การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4008 กฎหมายที่ดิน

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายสิงหาเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่ง  โดยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ใน  พ.ศ.2543  ได้มีประกาศของทางราชการเพื่อเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินในท้องที่นั้น  นางสิงหาไม่ได้ไปนำพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสำรวจรังวัดที่ดินของตน  จึงไม่ได้รับโฉนดที่ดินใน  พ.ศ.2547  นายสิงหาได้ยกที่ดินแปลงนั้นตีใช้หนี้ให้แก่นายกันยาโดยมอบเอกสารสิทธิและส่งมอบที่ดินให้นายกันยาครอบครอง  นายกันยาได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมา  ขณะนี้นายกันยาได้นำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดิน  ดังนี้  อยากทราบว่า  นายกันยาจะขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  4  ทวิ  นับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินซึ่งมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์  ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

มาตรา  59  ในกรณีที่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายไม่ว่าจะได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา  58  แล้วหรือไม่ก็ตาม  เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควร  ให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์  แล้วแต่กรณี  ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้  ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากผู้ซึ่งมีหลักฐานการแจ้งการครอบครองด้วย

มาตรา  59  ทวิ  ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิ์ที่ดินและมิได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา  5  แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน  พ.ศ.  2497  แต่ไม่รวมถึงผู้ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 27  ตรี  ถ้ามีความจำเป็นจะขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย  เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควรให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์  แล้วแต่กรณี  ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด  แต่ต้องไม่เกินห้าสิบไร่  ถ้าเกินห้าสิบไร่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด  ทั้งนี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้  ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากบุคคลดังกล่าวด้วย

วินิจฉัย

การที่นายสิงหาซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์  ได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวตีใช้หนี้ให้แก่นายกันยา  โดยมอบเอกสารสิทธิและส่งมอบที่ดินให้แก่นายกันยาครอบครองมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถือเป็นการโอนที่ไม่ทำตามกฎหมายที่ดิน  มาตรา  4  ทวิ  ที่กำหนดว่า  การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินซึ่งมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต้องทำเป็นหนังสือและต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  การยกที่ดินตีใช้หนี้ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ  ส่งผลให้นายกันยาเป็นเพียงผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ 

และในขณะนี้นายกันยาประสงค์จะขอออกโฉนดที่ดิน  แต่ไม่ปรากฏว่ามีประกาศของทางราชการเพื่อจะออกโฉนดแบบทั้งตำบล  ตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  58  จึงต้องพิจารณาการออกโฉนดที่ดินเฉพาะราย  ตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  59  และมาตรา  59  ทวิ  แล้วแต่กรณี

สำหรับการออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะราย  ตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  59ที่จะขอออกโฉนดที่ดินได้  จะต้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน  กล่าวคือ  เป็นเจ้าของที่ดินโดยมีหนังสือสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อกันยาเป็นเพียงผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน  เนื่องจากการโอนดังกล่าวฝ่าฝืนประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  4  ทวิ  นายกันยาจึงขอออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะราย  ตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  59  ไม่ได้  อีกทั้งในกรณีดังกล่าวนี้  นายกันยาก็จะอ้างว่าเป็นเพียงผู้ครอบครองต่อเนื่อง  ตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  59  วรรคสอง  ไม่ได้เช่นกัน  เพราะนายกันยามิใช่ผู้ครอบครองต่อเนื่องจากผู้ซึ่งมีหลักฐานการแจ้งการครอบครอง  (ส.ค.1)

ส่วนผู้ที่จะขอออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะรายตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  59  ทวิ  ได้นั้น  กฎหมายกำหนดว่า  จะต้องเป็นผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน  และมิได้แจ้งการครอบครองตาม  พ.ร.บ.  ให้ใช้ฯ  มาตรา  5  เท่านั้น  เมื่อได้ความว่า  นายกันยาเป็นผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ  (ภายหลังวันที่  1  ธันวาคม  พ.ศ. 2497)  จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ดังกล่าว  ดังนั้น  นายกันยาจึงไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะราย  ตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  59  ทวิ  ได้เช่นกัน

สรุป  นายกันยาเป็นผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ  จึงขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะรายตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  59  และมาตรา  59  ทวิ  ไม่ได้เลย


ข้อ  2  นายเพชรได้รับอนุญาตให้จับจองที่ดิน  ทางราชการออกใบจองให้ในวันที่  15  มกราคม  2545  ต่อมาใน  พ.ศ.  2548 นายเพชรได้ยกที่ดินให้แก่นายเงินพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน  เพราะนายเพชรไม่มีครอบครัว  นายเงินครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อมาและได้รับโฉนดที่ดินจากทางราชการเมื่อวันที่  20  ตุลาคม  2551  ขณะนี้นายเงินจะโอนที่ดินให้แก่นายทองซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายและบรรลุนิติภาวะแล้ว  ดังนี้  อยากทราบว่านายเงินจะโอนที่ดินในกรณีดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  58  ทวิ  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคห้า  เมื่อได้สำรวจรังวัดทำแผนที่  หรือพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินตามมาตรา  58  แล้ว  ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์  แล้วแต่กรณี  ให้แก่บุคคลตามที่ระบุไว้ในวรรคสอง เมื่อปรากฏว่าที่ดินที่บุคคลนั้นครอบครองเป็นที่ดินที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ตามประมวลกฎหมายนี้

บุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้ได้  คือ

(3) ผู้ซึ่งครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ในที่ดิน  ภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับและไม่มีใบจอง  ใบเหยียบย่ำ  หรือไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ

ภายในสิบปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง  ห้ามมิให้บุคคลตามวรรคสอง  (3)  ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่น  เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดก  หรือโอนให้แก่ทบวงการเมือง  องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล  รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ  หรือโอนให้แก่สหกรณ์เพื่อชำระหนี้โดยได้รับอนุมัติจากนายทะเบียนสหกรณ์

พ.ร.บ.  ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  8  วรรคสอง  ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จับจอง  แต่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว  ผู้ได้รับอนุญาตจะโอนไปไม่ได้เว้นแต่จะตกทอดโดยทางมรดก

วินิจฉัย

นายเพชรเป็นผู้ครอบครองที่ดินที่มีใบจอง  โดยทางราชการออกใบจองให้ในวันที่  15  มกราคม  พ.ศ. 2545  ซึ่งที่ดินที่มีใบจองนี้เป็นที่ดินที่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว  นายเพชนผู้ครอบครองจึงโอนให้ใครไม่ได้  เว้นแต่จะตกทอดทางมรดกตาม  พ.ร.บ.  ให้ใช้ฯ  มาตรา  8  วรรคสอง

เมื่อได้ความว่า  ใน พ.ศ. 2548  นายเพชรได้ยกที่ดินให้แก่นายเงิน  ซึ่งการยกที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนตาม  พ.ร.บ.  ให้ใช้ฯ  มาตรา  8  วรรคสอง  ทั้งก็มิใช่เป็นการตกทอดทางมรดกแต่อย่างใด  ในกรณีดังกล่าวนี้  แม้นายเงินจะได้ครอบครองและทำประโยชน์ต่อเนื่องมาก็ไม่ทำให้นายเงินเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน

แต่อย่างไรก็ดี  การยกที่ดินโดยการส่งมอบการครอบครองให้แก่กันนั้น  มีผลทำให้นายเงินเป็นผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ  ซึ่งการที่นายเงินครอบครองและทำประโยชน์ต่อเนื่องมาจนได้รับโฉนดจากทางราชการ  ในวันที่  20  ตุลาคม  พ.ศ. 2551  กรณีเช่นนี้  ถือว่านายเงินเป็นผู้ได้รับโฉนดที่ดินเนื่องจากเป็นผู้ครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับและไม่มีใบจอง  ใบเหยียบย่ำ  หรือไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  58  วรรคสอง  (3)  นายเงินจึงอยู่ในบังคับห้ามโอนที่ดินภายในกำหนด  10  ปี  นับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดิน  ตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  58  ทวิ  วรรคห้า  เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  58  ทวิ  วรรคห้าตอนท้าย

ดังนั้น  การที่นายเงินประสงค์จะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายทองจึงไม่สามารถโอนได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  58  ทวิ  วรรคห้า  เพราะเป็นการโอนภายในกำหนดเวลา  10  ปี  นับแต่ได้รับโฉนด ทั้งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นของกฎหมาย   เพราะไม่ใช่การโอนตกทอดทางมรดกแต่อย่างใด

สรุป  นายเงินจะโอนที่ดินให้แก่นายทองไม่ได้


ข้อ  3  นายหนึ่งเจ้าของที่ดินทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินให้กับนายสอง  โดยทำสัญญากันในวันที่  20  เมษายน  2552  ในหนังสือสัญญากำหนดไปทำการจดทะเบียนโอนและชำระราคาที่ดินให้แก่กันในวันที่  14  พฤษภาคม  2552  ต่อมาเมื่อถึงกำหนดนายหนึ่งผิดนัดไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่นายสองตามสัญญา  ในวันที่  21  พฤษภาคม  2552  นายสองจึงได้ไปขออายัดที่ดินเพื่อจะนำคดีไปฟ้องนายหนึ่งต่อไป  ดังนี้  อยากทราบว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งอายัดไว้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินใดอันอาจจะฟ้องบังคับให้มีการจดทะเบียน  หรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้  มีความประสงค์จะขออายัดที่ดิน  ให้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา  71

เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนเอกสารหลักฐานที่ผู้ขอได้นำมาแสดงแล้ว  ถ้าเห็นสมควรเชื่อถือก็ให้รับอายัดไว้มีกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่สั่งรับอายัด  เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว  ให้ถือว่าการอายัดสิ้นสุดลง  และผู้นั้นจะขออายัดซ้ำในกรณีเดียวกันอีกไม่ได้

ถ้าผู้มีส่วนได้เสียคัดค้านว่า  การอายัดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสอบสวนพยานหลักฐานเท่าที่จำเป็น  เมื่อเป็นที่เชื่อได้ว่าได้รับอายัดไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ยกเลิกการอายัดนั้น  และแจ้งให้ผู้ขออายัดทราบ

วินิจฉัย

การอายัด  หมายถึง  การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินไว้เป็นการชั่วคราวเพื่อไปดำเนินการทางศาล  ดังนั้น  ถ้าที่ดินแปลงใดถูกอายัดจะมีการจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินนั้นไม่ได้  เว้นแต่จะเป็นการจดทะเบียนที่เป็นการปลดเปลื้องภาระผูกพัน  เช่น  ที่ดินถูกอายัด  แต่จะมีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง  ไถ่ถอนขายฝาก  กรณีเช่นนี้  ยอมให้จดทะเบียนได้  เพราะเป็นการทำให้ที่ดินปลอดจากภาระผูกพัน

ตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  83  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการอายัดไว้ดังนี้ 

1       ผู้ขออายัดจะต้องมีส่วนได้เสียในที่ดินโดยตรงอันอาจฟ้องบังคับให้มีการจดทะเบียนหรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินได้

2       พนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งรับอายัดไว้ได้มีกำหนด  30  วัน  นับแต่วันที่สั่งรับอายัด

3       เมื่อครบกำหนด  30  วันแล้วผู้ขออายัดยังไม่ได้ฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งอายัดที่ดินให้ถือว่าการอายัดสิ้นสุดลง  ผู้นั้นจะขออายัดซ้ำในกรณีเดียวกันอีกไม่ได้

พนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งรับอายัดไว้ได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่นายหนึ่งเจ้าของที่ดินทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินกับนายสอง  และในหนังสือสัญญาก็ได้กำหนดวันที่จะไปจดทะเบียนและชำระราคาที่ดินกัน  ต่อมาเมื่อถึงกำหนด  นายหนึ่งผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนให้แก่นายสองตามสัญญา  กรณีเช่นนี้สัญญาระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  จึงใช้ฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้  ดังนั้น  เมื่อนายหนึ่งผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนที่ดินแปลงนั้นให้แก่นายสอง  นายสองจึงสามารถฟ้องบังคับให้นายหนึ่งไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  456  วรรคสอง  กรณีจึงถือนายสองเป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินโดยตรงอันอาจฟ้องบังคับให้มีการจดทะเบียนหรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินได้ 

ดังนั้น  เมื่อนายสองเป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดิน  ประสงค์จะขออายัดที่ดินเพื่อจะนำคดีไปฟ้องนายหนึ่งต่อไป  พนักงานเจ้าหน้าที่จึงสั่งรับอายัดไว้ได้

สรุป  พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งรับอายัดไว้ได้


ข้อ  4  อยากทราบว่า  การรวมที่ดินหลายแปลงเข้าเป็นแปลงเดียวกัน  มีหลักเกณฑ์สำคัญอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

อธิบาย

การรวมที่ดินหลายแปลงเข้าเป็นแปลงเดียวกันมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญอยู่  5  ประการ  ซึ่งอยู่ภายใต้คำสั่งของกรมที่ดิน  ที่  12/2500  ลงวันที่  8  พฤศจิกายา  พ.ศ. 2500  กล่าวคือ

1       ต้องเป็นที่ดินที่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ประเภทเดียวกัน  เว้นแต่โฉนดแผนที่กับโฉนดที่ดินให้รวมกันได้

2       ต้องมีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเหมือนกันทุกฉบับและยังมีชีวิตอยู่ทุกคน  กล่าวคือ  ในกรณีที่มีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนดเหมือนกันนั้น  โดยไม่คำนึงว่าผู้มีชื่อในโฉนดจะมีกี่คน  แต่ที่สำคัญทุกฉบับจะต้องมีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในโฉนดเหมือนกันทุกฉบับ  เช่น  แปลงที่  1  มีชื่อ  นายเอ  และนายบี  แปลงที่  2  ก็ต้องมีชื่อ  นายเอ  และนายบี  จึงจะรวมกันได้

3       ต้องเป็นที่ดินที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน  กล่าวคือ  ไม่มีที่ดินของผู้อื่นหรือที่สาธารณประโยชน์มาคั่น

4       ต้องเป็นที่ดินในจังหวัดเดียวกัน  กล่าวคือ   แม้จะต่างตำบลต่างอำเภอก็ให้รวมกันได้  เมื่อรวมโฉนดแล้วให้ถือว่าที่ดินส่วนใดอยู่ในเขตตำบลอำเภอใดก็ให้ใช้ตำบลและอำเภอนั้น  สำหรับโฉนดที่ดินแปลงใหม่

5       ต้องเป็นที่ดินในเขตสำนักงานที่ดินเดียวกัน

Advertisement