การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2102 (LAW 2002) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

Advertisement

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 จันทร์เป็นลูกหนี้ตามสัญญาเช่า อังคารเป็นเจ้าหนี้ สัญญาเช่ากําหนดให้จันทร์ชําระค่าเช่าจํานวน เงินสองหมื่นบาทให้แก่อังคารในวันที่ 30 มกราคม 2564 โดยชําระที่บ้านของอังคาร เมื่อถึงกําหนดวันที่ 30 มกราคม 2564 ปรากฏว่าจันทร์ได้ชําระหนี้ให้แก่อังคารจํานวนสองหมื่นบาทด้วยเงินสด แต่อังคารปฏิเสธไม่ยอมรับโดยอ้างว่าไม่สะดวกจะรับ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าอังคารตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชําระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชําระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุ อันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด”

มาตรา 208 วรรคหนึ่ง “การชําระหนี้จะให้สําเร็จเป็นผลอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการ ชําระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 207 กรณีที่จะถือว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ2 ประการ คือ

1 ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยชอบแล้ว และ

2 เจ้าหนี้ไม่รับชําระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เป็นลูกหนี้ตามสัญญาเช่า และอังคารเป็นเจ้าหนี้ โดยสัญญาเช่า กําหนดให้จันทร์ชําระค่าเช่าเป็นเงินจํานวน 20,000 บาท ให้แก่อังคารในวันที่ 30 มกราคม 2564 โดยชําระที่บ้านของอังคารนั้น เมื่อถึงกําหนดวันที่ 30 มกราคม 2564 ปรากฏว่าจันทร์ได้ชําระหนี้ให้แก่อังคารจํานวน 20,000 บาท ด้วยเงินสด ย่อมถือว่าจันทร์ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยชอบตามมาตรา 208 วรรคหนึ่งแล้ว การที่อังคารปฏิเสธไม่ยอมรับโดยอ้างว่าไม่สะดวกจะรับนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ไม่รับชําระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ อังคารเจ้าหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 208 วรรคหนึ่ง

สรุป อังคารเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

 

ข้อ 2 จันทร์เช่าปั๊มน้ำมันของอังคารมาดําเนินกิจการ พุธทําละเมิดให้หลังคาปั๊มน้ำมันเสียหาย จันทร์ ได้ใช้ค่าซ่อมแซมจํานวนเงินสองแสนบาทให้แก่อังคารแล้ว ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าจันทร์จะเรียกร้องให้พุธผู้ทําละเมิดรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียจํานวนสองแสนบาทนั้นให้แก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้ มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง”

มาตรา 227 “เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่ง เป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้น ๆ ด้วยอํานาจกฎหมาย”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บัญญัติความหมายของการรับช่วงสิทธิไว้ แต่เมื่อพิจารณาจาก บทบัญญัติมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 227 แล้ว อาจให้ความหมายของการรับช่วงสิทธิได้ว่า หมายถึงการที่บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่เจ้าหนี้เดิมในมูลหนี้และมีส่วนได้เสียอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าชําระหนี้ให้แก่ เจ้าหนี้มีผลทําให้บุคคลภายนอกดังกล่าวได้รับสิทธิหรือเข้าสวมสิทธิของเจ้าหนี้เดิมที่มีอยู่ด้วยอํานาจแห่งกฎหมาย และเมื่อเข้ารับช่วงสิทธิแล้วก็ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายของเจ้าหนี้รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง ดังนั้น การรับช่วงสิทธิจึงมิได้ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 2766/2551)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เช่าปั๊มน้ำมันของอังคารมาดําเนินกิจการ จันทร์ย่อมเป็นเพียงผู้เช่าธรรมดา ไม่มีหน้าที่ใดที่จะต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่า ในกรณีที่พุธได้ทําละเมิดให้หลังคาปั๊มน้ำมันเสียหาย ดังนั้น แม้จันทร์จะได้ใช้ค่าซ่อมแซมจํานวน 200,000 บาท ให้แก่อังคารแล้ว จันทร์ก็ไม่อยู่ในฐานะลูกหนี้ที่จะเข้ารับช่วง สิทธิของอังคารเจ้าของปั๊มน้ำมันที่จะไปเรียกร้องให้พุธรับผิดได้ เพราะการรับช่วงสิทธิตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 227 นั้น จะมีได้ก็ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ซึ่งในกรณีนี้คืออังคารเจ้าของปั๊มน้ำมัน

สรุป จันทร์ไม่อยู่ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิ จึงไม่สามารถเรียกร้องให้พุธผู้ทําละเมิดรับผิดชดใช้ค่า สินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจํานวน 200,000 บาท ให้แก่ตนได้

 

ข้อ 3 ต้นเป็นหนี้เอกหนึ่งล้านบาท ทรัพย์สินของต้นมีไม่พอชําระหนี้ ต่อมาต้นได้รับมรดกที่ดินมา 10 ไร่ ต้นกลับยกที่ดินดังกล่าวให้กลางและปลาย ซึ่งเป็นน้องของตนโดยเสน่หา กลางและปลายแยกส่วน ของตนได้คนละ 5 ไร่ กลางนําส่วนของตนไปจํานองไก่ ไก่รับจํานองไว้โดยสุจริต ส่วนของปลาย นําเอาไปขายให้ไข่ ไข่รับซื้อไว้โดยรู้ว่ามีหนี้ผูกพันกันอยู่ เอกจะบังคับชําระหนี้เอากับต้นลูกหนี้ ได้อย่างไรบ้าง ยกหลักกฎหมายประกอบคําตอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทําลง ทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทํานิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทําให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน”

มาตรา 238 “การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของ บุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนฟ้องคดีขอเพิกถอน

อนึ่ง ความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านห้ามมิให้ใช้บังคับถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา”

มาตรา 239 “การเพิกถอนนั้นย่อมได้เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้หมดทุกคน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ต้นเป็นหนี้เอก 1 ล้านบาท และทรัพย์สินของต้นมีไม่พอชําระหนี้ ต่อมา ต้นได้รับมรดกเป็นที่ดินมา 10 ไร่ ต้นกลับยกที่ดินดังกล่าวให้แก่กลางและปลายซึ่งเป็นน้องของตนโดยเสน่หา โดยกลางและปลายแยกส่วนของตนได้คนละ 5 ไร่นั้น ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่ต้นลูกหนี้ได้ทํานิติกรรมอันมีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน และทําให้เจ้าหนี้คือเอกเสียเปรียบเนื่องจากต้นไม่มีทรัพย์สินใด ๆ แล้ว อีกทั้งเป็นนิติกรรมการให้ โดยเสน่หา ดังนั้น เอกเจ้าหนี้ชอบที่จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ดังกล่าวได้ตามมาตรา 237 แต่เอกจะต้องฟ้องต้นลูกหนี้รวมทั้งกลางและปลายผู้ได้ลาภงอกเป็นจําเลยร่วมกันด้วย และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ได้ลาภงอกได้ทํานิติกรรมหรือโอนทรัพย์ไปยังบุคคลภายนอกด้วย ซึ่งกรณีนี้คือไก่และไข่ ดังนั้น เอกจึงต้องฟ้องไก่และไข่เข้ามาเป็นจําเลยร่วมด้วยตามมาตรา 238

แต่อย่างไรก็ตาม แม้เอกจะมีสิทธิฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ได้ก็ตาม แต่การเพิกถอน ดังกล่าวจะไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของไก่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับจํานองที่ดินจากกลางโดยสุจริตก่อนฟ้องคดีขอเพิกถอนตามมาตรา 238 ดังนั้น เมื่อมีการเพิกถอนย่อมมีผลทําให้ที่ดินกลับมาเป็นของต้นโดยติดภาระจํานองมาด้วย ส่วนการที่ปลายนําที่ดินไปขายต่อให้ไข่ และไข่ซื้อไว้โดยรู้ว่ามีหนี้ผูกพันอยู่ จึงถือว่าไข่ได้รับทรัพย์สินมา โดยไม่สุจริต เมื่อมีการเพิกถอนทําให้ที่ดินกลับมาเป็นของต้น ทําให้เอกเจ้าหนี้สามารถขอบังคับชําระหนี้เอากับที่ดินของต้นต่อไปได้ตามมาตรา 239

สรุป เอกจะบังคับชําระหนี้เอากับต้นได้โดยการฟ้องขอเพิกถอนการฉ้อฉล (นิติกรรมการให้) เพื่อให้ทรัพย์สิน (ที่ดิน) กลับมาเป็นของต้นลูกหนี้ และขอบังคับชําระหนี้เอากับที่ดินดังกล่าวต่อไป

 

ข้อ 4 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2564 นายหล่อและนางสวยได้ร่วมกันทําสัญญาซื้อรถยนต์มือสองจากเต็นท์รถยนต์ของนายเม้งในราคา 300,000 บาท โดยนายหล่อและนางสวยได้ตกลงเลือกรถยนต์ ฮอนด้าซีวิค สีดํา รุ่นปี 2018 เลขทะเบียน กก 2244 จากรถยนต์มือสองสภาพดีกว่า 500 คัน ตกลง ส่งมอบรถยนต์วันที่ 7 มกราคม 2565 ตามฤกษ์ที่หมอดูชื่อดังแนะนํา โดยไม่ได้มีการกําหนดสถานที่ส่งมอบไว้แต่อย่างใด พร้อมกับที่นายหล่อและนางสวยจะได้ชําระราคารถยนต์ทั้งหมดให้กับนายเม้งในการซื้อรถยนต์ดังกล่าวนั้นนายหล่อและนางสวยได้ทําข้อตกลงระหว่างกันเองไว้ว่านางสวยไม่ต้อง รับผิดแต่อย่างใดเลยในหนี้จํานวนนี้ เมื่อถึงกําหนดนัด นายเม้งได้แจ้งให้นางสวยมารับรถยนต์ คันดังกล่าวที่เต็นท์รถยนต์ของนายเม้งพร้อมชําระราคาค่ารถยนต์ทั้งหมดจํานวน 300,000 บาท ให้แก่ตน นางสวยปฏิเสธอ้างว่านายเม้งจะต้องนํารถยนต์คันดังกล่าวมาส่งมอบให้แก่ตนและนายหล่อที่บ้านซึ่งเป็นภูมิลําเนาปัจจุบันตามที่อยู่ซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญา อีกทั้งนางสวยไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ในหนี้ค่ารถยนต์จํานวน 300,000 บาท เนื่องจากได้ทําข้อตกลงไว้กับนายหล่อตั้งแต่ต้นว่านางสวย ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใดเลยในหนี้จํานวนนี้ นายเม้งจึงต้องทวงถามค่ารถยนต์ค้างชําระจากนายหล่อ เท่านั้น ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า

(ก) นายเม้งจะต้องส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายหล่อและนางสวย ณ สถานที่ใด

(ข) นายเม้งมีสิทธิเรียกร้องให้นางสวยเพียงคนเดียวชําระหนี้ค่ารถยนต์ทั้งหมดจํานวน 300,000 บาท ให้แก่ตนได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทําการชําระหนี้โดยทํานองซึ่งแต่ละคนจําต้องชําระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชําระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชําระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชําระเสร็จสิ้นเชิง”

มาตรา 324 “เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะพึงชําระหนี้ ณ สถานที่ใดไซร้ หากจะต้องส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ท่านว่าต้องส่งมอบกัน ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อให้เกิดหนี้นั้น ส่วนการชําระหนี้โดยประการอื่น ท่านว่าต้องชําระ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลําเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหล่อและนางสวยได้ร่วมกันทําสัญญาซื้อรถยนต์มือสองจาก เต็นท์รถยนต์ของนายเม้งในราคา 300,000 บาท โดยตกลงส่งมอบรถยนต์กันในวันที่ 7 มกราคม 2565 โดยไม่ได้ มีการกําหนดสถานที่ส่งมอบไว้แต่อย่างใดนั้น เมื่อนายเม้งผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง ให้กับนายหล่อและนางสวยผู้ซื้อ นายเม้งจึงต้องส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายหล่อและนางสวย ณ เต็นท์รถยนต์ของ นายเม้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาที่ก่อให้เกิดหนี้นั้น ตามมาตรา 324

(ข) เมื่อนายหล่อและนางสวยได้ร่วมกันทําสัญญาซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากนายเม้ง นายหล่อ และนางสวยจึงตกอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมโดยต้องร่วมกันรับผิดในค่ารถยนต์จํานวน 300,000 บาท โดยนายเม้งเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกให้นายหล่อและนางสวยลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งรับผิดชําระหนี้โดยสิ้นเชิงหรือโดยส่วนก็ได้ ตามแต่ละเลือกตามมาตรา 291 และแม้ว่านายหล่อและนางสวยลูกหนี้ร่วมจะได้ทําข้อตกลงระหว่างกันเองว่า นางสวยจะไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด ๆ เลยในหนี้จํานวนนี้ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างลูกหนี้ร่วมเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นต่อสู้กับเจ้าหนี้ได้ ดังนั้น นายเม้งเจ้าหนี้จึงมีสิทธิเรียกให้นางสวยเพียงคนเดียวชําระหนี้ค่ารถยนต์ ทั้งหมดจํานวน 300,000 บาท ให้แก่ตนได้

สรุป

(ก) นายเม้งจะต้องส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายหล่อและนางสวย ณ เต็นท์รถยนต์ของนายเม้ง

(ข) นายเม้งมีสิทธิเรียกให้นางสวยเพียงคนเดียวชําระหนี้ค่ารถยนต์ทั้งหมดจํานวน 300,000 บาท ให้แก่ตนได้

Advertisement