องการเป็นแบบเดียวกันทางด้านนโยบาย
3. ขนาดขององค์การ
4. ประวัติความเป็นมาของกิจการ
5. ปรัชญาของการบริหาร
6. ความต้องการความเป็นอิสระในการดําเนินงาน
7. จํานวนของผู้บริหารที่มีอยู่ในองค์การ
8. เทคนิคในการควบคุม
9. การกระจายของการปฏิบัติงานที่มีการแบ่งแยกงานไปตามสถานการณ์ที่ต่างออกไป
10. การเปลี่ยนแปลงขององค์การ
11. อิทธิพลของสภาพแวดล้อมองค์การ

49. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่กําหนดขนาดของการกระจายอํานาจ
(1) ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
(2) ขนาดขององค์การ
(3) ความเป็นเอกภาพในการบริหาร
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

50. อํานาจหน้าที่ไม่ได้มาจากตําแหน่งเป็นทางการแต่สามารถทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือ จนเป็นเสมือนหนึ่งได้อํานาจมาโดยปริยาย เกี่ยวข้องกับทฤษฎีใด
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 149 กลุ่มทฤษฎีว่าด้วย “ความสามารถ” (Competence Theory) มีความเชื่อว่า อํานาจหน้าที่นั้นจะเกิดขึ้นได้โดยความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชาในด้านความรู้และ ความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่จะทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือได้ ดังนั้น อํานาจหน้าที่นี้จึงเป็นอํานาจหน้าที่ที่ได้มาจากความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชา ไม่ได้มาจากตําแหน่งเป็นทางการแต่สามารถทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือจนเป็นเสมือนหนึ่งได้อํานาจมาโดยปริยาย

51. แนวคิดใดที่เชื่อว่า “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่นําไปสู่เป้าหมาย”
(1) Scientific Management
(2) Contingency Theory
(3) Industrial Humanism
(4) Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 112 – 113. Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอํานาจ ที่ต่างเข้ามาทํางานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอํานาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การ เป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะนําไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการ และความสนใจของผู้มีอํานาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสําคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ

52. อํานาจหน้าที่ที่แท้จริงมาจากการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้บังคับบัญชา สามารถชักจูง แนะนําให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

53. ข้อใดเข้าคู่กันไม่ถูกต้อง
(1) กิลเบิร์ต – จิตวิทยาในองค์การ
(2) เทย์เลอร์ – สิ่งจูงใจจากปัจจัยภายนอก
(3) กูลิค – หน้าที่ของผู้บริหาร
(4) ฟาโย – องค์การที่เป็นทางการ
(5) มัสโล – ทฤษฎีความต้องการ
ตอบ 1 หน้า 42, (คําบรรยาย) Frank และ Lillian Gilbreths เป็นนักทฤษฎีองค์การที่ไม่ได้ ให้ความสําคัญกับจิตวิทยาในองค์การเช่นเดียวกับนักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิกคนอื่น ๆ โดยผลงานที่สําคัญของ Gilbreths คือ การศึกษาเรื่องการวิเคราะห์หามาตรฐานของงาน โดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการเคลื่อนไหวในการปฏิบัติงาน (Time and Motion Study) เพื่อนําไปใช้ในการจัดกระบวนการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

54. ผู้บริหารระดับใดต้องใช้ทักษะด้านเทคนิคมากที่สุด
(1) ผู้บริหารระดับต้น
(2) ผู้บริหารระดับอธิบดี
(3) ผู้บริหารระดับสูง
(4) ผู้บริหารระดับกลาง
(5) ผู้บริหารระดับผู้จัดการฝ่าย
ตอบ 1 หน้า 284 – 285 ทักษะของผู้บริหารมี 3 ประการ คือ ทักษะทางด้านความคิด ทักษะในการ ทํางานร่วมกับมนุษย์ และทักษะทางด้านเทคนิค โดยผู้บริหารแต่ละระดับจะต้องมีทักษะหรือใช้ทักษะดังกล่าวแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของหน้าที่และบทบาทของผู้บริหารแต่ละคน เช่น ผู้บริหารระดับสูงจะต้องใช้ทักษะทางด้านความคิดมากที่สุด ผู้บริหารระดับต้นจะต้องใช้ ทักษะด้านเทคนิคมากที่สุด เป็นต้น

55. ทฤษฎีแรงจูงใจของนักวิชาการท่านใดจัดอยู่ในกลุ่ม Process Theory
(1) Clayton Alderfer
(2) Douglas McGregor
(3) Abraham Maslow
(4) Stacy Adams
(5) Frederick Herzberg
ตอบ 4 หน้า 272, (คําบรรยาย) ทฤษฎีหลักการจูงใจ (Theory of Motivation) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มทฤษฎีของกระบวนการ (Process Theory) จะพยายามอธิบายว่าพฤติกรรมของ มนุษย์จะถูกกระตุ้นได้อย่างไร จะถูกชี้นําไปยังทิศทางใด และจะทําให้หยุดลงได้อย่างไร ซึ่งนักวิชาการในกลุ่มนี้ ได้แก่ Victor H. Vroom, Stacy Adams เป็นต้น

2. กลุ่มทฤษฎีว่าด้วยเนื้อหา (Content Theory) จะเน้นถึงความต้องการภายใน โดยจะศึกษาว่า “อะไร” เป็นตัวทําให้พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นในลักษณะนั้นๆ ซึ่งนักวิชาการในกลุ่มนี้ ได้แก่ Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Frederick Herzberg, Douglas McGregor luйu

56. หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Division of Work
(2) Staff Agency
(3) Auxiliary Agency
(4) Line Agency
(5) Departmentation
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

57. การตัดสินใจในระดับใดที่มักไม่สามารถจัดทําไว้ล่วงหน้าได้
(1) ระดับของผู้บริหารระดับกลาง
(2) ระดับของฝ่ายสนับสนุน
(3) ระดับของการกําหนดกลยุทธ์
(4) ระดับของการปฏิบัติการ
(5) ระดับของการปฏิบัติการและระดับของฝ่ายสนับสนุน
ตอบ 3 หน้า 229, 236 การตัดสินใจในระดับการกําหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การ หรือระดับ ของการกําหนดกลยุทธ์ (Strategic Level) จะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการกําหนดลักษณะของ ขอบเขตขององค์การกับสภาพแวดล้อมว่าจะยอมให้มีความสัมพันธ์กันในระดับใด มีการรับเอา อิทธิพลและทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมเข้ามาในองค์การมากน้อยเพียงใด จะเลือกรับเอาสิ่งใด และต้องการให้องค์การตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในลักษณะใด การตัดสินใจระดับนี้มักเป็น การตัดสินใจในระยะยาวและมีลักษณะที่ไม่แน่นอน จําเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ มีเหตุผล และต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทําอย่างมาก ดังนั้นการตัดสินใจจึงไม่สามารถ จัดทําไว้ล่วงหน้าได้ (Non-Programmable)

58. Secondary Environment หรือ External Environment ที่ Barton และ Chappell แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ประกอบด้วย สังคม……หายไปคือ
(1) เทคโนโลยีและการศึกษา
(2) เศรษฐกิจและการเมือง
(3) การเมืองและเทคโนโลยี
(4) สื่อมวลชนและเทคโนโลยี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

59. แผนปรับปรุงระบบค่าตอบแทนถือเป็นแผนลักษณะใด
(1) Master Plan
(2) Strategic Plan
(3) Program Structure
(4) Standing Plan
(5) Single-Use Plan
ตอบ 5 หน้า 220 Single-Use Plan เป็นแผนที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะขององค์การ เมื่อบรรลุ เป้าหมายก็เลิกใช้ เช่น แผนการรื้อปรับระบบขององค์การ แผนปรับปรุงสํานักงาน แผนปรับปรุง ระบบค่าตอบแทนเป็นต้น

60. สิ่งใดหมายถึงกิจที่องค์การจะต้องกระทํา
(1) Organization
(2) Goals
(3) Vision
(4) Mission
(5) Program Structure
ตอบ 4 หน้า 220 วิสัยทัศน์ (Vision) หมายถึง สิ่งที่องค์การต้องการจะเป็น เป็นการให้ภาพของ องค์การในอนาคต ส่วนพันธกิจ (Mission) หมายถึง กิจที่องค์การจะต้องกระทํา

61. นักทฤษฎีการรับรู้ (Cognitive Theorists) อธิบายถึง Image ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรระหว่าง“การกระตุ้น” กับ “การตอบสนอง
(1) เป็นภาพอนาคต
(2) เป็นสิ่งท้าทาย
(3) เป็นจุดหมายปลายทาง
(4) เป็นจุดเริ่มต้น
(5) เป็นตัวกลาง
ตอบ 5 หน้า 233 นักทฤษฎีการรับรู้ (Cognitive Theorists) อธิบายว่า Image หรือมโนภาพหรือ จินตนาการ ซึ่งเกิดจากผลรวมของประสบการณ์ที่ผ่านมา เป็นตัวกลางระหว่าง “การกระตุ้น”กับ “การตอบสนอง” และตัวกลางดังกล่าวนี้ก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าการสะท้อนกลับตามลักษณะ Reflex Arc

62. ตัวอย่างของระบบข้อมูล “งานหลัก” ในองค์การต่าง ๆ ได้แก่
(1) ข้อมูลบุคลากร
(2) ข้อมูลทรัพย์สิน
(3) ข้อมูลการให้บริการ
(4) ข้อมูลบุคลากร และข้อมูลทรัพย์สิน
(5) ข้อมูลทรัพย์สิน และข้อมูลการให้บริการ
ตอบ 5(คําบรรยาย) ระบบข้อมูลงานหลัก เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์หรือ ภารกิจหลักขององค์การ เช่น ข้อมูลทรัพย์สิน ข้อมูลการให้บริการ ข้อมูลของลูกค้า ข้อมูลของผลการดําเนินงาน เป็นต้น

63. “ความต้องการที่สามารถบรรลุได้ด้วยเวลาอันสั้น และความต้องการในแต่ละด้านต้องเป็นอิสระต่อกัน ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงซึ่งกันและกัน” ที่กล่าวมาเป็นลักษณะความต้องการแบบใดของ Maslow
(1) Social Needs
(2) Ego Needs
(3) Safety Needs
(4) Physiological Needs
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4หน้า 75 ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) ตามแนวคิดของ Abraham Maslow เป็นความต้องการขั้นต่ําสุดของมนุษย์ ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานในการดําเนินชีวิต ของมนุษย์ที่สามารถบรรลุได้ด้วยเวลาอันสั้น และความต้องการในแต่ละด้านต้องเป็นอิสระ ต่อกัน ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังถือเป็นความต้องการที่ขาดไม่ได้ ตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ เช่น ความต้องการที่จะได้รับอาหาร การพักผ่อน อากาศ การออกกําลังกาย เป็นต้น

64. “ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Technical
(2) Goals and Values
(3) Psychosocial
(4) Structural
(5) Managerial
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

65. “Activity, Interaction และ Sentimient” ทั้งสามประการข้างต้นเป็นหลักที่ Homans เสนอให้ใช้ในการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องใด
(1) พฤติกรรมขององค์การที่มีผลต่อประสิทธิภาพ
(2) การควบคุมองค์การ
(3) การวางแผนองค์การ
(4) พฤติกรรมของปัจเจกบุคคลในกลุ่มสังคม
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 79 – 80 Homans เสนอว่า การศึกษาพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลในกลุ่มสังคม (Social Groups) จะต้องพิจารณาคุณลักษณะของปัจเจกบุคคลในการดําเนินชีวิต 3 ประการด้วยกัน คือ
1. การกระทําของเขาในสังคม (Activity)
2. ความสัมพันธ์อันเกิดจากการกระทําของเขา (Interaction)
3. ความคิดเห็นส่วนตัวหรือสภาพทางอารมณ์และจิตใจของตัวเอง (Sentiment)

66.Herbert Simon เห็นว่า “การตัดสินใจมีความหมายเช่นเดียวกันกับ…”
(1) การวินิจฉัยสั่งการ
(2) จินตนาการ
(3) จิตสํานึก
(4) ความสําเร็จ
(5) การบริหาร
ตอบ 5 หน้า 231 Herbert Simon กล่าวว่า “การตัดสินใจมีความหมายเช่นเดียวกันกับการบริหาร ถ้าพฤติกรรมทั้งหลายในองค์การเป็นผลเนื่องมาจากการตัดสินใจ และถ้าการบริหารเป็นพฤติกรรมองค์การแบบหนึ่ง เราก็อาจกล่าวได้ว่าการบริหารเป็นการตัดสินใจนั่นเอง”

67. ใครที่เชื่อว่า อํานาจหน้าที่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง
(1) Fayol
(2) Weber
(3) Barnard
(4) ทั้ง Fayol และ Weber
(5) ทั้ง Fayol, Weber และ Barnard
ตอบ 4 หน้า 37 – 39, 44 – 45, 57 – 60, (คําบรรยาย) นักวิชาการในกลุ่มคลาสสิก เช่น Frederick W. Taylor, Henri Fayol และ Max Weber มีความเชื่อที่คล้ายคลึงกันอยู่หลายประการ เช่น มีวิธีที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงานเพียงวิธีเดียว (One Best Way) ที่จะทําให้การบริหาร เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อํานาจหน้าที่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง ประสิทธิภาพสูงสุดในการทํางานเกิดจากการแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน เป็นต้น

68. ข้อใดไม่ใช่ระดับของบทบาทการตัดสินใจในองค์การ
(1) ระดับชาติ
(2) ระดับการกําหนดนโยบาย
(3) ระดับการประสานงาน
(4) ระดับการปฏิบัติการ
(5) ระดับการกําหนดเป้าหมาย
ตอบ 1หน้า 229, 232 การตัดสินใจในองค์การ มี 3 ระดับ คือ
1. ระดับการปฏิบัติการ หรือการบริหารระดับต้น มักใช้การตัดสินใจแบบไร้สํานึกหรือ ไม่ต้องใช้ความคิดตรึกตรอง (Unconscious Decision)
2. ระดับการกําหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การ หรือการบริหารระดับสูง มักใช้ การตัดสินใจแบบใช้สํานึกหรือใช้ความคิดตรึกตรอง (Conscious Decision)
3. ระดับการประสานงาน หรือการบริหารระดับกลาง มักใช้การตัดสินใจทั้งแบบใช้สํานึก และแบบไร้สํานึกผสมผสานกัน

69. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบที่สําคัญในการควบคุมองค์การ
(1) การแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ
(2) การกําหนดเป้าหมาย
(3) การกําหนดวิธีการวัดมาตรฐานในการดําเนินงาน
(4) การเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานที่ตั้งไว้
(5) การปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
ตอบ 1 หน้า 262 การควบคุมองค์การจะต้องมีองค์ประกอบในการควบคุมที่สําคัญ 4 ขั้นตอน คือ
1. การกําหนดเป้าหมาย รายละเอียด และมาตรฐานของการดําเนินงาน
2. การกําหนดวิธีการวัดมาตรฐานในการดําเนินงาน รวมทั้งวิธีการที่จะวัดความสําเร็จของงาน
3. การพิจารณาเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานที่ได้ตั้งเอาไว้
4. การดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้

70. หน่วยงานที่ช่วยบริการแก่หน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้าน
เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Division of Work
(2) Line Agency
(3) Auxiliary Agency
(4) Staff Agency
(5) Departmentation
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

71. Authority เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ
(2) ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
(3) ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา
(4) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
(5) Power to Command
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

72. การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน
เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Auxiliary Agency
(2) Staff Agency
(3) Division of Work
(4) Line Agency
(5) Departmentation
ตอบ 5 หน้า 191 การจัดแผนกงาน (Departmentation) หมายถึง การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรม ต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เพื่อแบ่งแยกกิจกรรมอันมีอยู่ มากมายในองค์การ มอบหมายให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้แยกกันปฏิบัติตามความสามารถของตนตามหลักเกณฑ์ของความสามารถเฉพาะด้าน

73. Centralization เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ
(2) ความพยายามในการจัดโครงสร้าง และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
(3) ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา
(4) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
(5) Power to Command
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

74. การตัดสินใจที่ต้องใช้ความคิดตรึกตรอง ใช้สํานึก (Conscious Decision) ได้แก่การตัดสินใจในระดับใด
(1) ระดับปฏิบัติการ
(2) ระดับการกําหนดนโยบาย
(3) ระดับปฏิบัติการ และระดับปฏิบัติงาน
(4) ระดับการประสานงาน
(5) ระดับปฏิบัติงาน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 68. ประกอบ

75. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการกําหนดขอบเขตการมอบหมายอํานาจหน้าที่
(1) บรรยากาศองค์การ
(2) การเมืองในองค์การ
(3) ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
(4) ตัวผู้บริหาร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 157 – 159 การกําหนดขอบเขตของการมอบหมายอํานาจหน้าที่ พิจารณาจากปัจจัย ต่าง ๆ ดังนี้ 1. บรรยากาศขององค์การ
3. ตัวผู้บริหารที่จะมอบหมายอํานาจหน้าที่ ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
2. ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
4. ความเต็มใจที่จะมอบหมายความไว้วางใจ
5. ความเต็มใจในการที่จะกําหนดให้มีการควบคุมอย่างกว้าง

76. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของแผนโดยแบ่งตามลักษณะของแผน
(1) แผนพัฒนาและแผนปฏิบัติการ
(2) แผนหลักขององค์การ
(3) แผนพัฒนา
(4) แผนปฏิบัติการ
(5) แผนกลยุทธ์
ตอบ 2 หน้า 219 แผนในองค์การอาจแบ่งได้เป็นหลายลักษณะ เช่น แบ่งตามระยะเวลาของแผน เป็นแผนระยะสั้น แผนระยะปานกลาง และแผนระยะยาว หรือแบ่งตามลักษณะของแผน เป็นแผนกลยุทธ์ แผนพัฒนา และแผนปฏิบัติการ เป็นต้น

77. ข้อใดเป็น Negative Feedback ขององค์การ
(1) ปัญหาของการดําเนินการ
(2) ประสิทธิภาพที่ได้รับ
(3) ความสามัคคีของบุคลากร
(4) คําชมของลูกค้า
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 261, (คําบรรยาย) Feedback ในการดําเนินงานขององค์การ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากการดําเนินงานขององค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. ข้อมูลข่าวสารที่แสดงถึงความพึงพอใจ (Positive Feedback) เช่น คําชมเชยหรือคํายกย่อง ประสิทธิภาพที่ได้รับ ความสําเร็จของงาน เป็นต้น

2. ข้อมูลข่าวสารที่แสดงถึงความไม่พึงพอใจ (Negative Feedback) เช่น คําตําหนิ บัตรสนเท่ห์ ความล้มเหลวของงาน ปัญหาของการดําเนินการ เป็นต้น

78. Organization Design เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ
(2) ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
(3) ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา
(4) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
(5) Power to Command

ตอบ 2 หน้า 122 – 123 การออกแบบองค์การ (Organization Design) คือ การมุ่งหรือพยายาม ในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อ การปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ

79. การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บริหารมากกว่า 1 คน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Span of Control
(2) Responsibility
(3) Hierarchy
(4) Unity of Command
(5) Specialization
ตอบ 4 หน้า 186 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง การจัดการที่ไม่ให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารมากกว่า 1 คน

80. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา
(1) ความสามารถของผู้บังคับบัญชา
(2) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(3) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
(4) ระดับขององค์การ
(5) ประเภทของกิจกรรม
ตอบ 3 หน้า 181 – 182 ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา มีดังนี้
1. ระดับขององค์การ
2. ประเภทของกิจกรรม
3. ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
4. ลักษณะขององค์การ
5. ความสามารถของผู้บังคับบัญชา

81. กิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับการทําให้เกิด “การทํางานเป็นกิจวัตร”
(1) Piece Rate System
(2) Gantt Chart
(3) Staffing
(4) Reporting
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 42, (คําบรรยาย) Henry L. Gantt เป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มการจัดการแบบ วิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ที่เสนอแนวคิดในการสร้างวินัยในการทํางานและ การทํางานเป็นกิจวัตร โดยการใช้ Gantt Chart เป็นแผนภูมิควบคุมเวลาในการทํางาน หรือ แผนกํากับหรือติดตามความก้าวหน้าของงาน รวมทั้งการกําหนดเวลาเข้าทํางาน เลิกงาน โดยต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป และจะเปลี่ยนแปลงตามอําเภอใจของผู้บริหารไม่ได้

82. ตามทฤษฎีของ Herzberg ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่เป็น Hygiene Factors สูงที่สุด
(1) นโยบายและการบริหาร
(2) ความก้าวหน้าในงาน
(3) ลักษณะของงาน
(4) ความรับผิดชอบ
(5) ความสําเร็จในหน้าที่การงาน
ตอบ 1 หน้า 81 – 82, (คําบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจ (Hygiene Theory) ของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจให้กับ พนักงานได้ 2 ประการ คือ

1. ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทํางาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจ ให้กับพนักงาน ซึ่งเรียงลําดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ความสําเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับ นับถือจากผู้ร่วมงาน ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน

2. ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ำจุนให้คนยินยอมทํางาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะ สร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน ซึ่งเรียงลําดับ จากมากไปน้อย ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทํางาน

83. การที่ผู้ปฏิบัติงานทํางานเพียงเท่าเกณฑ์ขั้นต่ําในการทํางาน ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์นั้น Taylor เรียกพฤติกรรมนี้ว่า
(1) การหลีกเลี่ยงงานโดยธรรมชาติ
(2) การค้นหามาตรฐานของงาน
(3) ความล้มเหลวในการบังคับบัญชา
(4) การหลีกเลี่ยงงานโดยอาศัยระบบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 41, (คําบรรยาย) พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงงานหรือหนีงานโดยอาศัยระบบตามแนวคิด ของ Frederick W. Taylor นั้น เป็นพฤติกรรมที่อาศัยระบบของงานในองค์การเป็นเครื่องมือ เพื่อปิดบังไม่ให้ผู้บังคับบัญชาล่วงรู้ถึงปริมาณงานที่แท้จริงของตน โดยพยายามทําให้เห็นว่าตนเองมีงานล้นมืออยู่แล้ว หรือพยายามทํางานเพียงให้ได้ตามเกณฑ์หรือมาตรฐานขั้นต่ําของงาน โดยไม่ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์ หรือพยายามทํางาน เท่าที่ระเบียบกําหนด หรือทํางานให้น้อยที่สุดเท่าที่ไม่ผิดระเบียบ ไม่ตกมาตรฐานขององค์การ เช่น การส่งใบลากิจในวันที่องค์การมีภารกิจมาก การใช้สิทธิลาหยุดงานให้ครบวันลาตามสิทธิ เป็นต้น

84. ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Authority
(2) Formalization
(3) Centralization
(4) Complexity
(5) Organization Design
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

85. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เสนอให้พิจารณาปัจจัยด้านใดในการบริหารองค์การ
(1) บุคลิกภาพ
(2) คุณวุฒิ
(3) ประสบการณ์
(4) บุคลิกภาพ และคุณวุฒิ
(5) บุคลิกภาพ คุณวุฒิ และประสบการณ์
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

86.Power to Command เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) Formalization
(2) Centralization
(3) Organization Design
(4) Authority
(5) Complexity
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

87. นักคิดสมัยโบราณเชื่อว่าหากจะจูงใจมนุษย์ต้องศึกษาเกี่ยวกับสิ่งใด
(1) อารมณ์
(2) ความคาดหวัง
(3) ความพึงพอใจ
(4) ความต้องการ
(5) ความรัก
ตอบ 4 หน้า 271 นักคิดสมัยโบราณ เชื่อว่า หากจะจูงใจมนุษย์ต้องศึกษาเกี่ยวกับความต้องการ ของมนุษย์ เพื่อหาสิ่งล่อใจให้ตรงกับความต้องการของเขา

88. การเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง (Erudition) ถือเป็นการเรียนรู้โดยการประมวลความรู้ทั้งหลายจากประชาคม ที่อาศัยอยู่ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นผลให้ผู้ตัดสินใจเกิดสิ่งใด
(1) ข่าวสาร
(2) การรับรู้
(3) ข้อมูล
(4) ปัญญา
(5) อคติ
ตอบ 4 หน้า 243 การเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง (Erudition) ถือเป็นการเรียนรู้โดยการประมวลความรู้ ทั้งหลายจากประชาคมที่อาศัยอยู่ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นผลให้ผู้ตัดสินใจเกิด “ปัญญา” (Wisdom)

89. จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Responsibility
(2) Unity of Command
(3) Span of Control
(4) Specialization
(5) Hierarchy
ตอบ 3 หน้า 179 ช่วงของการบังคับบัญชา หรือช่วงของการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) ที่ผู้บังคับบัญชา (หัวหน้า) คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งช่วงการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะ แสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการกํากับดูแลหรือการบังคับบัญชา เพียงใด ทั้งนี้คือการพิจารณาว่าควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คน หรือมีหน่วยงานภายในความ รับผิดชอบที่หน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทําให้การกํากับดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้ โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

90. “นําเอาหลักการบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์เข้าไปใช้ในองค์การด้านการศึกษาและหน่วยงานรัฐบาล…….” ผู้ริเริ่มได้แก่
(1) Gilbreths
(2) Emerson
(3) Cooke
(4) Taylor
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 43 Morris L. Cooke ได้นําเอาหลักการและความรู้จากการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ เข้าไปศึกษาการบริหารงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐบาล เช่น องค์การทางด้านการศึกษาโดยพบว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์การดังกล่าวได้ และ ในเรื่องการสร้างประสิทธิภาพให้กับงานนั้น เขาเห็นว่าทุกคนควรช่วยกันค้นหา One Best Way ไม่ควรจํากัดว่าเป็นเรื่องเฉพาะแต่ผู้ชํานาญหรือผู้บริหารเท่านั้น

91.Formalization เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) การที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน อันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ
(2) ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและ เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
(3) ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ํา รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา
(4) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่
(5) Power to Command
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 44. ประกอบ

92. “สภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ……การติดต่อเป็นไปโดยบังเอิญ ทําให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก” ตัวอย่างได้แก่
(1) สังคมเด็กวัยประถมศึกษา
(2) สังคมคนชรา
(3) สังคมเด็กวัยรุ่น
(4) สังคมชาวเขาเร่ร่อน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 18, (คําบรรยาย) Emery และ Trist ได้แบ่งระดับของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การ กับสภาพแวดล้อมออกเป็น 4 ระดับ คือ
1. Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ การติดต่อกับ สังคมภายนอกเป็นไปโดยบังเอิญ ทําให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาโบราณ ชาวเขาเร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น
2. Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่เริ่มมีการติดต่อกับ สังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยประถมศึกษา เป็นต้น
3. Disturbed-Reactive linvironment เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ผลของ การติดต่อเป็นผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น
4. Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพของระบบสังคมและเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น

93. ข้อใดไม่ใช่อุปสรรคของสายการบังคับบัญชา
(1) เกิดความล่าช้าในการทํางาน
(2) มีการติดต่อสื่อสารที่ไม่พึงประสงค์
(3) ทําให้เกิดพันธะผูกพันในผลงาน
(4) ถูกทั้งข้อ 1, 2, และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 141, (คําบรรยาย) การจัดให้มีสายการบังคับบัญชาในหน่วยงานแม้ว่าจะเป็นหัวใจของ
องค์การขนาดใหญ่ที่ทําให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพก็ตาม แต่อุปสรรคในการมีสายการบังคับบัญชาก็เกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ เช่น ทําให้เกิดความล่าช้าในการทํางาน มีการติดต่อสื่อสารที่ไม่พึงประสงค์ เป็นต้น

94. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับลักษณะขององค์การ
(1) มีความผูกพันที่ต่อเนื่อง
(2) มีเป้าหมายที่สูงกว่าที่แต่ละบุคคลจะกระทําได้
(3) มีฐานะเป็นหน่วยทางสังคม
(4) มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตลอดเวลา
(5) ลักษณะการมุ่งเน้นให้เกิดการประสานกัน
ตอบ 4หน้า 119 – 120 ลักษณะขององค์การ อาจแบ่งออกได้เป็น 5 ลักษณะ ดังนี้
1. มีลักษณะการมุ่งเน้นให้เกิดการประสานกัน
2. มีฐานะเป็นหน่วยทางสังคม
3. มีการแบ่งแยกขอบเขตของการเป็นองค์การแต่ละองค์การอย่างชัดแจ้ง
4. มีความผูกพันที่ต่อเนื่อง
5. มีเป้าหมายที่สูงกว่าที่แต่ละบุคคลจะสามารถกระทําได้โดยลําพัง

95. ข้อใดเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้
(1) ระดับขององค์การ
(2) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(4) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
(5) ประเภทของกิจการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

96. แนวคิดที่ต้องการให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ และ ทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น … แนวคิดดังกล่าวเรียกว่า
(1) Adhocracies
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory
(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 112 – 113, (คําบรรยาย) ทฤษฎีการกระทํา (The Action Theory หรือ The Action Approach) เป็นแนวคิดที่เน้นการอธิบายเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามสภาพที่เป็นจริง หรือตามสภาวะทางการเมืองในองค์การ (Political Nature of Organization) โดยแนวคิดนี้ จะเน้นให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ ทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น และหามาตรการปรับปรุงแก้ไข

97. ทุกข้อเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การในลักษณะของระบบ ยกเว้น
(1) มีความเจริญเติบโตภายใน
(2) มุ่งประสิทธิภาพสูงสุด
(3) มีเสถียรภาพแบบพลวัต
(4) มีกลไกให้ข้อมูลข่าวสาร
(5) มีการวางแผน
ตอบ 2 หน้า 98 – 106, (คําบรรยาย)
ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบ (ระบบเปิด)” ได้แก่
1. การวางแผนและจัดการ (Contrived)
2. ความยืดหยุ่นของขอบเขต (Flexible Boundaries)
3. การอยู่รอด (Negative Entropy)
4. การรักษาเสถียรภาพของระบบให้มีความสมดุลแบบพลวัตหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
(Dynamic Equilibrium)
5. กลไกการให้ข้อมูลข่าวสาร (Feedback Mechanism)
6. กลไกในการปรับตัวและรักษาสถานภาพของระบบ (Adaptive and Maintenance Mechanism)
7. การเจริญเติบโตภายในองค์การ (Growth Through Internal Elaboration)
8. การแบ่งงานในลักษณะยืดหยุ่น ฯลฯ (ส่วนการมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด เป็นลักษณะเฉพาะ ที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด”)

98.งานสารบรรณ เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) Auxiliary Agency
(2) Division of Work
(3) Staff Agency
(4) Line Agency
(5) Departmentation
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

99. แผนที่เป็นรายละเอียดและลงลึกไปถึงวิธีการในการดําเนินงาน เรียกว่าอะไร
(1) แผนแม่บท
(2) แผนพัฒนา
(3) แผนกลยุทธ์
(4) แผนปฏิบัติการ
(5) แผนหลักขององค์การ
ตอบ 4 หน้า 220, (คําบรรยาย) แผนปฏิบัติการ (Operational Plan) คือ แผนที่เป็นรายละเอียด และลงลึกไปถึงวิธีการในการดําเนินงาน ซึ่งแผนปฏิบัติการนี้มักจะกําหนดระยะเวลาไว้ไม่เกิน 1 – 2 ปี ดังนั้นจึงจัดเป็นแผนระยะสั้น

100. ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ปฏิบัติตามคําสั่งของตนได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

 

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คําสั่ง ข้อสอบมีทั้งหมด 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อเท่านั้น

ข้อ 1. ให้นักศึกษาอธิบายอํานาจร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับความหมาย รูปแบบ พร้อมกับวิเคราะห์รัฐธรรมนูญ ของประเทศไทยว่าส่วนใหญ่เกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบใด

แนวคําตอบ

ความหมายของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ

อํานาจร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึง อํานาจในการจัดทํารัฐธรรมนูญ อํานาจในการกําหนด หลักการแห่งรัฐธรรมนูญ อํานาจในการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยบัญญัติเป็นหมวด เป็นมาตราต่าง ๆ รวมถึง การลงมติเห็นพ้องกันให้ใช้บังคับเป็นกฎหมาย ตลอดจนครอบคลุมไปถึงการประกาศใช้ หรือกล่าวโดยสรุป อํานาจร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึง ขั้นตอนต่าง ๆ ในการจัดทํารัฐธรรมนูญนั่นเอง

รูปแบบของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ

รูปแบบของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ มี 2 รูปแบบ ได้แก่

1. อํานาจพิจารณาใหม่ เป็นอํานาจที่มีอยู่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หมายความว่าเป็นอํานาจร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับที่กําลังใช้อยู่ได้วางระเบียบการจัดตั้งอํานาจและกําหนดวิธีการ ดําเนินการไว้ โดยในทางปฏิบัติจะปรากฏในรูปของอํานาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (Amendment) ซึ่งรัฐธรรมนูญ ลายลักษณ์อักษรจะมีหมวดว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่เสมอ โดยกําหนดว่าญัตติในการเสนอขอแก้ไขเป็น องค์กรใด ผู้มีอํานาจในการพิจารณาแก้ไขคือองค์กรใด และต้องใช้คะแนนเสียงข้างมากในจํานวนเท่าใด นอกจากนี้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นผู้มีอํานาจจะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีอยู่กี่มาตราก็ได้หรืออาจแก้ไขทั้งฉบับก็ได้

ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ 3 (รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489) เกิดจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 (รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) หรือรัฐธรรมนูญฉบับที่ 15 (รัฐธรรมนูญ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2534) เป็นฉบับที่มีการแก้ไขมากที่สุด โดยใช้อํานาจพิจารณาใหม่แก้ไขเกือบทั้งฉบับ (ยกเว้น หมวดทั่วไปกับหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์เท่านั้น ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับนี้ เป็นการแก้ไขที่มีผลทําให้ เปลี่ยนรัฐธรรมนูญในแบบอํามาตยาธิปไตย (Bureaucracy) มาเป็นรัฐธรรมนูญในแบบประชาธิปไตย (Democracy)

2. อํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม เป็นอํานาจที่ไม่มีอยู่ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเพราะว่าไม่มีรัฐธรรมนูญในขณะนั้น โดยเป็นอํานาจร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดจากสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี คือ

1) การก่อตั้งรัฐใหม่

2) มีการปฏิวัติหรือการทํารัฐประหาร

ดังนั้น ผู้ก่อตั้งรัฐใหม่หรือผู้ทําการปฏิวัติรัฐประหารจะมีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม ซึ่งหมายความว่า มีอํานาจแรกเริ่ม อิสระ ไม่ผูกพันกับตัวบทกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนใด ๆ ที่มีอยู่ก่อน ทั้งสิ้น เป็นอํานาจอิสระจริง ๆ สามารถกําหนดหลักการแห่งรัฐธรรมนูญอย่างใดก็ได้ โดยไม่จําเป็นต้องไปผูกพันกับ รัฐธรรมนูญฉบับเก่าที่เคยมีอยู่ในอดีต อีกทั้งยังสามารถยกเลิกหลักการปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Law) ไปเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้มาตรา 17 เป็นต้น

รัฐธรรมนูญของประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม เพราะเกิดจากการทํารัฐประหาร ผู้ทําการรัฐประหารจึงมีอํานาจ “รัฏฐาธิปัตย์” คือ อํานาจปกครองบังคับบัญชาสูงสุด ภายในรัฐ จึงสามารถร่างรัฐธรรมนูญในแบบใดก็ได้โดยไม่จําเป็นต้องเคารพหรือปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน ที่เคยมีในรัฐธรรมนูญฉบับเก่า แต่ต้องยึดอํานาจให้สําเร็จจึงจะมีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิมได้ ถ้าแพ้ก็เป็นกบฏ และต้องมีความผิด

อำนาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิมที่เกิดจากการปฏิวัติหรือรัฐประหารนี้ถือว่าเป็นอํานาจที่ไม่มีขอบเขตจํากัด เนื่องจากเป็นผู้ชนะอาจสั่งให้ยกเลิกศาลทั้งหมดก็ทําได้ เพราะตรงตามข้อเท็จจริงทาง หลักรัฐศาสตร์ประการหนึ่งที่ว่า “ผู้แข็งแรงที่สุดเป็นผู้มีอํานาจปกครอง”

อย่างไรก็ตาม ขีดจํากัดของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญที่ได้มาด้วยวิธีการปฏิวัติหรือรัฐประหารสามารถวิเคราะห์ได้ 2 ประการ คือ

1) จิตใต้สํานึกของผู้มีอํานาจ

2) ความรู้สึกของประชาชน

สําหรับกรณีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิมที่เกิดจากการก่อตั้งรัฐใหม่ มีตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1787 ของสหรัฐอเมริกา มี 7 มาตรา (แก้ไข 27 ครั้ง) ซึ่งแต่เดิมนั้นสหรัฐอเมริกาเคยเป็นอาณานิคมของ อังกฤษ ต่อมาได้มีการปฏิวัติเพื่อกู้เอกราชในปี ค.ศ. 1776 และกระทําสําเร็จ จึงมีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม สามารถร่างรัฐธรรมนูญในแบบใดได้ทั้งสิ้น ถือว่าเป็นอํานาจแรกเริ่ม เป็นอํานาจอิสระที่แท้จริง หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น การเกิดประเทศบรูไนในปี ค.ศ. 1983 จะร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบใดก็ได้ (ราชาธิปไตยหรือระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ประยุกต์)

กรณีประเทศไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญทั้ง 20 ฉบับ การจัดทํารัฐธรรมนูญของไทยมีทั้ง 2 รูปแบบ คือ ด้วยวิธีการใช้ “อํานาจพิจารณาใหม่” (ดังปรากฏในหมวดว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ) และวิธีการใช้ “อํานาจ ร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม” แต่ถ้าจะวิเคราะห์แล้วอํานาจร่างรัฐธรรมนูญของไทยส่วนใหญ่เกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ ดั้งเดิม เพราะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ๆ ของไทยจะเกิดจากผลของการทํารัฐประหาร

กล่าวโดยสรุป อํานาจร่างรัฐธรรมนูญ มี 2 รูปแบบ คือ อํานาจพิจารณาใหม่ และอํานาจร่าง รัฐธรรมนูญดั้งเดิม โดยการจัดทํารัฐธรรมนูญของไทยส่วนใหญ่จะเกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม

ข้อ 2. ให้นักศึกษาอธิบายศัพท์เทคนิคทางรัฐศาสตร์ดังต่อไปนี้ พร้อมยกตัวอย่างประกอบคําอธิบาย
2.1 Sovereignty

แนวคําตอบ

Sovereignty (อํานาจอธิปไตย) หมายถึง อํานาจสูงสุดในการปกครองรัฐ ดังนั้นสิ่งอื่นใด จะมีอํานาจยิ่งกว่าหรือจะมาขัดต่ออํานาจอธิปไตยไม่ได้

อํานาจอธิปไตยถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญองค์ประกอบหนึ่งของรัฐ เพราะการจะเป็นรัฐได้นั้น นอกจากต้องประกอบด้วย ประชากร ดินแดน และรัฐบาลแล้ว ย่อมต้องมีอํานาจอธิปไตยด้วย กล่าวคือ รัฐนั้น ต้องเป็นรัฐที่สามารถมีอํานาจสูงสุด (อํานาจอธิปไตย) ในการปกครองตนเอง จึงจะสามารถเรียกว่า “รัฐ” ได้

อํานาจอธิปไตยจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละระบอบการปกครอง เช่น ถ้าเป็นการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย อํานาจอธิปไตยจะเป็นของประชาชน กล่าวคือ ประชาชนคือผู้มีอํานาจสูงสุดในการปกครอง ประเทศ โดยผ่านตัวแทนคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อํานาจอธิปไตยจะเป็นของพระมหากษัตริย์ กล่าวคือ กษัตริย์เป็นผู้มีอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ และ เป็นผู้เดียวที่ใช้อํานาจดังกล่าว

ลักษณะสําคัญของอํานาจอธิปไตย มี 4 ประการ คือ

1. มีลักษณะเป็นการทั่วไป (Universality) หมายถึง มีอํานาจครอบคลุมทั่วทั้งรัฐ และ อยู่เหนือทุก ๆ อํานาจ

2. มีความสมบูรณ์ (Absoluteness) หมายถึง อํานาจอธิปไตยเป็นอํานาจสูงสุดภายในรัฐ จะไม่มีอํานาจอื่นใดภายในรัฐที่อยู่เหนือกว่าอํานาจอธิปไตย

3. มีความถาวร (Permanence) หมายถึง อํานาจอธิปไตยจะยังคงอยู่ตราบเท่าที่รัฐยังคงอยู่

4. แบ่งแยกไม่ได้ (Indivisibility) หมายถึง ในรัฐหนึ่ง ๆ จะต้องมีอํานาจอธิปไตยเพียงหนึ่งเดียว จะมีการแบ่งแยกอํานาจอธิปไตยไปให้ส่วนต่าง ๆ ภายในรัฐมิได้

อํานาจอธิปไตย แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ

1. ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา ทําหน้าที่ในการตรากฎหมายขึ้นมาใช้ภายในประเทศ

2. ฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล ทําหน้าที่ในการบริหารประเทศให้เป็นไปตามกฎหมาย

3. ฝ่ายตุลาการ คือ ศาล ทําหน้าที่ในการตัดสินคดีความต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ในสังคม เพื่อรักษาสิทธิและเสรีภาพของทุก ๆ คนภายในรัฐ รวมทั้งทําหน้าที่ในการ ควบคุมทุก ๆ อํานาจให้อยู่ภายใต้กฎหมาย

2.2 Uprising

แนวคําตอบ

Uprising (การจลาจลทางการเมือง) หมายถึง การที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อต้าน (Standing up against) ผู้ปกครอง/ผู้ใช้อํานาจรัฐ หรือรัฐธรรมนูญในเวลานั้น โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์เท่านั้น ซึ่งจะนําโดยกลุ่มปัญญาชน นิสิต นักศึกษา และนักวิชาการ จากนั้น ประชาชนบางกลุ่มก็จะเข้ามาร่วมสนับสนุนในอุดมการณ์นั้น และเมื่อรัฐบาลยอมทําตามอุดมการณ์ที่กลุ่มต้องการแล้วก็จะยุติการจลาจลลง

ตัวอย่างเหตุการณ์การจลาจลทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมี 2 ครั้ง คือ

– เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “วันมหาวิปโยค”

– เหตุการณ์วันที่ 17 – 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ในสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “พฤษภาทมิฬ”

2.3 Revolution

แนวคําตอบ

Revolution (การปฏิวัติ) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง ทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทางการเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสังคมแบบใหม่ สร้าง กฎหมายใหม่ และเพื่อสนองอุดมการณ์แบบใหม่ ซึ่งมีหลักการที่สั้นที่สุดก็คือ “สิ่งที่เคยถูกต้องและดีงามในอดีต หรือสิ่งที่ถูกต้องในวันนี้ ไม่จําเป็นเสมอไปที่จะต้องเป็นหลักสัจธรรมสําหรับปัจจุบันหรืออนาคต” แต่การปฏิวัติ ที่จะเกิดความชอบธรรม (Legitimacy) จะต้องมีประชาชนเข้าร่วมอยู่ด้วยพร้อมกับผู้นํา

ตัวอย่างของการปฏิวัติใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกที่อาจกล่าวได้ว่ามีความชอบธรรม ได้แก่

– การปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 – การปฏิวัติในรัสเซีย ค.ศ. 1917
– การปฏิวัติในจีน ค.ศ. 1949

กรณีประเทศไทย การยึดอํานาจรัฐที่พอจะอนุโลมให้เรียกว่า “การปฏิวัติ” นั้นมีเพียงครั้งเดียว คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพราะเป็นเหตุการณ์ที่คณะราษฎรได้ทําการ ยึดอํานาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองใหม่จาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (Democracy) ในระบบรัฐสภา แบบอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้มีประชาชนเข้าร่วมด้วย

สําหรับเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นี้ ไม่ใช่การทํารัฐประหาร และก็ไม่ใช่การปฏิวัติ โดยสิ้นเชิง แต่ที่ถูกต้องทางรัฐศาสตร์ควรเรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475” ซึ่ง 1 ในคณะราษฎร หรือผู้ก่อการคือ นายปรีดี พนมยงค์ เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “การอภิวัฒน์การปกครอง พ.ศ. 2475

2.4 Coup d’e’tat

แนวคําตอบ

Coup d’e’tat (การรัฐประหาร) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ โดยบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งปราศจากการมีส่วนร่วมจากประชาชน เป็นการเปลี่ยนมือผู้ใช้อํานาจรัฐหรือผู้ใช้อํานาจปกครองหรือเปลี่ยน ตัวบุคคลเท่านั้น แต่ระบบเศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างทางการเมือง และอุดมการณ์ทางการเมืองยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง จึงถือว่าขาดหลักความชอบธรรม (Legitimacy)

จะเห็นได้ว่าประเทศกําลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยและประเทศด้อยพัฒนา ผู้นําของประเทศ นิยมแย่งชิงอํานาจกันเองด้วยวิธีการทํารัฐประหาร โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย ผู้ยึดอํานาจ มักเป็นทหาร และภายหลังยึดอํานาจเสร็จแล้ว ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างทางสังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทาง การเมืองก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตัวผู้ใช้อํานาจรัฐเท่านั้น

กรณีประเทศไทย นับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า มีการยึดอํานาจรัฐด้วยกําลังบ่อยครั้ง ซึ่งมีทั้งกระทําสําเร็จและไม่สําเร็จ การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จของไทยเกือบ ทุกครั้งเรียกว่า “รัฐประหาร” เพราะเป็นการแย่งชิงอํานาจกันเองในหมู่ผู้ปกครอง แต่ผู้ยึดอํานาจจะเรียกตัวเองว่า “คณะปฏิวัติ”

อนึ่ง ประเทศไทยมีการทํารัฐประหารมาแล้วทั้งสิ้น 13 ครั้ง โดยการทํารัฐประหารครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การนําของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ยึดอํานาจรัฐบาลรักษาการของนายนิวัตน์ธํารง บุญทรงไพศาล และประกาศ ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550

2.5 Election

แนวคําตอบ

Election (การเลือกตั้ง) เป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นการแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยที่จะมอบความไว้วางใจ
ในตัวแทนของปวงชนให้มาใช้อํานาจแทนตน ดังนั้นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยผู้ปกครองหรือผู้บริหาร ประเทศจึงต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และการเลือกตั้งนั้นจะต้องเป็นไปอย่างอิสรเสรี เสมอภาค และ ลงคะแนนลับ โดยผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจากการออกเสียงเลือกตั้งจะเป็นผู้เข้ามาใช้อํานาจรัฐแทนประชาชน ซึ่งใน ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาผู้ที่จะเข้ามาใช้อํานาจรัฐก็คือ นายกรัฐมนตรี ส่วนในระบอบประชาธิปไตยแบบ ประธานาธิบดีผู้ที่จะเข้ามาใช้อํานาจรัฐก็คือ ประธานาธิบดี

กรณีประเทศไทย การเลือกตั้งของไทยนั้นมีทั้งการเลือกตั้งในระดับชาติ คือ การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา และการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น คือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็น “การเลือกตั้งทางอ้อมครั้งแรกและครั้งเดียวของประเทศไทย” คือ ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งผู้แทนตําบลก่อน แล้วผู้แทนตําบลเป็นผู้เลือกผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง ส่วนการเลือกตั้งในครั้งต่อ ๆ มาจนถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เป็นการเลือกตั้งทางตรง คือ การให้ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ทําการออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยตรงไม่ผ่านตัวแทนอื่นใด

ส่วนสมาชิกวุฒิสภานั้น นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา มีการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งในเวลานั้นเรียกว่า พฤฒิสภา เป็นการเลือกตั้ง ทางอ้อม คือ ให้ประชาชนเลือกตั้งตัวแทนเข้ามาทําหน้าที่เลือกสมาชิกวุฒิสภา ส่วนการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่กําหนดให้สมาชิกวุฒิสภา ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และอีกส่วนหนึ่งมาจากการสรรหา

สําหรับองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมและบริหารจัดการการเลือกตั้งให้เป็นไปตามความบริสุทธิ์ และยุติธรรม หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” นั้น มีครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดยก่อนหน้านั้นนับตั้งแต่ประเทศไทยมีการเลือกตั้งครั้งแรกจนกระทั่งก่อนการ ประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 การควบคุมและบริหารจัดการการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย

ข้อ 3. จงอธิบายว่าหลักการในการปกครองระบบรัฐสภาและประธานาธิบดีมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร จากนั้นอธิบายเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติของระบบรัฐสภาและประธานาธิบดี โดยยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน

แนวคําตอบ

การปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System)

ระบบรัฐสภาเป็นรูปแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่อังกฤษเป็นแม่แบบที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก”ซึ่งในการปกครองระบบนี้จะถือว่ารัฐสภาเป็นองค์กรการเมืองที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้วรัฐบาลที่ปกครอง และบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงานด้วยความ รับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั่นเอง

หลักการสําคัญของการปกครองระบบรัฐสภา มีดังนี้

1. อํานาจอธิปไตยแยกตามหน้าที่ กล่าวคือ อํานาจรัฐไม่ได้รวมไว้ในองค์กรเดียว แต่มี การแยกให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ ได้แก่ อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติ ใช้โดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล

2. การแยกอํานาจไม่แยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่าย ให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3. อํานาจที่แบ่งแยกนี้จะมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้ มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการปกครองระบบรัฐสภา มีดังนี้

1. ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่า พระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่ง ประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2. ประมุขของรัฐมีสถานะเป็นกลางทางการเมือง หรือไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐไม่อาจถูกถอดถอนออกจากตําแหน่ง จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เองที่ทําให้กิจกรรมใด ๆ ของประมุขของรัฐต้องมีการลงนามกํากับหรือ ๆ ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมนั้น ๆต่อสภาผู้แทนราษฎร

3. ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้น จะต้องเสนอนโยบาย เพื่อขอความไว้วางใจหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4. ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภาทําหน้าที่ตรวจสอบ ควบคุมการทํางานของฝ่ายบริหารโดย
1) การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
2) การตั้งกระทู้ถาม
3) การอนุมัติงบประมาณประจําปี
4) การตั้งคณะกรรมาธิการ
5. ฝ่ายบริหารมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้
6. ฝ่ายบริหารมีสิทธิเสนอกฎหมายเช่นเดียวกับฝ่ายนิติบัญญัติ
7. ฝ่ายบริหารมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ
8. ฝ่ายตุลาการ (ศาล) และผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การปกครองระบบประธานาธิบดี (Presidential System)

ระบบประธานาธิบดีเป็นรูปแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบที่เรียกว่า “ระบบประธานาธิบดีคลาสสิก” ซึ่งเกิดมาจากความคิดของผู้เริ่มก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาที่ต้องการจะกําหนดรูปแบบการปกครองของประเทศให้เหมาะสมกับประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญในสมัยแรกเริ่มก่อตั้งประเทศ

หลักการสําคัญของการปกครองระบบประธานาธิบดี มีดังนี้

1. อํานาจอธิปไตยหรืออํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐถูกมอบหมายให้แต่ละองค์กรนําไปปฏิบัติ โดยไม่รวมอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งเพียงองค์กรเดียว กล่าวคือ อํานาจบริหารจะใช้โดยฝ่ายบริหารที่เรียกว่าประธานาธิบดีหรือคณะรัฐบาล อํานาจนิติบัญญัติจะใช้โดยฝ่ายรัฐสภา และอํานาจตุลาการจะใช้โดยฝ่ายศาล

2. การแยกอํานาจแยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ องค์กรต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายอํานาจหน้าที่ ของรัฐไปปฏิบัติจะเป็นอิสระต่อกันโดยเด็ดขาด แต่ละองค์กรจะทําหน้าที่ของแต่ละฝ่ายโดยไม่ก้าวก่ายตรวจสอบ หรือควบคุมซึ่งกันและกัน

3. ฝ่ายต่าง ๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่จะอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระ เช่น ประธานาธิบดีมีวาระ 4 ปี ก็จะอยู่จนครบ 4 ปี หรือฝ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 2 ปี ก็จะอยู่จนครบ 2 ปี เป็นต้น

วิธีการของการปกครองระบบประธานาธิบดี มีดังนี้

1. ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะเป็นบุคคลเดียวกัน และมาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยตําแหน่งดังกล่าวนี้เรียกว่าประธานาธิบดี
2. ประธานาธิบดีตั้งรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร
3. สภาผู้แทนราษฎรจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีไม่ได้
4. ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอํานาจติเตียนฝ่ายบริหารหรือตั้งกระทู้ถามฝ่ายบริหาร
5. ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจริเริ่มเสนอกฎหมาย การเสนอกฎหมายเป็นอํานาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ
6. ฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีไม่มีอํานาจยุบสภา
7. ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจเรียกประชุมรัฐสภา
8. ฝ่ายตุลาการมีหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษา
9. ทุกฝ่ายจะอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ประธานาธิบดี มีวาระ 4 ปี ก็อยู่จนครบ 4 ปี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 2 ปี ก็อยู่จนครบ 2 ปี เป็นต้น

การปกครองระบบรัฐสภาและประธานาธิบดีมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้

ระบบรัฐสภา

-การแยกอํานาจไม่แยกโดยเด็ดขาด
– ประมุขของรัฐและประมุขของฝ่ายบริหารแยกจากกัน
– ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
– ฝ่ายนิติบัญญัติมีสิทธิตั้งกระทู้ถาม
– ฝ่ายบริหารมีอํานาจยุบสภา
– ฝ่ายบริหารมีสิทธิเสนอกฎหมายได้
– ไม่มีหลักประกันการปฏิบัติหน้าที่จนครบวาระ

ระบบประธานาธิบดี

-การแยกอํานาจแยกโดยเด็ดขาด
– ประมุขของรัฐและประมุขของฝ่ายบริหารเป็นบุคคลเดียวกัน
– ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอํานาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
– ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีสิทธิตั้งกระทู้ถาม
– ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจยุบสภา
-ฝ่ายบริหารไม่มีสิทธิเสนอกฎหมาย
– ทุกฝ่ายอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระ

ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติของระบบรัฐสภาและประธานาธิบดี

ระบบรัฐสภา ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีการแยกอํานาจกันแบบไม่เด็ดขาด โดยการใช้ อํานาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กันอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า “การเชื่อมโยงอํานาจ” (Fusion of Power) เนื่องจากฝ่ายรัฐบาลมีที่มาจากฝ่ายรัฐสภา การทํางานจึงต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา ในเบื้องต้นหลังจาก เข้ารับตําแหน่งจะต้องมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อทํางานไปแล้วฝ่ายนิติบัญญัติก็สามารถตรวจสอบถ่วงดุลโดยการตั้งกระทู้ถามหรือยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายคนได้ ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็มีอํานาจในการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้หากมีเหตุผลอันควรโดยเฉพาะเกิดความ ขัดแย้งขึ้นในฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเองหรือเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายรัฐสภาจนไม่สามารถปฏิบัติงานต่อไปได้ ซึ่งการยุบสภาก็จะส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดสิ้นสุดลงไปด้วย

ระบบประธานาธิบดี ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีการแยกอํานาจกันเด็ดขาดบนหลักการ แบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) โดยฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ของประชาชน ดังนั้นการทํางานของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติจึงแยกอิสระจากกัน แต่ละฝ่ายไม่ก้าวก่าย ตรวจสอบหรือควบคุมซึ่งกันและกัน เช่น ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจในการยุบสภา ขณะเดียวกันฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ไม่มีอํานาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร เป็นต้น

ในระบบประธานาธิบดี แม้ในหลักการจะไม่ก้าวก่ายและตรวจสอบควบคุมซึ่งกันและกันแต่ในทางปฏิบัติก็อาจมีการผ่อนคลายบ้างในกรณีเกิดปัญหาวิกฤติในการเมืองการปกครอง เช่น การให้ประธานาธิบดี มีอํานาจยับยั้งกฎหมาย (Veto) ที่ออกมาจากฝ่ายรัฐสภา หรือการให้อํานาจฝ่ายนิติบัญญัติทําหน้าที่กล่าวหา ประธานาธิบดีในกรณีที่มีการกระทําที่ไม่เหมาะสมที่จะนําไปสู่ความเสื่อมเสียแก่เกียรติภูมิของประเทศหรือเสื่อมเสียกับตําแหน่งประธานาธิบดีที่เรียกว่า Impeachment

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คําสั่ง ข้อสอบมีทั้งหมด 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อเท่านั้น

ข้อ 1. ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3 บัญญัติว่า “อํานาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” นั้น นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ “อํานาจ อธิปไตย” (Sovereignty) อย่างไร ให้อธิบายพร้อมยกตัวอย่าง

แนวคําตอบ

อํานาจอธิปไตย (Sovereignty) หมายถึง อํานาจสูงสุดในการปกครองรัฐ ดังนั้นสิ่งอื่นใดจะมี อํานาจยิ่งกว่าหรือจะมาขัดต่ออํานาจอธิปไตยไม่ได้

อํานาจอธิปไตยถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญองค์ประกอบหนึ่งของรัฐ เพราะการจะเป็นรัฐได้นั้น นอกจากต้องประกอบด้วย ประชากร ดินแดน และรัฐบาลแล้ว ย่อมต้องมีอํานาจอธิปไตยด้วย กล่าวคือ รัฐนั้น ต้องเป็นรัฐที่สามารถมีอํานาจสูงสุด (อํานาจอธิปไตย) ในการปกครองตนเอง จึงจะสามารถเรียกว่า “รัฐ” ได้

อํานาจอธิปไตยจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละระบอบการปกครอง เช่น ถ้าเป็นการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อํานาจอธิปไตยจะเป็นของประชาชน กล่าวคือ ประชาชนคือผู้มีอํานาจสูงสุดในการปกครอง ประเทศ โดยผ่านตัวแทนคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อํานาจอธิปไตยจะเป็นของพระมหากษัตริย์ กล่าวคือ กษัตริย์เป็นผู้มีอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ และ เป็นผู้เดียวที่ใช้อํานาจดังกล่าว

ลักษณะสําคัญของอํานาจอธิปไตย มี 4 ประการ คือ

1. มีลักษณะเป็นการทั่วไป (Universality) หมายถึง มีอํานาจครอบคลุมทั่วทั้งรัฐ และอยู่เหนือ ทุก ๆ อํานาจ

2. มีความสมบูรณ์ (Absoluteness) หมายถึง อํานาจอธิปไตยเป็นอํานาจสูงสุดภายในรัฐ จะ ไม่มีอํานาจอื่นใดภายในรัฐที่อยู่เหนือกว่าอํานาจอธิปไตย

3. มีความถาวร (Permanence) หมายถึง อํานาจอธิปไตยจะยังคงอยู่ตราบเท่าที่รัฐยังคงอยู่

4. แบ่งแยกไม่ได้ (Indivisibility) หมายถึง ในรัฐหนึ่ง ๆ จะต้องมีอํานาจอธิปไตยเพียงหนึ่งเดียว จะมีการแบ่งแยกอํานาจอธิปไตยไปให้ส่วนต่าง ๆ ภายในรัฐมิได้

อํานาจอธิปไตย แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ

1. ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา ทําหน้าที่ในการตรากฎหมายขึ้นมาใช้ภายในประเทศ

2. ฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล ทําหน้าที่ในการบริหารประเทศให้เป็นไปตามกฎหมาย

3. ฝ่ายตุลาการ คือ ศาล ทําหน้าที่ในการตัดสินคดีความต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมใน สังคม เพื่อรักษาสิทธิและเสรีภาพของทุก ๆ คนภายในรัฐ รวมทั้งทําหน้าที่ในการควบคุม ทุก ๆ อํานาจให้อยู่ภายใต้กฎหมาย

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3 บัญญัติว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” จากบทบัญญัตินี้หมายความว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน และพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของรัฐทรงใช้อํานาจอธิปไตยทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล กล่าวคือ

1. ทรงใช้อํานาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา หมายความว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจในการ ออกกฎหมายตามคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา เมื่อรัฐสภาร่างกฎหมายขึ้นแล้วจะทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรง ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมายตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ

2. ทรงใช้อํานาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี หมายความว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่ง นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีดําเนินการไปนั้นถือว่ากระทําไปในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ เพราะบรรดาพระราชบัญญัติ พระราชกําหนด พระราชกฤษฎีกา พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอัน เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติและรับผิดชอบทั้งสิ้น โดยนายกรัฐมนตรีจะต้องกราบบังคมทูล
และลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ พระราชอํานาจทางด้านบริหารของพระมหากษัตริย์ดังกล่าว ได้แก่ การตราพระราชกฤษฎีกาไม่ขัดต่อกฎหมาย การประกาศใช้และเลิกใช้กฎอัยการศึก การประกาศสงครามเมื่อ ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา การทําสนธิสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก หรือสนธิสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ และการพระราชทานอภัยโทษ

3. ทรงใช้อํานาจตุลาการทางศาล หมายถึง ศาลเป็นผู้พิพากษาอรรถคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญและตามกฎหมายในพระปรมาภิไธยพระมาหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจใน การแต่งตั้งและการพ้นจากตําแหน่งของผู้พิพากษาและตุลาการก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้พิพากษาและตุลาการจะต้อง
ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์

ข้อ 2. ให้นักศึกษาอธิบายเรื่องอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ

1. ความหมายของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ

2. รูปแบบของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ

พร้อมกับวิเคราะห์รัฐธรรมนูญของประเทศไทยว่าส่วนใหญ่เกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบใด

แนวคําตอบ

1. ความหมายของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ

อํานาจร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึง อํานาจในการจัดทํารัฐธรรมนูญ อํานาจในการกําหนดหลักการ แห่งรัฐธรรมนูญ อํานาจในการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยบัญญัติเป็นหมวด เป็นมาตราต่าง ๆ รวมถึงการลงมติ เห็นพ้องกันให้ใช้บังคับเป็นกฎหมาย ตลอดจนครอบคลุมไปถึงการประกาศใช้ หรือกล่าวโดยสรุปอํานาจร่าง รัฐธรรมนูญ หมายถึง ขั้นตอนต่าง ๆ ในการจัดทํารัฐธรรมนูญนั่นเอง

2. รูปแบบของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ

รูปแบบของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ มี 2 รูปแบบ ได้แก่

1. อํานาจพิจารณาใหม่ เป็นอํานาจที่มีอยู่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หมายความว่าเป็นอํานาจร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับที่กําลังใช้อยู่ได้วางระเบียบการจัดตั้งอํานาจและกําหนดวิธีการ ดําเนินการไว้ โดยในทางปฏิบัติจะปรากฏในรูปของอํานาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (Amendment) ซึ่งรัฐธรรมนูญ ลายลักษณ์อักษรจะมีหมวดว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่เสมอ โดยกําหนดว่าญัตติในการเสนอขอแก้ไขเป็น องค์กรใด ผู้มีอํานาจในการพิจารณาแก้ไขคือองค์กรใด และต้องใช้คะแนนเสียงข้างมากในจํานวนเท่าใด นอกจากนี้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นผู้มีอํานาจจะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีอยู่กี่มาตราก็ได้หรืออาจแก้ไขทั้งฉบับก็ได้

ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ 3 (รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489) เกิดจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 (รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) หรือรัฐธรรมนูญฉบับที่ 15 (รัฐธรรมนูญ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2534) เป็นฉบับที่มีการแก้ไขมากที่สุด โดยใช้อํานาจพิจารณาใหม่แก้ไขเกือบทั้งฉบับ (ยกเว้น หมวดทั่วไปกับหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์เท่านั้น) ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับนี้ เป็นการแก้ไขที่มีผลทําให้ เปลี่ยนรัฐธรรมนูญในแบบอํามาตยาธิปไตย (Bureaucracy) มาเป็นรัฐธรรมนูญในแบบประชาธิปไตย (Democracy)

2. อํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม เป็นอํานาจที่ไม่มีอยู่ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเพราะว่าไม่มีรัฐธรรมนูญในขณะนั้น โดยเป็นอํานาจร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดจากสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี คือ

1) การก่อตั้งรัฐใหม่

2) มีการปฏิวัติหรือการทํารัฐประหาร

ดังนั้น ผู้ก่อตั้งรัฐใหม่หรือผู้ทําการปฏิวัติรัฐประหารจะมีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม ซึ่งหมายความว่า มีอํานาจแรกเริ่ม อิสระ ไม่ผูกพันกับตัวบทกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนใด ๆ ที่มีอยู่ก่อน ทั้งสิ้น เป็นอํานาจอิสระจริง ๆ สามารถกําหนดหลักการแห่งรัฐธรรมนูญอย่างใดก็ได้ โดยไม่จําเป็นต้องไปผูกพันกับ รัฐธรรมนูญฉบับเก่าที่เคยมีอยู่ในอดีต อีกทั้งยังสามารถยกเลิกหลักการปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Law) ไปเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้มาตรา 17 เป็นต้น

รัฐธรรมนูญของประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม เพราะ เกิดจากการทํารัฐประหาร ผู้ทําการรัฐประหารจึงมีอํานาจ “รัฏฐาธิปัตย์” คือ อํานาจปกครองบังคับบัญชาสูงสุด ภายในรัฐ จึงสามารถร่างรัฐธรรมนูญในแบบใดก็ได้โดยไม่จําเป็นต้องเคารพหรือปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน ที่เคยมีในรัฐธรรมนูญฉบับเก่า แต่ต้องยึดอํานาจให้สําเร็จจึงจะมีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิมได้ ถ้าแพ้ก็เป็นกบฏและต้องมีความผิด

อํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิมที่เกิดจากการปฏิวัติหรือรัฐประหารนี้ถือว่าเป็นอํานาจที่ไม่มีขอบเขตจํากัด เนื่องจากเป็นผู้ชนะอาจสั่งให้ยกเลิกศาลทั้งหมดก็ทําได้ เพราะตรงตามข้อเท็จจริงทาง หลักรัฐศาสตร์ประการหนึ่งที่ว่า “ผู้แข็งแรงที่สุดเป็นผู้มีอํานาจปกครอง”

อย่างไรก็ตาม ขีดจํากัดของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญที่ได้มาด้วยวิธีการปฏิวัติหรือรัฐประหารสามารถวิเคราะห์ได้ 2 ประการ คือ

1) จิตใต้สํานึกของผู้มีอํานาจ
2) ความรู้สึกของประชาชน

สําหรับกรณีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิมที่เกิดจากการก่อตั้งรัฐใหม่ มีตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1787 ของสหรัฐอเมริกา มี 7 มาตรา (แก้ไข 27 ครั้ง) ซึ่งแต่เดิมนั้นสหรัฐอเมริกาเคยเป็นอาณานิคมของ อังกฤษ ต่อมาได้มีการปฏิวัติเพื่อกู้เอกราชในปี ค.ศ. 1776 และกระทําสําเร็จ จึงมีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม สามารถร่างรัฐธรรมนูญในแบบใดได้ทั้งสิ้น ถือว่าเป็นอํานาจแรกเริ่ม เป็นอํานาจอิสระที่แท้จริง หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น การเกิดประเทศบรูไนในปี ค.ศ. 1983 จะร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบใดก็ได้ (ราชาธิปไตยหรือระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ประยุกต์)

กรณีประเทศไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญทั้ง 20 ฉบับ การจัดทํารัฐธรรมนูญของไทยมีทั้ง 2 รูปแบบ คือ ด้วยวิธีการใช้ “อํานาจพิจารณาใหม่” (ดังปรากฏในหมวดว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ) และวิธีการใช้ “อํานาจ ร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม” แต่ถ้าจะวิเคราะห์แล้วอํานาจร่างรัฐธรรมนูญของไทยส่วนใหญ่เกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญ ดั้งเดิม เพราะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ๆ ของไทยจะเกิดจากผลของการทํารัฐประหาร
กล่าวโดยสรุป อํานาจร่างรัฐธรรมนูญ มี 2 รูปแบบ คือ อํานาจพิจารณาใหม่ และอํานาจร่าง รัฐธรรมนูญดั้งเดิม โดยการจัดทํารัฐธรรมนูญของไทยส่วนใหญ่จะเกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม

ข้อ 3. สถาบันทางการเมืองสําคัญในระบอบประชาธิปไตยมีอะไรบ้าง แต่ละสถาบันมีอํานาจหน้าที่หลัก อะไร และให้นักศึกษายกสถาบันทางการเมืองสถาบันใดสถาบันหนึ่งขึ้นมาวิเคราะห์ถึงปัญหา ความอ่อนแอของสถาบันดังกล่าว โดยให้ระบุสาเหตุของปัญหา ตลอดจนอภิปรายถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นกับการพัฒนาประชาธิปไตยไทย และแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

แนวคําตอบ

สถาบันทางการเมือง (Political Institution) หมายถึง แบบแผนของพฤติกรรมหรือการกระทํา ทางการเมือง หรือพฤติกรรมทางการเมืองที่ดําเนินเรื่อยมาจนเกิดเป็นแบบแผนที่แน่นอน มีการกําหนดโครงสร้าง ระเบียบ กฎเกณฑ์ บรรทัดฐานและกระบวนการต่าง ๆ ตลอดจนองค์การทางการเมืองและวิธีการในการปฏิบัติ ในทางการเมืองของสังคม

สถาบันทางการเมืองสําคัญในระบอบประชาธิปไตย ได้แก่

1. สถาบันนิติบัญญัติ ซึ่งก็คือ รัฐสภา มีอํานาจหน้าที่หลักดังนี้

1) การบัญญัติและแก้ไขกฎหมาย

2) การตรวจสอบ ควบคุม และถ่วงดุลสถาบันบริหารหรือรัฐบาล ให้ทําหน้าที่ โดยชอบผ่านการตั้งกระทู้ถาม การยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การควบคุม ผ่านการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี

3) การเป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งและประชาชนทั้งประเทศ โดยการรับฟังปัญหา ของประชาชน รวบรวมข้อมูล ข้อเรียกร้องนําไปเสนอให้รัฐบาล

2. สถาบันบริหาร ซึ่งก็คือ รัฐบาล มีอํานาจหน้าที่หลักดังนี้

1) การกําหนดและดําเนินนโยบายบริหารราชการแผ่นดิน
2) การควบคุมสั่งการระบบราชการ

3) การนําเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี และกฎหมายอื่น ๆเข้าสู่การพิจารณาของสภา

4) อํานาจหน้าที่อื่น ๆ เช่น อํานาจในการบังคับใช้กําลังทหาร การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นต้น

3. สถาบันตุลาการ ซึ่งก็คือ ศาล มีหน้าที่หลักในการตีความกฎหมาย และการพิจารณา พิพากษาคดีความต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม การทําหน้าที่ดังกล่าวนี้ส่งผลให้ฝ่ายตุลาการมีฐานะเป็นผู้ผดุงความ ยุติธรรมในสังคม จึงจําเป็นต้องมีความเป็นกลาง มีอิสระจากอํานาจของทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารเพื่อ
ไม่ให้เกิดความลําเอียงในการพิจารณาคดีความ

4. กลุ่มผลประโยชน์ เป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อกดดันหรือเรียกร้องความต้องการจากระบบการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของสมาชิกกลุ่มดังนั้นกลุ่มผลประโยชน์จึงเป็นสถาบันที่มีความสําคัญในระบอบประชาธิปไตยในฐานะสถาบันที่ส่งป้อนข้อมูลความต้องการจากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงไปสู่ระบบการเมืองให้รับรู้ถึง ความต้องการอันจะนําไปสู่การเจรจาต่อรองหรือการแข่งขันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นกลไก สําคัญที่ทําให้เกิดการถ่วงดุลอํานาจของรัฐบาลไม่ให้ผลประโยชน์ตกไปอยู่ในกํามือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

5. พรรคการเมือง มีหน้าที่หลักดังนี้

1) สรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้าสู่ตําแหน่งทางการเมือง หรือส่งตัวแทนเข้าสมัคร รับเลือกตั้ง
2) รวบรวมผลประโยชน์หรือความต้องการของประชาชน
3) นําเสนอนโยบายในการบริหารประเทศ
4) ให้ความรู้ทางการเมืองแก่ประชาชน
5) สร้างความเป็นปึกแผ่นทางการเมือง หรือเชื่อมโยงรัฐบาลกับประชาชนและ สถาบันทางการเมืองต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
6) กระตุ้น ปลุกเร้าความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
7) กล่อมเกลาทางการเมือง
8) ควบคุมรัฐบาล
9) จัดตั้งรัฐบาล

6. การเลือกตั้ง มีความสําคัญต่อระบอบประชาธิปไตยดังนี้

1) เป็นกลไกในการเลือกสรรตัวแทนทางการเมือง
2) เป็นกระบวนการที่จะนําไปสู่การจัดตั้งรัฐบาล
3) เป็นกลไกที่มีอิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะ
4) เป็นช่องทางให้ประชาชนได้เรียนรู้ทางการเมือง
5) เป็นช่องทางในการสร้างความชอบธรรมแก่ผู้ปกครอง

ปัญหาความอ่อนแอของสถาบันทางการเมือง

สถาบันทางการเมืองของไทยยังมีความอ่อนแอหรือยังมีความเป็นสถาบันในระดับต่ํา หรือ จะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือสถาบันทางการเมืองของไทยที่สร้างขึ้นมายังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมือง คือ ยังไม่สามารถตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ความต้องการ ตลอดจนการประนีประนอมอํานาจและผลประโยชน์ ของฝ่ายต่าง ๆ ในสังคมไทยได้ทั้งในระดับของชนชั้นนําและระดับของประชาชนโดยทั่วไป สถาบันทางการเมือง
จึงถูกล้มลงและสร้างขึ้นใหม่บ่อยครั้งในระบบการเมืองไทย

ตัวอย่างเช่น พรรคการเมืองไทย เป็นสถาบันทางการเมืองที่มักมีปัญหาในเรื่องความเป็นสถาบัน หรือก็คือความสามารถของพรรคการเมืองในการปรับตัวเมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การมีความคงทน การมีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน การแยกตัวบุคคลออกจากการครองอํานาจของใครคนใดคนหนึ่ง ภายในพรรค เป็นต้น

บูฆอรี ยีหมะ เห็นว่า ปัญหาที่พบมากที่สุดของความอ่อนแอในเชิงสถาบันของพรรคการเมืองในประเทศกําลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยด้วยนั้น เกิดขึ้นจากต้นเหตุสําคัญคือการยึดติดกับตัวบุคคลมากเกินไป หรือก็คือการที่พรรคถูกครอบงําจากผู้นําภายในพรรคนั่นเอง จนทําให้พรรคดํารงอยู่ได้ด้วยอํานาจของบุคคลไม่ใช่เพราะความเป็นสถาบันที่เข้มแข็ง และง่ายต่อการล่มสลายหากผู้นําพรรคหลุดพ้นจากอํานาจทางการเมือง

นอกจากนี้ ปัญหาความอ่อนแอหรือความไม่เป็นสถาบันทางการเมืองของพรรคการเมืองไทยยังมีสาเหตุมาจาก

1. ความขัดแย้งทางอุดมคติเกี่ยวกับแนวคิดการจัดตั้งพรรคการเมือง ปัญหานี้เกิดขึ้น เนื่องจากแนวคิดการจัดตั้งพรรคการเมืองไปขัดแย้งกับอุดมคติดั้งเดิมซึ่งเน้นความเป็นรัฐที่มีความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน จึงปฏิเสธการแบ่งกลุ่มต่าง ๆ ภายในรัฐ ดังนั้นอุดมคตินี้จึงมักถูกใช้เป็นข้ออ้างของฝ่ายอํานาจในการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด

2. ลักษณะนิสัยของคนไทยที่มีความเป็นปัจเจกชนนิยมสูง ทําให้เป็นอุปสรรคต่อการทํางานร่วมกัน และเป็นอุปสรรคต่อความเข้มแข็งของพรรคการเมืองไทย

3. ระบบอาวุโสทําให้สมาชิกมีความผูกพันต่อพรรคในระดับต่ํา ทั้งนี้เนื่องจากผู้อาวุโส ในพรรคมีบทบาทอํานาจในพรรคมาก ทําให้ผู้น้อยไม่อาจเข้าไปมีบทบาทในพรรคได้มากนัก จึงทําให้สมาชิกส่วนใหญ่ ของพรรคไม่รู้สึกถึงความผูกพันต่อพรรคการเมือง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความเข้มแข็งของพรรคการเมืองไทย

4. โครงสร้างทางสังคมของไทยเป็นโครงสร้างแบบหลวม ๆ ส่งผลให้การรวมกลุ่มต่าง ๆไม่มีความเข้มแข็ง รวมถึงการรวมกลุ่มเป็นพรรคการเมือง

5. ความคิดเจ้าผู้ปกครองเป็นเจ้าเหนือแผ่นดินและทรัพย์สินทั้งปวง ทําให้ประชาชน ไม่รู้สึกถึงการเป็นเจ้าของประเทศ ส่งผลให้การรวมกลุ่มทางการเมืองขาดความเข้มแข็ง

6. การตั้งพรรคการเมืองของไทยเริ่มต้นมาจากฐานความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ คือ การตั้งพรรคการเมืองเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของผู้มีอํานาจตั้งพรรคการเมืองขึ้นเพื่อให้เป็นฐานอํานาจทางการเมือง ของกลุ่มตน แต่เมื่อผู้นําพรรคหมดอํานาจ พรรคการเมืองต่าง ๆ ก็มักสลายตามไปด้วย ซึ่งทําให้พรรคการเมือง ของไทยขาดความเป็นสถาบัน เพราะยึดติดกับตัวผู้นําหรือหัวหน้าพรรคมากเกินไป

ผลกระทบของปัญหาความอ่อนแอหรือความไม่เป็นสถาบันทางการเมืองของพรรคการเมืองต่อการพัฒนาประชาธิปไตยไทย

1. พรรคการเมืองไม่สามารถแสดงบทบาทและทําหน้าที่ที่ควรจะเป็นตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

2. พรรคการเมืองมิได้เป็นสถาบันของประชาชนอย่างแท้จริง แต่เป็นพรรคการเมืองของกลุ่มผู้มีอํานาจหรือชนชั้นนําซึ่งต้องการที่จะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองโดยใช้ชื่อประชาชนมากล่าวอ้าง
เพื่อความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย

3. การจัดตั้งพรรคการเมืองมิได้อยู่บนพื้นฐานของอุดมการณ์ทางการเมืองหรือการเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์และตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนจึงไม่ตระหนักในการเป็นสมาชิกและมีส่วนร่วมในพรรคการเมือง การบริหารและนโยบายของพรรคการเมืองจึงไม่สะท้อนผลประโยชน์ที่แท้จริง ของประเทศชาติและประชาชน

4. การรวมศูนย์อํานาจการตัดสินใจภายในพรรคการเมืองไว้ที่ผู้นําหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพล ในพรรคการเมือง ทําให้สมาชิกพรรคไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือร่วมตัดสินใจในการดําเนินการต่าง ๆ ของ พรรคการเมืองได้ เช่น การคัดสรรบุคคลเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งและดํารงตําแหน่งสําคัญทางการเมือง เป็นต้น

5. การจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองเป็นการจัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เท่านั้น มิได้ให้ความสําคัญกับการตั้งสาขาพรรคให้กระจายไปในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพื่อให้สาขาพรรคเป็นกลไก ในการเชื่อมโยงพรรคกับประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

แนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

พรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสําคัญในระบอบประชาธิปไตย ความเข้มแข็ง ในเชิงสถาบันของพรรคการเมืองถือว่ามีความสําคัญต่อการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตย ในกรณีของประเทศไทย
มีความพยายามแก้ไขปรับปรุงระบบพรรคการเมืองในเชิงโครงสร้างหรือในเชิงกฎหมายมาโดยตลอดทั้งในส่วนของรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพื่อนําไปสู่การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ของไทย แต่ความพยายามดังกล่าวเป็นเหมือนการทดลอง เมื่อมีการแก้ไขกฎหมายไปแล้วก็พบว่าก่อให้เกิดปัญหา ในเชิงปฏิบัติ ก็หันกลับไปใช้วิธีการหรือแก้ไขปัญหาในเชิงปฏิกิริยา (การแก้ไขปัญหาต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้า มากกว่าการแก้ไขปัญหาเพื่อเดินหน้าสู่อนาคต) ซึ่งก็เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ ต่อไปในอนาคต เพราะปัญหาของความเป็นสถาบันทางการเมืองของพรรคการเมืองไทยไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจาก ปัจจัยด้านโครงสร้างแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากพฤติกรรมของบุคคลด้วย ดังนั้นการสร้างความเป็นสถาบัน ทางการเมืองของพรรคการเมืองเพื่อนําไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยของไทยจึงต้องอาศัยวัฒนธรรมทางการเมืองของนักการเมืองและประชาชนที่เป็นประชาธิปไตย มองประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว และยึดถือ อุดมการณ์ในการรวมตัวเป็นพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคล

 

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2102 (PS 202) หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คําสั่ง ข้อสอบมีทั้งหมด 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อเท่านั้น

ข้อ 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับได้มีบทบัญญัติให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาตลอดนั้น ให้นักศึกษาอธิบายถึงการปกครอง ประชาธิปไตยดังกล่าวว่ามีหลักการสําคัญอะไรบ้างอย่างน้อย 5 ประการมาให้เข้าใจ โดยยกตัวอย่าง
ประกอบคําอธิบาย

แนวคําตอบ

หลักการสําคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1. หลักอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย (อํานาจสูงสุด) เป็นของประชาชน การปกครอง ที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถือว่า อํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย เป็นของประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีวิธีการปกครองที่แสดงออกให้เห็นว่า ประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้ ตลอดจนสามารถ เปลี่ยนแปลงและถอดถอนรัฐบาลได้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือ เปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีได้ทุก 4 ปี หรือประชาชนญี่ปุ่นที่สามารถเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลใน เวลาไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลักการอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนนี้ประชาชนต้องมี “อํานาจการตัดสินใจ ขั้นสุดท้าย” คือ ประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางนิติบัญญัติและบริหารของรัฐ และการตัดสินใจของ ประชาชนถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาด

2. หลักสิทธิ (Right) หน้าที่ (Duty) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชน เป็นหลักการที่ถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต่อมาถูกจํากัดโดยกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ของสังคมภายหลัง ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีกฎหมายเป็น หลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ เช่น การบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็น ด้านความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณา การรวมกลุ่มจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการใช้สิทธิ ทางการเมือง ซึ่งในกรณีของสิทธิเสรีภาพนี้มีข้อสังเกตก็คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่เป็นเสรีภาพ ที่จะทําอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต แต่เป็นเสรีภาพที่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายที่บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพ ของตนนั้นจะต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการจลาจล ซึ่งในหลักประกัน สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ นี้จะรวมทั้งความเสมอภาคทางการเมือง เพราะเสรีภาพที่ประชาชนมีเท่า ๆ กันก็จะก่อให้เกิด ความเสมอภาคทางการเมือง คือ การที่แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเท่า ๆ กัน โดยในระบอบประชาธิปไตยถือว่าแต่ละคนมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้ปกครอง หรือผู้แทนประชาชน เท่ากันตามหลัก One Man Cine Vote และสําหรับหลักการนี้ยังจะต้องประกอบด้วย การที่ประชาชนจะต้องรู้จัก หน้าที่ของพลเมืองในการดําเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น การมีหน้าที่ในการ เสียภาษีในอัตราที่เท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งอยู่ในเกณฑ์รายได้และสถานภาพอื่นพอ ๆ กัน

3. หลักกฎหมายสูงสุด หรือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติรัฐ หรือหลัก นิติธรรม (Rule of Law) การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ไม่ยึดตัวบุคคล แต่ยึดหลักการเป็นสิ่งสําคัญ
ซึ่งหลักการอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบนี้ก็คือ การยึดถือกฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครอง ที่ถือว่าประชาชนเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน หรือเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติรัฐหรือ
หลักนิติธรรมที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งหลักการสูงสุดของกฎหมายนี้ ยังรวมไปถึงการที่ศาลหรือกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีต่าง ๆ อันแสดงให้เห็นถึงว่า ศาลสามารถจะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือเป็นที่พึ่งของประชาชนภายในประเทศได้ นั่นคือ ในการตัดสินลงโทษจะใช้กระบวนการยุติธรรม มิใช่ตัดสินโดยบุคคลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ตลอดจนรวมถึงการ มีหลักกฎหมายที่มีการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย โดยองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัด ต่อรัฐธรรมนูญนี้อาจจะเป็นองค์กรการเมือง ศาลยุติธรรมธรรมดาหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่แนวความคิดเห็นและประเพณีนิยมทางการเมืองของแต่ละประเทศเพื่อให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญซึ่งวางหลักแห่งกฎหมายและหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับการปฏิบัติและเกิดผลอย่างจริงจัง

4. หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule) โดยคํานึงถึงเสียงข้างน้อย (Minority Right) หมายความว่า พรรคเสียงข้างมากทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาล และพรรคเสียงข้างน้อยทําหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ในระบอบประชาธิปไตยถือว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านมีความสําคัญเท่ากัน เพราะต่างก็เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประชาชนเช่นเดียวกัน และกลุ่มฝ่ายค้านก็สามารถเป็นรัฐบาลได้ในวันข้างหน้า นอกจากนี้คําว่าหลักเสียงข้างมาก ยังเป็นข้อยุติในปัญหาต่างๆ สําหรับระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย ดังนั้นการตัดสินใจทั้งหลายของรัฐบาลในระบอบ ประชาธิปไตยจึงต้องใช้หลักการเสียงข้างมาก เพราะถือว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลอยู่ในตัว และเสียงการตัดสินใจ โดยคนหมู่มากนั้นย่อมถูกต้องกว่าการตัดสินใจโดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันการใช้เสียงข้างมากก็จะคํานึงถึง เสียงข้างน้อยด้วย โดยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อย รวมทั้งยังยอมรับให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการของตนด้วย

5. หลักสันติวิธี เป็นหลักการที่เชื่อว่าพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยรู้จักใช้เหตุผล ไม่ทํา อะไรตามอารมณ์และความรู้สึก และไม่ทําอะไรเอาแต่ใจตนเองโดยไม่คํานึงถึงคนอื่น นอกจากนี้ยังยอมรับว่าคนเรา จะเหมือนกันไม่ได้ อาจมีการขัดแย้ง ต้องมีการเจรจา และประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยจึงดําเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ โดยสันติวิธีด้วยการไม่ใช้กําลังความรุนแรง เช่น การเจรจา การประนีประนอม การใช้กลไกการเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในทุก ๆ กลุ่ม ป้องกันการสูญเสียเลือดเนื้อและบาดเจ็บล้มตาย

 

ข้อ 2. ให้นักศึกษาอธิบายศัพท์เทคนิคทางรัฐศาสตร์ดังต่อไปนี้ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

2.1 Rebellion

แนวคําตอบ

Rebellion (กบฏ) หมายถึง การยึดอํานาจที่ไม่สําเร็จ จึงเป็นผู้แพ้ มีความผิดตามที่ผู้ชนะ (รัฐบาลเวลานั้น) จะสั่งการด้วยวิธีใดก็ย่อมทําได้ เช่น จับติดคุก ประหารชีวิต เนรเทศออกนอกประเทศ เป็นต้น กบฏถือเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายไทย

ตัวอย่างเหตุการณ์กบฏในประเทศไทย เช่น

ในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา เกิดกบฏ 3 ครั้ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการต้องการกลับไปใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก ได้แก่

1. “กบฏบวรเดช” นําโดยพลเอกพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช เกิดขึ้นวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476

2. “กบฏนายสิบ” นําโดยสิบเอกสวัสดิ์ มะหะหมัด เกิดขึ้นวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2478

3. “กบฏพระยาทรงสุรเดช” นําโดยพันเอกพระยาทรงสุรเดช เกิดขึ้นวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481

ในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดกบฏ 2 ครั้ง คือ

1. “กบฏเมษาฮาวาย” หรือ “กบฏยังเตอร์ก” นําโดยพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา และ กลุ่มทหารยังเตอร์ก เกิดขึ้นวันที่ 1 – 3 เมษายน พ.ศ. 2524

2. “กบฏไอ้โม่ง นัดแล้วใยไม่มา” นําโดยพันเอกมนูญ รูปขจร เกิดขึ้นวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528

2.2 Recall

แนวคําตอบ

Recall (การถอดถอนผู้ใช้อํานาจรัฐ) หมายถึง การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการถอดถอน ผู้ใช้อํานาจรัฐ โดยจะมีรายละเอียดกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าจะต้องมีเสียงอย่างต่ําที่เสียง

กรณีประเทศไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติเรื่อง การถอดถอนผู้ใช้อํานาจรัฐไว้โดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้กําหนดจํานวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไว้ 50,000 คน ส่วนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้กําหนดจํานวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไว้ 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อ ประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลผู้ใช้อํานาจรัฐซึ่งได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหรือ ตุลาการ พนักงานอัยการ หรือผู้ดํารงตําแหน่งระดับสูงตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต อันมีพฤติการณ์ร่ํารวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ส่อว่ากระทําผิดต่อตําแหน่ง

หน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ออกจากตําแหน่งได้

2.3 Election

แนวคําตอบ

Election (การเลือกตั้ง) เป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นการแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยที่จะมอบความไว้วางใจ
ในตัวแทนของปวงชนให้มาใช้อํานาจแทนตน ดังนั้นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยผู้ปกครองหรือผู้บริหาร ประเทศจึงต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และการเลือกตั้งนั้นจะต้องเป็นไปอย่างอิสรเสรี เสมอภาค และ ลงคะแนนลับ โดยผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจากการออกเสียงเลือกตั้งจะเป็นผู้เข้ามาใช้อํานาจรัฐแทนประชาชน ซึ่งใน ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาผู้ที่จะเข้ามาใช้อํานาจรัฐก็คือ นายกรัฐมนตรี ส่วนในระบอบประชาธิปไตยแบบ ประธานาธิบดีผู้ที่จะเข้ามาใช้อํานาจรัฐก็คือ ประธานาธิบดี

กรณีประเทศไทย การเลือกตั้งของไทยนั้นมีทั้งการเลือกตั้งในระดับชาติ คือ การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา และการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น คือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็น “การเลือกตั้งทางอ้อมครั้งแรกและครั้งเดียวของประเทศไทย” คือ ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งผู้แทนตําบลก่อน แล้วผู้แทนตําบลเป็นผู้เลือกผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง ส่วนการเลือกตั้งในครั้งต่อ ๆ มาจนถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เป็นการเลือกตั้งทางตรง คือ การให้ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ทําการออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยตรงไม่ผ่านตัวแทนอื่นใด

ส่วนสมาชิกวุฒิสภานั้น นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา มีการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งในเวลานั้นเรียกว่า พฤฒิสภา เป็นการเลือกตั้ง ทางอ้อม คือ ให้ประชาชนเลือกตั้งตัวแทนเข้ามาทําหน้าที่เลือกสมาชิกวุฒิสภา ส่วนการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่กําหนดให้สมาชิกวุฒิสภา ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และอีกส่วนหนึ่งมาจากการสรรหา

สําหรับองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมและบริหารจัดการการเลือกตั้งให้เป็นไปตามความบริสุทธิ์ และยุติธรรม หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” นั้น มีครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดยก่อนหน้านั้นนับตั้งแต่ประเทศไทยมีการเลือกตั้งครั้งแรกจนกระทั่งก่อนการ ประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 การควบคุมและบริหารจัดการการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย

2.4 Uprising

แนวคําตอบ

Uprising (การจลาจลทางการเมือง) หมายถึง การที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อต้าน (Standing up against) ผู้ปกครอง/ผู้ใช้อํานาจรัฐ หรือรัฐธรรมนูญในเวลานั้น โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์เท่านั้น ซึ่งจะนําโดยกลุ่มปัญญาชน นิสิต นักศึกษา และนักวิชาการ จากนั้น ประชาชนบางกลุ่มก็จะเข้ามาร่วมสนับสนุนในอุดมการณ์นั้น และเมื่อรัฐบาลยอมทําตามอุดมการณ์ที่กลุ่มต้องการแล้วก็จะยุติการจลาจลลง

ตัวอย่างเหตุการณ์การจลาจลทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมี 2 ครั้ง คือ

– เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “วันมหาวิปโยค

– เหตุการณ์วันที่ 17 – 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ในสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่า “พฤษภาทมิฬ”

2.5 Kingdomn

แนวคําตอบ

Kingdom (ราชอาณาจักร) หมายถึง ประเทศที่มีประมุขของรัฐเป็นพระมหากษัตริย์ เป็น พระราชินี หรือเป็นพระจักรพรรดิ เช่น ไทย อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สวีเดน เป็นต้น ซึ่งในอดีตการเกิด เป็นประเทศที่เรียกว่า ราชอาณาจักร เกิดจากแม่ทัพในขณะนั้นปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ คือ แม่ทัพไปรบกับรัฐอื่น ๆ จนได้รับชัยชนะแล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ การสถาปนาตนเองขึ้นเป็น พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า ปราบดาภิเษก ต่อมาเมื่อกษัตริย์พระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ พระโอรสก็จะต้องขึ้น ครองราชย์แทน การที่พระโอรสขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์แทนพระบิดาที่สิ้นพระชนม์ เรียกว่า ราชาภิเษก

ข้อ 3. ความเข้มแข็งของสถาบันการเมือง หรือ “ความเป็นสถาบัน” ของสถาบันทางการเมืองเป็นปัจจัย สําคัญของการพัฒนาทางการเมือง ในทางตรงกันข้ามความไม่เป็นสถาบันของสถาบันทางการเมือง
ก็ส่งผลสําคัญต่อความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองหรือกระทั่งการล้มลงของระบบการเมือง จากคํากล่าวข้างต้นให้นักศึกษาวิเคราะห์สาเหตุของความไม่เป็นสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไทยว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุใด โดยให้ยกตัวอย่างสถาบันทางการเมืองสถาบันใด สถาบันหนึ่งขึ้นมาอธิบายเป็นตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ

สาเหตุของความไม่เป็นสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไทย

สถาบันทางการเมืองของไทยยังขาดความเป็นสถาบัน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือสถาบัน ทางการเมืองที่สร้างขึ้นมายังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมือง คือ ยังไม่สามารถตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ความต้องการ ตลอดจนการประนีประนอมอํานาจและผลประโยชน์ของฝ่ายต่าง ๆ ในสังคมไทยได้ทั้งในระดับ ของชนชั้นนําและระดับของประชาชนโดยทั่วไป สถาบันทางการเมืองไทยจึงถูกล้มลงและสร้างขึ้นใหม่บ่อยครั้ง
ในระบบการเมืองไทย

ตัวอย่างเช่น พรรคการเมืองไทย มักมีปัญหาในเรื่องความเป็นสถาบัน หรือก็คือความสามารถ ของพรรคการเมืองในการปรับตัวเมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การมีความคงทน การมีโครงสร้าง ที่สลับซับซ้อน การแยกตัวบุคคลออกจากการครองอํานาจของใครคนใดคนหนึ่งภายในพรรค เป็นต้น

บูฆอรี ยีหมะ เห็นว่า ปัญหาที่พบมากที่สุดของความอ่อนแอในเชิงสถาบันของพรรคการเมือง ในประเทศกําลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยด้วยนั้น เกิดขึ้นจากต้นเหตุสําคัญคือการยึดติดกับตัวบุคคลมากเกินไป หรือก็คือการที่พรรคถูกครอบงําจากผู้นําภายในพรรคนั่นเอง จนทําให้พรรคดํารงอยู่ได้ด้วยอํานาจของบุคคล
ไม่ใช่เพราะความเป็นสถาบันที่เข้มแข็ง และง่ายต่อการล่มสลายหากผู้นําพรรคหลุดพ้นจากอํานาจทางการเมือง

นอกจากนี้ ความไม่เป็นสถาบันทางการเมืองของพรรคการเมืองไทยยังมีสาเหตุมาจาก

1. ความขัดแย้งทางอุดมคติเกี่ยวกับแนวคิดการจัดตั้งพรรคการเมือง ปัญหานี้เกิดขึ้น เนื่องจากแนวคิดการจัดตั้งพรรคการเมืองไปขัดแย้งกับอุดมคติดั้งเดิมซึ่งเน้นความเป็นรัฐที่มีความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน จึงปฏิเสธการแบ่งกลุ่มต่าง ๆ ภายในรัฐ ดังนั้นอุดมคตินี้จึงมักถูกใช้เป็นข้ออ้างของฝ่ายอํานาจในการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด

2. ลักษณะนิสัยของคนไทยที่มีความเป็นปัจเจกชนนิยมสูง ทําให้เป็นอุปสรรคต่อ การทํางานร่วมกัน และเป็นอุปสรรคต่อความเข้มแข็งของพรรคการเมืองไทย

3. ระบบอาวุโสทําให้สมาชิกมีความผูกพันต่อพรรคในระดับต่ํา ทั้งนี้เนื่องจากผู้อาวุโส ในพรรคมีบทบาทอํานาจในพรรคมาก ทําให้ผู้น้อยไม่อาจเข้าไปมีบทบาทในพรรคได้มากนัก จึงทําให้สมาชิกส่วนใหญ่ ของพรรคไม่รู้สึกถึงความผูกพันต่อพรรคการเมือง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความเข้มแข็งของพรรคการเมืองไทย

4. โครงสร้างทางสังคมของไทยเป็นโครงสร้างแบบหลวม ๆ ส่งผลให้การรวมกลุ่มต่าง ๆไม่มีความเข้มแข็ง รวมถึงการรวมกลุ่มเป็นพรรคการเมือง

5. ความคิดเจ้าผู้ปกครองเป็นเจ้าเหนือแผ่นดินและทรัพย์สินทั้งปวง ทําให้ประชาชน ไม่รู้สึกถึงการเป็นเจ้าของประเทศ ส่งผลให้การรวมกลุ่มทางการเมืองขาดความเข้มแข็ง

6. การตั้งพรรคการเมืองของไทยเริ่มต้นมาจากฐานความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ คือ การตั้งพรรคการเมืองเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของผู้มีอํานาจตั้งพรรคการเมืองขึ้นเพื่อให้เป็นฐานอํานาจทางการเมือง ของกลุ่มตน แต่เมื่อผู้นําพรรคหมดอํานาจ พรรคการเมืองต่าง ๆ ก็มักสลายตามไปด้วย ซึ่งก็เป็นปัญหาเดียวกัน กับกรณีพรรคการเมืองของไทยมักยึดติดกับตัวผู้นําหรือหัวหน้าพรรคมากเกินไป จึงทําให้พรรคการเมืองของไทย
ขาดความเป็นสถาบัน

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คําสั่ง ข้อสอบมี 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1. อธิบายเรื่องรูปแบบการปกครองของรัฐมาให้เข้าใจดังต่อไปนี้

ระบบรัฐสภา
ระบบประธานาธิบดี
ระบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา

แนวคําตอบ

รูปแบบการปกครองของรัฐในระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1. ระบบรัฐสภา (Parliamentary System)
2. ระบบประธานาธิบดี (Presidential System)
3. ระบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา (Semi-Presidential and Semi-Parliamentary
System)

1. ระบบรัฐสภา (Parliamentary System)
ระบบรัฐสภาเป็นรูปแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่อังกฤษเป็นแม่แบบที่เรียกว่า ซึ่งในการปกครองระบบนี้จะถือว่ารัฐสภาเป็นองค์กรการเมืองที่มีความสําคัญกว่า“ระบบรัฐสภาคลาสสิก”
องค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้วรัฐบาลที่ปกครอง และบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงานด้วยความ รับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั่นเอง

ขั้นตอนกระบวนการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้
1. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
2. สภาผู้แทนราษฎรประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี
3. นายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะรัฐมนตรี
4. คณะรัฐมนตรีเสนอนโยบายรัฐบาลให้รัฐสภาเห็นชอบ
5. ครบวาระเลือกตั้งใหม่ หรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1. อํานาจอธิปไตยแยกตามหน้าที่ กล่าวคือ อํานาจรัฐไม่ได้รวมไว้ในองค์กรเดียว แต่มี การแยกให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ ได้แก่ อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติ ใช้โดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล

2. การแยกอํานาจไม่แยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่าย ให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3. อํานาจที่แบ่งแยกนี้จะมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้ มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีดังนี้

1. ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่า พระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่ง ประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2. ประมุขของรัฐมีลักษณะสําคัญคือ มีสถานะเป็นกลางทางการเมือง หรือไม่ต้องรับผิดชอบ ทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐไม่อาจถูกถอดถอนออกจาก ตําแหน่ง จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เองที่ทําให้กิจกรรมใด ๆ ของประมุขของรัฐต้องมีการลงนาม กํากับหรือลงนามรับสนองพระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบ ในกิจกรรมนั้น ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎร

3. ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) หรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้น จะต้องเสนอนโยบายเพื่อขอความไว้วางใจหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4. รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจทําให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลต้องออกจากตําแหน่งได้ โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะนายกรัฐมนตรีก็ได้

5. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามเพื่อควบคุมการบริหารงานของรัฐบาลของรัฐบาล หรือรัฐบาล กับฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้แทนราษฎร

6. ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน

7. ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการกระทําของฝ่ายบริหาร

8. ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการถ่วงดุล

9. ฝ่ายบริหารมีอํานาจเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติได้เช่นเดียวกันกับสมาชิกสภา

10. ฝ่ายบริหารมีอํานาจเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ

11. ศาลและผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาดังกล่าวนี้จะมีเสถียรภาพและดําเนินไปได้ด้วยดีก็ขึ้นอยู่กับการมีระบบพรรคการเมืองใหญ่และเป็นระบบ 2 พรรค จึงจะทําให้การเมืองของประเทศมีเสถียรภาพ และรัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ครบวาระสมัย

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ได้แก่ อังกฤษ เบลเยียม
เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี สเปน กรีซ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เป็นต้น

2. ระบบประธานาธิบดี (Presidential System)

ระบบประธานาธิบดีเป็นรูปแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบที่เรียกว่า “ระบบประธานาธิบดีคลาสสิก” ซึ่งเกิดมาจากความคิดของผู้เริ่มก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาที่ต้องการจะกําหนดรูปแบบการปกครองของประเทศให้เหมาะสมกับประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญในสมัยแรกเริ่มก่อตั้งประเทศ

ขั้นตอน กระบวนการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี มีดังนี้
1. การเลือกตั้งประธานาธิบดี
2. การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา
3. ครบวาระเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี มีดังนี้

1. อํานาจอธิปไตยหรืออํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐถูกมอบหมายให้แต่ละองค์กรนําไปปฏิบัติ โดยไม่รวมอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งเพียงองค์กรเดียว กล่าวคือ อํานาจบริหารจะใช้โดยฝ่ายบริหารที่เรียกว่า ประธานาธิบดีหรือคณะรัฐบาล อํานาจนิติบัญญัติจะใช้โดยฝ่ายรัฐสภา และอํานาจตุลาการจะใช้โดยฝ่ายศาล

2. การแยกอํานาจแยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ องค์กรต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายอํานาจหน้าที่ ของรัฐไปปฏิบัติจะเป็นอิสระต่อกันโดยเด็ดขาด แต่ละองค์กรจะทําหน้าที่ของแต่ละฝ่ายโดยไม่ก้าวก่ายตรวจสอบ หรือควบคุมซึ่งกันและกัน เช่น ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจในการยุบสภา ขณะเดียวกันฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่มีอํานาจ ในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร เป็นต้น และแต่ละฝ่ายก็จะมีที่มาเป็นอิสระต่อกัน เช่น ประธานาธิบดี หรือสมาชิกรัฐสภาก็จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแยกแต่ละฝ่ายกัน

3. ฝ่ายต่าง ๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่จะอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระ เช่น ประธานาธิบดีมีวาระ 4 ปี ก็จะอยู่จนครบ 4 ปี หรือฝ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 2 ปี ก็จะอยู่จนครบ 2 ปี เป็นต้น

วิธีการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี มีดังนี้

1. ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะเป็นบุคคลเดียวกัน และมาจากการเลือกตั้งจากประชาชนจะโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมก็ได้ โดยไม่ผ่านทางรัฐสภา ซึ่งตําแหน่งดังกล่าวนี้เรียกว่า ประธานาธิบดี

2. ประมุขฝ่ายบริหารสามารถตั้งรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ ประธานาธิบดีสามารถเลือกรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร
แต่กรณีของสหรัฐอเมริกาต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาก่อน

3. ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอํานาจในเรื่องการไม่ให้ความไว้วางใจแก่ฝ่ายบริหาร กล่าวคือ สมาชิก
สภาผู้แทนราษฎรจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีและรัฐมนตรีไม่ได้

4. ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจริเริ่มเสนอกฎหมาย การเสนอกฎหมายเป็นอํานาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ

5. ฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีไม่มีอํานาจยุบสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ

6. ฝ่ายบริหารไม่มีอํานาจเรียกประชุมรัฐสภา กล่าวคือ ประธานาธิบดีไม่มีอํานาจเรียก ประชุมสภา การประชุมสภาเป็นอํานาจหรือเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสภา

7. ประธานาธิบดีสามารถเสนอนโยบาย โดยสภาผู้แทนราษฎรทําหน้าที่อนุมัติงบประมาณ

8. ประธานาธิบดีเป็นผู้แทนประเทศในการทําสนธิสัญญากับต่างชาติ โดยวุฒิสภาทําหน้าที่ให้สัตยาบัน

9. ทุกฝ่ายจะอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ประธานาธิบดี มีวาระ 4 ปี ก็อยู่จนครบ 4 ปี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 2 ปี ก็อยู่จนครบ 2 ปี เป็นต้น

10. ฝ่ายตุลาการมีหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษา เพื่อมิต้องตกอยู่ภายใต้อํานาจ ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยมีกฎหมายเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษาโดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม แม้ในหลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดีจะไม่ก้าวก่ายและตรวจสอบควบคุมซึ่งกันและกัน แต่ในทางปฏิบัติก็อาจมีการผ่อนคลายบ้างในกรณีที่เกิดปัญหา วิกฤติในการเมืองการปกครอง เช่น การให้ประธานาธิบดีมีอํานาจยับยั้งกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาตามกลไกทาง การเมืองที่เรียกว่า Veto หรือการให้อํานาจฝ่ายนิติบัญญัติทําหน้าที่กล่าวหาประธานาธิบดีในกรณีที่มีการกระทํา
ที่ไม่เหมาะสมที่จะนําไปสู่ความเสื่อมเสียแก่เกียรติภูมิของประเทศหรือเสื่อมเสียกับตําแหน่งตามกลไกทางการเมืองที่เรียกว่า Impeachment

การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดีจะมีเสถียรภาพหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับระบบพรรคการเมืองที่ไม่เคร่งครัดในระเบียบวินัยของพรรค เพราะถ้าประธานาธิบดีอยู่ตรงกันข้ามกับเสียงข้างมาก
ในสภาจะได้ไม่มีปัญหา และการมีนักการเมืองที่มีวุฒิภาวะที่เห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติเป็นส่วนรวมด้วย
จึงจะทําให้การปกครองระบบประธานาธิบดีนี้ดําเนินไปได้ด้วยดี

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี ได้แก่ สหรัฐอเมริกา
เม็กซิโก บราซิล อาร์เจนตินา ชิลี อุรุกวัย เอกวาดอร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น

3. ระบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา (Semi-Presidential and Semi-Parliamentary System)

ระบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภาเป็นรูปแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ ซึ่งคิดค้นขึ้นโดยอดีตประธานาธิบดีชาลส์ เดอ โกลล์ (Charles de Gaulle) โดยการนําเอาหลักการ สําคัญของระบบรัฐสภากับระบบประธานาธิบดีมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้อํานาจฝ่ายบริหารมีเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งเป็นการเน้นด้านเสถียรภาพของรัฐบาล

ขั้นตอนกระบวนการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา มีดังนี้

1. การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงจากประชาชน
2. การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา
3. ประธานาธิบดีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
4. คณะรัฐมนตรีบริหารด้วยความไว้วางใจต่อรัฐสภา 5. ครบวาระเลือกตั้งใหม่

วิธีการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา มีดังนี้

1. ประมุขของรัฐคือประธานาธิบดี มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยไม่ผ่านทางรัฐสภา โดยประธานาธิบดีจะอยู่ในตําแหน่งจนครบวาระ
2. ประธานาธิบดีมีอํานาจในการยุบสภา
3. ประธานาธิบดีมีอํานาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
4. ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะบริหารงานต้องแถลงนโยบายขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน
5. สภาผู้แทนราษฎรมีอํานาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
6. รัฐสภาไม่มีอํานาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดี
7. ศาลหรือผู้พิพากษามีความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

อนึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสมีอํานาจมากกว่าประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เพราะประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาไม่มีอํานาจในการยุบสภา แต่ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสมีอํานาจในการยุบสภา ในขณะที่สภาฝรั่งเศสไม่มีอํานาจเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจประธานาธิบดี

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภาได้แก่ ฝรั่งเศส รัสเซีย ติมอร์ตะวันออก อียิปต์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน เป็นต้น

ข้อ 2. จงอธิบายถึงความสําคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทยในปัจจุบันมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นับเป็นจุดเริ่มต้นระบอบประชาธิปไตยของไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงความสําคัญทางอํานาจจากเดิมให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้พระราชอํานาจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยตรงมาเป็นรัฐบาลที่รัฐสภาเป็นผู้จัดตั้งขึ้น มีการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครอง และตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งมี
กําหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารให้มีดุลยภาพและประสิทธิภาพ
การให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริตเที่ยงธรรม

ดังนั้นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยจะต้องพิจารณาโครงสร้างทางการเมืองการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย พัฒนาให้สังคมปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ส่งเสริมการพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ รวมทั้งต้องเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงทัศนะและได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เพื่อเป็นการช่วยให้รัฐบาลมีความรอบคอบในการบริหาร ประเทศ และสอดคล้องตรงกับความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการควบคุมการบริหารประเทศ อีกทางหนึ่งด้วย

ความสําคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย

1. การพัฒนาระบบเศรษฐกิจ จะเห็นว่าการพัฒนาทางการเมืองจะบรรลุผลสําเร็จได้ มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันการพัฒนาทางเศรษฐกิจก็ขึ้นอยู่กับการพัฒนา ทางการเมืองด้วยเช่นเดียวกัน นั่นคือ หากรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจทั้งชนบทและเมืองให้มีความแตกต่างกัน น้อยลง ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ ก็จะส่งผลให้ประชาชนมีฐานะทางด้านเศรษฐกิจที่ดี มีกินมีใช้ ไม่มีหนี้สินประชาชน ก็จะให้ความสนใจทางการเมือง และเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น

การพัฒนาระบบเศรษฐกิจสามารถกระทําได้ดังนี้

1) การกระจายความเจริญไปสู่ชนบทและภูมิภาคต่าง ๆ อย่างทั่วถึง
2) การส่งเสริมอาชีพและรายได้แก่ประชาชนในชุมชนและเกษตรกรให้เป็นรูปธรรม เช่น เกษตรแบบพึ่งตนเอง เกษตรทฤษฎีใหม่ เศรษฐกิจแบบพอเพียง เป็นต้น

3) การพัฒนาปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรในชนบท เพื่อสนับสนุนอาชีพของเกษตรกร เช่น ที่ดินทํากิน แหล่งน้ำ ไฟฟ้า ถนน เป็นต้น

4) การสร้างงานในชนบท เพื่อป้องกันปัญหาการอพยพไปขายแรงงานในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ และปัญหาการอพยพย้ายถิ่นอันทําให้เกิดปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา

2. การพัฒนาระบบการศึกษา เนื่องจากระบบการศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาคนให้มี ความรู้ความเข้าใจและกล่อมเกลาทางการเมืองได้ดีที่สุด ทั้งรูปแบบการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการศึกษาในระบบโรงเรียนในทางทฤษฎีนั้นเป็นการศึกษาเรียนรู้เรื่องปรัชญา หลักการ รูปแบบประชาธิปไตย ฯลฯ ในขณะเดียวกันในทางปฏิบัติต้องมีการฝึกปฏิบัติวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย โดยผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนเสริมหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อหล่อหลอมให้นักเรียนนักศึกษาได้ซึมซับคุณค่าของประชาธิปไตยโดยตรง ส่วนการศึกษา นอกระบบโรงเรียนนั้นสามารถให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตยผ่านทางสื่อมวลชนต่าง ๆ รวมทั้งครอบครัวต้องสามารถ ให้การเรียนรู้ประชาธิปไตยที่เป็นวิถีชีวิตกับสมาชิกในครอบครัวได้

3. การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ถือว่าเป็นหัวใจสําคัญของ การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย นั่นคือ การปลูกฝังให้ประชาชนมีจิตสํานึก มีความรู้ ความเข้าใจ คุณค่าของ ระบอบประชาธิปไตย และหวงแหนระบอบประชาธิปไตย ต่อต้านระบอบเผด็จการ แต่การเสริมสร้างวัฒนธรรม
ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและต้องมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพ ใช้ความ พยายาม ความอดทน และต้องมีความตั้งใจจริงจากผู้นําทางการเมือง โดยต้องกระทําอย่างต่อเนื่อง

4. การปฏิรูปทางการเมือง ได้แก่ การแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย การพัฒนาระบบรัฐสภา การพัฒนาระบบพรรคการเมือง การพัฒนาระบบการเลือกตั้ง การตรวจสอบทาง การเมือง การป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง เป็นต้น

5. การพัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดขนาดของ ระบบราชการให้เล็กลง แต่สามารถทํางานให้มีประสิทธิภาพ หน่วยงานใดมีลักษณะงานที่ซ้ําซ้อนควรยุบรวมกัน มีการปฏิรูประบบราชการให้มีโครงสร้างหรือสายการบังคับบัญชาที่สั้นกะทัดรัด บริหารและบริการสะดวก หรือที่เรียกว่า “การปฏิรูประบบราชการ” หรือ “การออกแบบระบบราชการเสียใหม่” (Reengineering) ซึ่ง ในปัจจุบันรัฐบาลได้มีการปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงใหม่ ระบบบริหารจัดการ ระบบงบประมาณ ตลอดจนระบบการบริหารงานบุคคล ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาของระบบราชการไทย

6. การพัฒนาด้านสังคม โดยพยายามยกระดับคนในสังคมให้เป็นชนชั้นกลางมากขึ้น ทั้งนี้เพราะในอดีตประเทศไทยนั้นพบว่ามีชนชั้นกลางน้อย แต่มีชนชั้นล่างมาก ดังนั้นการจะยกระดับชนชั้นใด ในสังคมให้เป็นชนชั้นกลางมากขึ้นนั้น จําเป็นต้องยกระดับการศึกษาให้สูงขึ้นถึงระดับปริญญาตรี และยกฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชนให้สูงขึ้นด้วยเพื่อให้มีความเป็นอยู่พอกินพอใช้มากยิ่งขึ้น

7. การเข้ามีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อระบอบประชาธิปไตยให้ความสําคัญกับประชาชน ในฐานะที่เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย บทบาทของประชาชนในทางการเมืองและการใช้อํานาจที่ผ่านทางองค์กร ทางการเมืองต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สุขของตนเองจึงมีความสําคัญอย่างมาก เพราะประชาธิปไตยนั้นถือว่าประชาชน คือเสียงสวรรค์ เป็นระบบที่เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมดําเนินการเพื่อสร้างสรรค์สังคมของตนเอง โดยกิจกรรม การเข้าร่วมทางการเมืองของประชาชนอาจเป็นทางอ้อมโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเข้าไปทํา หน้าที่แทน หรือโดยทางตรง ได้แก่ การประท้วง การเรียกร้องในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้รัฐบาลรับทราบถึงปัญหาเป็นต้น

8. การยอมรับความแตกต่าง เมื่อระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ประชาชนจึงมีเสรีภาพ ระบอบประชาธิปไตยจึงให้เสรีภาพและยอมรับความ หลากหลายของประชาชน ประชาชนจึงแตกต่างกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกอาชีพ วิถีชีวิต ความเชื่อ ทางศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นเพื่อมิให้ความแตกต่างนํามาซึ่งความแตกแยกทางสังคม พลเมือง ในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องยอมรับและเคารพความแตกต่างของกันและกัน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ ถึงแม้จะแตกต่างกันก็จะต้องไม่มีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่เห็นแตกต่างไปจากตนเอง แม้จะไม่เห็นด้วยก็จะต้อง ยอมรับว่าคนอื่นมีสิทธิที่จะแตกต่างหรือมีความคิดเห็นที่ต่างไปจากเราได้ และต้องยอมรับโดยไม่จําเป็นที่จะต้องเข้าใจว่าทําไมเขาถึงเชื่อหรือเห็นแตกต่างไปจากเรา สามารถที่จะคุยเรื่องการเมืองกันได้แม้จะเลือกพรรคการเมือง คนละพรรคหรือสนับสนุนคนละฝ่าย

9. การรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อระบอบประชาธิปไตยมิใช่ระบอบการปกครองตามอําเภอใจ หรือมิใช่ใครจะทําอะไรได้โดยไม่คํานึงถึงส่วนรวม พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยยังจะต้องใช้สิทธิเสรีภาพของตน โดยรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ทั้งนี้เพราะสังคมหรือประเทศชาติมิได้ดีขึ้นหรือแย่ลงโดยตัวเอง แต่สังคมจะดีขึ้นได้ หรือแย่ลงไปก็ด้วยการกระทําของคนในสังคม ดังนั้นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยจะส่งผลโดยตรงต่อประชาชน ผู้ซึ่งมีสํานึกของความเป็นเจ้าของประเทศและเป็นเจ้าของสังคม มิให้เป็นที่ใช้สิทธิเสรีภาพตามอําเภอใจแล้วทําให้ สังคมเสื่อมลงไป หากแต่เป็นผู้ที่ใช้สิทธิเสรีภาพโดยรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม เป็นผู้มีส่วนร่วมในการแก้ไข ปัญหาและช่วยกันทําให้สังคมดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา เป็นต้น

ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทยจะสมบูรณ์ได้นั้นจะต้องส่งเสริม ให้มีการพัฒนาทั้งระบบในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมให้มีเสถียรภาพ รวมทั้งต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วม ทางการเมืองของประชาชนให้มีบทบาทมากยิ่งขึ้น ด้านการเมืองต้องเสริมสร้างระบบการเมือง รัฐบาลต้องมีนโยบาย การบริหารและการพัฒนาให้ครอบคลุมถึงความต้องการของประชาชนอย่างรอบด้าน โดยสามารถนําไปปฏิบัติได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย โดยปลูกฝังให้ประชาชนมีจิตสํานึก มีความรู้ และเห็นคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้นต้องพัฒนาเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลต้อง บริหารให้มีมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น มีการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกัน รวมทั้งส่งเสริมให้ระบบเศรษฐกิจ มีเสถียรภาพทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และในด้านสังคมต้องให้การศึกษาระดับพื้นฐานแก่ ประชาชน ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชน ร่วมคิดร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมดําเนินการทุก ๆ เรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และ นําความคิดเห็นความต้องการของประชาชนไปประกอบการพิจารณาเพื่อกําหนดนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เพื่อเป็น การพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยให้มีความก้าวหน้าและพัฒนาแบบยั่งยืนต่อไป

POL2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2562

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2562
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คําสั่ง ข้อสอบมีทั้งหมด 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อเท่านั้น

ข้อ 1. ให้นักศึกษาอธิบายอํานาจร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับความหมาย รูปแบบ พร้อมกับวิเคราะห์รัฐธรรมนูญ ของประเทศไทยว่าส่วนใหญ่เกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญรูปแบบใด

แนวคําตอบ

อํานาจร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึง อํานาจในการจัดทํารัฐธรรมนูญ อํานาจในการกําหนด หลักการแห่งรัฐธรรมนูญ อํานาจในการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยบัญญัติเป็นหมวด เป็นมาตราต่าง ๆ รวมถึง การลงมติเห็นพ้องกันให้ใช้บังคับเป็นกฎหมาย ตลอดจนครอบคลุมไปถึงการประกาศใช้ หรือกล่าวโดยสรุป อํานาจร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึง ขั้นตอนต่าง ๆ ในการจัดทํารัฐธรรมนูญนั่นเอง รูปแบบของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญมี 2 รูปแบบ ได้แก่

1. อํานาจพิจารณาใหม่ เป็นอํานาจที่มีอยู่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หมายความว่าเป็นอานาจร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับที่กําลังใช้อยู่ได้วางระเบียบการจัดตั้งอํานาจและกําหนดวิธีการ ดําเนินการไว้ โดยในทางปฏิบัติจะปรากฏในรูปของอํานาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (Amendment) ซึ่งรัฐธรรมนูญ ลายลักษณ์อักษรจะมีหมวดว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่เสมอ โดยกําหนดว่าญัตติในการเสนอขอแก้ไขเป็น องค์กรใด ผู้มีอํานาจในการพิจารณาแก้ไขคือองค์กรใด และต้องใช้คะแนนเสียงข้างมากในจํานวนเท่าใด นอกจากนี้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นผู้มีอํานาจจะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีอยู่กี่มาตราก็ได้หรืออาจแก้ไขทั้งฉบับก็ได้

ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ 3 (รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489) เกิดจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 (รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) หรือรัฐธรรมนูญฉบับที่ 15 (รัฐธรรมนูญ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2534) เป็นฉบับที่มีการแก้ไขมากที่สุด โดยใช้อํานาจพิจารณาใหม่แก้ไขเกือบทั้งฉบับ (ยกเว้น หมวดทั่วไปกับหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์เท่านั้น) ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับนี้ เป็นการแก้ไขที่มีผลทําให้ เปลี่ยนรัฐธรรมนูญในแบบอํามาตยาธิปไตย (Bureaucracy) มาเป็นรัฐธรรมนูญในแบบประชาธิปไตย (Democracy)

2. อํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม เป็นอํานาจที่ไม่มีอยู่ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเพราะว่าไม่มีรัฐธรรมนูญในขณะนั้น โดยเป็นอํานาจร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดจากสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี คือ

1) การก่อตั้งรัฐใหม่
2) มีการปฏิวัติหรือการทํารัฐประหาร

ดังนั้น ผู้ก่อตั้งรัฐใหม่หรือผู้ทําการปฏิวัติรัฐประหารจะมีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม ซึ่งหมายความว่า มีอํานาจแรกเริ่ม อิสระ ไม่ผูกพันกับตัวบทกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนใด ๆ ที่มีอยู่ก่อน ทั้งสิ้น เป็นอํานาจอิสระจริง ๆ สามารถกําหนดหลักการแห่งรัฐธรรมนูญอย่างใดก็ได้ โดยไม่จําเป็นต้องไปผูกพันกับ รัฐธรรมนูญฉบับเก่าที่เคยมีอยู่ในอดีต อีกทั้งยังสามารถยกเลิกหลักการปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Law) ไปเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้มาตรา 17 เป็นต้น

รัฐธรรมนูญไทยเกือบทุกฉบับเกิดจากอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม เพราะเกิดจาก การทํารัฐประหารถือว่ามีอํานาจ “รัฏฐาธิปัตย์” คือ อํานาจปกครองบังคับบัญชาสูงสุดภายในรัฐ จึงสามารถ ร่างรัฐธรรมนูญในแบบใดก็ได้ โดยไม่จําเป็นต้องเคารพหรือปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนที่เคยมีในรัฐธรรมนูญ ฉบับเก่า แต่ต้องยึดอํานาจให้สําเร็จจึงจะมีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิมได้ ถ้าแพ้ก็เป็นกบฏ และต้องมีความผิด

กรณีอําานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิมที่เกิดจากการก่อตั้งรัฐใหม่ ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1787 ของสหรัฐอเมริกา มี 7 มาตรา (แก้ไข 27 ครั้ง) ซึ่งแต่เดิมนั้นสหรัฐอเมริกาเคยเป็นอาณานิคมของ อังกฤษ ต่อมาได้มีการปฏิวัติเพื่อกู้เอกราชในปี ค.ศ. 1776 และกระทําสําเร็จ จึงมีอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม สามารถร่างรัฐธรรมนูญในแบบใดได้ทั้งสิ้น ถือว่าเป็นอํานาจแรกเริ่ม เป็นอํานาจอิสระที่แท้จริง หรืออีกตัวอย่างaหนึ่ง เช่น การเกิดประเทศบรูไนในปี ค.ศ. 1983 จะร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบใดก็ได้ (ราชาธิปไตยหรือระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ประยุกต์)

สําหรับอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิมที่เกิดจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ถือว่าเป็นอํานาจที่ไม่มีขอบเขตจํากัด เนื่องจากเป็นผู้ชนะอาจสั่งให้ยกเลิกศาลทั้งหมดก็ทําได้ เพราะตรงตามข้อเท็จจริงทาง หลักรัฐศาสตร์ประการหนึ่งที่ว่า “ผู้แข็งแรงที่สุดเป็นผู้มีอํานาจปกครอง”

อย่างไรก็ตาม ขีดจํากัดของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญที่ได้มาด้วยวิธีการปฏิวัติหรือรัฐประหาร
สามารถวิเคราะห์ได้ 2 ประการ คือ

1) จิตใต้สํานึกของผู้มีอํานาจ
2) ความรู้สึกของประชาชน

กรณีประเทศไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญทั้ง 20 ฉบับ การจัดทํารัฐธรรมนูญของไทยมีทั้ง 2 รูปแบบ คือ ด้วยวิธีการใช้ “อํานาจพิจารณาใหม่” (ดังปรากฏในหมวดว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ) และวิธีการใช้ “อํานาจ ร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม” แต่ถ้าจะวิเคราะห์แล้วอํานาจร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ของไทยจะเป็นในแบบอํานาจ ร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม เพราะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ๆ ของไทยจะเกิดจากผลของการทํารัฐประหาร

กล่าวโดยสรุป อํานาจร่างรัฐธรรมนูญ มี 2 รูปแบบ คือ อํานาจพิจารณาใหม่ และอํานาจร่าง รัฐธรรมนูญดั้งเดิม โดยการจัดทํารัฐธรรมนูญของไทยส่วนใหญ่จะมีลักษณะในแบบของอํานาจร่างรัฐธรรมนูญดั้งเดิม

ข้อ 2. ให้นักศึกษาอธิบายศัพท์เทคนิคทางรัฐศาสตร์ดังต่อไปนี้

2.1 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แนวคําตอบ

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (Amendment) หมายถึง เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้ใช้บังคับไปใน ระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ก็ควรจะมีการแก้ไข หมายความว่า อาจจะยกเลิกบางมาตรา หรือใส่เพิ่มเติมเข้าไป ในมาตราที่ไม่เคยมีก็ได้ โดยหลักการทั่วไปมีอยู่ว่าอาจแก้ไขบางส่วน หรือแก้ไขทั้งฉบับก็ย่อมทําได้ นั่นคือ สามารถ แก้ไขมาตราก็ได้ ภายใต้เงื่อนไขของเวลาที่กําหนด ทั้งนี้เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีความทันสมัย เหมาะสมกับสภาพ ความเป็นจริงของบ้านเมือง หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศและของโลกในเวลานั้น

การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบจารีตประเพณีไม่แตกต่างจากการแก้ไขกฎหมายธรรมดา คือ กฎข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของรัฐธรรมนูญ หากสภาออกกฎหมายยกเลิกก็เท่ากับเป็นการแก้ไข รัฐธรรมนูญ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษรจะแก้ไขได้ยากกว่า เพราะต้องมีกระบวนการ มีขั้นตอน เริ่มจากองค์กรที่มีอํานาจในการเสนอญัตติขอแก้ไข องค์กรที่มีอํานาจในการพิจารณาในแต่ละวาระ และต้องใช้
คะแนนเสียงข้างมากด้วย

กรณีประเทศไทย รัฐธรรมนูญของไทยจะมีการจํากัดอํานาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังจะเห็น ได้จากรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับที่ห้ามแก้ไขในเรื่องรูปแบบรัฐซึ่งเป็นแบบรัฐเดี่ยว (Unitary State) และรูปแบบ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยเด็ดขาด

สําหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของไทยในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติให้ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวน ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจาก ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดยญัตติ ขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาพิจารณาเป็น 3 วาระ ดังนี้

วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียง เห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภา เห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

วาระที่ 2 ขั้นพิจารณาเรียงลําดับมาตรา การออกเสียงในวาระนี้ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณแต่ในกรณีที่เป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนเป็นผู้เสนอต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อกันได้เสนอความคิดเห็นด้วย

วาระที่ 3 ขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบ มากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน และมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

เมื่อมีการลงมติเห็นชอบแล้วให้รอไว้ 15 วัน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนําร่างรัฐธรรมนูญแก้ไข เพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมาย

สําหรับกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้าม ของผู้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออํานาจของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือ เรื่องที่ทําให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออํานาจได้ ให้จัดให้มีการออกเสียงประชามติก่อน
ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจึงนําขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย

2.2 Authority

แนวคําตอบ

Authority หมายถึง อํานาจหน้าที่ ซึ่งเป็นอํานาจที่ใช้โดยฝ่ายตุลาการ (Judicial) หรือศาล การที่อํานาจของศาลเป็นอํานาจหน้าที่นั้น ก็เพราะว่าผู้พิพากษาจะตัดสินคดีต่าง ๆ ไปตามตัวบทกฎหมายที่เขียนไว้แล้วนั่นเอง

2.3 การปฏิวัติ

แนวคําตอบ

การปฏิวัติ (Revolution) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง ทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทางการเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสังคมแบบใหม่ สร้าง กฎหมายใหม่ และเพื่อสนองอุดมการณ์แบบใหม่ ซึ่งมีหลักการที่สั้นที่สุดก็คือ “สิ่งที่เคยถูกต้องและดีงามในอดีต หรือสิ่งที่ถูกต้องในวันนี้ ไม่จําเป็นเสมอไปที่จะต้องเป็นหลักสัจธรรมสําหรับปัจจุบันหรืออนาคต” แต่การปฏิวัติ ที่จะเกิดความชอบธรรม (Legitimacy) จะต้องมีประชาชนเข้าร่วมอยู่ด้วยพร้อมกับผู้นํา

ตัวอย่างของการปฏิวัติใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกที่อาจกล่าวได้ว่ามีความชอบธรรม ได้แก่
การปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789
– การปฏิวัติในรัสเซีย ค.ศ. 1917
– การปฏิวัติในจีน ค.ศ. 1949

กรณีประเทศไทย การยึดอํานาจรัฐที่พอจะอนุโลมให้เรียกว่า “การปฏิวัติ” นั้นมีเพียงครั้งเดียว คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพราะเป็นเหตุการณ์ที่คณะราษฎรได้ทําการ ยึดอํานาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองใหม่จาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (Democracy) ในระบบรัฐสภา แบบอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้มีประชาชนเข้าร่วมด้วย

สําหรับเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นี้ ไม่ใช่การทํารัฐประหาร และก็ไม่ใช่การปฏิวัติ โดยสิ้นเชิง แต่ที่ถูกต้องทางรัฐศาสตร์ควรเรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475” ซึ่ง 1 ในคณะราษฎร หรือผู้ก่อการคือ นายปรีดี พนมยงค์ เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “การอภิวัฒน์การปกครอง พ.ศ. 2475”

2.4 การรัฐประหาร

แนวคําตอบ

การรัฐประหาร (Coup d’e tat) หมายถึง การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จ โดยบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งปราศจากการมีส่วนร่วมจากประชาชน เป็นการเปลี่ยนมือผู้ใช้อํานาจรัฐหรือผู้ใช้อํานาจปกครองหรือเปลี่ยน ตัวบุคคลเท่านั้น แต่ระบบเศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างทางการเมือง และอุดมการณ์ทางการเมืองยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง จึงถือว่าขาดหลักความชอบธรรม (Legitimacy)

จะเห็นได้ว่าประเทศกําลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยและประเทศด้อยพัฒนา ผู้นําของประเทศ นิยมแย่งชิงอํานาจกันเองด้วยวิธีการทํารัฐประหาร โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย ผู้ยึดอํานาจ มักเป็นทหาร และภายหลังยึดอํานาจเสร็จแล้ว ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างทางสังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทาง การเมืองก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตัวผู้ใช้อํานาจรัฐเท่านั้น

กรณีประเทศไทย นับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า มีการยึดอํานาจรัฐด้วยกําลังบ่อยครั้ง ซึ่งมีทั้งกระทําสําเร็จและไม่สําเร็จ การยึดอํานาจรัฐได้สําเร็จของไทยเกือบ ทุกครั้งเรียกว่า “รัฐประหาร” เพราะเป็นการแย่งชิงอํานาจกันเองในหมู่ผู้ปกครอง แต่ผู้ยึดอํานาจจะเรียกตัวเองว่า “คณะปฏิวัติ”

อนึ่ง ประเทศไทยมีการทํารัฐประหารมาแล้วทั้งสิ้น 13 ครั้ง โดยการทํารัฐประหารครั้งล่าสุดเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การนําของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ยึดอํานาจรัฐบาลรักษาการของนายนิวัฒน์ธํารง บุญทรงไพศาล และประกาศ ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550

2.5 ราชอาณาจักร

แนวคําตอบ

ราชอาณาจักร (Kingdom) หมายถึง ประเทศที่มีประมุขของรัฐเป็นพระมหากษัตริย์ เป็น พระราชินี หรือเป็นพระจักรพรรดิ เช่น ไทย อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สวีเดน เป็นต้น ซึ่งในอดีตการเกิด เป็นประเทศที่เรียกว่า ราชอาณาจักร เกิดจากแม่ทัพในขณะนั้นปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ คือ แม่ทัพไปรบกับรัฐอื่น ๆ จนได้รับชัยชนะแล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ การสถาปนาตนเองขึ้นเป็น พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า ปราบดาภิเษก ต่อมาเมื่อกษัตริย์พระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ พระโอรสก็จะต้องขึ้น ครองราชย์แทน การที่พระโอรสขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์แทนพระบิดาที่สิ้นพระชนม์ เรียกว่า ราชาภิเษก

ข้อ 3. ให้นักศึกษาวิเคราะห์ปัญหาความเข้มแข็งของสถาบันทางการเมืองของไทย โดยให้ยกสถาบัน
ทางการเมืองสถาบันใดสถาบันหนึ่งก็ได้มาวิเคราะห์ โดยให้ระบุลักษณะและสาเหตุของปัญหา
ตลอดจนอภิปรายถึงผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวต่อการพัฒนาประชาธิปไตย และให้เสนอแนะ
แนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามกรอบของรัฐธรรมนูญ

แนวคําตอบ

ปัญหาความเข้มแข็งของสถาบันทางการเมืองของไทย

สถาบันทางการเมืองของไทยยังขาดความเข้มแข็งหรือยังมีความเป็นสถาบันในระดับต่ํา หรือ จะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือสถาบันทางการเมืองของไทยที่สร้างขึ้นมายังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมือง คือ ยังไม่สามารถตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ความต้องการ ตลอดจนการประนีประนอมอํานาจและผลประโยชน์ ของฝ่ายต่าง ๆ ในสังคมไทยได้ทั้งในระดับของชนชั้นนําและระดับของประชาชนโดยทั่วไป สถาบันทางการเมืองจึงถูกล้มลงและสร้างขึ้นใหม่บ่อยครั้งในระบบการเมืองไทย

ตัวอย่างสถาบันทางการเมืองของไทย เช่น พรรคการเมือง มักมีปัญหาในเรื่องความเข้มแข็ง หรือความเป็นสถาบัน หรือก็คือความสามารถของพรรคการเมืองในการปรับตัวเมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ เปลี่ยนแปลงไป การมีความคงทน การมีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน การแยกตัวบุคคลออกจากการครองอํานาจของ ใครคนใดคนหนึ่งภายในพรรค เป็นต้น

บูฆอรี ยีหมะ เห็นว่า ปัญหาที่พบมากที่สุดของความอ่อนแอในเชิงสถาบันของพรรคการเมือง ในประเทศกําลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยด้วยนั้น เกิดขึ้นจากต้นเหตุสําคัญคือการยึดติดกับตัวบุคคลมากเกินไป หรือก็คือการที่พรรคถูกครอบงําจากผู้นําภายในพรรคนั่นเอง จนทําให้พรรคดํารงอยู่ได้ด้วยอํานาจของบุคคลไม่ใช่เพราะความเป็นสถาบันที่เข้มแข็ง และง่ายต่อการล่มสลายหากผู้นําพรรคหลุดพ้นจากอํานาจทางการเมือง

สาเหตุสําคัญของการยึดติดกับตัวบุคคลจนส่งผลให้พรรคการเมืองไม่มีความเป็นสถาบันเกิดจากความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องของโครงสร้างทางอํานาจที่กระจุกตัวแทนที่จะกระจายตัวออกไป ซึ่งเป็นปัญหา ที่เกิดจากโครงสร้างของพรรคนั่นเอง ส่วนสาเหตุของความไม่เท่าเทียมกันของอํานาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่

1. ความรู้ความสามารถที่ไม่เท่าเทียมกันของสมาชิกพรรค
2. ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น ความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
3. การควบคุมการไหลเวียนของข่าวสารที่ไม่เท่าเทียมกันของสมาชิกพรรค
4. การตีความกฎระเบียบ อํานาจในการตีความของผู้นํา
5. เงินทุน
6. การคัดเลือกบุคคลเข้าร่วมในพรรค อํานาจในการเลือกผู้เข้าร่วมพรรคอยู่ที่ผู้นําพรรค
บางคน

นอกจากนี้ ปัญหาความไม่เข้มแข็งหรือความไม่เป็นสถาบันของพรรคการเมืองไทยยังมีสาเหตุมาจาก

1. ความขัดแย้งทางอุดมคติเกี่ยวกับแนวคิดการจัดตั้งพรรคการเมือง ปัญหานี้เกิดขึ้น เนื่องจากแนวคิดการจัดตั้งพรรคการเมืองไปขัดแย้งกับอุดมคติดั้งเดิมซึ่งเน้นความเป็นรัฐที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงปฏิเสธการแบ่งกลุ่มต่าง ๆ ภายในรัฐ ดังนั้นอุดมคตินี้จึงมักถูกใช้เป็นข้ออ้างของฝ่ายอํานาจในการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด

2. ลักษณะนิสัยของคนไทยที่มีความเป็นปัจเจกชนนิยมสูง ทําให้เป็นอุปสรรคต่อการทํางานร่วมกัน และเป็นอุปสรรคต่อความเข้มแข็งของพรรคการเมืองไทย

3. ระบบอาวุโสทําให้สมาชิกมีความผูกพันต่อพรรคในระดับต่ํา ทั้งนี้เนื่องจากผู้อาวุโส ในพรรคมีบทบาทอํานาจในพรรคมาก ทําให้ผู้น้อยไม่อาจเข้าไปมีบทบาทในพรรคได้มากนัก จึงทําให้สมาชิกส่วนใหญ่ ของพรรคไม่รู้สึกถึงความผูกพันต่อพรรคการเมือง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความเข้มแข็งของพรรคการเมืองไทย

4. โครงสร้างทางสังคมของไทยเป็นโครงสร้างแบบหลวม ๆ ส่งผลให้การรวมกลุ่มต่าง ๆไม่มีความเข้มแข็ง รวมถึงการรวมกลุ่มเป็นพรรคการเมือง

5. ความคิดเจ้าผู้ปกครองเป็นเจ้าเหนือแผ่นดินและทรัพย์สินทั้งปวง ทําให้ประชาชน ไม่รู้สึกถึงการเป็นเจ้าของประเทศ ส่งผลให้การรวมกลุ่มทางการเมืองขาดความเข้มแข็ง

6. การตั้งพรรคการเมืองของไทยเริ่มต้นมาจากฐานความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ คือ การตั้งพรรคการเมืองเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของผู้มีอํานาจตั้งพรรคการเมืองขึ้นเพื่อให้เป็นฐานอํานาจทางการเมือง ของกลุ่มตน แต่เมื่อผู้นําพรรคหมดอํานาจ พรรคการเมืองต่าง ๆ ก็มักสลายตามไปด้วย ซึ่งทําให้พรรคการเมือง ของไทยขาดความเป็นสถาบัน เพราะยึดติดกับตัวผู้นําหรือหัวหน้าพรรคมากเกินไป

ผลกระทบของปัญหาความไม่เข้มแข็งหรือความไม่เป็นสถาบันของพรรคการเมืองไทย
ต่อการพัฒนาประชาธิปไตย

1. พรรคการเมืองไม่สามารถแสดงบทบาทและทําหน้าที่ที่ควรจะเป็นตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

2. พรรคการเมืองมิได้เป็นสถาบันของประชาชนอย่างแท้จริง แต่เป็นพรรคการเมืองของ กลุ่มผู้มีอํานาจหรือชนชั้นนําซึ่งต้องการที่จะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองโดยใช้ชื่อประชาชนมากล่าวอ้างเพื่อความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย

3. การจัดตั้งพรรคการเมืองมิได้อยู่บนพื้นฐานของอุดมการณ์ทางการเมืองหรือการเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์และตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนจึงไม่ตระหนักในการเป็นสมาชิกและมีส่วนร่วมในพรรคการเมือง การบริหารและนโยบายของพรรคการเมืองจึงไม่สะท้อนผลประโยชน์ที่แท้จริง ของประเทศชาติและประชาชน

4. การรวมศูนย์อํานาจการตัดสินใจภายในพรรคการเมืองไว้ที่ผู้นําหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพล ในพรรคการเมือง ทําให้สมาชิกพรรคไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือร่วมตัดสินใจในการดําเนินการต่าง ๆ ของ พรรคการเมืองได้ เช่น การคัดสรรบุคคลเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งและดํารงตําแหน่งสําคัญทางการเมือง เป็นต้น

5. การจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองเป็นการจัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เท่านั้น มิได้ให้ความสําคัญกับการตั้งสาขาพรรคให้กระจายไปในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพื่อให้สาขาพรรคเป็นกลไก ในการเชื่อมโยงพรรคกับประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ

แนวทางแก้ไขปัญหาความไม่เข้มแข็งหรือความไม่เป็นสถาบันของพรรคการเมืองไทยตามกรอบของรัฐธรรมนูญเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับพรรคการเมืองภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทําให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็งหรือมีความเป็นสถาบัน เป็นพรรคการเมืองของมวลชน

มีสาขาพรรคกระจายไปในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึงเพื่อให้สาขาพรรคเป็นกลไกในการเชื่อมโยงพรรคกับประชาชนและ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ รวมถึงทําให้พรรคการเมืองมีอิสระในการตัดสินใจไม่ถูกแทรกแซงหรือครอบงําโดยบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ซึ่งหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มีดังนี้

1. การจัดตั้งพรรคการเมืองต้องมีทุนประเดิมไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท โดยผู้ร่วมกันจัดตั้ง ทุกคนต้องร่วมกันจ่ายเงินเพื่อเป็นทุนประเดิมคนละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ก่อนยื่นคําขอ จดทะเบียนจัดตั้งพรรคผู้ร่วมกันจัดตั้งต้องประชุมร่วมกันโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่า 250 คน

2. รายได้ของพรรคการเมืองต้องมาจากอัตราค่าธรรมเนียมและค่าบํารุงพรรคการเมือง ซึ่งต้องเรียกเก็บจากสมาชิกไม่น้อยกว่าปีละ 100 บาท และพรรคการเมืองอาจกําหนดให้เรียกเก็บค่าบํารุง พรรคการเมืองจากสมาชิกแบบตลอดชีพตามอัตราที่กําหนดในข้อบังคับก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 2,000 บาท

3. การจัดตั้งพรรคการเมืองต้องดําเนินการให้มีจํานวนสมาชิกไม่น้อยกว่า 5,000 คน และต้องเพิ่มจํานวนสมาชิกให้มีจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน ภายใน 4 ปี

4. ต้องจัดให้มีสาขาพรรคในแต่ละภาคตามบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัดที่ กกต. กําหนด อย่างน้อยภาคละ 1 สาขา โดยสาขาพรรคการเมืองแต่ละสาขาต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลําเนาอยู่ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ ของสาขานั้นตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป

5. ต้องจัดให้มี “คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง” เพื่อทําหน้าที่สรรหาผู้สมัคร รับเลือกตั้งของพรรค และการเลือกผู้สมัคร ส.ส. ต้องรับฟังความเห็นตัวแทนพรรคประจําจังหวัดประกอบด้วย
รายละเอียดดังต่อไปนี้

6. กําหนดให้การโฆษณานโยบายของพรรคการเมืองที่ต้องใช้จ่ายเงินต้องมีการแสดง

1) วงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดําเนินการ
2) ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดําเนินนโยบาย
3) ผลกระทบและความเสี่ยงในการดําเนินนโยบาย

7. การยุบพรรคการเมือง กําหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ เมื่อ กกต. มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทําผิด โดยให้ กกต. ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น

POL2200 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเบื้องต้น 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2200 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.ปัจจุบันองค์การสหประชาชาติมีจํานวนสมาชิกกี่ประเทศ
(1) 189 ประเทศ
(2) 190 ประเทศ
(3) 191 ประเทศ
(4) 192 ประเทศ
(5) 193 ประเทศ
ตอบ 5 หน้า 163 – 164, (คําบรรยาย) องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ก่อตั้งขึ้น อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 (ปัจจุบัน ค.ศ. 2022 อายุ 77 ปี) ภายหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โดยมีสํานักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันองค์การสหประชาชาติมีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สวิตเซอร์แลนด์ ไทย ติมอร์-เลสเต เกาหลีเหนือ ซีเรีย ยูเครน อิหร่าน มอนเตเนโกร ฯลฯ โดยมีสาธารณรัฐซูดานใต้หรือเซาท์ซูดาน (South Sudan) เข้าเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2011

2.ประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติประเทศล่าสุดคือประเทศใด
(1) สาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์
(2) สาธารณรัฐประชาชนลูฮานสค์
(3) สาธารณรัฐประชาชนใครเมีย
(4) สาธารณรัฐซูดานใต้
(5) สาธารณรัฐเซาท์ออสซีเชีย
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.การลงประชามติว่าด้วยสถานภาพของไครเมียและการผนวกสาธารณรัฐไครเมียของรัสเซียเกิดขึ้น
ในปี ค.ศ. ใด
(2) ค.ศ. 2010
(1) ค.ศ. 2008
(3) ค.ศ. 2012
(4) ค.ศ. 2014
(5) ค.ศ. 2016
ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) การลงประชามติว่าด้วยสถานภาพของใครเมียเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซึ่งผลการลงประชามติพบว่าคนส่วนใหญ่เห็นชอบที่จะแยกดินแดนออกจาก ยูเครนเพื่อผนวกดินแดนกับรัสเซีย แต่การลงประชามติดังกล่าวถูกคัดค้านและประณาม จากกลุ่มประเทศตะวันตกอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของความชอบธรรม

4.เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) จะสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. ใด
(1) ค.ศ. 2025
(2) ค.ศ. 2030
(3) ค.ศ. 2035
(4) ค.ศ. 2040
(5) ค.ศ. 2045
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การประชุมเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ในปี ค.ศ. 2015 จัดขึ้นที่สํานักงานใหญ่ สหประชาชาติ ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการประชุมเพื่อกําหนด เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นกรอบการพัฒนาของโลกในการบรรลุการพัฒนา ทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาตามเป้าหมายจะเริ่มในปี ค.ศ. 2015 และสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งประกอบด้วยเป้าหมายทั้งสิ้น 17 ข้อ เช่น การขจัดความยากจน การขจัดความหิวโหย การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การศึกษา ที่มีคุณภาพ การบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ การจัดการน้ําและสุขาภิบาลที่ยั่งยืน เป็นต้น

5.การประชุมเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ในปี ค.ศ. 2015 จัดขึ้นที่ใด
(1) นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
(2) ลอนดอน สหราชอาณาจักร
(3) ปารีส ฝรั่งเศส
(4) อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์
(5) มาดริด สเปน
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6.เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติมีเป้าหมายทั้งสิ้นกี่ข้อ
(1) 8 ข้อ
(2) 10 ข้อ
(3) 12 ข้อ
(4) 15 ข้อ
(5) 17 ข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

7.ก่อนการลงประชามติว่าด้วยสถานภาพของไครเมีย ประเทศพันธมิตรตะวันตกได้นําวิธีการการลงประชามติ
มาใช้กับดินแดนใดก่อน
(1) โคโซโว
(2) บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา
(3) นอร์ทมาซิโดเนีย
(4) นากอร์โน คาราบัค
(5) อาร์ทซัค
ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) ก่อนการลงประชามติว่าด้วยสถานภาพของไครเมีย ประเทศพันธมิตรตะวันตก
ได้นําวิธีการลงประชามติมาใช้กับโคโซโว เพื่อแยกดินแดนโคโซโวออกจากเซอร์เบีย

8.สงคราม 5 วันที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2008 เป็นสงครามเพื่อปลดปล่อยชาวรัสเซียในแคว้นเซาท์ออสเซเทีย เกิดขึ้นในประเทศใด
(1) ยูเครน
(2) จอร์เจีย
(3) อาร์เมเนีย
(4) อาเซอร์ไบจาน
(5) คาซัคสถาน
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) สงคราม 5 วัน เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2008 ที่ประเทศจอร์เจีย เป็นสงครามเพื่อปลดปล่อยชาวรัสเซียในแคว้นเซาท์ออสเซเทีย โดยคู่สงครามประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายของจอร์เจียกับฝ่ายของเซาท์ออสเซเทียและรัสเซีย

9. สงครามแย่งชิงภูมิภาคนากอร์โน คาราบัค เป็นสงครามระหว่างชาติใด
(1) รัสเซีย-จอร์เจีย
(2) อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน
(3) รัสเซีย-อาร์เมเนีย
(4) รัสเซีย-อาเซอร์ไบจาน
(5) จอร์เจีย-อาเซอร์ไบจาน
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) สงครามแย่งชิงภูมิภาคนากอร์โน คาราบัค เป็นสงครามระหว่างอาร์เมเนีย กับอาเซอร์ไบจาน สองอดีตสาธารณรัฐสมาชิกสหภาพโซเวียตในภูมิภาคคอเคซัส โดยทั้งสองประเทศทําสงครามนองเลือดกันมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980

10. ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียต่อยูเครนเริ่มขึ้นเมื่อใด
(1) 14 มกราคม ค.ศ. 2022
(2) 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022
(3) 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022
(4) 14 มีนาคม ค.ศ. 2022
(5) 18 มีนาคม ค.ศ. 2022
ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียต่อยูเครนเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 เมื่อวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ได้แถลงผ่านโทรทัศน์ประกาศ เริ่มปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ดอนบาสหรือภูมิภาคตะวันออกของยูเครน โดยอ้างว่า มีจุดประสงค์เพื่อขจัดนาซี ปกป้องพลเรือน และรับมือภัยคุกคามที่มาจากยูเครน ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของวิกฤติความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

11. คํากล่าวเกี่ยวกับความเป็นจริงในการเมืองระหว่างประเทศข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ในทางปฏิบัติทุกประเทศมีความเท่าเทียมกัน
(2) สัดส่วนการครอบครองทรัพยากรของแต่ละประเทศไม่เท่าเทียมกัน
(3) รัฐขนาดเล็กมักตกเป็นตัวเบี้ยของรัฐมหาอ่านาจ
(4) รัฐมหาอํานาจในเวทีการเมืองระหว่างประเทศมีไม่เกิน 6 รัฐ
(5) รัฐมหาอํานาจในเวทีการเมืองระหว่างประเทศมีเพียงร้อยละ 5 ของจํานวนรัฐทั้งหมด
ตอบ 1 หน้า 199 รัฐต่าง ๆ ในสังคมระหว่างประเทศในทางปฏิบัติไม่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอํานาจของชาติโดยตรง

12. การจัดลําดับรัฐในเวทีการเมืองระหว่างประเทศโดยอาศัยความแตกต่างในการเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ
เป็นแนวคิดของนักวิชาการท่านใด
(1) เอ. เอฟ. เค. ออร์แกนสกี
(2) เค. เจ. โฮลสติ
(3) ริชาร์ด โรสแครนซ์
(4) สบิกเนียฟ เบรเซนส
(5) อเล็กซานเดอร์ ดูกิน
ตอบ 3 หน้า 199 – 200 ริชาร์ด โรสแครนซ์ (Richard Rosecrance) ได้จัดลําดับรัฐในเวทีการเมือง ระหว่างประเทศโดยอาศัยความแตกต่างในการเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ โดยเห็นว่า ลักษณะ ของการเมืองระหว่างประเทศจะมีการกระจายพื้นฐานแห่งอํานาจอย่างไม่เท่าเทียมกัน และ ไม่ได้สัดส่วนระหว่างรัฐมหาอํานาจ รัฐขนาดกลาง และรัฐขนาดเล็ก ดังนี้
1. รัฐมหาอํานาจ (ขนาดใหญ่) มีจํานวนน้อยที่สุดเพียง 5% ของจํานวนรัฐทั้งหมดในโลก แต่มีสัดส่วนการครอบครองทรัพยากร 75% ซึ่งมากที่สุดในโลก
2. รัฐขนาดกลางมี 15% ของจํานวนรัฐทั้งหมดในโลก แต่มีสัดส่วนการครอบครองทรัพยากร 20%
3. รัฐขนาดเล็กมี 80% ของจํานวนรัฐทั้งหมดในโลก แต่มีสัดส่วนการครอบครองทรัพยากร น้อยที่สุดเพียง 5% เท่านั้น

13. มาตรฐานการแบ่งรัฐตามความสามารถในการสร้างพันธะกับรัฐอื่น เป็นแนวคิดของนักวิชาการท่านใด
(1) เอ. เอฟ. เค. ออร์แกนสกี
(2) เค. เจ. โฮลสติ
(3) ริชาร์ด โรสแครนซ์
(4) สปีกเนียฟ เบรเซนสกี
(5) อเล็กซานเดอร์ ดูกิน
ตอบ 2 หน้า 200 เค. เจ. โฮลสติ (K. J. Holsti) เห็นว่า มาตรฐานของการจัดแบ่งรัฐเป็นประเภท ต่าง ๆ ที่สําคัญก็คือ ความสามารถของรัฐต่าง ๆ ที่จะสร้างพันธะกับรัฐอื่น ๆ ว่ามีขอบเขต แค่ไหน และรัฐนั้น ๆ สามารถจะปฏิบัติตามพันธะนั้น ๆ ได้แค่ไหน อย่างไร ความแตกต่าง ระหว่างรัฐมหาอํานาจกับรัฐเล็กพิจารณาได้จากการประเมินหรือคาดคิดเอาอย่างกว้าง ๆถึงปัจจัยทั้งที่มองเห็นได้ชัดและที่ไม่เห็นได้ชัด ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า ความสามารถหรือสมรรถภาพของรัฐ

14. โจเซฟ สตาลิน ให้ความสําคัญกับอํานาจรัฐในด้านใด
(1) กําลังทหาร
(2) อํานาจอธิปไตย
(3) นิติรัฐ นิติธรรม
(4) อํานาจนิติบัญญัติ
(5) อํานาจตุลาการ
ตอบ 1 หน้า 201 นักวิชาการและรัฐบุรุษทางการเมืองระหว่างประเทศที่คํานึงถึงอํานาจของรัฐในรูป ของอํานาจทางการทหาร (กําลังทหาร) ได้แก่ โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) อดีตผู้นํา สหภาพโซเวียต และนิโคโล มาเคียเวลลี (Nicolo Machiavelli)

15. ขั้นตอนการพัฒนาทางอุตสาหกรรมตามแนวคิดของ เอ. เอฟ. เค. ออร์แกนสกี แบ่งออกเป็นกี่ขั้นตอน
(1) 2 ขั้นตอน
(2) 3 ขั้นตอน
(3) 4 ขั้นตอน
(4) 5 ขั้นตอน
(5) 6 ขั้นตอน
ตอบ 2 หน้า 200 เอ. เอฟ. เค. ออร์แกนสกี (A. F. K. Organski) เห็นว่า ทุกรัฐในสังคม ระหว่างประเทศจะผ่านขั้นตอนการพัฒนาทางอุตสาหกรรม 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นแรก คือ รัฐที่ยังไม่มีการพัฒนาทางอุตสาหกรรม
ขั้นที่สอง คือ รัฐที่เริ่มมีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมบ้างแล้ว ขั้นที่สาม คือ รัฐที่มีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมในระดับเต็มที่

16. นโยบายต่างประเทศของรัฐเป็นการเชื่อมโยงระหว่างอํานาจของชาติกับอะไร
(1) การทูต
(2) นโยบายภายในประเทศ
(3) นโยบายต่างประเทศ
(4) ผลประโยชน์ของประเทศ
(5) ทรัพยากรของชาติ
ตอบ 4 หน้า 207 นโยบายต่างประเทศของรัฐ หมายถึง หลักการกว้าง ๆ ซึ่งรัฐหนึ่งวางไว้เพื่อกําหนด และควบคุมการกระทําของตนในสภาพแวดล้อมของสังคมระหว่างประเทศ โดยที่นโยบาย ต่างประเทศมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของชาติโดยมาตรการต่าง ๆ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ที่ความสามารถของแต่ละรัฐ ดังนั้นนโยบายต่างประเทศของรัฐจึงเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างอํานาจของชาติกับผลประโยชน์ของชาติ

17. คําว่า “ชาติขนาดกลาง” ตามแนวคิดของศาสตราจารย์ เอ. เอฟ. เค. ออร์แกนสกี คือข้อใด
(1) ชาติที่มีประชากรจํานวนระหว่าง 5 – 10 ล้านคน
(2) ชาติที่มีสัดส่วนในการครอบครองทรัพยากรของโลกทั้งหมดเพียงแค่ร้อยละ 20
(3) ชาติที่มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 10 ล้านตารางกิโลเมตรขึ้นไปแต่ไม่เกิน 50 ล้านตารางกิโลเมตร
(4) ชาติที่ได้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับหนึ่งแต่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 200 – 201 ศาสตราจารย์ เอ. เอฟ. เค. ออร์แกนสกี (A. F. K. Organski) ได้จัดแบ่ง ประเภทของรัฐตามระดับการพัฒนาทางอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ชาติเล็ก คือ ชาติที่ยังไม่มีการพัฒนาทางอุตสาหกรรม เป็นชาติเกษตรกรรม
2. ชาติขนาดกลาง คือ ชาติที่ได้มีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมในระดับหนึ่งแต่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่
3. ชาติมหาอํานาจ คือ ชาติที่มีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมแล้วอย่างเต็มที่ หรือมีพัฒนาการ ในอุตสาหกรรมชั้นสูง

18. โครงสร้างอํานาจในการเมืองระหว่างประเทศในช่วงท้ายของสงครามเย็นมีลักษณะเช่นไร
(1) การมีศูนย์อํานาจแห่งเดียว
(2) การมีสองศูนย์แห่งอํานาจโดยเคร่งครัด
(3) การมีสองศูนย์แห่งอํานาจโดยไม่เคร่งครัด
(4) การมีศูนย์แห่งอํานาจหลายศูนย์
(5) การมีสองศูนย์แห่งอํานาจและหลายศูนย์แห่งอํานาจผสมกัน
ตอบ 5 หน้า 205 การมีสองศูนย์แห่งอํานาจและหลายศูนย์แห่งอํานาจผสมกัน (Bi-Multipolar Structure) คือ สภาพการเมืองระหว่างประเทศที่มีการผสมกันระหว่างการมีสองศูนย์แห่งอํานาจและการมีหลายศูนย์แห่งอํานาจในระบบการเมืองระหว่างประเทศ เช่น การเมืองระหว่างประเทศในช่วงท้ายของสงครามเย็น เป็นต้น

19. นักวิชาการทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มองว่านโยบายภายในประเทศและนโยบายต่างประเทศไม่สามารถแยกจากกันได้คือท่านใด
(1) เอ. เอฟ. เค. ออร์แกนสกี
(2) เค. เจ. โฮลสติ
(3) ริชาร์ด โรสแครนซ์
(4) สปีกเนียฟ เบรเซนส
(5) ฮันส์ เจ. มอร์เกนธอ
ตอบ 5 หน้า 209 ฮันส์ เจ. มอร์เกนธอ (Hans J. Morgenthau) มองว่า ในปัจจุบันเราไม่สามารถ แยกนโยบายภายในกับนโยบายต่างประเทศของรัฐได้อีกต่อไป ทั้งนี้เพราะว่าการดําเนินนโยบายต่างประเทศในสมัยปัจจุบันมิได้กระทําด้วยเครื่องมือทางการทูตและทางอํานาจทาง ทหารเท่านั้น แต่นโยบายต่างประเทศต้องอาศัยเครื่องมือทางการโฆษณาชวนเชื่อประกอบเป็นส่วนสําคัญด้วย

20. ขั้นตอนแรกในการดําเนินนโยบายต่างประเทศ คือ
(1) การกําหนดนโยบาย
(2) การประเมินนโยบาย
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) การวางแผน
(5) การสรุปผลการนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 1 หน้า 209 กระบวนการในการดําเนินนโยบายต่างประเทศ ประกอบด้วยขั้นตอนอย่างน้อย
2 ขั้นตอน คือ
1. การกําหนดหรือการวางนโยบาย
2. การนํานโยบายไปปฏิบัติ

21. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายในการกําหนดผลประโยชน์แห่งชาติ
(1) ความอยู่รอด
(2) ความมั่นคง
(3) ความมั่งคั่ง
(4) เกียรติภูมิและศักดิ์ศรี
(5) ระเบียบวินัย
ตอบ 5 หน้า 25 – 30, (คําบรรยาย) เป้าหมายในการกําหนดผลประโยชน์แห่งชาติ ได้แก่
1. ความอยู่รอดและความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ
2. ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
3. การขยายอํานาจของประเทศ
4. เกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศ

22. ข้อใดคือปัจจัยพื้นฐานที่ใช้ในการกําหนดนโยบายต่างประเทศ
(1) สถานที่ตั้งและภูมิศาสตร์ของประเทศ
(2) ทรัพยากรทางธรรมชาติ
(3) ทรัพยากรมนุษย์
(4) องค์ความรู้และเทคโนโลยี
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ปัจจัยพื้นฐานที่ใช้ในการกําหนดนโยบายต่างประเทศ ได้แก่
1. สถานที่ตั้งและภูมิศาสตร์ของประเทศ
2. ทรัพยากรทางธรรมชาติ
3. ทรัพยากรมนุษย์
4. องค์ความรู้และเทคโนโลยี

23. ข้อใดถือว่าเป็นผลประโยชน์แห่งชาติปฐมภูมิ
(1) การเน้นการส่งออกมากกว่านําเข้า
(2) การรักษาดินแดนและอํานาจอธิปไตย
(3) การสร้างงานให้ประชาชนในรัฐ
(4) การพัฒนาการศึกษาและเทคโนโลยี
(5) การรักษาสนธิสัญญาที่รัฐให้สัตยาบัน
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ผลประโยชน์แห่งชาติปฐมภูมิ เป็นผลประโยชน์แห่งชาติที่มีลักษณะไม่สามารถ ประนีประนอมได้ หากถูกละเมิดหรือถูกทําให้เสียหายรัฐพร้อมตอบโต้ด้วยทุกเครื่องมือและ สรรพกําลังทั้งหมดที่มี เช่น การรักษาดินแดนและอํานาจอธิปไตย เป็นต้น

24. ข้อใดไม่ใช่สิ่งที่รัฐต้องคํานึงถึงในการเลือกใช้เครื่องมือ
(1) ต้นทุน
(2) ความเสี่ยง
(3) ประสิทธิผล
(4) บุคลิกภาพของผู้นํารัฐ
(5) ช่วงเวลาในการเลือกใช้เครื่องมือ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สิ่งที่รัฐต้องคํานึงถึงในการเลือกใช้เครื่องมือในการดําเนินความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ ได้แก่ 1. ต้นทุน 2. ความเสี่ยง 3. ประสิทธิผล 4. ช่วงเวลา

25. เครื่องมือประเภทใดที่รัฐควรเลือกใช้เป็นสิ่งสุดท้าย
(1) การเจรจา
(2) มาตรการเชิงลบในการค้าระหว่างประเทศ
(3) เครื่องมือทางการทหาร
(4) การโฆษณาชวนเชื่อ
(5) การทูตเชิงวัฒนธรรม
ตอบ 3 หน้า 43, (คําบรรยาย) เครื่องมือทางการทหาร เป็นเครื่องมือที่สําคัญในการดําเนินความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ เครื่องมือนี้รัฐควรเลือกใช้เป็นสิ่งสุดท้ายเมื่อใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น เครื่องมือ ทางการทูต เครื่องมือทางการเมือง เครื่องมือทางเศรษฐกิจ เครื่องมือทางจิตวิทยาไม่ได้ผล และต้องใช้อย่างระมัดระวังมากที่สุด เพราะถ้าใช้อย่างไม่ระมัดระวังและรอบคอบเพียงพอ อาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้

26. ข้อใดถือได้ว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีปัจจัยมาจากประเด็นทางการเมือง
(1) สหรัฐฯ ไม่พอใจที่รัฐบาลจีนแทรกแซงค่าเงินหยวน
(2) ข้อพิพาทเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา
(3) เกาหลีใต้ใช้มาตรการคว่ําบาตรญี่ปุ่นทําให้ยอดส่งออกเบียร์ของญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 90
(4) จีนประกาศงดการนําเข้าข้าวบาร์เลย์จากออสเตรเลีย
(5) สหราชอาณาจักรงดการนําเข้ามะพร้าวจากไทยเพื่อตอบโต้การที่ไทยใช้แรงงานสัตว์ (ลิง) ในการเก็บ มะพร้าว
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีปัจจัยมาจากประเด็นทางการเมือง เป็นความ ขัดแย้งที่เกิดจากประเด็นปัญหาด้านดินแดนและอาณาเขต อุดมการณ์ หรือผู้นําทางการเมือง เช่น ข้อพิพาทเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ซึ่งนําไปสู่ สงครามเย็นในช่วง ค.ศ. 1947 – ค.ศ. 1991 เป็นต้น

27. ข้อใดถือได้ว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีปัจจัยมาจากประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรม
(1) การลดค่าเงินเยนของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1980
(2) การทําสงครามทางทะเลอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ ในช่วง ค.ศ. 1652 – 1654
(3) สงครามระหว่างอิรัก-อิหร่านในช่วงทศวรรษที่ 1980 อันเนื่องมาจากการนับถือศาสนาอิสลามต่างนิกาย

(4) สงครามเย็น
(5) การยึดถืออุดมการณ์ฟาสซิสต์ของเยอรมนีในช่วงทศวรรษที่ 1930 อันนําไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีปัจจัยมาจากประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นความขัดแย้งที่เกิดจากประเด็นดังต่อไปนี้
1. ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างเผ่า Tutsi กับ Hutu ในรวันดา ระหว่างปี ค.ศ. 1994 – 1997 เป็นต้น
2. ความแตกต่างทางด้านศาสนาและความเชื่อ เช่น สงครามระหว่างอิรัก-อิหร่านในช่วง ทศวรรษที่ 1980 อันเนื่องมาจากการนับถือศาสนาอิสลามต่างนิกาย เป็นต้น
3. ความแตกต่างทางด้านขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น สหราชอาณาจักรงดการนําเข้ามะพร้าวจากไทยเพื่อตอบโต้การที่ไทยใช้แรงงานสัตว์ (ลิง) ในการเก็บมะพร้าว เป็นต้น

28. ประเทศใดที่สมัครเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2022
(1) สวีเดนและเดนมาร์ก
(2) นอร์เวย์และเดนมาร์ก
(3) สเปนและนอร์เวย์
(4) ฟินแลนด์และสวิตเซอร์แลนด์
(5) สวีเดนและฟินแลนด์
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) สวีเดนและฟินแลนด์ได้สมัครเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต้ (NATO) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 ซึ่งเป็นการตัดสินใจ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากรัสเซียรุกรานยูเครน โดยทั้งสองประเทศหวังว่าการเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ จะสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับชาติของตน

29. เหตุการณ์ใดไม่ถือว่าเป็นการก่อการร้าย
(1) เหตุการณ์ 9/11
(2) การลอบสังหารมกุฎราชกุมารออสเตรียในปี ค.ศ. 1914
(3) เหตุการณ์ระเบิดรถไฟใต้ดินกลางกรุงลอนดอนในปี ค.ศ. 2005
(4) ความขัดแย้งระหว่างเผ่า Tutsi กับ Hutu ในรวันดาระหว่างปี ค.ศ. 1994 – 1997
(5) เหตุการณ์ระเบิดในงานบอสตันมาราธอนเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2013
ตอบ 4 หน้า 113, (คําบรรยาย) การก่อการร้าย (Terrorism) หมายถึง การใช้ความรุนแรงที่ผิดปกติ โดยมีเป้าหมายที่จะทําให้เกิดความหวาดกลัวด้วยการใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อบีบบังคับหรือข่มขู่ หรือการทําลายล้างผลาญ หรือการข่มขู่ว่าจะสังหารหรือการสังหาร ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถือว่า เป็นการก่อการร้าย เช่น เหตุการณ์ 9/11 การลอบสังหารมกุฎราชกุมารออสเตรียในปี ค.ศ. 1914 เหตุการณ์ระเบิดรถไฟใต้ดินกลางกรุงลอนดอนในปี ค.ศ. 2005 เหตุการณ์ระเบิดในงานบอสตัน มาราธอนเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2013 เป็นต้น

30. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของความร่วมมือระหว่างประเทศ
(1) รัฐสมัครใจที่จะสร้างความร่วมมือระหว่างกัน
(2) ความร่วมมือระหว่างประเทศสร้างข้อผูกพันระหว่างรัฐภายใต้กรอบความร่วมมือ
(3) ความร่วมมือระหว่างประเทศเกิดขึ้นเพราะรัฐเล็งเห็นผลประโยชน์ร่วมกัน
(4) ความร่วมมือระหว่างประเทศถูกจํากัดด้วยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
(5) ความร่วมมือระหว่างประเทศช่วยลดต้นทุนและขั้นตอนในการติดต่อสื่อสารระหว่างรัฐ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ลักษณะของความร่วมมือระหว่างประเทศ มีดังนี้
1. รัฐสมัครใจที่จะสร้างความร่วมมือระหว่างกัน
2. เป็นการสร้างข้อผูกพันระหว่างกันภายใต้กรอบความร่วมมือ
3. เกิดขึ้นเพราะเล็งเห็นผลประโยชน์ร่วมกัน
4. เป็นการลดข้อจํากัดด้านพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
5. ช่วยลดต้นทุนและขั้นตอนในการติดต่อสื่อสารระหว่างรัฐ

31. ข้อใดกล่าวถึงการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศโดยสันติวิธีได้ไม่ถูกต้อง
(1) การทูต คือ การใช้การเจรจาต่อรองระหว่างคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย
(2) การใช้คนกลาง คือ การเสนอตัวของประเทศที่สามในการทําหน้าที่อํานวยความสะดวกเพื่อให้ ประเทศคู่ขัดแย้งได้เจรจากัน แต่ประเทศที่สามไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในการเจรจา
(3) การไกล่เกลี่ย คือ การที่ประเทศที่สามเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจากับคู่กรณี
(4) การใช้อนุญาโตตุลาการ คือ การที่คู่กรณีนําข้อพิพาทให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหาข้อยุติ
(5) การใช้องค์การสหประชาชาติ คือ การที่คู่กรณีนําข้อพิพาทขึ้นสู่คณะมนตรีความมั่นคงเพื่อให้ตัดสิน
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การใช้อนุญาโตตุลาการ คือ การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทําหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้มาจากคู่กรณีเพื่อหาข้อยุติของปัญหาความขัดแย้งโดยใช้หลักการของกฎหมาย มิใช่วิธีการที่ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหาข้อยุติของปัญหาความขัดแย้งให้

32. ข้อใดเรียงลําดับพัฒนาการของความสัมพันธ์จากปกติไปสู่สงครามได้ถูกต้อง
(1) ความสัมพันธ์แบบปกติ-ความขัดแย้ง ความตึงเครียด-วิกฤติการณ์สงคราม
(2) ความสัมพันธ์แบบปกติ ความตึงเครียด-ความขัดแย้ง-วิกฤติการณ์สงคราม
(3) ความสัมพันธ์แบบปกติ ความตึงเครียด-วิกฤติการณ์ ความขัดแย้ง-สงคราม
(4) ความสัมพันธ์แบบปกติ-วิกฤติการณ์-ความตึงเครียด-ความขัดแย้ง-สงคราม
(5) ความสัมพันธ์แบบปกติ-ความขัดแย้ง-วิกฤติการณ์-ความตึงเครียด-สงคราม
ตอบ 1 (คําบรรยาย) พัฒนาการของความสัมพันธ์ของรัฐจากปกติไปสู่สงคราม สามารถเรียงลําดับ ได้ดังนี้
1. ความสัมพันธ์แบบปกติ
2. ความขัดแย้ง
3. ความตึงเครียด
4. วิกฤติการณ์
5. สงคราม

33. “เหตุการณ์โจมตีอาคารสหพันธ์อัลเฟรด เมอร์ ในเมืองโอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1995 ด้วยรถบรรทุกระเบิด โดยนายทิโมธี แมคเวย์ ชาวอเมริกันอดีตทหารผ่านศึก” ถือเป็นการ ก่อการร้ายประเภทใด
(1) การก่อการร้ายเดี่ยว (Lone Terrorism)
(2) การก่อการร้ายเพื่อล้มอํานาจ (Insurrectionary Terrorism)
(3) การก่อการร้ายชาตินิยม (Nationalist Terrorism)
(4) การก่อการร้ายระดับโลก (Global Terrorism)
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การก่อการร้ายเดี่ยว (Lone Terrorism) เป็นการก่อการร้ายที่มีผู้ก่อการ เพียงคนเดียว ซึ่งเป้าหมายของการก่อการร้ายอาจจะเป็นการต่อต้านประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ทางการเมืองก็ได้ เช่น เหตุการณ์โจมตีอาคารสหพันธ์อัลเฟรด เมอร์ ในเมืองโอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1995 ด้วยรถบรรทุกระเบิด โดยนายทิโมธี แมคเวย์ ชาวอเมริกันอดีตทหารผ่านศึก เป็นต้น

34. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบหลักของระบอบระหว่างประเทศ
(1) กติกาหรือบรรทัดฐาน
(2) หลักการ
(3) สถานที่ตั้ง
(4) กฎเกณฑ์
(5) กระบวนการตัดสินใจ
ตอบ 3 หน้า 122, (คําบรรยาย) ระบอบระหว่างประเทศ (International Regime) คือ หลักการ บรรทัดฐาน กฎระเบียบ กฎเกณฑ์ กติกา แบบแผน และกระบวนการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับ ความคาดหวังของตัวแสดงต่าง ๆ ในประเด็นด้านใดด้านหนึ่ง โดยสมาชิกตัวแสดงทุกฝ่าย ทั้งที่เป็นรัฐและไม่ใช่รัฐที่อยู่ในระบอบต้องยอมรับและปฏิบัติตามภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน ตัวอย่างของระบอบระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GATT) เป็นต้น

35. ข้อใดจัดว่าเป็นความร่วมมือที่เกิดจากการผลักดันของประเทศมหาอํานาจ
(1) การจัดทําสนธิสัญญาห้ามแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
(2) การจัดตั้งสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน
(3) ความร่วมมือทางการทูตเรื่องความปลอดภัยของนักการทูต
(4) ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง
(5) ประชาคมและตลาดร่วมแคริบเบียน
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การจัดทําสนธิสัญญาห้ามแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Non-Proliferation Treaty : NPT) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1970 เป็นความร่วมมือที่เกิดจากการผลักดันของประเทศ มหาอํานาจ คือ สหรัฐอเมริกาและรัสเซีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการกระจายของอาวุธ นิวเคลียร์และเทคโนโลยีอาวุธ และส่งเสริมความร่วมมือการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ

36. สถาบันใดที่นับว่ามีลักษณะเป็นระบอบระหว่างประเทศ
(1) ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GAT)
(2) องค์การการค้าโลก (WTO)
(3) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
(4) องค์การสหประชาชาติ (UN)
(5) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

37. ข้อใดจัดว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรระหว่างประเทศ
(1) บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC)
(2) แกนแห่งความชั่วร้าย (Axis of Evil)
(3) ฉันทามติวอชิงตัน (Washington Consensus)
(4) องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO)
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 125, (คําบรรยาย) กลุ่มพันธมิตรระหว่างประเทศ (Alliance) คือ กลุ่มผสมผสาน ของรัฐที่เข้ามาร่วมทํางานประสานกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยการก่อตั้ง มีสนธิสัญญาเป็นกรอบชัดเจนที่จะผูกมัดประเทศสมาชิกทุกประเทศ และมีการก่อตั้งในรูปขององค์การระหว่างประเทศ มีสถาบันบริหาร ระเบียบกระบวนการบริหาร และแนวทางการทํางานรวมทั้งโครงสร้างการบังคับบัญชาที่ชัดเจน กลุ่มพันธมิตรนี้มักเกิดขึ้นเมื่อมีความขัดแย้งหรือ มีแนวโน้มว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้น เช่น องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) เป็นต้น

38. ข้อใดกล่าวถึง “ความเท่าเทียมกัน” ในสังคมระหว่างประเทศได้ถูกต้อง
(1) รัฐในสังคมระหว่างประเทศมีความเท่าเทียมกันในการครอบครองทรัพยากร
(2) รัฐในคณะมนตรีความมั่นคง (UNSC) มีความเท่าเทียมกันภายใต้กฎขององค์การสหประชาชาติ
(3) อํานาจอธิปไตยของรัฐทําให้รัฐในสังคมระหว่างประเทศมีความเท่าเทียมกันในทางกฎหมาย
(4) รัฐในสังคมระหว่างประเทศมีความสามารถเท่าเทียมกัน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 191 ในสังคมระหว่างประเทศรัฐทุกรัฐมีความเท่าเทียมกันอันเป็นผลมาจากหลักการ ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของอํานาจอธิปไตยที่ทําให้แต่ละรัฐในสังคมระหว่าง ประเทศมีความเท่าเทียมกัน แต่ในทางปฏิบัติหรือความเป็นจริงกลับไม่มีความเท่าเทียมกัน ทั้งนี้เนื่องจากอิทธิพลที่รัฐต่าง ๆ มีอยู่อย่างแตกต่างกันในอันที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมระหว่างประเทศ

39. ข้อใดกล่าวถึงลักษณะ “อนาธิปไตย” ในสังคมระหว่างประเทศได้ถูกต้อง
(1) สังคมระหว่างประเทศไม่มีศูนย์กลางทางอํานาจ
(2) รัฐมหาอํานาจในแต่ละยุคสมัยเป็นผู้กําหนดกฎเกณฑ์สากลให้สังคมระหว่างประเทศ
(3) สังคมระหว่างประเทศมีลักษณะเป็นลําดับชั้นระหว่างรัฐมหาอํานาจ รัฐขนาดกลาง และรัฐขนาดเล็ก
(4) ศูนย์กลางทางอํานาจของสังคมระหว่างประเทศในปัจจุบันอยู่ที่องค์การสหประชาชาติ
(5) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นผู้มีอํานาจตุลาการสูงสุดในสังคมระหว่างประเทศ
ตอบ 1 หน้า 196 – 197, (คําบรรยาย) ลักษณะ “อนาธิปไตย” (Anarchy) ในสังคมระหว่างประเทศ คือ การที่สังคมระหว่างประเทศปราศจากซึ่งอํานาจปกครองสูงสุด (An Absent of Supreme Power) ไม่มีศูนย์กลางทางอํานาจ หรือไม่มีรัฐบาลกลางหรือองค์กรกลางที่จะรักษากฎหมาย และความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งดูแลปกป้องรัฐหรือตัวแสดงต่าง ๆ ในสังคมระหว่าง ประเทศ จึงทําให้รัฐหรือตัวแสดงต่าง ๆ ในสังคมระหว่างประเทศจะต้องดูแลปกป้องตนเอง (Self-Help) เมื่อเกิดความขัดแย้ง

40. ข้อใดกล่าวถึงการขึ้นต่อกัน (Interdependence) ระหว่างรัฐในสังคมระหว่างประเทศได้ไม่ถูกต้อง
(1) ข้อจํากัดและความแตกต่างของการถือครองทรัพยากรธรรมชาติทําให้รัฐต้องพึ่งพาอาศัยกัน
(2) รัฐเล็กต้องพึ่งพารัฐใหญ่เสมอ
(3) การกระจายตัวของทรัพยากรทําให้เกิดระบบการแบ่งงานกันทําระหว่างประเทศ
(4) ปัญหาที่สังคมระหว่างประเทศต้องเผชิญ เช่น ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทําให้รัฐ ต้องขึ้นต่อกันมากขึ้น
(5) การขึ้นต่อกันระหว่างรัฐเป็นผลมาจากการผลิตตามความถนัดของแต่ละรัฐ
ตอบ 2 หน้า 193 – 195 ในสังคมระหว่างประเทศมีลักษณะของการขึ้นต่อกันและการต้องพึ่งพาอาศัยระหว่างกัน (Interdependence) ในบรรดารัฐต่าง ๆ ทั้งรัฐเล็กและรัฐใหญ่อยู่เสมอ ไม่เฉพาะ รัฐเล็กเท่านั้นที่มีความจําเป็นต้องพึ่งพาอาศัยรัฐใหญ่ แต่รัฐใหญ่ก็มีความจําเป็นต้องพึ่งพาอาศัยรัฐเล็กเช่นกัน เพราะรัฐใหญ่ต้องอาศัยการสนับสนุนหรือความร่วมมือจากรัฐเล็กต่าง ๆ ในการดําเนินนโยบายต่างประเทศของตน

41. เหตุการณ์ใดที่ไม่ส่งผลต่อการเพิ่มจํานวนของรัฐในสังคมระหว่างประเทศในปัจจุบัน
(1) การแยกตัวของปากีสถานออกจากอินเดียในปี ค.ศ. 1947
(2) การแยกตัวของยูโกสลาเวีย
(3) การล่มสลายของสหภาพโซเวียต
(4) แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เยือนไต้หวันในปี ค.ศ. 2022
(5) การแยกตัวของสิงคโปร์จากมาเลเซียในปี ค.ศ. 1965
ตอบ 4 หน้า 189 – 190, (คําบรรยาย) สาเหตุสําคัญที่ทําให้สมาชิกในสังคมระหว่างประเทศ หรือจํานวนรัฐในโลกของเราเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน มีดังนี้
1. การที่รัฐอธิปไตยเดิมถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายรัฐ หรือส่วนหนึ่งของรัฐอธิปไตยนั้น แยกตัวเป็นอิสระจากรัฐอธิปไตยเดิม เช่น ปากีสถานแยกตัวออกจากอินเดียในปี ค.ศ. 1947 บังกลาเทศแยกตัวออกจากปากีสถานในปี ค.ศ. 1973 สิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซีย ในปี ค.ศ. 1965 เป็นต้น
2. การปลดปล่อยอาณานิคม ซึ่งเกิดจากความเข้มแข็งของความรู้สึกชาตินิยมของประชาชน ที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาติอื่น และอุดมการณ์เกี่ยวกับการให้ชาติต่าง ๆ กําหนด การปกครองด้วยตนเอง
3. การล่มสลายของยูโกสลาเวีย สหภาพโซเวียต และจักรวรรดิออตโตมาน

42. สันนิบาตชาติกําเนิดขึ้นจากข้อเสนอของ…………การจัดระเบียบระหว่างประเทศ
(1) จิมมี่ คาร์เตอร์
(2) เอมมานูเอล คานท์
(3) เดวิด โจนส์
(4) วูดโรว์ วิลสัน
(5) แซงต์ ปีแยร์
ตอบ 4 หน้า 138 – 139 องค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations) เป็นองค์การระหว่างประเทศ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1920 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง โดยเกิดจากข้อเสนอของ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ในการจัดระเบียบระหว่างประเทศ

43. สหประชาชาติมีอายุกี่ปีในปี ค.ศ. 2022
(1) 76
(2) 77
(3) 78
(4) 75
(5) 79
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

44. เลขาธิการขององค์การสหประชาชาติในปัจจุบันคือใคร
(1) นายบัน คี-มูน
(2) นายอังตอนี มานูแวล กูแตรึช
(3) นายเดวิด มัลพาสส์
(4) นายโรเบิร์ต ซิลแคล
(5) นายโคฟี แอนนั้น
ตอบ 2 หน้า 167, (คําบรรยาย) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้รับการแต่งตั้งจากสมัชชาตาม
คําแนะนําของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 5 ปี ซึ่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติคนปัจจุบัน คือ นายอังตอนี มานูแวล กูแตรึช (Antonio Manuel Guterres) ชาวโปรตุเกส เริ่มดํารงตําแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2017

45. กฎบัตรสหประชาชาติมีวิวัฒนาการมาจาก
(1) กฎบัตรแอตแลนติก
(2) กฎบัตรฮาวานา
(3) กฎบัตรสันนิบาตชาติ
(4) กฎบัตรซานฟรานซิสโก
(5) กฎบัตรเจนีวา
ตอบ 1หน้า 150, 227 – 246, (คําบรรยาย) กฎบัตรสหประชาชาติ มีวิวัฒนาการมาจากกฎบัตร แอตแลนติก เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่รองรับการปฏิบัติหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติ โดยเนื้อหาจะแบ่งออกเป็น 19 หมวด 111 มาตรา เช่น หมวดที่ 5 มีสาระสําคัญเกี่ยวกับ องค์ประกอบและอํานาจหน้าที่ของคณะมนตรีความมั่นคง, หมวดที่ 6 มีสาระสําคัญเกี่ยวกับ การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ การมอบอํานาจให้สมัชชาและคณะมนตรีความมั่นคงดําเนินการ ระงับข้อขัดแย้งที่ไม่รุนแรง, หมวดที่ 7 มีสาระสําคัญเกี่ยวกับการดําเนินการเกี่ยวกับการคุกคาม ต่อสันติภาพ การละเมิดสันติภาพ และการกระทําการรุกราน การดําเนินการของคณะมนตรี ความมั่นคงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรงต่อสันติภาพ, หมวดที่ 9 มีสาระสําคัญเกี่ยวกับ ความร่วมมือระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น

46. สหประชาชาติมีองค์กรสําคัญ…….องค์กร
(1) 8
(2) 9
(3) 7
(4) 5
(5) 6
ตอบ 5 หน้า 143, 166 สหประชาชาติประกอบด้วยองค์กรสําคัญ 6 องค์กร คือ
1. สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ
2. คณะมนตรีความมั่นคง
3. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม
4. คณะมนตรีภาวะทรัสตี
5. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
6. สํานักงานเลขาธิการสหประชาชาติ

47. การประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติจัดทุกปีที่
(1) ปารีส
(2) เจนีวา
(3) นิวยอร์ก
(4) ลอนดอน
(5) บรัสเซลล์
ตอบ 3 หน้า 144, (คําบรรยาย) สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ประกอบด้วยรัฐสมาชิก 193 ประเทศ โดยแต่ละประเทศมีเสียง 1 เสียง ซึ่งสมัชชาจะจัดประชุมสมัยสามัญปีละ 1 ครั้ง ระหว่าง เดือนกันยายน – ธันวาคม ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะมีผู้นําหรือรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐสมาชิกเข้าร่วมประชุม

48. คณะกรรมการที่ 6 ในสมัชชาสหประชาชาติรับผิดชอบปัญหา
(1) กฎหมาย
(2) เศรษฐกิจ
(3) การเมือง
(4) สังคม
(5) การบริหาร
ตอบ 1 หน้า 144 สมัชชาสหประชาชาติมีองค์กรย่อยที่เรียกว่า “คณะกรรมการ” ทําหน้าที่ช่วยดําเนินงานตามประเด็นปัญหา ประกอบด้วย 6 คณะกรรมการ ดังนี้
1. คณะกรรมการที่ 1 รับผิดชอบปัญหาการเมือง และปัญหาที่คุกคามความมั่นคงและสันติภาพของโลก
2. คณะกรรมการที่ 2 รับผิดชอบปัญหาเศรษฐกิจและการคลัง
3. คณะกรรมการที่ 3 รับผิดชอบปัญหาสังคมและมนุษยธรรม
4.คณะกรรมการที่ 4 รับผิดชอบปัญหาดินแดนในภาวะทรัสตีและดินแดนที่ยังมิได้ปกครองตนเอง
5.คณะกรรมการที่ 5 รับผิดชอบปัญหาการบริหารงานภายในองค์การระหว่างประเทศและงบประมาณ
6. คณะกรรมการที่ 6 รับผิดชอบปัญหากฎหมาย

49. คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีสมาชิก…….ประเทศ
(1) 14
(2) 18
(3) 16
(4) 15
(5) 13
ตอบ 4 หน้า 146, 166 – 167, (คําบรรยาย) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประกอบด้วย สมาชิกทั้งหมด 15 ประเทศ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สมาชิกถาวร (Permanent Members) ประกอบด้วยประเทศผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสมาชิกประเภทนี้จะมีสิทธิพิเศษในการยับยั้งหรือวีโต้ (Veto) มติใด ๆ ก็ได้ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

2. สมาชิกหมุนเวียนหรือสมาชิกไม่ถาวร (Non-Permanent Members) มี 10 ประเทศ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และอยู่ในตําแหน่งคราวละ 2 ปี

50. คณะมนตรีความมั่นคงดําเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรงต่อสันติภาพตามกฎบัตรสหประชาชาติ
ในหมวด…….
(1) 6
(2) 8
(3) 7
(4) 5
(5) 9
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

51. ในปัจจุบันองค์กรที่มีบทบาทในการส่งกองกําลังรักษาสันติภาพไปปฏิบัติภารกิจ คือ
(1) เลขาธิการสหประชาชาติ
(2) สมัชชาสหประชาชาติ
(3) ศาลโลก
(4) คณะมนตรีภาวะทรัสตี
(5) คณะมนตรีความมั่นคง
ตอบ 5 หน้า 150 กองกําลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติจัดตั้งขึ้นตามหลักการความมั่นคงร่วม เป็นกองกําลังทหารที่รัฐสมาชิกส่งไปช่วยเหลือในภารกิจขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็น หน้าที่ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในการตัดสินใจส่งกองกําลังรักษาสันติภาพไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ที่มีปัญหาด้านสันติภาพตามที่รัฐสมาชิกร้องขอ ส่วนใหญ่แล้วจะให้ ปฏิบัติภารกิจในระยะ 6 เดือน และอาจต่อเวลาออกไปอีกได้เป็นกรณี ๆ ไป

52. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมประกอบด้วยสมาชิก…….ประเทศ
(1) 30
(2) 35
(3) 40
(4) 45
(5) 54
ตอบ 5 หน้า 154 – 155 คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วยสมาชิก 54 ประเทศ ซึ่งเลือก โดยสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ มีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 3 ปี และทุก ๆ ปี 1 ใน 3 ของ สมาชิกจะต้องจับสลากออก แต่อาจได้รับเลือกเข้ามาใหม่ได้

53. คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจสําหรับลาตินอเมริกามีที่ตั้งอยู่ที่
(1) กรุงเทพ
(2) ซานติเอโก
(3) เบรุต
(4) เจนีวา
(5) กาตาร์
ตอบ 2 หน้า 154 – 155, (คําบรรยาย) คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมมีคณะกรรมาธิการส่วนภูมิภาค ทั้งหมด 5 คณะกรรมาธิการ คือ
1. คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจสําหรับยุโรป มีสํานักงานอยู่ที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
2. คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจสําหรับลาตินอเมริกา มีสํานักงานอยู่ที่ซานติเอโก ประเทศชิลี
3. คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสําหรับเอเชียและแปซิฟิก มีสํานักงานอยู่ที่ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
4. คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจสําหรับเอเชียตะวันตก มีสํานักงานอยู่ที่เบรุต ประเทศเลบานอน
5. คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจสําหรับแอฟริกา มีสํานักงานอยู่ที่แอดดิสอาบาบา ประเทศเอธิโอเปีย

54. ศาลโลกประกอบด้วยผู้พิพากษา…….คน
(1) 10
(2) 20
(3) 14
(4) 15
(5) 16
ตอบ 4 หน้า 41 – 42, 167, (คําบรรยาย) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) หรือศาลโลก เป็นศาลที่ทําหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทระหว่างรัฐที่เป็นสมาชิกของ องค์การสหประชาชาติ โดยมีองค์คณะผู้พิพากษาที่มาจากการเลือกของสมัชชาและคณะมนตรี ความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจํานวน 15 คน ปัจจุบันศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีสํานักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

55. องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้เป็นองค์การระหว่างรัฐบาลด้าน
(1) เศรษฐกิจ การเมือง
(2) การทหาร
(3) การทหาร เศรษฐกิจ การเมือง
(4) เศรษฐกิจ
(5) อวกาศ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization : SCO) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 2001 เป็นองค์การระหว่างรัฐบาลด้านการทหาร เศรษฐกิจ และการเมือง โดยมีสํานักเลขาธิการถาวรตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ปัจจุบัน (ค.ศ. 2022) องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้มีสมาชิก 9 ประเทศ ได้แก่ จีน รัสเซีย อินเดีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ปากีสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน และอิหร่าน

56. SAARC คือสมาคมความร่วมมือส่วนภูมิภาคใด
(1) แอฟริกา
(2) เอเชีย
(3) เอเชียเหนือ
(4) เอเชียใต้
(5) แอฟริกาตะวันออก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สมาคมความร่วมมือส่วนภูมิภาคเอเชียใต้ (South Asian Association for Regional Cooperation : SAARC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 เป็นองค์กรความร่วมมือองค์กรแรก ในภูมิภาคเอเชียใต้ ปัจจุบัน (ค.ศ. 2022) ประกอบด้วยสมาชิก 8 ประเทศ ได้แก่ อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย มัลดีฟส์ เนปาล ปากีสถาน และศรีลังกา โดยมีสํานักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล

57.BIMSTEC เป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจอนุทวีป มีสมาชิก…….ประเทศ
(1) 5
(2) 8
(3) 4
(4) 6
(5) 7
ตอบ 5 หน้า 223 ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการ และเศรษฐกิจ (BIMSTEC) เป็นกลุ่มความร่วมมือทางวิชาการและเศรษฐกิจในอ่าวเบงกอล ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย

58. สํานักเลขาธิการถาวรองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่ที่……
(1) เทียนสิน
(2) เซี่ยงไฮ้
(3) ปักกิ่ง
(4) ซีอาน
(5) หางโจว
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 55. ประกอบ

59.RCEP หรือพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคพัฒนามาจาก
(1) อาเซียน + 6
(2) อาเซียน + 3
(3) อาเซียน + 8
(4) อาเซียน + 7
(5) อาเซียน + 5
ตอบ 1 (คําบรรยาย) RCEP หรือพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) เป็นการพัฒนามาจากแนวคิดอาเซียน + 6 ถือเป็นความร่วมมือ ข้ามภูมิภาคระหว่างองค์การระหว่างประเทศส่วนภูมิภาคกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก ทั้งหมด 15 ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย บรูไน เวียดนาม ลาว เมียนมา (พม่า) และกัมพูชา และประเทศ คู่เจรจา 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

60. อาเซียนใน ค.ศ. 2022 มีอายุ…..ปี
(1) 45 ตอบ 5
(2) 56
(3) 46
(4) 64
(5) 55
หน้า 180, (คําบรรยาย) อาเซียน (ASEAN) เป็นองค์การระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1967 (ปัจจุบัน ค.ศ. 2022 อายุ 55 ปี) โดยการลงนามในปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ดังนั้นจึงถือว่าวันที่ 8 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันอาเซียน (ASEAN Day)

61. ความร่วมมือข้ามภูมิภาคระหว่างองค์การระหว่างประเทศส่วนภูมิภาคกับเศรษฐกิจโลก คือ
(1) RCEP
(2) ASEAN
(3) SCO
(4) ADB
(5) SAARC
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

62. ความตกลงระหว่างประเทศที่เป็นลายลักษณ์อักษร คือข้อใด
(1) Dialogue
(2) Negotiation
(3) Treaty
(4) Document
(5) Declaration
ตอบ 3, 5 หน้า 6 (คําบรรยาย) ความตกลงระหว่างประเทศที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ สนธิสัญญา (Treaty), อนุสัญญา (Convention), พิธีสาร (Protocol), ข้อตกลง (Agreement), กติกาสัญญา (Pact), กฎบัตร (Charter), ปฏิญญา (Declaration), สัตยาบัน (Ratification), บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) เป็นต้น

63. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับศตวรรษที่ 20
(1) เกิดสงครามสามสิบปีในยุโรป
(2) เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
(3) เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
(4) เกิดสงครามเย็น
(5) อเมริกาทําสงครามที่เวียดนาม
ตอบ 1 หน้า 79 สงครามสามสิบปี เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้ง
ทางด้านศาสนาจนลุกลามกลายเป็นสงครามใหญ่ที่ยืดเยื้อในยุโรปยาวนานถึงสามสิบปี (ระหว่างปี ค.ศ. 1618 – ค.ศ. 1648) โดยสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการลงนามในสนธิสัญญา เวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia)

64. กฎหมายระหว่างประเทศ เป็น
(1) กฎหมายสูงสุดของทุกรัฐ
(2) กฎหมายที่ทุกรัฐเกรงใจ
(3) กฎหมายที่ทุกรัฐต้องปฏิบัติตาม
(4) กฎหมายที่ไม่มีสภาพบังคับลงโทษ
(5) กฎหมายที่ให้ความเท่าเทียมกันกับทุกประเทศ

ตอบ 4 หน้า 129 กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายที่ไม่พึ่งพาการใช้กําลังให้รัฐอยู่ภายใต้บังคับ ของกฎหมาย หรือกล่าวอีกนัยก็คือ เป็นกฎหมายที่ไม่มีสภาพบังคับลงโทษ (Sanction) จึงทําให้ สังคมระหว่างประเทศมีลักษณะสังคมอนาธิปไตย ซึ่งไม่มีอํานาจสูงสุดในการบังคับบัญชา

65. สมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้แก่
(1) สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี รัสเซีย และจีน
(2) สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน
(3) สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และญี่ปุ่น
(4) สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี รัสเซีย และญี่ปุ่น
(5) สหรัฐฯ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

66. ข้อใดจัดเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา
(1) การกําหนดโควตา
(2) การทุ่มสินค้า
(3) การงดส่งสินค้าออกไปขาย
(4) การโฆษณาชวนเชื่อ
(5) การขึ้นภาษีนําเข้า
ตอบ 4 หน้า 109 การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) จัดเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่สําคัญ โดยเป้าหมายของรัฐที่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อในการดําเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็คือ ต้องการที่จะสร้างอิทธิพลต่อทัศนคติหรือต่อการกระทําทางการเมืองของกลุ่มที่เป็นเป้าหมาย หรือของรัฐอื่น ๆ และบีบบังคับหรือโน้มน้าวจูงใจให้รัฐอื่น ๆ ดําเนินนโยบายตามที่รัฐตนต้องการ

67. อนุสัญญาใดที่เป็นหลักปฏิบัติของนักการทูต
(1) Vienna Convention on Diplomatic Relations 1961
(2) Westphalia Convention on Diplomatic Relations 1961
(3) Paris Convention on Diplomatic Relations 1961
(4) Geneva Convention on Diplomatic Relations 1961
(5) Havana Convention on Diplomatic Relations 1961
ตอบ 1 หน้า 131 อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 (Vienna Convention on Diplomatic Relations 1961) เป็นอนุสัญญาที่เป็นหลักปฏิบัติของนักการทูต ในการทําหน้าที่ทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และให้หลักประกันแก่นักการทูตในการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอิทธิพลหรือการคุกคามของประเทศที่ตนปฏิบัติหน้าที่อยู่หรือประเทศผู้รับ

68. ประเทศใดที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม
(1) บรูไน
(2) อินเดีย
(3) ญี่ปุ่น
(4) อียิปต์
(5) ชิลี
ตอบ 3 หน้า 81, (คําบรรยาย) ในยุคล่าอาณานิคมมีหลายประเทศทั้งในเอเชียและแอฟริกาที่ตกเป็น เมืองขึ้นของชาติตะวันตก เช่น อินเดีย บรูไน พม่า มาเลเซีย อียิปต์ เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ซิลี ฟิลิปปินส์ เป็นเมืองขึ้นของสเปน กัมพูชา ลาว เวียดนาม เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส สําหรับ ญี่ปุ่นและไทยนั้นเป็นประเทศในเอเชียที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกเลย

69. สหรัฐอเมริกาทําสงครามการค้ากับจีนโดยใช้วิธีใด
(1) การกําหนดโควตา
(2) การทุ่มสินค้า
(3) การงดส่งสินค้าออกไปขาย
(4) การโฆษณาชวนเชื่อ
(5) การขึ้นภาษีนําเข้า
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) ในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐอเมริกาได้ทําสงครามการค้ากับจีน โดยการขึ้นภาษีนําเข้าสินค้าจากจีน รวมทั้งสั่งให้บริษัทสหรัฐอเมริกาที่มีฐานผลิตในจีนถอนตัวออกจากจีนและกลับมาผลิตสินค้าในสหรัฐอเมริกาแทน

70. กษัตริย์องค์ปัจจุบันของสหราชอาณาจักร คือ
(1) Queen Elizabeth II
(2) King George I
(3) King Charles III
(4) Queen Mary I
(5) King James II
ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 (King Charles III) เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบันของ สหราชอาณาจักร พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (Queen Elizabeth II) พระมารดา ซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022

71. ข้อใดไม่ใช่ความหมายของคําว่าเขตเศรษฐกิจจําเพาะ (Exclusive Economic Zone)
(1) นานาชาติเดินเรือได้อย่างเสรี
(2) มีความยาวถัดจากอาณาเขตของรัฐบนฝั่ง 200 ไมล์ทะเล
(3) รัฐชายฝั่งมีสิทธิขุดเจาะและนําทรัพยากรใต้ท้องทะเลมาใช้ได้
(4) รัฐชายฝั่งเป็นเจ้าของทรัพยากรใต้ท้องทะเล
(5) นานาชาติมีสิทธิหาปลาบริเวณนั้นได้
ตอบ 5 (คําบรรยาย) เขตเศรษฐกิจจําเพาะ (Exclusive Economic Zone) เป็นพื้นที่ทะเล ซึ่งมีความยาวถัดจากอาณาเขตของรัฐบนฝั่ง 200 ไมล์ทะเล ซึ่งรัฐชายฝั่งมีสิทธิขุดเจาะและ นําทรัพยากรใต้ท้องทะเลมาใช้ได้ ส่วนรัฐนานาชาติสามารถเดินเรือได้อย่างเสรี แต่ไม่สามารถ ทํากิจกรรมเพื่อหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น ขุดเจาะหาทรัพยากรใต้ท้องทะเล หรือทําประมง จับปลาในบริเวณ 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งได้ เพราะถือเป็นสิทธิของรัฐชายฝั่งแต่เพียงผู้เดียว

72. ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมทําให้เกิด
(1) สงครามโลกครั้งที่ 2
(2) การล่าอาณานิคม
(4) สงครามต่อต้านการก่อการร้าย
(3) สงครามครูเสด
(5) สงครามเย็น
ตอบ 2 หน้า 79 – 81, (คําบรรยาย) การปฏิวัติอุตสาหกรรม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระบบและ วิธีการผลิตจากการใช้แรงงานคนหรือสัตว์มาใช้เครื่องจักรกลที่สลับซับซ้อนและมีประสิทธิภาพเพื่อให้การผลิตทําได้จํานวนมากภายในระยะเวลาที่สั้น โดยการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษเป็นแห่งแรกและทําให้อังกฤษเป็นมหาอํานาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมทําให้เกิด
1. การปฏิวัติการค้า มีการขยายการค้านอกยุโรปและมีบรรษัทข้ามชาติ
2. ลัทธิจักรวรรดินิยมและการล่าอาณานิคม
3. การแข่งขันของมหาอํานาจในยุโรปทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร

73. สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงเมื่อใด
(1) ค.ศ. 1914 – 1918
(2) ค.ศ. 1939 – 1945
(3) ค.ศ. 1947 – 1991
(4) ค.ศ. 1618 – 1648
(5) ค.ศ. 1921 – 1927
ตอบ 1 หน้า 82 – 84, (คําบรรยาย) สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1914 – ค.ศ. 1918 เป็นความขัดแย้งระหว่างมหาอํานาจ 2 ฝ่าย คือ
1. ฝ่ายพันธมิตรไตรภาคีหรือมหาอํานาจกลาง (Triple Alliance) ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี ออตโตมาน (ตุรกี) และบัลแกเรีย
2. ฝ่ายสัมพันธมิตร (Triple Entente/Allied Powers) ประกอบด้วย รัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเซอร์เบีย

74. วันอาเซียน (ASEAN Day) คือวัน เดือน อะไรของทุกปี
(1) 1 ตุลาคม
(2) 8 สิงหาคม
(3) 4 กรกฎาคม
(4) 24 ตุลาคม
(5) 1 มกราคม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 60. ประกอบ

75. สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงเมื่อใด
(1) ค.ศ. 1914 – 1918
(2) ค.ศ. 1939 – 1945
(3) ค.ศ. 1947 – 1991
(4) ค.ศ. 1618 – 1648
(5) ค.ศ. 1921 – 1927
ตอบ 2 หน้า 85 สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1939 – ค.ศ. 1945 เป็นความขัดแย้ง ระหว่างมหาอํานาจ 2 ฝ่าย คือ
1. ฝ่ายสัมพันธมิตร (Allied Powers) ประกอบด้วย 5 ประเทศหลัก ได้แก่ สหภาพโซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน และสหรัฐอเมริกา
2. ฝ่ายอักษะ (Axis Powers) ประกอบด้วย 3 ประเทศหลัก ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น

76. สงครามเย็นเกิดขึ้นและสิ้นสุดเมื่อได
(1) ค.ศ. 1914 – 1918
(2) ค.ศ. 1939 – 1945
(3) ค.ศ. 1947 – 1991
(4) ค.ศ. 1618 – 1648
(5) ค.ศ. 1921 – 1927
ตอบ 3 หน้า 87, (คําบรรยาย) สงครามเย็น (Cold War) เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี ค.ศ. 1947 – ค.ศ. 1991 เป็นสงครามที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มตะวันตกนําโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม และกลุ่มตะวันออกนําโดยสหภาพโซเวียต ซึ่งมีระบบการเมืองแบบคอมมิวนิสต์และระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม โดยลักษณะสงคราม ไม่ได้มีการใช้กองกําลังทหารเข้าสู้กัน แต่เป็นการสู้กันโดยการแข่งขันทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การส่งความช่วยเหลือไปยังประเทศที่ 3 และการทําสงครามตัวแทน

77. เวียดนามบุกกัมพูชาในปี ค.ศ. 1978 ด้วยการสนับสนุนของประเทศใด
(1) สหรัฐอเมริกา
(2) จีน
(3) ฝรั่งเศส
(4) อังกฤษ
(5) สหภาพโซเวียต
ตอบ 5 หน้า 89, (คําบรรยาย) เวียดนามบุกกัมพูชาในปี ค.ศ. 1978 โดยได้รับการสนับสนุนจาก สหภาพโซเวียต ซึ่งการบุกกัมพูชาของเวียดนามนี้ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้สงครามเย็น ที่ผ่อนคลายความตึงเครียดลงในช่วงทศวรรษที่ 1970 กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง

78. รัฐต่าง ๆ ให้ความสําคัญกับภัยคุกคามความมั่นคงในรูปแบบใหม่ในยุคใด
(1) สงครามสามสิบปี
(2) สงครามโลกครั้งที่ 1
(3) สงครามโลกครั้งที่ 2
(4) สงครามเย็น
(5) หลังสงครามเย็น
ตอบ 5 หน้า 91 – 92, (คําบรรยาย) ภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่เกิดขึ้นในยุคหลังสงครามเย็น
เป็นภัยคุกคามที่ไม่ได้กระทําโดยรัฐและไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและรัฐนั้น ๆ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่รัฐต่าง ๆ ให้ความสําคัญ และหันมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหามากขึ้น รูปแบบของภัยคุกคามดังกล่าว ได้แก่
1. การก่อการร้ายระหว่างประเทศ
2. โรคระบาด เช่น โคโรนาไวรัส (COVID-19) โรคเอดส์ ซาร์ ไข้หวัดนก อีโบลา เป็นต้น
3. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ พายุ เป็นต้น
4. อาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด อาชญากรรม ทางไซเบอร์ ปัญหาโจรสลัด เป็นต้น

79. สงครามอิรัก-คูเวต หรือสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ. ใด
(1) 1988
(2) 1989
(3) 1990
(4) 2001
(5) 2003
ตอบ 3 (คําบรรยาย) สงครามอิรัก-คูเวต หรือสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1990 – ค.ศ. 1991 เป็นสงครามในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียระหว่างกองกําลังผสมจาก 34 ชาตินําโดย สหรัฐอเมริกาต่อประเทศอิรัก โดยสงครามนี้อาจเรียกสั้น ๆ ว่า “สงครามอ่าว” (Gulf War)

80. ข้อใดคือภัยคุกคามความมั่นคงในรูปแบบใหม่
(1) อาวุธเคมี
(2) พายุไต้ฝุ่นโนรู
(3) อาวุธนิวเคลียร์
(4) คอมมิวนิสต์
(5) การโฆษณาชวนเชื่อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

81. ใครคือผู้นําของสหภาพโซเวียตที่ดําเนินนโยบาย “Glasnost and Perestroika” และได้รับการยกย่องว่าเป็น ผู้ยุติสงครามเย็น ซึ่งท่านถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2022
(1) Nikita Khrushchev
(2) Leonid Brezhnev
(3) Yuri Andropov
(4) Mikhail Gorbachev
(5) Boris Yeltsin
ตอบ 4 หน้า 90, (คําบรรยาย) มิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) เป็นผู้นําสหภาพโซเวียต ที่ดําเนินนโยบายกลาสนอสต์ (Glasnost) และนโยบายเปเรสตรอยก้า (Perestroika) และได้รับ การยกย่องว่าเป็นผู้ยุติสงครามเย็น ซึ่งท่านถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2022

82.Kamala Harris คือใคร
(1) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน
(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คนปัจจุบัน
(3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ คนปัจจุบัน
(4) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ คนปัจจุบัน
(5) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจําประเทศไทยคนปัจจุบัน
ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) นางกมลา แฮร์ริส (Kamata Harris) เป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนปัจจุบันภายใต้การนําของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2021

83. ผู้นําประเทศหรืออดีตผู้นําประเทศท่านใดไม่ได้ถูกสังหารจนถึงแก่อสัญกรรม
(1) ชินโซ อาเบะ / ญี่ปุ่น
(2) อับราฮัม ลินคอล์น / สหรัฐอเมริกา
(3) กษัตริย์พิเรนทรา / เนปาล
(4) ยิตส์ฮัก ราบิน / อิสราเอล
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) ผู้นําประเทศหรืออดีตผู้นําประเทศที่ถูกสังหารจนถึงแก่อสัญกรรม ได้แก่
1. อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถูกลอบสังหารโดยจอห์น วิลค์ส บูธ นักแสดงในโรงละครเมื่อปี ค.ศ. 1865
2. ยิตส์ฮัก ราบิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ถูกลอบสังหารโดยเกล แอไมร์ นักศึกษาชาวยิว ฝ่ายขวาออร์ธอด็อกซ์เมื่อปี ค.ศ. 1955
3. กษัตริย์พิเรนทรา กษัตริย์เนปาล ถูกสังหารโดยพระราชโอรสเมื่อปี ค.ศ. 2001
4. ชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ถูกลอบสังหารโดยอดีตเจ้าหน้าที่กองกําลังป้องกันตนเองทางทะเลเมื่อปี ค.ศ. 2022

84. การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) รอบประชุมสุดยอดผู้นํา (Summit) ค.ศ. 2022 ประเทศใดเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม
(1) จีน
(2) ไทย
(3) สิงคโปร์
(4) สหรัฐอเมริกา
(5) สหราชอาณาจักร
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) รอบประชุม สุดยอดผู้นํา (Summit) ปี ค.ศ. 2022 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ

85. ข้อตกลงใดที่ทําให้เกิดรัฐสมัยใหม่ (Modern State)
(1) กฎบัตรแอตแลนติก
(2) สนธิสัญญาโรม
(3) สนธิสัญญาปารีส
(4) ข้อตกลงสันติภาพเวสต์ฟาเลีย
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 79 ข้อตกลงสันติภาพเวสต์ฟาเลีย (Peace of Westphalia) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1648 เป็นข้อตกลงที่ทําให้เกิดรัฐสมัยใหม่ (Modern State) ซึ่งมีองค์ประกอบสําคัญ 4 ประการ ได้แก่ ประชากร(Population), ดินแดนหรืออาณาเขต (Territory), รัฐบาล (Government) และอํานาจอธิปไตย(Sovereignty)

86. ข้อตกลงที่ใช้เป็นข้อตกลงเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝั่งเอเชียแปซิฟิกกับญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ
คือข้อตกลงใด
(1) Japan Alliance Treaty
(2) Paris Peace Treaty
(4) Treaty of Peace with Japan
(3) World War II Peace Treaty
(5) Treaty of Peace for World War II
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่น (Treaty of Peace with Japan) เป็นข้อตกลง เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝั่งเอเชียแปซิฟิกกับญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดทําขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1951

87. ข้อใดไม่เป็นวิธีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
(1) แนวจิตวิทยาและวัฒนธรรม
(2) แนวพฤติกรรม
(3) แนวระบบ
(4) แนวอํานาจ
(5) แนวผู้นํา
ตอบ 5 หน้า 8 – 13 วิธีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็น 8 แนวทาง คือ
1. แนวนโยบาย
2. แนวประวัติศาสตร์
3. แนวภูมิรัฐศาสตร์
4. แนวอํานาจ
5. แนวดุลแห่งอํานาจ
6. แนวจิตวิทยาและวัฒนธรรม
7. แนวพฤติกรรม
8. แนวระบบ

88. ข้อใดไม่เป็นการศึกษาในแนวพฤติกรรม
(1) การสังเกต
(2) การตั้งปัญหาและสมมติฐาน
(3) การวัด
(4) การทดลอง
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 12 แนวพฤติกรรม (Behavioral Approach) เป็นการศึกษาที่พยายามจะอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยข้อสรุปที่ได้มาจากการสังเกตสภาพตามความเป็นจริงและ ด้วยทฤษฎี รวมทั้งมีการทํานายพฤติกรรมของมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยพยายามหาทางปรับปรุงคําทํานายหรือการคาดคะเนให้มีความแม่นยําถูกต้องมากขึ้น โดยการศึกษาแนวนี้จะใช้ เทคนิคและวิธีการทางด้านสังคมศาสตร์ ได้แก่ การสังเกต การตั้งปัญหาและสมมติฐาน และ การทดสอบสมมติฐาน ผสมผสานกับเทคนิคและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) เช่น การวัด การทดลอง การสร้างทฤษฎี การสร้างแบบจําลอง เป็นต้น

89. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบันได้แก่ผู้ใด
(1) Henry Kissinger
(2) Hillary Clinton
(3) John Kerry
(4) Antony Blinken
(5) Mike Pompeo
ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน คือ นายแอนโทนี บลิงเคน (Antony Blinken) ซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2021

90. หนังสือที่เขียนขึ้นโดยการศึกษาตามแนวทางอํานาจได้แก่เรื่องใด
(1) Politics Among Nations
(2) Wealth of Nations
(3) Communist Manifesto
(4) The Geography of the Peace
(5) Das Kapital
ตอบ 1 หน้า 11 หนังสือที่เขียนโดยใช้วิธีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวทางอํานาจ (Power Approach) ได้แก่
1. หนังสือเรื่อง “Politics Among Nations : The Struggle for Power and Peace” ของ ฮันส์ เจ. มอร์เกนธอ (Hans J. Morgenthau)
2. หนังสือเรื่อง “Power and International Relations” ของไอนิส แอล, เคลาด์ จูเนียร์
(Inis L. Cloude, JR.)

91. การทูตแบบปิงปอง (Ping Pong Diplomacy) เกิดขึ้นในช่วงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใด
(1) Harry Truman
(2) Ronald Reagan
(3) Woodrow Wilson
(4) John F. Kennedy
(5) Richard Nixon
ตอบ 5 หน้า 89, (คําบรรยาย) การทูตแบบปิงปอง (Ping Pong Diplomacy) เป็นการสานความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับจีนในช่วงสงครามเย็น ซึ่งตรงกับสมัยริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในขณะนั้นจีนตระหนักว่าสหภาพโซเวียตเป็นภัยคุกคาม ที่น่ากลัวกว่าสหรัฐอเมริกา จึงพยายามหาทางคานอํานาจกับสหภาพโซเวียตโดยการเชิญทีมปิงปองของสหรัฐอเมริกาไปร่วมแข่งขันชิงชนะเลิศในปักกิ่ง

92. นักวิชาการคนใดเป็นนักวิชาการที่ใช้วิธีการศึกษาทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแนวประวัติศาสตร์
(1) Raymond Aron
(2) Sir Halford Mackinder
(3) Nicholas Spykman
(4) K. J. Holsti
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 8 – 9 นักวิชาการที่ใช้วิธีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแนวประวัติศาสตร์ (Historical Approach) ได้แก่
1. เรมอนด์ อารอน (Raymond Aron)
2. ชาร์ล เอ. แมคเคลแลนด์ (Charles A. McClelland)
3. ริชาร์ด โรสแครนซ์ (Richard Rosecrance)
4. ฮันส์ เจ. มอร์เกนธอ (Hans J. Morgenthau)

93. องค์การสหประชาชาติมอบหน้าที่ให้หน่วยงานใดที่จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อลงโทษประเทศ
ที่ทําการฝ่าฝืนกฎบัตรขององค์การสหประชาชาติ
(1) คณะมนตรีสังคมและเศรษฐกิจ
(2) ที่ประชุมสมัชชาใหญ่
(3) คณะทรัสตี
(4) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
(5) คณะมนตรีความมั่นคง
ตอบ 5 หน้า 51 องค์การสหประชาชาติมอบหน้าที่ในการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อลงโทษประเทศที่ทําการฝ่าฝืนกฎบัตรขององค์การสหประชาชาติให้กับคณะมนตรีความมั่นคง

94. ใครเป็นคนกล่าวคําที่ว่า “ไม่ใช่เพราะพลังทางด้านการทหารแต่เพียงอย่างเดียว แต่การที่ได้ชัยชนะก็เพราะ วิถีทางเศรษฐกิจด้วย ถ้าปราศจากวิถีทางเศรษฐกิจแล้วสงครามจะดําเนินต่อไปอีกเป็นเวลายาวนาน…”
(1) Margaret Thatcher
(2) George W. Bush
(3) Boris Johnson
(4) Woodrow Wilson
(5) George Washington
ตอบ 4 หน้า 52 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวไว้ว่า “การที่สามารถได้ชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น ไม่ใช่เพราะพลังทางด้านการทหาร แต่เพียงอย่างเดียว แต่การที่ได้ชัยชนะก็เพราะวิถีทางทางด้านเศรษฐกิจด้วย ถ้าปราศจากวิถีทางทางด้านเศรษฐกิจแล้วสงครามจะดําเนินต่อไปอีกเป็นเวลายาวนาน…”

95. การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจยามสันติแบบหนึ่ง คือ การรวมตัวกันทางธุรกิจระหว่างประเทศ เกิดขึ้นกับ
การดําเนินการของหน่วยงานระหว่างประเทศใด
(1) WTO
(2) IMF
(3) OPEC
(4) AIIB
(5) ADB
ตอบ 3 หน้า 56 การรวมตัวกันทางธุรกิจระหว่างประเทศ คือ การรวมตัวกันของธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะควบคุมการแข่งขันของธุรกิจประเภทนั้น ๆ และให้กลุ่มของตนมีอิทธิพล สูงสุดในตลาดระหว่างประเทศของธุรกิจประเภทนั้นด้วย เช่น การรวมตัวกันขององค์การ ประเทศผู้ส่งน้ํามันเป็นสินค้าออก (OPEC) เป็นต้น

96. ปีหน้า ค.ศ. 2023 เป็นปีที่ประเทศไทยจะมีความสัมพันธ์กับประเทศใดครบ 190 ปี
(1) จีน
(2) ฝรั่งเศส
(3) สิงคโปร์
(4) สหรัฐอเมริกา
(5) สหราชอาณาจักร
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1833 โดยการลงนามในสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ (Treaty of Amity and Commerce) ดังนั้นในปี ค.ศ. 2023 จึงเป็นปีที่ประเทศไทยจะมีความสัมพันธ์กับ ประเทศสหรัฐอเมริกาครบ 190 ปี

97.สหภาพแอฟริกา (African Union) ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมดกี่ประเทศ
(1) 49
(2) 51
(3) 53
(4) 55
(5) 59
ตอบ 4 หน้า 136, (คําบรรยาย) สหภาพแอฟริกา (African Union : AU) เป็นองค์การระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาคที่มีวัตถุประสงค์ทั่วไป ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2002 โดยปรับปรุงโครงสร้างมาจาก องค์การเอกภาพแอฟริกา (Organization of African Unity : OAU) ปัจจุบัน (ค.ศ. 2022) มีสมาชิกทั้งหมด 55 ประเทศ

98. กฎบัตรขององค์การสหประชาชาติ (UN Charter) ในมาตรา 51 กล่าวถึงการใช้กําลังทหารที่ถูกต้อง
และได้รับการยอมรับจากนานาชาติในลักษณะใด
(1) ป้องกันตนเอง
(2) ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติ
(3) มีมติเห็นชอบจากศูนย์อํานวยการความมั่นคงนานาชาติ
(4) มีมติเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 99, (คําบรรยาย) ตามกฎบัตรขององค์การสหประชาชาตินั้น การใช้กําลังทหารอย่างถูกต้อง และได้รับการยอมรับจากนานาชาติจะต้องดําเนินการตามมาตรา 51 ที่กําหนดให้รัฐสมาชิก สามารถใช้กําลังป้องกันตนเองได้หากมีการโจมตีด้วยกําลังอาวุธจากประเทศผู้รุกราน และจะต้องรายงานให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทราบ เพื่อให้คณะมนตรีความมั่งคงมีมติตามมาตรา 42 ในการใช้กองกําลังรักษาสันติภาพเข้าช่วยเหลือประเทศที่ถูกรุกราน

99. กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งต่อไป ค.ศ. 2024 จัดขึ้นที่ประเทศใด
(1) เกาหลีใต้
(2) ญี่ปุ่น
(3) สหรัฐอเมริกา
(4) จีน
(5) ฝรั่งเศส
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี ค.ศ. 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 11 สิงหาคม ค.ศ. 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

100. การประชุมสุดยอดผู้นําอาเซียน-สหรัฐอเมริกาที่จัดขึ้นในปีนี้ จัดขึ้นที่เมืองใด
(1) กรุงพนมเปญ
(2) กรุงเทพฯ
(3) กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
(4) กรุงฮานอย
(5) กรุงมะนิลา
ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) การประชุมสุดยอดผู้นําอาเซียน-สหรัฐอเมริกา สมัยพิเศษ (ASEAN-US Special Summit) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศ สหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครบ 45 ปี และหารือแนวทางกระชับความสัมพันธ์ในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ความร่วมมือทางทะเล การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและ การส่งเสริมนวัตกรรม เป็นต้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!