การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของบิดาของโจทก์จำเลย  แต่จำเลยครอบครองไว้เพียงผู้เดียวโดยไม่แบ่งให้แก่โจทก์  ขอให้บังคับจำเลย  จำเลยให้การว่าบิดายกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยตั้งแต่บิดายังมีชีวิตอยู่  หลังจากนั้นจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนมาเกินกว่า  10  ปีแล้ว  ที่ดินพิพาทจึงมิได้เป็นมรดกของบิดาที่จะต้องแบ่งให้แก่โจทก์  อย่างไรก็ตาม  บิดาตายมานานหลายปีแล้ว  ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ  ขอให้ยกฟ้อง

คดีมีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบประการใด

อนึ่ง  ถ้าในการชี้สองสถาน  ศาลกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบและนำพยานเข้าสืบก่อน  แต่ในวันสืบพยาน  จำเลยและโจทก์ต่างแถลงว่าไม่ติดใจสืบพยาน  ขอให้ศาลพิพากษาไปตามรูปคดี  เช่นนี้  ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายใดชนะคดี

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

มาตรา  1372  สิทธิซึ่งผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสิทธิซึ่งผู้ครอบครองมีตามกฎหมาย

วินิจฉัย

คดีมีประเด็นพิพาทประการเดียวว่า  ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของบิดาหรือไม่  เนื่องจากโจทก์ฟ้องอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าและเป็นมรดกของบิดาของโจทก์จำเลย    จำเลยครอบครองไว้เพียงผู้เดียว  จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินมือเปล่าและโจทก์จำเลยไม่ได้เป็นทายาทโดยธรรมของบิดา  แต่ให้การรับว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท  ประเด็นแห่งคดีจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า  โจทก์จำเลยเป็นทายาทโดยธรรมของบิดา  และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทอยู่เพียงผู้เดียว

ส่วนคำให้การของจำเลยที่ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความนั้น  จำเลยให้การไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเมื่อใด  นับแต่วันใดถึงวันฟ้องคดีขาดอายุความไปแล้ว  จึงไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  ไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องอายุความ (ฎ. 1801/2539 (ที่ประชุมใหญ่))  ดังนั้นคำให้การของจำเลยที่ปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทมิใช่เป็นมรดกของบิดา  แต่เป็นของจำเลย  เนื่องจากบิดายกให้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่  จึงทำให้คดีมีประเด็นข้อพิพาทประการเดียวดังกล่าวข้างต้น

ส่วนหน้าที่นำสืบในประเด็นดังกล่าวนั้นตกแก่โจทก์  เนื่องจากโจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของบิดา  จำเลยให้การปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทมิใช่เป็นมรดกของบิดา  เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองอยู่  จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของ  ป.พ.พ.  มาตรา  1369  และ  1372  ว่ามีสิทธิครอบครอง  โจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของบิดา  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าที่พิพาทเป็นมรดกของบิดาตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคสอง (2)  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1 (ฎ. 1527/2497)

เมื่อได้ความว่าตามกฎหมายโจทก์มีหน้าที่นำสืบ  แต่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้สมหน้าที่  โจทก์ก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี  การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อน  แม้จำเลยจะไม่คัดค้าน  เมื่อไม่มีการสืบพยาน  ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไปทีเดียวไม่ได้  เพราะการที่ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายใดชนะคดีโดยถือหน้าที่นำสืบเป็นหลักนั้น  ต้องถือตามหน้าที่นำสืบที่ถูกต้องตามกฎหมาย  ดังนั้น  ศาลต้องพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี  โดยยกฟ้องโจทก์  (ฎ. 3059  3060/2516)

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาท  คือ  ที่พิพาทเป็นมรดกของบิดาหรือไม่  หน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์

และถ้าในการชี้สองสถาน  ศาลกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบและนำพยานเข้าสืบก่อน  แต่ในวันสืบพยานจำเลยและโจทก์ต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน  ขอให้ศาลพิพากษาไปตามรูปคดี  เช่นนี้  โจทก์จะเป็นฝ่ายแพ้คดี  ตามหน้าที่นำสืบที่ถูกต้อง


ข้อ  2  คดีอาญานายเขียวเป็นโจทก์ฟ้องนายดำ  ข้อหายักยอกทรัพย์  ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่  1  กุมภาพันธ์  2549  ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง  นายเขียว  นายขาวซึ่งเป็นทนายความของนายเขียว  และนายเหลืองซึ่งเป็นทนายความของนายดำไปศาล  ในการไต่สวน นายเขียวอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความต่อศาล  และอ้างใบเสร็จรับเงิน  2  ฉบับ  เป็นพยานหลักฐาน  ส่วนนายเหลืองนำจดหมายของนายเขียวซึ่งมีข้อความว่าได้รับเงินตามใบเสร็จสองฉบับจากนายดำไว้แล้วซักถามนายเขียวและเสนอจดหมายดังกล่าวต่อศาล  หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านายขาวทนายความของนายเขียวเพิ่งจะยื่นบัญชีระบุพยาน  อ้างนายเขียวกับใบเสร็จรับเงินทั้งสองฉบับเป็นพยานหลังจากไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  7  วัน  แต่ยังไม่ถึงวันนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา  แต่นายเหลืองไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน  อ้างจดหมายที่นำส่งศาลเป็นพยาน

ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานคือ  คำเบิกความของนายเขียว  ใบเสร็จรับเงินทั้งสองฉบับ  และจดหมายของนายเขียวที่นายเหลืองอ้างส่งศาลเป็นพยานได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  88  วรรคแรก  เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใดหรือคำเบิกความของพยานคนใด  หรือมีความจำนงที่จะให้ศาลตรวจบุคคล  วัตถุ  สถานที่  หรืออ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง  เพื่อเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้าง  หรือข้อเถียงของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันซึ่งบัญชีระบุพยานโดยแสดงหรือสภาพของเอกสารที่จะอ้าง  และรายชื่อที่อยู่ของบุคคล  วัตถุ  หรือสถานที่ซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นระบุอ้างเป็นพยาน  หรือขอให้ศาลไปตรวจ  หรือขอให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญแล้วแต่กรณี  พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ  เพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

วินิจฉัย

ในการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีแพ่ง  ป.วิ.พ.  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการยื่นบัญชีระบุพยานไว้ว่า  ในการยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก  ต้องยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า  7  วัน  โดยยื่นพร้อมสำเนาบัญชีระบุพยานเพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล  (ป.วิ.พ. มาตรา  88  วรรคแรก)  แต่สำหรับการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญา  ในกรณีปกติ  ป.วิ.อ. มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะกรณีจึงต้องนำหลักการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีแพ่งตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  88  มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม  ป.วิ.อ. มาตรา  15

กรณีตามอุทาหรณ์  การไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาลเพื่อให้เห็นว่า  คดีของโจทก์มีมูล  เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับศาลไม่มีกรณีที่จะเอารัดเอาเปรียบในการเสนอพยานหลักฐานหรือจู่โจมในทางพยาน  จึงเป็นข้อยกเว้นที่โจทก์ไม่จำต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องไม่น้อยกว่า  7  วัน  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรก  ประกอบ  ป.วิ.อ. มาตรา  15  ฉะนั้น  แม้โจทก์จะเพิ่งยื่นบัญชีระบุพยานอ้างนายเขียวกับใบเสร็จรับเงิน  2  ฉบับเป็นพยาน  หลังจากไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  7  วัน  ศาลก็รับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้  ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  87(2)  ประกอบ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15

ส่วนนานเหลืองทนายความของนายดำก็มีสิทธิอ้างจดหมายของนายเขียวมาซักค้านนายเขียวและเสนอต่อศาลได้  โดยถือว่าจดหมายดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์  มิใช่เป็นพยานหลักฐานของนายดำ  เนื่องจากศาลยังมิได้มีคำสั่งประทับฟ้อง นายดำจึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลยในคดีอันจะถือเป็นคู่ความตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  1(3)(15)  ประกอบมาตรา  163  วรรคสาม  จึงไม่จำต้องยื่นบัญชีระบุพยานตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรก  ประกอบ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  เพราะบทมาตรานี้มีไว้เพื่อรักษาประโยชน์ให้ คู่ความ เท่านั้น  กรณีนี้ศาลก็รับฟังจดหมายดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีได้เช่นกัน  (ฎ. 124/2502)

สรุป  ศาลรับฟังคำเบิกความของนายเขียว  ใบเสร็จรับเงินทั้ง  2  ฉบับ  และจดหมายของนายเขียวที่นายเหลืองอ้างส่งศาลเป็นพยานได้

หมายเหตุ  ปัจจุบัน  ป.วิ.อ.  ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโยให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการยื่นบัญชีระบุพยานตามมาตรา  229/1  ซึ่งมีหลักคือ  การยื่นบัญชีระบุพยานในการไต่สวนมูลฟ้อง  โจทก์ต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลไม่น้อยกว่า  15  วันก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องพร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้จำเลยรับไป  จึงไม่อาจนำบทบัญญัติ  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  มาใช้บังคับโดยผลของ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  ได้อีกต่อไป


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.3 ก.)  เลขที่  456  ให้แก่โจทก์  วันทำสัญญาโจทก์ชำระราคาให้จำเลยครบถ้วนแล้ว  จำเลยตกลงจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์  ต่อมาจำเลยผิดนัด  ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้ตกลงขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์  สัญญาจะซื้อขายทำขึ้นเพื่อเป็นประกันหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์  ไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญา  สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ  ขอให้ยกฟ้อง  ดังนี้  จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบตามที่ให้การดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้  มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา  (2)  แห่งมาตรา  93  และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า  พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด  หรือแต่บางส่วน  หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์  หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้  คือ

1       กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย  หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น

2       พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3       พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4       สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5       คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบตามที่ให้การดังกล่าวได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่จำเลยประสงค์จะนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องเป็นสัญญาประกันหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ใช่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันจริงๆนั้น  เป็นการนำสืบหักล้างว่า  สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องไม่ถูกต้อง  และไม่มีผลใช้บังคับตามกฎหมาย  ไม่ใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร  อันจะต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลเข้าสืบตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลเข้าสืบได้ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94  วรรคท้าย  (ฎ. 704/2542)

สรุป  จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบตามที่ให้การดังกล่าวได้

Advertisement