การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 3151 (MCS 3100) การสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์

Advertisement

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1 ปัจจัยเริ่มต้นของมนุษยสัมพันธ์คือข้อใด
(1) ครอบครัว
(2) สังคม
(3) ตนเอง
(4) บุคคลอื่น
ตอบ 3 หน้า 3, 17, 19, (คําบรรยาย) ปัจจัยหรือจุดเริ่มต้นของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ คือ ตนเอง โดยเริ่มจากการรู้จักและเข้าใจตนเอง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักและเข้าใจผู้อื่นด้วย ทั้งนี้บุคคล ต้องรู้จักมองโลกในแง่ดีหรือมีทัศนคติ/แนวคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสิ่งต่าง ๆ เช่น การยอมรับความแตกต่างของบุคคล เป็นต้น

2 การประกอบอาชีพในยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีลักษณะอย่างไร
(1) ระบบเครือญาติ
(2) ระบบนายจ้างลูกจ้าง
(3) ระบบศักดินา
(4) ระบบนายทุน
ตอบ 1 หน้า 10, (คําบรรยาย) การประกอบอาชีพในยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะมีลักษณะเป็น ระบบเครือญาติ (Clan) คือ มนุษย์แต่ละคนแต่ละกลุ่มเล็ก ๆ ในระดับครอบครัวจะทํางานอยู่ ที่บ้านในลักษณะครบวงจร ไม่มีการแบ่งงานกันทํา ทุกคนทุกครอบครัวต้องทํากันเองทุกอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาชีพเป็นชาวไร่ชาวนา เกษตรกร หรือเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพด้านหัตถกรรม (Hand Craft)

3 ความสัมพันธ์ของมนุษย์เมื่ออยู่ร่วมกันเป็นสังคมใหญ่มีลักษณะอย่างไร
(1) อยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ และรวมกันโดยอัตโนมัติ
(2) อยู่ร่วมกันในรูปแบบที่เป็นทางการ และขาดความเสมอภาค
(3) อยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการและเอารัดเอาเปรียบกัน
(4) อยู่ร่วมกันด้วยความสมัครใจ และสงบสุข
ตอบ 2 หน้า 9 ความสัมพันธ์ของมนุษย์ในยุคที่เริ่มอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมนั้นจะมีลักษณะของการ อยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมใหญ่ สังคมมนุษย์ได้แตกเป็นกลุ่มเป็นสถาบันย่อย ๆ ตามความจําเป็น ทําให้ลักษณะความสัมพันธ์ ในการอยู่ร่วมกันเป็นไปในรูปแบบที่เป็นทางการมากขึ้น แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคเพราะมีการเอารัดเอาเปรียบกัน

ข้อ 4. – 6.ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) แอนดรู ยูร
(2) เอลตัน เมโย
(3) เฮ็นรี่ แกนต์
(4) โรเบิร์ต โอเวน

4 บุคคลใดได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการบริหารงานบุคคล
ตอบ 4 หน้า 11 – 12, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen) ถือว่าเป็นเจ้าของกิจการ ชาวเวลส์คนแรกตามประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมของอังกฤษที่มีความคิดริเริ่มในการเอาใจใส่ต่อความเป็นอยู่ของคนงาน โดยยอมรับว่าต้องให้ความสําคัญกับจิตใจและความต้องการของ ลูกจ้างคนงาน ซึ่งเขาได้พยายามปรับปรุงสวัสดิการต่าง ๆ ของลูกจ้าง เช่น ปรับปรุงสถานที่ ทํางานและสิ่งแวดล้อมให้สะอาด ปรับปรุงสภาพในการทํางานให้ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่ และเป็นนายจ้างคนแรกที่ต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้จุดประกายและเริ่มต้น แนวคิดการสร้างสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างเป็นคนแรก จนได้รับการยกย่องว่าเป็น“บิดาแห่งการบริหารงานบุคคล”

5 บุคคลใดเป็นผู้เปิดสอนวิชามนุษยสัมพันธ์
ตอบ 2
หน้า 14 ความเป็นมาของการศึกษาวิชามนุษยสัมพันธ์ได้เริ่มต้นขึ้นจากสถาบันการศึกษา เมื่อศาสตราจารย์เอลตัน เมโย (Elton Mayo) บิดาแห่งวิชามนุษยสัมพันธ์ ได้ริเริ่มเปิดสอน วิชามนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) ขึ้นเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1936 (พ.ศ. 2479) ซึ่งอีก 10 ปีต่อมาวิชานี้ก็กลายเป็นวิชาบังคับ ในหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัย และเป็นแขนงวิชาหรือศาสตร์ที่เด่นชัดแพร่หลายไป ทุกวงการภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

6. บุคคลใดริเริ่มให้มีสวัสดิการการรักษาพยาบาล
ตอบ 1
หน้า 12 แอนดรู ยูรี (Andrew Ure) ได้เขียนบทความที่ให้ความสําคัญแก่ “มนุษย์” และ เป็นผู้ที่ริเริ่มการให้สวัสดิการแก่คนงาน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ซึ่งเขาได้เสนอให้ปรับปรุงการจัดสวัสดิการต่าง ๆ ดังนี้
1 จัดให้มีชั่วโมงพักระหว่างการทํางาน
2 ปรับสถานที่ทํางานให้ถูกสุขลักษณะ
3 เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย คนงานต้องได้รับการดูแลรักษาพยาบาล และได้รับค่าจ้างระหว่าง หยุดพักรักษาตัวด้วย
4 ส่งเสริมให้คนงานมีสุขภาพดี โดยจัดสนามและอุปกรณ์การออกกําลังกายแก่คนงาน

7 ข้อใดแสดงถึงความหมายของมนุษยสัมพันธ์
(1) การสื่อสารของมนุษย์
(3) ธรรมชาติของมนุษย์
(2) ความต้องการของมนุษย์
(4) การปรับตัวของมนุษย์
ตอบ 4 หน้า 1 – 4, 23 นักวิชาการได้ให้ความหมายของมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) เอาไว้ อย่างมากมาย แต่ความหมายที่สั้นและตรงที่สุดเห็นจะได้แก่ความหมายที่ว่า การติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างผู้คน ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างมนุษย์ หรือทักษะในการปรับตัว เพื่อให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

8 ข้อความใดแตกต่างจากแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
(2) มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่
(3) ไผ่ยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ
(4) จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
ตอบ 2 หน้า 29 – 30, (คําบรรยาย) คีท เดวิส (Keith Davis) กล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์เพื่อเป็น แนวคิดพื้นฐานในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ไว้ 4 ประการ ดังนี้
1 บุคคลย่อมมีความแตกต่าง มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว จึงไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่น ให้ต้องคิดหรือทําทุกอย่างเหมือนตนเอง แต่ควรยอมรับความเป็นปัจเจกบุคคลหรือยอมรับ ตัวตนของตนเองและผู้อื่น ดังคํากล่าวที่ว่า “ไผ่ยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ”, “รู้จักเอาใจ เขามาใส่ใจเรา” และ “ลางเนื้อชอบลางยา”
2 การศึกษาบุคคลในลักษณะผลรวม จึงไม่ควรตัดสินบุคคลแค่ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง

3 พฤติกรรมของบุคคลย่อมมีสาเหตุ มนุษย์จึงต้องการแรงจูงใจ (Motivation) อันเป็นพื้นฐาน ไปสู่การจูงใจบุคคลอื่นให้คล้อยตาม หรือจูงใจให้บุคคลเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานได้
4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จะมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันโดยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ สิทธิด้านมนุษยชนของสหประชาชาติ จึงไม่ควรแบ่งแยกชนชั้น แต่ควรยกย่องให้เกียรติและ ยอมรับนับถือกัน ดังคํากล่าวที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

9 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของมนุษยสัมพันธ์
(1) แต่ละบุคคลมีลักษณะของมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตัวเอง
(2) มนุษยสัมพันธ์เป็นศาสตร์และศิลป์
(4) ไม่มีใครมีมนุษยสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ
(3) มนุษยสัมพันธ์เป็นทักษะที่ติดตัวบุคคลมา
ตอบ 3 หน้า 3, 15, (คําบรรยาย) ลักษณะของมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
1 มนุษยสัมพันธ์เกิดจากการ สร้างของบุคคล ไม่ใช่ทักษะความสามารถที่ติดตัวมาแต่กําเนิด ไม่ใช่คุณลักษณะที่ถ่ายทอดทาง กรรมพันธุ์ และไม่ใช่เป็นพรสวรรค์ของบุคคล
2 การสร้างมนุษยสัมพันธ์อาจสูญสลายไปได้ หากไม่รู้จักพัฒนาความสัมพันธ์ให้คงอยู่กับตัวเราตลอดไป
3 มนุษยสัมพันธ์เป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์
4 แต่ละบุคคลมีลักษณะของมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง แต่มีไม่เหมือนกันหรือ ไม่เท่าเทียมกัน
5 ไม่มีใครมีมนุษยสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ

10 บุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์จะมีลักษณะอย่างไร
(1) มีพฤติกรรมที่สุภาพอ่อนน้อม
(2) พูดจาไพเราะน่าฟัง
(3) แสดงพฤติกรรมได้ตามวัตถุประสงค์
(4) แสดงพฤติกรรมได้สอดคล้องกับสถานการณ์
ตอบ 4 หน้า 1, (คําบรรยาย) คุณลักษณะของบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์นั้นย่อมจะเข้าใจในเรื่องของการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมีทักษะในการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่เหมาะสมกับบุคคลและ สอดคล้องกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังต้องรู้จักกาลเทศะและปรับตัวให้เข้ากับ สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

11 พื้นฐานการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี คือความสัมพันธ์ในลักษณะใด
(1) ความพึงพอใจ
(2) ความนับถือ
(3) ความศรัทธา
(4) ความเกรงใจ
ตอบ 1 หน้า 18, 217, (คําบรรยาย) การสื่อสารแบบมนุษยสัมพันธ์ ถือเป็นการสื่อสารที่ต้องอาศัย ความเข้าใจและความพึงพอใจระหว่างกันเป็นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี นอกจากนี้ ยังต้องอาศัยความไว้วางใจ (Trust) ของคู่สื่อสารเพื่อนําไปสู่มนุษยสัมพันธ์อีกด้วย

12 ข้อใดคือปัจจัยที่นายจ้างต้องการให้ศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตจากกรณีฮอธอร์น
(1) ความต้องการของคนงาน
(2) ความสัมพันธ์ของคนงาน
(3) ระยะเวลาหยุดพักในการทํางาน
(4) การรวมกลุ่มของคนงาน
ตอบ 3 หน้า 13 – 14, (คําบรรยาย) ศาสตราจารย์เอลตัน เมโย (Elton Mayo) เป็นหัวหน้าคณะผู้ที่
ศึกษากรณีฮอธอร์น (Hawthorne Studies) คือ การศึกษาปัจจัยแห่งประสิทธิภาพของการ ทํางานในโรงงานแห่งหนึ่ง โดยศึกษาปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ ระยะเวลา หยุดพักในการทํางาน และแสงสว่างหรืออุณหภูมิในที่ทํางาน รวมทั้งศึกษาปัจจัยด้านทัศนคติ ของลูกจ้างที่มีต่อนายจ้าง (ส่วนปัจจัยที่ไม่ได้ตั้งใจศึกษา คือ การรวมกลุ่มของคนงานที่ไม่เป็น ทางการ แต่ปัจจัยดังกล่าวดึงดูดความสนใจของคณะผู้ศึกษาวิจัย จึงทําการศึกษาต่อ)

13 ข้อใดเป็นข้อค้นพบจากกรณีฮอธอร์น
(1) ผลผลิตของคนงานที่ได้หยุดพักระหว่างการทํางานกับที่ไม่ได้หยุดพักไม่แตกต่างกัน
(2) ผลผลิตจะลดลงตามความเข้มของแสงสว่างที่ลดลง
(3) คนงานมีทัศนคติที่ดีกับนายจ้างที่ควบคุมงานอย่างใกล้ชิด
(4) การรวมกลุ่มของคนงานอย่างไม่เป็นทางการ ไม่มีผลต่อการเพิ่มผลผลิต
ตอบ 1 หน้า 13 – 14 ข้อค้นพบจากกรณี Hawthorne Studies แบ่งออกเป็น 5 ประเด็น คือ
1 ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสงสว่าง แต่จะไม่ลดลงเมื่อความเข้มของแสงสว่างลดลง
2 ผลผลิตของคนงานที่ได้หยุดพักระหว่างการทํางานกับที่ไม่ได้หยุดพักไม่แตกต่างกัน
3 คนงานจะมีทัศนคติที่ดีต่อนายจ้างหรือผู้บริหารที่ให้อิสระในการทํางาน
4 มีการรวมกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการของคนงาน ซึ่งมีความสําคัญอย่างมากต่อการเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการทํางาน
5 กลุ่มคนงานที่รวมตัวอย่างไม่เป็นทางการมีความขัดแย้งกับกลุ่มที่เป็นทางการ ดังนั้นสิ่งที่เสนอแนะให้นายจ้างทํา คือ ปรับปรุงวิธีการติดต่อสื่อสารในการทํางานระหว่างนายจ้าง กับลูกจ้างคนงาน ซึ่งส่งผลให้การสื่อสารดีขึ้นและผลผลิตของโรงงานสูงขึ้น ฯลฯ

14 ข้อใดคือข้อเสนอแนะแก่นายจ้างจากกรณีฮอธอร์น
(1) เพิ่มค่าตอบแทน
(2) เพิ่มสวัสดิการ
(3) ปรับปรุงวิธีการสื่อสารในการทํางาน
(4) ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทํางาน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 13 ประกอบ

15 สายใยรักในครอบครัว แสดงถึงปัจจัยใดที่ทําให้บุคคลมีความสามารถในด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) สภาพแวดล้อม
(2) การอบรมสั่งสอน
(3) ทัศนคติ
(4) ประสบการณ์ที่ได้รับ
ตอบ 1 หน้า 15, (คําบรรยาย) ปัจจัยที่ทําให้บุคคลมีความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ ได้แก่
1 สภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยเริ่มแรก เช่น สายใยรักในครอบครัว ความรักความเอาใจใส่ ในครอบครัว การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ฯลฯ
2 การอบรมสั่งสอน เช่น การรับฟังความรู้หรือข้อแนะนําเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออก ที่เหมาะสมจากพ่อแม่ ครู และญาติพี่น้อง ฯลฯ
3 ประสบการณ์ที่ได้รับ เช่น ปฏิกิริยาตอบกลับ ปฏิกิริยาป้อนกลับ หรือปฏิกิริยาโต้ตอบ (Feedback) จากคู่สื่อสารหรือคนรอบตัว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สื่อสาร และคําวิพากษ์ วิจารณ์จากบุคคลอื่น

16 ความเชื่อของบุคคล แสดงถึงอุปสรรคข้อใดในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
(1) ความแตกต่างด้านประสบการณ์
(3) ความแตกต่างด้านความคิดเห็น
(2) ความแตกต่างด้านภูมิหลัง
(4) ความแตกต่างด้านผลประโยชน์
ตอบ 3 หน้า 16, 79, (คําบรรยาย) สาเหตุที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น คือ
1 ความแตกต่างด้านประสบการณ์และภูมิหลัง เช่น อายุ เพศ อาชีพ การศึกษา สถานภาพ ทางเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ
2 ความแตกต่างด้านความคิดเห็น เป็นความแตกต่างของสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาของ บุคคลในลักษณะที่เป็นนามธรรม เช่น ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และรสนิยม ฯลฯ ซึ่งหากไม่ยอมรับกันแล้ว ความเข้าใจระหว่างกันก็จะเกิดขึ้นได้ยาก

3 ความแตกต่างด้านผลประโยชน์ คือ ผลประโยชน์ขัดกัน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในรูปของสิ่งของ วัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง ลาภ ยศ ฯลฯ มักทําให้เกิดความไม่พอใจและความแตกแยกได้ง่าย เพราะธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ยอมเสียเปรียบผู้อื่น

ข้อ 17. – 19. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Motivation
(2) Communication
(3) Trust
(4) Self Disclosure

17 การทําให้สมาชิกในสังคมมีทัศนคติตรงกัน ต้องอาศัยองค์ประกอบใด
ตอบ 1 หน้า 18, (คําบรรยาย) การจูงใจ (Motivation) ถือเป็นคุณสมบัติที่นักมนุษยสัมพันธ์จึงสร้าง ให้เกิดขึ้นกับตนเอง เพราะมีส่วนสําคัญมากในการกระตุ้นให้แต่ละบุคคลมีความกระตือรือร้น และแสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้การจูงใจยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และมีผลต่อความสําเร็จขององค์กร ดังนั้นสมาชิกในสังคมจึงจําเป็นต้องสร้างแรงจูงใจต่อกัน เพื่อกระตุ้นให้มีทัศนคติตรงกัน มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน มีระเบียบ และมีความรับผิดชอบ

18 องค์ประกอบใดแสดงถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์
ตอบ 2 หน้า 17 การติดต่อสื่อสาร (Communication) ถือว่ามีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้าง มนุษยสัมพันธ์ จนมีผู้เปรียบว่าการติดต่อสื่อสารเป็นหัวใจของมนุษยสัมพันธ์ เพราะการสื่อสาร คือ สิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ (Communication is the human connection) เป็นเครื่องมือที่ทําให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น เนื่องจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวเรา กับบุคคลอื่นต้องกระทําผ่านการติดต่อสื่อสาร

19 การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นผลมาจากองค์ประกอบใด
ตอบ 4 หน้า 18, 55, (คําบรรยาย) การเปิดเผยตนเอง (Self Disclosure) เป็นขั้นตอนที่ช่วยพัฒนา ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพราะเป็นการแสดงออกถึงสิ่งที่อยู่ภายในตัวเราให้ผู้อื่นได้ทราบ เช่น อารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ ความคิดเห็น และปฏิกิริยาโต้ตอบที่มีต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นการเปิดเผยตนเองจึงทําให้คู่สื่อสารรู้จักและเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ทําให้สามารถคาดคะเนความคิด รวมทั้งเป็นตัวกําหนดพฤติกรรมการสื่อสารกับผู้อื่นให้ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ

20 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์
(1) มักง่าย
(2) ชอบการผจญภัย
(3) ไม่ชอบซ้ำเติม
(4) ไม่ชอบการถูกบังคับ
ตอบ 3 หน้า 23 – 24 ลักษณะทั่วไปตามธรรมชาติของมนุษย์ที่คล้ายคลึงกัน มีดังนี้
1 อิจฉาริษยา ไม่ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าตน
2 มีสัญชาตญาณแห่งการทําลายล้าง
3 ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
4 มีความต้องการทางเพศ
5 หวาดกลัวภัยอันตรายต่าง ๆ
6 กลัวความเจ็บปวด
7 โหดร้าย ชอบซ้ำเติม
8 ชอบความสะดวกสบาย มักง่าย ไม่ชอบระเบียบ และไม่ชอบการถูกบังคับ
9 ชอบความตื่นเต้น ชอบการผจญภัย ฯลฯ

ข้อ 21. – 23. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ขงจื้อ
(2) เม่งจื่อ
(3) ซุ่นจื้อ
(4) เก้าจื๊อ

21 คํากล่าวที่ว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล” สอดคล้องกับแนวคิดของใคร ตอบ 4 หน้า 26, 28, (คําบรรยาย) เก้าอื้อ มองว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ดีและไม่ชั่ว ซึ่งเปรียบ ได้กับกระแสน้ำที่รวนเร (ไม่รู้จักทิศทาง) โดยถ้าเปิดทางทิศตะวันออกน้ําก็จะไหลไปทางทิศตะวันออก แต่ถ้าเปิดทางทิศตะวันตกน้ำก็จะไหลไปทางทิศตะวันตก จึงสอดคล้องกับความเชื่อ ของนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมที่ว่า มนุษย์เกิดมาไม่ดีและไม่เลว เมื่อเกิดมาแล้วจะดีหรือ ไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผลิตผลของสิ่งแวดล้อม ดังคําพังเพยที่กล่าวว่า คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล

22 นักปรัชญาท่านใดมีแนวคิดที่ว่า การเปลี่ยนแปลงคนอื่นเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ
ตอบ 1 หน้า 32, (คําบรรยาย) ขงจื้อ กล่าวว่า “เราไม่สามารถห้ามนกบินข้ามหัวเราได้ แต่เราสามารถ ทําให้นกไม่ขี้รดหัวเราได้ด้วยการหาหมวกมาใส่” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ ที่ให้ความสําคัญกับการยอมรับธรรมชาติของผู้อื่น คือ ถ้าเราต้องการจะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น ได้อย่างมีความสุขแท้จริงแล้ว ก็สมควรแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ถูกต้อง โดยปรับปรุงแก้ไข ปัญหาที่ตนเอง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุหรือต้นเหตุ ดีกว่าที่จะไปแก้ไขหรือพยายามเปลี่ยนแปลงบุคคลอื่นซึ่งเป็นเรื่องยาก และเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า

23 นักปรัชญาท่านใดเชื่อว่า มนุษย์เกิดมามีสติปัญญาที่ทําให้สามารถพัฒนาตนเองจากความหยาบกระด้าง ที่ติดตัวมา
ตอบ 3 หน้า 26 ซุ่นจื้อ มองว่า ธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนไม่ดีเป็นทุนเดิมติดตัวมา แต่การที่มนุษย์ เป็นคนดี เพราะสภาพแวดล้อมที่ดีพัฒนามนุษย์ให้เป็นคนดีขึ้นมาได้ และท่านยังมีความเห็นว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสติปัญญาและความหยาบกระด้าง ซึ่งสติปัญญานี้สามารถพัฒนาสภาพหยาบกระด้างที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ให้มาเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพอันงดงามและสมบูรณ์ได้ด้วยการฝึกอบรม

24 ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของเม่งจื๊อข้อใดที่แสดงว่า มนุษย์มีลักษณะมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง
(1) การมีมนุษยธรรม
(2) ความอ่อนน้อมถ่อมตน
(3) การยึดหลักศีลธรรม
(4) การรู้จักแยกแยะผิดถูก
ตอบ 2หน้า 26, (คําบรรยาย) เม่งจื้อ มีความเชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้นจะมีความดี ที่ติดตัวมาโดยกําเนิด ซึ่งได้แก่
1 มีความรู้สึกเมตตากรุณา หมายถึง ความมีมนุษยธรรม
2 มีความรู้สึกละอายและรังเกียจต่อบาป หมายถึง การยึดมั่นในหลักศีลธรรมความดีงาม
3 มีความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตน หมายถึง การปฏิบัติตนอันเหมาะสม ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะ ที่แสดงถึงการมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง
4 มีความรู้สึกในสิ่งที่ถูกและผิด หมายถึง ความมีสติปัญญารู้จักแยกแยะผิดถูก ไม่เห็นกงจักร เป็นดอกบัว

ข้อ 25 – 26. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) กลุ่มปัญญานิยม
(2) กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(3) กลุ่มมนุษยนิยม
(4) กลุ่มจิตวิเคราะห์

25 นักจิตวิทยากลุ่มใดเชื่อว่า มนุษย์เป็นผลิตผลของสิ่งแวดล้อม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ

26 หลักการของมาสโลว์สอดคล้องกับแนวคิดกลุ่มใด
ตอบ 3 หน้า 28, (คําบรรยาย) กลุ่มมนุษยนิยม ได้แก่ โรเจอร์ (Roger) และมาสโลว์ (Maslow) เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นดีได้ด้วยตนเอง หรือมนุษย์ดีโดยกําเนิด ซึ่งพฤติกรรมของ มนุษย์เป็นผลิตผลมาจากการตอบสนองความต้องการ (Needs) พื้นฐานของตนเอง และ ความต้องการของมนุษย์นี่เองที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา

ข้อ 27. – 29. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) บุคคลย่อมมีความแตกต่าง
(2) การศึกษาบุคคลในลักษณะผลรวม
(3) พฤติกรรมของบุคคลย่อมมีสาเหตุ
(4) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

27 หลักการด้านสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับแนวคิดข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 8 ประกอบ

28 การยอมรับตัวตนของตนเองและผู้อื่น เป็นผลมาจากแนวคิดข้อใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 8 ประกอบ

29 แนวคิดข้อใดนําไปจูงใจบุคคลอื่นได้
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 8 ประกอบ

ข้อ 30 – 31. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X
(2) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y
(3) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Z
(4) ธรรมชาติของมนุษย์ในด้านมานุษยวิทยา

30 การมอบรางวัลพนักงานดีเด่น เป็นการจูงใจบุคลากรที่สอดคล้องกับแนวคิดใด
ตอบ 2 หน้า 30 – 31, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y มีลักษณะทั่วไป คือ
1 การออกแรงกายและการใช้สมองในการทํางาน เป็นของธรรมดาเหมือนกับการเล่นหรือ การพักผ่อน ซึ่งจะทําให้มนุษย์มีทัศนคติที่ดี เกิดความรักในงาน พึงพอใจและมีความสุข ในการทํางาน
2 บุคคลจะทํางานในหน้าที่ด้วยการสั่งงานและควบคุมตนเอง
3 ควรใช้แรงเสริมทางบวกเป็นสิ่งตอบแทนเพื่อจูงใจให้บุคคลทํางาน คือ การยกย่องชมเชย การให้รางวัลเพื่อเป็นกําลังใจกับผลสําเร็จของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีโอกาส แสดงผลงานและความสามารถในการทํางานตามที่เขาต้องการ
4 บุคคลจะพยายามเรียนรู้ โดยการยอมรับตามเงื่อนไข และแสวงหาความรับผิดชอบ ฯลฯ

31 แนวคิดใดเชื่อว่า มนุษย์มีความตั้งใจทํางานที่รับผิดชอบเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย
ตอบ 3 หน้า 31 ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี 7 ของเรดดิน เชื่อว่า มนุษย์มีความซับซ้อน แต่จะมีลักษณะทั่วไป คือ
1 มีความตั้งใจทํางานที่ตนรับผิดชอบเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย
2 มีสติปัญญา มีวุฒิภาวะ และมีเหตุผลของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการทํางาน
3. ยอมรับพฤติกรรมความดีและไม่ดี อันเกิดจากการกระทําของตนเอง สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม
4 มนุษย์ทุกคนจะต้องติดต่อเกี่ยวข้องและพึ่งพาอาศัยกัน โดยได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม

ข้อ 32. – 36. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Survival Needs
(2) Primary Needs
(3) Secondary Needs
(4) Wants

32 บุคคลที่มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย เป็นผลมาจากความต้องการข้อใด
ตอบ 4 หน้า 34, (คําบรรยาย) ความปรารถนา (Wants) เป็นความต้องการที่ไม่ใช่ความจําเป็น ขั้นต้นสําหรับมนุษย์ เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องการจะมี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ตาย จึงเป็นสิ่งที่ทําให้ มนุษย์เกิดกิเลสตัณหา และใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เช่น ซื้อรถยนต์ เสื้อผ้าสวย ๆ หรือบ้านสวย ๆ ฯลฯ แต่ความปรารถนาก็เป็นแรงจูงใจสําคัญที่ทําให้บุคคลทํางาน และ อาจจะทํางานหนักกว่าคนอื่นเพราะความปรารถนาในสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นหากมนุษย์ใช้ชีวิต ตามแนวคิดความพอเพียงก็จะช่วยลดความต้องการขั้นนี้ได้

33 พฤติกรรมที่ทําเพื่อความอยู่รอด แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 1 หน้า 34 การอยู่รอด (Survival Needs) เป็นแรงจูงใจสําคัญอันหนึ่งที่ทําให้บุคคลทํางาน ซึ่งการอยู่รอดมิใช่ความปรารถนาของมนุษย์ แต่เป็นพฤติกรรมที่ทําเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เช่น เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพง โดยแท้จริงแล้วบุคคลบางคนไม่ได้ต้องการปลูกผัก และพืชสวนครัว แต่เนื่องจากว่าเงินที่หามาได้จากการทํางานอย่างอื่นไม่เพียงพอที่จะหาซื้อ ก็เลยต้องทําเพื่อการอยู่รอด เพราะถ้าไม่ทําก็อาจไม่มีจะกิน

34 ความต้องการข้อใดมีลักษณะที่ไม่ชัดเจน
ตอบ 3 หน้า 34 – 35 ความต้องการทางด้านสังคม (Social Needs) หรือความต้องการทางด้าน จิตวิทยา (Psychological Needs) หรือบางทีเรียกว่า “ความต้องการขั้นรอง” (Secondary Needs) มีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้
1 มักเกิดจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
2 แต่ละบุคคลจะมีความต้องการและความเข้มข้นไม่เท่ากัน
3 เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้แต่ในบุคคลคนเดียวกัน
4 มักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลอยู่ในกลุ่มสังคมมากกว่าอยู่คนเดียว
5 บุคคลมักไม่แสดงออกอย่างเปิดเผยและซ่อนเร้นความต้องการในขั้นนี้ไว้
6 บางครั้งมีลักษณะเป็นนามธรรมและไม่ชัดเจน ไม่เหมือนความต้องการด้านร่างกาย
7 มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์

35 ความต้องการข้อใดมักเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในกลุ่มสังคม
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 34 ประกอบ

36 ความต้องการการดํารงเผ่าพันธุ์สืบต่อไป แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 2 หน้า 34 – 35, 38 ความต้องการทางด้านสรีระหรือร่างกาย (Physiological Needs) หรือ บางทีเรียกว่า “ความต้องการขั้นต้น” (Primary Needs) เป็นความต้องการที่จําเป็นขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์ ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการทางกายหรือทางวัตถุตามแนวคิดของศาสนาพุทธ คือ ความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์ ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค นอกจากนั้นความต้องการในขั้นนี้ยังรวมถึงความต้องการทางเพศเพื่อการดํารงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์สืบต่อไป การขับถ่าย และการนอนหลับพักผ่อนเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยด้วย

37 ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง ที่น่าสัมผัส แสดงถึงความต้องการข้อใดในหลักศาสนาพุทธ
(1) กามตัณหา
(2) ภวตัณหา
(3) วิภวตัณหา
(4) อิฏฐารมณ์
ตอบ 1 หน้า 36 กามตัณหา คือ ความอยากได้อยากมีในกาม ได้แก่ อยากได้อยากมีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ (มโนภาพ) ที่น่าใคร่ น่าชอบใจ รวมทั้งอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข เพื่อมาบํารุงความสุขและความสําราญของตน จึงเป็นความอยากด้วยอํานาจตัณหา เป็นความหิวทางจิตใจ หรือเป็นความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุดและไม่รู้จักพอ

38 ความต้องการมีสุขภาพที่ดี แสดงถึงความต้องการข้อใดในหลักศาสนาพุทธ
(1) อายุ
(2) วัณโณ
(3) สุขัง
(4) พลัง
ตอบ 4 หน้า 35 – 37 ความต้องการทางจิตใจหรือนามธรรมตามแนวคิดของศาสนาพุทธ
ซึ่งมีแทรกอยู่ในตอนท้ายของบทสวดมนต์และให้พรของพระสงฆ์ มีความหมายดังนี้
1 อายุ หมายถึง ให้มีอายุยืนยาว
2 วัณโณ หรือวรรณะ หมายถึง ให้มีสุขภาพผิวพรรณสวยงาม สง่า สมประกอบ
3 สุขัง หรือสุข หมายถึง ให้มีความสุขทั้งทางกายและทางใจ
4 พลัง หมายถึง ให้มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

ข้อ 39 – 44. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Esteem and Status Needs
(2) Belonging and Social Activity Needs
(3) Safety and Security Needs
(4) Physiological Needs

39 การสร้างมนุษยสัมพันธ์ เป็นการตอบสนองความต้องการข้อใด
ตอบ 2 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ความต้องการความรักและร่วมกิจกรรมในสังคม (Belonging and Social Activity Needs) คือ ความต้องการแสดงตัวและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม โดยจะเกิดขึ้นในลักษณะของการยอมปฏิบัติตนตามกรอบกติกามารยาทของสังคม หรือการมี พฤติกรรมตามที่สังคมกําหนด ได้แก่ การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย จารีตประเพณี และ ค่านิยม (เช่น การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา ฯลฯ) เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคม และให้สังคมยอมรับเข้าเป็นสมาชิกหรือเป็นหมู่เป็นพวกเดียวกัน ซึ่งก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ทั้งนี้การสร้างมนุษยสัมพันธ์ของบุคคลก็จัดว่าเป็นการตอบสนองความต้องการในลําดับขั้นนี้

40 นักว่ายน้ำลูกพ่อขุนฯ คว้าเหรียญทอง ทุบสถิติฟรีสไตล์ 400 เมตร กรณีนี้ทําให้ได้รับการตอบสนอง
ความต้องการข้อใด
ตอบ 1 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียงและตําแหน่งหน้าที่ (Esteem and Status Needs) คือ ความต้องการให้สังคมยกย่องนับถือและยอมรับตนว่าเป็นคนสําคัญ ของกลุ่มสมาชิก ซึ่งบุคคลนั้นจะต้องมีองค์ประกอบที่สําคัญ ได้แก่ การมีความรู้ความสามารถ จนประสบผลสําเร็จในกิจการงานด้านต่าง ๆ มีตําแหน่งหน้าที่การงานสูง มีฐานะที่มั่นคง และ มีความเชื่อมั่นหรือมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ฯลฯ ดังนั้นมนุษย์จึงพยายามพัฒนาศักยภาพ ของตนเองให้เหนือกว่าคนอื่น โดยการสร้างสมความรู้ความสามารถ ทําตนให้เป็นที่รู้จัก และ แก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อให้ได้รับความต้องการในขั้นนี้ เช่น การได้รับรางวัลจากการประกวด หรือจากการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ เป็นต้น

41 รัฐบาลทําบัตรสวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อย เพื่อตอบสนองความต้องการข้อใดของประชาชน
ตอบ 3 หน้า 38, (คําบรรยาย) ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง (Safety and Security Needs) ในด้านต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้
1 ด้านอาชีพการงาน ได้แก่ นโยบายการปรับเงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท, นโยบายปรับเงินเดือนข้าราชการเท่ากับเอกชน ฯลฯ
2 ด้านร่างกาย โดยไม่ถูกทําร้ายหรือถูกคุกคาม ได้แก่ การทําประกันชีวิต, การรณรงค์เรื่อง โทรไม่ขับ เมาไม่ขับ, การรณรงค์ให้กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือบ่อย ๆ, การให้ ความคุ้มครองประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ
3 ด้านที่อยู่อาศัย ได้แก่ โครงการฝากบ้านไว้กับตํารวจ, โครงการหอพักติดดาว เพื่อนบ้าน เตือนภัย, การเตรียมกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ําท่วมบ้าน, การติดตั้งกล้องวงจรปิด, การทําประกันอัคคีภัย ฯลฯ
4 ด้านชีวิตความเป็นอยู่และทรัพย์สิน ได้แก่ การทําประกันภัยรถยนต์, นโยบายที่รัฐบาลทํา บัตรสวัสดิการให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อย, นโยบายเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน, นโยบายแก้หนี้ นอกระบบ, นโยบายเรียนฟรี 15 ปี

42 นโยบายประชานิยมของพรรคการเมืองต่าง ๆ ฯลฯ การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 39 ประกอบ

43 ความต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพเหนือผู้อื่น แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 40 ประกอบ

44 ผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวในไต้หวัน มีความต้องการเร่งด่วนในข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 36 ประกอบ

ข้อ 45 – 47. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) มีการแบ่งชนชั้น
(2) โครงสร้างแบบหลวม ๆ
(3) โครงสร้างสังคมเกษตร
(4) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ

45 คนไทยมักใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ เป็นผลมาจากโครงสร้างใดของสังคม
ตอบ 3 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างสังคมเกษตร คือ มีลักษณะการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่เคร่งครัดในเรื่องเวลาหรือไม่ให้ความสําคัญกับเวลาที่นัดหมาย ไม่เร่งรีบหรือมีพิธีรีตอง ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่หักหาญน้ําใจกัน และไม่ให้ความสําคัญกับวัตถุ โดยถือว่าไม่มีเงินก็อยู่ได้ ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง

46 สังคมไทยอยู่ร่วมกันด้วยความประนีประนอม รอมชอม เป็นผลมาจากโครงสร้างใด
ตอบ 2 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างแบบหลวม ๆ คือ บุคคลที่อยู่ในสังคมสามารถเลือกปฏิบัติ ในสิ่งที่ตนพอใจได้ โดยไม่ต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบมากนัก ทําให้คนไทยมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ยึดอะไรเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว และชอบประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถปรับตัว และอยู่ร่วมกันด้วยความประนีประนอม รอมชอม และอะลุ้มอล่วยต่อกัน แต่ก็มีข้อเสียคือ ขาดระเบียบวินัยในการดําเนินชีวิต ไม่เคารพกฎกติกา และมักทําอะไรตามอําเภอใจ เช่น ทําอะไรตามใจคือไทยแท้, ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ฯลฯ

47 คนไทยมักยอมรับชะตากรรม เป็นผลมาจากโครงสร้างใดของสังคม
ตอบ 4 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ คือ ความเปลี่ยนแปลง ของชีวิตความเป็นอยู่และสถานะทางสังคมมีน้อย โดยความเปลี่ยนแปลงมักเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในเมืองหลวงมากกว่าในชนบท จึงทําให้คนไทยขาดความทะเยอทะยาน ขาดความกระตือรือร้น ไม่ชอบการแข่งขัน ยอมรับชีวิตตามสภาพที่เป็นอยู่ ยอมรับในชะตากรรมที่เกิดขึ้น และยอมรับ ใน “ชะตาฟ้าลิขิต” หรือ “บุญทํากรรมแต่ง” เช่น แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งวาสนาแข่งไม่ได้ เกิดมาจนก็ต้องจนต่อไป ฯลฯ

ข้อ 48. – 50. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ขาดระเบียบวินัย
(2) กตัญญู
(3) เคารพผู้อาวุโส
(4) เชื่อถือโชคลาง

48 คํากล่าวที่ว่า “ผู้ใหญ่อาบน้ําร้อนมาก่อน” สอดคล้องกับค่านิยมใดของสังคมไทย
ตอบ 3 หน้า 48 – 49, (คําบรรยาย) ค่านิยมของสังคมไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีอยู่มากมาย ดัง
1 นับถือศาสนาพุทธ คือ ยึดถือหลักคําสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อในบาปบุญคุณโทษ และ ยอมรับในกฎแห่งกรรม เช่น ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว, คิดดี ทําดี, เวรกรรมมีจริง, เวรย่อม ระงับด้วยการไม่จองเวร ฯลฯ
2 เคารพผู้อาวุโส คือ การปฏิบัติต่อผู้อาวุโสในทางที่ดี เชื่อฟังคําสั่งสอน ยกย่องและให้เกียรติ ผู้อาวุโส ดังคํากล่าวที่ว่า “ผู้ใหญ่อาบน้ําร้อนมาก่อน”
3 กตัญญู คือ ความเป็นผู้รู้คุณที่บุคคล สังคม หรือประเทศชาติได้ทําให้แก่ตน ดังคํากล่าวที่ว่า ตักน้ำจากบ่อ อย่าลืมคนขุดบ่อ”
4 เชื่อถือโชคลาง คือ ชอบเสี่ยงโชค ชอบอธิษฐานขอสิ่งต่าง ๆ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
5 ขาดระเบียบวินัย คือ ไม่เคร่งครัดในกฎระเบียบ ชอบทําตามอําเภอใจ ฯลฯ

49 คนไทยชอบทําตามอําเภอใจ เป็นผลมาจากค่านิยมใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 46 และ 48 ประกอบ

50 คนไทยชอบอธิษฐานขอให้สมหวังในสิ่งที่คิด เป็นผลมาจากค่านิยมใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 48 ประกอบ

51 ข้อใดแสดงถึงธรรมชาติของคนไทย
(1) มีความอดทน
(2) มีน้ำใจ
(3) มีความรับผิดชอบ
(4) มีความกระตือรือร้น
ตอบ 2 หน้า 23 – 24, 49, (คําบรรยาย) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวถึง ธรรมชาติของคนไทยที่ สอดคล้องกับหลักพรหมวิหารสี่ว่า คนไทยมีความเมตตา คือ มีความรักและเอ็นดู ปรารถนา จะให้ผู้อื่นเป็นสุข และมีความกรุณา คือ มีความสงสารหวั่นไหว หรือมีน้ําใจช่วยเหลือเมื่อเห็น ผู้อื่นได้รับความทุกข์ แต่ขาดมุทิตา คือ ขาดความมีจิตยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญของผู้อื่น หรือ มีความอิจฉาริษยา ไม่ชอบเห็นใครดีกว่าตนเอง และขาดอุเบกขา คือ ขาดความมีใจเป็นกลาง ขาดความวางเฉย เพราะคนไทยหากไม่ยินดีก็ยินร้ายในเรื่องของคนอื่น

52 คนไทยมักสงสารและช่วยเหลือผู้ประสบชะตากรรม แสดงถึงหลักพรหมวิหารสี่ข้อใด
(1) เมตตา
(2) กรุณา
(3) มุทิตา
(4) อุเบกขา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51 ประกอบ

53 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ถูกต้องในการศึกษาตนเอง
(1) มองตนเองอย่างมั่นใจเพื่อจะได้เห็นคุณค่าของตน
(2) มองตนเองอย่างถ่อมตนเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
(3) มองตนเองให้ได้ข้อมูลตามตัวตนที่เป็นจริง
(4) มองตนเองจากปฏิกิริยาป้อนกลับของผู้อื่น
ตอบ 3 หน้า 53 แนวคิดที่ถูกต้องในการศึกษาตนเอง คือ การพยายามทําความรู้จักตนเองให้ใกล้เคียง กับข้อเท็จจริงของตัวเราให้มากที่สุด อย่าเข้าข้างหรือมีอคติกับตนเอง ดังนั้นจึงควรมองตนเอง ตามข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่เพื่อให้ได้ข้อมูลตามตัวตนที่แท้จริง โดยควรพิจารณาดูว่าสิ่งที่เราคิดว่า ตัวเราเป็นคนอย่างไรนั้น สอดคล้องกับสิ่งที่บุคคลอื่นมองเราหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นว่าเราสามารถรู้จักตนเองได้อย่างถูกต้อง

54 การสํารวจลักษณะต่าง ๆ ของตนเอง แสดงถึงขั้นตอนใดในการศึกษาตนเอง
(1) To Know
(2) To Understand
(3) To Accept
(4) To Develop
ตอบ 1หน้า 53 – 54, 78, (คําบรรยาย) การศึกษาตนเองตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนตามลําดับ ดังนี้
1 การรู้จักตนเอง (To Know) คือ การสํารวจลักษณะต่าง ๆ ของตนเองว่าเป็นอย่างไร
2 การเข้าใจตนเอง (To Understand) คือ การวิเคราะห์ตนเองเพื่อหาสาเหตุว่า ทําไมเราจึงมีลักษณะเช่นนั้น ซึ่งจะนําไปสู่ขั้นตอนการยอมรับตนเอง
3 การยอมรับตนเอง (To Accept) คือ การยอมรับหรือรับรู้ศักยภาพและข้อดีข้อด้อย ของตนเอง ซึ่งเมื่อยอมรับได้แล้วก็จะนําไปสู่ขั้นตอนการพัฒนาตนเอง
4 การพัฒนาตนเอง (To Develop) คือ การแก้ไขปรับปรุงจุดด้อย จุดอ่อน และ ข้อบกพร่องของตัวเอง ซึ่งถือเป็นเป้าหมายและประโยชน์ของการศึกษาตนเอง

ข้อ 55 – 56. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม

(1) Self Awareness
(2) Self Acceptance
(3) Self Actualization
(4) Self Disclosure

55 บุคคลที่เชื่อในการตัดสินใจของตนเอง เป็นผลมาจาก Self Concept ข้อใด
ตอบ 3 หน้า 54 – 55, (คําบรรยาย) แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การรู้จักตนเอง (Self Actualization) จะมีลักษณะสําคัญ 3 ประการ ดังนี้
1 เต็มใจที่จะยืนหยัดอยู่ด้วยตนเอง
2 ไว้วางใจตนเองหรือเชื่อมั่นในตนเอง คือ เชื่อในการตัดสินใจของตนเอง
3 เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อพบว่าการตัดสินใจของตนนั้น เป็นสิ่งที่ผิด

56 ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นําไปสู่ Self Concept ข้อใด
ตอบ 1 หน้า 17, 53 – 54 แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การรู้ตนเอง (Self Awareness) คือ การรู้ตนเองว่าเป็นใคร มีลักษณะอย่างไร ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจาก ประสบการณ์ และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือการได้รับปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสาร แต่มี

ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรมองตนเองสูงหรือต่ํากว่าความเป็นจริง เพราะจะมีผลต่อประสิทธิภาพ
ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับตนเองและการรู้ตนเองนี้จึงเป็นพื้นฐานในการเปิดตนเองของการสื่อสาร ออกสู่การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น

ข้อ 57 – 58. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม

(1) Labeling
(2) Social Comparison
(3) Interpersonal Relationships
(4) Significant Others

57 การเรียนรู้ตนเองจากการยอมรับของบุคคลที่ใกล้ตัว สอดคล้องกับแนวคิดข้อใด
ตอบ 4 หน้า 60 การยอมรับของบุคคลที่มีความสําคัญต่อเรา (Significant Others) คือ การเรียนรู้ ตนเองจากการยอมรับหรือไม่ยอมรับของบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับตนเอง เช่น พ่อ แม่ ครู พี่น้อง คนรัก ฯลฯ ซึ่งมีความสําคัญมาก เพราะการที่เราให้ความสําคัญกับบุคคลที่ใกล้ชิดนั้นจะทําให้เรามีความรู้สึกพึงพอใจหรือเจ็บปวดมากหากได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบจากบุคคลใกล้ชิดเหล่านี้ ดังนั้นการกระทําต่าง ๆ ของบุคคลใกล้ชิดจึงสามารถกําหนดพฤติกรรมของเราได้

58 นักศึกษาหญิงไม่ใส่กางเกงเมื่อเข้าห้องสอบ เป็นการเรียนรู้ตนเองที่สอดคล้องกับแนวคิดใด
ตอบ 1 หน้า 59, (คําบรรยาย) การกําหนดของสังคม (Labeling) คือ การปฏิบัติตัวและมีพฤติกรรม ไปตามบรรทัดฐานของสังคม ได้แก่ กฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกามารยาทต่าง ๆ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ค่านิยมของสังคม ฯลฯ โดยกําหนดตัวเองจากการกระทําของเราว่าเข้ากับ ข้อกําหนดของสังคมในรูปแบบใด ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1 สิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น การคดโกง ความก้าวร้าว การทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ
2 สิ่งที่สังคมยอมรับ เช่น การเคารพกฎหมาย การแต่งกายที่สุภาพเหมาะกับกาลเทศะ การประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม ฯลฯ

ข้อ 59. – 60. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม

(1) ศึกษาและประเมินตนเอง
(2) ยอมรับและตระหนักในความต้องการที่จะปรับปรุงตนเอง
(3) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง
(4) วางแผนในการปรับปรุงตนเอง

59 การทําความดีเพื่อให้สังคมยกย่อง แสดงถึงขั้นตอนใดในการพัฒนาตนเอง
ตอบ 3 หน้า 64, (คําบรรยาย) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง ถือเป็นการตอบสนองความต้องการ ส่วนบุคคลของตนเอง ดังนี้
1 ความต้องการมีบุคลิกภาพที่ดีและเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม ทําให้บุคคลต้องการที่จะปรับปรุงตนเองในระดับสูง เช่น การดูแลรูปร่างผิวพรรณให้มีเสน่ห์ ฯลฯ
2 ความต้องการเป็นที่ชื่นชมหรือได้รับการยกย่องจากสังคม คือ ต้องการให้เป็นที่รัก ที่ชื่นชม
และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม
3 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพและสังคม ทําให้บุคคลต้องปรับปรุงตนเองด้าน การแต่งกาย กิริยามารยาท ความขยัน ความตั้งใจ และมีความรับผิดชอบในการทํางาน 4. ความต้องการอํานาจ เพื่อให้มีสง่าราศี น่าเชื่อถือ และน่ายําเกรง

60 การหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนํามาปรับปรุงตนเอง แสดงถึงขั้นตอนใดในการพัฒนาตนเอง
ตอบ 2 หน้า 63 – 64 ยอมรับและตระหนักในความต้องการที่จะปรับปรุงตนเอง คือ การยอมรับข้อบกพร่องและตระหนักถึงความสําคัญของบุคลิกภาพว่า เป็นเครื่องมือที่นําไปสู่การยอมรับ นับถือ ศรัทธา ความสัมพันธ์อันดี และความสําเร็จ พร้อมกันนี้ก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนข้อบกพร่องของตนเอง โดยการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ และวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อนํามาปรับปรุงตนเอง เช่น ปรึกษาแพทย์ ผู้รู้ อ่านหนังสือ บทความ หรือเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพและศักยภาพตามความเหมาะสม

ข้อ 61. – 62. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Inferior
(2) Superior
(3) Equal
(4) Introvert

61 ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เป็นผลมาจากการยอมรับตนเองตามแนวคิดใด
ตอบ 3 หน้า 60, (คําบรรยาย) Equal คือ การมีความคิดและยอมรับตามหลักการสิทธิมนุษยชนว่า เราเท่าเทียมหรือเสมอภาคเท่ากับผู้อื่น โดยจะมีความเป็นเพื่อนกัน มีความคล้ายคลึงกันหรือ มีอะไรที่ใกล้เคียงกัน ทําให้มีความสบายใจในการแสดงออก กล้าพูดแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ส่งผลให้คู่สื่อสารสามารถเปิดเผยตนเอง สามารถสื่อสารและแสดงออกตามความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างอิสระ จึงเป็นการยอมรับตนเองของคู่สื่อสารที่นําไปสู่สัมพันธภาพที่ดี และสามารถที่จะ สร้างมนุษยสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพูดคุยอย่างสนิทสนมในหมู่เพื่อนฝูง ฯลฯ

62 รัฐบาลมุ่งมั่นทํางานหนักเพื่อประชาชน แสดงถึงการยอมรับตนเองของรัฐบาลตามแนวคิดใด
ตอบ 1 หน้า 60, (คําบรรยาย) Inferior คือ การยอมรับว่าตนเองต่ําต้อยกว่าคนอื่น หรือมีสถานภาพ ต่ํากว่าคู่สื่อสาร ซึ่งจะทําให้มีความมั่นใจในตัวเองต่ํา และตีคุณค่าของตนเองต่ํากว่าผู้อื่น ดังนั้น จึงทําให้เกิดพฤติกรรมอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับฟังความคิดเห็น ให้เกียรติ เชื่อฟัง คล้อยตาม โดยไม่โต้แย้ง เพื่อให้ผู้ที่สื่อสารด้วยเกิดความพึงพอใจ เกิดความประทับใจ และรู้สึกว่าตนเอง มีคุณค่า เช่น พฤติกรรมหาเสียงของนักการเมืองหรือรัฐบาลที่เน้นว่าประชาชนสําคัญที่สุด แนวคิดทางธุรกิจที่เน้นว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า ลูกค้าถูกเสมอ”, แนวคิดของเจ้าหน้าที่ตํารวจ ที่ว่า “โรงพักเพื่อประชาชน/ตํารวจ….ผู้รับใช้ชุมชน” และแนวคิดที่ว่า “ข้าราชการ คือ ผู้ที่ทํางานให้ประชาชนชื่นใจ” ฯลฯ

63 ข้อใดไม่ใช่แนวทางการพัฒนาตนเองในด้านการพูด
(1) ไม่พูดเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
(2) ใช้อารมณ์ในการพูดเพื่อให้คล้อยตาม
(3) พูดในเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ
(4) พูดคุยด้วยเรื่องที่สนุกสนาน
ตอบ 2หน้า 66 – 68 แนวทางการพัฒนาตนเองในด้านการพูดหรือสนทนา มีดังนี้
1 พูดจาด้วยถ้อยคําที่สุภาพ เหมาะกับกาลเทศะและบุคคล
2 มีน้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยน
3 ฝึกการใช้คําถามให้เหมาะสม
4 พูดในเรื่องที่ผู้ฟังชอบ พอใจและสนใจ ไม่ควรพูดในสิ่งที่ตนเองถนัด ชอบและสนใจ
5 เลือกส่วนดีเด่นของคู่สนทนามาพูด
6 พูดอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ในการพูด
7 ใช้ศิลปะในการสนทนา เช่น ไม่อธิบายรายละเอียดของแต่ละเรื่องมากเกินไป, ไม่ควรขัดคอ หรือโต้แย้งความคิดของคู่สนทนาทันที, หลีกเลี่ยงการพูดเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น, รู้จักสรรหา เรื่องที่สนุกสนานมาพูดคุยกันในวงสนทนา, ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสนทนา ฯลฯ

64 การสื่อสารที่นําไปสู่มนุษยสัมพันธ์ ต้องทําให้ผู้รับสารเกิดความรู้สึกในข้อใด
(1) เกรงใจ
(2) พึงพอใจ
(3) เชื่อใจ
(4) นับถือ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ

65 การรู้จักเกรงใจผู้อื่น นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว
(2) ฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา
(3) ฝึกใช้อํานาจเหนือผู้อื่นให้น้อยลง
(4) ฝึกให้มีความมั่นใจในตนเอง
ตอบ 2 หน้า 71, (คําบรรยาย) ฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา คือ การแสดงออกถึงการมีวินัย มีความซื่อสัตย์ และมีความรับผิดชอบ โดยเริ่มต้นจากการไม่เป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง และทําตัวให้เป็นคนที่เตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ ไม่เป็นคนประมาทหรือละเลยต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้แบบไม่คาดฝัน รวมทั้งฝึกเป็นคนเคารพต่อกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และรู้จัก เกรงใจผู้อื่น ไม่ทําให้ผู้อื่นรอคอยโดยไม่จําเป็น

66 ขวัญเป็นคนเจ้าอารมณ์และตามใจตนเอง แสดงถึงการขาดการพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการรักตนเอง
(2) ฝึกความอดทนและเข้าใจผู้อื่น
(3) ฝึกเป็นผู้มีใจสงบ
(4) ฝึกการเอาชนะตนเอง
ตอบ 4 หน้า 69 – 70 ฝึกการเอาชนะตนเอง คือ ความสามารถในการควบคุมตนเองได้ในเรื่องของ อารมณ์และความอยาก เนื่องจากปกติแล้วคนเรามักชอบตามใจตนเอง เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ โลภมาก และสุรุ่ยสุร่าย ซึ่งในทางจิตวิทยาถือว่าการเอาชนะตนเองจะทําให้บุคคลกลายเป็น คนที่มีเหตุผลมากขึ้น เพราะเป็นการควบคุมพฤติกรรมการแสดงออกของตนเองให้ทําสิ่งต่าง ๆ ไปตามเป้าหมายในทางที่ถูกต้อง ดีงาม และเหมาะสม

67 การยอมรับว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้กับทุกคน นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น
(2) ฝึกใช้อํานาจเหนือผู้อื่นให้น้อยลง
(3) ฝึกการให้อภัยคนอื่น
(4) ฝึกการคิดอย่างมีเหตุผล
ตอบ 3 หน้า 73 ฝึกการให้อภัยผู้อื่นและตนเอง คือ การไม่ลงโทษผู้อื่นและตนเองเมื่อกระทําผิดพลาด ทั้งนี้เพราะการไม่ให้อภัยผู้อื่นและตนเองย่อมทําให้เกิดความทุกข์ทรมานใจ ดังนั้นบุคคลจึงควร พิจารณาตนเองว่า การกระทําของตนเองเหมาะสมถูกต้องหรือไม่ เมื่อกระทําอะไรลงไปแล้ว ผู้อื่นพอใจหรือไม่ และเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นก็ควรยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นแล้วพยายามลืมโดยถือว่าความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน

68 การรู้จักพูดคําว่า “ขอบคุณ” “ขอโทษ” อย่างเหมาะสม นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกเป็นคนอารมณ์ดีและเบิกบาน
(2) ฝึกสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้น
(3) ฝึกการให้อภัยคนอื่น
(4) ฝึกการให้ในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการ
ตอบ 2 หน้า 74 ฝึกการสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น จะมีเคล็ดลับอยู่หลากหลายวิธี เช่น การแต่งกายงดงาม การพูดจาไพเราะอ่อนหวาน มีน้ําเสียงนุ่มนวล และการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น แต่สิ่งที่สําคัญที่สุด คือ การทําให้ผู้อื่นรู้สึกตัวว่าเขาเป็นคนสําคัญ มีคุณค่า มีความหมาย นอกจากนี้ยังควรรู้จักหมั่นฝึกพูดคําว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ในโอกาสที่เหมาะสม และถูกต้องตามกาลเทศะ เป็นต้น

69 การรู้จักมองโลกในแง่ดีและมีความพึงพอใจในผู้อื่น นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น
(2) ฝึกสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้น
(3) ฝึกเป็นคนอารมณ์ดีและเบิกบาน
(4) ฝึกการรักตนเอง
ตอบ 3 หน้า 71 ฝึกเป็นคนอารมณ์ดีและเบิกบาน คือ การลดความโกรธและความไม่พอใจให้น้อยลง โดยการฝึกมองโลกในแง่ดี มีความหวังดี มีความพึงพอใจผู้อื่น ไม่เคร่งเครียดหรือยึดกฎเกณฑ์ มากเกินไป หมั่นคบคนที่มีอารมณ์ดี อารมณ์ขัน ฝึกให้พอใจกับสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ และรู้จัก ให้ความรักแก่เพื่อนมนุษย์ในสังคม

70 ข้อใดแสดงถึงเป้าหมายในการศึกษาบุคคลอื่นตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) To Know
(2) To Understand
(3) To Accept
(4) To Develop
ตอบ 3 หน้า 78, (คําบรรยาย) เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์สําคัญในการศึกษาบุคคลอื่นตามแนวคิด ทางด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ การยอมรับ (To Accept) ตัวตนตามลักษณะที่เป็นจริงหรือตาม ธรรมชาติของบุคคลอื่น โดยต้องตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐานสําคัญที่ว่ามนุษย์มีความแตกต่างกันซึ่งเมื่อเรายอมรับในเรื่องความแตกต่างของบุคคลได้แล้ว ก็จะทําให้การสร้างความสัมพันธ์นั้น ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งยังทําให้ตัวเราปรับตัวเข้ากับบุคคลนั้น ๆ ได้อีกด้วย

ข้อ 71 – 72. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ทัศนคติ
(2) ค่านิยม
(3) การรับรู้
(4) ความเชื่อ

71 ผลสํารวจโพลต่าง ๆ แสดงถึงสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาข้อใด
ตอบ 1 หน้า 43, 79 – 81, (คําบรรยาย) ทัศนคติ (Attitude) เป็นท่าทีหรือความรู้สึกที่แตกต่างกัน ของแต่ละบุคคล ซึ่งจะแสดงออกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางบวกหรือลบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พอใจหรือไม่พอใจ ชอบหรือไม่ชอบ ฯลฯ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่มีการประเมินว่า ถูกหรือผิด ซึ่งเมื่อเรามีทัศนคติในทิศทางใดก็จะมีพฤติกรรมการแสดงออกที่สอดคล้องกับ ทิศทางนั้น เช่น ผลสํารวจความคิดเห็นของประชาชนจากโพลต่าง ๆ เป็นต้น

72 การยอมรับบาปบุญคุณโทษ แสดงถึงสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาข้อใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 48 ประกอบ

ข้อ 73 – 77. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Open Area
(2) Blind Area
(3) Hidden Area
(4) Unknown Area

73 ความรู้สึกอิจฉาเพื่อนที่แสดงออกไม่ได้ หมายถึงพฤติกรรมส่วนใด
ตอบ 3 หน้า 84 บริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) หมายถึง บริเวณที่เป็นพฤติกรรมลึกลับ หรือเป็น ความรู้สึกนึกคิดหรือความลับบางอย่างที่บุคคลเก็บกดซ่อนไว้ในใจ ไม่เปิดเผยหรือไม่แสดงออก ให้ผู้อื่นรู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่จะรู้ และพฤติกรรมนี้มักจะเป็นพฤติกรรมภายในของบุคคล เช่น ความจํา ความเชื่อ ทัศนคติ ฯลฯ ซึ่งบุคคลจะไม่แสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกไปเพราะต้องการ ปิดบัง และอาจแสดงพฤติกรรมอย่างอื่นกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เช่น บางคนอาจจะมี ความรู้สึกหมั่นไส้ อิจฉา และไม่พอใจผู้อื่น แต่ก็เสแสร้งยิ้มและพูดโกหกแสดงความยินดี ฯลฯ

74 พฤติกรรมส่วนโตมักเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในภาวะคับขัน
ตอบ 4 หน้า 84, (คําบรรยาย) บริเวณมืดมน (Unknown Area) หมายถึง บริเวณพฤติกรรมลึกลับ หรือความรู้สึกฝังลึกบางอย่างที่บุคคลแสดงออกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตนเองและบุคคลอื่นก็ไม่เคย รู้จัก ไม่เคยเข้าใจมาก่อน จึงเป็นพฤติกรรมที่ทําให้บุคคลไม่รู้จักตนเองมากที่สุด และคนอื่น ก็ไม่รู้จักตัวเราด้วย เพราะอาจจะเป็นทักษะความสามารถพิเศษ หรือพรสวรรค์ในด้านต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึงและยังค้นไม่พบ จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่คับขันบางอย่างมา กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมนี้ เช่น พรสวรรค์ทางด้านดนตรี ศิลปะ กีฬา ฯลฯ

75 พฤติกรรมส่วนใดมีความจําเป็นต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ตอบ 1 หน้า 83 – 85, (คําบรรยาย) บริเวณเปิดเผย (Open Area) หมายถึง บริเวณพฤติกรรม ภายนอกที่บุคคลตั้งใจแสดงออกอย่างเปิดเผย มักจะเกิดขึ้นในการสื่อสารระหว่างบุคคลแบบเผชิญหน้า ซึ่งทําให้คู่สื่อสารรับรู้พฤติกรรมและเจตนาของแต่ละฝ่ายได้ ทั้งนี้เมื่อคู่สื่อสารเริ่มรู้จักหรือยังไม่คุ้นเคยกัน บริเวณเปิดเผยจะลดลงเพราะยังสงวนท่าทีกันอยู่ แต่หากคู่สื่อสาร สนิทสนมคุ้นเคยและจริงใจต่อกัน บริเวณเปิดเผยก็จะเปิดกว้างมากขึ้น โดยพฤติกรรมส่วนนี้ จะเป็นประโยชน์และมีความจําเป็นต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เพราะทําให้คู่สื่อสารมีปฏิกิริยา โต้ตอบต่อกัน มีการเปิดเผยตนเอง และจริงใจต่อกันมากขึ้น ดังคํากล่าวที่ว่า “มองตาก็รู้ใจ”

76 ปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสารจะช่วยลดพฤติกรรมส่วนใด
ตอบ 2 หน้า 83, 86 การพยายามลดพฤติกรรมบริเวณจุดบอด (Blind Area) ให้น้อยลง โดยใช้ วิธีการขยายพฤติกรรมบริเวณเปิดเผยตามแนวนอน (1) คือ การรับข้อมูลย้อนกลับหรือ ปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสาร รับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่าง ๆ หรือให้คนอื่นบอก ข้อบกพร่องของตนเองแล้วนํามาแก้ไข

77 บุคคลประเภทเปิดเผยจะมีพฤติกรรมส่วนใดน้อยที่สุด
ตอบ 4 หน้า 88 บุคคลประเภทเปิดเผยจะมีพฤติกรรมบริเวณเปิดเผย (Open Area) มากที่สุด แต่พฤติกรรมบริเวณมืดมน (Unknown Area) จะน้อยที่สุด คือ บุคคลจะเปิดเผยมาก มีความจริงใจ พูดถึงส่วนดีและส่วนบกพร่องของตนเอง และรับฟังคําวิจารณ์ของผู้อื่น พร้อมกับนํามาแก้ไขปรับปรุงตนเองให้มีความเจริญงอกงามเป็นที่ปรารถนาของสังคม

ข้อ 78 – 82. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) พฤติกรรมแบบพ่อแม่
(2) พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่
(3) พฤติกรรมแบบเด็ก
(4) พฤติกรรมที่ขัดแย้ง

78 เสียงเพลง เสียงดนตรี แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 3 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบเด็ก (Child Ego State : C) มักแสดงออกใน ลักษณะที่มีจินตนาการสร้างสรรค์ มีอารมณ์สุนทรีย์หรืออารมณ์ศิลปิน สดชื่น มีชีวิตชีวา และ กล้าหาญ ซึ่งจะทําให้โลกนี้มีสิ่งแปลกใหม่ มีสิ่งประดิษฐ์ที่งดงามแปลกตา มีนักเขียน นักกลอน มีผลงานทางด้านศิลปะต่าง ๆ และทําให้โลกมีชีวิตชีวาด้วยเสียงเพลง เสียงดนตรี เสียงหัวเราะ การแสดงท่าทางขบขัน ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความดื้อรั้น สนใจแต่ ความสุขของตนเอง เอาแต่ใจ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ไม่ควบคุมตนเอง แต่คําพูดที่แสดงออก จะเปิดเผย อิสระ และตรงไปตรงมา

79 ผู้บริหารที่ยึดถือกฎเกณฑ์เคร่งครัด แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 2 หน้า 89, 92 ผู้บริหารที่มีพฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ (Adult Ego State : A) จะมีลักษณะดังนี้
1 มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการทํางานตามข้อมูลและข้อเท็จจริง
2 ยึดถือว่างาน สําคัญกว่าการเล่น
3 ยึดความถูกต้องและระเบียบแบบแผนมากกว่าความคิดสร้างสรรค์
4 เป็นคนมีเหตุผล 5. เคร่งครัดในกฎระเบียบและกฎเกณฑ์

80 บุคลิกภาพแบบหุ่นยนต์ เป็นผลมาจากพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 2 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ (Adult Ego State : A) เป็นพฤติกรรมที่ มักแสดงออกในลักษณะตรงไปตรงมา มีเหตุผล ยึดข้อเท็จจริง ไม่ใช้อารมณ์หรือความคิดเห็น ส่วนตัว เมื่อพูดถึงสิ่งใดก็จะใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผลเป็นเครื่องตัดสิน ดังนั้นจึงมักเปรียบเทียบ บุคลิกภาพแบบนี้ว่าคล้ายกับหุ่นยนต์ ไม่มีความรู้สึกส่วนตัว เห็นทุกสิ่งเป็นไปตามผลกรรม

81 การให้กําลังใจแก่บุคคลที่เผชิญกับปัญหา แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 1 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบพ่อแม่ (Parent Ego State : P) จะแสดงออก ในลักษณะของพฤติกรรมทางบวก เช่น ความรักใคร่ อบรมสั่งสอน ห่วงใย หวังดี ให้กําลังใจ ปลอบประโลม ฯลฯ ในขณะเดียวกันก็จะมีลักษณะของพฤติกรรมทางลบด้วย เช่น เกรี้ยวกราด ดุด่าว่ากล่าว ใช้อํานาจสั่งการเหนือผู้อื่น ตําหนิติเตียน ประชดประชัน เยาะเย้ย เจ้ากี้เจ้าการ และชอบควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่น ฯลฯ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการยึดถือระเบียบแบบแผน จารีตประเพณี และเชื่อถือคติโบราณ จึงมักทําให้มีบุคลิกภาพแบบหัวโบราณ ไม่ยอมรับการ เปลี่ยนแปลงของสังคม แต่จะมีความเมตตากรุณา

82 บุคคลที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเอง เป็นผลมาจากพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78 ประกอบ

83 บุคคลที่ต้องการกําลังใจจากผู้อื่น เป็นผลมาจากการรับรู้ข้อใด
(1) I’m not OK., You’re OK.
(2) I’m OK., You’re not OK.
(3) I’m not OK., You’re not OK.
(4) I’m OK., You’re OK.
ตอบ 1หน้า 93 ฉันเลวแต่คุณดี (I’m not OK, You’re OK.) เป็นทัศนคติที่แสดงถึงภาวะจิตของ คนที่ไม่มีความสุข จึงเป็นบุคคลที่ต้องการกําลังใจ ต้องการความสนใจและเอาใจใส่จากผู้อื่น หรือผู้บังคับบัญชา ดังนั้นจึงมักมองตนเองในแง่ลบ ชอบตําหนิตนเอง แต่กลับมองผู้อื่นในแง่ดี และยกย่องชมเชยผู้อื่น เช่น คําพูดที่ว่า “ฉันเป็นดอกหญ้าที่ไร้ค่าแต่เธอเป็นดอกฟ้าผู้สูงส่ง “ทําอย่างไรฉันถึงจะเก่งได้เหมือนเธอ” เป็นต้น

84 ตามแนวคิดของเชลตัน บุคคลที่โกรธง่ายหายเร็ว จะมีบุคลิกภาพแบบใด
(1) ผอม
(2) ล่ำสัน
(3) อ้วน
(4) สมส่วน
ตอบ 3 หน้า 95 เชลดัน (Sheldon) ได้จัดแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1 รูปร่างอ้วน (Endomorphy) มักชอบสนุกสนานร่าเริง และโกรธง่ายหายเร็ว ฯลฯ
2 รูปร่างล่ำสัน (Mesomorphy) แข็งแรง มีร่างกายสมส่วน เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว มีน้ําใจเป็นนักกีฬา มีเพื่อนมาก และชอบช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ
3 รูปร่างผอม (Ectomorphy) มักเคร่งขรึม เอาการเอางาน ใจน้อย ชอบวิตกกังวล ไม่ชอบการต่อสู้ และชอบอยู่ตามลําพัง ฯลฯ

85 ข้อใดแสดงถึงบุคลิกภาพแบบ Introvert
(1) อารมณ์ดี
(2) ขี้อาย
(3) ชอบทํากิจกรรม
(4) ปรับตัวเก่ง
ตอบ 2หน้า 95, (คําบรรยาย) คาร์ล จี. จุง (Cart G. Jung) แบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท คือ
1 ชอบเก็บตัว (Introvert) เป็นพวกเชื่อมั่นในตนเอง ยึดตัวเองเป็นใหญ่ ขี้อาย เก็บความรู้สึก ชอบอยู่ตามลําพัง ปรับตัวยาก เห็นแก่ตัว ฯลฯ
2 ชอบแสดงตัว (Extrovert) เป็นพวกไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน เปิดเผย เข้าสังคมเก่ง อารมณ์ดี ชอบทํากิจกรรม ฯลฯ
3 ประเภทกลาง ๆ (Ambivert) เป็นพวกไม่เก็บตัวหรือแสดงตัวมากเกินไป ปรับตัวเก่งหรือ ปรับตัวได้ตามสถานการณ์ และมักจะมีนิสัยเรียนรู้การอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จึงเป็นบุคลิกภาพที่แสดงถึงทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

ข้อ 86 – 88. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) เต่า
(2) ฉลาม
(3) สุนัขจิ้งจอก
(4) นกฮูก

86 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว
ตอบ 2 หน้า 96 – 97 ผู้บริหารประเภทชอบใช้อํานาจ (Authoritarian Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “ฉลาม” คือ บุคคลที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ดุร้าย ชอบใช้อํานาจเหนือลูกน้องในการแก้ปัญหา โดยไม่คํานึงถึงความรู้สึกของคนอื่น เน้นความต้องการของตนเอง และมักจะแก้ปัญหาด้วยการ กล้าเผชิญหน้า กล้าที่จะฟาดฟันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง และช่วงชิงผลประโยชน์ของ ผู้อื่น จึงมักนําไปสู่การต่อสู้และทําร้าย

87 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่รู้จักควบคุมอารมณ์และรับฟังผู้อื่น
ตอบ 4 หน้า 97, (คําบรรยาย) ผู้บริหารประเภทใจเย็น (Team Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “นกฮูก” คือ เป็นบุคคลที่พยายามศึกษาความต้องการของตนเองและผู้อื่น แล้วแก้ปัญหา ความขัดแย้งด้วยการควบคุมอารมณ์ รับฟังลูกน้องด้วยความเข้าใจ พูดจาไพเราะ และแสดง ความคิดเห็นเพื่อแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาหลาย ๆ ทาง จึงถือว่าเป็นผู้บริหารที่มี บุคลิกภาพและแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ในการทํางาน ทําให้สามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับลูกน้องได้ดีที่สุด

88 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่ขาดความรับผิดชอบ
ตอบ 1 หน้า 96 ผู้บริหารประเภทไม่เอาไหน (Impoverished Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “เต่า” เพราะไม่กล้าเผชิญปัญหา และเมื่อมีความผิดเกิดขึ้นก็มักจะโทษผู้อื่นหรือโยนความผิดให้กับ ลูกน้อง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ยอมตามผู้อื่นด้วยความขุ่นเคืองใจ มองผู้อื่นในแง่ร้าย โดยจะบริหารงานแบบสบาย ๆ ไม่สนใจลูกน้องและงาน ชอบอยู่เฉย ๆ ใครจะทําอะไรก็ทําไป และเมื่อเกิดความผิดพลาดจะไม่รับผิดชอบไม่ว่ากรณีใด ๆ

ข้อ 89. – 90. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) การรับรู้ทางสังคมด้วยความประทับใจ
(2) การรับรู้ทางสังคมโดยการประเมินคนอื่น
(3) อิทธิพลทางสังคม
(4) ความสัมพันธ์ทางสังคม

89 การคล้อยตามผู้อื่น สอดคล้องกับแนวคิดใด
ตอบ 3 หน้า 131 – 132, (คําบรรยาย) อิทธิพลทางสังคมจะเน้นพฤติกรรมของบุคคลที่เปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง เนื่องจากการกระทําของบุคคลอื่น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1 การส่งเสริมโดยสังคม (Social Facilitation) ได้แก่ การอยู่ในสายตาของผู้อื่นจะทําให้ การทํางานมีประสิทธิภาพดีขึ้น
2 การคล้อยตามผู้อื่น หรือการถูกโน้มน้าวใจให้คล้อยตาม ได้แก่ การคล้อยตามบุคคลที่ เราเชื่อถือหรือสนิทสนม การคล้อยตามบรรทัดฐาน และการคล้อยตามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีเรื่องของอํานาจเข้ามากํากับ

90 การให้ความสําคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่คําพูด แสดงถึงแนวคิดใด
ตอบ 1 หน้า 127 – 129, 155, (คําบรรยาย) การรับรู้ทางสังคมโดยความรู้สึกประทับใจมักจะ เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ ๆ
1 ความประทับใจครั้งแรก ประสบการณ์ครั้งแรก หรือปรากฏการณ์ครั้งแรกของคู่สื่อ คือ การรับรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบบุคคลที่เราพบเห็นเป็นครั้งแรก
2 ปรากฏการณ์ภายนอก คือ บุคลิกภาพภายนอกของบุคคล ได้แก่ รูปร่างหน้าตา
3 การสื่อสารเชิงอวัจนะหรือพฤติกรรมการแสดงออกทางอวัจนภาษา (ภาษากาย) คือ การสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คําพูด เช่น สีหน้า สายตา อากัปกิริยาท่าทางและการสัมผัส น้ําเสียง เป็นต้น

91 คนจนที่ใช้ชีวิตด้วยความพอเพียง ทําให้ได้รับการยอมรับจากสังคมตามแนวคิดข้อใด
(1) อ้างความด้อยของตนเอง
(2) อ้างชื่อเสียงของกลุ่ม
(3) การสวมบทบาทตามเพศ
(4) การสวมบทบาทตามคุณลักษณะที่ไม่พึงประสงค์
ตอบ 4 หน้า 135, (คําบรรยาย) การสวมบทบาทตามคุณลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาหรือไม่พึงประสงค์ ของตน ได้แก่ ความพิการทั้งทางกายและทางจิต ความยากจน และความชรา โดยบุคคลที่มีคุณลักษณะเหล่านี้มักจะถูกบังคับให้กระทําตามบทบาทของตนทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เพื่อให้ผู้อื่นประทับใจและสังคมยอมรับ เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้อาวุโสที่เข้าวัดเพื่อฟังพระเทศน์ ธรรมะ, คนชราที่เข้าวัดเพื่อทําบุญ ตักบาตร ปฏิบัติธรรม และฝึกนั่งสมาธิอย่างสม่ําเสมอ คนจนที่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ฯลฯ

ข้อ 92 – 94. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) การถดถอย
(2) การเก็บกด
(3) การถอยหนี
(4) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน

92 การลดความวิตกกังวลโดยแสดงพฤติกรรมเหมือนเด็ก ๆ เป็นการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 1 หน้า 138, (คําบรรยาย) การถดถอย (Regression) คือ กลไกที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลตกอยู่ใน ภาวะวิตกกังวลและไม่อาจจะขจัดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นได้ จึงหาทางออกโดยการย้อนไป แสดงพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ เพื่อลดความวิตกกังวล เช่น ร้องไห้ ปัสสาวะรดที่นอน กระทืบเท้า แลบลิ้น อ่านหนังสือการ์ตูน ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่บุคคลเคยทําในอดีตสมัยเด็ก ๆ และนํากลับมาใช้ใหม่เมื่อตนเองมีปัญหาในการปรับตัว

93 พฤติกรรม “ปากปราศรัย น้ําใจเชือดคอ” แสดงถึงการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 4 หน้า 137 – 138, (คําบรรยาย) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน (Reaction – Formation) คือ กลไกที่ แสดงปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง เพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นและเพื่อป้องกันความรู้สึกผิดหรือการที่บุคคลมีความคิดเห็นที่เป็นอันตรายหรือไม่เป็นที่ปรารถนา ต่อบุคคลอื่น ซึ่งจัดว่าเป็นลักษณะการแสดงออกแบบ “หน้าเนื้อใจเสือ” หรือ “ปากปราศรัย น้ําใจเชือดคอ” เช่น เมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนบ้านทําเป็นคุยด้วยกันอย่างมีมิตรภาพ แต่ลับหลัง กลับมีพฤติกรรมจ้องทําลายเป็นต้น

94 คนที่ชอบตื่นเวทีจะหลีกเลี่ยงการพูดในที่ชุมนุมชน แสดงถึงการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 3 หน้า 137, (คําบรรยาย) การถอยหนี (Withdrawal) คือ กลไกที่บุคคลพยายามหลีกหนีจาก สถานการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา หรือหนีไปจากสิ่งที่ทําให้เกิดความไม่สบายใจ เช่น คนที่พูดไม่เก่ง มีอาการประหม่า หรือชอบตื่นเวทีจะหลีกเลี่ยงการพูดในที่ชุมนุมชน ฯลฯ

95 ทักษะการปรับตัวให้เข้ากับสังคม เป็นผลมาจากวัตถุประสงค์ของการสื่อสารระหว่างบุคคลข้อใด
(1) เพื่อค้นพบตัวเอง
(2) เพื่อค้นพบโลกภายนอก
(3) เพื่อสร้างความสัมพันธ์
(4) เพื่อการโน้มน้าวใจ
ตอบ 1 หน้า 151 เพื่อค้นพบตัวเอง (Personal Discovery) คือ การได้มีโอกาสสื่อสารกับบุคคลอื่น โดยเฉพาะการสื่อสารแบบเผชิญหน้า จะทําให้เราได้รู้จักตนเองด้วยการสังเกตจากปฏิกิริยา ป้อนกลับของผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลให้ได้รู้ความคิดของตนเองว่าแตกต่างจากผู้อื่นในสังคมอย่างไร ดังนั้นการสื่อสารระหว่างบุคคลจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคมรวมทั้งได้พิจารณาข้อบกพร่องและข้อได้เปรียบของตน

96 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องของการสื่อสารเชิงอวัจนะ
(1) การสื่อสารเชิงอวัจนะแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
(2) การสื่อสารเชิงอวัจนะมีแทรกอยู่ในทุกสถานการณ์ของการสื่อสาร
(3) การสื่อสารเชิงอวัจนะเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของผู้ส่งสาร
(4) การสื่อสารเชิงอวัจนะแสดงออกได้อย่างไม่มีขอบเขตจํากัด
ตอบ 3 หน้า 153 – 154 แนวคิดที่ถูกต้องของการสื่อสารเชิงอวัจนะหรือการใช้อวัจนสาร (Nonverbal Communication) มีดังนี้
1 แสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
2 มีแทรกอยู่ในทุกสถานการณ์ของการสื่อสารที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าพฤติกรรมนั้น
3 มีความครอบคลุมกว้างขวางแทบจะไม่มี ขอบเขตจํากัด (ไร้ขอบเขต) ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางด้านน้ําเสียง ท่าทาง หรือสีหน้า จะแสดงโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
4 มีหน้าที่ในการสื่อสาร ทําให้การสื่อสารชัดเจนถูกต้องและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
5 อาจเกิดขึ้น โดยไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ตัว ทําให้ขาดการควบคุม และแสดงออกได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
6. สามารถส่งผลกระทบและมีอิทธิพลต่อผู้รับสารมากกว่าวจนสารถึง 5 เท่า ฯลฯ

97 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องในการใช้ Eye Contact
(1) ผู้พูดจะสบตากับผู้ฟังมากกว่าผู้ฟังสบตากับผู้พูด
(2) เพศหญิงมีการสบตามากกว่าเพศชาย
(3) ผู้พูดควรสบตากับผู้ฟังประมาณ 60% ของเวลาในการสนทนา
(4) คู่สื่อสารจะสบตากันน้อยลงเมื่อสนทนาเรื่องส่วนตัว

ตอบ 1 หน้า 156 แนวคิดที่ถูกต้องในการประสานสายตาหรือการสบตา (Eye Contact) ของคู่สื่อสาร มีดังนี้
1 ผู้ฟังจะประสานสายตากับผู้พูดมากกว่าผู้พูดประสานสายตากับผู้ฟัง
2 การประสานสายตาจะมีน้อยลงเมื่อสนทนาเรื่องส่วนตัว
3 เพศหญิงจะประสานสายตามากกว่าเพศชาย และในบางวัฒนธรรมจะห้ามการประสาน สายตา เช่น เด็กจะไม่ค่อยกล้าจ้องหน้าประสานสายตากับผู้ใหญ่
4 คู่สนทนาที่เป็นมิตรจะประสานสายตากันมากกว่าคู่สนทนาที่เป็นศัตรูหรือเป็นปฏิปักษ์กัน
5 ผู้พูดควรประสานสายตากับผู้ฟังประมาณ 60 – 70% ของช่วงเวลาที่มีการสนทนากัน

ข้อ 98. – 99. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Empathy
(2) Positiveness
(3) Supportiveness
(4) Equality

98 คู่สื่อสารที่ไม่เป็นปฏิปักษ์กัน แสดงถึงพฤติกรรมใดในการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
ตอบ 3 หน้า 162, (คําบรรยาย) การได้รับการสนับสนุน (Supportiveness) คือ การสื่อสารจะ ดําเนินไปได้อย่างสนุกสนานและราบรื่นต่อเมื่อคู่สื่อสารรู้สึกว่า คนที่ตนกําลังสื่อสารด้วยนั้นไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับตน ดังนั้นการสื่อสารที่ดีจึงควรเปิดโอกาสให้คู่สื่อสารแสดงความคิดเห็น ของตนอย่างเสรี และหลีกเลี่ยงความคิดที่ขัดแย้งของแต่ละฝ่ายโดยไม่จําเป็น

99 ความสามารถในการรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่นในสถานการณ์ต่าง ๆ แสดงถึงพฤติกรรมใดในการ
เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
ตอบ 1 หน้า 161 – 162 พฤติกรรมความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) หรือความสามารถในการเอาใจ เขามาใส่ใจเรา คือ ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความสามารถในการรับรู้และเข้าใจถึง ความรู้สึกและความคิดเห็นของคู่สื่อสารในแต่ละสถานการณ์ได้เสมือนเป็นคน ๆ นั้น ซึ่งจะช่วยให้คู่สื่อสารปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสื่อสารของตนให้เป็นที่พอใจซึ่งกันและกันได้

100 การยกย่องชมเชยคู่สื่อสาร เป็นปัจจัยใดในการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
(1) ลักษณะดึงดูดใจของคู่สื่อสาร
(2) ความใกล้ชิดของคู่สื่อสาร
(3) การให้แรงเสริมแก่คู่สื่อสาร
(4) ความคล้ายคลึงกันของคู่สื่อสาร
ตอบ 3หน้า 158, 160 การให้แรงเสริมแก่คู่สื่อสาร (Reinforcement) คือ คนเรามักมีแนวโน้มที่จะสื่อสารกับคนที่ให้สิ่งที่ตนพอใจหรือคนที่ให้แรงเสริมแก่ตน โดยแรงเสริมนั้นอาจเป็นวัตถุสิ่งของ หรือตัวเสริมแรงทางสังคม ได้แก่ การพูดจาไพเราะ การยกย่องชมเชย และการให้เกียรติกัน ซึ่งจะต้องมีลักษณะของความจริงใจ ไม่เสแสร้ง และไม่แอบแฝงผลประโยชน์ เช่น คนเรามัก ไม่อยากสนทนากับเพื่อนที่ชอบขัดคอหรือโต้แย้ง แต่มักชอบพูดคุยกับเพื่อนที่ยินดีและแสดง ความนับถือยกย่องในความสําเร็จของเรา เป็นต้น

 

Advertisement