การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายจันทร์ขายรถยนต์คันหนึ่งให้นายอังคารในราคา  300,000  บาท  แล้วคิดเสียดายที่ขายในราคาต่ำเกินไป  นายจันทร์ไปขอร้องให้นายอังคารขายคืนให้  นายอังคารบอกว่าถ้าจำเป็นต้องขายจะขายในราคา  350,000  บาท  นายจันทร์ให้นายอังคารจดข้อความดังกล่าวไว้และลงลายมือชื่อ

ส่วนนายจันทร์ก็จดข้อความว่าตกลงซื้อและลงลายมือชื่อนายจันทร์  แต่เมื่อนายจันทร์จะชำระราคา  นายอังคารกลับไม่ยอมขายให้  นายจันทร์ว่าจะไปดำเนินการฟ้องร้องนายอังคาร  นายอังคารกลับถึงบ้านกลัวว่านายจันทร์จะฟ้องตน  นายอังคารจึงมีจดหมายไปถึงนายจันทร์ตอบตกลงขายให้ในราคา  350,000  บาท  นายจันทร์เขียนจดหมายตอบตกลงซื้อพร้อมกับแนบเช็คจำนวน  350,000  บาท  ส่งไปให้นายอังคาร

ก่อนที่จดหมายมาถึงนายอังคาร  คืนนั้นเกิดเพลิงไหม้บ้านข้างเคียงแล้วลุกลามมาไหม้บ้านนายอังคาร  เป็นเหตุให้รถยนต์คันนี้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งคัน  ต่อมาจดหมายพร้อมกับเช็คมาถึงนายอังคาร  นายอังคารนำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารได้เงินมา  350,000  บาท

นายจันทร์ทราบข่าวก็มาขอเงินคืน  นายอังคารไม่ยอมคืนให้อ้างว่าเมื่อทำสัญญาแล้วรถยนต์คันนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายจันทร์  และภัยพิบัติอันเกิดกับรถยนต์ก็โทษนายอังคารไม่ได้  บาปเคราะห์ย่อมตกเป็นพับแก่นายจันทร์  ตนจึงหมดหน้าที่ส่งมอบ  แต่นายจันทร์ยังต้องชำระราคา  ทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้

ดังนี้  นายจันทร์กับนายอังคารมาขอให้นักศึกษาเป็นผู้ชี้ขาดตัดสินพิพาทนี้  นักศึกษาจะตัดสินให้นายอังคารคืนเงิน  350,000  บาท  ให้แก่นายจันทร์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  150  การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  การนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  453  อันว่าซื้อขายนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ขาย  โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

วินิจฉัย

ตามมาตรา  453  ซื้อขายคือสัญญาที่คำเสนอคำสนองจะต้องมีข้อความชัดเจนแน่นอนว่าจะซื้อขายกันจริง  แต่การแสดงเจตนาของนายอังคารที่บอกว่าถ้าจำเป็นต้องขายจะขายในราคา  350,000  บาทนั้น  ยังไม่มีข้อความชัดเจนว่าจะขายจริง  จึงยังไม่เป็นคำเสนอ  แม้นายจันทร์ตกลงจะซื้อจริงก็ไม่ใช่เป็นคำสนองแต่เป็นคำเสนอขึ้นใหม่  เมื่อนายอังคารบอกปัดไม่ยอมขาย  คำเสนอซื้อรถยนต์ของนายจันทร์ย่อมสิ้นความผูกพัน  ต่อมานายอังคารมีจดหมายไปถึงนายจันทร์อีกครั้งตกลงขายรถยนต์ให้ในราคา  350,000  บาท  จึงเป็นคำเสนอขึ้นใหม่  นายจันทร์ตอบตกลงซื้อพร้อมแนบเช็คจำนวน  350,000  บาท  แต่ก่อนที่จดหมายไปถึงนายอังคาร  รถยนต์ถูกไฟไหม้เสียหายก่อนจดหมายมาถึง  เมื่อจดหมายมาถึงแม้จะเกิดสัญญาแต่รถยนต์ที่ตกลงซื้อขายไม่มีอยู่  เมื่อรถยนต์ที่ตกลงซื้อขายไม่อยู่  วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายจึงเป็นพ้นวิสัยตกเป็นโมฆะตามมาตรา  150  คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม  นายอังคารต้องคืนเงิน  350,000  บาท  ที่รับไว้ให้นายจันทร์ฐานลาภมิควรได้

สรุป  นายอังคารต้องคืนเงิน  350,000  บาท  แก่นายจันทร์ตามหลักกฎหมายและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น

 

 

ข้อ  2  นายสำลีกำลังจะย้ายบ้าน  จึงได้นำสิ่งของบางอย่างในบ้านออกขายเลหลังที่สนามหน้าบ้าน  มีทั้งที่เป็นเฟอร์นิเจอร์  ทีวี คอมพิวเตอร์  มือถือ ฯลฯ  นาสีได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งจากการขายครั้งนั้นของนายสำลี  ในราคา  3,000  บาท  ทั้งนายสาลีและนายสีไม่ทราบว่ามือถือเครื่องนั้นเป็นของนายเสาร์ที่ถูกขโมยมา  

นายสีได้นำมาให้ร้านซ่อมมือถือเช็คเครื่องดูพบว่าเครื่องใช้ได้แต่มีรอยตำหนิอยู่ที่กระจกหน้าตัวเครื่อง  ใช้น้ำยาทำความสะอาดแล้วก็ยังไม่ออก  นายสีเสียค่าเปลี่ยนกระจกหน้าจอมือถือและค่าแรงไป  800  บาท  แต่ร้านซ่อมจำได้ว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นเป็นของที่ร้านขายให้นายเสาร์

และนายเสาร์ทำหาย  จึงแจ้งให้นายเสาร์ทราบ นายเสาร์ได้พาเจ้าพนักงานตำรวจมาเรียกคืนจากนายสี  นายสีจึงคืนให้นายเสาร์ไป

เมื่อคืนโทรศัพท์มือถือให้นายเสาร์ไปได้  4  เดือน  ถ้านายสีจะมาฟ้องร้องให้นายสาลีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นและค่าซ่อมเปลี่ยนจอมือถือ  800  บาท  จากนายสาลี  นายสาลีจะต้องรับผิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา  475  หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข  เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี  เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี  ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 

มาตรา  481  ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม  หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก  หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้  ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันคำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด  หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ  หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประเด็นที่หนึ่ง

นายสาลีจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรอนสิทธิหรือไม่  ตามปัญหา  นายสีได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งจากการขายเลหลังของนายสาลีในราคา  3,000  บาท  ทั้งนายสาลีและนายสีไม่ทราบว่ามือถือเครื่องนั้นเป็นของนายเสาร์ที่ถูกขโมยมา  นายสาลีได้นำมาให้ร้านซ่อมมือถือเช็คเครื่องดู

แต่ร้านซ่อมจำได้ว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นเป็นของที่ร้านขายให้นายเสาร์  และนายเสาร์ทำหาย  จึงแจ้งให้นายเสาร์ทราบ  นายเสาร์ได้พาเจ้าพนักงานตำรวจมาเรียกคืนจากนายสี  นายสีจึงคืนให้นายเสาร์ไป  จึงเป็นกรณีที่ผู้ซื้อ (นายสี)  ถูกรบกวนขัดสิทธิโดยบุคคลภายนอก  (นายเสาร์)  ไม่ให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองทรัพย์สิน  (โทรศัพท์มือถือ)  โดยปกติสุข เพราะบุคคลนั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายโดยชอบด้วยกฎหมาย  ซึ่งตามหลักทั่วไปแล้วผู้ขาย (นายสาลี)  ต้องรับผิดแม้จะไม่ทราบถึงเหตุแห่งการรอนสิทธิก็ตาม  ตามมาตรา 475  แต่การที่นายสีได้คืนโทรศัพท์มือถือให้นายเสาร์ไปได้  4  เดือน  แล้วจึงจะมาฟ้องร้องให้นายสาลีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการรอนสิทธินั้น  เป็นกรณีที่นายสีผู้ซื้อยอมตามที่บุคคลภายนอก  (นายเสาร์)  เรียกร้อง  ซึ่งกฎหมายห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือน  นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้อง  ตามมาตรา  481  ดังนั้น  นายสาลีจึงมีสิทธิอ้างอายุความดังกล่าวยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดได้

ประเด็นที่สอง

นายสาลีจะต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องหรือไม่  ตามปัญหา  เมื่อนายสีซื้อโทรศัพท์มือถือจากการขายเลหลังของนายสาลีแล้วได้นำมาให้ร้านซ่อมมือถือเช็คเครื่องดูพบว่า  เครื่องใช้ได้แต่มีรอยตำหนิอยู่ที่กระจกหน้าตัวเครื่อง  ใช้น้ำยาทำความสะอาดแล้วก็ยังไม่ออก  นายสีเสียค่าเปลี่ยนกระจกหน้าจอมือถือและค่าแรงไป  800  บาท  ดังนี้  นายสาลีไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา  472  เพราะนายสีซื้อโทรศัพท์มือถือที่เป็นของเก่าจึงไม่เสื่อมราคา  และไม่เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ  ประโยชน์มุ่งหมายโดยสัญญา  เพราะโทรศัพท์มือถือที่นายสีซื้อจากนายสาลีนั้นยังสามารถใช้ได้  เพียงแต่มีตำหนิที่กระจกหน้าตัวเครื่องเท่านั้น  ไม่ทำให้โทรศัพท์ชำรุดบกพร่อง

สรุป  นายสาลีไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้น  และค่าซ่อมเปลี่ยนจอมือถือ  800  บาท

 

 

ข้อ  3  นายไก่นำบ้านและที่ดินไปขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  10  ปี  ในราคา  2,150,000  บาทถ้วน  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  หลังจากทำสัญญาได้ครบ  1  ปี  นายไก่ได้ไปขอใช้สิทธิในการไถ่  พร้อมนำเงิน  1,150,000  บาท  แต่นายไข่ปฏิเสธว่ายังไม่ครบกำหนด  10  ปี  และสินไถ่ไม่ครบ

1)    นายไก่จะใช้สิทธิไถ่เมื่อเวลาผ่านไปเพียง  1  ปี  ได้หรือไม่

2)    ข้ออ้างของนายไข่ที่จะปฏิเสธไม่รับไถ่รับฟังได้หรือไม่ว่า  สินไถ่ไม่ครบ  และยังไม่ถึงกำหนดเวลาไถ่

ธงคำตอบ

มาตรา  491  อันว่าขายฝากนั้น  คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ  โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์  กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา  499  วรรคสอง  ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

1)    นายไก่ขายฝากบ้านและที่ดินแก่นายไข่ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  10  ปี  ในราคา  2,150,000  บาท  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามกำหมาย  เมื่อเวลา  ผ่านไป  1  ปี  นายไก่ได้ใช้สิทธิไถ่บ้านและที่ดินดังกล่าว  นายไข่จะปฏิเสธว่ายังไม่ครบกำหนด  10  ปี  จึงไม่ให้ไถ่ย่อมทำไม่ได้  เพราะนายไก่จะใช้สิทธิไถ่เมื่อไรก็ได้นับแต่ทำสัญญาขายฝาก  หากกำหนดระยะเวลาในการขายฝากยังไม่สิ้นสุด  (บ้านและที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์  จึงมีกำหนดเวลาไถ่คืน  10  ปีนับแต่เวลาซื้อขาย)  และสินไถ่พร้อมตามมาตรา  491  และมาตรา  194(1)

2)    ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้ในกรณีสินไถ่ไม่ครบ  เพราะตามสัญญาได้กำหนดไถ่คืน  10  ปี  กฎหมายกำหนดไว้ว่า  ถ้าหากราคาขายฝากและสินไถ่แตกต่างกันก็ให้ผู้รับซื้อฝากคิดประโยชน์ได้ไม่เกิน  15%  ตามมาตรา  499  วรรคสอง  ในกรณีตามโจทย์คู่สัญญากำหนดสินไถ่โดยถูกต้องตามกฎหมาย  ซึ่งได้ให้สิทธิไว้คือประโยชน์  15%  ภายใน  10  ปีก็เป็นเงิน  1,150,000  บาท  ซึ่งรวมราคาขายสินไถ่ที่ถูกต้องจะต้องเป็น  2,150,000  บาท  แต่จะอ้างว่าการไถ่ต้องครบกำหนดเวลา  10  ปี  รับฟังไม่ได้  เพราะนายไก่จะขอใช้สิทธิไถ่เมื่อใดก็ได้

สรุป

1)    นายไก่ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินคืนได้แม้เวลาผ่านไปเพียง  1  ปี

2)    ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้ในกรณีสินไถ่ไม่ครบ  ส่วนข้ออ้างที่ว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาไถ่ฟังไม่ขึ้น 

Advertisement