การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความและการจัดทําเอกสารทางกฎหมาย

Advertisement

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. หากท่านมีหน้าที่ต้องยกร่างพระราชบัญญัติฉบับหนึ่งที่เกี่ยวกับการชลประทานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่านมีหลักเกณฑ์ในการยกร่างอย่างไร ให้เสนอหลักเกณฑ์มาอย่างน้อยสี่ประการ

ธงคําตอบ

ในกรณีที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องยกร่างพระราชบัญญัติฉบับหนึ่งที่เกี่ยวกับการชลประทานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น ข้าพเจ้ามีหลักเกณฑ์ในการยกร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยพิจารณาถึง หลักเกณฑ์ที่สําคัญหลายประการ เช่น

1 ชื่อของร่างพระราชบัญญัติ

คือจะต้องระบุชื่อของร่างพระราชบัญญัติที่ยกร่าง เพื่อให้ทราบว่าพระราชบัญญัตินี้ มีเนื้อหาหรือสาระที่จะใช้บังคับแก่เรื่องใด เช่น ร่างพระราชบัญญัติการชลประทาน พุทธศักราช 2558 เป็นต้น

2 บันทึกหลักการและเหตุผล

เพื่อเป็นการแสดงขอบเขตและเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัตินี้

3 วันใช้บังคับของพระราชบัญญัติ

เพื่อระบุถึงสภาพบังคับของกฎหมาย (พระราชบัญญัตินี้) ว่าจะให้มีผลใช้บังคับเมื่อใด 4 เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติ

จะต้องมีการจัดแบ่งเนื้อหาออกเป็นหมวดหมู่ตามลําดับความสําคัญเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้ ง่ายต่อการทําความเข้าใจ

5 บทยกเลิกกฎหมาย

ในกรณีที่เป็นการจัดทําร่างพระราชบัญญัติขึ้นใหม่ทั้งฉบับและมีการยกเลิก พระราชบัญญัติเดิม หรือเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติที่ใช้บังคับอยู่บางมาตรา ก็ต้องระบุว่ากฎหมายใด หรือมาตราใดจะไม่ให้มีผลใช้บังคับต่อไป

6 การเสนอร่างพระราชบัญญัติ

จะต้องดูว่าผู้มีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญฯ ฉบับปัจจุบันที่ใช้บังคับ อยู่นั้น ได้แก่บุคคลใดบ้าง

หมายเหตุ ให้นักศึกษายกตัวอย่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นหรือหลักเกณฑ์อื่นที่นักศึกษา เห็นว่าสําคัญอย่างน้อย 4 ประการ

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัด เดชรุ่งเรือง จดทะเบียน ณ สํานักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยมีวัตถุประสงค์ในการซื้อขาย จํานํา จํานองสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ มีนายเดช รุ่งเรือง เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด ลงลายมือชื่อและประทับตราสําคัญของห้างกระทําการแทนห้างหุ้นส่วนจํากัดเดชรุ่งเรืองได้ ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2556 ห้างหุ้นส่วนจํากัด เดชรุ่งเรือง ได้กู้ยืมเงินนายยอด รวยทรัพย์ จํานวน 1,000,000 บาท ตกลงชําระดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละ 15 ต่อปี ชําระดอกเบี้ยทุกวันที่ 10 ของเดือน ทุก ๆ เดือน กําหนดชําระเงินกู้คืนในวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ปรากฏตามสัญญากู้ยืมเงิน ฉบับลงวันที่ 10 ตุลาคม 2556 หลังจากครบกําหนด ชําระเงินกู้คืนแล้ว ปรากฏว่า ห้างหุ้นส่วนจํากัด เดชรุ่งเรือง ไม่ชําระเงินกู้และดอกเบี้ยจํานวน 300,000 บาท คืนให้แก่นายยอด รวยทรัพย์ แต่อย่างใด นายยอด รวยทรัพย์ ได้ทวงถามนายเดช รุ่งเรือง ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการแล้วหลายครั้ง แต่เพิกเฉย นายยอด รวยทรัพย์ จึงได้มอบหมายให้ นักศึกษาในฐานะทนายความยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจํากัด เดชรุ่งเรือง และนายเดช รุ่งเรือง เป็น จําเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อเรียกเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชําระจํานวน 300,000 บาท คืน ให้ร่างคําฟ้องและคําขอท้ายฟ้อง โดยไม่คํานึงถึงแบบพิมพ์ของศาล

ธงคําตอบ

คําฟ้อง

ข้อ 1. ในการฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มอบอํานาจให้ (ชื่อนักศึกษา) เป็นผู้มีอํานาจฟ้องและ ดําเนินคดีแทนโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามสําเนาหนังสือมอบอํานาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1

จําเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจํากัด จดทะเบียนไว้ ณ สํานักงาน ทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ใช้ชื่อว่า “ห้างหุ้นส่วนจํากัด เดชรุ่งเรือง” มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขาย จํานํา จํานอง สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ มีจําเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการ ลงลายมือชื่อและประทับตราสําคัญของห้างกระทําการแทนห้างหุ้นส่วน ซึ่งจะต้องรับผิดในหนี้สินของ จําเลยที่ 1 ดังที่บัญญัติไว้ในกฎหมายด้วย รายละเอียดปรากฏตามสําเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน บริษัท เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2556 จําเลยทั้งสองได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปเป็นจํานวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) โดยจําเลยตกลงจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี มีกําหนดใช้คืนในวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ซึ่งจําเลยได้รับเงินจํานวนที่กู้ไปครบถ้วนแล้ว และได้ทําสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐานในวันดังกล่าว รายละเอียดปรากฏ ตามสําเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 10 ตุลาคม 2556 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3

ข้อ 3. เมื่อครบกําหนดระยะเวลาการชําระหนี้ตามสัญญากู้ จําเลยทั้งสองไม่ยอมชําระหนี้ เงินกู้จํานวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) ดังกล่าว ทั้งไม่เคยชําระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาเลย โจทก์ได้ทวงถามจําเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการแล้วหลายครั้งแต่จําเลยที่ 2 กลับเพิกเฉย การกระทําของ จําเลยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการผิดสัญญากู้ยืมเงิน ทําให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

จําเลยทั้งสองต้องรับผิดชําระต้นเงินคืนให้แก่โจทก์จํานวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินต้นดังกล่าวเป็นจํานวนเงิน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) รวมเป็นเงินที่จําเลยทั้งสองจะต้องชําระคืนให้แก่โจทก์ 1,300,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนบาทถ้วน)

โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจําเลยทั้งสองได้ จึงต้องมาฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง เพื่อบังคับจําเลยทั้งสองต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

 

คําขอท้ายฟ้อง

1 ขอให้จําเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชําระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชําระรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,300,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนบาทถ้วน)

2 ขอให้จําเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจําเลยทั้งสองจะชําระเสร็จสิ้น

3 ขอให้จําเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2558 เวลาประมาณ 04.30 นาฬิกา นายหนึ่ง นายสอง และนายสาม ซึ่งพกปืนลูกซองสั้นได้บุกงัดหน้าต่างแล้วเข้าไปในบ้านเลขที่ 32 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ของนายยุทธ์ จันทร์มณี ในขณะที่นายยุทธ์กําลังหลับอยู่ จากนั้นนายสามได้ปลุกนายยุทธ์ให้ตื่นขึ้นมา และจึงใช้ปืนจี้ขู่เข็ญให้นายยุทธ์เปิดตู้นิรภัย นายยุทธ์กลัวจะถูกทําร้ายหรือถูกฆ่าจึงยอมเปิดตู้นิรภัยให้ นายหนึ่งกับนายสองจึงลักเอาเงินจํานวน 1,000,000 บาท พร้อมสร้อยคอทองคําอีก 5 เส้น หนัก ยี่สิบบาท รวมราคา 360,000 บาท และพากันหลบหนีไป ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2558 เวลา 14.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับนายหนึ่งและนายสองได้ พร้อมกับยึดเงินจํานวน 200,000 บาท กับสร้อยคอทองคําเพียง 3 เส้น หนักสามบาท รวมราคา 54,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ นายหนึ่งกับพวกปล้นมาเป็นของกลาง นําส่งพนักงานสอบสวนทําการสอบสวน ชั้นสอบสวนนายหนึ่ง ให้การรับสารภาพ นายสองให้การปฏิเสธ ทรัพย์สินของกลาง พนักงานสอบสวนคืนนายยุทธ์ไปแล้ว

ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ..”

มาตรา 335 “ผู้ใดลักทรัพย์

(1) ในเวลากลางคืน

(3) โดยทําอันตรายสิ่งกีดกั้นสําหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์

(4) โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทําขึ้นโดยไม่ได้จํานงให้เป็นทางคนเข้า

(7) โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป

(8) ในเคหสถาน…ได้เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต…”

มาตรา 339 “ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้ายเพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

 

มาตรา 340 “ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

ให้ท่านในฐานะพนักงานอัยการ สํานักงานคดีอาญา จัดเรียงคําฟ้องคดีนี้เฉพาะข้อหาปล้นทรัพย์ เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญา โดยไม่ต้องคํานึงถึงแบบพิมพ์ศาล

 

ธงคําตอบ

ข้าพเจ้าในฐานะพนักงานอัยการ สํานักงานคดีอาญา จะจัดเรียงคําฟ้องคดีนี้ในข้อหาปล้นทรัพย์ดังต่อไปนี้

คําฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2558 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จําเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีกหนึ่งคน ได้กระทําการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ ได้บังอาจร่วมกันลักเอาเงินจํานวน 1,000,000 บาท พร้อมสร้อยคอทองคําอีก 5 เส้น น้ำหนัก 20 บาท รวมราคา 360,000 บาท ของนายยุทธ์ จันทร์มณี ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จําเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหายว่า ในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือให้พ้นจากการจับกุม

เหตุเกิดที่แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2 ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2558 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจําเลยทั้งสองได้ พร้อมกับ ยึดเงินจํานวน 200,000 บาท และสร้อยคอทองคํา 3 เส้น น้ำหนัก 3 บาท รวมราคา 54,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่ง ที่จําเลยทั้งสองกับพวกปล้นเอาไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1.เป็นของกลางนําส่งพนักงานสอบสวนทําการสอบสวน

ชั้นสอบสวน จําเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจําเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แต่คดีมีมูล ทรัพย์สินของกลางพนักงานสอบสวนคืนให้ผู้เสียหายไปแล้ว

ระหว่างทําการสอบสวน จําเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ตามหมายขังของศาลนี้ ขอศาลเบิกตัวจําเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

 

Advertisement