การสอบซ่อมภาค  2  และภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเศรษฐีเป็นโจทก์ฟ้องนายจนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้  ว่านายจนได้กู้เงินไปจากตนจำนวนห้าล้านบาทแล้วผิดนัดชำระหนี้มาโดยตลอด  ตนได้ทวงถามหลายครั้งแต่นายจนเพิกเฉยและอ้างว่าไม่มีเงินชำระหนี้  จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้นายจนใช้เงินต้นจำนวนห้าล้านบาท  และดอกเบี้ยที่ค้างชำระอีกจำนวนหนึ่งแสนบาท  อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้จ่ายสำนวนคดีให้นายมีเกียรติผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลแพ่งกรุงเทพใต้  และนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  หลังจากโจทก์อื่นฟ้องแล้วได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลให้อายัดเงินในธนาคารของจำเลยจำนวนสามล้านบาทและบ้านพร้อมที่ดิน  (ราคาประมาณสองล้านบาท)  ของจำเลยไว้เป็นการชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษา  นายสมสกุลได้ไต่สวนคำร้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วมีคำสั่งให้อายัดไว้ตามที่โจทก์ร้องขอ

ท่านเห็นว่า  การไต่สวนและมีคำสั่งของนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาล  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(1) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม  (3)  (4)  หรือ  (5)

วินิจฉัย

ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจทำการไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลและมีคำสั่งได้ในคดีทั้งปวง  ไม่ว่าจะเป็นแพ่งหรือคดีอาญา  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(1)  ทั้งนี้อำนาจดังกล่าว  ผู้พิพากษาประจำศาลก็สามารถกระทำได้ ตามมาตรา  25  วรรคท้าย

อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้จำหน่ายคดีให้นายมีเกียรติผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ  และนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  ที่บังคับว่าต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คน  และต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกิน  1  คน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การที่นายสมสกุล  ผู้พิพากษาประจำศาลแต่เพียงผู้เดียวมีคำสั่งให้อายัดเงินในธนาคารของจำเลยตามที่โจทก์ร้องขอนั้นชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจไต่สวนคำร้องขอให้อายัดเงินและมีคำสั่งให้อายัดเงินในธนาคารตามคำร้องที่ยื่นต่อศาลได้  ตามมาตรา  25(1)  แม้นายสมสกุลจะเป็นผู้พิพากษาประจำศาล  ก็ย่อมมีอำนาจกระทำได้และไม่ถูกห้ามแต่อย่างใดตามมาตรา  25  วรรคท้าย

สรุป  การไต่สวนและมีคำสั่งของนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาลชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  นางน้อยได้ไปทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายใหญ่เป็นจำนวนเงินสามแสนบาท  โดยนำโฉนดที่ดินของตนจำนวนหนึ่งร้อยตารางวา  ซึ่งราคาประเมินของกรมที่ดินในขณะนั้นประเมินราคาที่ดินดังกล่าวไว้สามแสนบาทไปไว้ให้นายใหญ่ยึดถือไว้เป็นการประกันเงินกู้ดังกล่าว  ต่อมาเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้กู้ยืมเงินตามสัญญา  นางน้อยได้นำเงินไปชำระให้แก่นายใหญ่พร้อมดอกเบี้ยจนครบถ้วน  แต่นายใหญ่กลับไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวของนายน้อยและบ่ายเบี่ยงตลอดมา

นางน้อยจะต้องนำคดีไปฟ้องขอให้ศาลบังคับให้นายใหญ่คืนโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่ตนที่ศาลใด  (ถ้าในท้องที่นั้นมีทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวง)

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  18  ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

เป็นเรื่องที่นางน้อยจะนำคดีไปฟ้องต่อศาลขอให้บังคับให้นายใหญ่คืนโฉนดที่ดินให้แก่ตน  มิใช่คำฟ้องโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท  อันจะทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์  ดังนั้นกรณีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่ไม่มีทุนทรัพย์  ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17  ทั้งนี้เพราะศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ของคดีไม่เกิน  3  แสนบาทเท่านั้น  (ฎ.1593/2521)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในท้องที่นั้นมีทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวง  กรณีนี้นางน้อยจึงต้องนำคดีไปฟ้องยังศาลจังหวัด  เพราะศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น  ไม่ว่าจะเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่มีทุนทรัพย์  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  18

สรุป  นางน้อยต้องนำคดีไปฟ้องต่อศาลจังหวัด

 

ข้อ  3  นายหนึ่งประธานศาลอุทธรณ์ได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายสอง  นายสาม  และนายสี่  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์  เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี  ขณะปรึกษากันเพื่อทำคำพิพากษาคดีนายสองหัวใจวายถึงแก่ความตาย  นายสามและนายสี่จึงนำคดีไปปรึกษานายหนึ่ง  แต่นายหนึ่งได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศพอดี  นายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงสั่งให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสอง  ร่วมกับนายสามและนายสี่ทำคำพิพากษาคดีต่อไป

การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  8  วรรคสอง  เมื่อตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค  ว่างลงหรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  เป็นผู้ทำการแทน  ถ้ามีรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคหลายคน  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา  27  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  หรือศาลฎีกา  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(2) ในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค  ได้แก่  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองประธานศาลอุทธรณ์  หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคแล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่างๆตามมาตรา  8  มาตรา  9  และมาตรา  13  มีอำนาจตาม  (1)  (2)  และ  (3)  ด้วย

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

การที่นายหนึ่ง  ประธานศาลอุทธรณ์ภาคจ่ายสำนวนคดีให้นายสอง  นายสาม  และนายสี่  เป็นองค์คณะพิจารณาคดีอาญาเรื่องหนึ่งนั้น ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคแรกที่บังคับว่าในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสอง  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29  หมายถึงในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย หรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้เกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในระหว่างการทำคำพิพากษาคดี  เช่น  เจ็บป่วย  ตาย  หรือโอนย้ายไปรับราชการในตำแหน่งอื่น  เป็นต้น  ทำให้ไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  บทบัญญัติมาตรา  29(2)  จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาเหล่านั้นมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาและมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสอง  หัวใจวายกะทันหันในระหว่างการทำคำพิพากษา  ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  30  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  29(2)  ที่ต้องให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นผู้ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  เพื่อให้ครบองค์คณะ  แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหนึ่งประธานศาลอุทธรณ์ได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศ  จึงไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ดังนั้นรองประธานศาลอุทธรณ์จึงต้องเป็นผู้ทำการแทนและมีอำนาจเข้าเป็นองค์คณะแทนได้  ตามมาตรา  29(2)  และวรรคท้าย  ประกอบมาตรา  8  วรรคสอง  นายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงต้องลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาด้วยตนเองเท่านั้น  จะมอบหมายให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสองไม่ได้  เพราะมาตรา  29(2)  ไม่ได้ให้อำนาจในการมอบหมายเอาไว้  การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงมิชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การกระทำของนายยอดไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

Advertisement