การสอบไล่ภาค  2   ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ศาลจังหวัดมีนบุรีได้พิจารณาคดีอาญาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  288  แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต  พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้วคู่ความมิได้อุทธรณ์  ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนคดีดังกล่าวแล้วจึงนำมาดำเนินการพิจารณาพิพากษา  องค์คณะของศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ทารุณโหดร้าย  จึงร่วมกันพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีเป็นประหารชีวิต

ท่านเห็นว่าการรับคดีซึ่งคู่ความมิได้อุทธรณ์  และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  ตลอดจนการแก้ไขคำพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรีของศาลอุทธรณ์  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  22  ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์  และว่าด้วยเขตอำนาจศาลและมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) พิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรอยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพาทลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์  และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  212  คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ  ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย  เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด  เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  22  ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าว  จะเห็นว่าโดยหลักการแล้ว  ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นมาเท่านั้น  ดังนั้นหากคู่ความมิได้อุทธรณ์  คดีย่อมยุติเสร็จเด็ดขาดไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  แต่ความในมาตรา  22(1)  ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นกำหนดให้ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  คือ  เมื่อโจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  ในกรณีนี้ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  คดีก็เป็นอันยุติ  จะฎีกาอีกต่อไปมิได้

ดังนั้นเมื่อศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต  พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์  ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารราความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  การที่ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนดังกล่าวมาเพื่อพิจารณาพิพากษาจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  22(1)

แต่อย่างไรก็ตาม  ศาลอุทธรณ์จะแก้ไขคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีเพื่อลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นไม่ได้  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  212  ทั้งนี้เพราะคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษา  ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคดีนั้นโจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยเท่านั้น

สรุป 

การรับคดีของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

การแก้ไขคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์  ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

 

ข้อ  2  โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระจำนวนสองแสนบาท  พร้อมทั้งขับไล่จำเลยออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่าต่อศาลจังหวัดสมุทรสงคราม  นายนิติผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่ายสำนวนคดีให้แก่ตนเองและนายเริงฤทธิ์ผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  ในวันสืบพยานโจทก์นัดแรกทนายโจทก์ประสบอุบัติเหตุต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล  จึงยื่นคำร้องต่อศาลขอเลื่อนคดีนายเริงฤทธิ์ผู้พิพากษามีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีไป  ต่อมาวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยครั้งต่อๆไป  นายนิติและนายเริงฤทธิ์ได้ออกนั่งพิจารณาคดีจนเสร็จ  ในวันที่  15  มกราคม  2547  และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่  27  กุมภาพันธ์  2547  นายเริงฤทธิ์ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายในวันที่  31  มกราคม  2547  นายนิติจึงให้นายมีเกียรติ  ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสรองลงมาจากตนเป็นองค์คณะแทนนายเริงฤทธิ์  นายนิติและนายมีเกียรติจึงร่วมกันทำคำพิพากษาหลังจากนายมีเกียรติได้ตรวจสำนวนคดีแล้วท่านเห็นว่าคำสั่งของนายเริงฤทธิ์ที่อนุญาตเลื่อนคดี  การทำคำพิพากษาของนายนิติและนายมีเกียรติชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(1) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม  (3)  (4)  หรือ  (5)

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  หรือมีคำสั่งใดๆหรือทำการไต่สวน  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  วรรคแรก  (1)  (5)  และสำหรับผู้พิพากษาประจำศาลมีอำนาจตามมาตรา  25  วรรคแรก  (1)(2)  เท่านั้น  ทั้งนี้ตามมาตรา  25  วรรคท้าย

คำร้องขอเลื่อนคดีเป็นคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาล  ผู้พิพากษาประจำศาลจึงมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งให้เลื่อนคดีได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  วรรคแรก  (1)  คำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีของนายเริงฤทธิ์จึงชอบแล้ว

เมื่อองค์คณะทั้งสองได้นั่งพิจารณาคดีจนเสร็จและนัดฟังคำพิพากษาแล้ว  แต่ก่อนจะได้อ่านคำพิพากษา  นายเริงฤทธิ์  ผู้พิพากษาประจำศาลซึ่งเป็นองค์คณะประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  จึงถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  30  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการทำคำพิพากษาตามมาตรา  29(3)  จึงกำหนดให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาแทน  แต่อย่างไรก็ดีเมื่อนายนิติเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  และเป็นองค์คณะในคดีด้วย  จึงไม่อาจลงลายมือชื่อเดียวในสองฐานะได้  กรณีจึงต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคเป็นผู้มีอำนาจทำคำพิพากษา

การที่นายนิติให้นายมีเกียรติ  ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสรองลงมาจากตนเป็นองค์คณะแทนนายเริงฤทธิ์จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29(3)

สรุป

คำสั่งของนายเริงฤทธิ์ที่อนุญาตเลื่อนคดี  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

การทำคำพิพากษาของนายนิติและนายมีเกียรติไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีค้ายาเสพติดแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยค้ายาเสพติด  จึงพิพากษาจำคุกจำเลยตลอดชีวิต  อัยการโจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์  ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  พนักงานอัยการโจทก์เห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเบาไป  ควรลงโทษประหารชีวิต  ส่วนจำเลยเห็นว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยหนักเกินไป  พนักงานอัยการโจทก์และจำเลยจึงฎีกาขึ้นไปยังศาลฎีกา  โดยพนักงานอัยการโจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาลงโทษประหารชีวิตจำเลย  ส่วนจำเลยฎีกาขอให้ศาลลงโทษจำเลยเบากว่าที่ศาลล่างลงโทษ  ถ้าท่านเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา  ท่านจะพิจารณาพิพากษาคดีนี้ว่าอย่างไร 

ธงคำตอบ

มาตรา  22  ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์  และว่าด้วยเขตอำนาจศาลและมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) พิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรอยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพาทลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์  และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด  เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน

วินิจฉัย

ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาคดีที่ศาลชั้นต้นส่งขึ้นมาโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  และตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  22(1)  เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น  คดีเป็นอันยุติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา  245  วรรคสอง  พนักงานอัยการโจทก์และจำเลยจะฎีกาต่อไปไม่ได้

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาจะพิพากษายกฎีกาทั้งของโจทก์และจำเลย

Advertisement