การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายความแตกต่างระหว่างการสืบสวนกับการสอบสวนมาโดยละเอียด  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การสืบสวน  หมายความถึง  การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน  ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(10)

การสอบสวน  หมายความถึง  การรวบรวมพยานหลักฐาน  และการดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(11)

จากนิยามความหมายดังกล่าว  สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการสืบสวนและการสอบสวนได้ดังนี้

1       วิธีการ

–                    การสืบสวน  เป็นลักษณะของการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด  ซึ่งอาจจะเป็นขั้นตอนก่อนที่จะมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นก็ได้

–                    การสอบสวน  เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นและมีการกล่าวหาในความผิดนั้น

2       สิ่งที่ต้องการ

–                    การสืบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  ข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด

–                    การสอบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  พยานหลักฐาน  ซึ่งแบ่งได้เป็นพยานบุคคล  พยานวัตถุ  และพยานเอกสาร

3       วัตถุประสงค์

–                    การสืบสวน  เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อทราบรายละเอียดแห่งความผิด

–                    การสอบสวน  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  หรือพิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ซึ่งอาจจะไม่มีผู้กระทำผิดตามที่กล่าวหาก็ได้

4       เจ้าพนักงานที่มีอำนาจ

–                    การสืบสวน  ได้แก่  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  รวมทั้งเจ้าพนักงานอื่นๆตามกฎหมายเฉพาะ  เช่น  พัศดี  เจ้าพนักงานกรมสรรพสามิต  กรมศุลกากร  กรมเจ้าท่า  พนักงานตรวจคนเข้าเมือง  เป็นต้น

–                    การสอบสวน  ได้แก่  พนักงานสอบสวน  ซึ่งหมายถึงเจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวน  ดังที่บัญญัติไว้ใน  ป.วิอาญา  มาตรา  18, 19, 20  และ  21

5       เงื่อนไข 

–                    การสืบสวน  สามารถกระทำก่อน  ขณะ  หรือหลังจากเหตุเกิดก็ได้  โดยไม่จำเป็นต้องมีความผิดเกิดขึ้น

–                    การสอบสวน  ต้องมีความผิดเกิดขึ้น  หรือมีการกล่าวหาในความผิดนั้นจึงทำการสอบสวน

 

ข้อ  2  ผู้เสียหายในคดีอาญามีความหมายว่าอย่างไร  มีกี่ประเภท  อะไรบ้าง  และมีหลักเกณฑ์ใดบ้างที่จะพิจารณาว่าบุคคลใดจะเป็นผู้เสียหายตามหลักกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

จากตัวบทกฎหมายดังกล่าว  สามารแยกอธิบายได้ดังนี้

1       ผู้เสียหายโดยตรง  คือ  ผู้เสียหายที่แท้จริง  ซึ่งการพิจารณาว่าบุคคลใดจะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายหรือไม่นั้น  มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้  คือ

            ต้องมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น

            บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดนั้น

            เป็นความเสียหายต่อสิทธิ

            บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย

2       ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  คือ  แม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหายแท้จริง  แต่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในความหมายของคำว่า  ผู้เสียหาย  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  4

ในคดีอาญาผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามีและเป็นผู้เสียหายโดยตรง  หญิงมีสามีนั้นสามารถฟ้องคดีอาญาได้เองโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน  ตามกฎหมายถือว่าหญิงมีสามีมีอำนาจเต็มทุกประการ  ทั้งนี้  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  4  วรรคแรก

และในมาตรา  4  วรรคสอง  ก็ได้บัญญัติต่อไปว่า  สามีมีอำนาจจัดการ  (ฟ้องคดีอาญา)  แทนภริยาได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา  แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา  5(2)  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  5  บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา  5  นั้น  ได้แก่

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยา  เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

(3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคล  เฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  6

กรณีที่จะมีการร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา  6  นั้น  มีอยู่  2  ประการ  คือ

(1) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์  ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์

(2) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ  ไม่มีผู้อนุบาล  หรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้อนุบาลมีผลประโยชน์ขัดกันกับคนไร้ความสามารถ

 

ข้อ  3  โต้งหลอกลวงเตี้ยว่า  จะช่วยให้บุตรของเตี้ยเข้าเป็นเสมียนปกครองได้ตามที่สมัครสอบไว้  เตี้ยหลงเชื่อจึงให้เงินแก่โต้งไป  แต่ปรากฏว่าบุตรของเตี้ยสอบเข้าไม่ได้  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าเตี้ยจะเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

วินิจฉัย

โต้งเพียงหลอกลวงเตี้ยว่าจะช่วยให้บุตรของเตี้ยเข้าเป็นเสมียนปกครองได้ตามที่สมัครสอบไว้  เมื่อไม่ปรากฏว่าเตี้ยให้เงินแก่โต้งไปเพื่อให้โต้งนำไปให้แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการสอบคัดเลือกให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต  จึงไม่ถือว่าเตี้ยร่วมกับโต้งนำสินบนไปให้เจ้าพนักงานอันเป็นการใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิด  ดังนั้น  เตี้ยจึงเป็นผู้เสียหายตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(4)  มีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงได้  (ฎ. 4744/2537)

ข้อ  4  ชัยเป็นบุตรบุญธรรมขอบชาติ  ต่อมาชาติถูกชั่วฆ่าตาย  คดีนี้ความผิดเกิดขึ้นในเขตอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  ชัยจึงได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร  อ.เมือง  จ.นครสวรรค์  เพื่อให้มีการสอบสวนดำเนินคดีกับชั่วในข้อหาความผิดฐานฆ่าชาติตายโดยเจตนา  ในกรณีดังกล่าวนี้ให้วินิจฉัยว่า  การร้องทุกข์ของชัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และถ้าต่อมาปรากฏว่าชั่วถูกจับกุมตัวได้ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  จะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  3(1)  บุคคลดั่งระบุในมาตรา  4, 5  และ  6  มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

(1) ร้องทุกข์

มาตรา  5(2)  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

ภายใต้บทบัญญัติแห่ง  ป.วิอาญา  มาตรา  2(4)  ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคล  2  จำพวก  คือ  ผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง  กับบุคคลอื่นที่อำนาจจัดการแทน  ซึ่งได้แก่บุคคลดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6  ซึ่งตามมาตรา  5(2)  นั้น  เป็นการจัดการแทนกันระหว่างบุคคลสองคู่ด้วยกัน  คือ

1       ผู้บุพการีกับผู้สืบสันดาน

2       สามีกับภริยา

ซึ่งจะเห็นว่าบุตรบุญธรรมไม่ใช่ผู้สืบสันดานและผู้รับบุตรบุญธรรมก็ไม่ใช่บุพการีของบุตรบุญธรรม  ชัยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายประเภทเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(2)  ชัยจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับชั่วไม่ได้  การร้องทุกข์ของชัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  2 (7)  ประกอบมาตรา  3(1)

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ชั่วถูกจับกุมตัวได้ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  ย่อมมีอำนาจสอบสวนคดีนี้  เนื่องจากในคดีความผิดต่ออาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  (ฎ. 1681/2535  ฎ. 784/2483)

Advertisement