การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.3)  เลขที่  1111  โดยซื้อมาจากเจ้าของเดิมและจดทะเบียนรับโอนมาโดยชอบแล้ว  จำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงดังกล่าวก่อนที่โจทก์จะรับโอนที่ดินแปลงดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย  โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท  แต่จำเลยเพิกเฉย  โจทก์ได้รับความเสียหาย  ไม่อาจนำออกให้ผู้อื่นเช่าหาผลประโยชน์ได้  คิดค่าเสียหายเดือนละ  1,000  บาท  ขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาท  และชดใช้ค่าเสียหายนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทแก่โจทก์

จำเยให้การว่า  โจทก์รับจดทะเบียนโอนที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้องมาโดยไม่สุจริต  ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของบิดาจำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์มาแต่แรก  จำเลยครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดา  น.ส. 3 ก.  เลขที่  1111  ออกทับที่ดินที่บิดาของจำเลยครอบครอง  จึงออกมาไม่ชอบ  โจทก์เสียหายตามฟ้องหรือไม่  จำเลยไม่ทราบ  ขอให้ยกฟ้อง

เช่นนี้  คดีมีประเด็นตามคำฟ้อง  ประเด็นตามคำให้การ  และประเด็นข้อพิพาทอย่างไร  และฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบ

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

มาตรา  438  ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น  ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด

มาตรา  1373  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

วินิจฉัย

ประเด็นตามฟ้อง  คือ  ข้ออ้างทั้งหลายที่โจทก์กล่าวในคำฟ้อง  ซึ่งมีดังนี้

1       โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน  น.ส. 3 ก.  ตามฟ้อง

2       จำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย

3       โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท  แต่จำเลยเพิกเฉย

4       โจทก์ได้รับความเสียหายเดือนละ  1,000  บาท

ประเด็นตามคำให้การ  คือ  ข้อเถียงทั้งหลายที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ข้ออ้างของโจทก์  หรือกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในคำให้การ  ซึ่งมีดังนี้

1       โจทก์จดทะเบียนรับโอนที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้องมาโดยไม่สุจริต

2       ที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของจำเลยซึ่งครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดา

3       น.ส.3  ก.  เลขที่  1111  ออกมาโดยไม่ชอบเพราะออกทับที่ดินบิดาของจำเลยครอบครอง

4       โจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่เพียงใด  จำเลยไม่ทราบ

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

ดังนั้น  คดีตามอุทาหรณ์จึงมีประเด็นข้อพิพาทดังนี้

1       โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่

2       โจทก์เสียหายเพียงใด

เนื่องจากประเด็นตามคำฟ้อง  จ้อ  1  จำเลยให้การปฏิเสธไว้ตามประเด็นให้คำให้การข้อ  2  และ  ข้อ  3  จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่

ประเด็นตามคำฟ้อง  ข้อ  2  ในส่วนที่ว่าจำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท  ประเด็นนี้จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธ  ถือว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท  จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทในส่วนนี้  สำหรับข้อที่ว่าจำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมายนั้น จำเลยให้การปฏิเสธไว้แล้วตามประเด็นคำให้การข้อ  2  และข้อ  3  ไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นอีก

ประเด็นตามคำฟ้อง  ข้อ  3  จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธ  จึงถือว่าจำเลยยอมรับ  ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทในข้อนี้  ประเด็นตามคำฟ้อง  ข้อ 4  ที่ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายนั้น  จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่เพียงใด  จำเลยไม่ทราบ  กรณีถือว่าเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งว่ารับหรือถูกปฏิเสธ  จึงไม่ชอบด้วย 

ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่  แต่ปัญหาว่าค่าเสียหายมีมากน้อยเพียงใดซึ่งแม้จำเลยให้การว่าไม่ทราบอันเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งก็ตาม  แต่ศาลยังต้องพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์นำสืบหรือตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด  จึงยังคงมีปัญหาข้อพิพาทที่ต้องกำหนดว่าโจทก์เสียหายเพียงใด

ส่วนประเด็นตามคำให้การข้อ  1  ที่จำเลยให้การว่าโจทก์รับจดทะเบียนโอนที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้องมาโดยไม่สุจริตนั้น  จำเลยให้การปฏิเสธโดยไม่ปรากฏเหตุแห่งการปฏิเสธว่าไม่สุจริตอย่างไร  จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ. มาตรา  177  วรรคสอง  ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคแรก  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้วตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคสอง  (2)  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

ประเด็นข้อพิพาทที่  1  เนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม  น.ส.  3  ก.  ที่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  โดยมีโจทก์เป็นผู้มีชื่อในทะเบียน  จึงเป็นกรณีที่มีข้อสันนิษฐานไว้ใน  ป.พ.พ.  มาตรา  1373 เป็นคุณแก่โจทก์  เมื่อข้อเท็จจริงเบื้องต้นปรากฏแล้วว่า  โจทก์มีชื่ออยู่ใน  น.ส.3  ก.  โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว  ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง  ดังนี้ จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนี้  (ฎ. 2516/2549,  ฎ. 4343/2539)

ประเด็นข้อพิพาทข้อ  2  โจทก์กล่าวอ้าง  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้  แต่แม้โจทก์จะไม่นำสืบหรือนำสืบไม่ได้ตามฟ้อง  กรณีเช่นนี้ ศาลก็อาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้เองตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  438  วรรคแรก

สรุป  ประเด็นตามคำฟ้อง  มีดังนี้

1       โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้อง

2       จำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย

3       โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท  แต่จำเลยเพิกเฉย

4       โจทก์ได้รับความเสียหายเดือนละ  1,000  บาท

ประเด็นตามคำให้การ  มีดังนี้

1       โจทก์จดทะเบียนรับโอนที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้องมาโดยไม่สุจริต

2       ที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของจำเลยซึ่งครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดา

3       น.ส.3  ก  เลขที่  1111  ออกมาโดยไม่ชอบเพราะออกทับที่ดินบิดาของจำเลยครอบครอง

4       โจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่เพียงใด  จำเลยไม่ทราบ

ประเด็นข้อพิพาท  มีดังนี้

1       โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่  ภาระการพิสูจน์ข้อนี้ตกแก่จำเลย

2       โจทก์เสียหายเพียงใด  ภาระการพิสูจน์ข้อนี้ตกแก่โจทก์

 


ข้อ  2  พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องนายหนึ่งและนายสองเป็นจำเลยในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์  หลังจากศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้ฟังแล้ว  นายหนึ่งให้การรับสารภาพ  นายสองให้การปฏิเสธ  ศาลสั่งจำหน่ายคดีสำหรับนายสองโดยให้โจทก์แยกฟ้องนายสองเป็นคดีใหม่  และพิพากษาลงโทษจำคุกนายหนึ่งซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว  ในคดีที่โจทก์ฟ้องนายสองเป็นคดีใหม่  นายสองให้การปฏิเสธ  โจทก์นำนายหนึ่งมาเบิกความว่า  นายสองได้ร่วมลักทรัพย์กับนายหนึ่งตามฟ้อง  นายสามผู้ร่วมลักทรัพย์อีกคนหนึ่งแต่ถูกกันไว้เป็นพยานมาเบิกความว่า  นายสองร่วมกับนายหนึ่งและนายสามลักทรัพย์ตามฟ้อง  และนายสี่ซึ่งโจทก์ระบุไว้ในบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมศาลอนุญาตแล้วแต่พนักงานสอบสวนไม่ได้สอบคำให้การนายสี่ไว้ในชั้นสอบสวน  ทั้งโจทก์ก็มิได้สอบคำให้การไว้เช่นกันมาเบิกความว่า  ตามวันเวลาเกิดเหตุ  นายสี่เห็นนายหนึ่ง  นายสอง  และนายสามร่วมกันลักทรัพย์ตามฟ้อง  ดังนี้  ท่านเห็นว่า  คำเบิกความของนายหนึ่ง  นายสาม  และนายสี่พยานโจทก์รับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  226  พยานวัตถุ  พยานเอกสาร  หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมิผิดหรือบริสุทธิ์  ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้  แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น  และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน

มาตรา  232  ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน

วินิจฉัย

การห้ามโจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  หมายถึง  จำเลยในคดีเดียวกันเท่านั้น  ผู้ที่ร่วมกระทำความผิดด้วยกันแต่ถูกฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่ง  หรือผู้ที่ร่วมกระทำผิดกับจำเลยแต่มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยเพราะถูกกันไว้เป็นพยาน  กรณีเช่นนี้ก็ย่อมไม่ต้องห้ามตามมาตรานี้แต่อย่างใด

คำเบิกความของนายหนึ่ง  นายสาม  และนายสี่รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้นายหนึ่งและนายสองจะเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันก็ตาม  แต่เมื่อศาลสั่งจำหน่ายคดี  โดยให้โจทก์แยกฟ้องนายสองเป็นคดีใหม่  กรณีเช่นนี้  นายหนึ่งจึงไม่ได้เป็นจำเลยในคดีที่โจทก์แยกฟ้องนายสองเป็นคดีใหม่  โจทก์จึงอ้างนายหนึ่งเป็นพยานได้  ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  แต่อย่างใด  (ฎ. 1202/2520)

กรณีนายสาม  ซึ่งเป็นผู้ร่วมลักทรัพย์ไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วย  โดยถูกกันไว้เป็นพยาน  ดังนั้น  เมื่อนายสามมิได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย โจทก์จึงอ้างนายสามเป็นพยานได้ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232 (ฎ. 534/2512)

และนายสี่ซึ่งเป็นประจักษ์พยาน  เมื่อพิจารณาแล้วน่าจะพิสูจน์ได้ว่านายองกระทำความผิดจริงตามฟ้อง  ทั้งไม่ปรากฏว่านายสี่เป็นพยานชนิดที่เกิดจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวง  หรือโดยมิชอบประการอื่น  ดังนั้น  โจทก์จึงอ้างนายสี่เป็นพยานได้ตาม ป.วิ.อ.  มาตรา  226  และไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าพยานบุคคลของโจทก์ตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  226  นั้น  พนักงานสอบสวนต้องสอบคำให้การในชั้นสอบสวนหรือพนักงานอัยการได้เรียกมาสอบคำให้การเป็นพยานไว้แล้ว  จึงจะอ้างเป็นพยานในชั้นศาลได้  (ฎ.  2107/2514,

ฎ. 4012/2534)

ดังนั้น  คำเบิกความของนายหนึ่ง  นายสามและนายสี่พยานโจทก์จึงรับฟังได้  ส่วนจะเพียงพอให้แน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและนายสามเป็นผู้กระทำความผิดนั้นหรือไม่  เป็นดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักพยานบุคคลว่าพอฟังลงโทษนายสามจำเลยได้หรือไม่  ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อ.  มาตรา  227

สรุป  คำเบิกความของนายหนึ่ง  นายสามและนายสี่  พยานโจทก์รับฟังได้

 


ข้อ  3  จงตอบคำถามต่อไปนี้

ก  พยานเอกสารคืออะไร  แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์  สส  999  กรุงเทพมหานคร  บัตรโดยสารเครื่องบินสายการบินนกแก้วแอร์  ซึ่งมีชื่อนายแดง  เป็นผู้โดยสาร  และกำหนดเที่ยวบินไว้เรียบร้อยแล้ว  เป็นพยานเอกสารหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

พยานเอกสาร  หมายถึง  ข้อความ  ตัวอักษร  ตัวเลข  รูป  รอย  หรือเครื่องหมายอย่างใดๆ  จะบันทึกไว้โดยการเขียน  พิมพ์  พิมพ์ดีด  แกะสลัก  ถักร้อยหรือวิธีอื่นใดก็ได้  ไว้ในเอกสารหรือวัตถุใด  ซึ่งคู่ความใช้อ้างอิงโดยอาศัยสื่อความหมายของข้อความตัวอักษร  รูป  รอย  หรือเครื่องหมายใดๆเป็นการนำสืบถึงความหมายของสิ่งที่ปรากฏในเอกสาร  หรือวัตถุใดๆเพื่อพิสูจน์ข้ออ้างหรือข้อเถียงของคู่ความ

พยานวัตถุ  หมายถึง  วัตถุหรือสิ่งอื่นใดที่อาจพิสูจน์ความจริงต่อศาลได้โดยการตรวจดูมิใช่โดยการอ่านหรือพิจารณาข้อความที่บันทึกไว้

1       แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์  สส  999  กรุงเทพมหานคร  ไม่ใช่พยานเอกสาร  เพราะแผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวไม่ได้สื่อความหมายของข้อความหรือความหมายอย่างหนึ่งอย่างใด  แต่เป็นพยานวัตถุเพราะเป็นการแสดงถึงรูปร่าง  ลักษณะ  หรือความมีอยู่จริงของแผ่นป้ายทะเบียน

2       บัตรโดยสารเครื่องบิน  สายการบินนกแก้วแอร์  ระบุชื่อนายแดงเป็นผู้โดยสาร  และกำหนดเที่ยวบินไว้แล้ว  จะเห็นได้ว่า  บัตรโดยสารดังกล่าว  สื่อความหมายให้เห็นว่า  นายแดงเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายดังกล่าว  กรณีจึงถือว่าเป็นพยานเอกสาร

ข  คดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกคดีหนึ่ง  โจทก์อ้างว่าความจริงโจทก์ชื่อ  นายหวย  เป็นบุตรของนางหอมเจ้ามรดกแต่เหตุที่โจทก์มีชื่อในบัตรประจำตัวประชาชนว่า  นายเขียว  เนื่องจากโจทก์หลบหนีคดีอาญา  โจทก์จึงแจ้งชื่อโจทก์และชื่อบิดามารดาใหม่เพื่อมิให้คนอื่นรู้ว่าโจทก์คือนายหวย  ในชั้นพิจารณาคดี  โจทก์จะอ้างนายแห้วมาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

 มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

วินิจฉัย

ในชั้นพิจารณาคดี  โจทก์จะอ้างนายแห้วมาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่บุคคลใดจะเป็นทายาทของเจ้ามรดกหรือไม่มิใช่กรณีที่กฎหมายบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ฉะนั้นโจทก์จึงอ้างนายแห้วมาสืบหักล้างบัตรประชาชนได้ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  แต่ประการใด

และแม้บัตรประจำตัวประชาชนจะเป็นเอกสารราชการอันเป็นเอกสารมหาชนตามมาตรา  127  ซึ่งให้สันนิษฐานว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้องก็ตาม  แต่ก็มิได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่จะห้ามมิให้คู่ความนำสืบหรือห้ามมิให้ศาลรับฟังเป็นอย่างอื่น  ดังนั้น  ในชั้นพิจารณาคดี โจทก์จึงอ้างนายแห้วมาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ได้  (ฎ. 526/2540)

สรุป  ในชั้นพิจารณาคดี  โจทก์อ้างนายแห้วมาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ได้

Advertisement