แนวข้อสอบชุดพิเศษ 1 สำหรับเตรียมสอบภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา ENG 2002 การอ่านตีความภาษาอังกฤษ

Part I : Seen Passages (เนื้อเรื่องในตำรา)

Advertisement

A : Directions : Read the following passage. Then blacken 1 for a true statement and blacken 2 for a false statement.

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วระบาย 1 หากเป็นข้อความที่ถูกต้อง และระบาย 2 หากเป็นข้อความที่ผิด

1.         Inferences can be seen clearly because the writer often puts them in the sentences.

ถาม     นัยยะต่าง ๆ นั้นเราสามารถเห็นได้ชัดเจน เพราะผู้เขียนมักจะเขียนมันลงไปในประโยค

ตอบ 2 : (ผิด) นัยยะต่าง ๆ (Inferences) นั้นจะเกิดจากวิเคราะห์สรุปความ (Inference) ซึ่งผู้เขียนไม่ได้เขียนไว้ตรง ๆ ในประโยค

2.         Whenever you read, you should survey the reading material first.

ถาม     เมื่อใดก็ตามที่คุณอ่าน คุณควรสำรวจดูเนื้อหาที่คุณจะอ่านก่อน

ตอบ 1  (ถูก) เมื่อคุณจะอ่านบทความใด ๆ คุณควรสำรวจก่อนว่าเนื้อหาที่คุณจะอ่านนั้นเกี่ยวกับ เรื่องอะไร เพื่อคุณจะได้กำหนดวัตถุประสงค์ในการอ่านได้ถูกต้อง และเลือกใช้วิธีการอ่าน ได้อย่างเหมาะลม

3.         The only way to find the right meanings of new words is to use a dictionary.

ถาม     วิธีการเดียวที่จะหาความหมายที่ถูกต้องของคำศัพท์ใหม่ ๆ ก็คือการใช้พจนานุกรม

ตอบ 2  (ผิด) วิธีการหาความหมายของคำศัพท์ใหม่ ๆ นอกจากการใช้พจนานุกรมแล้ว เรายังสามารถ ใช้วิธีการเดาศัพท์จากบริบท (Contextual Clues) ข้างเคียง หรือจาก Prefix, Suffix ก็ได้

4.         In order to understand a reading, you must be able to translate every word that you do not know.

ถาม     เพื่อที่จะเข้าใจในการอ่าน คุณจะต้องสามารถแปลคำศัพท์ทุกคำที่คุณไม่รู้

ตอบ 2  (ผิด) ในการอ่านคุณไม่จำเป็นต้องสามารถแปลคำศัพท์ได้ทุกคำ แต่อาจใช้วิธีการเดาศัพท์ เช่นเดียวกับวิธีการในข้อ 3.

5.         Reading aloud will help you find the main idea of the reading material.

ถาม     การอ่านด้วยเสียงดังจะช่วยให้คุณสามารถหาใจความสำคัญของเนื้อหาที่คุณอ่านได้

ตอบ 2  (ผิด) การหาใจความสำคัญไม่อาจช่วยได้ด้วยการอ่านเสียงดัง เพราะการอ่านออกเสียง จะทำให้ความเร็วในการอ่านลดลงและไม่ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจ

6.         Critical reading involves thinking about what is on the page and what it means to you after you have finished reading it.

ถาม     การอ่านเพื่อการศึกษาข้อเท็จจริงจะประกอบด้วยการคิดว่ามันกำลังพูดถึงเรื่องอะไรในแต่ละหน้าและมันต้องการจะบอกอะไรกับคุณ หลังจากที่คุณอ่านจบแล้ว

ตอบ 1  (ถูก) การอ่านเพื่อการศึกษาข้อเท็จจริงต้องอาศัยเทคนิคการวิเคราะห์ในการอ่าน โดยการ เข้าใจในเนื้อหาที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอด ตลอดจนนัยยะต่าง ๆ และจุดประสงค์ของผู้เขียนด้วย

7.      The main idea of a paragraph or a passage is its purpose or the reason that it was written.

ถาม     ใจความสำคัญในแต่ละย่อหน้าหรือในแต่ละเนื้อเรื่องก็คือจุดประสงค์หรือเหตุผลองการเขียนย่อหน้าหรือเนื้อเรื่องนั้น ๆ

ตอบ 2  (ผิด) ใจความสำคัญ คือ เนื้อหาหรือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการบอกผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องที่เขาเขียน โดยมีประโยคอื่น ๆ มาสนับสนุนหรืออธิบายเพื่อให้ใจความสำคัญนั้นชัดเจนขึ้น ส่วนจุดประสงค์ ของการเขียนคือเป้าหมายต่าง ๆ ของการเขียน เช่น เพื่อต้องการให้ความเพลิดเพลิน เพื่อเสนอข้อมูล หรือเพื่อชักจูง เป็นต้น

8.      English) has a system of reference words that enable you to see the connections between sentences and even within sentences.

ถาม     ภาษาอังกฤษมีระบบของคำที่ใช้อ้างอิง ซึ่งสามารถทำให้คุณเห็นการเชื่อมโยงระหว่างประโยคกับประโยค หรือภายในประโยคนั้น ๆ

ตอบ 1  (ถูก) ในภาษาอังกฤษมีการใช้ระบบคำอ้างอิง คือ การที่ผู้เขียนเชื่อมโยงความคิดของ เนื้อหาของเรื่อง โดยการใช้คำหรือวลีแทนคำหรือข้อความที่ได้กล่าวไปแล้ว โดยไม่ต้อง กล่าวคำหรือข้อความนั้น ๆ ซ้ำอีก เข่น this, that, he, they เป็นต้น

B : Directions : Read the following passages. Then choose the best answer for each question.

คำสั่ง : จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามแต่ละข้อ

Passage. 1

Early humans, the hunter-gatherers and the first agrarian societies, were intimately connected to the earth’s natural processes. They understood on a gut level the importance of sun and rain, for example. Without them, these people died of thirst and starvation. For them, the link was clear and immediate. We have, in the last few thousand years, progressed to the point where this link to nature is totally invisible to much of our population. Water comes from faucets, food from stores.

มนุษย์ในยุคโบราณซึ่งเป็นนักเก็บของป่าล่าสัตว์ และรวมตัวกันเป็นสังคมเกษตรกรรมยุคแรก ๆ จะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับกระบวนการทางธรรมชาติของโลก ยกคัวอย่างเช่น พวกเขาเข้าใจถึง ความสำคัญของแสงแดดและฝนเป็นอย่างดี ถ้าหากปราศจากสิ่งเหล่านี้ ผู้คนเหล่านั้นก็จะตายเพราะความ กระหายและความอดอยากหิวโหย สำหรับพวกเขาแล้วความสัมพันธ์นี้มีความชัดเจนและใกล้ชิดโดยตรง ในข่วง 2-3 พันปีที่ผ่านมานี้ เราพัฒนามาถึงจุดที่ประชากรจำนวนมากของเราไม่สามารถมองเห็น ความสัมพันธ์กับธรรมขาติในลักษณะนี้ได้โดยสิ้นเชิงเพราะเห็นแค่ว่าน้ำมาจากก๊อกน้ำ อาหารมาจากร้านค้า

9.      What is the main idea of the paragraph ?

(1)    All people in the past earned their living as farmers.

(2)    The increase in world population is the result of world progress.

(3)    Man in the past clearly saw himself as related to nature better than modern man.

(4)    Unlike people in the past, people today are more concerned with natural environment.

ถาม     อะไรคือใจความสำคัญของย่อหน้านี้

1.         ผู้คนในอดีตทุกคนหาเลี้ยงชีพโดยการเป็นเกษตรกร

2.         การเพิ่มขึ้นของประขากรโลกเป็นผลจากความก้าวหน้าของโลก

3.         มนุษย์ในอดีตมองเห็นว่าตัวเองเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้ชัดเจนกว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบัน

4.         ต่างกับผู้คนในอดีต ผู้คนในยุคนี้จะมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติมากกว่า

ตอบ 3  ในย่อหน้านี้ผู้เขียนบอกว่า คนในสมัยก่อนจะเข้าใจถึงความสำคัญของธรรมชาติ มองเห็นความเชื่อมโยงของตัวเองกับธรรมชาติโดยตรง ส่วนคนสมัยนี้มักจะมองไม่เห็นความสำคัญ ดังกล่าว

10.       The pronoun “them” refers to______.

(1) early humans (2) agrarian societies

(3) natural processes (4)  sun and rain

ถาม คำสรรพนาม “them” อ้างอิงถึง                    

1. มนุษย์ในสมัยก่อน   2. สังคมเกษตรกรรม

3. กระบวนการทางธรรมชาติ  4. แสงแดดและฝน

ตอบ 4  ตัวอ้างอิง “them” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความที่กล่าวไปแล้ว ในที่นี้ them = sun and rain

11.       The last sentence of the paragraph shows that now people are ______ nature.

(1) more close to       (2) disconnected from

(3) superior to   (4) inferior to

ถาม     ประโยคสุดท้ายของย่อหน้าแสดงให้เห็นว่าในปัจจุบัน ผู้คน_____ธรรมชาติ

1. มีความใกล้ชิดมากขึ้นกับ    2. ขาดความเชื่อมโยงกับ

3. อยู่เหนือ       4. ด้อยกว่า

ตอบ 2  เพราะมองไม่เห็บว่าตัวเองต้องพึ่งพาธรรมชาติโดยตรง

12.       The idea of______is discussed in the paragraph.

(1) interdependence (2) natural process (3) simplicity      (4) modernization

ถาม     ความคิดเรื่อง______ถูกกล่าวถึงในย่อหน้านี้

1. การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน          2. กระบวนการทางธรรมชาติ

3. ความเรียบง่าย        4. การทำให้ทันสมัย

ตอบ 1  นั่นคือ การพึ่งพาอาศัยระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มนุษย์ต้องเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ

Passage 2

1 We will order the discussion by approaching it from the view of normative ethics, as opposed to what’s termed metaethics. 2 Normative ethics is that branch of ethics that makes judgments about obligation and value. 3 It attempts to establish standards or norms about how we ought to behave and what we should pursue. 4 Metaethics, on the other hand, does not make judgements about what is right or wrong. 5 Mataethics explains the precise meaning of the ethical words and statements used in judgements of normative ethics and determines what reasons support or contradict such judgements.

(1)    เราจะลำดับการอธิบายนี้โดยเริ่มจากเรื่องของจริยศาสตร์ปทัสถานก่อน ซึ่งจะแตกต่างกับ สิ่งที่เราเรียกว่า อภิจริยศาสตร์  (2)อย่างเห็นได้ซชัด จริยศาสตร์ปทัสถาน คือ สาขาหนึ่งของวิชาจริยศาสตร์ ที่ตัดสินเกี่ยวกับข้อผูกมัดและคุณค่า (3)สาขาวิขานี้จะพยายามกำหนดมาตรฐานหรือบรรทัดฐานว่าเรา ควรจะประพฤติตัวอย่างไร และอะไรที่เราควรแสวงหา (4) ในทางตรงกันข้าม อภิจริยศาสตร์ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับว่าอะไรผิดและอะไรถูก (5)อภิจริยศาสตร์จะอธิบายถึงความหมายที่ถูกต้องของคำหรือข้อความ ทางจริยศาสตร์ที่จริยศาสตร์ปทัสถานใช้ในการตัดสิน และกำหนดว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่สนับสนุบหรือขัดแย้ง กับการตัดสินดังกล่าว

13.    What is the topic of the passage ?

(1) The right judgement  (2) A direct approach

(3) Ethics (4) Obligation and value

ถาม     ชื่อเรื่องของเนื้อเรื่องนี้คืออะไร

1. การตัดสินที่ถูกต้อง 2. การเข้าถึงโดยตรง            3. จริยศาสตร์ 4. ข้อผูกมัดและคุณค่า

ตอบ 3  เนื้อเรื่องนี้พูดถึงเรื่องจริยศาสตร์ นั่นคือ จริยศาสตร์ปทัสถาน และอภิจริยศาสตร์

14.    Normative ethics is defined in sentence/s______.

(1) 1         (2) 2 and 3          (3) 4     (4) 4 and 5

ถาม     มีการให้คำนิยามคำว่า จริยศาสตร์ปทัสถาน ไว้ในประโยคที่________  

1. 1  

2.2 และ 3   

3. 4  

4. 4 และ 5

ตอบ 2  จากประโยคที่ 2 และ 3

15.    It can be concluded from the passage that normative ethics deals with_______.

(1) evaluation (2) objectivity  (3) hard work   (4) definition

ถาม     สามารถสรุปจากเนื้อเรื่องนี้ได้ว่า จริยศาสตร์ปทัสถานเกี่ยวข้องกับ   

1. การประเมินคุณค่า            2. การยึดถือวัตถุ

3. การทำงานหนัก      4. การนิยามหรือให้คำจำกัดความ

ตอบ 1  จากประโยคที่ 3

16.    “It is not stupid to be straight at all costs ?” This is a_______type of question based on the information in this paragraph.

(1) metaethical         (2) normative  (3) logical          (4) stupid

ถาม     มันไม่ใช่สิ่งที่โง่เง่าเลยใช่ไหมที่เราจะบอกราคาทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา” นี่คือรูปแบบของคำถาม______โดยอาศัยข้อมูลในย่อหน้านี้เป็นหลัก

1. เชิงอภิจริยศาสตร์  2. เชิงปทัสถาน          3. มีเหตุผล 4. โง่เง่า

ตอบ 2  พิจารณาจากเนื้อเรื่อง

17.    Sentence 5______.

(1)    is an example to support sentence 4

(2)    is the topic sentence of this paragraph

(3)    clarifies the point presented in sentence 4

(4)    concludes the idea discussed in this paragraph

ถาม ประโยคที่ 5________

1.         เป็นตัวอย่างที่จะไปสนับสนุนประโยคที่ 4

2.         เป็นประโยคหลักหรือประโยคใจความสำคัญของย่อหน้านี้

3.         ขยายประเด็นที่อยู่ในประโยคที่ 4 ชัดเจนขึ้น

4.         สรุปความคิดที่อภิปรายไว้ในย่อหน้านี้

ตอบ 3  ประโยคที่ 5 ขยายประเด็นที่อยู่ในประโยคที่4ชัดเจนขึ้นโดยอธิบายว่าอภิจริยศาสตร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

18. In this paragraph, the author______

(1) establishes a standard (2) raises a question

(3) makes judgements (4) compares two terms

ถาม ในย่อหน้านี้ ผู้เขียน_______

1. กำหนดมาตรฐาน 2. ยกประเด็นขึ้นมาถาม

3. ทำการตัดสิน 4. เปรียบเทียบคำศัพท์สองคำ

ตอบ 4  นั่นคือ จริยศาสตร์ทัสถาน (normative ethics) และอภิจริยศาสตร์ (metacthics)

Passage 3

Deforestation is occurring most rapidly in tropical regions of the world. Most forests in other climatic areas have already been affected by human beings. They have been destroyed or preserved or systematically cut and replanted. There are two reasons why jungles are now in danger. One is the mechanization of the logging industry. The second is the world’s hunger for forest products. These jungles are the world’s largest and last reserved of timber. Because the world needs the wood that these forests supply, they will probably be cut. Scientists, however, want to convince countries with 1๐15^ stands of tropical trees to manage their forests so that they will continue to produce.

การตัดไม้ทำลายป่ากำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในพื้นที่เขตร้อนขึ้นของโลก ส่วนป่าในพื้นที่ สภาพอากาศแบบอื่น ๆ ส่วนใหญ่ต่างก็ได้รับผลกระทบไปแล้วจากฝีมือของมนุษย์ พวกมันถูกโค่นทำลาย หรือไม่ก็ถูกสงวนเอาไว้หรืออาจถูกตัดแล้วปลูกทดแทนขึ้นมาใหม่อย่างเป็นระบบ มีเหตุผลอยู่ 2 ประการ ว่าทำไมป่าดงดิบปัจจุบันจึงตกอยู่ในอันตราย ประการแรกคือการใช้เครื่องจักรในการทำอุตสาหกรรมป่าไม้ ประการที่สองคือการที่โลกต้องการผลผลิตจากป่าไม้อย่างมาก ป่าดงดิบเหล่านี้เป็นแหล่งไม้ซุงแหล่งสุดท้าย ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เพราะการที่โลกเราต้องการไม้ที่ป่าเหล่านี้มีอยู่ พวกมันจึงน่าจะต้องถูกตัดไปอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ต้องการที่จะโน้มน้าวประเทศต่าง ๆ ที่มีพื้นที่ป่าร้อนขึ้นที่กว้างใหญ่ให้มีการ จัดการต้านป่าไม้ของพวกเขา เพื่อที่ว่าพวกมันจะสร้างผลผลิตได้อีกต่อไป

19. The paragraph is about_______

(1) forests in tropical countries (2) deforestation in tropical areas (3) effects of deforestation (4) deforestation in all climatic areas

ถาม ย่อหน้านี้เกี่ยวกับ

1. ป่าไม้ในประเทศเขตร้อนชื้น 2. การตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อนชื้น

3. ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า 4. การตัดไม้ทำลายป่าในเขตพื้นที่ทุกสภาพอากาศ

ตอบ 2  ย่อหน้านี้พูดถึงการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อนชื้น ซึ่งต้องการจะบอกว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นอย่าง รวดเร็วด้วยสาเหตุ 2 ประการ

20.       According to the paragraph, which is correct ?

(1)       Tropical countries preserve their forests.

(2)       Only tropical forests suffer from deforestation.

(3)       Most forests in other climatic areas are not original ones.

(4)       The main cause of deforestation is that people need timber.

ถาม จากย่อหน้า ข้อใดถูกต้อง

1.         ประเทศในแถบร้อนชื้นมีการสงวนรักษาป่าไม้ของตนเอาไว้

2.         มีเพียงป่าไม้ในเขตร้อนชื้นเท่านั้นที่ประสบปัญหาการทำลายป่า

3.         ป่าไม้ส่วนใหญ่ในเขตสภาพอากาศอื่นไม่ใช่ป่าที่มีมาแต่เดิม

4.         สาเหตุหลักของการทำลายป่าก็คือมนุษย์ต้องการไม้

ตอบ 4  จากสาเหตุ 2 ประการของการตัดไม้ทำลายป่า ก็เนื่องจากมนุษย์ต้องการไม้ ดังที่กล่าวไว้ใน ประโยคที่ 6-8

21.       According to the paragraph, an example of “forest products” is_______.

(1)       timber      (2) drugs   (3) animals        (4) water

ถาม     จากย่อหน้า ตัวอย่างของ ผลผลิตจากป่าไม้” คือ_______       

1.         ไม้ซุง    2. ยา   3. สัตว์     4. น้ำ

ตอบ 1  ผลผลิตจากป่าไม้” ในที่นี้น่าจะหมายถึงเฉพาะไม้ ซึ่งได้ขยายความไว้ในประโยคที่ 7 และ 8

22.       Which of the following is a country with jungles ?

(1) New Zealand        (2) Russia  (3) Italy      (4) Malaysia

ถาม     ประเทศใดต่อไปนี้เป็นประเทศทีมีป่าเขตร้อนชื้น

1. นิวซีแลนด์   2. รัสเซีย          3. อิตาลี           4. มาเลเซีย

ตอบ 4  jungle หรือ tropical forest คือ ป่าดงดิบที่อยู่ในเขตร้อนชื้น เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบราซิล เป็นต้น

23.       According to the paragraph,_______.

(1)       deforestation is the most serious problem in the world

(2)       governments in tropical countries have to conserve their forests

(3)       deforestation affects global climate

(4)       people cannot survive without forests

ถาม     จากย่อหน้า_______        

1.         การตัดไม้ทำลายป่าคือปัญหาที่หนักที่สุดของโลก

2.         รัฐบาลของประเทศในเขตร้อนชื้นต้องสงวนรักษาป่าของพวกเขาไว้

3.         การตัดไม้ทำลายป่าส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศของโลก

4.         คนไม่สามารถอยู่รอดได้หากปราศจากป่าไม้

ตอบ 2  จากการตีความในประโยคสุดท้าย

Passage 4

the 1880s, William James formulated the first modem theory of emotion, and at almost the same time a Danish psychologist, Carl Lange, reached the same conclusions. 2 According to the James-Lange theory, stimuli cause physiological changes in our bodies, and emotions are the result of those physiological changes. 3 If you come face-to-face with a grizzly bear, the perception of the stimulus (the bear) causes your muscles, skin, and viscera (internal organs) to undergo changes: faster heart rate, enlarged pupils, deeper or shallower breathing, flushed face, increased perspiration, butterflies in the stomach, and a gooseflesh sensation as the body’s hairs stand on end. 4 The emotion of fear is simply your awareness of these changes. All of this, of course, happens almost instantaneously and in a reflexive, automatic way.

1 ในช่วงทศวรรษ 1880 วิลเลียม เจมส์ ได้ค้นพบทฤษฎีสมัยใหม่ทฤษฎีแรกเกี่ยวกับอารมณ์ และในเวลาใกล้เคียงกัน คาร์ล แลง นักจิตวิทยาชาวเดนมาร์ก ก็ได้ข้อสรุปแบบเดียวกัน (2)ตามทฤษฎี เจมส์-แลง สิ่งเร้าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในร่างกายของเรา และอารมณ์ก็คือ ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาเหล่านั้น (3)ถ้าคุณเผชิญหน้ากับหมีใหญ่ตัวหนึ่ง การรับรู้ต่อสิ่งเร้านี้ (หมี) จะทำให้กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และท้องไส้ (อวัยวะภายใน) ของคุณเกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ อัตราการเต้น ของหัวใจเร็วขึ้น รูม่านตาขยาย การหายใจลึกขึ้นหรือแผ่วลง หน้าแดง เหงื่อออกมากขึ้น ท้องไส้ปั่นป่วน และเกิดความรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว (4)ส่วนอารมณ์กลัวเป็นแค่เพียงการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ของคุณ (5)เละแน่นอบว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเกือบจะในทันทีทันใดในรูปของปฏิกิริยาสะท้อนอัตโนมัติ

24.       This passage_______.

(1) comments on people’s emotions        (2) discusses the James-Lange theory

(3) tells why people are afraid of bears   (4) compares two psychologists’ ideas

ถาม     เนื้อเรื่องนี้_______          

1.         ให้ความเห็บเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ของมนุษย์

2.         ว่าด้วยเรื่องทฤษฎีเจมส์-แลง

3.         บอกว่าทำไมคนจึงกลัวหมี

4.         เปรียบเทียบแนวคิดของนักจิตวิทยาสองคน

ตอบ 2  ย่อหน้านี้พูดถึงทฤษฎีเจมส์-แลง ว่าทฤษฎีนี้มีความเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับอารมณ์

25.       Carl Lange’s theory appeared in the______.

(1) early 18th  century         (2) late 18th  century

(3) first half of the 19th  century          (4) second half of the 19th  century

ถาม     ทฤษฎีเจมส์-แลงเกิดขึ้นใน     

1. ตอนต้นศตวรรษที่ 18          2. ตอนปลายศตวรรษที่ 18

3. ครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19   4. ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19

ตอบ 4  ศตวรรษที่ 19 อยู่ในช่วง ค.ศ. 1801 – 1900

26.       According to the passage, body changes involve_____

(1) organic changes (2) unstable emotion

(3) exciting experience (4) visual stimulation

ถาม จากเนื้อเรื่อง การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเกี่ยวข้องกับ_______

1.   การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะ 2. อารมณ์ที่ไม่คงที่ 3. ประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น 4. สิ่งเร้าที่สามารถมองเห็นได้

ตอบ 4  จากประโยคที่ 2 และ 3

27.       Sentence 3 is an explanation for______

(1)       “stimuli cause physiological changes in our bodies”

(2)       “emotions are the result of those physiological changes”

(3)       sentence 4 (4) sentences 2 and 4

ถาม ประโยคที่ 3 เป็นการอธิบายถึง______

1.         สิ่งเร้าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในร่างกายของเรา

2.         อารมณ์ก็คือผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาเหล่านั้น

3.         ประโยคที่ 4

4. ประโยคที่ 2 และ 4

ตอบ 1  ประโยคที่ 3 ได้อธิบายว่า สิ่งเร้า (หมี) เป็นสาเหตุทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ในร่างกายของเราอย่างไร

28.       Which is not true when you come face-to- face with a grizzly bear ?

(1) You sweat. (2) You are very nervous.

(3) Your face becomes pale. (4) Your heartbeat is irregular.

ถาม ข้อใดไม่จริง เมื่อคุณเผชิญหน้ากับหมีใหญ่

1.   คุณจะขับเหงื่อออกมา 2. คุณจะรู้สึกกลัวมาก 3. หน้าของคุณจะซีด 4. หัวใจของคุณจะเต้นผิดปกติ

ตอบ 3  จากประโยคที่ 3

29.       Which is true according to the James-Lange theory ?

(1)       Body changes can cause emotions.

(2)       You are unaware of changing emotions.

(3)       Emotions change according to stimuli.

(4)       The cause of physiological changes is emotion.

ถาม ข้อใดถูกต้องตามทฤษฎีของเจมส์-แลง

1.         การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายสามารถเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอารมณ์ต่าง ๆ

2.         คุณไม่อาจรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ได้

3.         อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเร้า

4.         สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาคืออารมณ์

ตอบ 1  จากประโยคที่ 2

Passage 5

1 The term Native Americans refers to the hundreds of distinct societies—including Aleuts, Eskimos, Cherokee, Zuni, Sioux, Mohawk, Aztec, and Inca—who were the original inhabitants of the Americas. 2 Thousands of years ago, migrating people crossed a land bridge from Asia to North America where the Bering Strait (off the coast of Alaska) lies today, and over the centuries they spread throughout the West hemisphere. 3 When Christopher Columbus and other European explorers arrived late in the fifteenth century, Native Americans numbered in the millions and had a thirty-thousand-year history in this hemisphere (Dobyns, 1966).

(1)คำว่า ชาวอเมริกันพื้นเมือง หมายถึง ชนเผ่าที่แตกต่างกันหลายร้อยเผ่า ซึ่งรวมถึงพวกอาลีอูท เอสกิโม เซโรกี ซูนี ซูส โมฮ็อก แอสเทกและอินคา ซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่เดิมในทวีปอเมริกา(2)เมื่อหลายพันปีที่แล้ว ผู้อพยพได้ข้ามสะพานแผ่นดินจากทวีปเอเชียไปยังทวีปอเมริกาเหนือ ที่ซึ่งช่องแคบแบริง (นอกชายฝั่งอลาสก้า) ตั้งอยู่ปัจจุบัน และตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาพวกเขาได้กระจัดกระจายไปทั่วซีกตะวันตก (3)ขณะที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และนักสำรวจชาวยุโรปคนอื่น ๆ ได้มาถึงต่อมาในศตวรรษที่ 15 ก็ได้มีชาวอเมริกันพื้นเมือง อาศัยอยู่ก่อนแล้วจำนวนหลายล้านคน และมีประวัติศาลตร์ในซีกโลกนี้ยาวนานถึง 3 หมื่นปี (Dobyns, 1966)

30.    The term “Native Americans” is defined in sentence______

(1) 1   (2) 2   (3) 3   (4) All of 1, 2 and 3

ถาม มีการให้คำจำกัดความคำว่า ชาวอเมริกันพื้นเมือง” ไว้ในประโยคที่

1.1      2.2       3.3     4.ทั้งข้อ 1 2 และ 3

ตอบ 1  จากประโยคที่ 1 ได้มีการให้คำจำกัดความคำว่า ชาวอเมริกันพื้นเมือง” ว่าหมายถึงใคร

31.    The original inhabitants of the Americas were______

(1) Inca (2) Zuni (3) Eskimos (4) All are correct.

ถาม ผู้อาศัยอยู่เดิมในทวีปอเมริกาคือ______

1.   ชนเผ่าอินคา 2. ชนเผ่าซูนี 3. ชนเผ่าเอสกิโม 4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4  จากประโยคที่ 1

32.    Native Americans were originally  from_______

(1) North America (2) Europe (3) Asia (4) Africa

ถาม ชาวอเมริกันพื้นเมืองแต่ดั้งเดิมนั้นมาจาก

1.   ทวีปอเมริกาเหนือ 2. ทวีปยุโรป 3. ทวีปเอเชีย 4. ทวีปแอฟริกา

ตอบ 3  จากประโยคที่ 2

33.    Native Americans had inhabited the Americas for years already when Christopher Columbus arrived.

(1) 3,000 (2) 30,000 (3) 300,000 (4) 3,000,000

ถาม ชาวอเมริกันพื้นเมืองอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเป็นเวลา______ปีแล้วเมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางมาถึง

1.   3,000 2. 30,000 3. 300,000 4. 3,000,000

ตอบ 2  จากประโยคที่ 3

34.       The word “they” refers to______

(1) migrating people (2) explorers

(3) Indian people (4) inhabitants of the Americas

ถาม คำว่า “they” อ้างอิงถึง

1.   ผู้อพยพ 2. นักสำรวจ 3. ชาวอินเดียนแดง 4. ผู้อยู่อาศัยในทวีปอเมริกา

ตอบ 1  จากประโยคที่ 2 ตัวอ้างอิง “they” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความที่ กล่าวไปแล้ว ในที่นี้ they = migrating people

Passage 6

1 Industrial societies recognize the nuclear family, a social unit composed of one or, more commonly, two parents and children. 2 Typically based on marriage, the nuclear family is also often called the conjugal family. 3 In preindustrial societies, however, the extended family, a social unit including parents, children and other kin, predominates. 4 This is also called the consanguine family, meaning that it is based on blood ties. 5 Extended families frequently include grandparents, aunts, uncles, and other kin. 6 In the United States, extended families are not typical, but they are common among some ethnic categories, especially Americans of Hispanic ancestry. 7 In addition, about one in seven elderly people lives with a relative other than a spouse, thereby forming an extended family.

(1)สังคมอุตสาหกรรมยอมรับครอบครัวเดี่ยว ซึ่งเป็นหน่วยของสังคมที่ประกอบด้วยพ่อหรือแม่ หนึ่งคนหรือส่วนใหญ่ทั้งสองคนกับลูก ๆ (2)โดยปกติครอบครัวเดี่ยวมาจากการแต่งงาน จึงมักจะเรียกว่า ครอบครัวสมรสด้วยเช่นกัน (3)แต่อย่างไรก็ตามในสังคมก่อนยุคอุตสาหกรรมครอบครัวขยาย ซึ่งเป็นหน่วย ของสังคมที่ประกอบด้วยพ่อแม่ ลูก ๆ และญาติพี่น้องคนอื่น ๆ เป็นรูปแบบที่เด่นกว่า (4)ครอบครัวขยาย บางครั้งจะเรียกว่าครอบครัวร่วมสายเลือด ซึ่งหมายความว่ามันมีรากฐานจากความผูกพันทางสายเลือด (5)ครอบครัวขยายมักจะประกอบด้วยปูย่าตายาย ป้า ลุง และญาติคนอื่น ๆ (6)ในสหรัฐอเมริกาครอบครัวขยาย ไม่ใช่รูปแบบตามปกติ แต่เป็นครอบครัวที่มีอยู่ทั่วไปในชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม โดยเฉพาะชาวอเมริกันเชื้อสาย ฮิสแปนิก (7) นอกจากนั้นคนชราประมาณ 1 ใน 7 จะอาศัยอยู่กับญาติแทนการอยู่กับคู่สมรส และด้วยเหตุนี้ จึงเกิดเป็นครอบครัวขยายขึ้น

35.       “A social unit composed of one or, more commonly, two parents and children” is a(n)______ of the nuclear family.

(1) definition (2) extension (3) example (4) statement

ถาม หน่วยของสังคมที่ประกอบด้วยพ่อหรือแม่หนึ่งคนหรือส่วนใหญ่ทั้งสองคนกับลูก ๆ

เป็น _______ของครอบครัวเดี่ยว

1.   คำจำกัดความ 2. การขยาย 3. ตัวอย่าง 4. ข้อความ

ตอบ 1  จากประโยคที่ 1 ได้อธิบายถึงคำจำกัดความของครอบครัวเดียวว่าประกอบด้วยใครบ้าง

36.       The paragraph is about______

(1) industrial society (2) members of society

(3) types of family (4) family in the United States

ถาม ย่อหน้านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ

1.   สังคมในยุคอุตสาหกรรม 2. สมาชิกของสังคม 3. ประเภทของครอบครัว 4. ครอบครัวในสหรัฐอเมริกา

ตอบ 3  ย่อหน้านี้เป็นเรืองเกี่ยวกับประเภทของครอบครัว นั่นคือ ครอบครัวเดี่ยว และครอบครัวขยาย

37.       The conjugal family refers to_______

(1) a social unit (2) a nuclear family

(3) an extended family (4) a family in industrial society

ถาม ครอบครัวสมรสอ้างอิงถึง

1. หน่วยของสังคม 2. ครอบครัวเดี่ยว 3. ครอบครัวขยาย 4. ครอบครัวในสังคมอุตสาหกรรม

ตอบ 2  จากประโยคที่ 2

38.       According to the paragraph._______

(1)       most elderly people live with their children

(2)       members of an extended family are relatives

(3)       only parents and children live in consanguine family

(4)       it is very common to see extended family in the United States

ถาม จากย่อหน้า______

1.         คนชราส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่กับลูก ๆ ของพวกเขา

2.         สมาชิกของครอบครัวขยายจะเป็นญาติพี่น้องกัน

3.         มีแต่เพียงพ่อแม่และลูก ๆ เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด

4.         เป็นเรื่องปกติธรรมดามากที่จะเห็นครอบครัวขยายในสหรัฐอเมริกา

ตอบ 2  จากประโยคที่ 3  4 และ 5

39.       The word “include” in the paragraph is closest in meaning to______

(1) put (2) compare (3) enclose (4) have

ถาม คำว่า “include” ในย่อหน้านี้มีความหมายใกล้เคียงที่สุดกับคำว่า

1.   วางใส่ 2. เปรียบเทียบ 3. ปิด 4. มี

ตอบ 4  include ในที่นี้เป็นสกรรมกริยา (vt.) แปลว่า ประกอบด้วย. รวม ซึ่งมีความหมาย ใกล้เคียงที่สุดกับคำว่า have (vt.) แปลว่า มี

40.       It is most likely that______is/are typical in the United States.

(1) the extended family (2) the nuclear family

(3) the single parent family (4) the nuclear and the extended family

ถาม เป็นไปได้มากที่สุดว่า______เป็นรูปแบบครอบครัวตามปกติในสหรัฐอเมริกา

1.   ครอบครัวขยาย 2. ครอบครัวเดี่ยว 3. ครอบครัวพ่อแม่คนเดียว 4. ครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย

ตอบ 2  วิเคราะห์จากประโยคที่ 1 และ 6

Part II : Unseen Passages (เนื้อเรื่องนอกตำรา)

A : Directions : Read the following passage. Then blacken 1 for a true statement and blacken 2 for a false statement.

คำสั่  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบาย 1 หากข้อความเป็นจริง หรือระบาย 2 หากข้อความนั้นผิด

Wild Asian elephant populations have been declining over the past decades and Myanmar’s vast forests are believed to be a major stronghold for the species—containing more than 6,000 wild elephants. In an attempt to get more accurate numbers, Myanmar and National Zoo wildlife biologists have been searching for wild elephants in two of the country’s protected areas for more than two years. Unfortunately, the preliminary results were sobering. Researchers sighted wild elephants only twice, and evidence from elephant dung counts revealed that populations are unusually small.

จำนวนประชากรช้างป่าเอเชียกำลังลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และ เชื่อกันว่า ผืนป่าอันกว้างใหญ่ของสหภาพพม่าเป็นที่อยู่อาศัยสำคัญของสัตว์ชนิดนี้ ซึ่งมีกว่า 6,000 เชือก ในความพยายามที่จะให้ได้มาซึ่งตัวเลขที่ถูกต้อง นักชีววิทยาสัตว์ป่าของพม่าและสวนสัตว์แห่งซาติได้ทำการ ค้นหาช้างป่าอย่างต่อเนื่องในเขตพื้นที่อนุรักษ์ของประเทศสองแห่งมาเป็นเวลากว่าสองปี แต่โชคร้ายผลลัพธ์ ที่ได้ในขั้นต้นไม่เป็นที่น่าพอใจนัก นักวิจัยได้เห็นช้างป่าเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น และหลักฐานจากการนับมูลช้างแสดงว่าประชากรช้างมีจำนวนน้อยผิดปกติ

41.    Tracking wild elephants in jungles is not difficult.

ถาม    การตามหาช้างป่าในป่าทึบเป็นเรืองที่ไม่ยากนัก

ตอบ 2  (ผิด) วิเคราะห์จากประโยคสุดท้าย

42.    It is probable that the number of wild elephant in Myanmar is decreasing.

ถาม    เป็นไปได้ว่าจำนวนของช้างป่าในสหภาพพม่ากำลังลดลง

ตอบ 1  (ถูก) ในประโยคแรกบอกว่าช้างป่าเอเชียกำลังลดลง และในประโยคสุดท้ายนักวิจัยพม่า พบหลักฐานที่บอกว่าช้างป่าใบประเทศของพวกเขามีจำนวนลดลง

43.    The search for wild elephants in Myanmar is successful.

ถาม     การค้นหาช้างป่าในสหภาพพม่าประสบความสำเร็จ

ตอบ 2  (ผิด) สรุปความจากประโยคที่ 3 และ 4

44.    Researchers want to know the number of wild elephants in Myanmar.

ถาม     นักวิจัยต้องการที่จะรู้จำนวนของช้างป่าในสหภาพพม่า

ตอบ 1  (ถูก) สรุปความจากประโยคที่ 2

45.    It is believed that Myanmar has a great number of wild elephants.

ถาม     เชื่อกันว่าพม่ามีช้างป่าเป็นจำนวนมาก

ตอบ 1  (ถูก) จากท้ายประโยคที่ 1 (the species หมายถึง wild Asian elephants)

46.       The topic of the paragraph is Myanmar.

ถาม ชื่อหัวเรื่องของเนื้อเรื่องนี้คือ สหภาพพม่า

ตอบ 2  (ผิด) ย่อหน้านี้น่าจะมีชื่อว่า ช้างป่าในพม่า (Wild Elephants in Myanmar)

B : Directions : Read the following passages. Then choose the best answer for each question.

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

Chimpanzees in captivity were not given a choice whether they wanted to live their lives in the confines of an enclosure. Humans made the decision to bring them into captivity for entertainment and scientific research. Compared to the life of their kin in their natural environment, chimpanzees in captivity live a very boring life. Chimpanzees are very social and intelligent; they have the ability to solve problems in their environment and have a complex social structure.

ชิมแปนซีที่ถูกกักขังไม่เคยได้มีโอกาสเลือกว่าพวกมันต้องการใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่จำกัดของกรงขัง หรือไม่ มนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจนำพวกมันมาขังเพื่อความบันเทิงและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เมื่อเทียบกับ ญาติพี่น้องของพวกมันที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมซาติ ชิมแปนซีที่ถูกกักขังจะมีชีวิตที่แสนจะเบื่อหน่าย ชิมแปนซีเป็นสัตว์ที่ชอบสังคม และฉลาด พวกมันมีความสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ใน สภาพแวดล้อมของพวกมัน และมีโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อน

47.       What is the writer talking about ?

(1) Chimpanzees in captivity (2) How to raise a chimpanzee

(3) Characteristics of a chimpanzee (4) Reasons for holding a chimpanzee captive

ถาม ผู้เขียนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

1.   1ลิงชิมแปนซีที่ถูกกักขัง 2. วิธีเลี้ยงชิมแปนซี 3. ลักษณะนิสัยของชิมแปนซี 4. เหตุผลที่ต้องกักขังชิมแปนซี

ตอบ 1  ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า ลิงชิมแปนซีที่เราจับมาขังแท้จริงพวกมันไม่ชอบการถูกกักขังเลย เพราะพวกมันเป็นสัตว์ที่ชอบสังคมตามธรรมชาติของมัน

48.       According to the passage, people use a chimpanzee to_____.

(1) be their food (2) perform as entertainers

(3) help them do scientific research (4) 2 and 3 are correct.

ถาม จากเนื้อเรื่อง คนเราใช้ชิมแปนซีเพื่อ

1.เป็นอาหาร 2. ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างความบันเทิง

3. ช่วยพวกเขาทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ 4. ข้อ 2 และ 3 ถูกต้อง

ตอบ 4  ดังที่กล่าวไว้ในประโยคที่ 2

49.       According to the passage, a chimpanzee _____

(1) enjoys living in captivity (2) can deny living in captivity

(3) is a social and intelligent animal (4) becomes dangerous when he is mature

ถาม จากเนื้อเรื่อง ชิมแปนซี______

1.   1 ชอบอยู่ในที่กักขัง 2. สามารถปฏิเสธการอยู่ในที่กักขังได้ 3. เป็นสัตว์ที่ชอบสังคมและฉลาด 4. ดุร้ายเมื่อมันโตขึ้น

ตอบ 3  ดังที่กล่าวไว้ในประโยคสุดท้าย

50.    The writer says that______

(1)    a chimpanzee must live in captivity to be protected

(2)    a free living chimpanzee is happier than a chimpanzee in captivity

(3)    it is reasonable to keep a chimpanzee in captivity

(4)    if we use a chimpanzee for experimentation, we must take good care of him.

ถาม ผู้เขียนกล่าวว่า______

1.      ชิมแปนซีต้องอยู่ในกรงขังเพื่อเป็นการสงวนเอาไว้

2.      ชิมแปนซีที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระมีความสุขมากกว่าชิมแปนซีที่ถูกขัง

3.      มันเป็นเรื่องที่มีเหตุผลที่จะกักขังชิมแปนซีเอาไว้

4.      หากเราไซ้ชิมแปนซีเพื่อการทดลอง เราต้องดูแลมันเป็นอย่างดี

ตอบ 2  ดังที่กล่าวไว้ในประโยคที่ 3

51.    We treat a chimpanzee as_____

(1) our closest relative (2) our friend (3) our kin (4) an animal ถาม เราปฏิบัติต่อชิมแปนซีในฐานะ______

1. ญาติสนิทของเรา 2. เพื่อนของเรา 3. ญาติพี่น้องของเรา 4. สัตว์ตัวหนึ่ง

ตอบ 4  สรุปได้ว่ามนุษย์ไม่ได้สนใจในความรู้สึกของชิมแปนซี เพราะเรามองว่ามันเป็นแค่สัตว์ตัวหนึ่ง

Passage 2

In 1620, a group of people sailed from England to America in Mayflower. There were one hundred and two people in the group. They left England because they wanted religious freedom. We call these people “The Pilgrims.”

The Pilgrims’ first winter in Plymouth was very cold. The men built shelters for their families, but the shelters were not warm. Besides, the people did not have much food.

Many of the Pilgrims got sick, and many died. When spring came there were only about fifty people in the colony. They were discouraged and homesick.

The Pilgrims saw many Indians in the nearby forests. In the spring, the first two Indians visited the settlement. Their names were Samoset and Squanto. They were friendly to the Pilgrims.

Squanto lived in the Plymouth Colony for many years, and he taught the colonists many things. He taught them how to catch fish and how to hunt deer and wild turkeys. He taught them how to plant corn and pumpkins.

Another friendly Indian was Massasoit. He was the chief of a nearby tribe. Massasoit and the Pilgrims made an agreement to be friends.

ในปี ค.ศ. 1620 คนกลุ่มหนึ่งแล่นเรือจากอังกฤษมายังอเมริกาด้วยเรือเมย์ฟลาวเออร กลุ่มนี้ มีทั้งหมด 102 คน พวกเขาออกจากประเทศอังกฤษมาเพราะต้องการเสรีภาพทางด้านศาสนา เราเรียกคน กลุ่มนี้ว่า พิลกริมส์

ฤดูหนาวแรกของพวกพิลกริมส์ที่พลีมัธหนาวเย็นมาก พวกผู้ชายได้สร้างที่พักอาศัยสำหรับ ครอบครัว แต่ที่พักนั้นไม่อบอุ่นพอ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีอาหารมากนัก

พวกพิลกริมส์จำนวนมากล้มป่วยลง และหลายคนเสียชีวิต กว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิก็มีคนเหลืออยู่ ในอาณานิคมแห่งนี้เพียง 50 คน พวกเขาท้อแท้และคิดถึงบ้าน

พวกพิลกริมส์ได้เห็นชาวอินเดียนแดงจำนวนมากในป่าบริเวณใกล้ ๆ กันนั้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อินเดียนแดงสองคนแรกก็ได้มาเยี่ยมถิ่นฐานใหม่แห่งนี้ พวกเขาชื่อ ซาโมเซ็ท และซาควานโต้ พวกเขา มีไมตรีกับพวกพิลกริมส์

ซาควานโต้อาศัยอยู่ในเขตอาณานิคมพลีมัธเป็นเวลาหลายปี และเขาสอนหลายสิ่งหลายอย่าง ให้แก่ชาวอาณานิคม เขาสอนวิธีจับปลาและวิธีล่ากวางและไก่งวงป่า เขาสอนวิธีปลูกข้าวโพดและฟักทอง

อินเดียนแดงที่เป็นมิตรอีกคนหนึ่งชื่อ แมสซาซอยท์ เขาเป็นหัวหน้าชาวเผ่าที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ แมสซาซอยที่และพวกพิลกริมส์ได้ทำข้อตกลงที่จะเป็นมิตรต่อกัน

52.       How many people were there on Mayflower ?

(1) 100            (2) 102            (3) 200            (4) 201

ถาม     มีกี่คนที่อยู่บนเรือเมย์ฟลาวเออร์

1. 100         2. 102       3. 200                4. 201

ตอบ 2  ดังที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 1

53.       Mayflower was a______.

(1) Pilgrim (2) land     (3) group of people (4) ship

ถาม     เมย์ฟลาวเออร์ คือ      

1. พวกพิลกริมส์          2. ดินแดน        3. กลุ่มคน       4. เรือ

ตอบ 4  สังเกตได้จากคำว่า sailed (แล่นเรือ) ในย่อหน้าที่ 1

54.       Paragraph 1 is about______.

(1) Mayflower (2) a voyage from England

(3) the Pilgrims (4) religious freedom

ถาม     ย่อหน้าที่ 1 เกี่ยวกับเรื่อง                    

1. เรือเมย์ฟลาวเออร์    2. การเดินทางจากอังกฤษ

3. พวกพิลกริมส์          4. อิสรภาพทางศาสนา

ตอบ 3  ย่อหน้านี้พูดถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า “The Pilgrims” ว่าพวกเขาเดินทางมาอเมริกาอย่างไร

55.       Most people who left England in 1620 were probably_____.

(1) liberal-minded (2) blood-minded (3) money-minded (4) narrow-minded

ถาม     คนส่วนใหญ่ที่ออกมาจากประเทศอังกฤษมาในช่วงปี ค.ศ. 1620 น่าจะ        

1. มีใจรักอิสรภาพ       2. มีใจรักความรุนแรง  3. เห็นแก่เงิน   4. มีใจแคบ

ตอบ 1  เพราะย่อหน้าที่ 1 บอกว่า การเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อแสวงหาเสรีภาพในด้านศาสนา

56.       In paragraph 2. “shelters” were______

(1) a place to live (2) warmth (3) the Plymouth Colony (4) the families

ถาม ในย่อหน้าที่ 2 คำว่า “shelters – ที่พักอาศัย” คือ

1.   1 สถานที่อยู่อาศัย 2. ความอบอุ่น 3. อาณานิคมพลีมัธ 4. ครอบครัว

ตอบ 1 shelters ในที่นี้เป็นนามนับได้ แปลว่า ที่ที่ให้ความปลอดภัยหรือที่พักอาศัย

57.       People in the Plymouth Colony_____

(1) did not eat much (2) did not eat food

(3) did not have food to eat (4) did not have much to eat

ถาม คนที่อยู่ในอาณานิคมพลีมัธ

1.   1 ไม่ได้กินมากนัก 2. ไม่กินอาหาร 3. ไม่มีอาหารจะกิน 4. ไม่มีอะไรจะกินมากนัก

ตอบ 4  จากท้ายย่อหน้าที่ 2 หมายถึง พวกเขามีอาหารไม่มาก

58.       Life in the Plymouth Colony was_____

(1) comfortable (2) miserable (3) homely (4) timely

ถาม ชีวิตในอาณานิคมพลีมัธ______

1.มีความสุขสบาย 2.ทุกข์ยากแสนเข็ญ 3.ง่ายๆ 4.เหมาะเจาะ

ตอบ 2  วิเคราะห์จากย่อหน้าที่ 2 และ 3

59.       Paragraph_____discusses the Pilgrims’ health condition.

(1) 1     (2) 2    (3) 3     (4) 4

ถาม ย่อหน้าที่______กล่าวถึงสภาพทางด้านสุขภาพของพวกพิลกริมส์

1.1            2. 2       3. 3      4. 4

ตอบ 3  พวกเขาป่วย เสียชีวิต ท้อแท้ และคิดถึงบ้าน

60.       Paragraph_______discusses what the Pilgrims learnt from the Indians.

(1) 3      (2) 4      (3) 5       (4) 6

ถาม ย่อหน้าที่_____กล่าวถึงสิ่งที่พวกพิลกริมส์ได้เรียนรู้จากพวกอินเดียนแดง

1.   1.3        2. 4        3. 5       4. 6

ตอบ 3  พวกเขาได้เรียนรู้จากซาควานโต้ซึ่งเป็นชาวอินเดียน (อินเดียนแดง)

61.       Partly because of the Indians, the Pilgrims could______in the new land.

(1) survive (2) stand the winter (3) make more friends (4) be happy

ถาม ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากพวกอินเดียนแดง.พวกพิลกริมส์จึงสามารถ______ในดิบแดนแห่งใหม่นี้ได้

1.   1.อยู่รอด 2. ทนต่อฤดูหนาว 3. สร้างมิตร 4. มีความสุข

ตอบ 1  เพราะชาวอินเดียนแดงเป็นผู้สอนวิธีการใช้ชีวิตและการหาอาหาร

62._______of the Pilgrims died the first winter in Plymouth.

(1) About half (2) Exactly half (3) More than half (4) Almost all ถาม _______ของพวกพิลกริมส์ตายในช่วงฤดูหนาวแรกในพลีมัธ

1. เกือบครึ่งหนึ่ง 2. ครึ่งหนึ่งพอดี 3. มากกว่าครึ่ง 4. เกือบทั้งหมด

ตอบ 3  จากย่อหน้าที่ 3 คนกลุ่มนี้จากจำนวน 102 คน เหลือ 50 แสดงว่าตายไป 52 คน

63._______Indian names are mentioned in this passage.

(1) 2                   (2) 3 (3) 4    (4) 5

ถาม มีชื่อพวกอินเดียนอยู่_____ชื่อที่ถูกกล่าวถึงในเนื้อเรื่องนี้      

1. 2               2. 3              3. 4            4. 5

ตอบ 2  ซาโมเซ็ท. ซาควานโต้  และ แมลซาซอยท์      

64.       From the description here, what characteristic seems to be the most important for a Pilgrim to live in the colony ?

(1) Aggressiveness (2) Gentleness      (3) Politeness    (4) Toughness

ถาม     จากที่ได้กล่าวมานี้ ลักษณะใดที่ดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญที่สุดสำหรับพวกพิลกริมส์

ที่จะอยู่ในอาณานิคมนี้ได้

1. ความก้าวร้าว           2. ความอ่อนโยน         3. ความสุภาพ 4. ความอดทนบึกบึน

ตอบ 4  เนื้อเรื่องนี้พูดถึงการผ่านชีวิตที่ยากลำบากในดินแดนแห่งใหม่ของพวกพิลกริมส์ ดังนั้นคุณมบัติที่สำคัญที่สุดของคนกลุ่มนี้ก็น่าจะเป็นความอดทนบึกบึน

65.       What should be the best title of this passage ?

(1) Pilgrims in the Plymouth Colony          (2) Life in early New England

(3) The Pilgrims in the 17th  Century  (4) The Help from the Indians

ถาม     ข้อใดควรจะเป็นชื่อเรื่องที่ดีที่สุดของเนื้อเรื่องนี้

1. พวกพิลกริมส์ในอาณานิคมพลีมัธ  2. ชีวิตในมลรัฐนิวอิงแลนด์ยุคต้น

3. พวกพิลกริมส์ในศตวรรษที่ 17         4. ความช่วยเหลือจากอินเดียนแดง

ตอบ 1  เนื้อเรื่องนี้พูดถึงพวกพิลกริมส์เกี่ยวกับความยากลำบากของพวกเขาในอาณานิคมพลีมัธ

Passage 3

This book is intended to be practical, despite its range over a variety of theoretical disciplines. So perhaps I might conclude this chapter with a couple of practical hints for the reader concerning the rest of the book.

First, relax. Anxiety about being able to comprehend and remember can make any reader functionally blind. You may not realize that anxiety has this effect, but the more you are concerned about reading this book the less you are likely to comprehend it. Try to enjoy the book, put it aside for a white if you are bored or confused, and leave the brain to take care of the rest.

And my second helpful hint is that you should not try to memorize anything you read in this book. 2 the effort to memorize is completely destructive of comprehension. 3 on the other hand, with comprehension the memorization will take care of itself. 4 Your brain has had longer experience than you can recall in making sense of a complex world and in remembering what is important.

1 My two words of advice are exemplified in what I call the Russian Novel Phenomenon. 2 Every reader must have experienced that depressing moment about fifty pages into a Russian novel when we realize that we have lost track of all the characters, their family relationships and relative ranks in the civil service. 3 At this point we can give in to our anxiety, and start again to read more carefully, trying to memorize all the details on the off chance that some may prove to be important. 4 If such a course is followed, the second reading is almost certain to be more incomprehensible than the first. 5 The possible result: one Russian novel lost forever. 6 But there is another alternative: to read faster, to push ahead, to make sense of what we can and to enjoy whatever we make sense of. 7 And suddenly the book becomes readable, the story makes sense, and we find that we can remember all the important characters and events simply because we know what is important. 8 Any re-reading we then have to do is bound to make sense because at least we comprehend what is going on and what we are looking for.

หนังสือเล่มนี้ตั้งใจที่จะให้สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง แม้ว่าขอบเขตของมันจะครอบคลุมเนื้อห เชิงทฤษฎีที่หลากหลายไปบ้างก็ตาม ดังนั้นผู้เขียนจึงขอจบบทนี้ด้วยข้อเสนอแนะสักสองเรื่องให้กับผู้อ่าน ที่น่าจะนำไปใช้ได้ในบทที่เหลือ

ประการแรกให้วางตัวตามสบาย ความกังวลว่าจะสามารถเข้าใจและจดจำได้หรือไม่อาจสร้าง ความมืดบอดให้กับผู้อ่าน คุณอาจไม่ได้นึกถึงหรอกว่าความกังวลจะมีผลกระทบเช่นนี้ ยิ่งคุณกังลกับการ อ่านหนังสือเล่มนี้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเข้าใจน้อยลง จงพยายามสนุกกับมัน วางมันลงเสียบ้างถ้าคุณรู้สึก เบื่อหรือสับสน แล้วปล่อยให้สมองของคุณจัดการส่วนที่เหลือเอง

และข้อแนะนำประการที่สองของผู้เขียนที่เป็นประโยชน์ก็คืออย่าพยายามที่จะจดจำอะไร ทั้งสิ้นในการอ่านหนังสือเล่มนี้ ความพยายามที่จะจดจำนี้แหละที่จะเป็นตัวทำลายความเข้าใจโดยสิ้นเชิง 3 ในทางตรงข้าม ด้วยความเข้าใจต่างหากที่จะทำให้เกิดความจดจำได้เอง สมองของคุณนั้นเคยผ่าน ประสบการณ์มายาวนานเกินกว่าที่คุณจะจำได้หมด ในการที่จะเข้าใจโลกที่ซับซ้อนและจดจำสิ่งที่สำคัญ ๆ

คำแนะนำสองข้อของผู้เขียนนี้จะขอยกเป็นตัวอย่างในกรณีของสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า ปรากฏการณ์ นวนิยายรัสเซีย 2 ผู้อ่านทุกคนลงเคยมีประสบการณ์ของช่วงที่แย่ ตอนอ่านนิยายรัสเซียไปได้สัก 50 หน้า เมื่อเราพบว่าเราจำตัวละคร หรือความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือลำดับขั้นตำแหน่งของข้าราชการพลเรือน เหล่านี้ไม่ได้เลย มาถึงตรงนี้เราก็เริ่มกังวล แล้วก็กลับไปเริ่มต้นอ่านใหม่อีกครั้งอย่างระมัดระวัง เพื่อพยายาม จดจำทุกรายละเอียดซึ่งบางอย่างไม่น่าจะใช่จุดสำคัญ หากทำเช่นนี้ การอ่านในรอบที่สองก็แน่นอนเลยว่า ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นกว่าการอ่านครั้งแรกเสียอีก ผลที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ นวนิยายรัสเซียเล่มหนึ่งก็ไม่อาจ เข้าใจได้เลยตลอดกาล แต่มีอีกทางเลือกหนึ่งก็คือ อ่านไปเร็ว ๆ อ่านไปเรื่อย ๆ ทำความเข้าใจเท่าที่เราทำได้ และก็สนุกกับสิ่งที่เราเข้าใจ 7และหนังสือเล่มนั้นก็จะน่าอ่านขึ้นมาทันที เรื่องราวเข้าใจง่าย และเราจะพบว่า เราสามารถจดจำตัวละครที่สำคัญ ๆ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ ก็เพราะว่าเรารู้ว่าอะไรเป็นประเด็นสำคัญ การอ่านทวนซ้ำถ้าจะมีบ้างก็แน่นอนว่าจะเข้าใจ เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดเราก็เข้าใจในสิ่งที่กำลังดำเนินไป และสิ่งที่เรากำลังมองหาอยู่

66.    This passage is a/an _______from a book.

(1) chapter (2) footnote (3) conclusion (4) extract

ถาม เนื้อเรื่องนี้เป็นหนึ่ง_______จากหนังสือเล่มหนึ่ง

1.   1.บท        2. เชิงอรรถ         3. บทสรุป        4. ข้อความที่ตัดตอนมา

ตอบ 4 : จากประโยคท้ายย่อหน้าที่ 1 แสดงว่าเนื้อเรื่องนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ตัดตอนออกมาจาก บทหนึ่งบทใดในหนังสือ (แต่ต้องไม่ใช่บทสุดท้ายอย่างแน่นอน)

67._______the book covers a variety of theoretical disciplines, it is intended to be practical.

(1) Although (2) Because (3) Despite (4) As a result

ถาม หนังสือเล่มนี้จะครอบคลุมเนื้อหาเชิงทฤษฎีที่หลากหลายไปบ้างก็ตาม แต่ก็มี เจตนาที่จะให้สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง

1.ถึงแม้ว่า     2.เพราะว่า    3.ทั้งๆที่    4.ด้วยเหตุนี้

ตอบ 1  จากประโยคแรกของย่อหน้าแรกของเนื้อเรื่อง เป็นการสลับที่ของอนุประโยคและใช้ although (ซึ่งต้องตามด้วยประโยค) แทน despite (ที่ต้องตามด้วยวลี)

68.    With regard to reading, anxiety______

(1) is concerned with blindness (2) can increase your enjoyment (3) enables reading comprehension (4) makes it difficult to understand

ถาม ในเรื่องเกี่ยวกับการอ่าน ความกังวล_______

1.   1.เกี่ยวข้องกับความมืดบอด 2. สามารถเพิ่มความสนุกสนานของคุณได้ 3. ช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในการอ่าน 4. ทำให้ยากที่จะเข้าใจการอ่านได้

ตอบ 4  วิเคราะห์จากย่อหน้าที่ 2

69.    Which is correct according to paragraph 2 ?

(1) Stop reading if you feel tired. (2) Read only the thing you enjoy.

(3) Try to memorize only the important part. (4) The more you read, the more you learn.

ถาม ตามเนื้อหาในย่อหน้าที่ 2 ข้อใดถูกต้อง

1.   1.จงหยุดอ่านหากคุณรู้สึกเบื่อ 2. จงอ่านเฉพาะสิ่งที่คุณชอบ 3. พยายามจำเฉพาะตอนที่สำคัญ ๆ 4. ยิ่งคุณอ่าน คุณก็ยิ่งได้เรียนรู้

ตอบ 1  ดังที่กล่าวไว้ในประโยคสุดท้ายของย่อหน้าที่ 2

70.    The basic writing technique used in paragraphs 2 and 3 is_______

(1) comparison-contrast (2) enumeration (3) illustration (4) narration

ถาม เทคนิคการเขียนพื้นฐานที่ใช้ในย่อหน้าที่ 2 และ 3 คือ

1.   1.การเปรียบเทียบและเปรียบต่าง 2. การแจกแจง 3. การแสดงภาพประกอบ 4. การบรรยาย

ตอบ 2 การเขียนใบรูปแบบการแจกแจงจะเป็นการอธิบายทีละข้อตามลำดับ ซึ่งสามารถสังเกต ได้จากคำว่า first, second, finally เป็นต้น

71.    In paragraph 3, sentence______is the topic sentence.

(1) 1      (2) 2      (3) 3        (4) 4

ถาม     ในย่อหน้าที่ 3 ประโยคที่______เน้นประโยคใจความสำคัญ

1. 1     2. 2                    3. 3             4. 4

ตอบ 1  ย่อหน้านี้ต้องการจะบอกว่าเราไม่ควรพยายามจดจำทุกอย่าง ดังที่กล่าวไว้ใบประโยคที่ 1 ส่วนประโยคอื่น ๆ เน้นการให้เหตุผลว่าทำไมจึงไม่ควรทำเช่นนั้น

72.       The author states that you comprehend______you can remember.

(1) because        (2) so                    (3) but       (4) nor

ถาม    ผู้เขียนกล่าวว่า คุณเข้าใจ______คุณสามารถจดจำได้

1. เพราะว่า      2. ดังนั้น          3. แต่   4. หรือไม่

ตอบ 2  จากความหมายในประโยคที่ 3 ย่อหน้าที่ 3

73.       According to the author, memorization_______.

(1) helps create senses      (2) should never happen

(3) seems to develop naturally         (4) is the most crucial in reading

ถาม     ตามความคิดของผู้เขียน การจดจำ________    

1. ช่วยสร้างความเข้าใจ          2. ไม่ควรให้มีเด็ดขาด

3. จะค่อย ๆ เป็นไปเองตามธรรมชาติ  4. เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการอ่าน

ตอบ 3  วิเคราะห์จากประโยคที่ 3 และ 4 ของย่อหน้าที่ 3

74.       The Russian Novel Phenomenon is________ .

(1) a natural phenomenon       (2) a psychological experience

(3) the title of a Russian novel (4) a common theme in most Russian novels

ถาม     ปรากฏการณ์นวนิยายรัสเซีย เป็น________      

1. ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 2. ประสบการณ์เชิงจิตวิทยา

3. ชื่อเรื่องของนิยายรัสเซียเล่มหนึ่ง     4. ใจความสำคัญในนวนิยายรัสเซียส่วนใหญ่

ตอบ 2  จากย่อหน้าที่ 4 ปรากฏการณ์นวนิยายรัสเซียเน้นเหตุการณ์อย่างหนึ่งในเชิงจิตวิทยาที่มัก จะเกิดขึ้นเวลาเราอ่านนวนิยายรัสเซีย ตามลักษณะที่ได้อธิบายไว้ในประโยคที่ 2 และ 3 เหตุการณ์นี้ก็อาจเกิดขึ้นกับหนังสืออื่นได้เช่นกัน

75.       What does a reader usually do when he begins to get confused after reading a Russian novel ?

(1) He rereads to get the important details. (2) He becomes a quick reader.

(3) He stops reading.         (4) He reads faster.

ถาม  ปกติแล้วผู้อ่านทำอย่างไรเมื่อเขาเริ่มสับสนหลังจากอ่านนิยายรัสเซีย

1. เขาจะอ่านมันใหม่เพื่อหารายละเอียดที่สำคัญ        2. เขาจะกลายเป็นคนอ่านเร็ว

3. เขาจะหยุดอ่าน        4. เขาจะอ่านให้เร็วขึ้น

ตอบ 1  จากประโยคที่ 3 ของย่อหน้าที่ 4

76.       And if he does according to the answer of the above question,_______.

(1) the meaning becomes clear         (2) he becomes destructive

(3) the result is no good   (4) the novel is lost

ถาม     และหากว่าเขาทำตามคำตอบในคำถามข้างต้น         

1.         ความหมายจะเริ่มชัดเจนขึ้น    2. เขาจะทำให้เสียหาย

3. ผลที่ได้ออกมาจะไม่ดี          4. นิยายเล่มนั้นจะหายไป

ตอบ 3  จากประโยคที่ 4 ของย่อหน้าที่ 4

77.       In paragraph 4, the author writes sentences 2 and 3 to explain the phrase “_______” in sentence 1.

(1)       two words (2) advice (3) Russian Novel Phenomenon (4) All are correct.

ถาม     ในย่อหน้าที่ 4 ผู้เขียนเขียนประโยคที่ 2 และ 3 เพื่ออธิบายวลี “_____” ในประโยคที่ 1

1.         คำสองคำ 2. คำแนะนำ           3. ปรากฏการณ์นวนิยายรัสเซีย          4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 3  ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

78.       Which is not true according to the fourth paragraph ?

(1)       From your first reading, the author says you just try to understand anything you are capable of.

(2)       Read carefully and try to memorize anything that may prove to be important.

(3)       Perhaps reading faster is a way to make sense of what you are reading.

(4)       Readers usually forget the characters in a Russian novel.

ถาม     ข้อใดไม่จริง ตามเนื้อหาในย่อหน้าที่ 4

1.         ในการอ่านครั้งแรก ผู้เขียนบอกให้คุณพยายามทำความเข้าใจเท่าที่คุณสามารถทำได้

2.         จงอ่านอย่างระมัดระวังและพยายามจดจำทุกอย่างที่คุณเห็นว่ามันสำคัญ

3.         บางทีการอ่านให้เร็วขึ้นเป็นทางหนึ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังอ่าน

4.         ปกติแล้วผู้อ่านจะลืมตัวละครในนิยายรัสเซีย

ตอบ 1  ดังที่กล่าวไว้ในประโยคที่ 6

79.       The second reading is worthwhile if_______.

(1)       you have specific purposes in mind

(2)       you have to look for more important details

(3)       you cannot memorize any important details

(4)       you do not get the main point from your first reading

ถาม     การอ่านครั้งที่สองจะได้ผลก็ต่อเมื่อ    

1.         คุณได้กำหนดจุดประสงค์ในใจไว้แล้ว

2.         คุณจำต้องมองหารายละเอียดที่สำคัญเพิ่ม

3.         คุณไม่สามารถจำรายละเอียดที่สำคัญอันไหนได้เลย

4.         คุณไม่รู้ใจความสำคัญจากการอ่านครั้งแรก

ตอบ 1  วิเคราะห์จากประโยคสุดท้ายของย่อหน้าที่ 4

80.       The most suitable title of this book is______.

(1) Human Anxiety    (2) Techniques for Memorization

(3) Reading        (4) The Russian Novel Phenomenon

ถาม ขื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหนังสือเล่มนี้คือ_______

1. ความกังวลของมนุษย์ 2. เทคนิคในการจำ 3. การอ่าน 4. ปรากฏการณ์นวนิยายรัสเซีย

ตอบ 3  เนื้อเรื่องนี้พูดถึงการอ่านที่ดี ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงน่าจะเกี่ยวกับการอ่าน

81. It seems that the author_______

(1) is a psychologist (2) a teacher of literature

(3) understands the nature of a reader (4) knows exactly how human brain works

ถาม ดูเหมือนว่า ผู้เขียน______

1. เป็นนักจิตวิทยา 2. เป็นครูสอนวรรณคดี

3. เข้าใจธรรมชาติของผู้อ่าน 4. รู้ดีว่าสมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร

ตอบ 3  ผู้เขียนแนะนำการอ่าน ดังนั้นจึงน่าจะเข้าใจธรรมชาติของผู้อ่าน

Passage 4

The Dalai Lama writes in The Art of Happiness, with co-writer and psychiatrist Howard c. Cutler. M.D., that “no matter how much [money] we make, we tend to be dissatisfied with our income if our neighbor is making more.” He points to professional athletes who complain bitterly about annual salaries in the millions. He says the comparing mind is an impediment to happiness because there will always be someone who is richer, smarter, or better looking.

How does one quiet the comparing mind ? One way is turn away from the TV. While there are lots of good reasons not to watch television, one reason is that people who are inundated with images of more and better products that will make you look cooler or more beautiful, tend to be less satisfied. “Watching TV can triple our hunger for possessions and decreaseour personal contentment by 5 percent for every hour watched,” according to a University of Michigan study cited by David Niven, Ph.D. in The 110 Simple Secrets of Happy People. Another study cited in Niven’s book says that television changes our view of the world, leading to unrealistic expectations and reducing our life satisfaction by 50 percent.

องค์ดาไล ลามะ ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือชื่อ ศิลปะของการมีความสุข ซึ่งมีผู้เขียนร่วมเป็น นักจิตแพทย์ชื่อ ฮาวเวิร์ด ซี. คัทเลอร์ ว่า ไมว่าเราจะหา (เงิน) มาได้มากแค่ไหน เราก็มักจะไม่ค่อยพอใจ กับรายได้ของเรานัก ถ้าหากเพื่อนบ้านของเราหามาได้มากกว่า” ท่านยกตัวอย่างนักกีฬาอาชีพที่โอดครวญ เรื่องค่าจ้างรายปีนับหลายล้านที่ได้มา ท่านกล่าวว่า ความคิดที่ชอบเปรียบเทียบคือตัวขัดขวางความสุข เพราะว่ามันจะต้องมีใครสักคนที่รวยกว่า ฉลาดกว่า หรือดูดีกว่าเสมอ

คนเราจะสยบความคิดที่ชอบเปรียบเทียบนี้ได้อย่างไร วิธีหนึ่งก็คือการหันออกจากโทรทัศน์เสีย ในขณะที่มีเหตุผลดี ๆ หลายประการที่เราไม่ควรดูโทรทัศน์ เหตุผลประการหนึ่งก็คือ คนที่จมอยู่กับภาพ อันหลากหลายของสินค้าที่มีมากกว่า ดีกว่า ที่จะทำให้คุณดูเจ๋งกว่าหรือสวยกว่า มักจะมีความพอใจน้อยลง การดูโทรทัศน์สามารถเพิ่มความอยากเป็นเจ้าของได้ถึงสามเท่า และลดความพอใจในตัวเองของเราลง 5เปอร์เซ็นต์ทุก ๆ ชั่วโมงที่ดูโทรทัศน์” จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่ง ดร. เดวิด ไนเวน นำไป เขียนไว้ในหนังสือชื่อ ความลับที่แสนง่าย 110 วิธีของคนที่มีความสุข และการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือของไนเวนบอกว่า โทรทัศน์เปลี่ยนทัศนะของเราต่อโลก ซึ่งนำไปสู่การคาดหวังที่เกินจริงและ การลดความพึงพอใจในชีวิตของเราลง 50 เปอร์เซ็นต์

82.    The passage is about_______

(1) how to be happy (2) the Dalai Lama

(3) why watch TV (4) the book “The Art of Happiness”

ถาม เนื้อเรื่องนี้เกี่ยวกับ

1. จะสร้างความสุขได้อย่างไร 2. องค์ดาไล ลามะ

3. ทำไมต้องดูโทรทัศน์ 4. หนังสือเรื่อง “ศิลปะของการอยู่เป็นสุข

ตอบ 1 : เนื้อเรื่องนี้พูดถึงวิธีสร้างความสุขให้กับชีวิต โดยในย่อหน้าที่ 1 บอกว่าคนเราจะไม่มีความสุข ถ้ามีความคิดชอบเปรียบเทียบ และในย่อหน้าที่ 2 บอกว่าเราจะกำจัดความคิดชอบเปรียบนี้ ได้โดยวิธีหนึ่งคือการไม่ดูโทรทัศน์ ซึ่งก็เท่ากับหมายความว่าถ้าเราไม่ดูโทรทัศน์หรือดูให้ น้อยลงบางทีเราอาจมีความสุขเพิ่มขึ้น

83.    According to the first paragraph, the Dalai Lama says that________

(1)    our income is always less than other people’s

(2)    high salaries never satisfy people if they are not happy

(3)    people will be happy if no one is richer, smarter, or better looking

(4)    comparing themselves with others, people are never satisfied with what they have

ถาม ตามเนื้อเรื่องในย่อหน้าที่ 1 องค์ดาไล ลามะ กล่าวว่า

1.      รายได้ของเรามักจะน้อยกว่าของคนอื่นเสมอ

2.      เงินเดือนที่สูงไม่เคยสร้างความพอใจให้คนถ้าเขาไม่มีความสุข

3.      คนเราจะมีความสุขได้ถ้าไม่มีใครรวยกว่า ฉลาดกว่า หรือดูดีกว่า

4.      ด้วยการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น คนเราจะไม่เคยพึงพอใจกับสิ่งที่เขามีได้เลย

ตอบ 4  ตรงกับใจความสำคัญของย่อหน้าที่บอกว่า ความคิดชอบเปรียบเทียบจะทำให้คนเราไม่มี ความสุขเนื่องจากเราไม่เคยพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี

84.    The phrase “professional athletes” which is mentioned in the first paragraph can be an example of the idea that_________

(1) it is difficult for people to be happy

(2) people will be happy if they want to

(3) people have to work hard to be happy

(4) being happy has nothing to do with wealth

ถาม วลี นักกีฬาอาชีพ” ที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 1 เป็นตัวอย่างของความคิดที่ว่า

1.   เป็นเรื่องยากที่คนเราจะมีความสุขได้ 2. คนเราจะมีความสุขได้ถ้าเขาอยากจะมี 3. คนเราต้องทำงานหนักเพื่อจะได้มีความสุข 4. การมีความสุขไม่เกี่ยวกับความมั่งคั่ง

ตอบ 4  ประโยคที่ 2 ของย่อหน้านี้เป็นตัวอย่างของประโยคที่ 1 ที่กล่าวถึงคนที่ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี คนเหล่านี้จะไม่มีความสุขถึงแม้เขาจะร่ำรวย ดังนั้นเรื่องของความสุขไม่เกี่ยวกับความร่ำรวย

85.    The second paragraph discusses_______

(1) why people watch TV (2) a way to quiet a comparing mind (3) benefits of TV (4) studies on effects of TV programs

ถาม     ย่อหน้าที่ 2 ว่าด้วยเรื่อง          

1.      ทำไมคนเราต้องดูโทรทัศน์       2. วิถีทางที่เราจะสยบความคิดที่ชอบเปรียบเทียบ

3. ประโยชน์ของโทรทัศน์       4. การศึกษาเรื่องผลกระทบจากรายการโทรทัศน์

ตอบ 2  ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ

86.    The main idea of the second paragraph is that______.

(1)    when people watch TV, people want more

(2)    to stop comparing, people should not watch TV

(3)    people compare themselves with the images on TV

(4)    the more people watch TV, the less they feel satisfied

ถาม     ใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 2 คือ     

1.      เมื่อคนดูโทรทัศน์ คนเราจะมีความต้องการมากขึ้น

2.      เพี่อจะหยุดเรื่องการเปรียบเทียบ เราไม่ควรดูโทรทัศน์

3.      คนเราชอบเปรียบเทียบตัวเองกับภาพในโทรทัศน์

4.      ยิ่งคนดูโทรทัศน์มากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็จะมีความพอใจน้อยลง

ตอบ 2  ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ

87.    According to the passage, images of more and better products on TV______.

(1)    attract people too much

(2)    adjust people’s point of view

(3)    make people less satisfied with what they have

(4)    will make people look cooler and more beautiful

ถาม     จากเนื้อเรื่อง ภาพของสินค้าที่มีมากกว่าและดีกว่าในโทรทัศน์           

1. ดึงดูดผู้ชมเป็นอย่างมาก   2. ปรับเปลี่ยนมุมมองของคนเรา

3. ทำให้คนพอใจในสิ่งทีเขามีอยู่แล้วน้อยลง 4. ทำให้คนดูเจ๋งกว่าและดูดีกว่า

ตอบ 3  สรุปได้จากประโยคที่ 3 ของย่อหน้าที่ 2

88.    What can be concluded from the passage ?

(1)    The Dalai Lama is a Buddhist.

(2)    If people are rich, they are likely to be unhappy.

(3)    People are often influenced by commercials on TV.

(4)    If you stop watching TV, you will be never sad.

ถาม     อะไรคือสิ่งที่เราสามารถสรุปได้จากเนื้อเรื่องนี้

1.      องค์ดาไล ลามะ เป็นพุทธศาสนิกชน

2.      หากว่าคนเราร่ำรวย เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสุข

3.      คนเรามักจะได้รับอิทธิพลจากโฆษณาทางโทรทัศน์

4.      หากคุณเลิกดูโทรทัศน์ คุณจะไม่มีวันเสียใจ

ตอบ 3  จากย่อหน้าที่ 2 โทรทัศน์ทำให้เรามีความต้องการมากขึ้นและพอใจในตัวเองน้อยลง

89.    The word “impediment” (paragraph 1) is similar in meaning to______.

(1) obstacle      (2) instrument (3) support       (4) approach

ถาม     คำว่า “impediment – ตัวขัดขวาง” (ย่อหน้าที่ 1) มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า   

1.      อุปสรรค           2.      อุปกรณ์           3. สนับสนุน   4.      การเข้าถึง

ตอบ 1  impediment เป็นนามนับได้ แปลว่า อุปสรรคสิ่งขัดขวาง มีความหมายเหมือนคำว่า obstacle หรือ barrier

90.    The word “decrease” (paragraph 2) is opposite in meaning to_______.

(1)    reduce      (2) grow   (3) enforce        (4) decline

ถาม     คำว่า “decrease – ทำให้ลดลง” (ย่อหน้าที่ 2) ตรงกันข้ามกับคำว่า    

1. ทำให้ลดลง            2.      ทำให้เพิ่มขึ้น    3. บังคับใช้    4.      ลดลง

ตอบ 2  decrease ในที่นี้เป็นสกรรมกริยา (vt.) แปลว่า ทำให้ลดลง มีความหมายเช่นเดียวกับ reduce (vt.) และตรงกันข้ามกับ grow (vt.)

Passage 5

Many people believe in the “big bang” theory of the origin of the earth. That is, that our planet was once part of a huge mass of matter that exploded. Others feel that the earth is the result of the gradual cooling of a whirling mass of gases and other celestial material. Some religionists, in contrast, conjecture that the earth was created by the hand of a supernatural being.

หลาย ๆ คนเชื่อในทฤษฎี บิกแบง” ใบเรื่องจุดกำเนิดของโลก นั่นก็คือ ทฤษฎีที่ว่าโลกของเรา ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของมวลวัตถุขนาดใหญ่ที่ระเบิดออกมา คนอีกกลุ่มกลับคิดว่าโลกของเราเป็นผลจาก การค่อย ๆ เย็นตัวลงของมวลกลุ่มแก๊สและมวลวัตถุอื่น ๆ ที่หมุนวนอยู่ในอวกาศ ต่างกับพวกนักการศาสนา ทั้งหลายเชื่อว่า โลกถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งเหนือธรรมชาติ

91.    The passage is about______.

(1) the theories of the origin of the earth (2) the “big bang” theory (3) our planet      (4) the explosion of the earth

ถาม     เนื้อเรื่องนี้เกี่ยวกับ _____

1. ทฤษฎีการก่อกำเนิดโลก 2. ทฤษฎี ‘‘บิกแบง” 3. โลกของเรา   4. การระเบิดของโลก

ตอบ 1  เนื้อเรื่องนี้ต้องการจะบอกว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับการก่อกำเนิดของโลกมีอยู่หลายทฤษฎี

92.    The main idea of the passage is that_____.

(1)    people believe in the “big bang” theory

(2)    we do not know the origin of the earth

(3)    no theory can explain the origin of the earth

(4)    many different theories try to explain the origin of the earth

ถาม     ใจความสำคัญของเรื่องคือ     

1.      ผู้คนเชื่อในทฤษฎี บิกแบง

2.      เราไม่รู้เกี่ยวกับจุดกำเนิดของโลก

3.      ไม่มีทฤษฎีใดที่จะอธิบายเรื่องจุดกำเนิดของโลก

4.      มีหลายทฤษฎีที่พยายามจะอธิบายจุดกำเนิดของโลก

ตอบ 4  ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93.    According to the passage, which is true ?

(1)    God created the earth.

(2)    The earth was once a ball of gas.

(3)    We are not sure where the earth came from.

(4)    We should not think about the origin of the earth.

ถาม     จากเนื้อเรื่อง ข้อใดถูกต้อง

1. พระเจ้าสร้างโลก   2. ครั้งหนึ่งโลกเคยเป็นกลุ่มแก๊ส

3. เราไม่แน่ใจว่าโลกมาจากไหน        4. เราไม่ควรคิดถึงเรื่องจุดกำเนิดของโลก

ตอบ 3  จากเนื้อเรื่อง ผู้เขียนบอกว่ามีหลายทฤษฎี แต่ไม่ได้สรุปว่าทฤษฎีใดถูกต้อง

94.______theories are mentioned in the passage.

(1) 2                    (2) 3 (3) 4             (4) 5

ถาม มี________ทฤษฎีที่ถูกอ้างถึงในเนื้อเรื่องนี้

1. 2            2. 3               3. 4             4. 5

ตอบ 2  ทฤษฎีบิกแบงทฤษฎีโลกเกิดจากการเย็นตัวของกลุ่มแก๊ส และทฤษฎีพระเจ้าสร้างโลก

95.    The ideas of the passage are organized in______pattern.

(1) enumeration      (2) cause/effect        (3) compare/contrast (4) sequence

ถาม     แนวคิดในเนื้อเรื่องนี้เขียนขึ้นมาในรูปแบบ     

1. การแจกแจง           2. การแสดงเหตุและผล

3. การเปรียบเทียบและเปรียบต่าง    4. การลำดับความ

ตอบ 3  การเขียนแบบเปรียบเทียบและเปรียบต่างเป็นการนำหัวข้อมาเปรียบเทียบกันว่ามันเหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไร

Passage 6

Even in today’s scientific age superstition is still widespread. Many tall buildings, for example, do not have a floor numbered thirteen, because tenants consider this number unlucky and will not rent apartments or offices on the floor. Like ancient man, some people still carry good luck charms such as rabbit’s feet to protect them from misfortune. Many people still shudder when a black cat crosses their path or are absolutely terrified about opening an umbrella inside the house.

แม้จะอยู่ในยุควิทยาศาสตร์อย่างเช่นทุกวันนี้ แต่การเชื่อถือโชคลางก็ยังคงมีอยู่อย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น ในอาคารสูงทั้งหลายจะไม่ปรากฏมีชั้นหมายเลขที่ 13 เพราะบรรดาผู้เช่าจะคิดว่าเลขนี้เป็นเลข แห่งความโชคร้าย และจะไม่เช่าห้องพักหรือสำนักงานบนชั้นนั้น เช่นเดียวกับคนสมัยก่อน บางคนยังพกเครื่องรางนำโชค เช่น ขากระต่าย เพื่อป้องกันตัวเองจากเคราะห์ร้าย หลายคนยังคงขนลุกหากมีแมวดำ วิ่งตัดหน้า หรือหวาดกลัวอย่างมากกับการที่จะกางร่มภายในบ้าน

96.    The passage is about______.

(1) scientific age (2) superstition today (3) unlucky number (4) good luck charms

ถาม     เนื้อเรืองนี้เกี่ยวกับ      

1. ยุควิทยาศาสตร์     2. ความเชื่อโชคลางในปัจจุบัน          3. เลขอับโชค 4. เครื่องรางของขลัง

ตอบ 2  เนื้อเรื่องนี้พูดถึงการเชื่อโชคลางในปัจจุบันว่ายังมีอยู่อย่างแพร่หลาย

97.    The main idea is______of the paragraph.

(1)    at the end         (2) in the middle (3) in the beginning (4) 1 and 3 are correct.

ถาม     ใจความสำคัญอยู่ที่______ของย่อหน้า

1. ตอนจบ      2. ตอนกลาง  3. ตอนต้น      4. ข้อ 1 และ 3 ถูกต้อง

ตอบ 3  คือ ประโยคที่ 1

98.    Some people consider number thirteen unlucky because_______.

(1) the number brings them unhappiness      (2) they are superstitious

(3) no one will stay on the floor numbered thirteen      (4) All are correct.

ถาม     บางคนถือว่า หมายเลข 13 เป็นเลขอับโชค เพราะ______         

1. เลขนี้จะนำความทุกข์มาให้            2. พวกเขาเชื่อถือโชคลาง

3. ไม่มีใครยอมอยู่บนชั้นที่ 13        4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 2  ข้อความในประโยคที่ 2, 3 และ 4 เป็นตัวอย่างหรือเหตุผลของประโยคที่ 1

99.    According to the paragraph, it is true that______.

(1)    number thirteen causes troubles

(2)    rabbit’s feet protect man from misfortune

(3)    we should not open an umbrella inside the house

(4) None is correct.

ถาม     จากเนื้อเรื่อง เป็นความจริงที่ว่า _______

1. เลข 13 จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ            2. ขากระต่ายจะช่วยปกป้องคนจากโชคร้าย

3. เราไม่ควรกางร่มในบ้าน     4. ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4  ทุกข้อที่กล่าวมาเป็นเพียงความเชื่อ ไม่ใช่ความจริง

100. Which of the following makes superstitious people feel good ?

(1) Number 13 (2) An umbrella (3) Rabbit’s feet ‘ (4) A black cat

ถาม     สิ่งใดต่อไปนี้ ที่จะทำให้คนที่เชื่อถือโชคลางรู้สึกดี

1. เลข 13    2. ร่ม  3. ขากระต่าย 4. แมวดำ

ตอบ 3  วิเคราะห์จากประโยคที่ 3

Advertisement