การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  ที่นาพิพาทมี  ส.ค.1  เป็นของโจทก์  ให้จำเลยเช่าแล้วจำเลยไม่ชำระค่าเช่า  โจทก์จะเข้าทำนาเอง  จำเลยกลับบุกรุกเข้าทำนา  ทำให้โจทก์เสียหาย  ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย  จำเลยให้การว่า  ไม่เคยเช่านาจากโจทก์  แต่โจทก์ได้ขายและตนได้เข้าครอบครองเกินกว่า  10  ปีแล้ว  ไม่เคยบุกรุกที่นาเลย  ดังนี้  อยากทราบว่า  คดีนี้ฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์  จงอธิบาย  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

มาตรา  1372  สิทธิซึ่งผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสิทธิซึ่งผู้ครอบครองมีตามกฎหมาย

วินิจฉัย

ในเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ

การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์โดยมี  ส.ค.1  เป็นหลักฐานโจทก์ให้จำเลยเช่าแล้วไม่ชำระค่าเช่า  โจทก์จะเข้าทำ จำเลยกลับบุกรุกเข้าทำ  กรณีจึงเท่ากับโจทก์กล่าวอ้างในฐานะที่ตนมีสิทธิในที่ดิน  (ส.ค.1)  และจากที่จำเลยให้การถึงการที่ได้ที่นามาโดยการที่โจทก์ขายที่นาพิพาทให้จำเลยและครอบครองมาเป็นเวลาเกินกว่า  10  ปีแล้ว  กรณีจึงเท่ากับว่า  จำเลยปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์  และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ที่นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า  (ส.ค.1)  และจำเลยครอบครองอยู่  กรณีเช่นนี้  จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1369  และมาตรา  1372  ว่ามีสิทธิครอบครอง  เมื่อโจทก์กล่าวอ้างโจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบก่อนว่า  โจทก์ให้จำเลยเช่าจริงหรือไม่  และจำเลยบุกรุกที่ของโจทก์หรือไม่  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  (ฎ. 1649/2513)

สรุป  ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่โจทก์     


ข้อ  2  ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน  เมื่อล่วงเลยระยะเวลาตามที่บัญญัติไว้ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88(1)(2)  โดยมิได้มีการยื่นคำร้องแสดงเหตุผลใดๆ  แก่ศาล  แต่ศาลกลับมีคำสั่งให้รับบัญชีระบุพยานโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจงใจและไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบ  ดังนี้  คำสั่งของศาลดังกล่าวเป็นคำสั่งที่รับฟังได้หรือไม่  จงอธิบาย  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  87  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  88  และ  90  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

มาตรา  88  วรรคสาม  เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้วแต่กรณี  ได้สิ้นสุดลงแล้ว  ถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว  มีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด  หรือถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า  มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้  คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานและสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวไม่ว่าเวลาใดๆ  ก่อนพิพากษาคดีและถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเดนเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น  ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำสั่งของศาลดังกล่าวเป็นคำสั่งที่รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกภายในกำหนดตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรก  หรือมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายในกำหนดตามมาตรา  88  วรรคสอง  คู่ความฝ่ายนั้นก็อาจยื่นคำร้องต่อศาลโดยใช้สิทธิตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสาม  กล่าวคือ  ยื่นคำร้องขออ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานโดยแสดงเหตุอันสมควรที่เป็นอุปสรรค  ทำให้ไม่อาจยื่นบัญชีระบุพยานได้ทันตามกำหนดเวลา  ทั้งนี้เพราะการยื่นบัญชีระบุพยานก็เพื่อมิให้คู่ความเกิดความเสียเปรียบได้เปรียบในเชิงคดีที่มีอยู่อย่างชัดแจ้ง  มิฉะนั้นจะกลายเป็นข้อยกเว้นของ  ป.วิ.พ.  มาตรา  88 

ส่วนการที่จะอ้าง ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  ตอนท้ายที่ว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี  โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา  88  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้  ก็จะต้องเข้าเงื่อนไข  3 ประการ  คือ

1       พยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี

2       ศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานนั้น

3       ไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบในเชิงคดี

เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกหรือบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมต่อศาล  เมื่อล่วงเลยเวลาตามมาตรา  88  วรรคแรกหรือวรรคสองแล้ว  โดยมิได้ทำคำร้องแสดงว่าเหตุใดจึงยื่นภายในกำหนดเวลาไม่ได้  เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณาเหตุผลของโจทก์ว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานไว้หรือไม่  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสาม  ดังนี้  ศาลจะสั่งรับบัญชีระบุพยานของจำเลยโดยเหตุผลเพียงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจงใจ  และไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบหาได้ไม่  เพราะข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงคดีมีอยู่อย่างชัดแจ้ง  (ฎ. 2591/2520ม  ฎ. 943/2512)

ทั้งการที่จำเลยมิได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุผลอันสมควรที่ไม่อาจยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามกำหนดเวลาตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสามย่อมทำให้เกิดการเอาเปรียบโจทก์ในการดำเนินคดีโดยวิธีจู่โจม  พยานหลักฐานทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสต่อสู้คดี  ดังนี้  แม้พยานหลักฐานดังกล่าวจะสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีที่ทำให้จำเลยแพ้หรือชนะคดีก็ตาม  แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมไม่สมควรรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามข้อยกเว้นของ  ป.พ.พ.  มาตรา  87(2)  ตอนท้าย  กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะให้รับบัญชีระบุพยานของจำเลยได้ตามกฎหมาย  คำสั่งของศาลที่ให้รับบัญชีระบุพยานดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  คำสั่งของศาลดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ข้อ  3  นายเสียมราบพยานของนายไทวาจำเลย  ได้เข้านั่งฟังคำเบิกความของนายตะบอง  ซึ่งเป็นพยานของนายไทคมโจทก์ในคดีเรื่องหนึ่งโดยตลอด  เมื่อถึงคราวที่นายเสียมราบจะต้องเบิกความ  นายไทคมโจทก์จึงคัดค้านว่า  คำเบิกความของนายเสียมราบรับฟังไม่ได้ เนื่องจากได้เข้านั่งฟังคำเบิกความของพยานอื่นแล้ว  ขอให้ศาลห้ามมิให้รับฟังคำพยานดังกล่าว  อยากทราบว่า  คำคัดค้านของนายไทคมรับฟังได้หรือไม่  และมีหลักกฎหมายอย่างไรบ้าง  จงอธิบาย 

ธงคำตอบ

มาตรา  114  ห้ามไม่ให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานคนอื่นที่จะเบิกความภายหลัง  และศาลมีอำนาจที่จะสั่งพยานอื่นที่อยู่ในห้องพิจารณาให้ออกไปเสียได้

แต่ถ้าพยานคนใดเบิกความโดยได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว  และคู่ความอีกกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าศาลไม่ควรฟังคำเบิกความเช่นว่านี้  เพราะเป็นการผิดระเบียบ  ถ้าศาลเห็นว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นที่เชื่อฟังได้  หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อน  หรือไม่สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้  ศาลจะไม่ฟังว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้

วินิจฉัย

การห้ามไม่ให้พยานคนหลังได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อนตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  114  ดังกล่าวข้างต้นนั้น  คำว่า  พยานคนก่อน  หมายความถึงพยานฝ่ายของตน  หรือพยานของคู่ความฝ่ายเดียวกันเท่านั้น  ทั้งนี้เพราะอาจทำให้มีโอกาสบิดเบือนคำเบิกความของตนให้สอดคล้องกันได้

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายเสียมราบเป็นพยานของนายไทวาจำเลย  ซึ่งรับฟังคำเบิกความของนายตะบองซึ่งเป็นพยานของนายไทคมโจทก์  มิใช่พยานของนายไทวาจำเลยด้วยกันเอง  กรณีจึงไม่ต้องด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  114  เพราะมิใช่เป็นการเบิกความโดยฟังคำพยานคนก่อน

ดังนั้น  คำเบิกความของนายเสียมราบจึงไม่เป็นการผิดระเบียบและสามารถรับฟังได้  คำคัดค้านของนายไทคมจึงรับฟังไม่ได้  (ฎ . 3328/2536)

สรุป  คำคัดค้านของนายไทคมรับฟังไม่ได้

Advertisement