การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

Advertisement

ข้อ 1. ห้างหุ้นส่วนสามัญนำโชค เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ดำเนินกิจการแบ่งพื้นที่ให้เช่า ค้าขายเป็นห้อง ๆ จำนวน 50 ห้อง ตั้งอยู่ในตลาดตะวันนา บางกะปิ กรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ห้างฯ ได้ทำสัญญาให้นางสาวสาวิตรี มีชัย เช่าค้าขายเป็นรายเดือนเก็บค่าเช่า เดือนละ 15,000 บาท โดยเริ่มเช่าตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2555จนถึง 31 ธันวาคม 2555 ครั้นเมือวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 นางสาวสาวิตรีฯ ไมชำระค่าเช่า จวบจนล่วงเลยมาถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ทางห้างฯ ได้พยายามติดต่อทวงถามหลายครั้งแต่นางสาวสาวิตรีฯ บ่ายเบี่ยงขอเลื่อนมาตลอด และ ยังคงดำเนินการค้าขายของตนเองในห้องเช่าห้องนั้นตลอดมา

จนวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 ทางห้างฯ จึงได้ทวงถามค่าเช่าเป็นหนังสือไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเรียกร้องให้นางสาวสาวิตรีฯ ย้ายออก พร้อมเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนทั้งหมด และแจ้งให้นางสาวสาวิตรีฯ ย้ายออกไปจากห้องเช่านางสาวสาวิตรีฯ ได้รับหนังสือแล้วแต่ยังคงเพิกเฉย ห้างฯ ต้องการฟ้องขับไล่ นางสาวสาวิตรีฯ พร้อมเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระ 2 เดือน จำนวน 30,000 บาท

ทางห้างฯ จึงได้ทำหนังสือ มอบอำนาจให้นายปริญญา บุญชัย เป็นตัวแทนในการดำเนินคดีนี้โดยให้ท่านในฐานะทนายความ ทำการร่างคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องคดีนี้โดยเน้นเฉพาะเนื้อหาคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโดย ไม่คำนึงถึงแบบพิมพ์ศาล

ธงคำตอบ

คำฟ้อง

ข้อ 1. โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนใช้ชื่อว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนำโชค” ดำเนิน กิจการแบ่งพื้นที่ให้เช่าค้าขายเป็นห้อง ๆ จำนวน 50 ห้อง ตั้งอยู่ในตลาดตะวันนา บางกะปิ กรุงเทพมหานคร

ในการฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายปริญญา บุญชัย ดำเนินการฟ้องคดีแทนโจทก์ ราpละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 โจทก์ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าค้าขายเป็นรายเดือน เก็บค่าเช่าเดือนละ 15,000 บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยเริ่มเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือเช่าฉบับลงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 2

ข้อ 3. ครั้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 จำเลยไม่ชำระค่าเช่า จวบจนล่วงเลยมาถึงสิ้นเดือน มิถุนายน2555 โจทก์ได้พยายามติดต่อทวงถามหลายครั้ง แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงขอเลื่อนมาตลอด และยังคงดำเนินการ ค้าขายของจำเลยในห้องเช่าห้องนั้นตลอดมา

จนวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 โจทก์จึงได้ทวงถามค่าเช่าเป็นหนังสือไปรษณีย์ลงทะเบียน ตอบรับเรียกร้องให้จำเลยย้ายออกพร้อมเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนทั้งหมด และแจ้ง ให้จำเลยย้ายออกไปจากห้องเช่า จำเลยได้รับหนังสือแล้วแต่ยังคงเพิกเฉย รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือ ทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และ 4

ข้อ 4. โจทก์ไม่มีทางอื่นใดจะตกลงกับจำเลยได้อีก หากจำเลยยังคงอยู่ในห้องเช่าต่อไปจะทำให้ โจทก์ขาดรายได้เดือนละ 15,000 บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)ดังนั้นโจทก์จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งได้โปรดพิจารณา ขับไล่จำเลย และให้จำเลยขำระค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระโจทก์ 2 เดือน จำนวน 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) แก่โจทก์ด้วย

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

คำขอท้ายฟ้อง

1.         ขอให้จำเลยและบริวารย้ายออกจากห้องเช่าโจทก์พร้อมชำระค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) แก่โจทก์

2.         ขอให้จำเลยชำระค่าเช่าแก่โจทก์เดือนละ 15,000บาท(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน) นับจาก วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะย้ายออก

3.         ขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแก่โจทก์

 

 

ข้อ 2. หากท่านมีหน้าที่ต้องร่างสัญญาเช่าทรัพย์ ท่านมีหลักเกณฑ์วางหัวข้อสำคัญในการร่างไว้อย่างไรให้ยกตัวอย่างอย่างน้อย 4 หัวข้อ

ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์ของหัวข้อสำคัญในการร่างสัญญาเช่าทรัพย์ ได้แก่

1.         ชื่อของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย

2.         เจตนาของคู่สัญญา

3.         รายละเอียดของทรัพย์ที่เช่า

4.         วันเริ่มทำสัญญาและวันสิ้นสุดของสัญญา

5.         หน้าที่และความรับผิดชอบของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย

6.         กรณีที่มีการผิดสัญญาจะบังคับกันอย่างไร

7.         ถ้าร่างสัญญามีสองฉบับและเป็นร่างสองภาษาคือมีทังร่างภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ให้ถือเอาร่างภาษาไทยเป็นข้อปฏิบัติ

8.         หากภาษาที่ร่างเป็นภาษาต่างประเทศ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า ถ้ามีข้อพิพาทเกิดขึ้น ให้ฟ้องที่ศาลในประเทศไทย

 

 

ข้อ 3. ข้อเท็จจริง ตามสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 เวลาประมาณ 22.45 นาฬิกา นายตุ้ย ประเทศเตือน นายวุฒิ ชนะมิตร และนายสมัย มูฮะหมัด ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ไปที่ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 สาขาอ่อนนุช ที่ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

เมื่อไปถึงร้านดังกล่าวนายสมัยได้ไปเฝ้าหน้าร้าน จากนั้นนายตุ้ยและนายวุฒิได้เข้าไปในร้านแล้ว นายตุ้ยใช้อาวุธมีดปลายแหลมยาว 12 นิ้ว จี้ น.ส.สุจินทรา ปั่นคำ พนักงานประจำร้าน พร้อมทั้ง ตะโกนว่า เปิดลิ้นชักและเอาเงินมาให้หมดมิฉะนั้นจะแทงทำร้าย น.ส.สุจินทรา จึงได้เปิดลิ้นชัก ตามคำสั่งของนายตุ้ย หลังจากนั้นนายวุฒิได้หยิบเงินในลิ้นชักไปเป็นจำนวน 1,440 บาท แล้วทั้งคู่ได้วิ่ง ออกไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่บริเวณใกล้เคียงก่อนขับหลบหนีไปพร้อมกับนายสมัย ต่อมา วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เจ้าพนักงานตำรวจจับนายตุ้ยและนายวุฒิได้ พร้อมกับยึดอาวุธมิดปลายแหลมที่ ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระโขนงทำการสอบสวน

ชั้นสอบสวนนายตุ้ยให้การรับสารภาพ ส่วนนายวุฒิให้การปฏิเสธ ระหว่างสอบสวน พนักงานสอบสวนได้นำทั้งสองไปฝากขังไว้ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ.1325/2556 เมื่อสอบสวนเสร็จจึงส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องนายตุ้ย นายวุฒิ และ นายสมัย ไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ แต่นายสมัยนั้นยังจับไม่ได้ จึงออก หมายจับไว้

ข้อกฎหมาย

มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1)       ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2)       ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3)       ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4)       ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ

(5)       ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ      

มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ

ถ้าในการปล้นทรัพย์ ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษ        

ให้นักศึกษาในฐานะพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดีนี้ ซึ่งมีคำสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงานสอบสวนเรียงคำฟ้องนายตุ้ยเป็นจำเลยที่ 1 และนายวุฒิเป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ (เฉพาะภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดีเท่านั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์ คำฟ้องแต่อย่างใด) เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ต่อไป

ธงคำตอบ

ในฐานะพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องนายตุ้ยเป็นจำเลยที่ 1 และ นายวุฒิเป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ดังนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัว มาฟ้องอีกหนึ่งคน โดยมีอาวุธมีดปลายแหลมยาว 12 นิ้ว ติดตัวไปด้วย ได้บังอาจร่วมกันใช้อาวุธมีดที่ติดตัวมา ดังกล่าวจี้ขู่เข็ญ น.ส.สุจินทรา ปั่นคำ ผู้เสียหาย ว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การ ลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้นหรือ ให้พ้นจากการจับกุม แล้วลักเอาเงินจำนวน 1,440 บาท (หนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน) ซึ่งอยู่ในความครอบครอง ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต

เหตุเกิดที่แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2556 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้ พร้อมกับยึดอาวุธมีดปลายแหลมที่ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน

ขั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

อาวุธมีดปลายแหลมของกลาง เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวน จำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.1325/2556 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

Advertisement