การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  การรับรองและการอาวัลตั๋วแลกเงินจะต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย  อนึ่ง  ผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินจะอาวัลตั๋วได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

การรับรองตั๋วแลกเงิน  คือ  การที่ผู้จ่าย  ได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วแลกเงินเพื่อผูกพันตนเองในอันที่จะรับผิดชอบจ่ายเงินตามคำสั่งของผู้สั่งจ่ายให้แก่ผู้ทรง  (หรือผู้รับเงิน)  ตามจำนวนเงินที่ได้ให้คำรับรองไว้

สำหรับวิธีการรับรองตั๋วแลกเงิน  ที่ถูกต้องตามกำหมายนั้น  ผู้จ่ายจะต้องปฏิบัติตามแบบหรือวิธีการรับรองตามที่บัญญัติไว้ใน  ป.พ.พ. มาตรา  931  ดังนี้  คือ

1  ให้ผู้จ่ายเขียนข้อความว่า  “รับรองแล้ว”  หรือข้อความอื่นทำนองเดียวกันนั้น  และลงลายมือชื่อของผู้จ่ายในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้น  โดยอาจจะลงวันที่รับรองไว้หรือไม่ก็ได้  หรือ

2  ผู้จ่ายลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงิน  โดยไม่เขียนข้อความดังกล่าวไว้เลยก็ได้  กฎหมายก็ให้จัดว่าเป็นคำรับรองแล้ว

อนึ่ง  ถ้าผู้จ่ายได้ทำการรับรองโดยการลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินนั้น  ย่อมเป็นการรับรองที่ผิดแบบหรือวิธีการที่กฎหมายกำหนด  จึงไม่ถือว่าเป็นการรับรองหรือคำรับรองนั้นไม่มีผลนั่นเอง

การอาวัลตั๋วแลกเงิน  คือ  การค้ำประกันหรือรับประกันการใช้เงินตามตั๋วแลกเงิน  ซึ่งอาจจะเป็นการค้ำประกันทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ และบุคคลที่จะเข้ามารับอาวัลคู่สัญญาในตั๋วแลกเงินนั้น  อาจจะเป็นบุคคลภายนอก  หรืออาจจะเป็นคู่สัญญาเดิมในตั๋วแลกเงินนั้นก็ได้  (ป.พ.พ. มาตรา  938)  ดังนั้นผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินจึงสามารถเข้ามารับอาวัลผู้เป็นคู่สัญญาคนอื่นๆในตั๋วแลกเงินนั้นได้

สำหรับวิธีการอาวัลตั๋วแลกเงิน  ที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น  ป.พ.พ  มาตรา  939  ได้กำหนดแบบหรือวิธีการอาวัลไว้ดังนี้  คือ

1       บุคคลที่จะเข้ามารับอาวัลคู่สัญญาในตั๋วเงิน  ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลภายนอกหรืออาจจะเป็นคู่สัญญาเดิมในตั๋วเงินนั้น (มาตรา 938)  จะต้องเขียนข้อความว่า  “ใช้ได้เป็นอาวัล”  หรือสำนวนอื่นใดที่มีความหมายเดียวกัน  เช่น  “รับประกัน”  หรือ  “ค้ำประกัน”  และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลไว้ที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของตั๋วเงิน  (หรือในใบประจำต่อ)  ทั้งนี้ต้องระบุไว้ด้วยว่ารับอาวัลให้แก่ผู้ใด  หากไม่ระบุไว้ให้ถือว่าเป็นการรับอาวัลแก่ผู้สั่งจ่าย  (มาตรา  939  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่)  หรือ

2        เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลไว้ที่ด้านหน้าของตั๋วเงินนั้น กฎหมายก็ให้ถือว่าเป็นการรับอาวัลแล้ว  (เป็นการรับอาวัลผู้สั่งจ่าย)    เว้นแต่กรณีที่เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่ายเท่านั้นที่จะลงแต่ลายมือชื่อเพียงอย่างเดียวไม่ได้  ถ้าจะเข้ารับอาวัลผู้ใดจะต้องเขียนข้อความ  และลงลายมือชื่อของตนตามวิธีที่  1  เสมอ (มาตรา  939 วรรคสาม)

อนึ่ง  ในกรณีที่มีการสลักหลังตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ  กฎหมายให้ถือว่าการสลักหลังนั้นเป็นการรับอาวัลผู้สั่งจ่าย  และต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย (มาตรา 921 และ 940 วรรคแรก)

 

ข้อ  2 

(ก)    กรณีที่มีบุคคลนำเช็คขีดคร่อมไปให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมให้นั้น  ธนาคารผู้จ่ายจะต้องกระทำการอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นการจ่ายเงินโดยชอบด้วยกฎหมาย  ให้อธิบายโดยอ้างอิงหลักกฎหมาย

(ข)   ปทุมวันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คผู้ถือธนาคารกรุงสยาม  พร้อมทั้งทำการขีดคร่อมทั่วไปไว้ที่ด้านหน้าเช็ค  แล้วมอบให้แก่สาทรเพื่อชำระราคาสินค้า  หลังจากนั้นสาทรได้ทำเช็คฉบับดังกล่าวหล่นหายโดยไม่รู้ตัว  วัฒนาเก็บได้  แล้วนำไปให้ธนาคารนครไทยเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของวัฒนาแล้วถอนเงินจากบัญชีไปใช้ทั้งหมด  ต่อมาสาทรพึ่งทราบว่าเช็คของตนหล่นหาย  จึงมาเรียกให้ปทุมวันชำระหนี้ตามเช็ค  หรือชำระหนี้ราคาสินค้าให้แก่ตน  ดังนี้  ปทุมวันจะต้องชำระหนี้ตามที่สาทรเรียกมาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก)     อธิบาย

กรณีที่มีบุคคลนำเช็คขีดคร่อมไปให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมให้นั้น  การที่ธนาคารผู้จ่ายได้จ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมนั้นไป  จะถือว่าเป็นการจ่ายเงินโดยชอบด้วยกฎหมาย  ธนาคารผู้จ่ายจะต้องได้จ่ายเงินไปโดยถูกต้องตามวิธีการหรือหลักเกณฑ์ที่กฎหมายได้กำหนดไว้  ดังนี้  คือ

1        กรณีที่เป็นเช็คที่ได้มีการขีดคร่อมทั่วไป

ธนาคารผู้จ่ายเงินต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งของผู้ทรงเช็คนั้น  จะจ่ายเป็นเงินสดอย่างเช่นเช็คธรรมดาที่มิได้ขีดคร่อมมิได้ (มาตรา 994 วรรคแรก)

2        กรณีที่เป็นเช็คที่ได้มีการขีดคร่อมเฉพาะ

ธนาคารผู้จ่ายเงินต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารที่ถูกระบุชื่อไว้โดยเฉพาะ  จะจ่ายเป็นเงินสดอย่างเช่นเช็คธรรมดาหรือจ่ายให้แก่ธนาคารอื่นนอกจากที่ระบุไว้มิได้  (มาตรา 994 วรรคท้าย)

3        กรณีที่เป็นเช็คที่ได้มีการขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารมากกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป

ธนาคารผู้จ่ายเงินต้องปฏิเสธการจ่ายเงิน  เว้นแต่อีกธนาคารหนึ่งจะอยู่ในฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเพื่อเรียกเก็บเงิน  ดังนี้  ธนาคารผู้จ่ายก็สามารถจ่ายเงินให้แก่ธนาคารตัวแทนนั้นได้  แต่จะจ่ายให้ธนาคารอื่นมิได้ (มาตรา 997 วรรคแรก)

 อนึ่ง  ธนาคารผู้จ่ายหากได้จ่ายเงินไปภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นไปโดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อ  ทั้งได้จ่ายเงินไปตามทางการค้าปกติ (ในระหว่างวันและเวลาที่เปิดทำการตามนัย มาตรา 1009)  กรณีย่อมเป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายไม่ต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้น  (ปกติได้แก่ผู้ทรงเดิม) และชอบที่จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้สั่งจ่ายนั้นได้ (มาตรา 998)

ตรงกันข้าม  หากธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินไปตามเช็คขีดคร่อมเป็นอย่างอื่น  เช่น  ใช้เงินสดให้แก่ผู้ทรงเช็คแทนที่จะโอนเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ทรงเช็ค  หรือใช้เงินสดให้แก่พนักงานธนาคารอื่นผู้ยื่นเช็ค  หรือใช้เงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่มิได้ถูกระบุชื่อไว้โดยเฉพาะ  หรือมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงินกรณีที่มีการขีดคร่อมเฉพาะเกินกว่า 1 ธนาคาร  หรือใช้เงินให้แก่ธนาคารอื่นที่มิใช่อยู่ในฐานะเป็นตัวแทนเรียกเก็บเงินตามหลักเกณฑ์ (1)(2) และ (3)  ดังกล่าวข้างต้น  กรณีย่อมเป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายยังจะต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้นในการที่เขาต้องเสียหายจากการที่มิได้ใช้ประโยชน์จากเช็คขีดคร่อมนั้น (มาตรา 997 วรรคสองตอนท้าย)  อีกทั้งไม่มีสิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของผู้สั่งจ่าย  เพราะถือว่าธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินไปโดยไม่ถูกระเบียบ (มาตรา 1009)

(ข)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  998  ธนาคารใดซึ่งเขานำเช็คขีดคร่อมเบิกเงินใช้เงินไปตามเช็คนั้นโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ  กล่าวคือว่าถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ใช้เงินให้แก่ธนาคารอันใดอันหนึ่ง  ถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ใช้ให้แก่ธนาคารซึ่งเขาเจาะจงขีดคร่อมให้เฉพาะ  หรือใช้ให้แก่ธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินของธนาคารนั้นไซร้ท่านว่าธนาคารซึ่งใช้เงินไปตามเช็คนั้นฝ่ายหนึ่ง  กับถ้าเช็คตกไปถึงมือผู้รับเงินแล้ว  ผู้สั่งจ่ายอีกฝ่ายหนึ่งต่างมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกัน  และเข้าอยู่ในฐานะอันเดียวกันเสมือนดั่งว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแล้ว

มาตรา 321 วรรคสาม  ถ้าชำระหนี้ด้วย ออก – ด้วยโอน – หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงิน  หรือประทวนสินค้าท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินหรือประทวนสินค้านั้นได้ใช้เงินแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ถือว่าเช็คผู้ถือเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปที่ตกไปถึงมือผู้รับเงิน  คือ  สาทรแล้ว  และการที่เช็คหล่นหายวัฒนาเก็บได้แล้วนำไปให้ธนาคารนครไทยเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของวัฒนา  และวัฒนาได้ถอนเงินจากบัญชีไปใช้นั้น  ก็มิได้มีเหตุบ่งชี้ว่า  ธนาคารกรุงสยามซึ่งเป็นธนาคารผู้จ่ายได้จ่ายเงินตามเช็คไปโดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด  ดังนั้นจึงถือว่าธนาคารกรุงสยามได้จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวไปโดยชอบด้วยกฎหมาย  และให้ถือเสมือนว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่เจ้าของที่แท้จริงคือสาทรแล้วตามมาตรา  998  ซึ่งมีผลทำให้มูลหนี้ระหว่างปทุมวันกับสาทรระงับลง  ทั้งมูลหนี้ตามเช็คและมูลหนี้เดิมคือหนี้ค่าราคาสินค้าตามมาตรา  321 วรรคสาม  ดังนั้นเมื่อสาทรมาเรียกให้ปทุมวันชำระหนี้ตามเช็ค  หรือชำระหนี้ค่าราคาสินค้าให้แก่ตน  ปทุมวันจึงไม่ต้องชำระหนี้ตามที่สาทรเรียกมาแต่อย่างใด

สรุป  ปทุมวันไม่ต้องชำระหนี้ตามที่สาทรเรียกมาทั้งมูลหนี้ตามเช็ค และมูลหนี้ค่าราคาสินค้า 

 

ข้อ  3 

(ก)    การที่ผู้ทรงเช็คนำเช็คไปยื่นเพื่อให้ธนาคารผู้จ่ายเงินหรือให้ธนาคารผู้เรียกเก็บเงินเกิน  6  เดือน  นับแต่วันเดือนปีที่ออกเช็ค  จะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายอย่างไรกับผู้ทรงเช็ค

(ข)   จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายธนาคารสินไทย  จำนวน  50,000  บาท  ชำระหนี้อังคารหรือผู้ถือ  อังคารสลักหลังขายลดเช็คให้แก่พุธ  ซึ่งรับซื้อลดเช็คนั้นไว้ในราคา  45,000  บาท  แต่ได้นำเช็คไปยื่นให้ธนาคารกรุงทองเรียกเก็บเงินเกินกว่า  6  เดือนนับแต่วันออกเช็คเป็นผลให้ธนาคารกรุงทองไม่รับและคืนเช็คให้แก่พุธ  ต่อมาพุธได้นำเช็คนั้นคืนให้แก่อังคาร  อังคารได้คืนเงินให้แก่พุธ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าอังคารจะบังคับไล่เบี้ยจันทร์ให้รับผิดในมูลหนี้เช็คดังกล่าวได้เพียงใด  หรือไม่

ธงคำตอบ

(ก)    อธิบาย 

การที่ผู้ทรงเช็คนำเช็คไปยื่นเพื่อให้ธนาคารผู้จ่ายจ่ายเงิน  หรือให้ธนาคารผู้เรียกเก็บเกิน 6 เดือน นับแต่วันเดือนปีที่ออกเช็ค (ที่ลงในเช็ค) จะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายกับผู้ทรงเช็ค ดังนี้คือ

1  ธนาคารผู้จ่าย (Paying Bank) มีสิทธิใช้ดุลพินิจปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้นได้ ตามนัย ป.พ.พ. มาตรา 991(2)  และธนาคารผู้เรียกเก็บ (Collecting Bank)  ก็จะปฏิเสธเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นให้แก่ผู้ทรงเช็ค

2       ผู้ทรงเช็คย่อมสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังเช็ค  ทั้งเสียสิทธิไล่เบี้ยผู้สั่งจ่ายเช็คด้วย  เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้นภายในกำหนด 1 เดือน  (ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกัน)  หรือ 3 เดือน (ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่น)  แล้วแต่กรณี ตามนับ ป.พ.พ. มาตรา 990 วรรคแรก

(ข)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  959  ผู้ทรงตั๋วแลกเงินจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สลักหลัง  ผู้สั่งจ่าย  และบุคคลอื่นๆซึ่งต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นก็ได้  คือ

(ก)    ไล่เบี้ยได้เมื่อตั๋วเงินถึงกำหนดในกรณีไม่ใช้เงิน

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา  …..  959  ……

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ผู้ทรงเช็คจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สลักหลัง  ผู้สั่งจ่าย  และบุคคลผู้เป็นคู่สัญญาคนอื่นๆซึ่งต้องรับผิดตามเช็คนั้นได้ ก็ต่อเมื่อผู้ทรงเช็คได้นำเช็คไปยื่นให้ธนาคารผู้จ่ายจ่ายเงินตามเช็คโดยชอบแล้ว  แต่ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้นตามมาตรา  959(ก)  ประกอบกับมาตรา 989 วรรคแรก

แต่กรณีตามอุทาหรณ์  ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเลยว่าได้มีการนำเช็คดังกล่าวนั้นไปยื่นให้ธนาคารสินไทยจ่ายเงินตามเช็คและธนาคารสินไทยได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นแล้ว  ดังนั้นอังคารจึงไม่สามารถที่จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จันทร์ผู้สั่งจ่ายได้แต่อย่างใด

สรุป  อังคารจะบังคับไล่เบี้ยจันทร์ให้รับผิดในมูลหนี้เช็คดังกล่าวไม่ได้

Advertisement