การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นางปราณีเกิดที่จังหวัดอุบลราชธานีเป็นบุตรของนายยิน  นางเกียว  แซ่ผ่าน  สามีภรรยาสัญชาติญวณซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเลขที่  6  7/2497  ออกให้  ณ  ที่ว่าการอำเภอเมืองฯ  จังหวัดอุบลราชธานี  ต่อมาปราณีอยู่กินกับนายกู๋  แซ่โง  ญวณอพยพโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  เกิดบุตรที่  จ.อุบลฯ  สามคน เมื่อปี พ.ศ. 2511,  2512  และ  2516  ตามลำดับ  เจ้าหน้าที่กิจการญวณอพยพได้ใส่ชื่อนายกู๋นางปราณีและบุตรลงในทะเบียนบ้านคนญวณอพยพเลขที่  108/8  ถนนอุปราช  ต.ในเมือง  อ.เมือง  จ.อุบลราชธานี

ปี  พ.ศ. 2525  ปราณีและบุตรทั้งสามคนขอให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนชื่ออกจากทะเบียนบ้านดังกล่าว  โดยอ้างว่าตนมีสัญชาติไทย  ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด  และปัจจุบัน  ปราณีและบุตรมีสัญชาติไทยหรือไม่  บกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย

มาตรา  10  บทบัญญัติมาตรา  7(1)  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3)  ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

ข้อ  2  บุคคลตามข้อ  1  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว  ไม่ได้สัญชาติไทย  เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  ปัจจุบันปราณีและบุตรทั้ง  3  คน  มีสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  ปราณีเกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรของคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยชอบด้วยกฎหมาย  กรณีถือว่าปราณีเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย  ย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ.  2508มาตรา  7(3)

ต่อมาได้ความว่า  ปราณีอยู่กินกับนายกู๋  แซ่โง  ญวณอพยพโดยไม่จดทะเบียนสมรสและเกิดบุตรที่จังหวัดอุบลราชธานีจำนวน  3  คน  สำหรับบุตร  2  คนแรกนั้น  เกิดในราชอาณาจักรไทยก่อนวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับวันที่  14 ธันวาคม  พ.ศ. 2515)  จึงได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา 7(3))

อนึ่งเมื่อประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับแล้ว

1       ปราณีไม่ถูกถอนสัญชาติไทย  เพราะแม้ได้ความว่าปราณีจะเกิดจากนายยินและนางเกียว  แซ่ผ่าน  สามีภรรยาสัญชาติญวณ  แต่ในขณะที่ปราณีเกิดนั้น  นายยินและนางเกียว  แซ่ผ่าน  ได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  จึงไม่ต้องด้วยประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  แต่อย่างใด  ปราณีจึงยังคงมีสัญชาติไทย

2       บุตร  2  คนแรกนั้นไม่ถูกถอนสัญชาติไทย  ตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  เพราะปราณีมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  และนายกู๋บิดาซึ่งเป็นคนต่างด้าวก็มิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 2450/2526)  บุตร  2  คนแรกจึงยังคงมีสัญชาติไทย

3       สำหรับบุตรคนที่  3  แม้จะเกิดภายหลังวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ใช้บังคับแล้ว  ก็ย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  เช่นกัน  เพราะไม่เข้าข้อยกเว้น  ตามข้อ  2  และข้อ  1(3)  เนื่องจากปราณีมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  และนายกู๋บิดาซึ่งเป็นคนต่างด้าวก็มิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม  เมื่อ  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535)  บุตรทั้ง  3  คนกลับได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  ที่กำหนดให้บุคคลผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร  ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด  ทั้งนี้โดยผลของมาตรา  10  ของ  พ.ร.บ.  ดังกล่าวที่ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา  7(1)  มาใช้บังคับย้อนหลังกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  อันเป็นวันที่  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  ใช้บังคับด้วย  ดังนั้น  บุตรทั้ง  3  คนจึงได้รับสัญชาติไทยตามหลักสายโลหิตโดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด  เพราะมารดา  คือ  ปราณีเป็นผู้มีสัญชาติไทย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  การที่ปราณีและบุตรทั้ง  3  คน  จะขอให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนชื่ออกจากทะเบียนบ้านคนญวณอพยพ  โดยอ้างว่าตนมีสัญชาติไทยนั้น  ข้ออ้างดังกล่าวรับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  โดยหลักแล้ว  การได้  การเสีย  หรือการกลับคืนสัญชาติ  ย่อมเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติไว้  ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่กิจการญวณอพยพได้ใส่ชื่อปราณีและบุตรทั้ง  3  คนลงในทะเบียนบ้านคนญวณอพยพ  ย่อมไม่มีผลทำให้บุคคลผู้มีสัญชาติไทยตามกฎหมายอยู่แล้ว  ต้องสูญเสียสัญชาติไทยและกลายเป็นคนสัญชาติญวณแต่อย่างใด การลงชื่อในทะเบียนคนญวณอพยพเป็นเพียงการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ไม่มีผลลบล้างกฎหมายสัญชาติเป้นอย่างอื่นไปได้  (ฎ. 2318 2319/2530)  ข้ออ้างของปราณีและบุตรทั้ง  3  คน  จึงฟังขึ้น

สรุป  ปัจจุบันปราณีได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  และบุตรทั้ง  3  คนได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  โดยผลของมาตรา  10  ซึ่งมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด  ส่วนข้ออ้างของปราณีและบุตรทั้ง  3  คนว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยนั้นฟังขึ้น

 

ข้อ  2  นายเฮงเกิดจากบิดามารดาซึ่งเป็นคนสัญชาติจีน  แต่เกิดและมีภูมิลำเนาในประเทศฟิลิปปินส์  ตามกฎหมายจีนบุคคลย่อมได้สัญชาติจีนหากเกิดจากบิดาเป็นจีน  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกประเทศจีนและตามกฎหมายฟิลิปปินส์บุคคลย่อมได้สัญชาติฟิลิปปินส์หากเกิดในประเทศฟิลิปปินส์  กฎหมายจีนยังกำหนดไว้อีกว่า  บุคคลบรรลุนิติภาวะและมีความสามารถที่จะทำนิติกรรมใดๆได้เมื่ออายุครบ  19  ปีบริบูรณ์  แต่ตามกฎหมายฟิลิปปินส์ต้องมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์ในขณะที่นายเฮงมีอายุ  20  ปีบริบูรณ์  ได้ทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์ม  จำนวน  60  เครื่องจากนายเมตตาคนสัญชาติไทยในประเทศไทย  หลังจากนั้นนายเฮงและนายเมตตามีคดีขึ้นสู่ศาลไทย  โดยประเด็นข้อพิพาทมีว่านายเฮงมีความสามารถทำสัญญาที่ว่านี้หรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ศาลไทยควรวินิจฉัยอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  6  วรรคสอง  ถ้าจะต้องใช้กฎหมายสัญชาติบังคับ  และบุคคลมีสัญชาติตั้งแต่สองสัญชาติขึ้นไป  อันได้รับมาคราวเดียวกัน  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีภูมิลำเนาอยู่บังคับ  ถ้าบุคคลนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอื่นนอกจากประเทศซึ่งตนมีสัญชาติสังกัดอยู่  ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาในเวลายื่นฟ้องบังคับ  ถ้าภูมิลำเนาของบุคคลนั้นไม่ปรากฏ  ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ  ในกรณีใดๆที่มีการขัดกันในเรื่องสัญชาติของบุคคล  ถ้าสัญชาติหนึ่งสัญชาติใดซึ่งขัดกันนั้นเป็นสัญชาติไทย  กฎหมายสัญชาติซึ่งจะใช้บังคับได้แก่  กฎหมายแห่งประเทศสยาม

มาตรา  10  วรรคแรกและวรรคสอง  ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

แต่ถ้าคนต่างด้าวทำนิติกรรมในประเทศสยาม  ซึ่งตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้นย่อมจะไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดสำหรับนิติกรรมนั้น  ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมนั้นได้เพียงเท่าที่จะมีความสามารถตามกฎหมายสยาม  ความในวรรคนี้ไม่ใช้แก่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  19  บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุยี่สิบปีบริบูรณ์

วินิจฉัย

ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร  เห็นว่า  ปัญหาข้อพิพาทที่ว่านายเฮงมีความสามารถทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์มจากนายเมตตาคนสัญชาติไทยได้หรือไม่นั้น  ถือเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล  ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายเฮงมีทั้งสัญชาติจีนและฟิลิปปินส์ซึ่งได้รับมาในขณะเดียวกัน(ได้รับมาพร้อมกัน)  กรณีเช่นนี้  กฎหมายสัญชาติที่ใช้บังคับ  คือ  กฎหมายสัญชาติของประเทศที่นายเฮงมีภูมิลำเนาอยู่  อันได้แก่  กฎหมายฟิลิปปินส์ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคสอง  ซึ่งเมื่อพิจารณาตามกฎหมายฟิลิปปินส์แล้ว  นายเฮงย่อมไม่มีความสามารถทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้  เนื่องจากตามกฎหมายฟิลิปปินส์กำหนดว่า  บุคคลจะบรรลุนิติภาวะและมีความสามารถที่จะทำนิติกรรมใดๆ  ได้เมื่อมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์  เมื่อในขณะทำนิติกรรมนายเฮงมีอายุเพียง  20  ปี  จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ดี  แม้นายเฮงจะไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายสัญชาติ  แต่อาจถือได้ว่านายเฮงคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้  หากเข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังนี้คือ

1       คนต่างด้าวนั้นได้ทำนิติกรรมขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งมิใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

2      ตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้น  ถือว่าบุคคลดังกล่าวไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดในการทำนิติกรรมตาม  ข้อ  1

3      แต่ตามกฎหมายไทยถือว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมตามข้อ  1)  ได้

ฉะนั้นแล้ว  การที่นายเฮงได้ทำนิติกรรมในประเทศไทย  ซึ่งนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวก็ไม่ใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวหรือกฎหมายมรดก  และตามกฎหมายสัญชาติของนายเฮง  (ฟิลิปปินส์)  ก็ถือว่านายเฮงไร้ความสามารถหรือมมีความสามารถอันจำกัด  แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายไทยแล้ว  นายเฮงมีความสามารถทำนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวได้  เพราะถือว่านายเฮงบรรลุนิติภาวะแล้วตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  19  ดังนั้นศาลไทยจึงควรวินิจฉัยว่านายเฮงมีความสามารถทำสัญญาฉบับที่ว่านี้ได้ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคสอง

สรุป  ศาลไทยควรวินิจฉัยว่านายเฮงมีความสามารถทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์มดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  เครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่ง  มีกำหนดการเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศออสเตรเลียขณะที่เครื่องกำลังจะขึ้นบินนายโรนันโด้คนสัญชาติบราซิลได้อ้างว่าตนมีปืนและจะยิงผู้โดยสารหากนักบินไม่เปลี่ยนเส้นทางไปประเทศบราซิล  อย่างไรก็ตามพนักงานบนเครื่องได้ช่วยกันจับตัวนายโรนันโด้ไว้ได้  ปรากฏว่าไม่พบอาวุธที่นายโรนันโด้กล่าวและเที่ยวบินดังกล่าวสามารถถึงประเทศออสเตรเลียได้ตามกำหนดการเดิม

การกระทำของนายโรนันโด้ถือว่าเป็นความผิดตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยบิชอบ  ค.ศ. 1970  หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

วินิจฉัย

อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  ให้นิยามของคำว่า  สลัดอากาศ  ว่าหมายถึงบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลำนั้นกระทำการอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน  โดยใช้กำลังมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อจะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน  ทั้งนี้  รวมถึงการพยายามกระทำความผิด

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  การกระทำของนายโรนันโด้ถือว่าเป็นความผิดตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  หรือไม่  เห็นว่า  การกระทำของนายโรนันโด้ซึ่งอยู่ในเครื่องบินลำนั้นที่เรียกร้องให้นักบินเปลี่ยนทิศทางเครื่องบินไปร่อนลงที่ประเทศบราซิล  แทนที่จะไปยังประเทศออสเตรเลียตามกำหนดการเดิม  ถือเป็นการกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยานซึ่งเป็นการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  เพื่อที่จะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน  และแม้นายโรนันโด้จะถูกพนักงานบนเครื่องบินจับตัวได้  และไม่พบอาวุธตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด  และเที่ยวบินดังกล่าวก็สามารถไปถึงประเทศออสเตรเลียได้ตามกำหนดการเดิม  การกระทำดังกล่าวของนายโรนันโด้ก็ยังถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศ  ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดดารยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  ทั้งนี้เพราะความผิดดังกล่าวได้บัญญัติให้รวมถึงการพยายามกระทำความผิดด้วย

สรุป  การกระทำของนายโรนันโด้  ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1

 

ข้อ  4  จงบอกเหตุผลสำคัญที่รัฐผู้รับคำขอควรร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำร้องขอของรัฐผู้ร้องขอมาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

อธิบาย

การส่งผู้ร้ายข้ามแดน  คือ  การที่รัฐซึ่งบุคคลนั้นไปปรากฏตัวอยู่ส่งมอบตัวผู้ต้องหาหรือผู้ซึ่งต้องคำพิพากษาให้ลงโทษแล้วไปยังรัฐซึ่งผู้นั้นต้องหาว่าได้กระทำความผิดอาญา  หรือถูกพิพากษาให้ลงโทษทางอาญาแล้ว  ในดินแดนของรัฐที่ขอให้ส่งตัว

โดยทั่วไปแล้ว  เมื่อประเทศหนึ่งร้องขอแล้วประเทศที่รับคำขอก็ควรจะส่งตัวให้ตามคำขอ  ซึ่งเหตุผลสำคัญที่รัฐผู้รับคำขอควรร่วมมือในการไม่ปฏิเสธที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้ตามคำขอของรัฐผู้ร้องขอ  คือ

1       เพื่อร่วมมือกันระหว่างประเทศในการปราบปรามและป้องกันการกระทำความผิดอาญา  เพื่อบรรลุถึงจุดประสงค์ร่วม  (Common  Goal)  คือความสงบสุขของประชากรโลก

2       เพื่อเป็นการยืนยันหลักการที่ว่าผู้กระทำผิดต้องได้รับการลงโทษ

3       เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดอาศัยการหลบหนีเพื่อมิให้ถูกลงโทษได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ดี  แม้จะมีหลักการทั่วไปดังกล่าว  ก็ยังมีข้อยกเว้นให้ผู้กระทำผิดดังกล่าวไม่ต้องถูกส่งตัว  อยู่  3  ประการ  คือ

1       ลักษณะความผิด  เช่น  เป็นความผิดทางการเมือง  ความผิดต่อกฎหมายพิเศษ  ความผิดต่อกฎหมายการพิมพ์  ความผิดต่อศาสนา  เป็นต้น

2       สัญชาติของผู้กระทำความผิด

3       ฐานะพิเศษบางประการของผู้กระทำความผิด  เช่น  บุคคลในคณะทูต  บุคคลที่สั่งให้ปล่อยตัวแล้ว  เป็นต้น

Advertisement