การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยยืมรถยนต์พิพาทของโจทก์แล้วไม่ส่งคืน  ขอให้บังคับจำเลยคืนรถยนต์พิพาทหรือมิฉะนั้นให้ชดใช้ราคา  จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้ยืมรถยนต์พิพาท   หากแต่โจทก์ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้จำเลยและได้รับเงินค่ารถยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา  คำขอบังคับ  และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา  ขอให้ยกฟ้อง  ดังนี้

1       คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบประการใด

2       ถ้าระหว่างการสืบพยาน  โจทก์จำเลยตกลงกันให้สืบนายกนกเป็นพยานร่วมเพียงปากเดียว  ถ้านายกนกเบิกความว่า  ตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง  นายกนกเห็นจำเลยไปบ้านโจทก์และยืมรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์  จำเลยยอมแพ้  แต่ถ้านายกนกเบิกความว่าในวันเวลาดังกล่าว  ไม่เห็นจำเลย

ไปที่บ้านโจทก์  โจทก์ยอมแพ้  โดยโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไป  ปรากฏว่าในวันสืบพยาน  นายกนกเบิกความว่าในวันที่โจทก์ฟ้อง  เห็นจำเลยไปยืมรถยนต์พิพาทที่บ้านโจทก์  แต่จำเลยคัดค้านว่า  นายกนกเบิกความโดยไม่สุจริต  ไม่ควรเชื่อฟัง  จึงขออนุญาตพิสูจน์พยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  120  และให้ศาลสั่งเพิกถอนข้อตกลงดังกล่าว

ดังนี้  ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตตามที่จำเลยร้องขอได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

แต่ว่า

(1) คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป  หรือซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้  หรือซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

มาตรา  120  ถ้าคู่ความฝ่ายใดอ้างว่าคำเบิกความของพยานคนใดที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างหรือที่ศาลเรียกมาไม่ควรเชื่อฟัง  โดยเหตุผลซึ่งศาลเห็นว่ามีมูล  ศาลอาจยอมให้คู่ความฝ่ายนั้นนำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนได้แล้วแต่จะเห็นควร

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์ไว้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า  จำเลยยืมรถยนต์คันพิพาทของโจทก์แล้วไม่ส่งคืน  และที่จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้ยืมรถยนต์คันพิพาท  หากแต่โจทก์ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้จำเลย  และได้รับเงินค่ารถยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว  ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา  จะเห็นได้ว่า  คดีมีประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวว่า  จำเลยยืมรถยนต์ไปจากโจทก์หรือไม่

ส่วนประเด็นที่จำเลยอ้างว่า  ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น  จำเลยให้การโดยยกถ้อยคำตามกฎหมายมาอ้าง  โดยมิได้บรรยายว่าสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับ  หรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคำฟ้องส่วนใดที่ไม่ได้ชัดแจ้ง  และไม่ชัดแจ้งอย่างไร  คำให้การในประเด็นนี้จึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง  ไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  จึงไม่มีประเด็นให้ศาลต้องวินิจฉัย  ไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นพิพาท  (ฎ. 48/2536  ฎ. 913/2509)

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว  เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยครอบครองรถยนต์พิพาท  และจำเลยให้การว่าโจทก์ขายรถยนต์คันพิพาทให้จำเลยและได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว  อันเป็นการโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่จำเลยครอบครอง  จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า  จำเลยยึดถือรถยนต์คันพิพาทเพื่อตนเองและมีสิทธิครอบครองตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1367  ประกอบมาตรา  1369  หน้าที่นำสืบในประเด็นข้อพิพาทจึงตกแก่โจทก์ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84(2)  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  (ฎ. 971/2492)

การที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้สืบนายกนกเป็นพยานร่วมเพียงปากเดียว  โดยไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไป  กรณีเช่นนี้  เป็นการถือเอาคำเบิกความของนายกนกเป็นข้อแพ้ชนะกันในคดี  จึงมีลักษณะเป็นคำท้าซึ่งโจทก์และจำเลยต้องผูกพันตามคำท้า  และถือว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84(1)  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84(3))  อันเป็นผลให้คู่ความที่ได้รับประโยชน์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยไม่ต้องมีการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ตามประเด็นพิพาท  เมื่อนายกนกเบิกความว่า  เห็นจำเลยไปยืมรถยนต์คันพิพาทที่บ้านโจทก์  ดังนี้ โจทก์ย่อมเป็นฝ่ายชนะคดีตามคำท้า  จำเลยจะมายื่นคำร้องอ้างว่านายกนกเบิกความโดยไม่สุจริต  ขอพิสูจน์พยานและให้ศาลสั่งเพิกถอนคำท้าในภายหลังไม่ได้  (ฎ. 43/2545, ฎ. 957/2522)

สรุป

1       คดีมีประเด็นข้อพิพาท  คือ  จำเลยยืมรถยนต์ไปจากโจทก์หรือไม่  และหน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์

2       ศาลจะมีคำสั่งไม่อนุญาตตามที่จำเลยร้องขอ

 


ข้อ  2  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินซึ่งโจทก์แนบมาท้ายคำฟ้องแล้ว  แต่จำเลยผิดสัญญา  ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายตามสัญญา  จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาและโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง  ขอให้ยกฟ้อง  ระหว่างการสืบพยาน  โจทก์นำสืบสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้อง  จำเลยคัดค้านว่า โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องให้จำเลยล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  90  ซึ่งเป็นความจริงตามที่จำเลยค้าน  และโจทก์นำสืบด้วยสำเนาเอกสารโดยไม่ได้นำต้นฉบับมาสืบ  จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามมาตรา  93

ดังนี้  ศาลจะรับฟังสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  87  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  88  และ  90  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

มาตรา  90  วรรคแรก  ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อถกเถียงของตนตามมาตรา  88  วรรคหนึ่ง  ยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสำเนาเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน

มาตรา  93  การอ้างเอกสารเป็นพยานนั้นให้ยอมรับฟังได้แต่ต้นฉบับเอกสารเท่านั้น  เว้นแต่

(1) เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว  จึงให้ศาลยอมรับฟังสำเนาเช่นว่านั้นเป็นพยานหลักฐานแห่งเอกสารนั้นได้

มาตรา  125  วรรคแรก  คู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานยันตนอาจคัดค้านการนำเอกสานั้นมาสืบโดยเหตุที่ว่าไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน  หรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ  โดยคัดค้านต่อศาลก่อนการสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จ

วินิจฉัย

เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยว่าทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดิน  ซึ่งโจทก์ได้แนบมาท้ายคำฟ้องแล้ว  ดังนี้  จะเห็นได้ว่า  สำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินที่โจทก์แนบมาท้ายคำฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง  ซึ่งแสดงว่าโจทก์แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอันถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยล่วงหน้าตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  90  วรรคแรกแล้ว  ถึงแม้โจทก์จะไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลยล่วงหน้าตามที่จำเลยคัดค้านหรือโจทก์มิได้ขออนุญาตศาลขอถือเอาเอกาสารท้ายคำฟ้องแทนการส่งสำเนาให้จำเลยก็ตาม  กรณีเช่นนี้  จึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามมาตรา  87(2)  แต่ประการใด  (ฎ. 9501/2542)

และแม้จำเลยได้รับสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินที่โจทก์แนบมาท้ายคำฟ้องแล้ว  จำเลยมีหน้าที่ต้องตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเอกสารนั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  125  วรรคแรก  หากเห็นว่าไม่ถูกต้องแท้จริงต้องคัดค้านต่อศาลก่อนการสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จ  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  จำเลยมิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนาหนังสือสัญญาดังกล่าว  จึงถือว่าจำเลยยอมรับโดยปริยายแล้วว่า สำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินนั้นถูกต้องแล้ว  ศาลจึงรับฟังสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินนั้นเป็นพยานหลักฐานได้ตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  93(1)  โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องส่งต้นฉบับต่อศาลอีก  (ฎ. 1047/2537  ฎ. 2459/2539  ฎ. 2295/2543)

สรุป  ศาลจึงรับฟังสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้

หมายเหตุ  ปัจจุบัน  ป.วิ.พ.  ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกรณีไม่คัดค้านเอกสารตามมาตรา  125  ให้เป็นข้อยกเว้นของมาตรา  93(4)  ที่แก้ไขใหม่แล้ว  ซึ่งเป็นการบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นมารองรับแนวคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวข้างต้น  ดังนั้นกรณีไม่คัดค้านเอกสารตามมาตรา  125  ต้องปรับเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  93(4)  มิใช่มาตรา  93(1)

 


ข้อ  3  ก  พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา  ได้รับเอกสิทธิ์ตามกฎหมายลักษณะพยานอย่างไรบ้าง  จงอธิบาย

ข  พระภิกษุสนองถูกอ้างเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง  เมื่ออัยการโจทก์ซักถามก็ตอบข้อซักถาม  ครั้งถึงคราวทนายจำเลยถามค้านบ้าง  พระภิกษุสนองนิ่งเสียไม่ตอบคำถามค้านเลย  ถ้าท่านเป็นศาลท่านจะปฏิบัติอย่างไร

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา  ได้รับเอกสิทธิ์ตามกฎหมายลักษณะพยาน  ดังนี้

1       ไม่ต้องไปศาลตามหมายเรียกที่ศาลออกโดยชอบ  ไม่ว่ากรณีใดๆ  (ป.วิ.พ.  มาตรา  108  วรรคสอง (2))

2       ไม่ต้องสาบานหรือปฏิญาณตนก่อนเบิกความ  (ป.วิ.พ.  มาตรา  112 (2))  (ปัจจุบันคือมาตรา  112 (3))

3       จะไม่ยอมเบิกความหรือตอบคำถามใดๆ  ก็ได้เมื่อไปเป็นพยานที่ศาล  (ป.วิ.พ.  มาตรา  115)

หมายเหตุ  ปัจจุบัน  ป.วิ.พ.  ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกรณีการออกหมายเรียกพยานที่เป็นพระภิกษุและสามเณรว่าห้ามมิให้ออกหมายเรียกพยานที่เป็นพระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนาไม่ว่ากรณีใดๆ  แต่กำหนดให้ศาลหรือผู้พิพากษาส่งคำบอกกล่าวว่าจะสืบพยานแทนการออกหมายเรียก  (มาตรา  106/1)

ข  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา  115  พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา  แม้มาเป็นพยาน  จะไม่ยอมเบิกความหรือตอบคำถามใดๆก็ได้

วินิจฉัย

แม้พระภิกษุสนองจะได้ตอบข้อซักถามของอัยการโจทก์แล้ว  ก็มิใช่ว่าจะต้องตอบคำถามค้านของทนายจำเลยด้วยแต่ประการใด  เพราะเหตุที่กฎหมายได้ให้เอกสิทธิ์พระภิกษุสนองที่จะไม่ยอมเบิกความหรือตอบคำถามใดๆก็ได้  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  115

ดังนั้น  การที่พระภิกษุสนองนิ่งเฉยไม่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลย  ศาลก็ไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้พระภิกษุสนองเบิกความตอบคำถามค้านได้  กรณีเช่นนี้  ศาลต้องจดลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลถึงการที่พระภิกษุสนองไม่ยอมเบิกความ

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะจดลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลถึงการที่พระภิกษุสนองไม่ยอมเบิกความ

Advertisement