การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงโครงสร้างของประเทศสหรัฐอเมริกา  ระบบการปกครองและการจัดตั้งสถาบันการปกครองหลักของประเทศดังกล่าวมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

ประเทศสหรัฐอเมริกา  ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น  ที่เรียกว่า  สหพันธรัฐ  หรือเรียกสั้นๆว่า  สหรัฐ  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก  รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ  ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน  โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า  รัฐธรรมนูญใหม่  หรือ  รัฐธรรมนูญกลาง

ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  มี  2  ประการ  คือ

1       ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

2       มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  กล่าวคือ  เป็นอิสระจากกัน  ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน  ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร  สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา  มีดังนี้

ก.      สถาบันนิติบัญญัติ  (สภาคองเกรส)

รัฐสภาอเมริกัน  เรียกว่า  สภาคองเกรส (Zcongress)  ประกอบด้วย  2  สภา คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากกการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  แบบเสียงข้างมากรอบเดียว  มีวาระในการดำลงตำแหน่ง  2  ปี  มีจำนวนทั้งสิ้น  435  คน  รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน  ดี.ซี.  อีก  3  คน  ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด  438 คน

คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  คือ  ต้องมีอายุ  25  ปีขึ้นไป  และมีสัญชาติอเมริกันมาแล้วอย่างน้อย  7  ปี

2       สภาสูงหรือวุฒิสภา  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  2  คนต่อ  1  มลรัฐ  รวมทั้งสิ้นจำนวน  100 คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  6  ปี  แต่สมาชิก  1  ใน  3  ของทั้งหมดจะต้องจับถูกสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ  2  ปี  ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา คือ  ต้องมีอายุตั้งแต่  30  ปีขึ้นไปและได้สัญชาติอเมริกันมาแล้ว  9  ปีขึ้นไป

สมาชิกของสภาคองเกรสได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นเดียวกับสมาชิกของสภาทั่วๆไปในรัฐสมัยใหม่  นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นภาษี  ค่าใช้จ่ายของเลขานุการ  เงื่อนไขในการทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสยังดีกว่าสมาชิกของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสาร

อำนาจหน้าที่ของสภาเกรส

1       อำนาจในการตรากฎหมายและการตรากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ  ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจในเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมกัน  ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีอากรจะต้องริเริ่มโดยสภาผู้แทนราษฎร

2       อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  การริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งจากสภาคองเกรส  หรือจากสภานิติบัญญัติของมลรัฐต่างๆ

3       อำนาจในการเลือกตั้งแทน  เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี  และรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ถ้าปรากฏว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน  กรณีนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีส่วนวุฒิสภาก็จะใช้สิทธิเลือกรองประธานาธิบดี

4       อำนาจอื่นๆของสภาคองเกรส  เช่น  ดูแลการบริหารของหน่วยงานบริการสาธารณสุขตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา

อำนาจหน้าที่เฉพาะของสภาสูงหรือวุฒิสภาของอเมริกา

1       ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหพันธรัฐ

2       ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศ  โดยต้องได้รับการให้สัตยาบันจากสภาสูงด้วยคะแนนเสียง  2  ใน  3

ข.      สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา

ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

ค.      สถาบันตุลาการ  (ศาลยุติธรรมสูงสุด)

ศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงโดยหน้าที่หลักๆของศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้แก่

1       ควบคุมดูแลมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัด  หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกลาง

2       พิจารณาพิพากษาในกรณีมีการกล่าวหาทูต  กงสุล  รัฐมนตรี  หรือรัฐสมาชิก

 

ข้อ  2  ท่านมีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญอย่างไร  และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  อย่างไร  ขอให้ท่านอธิบายมาพอสังเขป

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญโดยทั่วไปแล้ว  หมายถึง  บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีศักดิ์ทางกฎหมายสูงกว่ากฎหมายอื่นใด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีศักดิ์สูงกว่าพระราชบัญญัติ  อย่างไรก็ตามหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้มีการยอมรับเสมอไป  โดยจำเป็นที่จะต้องแยกถึงความแตกต่างระหว่างรัฐธรรมนูญที่มิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร  และที่บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร

สำหรับรัฐธรรมนูญที่มิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น  รัฐธรรมนูญมีศักดิ์เท่ากับกฎหมายธรรมดา  การเป็นรัฐธรรมนูญก็เพียงเพราะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปจากกฎหมายธรรมดาเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม  ในประเทศที่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร  จะถือว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมีศักดิ์สูงกว่าบทบัญญัติในกฎหมายอื่นๆ  และถือเป็นกฎหมายสูงสุด  ซึ่งกฎหมายธรรมดาจำต้องเคารพบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ  โดยจะไปขัดหรือแย้งหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ได้  กฎหมายหรือแม้แต่กฎซึ่งออกโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมีผลเป็นโมฆะ  และไม่มีผลในทางกฎหมายแต่อย่างใด

ประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด  กฎหมายอื่นๆจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้  (ตามมาตรา  6)  องค์กรที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ได้แก่  ศาลรัฐธรรมนูญ  ซึ่งอาจแยกวิธีการในการควบคุมได้เป็น  2  กรณี  คือ

1       กรณีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญก่อนที่จะมีการประกาศใช้

เมื่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  หรือร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว  หรือถือว่าให้ความเห็นชอบแล้ว  ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อนถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย  (มาตรา  262)

(1) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า  1  ใน  10  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา  เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร  ประธานวุฒิสภา  หรือประธานรัฐสภา  แล้วแต่กรณี  แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคาวามเห็นดังกล่าว  ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย  และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

(2) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า  20  คน  เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้  ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร  ประธานวุฒิสภา  หรือประธานรัฐสภาแล้วแต่กรณี  แล้วให้ประธานสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย  และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า 

(3) หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติ  หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  ให้ส่งความเห็นเช่นว่านั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย  และแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร  และประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า

อนึ่ง  ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย  นายกรัฐมนตรีจะต้องระงับการดำเนินการเพื่อประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติ  หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

2       กรณีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญภายหลังที่มีการประกาศใช้

มาตรา  264  ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว  และส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย

ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย  ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว

มาตรา  198  ในกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

นอกจากนี้ยังมีกรณีอื่นๆเช่น  ตามมาตรา  219  ที่บัญญัติให้ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะได้อนุมัติพระราชกำหนดใดตามมาตรา  218  วรรคสาม  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา  มีสิทธิเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าพระราชกำหนดนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา  218  วรรคหนึ่ง  กล่าวคือ  การออกพระราชกำหนดของคณะรัฐมนตรี  มิได้ออกมาเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ  ความปลอดภัยสาธารณะ  ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ  หรือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะนั่นเอง  โดยให้ประชาชนแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย

 

ข้อ  3  จงอธิบายกระบวนตราพระราชกำหนด

ธงคำตอบ

พระราชกำหนด  เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งเป็นการบัญญัติกฎหมายในกรณีพิเศษโดยไม่ต้องอาศัยกระบวนการนิติบัญญัติธรรมดา  และพระราชกำหนดดังกล่าวนี้มีศักดิ์ฐานะเทียบเท่ากับพระราชบัญญัติที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเลยทีเดียว

พระราชกำหนดมี  2  ประเภท

1       พระราชกำหนดทั่วไป  เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีเหตุฉุกเฉิน  จำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้  จึงออกพระราชกำหนดเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ  ความปลอดภัยสาธารณะ  ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ  หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ  (มาตรา  218)

2       พระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา  เป็นการออกพระราชกำหนดในระหว่างสมัยประชุมสภา  ซึ่งถ้ามีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตราที่จะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ  นายกรัฐมนตรีสามารถนำร่างพระราชกำหนดทูลเกล้าฯ  ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยใช้บังคับได้  (มาตรา  220)

กระบวนการในการตราพระราชกำหนด

–                    ผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชกำหนด  คือ  รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกำหนดนั้น

–                    ผู้มีอำนาจพิจารณาร่างพระราชกำหนด  คือ  คณะรัฐมนตรี

–                    ผู้มีอำนาจตราพระราชกำหนด  คือ  พระมหากษัตริย์

–                    เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว  พระราชกำหนดก็ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

อนึ่ง  รัฐธรรมนูญกำหนดให้พระราชกำหนดเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว  คณะรัฐมนตรีจะต้องมีการเสนอพระราชกำหนดดังกล่าวให้รัฐสภาอนุมัติอีกครั้งหนึ่ง  โดยแยกพิจารณาตามประเภทของพระราชกำหนดได้ดังนี้

พระราชกำหนดทั่วไป  คณะรัฐมนตรีต้องเสนอพระราชกำหนดต่อรัฐสภาในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป  เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาโดยไม่ชักช้า

พระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา  คณะรัฐมนตรีจะต้องนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรภายใน  3  วัน  นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ผลของการอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนด

1       กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัติพระราชกำหนดให้มีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป

2       กรณีสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติ  พระราชกำหนดนั้นเป็นอันตกไป  แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนกิจการที่เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น

3       กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติพระราชกำหนด  แต่วุฒิสภาไม่อนุมัติ  และสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  ให้พระราชกำหนดนั้นตกไป  แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น

4       กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัติพระราชกำหนด  หรือวุฒิสภาไม่อนุมัติและสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  ให้พระราชกำหนดนั้นมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป

 

ข้อ  4  คณะรัฐมนตรีได้เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  มาตรา  107(3)  แก้ไขเป็น  ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาโทหรือเทียบเท่า  ต่อมาประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดน่านไม่น้อยกว่า  5  หมื่นคน  เห็นว่าเป็นการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญตามมาตรา  30  เรื่องความเสมอภาคของบุคคลในกฎหมาย  จึงได้ร่วมกันเข้าชื่อร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาว่า  ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของคณะรัฐมนตรี  ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่  และยังได้ร่วมกันเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ  มาตรา  107(3)  จากเดิมแก้ไขเป็น  ให้ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย  เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาโดยทั้งนี้ได้จัดทำเป็นร่างรัฐธรรมนูญฯ  เสนอมาด้วย  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.  2540  ในกรณีดังกล่าวนี้ การเสนอญัตติของคณะรัฐมนตรีชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่  และประชาชนจำนวนดังกล่าวนี้สามารถจะยื่นเรื่องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่อย่างไร  รวมทั้งสามารถร่วมกันเข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  313  การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะกระทำได้ก็แต่โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้

(1) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี  หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเสนอหรือร่วมเสนอญัตติดังกล่าวด้เมื่อพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นสังกัดมีมติให้เสนอได้

ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะเสนอมิได้

มาตรา  170  ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน  มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่กำหนดในหมวด  3 และหมวด  5  แห่งรัฐธรรมนูญนี้

การเสนอญัตติของคณะรัฐมนตรีชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ  ตามมาตรา  313  และกรณีดังกล่าวนี้ก็ไม่เป็นญัตติขอแกไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นข้อห้ามตามมาตรา  313  วรรค  2  ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า  5  หมื่นคน  จะยื่นเรื่องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของคณะรัฐมนตรีขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น  ในกรณีดังกล่าวนี้ไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ  หรือกฎหมายอื่นใดที่ให้สิทธิหรืออำนาจแก่ประชาชนจำนวนดังกล่าวในการที่จะยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยในกรณีนี้ได้

นอกจากนี้ตามบทบัญญัติมาตรา  313  ก็ไม่ได้ให้สิทธิแก่บุคคลใดในการเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีนี้  ดังนั้นในการร่วมกันเข้าชื่อของประชาชนจำนวนดังกล่าวเพื่อเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถกระทำได้  และกรณีก็ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิตามมาตรา  170  เพื่อร้องขอให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่กำหนดไว้ในหมวด  3  (สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย)  และหมวด  5  (แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ)แต่อย่างใด 

 

Advertisement