การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  สมชายมีรถยนต์อยู่คันหนึ่ง  เขาจึงได้นำไปทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทประกันภัยจำกัดจำนวนเงินที่เอาประกัน  5  แสนบาท  สัญญากำหนด  1  ปี  ระหว่างอายุสัญญา  สมชายกับสมศรีภริยาได้ขับรถไปเที่ยวชายทะเลหัวหิน  ระหว่างขับรถกลับกรุงเทพฯ  ทั้งคู่มีปากเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงเป็นเหตุให้สมชายขับรถไปชนท้ายของสมศักดิ์ซึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้า  รถของสมชายได้รับความเสียหาย  2 แสนบาท  ส่วนรถของสมศักดิ์เสียหาย  8  หมื่นบาท  และสมศรีได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล  เสียค่าใช้จ่ายไป  5  หมื่นบาท  

สมชายถูกตำรวจจับฐานขับรถโดยประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย  และถูกปรับไป  2  พันบาท  สมชายจึงไปเรียกให้บริษัทชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  กรณีรถเสียหายและที่สมศรีได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลรวมเป็นเงินทั้งสิ้น  2 แสนห้าหมื่นบาท  ส่วนสมศักดิ์ก็เรียกให้บริษัทชดใช้ให้ด้วยในความเสียหายที่เกิดขึ้น  8  หมื่นบาท  เพราะคิดว่าสมชายได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ใคร  เป็นจำนวนเงินเท่าไร  และในกรณีใดบ้างอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  869  อันคำว่า  วินาศภัย  ในหมวดนี้  ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใดๆบรรดาซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย

(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

อันจำนวนวินาศจริงนั้น  ท่านให้ตีราคา  ณ  สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น  อนึ่งจำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันไว้นั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น

ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา  887  วรรคแรก  อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น  คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ 

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่าใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

วินิจฉัย

สมชายทำประกันวินาศภัยในรถยนต์ของตนเอาไว้  ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกัน  สัญญามีผลผูกพันตามมาตรา  863

กรณีที่รถของสมชายเสียหายคิดเป็นเงิน  2  แสนบาทนั้น  บริษัทผู้รับประกันวินาศภัยจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  869 ประกอบมาตรา  877  คือจ่ายตามความเสียหายจริง  แต่ไม่เกินจำนวนเงินที่ได้ประกันเอาไว้

ส่วนกรณีความเสียหายที่เกิดกับรถของสมศักดิ์  รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลของสมศรีนั้น  บริษัทไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด  เพราะไม่ได้มีการทำสัญญาประกันภัยค้ำจุนไว้ตามมาตรา  887  และสมชายต้องรับผิดชอบเสียค่าใช้จ่ายในความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวด้วยตนเองในความรับผิดฐานละเมิด  ซึ่งสมศักดิ์สามารถเรียกจากสมชายได้ตามมาตรา  420 แต่สมศักดิ์ไม่สามารถเรียกจากบริษัทได้  เพราะไม่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทตามสัญญาประกันวินาศภัย  จะเรียกได้ก็เฉพาะมีการทำสัญญาประกันภัยค้ำจุนไว้ตามมาตรา  887  เท่านั้น

สรุป  บริษัทจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีรถของสมชายเสียหาย  เป็นจำนวน  2  แสนบาท  ส่วนกรณีรถของสมศักดิ์เสียหายและค่ารักษาพยาบาลของสมศรี  บริษัทไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

 

ข้อ  2  นายสมพงษ์ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทผู้รับประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  โดยคุมครองทุกอย่าง  รวมทั้งอุบัติเหตุด้วย  เมื่อวันที่  5  พฤษภาคม  2538  เป็นระยะเวลา  1  ปี  วันสิ้นอายุตามกรมธรรม์คือ  5  พฤษภาคม  2539  ต่อมาวันที่  13  มิถุนายน  2539  เกิดอุบัติเหตุ  บริษัทผู้รับประกันภัยกับนายสมพงษ์ตกลงกันโดยบริษัทประกันออกกรมธรรม์ใหม่ให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่  11 มิถุนายน  2539  มีระยะเวลาคุ้มครอง  1  ปี  เมื่อนายสมพงษ์ผู้เอาประกันภัยได้รับกรมธรรม์แล้วจึงเรียกร้องให้บริษัทชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่บริษัทประกันภัยปฏิเสธการจ่าย  ดังนั้น  อยากทราบว่า  บริษัทประกันภัยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  861  อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น  หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคต  ดังได้ระบุไว้ในสัญญา  และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า  เบี้ยประกันภัย

วินิจฉัย

จากปัญหาการที่เกิดอุบัติเหตุกับรถของนายสมพงษ์ที่เอาประกันภัยในวันที่  13  มิถุนายน  2539  ซึ่งเป็นวันที่กรมธรรม์สิ้นอายุแล้ว  แม้ต่อมาบริษัทประกันได้ออกกรมธรรม์ให้ใหม่มีผลย้อนหลังไปก่อนวันเกิดวินาศภัย  2  วัน  คือ  วันที่  11  มิถุนายน  2539  ซึ่งเป็นวันที่วินาศภัยได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ได้ทำสัญญาประกันภัยกันใหม่  โดยที่ความหมายของสัญญาประกันภัยตามมาตรา  861  บริษัทผู้รับประกันภัยตกลงใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เมื่อเกิดวินาศภัยในอนาคต  หมายความว่า  ขณะทำสัญญาประกันภัย  วินาศภัยยังไม่เกิดขึ้น  ดังนั้น  การที่ภัยได้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงมิใช่ภัยที่อาจมีขึ้นในอนาคต  แต่เป็นภัยในอดีตที่ไม่สามารถเอาประกันภัยได้

สรุป  บริษัทประกันภัยไม่มีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสมพงษ์  ตามมาตรา  861  (ฎ. 2513/2518)

 

ข้อ  3  นายยอด  ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง  เมื่อวันที่  30  สิงหาคม  2540  วงเงิน  1  แสนบาท  ระยะเวลาคุ้มครอง  20  ปี  แบบอาศัยความมรณะ  ในปีต่อมาธุรกิจการค้าของนายยอดขาดทุนอย่างหนัก  นายยอดกลุ้มใจมากจึงใช้ปืนยิงตัวเอง  เมื่อวันที่  28  สิงหาคม  2541  แต่กระสุนไม่ถูกที่สำคัญจึงไม่เสียชีวิตทันทีเพียงแต่บาดเจ็บสาหัส  ครั้นวันที่  1  กันยายน  2541  นายยอดได้เสียชีวิตด้วยบาดแผลดังกล่าวขณะที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล  ดังนี้บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงิน  1  แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา

วินิจฉัย

นายยอด  ทำสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งเมื่อวันที่  30  สิงหาคม  2540  วงเงิน  1  แสนบาท  ระยะเวลาคุ้มครอง  20  ปี  ในปีต่อมานายยอดใช้ปืนยิงตัวเองย่อมถือว่านายยอดผู้เอาประกันชีวิตได้ลงมือกระทำอัตตวินิจบาตรด้วยใจสมัครของตน  ภายใน  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญาประกันชีวิตแล้ว  แม้นายยอดจะถึงแก่ความตายหลังระยะเวลา  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญาก็ตาม  บริษัทผู้รับประกันภัยก็ได้ยกเว้นความรับผิดไม่ต้องใช้เงินแก่ผู้รับประโยชน์ตามมาตรา  895(1)

สรุป  บริษัทประกันชีวิต  ไม่มีหน้าที่จ่ายเงิน  1  แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์  (ฎ. 936/2536)

Advertisement