การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ความยุติธรรมคืออะไร  มีความสัมพันธ์กับกฎหมายหรือไม่  อย่างไร  และ  John  Rawls  ได้กล่าวเกี่ยวกับความยุติธรรมว่าอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ความยุติธรรม  เป็นคำหนึ่งที่ค้นหาความหมายที่เป็นรูปธรรมได้ยากพอสมควร  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็ได้ให้ความหมายไว้เป็นแนวทางว่า  ความยุติธรรม  หมายถึง

1       ความเที่ยงธรรม  หมายถึง  การไม่เอนเอียง  ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

2       ความชอบธรรม  หมายถึง  ชอบด้วยนิตินัย  หรือชอบด้วยธรรมมะ

3       ความชอบด้วยเหตุผล  ซึ่งแล้วแต่มุมมองของใคร  สังคมใดจะเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีนักคิดทั้งหลายได้พยายามนำเสนอความหมายไว้ที่สำคัญๆได้แก่

เพลโต  (Plato)  ได้ให้คำนิยามของความยุติธรรมว่าหมายถึง  การทำกรรมดีหรือการทำสิ่งที่ถูกต้อง  โดยเขามองความยุติธรรมเป็นเสมือนองค์รวมของคุณธรรม  ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสำคัญที่สุดยิ่งกว่าคุณธรรมอื่นใด  และโดยทั่วไปแล้วความยุติธรรมเป็นคุณธรรมหรือสัจธรรมที่บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นจะค้นพบได้

อริสโตเติล  (Aristotle)  มองความยุติธรรมว่าเป็นคุณธรรมเฉพาะเรื่อง  หรือคุณธรรมทางสังคมประการหนึ่ง  ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล  และคุณธรรมนี้จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมนุษย์ได้ปลดปล่อยตัวเขาเองจากแรงผลักดันของความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง  โดยอริสโตเติลได้แบ่งความยุติธรรมออกเป็น  2  ประเภทคือ

1       ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ  หมายถึง  ความยุติธรรมที่มีลักษณะเป็นสากล  ใช้ได้ต่อมนุษย์ทุกคนไม่มีขอบเขตจำกัด  และอาจค้นพบได้โดย  เหตุผลบริสุทธิ์  ของมนุษย์

2       ความยุติธรรมตามแบบแผน  หมายถึง  ความยุติธรรมซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง  ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและความเหมาะสม  เป็นต้น

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความยุติธรรมกับกฎหมายนั้น  มีปรากฏรูปความสัมพันธ์ใน  2  แบบตามแนวคิดทางทฤษฎี  คือ

1       ทฤษฎีที่ถือว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันกับกฎหมาย  ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายและความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน  เนื่องจากล้วนมีกำเนิดมาจากพระเจ้า  จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยหลังๆจนถึงปัจจุบัน  ทฤษฎีนี้โดยมากจะแสดงออกผ่านการตีความเรื่องความยุติธรรมจากนักคิดคนสำคัญของสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่มุ่งยืนยันความเด็ดขาดว่า  กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย  รวมทั้งนักกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลของสำนักนี้ด้วย  อาทิเช่น

ฮันส์  เคลเซ่น  (Hans  Kelsen)  กล่าวว่า  ความยุติธรรมคือการรักษาไว้ซึ่งคำสั่งที่เป็นกฎหมาย  โดยการปรับใช้คำสั่งนั้นอย่างมีมโนธรรม

อัลฟ  รอสส์  (Alf  Ross)  กล่าวว่า  ความยุติธรรมคือการปรับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องอันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการกระทำสิ่งใดตามอำเภอใจ

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ตรัสว่า  ในเมืองไทย  คำพิพากษาเก่าๆและคำพิพากษาเดี๋ยวนี้ด้วย  อ้างความยุติธรรมขึ้นตั้งเสมอๆ  แต่คำที่เรียกว่ายุติธรรมเป็นคำไม่ดี  เพราะเป็นการที่ทุกคนเห็นต่างกันตามนิสัย  ซึ่งไม่เป้นกิริยาของกฎหมาย  กฎหมายต้องเป็นยุติ  จะเถียงแปลกออกไปไม่ได้  แต่เราเถียงได้ว่าอย่างไร  เป็นยุติธรรมไม่ยุติธรรมทุกเมื่อ  ทุกเรื่อง…

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  211/2473  กฎหมายต้องแปลให้เคร่งครัดตามกฎหมายที่มีอยู่จะแปลให้คล้อยตามความยุติธรรมไม่ได้

2       ทฤษฎีที่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นอุดมคติในกฎหมาย  เป็นแนวคิดที่ความยุติธรรมได้รับการเชิดชูไว้สูงกว่ากฎหมาย  ในแง่นี้ความยุติธรรมถูกพิจารณาว่าเป็นแก่นสรอุดมคติในกฎหมาย  หรือเป็นความคิดอุดมคติซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายสูงส่งของกฎหมาย กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินตามหลังความยุติธรรมซึ่งเป็นการมองความยุติธรรมในภาพเชิงอุดมคติ  อันเป็นวิธีคิดในทำนองเดียวกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ  อีกทั้งเป็นวิธีคิดอุดมคติซึ่งเคยมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเช่นกัน  หรือในชื่อที่เรียกกันว่า  ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ  ที่ยืนยันว่ากฎหมายมิใช่กฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่ถูกต้องหรือความยุติธรรมโดยตัวของมันเอง ยังมีแก่นสารของความยุติธรรมที่อยู่เหนือและคอยกำกับเนื้อหาของกฎหมายในแบบกฎหมายเบื้องหลังกฎหมาย

แนวความคิดที่ว่าความยุติธรรมเป็นจุดมุ่งหมายของกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยเองก็มีมาช้านานแล้ว  ดังเช่น

คดีอำแดงป้อม  ในสมัยรัชกาลที่  1  ที่อำแดงป้อมมีชู้แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีผู้เป็นสามีตุลาการก็ให้หย่า  เพราะกฎหมายในขณะนั้นบัญญัติว่า  หญิงหย่าชาย  หย่าได้  ผลของคำพิพากษานี้  รวมทั้งกฎหมายที่สนับสนุนอยู่  เหนือหัวรัชกาลที่  1  เห็นว่าไม่ยุติธรรม  เป็นเหตุให้ต้องมีการชำระสะสางกฎหมายใหม่จนกลายเป็นกฎหมายตราสามดวงในเวลาต่อมา

ในยุคปัจจุบัน  แนวคิดในเรื่องความยุติธรรมเป็นหลักอุดมคติเหนือกฎหมายนี้ก็ยังปรากฏจากบุคคลสำคัญของไทย  เช่น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่  9  มีแนวพระราชดำริต่อความยุติธรรมว่ามีสถานภาพสูงกว่าหรือเป็นสิ่งที่เหนือกฎหมาย  ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า  โดยที่กฎหมายเป็นแต่เรื่องเครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว  จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งกว่ายุติธรรม  หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมายและอยู่เหนือกฎหมาย  การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆ  โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้นดูจะไม่เป็นการเพียงพอ  จึงต้องคำนึงถึงความยุติธรรมเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ  การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและได้ผลที่ควรจะได้

ศ. จิตติ  ติงศภัทิย์  ปรมาจารย์ทางด้ายกฎหมายแนะนำไว้ในหนังสือหลักวิชาชีพกฎหมายของท่านไว้ว่า  การที่มีคำใช้อยู่  2  คำ  คือ  กฎหมาย  คำหนึ่ง  ความยุติธรรม  คำหนึ่ง  ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าหาใช่สิ่งเดียวกันไปไม่  การที่นักกฎหมายจะยึดถือแต่กฎหมายไม่คำนึงถึงความยุติธรรมตามความหมายทั่วไปนั้นเป็นความเห็นความเข้าใจแคบกว่าที่ควรจะเป็น

ส่วนความยุติธรรมตามทรรศนะของจอห์น  รอลส์  (John  Rawls)

จอห์น  รอลส์  นำเสนอทฤษฎีความยุติธรรมทางสังคมไว้ในงานเขียนเรื่อง  ทฤษฎีความยุติธรรม  วึ่งเป็นทฤษฎีที่เน้นความสำคัญของอิสรภาพของบุคคล

จอห์น  รอลส์  นำเสนอโดยเริ่มจากการมองความยุติธรรมในฐานะที่เป็นความเที่ยงธรรมหรือความเที่ยงตรง  ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากขั้นตอนหรือกระบวนการหาจุดยุติปัญหาที่เที่ยงธรรม  ปราศจากอคติส่วนตัวโดยเขาได้จินตนาการถึงมนุษย์ในสถานการณ์ที่ทุกคนอยู่ใน  จุดเริ่มต้นภายใต้ม่านอวิชชา  ซึ่งเขาก็ได้กำหนดให้มนุษย์อยู่ใน   จุดเริ่มต้น  รู้ว่าตนเองเป็นผู้มีเหตุผล  มีอิสระ  สนใจในผลประโยชน์ของตนเองและต่างมีความเสมอกันพร้อมกันนั้นพวกเขาก็ตระหนักว่า  พ้นจากฐานะแรกเริ่มอันเสมอกันนั้น  มนุษย์ก็มีผลประโยชน์ที่มีทั้งเหมือนและต่างกัน  กล่าวคือ  รู้ถึงภาวะที่อาจมีผลประโยชน์ขัดแย้งกันและยังรู้ถึงข้อจำกัดของศีลธรรมและสติปัญญาของมนุษย์ด้วยกันเอง

พ้นจากนี้  จอห์น  รอลส์  ก็ให้พวกเขามืดบอดอยู่ภายใต้  ม่านแห่งอวิชชา  กล่าวคือ  ไม่ทราบถึงสถานะทางสังคมของตนที่ดำรงอยู่  ไม่ทราบถึงความสามารถโดยธรรมชาติ  ไม่รู้ว่าอะไรเป็นคุณความดี  ไม่รู้ถึงคุณสมบัติทางจิตวิทยา  ไม่รู้ว่าตนอยู่ในสังคมยุคไหน  เพียงทราบว่าตนอยู่ภายใต้  เหตุแวดล้อมความยุติธรรม  ซึ่งหมายความว่า  รู้ว่าอยู่ในสังคมที่ยังมีปัญหาเรื่องความยุติธรรมหรือรู้ว่าอยู่ในโลกแห่งความจำกัดขาดแคลน

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น  จอห์น  รอลส์  เชื่อว่ามนุษย์ตามมโนภาพเช่นนี้จะเป็นผู้ให้คำตอบเกี่ยวกับหลักความยุติธรรมได้อย่างเที่ยงธรรม  แท้จริง  เนื่องจากพวกเขาไม่ทราบถึงสถานะหรือตำแหน่งทางสังคมของตน  ดังนั้นหากให้มนุษย์ในสถานการณ์นี้มาตกลงทำสัญญาประชาคมร่วมกัน  มากำหนดหลักความยุติธรรมทางสังคม  โดยธรรมชาติของการนึกถึงประโยชน์ของตนเอง  ด้วยเหตุผล แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องคิดสร้างหลักความยุติธรรมอย่างรอบคอบที่สุดหรือยุติธรรมอย่างแท้จริง

จากที่  จอห์น  รอลส์  นำเสนอไว้ข้างต้น  เขาก็สรุปว่าหลักความยุติธรรมที่มนุษย์ในจุดเริ่มต้นจะประกอบด้วยหลักการสำคัญ  2  ข้อ  คือ

1       มนุษย์แต่ละคนจำต้องมีสิทธิเท่าเทียมกันในเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างมากที่สุด  ซึ่งเทียบเคียงได้กับเสรีภาพอันคล้ายคลึงกันในบุคคลอื่นๆ

2       ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมต้องได้รับการจัดระเบียบให้เป็นธรรม

ทฤษฎีเรื่องความยุติธรรมของ  จอห์น  รอลส์  นี้มีความเป็นนามธรรมที่ซับซ้อน  ยากที่จะทำความเข้าใจ  แต่ก็พอฟังได้ว่าเป็นทฤษฎีที่เน้นความสำคัญสูงสุดของเสรีภาพ

 

ข้อ  2  นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  (Sociological  Jurisprudence)  คืออะไร  วิศวกรรมสังคม  (Social  Engineering)  และ  ข้อคิดต่อนักกฎหมาย  ที่  Roscoe  Pound  เสนอ  มีสาระสำคัญอะไรบ้างจงอธิบาย

ธงคำตอบ

นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  หมายถึง  การนำเอาสังคมวิทยาไปใช้ในทางนิติศาสตร์  (นิติปรัชญา)  เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้จะนำไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่งเอง   เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่  19  ของตะวันตก  ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมตะวันตกอยู่ในภาวะของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมประเพณีที่ไม่ซับซ้อนสู่สังคมอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน  เอารัดเอาเปรียบ  ทำให้เกิดชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานซึ่งเข้ามามีบทบาททางการเมืองด้วย

ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยานี้เป็นแนวความคิดหรือทฤษฎีทางนิติศาสตร์ที่เน้นบทบาทของกฎหมายต่อสังคม  การพิจารณากฎหมายโดยยึดถือคุณค่าทางสังคมวิทยาอันเป็นการพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ของกฎหมายหรือการทำงานของกฎหมายมากกว่าการสนใจกฎหมายในแง่ที่เป็นเนื้อหาสาระ  จากนั้นก็ไปเน้นเรื่องบทบาทของนักกฎหมายในการจัดระเบียบผลประโยชน์ของสังคม  เน้นวิธีการตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อใช้แก้ปัญหาต่างๆของสังคม  โดยเฉพาะการสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมหรืออรรถประโยชน์ของสังคม

รอสโค  พาวนด์  (Roscoe  Pound)  เป็นผู้ที่พัฒนาทฤษฎีนิติศาสน์เชิงสังคมวิทยาให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นในเชิงปฏิบัติ  โดนพาวนด์ได้สร้างทฤษฎีผลประโยชน์ที่รู้จักกันในนามทฤษฎีวิศวกรรมสังคมขึ้น  เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับคานผลประโยชน์ต่างๆ  ในสังคมให้เกิดความสมดุล

ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม  เป็นชื่อของทฤษฎีว่าด้วยผลประโยชน์เรื่องหนึ่งที่  รอสโค  พาวนด์  นำเสนอ  ซึ่งเพราะด้วยแนวคิดที่มุ่งสร้างกฎหมายที่การคานผลประโยชน์ต่างๆในสังคมให้เกิดความสมดุลประการหนึ่ง  การก่อสร้างหรือวิศวกรรมสังคม  จึงเป็นที่รู้จักกันในนาม  ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม  หรือ  “Social  Engineering  Theory” 

รอสโค  พาวนด์  ให้ความหมายของผลประโยชน์ว่าคือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่มนุษย์ต่างยืนยันเพื่อให้ได้มาอย่างแท้จริง  และเป็นภารกิจที่กฎหมายต้องกระทำการอันใดอันหนึ่ง  เพื่อสิ่งเหล่านี้หากต้องการธำรงไว้ซึ่งสังคมอันเป็นระเบียบเรียบร้อย ผลประโยชน์ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่กฎหมายมีหน้าที่ต้องตอบสนอง  แต่จะได้มากน้อยเพียงใดแก่แต่ละบุคคลนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญหรือผลกระทบของผลประโยชน์ที่จะได้รับ  จึงต้องนำวิธีการคานผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง  โดยเขาแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น  3  ประเภท  ได้แก่

1       ผลประโยชน์ของปัจเจกชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  ความปรารถนา  และความคาดหมายในการดำรงชีวิตของปัจเจกชน  ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพส่วนตัว  ความสัมพันธ์ทางครอบครัว  อันเกี่ยวข้องกับบิดามารดา  สามีภรรยา  และบุตรธิดาต่างๆ  หรือการมีทรัพย์สินส่วนบุคคล  เสรีภาพในการทำสัญญาการจ้างแรงงาน  เป็นต้น

2       ผลประโยชน์ของมหาชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่ปัจเจกชนยึดมั่นอันเกี่ยวพันหรือเกิดจากจุดยืนในการดำรงชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง  อันได้แก่ผลประโยชน์ของรัฐในฐานะที่เป็นนิติบุคคลที่จะครอบครองหรือเวนคืนทรัพย์สิน  รวมทั้งผลประโยชน์ของรัฐในฐานะผู้พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของสังคม

3       ผลประโยชน์ทางสังคม  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่พิจารณาจากแง่ความคาดหมายในการดำรงชีวิตทางสังคม  อันรวมถึงความปลอดภัย  ศีลธรรมทั่วไป  ความเจริญก้าวหน้า

ผลประโยชน์แต่ละประเภทมีค่าเป็นกลางๆ  ไม่มีผลประโยชน์ประเภทใดสำคัญเหนือกว่าผลประโยชน์อีกประเภทหนึ่ง  และการแบ่งแยกประเภทของผลประโยชน์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเสมือนบัญชีรายชื่อที่อาจมีการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์  รอสโค  พาวนด์  ให้นำเอาผลประโยชน์แต่ละประเภทมาคานผลประโยชน์กันให้เกิดการขัดแย้งน้อยที่สุดในสังคมแบบการกระทำวิศวกรรมสังคม  ซึ่งจำต้องมองความสมดุลในแง่ผลลัพธ์ที่จะส่งผลกระทบกระเทือนให้น้อยที่สุดต่อโครงสร้างแห่งระบบผลประโยชน์ทั้งหมดของสังคม  หรือผลลัพธ์ที่เป็นการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้  พร้อมกับการสูญเสียที่น้อยที่สุดต่อผลประโยชน์รวมทั้งหมดของสังคม

รอสโค  พาวนด์  ถือว่าการคานผลประโยชน์และวิธีการต่างๆ  ในการกระทำวิศวกรรมสังคมที่กล่าวมาของ

พาวนด์  นับว่าเป็นหัวใจสำคัญยิ่งในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ซึ่งพาวนด์ถือว่าเป็นก้าวย่างใหม่ของการศึกษา  และเป็นเสมือนการก้าวสู่จุดสุดยอดของนิติปรัชญานับแต่อดีตกาลมา  รวมทั้งเป็นการขยายบทบาทของนักนิติศาสตร์หรือนักทฤษฎีให้ลงมาสัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น  แทนที่จะหมกมุ่นกับการถกเถียงเชิงนามธรรมในปรัชญากฎหมายเท่านั้น

นอกจากนี้เขายังได้เสนอข้อคิดหรือภาระสำคัญ  6  ประการของนักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ไว้ว่า

1       ต้องศึกษาถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของสถาบันทางกฎหมายและทฤษฎีกฎหมาย

2       ต้องศึกษาเชิงสังคมวิทยาในเรื่องการตระเตรียมการนิติบัญญัติโดนเฉพาะในเรื่องของผลการนิติบัญญัติเชิงเปรียบเทียบ

3       ต้องศึกษาถึงเครื่องมือหรือกลไกที่จะทำให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีประสิทธิภาพ  โดยถือว่า  ความมีชีวิตของกฎหมายปรากฏอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย

4       ต้องศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายเชิงสังคมวิทยาด้วยการตรวจพิจารณาดูว่า  ทฤษฎีกฎหมายต่างๆได้ส่งผลลัพธ์ประการใดบ้างในอดีต 

5       ต้องสนับสนุนให้มีการตัดสินคดีบุคคลอย่างมีเหตุผลและยุติธรรม  ซึ่งมักอ้างเรื่องความแน่นอนขึ้นแทนที่มากเกินไป

6       ต้องพยายามทำให้การบรรลุจุดมุ่งหมายของกฎหมายมีผลมากขึ้น

ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สรุปสาระสำคัญข้อคิดต่อนักกฎหมายของรอสโค  พาวนด์  ได้คือ

1       ใส่ใจต่อหลักการใหม่ๆ

2       ใส่ใจต่อพฤติกรรมมนุษย์

3       สนใจเศรษฐศาสตร์  สังคมวิทยา  และปรัชญา 

4       ผลักดันกฎหมายในทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับตัวบท

 

ข้อ  3  จงอธิบายหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย  โดยละเอียด

ธงคำตอบ

หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยนี้เป็นหลักบรรทัดฐานทางกฎหมายของพระธรรมศาสตร์ที่สรุปอนุมานขึ้นมาจากเนื้อหาสาระสำคัญของพระธรรมศาสตร์  โดยอาจเรียกเป็นหลักบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย  4  ประการในพระธรรมศาสตร์  หรือหลักกฎหมายทั่วไป  4  ประการในพระธรรมศาสตร์  หรือหลักกฎหมายธรรมชาติ  4  ประการในพระธรรมศาสตร์ก็ได้สุดแท้แต่จะเรียก  ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1        กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคำสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ

2       กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมมะหรือศีลธรรม

3       จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร

4       การใช้อำนาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ต้องกระทำบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม

หลักทศพิธราชธรรม  คือ  หลักธรรมอันสำคัญยิ่งสำหรับกษัตริย์หรือผู้ปกครอง  10  ประการ  ดังนี้

1       ทาน  คือ  การสละวัสดุสิ่งของและวิชาความรู้เพื่อเกื้อกูลแก่บุคคลอื่น

2       ศีล  คือ  การควบคุมพฤติกรรมทางกาย  วาจา  และใจ  ให้เป็นปกติเรียบร้อย

3       ปริจจาคะ  คือ  การเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม

4       อาชชวะ  คือ  ความซื่อตรง

5       มัททวะ  คือ  ความสุภาพอ่อนโยน

6       ตบะ  คือ  ความเพียรพยายามในหน้าที่การงานจนกว่าจะสำเร็จโดยไม่ลดละ

7       อักโกธะ  คือ  ความไม่แสดงความเกรี้ยวกราดโกรธแค้นต่อใครๆ

8       อวิหิงสา  คือ  ความไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้ได้ทุกข์ร้อน

9       ขันติ  คือ  ความอดทนต่อความยากลำบาก  ทั้งนี้เนื่องจากวัตถุธรรมและนามธรรม

10  อวิโรธนะ  คือ  ความไม่ประพฤติปฏิบัติผิดไปจากทำนองคลองธรรม

หลักธรรมทั้ง  10  ประการนี้  อาจกล่าวว่าเป็นหลักธรรมทางกฎหมายในแง่พื้นฐานของการใช้อำนาจทางกฎหมาย  ถึงแม้โดยเนื้อหา  ทศพิธราชธรรมจะมีลักษณะเป็นจริยธรรมส่วนตัวของผู้ปกครองก็ตาม  เพราะหากเมื่อจริยธรรมนี้เป็นสิ่งที่ถือว่าควรอยู่เบื้องหลังกำกับการใช้อำนาจรัฐ  โดยบทบาทหน้าที่ของธรรมมะแล้ว  บทบาทดังกล่าวย่อมอยู่เบื้องหลังการใช้อำนาจทางกฎหมาย  ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของการนิติบัญญัติหรือการบังคับใช้กฎหมายด้วยเช่นกัน  มองที่จุดนี้  ทศพิธราชธรรมย่อมดำรงอยู่ในฐานะหลักธรรมสำคัญในปรัชญากฎหมายของไทยอีกฐานะหนึ่งด้วย

เกี่ยวกับหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยนี้  ก็คงจัดได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญากฎหมายในพระธรรมศาสตร์  อันเปรียบได้กับกฎหมายธรรมชาติของตะวันตกและสามารถเรียกได้ว่าเป็นประหนึ่งหลักนิติกรรม  ในอุดมการณ์ทางกฎหมายของสังคมไทยโบราณภายใต้ปรัชญาแบบพุทธธรรมนิยม  หลัก  4  ประการนี้ย่อมจัดเป็นรูปธรรมอันเด่นชัดที่สะท้อนความคิด  รากเหง้าแห่งปรัชญากฎหมายไทย

หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย  เป็นปรัชญากฎหมายที่มีอิทธิพลความสำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระมหากษัตริย์  ไม่ใช่เป็นเพียงปรัชญากฎหมายที่จำกัดอิทธิพลหรือจำกัดวงแห่งการรับรู้เฉพาะกลุ่มนักคิด  หรือสำนักคิดทางปรัชญากฎหมายหนึ่งเท่านั้น  แม้การยึดถือหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยจะปรากฏมาตั้งแต่กรุงสุโขทัยเรื่อยมาก็ตาม  แต่ในทางปฏิบัติ  การยึดถือดังกล่าวจะเป็นไปอย่างจริงจังเพียงใดก็คงเป็นอีกเรื่องเช่นกัน  เพราะแม้ในทางทฤษฎีหรือปรัชญากฎหมายไทยจะกำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้อง  คำนึงตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ทุกคราวที่ตรากฎหมายก็ตาม

  แต่หากในทางปฏิบัติเกิดมีพระมหากษัตริย์ที่ไม่ทรงสนพระทัยต่อคัมภีร์ดังกล่าว  หรือกระทั่งตรากฎหมายโดยขัดแย้งกับคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ผลลัพธ์จะถือเป็นอย่างไรจะถือเป็นโมฆะหรือไม่  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งจะถือว่ากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมไม่ถือเป็นกฎหมายหรือไม่  เพราะในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงตรากฎหมายหรือราชศาสตร์โดยไม่คำนึงถึงพระธรรมศาสตร์หรือกระทั่งขัดแย้งกับ หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย  ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่ในทางปฏิบัติจะมีการดึงดันให้กฎหมายนั้นยังคงมีสภาพเป็นกฎหมายอยู่  แต่ก็ย่อมมีผู้ถือว่ากฎหมายนี้ไม่เป็นธรรมหรือเป็นกฎหมายที่เลวอยู่บ้างอย่างเงียบๆ

  และคาดเดาไปว่าจะเป็นกฎหมายที่อยู่ไม่ได้นาน  ทั้งไม่สมควรเป็นเรื่องที่ควรเคารพเชื่อฟัง  หากแต่ในทางปฏิบัติคงหาคนที่จะกล้าออกมาคัดค้านกฎหมายหรือดื้อแพ่งกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมนี้แบบเผชิญหน้าโดยตรงไม่ได้เพราะพระราชอำนาจของกษัตริย์ที่เป็นเทวราชาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ใครออกมาท้าทายอาจถูกประหารชีวิตได้ง่ายๆ

สรุป  การยึดมั่นในหลักจตุรธรรมทางปรัชญากฎหมายของพระมหากษัตริย์  จึงดูเป็นเรื่องศีลธรรมหรือคุณธรรมส่วนตัวของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์มากกว่าสิ่งอื่น  โดยมีปัจจัยด้านความมั่นคงในการใช้อำนาจของพระองค์เป็นตัวกำหนดภายนอก  ทำนองเดียวกับที่  ร.แลงกาต์  เคยสรุปไว้ว่า  ถ้าราชวงศ์ใดมั่นคงแข็งแกร่งการพิสูจน์พระบรมราชโองการว่าสอดคล้องกับบทบัญญัติในพระธรรมศาสตร์หรือไม่ก็จะทำพอเป็นพิธีเท่านั้น  ในทางปฏิบัติ  เจตจำนงหรือความประสงค์ขององค์พระมหากษัตริย์ที่มีต่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินดูจะเป็นกฎหมายหรือแหล่งที่มาอันสำคัญของกฎหมายเหนือสิ่งอื่นใด  กฎหมายตามสภาพที่เป็นจริงจึงกลายเป็นภาพสะท้อนแห่งเจตจำนงขององค์รัฏฐาธิปัตย์หรือพระมหากษัตริย์ ที่มีต่อผู้อยู่ใต้อำนาจปกครอง  แน่นอนว่าสิ่งที่พบก็คือช่องว่างระหว่างอุดมคติทางกฎหมายกับความเป็นจริง

Advertisement