ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2300 การบริหารรัฐกิจเบื้องต้น
การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
คำสั่ง: ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1 บาร์นาร์ด ให้ความหมายขององค์การว่าอย่างไร
(1) เป็นความสัมพันธ์ของบุคคลใดในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
(2) เป็นความสัมพันธ์ที่มีสายบังคับบัญชาที่แน่นอน คงที่ เปลี่ยนแปลงได้ยาก
(3) เป็นความสัมพันธ์ของบุคคลกับองค์การที่มีขอบเขตแน่นอน และมีการปฏิบัติงานที่ชัดเจน
(4) ระบบหนึ่งของกิจกรรมที่มีความร่วมมือ 2 คนขึ้นไป
(5) เป็นความสัมพันธ์ที่มีระบบย่อยของสังคมเป็นโครงสร้างในการจัดองค์การ
ตอบ 4 หน้า 114 เชสเตอร์ ไอ. บาร์นาร์ด (Chester I. Barnard) เห็นว่า องค์การ คือ ระบบหนึ่งของกิจกรรมที่มีการร่วมมือกันอย่างมีสติของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมนั้นบรรลุเป้าหมาย
2 ลักษณะสำคัญ 3 ประการขององค์การ ข้อใดถูกต้อง
(1) องค์การทุกองค์การต้องมีระบบบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นสำคัญ
(2) องค์การทุกองค์การต้องมีนโยบายที่มีเป้าหมายชัดเจน
(3) องค์การทุกองค์การต้องมีเหตุผลประกอบที่ชัดเจนเป็นเป้าหมาย
(4) องค์การแต่ละองค์การต้องกำหนดงานเป็นฝ่าย ๆ
(5) องค์การแต่ละองค์การต้องมีวัตถุประสงค์ชัดเจน
ตอบ 5 หน้า 114 ลักษณะสำคัญ 3 ประการขององค์การ มีดังนี้ 1. องค์การแต่ละองค์การจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน 2. องค์การประกอบด้วยบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เข้ามาปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ 3. องค์การทุกองค์การมีการพัฒนาโครงสร้างให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติงานได้สำเร็จ
3 Robbins & Coulter กล่าวถึงองค์การมีวัตถุประสงค์ ข้อใดถูกต้อง
(1) แบ่งโครงสร้างให้มีการกระจายงาน
(2) กฎ ระเบียบ แบบแผน เป็นสิ่งสำคัญ
(3) การจัดสรรทรัพยากรในองค์การ
(4) ไม่มีความสัมพันธ์ในองค์การ
(5) งบประมาณรวมไว้ที่ส่วนกลาง
ตอบ 3 หน้า 115 Stephen P. Robbins & Mary Coulter กล่าวว่า การจัดองค์การมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อให้มีการแบ่งภารกิจและงานที่ต้องปฏิบัติ 2. เพื่อมอบหมายภารกิจและความรับผิดชอบของบุคคลและแผนกงานทั้งองค์การ 3. เพื่อให้เกิดการประสานงานภายในองค์การ 4. เพื่อจัดกลุ่มบุคคลที่อยู่ในแผนกงานและจัดกลุ่มแผนกงานภายในองค์การ 5. เพื่อกำหนดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างบุคคล กลุ่ม และแผนกงาน 6. เพื่อกำหนดระดับอำนาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ ลำดับชั้นของการบังคับบัญชาและการควบคุม 7. เพื่อจัดสรรและแบ่งทรัพยากรในองค์การ
4. ข้อใดเป็นลักษณะองค์การแบบใหม่
(1) เน้นการมีส่วนร่วม
(2) เน้นงานที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
(3) ผู้บริหารเป็นผู้ตัดสินใจ
(4) เน้นกฎ ระเบียบ
(5) เน้นสายการบังคับบัญชา
ตอบ 1 หน้า 114 – 115 องค์การแบบใหม่กับองค์การแบบเดิม มีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้
1 องค์การแบบใหม่: มีลักษณะเปลี่ยนแปลง, มีความยืดหยุ่นในการทํางาน, ให้ความสําคัญต่อทักษะในการปฏิบัติงาน, งานกําหนดจากสิ่งที่ต้องปฏิบัติ, เน้นทีมงาน, งานมีลักษณะชั่วคราว, ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ, ให้ความสําคัญต่อลูกค้า ผู้รับบริการ, ลักษณะงานมีความแตกต่างกัน, ไม่มีการกําหนดชั่วโมงการทํางานต่อวัน ปฏิบัติงานได้ในทุกที่ ทุกเวลา, เน้นการมีส่วนร่วม
2 องค์การแบบเดิม: มีลักษณะคงที่, ไม่มีความยืดหยุ่นในการทํางาน, งานถูกกําหนดจากตําแหน่ง, เน้นบุคคล ความมั่นคงของงาน, ผู้บริหารสูงสุดเป็นผู้ตัดสินใจ, เน้นกฎ ระเบียบ, ลักษณะงานมีความคล้ายคลึงกัน, ปฏิบัติงานวันละ 8 ชั่วโมง, ปฏิบัติงานในองค์การตลอดชั่วโมงการทํางาน, เน้นการออกคําสั่ง การสั่งการตามสายการ บังคับบัญชา
5. ข้อใดไม่ถูกต้องของการแบ่งงาน (Division of Labor)
(1) แบ่งงานตามความชํานาญพิเศษของแต่ละคน
(2) แบ่งงานตามความชํานาญเฉพาะด้านตามแนวนอนขององค์การ
(3) แบ่งงานตามความชํานาญเฉพาะด้านตามแนวตั้งขององค์การ
(4) แบ่งงานตามความชํานาญเฉพาะด้านตามแนวยาวขององค์การ
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
ตอบ 4 หน้า 116 การแบ่งงาน (Division of Labor) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 1. การแบ่งงานตามความชํานาญพิเศษของแต่ละคน (Personal Specialization) 2. การแบ่งงานตามความชํานาญเฉพาะด้านตามแนวนอนขององค์การ (Horizontal Specialization) 3. การแบ่งงานตามความชํานาญเฉพาะด้านตามแนวตั้งขององค์การ (Vertical Specialization)
6. การจัดแบ่งหน่วยงานในส่วนของการแบ่งตามหน้าที่มีลักษณะข้อใดถูกต้อง
(1) เหมาะสําหรับองค์การที่มีสภาพแวดล้อมไม่คงที่
(2) ลักษณะงานเป็นแบบครั้งคราว
(3) เกิดความสะดวกในการควบคุมการปฏิบัติงาน
(4) งานแต่ละงานไม่มีอิสระ
(5) การพึ่งพาระหว่างหน่วยงานเป็นสิ่งสําคัญ
ตอบ 3 หน้า 117 การแบ่งตามหน้าที่ (Functional Departmentation) เป็นการจัดแบ่งหน่วยงาน โดยพิจารณาจากประเภทของงานหรือหน้าที่ในการปฏิบัติงานเป็นหลัก โดยกลุ่มของกิจกรรมที่เหมือนกันและเกี่ยวข้องกันจะถูกจัดให้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาคนเดียวกันการจัดแบ่งหน่วยงานในลักษณะนี้เหมาะสำหรับองค์การที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมคงที่และมีลักษณะเป็นงานประจำ จะทำให้เกิดความสะดวกในการควบคุมการปฏิบัติงาน การพึ่งพาระหว่างหน่วยงานมีไม่มากนักจึงอาจทำให้งานแต่ละงานมีความเป็นอิสระต่อกัน เพราะแต่ละหน่วยงานย่อยเหล่านั้นมักจะมุ่งปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของหน่วยงานของตนจนทำให้ละเลยความสำคัญของเป้าหมายรวมขององค์การได้
7 การจัดแบ่งหน่วยงานในส่วนของการแบ่งตามผลผลิตมีลักษณะข้อใดถูกต้อง
(1) ผู้บริหารไม่มีความชำนาญเฉพาะด้าน
(2) ไม่มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
(3) ไม่มีงานซ้ำซ้อน
(4) ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
(5) ควบคุมการผลิตได้ดี
ตอบ 5 หน้า 117 การแบ่งตามผลผลิต (Product Departmentalization) เป็นการจัดแบ่งหน่วยงานโดยผลผลิตแต่ละประเภทจะอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารที่มีความชำนาญเฉพาะด้านนั้น ๆ ทำให้สามารถควบคุมกระบวนการผลิตได้ดีและเกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน แต่อาจทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของงานและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยส่วนรวมได้
8. Robbins & Coulter แบ่งรูปแบบองค์การ ข้อใดถูกต้อง
(1) โครงสร้างแบบเรียบง่าย, โครงสร้างแบบผสม
(2) โครงสร้างแบบระบบราชการ, โครงสร้างระบบบริหาร
(3) โครงสร้างแบบทีมงาน, โครงสร้างแบบระบบราชการ
(4) โครงสร้างแบบทีมงาน, โครงสร้างแบบผสม
(5) โครงสร้างแบบโครงการและแบบแมทริกซ์, โครงสร้างระบบบริหาร
ตอบ 3 หน้า 123 – 125 Stephen P. Robbins & Mary Coulter แบ่งรูปแบบองค์การ ออกเป็น 5 รูปแบบ ดังนี้
1 โครงสร้างแบบเรียบง่าย (Simple Structure)
2 โครงสร้างแบบระบบราชการ (Bureaucracy)
3 โครงสร้างแบบทีมงาน (Team-Based Structure)
4 โครงสร้างแบบโครงการและแบบแมทริกซ์ (Project and Matrix Structure)
5 หน่วยงานอิสระภายในองค์การ (Autonomous Internal Units)
9. ลักษณะขององค์การแบบระบบราชการ Max Weber ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) มีการแบ่งงาน
(2) กำหนดอำนาจหน้าที่ตามสายบังคับบัญชา
(3) กฎ ระเบียบที่เป็นทางการ
(4) มีความเป็นอิสระ
(5) เน้นการปฏิบัติงานเป็นอาชีพ
ตอบ 4 หน้า 123 – 124, (คำบรรยาย) Max Weber เสนอการจัดองค์การแบบระบบราชการ (Bureaucracy) ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้
1 มีการแบ่งงานกันทำตามความถนัดหรือความชำนาญเฉพาะด้าน
2 มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ตามสายการบังคับบัญชา
3 มีการคัดเลือกบุคคลอย่างเป็นทางการ
4 มีกฎ ระเบียบ และความเป็นทางการ
5 ไม่เน้นความเป็นส่วนตัว
6 เน้นการปฏิบัติงานเป็นอาชีพ
7 เน้นการจ้างงานตลอดชีพ
10. Goldsmith และ Eggers ได้แบ่งรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์การรูปแบบอะไร
(1) องค์การแบบเรียบง่าย
(2) องค์การแบบระบบราชการ
(3) องค์การแบบแมทริกซ์
(4) องค์การแบบเครือข่าย
(5) องค์การแบบผสม
ตอบ 4 หน้า 126 – 127 Goldsmith และ Eggers ได้แบ่งรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์การ แบบเครือข่ายออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้
1 เครือข่ายแบบการทําสัญญาในการให้บริการ
2 เครือข่ายแบบห่วงโซ่อุปทาน
3 เครือข่ายแบบเฉพาะกิจ
4 เครือข่ายแบบตัวแทนการให้บริการ
5 เครือข่ายแบบศูนย์เผยแพร่ข้อมูลสาธารณะ
6 เครือข่ายแบบศูนย์ประสานงานประชาชน
11. ข้อใดถูกต้อง องค์การแบบแชมร็อคแบ่งกลุ่มผู้ปฏิบัติงาน 3 กลุ่ม
(1) กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากพันธมิตร, กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายใน, กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
(2) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายนอก กลุ่มพนักงานชั่วคราว
(3) กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายนอก, กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายใน, กลุ่มผู้ชํานาญการพิเศษ
(4) กลุ่มพนักงานชั่วคราว, กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายใน, กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
(5) กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายนอก, กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายใน, กลุ่มผู้ชํานาญการ
ตอบ 2 หน้า 128 – 129 องค์การแบบแชมร็อค (Shamrock Organization) เป็นโครงสร้างองค์การ ที่เปรียบเหมือนใบแชมร็อค ซึ่งมี 3 แฉกติดกันอยู่บนก้านเดียวกัน โครงสร้างองค์การแบบนี้จะมี การแบ่งกลุ่มผู้ปฏิบัติงานในองค์การออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มผู้ปฏิบัติงาน จากภายนอก และกลุ่มพนักงานชั่วคราว เพื่อเป็นการลดจํานวนผู้ปฏิบัติงานในองค์การให้น้อยลง โดยจะให้ความสําคัญต่อผู้ปฏิบัติภารกิจหลักขององค์การเท่านั้น ทั้งนี้แนวโน้มขององค์การ แบบแชมร็อคในอนาคตนั้นอาจจะให้ลูกค้าขององค์การเข้ามามีส่วนร่วมหรือเข้ามาดําเนินการ ด้วยตนเองบ้างในบางส่วน
12. เงื่อนไขขององค์การแบบเครื่องจักรมีลักษณะอย่างไร
(1) ต้องใช้ความคิดริเริ่ม
(2) ไม่ซับซ้อนและคงที่
(3) ประสิทธิผล
(4) ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงมาก
(5) ท้าทายแรงจูงใจ
ตอบ 2 หน้า 134 เงื่อนไขขององค์การแบบเครื่องจักร (Mechanistic Organization) และองค์การ แบบสิ่งมีชีวิต (Organic Organization) มีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้
ปัจจัย | องค์การแบบเครื่องจักร | องค์การแบบสิ่งมีชีวิต |
---|---|---|
สภาพแวดล้อม | ไม่ซับซ้อนและคงที่ | ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงมาก |
กลยุทธ์ | แบบตั้งรับ | แบบเชิงรุก |
ลักษณะเทคโนโลยี | เป็นงานประจํา มีข้อยกเว้นน้อย | มีความซับซ้อน มีข้อยกเว้นมาก |
ผู้ปฏิบัติงาน | ทําตามคําสั่ง/ระเบียบ จูงใจทาง เศรษฐกิจ | ต้องใช้ความคิดริเริ่ม ท้าทาย แรงจูงใจด้านอื่นนอกเหนือ การมุ่งเน้นปัจจัยทางเศรษฐกิจ |
การมุ่งเน้น | ประสิทธิภาพ | ประสิทธิผล |
13. ความหมายของการบริหารงานบุคคล ข้อใดถูกต้อง
(1) การบริหารทรัพยากรมนุษย์เกี่ยวกับตำแหน่งที่เหมาะสม
(2) ที่มีความรู้ ความสามารถ สรรหา คัดเลือก บรรจุ แต่งตั้ง
(3) เป็นเรื่องของการจัดการในด้านการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) เป็นกระบวนการเพื่อให้ได้มาและพัฒนาพนักงานที่มีความชํานาญในการปฏิบัติงาน
(5) ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ
ตอบ 4 หน้า 148 Nigro, F.A. and Nigro, LG. กล่าวว่า การบริหารงานบุคคลเป็นกระบวนการ เพื่อให้ได้มาและพัฒนาพนักงานที่มีความชํานาญในการปฏิบัติงาน และเพื่อเสริมสร้างสภาวะ การทํางานในอันที่จะส่งเสริมให้เขาเหล่านั้นได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ
14. McKinsey กล่าวถึง 7s ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) System
(2) Strategy
(3) Staffing
(4) Salary
(5) Skill
ตอบ 4 หน้า 154 กรอบแนวคิด 75 ของแมคคินซี (McKinsey) ประกอบด้วย Strategy (กลยุทธ์), Shared Value (วิสัยทัศน์ร่วม), Structure (โครงสร้าง), System (ระบบงาน), Staffing (การจัดบุคลากร), Style (ท่วงทํานองการบริหาร) และ Skill (ทักษะ) ซึ่ง 5 ที่เกี่ยวข้องโดยตรง กับเรื่องบุคลากรมี 35 คือ Staffing, Style และ Skill
15. STEP สภาพแวดล้อมที่เป็นพลวัต ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) สภาพเศรษฐกิจ
(2) สภาพสิ่งแวดล้อม
(3) สภาพการเมือง
(4) สภาพสังคม
(5) สภาพเทคโนโลยี
ตอบ 2 หน้า 155 ปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เป็นพลวัต หรือเรียกย่อ ๆ ว่า PEST หรือ STEP ประกอบด้วย
1 สภาพการเมือง (Political)
2 สภาพเศรษฐกิจ (Economic)
3 สภาพสังคม (Social)
4 สภาพเทคโนโลยี (Technological)
16. คณะกรรมการข้าราชการที่เป็นต้นแบบคือข้อใด
(1) คณะกรรมการข้าราชการตํารวจ
(2) คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม
(3) คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา
(4) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
(5) คณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่น
ตอบ 4 หน้า 158 – 159 คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นองค์กรกลางที่ทําหน้าที่ กําหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลภาครัฐทั้งหมด ตั้งแต่การกําหนดตําแหน่ง ค่าตอบแทน สวัสดิการและผลประโยชน์เกื้อกูล การแต่งตั้ง การโยกย้าย การเลื่อนตําแหน่ง การประเมินผลการปฏิบัติงาน วินัย การลงโทษ และการให้บุคลากรพ้นจากราชการ ดังนั้น คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนจึงเป็น “ต้นแบบ” ให้แก่องค์กรกลางการบริหารงานบุคคล ภาครัฐอื่น ๆ เช่น คณะกรรมการข้าราชการตํารวจ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนใน มหาวิทยาลัย คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา คณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม ฯลฯ ในการกําหนดนโยบายการบริหารงานบุคคล
17. ระบบการบริหารงานบุคคลภาครัฐมี 6 ขั้นตอน ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) การวางแผนทรัพยากรบุคคล
(2) การได้มาซึ่งบุคลากร
(3) การพัฒนาบุคลากร
(4) การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรบุคคล
(5) การมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ตอบ 5 หน้า 163 – 164 ระบบการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 6 ขั้นตอน คือ
1 การวางแผนทรัพยากรบุคคล
2 การได้มาซึ่งบุคลากร การโอนย้ายและแต่งตั้ง
3 การพัฒนาบุคลากร
4 การใช้ประโยชน์จากบุคลากร
5 การประเมินผลการปฏิบัติงาน
6 การพ้นสภาพการเป็นบุคลากร
18 ตำราเรียนที่ใช้เป็นหนังสือหลักในการสอนวิชาการบริหารงานบุคคลมากเป็นของใคร
(1) Nicholas Henry
(2) Herbert Simon
(3) O. Glenn Stahl
(4) Mary Parker Follet
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 151 ตำราเรียนของ O. Glenn Stahl ถือเป็นหนังสือหลักที่ใช้สอนวิชาการบริหารงานบุคคลในทุกยุคทุกสมัย
19 การควบคุมตรวจสอบเกี่ยวกับมาตรฐานการจ้างงาน กำหนดตำแหน่งบุคคลภาครัฐ คือ
(1) กฎหมายรัฐธรรมนูญ
(2) การตรวจเงินแผ่นดิน
(3) ด้านกระบวนการยุติธรรม
(4) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
(5) สำนักงบประมาณ
ตอบ 4 หน้า 178 การควบคุมตรวจสอบเกี่ยวกับมาตรฐานการจ้างงาน การกำหนดตำแหน่ง คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง และค่าตอบแทนในตำแหน่งต่าง ๆ ของบุคคลภาครัฐมีการวางมาตรฐานกลาง โดยคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) หรือมีการกระจายอำนาจให้กับคณะกรรมการข้าราชการประเภทนั้น ๆ เพื่ออำนวยความยุติธรรมในระบบการบริหารงานบุคคล
20 อาจกล่าวได้ว่าการควบคุมองค์การเป็นวิธีการที่สำคัญยิ่งในอันที่จะให้ได้มาซึ่งอะไร
(1) การจัดองค์การ
(2) การวางแผน
(3) การประสานงานที่ดี
(4) เป้าหมายขององค์การ
(5) กฎ ระเบียบที่เป็นทางการ
ตอบ 3 หน้า 179 อาจกล่าวได้ว่าการควบคุมองค์การเป็นวิธีการที่สำคัญยิ่งในอันที่จะให้ได้มาซึ่งการประสานงานที่ดีภายในองค์การ
21 กลไกในการตอบสนองระบบงานที่เป็นทางการ เช่น อะไรบ้าง
(1) มีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
(2) เว็บไซต์
(3) การใช้คำสั่ง
(4) กำกับหน่วยงานในสังกัด
(5) สมาคม ชมรม
ตอบ 3 หน้า 181 กลไกการตอบสนองอาจเป็นไปโดยระบบงานที่เป็นทางการ เช่น การใช้คำสั่ง การรายงาน การตรวจติดตาม การใช้ระบบคณะกรรมการ เช่น กรรมาธิการสภาฯ ชุดต่าง ๆ หรืออาจใช้ระบบของความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ เช่น ผ่านทางสโมสร สมาคม ชมรม และกลุ่มสังคมต่าง ๆ การจัดตั้งกล่องรับฟังความคิดเห็น การจัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การจัดทำเว็บไซต์รับเรื่องร้องทุกข์ การจัดทำเว็บบอร์ดทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
22 ข้อใดไม่ใช่กระบวนการในการควบคุมตรวจสอบ
(1) การกำหนดเป้าหมาย
(2) การกำหนดวิธีการในการวัดมาตรฐานการดำเนินงาน
(3) ความสำเร็จตามเป้าหมาย
(4) พิจารณาเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐาน
(5) การดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมาย
ตอบ 3 หน้า 181 กระบวนการในการควบคุมตรวจสอบ มี 4 ขั้นตอน คือ
1. การกำหนดเป้าหมาย รายละเอียด และมาตรฐานของการดำเนินงาน
2. การกำหนดวิธีการในการวัดมาตรฐานในการดำเนินงาน รวมทั้งวิธีการที่จะวัดความสำเร็จของงาน
3. การพิจารณาเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่ได้ตั้งเอาไว้
4. การดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้
23. การจัดวางระบบการติดตามประเมินผลไปสู่การบริหารจัดการให้ความสำคัญกับสิ่งใด
(1) ทรัพยากรและงบประมาณ
(2) เป้าหมายและผลสำเร็จ
(3) การวางแผนและโครงสร้างองค์การ
(4) ผลผลิตและสิ่งแวดล้อม
(5) การควบคุมและติดตามประเมินผล
ตอบ 4 หน้า 185 การจัดวางระบบการติดตามประเมินผลเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่มีผลต่อระบบ การควบคุม ทำให้เกิดการพัฒนาตัวชี้วัดความสำเร็จ มีการวัดความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม เกิดการควบคุมในเชิงปริมาณและในเชิงคุณภาพ ในการดำเนินงานดังกล่าวรัฐอาจจัดให้มี องค์กรกลางทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานคุณภาพในสาขาต่าง ๆ และส่งเสริมให้เกิดระบบประกันคุณภาพขององค์กรนำไปสู่ระบบบริหารจัดการที่ให้ความสำคัญด้านผลผลิตและสิ่งแวดล้อม
24. สภาพแวดล้อมขององค์การตามแนวคิดของ Richard L. Daft คือข้อใด
(1) ปัจจัยด้านอุตสาหกรรม, ปัจจัยด้านการผลิต, ปัจจัยด้านการบริหารองค์การ, ปัจจัยด้านบุคลากร
(2) ปัจจัยด้านอุตสาหกรรม, ปัจจัยด้านการผลิต, ปัจจัยด้านการลงทุน, ปัจจัยด้านการธนาคาร
(3) ปัจจัยด้านอุตสาหกรรม, ปัจจัยด้านการผลิต, ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ, ปัจจัยด้านการเงิน
(4) ปัจจัยด้านการเมือง, ปัจจัยด้านสังคม, ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ, ปัจจัยด้านสวัสดิการ
(5) ปัจจัยด้านการเมือง, ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ, ปัจจัยด้านสังคม, ปัจจัยด้านสวัสดิการ
ตอบ 3 หน้า 255 – 256 Richard L. Daft ได้พิจารณาสภาพแวดล้อมขององค์การว่าประกอบด้วยปัจจัย หรือส่วนต่าง ๆ 10 ส่วน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสภาพแวดล้อมของงาน (Task Environment) ที่มีผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง ได้แก่ 1. ปัจจัยด้านอุตสาหกรรม 2. ปัจจัยด้านการผลิต 3. ปัจจัยด้านทรัพยากรมนุษย์ 4. ปัจจัยด้านการเงิน 5. ปัจจัยด้านการตลาด 6. ปัจจัยด้านเทคโนโลยี 7. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ 8. ปัจจัยด้านการควบคุม 9. ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม 10. ปัจจัยจากต่างประเทศ
25. หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสภาพแวดล้อมด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้กับงานควรมี
(1) เทคโนโลยีที่ใช้ควรมีความเหมาะสม และรวดเร็ว
(2) เทคโนโลยีที่ใช้ควรเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และประหยัด
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ควรมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงาน
(4) เทคโนโลยีที่ใช้ควรมีนวัตกรรมที่สามารถรองรับการทำงานได้
(5) เทคโนโลยีที่ใช้ควรตรงตามความต้องการของหน่วยงาน
ตอบ 2 หน้า 271 การนำเทคโนโลยีมาใช้กับงานในสาขาใดสาขาหนึ่งนั้น เทคโนโลยีที่นำมาใช้ควรจะทำให้เกิด 1. ประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ การทำงานบรรลุผลตามเป้าหมายได้อย่างเที่ยงตรง และรวดเร็ว 2. ประสิทธิผล (Productivity) คือ การทำงานได้ผลผลิตออกมาอย่างเต็มที่มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 3. ประหยัด (Economy) ทั้งเวลาและแรงงานในการทำงาน
26. สภาพแวดล้อมการเมืองแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง
(1) การเมืองของรัฐบาลกลางและการเมืองรัฐบาลท้องถิ่น
(2) การเมืองภายนอกองค์การและการเมืองภายในองค์การ
(3) การเมืองระดับชาติและการเมืองท้องถิ่น
(4) การเมืองภายในและการเมืองระหว่างประเทศ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 273 สภาพแวดล้อมการเมือง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. การเมืองภายนอกองค์การ 2. การเมืองภายในองค์การ
27. สภาพแวดล้อมด้านทรัพยากรธรรมชาติมีประเภทใดบ้าง
(1) ทรัพยากรใช้แล้วหมด ทรัพยากรพลังงาน และทรัพยากรมนุษย์
(2) ทรัพยากรพลังงาน ทรัพยากรทดแทน และทรัพยากรใช้แล้วหมดไป
(3) ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรมนุษย์
(4) ทรัพยากรใช้แล้วไม่หมดสิ้น ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป และทรัพยากรที่ใช้แล้วเกิดขึ้นทดแทน
(5) ทรัพยากรทดแทน ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรพลังงาน
ตอบ 4 หน้า 274 – 275 ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่หมดสิ้น (Non-Exhausting Natural Resources) เช่น แสงอาทิตย์ อากาศ ดิน น้ำ เป็นต้น 2. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (Exhausting Natural Resources) เช่น แร่ธาตุ น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน เป็นต้น 3. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วเกิดขึ้นทดแทนหรือรักษาให้คงอยู่ได้ (Renewable Natural Resources) เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า พืชพรรณ กำลังงานของมนุษย์ เป็นต้น
28. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย
(1) การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
(2) ความไม่รู้หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
(3) การเพิ่มขึ้นของประชากร
(4) ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
(5) องค์การมีการเจริญเติบโต
ตอบ 5 หน้า 275 – 276, 282 – 283 สาเหตุที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย มีดังนี้ 1. การเพิ่มของประชากร 2. การขยายตัวทางเศรษฐกิจ 3. ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. การสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เช่น การสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ถนน ฯลฯ 5. การกีฬา เช่น การยิงนก ตกปลา ล่าสัตว์ ฯลฯ 6. สงคราม 7. ความไม่รู้หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
29. ข้อใดไม่ใช่สภาพแวดล้อมเฉพาะสำหรับองค์การต่าง ๆ ของรัฐ
(1) คน
(2) เป้าหมาย
(3) ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
(4) โครงสร้าง
(5) ความรู้และข้อมูล
ตอบ 3 หน้า 260 – 280, (คำบรรยาย) สภาพแวดล้อมขององค์การบริหารภาครัฐ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สภาพแวดล้อมทั่วไปหรือสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ เป็นสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อ การบริหารขององค์การของรัฐทุก ๆ องค์การ ได้แก่ การศึกษา ชนชั้นทางสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยมของประชาชน เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี กฎหมาย และทรัพยากรธรรมชาติ
2. สภาพแวดล้อมเฉพาะหรือสภาพแวดล้อมภายในองค์การหรือสิ่งแวดล้อมของงาน (Task Environment)
เป็นสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการบริหารขององค์การ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่จำเป็นในการดำเนินงานสำหรับองค์การหนึ่ง ๆ แต่อาจจะไม่มีความจำเป็นสำหรับองค์การอื่น ๆ เลยก็ได้ เช่น ลูกค้า/ผู้รับบริการ คู่แข่งขัน คน/แรงงาน/บุคลากร (ข้าราชการ/พนักงานราชการ) งบประมาณ วัตถุดิบ เป้าหมาย โครงสร้าง กฎระเบียบขององค์การ เทคโนโลยีการบริหาร ความรู้และข้อมูล ทรัพยากรที่หน่วยงานต้องใช้
30 Task Environment เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการบริหารงาน ข้อใดถูกต้อง
(1) ชำนาญการ และชำนาญการพิเศษ
(2) ผู้รับบริการและคู่แข่งขัน
(3) ลูกค้าและประชาชน
(4) ลูกค้าและผู้ประกอบการ
(5) ผู้บริหารและผู้นำ
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ
ตั้งแต่ข้อ 31. – 40. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(2) การบริการภาครัฐแนวใหม่
31. “การรับใช้มากกว่าถือหางเสือ” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 2 หน้า 343 – 346 แนวคิดและแนวทางของการบริการสาธารณะแนวใหม่/การบริการภาครัฐ แนวใหม่ (New Public Service : NPS) มีดังนี้
1 การรับใช้มากกว่าถือหางเสือ
2 ผลประโยชน์สาธารณะเป็นเป้าหมายหลักไม่ใช่ผลพลอยได้
3 การคิดอย่างมียุทธศาสตร์และปฏิบัติอย่างเป็นประชาธิปไตย
4 รับใช้พลเมือง ไม่ใช่ลูกค้า
5 การถูกตรวจสอบไม่ใช่เรื่องง่าย
6 ให้คุณค่ากับคน ไม่ใช่แต่เฉพาะผลิตภาพเท่านั้น
7 ให้คุณค่าความเป็นพลเมืองและการบริการสาธารณะมากกว่าความเป็นเถ้าแก่
32. “การเป็นรัฐที่ชุมชนเป็นเจ้าของ” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 1 หน้า 338 – 339, (คำบรรยาย) Osborne and Gaebler ได้เขียนหนังสือชื่อ “Reinventing Government” ในปี ค.ศ. 1992 โดยเสนอให้มีการปฏิรูปการบริหารภาครัฐหรือการเนรมิต ระบบราชการใหม่ด้วยแนวทางและอุดมการณ์การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management : NPM) หรือรัฐบาลแบบเถ้าแก่ ซึ่งรัฐบาลตามตัวแบบนี้ต้องมีแนวทางปฏิบัติ 10 ประการ ได้แก่
1 รัฐบาลที่ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา หรือเป็นกัปตันเรือแทนที่จะเป็นพลแจว
2 รัฐบาลที่ชุมชนเป็นเจ้าของ
3 รัฐบาลที่มีการแข่งขัน
4 รัฐบาลที่ขับเคลื่อนด้วยพันธกิจ
5 รัฐบาลที่เน้นผลลัพธ์
6 รัฐบาลที่ขับเคลื่อนโดยลูกค้า
7 รัฐบาลแบบวิสาหกิจ
8 รัฐบาลที่คาดการณ์ล่วงหน้า
9 รัฐบาลที่มีการกระจายอำนาจ
10 รัฐบาลที่เน้นตลาดหรือการแข่งขัน
33. “การเป็นกัปตันเรือแทนที่จะเป็นพลแจว” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ
34 “การเน้นตลาดหรือการแข่งขัน” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ
35 “การให้คุณค่าความเป็นพลเมืองมากกว่าความเป็นเถ้าแก่” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ
36 “การรับใช้พลเมือง ไม่ใช่ลูกค้า” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ
37 “การเป็นรัฐที่ขับเคลื่อนโดยลูกค้า” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ
38 “การคิดอย่างมียุทธศาสตร์ ปฏิบัติอย่างเป็นประชาธิปไตย” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ
39 “การเป็นรัฐที่มีการแข่งขัน” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ
40 “การถูกตรวจสอบไม่ใช่เรื่องง่าย” เป็นหลักการของแนวคิดใด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ
41 ข้อใดไม่ใช่สถานภาพของการศึกษาการบริหารรัฐกิจ
(1) เป็นสังคมศาสตร์ประยุกต์
(2) มีเอกลักษณ์ชัดเจน
(3) พัฒนาองค์ความรู้ล่าช้า
(4) เป็นสหวิทยาการ
(5) มีความเป็นวิชาชีพ
ตอบ 2 หน้า 27 – 28 สถานภาพของการศึกษาการบริหารรัฐกิจ มีดังนี้
1 ลักษณะเด่น ได้แก่ การเป็นสังคมศาสตร์ประยุกต์ การเป็นสหวิทยาการ และมีความเป็นวิชาชีพ
2 ลักษณะด้อย ได้แก่ การขาดเอกลักษณ์ มีความเป็นศาสตร์ที่ไม่สมบูรณ์ และการพัฒนาองค์ความรู้ล่าช้า
42 Personnel Administration หมายถึงข้อใด
(1) การบริหารรัฐกิจ
(2) การบริหารธุรกิจ
(3) การบริหารงานบุคคล
(4) การบริหารทรัพยากรมนุษย์
(5) การบริหารคน
ตอบ 3 หน้า 148 การบริหารงานบุคคล ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า “Personnel Administration” หรือ “Personnel Management” ซึ่งหากจะให้มีความหมายว่าเป็นการบริหารงานบุคคล ในระบบราชการหรือภาครัฐโดยเฉพาะก็จะใช้คำว่า “Public Personnel Administration” และหากจะให้มีความหมายเฉพาะถึงการบริหารงานบุคคลในภาคธุรกิจเอกชนก็จะใช้คำว่า “Business Personnel Management”
43 การศึกษาบริหารรัฐกิจมีลักษณะสอดคล้องกับข้อใด
(1) มีความเป็นศาสตร์
(2) มีความเป็นศิลป์
(3) มีความเป็นศาสตร์และศิลป์
(4) ไม่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 6 – 7, 36, 38 – 39 การศึกษาการบริหารรัฐกิจ (การบริหารราชการ) มีลักษณะที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ กล่าวคือ
1 ในฐานะที่มีความเป็นศาสตร์ (Science) คือ การมองในด้านของการเป็นสาขาวิชาการ หรือองค์ความรู้ ซึ่งหมายถึงเฉพาะวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) อันเป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาแนวความคิดและทฤษฎีการบริหารงานในภาครัฐ เป็นวิชาการที่มีการรวบรวมเป็นระบบ มีหลักการ มีกฎเกณฑ์ที่สามารถศึกษาได้ และนํามาถ่ายทอดให้ความรู้กันได้
2 ในฐานะที่มีความเป็นศิลป์ (Art) คือ การมองในด้านการปฏิบัติงาน เรียกว่า การบริหารรัฐกิจ (public administration) ซึ่งเป็นการศึกษากิจกรรมของการบริหารงานในภาครัฐ ได้แก่ การใช้ศิลปะในการอํานวยการ การร่วมมือประสานงานกัน การควบคุมคนจํานวนมาก การมีความคิดสร้างสรรค์ การนําทรัพยากรมาใช้ในการบริหาร ตลอดจนการแก้ไขปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะของนักบริหาร แต่ละคนเข้ามาเป็นเครื่องช่วย
44 ตําราเรียน (Textbook) เล่มแรกของสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจเขียนโดยนักวิชาการท่านใด
(1) Leonard D. White
(2) Frank J. Goodnow
(3) Woodrow Wilson
(4) Herbert Simon
(5) Chester I. Barnard
ตอบ 1 หน้า 47, 65 Leonard D. White ได้เขียนหนังสือชื่อ “Introduction to the Study of Public Administration” (1926) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นตําราเรียน (Textbook) ที่สมบูรณ์ เล่มแรกของสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจหรือรัฐประศาสนศาสตร์ เขาเสนอความเห็นว่า การเมือง ไม่ควรจะเข้ามาแทรกแซงการบริหาร เพราะการบริหารได้นําตัวเองไปสู่การศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ และวิชาการบริหารรัฐกิจสามารถจะก้าวไปสู่ความเป็นศาสตร์ที่ปลอดจากค่านิยมได้ด้วยความถูกต้องชอบธรรมของตนเอง
45 ข้อใดไม่จัดเป็น “ข้อจํากัดของความมีเหตุผล” ซึ่ง Simon ได้อธิบายไว้ว่าจะทําให้การบริหารประสบปัญหา
(1) ความชํานาญ
(2) สัญชาตญาณ
(3) ค่านิยม
(4) ความรู้
(5) จริยธรรม
ตอบ 5 หน้า 53 Herbert A. Simon ได้อธิบายว่า หลักต่าง ๆ ของการบริหารประสบกับปัญหาสําคัญ คือ ข้อจํากัดของความมีเหตุผล ซึ่งเกิดจากข้อจํากัดของบุคคลแต่ละคนใน 3 ประการ ดังนี้
1 ข้อจํากัดเกี่ยวกับความชํานาญ นิสัย และสัญชาตญาณ
2 ข้อจํากัดเกี่ยวกับค่านิยมและแนวความคิดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์
3 ข้อจํากัดเกี่ยวกับความรู้และข้อมูลข่าวสาร
ตั้งแต่ข้อ 46. – 50. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) หลักการจ้างงานตลอดชีพ
(2) หลักการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น
(3) หลักการตอบสนองความต้องการ 5 ขั้น
(4) หลักการบริหาร 14 ประการ
(5) หลักการบริหารภายใต้ปทัสถานกลุ่ม
46 ข้อเสนอในการบริหารงานบุคคลของ Max Weber คือหลักการใด
ตอบ 1 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 226), (คําบรรยาย) Max Weber ได้เสนอ แนวทางการบริหารงานบุคคล ดังนี้
1 การแต่งตั้ง พิจารณาเลื่อนขั้น เลื่อนตําแหน่งบุคคลในการปฏิบัติงานต้องมีการจัดไว้ อย่างเป็นระเบียบและอยู่บนพื้นฐานแห่งการตกลงกัน
2 การเลือกสรรบุคคลเข้าทํางานจะต้องพิจารณาในด้านความสามารถและหลักการแบ่งงาน ตามความชํานาญเฉพาะอย่าง
3 มีการจ้างงานตลอดชีพ
4 มีการกําหนดค่าตอบแทนในรูปเงินประจําสําหรับผู้ปฏิบัติงาน ฯลฯ
47. ข้อเสนอในการบริหารงานบุคคลของ Henri Fayol คือหลักการใด
ตอบ 4 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 182 – 183, 230) Henri Fayol ได้เสนอ แนวทางการบริหารงานบุคคลว่า ผู้บริหารควรจะยึดถือหลักเกณฑ์ในการบริหาร 14 ประการ (14 Principles of Management) เช่น การแบ่งงานกันทํา การมีเอกภาพในการบังคับบัญชา การยึดมั่นในความยุติธรรมและเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น รวมทั้งจะต้องมีคุณลักษณะ พร้อมด้วยความสามารถทางร่างกาย จิตใจ ไหวพริบ การศึกษาหาความรู้ เทคนิคในการทํางาน และประสบการณ์ต่าง ๆ ด้วย
48. ข้อเสนอในการบริหารงานบุคคลของ Abraham Maslow คือหลักการใด
ตอบ 3 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 340 – 341), (คําบรรยาย) Abraham Maslow ได้เสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลว่า ผู้บริหารจะต้องรู้และเข้าใจถึงความต้องการของคน ในองค์การ ซึ่งมีลักษณะเป็นลําดับขั้นจากต่ําสุดไปสูงสุดตามทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการ (Hierarchy’s Needs Theory) ทั้งนี้เมื่อความต้องการในลําดับต้นได้รับการตอบสนองแล้ว มนุษย์ก็จะมีความต้องการในลําดับขั้นที่สูงขึ้นต่อไป ซึ่งความต้องการทั้ง 5 ลําดับขั้น ประกอบด้วย 1. ความต้องการทางกายภาพหรือชีววิทยา (Physiological Needs หรือ Biological Needs) 2. ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต (Security Needs หรือ Safety Needs) 3. ความต้องการที่จะเข้าร่วมในสังคมหรือความต้องการการยอมรับ (Social Needs หรือ Love Needs) 4. ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในหน้าที่การงาน (Esteem Needs หรือ Ego Needs หรือ Status Needs) 5. ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ที่ตัวเองตั้งไว้ (Self-Actualization Needs a Self-Realization Needs)
49. ข้อเสนอในการบริหารงานบุคคลของ Elton Mayo คือหลักการใด
ตอบ 5 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 189 – 190, 230 – 231), (คําบรรยาย) George Elton Mayo เป็นผู้นําแนวคิดหรือทฤษฎีแบบมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Approach) มาเผยแพร่ในการบริหารองค์การ โดยได้ทําการทดลองที่เรียกว่า “Hawthorne Experiments” และพบว่า 1. ขวัญของคนงานเป็นสิ่งสําคัญและจะส่งผลต่อการปฏิบัติงาน 2. รางวัลทางจิตใจจะให้ความสุขในการปฏิบัติงานและมีผลกระตุ้นในการทํางานมากกว่า รางวัลทางเศรษฐกิจ 3. ปทัสถานทางสังคมของกลุ่มมีผลต่อประสิทธิภาพและปริมาณของงาน 4. ภาวะผู้นํา (Leadership) จะมีบทบาทสําคัญในการกําหนดบรรทัดฐานของกลุ่มภายในองค์การ
50. หลักการจูงใจคนงานของ Frederick Taylor คือข้อใด
ตอบ 2 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 227 – 228) Frederick Taylor ได้เสนอแนวทางการบริหารงานบุคคล ดังนี้
1 ต้องมีวิธีการคัดเลือกและพัฒนาคนงานโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
2 ต้องมีความประสานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีในการใช้เครื่องมือและวิธีการที่ดีที่สุดในการบริหารกับการคัดเลือกและฝึกฝนพนักงาน
3 ต้องมีการนําระบบการจ่ายค่าตอบแทนหรือค่าจ้างแบบรายชิ้น (Piece Rate System) มาใช้ในการจูงใจคนงาน ฯลฯ
51. “Politics/Administration Dichotomy” หมายถึงสิ่งใด
(1) การแยกการเมืองและการบริหารออกจากกันเป็นสามส่วน
(2) การแยกการเมืองและการบริหารออกจากกันเป็นสองส่วน
(3) การเมืองและการบริหารแยกจากกันไม่ได้
(4) การเมืองและการบริหารเป็นสิ่งเดียวกัน
(5) การเมืองและการบริหารเป็นองค์ประกอบที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน
ตอบ 2 หน้า 31, 46, 64 – 65, (คําบรรยาย) Woodrow Wilson บิดาของวิชาการบริหารรัฐกิจ เป็นผู้ให้กําเนิดคําว่า “Public Administration” และเป็น “ต้นกําเนิดของแนวความคิดเกี่ยวกับ เรื่องการแยกการเมืองกับการบริหารออกจากกันเป็นสองส่วน” (Politics/Administration Dichotomy) ได้เขียนบทความเรื่อง “The Study of Administration” (1887) และเสนอ ความเห็นว่า การบริหารรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการบัญญัติรัฐธรรมนูญ ซึ่งบทความ ดังกล่าว ยังได้รับการยอมรับจากนักวิชาการว่าเป็น “สูติบัตร” ของวิชาการบริหารรัฐกิจอีกด้วย
52. การศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีองค์การและวิทยาการจัดการอยู่ในช่วงพาราไดม์ที่เท่าไหร่
(1) พาราไดม์ที่ 1
(2) พาราไดม์ที่ 2
(3) พาราไดม์ที่ 3
(4) พาราไดม์ที่ 4
(5) พาราไดม์ที่ 5
ตอบ 4 หน้า 57 ในช่วงพาราไดม์ที่ 4 การศึกษาการบริหารรัฐกิจเน้นศึกษาวิทยาการบริหาร (Administrative Science) ซึ่งหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีองค์การ (Organization Theory) และวิทยาการจัดการ (Management Science)
53. การบริหารงานคลังสาธารณะครอบคลุมกิจกรรมใดบ้าง
(1) การหารายได้ของรัฐ
(2) การบริหารรายจ่าย
(3) การบริหารหนี้สาธารณะ
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 260 – 263), (คําบรรยาย) การศึกษาวิชา การบริหารงานคลังสาธารณะ (Public Finance Administration) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ขอบเขตหน้าที่และกิจกรรมในการบริหารงานคลังสาธารณะของรัฐบาล ดังนี้
1 ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่และการบริหารการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินของรัฐบาล
2 ศึกษาการตัดสินใจด้านการคลังและการใช้จ่ายของรัฐบาล
3 ศึกษาอํานาจหน้าที่ในการหารายได้หรือการจัดหาทรัพยากรเพื่อรองรับบทบาทหน้าที่ของ รัฐบาล เช่น การจัดเก็บภาษีอากร การบริหารหรือก่อหนี้สาธารณะ เป็นต้น
4 ศึกษาการบริหารหรือการดําเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ การเงิน และการคลังของรัฐบาลให้มีความเหมาะสมตามสถานการณ์
54. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายในการบริหารงานคลังสาธารณะ
(1) การกระจายทรัพยากร
(2) การส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
(3) การจัดสรรทรัพยากร
(4) การรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
(5) การรักษาวินัยทางการคลัง
ตอบ 5 หน้า 213, (คำบรรยาย) เป้าหมายในการบริหารงานคลังสาธารณะ มีดังนี้
1 การจัดสรรทรัพยากร
2 การกระจายทรัพยากรหรือรายได้
3 การส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
4 การรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
55. ลูกสูบการเงินในประเทศคือข้อใด
(1) รายรับ-รายจ่าย
(2) ขยายเครดิต-หดเครดิต
(3) เงินเฟ้อ เงินฝืด
(4) ชำระเงินเข้าประเทศ-ชำระเงินออกจากประเทศ
(5) ภาษีขาเข้าภาษีขาออก
ตอบ 2 หน้า 222 – 223 ทฤษฎีลูกสูบสามตัวของ ด.ร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ประกอบด้วย
1 ลูกสูบทางการคลัง เป็นเรื่องของรายรับ-รายจ่ายของรัฐบาล โดยรายรับอาจเป็นการจัดเก็บ ภาษีหรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อดึงเงินเข้าคลัง ส่วนรายจ่ายหมายถึงการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน การซื้อคืนพันธบัตร เป็นต้น
2 ลูกสูบการเงินในประเทศ คือ การขยายเครดิตและการหดเครดิตในระบบการเงิน
3 ลูกสูบการเงินระหว่างประเทศ คือ การเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าออกระหว่างประเทศ หรือการชำระเงินเข้าประเทศและชำระเงินออกจากประเทศ
56. ลูกสูบการเงินระหว่างประเทศคือข้อใด
(1) รายรับ-รายจ่าย
(2) ขยายเครดิต-หดเครดิต
(3) เงินเฟ้อ เงินฝืด
(4) ชำระเงินเข้าประเทศ-ชำระเงินออกจากประเทศ
(5) ภาษีขาเข้าภาษีขาออก
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ
57. ลูกสูบทางการคลังคือข้อใด
(1) รายรับ-รายจ่าย
(2) ขยายเครดิต-หดเครดิต
(3) เงินเฟ้อ เงินฝืด
(4) ชำระเงินเข้าประเทศ-ชำระเงินออกจากประเทศ
(5) ภาษีขาเข้าภาษีขาออก
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ
58. คำกล่าวต่อไปนี้ข้อใดผิด
(1) เงินกู้ยืมเป็นรายรับของรัฐ
(2) เงินกู้ยืมเป็นรายได้ของรัฐ
(3) ภาษีเป็นรายได้ของรัฐ
(4) ค่าธรรมเนียมเป็นรายได้ของรัฐ
(5) ค่าปรับเป็นรายรับของรัฐ
ตอบ 2 (คำบรรยาย) แหล่งรายรับของรัฐ มาจาก 2 ส่วน คือ
1 รายรับที่เป็นรายได้ ได้แก่ ภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ (เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าสัมปทาน ค่าบริการ ค่าเช่าทรัพย์สินของรัฐ ค่าขายของกลางที่ยึด มาจากคดี) รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าแสตมป์ฤชากร ค่าปรับ เป็นต้น
2 รายรับที่ไม่เป็นรายได้ ได้แก่ การกู้เงิน การใช้เงินคงคลัง การขายหุ้น เป็นต้น
59. ข้อใดไม่ใช่หลักการและแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหรือเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก
(1) ทรัพยากรมีล้นเหลือ
(2) ประสิทธิภาพในการผลิตเป็นเป้าหมายหลัก
(3) ข้อมูลข่าวสารมีจำกัดและเป็นต้นทุนที่สำคัญ
(4) ความต้องการของมนุษย์มีไม่จำกัด
(5) การสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดทางเศรษฐกิจ
ตอบ 1 (คำบรรยาย) หลักการและแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหรือเศรษฐศาสตร์ สำนักคลาสสิก (Classical Economics) มีดังนี้
1 ความต้องการของมนุษย์มีไม่จำกัดและไม่สิ้นสุด ขณะที่ทรัพยากร เช่น ข้อมูลข่าวสารนั้น มีจำกัดและถือเป็นต้นทุนที่สำคัญ
2 การมุ่งสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดในทางเศรษฐกิจ
3 เน้นประสิทธิภาพในการผลิตเป็นเป้าหมายหลักในการจัดการเศรษฐกิจ
4 ความเชื่อในเรื่องการแข่งขันโดยกลไกตลาด ฯลฯ
60. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของนโยบายสาธารณะ
(1) อยู่ในวิสัยที่น่าจะเป็นไปได้
(2) มีเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
(3) สร้างผลประโยชน์ให้ประชาชนโดยส่วนรวม
(4) ไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน
(5) มีการกำหนดเป็นโครงการ
ตอบ 4 หน้า 81 – 82, (คำบรรยาย) ลักษณะของนโยบายสาธารณะ มีดังนี้
1 มีเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
2 ต้องอยู่ในวิสัยที่น่าจะเป็นไปได้
3 ต้องสร้างผลประโยชน์ให้ประชาชนโดยส่วนรวม
4 มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน
5 มีการกำหนดเป็นโครงการ ฯลฯ
61. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการวิเคราะห์นโยบายของเควด (E.S. Quade)
(1) การเปรียบเทียบ
(2) การกำหนดตัวแบบ
(3) การค้นหา
(4) การกำหนดรูปแบบ
(5) การประเมินผล
ตอบ 5 หน้า 84 – 85 กระบวนการวิเคราะห์นโยบายของเควด (E.S. Quade) มี 5 ขั้นตอน ดังนี้
1 การกำหนดรูปแบบ (Formulation)
2 การค้นหา (Search)
3 การกำหนดตัวแบบ (Modeling)
4 การเปรียบเทียบ (Comparison)
5 การสรุปผลและตรวจสอบทางเลือก (Interpretation and Verification)
62. “การกำหนดวิธีการที่เป็นไปได้ในการดำเนินงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจมีได้มากกว่าหนึ่งวิธี เป็นขั้นตอนใดในกระบวนการนโยบาย
(1) การกำหนดทางเลือก
(2) การกำหนดวัตถุประสงค์
(3) การอนุมัติ
(4) การจัดทำร่างนโยบาย
(5) การปรับปรุงนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 88 การกำหนดทางเลือก เป็นการกำหนดวิธีการที่เป็นไปได้ในการดำเนินงานเพื่อบรรลุ วัตถุประสงค์ และในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์หนึ่งย่อมมีวิธีการได้มากกว่าหนึ่งวิธี ดังนั้นปัจจัยและข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับพิจารณาทางเลือก ได้แก่ สาระสำคัญของทางเลือก ว่าแนวทางการดำเนินงานทำอย่างไร ใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยีอะไร ประสิทธิผลของทางเลือก โดยพิจารณาจากต้นทุนและผลตอบแทนที่จะได้รับ รวมทั้งผลลัพธ์ข้างเคียง และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมขณะนั้นด้วย
63. “การเสนอร่างนโยบายให้ผู้มีอำนาจได้พิจารณาตัดสินใจ” เป็นขั้นตอนใดในกระบวนการนโยบาย
(1) การกำหนดทางเลือก
(2) การกำหนดวัตถุประสงค์
(3) การอนุมัติ
(4) การจัดทำร่างนโยบาย
(5) การปรับปรุงนโยบาย
ตอบ 4 หน้า 88 การจัดทำร่างนโยบาย เป็นการเสนอร่างนโยบายให้ผู้มีอำนาจได้พิจารณาตัดสินใจ โดยร่างนโยบายนั้นจะประกอบไปด้วย
1 หลักการและเหตุผล
2 วัตถุประสงค์
3 แนวทางและมาตรการ
4 การจัดลำดับทวงเลือก
5 ข้อมูลประกอบที่สำคัญ
64. “การพิจารณาและเห็นว่านโยบายเหมาะสม เห็นชอบให้นําไปดําเนินการต่อไป” เป็นขั้นตอนใดในกระบวนการนโยบาย
(1) การกําหนดทางเลือก
(2) การกําหนดวัตถุประสงค์
(3) การอนุมัติ
(4) การจัดทําร่างนโยบาย
(5) การปรับปรุงนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 89 ในการอนุมัตินโยบายนั้น หากพิจารณานโยบายแล้วเห็นว่านโยบายนั้นไม่เหมาะสม หรือไม่เห็นด้วยอาจให้มีการปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกนโยบาย แต่สําหรับนโยบายใดที่ พิจารณาแล้วเห็นว่าเหมาะสมหรือเห็นชอบก็จะอนุมัติให้นําไปดําเนินการต่อไป
65. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะขององค์การเครือข่ายของภาครัฐ
(1) มีความยืดหยุ่น
(2) มีการรวมอํานาจไว้ที่คนเดียว
(3) การเพิ่มขึ้นของการเข้าถึง
(4) มีนวัตกรรม
(5) มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ตอบ 2 หน้า 126 องค์การเครือข่ายของภาครัฐตามความคิดของ Goldsmith and Eggers มีลักษณะประกอบด้วย
1 มีความรวดเร็วและมีความยืดหยุ่น (Speed & Flexibility)
2 การเพิ่มขึ้นของการเข้าถึง (Increased Reach)
3 มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialization)
4 มีนวัตกรรม (Innovation)
66. องค์การแบบสิ่งมีชีวิตมีลักษณะอย่างไร
(1) ช่วงการควบคุมแคบ
(2) รวมอํานาจในการบริหาร
(4) ระดับชั้นการบังคับบัญชามาก
(3) ความเป็นทางการน้อย
(5) ความเป็นทางการสูง
ตอบ 3 หน้า 133 – 134, (คําบรรยาย) องค์การแบบสิ่งมีชีวิต (Organic Organization) มีลักษณะดังนี้
1 อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงมาก
2 มีความยืดหยุ่น เน้นความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
3 เน้นโครงสร้างแนวราบ
4 ขอบข่ายหรือช่วงการควบคุมกว้าง
5 มีระเบียบกฎเกณฑ์น้อย
6 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติงานเป็นแบบแนวนอน แนวทแยง และแบบเครือข่าย
7 มีรายละเอียดของหน้าที่ ความรับผิดชอบ และวิธีปฏิบัติงานน้อย
8 มีความเป็นทางการน้อย
9 กระจายอํานาจในการบริหารและตัดสินใจ
67. Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่มีลักษณะอย่างไร
(1) สงบราบเรียบไม่ค่อยมีโอกาสติดต่อกับภายนอก
(2) เป็นสภาพแวดล้อมของเด็กกําลังเจริญเติบโต
(3) สภาพแวดล้อมของเด็กวัยรุ่นเริ่มเผชิญกับสังคมภายนอก
(4) สภาพแวดล้อมของชาวเขา
(5) สภาพแวดล้อมในรัสเซียและยูเครนในปัจจุบัน
ตอบ 5 หน้า 257 – 258, (คําบรรยาย) Fred Emery และ Eric Trist ได้แบ่งสภาพแวดล้อมของ องค์การออกเป็น 4 ประเภท คือ
1 Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ ไม่ค่อยมีโอกาส ติดต่อกับสังคมภายนอก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาที่เร่ร่อน ทารกในครรภ์ ชุมชน ที่ไม่มีการติดต่อกับสังคมภายนอก เป็นต้น
2 Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่เริ่มมีการติดต่อกับ สังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กที่กําลังเจริญเติบโตเริ่มเรียนรู้และ สัมผัสกับระบบของครอบครัว โรงเรียน เป็นต้น
3 Disturbed-Reactive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่เริ่มมีความยุ่งยาก ซับซ้อน ยุ่งเหยิง เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยรุ่นที่เริ่มเผชิญกับสังคมภายนอก เป็นต้น
4 Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพแวดล้อมใน 3 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อําเภอในจังหวัดสงขลา สภาพแวดล้อม ในรัสเซียและยูเครนในปัจจุบัน เป็นต้น
68 Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่มีลักษณะอย่างไร
(1) สงบราบเรียบไม่ค่อยมีโอกาสติดต่อกับภายนอก
(2) เป็นสภาพแวดล้อมของเด็กกําลังเจริญเติบโต
(3) สภาพแวดล้อมของเด็กวัยรุ่นเริ่มเผชิญกับสังคมภายนอก
(4) สภาพแวดล้อมของชาวเขา
(5) สภาพแวดล้อมในรัสเซียและยูเครนในปัจจุบัน
ตอบ 1, 4 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ
69 ในสภาพที่องค์การมีสิ่งแวดล้อมคงที่ งานส่วนใหญ่เป็นงานประจํา บทบาทหน้าที่ของคนในองค์การชัดเจน
ควรใช้กลยุทธ์แบบใด
(1) แบบรุก
(2) แบบกึ่งรุก กึ่งรับ
(3) แบบตั้งรับ
(4) แบบก้าวหน้า
(5) แบบรักษาตัว
ตอบ 3หน้า 136 – 137 ในการวิเคราะห์ตามตัวแบบของมอร์แกน (Morgan) หากองค์การอยู่ใน สภาพแวดล้อมคงที่ งานส่วนใหญ่เป็นงานประจํา บทบาทหน้าที่ของคนในองค์การชัดเจน ควรใช้กลยุทธ์แบบตั้งรับ แต่ถ้าหากองค์การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงปานกลาง ควรใช้กลยุทธ์แบบกึ่งรุก กึ่งรับ หรือหากองค์การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงมาก มีความซับซ้อนและวุ่นวาย ควรใช้กลยุทธ์แบบรุก
70.การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชนอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 87 ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย
การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน 2. การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา 3. ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ 4. การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา
71. Policy Termination หมายถึงขั้นตอนใดในกระบวนการนโยบาย
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การเสนอนโยบาย
(3) การอนุมัตินโยบาย
(4) การปรับปรุง/แก้ไข ยกเลิก
(5) การประเมินนโยบาย
ตอบ 4 หน้า 90 – 91 ขั้นตอนการปรับปรุง แก้ไข และยกเลิกนโยบาย (Policy Termination) เป็นการนําผลหรือข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนการประเมินผลนโยบายมาพิจารณาเพื่อใช้ใน การตัดสินใจเรื่องสําคัญ ๆ ในทุกขั้นตอนของนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นการกําหนดนโยบาย การกําหนดวัตถุประสงค์ การนํานโยบายไปปฏิบัติ เป็นต้น โดยพิจารณาว่าในส่วนใดที่ยัง ไม่เหมาะสมก็ดําเนินการปรับปรุง แก้ไข แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่านโยบายใดอาจก่อให้เกิด ปัญหาในทางปฏิบัติก็จะยกเลิกไม่ให้มีนโยบายนั้น ๆ ต่อไป
ครับ, ผมจะเรียงลำดับเอกสาร, หมายเลขข้อสอบ, ตัวเลือก, และคำบรรยายจากเอกสารที่ให้มา พร้อมหมายเลขข้อสอบที่ถูกต้อง ดังนี้ครับ:
ตั้งแต่ข้อ 72 – 77. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Robert A. Dahl
(2) Herbert A. Simon
(3) Woodrow Wilson
(4) Luther H. Gulick
(5) Robert T. Golembiewski
72. ใครเป็นผู้เสนอความเห็นว่าพาราไดม์เบ็ดเสร็จไม่ใช่สิ่งจําเป็นสําหรับสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจ
ตอบ 5 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 75 – 76) Robert T. Golembiewski ได้เสนอความเห็นว่า พาราไดม์เบ็ดเสร็จไม่ใช่สิ่งจําเป็นสําหรับสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจ และวิชาการบริหารรัฐกิจก็ไม่จําเป็นที่จะต้องกําหนดขึ้นมาในรูปของพาราไดม์เบ็ดเสร็จ แต่ควรจะกําหนดขึ้นมาในรูปของมินิพาราไดม์หลาย ๆ มินิพาราไดม์จะดีกว่า
73. ใครเป็นผู้วิจารณ์ว่าหลักการบริหารรัฐกิจเป็นเพียงแค่ภาษิตทางการบริหาร
ตอบ 2 หน้า 52 Herbert A. Simon ได้เสนอความเห็นไว้ในบทความเรื่อง “The Proverbs of Administration” (1946) ว่า หลักต่าง ๆ ของการบริหารรัฐกิจที่ได้กําหนดขึ้นมานั้นใช้ไม่ได้ ในทางปฏิบัติ จะเป็นได้ก็เพียงแค่ภาษิตทางการบริหาร
74. ใครเป็นผู้เขียนบทความเสนอว่าการบริหารรัฐธรรมนูญยากยิ่งกว่าการบัญญัติรัฐธรรมนูญ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ
75. ใครเสนอว่าหัวหน้าฝ่ายบริหารมีหน้าที่ 7 ประการ โดยสรุปเป็นคําย่อว่า POSDCORB
ตอบ 4 หน้า 49 – 50, 64 – 65, (คําบรรยาย) Luther H. Gutick และ Lyndall Urwick ได้เสนอว่า หน้าที่สําคัญของหัวหน้าฝ่ายบริหารมี 7 ประการ โดยสรุปเป็นคําย่อว่า POSDCORB ซึ่งประกอบด้วย
1. P = Planning (การวางแผน)
2. O = Organizing (การจัดองค์การ)
3. S = Staffing (การจัดบุคคลเข้าทํางาน)
4. D = Directing (การอํานวยการ)
5. Co = Coordinating (การประสานงาน)
6. R = Reporting (การรายงานผลการปฏิบัติงาน)
7. B = Budgeting การจัดทํางบประมาณ)
76. เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) หมายถึง
(1) Desktop
(2) Personal Computer
(3) Digital Computer
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 318 – 319, (คําบรรยาย) ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) หมายถึง คอมพิวเตอร์ ประเภทตัวเลข (Digital Computer) ที่มีขนาดเล็ก ราคาถูก สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย และ สามารถวางบนโต๊ะทํางานได้ จึงเรียกเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้ว่า คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คอมพิวเตอร์ส่วนตัว (Personal Computer)
77. ข้อมูล (Data) หมายถึง
(1) ข่าวกีฬา
(2) แบบสอบถาม
(3) ตําราเรียน
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 296, 318 – 319, (คําบรรยาย) ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อจริงหรือความจริงต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับบุคคล วัตถุ สสาร สิ่งของ สถาบัน องค์การ การดําเนินงาน การปฏิบัติการ การจัดการ และอื่น ๆ ที่อาจอยู่ในลักษณะของสัญลักษณ์ ข้อความ ตัวเลข รูปภาพ และอื่น ๆ ทั้งนี้ข้อมูล จะอยู่ในรูปแบบที่ยังไม่มีการประเมินหรือตีความหมาย ซึ่งนับเป็นข้อมูลดิบ (Raw Data) เช่น
แบบสอบถาม เป็นต้น ส่วนข่าวสาร (Information) หมายถึง ข้อมูลดิบที่ผ่านการประมวลผลแล้ว โดยผ่านวิธีการต่าง ๆ หรือเป็นข้อมูลบั้นปลายที่มีการเปลี่ยนรูปแล้วให้อยู่ในรูปที่มีความหมาย เข้าใจได้ง่าย และสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ตําราเรียน ภาพยนตร์ ข่าวกีฬา รายงานข่าว รายงานการประชุมประจําปี หนังสือพิมพ์ วารสารข่าวรามคําแหง เป็นต้น
78 ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) หมายถึง
(1) เครื่องจักรและอุปกรณ์
(2) โปรแกรม
(3) บุคลากร
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 297 – 301, (คําบรรยาย) ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) หมายถึง กลุ่มเครื่องจักรและอุปกรณ์หรือเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกันในการทํางานของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง รวดเร็ว และเชื่อถือได้ โดยระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยฝ่ายต่าง ๆ หรือส่วนประกอบที่สําคัญ 3 ส่วน คือ
1 เครื่องจักรและอุปกรณ์ (Hardware)
2 โปรแกรมหรือคําสั่งงาน (Software)
3 บุคลากร (Peopleware)
79 คอมพิวเตอร์ประเภทตัวเลข (Digital) คือ คอมพิวเตอร์ที่
(1) ทํางานได้ทุกประเภท
(2) ทํางานโดยใช้หลักการวัดและราคาถูก
(3) แสดงข้อมูลในรูปเสียง แสง และภาพ
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 318 – 319, (คําบรรยาย) คอมพิวเตอร์ประเภทตัวเลข (Digital Computer) คือ คอมพิวเตอร์ที่ทํางานโดยใช้หลักการนับ ซึ่งจะรับข้อมูลในลักษณะของตัวเลขที่ต้องอาศัยสื่อ ในการรับหรือบันทึกข้อมูล มีความคล่องตัวในการทํางานสูง และสามารถปรับให้ทํางานได้ ทุกประเภท เช่น การคํานวณ การบัญชี การดนตรี รวมทั้งการแสดงข้อมูลในรูปเสียง แสง สี และภาพ โดยตัวอย่างของคอมพิวเตอร์ประเภทนี้ ได้แก่ ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
80 คอมพิวเตอร์ประเภทปริมาณ คือ คอมพิวเตอร์ที่
(1) ทํางานได้ทุกประเภท
(2) ทํางานโดยใช้หลักการวัดและราคาถูก
(3) แสดงข้อมูลในรูปเสียง แสง และภาพ
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 2 หน้า 318 – 319, (คําบรรยาย) คอมพิวเตอร์ประเภทปริมาณ (Analog Computer) คือ คอมพิวเตอร์ที่ทํางานโดยใช้หลักการวัด ซึ่งจะรับข้อมูลในลักษณะของปริมาณที่มีค่าต่อเนื่อง จากแหล่งกําเนิดข้อมูลโดยตรง ไม่สามารถทํางานได้ทุกอย่างเหมือนคอมพิวเตอร์ประเภทตัวเลข แต่มีความเร็วสูงกว่าและมีราคาถูกกว่าคอมพิวเตอร์ประเภทตัวเลข
ตั้งแต่ข้อ 81 – 85. จะมีคําตอบเป็นข้อความให้นักศึกษาพิจารณา 2 ข้อความ ให้นักศึกษาพิจารณา และระบายลงในกระดาษคําตอบ ดังนี้
(1) หากข้อความที่ 1 ถูก และข้อความที่ 2 ผิด ให้ระบายในข้อ 1
(2) หากข้อความที่ 1 ผิด และข้อความที่ 2 ถูก ให้ระบายในข้อ 2
(3) หากข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ถูกทั้ง 2 ข้อ ให้ระบายในข้อ 3
(4) หากข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ผิดทั้ง 2 ข้อ ให้ระบายในข้อ 4
81.
(1) เทคโนโลยี หมายถึง ความประณีต
(2) เทคโนโลยี หมายถึง กระบวนการ
ตอบ 2 หน้า 290 เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง
1 ความรู้ทั้งหลาย (All Knowledge) คือ ความรู้ที่มาจากทฤษฎีและนำมาปฏิบัติให้เกิดผล
2 ผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ (Products) คือ ผลที่ได้จากการนำเทคโนโลยีมาใช้
3 กระบวนการ (Processes) คือ ขั้นตอนของการนำเทคโนโลยีมาใช้
4 เครื่องมือ (Tools) คือ อุปกรณ์ วัสดุ เครื่องจักรในการใช้หรือที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี
5 วิธีการ (Methods) คือ กรรมวิธีหรือเทคนิคที่ใช้สำหรับเทคโนโลยี
6 ระบบ (Systems) คือ กลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อการคิดค้นในการสร้างสินค้าหรือการบริการ
82.
(1) บุคลากรระดับวิชาการ หมายถึง พนักงานควบคุมเครื่อง
(2) บุคลากรระดับวิชาการ หมายถึง พนักงานบันทึกข้อมูล
ตอบ 4 หน้า 301, (คำบรรยาย) บุคลากร (Peopleware) คือ บุคคลหรือกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับ การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1 บุคลากรระดับบริหาร
2 บุคลากรระดับวิชาการ ได้แก่ นักวิเคราะห์ระบบและวางแผนงาน เจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์ และนักบรรณารักษ์กลาง
3 บุคลากรระดับปฏิบัติงาน ได้แก่ พนักงานควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ และพนักงานบันทึกข้อมูล
83.
(1) ความก้าวหน้าของโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์วัดจากระดับอัจฉริยะ
(2) ความก้าวหน้าของโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์วัดจากการให้ข้อมูล
ตอบ 3 หน้า 309 – 310, 319 ตัวชี้วัดความก้าวหน้าของโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) มี 5 ระดับ ดังนี้
1 การให้ข้อมูล (Information)
2 การโต้ตอบ (Interaction)
3 การทำธุรกรรม (Interchange Transaction)
4 การบูรณาการ (Integration)
5 ระดับอัจฉริยะ (Intelligence)
84.
(1) ภัยของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อสังคม คือ การเป็นแฮกเกอร์ (Hacker)
(2) ภัยของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อสังคม คือ การเรียนทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ตอบ 1 หน้า 314 – 316, 39, (คำบรรยาย) ภัยของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อสังคม มีดังนี้
1 การล่อลวงบนอินเทอร์เน็ต เช่น การโฆษณาชวนเชื่อให้ร่วมทำธุรกิจหรือลงทุนในด้านต่าง ๆ การล่อลวงเด็กและเยาวชนไปทำอนาจาร ทารุณทางเพศหรือบังคับค้าประเวณี
2 การก่อกวนผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การส่งไปรษณีย์ขยะ (Junk Mail) หรือจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ขยะ (E-mail) การใช้โปรแกรมยิงคำสั่งแปลก ๆ เพื่อสร้างความเสียหาย ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
3 ไวรัสคอมพิวเตอร์
4 การล้วงข้อมูลโดย จารชนคอมพิวเตอร์ หรือแฮกเกอร์ (Hacker)
85.
(1) รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ด้าน G2C
(2) รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ด้าน G2B
ตอบ 3 หน้า 308 – 309 การให้บริการของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1 G2C (Government to Citizen) คือ การให้บริการของภาครัฐสู่ประชาชนโดยตรง
2 G28 (Government to Business) คือ การให้บริการของภาครัฐต่อภาคธุรกิจเอกชน
3 G2G (Government to Government) คือ การให้บริการระหว่างภาครัฐกับภาครัฐ
4 G2F (Government to Officer) คือ การให้บริการของภาครัฐต่อข้าราชการและพนักงานของภาครัฐ
86 อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ให้ความสําคัญต่อคุณค่าหลักอะไรในการบริหารบ้านเมือง
(1) ประสิทธิภาพ
(2) ประชาธิปไตย
(3) การขยายบทบาทภาครัฐ
(4) การลดบทบาทภาครัฐ
(5) การกระจายอํานาจ
ตอบ 1 หน้า 326 – 327, 355, 360 – 361 อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) ให้ความสําคัญกับประสิทธิภาพของภาครัฐ (Efficiency) โดยต้องการฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง และมีการรวมศูนย์อํานาจ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดของโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ที่ให้ความสําคัญกับประชาธิปไตย (Democracy) โดยต้องการให้ฝ่ายบริหารกระจายอํานาจ ให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานของรัฐ และต้องการจํากัดอํานาจของฝ่ายบริหารโดยอาศัยกฎหมายและรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด
87 โทมัส เจฟเฟอร์สัน ให้ความสําคัญกับเรื่องใดในการออกแบบระบบการบริหารประเทศ
(1) ประสิทธิภาพ
(2) ประชาธิปไตย
(3) การขยายบทบาทภาครัฐ
(4) การลดบทบาทภาครัฐ
(5) การรวมอํานาจ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ
88 สาระสําคัญของเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ที่มีอิทธิพลต่อการบริหารรัฐกิจ คือ
(1) ประสิทธิภาพ
(2) ประชาธิปไตย
(3) การขยายบทบาทภาครัฐ
(4) การลดบทบาทภาครัฐ
(5) การกระจายอํานาจ
ตอบ 3 หน้า 328 – 329, 355 ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ (Keynesian School) เน้นการขยายบทบาทของภาครัฐ โดยต้องการให้รัฐเพิ่มการลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งแตกต่างจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบนีโอลิเบอรัลลิสม์ (Neo-Liberalism) และเศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก (Neo-Classical School) ที่ต้องการลดบทบาทและขนาดของภาครัฐ โดยใช้วิธีการจัดการแบบเอกชนที่เน้นการแข่งขัน
89 สาระสําคัญของเศรษฐศาสตร์แบบนีโอลิเบอรัลลิสม์ต่อการบริหารรัฐกิจ คือ
(1) ประสิทธิภาพ
(2) ประชาธิปไตย
(3) การขยายบทบาทภาครัฐ
(4) การลดบทบาทภาครัฐ
(5) การรวมอํานาจ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 88. ประกอบ
90 ใครที่เป็นหลักในการเริ่มดําเนินการปฏิรูปการบริหารงานภาครัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา
(1) นางมาร์กาเร็ต แทชเชอร์
(2) ประธานาธิบดีเรแกน
(3) ประธานาธิบดีคลินตัน
(4) รองประธานาธิบดีอัล กอร์
(5) ประธานาธิบดีโอบามา
ตอบ 4 หน้า 331, 360 – 361 รองประธานาธิบดีอัล กอร์ (Al Gore) เป็นเจ้าภาพหลักในการเริ่มดําเนินการปฏิรูปการบริหารงานภาครัฐในประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีคลินตัน (Clinton) การปฏิรูปครั้งนี้ได้รับอิทธิพลจากหนังสือ “การสร้างรัฐบาลรูปแบบใหม่” (Reinventing Government) ของเดวิด ออสบอร์น (David Osborne) และเท็ด แกเบลอร์ (Ted Gaebler) ซึ่งเป็นหนังสือขายดีในช่วงการรณรงค์การเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1992
91. ประเทศแรกที่ริเริ่มการปฏิรูประบบราชการด้วยแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ คือ
(1) ประเทศสหรัฐอเมริกา
(2) ประเทศแคนาดา
(3) ประเทศอังกฤษ
(4) ประเทศออสเตรเลีย
(5) ประเทศนิวซีแลนด์
ตอบ 3 หน้า 330 – 331, 356 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ได้รับ อิทธิพลแนวคิดเชิงอุดมการณ์มาจากแนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) โดยแนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่ถือเป็นแนวคิดหลักที่ใช้ในการปฏิรูประบบราชการของประเทศต่าง ๆ ซึ่งประเทศแรกที่ริเริ่มนําแนวคิดนี้มาใช้ คือ ประเทศอังกฤษ (England) ในสมัยนางมาร์กาเร็ต แทชเชอร์ (Margaret Thatcher) เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาแนวคิดนี้ก็ได้ถูกนําไปใช้ในการปฏิรูป ระบบราชการในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
92. หนังสือชื่อ “Reinventing Government” ที่มีอิทธิพลต่อการปฏิรูประบบราชการของสหรัฐอเมริกา เขียนโดยใคร
(1) Terry D. Larry
(2) Christopher Pollitt
(3) Osborne & Gaebler
(4) Frederick Taylor
(5) Thomas Jefferson
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90. ประกอบ
93. การจัดการภาครัฐแนวใหม่ให้ความสําคัญกับเรื่องใด
(1) ความเป็นพลเมือง
(2) ชุมชนและประชาสังคม
(3) ผลสัมฤทธิ์ของงาน
(4) มนุษยนิยม
(5) ความเป็นประชาธิปไตย
ตอบ 3 หน้า 329 – 348, 356 – 357, 360 – 361 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management : NPM) มีแนวทางแตกต่างจากการบริการสาธารณะแนวใหม่/การบริการ ภาครัฐแนวใหม่ (New Public Service : NPS) หรือการร่วมบริหารกิจการบ้านเมืองแบบ ประชาธิปไตย (Democratic Governance Management) ซึ่งแต่ละแนวทางมีจุดเน้น ที่ให้ความสําคัญ ดังนี้
1 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ ให้ความสําคัญกับประสิทธิภาพของราชการ การลดขั้นตอน การทํางาน การบริหารที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน (Result-Based Management) การจัดการ ที่เน้นการแข่งขันแบบภาคธุรกิจ (Market-Based Management) การให้ความสําคัญกับ เทคโนโลยีการบริหารใหม่ ๆ เพื่อความเป็นเลิศ (Neo-Managerialism) การให้อํานาจกับ ผู้บริหารเหมือนเป็นผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของกิจการเองหรือเรียกว่า การจัดการแบบเถ้าแก่ (Entrepreneurial Management) หรือแบบ CEO (CEO Management) เป็นต้น
2 การบริการสาธารณะแนวใหม่ ให้ความสําคัญกับความเป็นประชาธิปไตย ความเป็นพลเมือง ในระบอบประชาธิปไตย มนุษยนิยม การสร้างเครือข่ายทางสังคม ชุมชนและประชาสังคม เป็นต้น
94. ชื่อใดที่มีแนวทางแตกต่างจากแนวทางการจัดการภาครัฐแนวใหม่
(1) Market-Based Management
(2) Neo-Managerialism
(3) Neo-Taylorism
(4) Democratic Governance
(5) Entrepreneurial Management
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ
95. การบริการสาธารณะแนวใหม่ (New Public Service) ให้ความสําคัญกับเรื่องใด
(1) ประสิทธิภาพของราชการ
(2) แนวความคิดแบบ CEO
(3) One-Stop Service
(4) สัมฤทธิผลของงาน
(5) ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ
ตั้งแต่ข้อ 96. – 98. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาวิธีระงับข้อพิพาททางเลือก
(1) การประเมินความขัดแย้ง
(2) การประสานความขัดแย้ง
(3) การประนอมข้อพิพาท
(4) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
(5) อนุญาโตตุลาการ
96 เป็นกระบวนการที่มีบุคคลที่สามเข้ามาช่วยเหลือให้คู่ความเจรจาต่อรองกันได้สําเร็จ
ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คือ กระบวนการระงับข้อพิพาท ที่มีบุคคลที่สามเข้ามาช่วยเหลือให้คู่ความเจรจาต่อรองกันได้สําเร็จ ซึ่งกระบวนการนี้ผู้ไกล่เกลี่ย จะเป็นคนกระตุ้นให้คู่ความตกลงกันง่ายขึ้น แต่ไม่มีอํานาจในการกําหนดข้อตกลงให้แก่คู่ความ
97 เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นสําคัญ
(1) การประเมินความขัดแย้ง
(2) การประสานความขัดแย้ง
(3) การประนอมข้อพิพาท
(4) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
(5) อนุญาโตตุลาการ
ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 22 – 23) การประนอมข้อพิพาท คือ กระบวนการที่ผู้ประนอม ข้อพิพาทจะพยายามช่วยคู่พิพาทในการแก้ไขความเข้าใจผิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างกัน พยายาม ลดทอนความรู้สึกหวาดระแวงและความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งเทคนิคนี้จะต้องอาศัยความสมัครใจ ของคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นสําคัญ
98 มีการตั้งคนกลางขึ้นมาทําหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่เกิดขึ้น และผลแห่งข้อวินิจฉัยนี้เรียกว่าเป็นคําชี้ขาด มีผลผูกพันคู่พิพาทให้ต้องปฏิบัติตาม
(1) การประเมินความขัดแย้ง
(2) การประสานความขัดแย้ง
(3) การประนอมข้อพิพาท
(4) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
(5) อนุญาโตตุลาการ
ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26) อนุญาโตตุลาการ เป็นกระบวนการที่มีการตั้งคนกลาง มาทําหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่เกิดขึ้น และผลแห่งข้อวินิจฉัยนี้ปรากฏในสิ่งที่เรียกว่าเป็น คําชี้ขาดที่มีผลตามกฎหมายผูกพันคู่พิพาทให้ต้องปฏิบัติตาม
99 ข้อดีของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ได้แก่
(1) สะดวก
(2) รวดเร็ว
(3) ประหยัดค่าใช้จ่าย
(4) ลดความเครียด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 29 – 30), (คําบรรยาย) ข้อดีของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ได้แก่ 1. สะดวก 2. รวดเร็ว 3. ประหยัดค่าใช้จ่าย 4. ลดความเครียด 5. รักษาสัมพันธภาพระหว่างคู่พิพาท 6. สร้างความพึงพอใจต่อคู่พิพาท 7. สร้างความสงบสุขให้กับชุมชน ฯลฯ
100 ข้อจํากัดของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ได้แก่
(1) รักษาสัมพันธภาพระหว่างคู่พิพาท
(2) สร้างความพึงพอใจต่อคู่พิพาท
(3) คู่พิพาทใช้เป็นช่องทางประวิงให้เกิดความล่าช้า
(4) ไม่มีข้อใดถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27), (คําบรรยาย) ข้อจํากัดของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ได้แก่
1. ไม่มีสภาพบังคับ การไกล่เกลี่ยขึ้นอยู่กับความสมัครใจของคู่พิพาทเป็นสําคัญ
2. คู่พิพาทอาจใช้เป็นช่องทางประวิงเวลาให้คดีเกิดความล่าช้าได้
3. ผลของการไกล่เกลี่ยไม่สามารถบังคับได้ทุกกรณีเช่นเดียวกับคําพิพากษา ฯลฯ